QE as a Tax for the Rich..?
การพิมพ์เงินคือการเก็บภาษีกลุ่มคนรวย..?
เห็นโพสเรื่อง รัฐสวัสดิการ จากเพื่อนใน fb เลยอยากเขียนเรื่องนี้
คำถามที่ว่า ประเทศที่รายได้ประชากรต่ำ สามารถทำรัฐสวัสดิการได้หรือไม่..?
ตามหลักที่ว่า รัฐสวัสดิการคือรายจ่ายของรัฐ หากต้องการให้ระบบยั่งยืน นั่นหมายถึงรัฐต้องมีรายได้ที่มากพอ
รัฐจะมีรายได้ ก็มาจากภาษี นั่นแปลว่า GDP ต้องเติบโต รายได้ต้องเติบโตมากเพียงพอที่จะจ่ายภาษีในระดับที่สูงขึ้นได้ แล้วภาษีเหล่านั้นก็จะถูกจัดสรรปันส่วนไปเป็นรัฐสวัสดิการ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แปลว่า คุณภาพชีวิตของชนชั้นล่างจะไม่มีวันดีขึ้นได้ ตราบเท่าที่พวกเขาไม่สามารถเพิ่มรายได้ได้งั้นหรือ
ถ้าเป็นแบบนั้นก็เหมือนปัญหาไก่กับไข่ รายได้ไม่มา ภาษีไม่มี รัฐสวัสดิการไม่เกิด
แต่มองกลับกัน รัฐสวัสดิการไม่เกิด คุณภาพชีวิตของชนชั้นล่างก็ไม่ดีขึ้น เค้าจะเอาแรงที่ไหน เอาทรัพยากรที่ไหน มายกระดับรายได้ของตัวเองได้
หรือพูดง่ายๆ ว่า คนจนจะมีรัฐสวัสดิการได้ คือ คุณต้องรวยขึ้นก่อน..
ฟังดูย้อนแย้งไหมครับ..?
แน่นอน เราควรจะยุทธศาสตร์ประเทศ หรือเพิ่มการลงทุนในภาครัฐ เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้ให้ชนชั้นล่างให้ได้ในที่สุด อันนี้ผมไม่เถียง
แต่ระหว่างนั้นล่ะ เราสามารถทำอะไรเพิ่มได้ไหม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของรากหญ้า
ในมุมของผมที่คิดว่าเราควรทำให้ได้ คือการเก็บภาษีจากคนรวยมาให้คนจนให้ได้มากขึ้น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากเสมอ เพราะกลุ่มคนรวยย่อมมีกลไกในการหลบเลี่ยง หรือหาวิธีการที่จะเสียภาษีให้ต่ำที่สุดอยู่แล้ว
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่า รัฐสามารถทำได้เลย และเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกมากกว่า 1 ตัว
นั่นคือการ "พิมพ์เงิน" ครับ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ QE นั่นแหละ
พิมพ์เงินช่วยรัฐสวัสดิการได้ยังไง..?
📍 หากธนาคารกลางพิมพ์เงิน ทำให้ปริมาณ money supply ของประเทศเพิ่มขึ้น แล้วเอาเงินนี้มาซื้อพันธบัตรรัฐสวัสดิการ
📍 รัฐจะได้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปเป็นรัฐสวัสดิการให้กับกลุ่มคนรากหญ้า
📍 เงินบาทจะอ่อนลงจากการพิมพ์เงิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นธุรกิจส่งออกรวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวของไทยในทางอ้อม
📍 แน่นอนว่ากลไกนี้จะแลกมาด้วยหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้น แต่หนี้นั้นมีเจ้าหนี้เป็นธนาคารกลาง โมเดลเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาหรือยูโรทำ
📍 แต่สิ่งที่ต่างคือ เราต้องควบคุมเม็ดเงินเหล่านี้ ผ่านนโยบายการคลังให้ไหลไปถึงกลุ่มรากหญ้าให้ได้ ซึ่งถ้าทำได้จริงจะเพิ่มกำลังซื้อของกลุ่มรากหญ้าได้
📍 แน่นอนว่ากลไกนี้ยังมีจุดอ่อนอยู่มาก แต่จุดแข็งที่สำคัญที่สุดคือ การ QE เป็น "การบังคับเก็บภาษีคนที่มีเงินมาก" โดยพวกเขาไม่มีโอกาสหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อเงินเฟ้อขึ้น กลุ่มคนรวยจะจนลงเร็วขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องไปหาวิธีเก็บภาษีพวกเขาเลยด้วยซ้ำ (QE as a Tax for the Rich)
📍 ปัญหาที่จะต้องแก้คือ การแจกจ่ายเงินจะทำอย่างไรให้สมดุล, ทำอย่างไรที่จะไม่กระทบชนชั้นกลางที่หลุดพ้นรายได้ขั้นต่ำมาแล้ว แต่ยังไม่อยู่ในระดับที่เรียกว่า "รวย" ฯลฯ
ใครสนใจเรื่อง QE as a Tax for the Rich ลองอ่านโพสนี้ครับ ผมเคยเขียนเมื่อนานมาแล้ว
https://www.facebook.com/niranpr/posts/10220115605293113
PS. หนังสือในภาพประกอบ ไม่เกี่ยวกับเนื้องเรื่องในโพส แต่ผมชอบเนื้อหา เลยขอเอาปกมาเป็นภาพประกอบครับ
PS. หลายคนคิดว่า ถ้าเงินบาทด้อยค่า หรือ พิมพ์เงินออกมามากๆ สุดท้ายเงินเฟ้อ อสังหา, หุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ จะต้องแพงขึ้น สุดท้ายคนรวยก็รวยขึ้นอยู่ดี แต่กรณีพวกนี้เกิดกับการพิมพ์เงินที่ เม็ดเงินไปไม่ถึงรากหญ้าอย่างแท้จริง (เหมือน QE ทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา พอเงินเข้าถึงมือนายทุน สินทรัพย์เสี่ยงก็พุ่งขึ้น แต่ถ้า (ในทางทฤษฏี) เราสามารถให้เงินหมุนในกลุ่มรากหญ้าได้ ไม่ไหลขึ้นด้านบนให้กับนายทุน ก็จะสามารถทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยง โตช้ากว่าเงินเฟ้อได้ (ถามว่าทำยังไง เอาจริงๆ ก็ยากแหละที่จะไม่ให้นายทุนมามีเอี่ยวในเงินตรงนี้ แต่ก็พอจะทำได้บ้าง ก็เช่น แทนที่จะจ่ายเงินโดยตรงให้คน เราเอาหนี้ที่กู้มาแจกเป็นปัจจัยสี่ให้ประชาชนเลย เช่น แทนที่จะแจกเงินให้คนไปซื้อข้าวที่เซเว่น ก็เปลี่ยนเป็น รัฐผลิตอาหารและแจกอาหารให้ประชาชนแทน แต่มันจะมีความเป็นสังคมนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ (เพราะรัฐสวัสดิการมันก็คือแนวคิดสังคมนิยมอยู่แล้ว))