กูอ่านแล้วนึกถึงสามเกลอ
Last posted
Total of 780 posts
กูอ่านแล้วนึกถึงสามเกลอ
นั่งอ่านย้อนไปตั้งแต่ต้นถึงนี่ หลายๆเรื่องสนุกดีนะ อยากอ่านต่อเลย
ปลุกชีพไอ้โอมที
มันนอนหมอบคอยเฝ้าหน้าถ้ำอันมืดมิดมาเนิ่นนาน...นานเสียจนตัวมันจดจำมิได้ว่าตั้งแต่เมื่อไร แม้แต่สีหน้าของเทพบรรพกาลผู้สั่งให้มันอยู่ที่นี่ก็ยังลืมเลือน จดจำได้เพียงชายผ้าสีขาวพลิ้วไหวตามกระแสลม งดงามเสียจนมันเอ่ยร้องขอผ้าแพรเป็นรางวัล เทพผู้นั้นปลดแพรขาวเพื่อห่มคลุมร่างของมันก่อนจะจากไป
ลมเปลี่ยนทิศ จันทร์ลาลับ ตะวันเลยผ่าน จากท้องทะเลกลายเป็นท้องนา...ร่างมันขยายขึ้นทุกปี จนตอนนี้ผ้าแพรผืนนั้นจะโอบพันรอบลำคอก็ยังไม่รอบ มิหนำซ้ำยังมอมแมมจนหมดสภาพ ยังพอมีแค่กลิ่นไอเทพจางๆ ให้พอรู้ว่ายังเป็นผ้าผืนเดิม มันอยากจะขอผ้าผืนใหม่ที่ห่มคลุมกายได้ แต่เทพบรรพกาลผู้นั้นไม่เคยหวนกลับมาสักครั้ง
มันยังคงเฝ้าคอยอยู่เช่นเคย ยามกระหายก็ดื่มกินหยาดน้ำค้าง ยามโหยหิวก็แทะเล็มยอดหญ้าที่หน้าถ้ำ ไม่มีผู้ใดให้พบเจอ ไม่มีผู้ใดให้พูดคุย ไม่ว่าจะมนุษย์ ภูติ เทพ เซียน ปีศาจ หรือแม้แต่สัตว์สักตัว...ทั่วหมื่นลี้นี้มีเพียงมันผู้เดียว
ออดไฟฟ้าลากเสียงยาวปลุกให้ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น เขากระพริบตาไล่ความงัวเงียออกจากสมอง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสกล่องสี่เหลี่ยมที่วางสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เจ้ากล่องนั้นพลันสว่างวาบ แสดงตัวเลขออกมาว่าตอนนั้นเป็นเวลาสองนาฬิกาเศษแล้ว
เสียงออดยังไม่หยุดดัง เรื่องนั้นทำให้ชายหนุ่มเกิดฉุนขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปที่หัวเตียง แตะปุ่มสัญญาณเรียกไมโครโฟน ก่อนที่จะส่งเสียงบอกแขกยามวิกาลผู้นั้นว่า "นี่เธอรู้เวลาบ้างไหมเนี่ย"
ออดไฟฟ้าลากเสียงยาวปลุกให้ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น เขากระพริบตาไล่ความงัวเงียออกจากสมอง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสกล่องสี่เหลี่ยมที่วางสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เจ้ากล่องนั้นพลันสว่างวาบ แสดงตัวเลขออกมาว่าตอนนั้นเป็นเวลาสองนาฬิกาเศษแล้ว
เสียงออดยังไม่หยุดดัง เรื่องนั้นทำให้ชายหนุ่มเกิดฉุนขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปที่หัวเตียง แตะปุ่มสัญญาณเรียกไมโครโฟน ก่อนที่จะส่งเสียงบอกแขกยามวิกาลผู้นั้นว่า "นี่เธอรู้เวลาบ้างไหมเนี่ย"
เสียงออดเงียบไป ก่อนที่จะเป็นเสียงใสของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาแทนว่า "ก็ฉันนอนไม่หลับนี่"
ชายหนุ่มส่งเสียงคราง แต่ก็ยอมเลื่อนมือไปกดปุ่มปลดล็อกประตูหน้า เขาเอื้อมมือไปกดเปิดโคมไฟก่อนยันกายขึ้นจากเตียง เปลี่ยนเป็นกึ่งนอนกึ่งนั่งโดยซ้อนหมอนไว้กับหัวเตียงเป็นที่พักหลัง รออยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนที่ประตูห้องนอนจะถูกผลักเปิดเข้ามา
ผู้มาเยือนเป็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดนอนกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน เธอส่งยิ้มละไมมาให้ชายหนุ่มเจ้าของห้องพร้อมพูดว่า "คืนนี้ขอนอนด้วยคนนะ"
ชายหนุ่มเหลือบตามองหมอนใบโตที่หญิงสาวกอดไว้แนบอกก่อนแค่นเสียง "นี่คือไม่เตรียมใจมารับคำปฏิเสธเลยเหรอ"
หญิงสาวหัวเราะ สาวเท้าตรงมาวางหมอนไว้บนเตียง ก่อนที่จะถือวิสาสะเคลื่อนตัวขึ้นไปแนบชิดกับชายหนุ่ม "ฉันพยายามข่มตานอนแล้วจริง ๆ นะ" เธอทำเสียงกระเง้ากระงอดแก้ตัว "น่านะ แค่คืนเดียวเอง รับรองว่าไม่ได้คิดจะรบกวนนายไปตลอดหรอก"
ชายหนุ่มถอนหายใจ แต่ก็ไม่คิดโต้เถียงอีก เขาขยับร่างกลับลงไปอยู่ในท่านอน เหลือบตาไปสำรวจหญิงสาวข้างกายให้แน่ใจว่าเธอเองก็อยู่ใต้ผ้าห่มแล้วจึงค่อยเอื้อมมือไปดับไฟ ห้องนอนพลันกลับมาอยู่ในความมืดอีกครั้ง
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ทันพลิกตัวตะแคง มือของเขาก็ถูกมือน้อยสอดเข้ามาเกาะกุมไว้ ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะชักมือออก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบว่า "นอนเฉยๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่เธอให้ไปนอนที่โซฟา"
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก เอ่ยตอบกลับมาท่ามกลางความมืดว่า "นายไม่ทำหรอก"
"เธออย่ากวนโมโหฉันสิ" น้ำเสียงของชายหนุ่มเริ่มเจือโทสะบ้างแล้ว "พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นเช้า เข้าใจไหม คืนนี้ฉันยังพาเธอออกไปเที่ยวเล่นไม่สมใจอีกเหรอ ขอให้ฉันได้นอนสักสี่ห้าชั่วโมงก็ยังดี"
"ก็ได้" หญิงสาวตอบกลับมา ก่อนที่จะค่อยลดเสียงลงจนเกือบเป็นกระซิบ "แต่ฉันมีบางอย่างที่อยากจะบอกให้นายรู้"
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่าย เมื่อทราบดังนั้นหญิงสาวก็แค่นเสียง พลิกตัวตามจนหน้าอกของเธอแนบชิดเข้ากับแผ่นหลังของเขา
ชายหนุ่มสะดุ้งตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสนั้นในขณะที่หญิงสาวได้แต่หัวเราะคิก "ก็นี่แหละที่จะบอก" เธอคว้าเอาข้อมือของเขามาวางไว้บนช่วงเอวของเธอ ก่อนที่จะขืนขยับมือนั้นไล่ลงไปตามส่วนเว้านั้นอย่างช้าๆ "ข้างล่างนี่ก็ไม่ได้ใส่อะไรไว้เหมือนกัน"
โคมไฟพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหันกลับมาหาหญิงสาวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์จนเกินระงับ "ไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ไม่งั้นก็ไปนอนที่โซฟา"
ไม่ได้มีเค้าของความกลัวอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เธอยังยกมุมปากขึ้นยิ้ม เอ่ยยั่วเย้าว่า "ใส่ให้หน่อยสิ จะเป็นเสื้อผ้าหรืออะไรก็ได้"
มาลงชื่อว่าอยากอ่านไอ้โอมต่อ
นิยายพีค ๆ เรื่องนี้ก็มีอยู่จริงวะ https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1897710&chapter=1 คนเขียนแม่งสกิลบ้าขั้นเข้า รพ
มาลงชื่อรออ่านไอ้โอม
เรื่องไอ้โอม
ความเดิมตอนที่แล้ว (ตัดบางส่วนออกให้เรื่องไปต่อได้) : โอมกำลังจะไปเรียนต่อที่อเมริกา เขามารับลูกสาวของเพื่อนแม่จากผับไปส่งที่บ้าน แต่ระหว่างที่โอมกำลังขับรถกลับบ้านนั้น รถของเขาก็เกิดคว่ำแล้วโอมก็ถูกส่งไปยังต่างโลก อาณาจักรที่โอมถูกส่งไปนั้นชื่ออาณาจักรไบลี่ย์ เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้กล้าเพื่อปราบจอมมาร ณ ที่นั้น โอมได้เจอกับเจ้าหญิงสายซึนนามว่าทีราเลนเซีย ฟราดิก้า เอสเปอร์รัญญ่า โอมโวยวายและกวนตีนเจ้าหญิง ทำให้เขาถูกจับไปขังคุกใต้ดิน แต่ด้วยความช่วยเหลือของแม่หมอเมย์ลิน ทำให้โอมหลุดออกมาจากคุกใต้ดินได้ แต่ก็ยังกวนตีนเจ้าหญิงเหมือนเดิม
เรื่องกลายเป็นว่า ความจริงแล้วโอมไม่ใช่ผู้กล้าที่จะต้องไปปราบจอมมาร แต่โอมเป็นคนที่จะต้องยัดเยียดความเป็นผัวให้กับเจ้าหญิงทีราเลนเซียเพื่อที่จะปั้มลูกออกมา 7 คน เพื่อไปปราบจอมมารตามคำทำนาย ในระหว่างที่ทุกคนกำลังอึ้งอยู่นั้น เจ้าชายเทราเลนเซ่ซึ่งเป็นน้องชายของเจ้าหญิงทีราเลนเซียก็ปรากฎตัวออกมาแล้วเริ่มเหยียดไอ้โอมว่าเป็นคนชั้นต่ำและเอามันไปขังคุก ในคุก โอมถูกอัศวินขาวนามว่าพัลพาทีนซึ่งหลงรักเจ้าหญิงอยู่บุกเข้ามาซ้อม แต่โชคยังดีที่เจ้าหญิงเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ด้วยความกวนตีนและหมั่นไส้พัลพาทีน ไอ้โอมก็เลยดูดปากเจ้าหญิงโชว์ไปทีนึงเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแบบเดียวกับหมาเยี่ยวรดเสาไฟ
ในโลกปัจจุบัน เอมกำลังช็อกกับข่าวที่ว่าโอมรถคว่ำตาย แต่ในคืนนั้นเอง ก็มีคนแปลกหน้าบุกเข้ามา เรียกหาเอมว่าเป็นชิ้นส่วนแห่งประตู แล้วลักพาตัวเอมข้ามมิติไปหาจอมมาร
โอมถูกเจ้าหญิงจับขังไว้ในห้องเก็บไม้กวาด ระหว่างที่เขากำลังหัวเสียอยู่นั้น จอมมารก็พลันปรากฎตัวขึ้นในห้อง ความจริงแล้วจอมมารเป็นสาวสวยน่ารักอ่อนหวาน จอมมารมอบแหวนไข่มุกให้โอม โดยบอกว่าแหวนวงนี้มีความสามารถในการลอกเลียนเวทมนตร์ของคนอื่น ในวันรุ่งขึ้น โอมก็เข้าพิธีแต่งงานกับเจ้าหญิง คราวนี้โอมระวังตัวอยู่ก่อนเลยจัดการเจ้าหญิงก่อนที่จะถูกเจ้าหญิงจัดการ โอมทำเหมือนจะเยสเจ้าหญิงแต่ก็ไม่เยส ทำให้เจ้าหญิงฉวยโอกาสหลบหนีออกจากห้องหอไปหาน้องชาย ในห้องของเจ้าชายทีราเลนเซ่ เจ้าชายกำลังสนทนากับเมย์ลินอยู่ถึงเรื่องสงครามกับออร์ค และบอกว่าจะรีบจัดกองทัพเรือไปปราบออร์ค
โอมมารู้ความจริงว่าเรื่องสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจนั้นความจริงเป็นเรื่องแหกตาที่พวกเทพใช้พนันกันสนุกๆ สรุปก็คือ ฝ่ายปีศาจ (จอมมาร) ต้องการให้โอมชักชวนมนุษย์ให้ร่วมมือกันบุกสวรรค์ แต่พอพวกเทพรู้เข้าก็กลัวโดนกระทืบ ก็เลยส่งทูตสวรรค์ลงมาหาโอม บอกว่าจะบัฟพลังให้โอม+ส่งกองทัพสวรรค์มาช่วยปราบปีศาจ โอมบอกว่ากูไม่เอาอะไรทั้งนั้น กูจะกลับบ้าน แต่ทั้งจอมมารและจอมสวรรค์ก็ไม่ยอมให้โอมกลับบ้าน เพราะกลัวว่าคดีจะพลิก
จากนั้นโอมกับเจ้าหญิงก็กุ๊กกิ๊กๆ กัน ไอ้เจ้าชายก็เข้ามาเหยียดว่าโอมเป็นพวกชั้นต่ำอีก แล้วก็ท้าให้ไอ้โอมเข้าแข่งในงานประลองยุทธ์ที่กำลังจะมาถึง แต่ก่อนที่จะเริ่มงานประลอง ก็จะมีอีเวนท์ที่ราชาแห่งอาณาจักรไบลี่ย์เดินทางกลับมายังอาณาจักร โอมต้องฝึกหัดพิธีการต่างๆ เพื่อต้อนรับราชา โดยมีเมย์ลินเป็นครูสอน อ้อ ความจริงแล้วเมย์ลินก็เป็นเทพองค์หนึ่งที่จำแลงกายลงมา
เรื่องถึงตรงนี้ ขออนุญาตตัดไอ้โลกระเบิดกับส่งตัวนักเขียนข้ามมิติออกนะ เดี๋ยวค่ำๆ ถ้าอารมณ์มันได้จะมาเขียนต่อ
ทีราเลนเซียหลับไปแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงผู้นั้นจะรู้สึกดีกับโอมมากขึ้น แต่เธอก็ยังไม่สนิทใจมากพอที่จะนอนร่วมเตียงกัน ร่างบางถูกม้วนอยู่อยู่ใต้ผ้านวมหนาหนัก หากโอมคิดจะขืนใจนาง ก็เกรงว่าคงต้องออกแรงไม่ใช่น้อยกว่าจะแกะเอาร่างในห่อผ้านั้นออกมาได้
แต่เรื่องล่วงเกินสตรีนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของโอมแม้เพียงสักนิด แม้แสงไฟในห้องนอนจะถูกดับลงจนหมดแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่เข้านอน เขานั่งจิบน้ำชาอยู่บนขอบหน้าต่าง ปล่อยให้แสงจันทร์บนฟากฟ้าสาดส่องแสงลงมากระทบร่าง เผยให้เห็นใบหน้าอมทุกข์นั้นอย่างชัดเจน
ความทุกข์นั้นเห็นจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากความคิดถึงบ้าน แน่นอนว่าโอมไม่ใช่ลูกแหง่ และเตรียมพร้อมที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศมานานแล้ว แต่การไปอเมริกากับการถูกส่งมาต่างโลกนั้นเป็นคนละเรื่องกัน อยู่ที่นี่เขาใช่สามารถโทรศัพท์พูดคุยกับคนที่บ้านได้เสียเมื่อไหร่
ในขณะที่โอมกำลังนั่งทอดอาลัยอยู่นั้น ก็พลันเกิดแสงสีทองสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้า พุ่งตรงลงมาหยุดเป็นลูกไฟสีทองตรงหน้าของชายหนุ่ม ก่อนที่ลูกไฟจะพลันแปรสภาพเป็นเทพบุตรรูปหล่อผู้หนึ่งที่มีปีกสีทองสี่ปีกอยู่บนหลัง "สายัณห์สวัสดิ์ขอรับ ท่านผู้กล้า" เทพบุตรพูด
โอมไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เขาเพียงแต่กวาดตามองร่างที่ลอยอยู่กลางอาศัยนั้นครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบว่า "อ้อ นายเป็นเทพคนละตัวกับที่มาคราวก่อนสินะ"
เทพบุตรสะดุ้ง ก่อนที่จะหัวเราะแห้งๆ เอ่ยกลับมาว่า "เทพอย่างพวกเรามีลักษณะนามเป็นตนขอรับ ฟังท่านผู้กล้าเรียกเป็นตัว นึกว่าเรียกหมูเรียกหมา"
โอมยักไหล่ ถามกลับไปอย่างไม่อ้อมค้อมว่า "ท่านเจ้าสวรรค์มีข่าวอะไรถึงฉันงั้นเหรอ"
เทพบุตรไม่ชักช้า รีบกล่าวเข้าเรื่องว่า "ท่านเจ้าสวรรค์ทราบข่าวที่ท่านผู้กล้าจะต้องเข้าประลอง จึงได้มอบพลังให้กับท่านผู้กล้า รับรองว่าไม่มีใครหน้าไหนเอาชนะท่านได้แน่นอนขอรับ"
ไม่พูดเปล่า เทพบุตรผู้นั้นยังกางมือออก ปล่อยแสงสีทองวาบเข้าใส่หน้าของโอม ทันใดนั้น โอมก็รู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่กำลังวิ่งไปทั่วร่างกายจนอดไม่ได้ที่จะต้องเปลี่ยนมาอยู่ในท่ายืน ก้มลงสำรวจตัวเองให้ทั่วทั้งตัว
ลักษณะภายนอกนั้นแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เว้นแต่เพียงรอยสักรูปกงจักรที่หลังมือซ้ายเท่านั้น โอมจ้องมองรอยสักที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่นั้นอย่างสนใจ ก่อนที่จะทดลองใช้นิ้วมือแต่สัมผัสดู
เกิดแสงสว่างวาบขึ้นทันที ก่อนที่มันจะรวมตัวกันกลายเป็นจอภาพปรากฏขึ้นกลางอากาศ
หน้าต่างสถานะ
ชื่อ : โอม
อาชีพ : ผู้กล้า
ระดับ : 999/999
สกิล : (เจ้าแห่งศาสตรา - สามารถใช้อาวุธทุกชนิดได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนพ่อเคยสอนที่ฮาวาย) (กายาเหล็ก - ผิวหนังสามารถทนทานการโจมตีทุกชนิดได้) (ฝีเท้าอาชา - สามารถวิ่งได้เร็วและอึดทนเหมือนม้าดี) (ผู้มีเมตตา - เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลาย สามารถสั่งให้สัตว์ทำอะไรก็ได้) (ผู้รอบรู้พิษ - ไม่มีพิษชนิดไหนสามารถทำอันตรายได้) (ลำแสงแห่งเทพ - สามารถใช้พลังเยียวยารักษาผู้อื่นได้)
หลังจากอ่านข้อความทั้งหมดจบ โอมก็อ้าปากค้าง เงยหน้าขึ้นไปถามเทพบุตรที่ลอยตัวยิ้มแป้นอยู่ว่า "ของพวกนี้คงไม่ได้ให้ฉันฟรีๆ หรอกนะ"
เทพบุตรตอบว่า "ท่านเจ้าสวรรค์มีเมตตา มอบพลังนี้ให้กับท่านผู้กล้าโดยไม่มีข้อเรียกร้องใด เพียงแต่พลังพวกนี้จะอยู่ได้แค่สามสิบวันเท่านั้น หากท่านผู้กล้าอยากให้พลังนี้คงทนถาวร ก็ต้อง..."
โอมเอ่ยขัดขึ้นว่า "ก็ต้องเข้าร่วมกับพวกนาย ยอมต่อสู้ปราบจอมมารสินะ"
เทพบุตรยิ้มเป็นคำตอบ โอมเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ กล่าวเสริมไปว่า "ก็ได้ งั้นฉันจะทดลองพลังพวกนี้ดูก่อน ถ้าหากมันดีจริง ฉันก็จะเอาข้อเสนอนั้นมาพิจารณาดูอีกที"
เทพบุตรฟังคำแล้วก็กล่าวลา เปลี่ยนรูปกลายเป็นแสงหายลับไป แต่ก่อนที่โอมจะทันได้ทำอะไรอื่น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังแห่งความมืดที่ปรากฏขึ้นด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็เห็นเป็นจอมมารที่ยืนส่งยิ้มหวานให้เขาอยู่
"เป็นไง นัวร์" โอมทักทายยิ้มๆ "มาได้จังหวะพอดีเลยนะ"
นัวร์ยิ้ม ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า "ความจริงข้ามานานแล้ว เพียงแต่เห็นท่านผู้กล้าสนทนากับเทพตนนั้นอยู่ จึงไม่อยากขัดจังหวะ"
โอมหัวเราะเบา ๆ เหลือบสายตาไปมองเจ้าหญิงบนเตียงว่ายังหลับดีอยู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นต่อว่า "ก็แปลว่าเธอรู้แล้วใช่ไหม ของขวัญที่พวกเทพมันเสนอให้ฉันน่ะ"
นัวร์พยักหน้า "พวกโง่เขลานั่นทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว" จอมมารกล่าว "พลังที่พวกมันมอบให้ท่านผู้กล้ามีอำนาจมากพอที่จะทำลายสวรรค์ได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ"
โอมสั่นศีรษะน้อยๆ "ก็ไม่เชิงหรอกนะ พลังที่ได้มาใช้ได้แค่สามสิบวันเท่านั้นเอง ลำพังเวลาแค่นี้ไม่มากพอที่จะให้ฉันบุกขึ้นไปบนสวรรค์แล้วจัดการพวกมันหรอก"
นัวร์เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง เธอสะบัดมือครั้งหนึ่ง ปรากฏกระดาษปึกหนึ่งขึ้นมาจากอากาศธาตุ "ท่านผู้กล้าโปรดรับเอกสารพวกนี้ไป" จอมมารกล่าว "ขอแค่ทำตามขั้นตอนใน readme.txt รับรองว่าพลังพวกนั้นจะสามารถใช้ได้อย่างถาวรแน่นอน"
อะไรคือ readme.txt วะ เหมือนไฟล์ที่แถมมากับโปรมเถื่อนหรอ 55555
ต่อๆ อยากอ่านต่อ555
ณ ปราสาทแห่งหนึ่งใต้พื้นโลก ที่ๆแสงของพระเจ้าไม่อาจส่องถึง
เอมิกาลืมตาขึ้นมาอยู่ในห้องมืด ตอนนี้เธอสะอาดเอี่ยมอยู่ในชุดจีบระบายหยั่งกับตุ๊กตา ตัวฟุ้งไปด้วยกลิ่นดอกไม้ที่ช่วยผ่อนคลายเหมือนกลิ่นกำยานรอบๆตัวเธอ
เอาจริงๆห้องนี้ก็ไม่ได้มืดนัก ออกจะสลัวๆเพราะแสงเทียนที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ ร่างอ่อนช้อยของคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ กำลังจรดปากกาขนนกลงบนม้วนกระดาษมากมาย เธองดงามราวภาพวาด
เอมิกาลุกขึ้นนั่งบนเตียง พยามมองรำรวจไปทั่วห้อง การเคลื่อนไหวเพียงนิดหน่อยไม่รอดพ้นจากสัมผัสของอีกคนที่อยู่ในห้อง
“ตื่นแล้วรึ” จอมมารกล่าว ในขณะที่เอมิกาสดุ้งสุดตัว
“ที่นี่ที่ไหน” เธอสับสนมึนงงใหนจะเรื่องฝันบ้าๆนั้นอีก
“ปราสาทสีดำแห่งมหานรกอันมืดมิด” จอมมารตอเสียงเรียบ สายตายังไม่ละจากกองกระดาษตรงหน้า คำตอบของจอมมารไม่ช่วยอะไรเอมิกาเลยสักนิด เธอจึงถามต่อ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ชิ้นส่วนของประตูหมายถึงอะไร”
“...” สิ่งตอบกลับมาคือความเงียบ เธอถามจอมมารอีกสองสามคำถาม แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา เธอจึงหยุดถาม ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
นี่มันความซวยแบบไหนของเธอกัน เอมิกาคิดว่าจะไม่มีอะไรเศร้ากว่าการที่โอมต้องจากเธอไปอเมริกา แต่แล้วก็เกิดอุบัติเหตุกับเขาหลังจากมาส่งเธอที่บ้าน แล้วก็มีชายบ้าๆพาเธอมาที่ไหนก็ไม่รู้
น้ำตาเม็ดใสหยดเผาะลงบนเตียง เธอคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงโอม เธอเริ่มสะอื้น หมดมาดหญิงแก่นแก้ว
เป็นครั้งแรกที่มือของจอมมารหยุด สายตาคมเหลือบมองเอมิกา
“น้ำตาไม่ช่วยแก้ไขอะไรหรอกนะ” จอมมารวางปากกา และหันตัวเข้าหาเอมิกา กล่าวเสียงนุ่มนวล “มานี่สิ เด็กน้อยผู้ซื่อสัตย์ของข้า”
เอมิกาทำตามคำสั่งของจอมมาร คลานลงจากเตียงแหวกผ่านผ้าคลุมหลายชั้น เธอซุกเข้าไปในอ้อมแขนของจอมมาร เธอไม่รู้สึกต่อต้านจอมมารเลยซักนิด
“เศร้าไปใย เอมิกาไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเจ้าเสียหน่อย” มือจอมมารลูบปลอบแผ่วเบา “ตัวตนของเจ้าคือข้ารับใช้แสนซื่อสัตย์ ของจอมมารผู้ชั่วช้าต่างหาก”
อ้อมกอดจอมมารให้ความรู้สึกเหมือนพี่สาวใจดี แต่เอมไม่มีพี่สาว เธอเป็นลูกคนเดียว กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวจอมมารทำให้เธอผ่อนคลายลงมากจนง่วนหลับไปทั้งอย่างนั้น
สายตาจอมมารที่มีเอมิกาอยู่ในอ้อมกอด จ้องมองไปยังเปลวเทียนอย่างว่างปล่าว นัยน์ตานั้นปราศจากแสงสว่าง
“อีกไม่นานหรอกนะ เอโรเม่”
สวัสดีกูโม่งมือใหม่ มาหัดสกิลการเขียนกากๆ
แสงอาทิตย์ส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามาปลุกให้เจ้าหญิงในห่อผ้าตื่นขึ้น ทีราเลนเซียกระพริบตาถี่ๆ ก่อนที่จะก้มลงสำรวจร่างกายของตนเองว่าไม่มีส่วนไหนบุบสลาย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างยังอยู่ดีอย่างที่ควรจะเป็น เธอก็ค่อยหันหน้าไปสำรวจชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่ข้างกาย
เจ้าหญิงอดอมยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าพระสวามีจำเป็นของเธอกำลังนอนอ้าปากอยู่ เห็นดังนั้นทีราเลนเซียก็นึกสนุก แกะตัวเองออกจากผ้าห่ม ถอนผมสีทองยาวสลวยของตนออกมาเส้นหนึ่งหมายใช้แหย่ลงไปในลำคอของอีกฝ่าย
แต่ก่อนที่โฉมงามจะได้กระทำดั่งใจหมาย คนที่นอนอ้าปากค้างอยู่ก็พลันลืมตาตื่นขึ้น เห็นเป็นภาพของเจ้าหญิงที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกาย ร่างท่อนบนชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ โอมหัวเราะเบาๆ กล่าวยั่วไปว่า "ยอดรักคิดจะมาขโมยจูบข้าหรือ"
"เจ้าจะบ้ารึไง" ทีราเลนเซียร้องแหวออกมาทันที "คนอะไร... จิตใจสกปรกนัก"
โอมหัวเราะ ก่อนที่จะขมวดคิ้วกลืนน้ำลาย บ่นพึมพำว่าระคายคอ ได้ยินดังนั้นเจ้าหญิงคนงามก็เหยียดยิ้ม เอ่ยปากตอบโต้ไปว่า "นั่นเป็นเพราะเจ้านอนอ้าปากอย่างไรเล่า ฮึ ข้าอุตส่าห์หวังดีจะช่วยปิดปากให้ กลับต้องมาถูกคนชั่วช้าอย่างเจ้าตีความไปในทางสกปรก"
ชายหนุ่มหัวเราะหึเบาๆ โดยไม่โต้เถียงต่อ ก่อนที่จะร้องตะโกนขึ้นว่า "มีใครอยู่ที่ข้างนอกรึเปล่า เข้ามานี่หน่อย"
เจ้าหญิงร้องว่าตนเองแต่งตัวไม่เรียบร้อย แต่โอมหาได้สนใจไม่ ในอีกครึ่งอึดใจถัดมาทหารองครักษ์นายหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น กล่าวอย่างสุภาพว่า "เจ้าชายมีอันใดให้กระหม่อมรับใช้ขอรับ"
"ช่วยไปบอกให้คนยกอาหารเช้าขึ้นมาหน่อยสิ ข้ากับเจ้าหญิงจะรับประทานที่นี่" โอมสั่ง "บอกให้ยกมาเร็วๆ ด้วยนะ เจ้าหญิงหิวแล้ว"
ทีราเลนเซียเบิกตากว้าง หากเธอไม่ได้ถูกอบรมมาอย่างเข้มงวดล่ะก็คงได้ร้องโวยวายขัดคำออกมาแล้ว ด้านทหารองครักษ์ผู้นั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่คิดที่จะถามซักไซ้ให้มากความ ได้แต่รับคำแล้วหันหลังออกไปกระทำการ
ไม่นานอาหารคาวหวานก็ถูกยกมาจัดวาง โอมไล่บ่าวรับใช้ออกไปจากห้องจนหมดเหลือเพียงแต่คู่รักเฉพาะกิจ เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว เจ้าหญิงก็เอ่ยถามขึ้นว่า "วันนี้มาแปลก ทำไมถึงไม่ลงไปกินมื้อเช้าที่ด้านล่างล่ะ"
โอมยิ้มน้อยๆ ออกมา "เพราะข้ามีบางอย่างจะแสดงให้ยอดรักได้รับชมน่ะสิ"
พอพูดจบ ชายหนุ่มก็ผิวปากเป็นจังหวะครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเอง นกสีฟ้าตัวน้อยนับสิบตัวก็โผบินผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เมื่อโอมผิวปากอีกครั้งพร้อมยื่นแขนออกมา ฝูงนกก็บินลงมาเกาะที่แขนของเขาราวกับใช้เวทมนตร์
ทีราเลนเซียเห็นดังนั้นก็ตื่นเต้นไม่ใช่น้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าทะเล้นของชายหนุ่มตรงหน้าโฉมงามก็ต้องเปลี่ยนมาทำหน้าบึ้ง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจนักว่า "เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร"
โอมหัวเราะ ผิวปากอีกครั้ง คราวนี้ฝูงนกพากันกางปีกบินวนรอบศีรษะของเจ้าหญิงราวกับเป็นวงแหวนเทพวงหนึ่ง "ก็ข้าเป็นผู้กล้านี่นา เรื่องแค่นี้น่ะของหมู่ๆ"
"ป๊ะป๋า"
"นี่... ป๊ะป๋า"
"ป๊ะ... ป๋าาา"
ชายหนุ่มสะดุ้งออกจากภวังค์คิด เขาลืมตาขึ้น เห็นเป็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มกำลังลืมตากลมกว้างนอนทับอยู่บนแผงอกของเขา หากเป็นผู้อื่น แค่เพียงได้สัมผัสแนบชิดกับร่างกายนุ่มลื่นบอบบางของเจ้าหล่อนก็คงทำให้กำลังขวัญกระเจิงหายไปแล้ว
แต่ไม่ใช่สำหรับคนผู้นี้ การที่ร่างเปลือยเปล่ากำลังบดทับกันอยู่นั้นไม่ได้ทำให้ส่วนล่างของชายหนุ่มเกิดปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาแม้แต่เพียงน้อย เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ ตอบกลับไปพร้อมพูดว่า "มีอะไรเหรอ ตัวเล็ก"
คนตัวเล็กยิ้ม ดวงตาของเธอหยีเล็กลง แต่ก็ปรากฏลักยิ้มน่ารักขึ้นที่มุมปากทั้งสองข้าง "ป๊ะป๋าคิดอะไรอยู่เหรอ หนูเรียกตั้งนานกว่าจะตอบ"
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะของหญิงสาว "ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย" เขาตอบ "คิดว่าเธอหลับไปแล้ว"
หญิงสาวยอมให้อีกฝ่ายลูบศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแนบแก้มลงที่ตำแหน่งหัวใจของเขา "หัวใจป๊ะป๋าก็เต้นปกตินะ" เธอพูด "ที่ทำงานมีอะไรเครียดรึเปล่า"
ชายหนุ่มตอบกลับว่าไม่ใช่เรื่องงาน เสริมย้ำว่าหญิงสาวควรรีบเข้านอนได้แล้ว แต่คนตัวเล็กไม่คิดฟังในสิ่งที่พูด เธอเพียงแต่ใช้ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับร่าง มุดกายลงไปใต้ผ้าห่ม
เป็นชายหนุ่มที่คว้าจับหัวไหล่ของฝ่ายนั้นเอาไว้ ออกกำลังแขนเล็กน้อยเพื่อดึงร่างของเจ้าหล่อนให้กลับขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงสายตาของเขาตามเดิม ดุว่า "ทำอะไร ก็บอกว่าไม่ได้เครียดจริงๆ"
"ไม่เชื่ออะ" หญิงสาวตอบ ใช้สายตาคาดคั้นจ้องมองคนตรงหน้า "หนูสงสัยอะ ป๊ะป๋า บอกหนูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น"
ชายหนุ่มยังไม่ยอมปริปาก เห็นดังนั้นหญิงสาวก็ส่งเสียงอดอ้อนอีก ทนอยู่ได้ไม่กี่อึดใจ คนตัวใหญ่กว่าก็ต้องสั่นศีรษะ ตัดใจพูดออกมาว่า "เมื่อตอนบ่ายฉันไปหาเจ้าหญิงน้อยมา เขาบอกว่า... เขาบอกว่าเขาชอบให้ฉันกอด มากกว่าตอนที่มีเซ็กส์กัน"
พอได้ยินชื่อ 'เจ้าหญิงน้อย' หญิงสาวก็ต้องเผยสีหน้าบึ้งตึง แต่เมื่อฟังความจนจบ เธอก็หลุดหัวเราะออกมา ใช้มือทั้งสองข้างพยายามโอบไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมพูด "หนูก็ชอบให้ป๊ะป๋ากอดมากกว่านะ"
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว "พูดจริงเหรอ" เขาพูดพร้อมส่ายศีรษะน้อยๆ "ไม่คิดเลยว่าเซ็กส์ฉันจะห่วยขนาดนั้น"
หญิงสาวหัวเราะ จุมพิตเบาๆ เข้าที่ริมฝีปากของชายหนุ่มครั้งหนึ่งก่อนพูดว่า "ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย"
ชายหนุ่มเลิกคิ้วอีก ถามกลับว่าหมายความว่าอย่างไร แต่หญิงสาวทำเป็นบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ ร้องว่าต้องให้อีกฝ่ายจุมพิตตอบก่อน ได้ยินดังนั้นคนตัวใหญ่ก็แยกเขี้ยว ยกมือขึ้นบีบจมูกของคนตัวเล็กจนฝ่ายนั้นร้องโอย สะบัดมือไม้ปัดป้อง เปลี่ยนจากท่านอนกลายเป็นนั่งคร่อมอยู่บนแผงหน้าท้องของเขาแทน
หญิงสาวร้องว่าเจ็บ ในขณะที่ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มกว้างถามไปว่า "จะตอบได้รึยัง"
คนตัวเล็กมองค้อน "ไม่ตอบหรอก ปล่อยให้ป๊ะป๋างงไปน่ะดีแล้ว" ไม่พูดเปล่า เธอยังพลิกตัวลงไปบนฟูก นอนหันหลังให้แถมยังดึงเอาผ้าห่มที่ชายหนุ่มใช้คลุมร่างเปลือยไว้ไปครองแต่เพียงผู้เดียว "หนูนอนแล้วดีกว่า"
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ใช้หลังมือสะบัดตีบั้นท้ายของหญิงสาวเบาๆ "อย่าทำเป็นงอนไปหน่อยเลย ฉันรู้ว่าเธอนอนไม่หลับหรอก"
หญิงสาวยังไม่ยอมขยับตัว เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงขยับกลับลงไปนอนตะแคงข้างโอบกอด ใช้แผงอกของเขาแนบชิดกับแผ่นหลังของเจ้าหล่อนโดยมีเพียงผ้าห่มที่คั่นร่างทั้งสองเอาไว้ "กอดแบบนี้น่ะเหรอ ที่ชอบน่ะ"
ในที่สุดคนตัวเล็กก็หัวเราะคิกออกมา เจ้าหล่อนพลิกร่างกลับมาประจันหน้ากับชายหนุ่มพร้อมพูดว่า "แบบนี้ล่ะที่ชอบ"
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงสั่งให้พูดต่อ เห็นดังนั้นหญิงสาวจึงเอ่ยต่อไปว่า "ก็ไม่ใช่ว่าเซ็กส์ของป๊ะป๋าจะห่วยหรอกนะ แต่เซ็กส์น่ะแค่เสร็จก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คือปฏิสัมพันธ์แบบนี้ต่างหาก"
ชายหนุ่มยิ้มออกมา ถามว่า "ฉันก็กอดเธอหลังจากมีเซ็กส์ทุกครั้งไม่ใช่เหรอ หรือว่าเธอเคยไม่เสร็จด้วย"
หญิงสาวหัวเราะ กอดตอบอีกฝ่ายบ้าง "ก็หนูถึงได้บอกว่าชอบกอดมากกว่าไง" เธอพูด ซุกใบหน้าลงกับแผงอกแกร่ง "เซ็กส์น่ะแค่สัปดาห์ละครั้งสองครั้งก็ได้ แต่หนูอยากจะให้ป๊ะป๋ากอดนอนทุกคืนนะ"
ชายหนุ่มสั่นศีรษะ หัวเราะเบาๆ อีกครั้งหนึ่งขณะขยับแขนให้อ้อมกอดนั้นกระชับขึ้น "ถ้าอย่างนั้นก็อย่านอนดิ้นให้มันมากก็แล้วกัน"
หญิงสาวยิ้ม แนบแก้มลงไปบนแผงอกของชายหนุ่มราวกับต้องการให้ใบหน้าชำแรกเข้าไปในนั้น "หนูรักป๊ะป๋านะคะ"
หลับตาลงเถอะคนดี...ปล่อยให้คืนนี้ผ่านพ้นไป
เมื่อเธอตื่นมาพบกับเช้าวันใหม่...ขอให้วันนั้นเป็นวันที่สวยงาม...
เสียงหวูดร้องดังลั่นพร้อมกับร่างเล็กในอ้อมกอดของฉันที่กระตุกตาม เธอตื่นเสียแล้วน้องสาวตัวน้อยของฉัน เธอใช้เวลาเพียงไม่นานในการฟื้นคืนจากโลกนิทรา ดวงตาสีม่วงเข้มสมชื่อไลแลคจ้องมองฉันด้วยความงุนงง ริมฝีปากบางขยับขึ้นคล้ายจะเอ่ยถาม แต่ฉันใช้ปลายนิ้วชี้แตะมันอย่างแผ่วเบา ส่งสัญญาณให้เธอรู้ว่าเธอควรจะเงียบเสียงเอาไว้ มือเล็กจับลงบนข้อศอกของฉัน เธอคงต้องการที่พักพิง..ซึ่งตอนนี้ไม่เหลือใครแล้วนอกจากฉันเพียงคนเดียว
ฉันยกมือขึ้นแตะใบหน้ากลมอย่างแผ่วเบา ฝุ่นควันจับเป็นคราบเปื้อนเปรอะไปทั่วแก้มใส ไม่ต่างอะไรกับฉันเลยสักนิด แต่สิ่งที่เด็กหญิงตัวเล็กมีมากไปกว่าฉันคือความสดใสของวัยเยาว์ สำหรับฉันมันจางหายไปนานเหลือเกิน นานนับตั้งแต่วันที่เขาแยกพ่อและแม่ของเราออกไป
สองปีก่อนฉันยังมีความสุขภายใต้บ้านหลังเล็กกับพ่อผู้ขยันขันแข็ง แม่ผู้แสนดีและน้องสาวตัวเล็กผู้มีรอยยิ้มสดใสเกินใคร หากแต่ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วเกินคาด...พวกเขาก้าวเข้ามาในบ้านและประกาศว่าเด็กทั้งหญิงชายที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีจากครอบครัวที่ยากจนจำเป็นต้องเข้าไปอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ ฉันในวัยสิบสี่ปีและน้องสาวในวัยแปดปีถูกส่งเข้าเมืองหลวงก่อนได้บอกลาพ่อและแม่ด้วยซ้ำ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ฉันเฝ้าแต่บอกเธอว่าสักวันเราจะได้กลับไปหาพ่อแม่
แต่ฉันรู้ดี เราไม่มีวันได้กลับหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนั้นอีกแล้ว
ในตอนแรกฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจับเด็กอย่างฉันมารวมกันเพื่อประโยชน์อันใด เราถูกส่งไปยังโรงเรือนขนาดใหญ่ที่เป็นทั้งที่พักและโรงเรียน เขาเรียกสถานที่นี้ว่าผลึกเพชรตามชื่อโครงการ ในตอนเช้าเราต่างถูกฝึกและร่ำเรียนในหน่วยงานตามความถนัด ตกดึกจึงได้กลับไปยังห้องพัก ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่นั่นเป็นโชคอันดีแล้วที่ฉันกับน้องสาวยังอยู่ด้วยกันได้ในตอนกลางคืน เด็กชายคนหนึ่งบอกกับฉันว่าเขาถูกแยกกับพี่ชายและไม่เคยได้พบเจอกันอีกเลย
ที่โรงเรียนเขาบอกกับฉันว่าจำนวนเด็กในเมืองหลวงกำลังลดลงอย่างมหาศาล ทำให้รัฐบาลต้องเร่งสร้างแรงงานโดยการคัดเลือกเด็กจากพื้นที่ต่าง ๆ มาอบรมเพื่อกลายเป็นเด็กที่มีคุณภาพ พวกเขาเรียกโครงการนี้ว่าโครงการเจียระไนเพชร และเรียกพวกเราที่ยังไม่กลายเป็นเพชรเต็มตัวว่าสมาชิก
ไม่ใช่สมาชิกทุกคนที่สามารถกลายเป็นเพชรน้ำงามได้สมใจโครงการ ในกระบวนการคัดเลือกหน่วยงานเด็กหลายคนกลายเป็นเถ้าถ่าน เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนภาพเป็นเพชรได้...
"ไอริส...พี่ว่าพวกเขาจะตายไหม" เด็กหญิงกระซิบถามฉันอย่างแผ่วเบาจนแทบจับใจความไม่ได้ เธอรู้ตัวดีว่าหากเพิ่มเสียงดังอีกสักนิดอาจทำให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติพร้อมกับกระบอกปืนในมือหันกลับมาสนใจและเราสองคนพี่น้องคงกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของกระสุนปืน อาจเป็นโชคอันดีของเราก็ได้...ท่ามกลางเด็กที่ถูกกวาดต้อนมารวมกันในห้องโถง เจ้าหน้าที่คนใกล้ที่สุดเลือกจะสนใจเด็กหนุ่มผิวคล้ำที่ห่างออกไปมากกว่า
"พี่ไม่รู้...พี่หวังว่าพวกเขาจะปลอดภัย นอนต่อเถอะนะคนดี" ฉันลูบเส้นผมเนียนละเอียดของน้องสาว พยายามกล่อมให้เธอนอนหลับไปจนกว่าค่ำคืนนี้จะผ่านพ้นไป ฉันรู้ดีว่ามันยากเย็นขนาดไหนกับการข่มตานอนในคืนเช่นนี้...คืนที่เสียงดังสนั่นหวั่นไหวของปืนยังดังอยู่ภายนอก
กลุ่มคนรุ่นราวคราวเดียวกับฉันจากหน่วยงานสร้างสันติซึ่งรวบรวมเด็กชายหญิงผู้มีหัวด้านการต่อสู้พร้อมใจกันหนีออกจากผลึกเพชร พวกเขามีอาวุธอยู่ในมือ แม้ไม่ใช่ปืนอย่างที่ผู้พิทักษ์สันติใช้กัน แต่ดาบ ธนู มีดสั้นก็ทรงอานุภาพพอสำหรับการเข่นฆ่าชีวิตใครสักคนหนึ่ง...โดยเฉพาะด้วยฝีมือของพวกเราที่ฝึกมาเพื่อการนั้นโดยเฉพาะ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกชักชวนให้หนีไปในคืนนี้ หากฉันตัวคนเดียวเหมือนกับคนอื่น ๆ ฉันคงมีความกล้าพอที่จะเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขาแล้วหนีออกไป แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้...ฉันจะหนีรอดไปตัวคนเดียวโดยทิ้งน้องสาวไว้ในผลึกเพชรได้อย่างไร...ยิ่งตอนนี้เรามีกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น การพาไลแลคหนีไปด้วยยิ่งเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปใหญ่ น้องสาวไม่ได้อยู่ในหน่วยงานสร้างสันติอย่างฉัน เธอเป็นเพียงเด็กหญิงที่ยังไม่เข้าเกณฑ์เลือกหน่วยงานใดทั้งสิ้น จวบจนกว่าเธอจะอายุครบสิบสองปีและเข้ารับการคัดเลือกในอีกหลายปีข้างหน้า
ไลแลคซุกใบหน้าเล็กลงบนอกของฉัน ฉันขยับวงแขนกระชับรอบร่างกายของน้องสาวมากกว่าเดิม คืนนี้เป็นคืนที่เหน็บหนาว...ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกและหิมะที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ฉันไม่เคยนึกชอบฤดูหนาวเลยสักนิด มันทำให้ฉันหวนคิดถึงกองไฟที่พ่อก่อขึ้นบนเตาผิง แม่และฉันกำลังยกกาใส่น้ำนมแพะที่เรารีดเองเข้ามาวาง น้องสาวตัวเล็กของฉันนั่งร้องเพลงที่พ่อเคยสอนให้ด้วยน้ำเสียงเล็กใสของเธอ
ที่ผลึกเพชรไม่มีเตาผิง...ไม่มีกองไฟ...ไม่มีน้ำนมแพะ...ไม่มีพ่อและแม่...ไม่มีอะไรทั้งนั้น...
พวกเราได้รับความอบอุ่นจากเครื่องทำความร้อน ได้รับอาหารตามการจัดสรรจากนักโภชนาการและฝ่ายผลิตอาหาร...แต่มันไม่เพียงพอหรอกสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉันและน้องสาว หลายคืนเรากอดกันแน่นเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นที่ผลึกเพชรไม่มีวันมอบให้ หลายครั้งที่เราต้องใช้แขนเสื้อสีตุ่น ๆ เช็ดน้ำตาให้กัน ไลแลคคิดถึงบ้าน...เธอคิดถึงพ่อแม่ที่เธอเองก็แทบจำใบหน้าพวกเขาไม่ได้...
ที่ผลึกเพชรไม่มีเตาผิง...ไม่มีกองไฟ...ไม่มีน้ำนมแพะ...ไม่มีพ่อและแม่...ไม่มีอะไรทั้งนั้น...
พวกเราได้รับความอบอุ่นจากเครื่องทำความร้อน ได้รับอาหารตามการจัดสรรจากนักโภชนาการและฝ่ายผลิตอาหาร...แต่มันไม่เพียงพอหรอกสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉันและน้องสาว หลายคืนเรากอดกันแน่นเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นที่ผลึกเพชรไม่มีวันมอบให้ หลายครั้งที่เราต้องใช้แขนเสื้อสีตุ่น ๆ เช็ดน้ำตาให้กัน ไลแลคคิดถึงบ้าน...เธอคิดถึงพ่อแม่ที่เธอเองก็แทบจำใบหน้าพวกเขาไม่ได้
เสียงปืนหยุดลงเมื่อตอนฟ้าสาง ฉันหลับไม่ลงเลยสักนิด ใช้เวลาทั้งคืนในการกอดน้องสาวเอาไว้และภาวนาให้เธอหลับอย่างเป็นสุข ตอนนี้ทุกอย่างคงจบลงแล้ว ฉันไม่อยากคาดเดาว่าพวกเขาหนีการไล่ล่าไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่พวกเขาทำกับโครงการฯมันเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าจะคาดคิด เจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติพูดกันว่าทางรัฐบาลต้องลงมือจัดการอะไรบางอย่าง
"ขณะนี้เหตุการณ์สงบลงแล้ว เราสามารถกำจัดผู้ก่อความวุ่นวายและผู้หลบหนีได้ทั้งหมด ขอให้สมาชิกทุกคนมารวมตัวกันที่ลานอเนกประสงค์" ทีอาน่า สมิธ หัวหน้าผู้ดูแลผลึกเพชรประกาศผ่านทางลำโพงที่ติดอยู่โดยรอบ ฉันรู้ว่าเป็นเธอแม้ไม่ต้องเห็นหน้า เสียงของสมิธแหบแห้งและแข็งกระด้างเป็นเอกลักษณ์เหมือนกับดวงตาทั้งคู่
ฉันไม่ชอบสมิธและคิดว่าสมิธเองก็ไม่ชอบฉัน ที่ถูกต้องคือสมิธไม่เคยชอบใครเลยมากกว่า เธอไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง ฉันไม่เคยเห็นเธอยิ้มมาก่อน เรื่องเล็กน้อยสามารถทำให้เธอบูดบึ้งได้ตลอดเวลาและเรื่องใหญ่จะทำให้เธอรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ตัวอย่างเช่นเมื่อผลการทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยสร้างสันติไม่เป็นที่พอใจสำหรับรัฐบาล สมิธในใบหน้าโกรธเกรี้ยวบึ้งตึงจะสั่งให้พวกเรายืนเรียงแถวยาวในลานอเนกประสงค์ เธอใช้สันปืนพกฟาดลงบนแก้มของสมาชิกที่คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์...ฉันเองก็เคยโดนครั้งหนึ่ง ในช่วงปีแรกที่เข้ามาอยู่ในผลึกเพชร เธอบอกกับพวกเราว่าความกดดันจะทำให้แท่งถ่านกลายเป็นเพชรได้
ขบวนแถวถูกจัดตามหน่วยงานและอายุ ไลแลคถูกแยกไปอยู่กับกลุ่มเด็กที่ยังไม่ผ่านการคัดเลือก ส่วนฉันยืนอยู่ในแถวของหน่วยสร้างสันติ แถวของเราสั้นจนน่าใจหาย สมาชิกที่ผ่านการฝึกอย่างเข้มข้นจนเกือบจะกลายเป็นเพชรเหลืออยู่เพียงไม่ถึงสิบคน...และฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเราที่เหลืออยู่ตรงนี้ต่างเลือกที่จะไม่หนี บางคนมีน้องสาวหรือน้องชายในผลึกเพชร บางคนเลือกภักดีกับรัฐบาลเพื่อแลกอาหารและที่นอนมากกว่าการเผชิญโลกภายนอกที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรในตอนนี้
สมิธออกคำสั่งให้พวกเราขึ้นไปบนเวทีด้านหน้าของลานอเนกประสงค์ พร้อมกับการย้ายร่างไร้วิญญาณของอดีตสมาชิกหน่วยสร้างสันติมายังพื้นที่ว่างหน้าเวที ร่างที่เรียงรายอยู่ข้างล่างคือเพื่อนของฉัน...พวกเขาใช้ผ้าใบสีขาวในการห่อศพเหล่านั้นเอาไว้ เหลือเพียงใบหน้าที่โผล่พ้นออกมา ฉันพยายามอย่างมากที่จะกลั้นน้ำตา แต่ชาลิสที่ยืนอยู่ข้างฉันไม่เก่งขนาดนั้น เธอสะอื้นไห้พร้อมน้ำตาที่ไหลนองอาบแก้ม
ฉันที่ยังพอมีสติดีในตอนนี้รับหน้าที่ขานชื่อร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นเพื่อสำรวจว่ามีใครบ้างที่ยังรอดชีวิตอยู่ในผลึกเพชร ฉันรู้จักพวกเขาทุกคน ร่างกายสูงใหญ่ของซีซาร์เด่นสะดุดตาเกินใคร เหมือนกับเส้นผมหยักศกสีแดงเพลิงของจิงเจอร์ ใบหน้ากลมแป้นพร้อมรอยยิ้มกว้างของซู ผิวขาวซีดราวกระดาษของธีโอ แม้กระทั่งหัวหน้าหน่วยสร้างสันติอย่างคริสก็ยังนอนหมดลมหายใจอยู่ตรงนั้น
พวกเขาไม่เก็บใครเอาไว้สักคน...คนไหนที่ถูกจับกุมได้กลายเป็นศพนอนอยู่เบื้องหน้าของฉัน ชื่อที่คุ้นเคยลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ เหลืออีกเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นสำหรับอดีตเพื่อนร่วมหน่วยงาน ฉันกวาดตามองหาร่างของใครบางคนท่ามกลางร่างภายใต้ผ้าใบสีขาว...แต่ไม่มี...ไม่มีเขาในบรรดาศพเหล่านั้น
ไม่มีไทเลอร์...เขาหายไปไหน? หรือเขาหนีไปได้?
"มีอะไรหรือคุณอีแวนส์" สมิธเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก สายตาของเธอเพ่งมองลงมาคล้ายจะอ่านสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ ฉันสูดลมหายใจลึกก่อนบังคับน้ำเสียงสั่นเครือให้ตอบกลับไปโดยไม่ฉายแววพิรุธ
"ไม่มีอะไรค่ะคุณสมิธ ฉันเพียงจำนามสกุลของเขาไม่ได้เท่านั้น"
"เช่นนั้นคิดเสียว่าเขานามสกุลอะไร อย่าให้เราต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้" ฉันก้มหน้ารับคำสั่งของเธอ สมองพยายามประมวลผลอยากรวดเร็วก่อนตัดสินใจกล่าวชื่อหนึ่งออกไป
"ผู้ชายผมสีดำตรงนั้นคือไทเลอร์ รีดจ์ค่ะ..."
ไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาไม่ใช่ไทเลอร์ รีดจ์อย่างที่ฉันกล่าวอ้าง เด็กหนุ่มผมสีดำคนนั้นคือจอร์จ ดาวิส รูปร่างของเขาคล้ายคลึงกับไทเลอร์มากพอที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่าศพใบหน้ายับเยินคือเขา ความหวังลึก ๆ ก่อเกิดขึ้นในใจของฉัน ไทเลอร์เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน ตอนนี้เขาหนีไปแล้ว...หนีรอดไปจากผลึกเพชรแห่งนี้และจะไม่มีใครตามล่าเขาอีกต่อไป
พวกเขาจะตามหาตัวจอร์จ ดาวิสไม่ใช่ไทเลอร์ รีดจ์
ชื่อสุดท้ายหลุดออกจากริมฝีปากของฉัน มีสมาชิกหน่วยอีกสามคนที่สามารถหนีรอดไปได้ ตอนนี้หมดหน้าที่ของสมาชิกหน่วยสร้างสันติที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่สมิธยังคงให้เรายืนอยู่บนเวที ศพของผู้เสียชีวิตยังคงปล่อยวางไว้เช่นนั้น ฉันเหลือบมองเพื่อนในแถว...ทุกคนต่างร้องไห้และสติหลุดลอย การทำใจมองภาพเบื้องหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด การจากไปของเพื่อนสร้างความโศกเศร้าให้กับฉันคล้ายคนอื่น ๆ เพียงแต่ฉันยังเห็นแสงความหวังซึ่งมีชื่อว่าไทเลอร์
"เราทุกคนคงเห็น...การสูญเสียสมาชิกชั้นดีในวันนี้" สมิธก้าวขึ้นยืนบนแท่นโพเดียมกลางเวที เสียงแข็งกร้าวของเธอไม่ได้สอดแทรกซึ่งความอาลัยอาวรณ์เลยสักนิด
"เจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติต่างบาดเจ็บและล้มตายเพื่อปกป้องพวกเราเอาไว้ การก่อจลาจลและการพยายามหลบหนีของหน่วยสร้างสันติในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องน่าผิดหวังอย่างยิ่ง รัฐบาลต่างฟูมฟักสมาชิกทุกคนอย่างดีเพื่ออนาคตในวันข้างหน้าของประเทศชาติ...การกระทำของหน่วยสร้างสันติในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ ทุกคนในหน่วยสร้างสันติที่ยังเหลือรอดล้วนมีความผิดโทษฐานสร้างความเดือดร้อนภายในผลึกเพชร"
มีเพียงความสงบนิ่งเท่านั้นที่รายล้อมอยู่รอบข้าง แม้กระทั่งเสียงสะอื้นของชาลิสยังเงียบไป ถ้อยคำของสมิธไม่จำเป็นต้องตีความหมายใด ๆ เธอกำลังจะสั่งลงโทษพวกเราที่ยังยืนหายใจอยู่ตรงนี้
"เพื่อเป็นการสั่งสอนและย้ำเตือนไม่ให้เกิดความคิดต่อต้านขึ้นมาอีก เบื้องบนมีคำสั่งให้ถอนรากถอนโคน ประหารชีวิตผู้กระทำความผิดทุกคน!"
สิ้นเสียงกร้าวของสมิธ ฉันถูกเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติเตะจากด้านหลังจนล้มหมอบลงกับพื้นเวที แรงเตะไม่ทำให้ฉันเจ็บปวดเท่าไรนัก ที่เป็นห่วงตอนนี้คือไลแลคมากกว่า...
"ทำไมละคะ ก็คุณบอกว่าถ้าฉันบอกแผนการครั้งนี้กับคุณ ทั้งหมดคุณจะส่งฉันไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในเมืองหลวงไม่ใช่หรือคะ" เสียงกรีดร้องขอชีวิตดังขึ้นจากชาลิส เธอประจานความเห็นแก่ตัวของเธอเอง ขายชีวิตเพื่อนกว่าสามสิบคน...เพียงเพื่อความสุขสบายของตนเอง แต่ชาลิสไม่มีเวลาร่ำไห้นานมากนัก กระสุนปืนเจาะทะลุสมอง มันพรากเสียงร้องของเธอไปตลอดกาล
เสียงปืนดังถี่ขึ้นกว่าเดิม เด็กชายหญิงวัยสิบสามปีที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยก็ถูกกำจัดทิ้งตามระบบ สมิธเก็บฉันไว้เป็นคนท้าย ๆ ตอบแทนที่ฉันช่วยขานชื่อศพพวกนั้นให้เธอ ท่ามกลางโลกที่พร่าไปด้วยน้ำตาของฉัน ฉันยังเห็นน้องสาวพยายามฝ่าเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติเข้ามาหาฉัน ด้วยขนาดตัวที่เล็กว่าเด็กวัยเดียวกันของไลแลค ทำให้เธอเข้ามาใกล้จนเกือบจะถึงหน้าเวทีอยู่แล้ว เส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง สองมือเล็กตะเกียกตะกายไขว่คว้า ริมฝีปากตะโกนเรียกชื่อฉันไม่หยุด
"ไอริส! ไอริส!! ไม่นะไอริส!!"
ฉันยื่นมือไปหาน้องสาวอีกนิดเดียวจะถึงเธออยู่แล้ว...แต่เสียงปืนกลับดังขึ้นเสียก่อน
ท่ามหิมะสีขาวโปรยปรายลงมา ฉันเห็นเลือดของตัวเองสาดกระจายไปทั่ว ดวงตาสีม่วงของน้องสาวเบิกกว้าง เธอกรีดร้องเรียกชื่อฉันซ้ำ ๆ เจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติคนหนึ่งยิงฉันที่หลัง มันไม่มากพอจะทำให้ฉันตายได้ในกระสุนนัดเดียวแต่ความเจ็บปวดนั้นช่างมากมายเหลือเกิน
ไลแลค...ไลแลคของฉัน
ฉันหวนนึกถึงบทเพลงที่แม่ร้องให้ฟังในวัยเด็ก พยายามเปิดปากเค้นเสียงร้องเพลงปลอบน้องสาวผู้มีน้ำตาอาบใบหน้า
หลับตาลงเถอะคนดี...ปล่อยให้คืนนี้ผ่านพ้นไป
เมื่อเธอตื่นมาพบกับเช้าวันใหม่...ขอให้วันนั้นเป็นวันที่สวยงาม...
กระสุนปืนยิงซ้ำขึ้นทันที
วายนะจ๊ะ แต่อ่านเอาฮาได้ เพราะกูก็เขียนเอาฮาในมือถืออ่ะ
คุณจะต้องไม่เชื่อเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าตอนนี้ แน่ล่ะ ผมเองยังไม่เชื่อ...
มาร์โก้ตายแล้ว ตายเมื่อกี้ ตายหลังจากที่เขาได้ เอ่อ... ปลดปล่อย อย่างรุนแรงเข้ามาในร่างของผม
ให้ตายเถอะ ผมแทบไม่อยากเชื่อ คนเราจะตายเพราะถึงจุดออกัสซั่มนี่นะ... นี่เท่ากับว่าผมเป็นฆาตกรฆ่าเขาหรือเปล่า
ผมเหลือบมองดวงตาสีเขียวที่เบิกกว้างของมาร์โก้ พระเจ้า ไอ้จ้อนของเขายังเสียบคาตัวผมด้วยซ้ำ ใครก็ได้ช่วยบอกทีเถอะว่าผมจะแงะศพหมอนี่ออกไปยังไงดีเนี่ย
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเสียดายหน้าตาหล่อเหลาของมาร์โก้ ถ้าเป็นคุณก็ต้องเสียดายเหมือนกับผมนี่แหละ เขาน่ะเป็นถึงนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลตัวท็อปเชียวนะ อนาคตไกลถึงขั้นมีมหาลัยมาต่อคิวจ่อใบสมัคร
แต่...เขาตายห่าไปแล้ว ลาก่อนมาร์โก้
ผมอาจจะเด็ดดวงจนมาร์โก้หัวใจวายตายคาอก แต่ไม่ได้โหดร้ายขนาดจะกำจัดศพเขา อย่างน้อยเซ็กส์เมื่อครู่ก็ทำให้ผมสำราญอยู่มาก...สัก 2-3 สัปดาห์คงได้
ต้องใช้เรี่ยวแรงพอตัวกว่าจะเอาศพที่มีผิวสีแทนและกล้ามท้องล่ำบึ้กออกไปจากร่างผมได้ ผมตบหน้าตัวเอง 3-4 ครั้ง ใบหน้าเฉยชาค่อยเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ดวงตาสั่นไหวและคลอด้วยหยาดน้ำตา เหมือนเสียงผมตอนนี้เป๊ะ
"มะ...ไม่นะ มาร์โก้ ไม่นะ" ผมร้องเรียกซ้ำๆ แต่มั่นใจว่าให้ตายยังไงมาร์โก้ก็ไม่กลับมา ต่อจะให้เอาดร.เฮ้าส์กี่คนมาช่วยปั๊มหัวใจ แต่คนตายห่าไปแล้วไม่มีวันฟื้นขึ้นได้หรอก
ผมคว้าโทรศัพท์ที่หัวเตียงแล้วกดหาตำรวจ กรอกเสียงที่ฟังดูแล้วร้อนรนที่สุดออกมา "ช่วยด้วยครับ แฟนผม..เขาตายแล้ว"
นั่นล่ะครับ เหตุการณ์ต่อจากนั้นคุณก็คงคิดได้ รถตำรวจ รถพยาบาลจอดเต็มหน้าบ้านผมไปหมด เขาหามมาร์โก้ออกไป ส่วนผมก็ทำตาแดงๆ แล้วก็ทำตัวอ่อนๆ เหมือนจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ...เชื่อเถอะว่าน่าสงสารสุดๆ
ก่อนที่ผมจะเป็นลมล้มตึงตรงบันไดหน้าบ้านด้วยความโศกเศร้าจากการตายของแฟนสุดที่รักที่คบกันมาได้ 2 เดือน ร่างของผมก็ถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือแกร่งของใครคนหนึ่งเสียก่อน
"คุณโอเคมั้ย?" น้ำเสียงทุ้มแต่แตกพร่าที่หางเสียงเอ่ยถามขึ้น ผมจับท่อนแขนล่ำไว้ก่อนจะค่อยๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้น
"ผม...ไม่เป็น..ไร" ผมเม้มปากช้าๆ เหมือนคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไรหนัก แต่ในสมองกลับร้อนรนไปหมด ความกระหายที่มาร์โก้เพิ่งเติมเต็มไปเมื่อกี้เหมือนจะกลับมาอีกครั้ง
"คุณคงตกใจมาก นั่งพักก่อนเถอะ" ชายหนุ่มในเครื่องแบบตำรวจประคองผมไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก ขณะที่ผมพยายามบังคับไม่ให้หัวใจเต้นสั่นสะรัวเกินไปจนผิดสังเกต
"ขอบคุณ---" พยางค์สุดท้ายแผ่วไปจนแทบไม่มีเสียงเมื่อผมเงยหน้าสบตากับดวงตาสีชาคู่นั้น เหมือนกับถูกหลุมดำขนาดยักษ์ดึงดูดเข้าไปภายใน....
เป็นเขา! ต้องเป็นเขาเท่านั้น!
ร่างกายของผมเรียกร้องเจียนคลั่ง มือทั้งสองข้างสั่นระริกอย่างคุมสติไม่ได้ อากัปกิริยาที่มากจนเกินไปทำให้ประสาทสัมผัสของผมลดน้อยลง นี่ผมกำลังจะเป็นลมไปจริงๆ....
ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของใครหลายคน พยาบาลที่วิ่งเข้ามาและแสงริบหรี่ที่ผมเห็นไกลๆ ไม่มีอะไรเด่นชัดเท่าดวงตาสีชาจากชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงนั้น
ตั้งแต่อยู่มา 147 ปี มีคู่มาแล้ว 58 คน นับมาร์โก้เป็นคนที่ 59 ...ไม่เคยมีใครทำให้ผมเป็นไปได้ขนาดนี้
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น....ผม-ต้อง-ได้-เขา!
ฝากฟิคในโม่งได้ห้องไหนบ้างวะ
กูเขียนเจ้านี่ลงแอคหลุมกูไปตอนกำลังเครียด สกิลกูไม่ได้ดีมากนะ กูเลิกเขียนไปเข้าสายโรลมาสักพักแล้ว+เขียนตอนง่วงมากๆ
‘ พลาดอีกแล้ว ‘
เด็กหนุ่มคิด นิ้วค่อยๆไล้ผ่านข้อความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างช้าๆ ดวงตาไร้ประกายหลุบลงมองต่ำคล้ายกำลังนึกเสียใจในการกระทำของตนเอง
พูดความจริงออกไปแล้ว แต่กลับไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิดเดียว
‘ จบสิ้นแล้ว ทุกอย่าง ‘
มือทั้งสองขยับขึ้นมากุมกันเอาไว้แน่น ใบหน้าซบลงบนท่อนแขนของตัวเองอย่างอับจนหนทาง
ในความเป็นจริง มันยังไม่จบลง
แต่ในโลกของเขา ทุกสิ่งมันหยุดนิ่งไปแล้ว
‘ ตายไปให้หมดซะ ‘
มือเลื่อนลงมาจับที่ศีรษะ ใช้เล็บจิกลงไปจนเริ่มมีเลือดไหลซิบ ความรู้สึกในอกตีกันมั่ว ปั่นป่วนจนอยากจะกรีดร้องออกมา
‘ ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ‘
‘ ให้ทุกอย่างมันจบลงที่ตรงนี้ ‘
‘ อยากจะจบทุกอย่าง.. ‘
เขากัดฟันแน่น ขาที่สั่นระริกหยัดยืนขึ้นเพื่อพาร่างของตัวเองเดินไปที่เตียง ท่าทางดูไม่ต่างจากคนไร้สติ
มือคู่นั้นสอดเข้าไปใต้หมอน หยิบปืนกระบอกหนึ่งที่แอบขโมยมาจากคนรู้จักขึ้นถือไว้ ลมหายใจถี่ระรัวอย่างห้ามไม่อยู่
‘ ตายซะ ‘
ปลายประบอกจ่อเข้าที่ใต้คาง
‘ อย่างแกน่ะไม่มีใครต้องการ ‘
‘ หายไปซะ ‘
‘ ตายไปซะ ‘
‘ จบทุกอย่างลงตรงนี้ โลกจะได้เป็นอิสระจากแก ‘
ดวงตาอันแสนหม่นหมองคู่นั้นปิดลง ริมฝีปากที่แห้งผากเม้มแน่น นิ้วขยับวางบนไกปืน
‘ คนอย่างแก หายไปได้ซะก็ดี ‘
..เขากัดฟัน แล้วลั่นไกทั้งน้ำตาที่นองหน้า
กลีบดอกไม้สีแดงฉานปลิวฟุ้งไปทั่ว พวกมันร่วงโรยลงกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง
ร่างที่ไร้การควบคุมล้มลงนอนนิ่งบนกลีบดอกไม้เหล่านั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีก
เป็นเพียงกายเนื้อเฝ้ารอคอยวันเน่าเปื่อย
กายเนื้อที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่
สู่ห้วงนิทราอันเป็นนิจนิรันดร์
อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !!
พรรคอนาคตใหม่ ล้มเจ้า !! พรรคอนาคตใหม่ ล้มเจ้า !! พรรคอนาคตใหม่ ล้มเจ้า !!
คนเลือกพรรคอนาคตใหม่ คือพวกล้มเจ้า !! คนเลือกพรรคอนาคตใหม่ คือพวกล้มเจ้า !!
สำนวนโม่งดีกันจังวะ บางเรื่องดีกว่าที่ตีพิมพ์ตามหนังสืออีก นับถือๆ อยากทำแบบนี้ได้มั่ง
เพียงดินยืนอยู่ท่ามกลางซากเศษอิฐเศษปูนที่ครั้งหนึ่งมันอาจจะเคยเป็นสิ่งก่อสร้างอันงดงามมาก่อน ผิวกายสีคล้ำและชุดเครื่องแบบน้ำเงินเข้มของเขาล้วนเปื้อนเปรอะไปด้วยควันฝุ่นอันลอยละลิ่วอยู่ในอากาศ หน้ากากป้องกันมลพิษถูกคาดไว้ที่จมูกนั้นบดบังใบหน้าของเขาไปกว่าครึ่ง สองมือหยาบกร้านบางครั้งก็กดอุปกรณ์บังคับเจ้าเครื่องจักรกลอัจฉริยะให้งานขุดค้นและรื้อถอนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง บางคราก็หยิบยกเศษซากปูนซีเมนต์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่หุ่นยนต์ไม่สามารถหยิบจับได้...ราวกับเขากำลังค้นหาบางสิ่ง
สมาชิกจากหน่วยบำรุงรักษาต่างกระจัดกระจายกันทำงานอยู่บนกองซากความทรงจำจากอดีต หน้าที่ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับชื่อหน่วยเลยแม้แต่น้อย งานของพวกเขาเป็นเพียงการกำจัดซากอาคารและสิ่งก่อสร้างที่พังทลายลงจากเหตุการณ์ไม่ปรกติ เช่นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไปจนถึงวินาศกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามคำสั่งที่รัฐบาลมอบหมาย
รัฐบาล...รัฐบาล... เปลี่ยนแล้วก็เปลี่ยนอีกจนนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อกลุ่มหนึ่งล้มล้างรัฐบาลเก่า รัฐบาลใหม่ก็จัดตั้งขึ้น แต่เพียงไม่นานหรอก สุดท้ายก็ย้อนกลับตามรูปแบบเดิมคล้ายกับวงกลมที่ไม่ว่าเมื่อใดก็วนกลับมาจุดเดิมเสมอ จนตอนนี้เพียงดินไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าใครกันแน่คือรัฐบาลที่ว่านั่น
ราวครึ่งปีก่อนระเบิดหลายสิบลูกทำลายสถานศึกษาแห่งนี้พร้อมกับคร่าชีวิตหนุ่มสาววัยรุ่น...เลือดเนื้อและอนาคตของกลุ่มคนชั้นสูงไปกว่าร้อยชีวิต มีเพียงแต่ผู้มีเงินเท่านั้นถึงจะเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ดังนั้นไม่ผิดหรอกที่เพียงดินจะบอกได้ว่าชีวิตที่สูญเสียไปมากมายนั้นล้วนแต่เป็นลูกหลานของกลุ่มทุนนิยมในสังคมที่มีเพียงไม่ถึงเศษเสี้ยวหนึ่งของประเทศ
เสียงกรีดร้องก่นด่าร้องขอความเป็นธรรมจากพ่อแม่ผู้เสียหายไม่ต่างอะไรกับเสียงของชนชั้นแรงงานที่กรีดร้องยามเมื่อพวกเขาทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส แม้จะถูกเก็บกู้ไปบ้างแต่หน่วยบำรุงรักษาก็ยังเจอเศษเลือด เศษซากศพเสียจนชินตา จะรวยจะจนไม่ได้ต่างกันเลยยามไร้ชีวิต เป็นเพียงก้อนเนื้อที่ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งและรอวันเน่าสลายเพียงเท่านั้น
นี่คือการเอาคืนเหล่าผู้ร่ำรวย...ใครสักคนเคยบอกเพียงดินเอาไว้เช่นนั้น แต่จะเป็นการเอาคืนอะไรจากอะไรกันนั้นชายหนุ่มไม่เคยเข้าใจ เรียกได้ว่าเขาไม่อยากจะเข้าใจคงดีกว่า เรื่องใครจะแย่งชิงใคร ใครจะเข่นฆ่าเอาชีวิตใคร ไม่มีสักครั้งที่เขาจะเก็บมาให้รกสมอง จะเข้าใจไปเพื่ออะไรกันในเมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่เคยทำให้เขาอิ่มท้อง มีเพียงงานอันแสนน่าเหนื่อยหน่ายเบื้องหน้าต่างหากเล่าที่จะสร้างเงินให้กับเขาได้
เครื่องจักรกลข้างกายหยุดทำงานก่อนจะแผดเสียงดังลั่น บนหน้าจอปรากฏตัวเลขที่บ่งบอกเวลาสิ้นสุดงาน เพียงดินรวบอุปกรณ์ที่ใช้ในงานของเขาเก็บใส่ถุง แล้วเดินไปตามเส้นทางเพื่อรอรถรับ-ส่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ชายหนุ่มได้ยินเสียงทักทายและเสียงพูดคุยของคนรอบข้าง แต่ไม่มีเสียงไหนที่เข้ามาทักทายเขา...ไม่มีใครทักทายคนที่ตนเองไม่รู้จัก
ในยุคสมัยนี้เป็นเรื่องแปลกจนเข้าขั้นผิดกฎหมายทีเดียวกับการทักทายแปลกหน้า อาจต้องเสียเวลาเข้าไปนอนในตะรางหากโดนแจ้งจับกับเจ้าหน้าที่รักษาความสงบ เหตุเพราะไม่มีทางรู้เลยว่าภายในใจเขาจะคิดการอย่างไร จะดีหรือร้ายก็คาดเดาไม่ออก จนสุดท้ายความเงียบงันก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างผู้คนมากมาย ตอนนี้เพียงดินแทบไม่รู้จักกับใครในที่ทำงานเสียด้วยซ้ำ...หรือจะพูดให้ถูกเขาแทบไม่รู้จักใครเลยในชีวิต
รถขนส่งจากหน่วยบำรุงรักษาขับเคลื่อนไปตามถนนสีเข้มที่แตกร้าว เพียงดินไม่รู้หรอกว่ามันถูกออกแบบมาอย่างไร แค่มันสามารถนำเขากลับสู่ที่พักได้ก็เพียงพอแล้ว เขาทรุดตัวนั่งรถบนที่นั่งว่างเปล่า โสตประสาทไม่ใส่ใจเสียงพูดคุยจากคนในรถดังขึ้นแผ่วๆ ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับกระจกสีขุ่น นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลเหม่อมองออกไปเบื้องนอกอย่างไร้จุดหมาย
กรุงเทพมหานครพุทธศักราช 2658...มหานครแห่งความว่างเปล่า
เมื่อแสงสุดท้ายจากตะวันลับหายไปยังเส้นขอบฟ้า แสงไฟนับล้านจากสิ่งก่อสร้างและอาคารสูงใหญ่ส่องสว่างไสวไปทั่วมหานครแห่งนี้ หลากหลายชีวิตยังคงดำเนินต่อไปด้วยกลไกความต้องการตามสัญชาตญาณธรรมชาติ...แต่น่าแปลกสำหรับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์อย่างเขาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไร้ซึ่งชีวิต แม้แต่สีสันสดใสที่ประดับประดาอยู่รอบข้างยังคงไร้สีสันในดวงตาคู่สีน้ำตาลของเขา
ทุกอย่างล้วนถูกบดบังด้วยความสวยงามอันเป็นเพียงแค่ภาพหลอกตา...ตึกสูงระฟ้า สถาปัตยกรรมย้อนสมัย ไปจนถึงเรือนร่างเพรียวระหงในกระโปรงกรุยกรายของสตรี ทุกสิ่งกำลังบิดเบือนมหานครแห่งนี้จากความเป็นจริง
เบื้องหลังตึกระฟ้า...ยังคงมีซากปรักหักพังและศพไร้นามที่รอการกอบกู้ เบื้องหลังสถาปัตยกรรมย้อนสมัย...ยังคงมีเม็ดเงินจำนวนมากมายที่สูญเสียไปอย่างไร้ค่าให้กับกระเป๋าเงินของใครบางคน และเบื้องหลังหญิงงามเหล่านั้นยังคงมีคราบโสมมจากกามารมณ์ของเพศผู้ที่มองเธอเหล่านั้นเป็นเพียงวัตถุระบายความใคร่เพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มเคยวาดฝันว่าสักวันหนึ่งเขาจะหลีกหนีไปจากเมืองแห่งนี้ เขาจะเปิดกรงนกด้วยตนเอง ถลาปีกออกบินไปตามกระแสลมที่พัดผ่าน โดยมีเพียงกระเป๋าเป้ที่ใส่ข้าวของจำเป็นและออกเดินทางไปยังโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลโดยไม่มีวันหวนกลับมาอีก...หากแต่มันกลับเป็นได้เพียงความฝันที่เขาไม่มีวันที่จะทำให้มันเป็นจริง นกเลี้ยงอย่างเพียงดินชาชินเสียแล้วกับการอาศัยอยู่ในกรง คอยให้ผู้คนรอบข้างป้อนอาหารให้กับมัน แม้จะใฝ่ฝันหาอิสรภาพเพียงใด หากแต่เมื่อออกไปเผชิญความเป็นจริงเข้าแล้วเขาจะยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่...ใครเล่าจะรู้?
ความกลัวครอบงำได้ทุกสิ่ง..เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกความกลัวกักขังให้อยู่เพียงในกรงขังของเมืองใหญ่ ใช้ลมหายใจไปกับงานอันซ้ำซากจำเจแลกเงินที่ใช้ประทังชีวิตไปได้เพียงวันต่อวัน ในสุดท้ายความฝันและความหวังของเขาดับหรี่ลงไป ความเฉยเมยไม่อยากรับรู้สิ่งรอบข้างกลับเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่เขาขาดหายไป
บางทีเพียงดินก็คิดว่าเขาไม่ต่างอะไรกับซากศพที่รอวันเน่าสลาย --เขาเป็นร่างกายอันว่างเปล่าที่รอคอยลมหายใจสุดท้ายหมดลง--
ความสัมพันธ์คนเราบางครั้งมันก็เป็นเรื่องซับซ้อนเกินกว่าที่หาคำใดมาอธิบาย จากการพูดคุยกันสั้นๆระหว่างมื้อเช้าในวันนั้น ขยับขยายขึ้นเป็นการพูดคุยในเวลาอาหารเช้าและเวลาอาหารเย็นของทุกวัน ชายคนแปลกหน้าไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาอีกต่อไป เพียงแต่เขาก็ยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่ายเหมือนกับวันแรกที่เริ่มคุยกัน เมื่อเขาไม่ได้ถาม ก็ไม่มีคำตอบกลับ -ชื่อ- ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเพื่อนเลยสักนิด
คล้ายกับชีวิตหวนคืนกลับมาหาชายหนุ่มในเมืองที่ยังคงเต็มไปด้วยความว่างเปล่า วันวานที่เขาใช้มันไปอย่างเปล่าประโยชน์ถูกลืมเลือนไปเสียหมดสิ้น ตราบใดที่เขายังคงสรรหาเรื่องพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนเพียงผู้เดียวของเขาได้
สองมือของชายหนุ่มขุดคุ้ยเศษซากปูนก่อนโยนเข้าเครื่องทำลายทิ้งเหมือนทุกวัน งานที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ของเขาใกล้จะจบลงหลังจากทุ่มเวลาให้มันกว่า 2 เดือน อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์เขาก็ต้องย้ายพื้นที่ทำงานอีกครั้ง แต่ไม่มีอะไรน่าวิตกไปหรอก ไม่ว่าอย่างไรเขากับเพื่อนก็ยังสามารถพบเจอกันได้ในโรงอาหารของหน่วยบำรุงรักษาเช่นเคย
สัมผัสนุ่มลื่นคล้ายพลาสติกจากปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มร่างสูงหยุดชะงักลง เขารื้อซากปูนที่กีดขวางออกทิ้งก่อนจะคว้าเจ้าวัตถุปริศนาขึ้นมา...มันเรียบลื่น มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเขาไปไม่มากนัก ทั้งที่มันหนากว่าหนึ่งนิ้วแต่น้ำหนักกลับเบาจนเหลือเชื่อ เขาไล้ปลายนิ้วไปตามตัวอักษรที่นูนขึ้น -ยูโทเปีย-
เพียงดินไม่รู้ว่ามันคืออะไร...เขาเช็ดปลายนิ้วสกปรกเปื้อนกับชุดเครื่องแบบสีมอมแมมก่อนจะพลิกเจ้าของแปลกประหลาดนั่นดู ภายในล้วนร้อยเรียงเป็นอักษรยาวเหยียดเหมือนกับบทเรียนที่เขาเคยเรียนในแท็บเล็ตเอนกประสงค์ ชายหนุ่มวางมันลงบนพื้นว่างใกล้ตัว ก่อนจะรีบรื้อเศษปูนออกจากทาง เขาพบพวกมันเป็นกองใหญ่เต็มไปหมด จำนวนมากมายจนเขาเองก็ไม่เชื่อสายตา
ชายหนุ่มหยิบสิ่งที่เขาพบเป็นอันแรกเก็บซ่อนเข้าในกระเป๋า เขารู้ดีว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ในอนาคตอันใกล้ และก็เป็นจริงอย่างที่เขาคาด เพียงไม่นานข่าวก็ถูกนำเสนอออกไปทั่วประเทศ หนังสือกลุ่มสุดท้ายถูกขุดพบในซากปรักหักพังของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย...ราวกับตอกย้ำว่ามีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้สัมผัสกับความทรงจำครั้งเก่าที่ถ่ายทอดมาจากอดีต
"มันคือหนังสือของจริง..ที่ทำจากต้นไม้?"
"ใช่ครับ มันคือหนังสือ"
"และตอนนี้เธอก็กำลังครอบครองเจ้าวัตถุอันตรายที่คนพร้อมจะฆ่าเธอเพื่อเอามันไปแลกกับเงินเป็นล้าน แถมยังเอามาอวดฉันอีกอย่างนั้นรึ" เพื่อนเพียงคนเดียวของเพียงดินถอนหายใจยาวยืดก่อนจะเทศนาเขาเสียยาวเหยียด "เธอไม่รู้รึไงว่ามันเสี่ยงที่หยิบออกมาอย่างนั้น แล้วถ้าเกิดใครรู้เข้าแล้วไปแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความสงบ เธออาจจะโดนขังยาวลืมวันลืมปี---ดีไม่ดีก็ถูกฆ่าชิงของไปแน่ๆ"
"ไม่รู้ซี-- บางทีผมอาจจะคิดว่ามันน่าสนใจก็ได้ มันทำให้ผมได้คิด ได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง"
"พูดแบบนี้แสดงว่าเธออ่านไปบ้างแล้ว" เขาพยักหน้าตอบรับกลับคำถามนั้น ยิ่งทำให้ชายผู้นั้นถอนหายใจยาวเสียยิ่งกว่าเดิม
"ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ฉันอยากถามว่าภายในนั้นมันเป็นเรื่องราวอย่างไร ถ้าเธอมีอารมณ์จะเล่าน่ะนะ..."
"มันพูดถึงเกาะแห่งหนึ่งที่แสนสงบสุข---"
เรื่องราวภายในหนังสือมิรู้ว่าเป็นอดีตเมื่อคราวไหน หากมันช่างยาวนานเหลือเกิน ยาวนานเกินว่าเพียงดินคาดเดาได้ว่ามันไกลเพียงใดจากช่วงเวลานั้นจนถึงเวลานี้ หนังสือเล่มเดียวที่เขาครอบครองอยู่พาเขาย้อนกลับสู่ภาพที่เขาไม่เคยนึกฝัน
เพียงดินนึกเสียดาย...
เสียดายที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เสียดายสิ่งเก่าๆที่เขาไม่เคยได้พบเห็นในชีวิต เขาไม่เคยรู้ว่าความสงบสุขที่เขาเคยเข้าใจนั้นมันผิดเพี้ยนไปเสียหมด...ความสงบสุขมันไม่ใช่เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวที่บ้านเมืองไม่มีสงคราม ไม่มีวินาศกรรม มันลึกล้ำกว่านั้นมากมายเหลือเกิน
บางทีสิ่งที่เขาพยายามไขว่คว้านอกจาก-อิสรภาพ-ที่ถูกบีบอัดจนไม่มีทางออก อาจจะเป็น-ความสงบสุข-ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้ภายในมหานครแห่งนี้ก็เป็นได้
หรือไม่...ความสงบสุขนั้นอาจจะอยู่กับอิสรภาพในโลกภายนอกกรุงเทพมหานครของเขา
"ฉันคิดอยากจะกลับบ้าน..จู่ๆก็คิดถึงแม่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น" ชายคนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปนเศร้าต่างจากทุกที ดวงตาของเขาไม่ได้จับจ้องไปที่อะไรสักอย่าง มันเหม่อมองหาจุดสิ้นสุดไม่ได้...
"ถ้าคุณอยากกลับคุณก็แค่กลับ บางทีผมอาจจะไปเยี่ยมหาคุณสักวันก็ได้"
หากเป็นเพียงดินในเมื่อไม่กี่วันก่อนคงอาจจะบอกได้ว่ามันไม่มีวันนั้น แต่เขาในตอนนี้กลับเชื่อว่าสักวันหนึ่งที่พร้อมเขาจะกลายเป็นนกที่เปิดกรงขึ้นแล้วบินออกจากกรงแห่งนี้ไปจริงๆ วันนั้นเขาจะเดินทางไปหาเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา ใช้ชีวิตที่ไม่มีกรงนกและความกลัวมาปิดกั้นอีกต่อไป
"ฉันจะคิดถึงเธอ"
"ผมก็คงจะคิดถึงคุณ และสักวันเราคงได้เจอกัน----"
แต่ในใจเบื้องลึกเขากลับรู้ดี..เขาไม่มีวันจะได้พบเจอเพื่อนของเขาอีกต่อไปแล้ว นี่คือการลาจากอย่างแท้จริง
เพียงดินยังคงทำงานเหมือนเดิม...งานขุดรื้อซากตึกผุพังเหมือนเดิม ภายใต้แดดอันร้อนระอุที่ไม่มีวันลดลงของกรุงเทพมหานครเหมือนเดิม เขายังคงอยู่ในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มเหมือนเดิม และหน้ากากป้องกันมลพิษมันก็คงยังคาดอยู่บนใบหน้าของเขาเหมือนเดิม มีบางสิ่งหรอกที่ไม่เหมือนเดิม...ใจเขาที่ไม่เหมือนเดิม และหนังสือเล่มนั้นที่ไม่ได้อยู่ที่เดิม
--มันหายไปแล้ว--
ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ดี มันหายไปพร้อมกับเพื่อนเขาที่จากไป จะมีใครล่ะที่หยิบฉวยมันไป..ก็มีแต่ชายคนนั้นที่รู้ว่าเขาเก็บสิ่งของต่างๆไว้ที่ไหน
ทุกสิ่งคือการเรียนรู้...และวันนี้เขาก็ได้รับรู้คำตอบที่เขาเคยค้นหามันมาก่อน ชีวิตของเขาไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนแต่ก่อน ใครบางคนสอนให้เขารู้จักเชื่อใจคนอื่นและสอนให้ไม่เชื่อใจคนอื่นไปพร้อมๆกัน บางทีเขาอาจจะกลับมามีชีวิต...ชีวิตที่ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนร่างตายซากรอลมหายใจสุดท้าย สิ่งที่เขาตามหายังคงเป็นอิสรภาพเหมือนเดิม และบวกเพิ่มความสงบสุขที่เขาได้เรียนรู้จากหนังสือเพียงเล่มเดียวของเขา--ที่มันไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้วก็ตาม
ตู้ม
เสียงระเบิดดังกึกก้องเข้าไปในโสตประสาทของชายหนุ่ม...แรงปะทะทำให้ร่างกายเขาปลิวกระเด็นจากจุดที่เขาเคยยืนอยู่ มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนเกิดคาดคิด เพียงวินาทีที่เพียงดินนึกเสียดายชีวิต ก่อนที่มันจะเลือนหายไปในชั่ววินาทีต่อมา ภาพเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาในทุ่งนาสีเหลืองอร่าม แม้มันจะเป็นเพียงจินตนาการ...แต่น่าแปลกที่มันสวยงามเหลือเกิน
เขาปิดตาลง...หวนคิดถึงความสวยงามของอดีตที่จินตนาการได้ ปล่อยร่างให้ลอยละลิ่วไปตามลมเหมือนกับว่าเขาเป็นนกที่สยายปีก--โบยบินไปสู่อิสรภาพและความสงบที่แท้จริง
-จบ-
เขาบีบไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น กดร่างบางที่ไร้ความคิดขัดขืนนั้นลงกับโซฟา ไม่แม้แต่จะคิดปิดประตูห้องลงให้สนิทเสียก่อน
กลิ่นสาบสาวเจือกลิ่นเหงื่อและกลิ่นสุราลอยฟุ้งเข้าจมูก หากแต่ชายหนุ่มไม่สน เขากดร่างบางที่หายใจหอบกระชั้นนั้นลงนอน ใช้เท้าถีบบานประตูที่เผยออ้าอยู่จนมันสะบัดปิดดังปัง พร้อมสะบัดจนรองเท้าหนังหัวตัดคู่งามของเขาหลุดร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น
หญิงสาวทำตาปรือ หายใจกระชั้นขึ้นเมื่อถูกโจมตีเข้าที่ซอกคอ เจ้าหล่อนยกมือขึ้นโอบรั้งคอของชายหนุ่มไว้แน่น จนเมื่อถึงจุดหนึ่งเธอก็ส่งเสียงครางในลำคอ เริ่มใช้ริมฝีปากคู่งามประกบจูบเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายเป็นการตอบโต้
คนทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนโซฟา มือไม้ป่ายอากาศ เกี่ยวกระหวัดกันคล้ายเด็กน้อยยามฝึกว่ายน้ำ เสื้อผ้าสวยงามที่พวกเขาเคยสวมใส่บัดนี้ถูกดึงกระชากจนร่วงหลุดลงไปกองอยู่กับพื้น ยากที่จะจำแนกว่าชิ้นใดเป็นของผู้ใด
นานพอดูกว่าที่ชายหนุ่มจะยันกายลุกขึ้น ทั่วทั้งลำคอและแผงอกของเขาประดับไปด้วยรอยประทับจูบที่ขึ้นสีเด่นตัดกับสีของผิวหนังออกมา เขาใช้มือหยาบใหญ่ตบเข้าที่ข้างแก้มของหญิงสาวที่นอนหอบหายใจอยู่ทีหนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปเปิดลิ้นชัก ล้วงเอาซองบรรจุถุงยางอนามัยออกมา
หญิงสาวปรายตามองมา พอดีเห็นอีกฝ่ายกำลังถอดกางเกงชั้นในลงพร้อมรูดเจ้าโลกให้อยู่ในสภาพพร้อมสวมเครื่องป้องกัน ชายหนุ่มเห็นสายตานั้นก็ยิ้ม ใช้นิ้วมือจัดการกิจอย่างรวบรัดก่อนที่จะก้าวเท้ากลับเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้ง
เขารวบเอาขาเรียวทั้งสองข้างของหญิงสาวเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนที่จะยกมันพร้อมกับรูดกางเกงชั้นในตัวจิ๋วขึ้นไปติดอยู่ที่ข้อเท้า ใช้นิ้วกลางกดเข้าที่ส่วนลับอันชุ่มชื้นนั้นจนหญิงสาวต้องสะดุ้ง ร้องโอยออกมาคำหนึ่ง
ชายหนุ่มหัวเราะ เขาโน้มขาเรียวคู่นั้นไปด้านหน้า รับรู้ได้ถึงความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นของร่างกายอีกฝ่าย ก่อนที่จะแยกมันออก แล้วจับวางพาดไว้บนบ่าของตน
หญิงสาวหลับตา รู้สึกได้ว่าขาทั้งสองข้างนั้นกำลังสั่นพร้อมกับจังหวะหัวใจที่เต้นรัวเร็ว เธอสัมผัสได้ถึงร่างกายของอีกฝ่ายที่กำลังโน้มเข้ามาใกล้ ยิ่งทำให้เธอไม่อาจ และไม่อยากที่จะคิดขยับตัวหลบเลี่ยงไปทางใดอีก
ริมฝีปากของคนทั้งคู่ประกบกัน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงลิ้นอันร้อนแรงดุดันของเขาที่กำลังสอดแทรกเข้ามาเพื่อพัวพันกับลิ้นอันอ่อนนุ่มของเธอ รสรักนั้นแทบทำให้ประสาทสัมผัสอื่นมลายสิ้น เจ้าหล่อนแทบจะไม่รู้สึกตัวว่าบั้นท้ายถูกยกลอยขึ้นจากเบาะนวม เปิดทางให้อีกฝ่ายได้ชำแรกร่างเข้ามาหลอมประสานเป็นหนึ่งเดียว
เขาดูดคอเธอ จ๊วบๆๆ เธอร้อง อ้าๆๆๆ เขาดูดนมเธอสลับเต้า แล้วใช้แก่นกายกระแทกเข้าใส่จุดสงวนของเธออย่างไม่ยั้งควย ตรับๆๆๆๆๆ
>>388 เมื่อเทนทสเคิลจู่โจเข้ามา ผมจึงขอให้มีการจัดการเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกแล้วพักไว้ให้ลูกสาวที่มีความสุขมากที่สุดในโลกครั้งแรกของปีก่อนคริสตกาลการศึกษาและพัฒนาระบบการถ่ายทอดความรู้ความจริงแล้วมันจะไม่สามารถทำให้เกิดความผิดพลาดในการจัดการกับความต้องการของลูกน้อยของเราจะไม่ค่อยมีเวลาให้กับผู้ที่มีคุณภาพสูงที่สุดของโลกที่มีคุณภาพสูงที่สุดของโลกในแง่ดีและไม่มีความคิดของคนไทยคนแรกในรอบปีการศึกษาในระดับสูงสุดในรอบปีการศึกษาในระดับสูงสุดของคุณจะต้องเป็นไปตามที่ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งแล้วก็มีแต่คนที่มีความสุขมากที่สุดในโลกออนไลน์ศรีปทุมถได้อย่างรวดเร็วในการทำงานของเราจะได้รับความนิยมมากในการทำงานที่เกี่ยวกับการใช้งานง่ายและสะดวก
อีรีรู้จัก ‘ซาก’ มาตั้งแต่จำความได้ จึงไม่เห็นว่าร่างเน่าเหม็นที่เดินตุหรัดตุเหร่อยู่ข้างทาง หรือสุสานแปลกประหลาดอะไร สิ่งที่เธอคิดยามบังเอิญเห็นคนรู้จักที่เพิ่งถูกฝังไม่กี่วันก่อนเดินผ่านหน้าบ้าน มีเพียงว่าเขาหรือเธอจะถูกเจ้าหน้าที่เก็บไปหรือเน่าเปื่อยไปเองก่อน
‘เหมือนหมาจรจัด’ พ่อเคยเปรียบเปรยด้วยสีหน้ารังเกียจหนหนึ่ง ‘กลิ่นเหม็น กินไม่เลือก ไร้สติปัญญา’ อีรีเห็นตามที่เขาว่าทุกอย่าง และเธอก็เห็นอีกด้วยว่าพวกซากไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะอยากจะเป็นเสียหน่อย
เธอไม่รู้หรอกว่าพวกเขาลุกขึ้นมาจากหลุมเพราะอะไร เหตุผลอาจจะยากพอ ๆ กับที่ว่าทำไมพระอาทิตย์ถึงขึ้นทางทิศตะวันออก ซึ่งอีรีคิดว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องรู้ ถึงต่อให้รู้แล้วจะอย่างไร ในเมื่อสุดท้ายทุกคนก็ต้องตาย นอนพักในหลุมที่กลบไว้หลวม ๆ สักวันสองวัน ก่อนตื่นมาเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองอย่างไร้จุดหมาย เคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิต แต่ไร้จิตใจ
‘อากาศเคยดีกว่านี้มาก อ้อ อีรี ก่อนไปโรงเรียนห้ามเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ละ’ พ่อมีเรื่องให้บ่นพวกซากไม่น้อยทีเดียว จมูกของพวกผู้ใหญ่ไม่ชินกลิ่นเนื้อเน่าเหมือนเด็ก ๆ รุ่นอีรี เมื่อไหร่ที่เธอกับเขาทะเลาะกัน อีรีจะแกล้งลืมปิดประตูรั้วปล่อยให้พวกซากเดินกระโผกกระเผกเข้ามาในสวน น้ำเหลือง เศษผิวหนังสีคล้ำหยดย้อยลงสนามหน้าบ้าน ฝีเท้าไม่มั่นคงเหยียบย่ำกอกุหลาบจนป่นปี้ จากนั้นเธอก็จะขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้กลิ่นเน่าโชยเข้ามาฝังในผืนพรม ผ้าห่ม หมอนที่เธอไม่รู้สึกว่าแย่อะไรนัก ตรงข้ามกับพ่อที่อาจคลั่งเจียนตาย
อีรีทำลงไปด้วยความโกรธ และผลของมันทำให้เธอสะใจลึก ๆ ภาพแม่ถูกเคียวไร้คมเกี่ยวเข้าไปในตู้กระจกรวมกับซากของคนแปลกหน้าติดใจเธออยู่ทั้งที่ผ่านมาแล้วหลายปี เด็กหญิงไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงรอให้แม่เน่าสลายเงียบ ๆ ไม่ได้ เธอไม่เห็นพิษภัยในตัวแม่แม้แต่น้อย แม่เชื่องช้าออกขนาดนั้น ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย แล้วจะมีปัญญาทำร้ายเธอกับเขาได้ยังไง
คนเป็นต่างหากที่อีรีเห็นว่าน่ากลัว
พวกเพื่อนร่วมชั้นเกเรของอีรีมักขว้างปาหินใส่พวกซากระหว่างทางกลับบ้าน คนตายไม่มีความรู้สึกหรือเจ็บแค้นยิ่งทำให้พวกนั้นได้ใจ บางคนกล้าถึงขนาดต้อนซากศพให้ตกลงไปในลำน้ำเชี่ยว มองดูร่างพองอืดลอยผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไปตามสายน้ำด้วยความคึกคะนอง เพื่อนคนหนึ่งเคยชวนอีรีให้เล่นสนุกด้วยกัน แต่เธอสลัดภาพของแม่ออกไปไม่หลุด ลำคออีรีแสบร้อนด้วยความรู้สึกผิดต่อศพที่กำลังถูกรังแกและแม่ที่ตายถึงสองครั้งเพราะความตาขาวของตัวเอง
หากย้อนเวลาได้อีรีจะไม่ยอมให้พ่อแตะต้องแม่แม้แต่ปลายผม ก่อนแม่ถูกฆ่า บางทีเธออาจจะฆ่าเขาก่อน แต่ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ‘หากรู้’ ใคร ๆ ก็คิดแต่ว่า ‘หากรู้…’ หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้อีรีจะมีความกล้าพอปกป้องแม่ไหม เอาเข้าจริงเธอก็ไม่รู้อีกเช่นกัน เธออาจจะหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าด้วยความหวาดผวากระทั่งเสียงโครมครามชั้นล่างเงียบลงเหมือนทุกที หรือวิ่งออกไปนั่งเล่นสวนสาธารณะจนค่ำค่อยกลับเข้าบ้านราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นในห้องครัว
อีรีกลัวพ่อ กลัวแม่เจ็บ นอกจากนั้น เธอก็กลัวจะถูกทำร้ายไปด้วย คำขอโทษต่อซากของแม่ไม่อาจได้รับการอภัย เธอจึงกอบบาปนั้นเข้ามาบดขยี้ให้เศษแหลมทิ่มแทงตัวเองอยู่ข้างใน เลือดหลั่งจากท้องแขนสู่ปลายนิ้ว หยดลงในปากซึ่งหนอนแมลงคลานยั้วเยี้ยแย่งชอนไชเนื้อแหว่งวิ่น
“หนูขอโทษ หนูขอโทษ หนูขอโทษ” อีรีพึมพำซ้ำ ๆ อยู่บนขั้นบันไดเหนือกล่องไม้ทำจากตู้เสื้อผ้าเก่า น้ำตาผสมเลือดรินรดลงบนซากที่กำลังกลิ้งเกลือกอย่างน่าเวทนาบนกองเลือดเน่า บางคราวเขาจะเงยหน้าขึ้นมาราวกับรู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น อ้าปากรับเลือดที่ไหลจากกายพร้อมวิญญาณ
ประสาทสัมผัสทึ่มทื่อไม่ตอบสนองต่อเลือดหรือสิ่งกระตุ้นใด ๆ อีรีสงสัยว่าเขาอาจรู้สึกถึงความโศกเศร้าของเธอ
“หนูไม่เหมือนพ่อ หนูอยู่แบบนี้ไม่ได้ ขอโทษ ขอโทษ…” เสียงแผ่วผิวคล้ายบอกตัวเอง อีรีสังหรณ์ว่าเธอคงไม่ตายเพราะเสียเลือด จึงแขวนบ่วงเชือกสีขาวสกปรกเผื่อไว้บนราวบันไดด้วย
เธอไม่อาจตายก่อนซากในกล่องหยุดเคลื่อนไหว วาระสุดท้ายของแม่ที่เธอเสียไป เขาจะต้องจ่ายแทน !
ริมฝีปากอีรีแห้งแตกเพราะขาดน้ำ ร่างกายผ่ายผอม ลมหายใจรวยริน กลิ่นของเสียปะปนซากคละคลุ้งทั่วบ้าน และอาจแรงไปถึงถนนด้านหน้า ทว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนอยู่แล้ว เธอจึงได้เฝ้ามองการตายครั้งที่สองนี้โดยไม่ถูกเพื่อนบ้านเข้ามารบกวน
ตัวหนอนกลายเป็นดักแด้สีน้ำตาลเข้ม และอีกไม่นานก็คงกลายแมลงเสาะหาซากอื่น อีรียังคงสติได้ขนาดนึกขบขันว่าพวกมันอาจวางไข่ในร่างของเธอต่อ
กินเถอะ คนตายเจ็บไม่เป็นหรอก
ใบหน้าของซากที่เธอทั้งรักทั้งชังไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว เนื้อหนังถูกหนูและแมลงแทะกินจนเห็นแต่กระดูก แต่กลับยังเหลือแรงก่อเสียงครืดคราด
เน่าสลายเงียบ ๆ
หากตอนนั้นแม่ไม่ถูกเก็บไปก่อนก็คงจะเป็นแบบนี้
น่าเศร้าที่อีรีไม่รู้สึกพอใจเลยสักนิดเมื่อเห็นเขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับแม่ ความโกรธเกลียดยังคงอยู่ น้ำหนักของมันแทบจะโถมทับเธอให้ตกลงไปในกล่องไม้ แต่จะให้เธอตายพร้อมเขาน่ะหรือ ไม่มีทาง !
เมื่อแมลงเริ่มวางไข่อีกครั้งในเนื้อเน่าชิ้นสุดท้าย ซากก็หยุดเคลื่อนไหว หนูบางตัวเริ่มแวะมาสำรวจชีวิตของอีรี เธอสัญญาว่าพวกมันจะได้กินอย่างอิ่มหนำ เฉือนเนื้อต้นขาโยนให้แทนมัดจำ ก่อนสาวบ่วงเชือกขึ้นมาคล้องคอ
มืออีรีกระตุกวูบหนึ่งที่เผลอมองดูโครงกระดูกก้นกล่อง เธออาจเก็บมันออกก่อนค่อยจัดการกับตัวเอง ความคิดที่ว่าซากของตนอาจเกลือกกลั้วอยู่กับชิ้นส่วนของเขาเกินกว่าจะรับได้ เธอจึงถอดบ่วงอันหนักอึ้งออก คลานลงไปลากซากให้พ้นจากกล่องอย่างทุลักทุเล ตอนยังมีชีวิตอยู่เธอผลักเขาไม่เทือนเลยด้วยซ้ำ ดูตอนนี้สิ อีรีที่ใกล้ตายถึงขนาดจับเขาไปวางตรงไหนก็ได้
ซากพ่อกับแม่รวมกันหนักน้อยกว่าบาปของเธอเสียอีก
อีรีเงยหน้ามองบ่วงที่กำลังแกว่งน้อย ๆ ราวกับเชิญชวน เธอเหนื่อยเกินกว่าจะปีนขึ้นไปหามันแล้วตอนนี้ บางทีเธออาจไม่ต้องพึ่งมัน กระนั้นก็ไม่อยากให้ซากตัวเองออกไปเพ่นพ่านแล้วจบลงในคูน้ำ เด็กหญิงจึงเค้นแรงเฮือกสุดท้ายกระเสือกกระสนกลับขึ้นบันได และขณะกำลังพักอยู่บนขั้นที่สาม เสียงใครบางคนก็ดังขึ้น
“มีอะไรให้ช่วยอีกไหม”
แต่ประสาทหูเธอเสียไปแล้ว และดวงตาก็กำลังจะบอดเพราะความมืด หลังจากหายเหนื่อย อีรีก็เริ่มปีนต่อไป
>>392 ขอบคุณที่อ่านกาวของกุนะ ยังคิดอยู่ว่าจะมีใครเข้าใจด้วยมั้ย
มันเป็นอโพคาลิปส์ที่คนตายจะฟื้นขึ้นมา แต่ละประเทศก็มีวิธีจัดการซากต่างกัน แต่เทศบาลที่เด็กนี่อยู่มันไม่ค่อยดี คนตายก็เลยออกมาเพ่นพ่านบ่อยๆ อยู่สภาพนี้มานานมากจนคนชินกันแล้ว ยกเว้นพวกแก่ๆ ที่เคยเห็นโลกสดใสกว่านี้ ส่วนบ้านเด็กนี่ domestic violence พ่อตีแม่ตาย พอแม่ฟื้น เด็กมันก็ต้อนแม่มาบ้าน พ่อมันไม่ชอบกลิ่น ไม่ชอบซากอยู่แล้วก็เลยเรียกเทศบาลมาเก็บ แต่อีเด็กนี่มันรักแม่ อยากอยู่กับแม่จนกว่าจะตายอีกครั้งจริงๆ พอถูกขัด มันเลยแอบแค้น บวกจิตอ่อนๆ กับเก็บกดมานานด้วย ฆ่าพ่อตัวเองซะ ตรงที่มีคนช่วยใส่มากันพล็อตโฮลเฉยๆ เด็กจะมีแรงทำตู้เสื้อผ้าเป็นกล่องได้ยังไงวะ
>>393 อย่างนี้นี่เอง ตอนแรกนึกว่าเป็นพล็อตแนวซอมบี้ทั่วไป พออ่านแล้วก็เข้าใจอารมณ์ตัวละครกับบรรยากาศในเรื่องได้พอสมควรเลย อ่านงานมึงแล้วเหมือนกลับไปอ่านงานอาร์ตๆ ของนักเขียนช่วงปี 40-50 วิธีการเปรียบเปรยหรือใช้คำสื่ออารมณ์มันคมดี เป็นงานที่อาจไม่ถูกใจเด็กรุ่นใหม่ แต่สำหรับวัยทำงานแบบกู อ่านแล้วถือว่าดีใช้ได้เลย ถ้ามึงเขียนแบบนี้ไว้ตอนช่วงสิบปีก่อนกูคงอยากซื้อเก็บไว้ในห้องหนังสือที่บ้าน ฝีมือดีเกินกว่าจะเป็นได้แค่เรื่องสั้นที่เขียนไว้บนเว็บใต้ดินไม่ค่อยมีใครแวะเวียนมาแบบนี้
พ่อยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความงุนงงสงสัย ว่ามันเป็นเพียงความฝันที่เกิดขึ้น
หรือเป็นความจริงกันแน่?.... (โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่าน)....
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นคำบอกเล่าจากความฝันของ "ช่างเทคนิคแห่งแสง" (Luna) คืนนั้น
ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2012 ในราวๆ ตีสาม พ่อรู้ถึงความผิดปกติของไฟชั้นล่าง
ของบ้านที่พ่ออาศัยอยู่กับลูกๆ
จึงเดินลงไปสำรวจดูว่าทำไมถึงยังไม่ได้หลับนอน ก็เจอกับช่าง เทคนิค กำลังอยู่ในภวังค์
สมาธิ และ พ่อรออยู่พักหนึ่งเขาก็ลืมตาขึ้น พ่อก็เลยถามว่ามีอะไรหรือ? ถึงมานั่งทำสมาธิ
เสียดึกดื่น เขาก็ตอบมาว่า มีซิ? ลูกไม่อยากทำเลยแต่ทนการร้องขอไม่ไหวและมันเป็นสิ่ง
สร้างความลำบากใจให้ช่างเทคนิคมากๆ
แต่เพราะมันเป็นภาระหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือปฎิเสธได้ มันเป็นการสยบความอหังการ์ของชาติมหาอำนาจชาติหนึ่ง เพื่อเป็นการเตือนถึงความอ่อนด้อยทางด้านเทคโน
โลยี่ หากต้องมาต่อกรกับรูปธรรมชีวิตชั้นสูงของต่างดาว
Luna เปรียบเสมือนอยู่ในโลกสองมิติเหมือนมีชีวิตในสองรูปแบบ เมื่อเวลายามตื่นก็จะ
เหมือนกับปุถุชนทั่วๆ ไป ไม่มีความแตกต่างๆ ใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากเมื่อถึงยามหลับแล้ว ตัว
เขาก็จะคืนสู่ร่างใหม่ในอีกมิติหนึ่งคือ เขาเป็น ผ.บ.ยาน Mothar Ship Class Maestro
ซึ่งมีขนาดพื้นที่ยาน 1,570 ตารางไมล์ และ บรรจุยานลูกได้ถึง.. 2,000 ลำ..
และ Luna มีหน้าที่สำคัญคือการปกป้องและคุ้มครองโลกไม่ให้ได้รับภยันตรายจากพิบัติ
ภัยต่างๆ ที่จะมากรํ้ากรายโลกโดยมนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือหรือป้องกันตัวเองได้ และ
จะถูกเรียกใช้งานเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่จะต้องตัดสินใจ
เช่นครั้งคราวนี้ โดยประมุขดาวศุกร์ร้องเรียนมายัง สมาพันธ์แกแลคติกแสงสว่างแห่ง
จักรวาล โดยในมิติที่ 5 นั้น ดาวศุกร์ไม่ได้ร้อนแรงจนสามารถละลายตะกั่วได้เหมือนใน
มิติที่ 3 หรอกนะ โดยประมุขดาวศุกร์ให้ช่วยจัดการความแค้นเคืองที่ชาติมหาอำนาจบาตร
ใหญ่กระทำต่อเจ้าหญิงแห่งดาวศุกร์ที่กำลังเดินทางมายังโลกด้วยยานบินส่วนตัวเพื่อมา
ทำภารกิจบางอย่างบนโลก
แต่เป็นเพราะเหตุว่ายานบินที่องค์หญิงโดยสารมาประสบเหตุขัดข้องในขณะนำยานเข้าสู่
แรงโน้มถ่วงโลกเร็วเกินไป ทำให้เกราะป้องกันยานชำรุดเสียหาย และ เรดาร์ชายฝั่งจับ
ภาพได้ จึงส่งเอฟ 15 F 4 ลำ ขึ้นมาขัดขวาง มีการไล่ต้อนยานบินของเจ้าหญิง และ ใช้
จรวดอากาศสู่อากาศยิงยานบินลำที่องค์หญิงเสด็จอยู่ในยานนั้น
แม้จะมียานบินคุ้มกันสองลำก็ไม่อาจรักษาชีวิตเจ้าหญิงไว้ได้ และ ยานบินของเจ้าหญิงก็
ตกสู่พื้นท้องทะเลใกล้หาดไมอามี่ ชาติมหาอำนาจได้ใช้เรือรบเข้าขัดขวางการช่วยเหลือ
ยานบินของเจ้าหญิง และ ใช้ปืนเรือระดมยิง และ ใช้ระเบิดนํ้าลึกจมยานที่มีเจ้าหญิงอยู่
ลำนั้นจนพระองค์สิ้นชีวิตอยู่ในยานในเวลาต่อมา
ฝ่ายยานบินคุ้มกันเจ้าหญิงได้พยายามช่วยเหลือองค์หญิงอย่างเต็มที่ โดยการใช้อาวุธ
พิเศษสร้างคลื่นพายุเฮอริเคน ซัดใส่กองเรือนั้น จนทำให้มีเรือของชาติมหาอำนาจจมไป
1 ลำ และ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชายฝั่งไมอามี่ อย่างหนัก และ อย่างไม่มีเค้าลางของพายุร้ายมาก่อนเลย
ประมุขดาวศุกร์ได้วิงวอนร้องขอความยุติธรรมให้แก่เจ้าหญิงซึ่งก็คือภรรยาของประมุข
ดาวศุกร์นั่นเอง ขอให้ Luna คืนความยุติธรรมให้แก่ภรรยาท่านด้วย โดยขอให้นายช่าง
เทคนิค ให้บทเรียนแก่กองเรือชาติมหาอำนาจด้วยเถิด และ จากคำวิงวอนหลายครั้งได้
มีการประชุมใหญ่ในสมาพันธ์แสงสว่างฯ ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงและต้องจำยอมปฎิบัติ
ตามคำขอนั้น
และ นี่คือปฎิบัติการเอาคืน โดยการส่งยานบินรบฝูงใหญ่นับสิบลำ โดยเล็งเป้าหมายไปที่
เรือ Stealth Destroyer เป็นเรือที่มีอานุภาพสูงสุดของกองเรือมหาอำนาจนั้น เรือชั้นนี้มี
ด้วยกัน 3 ลำ และ เป็นหนึ่งที่จะต้องกำหราบ
คนในหมู่บ้านนี้กำลังกลายเป็นตุ๊กตา...
ไม่รู้ว่าเริ่มต้นจากอะไร หรือเริ่มต้นจากใคร แต่คนภายในหมู่บ้านแห่งนี้ค่อย ๆ กลายเป็นตุ๊กตาไปทีละคน ทีละคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือคนชรา ไม่ว่าใครก็กลายเป็นตุ๊กตากันได้ทั้งนั้น จนตอนนี้จำนวนตุ๊กตามนุษย์ในหมู่บ้านมากมายเต็มไปหมด
มาลีใฝ่ฝัน...ฝันว่าเธออยากเป็นตุ๊กตา
ก็ตุ๊กตานั้นทั้งแสนสวยและอ่อนหวาน เด็กหญิงจำได้ดีถึงตุ๊กตาพี่สิตางค์ สาวสวยประจำหมู่บ้าน ตุ๊กตาผิวสีขาวละเอียดดั่งกระเบื้องเคลือบที่เอนกายพิงเก้าอี้หวายบุนวมอาบแสงแดดยามเช้า ใบหน้าเล็กนั้นยังคงปรากฏความงามสมัยครั้งเธอยังเป็นมนุษย์...ไม่สิ เรียกได้ว่างดงามกว่าครั้งที่เป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ ยิ่งชุดสีขาวฟูฟ่องเหมือนขนมสายไหมอันแสนบริสุทธิ์ ยิ่งทำให้ตุ๊กตาดูช่างน่าทะนุถนอมเหลือเกิน
เด็กหญิงไม่เคยมีตุ๊กตา
แม่บอกกับมาลีอยู่เสมอว่าตุ๊กตานั้นไม่จำเป็นสำหรับเธอ เพียงแค่ของเล่นเด็กที่ไม่ได้มีคุณค่าอะไรนอกจากใช้ประดับตกแต่ง แต่เด็กหญิงวัยหกปีไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมแม่ถึงไม่ให้ตุ๊กตากับเธอ ในเมื่อไม่ว่าเด็กคนไหนก็มีตุ๊กตาทั้งนั้น เด็กผู้หญิงมีตุ๊กตาหญิงสาว ตุ๊กตาหมี ตุ๊กตากระต่าย และเด็กผู้ชายมีตุ๊กตาทหาร ตุ๊กตายานรบ ขนาดสัตว์เลี้ยงของคุณป้าคนรวยที่ท้ายหมู่บ้านยังมีตุ๊กตาเป็นของตัวเองเลย
เสียงสลักประตูถูกปลดดังคลิก ก่อนที่ชายหนุ่มจะค่อย ๆ แง้มประตูเปิด ก่อนแทรกกายเข้าไปยังด้านใน
เสียงของพิธีกรสาวดังออกมาจากโทรทัศน์ที่กลางห้อง แต่สายตาของชายหนุ่มกลับจับจ้องไปยังร่างของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่กำลังทอดกายนอนบนโซฟาหนังตัวยาวในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย แขนข้างหนึ่งป่ายลงไปจมอยู่ในชามใส่ข้าวโพดคั่วที่วางอยู่บนพื้น
ชายหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาค่อย ๆ ย่องเท้าตรงไปยังโซฟา ชะโงกหน้าลงไปคล้ายจะจุมพิต แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น หญิงสาวที่เหมือนว่าจะนอนหลับไม่รู้เรื่องก็พลันลืมตาขึ้น ยกมือข้างที่จุ่มลงไปในชามข้าวโพดคั่วขึ้นปิดปากโจรขโมยจูบผู้นั้นได้ทันเวลา
ชายหนุ่มสะดุ้งถอยหลัง ในขณะที่หญิงสาวเพียงแต่เหลือกตามองค้อน พูดออกมาว่า "คิดจะเอาเปรียบกันเหรอ"
ชายหนุ่มหัวเราะ "ทำไม" เขาย้อนถามขณะที่หญิงสาวยันตัวขึ้นนั่ง "แค่จะหอมแก้มนิดหน่อยไม่ได้เหรอ"
หญิงสาวไม่สนใจคำพูดนั้น เพียงแต่ยกแขนขึ้นเหยียดตัวบิดขี้เกียจก่อนที่จะเหลือบไปมองนาฬิกา "ตีสองกว่าแล้วเหรอเนี่ย" เธออุทาน "ให้ตายสิ ยายนั่นใช้งานเธอคุ้มจริง ๆ "
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาบ้าง "จบงานนี้ว่าจะลาพักร้อนสักครึ่งเดือน" เขาพูด ก้มตัวลงไปหยิบชามบนพื้นขึ้นมาวางไว้บนเบาะข้างตัว "ว่าแต่เธอเถอะ ไม่เห็นต้องรอกันเลย ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ไปนอนก่อน นี่อาบน้ำแปรงฟันรึยัง"
หญิงสาวเลิกคิ้ว ใช้มือดึงชุดเดรสใส่นอนสีฟ้าให้คนตรงหน้าดู "ยังไม่ได้อาบมั้ง แหม ฉันก็แค่ดูทีวีเพลิน อย่าพูดจาขี้ตู่ไปหน่อยน่า"
ชายหนุ่มหัวเราะหึ ชะโงกตัวไปจูบหน้าผากของอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง คราวนี้หญิงสาวยอมให้เอาเปรียบโดยไม่ปริปากบ่น ก่อนที่จะหล่อนจะลุกขึ้นยืนปิดปากหาว แล้วบอกว่าจะเข้านอนแล้ว
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะทันได้กลับหลังหัน ข้อมือนวลก็ถูกอีกฝ่ายยื้อยุดเอาไว้ "เดี๋ยวๆๆๆ" ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ "กินขนมแล้วไม่แปรงฟันได้ยังไง มาแปรงฟันด้วยกันก่อน"
หญิงสาวแยกเขี้ยวโชว์ฟันขาวคล้ายจะบอกว่าไม่เห็นเป็นอย่างไร แต่นั่นก็ยังไม่เป็นที่พอใจของคนตรงหน้า ชายหนุ่มฉวยโอกาสรวบตัวเธอขึ้นอุ้มเดินตรงไปยังห้องน้ำ โดยไม่ได้สนใจเสียงประท้วงนั้นแม้แต่เพียงน้อย
แต่นั่นก็เป็นเพียงการโวยวายให้พอเป็นพิธีเท่านั้นเอง เพราะนอกจากจะพองตาขู่นิดหน่อยแล้ว หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงอาการว่าโกรธเคืองอะไร เมื่อคนทั้งสองแปรงฟันเสร็จ เธอก็ได้ทีใช้มือหยอกตีหน้าท้องของอีกฝ่ายเป็นการเอาคืน ก่อนที่จะสะบัดเรือนผมเดินตรงไปยังห้องนอน ปล่อยให้ชายหนุ่มได้อาบน้ำชำระร่างกายหลังจากต้องทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน
เข็มนาฬิกาเกือบจะแตะเลขสามอยู่รอมร่อกว่าที่ชายหนุ่มจะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เขาเดินฮัมเพลงตรงไปยังห้องนอน ก่อนที่จะหยุดส่งเสียงออกมากลางคันเมื่อพบว่าด้านในปิดไฟเงียบ ได้ยินเพียงแต่เสียงลมหายใจเป็นจังหวะของคนที่นอนรออยู่ก่อนแล้วเท่านั้น
เขาแทรกตัวเข้าไปในห้อง ขยับกายขึ้นนั่งบนเตียงโดยพยายามใช้เสียงให้เบาที่สุด แต่ดูเหมือนว่านั่นจะยังไม่ดีพอ ด้วยมีเสียงงัวเงียของหญิงสาวดังขึ้นแทบจะในทันทีว่า "ทำงานหนักไปแล้วนะ"
ชายหนุ่มครางอืมในลำคอเป็นเชิงรับ "เธอก็รู้ว่าเรื่องคราวนี้มันเป็นยังไง" เขาพูด "ขอโทษนะที่ช่วงนี้ไม่มีเวลาให้เลย เดี๋ยวไว้..."
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายก่อนที่จะทันพูดได้จบประโยค "ไม่เป็นไรค่ะ" เธอพูด "แต่... แต่เธออ้วนขึ้นนะ เมื่อกี้ฉันว่าฉันจับเจอพุงด้วยล่ะ"
ชายหนุ่มชะงักไปก่อนที่จะหลุดหัวเราะพรืดออกมา "แย่ล่ะสิ" เขาพูดกลั้วหัวเราะ "ทำงานหนักเกินไปจริง ๆ ด้วย"
หญิงสาวหัวเราะคิก ลืมตากลมกว้างขึ้นจ้องตรงไปยังเงาร่างของชายหนุ่ม "จริง ๆ ก็ไม่ได้แย่อะไร นิ่ม ๆ ดี ชอบมากกว่าตอนที่เป็นกล้ามแข็ง ๆ แบบเมื่อก่อนอีก"
ชายหนุ่มหัวเราะ ก้มหน้าลงจูบหน้าผากของอีกฝ่ายพร้อมกล่าวราตรีสวัสดิ์ หญิงสาวหัวเราะคิกอีกครั้ง เธอยกศีรษะขึ้นหอมแก้มกลับ ตอบคำว่า "ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ไอ้หมูอ้วน"
วิธีการเอาตัวรอดจากเหล่าโนวิสผู้กระหายเลือด 101
“เด็ก ๆ จ๊ะ โตไปอยากเป็นอะไรกันเอ่ย?”
ชิบหายละ เปิดมาแบบนี้แม่งต้องแน่นอนว่าผมคงไม่ได้อยู่ในโลกพนักงานบริษัททำงาน 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น แต่ทำโอทีต่อถึง 5 ทุ่มแน่ ๆ ตะกี้ก็ไม่ได้ถูกทรัคซังส่งมาต่างโลก ยังมั่นใจว่ากำลังแก้ไฟนอลสุดท้ายของลูกค้าที่จะเอาภายในพรุ่งนี้เช้าอยู่เลย ถึงกรุงโรมจะไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่ถ้าบัดเจ็ทถึง จะเอาเวนิชกับปรารีสด้วยก็ได้
สงสัยกระทิงแดงผสมเอ็มร้อยและเอสเพรสโซ่สองเป๊กคงทำพิษกัน ผมคงตายห่าคาคอมพิวเตอร์และเมาส์ปากกาของบริษัทไปแล้วมั้ง ที่สำคัญกว่าคือตอนนี้ต้องมาอยู่ในสถานการณ์อะไรวะเนี่ย
“พุดิดินอยากเป็นคุณครูค่าา” ยัยเด็กน้อยตาแป๋วกระโดดจนเนื้อตัวสีชมพูใสเด้งดึ๋ง ๆ ด้วยความร่าเริงเบอร์สิบ ถึงเพื่อนจะบ่นว่าเชยแต่อย่างน้อยก็ยังได้รับคำชมจากคุณครูตัวสีม่วงพาสเทล
“ปิ๊วปิ๊วอยากสไลม์นักบวชสาวฮะครู” ไอ้เด็กตัวสีแดงกลมโตเกินไซส์เพื่อนหน้าตาหาเรื่องหาราวตอบแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก สไลม์นี่มันคือ verb ประเภทไหนวะ ขอคำขยายความด้วยไอ้หนู
“อู้หูววว เท่จังเลย ปิ๊วปิ๊วอยากจะสไลม์นักบวชสาว! นี่ต้องเป็นตำนานแน่ ๆ ยังไม่เคยมีบรรพบุรุษคนไหนเคยสไลม์นักบวชสาวเลยนะ! มีแต่เคยสไลม์นักเวทย์หนุ่ม”
เดี๋ยว ๆ ไอ้สไลม์นี่คือหมายถึงทำเรื่องลามกติดเซ็นเซอร์ใช่ไหม! เอ็งมันสายบาปหรือยังไงถึงอยากไปปู้ยี่ปู้ยำนักบวชสาวน่ะ แล้วไอ้โคตรพ่อโคตรแม่ที่เคยไปปล้ำนักเวทย์ชายนี่มันยังไง? ยัยครูก็ห้ามหน่อยสิโว้ย ลูกเด็กเล็กแดงคิดเรื่องลามกจกเปรตพรรค์นี้ หล่อนจะปล่อยมันไปเฉย ๆ เรอะ
“ปาปาอยากเป็นเจลลี่รสมินต์ที่เสิร์ฟในหน้าร้อน~” สไลม์ตัวน้อยสีฟ้าน้ำทะเลพูดด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนที่น่าจะเป็นแก้มแดงระเรื่อ
“ว้าวว ปาปาต้องอร่อยแน่ ๆ เลย”
หล่อนแม่งไร้อนาคตสุดแล้วปาปา แม่งอยากโตไปเป็นของกิน! แล้วไอ้การสนับสนุนของเพื่อนนั่นคือแม่งอะไร เอ็งเป็นฮันนิบาลลิซึ่มอยากรับประแดกเพื่อนในหน้าร้อนเหรอ?”
“ความฝันแต่ละคนน่ารักมากเลยจ๊ะ” น่าฮักกะผีอีป้ออีแม่คิงก๊า แต่ละตัวฝันห่าเหวอะไรบัดซบขนาดนั้นวะ ยัยครูเห็นผมเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้ตอบเลยมองลอดแว่นตาที่ไม่รู้ว่าแปะอยู่บนก้อนใส ๆ ได้ยังไง “ปุรินรินล่ะจ๊ะ อยากโตไปเป็นอะไร”
“เทพอย่างปุรินรินต้องอยากเป็นราชันสไลม์แน่เลย~” ยัยปาปาที่ฝันอยากเป็นขนมชิงตอบก่อนที่ผมจะคิดคำตอบออก
ราชันสไลม์บ้าบออะไร ตรูไม่เป็นด้วยหรอกเฟ้ย ฟังดูก็รู้ว่าเป็นแค่บอสกาก ๆ โนวิสเลเวลแปดยังไม่ทันได้เลือกอาชีพก็ตบตายในไม่กี่ทีแล้วมั้ง เกิดใหม่ทั้งทีเป็นอะไรเสือกไม่เป็น ดันเป็นสไลม์สีโง่ ๆ โคตรปัญญาอ่อน
“ครูฮะ!” ลูกคู่ของปิ๊วปิ๊วที่คอยช่วยชงตะโกนแทรกขึ้นมา ครูสาวสไลม์สีม่วงจุปากเบา ๆ ให้เขาเงียบปล่อยให้ผมได้พูดก่อน แต่เขาก็ยังไม่หยุด “ครูฮะ! ผู้กล้าฮะ~”
“อ๋อ ปุรินรินอยากเป็นผู้กล้าเหรอจ๊ะ เป็นความฝันที่—-โผล๊ะ!”
ครูพูดยังไม่ทันจบก็ถูกมีดสั้นจากด้านหลังปักเข้ากลางหัวจนแตกดังโผล๊ะกลายเป็นน้ำเหนียวสีม่วงที่สาดใส่เต็มหน้าเหล่าสไลม์อนุบาลที่ล้อมวงกันอยู่ ส่วนแว่นตาที่เคยอยู่บนหน้าก็ร่วงแกร๊งลงกับพื้น ระหว่างที่เด็ก ๆ มองหน้ากันแบบไม่รู้จะทำยังไงดี ก็มีเสียงประกาศขึ้นเสียก่อน
“ผู้เล่น วันนี้พี่มาคนเดียว กำจัดครูสาวสไลม์ม่วงเลเวล 4 ได้รับ 35 exp. และดรอปไอเทมเควสแว่นตาสไลม์”
ผมกระโดดขึ้นแล้วหันตัวไปมองด้านหลัง ทุ่งสไลม์ที่แสนสงบสุขเริ่มมีเหล่าชายหญิงในชุดผ้าฝ้ายโทรม ๆ ยังไม่ได้เลือกอาชีพเกาะกลุ่มฟาดฟันก้อนสไลม์หลายสีกันอยู่
“หนีสิเว้ย รอพ่อเอ็งมาตัดริบบิ้นเรอะ” พอผมพูดจบเหล่าสไลม์เด็กก็แยกย้ายหนีไปคนละทางทั้งที่ยังร้องไห้กันจ้าละหวั่น ส่วนผมกระโดดดึ๋ง ๆ เผ่นหนีไปทางที่คิดว่าจะมีผู้กล้าน้อยที่สุด
ส่วนคำตอบที่ว่าเกิดใหม่มาอยากเป็นอะไร ก็มีคำตอบเอาไว้ในใจแล้ว
ตูไม่อยากเป็นอะไรทั้งนั้น ตูขอแค่มีชีวิตอยู่รอดไม่โดนโนวิสตบตายก็พอ!
จริง ๆ น่าทำ experiment นะ เขียนด้วยภาษาแบบนี้ เนื้อเรื่องลามกหน่อยนิด ๆ ฮาเร็มหน่อย ๆ เพิ่มจิ้นวายอีกนิด ความยาวสัก 2-3 หน้าก็พอ เขียนล่วงหน้าไว้สัก 20 ตอน แล้วอัพทุกวัน อยากรู้ว่ามันจะไปได้แค่ไหน แต่คงใช้ id ใหม่ว่ะ นี่แม่งคนละแนวกับที่กูเขียนโดยสิ้นเชิงเลย 5555
“ไลท์เทนนิ่งซื้อรถใหม่ว่ะ Pagani Zonda รุ่น HP Barchetta สีดำ หมดไปสิบแปดล้านเหรียญเลยนะเว้ย” เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นมาจากหูฟังทรูไวร์เลสที่เขาสวมเอาไว้ทางด้านซ้าย หลังจบประโยคนั้นก็มีเสียงสวนขึ้นมาทันที
“ปัญญาอ่อน แม่งยังไม่เลิกโรคเด็กม.สองอีกเรอะ รถเด่นขนาดนั้น คงได้โดนคนมุงก่อนได้ขับหนีอีกมั้ง ไอ้เวรนี่แม่งโคตรไม่มืออาชีพ เดี๋ยวก็ได้ชิบหายกันทั้งวงการ”
“ใจเย็นน่าแอล” เขาหัวเราะเบาแล้วกระซิบกลับแผ่วเบา ดวงตาข้างขวายังคงจ้องกล้องซูมคุณภาพสูงที่ส่องไปยังอาคารฝั่งตรงข้าม “ยังไงคนชิบหายก็ไม่ใช่พวกนายหน้าแบบนาย จะไปเดือดร้อนแทนมันทำไม”
“แม่งปัญญาอ่อนกันทั้งผัวทั้งเมีย” คนเปิดเรื่องประเด็นยังคงลากเข้าเรื่องเดิมด้วยความขำขัน “เดือนก่อนยัยบลัดวูล์ฟเมียมันก็เพิ่งถอยแลมโบกินี่ สรุปจอดไม่ต้องแจว วีคก่อนเจอรถติดอยู่สุรศักดิ์เข้าไปจบงานไม่ทัน เห็นว่าโดนกระทืบจนม้ามแตกตอนนี้ยังออกจากโรงบาลไม่ได้เลยมั้ง”
“หมายถึงงานอุ้มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองสินะ” แอลหัวเราะลั่น “กรุงเทพแม่งเมืองหลวงแห่งรถติดนะเว้ย คิดบ้าอะไรซื้อแลมโบมาขับวะ ผัวเมียคู่นี้เหมาะสมกันดีแล้ว”
“คู่นี้มันเพี้ยนตั้งแต่ตั้งชื่อแล้ว ตอนเด็กๆ อ่านการ์ตูนกันมากเกินมั้ง” ชายคนต้นเรื่องพิมพ์อะไรสักอย่างดังก๊อกแก๊ก ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า “นายล่ะแมตต์ เห็นงานก่อนได้มาหลายล้าน ไม่สนใจถอยซูเปอร์คาร์กับเขาสักคันเหรอ นายแม่งความหวังของตี้ ‘ฟอร์ตไนท์จะเล่นตอนไหนก็ได้โตแล้ว‘ ของพวกเรานะเว้ย”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบเป็นจุดเด่นขนาดนั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาเหมือนตาแก่ไม่เหมาะกับหน้าตาที่ดูยังไงก็วัยรุ่นเอเชียอายุไม่น่าเกินยี่สิบ “ขอแค่รองเท้าดีๆ สักคู่ก็พอแล้ว”
“หรือไม่ก็สเก็ตบอร์ดดีๆ สักอัน” แอลหยอกอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังนัก แต่ประโยคต่อมาเรียกว่าชมจากใจจริง “ทำไมไอ้โง่พวกนั้นมันไม่รู้จักทำตัวให้เนียนๆ อย่างนายวะ ฉันยังประทับใจงานที่มาเรียสแควร์ หลังจบงานนายแม่งไถสเก็ตบอร์ดออกไป ตำรวจเจอนายยังไม่สงสัยเลย”
แน่ล่ะ ตำรวจจะไปสนใจอะไรเด็กเอเชียวัยรุ่นทำผมสีทองคล้องเฮดโฟนและไถสเก็ตบอร์ดผ่านไปกัน มองยังไงก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเมื่อกี้เขาเพิ่งเอาลูกกระสุนกรอกปากนักธุรกิจใหญ่มา
“พอๆ นางแอ่นใกล้ถึงแล้ว รอติดไฟแดงอยู่แยกหน้า” ผู้ให้ข้อมูลกล่าวตัดจบแล้วปล่อยให้คอลกลุ่มเหลือแต่ความเงียบงันให้แมตต์ได้มีสมาธิทำงานเต็มที่ เขาสอดนิ้วเข้าไปในโกร่งปืนรอจนรถเก๋งสีดำจอดเทียบประตู ชายวัยกลางคนในชุดสูทค่อยๆ เดินออกมาทักทายกับคนรอบข้าง จากนั้นก็เหนี่ยวไกใส่เลขาของเขา
กระสุนหนึ่งนัดทะลุเข้ากะโหลกศีรษะจบชีวิตนกนางแอ่นผู้เป็นเป้าหมายเรียบร้อย เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนคิดเก็บเลขาของผู้นำประเทศ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องรู้ เขาเป็นนักฆ่า รู้แค่ว่าเป้าหมายคือใครก็พอ
“เอ้า จบงาน เก็บของกลับได้” ผู้ให้ข้อมูลกล่าวสั้นๆ แล้วตัดสายคอลกลุ่มไป แมตต์รีบถอดปืนสไนเปอร์เก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว จากนั้นค่อยหยิบหมวกและแจ็กเก็ตสีเขียวสดมาใส่ตามด้วยสะพายกล่องใส่อุปกรณ์บนหลัง
“เสร็จแล้วหรือไอ้หนุ่ม” ยามร่างกายสูงใหญ่วัยไม่เกินห้าสิบดักเขาไว้ก่อนที่แมตต์จะเดินออกจากตึก เขาหันไปพยักหน้าและยิ้มแย้มด้วยความเป็นมิตร “มาส่งอะไรล่ะ?”
“ส่งปูดองน้ำปลาให้ชั้นสิบหกครับ เดี๋ยวมีงานต่อต้องไปซื้อเกาลัดที่เยาวราช”
ยามคนนั้นมองด้วยสายตาเห็นใจ มือตบลงบนไหล่ของเขาเบาๆ ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่ากล่องที่สะพายบนหลังคือกล่องอุปกรณ์ปืนไม่ใช่กล่องใส่อาหาร “ยังหนุ่มยังแน่นก็ขยันทำมาหากินแล้ว ลุงไม่กวนเอ็งล่ะ ไปส่งของต่อเถอะ”
แมตต์ยกมือไหว้แล้วเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้หน้าอาคาร เขาคาดกล่องอุปกรณ์ไว้ท้ายรถกระชับแจ็กเกตเข้าหากันเล็กน้อย สายตาไม่แม้แต่จะเหลือบมองความวุ่นวายทางฝั่งตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ
งานเรียบร้อย คนไม่น่ารอด อีกไม่กี่วันเงินค่าจ้างคงจะถึงมือ ตอนนั้นเขาคงซื้อรองเท้ากีฬาคู่ใหม่ที่เหมาะกับการวิ่งปีนป่ายเอาไว้คุยอวดเพื่อนร่วมอาชีพในคอลเกมสักที
แมตต์สวมหมวกกันน็อคสีเขียวสะท้อนแสงที่เขียนว่า GrabFood จากนั้นก็ขับมอเตอร์ไซค์คันโทรมออกไปตามถนนพระรามเก้าที่เริ่มรถติดขนัด ไม่มีใครสนใจพนักงานส่งอาหารคนนั้นเลยสักคน
ท่ามกลางสวนลุมพินีเวลาห้าโมงเย็นที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินและใกล้ได้เวลาเคารพธงชาติ ชายวัยห้าสิบกว่าทรุดนั่งบนม้านั่งที่มีกระเป๋าหลายใบวางกองกันอยู่ เขาเอื้อมไปหยิบขวดน้ำจากกระเป๋ายี่ห้อดัง ก่อนจะหยิบแคปซูลละลายน้ำได้จากกล่องโลหะแล้วหย่อนเม็ดยาลงไปเมื่อมั่นใจได้ว่าไม่มีใครสังเกตเห็น เพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินก็ปลีกออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่เล่นตะกร้อกันอยู่ไกล ๆ และเดินตรงเข้ามา คงเป็นเจ้าของกระเป๋าใบที่ว่า
"น้องเป็นเจ้าของกระเป๋าใบนี้หรือเปล่า" เขาชี้กระเป๋าพร้อมเอ่ยถาม น้ำเสียงของชายวัยกลางคนแข็งกระด้างยิ่งกว่าหินแกรไฟต์ หน้าตาถมึงทึงบ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตร
"ใช่ กระเป๋าผมเอง" เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมองขึ้นด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรไม่ต่างกัน อย่าคิดว่าอายุเยอะแล้วจะมาทำข่มกันได้ อายุไม่เกี่ยวใส่เดี่ยวได้หมด จะรุ่นเล็กรุ่นใหญ่เจอตีนเข้าไปก็ลงไปนอนวัดพื้นได้เหมือนกัน แล้วตีนเขาก็เบอร์สี่สิบห้าเหมาะจะทาบหน้าคนได้พอดี "ลุงจะซื้อเหรอ ผมไม่ขาย มีไรป่าว"
"ไม่ได้จะซื้อ" คิ้วของชายวัยเกือบห้าสิบกระตุกเข้าหากัน เริ่มปวดประสาทที่ไอ้เด็กนี่ชักจะเริ่มกวนส้นเท้า "น้องรู้ไหมกระเป๋าใบนี้มันละเมิดลิขสิทธิ์"
"อ้าว งั้นเหรอ มีคนให้ผมมาอ่ะ ผมจะไปตรัสรู้ได้ยังไง" เด็กหนุ่มยักไหล่แล้วมองกระเป๋าอย่างไม่ยี่หระ แค่กระเป๋าใบหนึ่งยังต้องมาตรวจสอบกันแบบนี้ ตำรวจบนโลกนี้คงว่างงานกันเกินไปแล้วม้าง
"พี่เป็นตำรวจนะน้อง" ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่สนใจหน้าที่ที่บ่งบอกว่า ‘โอ้โห แก่จนหนวดขาวยังจะมีหน้าเรียกตัวเองว่าพี่อีก’ ของอีกฝ่าย "ขอดูบัตรประชาชนหน่อยได้ไหม"
"เอาไปทำไม ลุุงจะจับผมเหรอ?" เด็กหนุ่มหรี่ตาลงมอง “อยู่ดี ๆ มาบอกว่าเป็นตำรวจแล้วมาขอบัตรประชาชนนี่นะ เป็นมิจฉาชีพเปล่าลุง? มีใบไหม? ถ้าไม่มีผมจะแจ้ง"
"แค่อยากดูบัตรเฉย ๆ " คนที่บอกว่าตำเองเป็นตำรวจยังคงไม่ยอมแพ้ จากท่าทางดุดันกลายเป็นอ่อนโยนขึ้นแทน เขาส่งขวดน้ำที่ใส่แคปซูลยาลงไปให้เด็กหนุ่มคนนั้น “บ้านเราอยู่แถวนี้เหรอ เล่นตะกร้อเหนื่อย ๆ กินน้ำหน่อยไป”
“ผมไม่กินเว้ย ลุงใส่ไรลงไปในน้ำเปล่าวะ”
“ไม่ใช่น่า กินหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่ให้ตังค์กินหนมก็ได้” ชายวัยกลางคนทำท่าจะควักกระเป๋าเงินออกมา
“ลุงห่านี่แม่งเป็นไรของมันวะ” เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วตะโกนไปหาเพื่อนที่เตะตะกร้อกันอยู่ข้างหลัง “ไอ้ชาติ ไอ้เปิ้ล มานี่หน่อยดิ๊ ไอ้ลุงนี่มันมีพิรุธว่ะ สงสัยอยากโดนยำตีน”
ค่ำวันนั้นดอกเตอร์ก็กลับไปด้วยท่าทางหมดสภาพตาแตกหมอไม่รับเย็บ ส่วนขวดน้ำเวรนั่นโดนโยนทิ้งถังขยะไปแล้ว
>>409 แรกๆ สังเกตเห็นความพยายามจะฟองเบียร์ แต่พอถึงครึ่งหลังสำนวนมิงกลับมาเป็นของตัวเอง การเล่าเลยกระชับขึ้นเอาดื้อๆ แต่ก็ขอบใจมาก
ลึกๆ แล้วมิงทำให้กุนึกถึงโม่งที่แต่งนิยายว่าตัวเองแต่งนิยายแนวกระแสในเด็กดวก แล้วมียอดวิวถล่มทลาย มีอยู่ตอนนึงมันจงใจเขียนผิดหลายคำ ใช้คะ/ค่ะ ผิดรัวๆ จนกุยอมรับในความพยายามของแม่งเลย
1
ผมดูรูปDLCแล้วชักว่าวครั้งแรกตอนอายุ 25 เพราะผู้หญิงคนหนึ่งบอกผมว่า
“อย่าพูดว่าตัวเองบ้าหีเลย ถ้าดูรูปวงไอดอลแค่สองวงต่อเดือน และไปงานจับมือเพื่อกลับบ้านมาชักว่าวแบบไม่ล้างมือ”
หยิ่งผยอง ผมเสียหน้า
ผมคุยกับเธออีกสองสามประโยคก็พบว่าเธอชอบหนังนอกกระแส เธอชอบ เลว2018 กับ ขรัวโต อมตะเถระ พร้อมเล่าเรื่องย่อให้ผมฟัง ผมคุ้นๆ และผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมเคยดูนานแล้ว นั่นมันเรื่อง “ไอ้หนุ่มขาลาย ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง” กับ “นักบวชตาชั้นเดียว” นี่หว่า เห็นชื่อหนังกูก็นึกว่าหนังตลาดๆทั่วๆไปที่ไหนได้แม่งหนังอะไรก็ไม่รู้ ผมทนเธอไม่ไหวเลยรีบปลีกตัวออกมา เดินกลับไปหาเพื่อน กระซิบบอกมัน ดนตรีการาจร็อคดังกระหึ่มเป็นฉากหลัง...อีห่าโลกมันไปถึงไหนมึงยังเปิด "มหาลัยวัวชน" อีกเหรอ
“ผู้หญิง คื อ ลื อ คนนั้นใครวะ นมหยั่ยชิบหาย”
เพื่อนบอกไม่รู้เหมือนกัน (อ้าวแล้วเนียนมาหลอกด่ากู ?) ดูเหมือนเธอมาคอยผัว เธอยืนผงกตามจังหวะดนตรี เธอใส่เสื้อ อะไรสักอย่างคล้ายเครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เสี้ยววินาทีที่ผมจ้องเสื้อของเธอ เธอรู้ว่าถูกมอง เธอมองตรงมาหาผม เธอมองเพื่อถามว่า “มึงจ้องนมกูอยู่ใช่มั๊ย ?”
2
คืนต่อมา มีคนถ่ายรูปเธอลงในเพจ “คุ ณ ภ าพ” แต่ไม่มีใครแทคเธอ
มีแต่คนคอมเม้นว่า ห อ ม ไม่ก็ คื อ ลือ ผมไม่เข้าใจมาจากจังหวัดไหนกันเนี่ยพวกท่าน
3
สองสัปดาห์ต่อมา ผมไปงานเปิดนิทรรศการของแกลลอรี่หนึ่ง ทั้งที่ไม่รู้ว่าไปทำไม แต่น่าจะมีของฟรี ช่วงนั้นเงินเดือนใกล้หมด อะไรประหยัดได้ผมก็ไป บางครั้งผมไม่รู้ว่าออกจากห้องไปทำไม เสียทั้งค่ารถ รวมๆกันก็เท่ากับแดกลาบข้างทางอิ่มๆสักมื้ออยู่ดี
ผมยอมรับว่าผมลืมไปแล้ว เพราะสาวๆในเพจ คุ ณ ภ า พ แม่งน่าจดจำมากกว่า น้อง คื อ ลื คนนั้น แต่เธอดันอยู่ที่นั่น อกหนาๆ เสื้อเหี้ยอะไรสักอย่างกึ่งๆคอสเพลย์ ผมว่าเธอไม่รู้ว่าเธอมีความพยายามเห็นเด่นชัดแน่ๆ ผมเริ่มประโยคแรก “ผมดูหนังเลว2018 แล้วนะ สนุกดี”
เธอบอก “ดูเพราะมันเป็นหนังแอ๊คชั่นน่ะสิ”
เธออัปเปอร์คัตขวา ผมหลบไม่ทัน อะไรวะ ผู้หญิงคนนี้
“คุณเป็นคนที่ไหนคนจังหวัดอะไร” ผมอยากรู้จริงๆ “เป็นไอดอล นักร้อง หรือ หางเครื่องเต้นประกอบแบคกิ้งแทรค หรือ ขายแฟนเซอร์วิสให้โอตะ”
เธอตอบ “ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง”
“แต่เป็นกระหรี่ใช่มั๊ย?” ผมถามโพล่งไปอย่างไม่รู้ตัว สายตาจับอยู่ที่หน้าอกของเธอ เธอตอบคำถามผมด้วยการตบฉาดเข้าที่ใบหน้า ในขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากขอโทษ เธอก็พูดยิ้มๆ
“คุณชัดเจนดี ฉันจะเย็ดกับคุณ”
4. ไม่น่าเชื่อ ผมมาโรงแรมม่านรูดครั้งแรก กับผู้หญิงแปลกหน้า (เอาจริงๆผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือเปล่า) เรามาโรงแรมตอนเย็นๆ เธอบอกว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย เธอเดินตามผมต้อยๆ ดูสงบและผยองน้อยลงกว่าที่เคยเป็น ผมพาเธอไปเดินซื้อของ7/11 แวะ ซื้อถุงยางด้วย อากาศที่อบอ้าวทำให้ผมและเธอเหงื่อแตกพลั่ก เสื้อบางๆของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ มองเห็นสายยกทรงสีดำและเนินอกใหญ่ตระหง่าน “ร้อนจังเลย” เธอบ่น “คนจะเย็ดกันเค้ามีอารมณ์เอากันได้ยังไงนะ อากาศแบบนี้” ผมสะดุ้งกับคำถามลอยๆของเธอ นึกในใจว่า “แต่กูไม่เคยเย็ดใครเลยนี่หว่า...”
5. เรากลับเข้าห้อง หลังจากที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เธอก็พุ่งตัวเข้าห้องน้ำ ไม่มีท่าทีเขินอายใดๆกับสายตาของผมที่จ้องมอง ห้องน้ำโรงแรมเป็นกระจกใส แต่เธอทำทุกอย่างราวกับผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่นั่น เธอเปลื้องผ้า ขับถ่าย แปรงฟัน อาบน้ำราวกับจะใช้น้ำทั้งโรงแรมไปกับการอาบครั้งนี้ ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพันตัวหลวมๆ และล้มตัวนอนทันที ผมสำรวจ สำรวจเธอ แล้วก็ได้รู้ว่านมเธอใหญ่จริงๆ มือก็ใหญ่ เท้าก็ใหญ่ ไม่ใช่สเปคผมหรอกที่จริง ผมชอบผู้หญิงที่มือเท้าเล็กๆ ที่แน่ๆ ระหว่างรอเทออาบน้ำผมก็ชักว่าวกับDLC จนหมดแรงแล้ว
แถวๆนี้มีอะไรดีบ้างผมไม่รู้แล้ว เพราะหลังจากวันนั้น เราสองคนก็แทบจะไม่ได้ออกจากห้องกันอีกเลย...
6. กลับจากโรงแรมวันนั้น ผมก็หายไปจากชีวิตเธออย่างถาวร มีเพียงสายสัมพันธ์ทางโซเชียลที่ไม่ได้ตัดขาด
7. กลางดึกคืนหนึ่ง เธอโทรมา หนึ่งปีได้มั้ง หลังจากคืนนั้น
เธอถามว่า “ถุงยางกล่องที่เธอลืมไว้ตรงหัวเตียงวันนั้น ยังไม่ได้แกะออก เราขอเอาไปใช้กับลูกค้าใหม่นะ”
ผมตัดสายทิ้งทันที
8. ผมไม่กล้าบอกเธอ ว่าตอนนี้ผมชักว่าวกับรูปผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่ด่าว่าผมเป็นพวกขี้โม่ยเพราะผมไม่เคยอ่านหนังสือโฟโต้บุคของสนพ ปลาสด ก่อนหน้านั้นผมก็เจอผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หาว่าผมเป็นพวก ประชาธิปไตย จอมปลอมเพราะไม่เคยกระทืบเมียเพราะหาเมียไม่ได้ หรือก่อนหน้านั้นอีก กับผู้หญิงที่ดูถูกผมว่าถ้าทนฟังไม่ได้ก็เอามืออุดหูไป ผมเจอผู้หญิงแบบนี้เยอะแยะมากมาย ทุกคนล้วนไม่ใช่สเป็ค แต่ก็ทำได้แค่ เซฟเธอ แล้วชักว่าวๆ
9. คิดดูแล้ว นักบินอวกาศก็คงเป็นแบบนี้ใช่ไหม ที่วันๆเอาแต่นั่งขัดจรวดอะครับ น้องๆครับ...
โรงเรียนวิปโยค ไทรโศกเจ้าเอ๋ย ยามนี้กิ่งใบร่วงโรย ไร้แรงจะสั่นไหว....
"เฮ้ย เทอมนี้โรงเรียนเรามีเด็กทุนด้วยว่ะ"
เสียงพูดคุยซุบซิบที่แพร่หลายไปทั่วกลุ่มนักเรียนคงไม่พ้นประเด็นร้อนที่สุดของการเปิดเทอมใหม่วันนี้ เมื่อผู้อำนวยการคนปัจจุบันรับนักเรียนทุนที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์รอบยี่สิบปีเป็นกรณีพิเศษ
โรงเรียนเอกชนชายล้วนแห่งนี้ไม่ใช่ว่าจะเข้ามาเรียนกันง่าย ๆ นอกจากเป็นลูกหลานของศิษย์เก่าหรือมีเส้นสายแนะนำเข้ามา ยังต้องบริจาคเจ็ดหลักขึ้นไปถึงจะสามารถมีสิทธิ์ในการสอบเข้าได้ นักเรียนใหม่คนนี้ไม่มีทั้งเส้นสาย ไม่มีทั้งเงินทอง แต่เข้ามาด้วยผลการเรียนและการสอบเข้าล้วน ๆ เรียกว่าไม่ยุติธรรมสำหรับสถานที่ที่ใช้เงินตราแทนอำนาจอย่างที่นี่แล้ว
"ไอ้แว่นนั่นเปล่าวะ? มาถึงก็ได้อยู่ห้องคิงเลยนะมึง"
สายตานับสิบพุ่งไปยังเด็กหนุ่มตัวผอมกะหร่องสวมแว่นตาหนาเตอะ ผมสั้นเกรียนแบบเด็กโรงเรียนรัฐบาบ ข้างหลังสะพายกระเป๋าเป้โทรม ๆ ใบโต ชุดนักเรียนแม้เป็นของใหม่แต่ก็ไม่ใช่ของสั่งตัด ท่าทางขัดสนต่างจากนักเรียนคนอื่นที่เนี้ยบหรูตั้งแต่หัวจรดเท้า ความแปลกแยกจากภายนอกของเขาทำให้เด็กที่เติบโตมาจากสังคมเงินต่อเงินส่วนหนึ่งย่นคิ้วมองด้วยสายตากึ่งดูแคลนกึ่งเวทนา ขณะที่อีกส่วนมองด้วยสายตารังเกียจอย่างชัดเจน
ขี้เกียจแต่งแล้วอ่ะ เทละกัน
>> 417 9.นี่ซิกเนเจอร์พรี่โจวเลยอ่ะครับ
คือไรวะ กระทู้เเต่งนิยายเหรอ
มีใครเคยเเต่งนิยายพล็อต ฆาตกรต่อเนื่องศาลเตี้ยที่ติดคุก
เเล้วไปฆ่านักโทษในคุกโดยมีพวกพัศดีเป็นคนช่วยสนับสนุนยังวะ กลัวซ้ำ
กูยังไม่เคยเเต่งนิยาย เเต่ขอกูพิมพ์เเปป
Q-49094
"ขอบคุณมาก คุณพัศดี"
เขาบอกเเก่กล้องวงจรปิดหน้าคุกมืด Qได้ก้าวออกไปจากห้องเเห่งนี้เหมือนมันเป็นห้องของเขาเองทุกคืน เพื่อไปหามิตรสหายที่จะได้รับอิสระภาพเเบ่งปันช่วงเวลาสุดท้ายของตน
เสียงเหล็กครูดกันนานไม่ถึง5วิ ประตูห้องขังหนึ่งเปิดออก นักโทษชาวอเมริกันร่างสมส่วนสูงราว6ฟุตที่อยู่ข้างในรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง พลางคิดสงสัยว่าข่าวนักโทษล้นคุกส่งผลให้ต้องปล่อยนักโทษออกไปอย่างลับๆที่เพื่อนร่วมเเดนของเขาบอกท่าจะจริง ไม่ถึง10วิหลังจากประตูเปิดเขาก็วิ่งโห่ร้องดีใจออกมา
ความทรงจำของเขาจบลงเเค่นั้น
4ชั่วโมงหลังจากสลบไป เขาสะดุ้งตื่น ภาพเเรกที่เห็นคือความมืด เเละความเจ็บปวดทั้งท่อนล่างนับตั้งเเต่ราวนมลงไป
ควยกูไปต่อไม่ได้ละ
ยังไง
ต่อนะ
4ชั่วโมงหลังจากสลบไป เขาสะดุ้งตื่น ภาพเเรกที่เห็นคือความมืด เเละความเจ็บปวดทั้งท่อนล่างนับตั้งเเต่ราวนมลงไปที่รู้สึกเจ็บทุกลมหายใจ
*โพละ*
เสียงของเเข็งกระทบกะโหลกของตัวเขาเอง นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่สัมผัสของเขาสัมผัสได้
เสียงออดปลุกให้นักโทษทุกคนตื่น บ่งบอกเวลา6นาฬิกาในตอนเช้า เเละเป็นเวลาที่Qพ้นโทษจากคุกมืดเช่นกัน
ห้องของรวมของเขามีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา บรรลุนิติภาวะได้ไม่ถึง5ปี รอลงอาญา Qที่เดินสวนฝูงนักโทษไปทางห้องขังของตนกำลังเห็นพวกผู้คุมนำตัวนักโทษคนนี้เขาห้องขังของเขา Qก็เดินตามเข้าไปเเบบไม่พูดอะไร
ทั้งสองฝ่ายเงียบใส่กัน
"ไปทำอะไรมา" Qพูดด้วยเสียงเรียบ
"..."
"มันเอาอีกเเล้วเหรอ"
"เออสิวะ จะกี่คนกี่คนมันก็ทำเเบบนี้ตลอด"
"ตัวกินนักโทษโดยเเท้ ไม่จับมันขังลืมในคุกมืดเลยวะ"
"ก่อนที่มันจะเข้ามามันก็ทำเเบบนี้ พอมันเข้ามามันก็ยังทำเหมือนเดิม เหยื่อที่ตรงความต้องการเต็มไปหมดเเบบนี้ สำหรับมันไม่เรียกว่าคุกหรอก"
"อย่างน้อยก็เอาพวกที่เป็นใบ้ ไม่ก็พวกที่ไม่ได้ก่อคดีอะไรร้ายเเรงไปขังกับมันก็ได้"
Qโดนส่งกลับเข้าสู่คุกมืด
"ขอบคุณมากที่มาส่ง"
เหี้ยไรวะกูไปต่อไม่ได้ละ
‘คุณพ่อของผมคือบุรุษรูปงามร่างสูง เป็นชายที่มีลักษณะโดดเด่นเกินใครคนไหน ผมสีทองเงางาม ดวงตาเรียวคมสีฟ้าสดใส ผิวสีแทนเพราะคล้ำแดด คุณพ่อมีเสน่ห์แบบที่ไม่มีผู้ชายคนไหนมี ทั้งคุณพ่อยังใจดี ท่านเลี้ยงดูลูกทุกคนอย่างยุติธรรม
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นลูกชายคนที่เท่าไหร่ของคุณพ่อ แต่คีธ พี่ชายที่แก่กว่าสามปี บอกเสมอว่าให้จำเอาไว้ว่าผมเป็นลูกคนสุดท้าย เพราะอย่าไปจำเลยว่าเป็นลูกคนที่เท่าไหร่
....เพราะคุณพ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...
ตอนก่อนนอนคุณพ่อมักจะมาเล่านิทานให้ผมฟัง หลังจากที่คุณแม่จากไป หน้าที่เล่านิทานก็ตกไปเป็นของคุณพ่อ วันไหนที่คุณพ่อไม่ว่าง พี่อินกริดพี่ชายคนโตที่เหมือนคุณพ่อมากที่สุดในบ้าน (ผมไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่เหมือนนะครับ) จะมาเล่านิทานแทนคุณพ่อ นิทานที่คุณพ่อเล่ามักจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจเสมอ เรื่องของปีศาจ ปีศาจที่ซุกซนแกล้งมนุษย์บ้าง ปีศาจที่หลงรักมนุษย์ ปีศาจที่อยากเป็นมนุษย์...
ผมถามคีธว่าทำไมคุณพ่อถึงชอบเล่านิทานปีศาจ คีธมักจะหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง
...เพราะว่าคุณพ่อก็เป็นปีศาจเหมือนกัน...’
คัดลอกจากเรียงความเรื่อง ”คุณพ่อของผม”
เด็กชายเอลตัน เครสเซนฟรันท์ เกรด 4
จับไอเหี้ยQขังลืมในคุกมืด จบ ใครก็ได้เเต่งต่อที
มึงว่าเเต่งนิยายเป็นจักรวาลจะเวิร์คปะ
กูไม่ได้อ่านหนังสือเป็นเล่มนอกจากโทรศัพท์มา3-4ปีละ อาจจะ5ปีเเล้วด้วยซ้ำ เฮ้อ
ใครก็ได้ช่วยเขียนฉากบู๊ให้อ่านหน่อย กูเขียนไม่เป็น
“หากเจ้าเลือกรักเขา เจ้าย่อมมิอาจเคียดแค้นเขาได้”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะเขามิอาจปล่อยให้คนที่เคียดแค้นเขามีชีวิตอยู่ร่วมโลกกับเขาได้ เขาโหดเหี้ยมเย็นชาเช่นไร เจ้าเคยเห็นเขาไว้ชีวิตศัตรูด้วยหรือ”
“...”
“หากเจ้าเลือกรักเขา ย่อมมิอาจเดินคู่เคียงข้าง ทำได้เพียงก้าวเดินตามหลังเขาเพียงเท่านั้น”
“เรื่องนั้นข้ารู้ดี...”
“หากเลือกรักเขาแล้ว ด้วยพลังฝึกปรือระดับนั้น วันหนึ่งเขาสละสิ้นกิเลศ ละทิ้งโลกนี้โบยบินข้ึนไปเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ เจ้าย่อมมิอาจฉุดรั้งเขาไว้ได้”
“...”
“ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเป็นคนอ่านบรรยากาศเก่งกาจกว่าใคร หากกลับเข้าใจสถานการณ์เก่งยิ่งกว่า มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าเจ้าหลงรักเขา”
“...”
“เสิ่นหยูอี้...หากเลือกรักเขาแล้วหนึ่งชั่วชีวิตของเจ้าย่อมบัดซบไม่สุขสมหวัง เช่นนั้นเจ้ายังจะเลือกรักเขาอีกหรือ”
“...ข้าย่อมเลือกรักเขา”
“เช่นนั้นข้าก็หมดวาจาจะกล่าวแล้ว”
อ้าวเรอะ
27 ชั่วโมงก่อนโศกนาฏกรรม
ผมถูกปล่อยตัวออกมาอย่างลับๆจากคุก เพื่อมาตามหาผีอย่าง"ฆาตกร14รัฐ" "รอยเลือดเเห่งเมืองหลวง" หรืออะไรก็ตามเเต่ที่นักข่าวสมัยนี้เขาเรียกกัน ผีย่อมเห็นผี ภาษิตนี้จึงทำให้ผมได้ออกมาสูดอากาศนอกคุกหลังจากอยู่ในนั้นมากว่า2ทศวรรษ เเม้สงครามเวียดนามจะจบไปเกือบสิบปีเเล้ว ผีตนนี้ก็ยังเที่ยวยิงคนไปทั่วพร้อมขโมยรถคนอื่นอยู่ หลบหนีจากผู้บังคับใช้กฎหมายทั่วประเทศได้เป็นปีๆ ต้องมีคนใหญ่คอยบังมันไว้เเน่
ผมคิดไปพลางขับรถเพื่อไปรับข้อมูลของผีตนนี้กับเเฟนคลับที่ส่งจดหมายมาหาผมถึงในคุกตลอด5ปีมานี้
หลังจากที่ได้เบาะเเสที่เเฟนคลับคนนั้นให้มาได้ให้มา
มันก็นำผมมาถึงที่ที่เคยเป็นที่เกิดเหตุ ไกลปืนเที่ยง เขตชายเเดน
การฆ่าคนเเล้วชิงรถไปในที่เเบบนี้ ไม่ต่างกับการล่องหน ไม่รู้ว่าไปทางไหน ไม่รู้ว่าไปถึงไหนเเล้ว เเถมไม่รู้ว่ารถอะไรด้วย จะใบขับขี่ บัตรประจำตัวของเหยื่อ รอยนิ้วมือของตน หรือเเม้เเต่รอยนิ้วมือของเหยื่อมันก็ไม่ทิ้งไว้ให้
งานนี้ท่าจะไม่ง่ายเหมือนที่เคยทำ เเต่มันก็ไม่เคยง่ายสักทีนั่นเเหละ
นั่นไงล่ะตัดจบเเบบชับๆ ก็กูเเต่งต่อไม่ได้เเล้วอะ
Q เจอกับผีตนนั้นโดยบังเอิญ
Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว Wing walk, Wing walk , Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว. ย๊ากกกก....
Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว Wing walk, Wing walk , Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว. ย๊ากกกก....
Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว Wing walk, Wing walk , Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว. ย๊ากกกก....
Q หายใจเฮือกทุกครั้งที่หายใจเข้า เขาพยายามประคองสติเพื่อทำการกำจัดศพ ขณะที่เเผลกว่า30เเห่งทั้งฉกรรจ์ทั้งเล็กน้อยของเขาส่งความเจ็บให้เขารับรู้เป็นระยะ ๆ
Q ตัดสินใจไม่กลับเข้าเรือนจำ เขาไม่ขอทิ้งอิสรภาพที่อยู่กลับไปในเเหล่งรวมกากเดนมนุษย์ ถึงเเม้ว่าเขาจะชอบฆ่าพวกสวะราวกับการหายใจก็ตาม
เขาตัดสินใจหนีออกนอกประเทศไปตายเอาดาบหน้า
แต่ระหว่างที่กำลังหลบหนีนั้นเอง Q ก็ทรุดลงเพราะเสียเลือดมาก รถอีแต๋นที่ส่ายไปมาเพราะคนขับเมา พุ่งมาทาง Q พอดี จนนักโทษหนุ่มถูกอิเซไคไปยังโลกของนิยายเรื่อง "โอกาสที่ 2 เกิดใหม่ไปเป็นปาดแก่ง ใครทักเรื่องพิมพ์ผิดพ่อตาย"
>>458
“เชี่ยเอ๊ย นี่มันนิยายแฟนตาซีที่เคยเขียนสมัยม.2 นี่หว่า” Q พึมพำก่อนจะอ้าปากค้างมองผู้กล้าที่กำลังกวัดแกว่งดาบขนาดยักษ์ที่มีชื่อว่าดาบเทพปีศาจพิฆาตโลกันมหันตภัยทุบปฐพี ส่วนด้านข้างคือเอลห์หนุ่มหน้าตาหล่อโฮกยิ่งกว่าเลโกลัสในเดอะลอร์ดออฟเดอะริง บนหัวมีชื่อและอาชีพเขียนอยู่ว่า ‘ไลท์นิ่ง นักเวทย์จอมปราด Lv.9999‘
แม่งเอ๊ย สมัยนั้นกูสะกดภาษาไทยกากขนาดนั้นเลยเหรอวะ เขินชิบหาย
Q เกาแก้มแกรก ๆ แล้วมองซ้ายมองขวาดูสถานการณ์ตัวเองอีกที เหมือนเขาจะกลับมาในฐานะชาวบ้าน ก. ที่มีเมียเป็นโจรสาวสุดแซบ อีกสองตอนหลังจากนี้เขาจะโดนพระเอก NTR แถมพอรู้ว่าความจริงว่าผู้กล้าฟาดเมียตัวเองไปแล้วยังดีใจยกเมียให้ผู้กล้าอีก บทห่าอะไรควายฉิบหาย
TOSS THE COIN TO THE WITCHER
หมุนจุนเจียง พ่อกูชื่อเหมียงเจียงจุน หมุนจุนเจียง พ่อกูชื่อเหมียงเจียงจุน กดไลก์ให้เพจ สมปอง ใครๆก็มอง วิ้ดวิ่วๆ อภินิหารลุงพี 5 หัว กระโดดหมุนตัว วิ้ดวิ่วๆ ขับ AE 1 1 1 วิ่งขึ้นดอยหมึง วิ้ดวิ่วๆ อย่าลืมพี่ ริคาร์โด้มีหำใหญ่โต ว้าววว วิ้ดวิ่ววว
ไม่สำคัญว่ามันเริ่มเมื่อไหร่
ผมอยากรู้เเค่ว่ามันจะจบตอนไหน
ผมไม่รู้ว่าเมื่อวานผมทำอะไร ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะเป็นยังไง
ผมเหลือเเค่ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เท่านั้นที่ผมยังไม่ทิ้งไป
ผมรู้เเค่ว่าต้องหนี เเละผมมีกลุ่มคนที่คอยให้งานผมทำ
เพื่อนของผมก็อยากจะออกมาซะเหลือเกิน เเต่พอถึงเวลาคับขันก็เตะให้ผมออกมา
เเต่ผมก็ยังต้องการเพื่อนผม
ผมเป็นคนความจำสั้น หรืออาจจะไม่มีความจำเลยนั่นเเหละ
พอหลับไป1ตื่นผมก็จำอะไรไม่ได้เเล้ว
เพื่อนผมจะช่วยเตือนผมเสมอ
หลายบุคลิค , ความจำเสื่อมขั้นเหี้ย
อย่าพามันเข้าต่างโลก ได้โปรด
“ไอ้สัส ไอ้เกรียนเหี้ยพวกนี้ กูแม่งจะฆ่ามึงทิ้งให้หมด กูจะยิ้งรายตัว” เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดพร้อมกับทุบคีย์บอร์ดจนเกือบแตก แสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏบนเลนส์แว่นคือข้อความหยาบคายยาวเหยียดแบบที่พวกแม่งไม่ได้รับการศึกษาในสลัมเท่านั้นที่จะพิมพ์กัน
เป่าปี่กำลังโกรธหนัก เขาเพิ่งเข้าไปในห้องกระทู้สับนิยายของเว็บใต้ดินแห่งหนึ่งที่เพื่อนส่งให้ ดันเจอว่ากระทู้ล่าสุดมีไอ้เหี้ยอานนเอานิยายเทพอหังการ์พิฆาตเซียนที่เขาเขียนอย่างตั้งใจมาด่าเละเทะ แถมยังมีพวกอานนที่เหลือเข้ามากรูรุมทึ้งเขาเหมือนแร้งหลุมศพหมาตาย
‘เขียนกากฉิบหาย จบภาษาไทยป.6 มาได้ไง ตรรกะในเรื่องแม่งโคตรวิบัติ พ่อมึงสอนให้จัดหน้ากึ่งกลางเหรอ? - Anon57owf75l‘
‘กูอ่านแล้วปวดหัว ใครบอกมันทีดิให้รู้จักใช้เครื่องหมายคำพูดด้วย ตัวละครเบียวเหมือนคนเขียนเลยนาจาาา - Anon 8630fkep7‘
เขาพยายามสูดลมหายใจลึกแล้วอธิบาย “ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนั้นด้วยครับ ที่จัดกึ่งกลางเพราะอยากสร้างความแตกต่าง”
‘แตกต่างส้นตีนดิ เลิกแถแล้วเอาเวลาไปพัฒนาตัวเองไป ไอ้ควาย - Anon167reoJO‘
เขารู้สึกเหมือนโดนตบจนหน้าชา นิยายที่เขาเขียนแม่งดีขนาดนั้นมาด่ากันแบบนี้ได้ยังไง เป่าปี่ปาดน้ำตาลูกผู้ชายแล้วเริ่มเคาะคีย์บอร์ดเหมือนกับต่อยหน้าไอ้พวกเหี้ยนั่น “กูไม่ใช่เด็กแล้วไอ้สัส มึงมันจังไร ถ้ามาดี ๆ กูจะไม่ว่าอะไรเลย วิจารณ์นิยายแบบนี้ถ้าคนเป็นโรคซึมเศร้ามาอ่านจะเป็นยังไง”
‘ว้ายยย มาดิ้นเหรอจ๊ะ ดิ้นอีกๆๆๆๆ - Anon83kfMK‘
สัสแม่ง! ไอ้พวกเหี้ย! พวกมึงปลุกความโรคจิตในตัวกูขึ้นมาเองนะ กูจะฆ่าพวกมึง กูจะฆ่าแม่งให้หมด!
ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาเด็กหนุ่มเป็นประกายวาวโรจน์ เขามองปืนพกที่วางอยู่ข้างโต๊ะด้วยความกระหายเลือด
“น้องภูมิ แม่บอกกี่ครั้งแล้วคะว่าเวลาเล่นคอมให้เปิดไฟด้วย” แม่เปิดประตูเข้ามาแล้วกดสวิตช์จนไฟสว่างจ้า เขาสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบกดปิดหน้าจอ
“แม่! เปิดไฟทำไม เข้ามาทำไมไม่เคาะก่อน”
แม่มองลูกชายด้วยสายตาเหมือนมองเด็กโง่งม เธอเดินเข้าไปหยิบปืนบนโต๊ะออกมา “ไปเอาปืนของเล่นน้องมาเล่นอีกแล้วเหรอ นอนได้แล้วค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเรียนสายโดนวิ่งรอบสนามนะ”
"เอายังไงดี ... (นึกชื่อไม่ออก) เค้าเจ็บหน้กเลย พวกนายออกไปรับเเทนไม่ได้เหรอ"
ในขณะที่ ... โดนรุมทรมานปานที่ระบายอารมณ์ของผู้มีอิทธิพลเป็นเวลาสิบกว่าชั่วโมงรวด เลือดทุกหยุดที่ไหลออกมา เเผลทุกเเผลที่เปิดออก ความบอบช้ำทั่วทักเเห่ง ประดังเข้ามาสู่ที่ ... เพียงผู้เดียว
เขาก็หลับตาครู่หนึ่งระหว่างที่กำลังจะโดนยกระดับการทรมานให้เสียหายถึงอวัยวะภายใน ... ได้ออกมาควบคุมร่างเเทน
สวบ
เสียงของมีคมค่อยๆเดินทางลงไปจากต้นขาจนถึงกระดูก ... ไม่ร้องสักเเอะ
ทั่วทั้งตัวของเขาเกร็ง เส้นเลือดเเทบทุกเส้นปูด เเรงทั้งหมดที่มีอยู่ เขาได้ใช้ไปกับการดวลพลังกับตรวนเล็กที่ล็อกมือของเขาอยู่ เขาสามารถง้างมันได้
เเละเขาโดนฟาดเข้าที่ขมับอย่างเเรง
ตัวตนนั้นของเขาได้ตัดสินใจออกจากการควบคุมไป
ตอนนี้เหลือเพียงร่างของเขาที่หมดสติทั้งที่ลืมตา เเละตัวตนอีก12ตัวตนที่ไม่กล้าออกมากุมบังเหียน
ผมชอบกินนมเธอชอบกินไข่ แต่ผมจะไม่กินถ้าถุงไม่มีใส่ ตอนให้เธอกินไปยันเช้าวันใหม่ คนที่ชอบเธอคงต้องทำใจ ก็เธอชอบกินไส้กรอก หายใจไม่ออก (ทำไมๆ) กูไม่บอก ถ้าเธอทำตัวไม่ดีโดนกูไล่ออก (ไปไหนๆ) ไปที่ข้างนอก ส่งมึงกลับไปบ้านพ่อ ส่งมึงกลับไปบ้านเเม่ เเม่มึงทำอาหารรสชาติเเย่ นิสัยมันคงมาจากบ้านเเน่ ไอ้สัสดูมึงสภาพเเย่ มึงเป็นบ้าเเน่ อาจจะเป็นกล่องข้าวน้อยฆ่าเเม่ เเม่มึงตาย
>>469 อันที่แท้จริง เขาเป็นแค่แฟนคลับเท่านั้น เพราะลิโป้ตัวจริงคืออดีตทหารเกณฑ์ที่ขึ้นชิ่อลือชาและสมบุกสมบัน ต่อจากนั้นเขาก็ได้รับเหรียญตราจำนวนมากมาย แต่ต้องแบกกับที่เขาต้องเป็นโรคไซโคพาธ และเขาได้ไปเป็นทหารรับจ้างที่สหรัฐอเมริกาสองปีจนได้กรีนการ์ดมาในที่สุด และเขาก็สมัครเป็นทหารบก จนได้โยกย้ายมาประจำการที่ไทยดังเดิม เขาสวมเสื้อโค้ทขับรถประจำตำแหน่งไปยังบ้านของมันตามที่เขาค้นพบ และเขายังคอยเช็คคำพูดหยาบๆนั้นต่อไป จนมาถึงบ้านสวยหลังหนึ่ง ก่อนที่เขาจะโน้มตัวไปหาเครื่องปล่อยสัญญาณรบกวนกล้องวงจรปิด เขาใช้วิธีสะเดาะกุญแจที่เรียนมาตั้งแต่ม.1 เขาย่องเข้าไปอย่างแนบเนียนด้วยกระสบการณ์ทหารหลายปี เขาพบกับชายที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาค่อยๆย่องเข้าไปเรื่อยๆ เขาตัดสินใจถีบขาเดี่ยวใส่บุคคลที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์จนจอแตกพัง ไม่ทันที่ชายผู้ถูกกระทำจะมองหน้าอีกฝั่งนั้น หมัดก็ลอยมากระทบแก้มของมันจนฟันแถบกรามขวาหลุดออกมาทั้งหมด
"ถ้าไม่รู้ตัวตนใคร ระวังไว้ก็ดี" เขาชักปืนDEกระบอกโปรดที่ใส่ปลอกเก็บเสียงของเขา และลั่นไกสู่หัวของมันจนระเบิดเป็นส่วนๆ เศษสมองกระจายเต็มห้องปนกับเศษกะโหลก ร่างเล็กกว่าเสียชีวิตเพราะแรงของปืนที่ยิงแบบเผาขน เขาได้นำเงินจำนวนหนึ่งยัดให้ตำรวจไร้คุณธรรมเพื่อสร้างความผิดปลอมๆ และตำรวจที่ไร้คุณธรรมก็ทำตามที่เขาสั่งอย่างเคร่งครัด เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย กล้องวงจรปิดถูกทุบทำลายจนหมด เขาถอดเสื้อชั้นนอกออก แล้วก็จัดการกลบเกลื่อนร่องรอยที่แสดงถึงตัวเขาจนหมด เวลาที่เขามาปฏิบัติการมันเป็นเวลาดึกสงัด ไม่มีผู้พบเห็นเขา เขาขับรถประจำตำแหน่ง หายกลับมารับเวรคุมพลทหารต่อที่กองพันในที่สุด
#มันๆดิ
>>474 อายุ 17 จูนิเบียวคิดว่าตัวเองมีหลายบุคลิก เอะอะก็ขู่จะใช้ความรุนแรง เอาเวลาไปอ่านหนังสือเรียนให้จบ ม.6 ก่อนเหอะมึง อ่อ แล้วก็อย่าลืมเรียน รด. ด้วยนะ เห็นจูนิเบียวทหารแบบนี้ พอถึงเวลาต้องจับใบดำใบแดงจริงๆ เสือกขาอ่อนเยี่ยวราดร้องเป็นตุ๊ดเด็กหัวโปก ไม่เคยรู้ข้อมูลจริงเกี่ยวกับการฝึกทหารแล้วมาจูนิเบียวว่าตัวเองแม่งเป็นทหารผ่านศึกโคตรเทพ ประเภทมึงนี่ถ้าโดนใบแดงกูให้ไม่เกิน 2 เดือนยิ่งโดนผลัดแรกด้วยยิ่งโหด รับรองร้องไห้ขี้มูกโป่งให้แม่มารับกลับบ้านแน่นอน (แต่ก็กลับไม่ได้) เป็นไบโพล่าร์ก็อย่ามาทำตัวเอจจี้ โรงพยาบาลมีก็ไปรักษาซะ ดีกว่ามาทำตัวเป็นสวะสังคมแบบนี้
น้อนเล่าเบียวมาเรื้อนถึงห้องนี้เลยเหรอ
กูไม่ไหวเเล้วย้าาาากส์
>>477 มึงนี่มันสวะของสวะอีกทีจริงๆ เก่งอยู่แค่ 2 อย่าง ก็อบข้อมูลจากในกูเกิ้ลเอามาตอบเวลาคนอื่นถาม กับเถียงแถพยายามทำตัวโชว์เหนือแต่ยิ่งทำกลับยิ่งดูทุเรศ ความรู้เรื่อง Personality Disorder ก็มีแค่ผิวเผิน พยายามสร้างตัวตนเลียนแบบพฤติกรรมที่อ่านมาจากในเน็ต แต่ออกมาปลอมเปลือกเหี้ยๆ จนคนที่เขารู้จริงสมเพชเวทนาในความตื่นเขินของมึง ไม่ต้องทำมาสอนกูเรื่องโซซิโอพาธ เพราะคนที่เป็นจริงๆ เขาไม่มาทำตัวแบบมึงหรอก แม่งเกิดมาเป็นคู่บุญของอีดอก "ลยาลี" แท้ๆ ทำตัว DID wannabe ทั้งคู่ ที่กูด่ามึงเรื่องไบโพล่าร์เพราะมึงมันเดี๋ยวดีเดี๋ยวเพี้ยน พูดสุภาพได้ซักพักพอเจอคนแซะนิดเดียวก็ชักดิ้นชักงอด่ากราด เหมือนเด็กมีปัญหาที่แม่ไม่ยอมซื้อของเล่นให้แล้วลงไปกลิ้งเกลือกบนพื้น เห็นโม้ว่าอ่านสามก๊กใช่มะ งั้นมึงก็ใช้สมองเน่าๆ ของมึงพิจารณาประโยคนี้ดู
"ทำตัวแบบนี้ระวังจะจบแบบยีเอ๋ง"
>>481 ถถถ ยีเอ๋งตายเพราะอะไรอะผมรู้ แต่คุณจะเป็นยีเอ๋งให้ผมฆ่าแทนมากกว่าละมั้ง พิมพ์ยาวแต่ไม่ได้อะไรเลย ผมสุภาพกับคนที่ควรสุภาพ หยาบกับคนที่ควรหยาบ ไอ้คนที่wannabe มันยังดีกว่าพวกที่วันๆ เอาแต่ด่าคนอื่นอยู่หลังจอ พวกwannabeมันยังพยายามไปให้ถึงเป้าหมาย ถ้าจะรอแต่borntobe ชาติไหนมันจะได้ และอีกอย่างนะ ผมอ่านแล้ววิเคราะห์มาจำแนกให้ได้ ถ้าไม่เข้าใจถามซ้ำได้ ผมไม่ได้ก็อปด้วยซ้ำ ถ้าไม่รู้อย่าพูด ไม่ว่าชาติไหนผมก็จะwannabeไปเรื่อยๆ เพราะความพยายามทำให้ประสบความสำเร็จ คุณรู้ตัวตนจริงผมเหรอ แต่อ่านจากตัวอักษรมันตัดสินกันไม่ได้หรอก ตัวจริงผมก็อีกแบบ ถ้าเจอกันจริงๆผมคงไม่คุยสุภาพอย่างนี้หรอก ไปตั้งห้องแยกมาคุยกันสองคนไหมครับ เกะกะกระทู้ทั้งคู่นั่นแหละ
คิดว่าตัวเองเก่งเทพ แต่จริงๆ ไม่รู้อะไรสักอย่าง มึงก็แค่เป็นลูกบอลให้คนอื่นตบเล่นขำขันเท่านั้นแหละ กูเขียนแซวหน่อยก็โผล่หางมาร้องงอแงต่อมเบียวแตกแล้ว สมควรที่เขาไล่ให้ไปหาจิตแพทย์ มึงไม่ได้เป็น Psycopath ไม่ได้เป็น Antisocial ด้วยซ้ำ สภาพมึงนี่ชีวิตจริงคือคนเข้าสังคมไม่ได้ เป็นเหยื่อให้คนในโรงเรียนบูลลี่ ควรไปบำบัดจะได้กลับคืนสภาพก่อนจะสายเกินไป
You know nothing, เล่าเบียว
ใครมาทำห้องนี้แปดเปื้อน
“ไร้สาระสิ้นดี”
ชายหนุ่มเคาะคีย์บอร์ดแป้นคีย์บอร์ดเหมือนพรมนิ้วบนแป้นเปียโน เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานหุ้มหนังแท้จากอิตาลีก่อนยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ เวลาที่หยอกล้อกับผู้คนบนอินเตอร์เน็ต เขาชอบรสชาติของไวน์ขาว Prinot Grigio หรือ Grauburgunder ที่ส่งตรงมาจากลุ่มแม่น้ำไรน์เป็นพิเศษ มันอาจไม่หรูหราโอ่อ่าอย่างไวน์แดงจาก Bordeux แต่รสชาติอ่อนหวานนุ่มนวลของมันกลับทำให้ช่วงเวลานี้สุนทรีย์ขึ้นได้อย่างประหลาด คล้ายกลับไปยังปิดเทอมฤดูร้อนในปีหนึ่ง การปั่นจักรยานท่ามกลางอากาศร้อนอาจเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจ หากภาพทิวทัศน์ของไร่องุ่นกว้างไกลสุดสายตากลับทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้
การทุ่มเถียงอย่างไม่มีจุดหมายอันใดนอกจากการเติมเต็มความสะใจเป็นเพียงความขบขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพิ่มสีสันในชีวิตของเขาเท่านั้น เหมือนกับที่คนเราถ้าดื่มแต่ไวน์ราคาแพงไปนาน ๆ วันหนึ่งก็อาจหวนคิดถึงเบียร์ราคาถูกที่แอบซื้อพ่อกินตอนเรียนม.2 ก็ได้
เขากวาดสายตามองถ้อยคำในเว็บบอร์ดใต้ดินแล้วหัวเราะเบา ๆ เรื่องแบบนี้ยิ่งเอาชนะก็มีแต่ยิ่งแพ้ ยิ่งดิ้นเท่าไรก็มีแต่จะยิ่งกลายเป็นตัวตลกเท่านั้น
และตอนนี้เขาก็กำลังต้องการเรื่องตลกสนุก ๆ ด้วยสิ
เขาหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะ กดแท็กความคิดเห็นที่โพสต์ด่าเป็นภาษาที่ใช้ในยุโรป “ไม่ต้องถึงขนาดด่าเป็นฝรั่งเศสเยอรมันหรอก ควายมันจะเข้าใจภาษาคนได้ยังไง”
จดหมายจากผู้ชม
ผมเอานิ้วปาดเลื่อนอ่านรีพลายการตอบกับในบอร์ดใต้ดินแห่งหนึ่ง ผมกลับเห็นอะไรบางอย่างอันน่าประหลาด
ผมเคยได้ยินมาอยู่บ้างว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมชนิดเดียวที่ชอบใส่หน้ากากเข้าหากัน สิ่งที่เราเห็นกันนั้นอาจไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคน ๆ นั้นแม้แต่น้อย
ยามที่มนุษย์แต่ละคนนั้นจะยอมถอดหน้ากากออก เท่าที่ผมเคยได้ยินมันจะมีอยู่น้อยกรณี
อยู่คนเดียว... ยามคับขัน...
และในที่ ๆ ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใคร
ผมเคยโดนบังคับให้หลับตากับเพื่อน ๆ ในห้องแล้วให้สารภาพว่าใครเป็นคนขโมยขนมโดยการยกมือขึ้น ปกติแล้วโจรหรือขโมยคงไม่ยอมรับแต่ในวันนั้น หัวขโมยคนนั้นกลับยกมือขึ้นมาจริง ๆ มันน่าแปลกมากที่เขากล้าทำเช่นนั้น ผมเลยเชื่อเรื่องข้างต้นใกล้เคียงว่างมงายเลยก็ว่าได้
ใช่ กรณีที่บอร์ดใต้ดินแห่งหนึ่งก็เหมือนกัน เราไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร ทุกคนกล้าพูด ล้อเลียน แม้กระทั่งด่าใส่คนที่เราไม่รู้จัก จะเรียกว่าเป็นการเปิดเผยธาตุแท้ของตัวบุคคลที่เห็นได้บนโลกออนไลน์นั่นแหละ
ถึงตอนนี้ คุณคงคิดสินะว่าในเมื่อผมเชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วมันมีอะไรแปลกล่ะ
เรื่องที่แปลกน่ะเหรอ มันเกี่ยวข้องกับคนที่เป็นเป้าการด่าและล้อเลียนในตอนนี้ มันทำให้ความคิดของผมที่ว่ามีแค่มนุษย์เท่านั้นที่ใส่หน้ากาก
เพราะในตอนนี้ผมเรียนรู้แล้วว่า "ควาย" ก็ใส่หน้ากากมาเนียนเป็นมนุษย์เหมือนกัน
ผมเคยอ่านผ่านหูผ่านตาในบอร์ดนักเขียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ว่ามีคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ถูกอะไรกระทบกระเทือนเข้าหน่อยก็มักจะคิดสั้นฆ่าตัวตายเอาง่ายๆ
นั่นทำให้ผมนึกย้อนอดีตไปสมัยยังเป็นเด็ก ถึงใครๆจะเห็นว่าผมเป็นคนร่าเริง แต่เชื่อไหมว่าผมเคยคิดฆ่าตัวตายมาก่อน
ครั้งแรกสุดเมื่อตอนผมอยู่ ป.5 ตอนนั้นผมเพิ่งย้ายมาโรงเรียนใหม่แถวสะพานพุทธ แน่นอนว่าด้วยความเป็นเด็กใหม่ จึงตกเป็นเป้าของไอ้พวกกุ๊ยประจำโรงเรียน พวกมันชอบมาดึงกางเกงวอร์มที่ใช้เป็นเครื่องแบบในวิชาพละของผม จนเหลือแต่กางเกงในและขาที่ล้อนจ้อน จากนั้นทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะผม แม้แต่เพื่อนผู้หญิงก็ยังเห็นดีเห็นงาม สนุกสนานไปกับพวกมันด้วย หนักเข้าพวกมันก็เริ่มแกล้งผมหนักขึ้น เอารองเท้าผมไปซ่อนบ้าง และเมื่อผมจงใจพกมีดคัตเตอร์ไปเพื่อขู่พวกมัน พวกมันก็แอบมาขโมยคัตเตอร์ผมไปซ่อนอีก ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมไร้ความสุขโดยสิ้นเชิง ไม่อาจหันหน้าพึ่งใคร แม้จะฟ้องครูหรือผู้ใหญ่ ทุกคนก็มองว่าเป็นเรื่องของเด็กเล่นสนุกกัน และไม่มีใครได้ยินเสียงสะอื้นในใจของผมเลยแม้แต่คนเดียว
และในที่สุด ผมก็ตัดสินใจที่จะหนีจากชีวิตบ้าบอคอแตกนี้เสียที ในเย็นวันหนึ่งผมมุ่งหน้าไปที่สะพานพุทธ จ้องมองลงไปยังกระแสน้ำเน่าเหม็นที่อยู่เบื้องล่าง ผมมั่นใจว่าด้วยความสูงขนาดนี้ ถ้าผมพุ่งตัวดิ่งหัวลงไป ต้องหมดสติและจมหายไปอย่างแน่นอน จะได้ไม่มีใครหาศพผมพบ แต่ก็นั่นแหละ ใครเขาจะมาสนใจคนอย่างผมล่ะ หรือบางทีตอนผมมีชีวิตอยู่ ทุกคนไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา ถ้าผมตายไปพวกเขาอาจจะเริ่มตระหนักได้เองกระมัง
ผมจึงตัดสินใจปีนเหล็กกั้นสะพาน ทว่ามือกลับพลาดไปโดนน็อตคมๆ ที่สนิมเกาะเกรอะกรัง บาดเข้าไปเป็นแผลยาว ความเจ็บปวดทำให้ผมต้องรีบปีนกลับ แล้วไปทำแผลแทน กลัวเป็นบาดทะยักตาย
นั่นคือความคิดฆ่าตัวตายครั้งแรก ส่วนครั้งต่อมาเกิดขึ้นเมื่อผมเรียนอยู่ ม.ต้น และพบรักครั้งแรกกับเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่ง เธอก็เป็นสาว ม.ต้น หน้าตาธรรมดานี่แหละ แต่จุดเด่นคือเธอตัวสูงและดูเป็นสาวมากกว่าผู้หญิงคนอื่นในห้อง ที่สำคัญเธอมีความคิดค่อนข้างแก่แดด เธอเคยชวนผมไปที่บ้านช่วงเวลาที่ไม่มีใครอยู่แล้วเปิดหนังโป๊ จากนั้นเราก็พยายามจะมีอะไรกันเลียนแบบหนัง ซึ่งผมก็ไม่ขอเล่ารายละเอียดละกัน บอกแค่ว่ามันไม่ใช่เซ็กซ์ที่วิเศษนักหรอก ทว่าเราสองคนก็ยอมรับว่ามีความสุขมาก
วันหนึ่ง เธอขอเลิกกับผม ด้วยเหตุผลก็คือผมไม่ยอมกินขนมที่เธอซื้อมาให้ นั่นทำให้หัวใจผมแตกสลาย ผมพยายามง้อเธอแต่เธอก็ไม่กลับมาอีกเลย นั่นเป็นครั้งที่สองที่ความรู้สึกไร้ค่า กระจอก เห็นตัวเองเป็นคนโง่ของผมกลับมาอีกครั้ง ผมสติแตกวิ่งไปหาเชือกได้เส้นหนึ่ง กับเก้าอี้อีกตัว จากนั้นก็มุ่งตรงไปยังต้นไทรใหญ่ในโรงเรียน และเนื่องจากช่วงนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ จึงไม่มีใครเห็นในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ
แน่นอน ผมตั้งใจจะแขวนคอกับกิ่งไทร ให้ร่างอันน่าสมเพชของผมห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้น ให้เธอคนนั้นมาเห็นในตอนเช้าช่วงเคารพธงชาติ และเธอจะได้รู้เสียทีว่า คำพูดสุดท้ายของผมที่บอกว่า ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าขาดเธอ นั้นมันจริงขนาดไหน
ทว่าขณะที่ผมกำลังหาจุดเหมาะๆจะวางเก้าอี้อยู่นั้น ไอ้งูกะปะเหี้ยที่ชอบนอนซ่อนตัวอยู่ในโพรงต้นไทร ก็ฉกเข้าที่น่องของผมพอดิบพอดี รอยเขี้ยวสองรูที่มีเลือดซิบ ทำให้ผมทิ้งตัวลงไปร้องโอดโอย รีบเอาเชือกที่เตรียมจะมาผูกคอตัวเอง รัดขาขันชะเนาะตามแบบเรียนสุขศึกษาที่เคยผ่านหูผ่านตามา จากนั้นก็ลากขามุ่งหน้าไปหาภารโรง ให้แกเรียกรถพาผมไปส่งสถานเสวภาต่อไป
หลังจากรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ครั้งที่สอง ผมก็กลับมานั่งคิด ว่าทำไมเวลาผมจะฆ่าตัวตายทีไร ต้องมีเหตุขัดขวางทำให้ผมไม่ได้ตายสมใจซะที สุดท้ายก็สรุปได้ว่าคงเป็นพระประสงค์ของเทพเจ้าโอดิน ที่อยากให้ผมตายอย่างลูกผู้ชายมีเกียรติมากกว่านี้ จะได้เปิดประตูรับผมสู่วัลฮาลา เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ผมก็ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายอีกเลย
Q: ใช่มึงรึเปล่า
G: ขึ้นอยู่กับว่าถามใคร
Q: [ เงียบไปครู่หนึ่ง กวาดสายตามองG ]
Q: หนีมาตั้งนาน ไม่คิดว่าจะมาเจอกันตรงนี้
G: ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร
Q: มึงไม่ปรกติใช่มั้ย
G: อะไรนะ
Q: ตั้งเเต่นิวยอร์คจนถึงเท็กซัส ทำได้ยังไง ทั้งฆ่าทั้งหนี อุกอาจทั้งนั้น
G: [ พึมพำ ] อย่าไปตอบมัน
Q: อะไรนะ [ เอียงหูไปทางคู่สนทนา ]
G: มึงก็ไม่ปกติเหมือนกันล่ะสิท่า นั่งจ้องกันตั้งนานสองนาน ยิ่งคุยยิ่งไม่อยากคุย ภายนอกมึงดูเหมือนคน เเต่กูรู้ว่าไม่ใช่
บุคลิค8ของ G ได้ออกมาตอบโต้
Q: ก็เป็นได้ [ เอื้อมมือไปจับส้อม ]
G ควักปืนจากข้างเอวด้านขวาพร้อมเหนี่ยวไกด้วยเวลาไม่ถึงวินาที ปืนที่เขาทำขึ้นมาเองอ่อนไหวเป็นพิเศษ ส่งผลให้กระสุนนัดเเรกโดนโต๊ะที่เขานั่ง เเละสิ่งของรอบข้างระหว่างที่เขาจะเล็งปืนไปที่ Q
Q ทุ่มตัวใส่ G พร้อมกับปักส้อมเข้าที่หลัง
เบื่อไอ้เหี้ย Q เห่อหมอยนี่ละว่ะ ใครก็ได้แต่งเรื่องที่มันมีคุณภาพกว่านี้มาลงหน่อยสิ
nothing happened; no sirens came in the night. No knock on the door, squeal of bullhorn, demands that I come out with my hands up—nothing at all. Life steamed along on its well-oiled tracks, with no one calling for Q’s head, and it began to seem like some cruel invisible god was taunting me, mocking my watchfulness, sneering at my pointless apprehension. It was as if the whole thing had never happened, or my Witness had been consumed by spontaneous combustion. But I could not shake the thought that something was coming to get me.
>>516 แบบนี้สิเขาถึงเรียกเรื่องที่มีคุณภาพ >>227 >>235 >>360-362 อ่านแล้วก็ซึมซับไว้ แบบมึงถึงจะกระแดะพิมพ์อิ๊งมายังไงก็กากอยู่ดี ตัวเอกมึงก็ยังเป็นพวกเอดจี้เห่อหมอยอยู่เหมือนเดิม
แล้วก็เลิกพฤติกรรมขุดกระทู้เก่าๆขึ้นมาได้แล้วสัส มันน่ารำคาญ เหมือนพวกย้ำคิดย้ำทำชิบหาย ว่างมากก็ไปหัดพิมพ์นิยายให้มันสนุกหน่อยไป
"มีใครรู้สึกเหมือนผมไหมว่า คลิปเสียงลับ มันเร็วขึ้น"
"เช้านี้ผมเปิดฟัง รู้สึกว่า คลิปเสียงลับมันเร็วกว่าเดิม"
https://youtu.be/N7gxXIQJLbI
ชายหนุ่มดันประตูปิด ถอนหายใจยาวขณะโยนกระเป๋าเอกสารลงไปบนเก้าอี้นวมตัวยาวอย่างไม่ไยดี เขาพาดแจ็คเก็ตสูทไว้กับพนักพิงเก้าอี้ ถอดถุงเท้ารองเท้าและกางเกงขายาวที่รัดแน่นออก ก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในห้องน้ำ บ้วนปากล้างหน้าตา
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสารรูปของตัวเองในกระจกเหนืออ่างล้างมือ ผมที่เซ็ตไว้เมื่อเช้าเสียทรงไปแล้ว หนวดเคราก็เริ่มขึ้นหรอมแหรมให้เห็น ปากก็ซีด ขอบตาก็ดำ ไขมันเริ่มพอกตามเหนียงตามแก้ม เขาคงทำงานหนักเกินไปจริง ๆ
ยังดีที่วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุด เป็นวันหยุดที่ได้หยุดจริง ๆ หลังจากกรำงานหนักแบบไม่มีวันได้หยุดพักมาร่วมหนึ่งเดือนเต็ม ชายหนุ่มเดินออกจากห้องน้ำ สมองเริ่มรู้สึกตื้อขึ้นมาบ้างแล้ว ยังไม่อาบน้ำแล้วกัน ขอเอาตัวพุ่งลงไปขดบนโซฟาสักสิบห้านาทีก่อนเถอะ
เหมือนโลกทั้งใบดับไปในพริบตาเดียว ชายหนุ่มมารู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลาเกือบตีสามแล้ว เขาครางออกมาเบา ๆ อย่างรำคาญใจ ไม่ต้องอาบน้ำแปรงฟันได้ไหม ขอสักวันหนึ่งเถอะ ยังไง ๆ มันก็จะเช้าอยู่แล้ว
แต่พอขยับตัวแล้ว จะให้หลับต่อก็ข่มตาไม่ลง ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาอีกครั้ง เขากดเปิดเฟซบุ๊ก ก่อนที่ข้อความแรกบนหน้าฟีดจะทำให้เขาต้องชะงักไป
‘สัมภาษณ์นักเขียนเงินล้าน: หนุ่มนักเขียนผู้เปิดโลกแห่งจินตนาการของเด็กไทย กับนิยายเรื่องใหม่ของเขา’ คือชื่อของบทความที่เพื่อนคนหนึ่งบนเฟซบุ๊กของเขาแชร์มา พร้อมด้วยรูปของผู้ชายอายุยี่สิบกลาง ๆ คนหนึ่ง กำลังส่งยิ้มโง่ ๆ พร้อมกับถือหนังสือนิยายที่มีรูปวาดตัวละครหญิงนมใหญ่ลายเส้นการ์ตูนญี่ปุ่นสามคนกำลังรุมกอดแข้งกอดขาตัวละครชายคนหนึ่งอยู่บนหน้าปก
บ้าฉิบหาย ไอ้ระยำนี่มันออกนิยายอีกแล้วเหรอ ชายหนุ่มสบถในใจพร้อมกดเข้าไปอ่านบทความ เมื่อกวาดตาดูคร่าว ๆ ก็พบว่าเป็นบทสัมภาษณ์แบบอวย ๆ เพื่อโปรโมตนิยายเรื่องใหม่ที่ชื่อ ‘ทำไมคนไม่เอาไหนอย่างผมต้องถูกพระเจ้าส่งมาให้เป็นจอมมาร แถมทั้งกองทัพปีศาจก็ยังมีแต่สาวสวยหมวยเอ็กซ์อีก แล้วแบบนี้จะทำไงดีล่ะเนี่ย!’
ชายหนุ่มอ่านเรื่องย่อแล้วรู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด อะไรวะ ลูกครึ่งญี่ปุ่น-ไทย โดนบุลลี่ในโรงเรียนมาตลอดชีวิต จู่ ๆ ก็สำลักฝุ่นตาย แล้วก็ไปต่างโลก ได้เป็นจอมมาร มีลูกน้องสาวสวยเยอะ ๆ ไอ้พวกเหี้ย พล็อตเชย ๆ เห่ย ๆ ไม่มีห่าอะไรแบบนี้มันยังรับตีพิมพ์อีกเหรอวะ วงการวรรณกรรมไทยแม่งก็แย่จะตายห่าอยู่แล้ว ทำไมสำนักพิมพ์เฮงซวยมันยังปล่อยอะไรแบบนี้ออกสู่ตลาดให้คนนอกวงการเขาถมถุยอยู่อีกวะ คิดว่ามันจะขายได้ในยุคที่นิยายแนว ๆ นี้มันหาอ่านฟรีได้เกลื่อนอินเทอร์เน็ตไปหมดจริง ๆ เหรอ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนตัวเองก็เคยเขียนนิยายด่าไอ้พวกพระเอกเทพทรูธีมจีนไว้เหมือนกัน แต่ชื่อเรื่องห่าอะไรนั้นจำไม่ได้แล้ว เขานิ่งคิดไปอึดใจหนึ่งก่อนที่จะพยายามล็อกอินเข้าไปในเว็บเขียนนิยายด้วยไอดีปลอมที่สมัครไว้ในตอนนั้น ทดลองกรอกไอดีและพาสเวิร์ดอยู่ครู่หนึ่งก็สามารถล็อกอินเข้าไปในระบบได้สำเร็จ
เจอแล้ว ‘(นิยายแปล) Gods King Warrior Conqueror Heaven อภินิหารเคล็ดวิชาเทพเจ้าราชันย์นักรบเย้ยจอมสวรรค์’ ไอ้ฉิบหาย เขียนได้แค่ 4 ตอน แม่งมียอดวิวหมื่นนึง เฉพาะเดือนนี้มีคนดูแล้วหลักร้อย พ่อมึงตาย นี่ขนาดดองไว้เป็นปีเลยนะ
หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวเร็ว เขารีบกดเข้าไปดูที่หน้านิยายก่อนที่จะต้องอุทานเป็นชื่อสัตว์เลื้อยคลานและอสูรกายชนิดต่าง ๆ ออกมาเป็นชุด เมื่อเห็นว่ามีนักอ่านมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้เป็นร้อย ๆ ความคิดเห็น แถมส่วนมากยังเป็นการมาชื่นชม ร้องขอให้กลับมาเขียนต่ออีก
ชายหนุ่มรีบกดเข้าไปดูคอมเมนต์เฉพาะของตอนล่าสุด ‘ตอนที่ 4 ควันราคะ (NC 20++)’ โอ้โหไอ้สัส มีคนมาชมเต็มเลยว่าเร้าใจมาก สะใจที่พระเอกฆ่าโจร สะใจที่พระเอกได้เมีย มีคนมาถามว่าคนนี้นางเอกใช่ไหม มีคนมาถามอีกว่าฮาเร็มรึเปล่า มีคนมายี้นางเอก มีคนมาชื่นชมการบรรยายฉากเย็ดทั้ง ๆ ที่แม่งมีแต่อู้วๆๆๆ แล้วอะไรอีกล่ะเนี่ยไอ้เหี้ย มีบอกด้วยนะว่าไม่อยากให้พระเอกผูกตัวเองอยู่กับผู้หญิงมากไป เย็ดแล้วให้รีบทิ้ง ไม่งั้นก็ฆ่า ๆ ไปซะเลย จะได้หมดปัญหา โอ้โห คนที่ไหนคนจังหวัดอะไรพวกท่านเนี่ย เกิดวันไหนเกิดปีจอหรือปีอะไร ทำไมจิตใจถึงโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนี้ ผมไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มนอนนิ่งไปนาน ก่อนที่จะถอนหายใจยาวออกมา ชอบกันนักใช่ไหมล่ะพวกมึง อะไรที่มันสะใจแบบที่ไม่ต้องมีเหตุผลรองรับ ขอแค่ให้พระเอกเทพ ๆ ไล่ตบไล่ตีไล่เย็ดคนอื่นตามใจชอบก็พอ
ได้ เดี๋ยวกูจัดให้เอง ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่ง เขาวางโทรศัพท์ลง ก่อนที่จะไพล่มือไปคว้าเอากระเป๋าใส่เอกสาร ดึงเอาคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปออกมา
"สุวรรณ มีคนจับภาพยมทูตของเราได้...เจ้าเช็คสิว่าเป็นใคร โจงกระเบนแดงเสียด้วย" เสียงสั่งจากท่านยมบาลดังขึ้นขณะที่ผมกำลังคีย์ข้อมูลคนตายประจำไตรมาสแรกของปีอยู่ ช่วงต้นปีนี้มีโรคระบาดคนตายกันเยอะ เจ้าหน้าที่ดูแลข้อมูลอย่างผมเลยวุ่นวายเป็นพิเศษ
"คงจะเป็นคืนก่อนที่มีงานเลี้ยงแฟนซีในนรกมั้งท่าน เจ้าพวกนั้นคงมีงานด่วนเข้ามาเลยลืมเปลี่ยนชุดเสียก่อน" ผมยกมือขึ้นดันแว่นพร้อมกับตอบคำถามของท่านยมด้วยความเคยชิน
"เออ...นั่นล่ะ ไปหาตัวพวกมันมา แล้วสั่งสอนเสียด้วยว่าคราวหน้าถ้าจะออกสื่อให้แต่งเนื้อแต่งตัวดี ๆ หน่อย เดี๋ยวคนเขาจะหาว่านรกของเราเชยแหลก ยุคนี้ยังต้องมานุ่งโจง ถือไม้เท้า ห้อยสร้อยสังวาลอีก!" ท่านยมตบโต๊ะดังปังดูแล้วท่าจะกริ้วหนัก กาแฟลาเต้มัคคิอาโต้บนแก้วถึงกับกระฉอกออกมาเล็กน้อย อีกเดี๋ยวคงต้องตามแม่บ้านมาทำความสะอาดแน่ ๆ
แต่ว่า...ที่ไม่พอใจ สรุปคือเรื่องแต่งตัวเชยหรอกเรอะ?
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
D : เย่.. มีคนโปรโมทนิยายให้ด้วย
F : ไม่คิดตังค์หรอก เพื่อนเอ๊ย
D : ไม่เจอกันนานเป็นไงมั่ง
F : ข้าได้กลายเป็นผู้ที่มีนามว่า.. ไร้นาม
T : ไอ้คนไม่มีสัจจะ อย่าอวดอ้างถึงชื่อนั้น
W : อย่ากล่าวหาด้วยวาจารุนแรงกับเค้านะคะ
F : พูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย?
T : อืม..จำไม่ได้ก็แล้วไป
W : ใช่ค่ะ..เลิกแล้วต่อกันเนาะ คุณไม่เป็นไรนะคะ F
Yu : เอาตีนถีบยอดหน้ามันเลยลูกพี่
F : คุยกับผู้ชายเสียเวลา ไงจ๊ะน้อง W
W : คุณ Yu ยังไม่เห็นความเทพของเค้าสินะคะ
T : Yu ตัดใจจากพี่ซะเถอะ Wคือตัวจริง
T : ผมไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ที่รัก
W : คนบ้า >////<
W : อย่าดูถูกตัวเองเลยนะคะ
F : เพราะผมเป็นคนสำคัญสินะ
W : อย่าเฉไฉนะคะ
T : ชีวิตนี้แสนสั้น..พึ่งรักษาไว้ซึ่งสัจจะ ; ความสมัครใจของท่านทั้งสอง จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าได้แยกจากกันเลย
ชาวDD : อาเมน!
W : โดนท่านดุเลยเห็นมั้ย
F : ผมยอมแล้วครับ
W : ตั้งแต่นี้ไป ต้องรักษาคำพูดนะคะ
THE END
(ผิดอีก กุไม่แก้แล้ว- - -)
>>527 แม่งเอ๊ย! กูแก้เอง! (ขอบใจที่สรุปให้ แม่งคุยกันยาว ชห)
แนะนำตัวละคร
D = darkius
F = FreudMs
T = TunKoB
W = White Frangipani
Yu = yurinohanakotoba
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
D : เย่.. มีคนโปรโมทนิยายให้ด้วย
F : ไม่คิดตังค์หรอก เพื่อนเอ๊ย
D : ไม่เจอกันนานเป็นไงมั่ง
F : ข้าได้กลายเป็นผู้ที่มีนามว่า.. ไร้นาม
T : ไอ้คนไม่มีสัจจะ อย่าอวดอ้างถึงชื่อนั้น
W : อย่ากล่าวหาด้วยวาจารุนแรงกับเค้านะคะ
F : พูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย?
T : อืม..จำไม่ได้ก็แล้วไป
W : ใช่ค่ะ..เลิกแล้วต่อกันเนาะ คุณไม่เป็นไรนะคะ F
Yu : เอาตีนถีบยอดหน้ามันเลยลูกพี่
F : คุยกับผู้ชายเสียเวลา ไงจ๊ะน้อง W
W : คุณ Yu ยังไม่เห็นความเทพของเค้าสินะคะ
F : Yu ตัดใจจากพี่ซะเถอะ Wคือตัวจริง
F : ผมไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ที่รัก
W : คนบ้า >////<
W : อย่าดูถูกตัวเองเลยนะคะ
F : เพราะผมเป็นคนสำคัญสินะ
W : อย่าเฉไฉนะคะ
T : ชีวิตนี้แสนสั้น..พึ่งรักษาไว้ซึ่งสัจจะ ; ความสมัครใจของท่านทั้งสอง จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าได้แยกจากกันเลย
ชาวDD : อาเมน!
W : โดนท่านดุเลยเห็นมั้ย
F : ผมยอมแล้วครับ
W : ตั้งแต่นี้ไป ต้องรักษาคำพูดนะคะ
THE END
ใช้บริการ Line Taxi เรียกไปส่งยังจุดหมาย ระบบแจ้งให้เราเห็นในแอพชัดเจนว่ารถถึงไหน อีกกี่นาทีถึง คำนวณค่าใช้จ่ายให้เสร็จสรรพ
“ผมใช้ทั้งไลน์ ทั้งแกร็บ นี่มันเด้งทั้งวันรำคาญชิบหายมีแต่เมียไลน์ตาม นี่มันก็ใช้ให้ไปซื้อข้าวมันไก่ ขับมา 2 ชม. ให้ตายก็ไม่ถึงพัน ก่อนพูดมึงคำนวนเส้นทาง/ชั่วโมง ให้มันสอดคล้องกับมิตเตอร์ก่อนมั้ย ไอ้สั ส ชั่วโมงเดียว 1000 ขี้ฟันชิบหาย"
พี่แท็กซี่พูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ตามด้วยการวิจารณ์ไอ้คนที่มันเอาอาชีพแท๊กซี่ไปอ้างเพื่อหาความชอบธรรมให้รัฐบาล
“คนต่อให้ปรับตัวแค่ไหน ถ้าระบบมันแย่ ห่วยแตก มันก็ลำบากอยู่ดี ถ้าผมปรับมากกว่านี้ผมคงต้องปรับตัวเองไปขับเครื่องบินมิตเตอร์แล้วครับ เพราะคมนาคมตอนนี้มึงก็แหกตาดูสิ อีสั ส ติดชิบหาย มีรัฐบาลไหนอนุมัติทำโครงการพร้อมกันทั่วกรุงเทพ เส้นทางเลี่ยงแทบไม่มี ในหัวมีแต่ขี้อีหน้า สั ส”
“บ้านอยู่แถวนี้หรือครับ”
“เปล่า อยู่แถวไหนก็ได้ไอ้ควาย เ สื อ ก”
“เปล่าครับ แถวนี้ตรอกซอยเยอะ กว่าจะออกถนนใหญ่ หลายขยัก ผมมาวิ่งแล้วก็พบว่าไอ้ห่ า ในถนนตรอกซอกซอยยังติด ถ้าผมจะวิ่งแค่ในซอย กูขับวินมอไซต์ดีกว่ามั้ยอะคับๆ"
พี่แท็กซี่ตั้งข้อสังเกต ตามด้วยการทดลองจนสรุปได้ผลว่าบริเวณไหนมีผู้โดยสารใช้บริการมาก ไม่ต่างจากนักวิจัย ผมนี่อดลุกขึ้นยืนปรบมือไม่ได้
“เค้าว่าเศรษฐกิจไม่ดี”
พี่แท็กซี่พูดสวนทันที
“ด่ารัฐบาลเลยครับไอ้หน้าส้ น ตี น ถ้าใครขึ้นมาบริหารแล้วได้แค่นี้ มันจะเลือกตั้งกันทำยวค ลัย มันจะเหมือนได้ไงกับคนที่มีสมองแค่ 84000 เซลล์ กุ้งยังมีเยอะกว่าเลยมั้ง ถ้าจะให้ปรับตัวเองช่วยตัวเองทุกอย่าง แล้วเราจะมีรัฐบาลมาทำมะเขืออะไร เราจะจ่ายภาษีกันไปทำไม งั้นก็ไม่ต้องมี รก เกะกะ ออกไปไอ้ตี๋หน้าหู่”
"จะด่ารัฐบาลทำไมหละ”
“งั้นให้กูด่าแม่มึงแทนมั้ยหละ ถ้ากูขับแท๊กซี่ชั่วโมงเดียวได้ 1000 วันนึงกูขับ 10 ชม. หักค่านั่นนี่ คำนวนมากูได้ขั้นต่ำ 5000+ กูคงไม่ให้เมียกุไปลำบากขายกับข้าว”
“เมียทำกับข้าวเก่งสิ”
“ไม่เป็นเลย พอผมจะบังคับมันเรียนจากยูทูปมันก็อ้างชายเป็นใหญ่”
“แต่พ่อค้าแม่ค้าโวยว่าเศรษฐกิจไม่ดี”
“ก็ถูกแล้วครับ หรือมึงว่าเศรษฐกิจดีหละตอนนี้ มึงอยู่ประเทศเดียวกันกับกูหรือเปล่า”
“ตอนเลือกตั้ง เลือกพรรคไหน” เราอดถามไม่ได้
“เ สื อ ก ค รั บ”
“คือ”
“ปากท้อง ถนน น้ำ ไฟ ค่าแรง รักษาพยาบาล มันก็คือการเมืองหมดอะไอ้สั ส ไม่ให้รัฐบาลแก้ไขมึงจะให้เจ้าอาวาสวัดมาแก้หรอ ไอ้พูดเรื่องประชาธิปไตย ไกลตัวก็เหี้ลแล้ว จบป.ไหนมาครับ ผมยกมือเลือกหัวหน้าห้องตั้งแต่อนุบาล"
“พอใจ ส.ส.ของเขตตัวเองมั้ย”
“ถามเยอะถามแยะนะมึงอะ ถามมากกว่านี้กูจะคิดค่าที่มึงเอาไปทำคอนเท้นต์แล้วสะ”
พี่แท็กซี่สบถอย่างหัวเสีย
ถึงที่หมาย ส่งเงินให้ เหลือเงินทอน 17 บาท เราเอ่ยปากยกให้
“ขอบคุณครับ งานบริการถ้าผู้ใช้บริการเต็มใจจะให้ทิป มันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าผมเงินได้เกินเกณฑ์ที่จะต้องจ่ายภาษีพี่ควรแนะนำผมให้ไปหาสรรพากร ไม่ใช่มาเขียนอะไรโง่ ๆ แบบนี้”
เราหน้าหงายเล็กน้อย
สัญญาณจากแอพในมือถือดังขึ้น
“แหม.. เมียเร่งเอาข้าวมันไก่"
(นิยายแปล) Gods King Warrior Conqueror Heaven อภินิหารเคล็ดวิชาเทพเจ้าราชันย์นักรบเย้ยจอมสวรรค์
ตอนที่ 5 ป่วนเมือง
เซวี่ยอวี่เซวียนเดินออกจากเล่าสุราฟ้าเหมามาย “เหอเบื่อจัง ต้องไปหุบเขาเสียนสวรร์คจริงๆหราเนี่ย ไม่เอาดีกว่า ขี้เกลียดแระ ผู้หญิงหาใหม่ง่ายๆ เด๋วไปป่วนคนเร่นก่อนดีกว่า อิอิ”
พูดจบเซวี่ยอวี่เซวียนก็ใช้ผลังวิชชาตัวเบากระโดด พึ่บ ตุ้บ ลงมาในตลาด “โอ้โฮพี่ชาย ขายอะไรหนะ” เซวี่ยอวี่เซวียนถามพ่อข้า “เป็นเครื่องลางคับคุณลูกข้า” พ่อข้าตอบ “พกเอาไว้แร้วลับลองสาวรักสาวหลง จีบสาวติดทุกคนแน่ๆคับคุณลูกข้า” “จิงเหรอ” “จิงสิคับ ผมขายถูกๆ แค่หนึ่งเหลยีนทองเอง”
เซวี่ยอวี่เซวียนร้วงมือลงไปในกะเป๋ากางเกง พบว่าเงินที่เก็บเอาไว้หายหมด “อ่าว เงินไม่มีเรย ผมขอฟรีได้ป่าวคับพ่อข้า”
พ่อข้าได้ยินอย่างงั้นเรยคิดว่าเซวี่ยอวี่เซวียนกวรตีร “ได้ไงวะไอ้กะจอก เงินแค่เหลยีนทองเดียวมึงไม่มีปันยาแร้วจะมาเดินตลาดทำไม บ้าปะ”
เซวี่ยนอวี่เซวียนโดนด่าว่ากะจอกก็โกด “หน่อยแหนไอ้พ่อข้า คนแค่ไม่มีตังก็ด่ากะจอกเรยหรา เปนใครมาจากไหนอะ แบบนี้ต้องสั่งซ้อนแร้ว” ว่าแร้วเซวี่ยอวี่เซวียนก็เก็งผลังละดับพระเจ้าไว้ที่ฝ่ามือ ปังงงงง โอ้ยย เซวี่ยอวี่เซวียนตบหัวพ่อข้าอย่าแรงจนกโลกยุบ ก้อนสหมองใหลออกมาทางจมูก “55555 คัยกันแน่ที่กะจอก ถุ้ย”
คนแถวนั้นพากันกลัวเซวี่ยอวี่เซวี่ยนจนหนีกันไปหมด เซวี่ยอวี่เซวียนเลยเก็บของที่พ่อข้าคนอื่นๆ ทิ้งไว้ใส่กะเป๋า “เอาเครื่องลางไปด้วยดีกว่า อิอิ”
แต่ก่อนที่เซวี่ยนอวี่เซวียนจะหนีไปไหน ทหารประจำเมืองก็มาถึง “หยุดนะ ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย” “ก็ไอ้พ่อข้านี่มันด่าว่าข้าเปนพวกกะจอกก่อน” “แร้วงัย ฆ่าคนได้เหรอ” “ก็ฆ่าไปแร้ว จะให้ทำงัย มียาชุบชีวิตหรอ” “ปากดี หาที่ตายแท้ๆ”
ควับๆๆ ทหารประจำเมืองขวงดาบเข้าใส่ ฉิ้งงง เซวี่ยอวี่เซวียนฉักกะบี่ออกมาบ้า เช้งๆๆๆๆ อาวุดฟันกันดังเช้ง ก่อนที่เซวี่ยอวี่เซวียนจะแถงเข้าที่กางอกของทหาร อ้ากกกกกก ทหารล้องออกมาอย่าเจ็บปวด ก่อที่จะล้มลงตาย
“อุ้ยๆ ฆ่าทหารตายแร้ว ซวยระเรา รีบหนีดีกว่า” พูดจบเซวี่ยอวี่เซวียนก็ใช้ผลังวิชชาตัวเบาหนีไป
"โวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกคุณ หม่อมย่าคุณเซ็นสัญญายกคุณให้ฉันเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเป็นค่าขัดดอกไงล่ะ"
หญิงสาวร่างเพรียวเอนพิงพนักโซฟาหนังแท้สัญชาติอิตาเลียน มือบางรินไวน์แดงใส่แก้วก่อนยกขึ้นจิบอย่างไม่เดือดร้อนใจ ริมฝีปากอิ่มเคลือบลิปกลอสสีชมพูวาวเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม มันเกือบจะเป็นรอยยิ้มเยาะเสียด้วยซ้ำ ถ้าบอกว่าเหมือนจันทร์สนุกกับการที่เห็นชายหนุ่มในชุดสูทดิ้นพล่านก็ไม่ผิดนักหรอก
"สัญญาอะไร? ขัดดอกอะไร? ผมไม่เข้าใจ" หม่อมหลวงธฤตชลธรละกำปั้นออกจากประตูห้อง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำมองหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยความงุนงง
"โธ่เอ๊ย.. อย่าทำมาเป็นใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวหน่อยเลยคุณชล คุณชายพ่อคุณน่ะ โกงเงินพ่อฉันไปจมในบ่อนไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยล้าน แถมดันชิงตายหนีหนี้แบบนี้ไปได้ กรรมมันก็ต้องตกถึงลูกอย่างคุณน่ะสิ"
"ถ้าเป็นเรื่องเงินผมชดใช้ให้คุณได้...." ถ้อยคำของร่างสูงเงียบหายไปก่อนที่เขาจะพูดจบ เหมือนจันทร์เดินเยื้องย่างเข้าใกล้จนชายหนุ่มไม่สามารถหลีกหนีไปได้ หลังของเขาแนบอยู่กับบานประตูพร้อมกับร่างของเธอที่บดเบียดเข้ามา ปลายเล็บที่เจือมนและเคลือบสีมาอย่างดีแตะลงบนริมฝีปากบาง
"ฉันไม่พูดอะไรเยิ่นเย้อแล้วกันนะ หม่อมย่าขายคุณให้ฉันแล้ว ส่วนคุณก็มีหน้าที่ผลิตลูกให้ฉันสักคนสองคน แล้วฉันจะปล่อยคุณไปหายัยพิมลมาศ แม่สุดสวาทขาดใจของคุณไงล่ะ"
วันนั้นผมขับรถไปธุระ มีวัยรุ่นกลุ่มนึง ขับตามหลังมา
โทสับผมมีคนโทรเข้า แล้วหันไปหยิบขึ้นมา
วัยรุ่นกลุ่มนึงขับมาประกบข้างรถผม ตะโกนด่าผมว่า ควายๆ
ทั้งที่ไม่รู้จักกัน ผมไม่ได้ไปกวนตีนมันเลยนะ
นักเลงมาก
เเหม่ๆ รู้จักกูน้อยไปแล้วพวกมึง
ผมคิดในใจพร้อมกับจ้องพวกมัน แบบไม่ละสายตา
ผมกดกระจกลง ด่ากลับไป มึงดิควายสัส
สักพักผมก็วูบไป ตื่นขึ้นมาอีกที อยู่โรงพยาบาล ผมถามพยาบาลว่า จับพวกวัยรุ่นที่ตีผมได้ยัง
วันรุ่นที่ตะโกนด่าผมว่า ควาย ยังทำร้ายผมอีก
พยาบาล : คุณขับรถชนฝูงควายตรงทางโค้ง เค้าตะโกนบอกยังไม่ฟังอีก
กาลครั้งหนึ่ง.. นานสองนานมาแล้ว
W : พลังเวทย์เกิดจากธาตุรู้แจ้ง จิตคือช่องเก็บของเวทย์ หลอมธาตุรู้ได้จากแร่บารมี พบมากในใต้น้ำ จงเสาะหาเอาเถิด
F : ท่านอาจารย์ช่างเป็นคนดี เผื่อแผ่เคล็ดวิชา
W : เราต้องการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มิใช่ยกตนข่มท่าน
F : ไมตรียิ่งใหญ่ไพศาล ดังแม่น้ำฮวงโห โลกต้องรับรู้ถึงคุณงามความดีที่ท่านกระทำ
W : หยุดเถิด.. พดฺ อานนฺ
>>210 แม้โนบิตะ จะโง่ แต่เรื่องการเอาตัวรอดนั้น เขาก็เรียกว่าเก่งกาจหาตัวจับยาก โนบิตะหลบหนี ออกจากบ้านของชิซุกะอย่างสับสน เขาหนีไปแอบอยู่ซอกมุมเล็กๆของตรอกแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากเมืองที่เขาอยู่
เขาจะทำอย่างไรดี ตอนนี้ เขาอายุ18แล้ว ไม่ใช่เยาวชน เขาต้องได้รับโทษหนักแน่นอน เขาควรจะมอบตัวหรือทำอย่างไรดี โนบิตะ พยายามคิดวิธีแก้ปัญหาหลายวิธี แต่ก็คิดไม่ออกเลย นอกเสียจากเขาจะมอบตัว
โฯยิตะ เครียดจนหลับไปในกล่องเล็กๆของกองที่ทิ้งขยะที่เขาแอบซุกตัวอยู่ เวลาผ่านไป จนถึงกลางคืน เขาก็สะดุ้งตืนจากเสียง ระเบิดที่ดังขึ้น
เขาผุดลุกขึ้น เสียงดังทำให้ ชายฉกรรจคนนึ่งพบตัวเขา และพุ่งเข้ามาหา เขาถูฏเตะโดยไม่พูดพร้ำทำเพลง จนล้มลงไปนอน และชายคนนั้น ก็ลากเขาออกมาอย่างไปปราณี
" เอาไงดี ไอ้หนีดุเหมือนว่ามันจะแอบเห็นเราอยู่"
" ปิดปากมันดีกว่า จะได้ไม่มีใครเจอ พวกจรจัดหายไปสักคน คงวไม่มีคนสนใจ"
ชายหกคนปรึกษากัน ดนบิตะ ซึ่งพยายามจับต้นชนปลาย ได้มองสถานการณ์รอบๆ
มีชายวัยกลางคน นั่งหอบเพราะอาการบาดเจ็บ มีเลือดไหลจากไหล่ของเขาชุ่มโชก
ชายอีกสองคน นอนนิ่งไม่ขยับบนพื้น มีเลือดไหลออกมากมายจนเจิ่งพื้น
แว่บแรกที่โนบิตะคิด เขารูว่ารตนเอง เข้ามาพัวพันกับเรื่องราวในโลกมืด และตอนนี้ พวกที่เหลือกำลังจะปิดปากเขา
ทั้ง6คนมีปืนครบมือ หากเขาวิ่งหนี ก็ต้องถูกยิงแน่นอน
ทำไงดีล่ะ ทำไงดี หัวของ โนบิตะคิดหาเอาตัวรอดแบบสุดชีวิต ภาพการผจญภัยกับผองเพื่อนในอดีตผุดขึ้นมาราวกับเป็นภาพสุดท้าย
หากแค่ฉันมีปืนล่ะก็ แค่ของพวกนี้ โนบิตะ คิดไปถึงตอนที่เขาดวลปืนกับวายร้ายระดับจักรวาล และเขาเป็นฝ่ายเอาชนะได้ หลายต่อหลายครั้งที่ฝีมือยิงปืนของเขา สามารถทำให้เขาเอาชนะอุปสรรคต่างๆมาได้
แต่ตอนนี้ เขาไม่มีปืน
และจะหาปืนจากไหนล่ะ
ปืนเหรอ หาง่ายจะตายไป ข้างหน้านายก็มีตั้งหลายกระบอกนี่นา
เสีนงตอบโตในหัวของโนบิตะ ที่แม้เหมือนจะดูเนิ่นนาน แตมันก็เป็นเพียงเสียววินาทีเท่านั้น
ตอนนี้ โนบิตะ หวังเพียงว่า เขาอาจจะแย่งปืนได้ แต่หากเขาลุก หรือทำอะไรผิดปกติ เขาคงถูกยิงแน่นอน
แต่การแย่งปืนไมไ่ด้หมายความว่าจะต้องลุกขึ้นไปแย่งนี่นา
เพียงแค่คิด 1ในสิ่งที่เขาถนัดที่สุด การพันด้าย ก็ถูกนำมาใช้ เสันด้สยถือนิ้วมือที่คล่องแคล่วของเขา ส่งลอย ออกไปพันยังปืนของ1ในมือปืนที่ดูว่าถือปืนไม่แน่น และไม่ระวังตัว
เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เมื่อโนบิตะ กระตุกมือกลับ ปืนกระบอกนั้น ก็กลับมาอยู่ในมือเขาแล้ว
เฮ้ย!!! ปังๆๆๆๆๆ เพียงแค่เสียงร้องตะโกน อย่างตกใจเพียงคำเดียว ทั้ง6 ก็ล้มลงทั้งยืน ด้วยบาดแผลจากกระสุนปืนบริเวนกึ่งปากกึ่งจมูก อันเป็นจุดของก้านสมอง ที่เมื่อถูกทำลาย คนคนนั้นจะตายทันที โดยไม่ขยับแม้แต่นิด
นี่ไม่ใช่ การยิงปืนครั้งแรก ท่าทีของโนบิตะ ในตอนนี้ ไม่เหมือนเด้กหนุ่มไร้น้ำยา แต่มันคือมาดของมือปืนอันดับหนึ่งของจักรวาล
"...นาย... เจ้าหนู... นายเป็นใครกันแน่ "ชายกลางคนที่เลือดชุ่มโชก พูดเสียงแผ่วออกมา ทำให้โนบิตะ กลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
เขาฆ่าคนไปแล้วอีก6คน
แนา่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ฆ่าสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา
ในการผจญภัยหลายครั้ง เขาได้ฆ่าศัตรูไปมากมาย ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
แล้วทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่รู้สึกอะไรล่ะ
เพราะว่า ไม่มีกฏหมายเอาผิด เวลาเขาฆ่าศัตรูไงล่ะ
เขากลัวอะไรกันแน่ ความรู้สึกผิดที่ฆ่าคน หรือเพราะกลัวถูกจับ
แน่นอนว่ากลัวถูกจับสิ
ทางไหนที่ตำรวจจะไม่เข้ามายุ่งล่ะ หนีไปเรื่อยๆเหรอ ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ทำไม ไม่ลองเขามาในโลกที่ตำรวจไม่ค่อยเข้ามายุ่งล่ะ
ความคิดสองฝ่าย โต้เถียงกันในหัว แต่มันก็ถูกหยุดเมื่อชายกลางคนนั้น กระตุกเสื้อเขาเบาๆ
"เสียงปืนดังขนาดนี้ เดี๋ยวพวกที่คอยเก็บศพ มันต้องเข้ามาแน่ เจ้าหนู ช่วยพยุงฉันออไปจากที่นี่ที" ชายกลางคน ขอร้องกึ่งสั่ง
โนบิตะเองก็ปฏิเสธคนที่บาดเจ็บขนาดนั้นไมไ่ด้ และยิ่งบารมีจากแววตาของชายวัยกลางคน ก็ทำให้เขาไปกล้าขัด
โนบิตะ ประคอง ชายวัยกางคน จนมาถึงถนนใหญ่ได้ เพียงชั่วครู ก็มีรถคันใหญ่ วิ่งเข้ามารับ
"เจ้าหนู มาด้วยกันสิ เดี๋ยวพกวมันก็ตามมาเจอหรอก" ชายคนนั้น จับมือของโนบิตะไว้ โนบิตะ แม้จะโง่ แต่เรื่องแบบนี้เขารู้ดีว่า หากเขาเข้าไปในรถคันนี้ เขาจะกลับมายังโลกแบบคนทั่วไปไม่ได้
"เอ้ยๆๆๆ มันอยู่นั้น" เสียงฝีเท้าไล่เข้ามา พวกมันตามมาแล้ว ในวินาทีนั้น โนบิตะ ซึ่งมีปืนอยู่ในมือ เขาไม่ใช่คนขี้ขลาดที่โดนเพื่อนรังแก แต่เขาคือ โนบิตะ ชายผู้เป็นมือปืนอันดับหนึ่งของจักรวาล และวีรบุรุษที่เคยช่วยโลกต่างมิติมาแล้วหลายครั้ง
โนบิตะ ส่งกระสุนสองนัดสุดท้าย เข้าหัวของ กลุ่มชายที่วิ่งตามเขามา และกำลังเล็งปืนไปที่ล้อรถยนต์ ก่อนที่เขา จะกระโดดขึ้นรถไปกับชายคนนั้น
ในรถ นอกจากเสียงหายใจหอบๆของชายวันกลางคนแล้ว ก็แทบไม่มีเสียงอื่นใด โนบิตะเองก็ไม่พูดอะไร ในหัวของเค้ามีแต่ความสับสน เขารู้ดีว่า เขาถลำตัวลึกเข้ามาเรื่อยๆ
"เจ้าหนุ่ม เป็นใคร ฝีมือยิงปืนยอดเยี่ยมขนาดนี้ หาในญี่ปุ่นไม่น่าจะได้นะ ดูแล้วเจ้าหนุ่มคงเป็นคนเอเชีย มาจากไหนล่ะ พูดญี่ปุ่นได้ไหม" ชายกลางคนเริ่มบทสนทนาก่อน
"...หืม เข้าใจที่ฉันพูดไหม" ชายกลางคนสำทับ โนบิตะ จึงค่อยๆอ้ำอึ้งพูดตอบ
"...ผม ผมเป็นคนญี่ปุ่น" โนบิตะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรเพิ่ม
" แล้วเจ้าหนุ่มเป็นใครล่ะ ทำไม ถึงไปอยู่ที่นั่น" คำถามขอบชายกลางคนยิ่งตอกย้ำสาเหตุที่เขาต้องมานั่งบนรถคันนี้ ภาพของชิซุกะ และเดคิดซุกิที่เปลือยกอดรัดทำให้โนบิตะ รู้สึกปวดหัว จนต้องหลั่งน้ำตาออกมา
"ผม... ผมไม่รู้จะไปที่ไหน ผมไม่มีที่ไปแล้ว" โนบิตะ ตอบเช่นนั้น ซึ่งก็จริงตามความรู้สึกของเขา เขาเพิ่งฆ๋าคน แม้จะ ยอทรับผิดสารภาพ แต่เขาก็ต้องติดคุกหมดสิ้นอนาคตแน่นอน
".... ที่ไปน่ะ หากมันไม่มี เราก็สรา้งขึ้นมาสิ คืนนี้หนักมากแล้ว ยังไง ไปพัดที่บ้านของข้าก่อนละกัน แล้วค่อยว่ากันต่อ" ชายกลางคนพูดแค่นั้น โนบิตะ ได้แต่พยักหน้ารับ
รถแล่นมาจนถึงบ้านหลังใหญ่ เมื่อรถแล่นเข้าในบ้าน ก็มีกลุ่มชายหลายคน ออกมาต้อนรับ โนบิตะ ก้าวลงมาด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ
หลังจากที่ชายหลางคนตามลงมา เหล่าชายฉกรรจ์ที่เห็นแผลรุนแรงที่ไหล่ ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดโกรธแค้น ชายกลางคนยกมือขึ้น และผายไปทางโนบิตะ
"เจ้าหนุ่มคนนี้ เป็นคนที่ช่วยข้าเอาไว้ เลี้ยงรับรองต้อนรับเขาให้ดีล่ะ" แล้วชายกลางคน ก็หันไปหาโนบิตะ
" ข้าจะไปทำแผลก่อน หากต้องการอะไร ก็สั่งเด็กๆพวกนี้ได้เลยนะ คืนนี้ เจ้าหนุ่มพักก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรจะทำอะไร พรุ่งนี้ค่อยคิดการต่อ
โนบิตะ ถูกพาเข้าไปในห้องพัก ซึ่งมีนทุกอย่างครบครัน ทั้ง ทีวี อ่างอาบน้ำ เขาถอดเสื้อผ้าชำระร่างกาย และ เปิดทีวี ด้วยมือที่สั่นเทา
อย่างที่เขาคิดไว้ เมืองที่สงบสุข หากมีข่าวฆาตกรรมที่นานๆครั้งจะเกิดขึ้น ข่าวย่อมครึกโครม ในทีวี ปรากฏข่าวของเขา ที่พาดหัวว่าลงมืดฆ่ารัดคอย่างอำมหิต
ในข่าวเปิดเผย ชื่อ และสกุลของเขา เนื่องจากอายุของเขาไม่ใช่เยวชนแล้ว โนบิตะ เครียดสุดชีวิต เขาปิดทีวี แล้วงอตัวกอดเข่า ก่อนที่จะหลับไปในสภาพนั้น
รุ่งเช้ามาถึง แต่เพียงแค่เสียงเดินเข้ามาในหน้าห้อง โนบิตะ ก็ตื่นทันที มือของเขาเอื้อมไปสัมผัสด้ามปืนตามสัญชาติญาณ แต่เสียงที่หน้าประตู ก้ดังขึ้น
"เจ้าหนุ่ม ตื่นหรือยัง ข้าขอเข้าไปหน่อยใจได้ไหม" เสียงของชายวัยกลางคนนั่นเอง โนบิตะ ลังเลชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
ชายวัยกลางเข้า กด้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับชายร่างใหญ่สองคน แต่แล้ว เขาก็โปกมือให้ทั้งสองคนนั้นออกไป
"ข้าจะคุยกะเจ้าหนุ่มนี่หน่อย" เมื่อชายทั้งสองได้ยินดังนั้นจึงถอยออกไป ในห้องที่มีเพียงชายกลางคน และ โนบิตะ เงียบไปชั่วครู ก่อนที่ชายหลางคนจะเอ่ยขึ้นก่อน
"ข้าเห็นจากในทีวีแล้วล่ะ โนบิตะ เชือกมรณะสินะ" ชายกลางคนพูดฉายาที่นักข่าวตั้งให้
"ผมไม่ได้ตั้งใจ!!! "โนบิตะ ตะโกนออกมาเสียงดัง จนทำให้ชายทั้งสองที่อยู่หน้าประตูเปิดประตูถลันเข้ามา
" ไม่ต้องเข้ามา ข้ายังคุยกับเจ้าหนุ่มนี่อยู่ ห้ามใครเข้ามาทั้งนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น" ชายกลางคน ตวาดใส่ชายทั้งสองเสียงดัง ทำให้ทั้งคู่ก้มหัวลงต่ำ ก่อนจะลุกลนออกไปจากห้อง
"... ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ปัญหาคือ เจ้าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ล่ะ " ชายกลางคน พูดกับโนบิตะ ด้วยโทนเสียงอ่อนโยน
"ไม่รู้... ผมไม่รู้ ผมไม่รู้จะไปไหน " โนบิตะ ก้มหน้าพูดตามจริง
"นั่นสิ.... ข้าคิดมาทั้งคืนหลังเห็นเรื่องของเจ้าหนุ่มในทีวี ข้าคิดว่า ตอนนี้ เจ้าหนุ่ม มีทางเลือกอยู่แค่2ทาง นอกจากเรื่องที่จะเข้าคุกล่ะนะ" ข้อเสนมอของชายกลางคน ทำให้โนบิตะ เงยหน้าขึ้นมาฟัง ในแววตาของโนบิตะมีแววแห่งความหวัง
"1.. คือหนี หนีออกจากประเทศ ไปเกาหลี ไปจีน หรือไปไทยก็ได้ ข้าพอจะช่วยเรื่อเอกสารปลอมได้ แต่ปัญหาคือ ข้าไม่มีอิทธิพลใดๆที่สามารถช่วยเจ้าได้เลย เมื่อออกนอกประเทศไปได้ เจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะ" คำตอบแรก ทำให้แววตาแห่งความหวังของโนบิตะดับวูบลง
เขาพยายามรับฟังคำตอบที่2 ด้วยใจที่เต้นระรัว
"2.. หากข้ารวมอิทธิพลพื้นที่ในย่านนี้ได้ ก็พอจะมีบารมีที่จะกันไม่ให้ตำรวจมายุ่งกับเจ้าหนุ่มได้ แต่เสียดาย มันคงเป็นไปไม่ได้ หาก เจ้าหนุ่มไม่ช่วยข้า" ชายกลางคน เสนอข้อแลกเปลี่ยนที่ทำให้โนบิตะสงสัย แววตาของชายหนุ่มจ้องมาที่โนยิตะ ราวกับต้องการให้เขาถามว่า โนบิตะ จะสามารถช่วยได้อย่างไร
" ผม.. จะช่วยส่วนไหนได้" โนบิตะ แม้จะไมไ่ด้เรียนเก่งมากมาย แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เขาร็ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนหมายถึงอะไร
" ช่วยข้า กวาดล้างไอ้พวกแก็งค์ที่มันมาหาเรื่องเมื่อคืน" ชายกลางคนพูด ซึ่งดูเหมือนโนบิตะ จะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าหมายถึงอะไร
ในหัวของโนบิตะ ทั้งมโนธรรม และความต้องการเอาตัวรอด ต่อสู้กันอยู่ หากเขา ยอมเข้ามอบตัว แน่นอนว่า อนาคตของเขา จะดับแน่นอน
แต่มันจะไม่มีคนตายเพิ่ม
หากเขาตัดสินใจช่วย"กวาดล้าง" ศัตรู ของชายกลางคนตามคำไหว้วาน เขาจะพอมีทางที่จะใช้ชีวิตนอกคุกได้
คำถามต่อมาคือ เขาจะสามารถจัดการ"กวาดล้าง" ได้เหรอ
ได้สิ.... ของง่ายๆ แค่ ยิงหัวมันคนละนัดเท่านั้นเอง
"..... ผมขอ ปืน4กระบอก ระบบออโต้ กระสุนชัก8แมกส์" โนบิตะ พูดเรียบๆ ในแววตาของเขาไม่เหลือประกายแห่งความหวัง มันเหลือแต่ความมืดมิด และเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ
" ได้สิ ข้าจะเรียบใก้พวกเด้กไปช่วยด้วย เราจะจัดการมันให้แบบไม่ต้งตัวในคืนนี้แหละ"ชายกลางคน แม้คิดว่าโนบิตะ จะไม่มีทางเลือกและต้องร่วมมือ แต่เขาก็ไม่คิดว่า โนบิตะจะตอบรับเร็วเช่นนี้
"ไม่ต้อง ไม่ต้องส่งใครไปทั้งนั้น ผมจะจัดการคนเดียว อย่าให้ใครตามไปเด็ดขาด แค่ไปส่งผมก็พอ" โนบิตะแย้งทันที โนบิตะเองไม่ได้ตั้งใจจะโชว์ฝีมืออะไรหรอก เพียงแต่เขาไม่ไว้ใจ และกลัวการถูกหักหลัง
"บ้ารึ เจ้าหนุ่ม ในตึกนั้น มีพวกมันอยู่เป็นสิบๆ ถึงเจ้าจะเก่งแค่ไหน แต่ลำพังคนเดียว......" ใีมือของโนบิตะที่ยิงหัวของมือปืน6คนพร้อมๆกันนั้นเปนสิ่วที่ไม่เคยเห็นใครทำได้มาก่อน แม้แต่โชว์ของนักแม่นปืนระดับโลกที่ใข้วิธียิงแบบควิกดรอระดับเอว ก็สามารถยิงได้เพียง2เป้าต่อครั้งเท่านั้น แต่กระนั่น การใช้ปื่นสองกระบอกลุยคนนับสิบมันก็คือการเอาชีวิตไปทิ้งชัดๆ
"ไม่...ไม่ต้อง แค่นี้เอง ให้ผมทำคนเดียวเถอะ ขอร้องล่ะครับ" โนบิตะ ก้มหัวขอร้อง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ชายกลางคนงงเข้าไปใหญ่
"เฮ่อ หากมั่นใจขนาดนั้นก็ได้ ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าหนุ่มเอง เดี่ยวจะเตรียม ขอให้นะ ชายกลางคน พูดแบบปนเสียดาย เขาคิดว่า โนบิตะ คงหาเรื่องที่จะเอาปืน และหนีไปเพราะไม่อยากช่วยเหบลือ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้ ชายกลางคนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เวลาผ่านไป จากเช้า จนถึงช่วงบ่าย ของทั้งหมด ก็เตรียมเสร็จสิ้น ปืน และแมกกาซีนกระสุน ตามที่โนบิตะขอ ได้ถูกนำมาให้เขา
"มีกระสุนสำรองไหม ผมอยากลองยิงดูหน่อย" โนบิตะ ร้องขอ ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร กระสุนสำรองสี่แมกส์ สำหรับปืนสี่กระบอกถูกนำมาให้ โนบิตะ
โนบิตะ หลับตา นึกถึงประสบการณ์ยิงปืนในอดีต เขาเคยยิงปืนลูกโม่บรรจุกระสุน6นัด เข้าเป้า6เป้าได้แบบสบายๆ แต่นั่นคือขีดจำกัดของเขาแล้วหรือ โนบิตะ อยากลองขีดจำกัดของตนเองอีกครั้ง
เขา เหน็บมือทั้ง4กระบอกไว้ที่เอว แล้วหยิบก้อนหินเล็กๆในลานมาเต็มสองมือ นับรวมได้ไม่ตำกว่า30ก้อน และเขาก็โยนมันให้กระจายบนอากาศ แล้วชักปืนออกมาทั้งสองมือ
พริบตานั้น เสียงปืนกล ก็แผดดังขึ้น
แต่เสียงไม่ได้มาจากปืนกล มันมาจากนิ้วที่งว่องไว กระหนำรัวไกปืนอย่างต่อเนื่อง
ในญี่ปุ่นมีคนที่สามารถกดปุ่มจอยเกมได้13ครั้งต่อวินาที แต่โนบิตะตอนนี้ เขาน่าจะกระดิกนิ้วลั่นไก ได้ข้างละ15ครั้งต่อวินาที
รวมทั้งสองข้างก็นับได้30ครั้ง ซึ่งเรียกได้ว่ามันดังรัวกว่าปืนกลทั่วๆไปเสียอีก
หนำซ้ำ ก้อนกรวดที่โยนกระจายกลางอากาศนั้น 1ก่อน ถูกกระสุน1นัดป่นกลางอากาศจนเป็นผง เพียงวินาทีเดียว ก้อนกรวดทั้ง30กว่าลูก ก็ถูกยิงจนแตกสลาย โดยไม่ทันตกพื้น
นับตั้งแต่ โยนกรวด จนถึงที่เขาชักปืนออกมาและยิงจนหมดแมกกาซีน2แกมส์ รวม30นัดนั้น กินเวลาราว1วินาทีเท่านั้น
ชายกลางคน และผู้ติดตาม ต่างก็อึ้งจนพูดไม่ออก กับฝีมือ ของโนบิตะ
จวบจนเวลาบ่ายคล้อย รถเก่งติดฟิลม?สีดำ ก็พอโนบิตะมายังแถวตึดที่เป็นเป้าหมาย ตอนนี้ โนบิตะ ใส่แว่นสีดำ ซึ่งจริงๆ ก็แค่แว่นอันเดิมของเขาที่ติดคลิบกลองแสง และเสื่อโค๊ดยาวเพื่อปกปิดปืนและแม็กกาซีน
" 8ชั้น ผมจะจัดการ พวกที่ถืออาวุธทุกคน รอผมด้วยนะ สัก20นาที" โนบิตะที่เมื่อถือปืนแล้วท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดสั่งด้วยน้ำเสียวงเรียบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังตึก
มีเสียงปืนดังออกมาจากตึก โชคดีที่แถวนั้นไม่ค่อยมีคนผ่านมามากนัก ประกอบกับเสียงรถ และโฆษณาในช่วยบ่าย ทำให้หากไม่สังเกตุหรือเงี่ยฟังในระยะใกบ้จะไมไ่ด้ยินเสียงชัดเจนเท่าไรนัก เสียงปืนดังจากชั้น1 ไล่ไปจนถึงชั้น8 หลังจากนั้น ก็มีแต่ความเงียบปกคลุม
https://fanboi.ch/webnovel/2726/543-546/
อ่านจากสำนวนของมึงแล้วกูว่ามึงมีของอยู่พอสมควร วิธีเล่า pacing ทำได้ดี เสียอยู่อย่างเดียว มึงเว้นวรรคมั่วไปหน่อย ถ้าหาคนมาช่วยเกลาเรื่องนี้ได้ นิยายที่มึงแต่งน่าจะกีขึ้นอีกมาก
กูไปก๊อบที่คนอื่นเขาเขียนมา
ทดลองเขียนแนวยุโรปเสิ่นเจิ้น
‘เคล็ดลับของการรมควันอยู่ที่การเลือกไม้’
เอลิกซ์รู้สึกเหมือนตอนนี้เขาเป็นขาหมูที่กำลังถูกรมควัน...ถ้าปล่อยทิ้งไว้อีกนิดเขาก็คงจะสุกจนกลายเป็นแฮม...
เด็กหนุ่มเคยช่วยป้าเมย์รมควันสารพัดสัตว์อยู่หลายครั้ง ทั้งปลาเทราต์ ไก่งวง เป็ด และส่วนต่าง ๆ ของหมูตัวอ้วน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เขาต้องเอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางควันไฟแบบนี้เลยสักครั้ง...ถึงมันจะไม่ใช่ควันจากเนื้อไม้ แต่กลิ่นหอมเอียนจากกำยานผสานกับเสียงสวดแหลมสูงที่เกือบจะเป็นเสียงโหยหวนของเหล่านักบวชในชุดขาวก็ทำให้เขาประสาทเสียจนอยากจะกลายเป็นแฮมอบน้ำผึ้งขึ้นมาจริง ๆ
แค่สวดเฉย ๆ ไม่พอเหรอ...ทำไมต้องจุดกำยานรมควันกันด้วย...
สามวันแล้วที่เอลิกซ์ถูกรมควันในพิธีอวยพรจากศาสนจักรแห่งแสง ดวงตาของเขาแดงก่ำเพราะควันหนาทึบ แสบตาเสียจนน้ำตาจะไหลเอ่อออกมาอยู่รอมร่อ แสบจมูกเสียจนไม่รู้สึกว่าเคยมีจมูกไว้หายใจ อันที่จริงเขาไม่ได้อยากจะเข้าร่วมเลยสักนิด ถ้าไม่ติดว่ามีใครดันบ้าจี้ตั้งกฎให้ทุกคนที่เข้าร่วมขบวนตามหาตัวเจ้าชายเกเบรียลต้องผ่านการอวยพรจากเหล่านักบวชในทุกเช้า และใครที่ว่านั่นดันเป็นเจ้าชายรัชทายาทอันดับสองแห่งอาณาจักรอาริไพน์
ส่วนอันที่จริงกว่าเมื่อกี้...เอลิกซ์ไม่ได้อยากเข้าร่วมตามหาเจ้าชายเกเบรียลตั้งแต่แรก เด็กเลี้ยงม้าอย่างเขาไม่ได้อยากช่วยชาติเพราะจงรักภักดีขนาดนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าชายที่ว่าหน้าตาเป็นแบบไหน เพราะเจ้าชายเกเบรียลหายสาบสูญไปตั้งแต่สิบห้าปีก่อน เขาจำได้แค่ราง ๆ ว่าเป็นเจ้าชายร่างกายสูงกำยำที่มีเส้นผมสีน้ำเงินเข้มและนัยน์ตาสีทองสุกใส...เหมือนกับเจ้าชายอีกหกพันกว่าคนที่เหลือ
จำนวนเจ้าชายที่มากมายขนาดนั้น ดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาเรื่องขาดแคลนรัชทายาท แต่เมื่อสองสัปดาห์กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในราชสำนัก หลังจากพระราชากิลเบิร์ตฟ้องหย่าพระราชินีและปลดเจ้าชายริชาร์ดออกจากตำแหน่งรัชทายาท เพราะจับได้ว่าเจ้าชายเป็นบุตรที่เกิดขึ้นกับชายชู้
เอลิกซ์ได้ยินข่าวแว่วมาว่ามีเจ้าชายหลายคนทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องแย่งบัลลังก์ แต่ร้ายแรงที่สุดคือเจ้าชายคนหนึ่งถูกหลอกไปปล่อยทิ้งไว้กลางทะเลทราย...สุดท้ายพระราชาจึงต้องประกาศให้หาตัวเจ้าชายเกเบรียลบุตรชายคนโตให้เจอภายในสองปี ก่อนที่พรมปูพื้นในพระราชวังจะอาบด้วยเลือดจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมแสนเศร้าของอาณาจักร
เด็กหนุ่มตัดสินใจเข้าร่วมขบวนตามหาเจ้าชายเกเบรียลก่อนออกเดินทางเพียงแค่คืนเดียว เพราะเขาเพิ่งจะได้อ่านประกาศอย่างละเอียด เขาไม่ได้คาดหวังรางวัลอันเป็นทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล ยศถาบรรดาศักดิ์ หรืออะไรต่อมิอะไรที่พระราชายินดีจะมอบให้ โธ่...เด็กเลี้ยงม้าอย่างเอลิกซ์จะตามหาเจ้าชายเจอได้ยังไง เขาก็แค่เห็นว่าพระราชาทุ่มไม่อั้น คนที่ออกเดินทางไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรสักอย่าง ไหนจะเบี้ยเลี้ยงที่ให้รายสัปดาห์อีกล่ะ...ออกมาเปิดหูเปิดตาสักปีสองปีคงจะไม่เดือดร้อนอะไร
ใช่...เขาไม่เดือดร้อน แต่คนที่เดือนร้อนกลับกลายเป็นป้าเมย์ แม่ครัวผู้ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก ที่คิดไปเองอย่างผิด ๆ ว่าเขายังเป็นเอลิกซ์วัยแปดขวบที่วิ่งซนไปทั่ว ไม่ใช่เอลิกซ์วัยสิบแปดที่โตเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสขวัญใจคนครัว...
“อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยากเจ้าหนู เจ้าก็แค่อยากออกไปเที่ยว ไม่ได้อยากไปตามหาเจ้าชายเหมือนคนอื่นเขาหรอก!” เสียงของป้าเมย์ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำเหมือนกับใบหน้าบึ้งตึงจนเกือบจะแข็งกระด้างและดวงตาสีเหลืองอำพันที่มองเขาอย่างรู้ทัน
“โธ่...ใครจะกล้าหลอกป้าเมย์ของข้ากัน” น้ำเสียงทุ้มลากยาวเหมือนค่อนไปทางออดอ้อนมากกว่าตัดพ้อ ริมฝีปากบางของเด็กหนุ่มขยับยิ้มออกเป็นรอยยิ้มหวาน ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนกับทุกครั้งที่เขากำลังคิดทำอะไรแผลง ๆ “ข้าแค่อยากออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง...ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยออกนอกเมืองหลวงเลยสักครั้ง”
อย่าว่าแต่เมืองหลวงเลย แค่ออกนอกเขตรั้ววังแอเรียสยังนับครั้งได้...
เอลิกซ์เติบโตขึ้นในพระราชวังแห่งราชวงศ์ดาริสโดยไม่รู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงคือใคร อดีตของเขาช่างว่างเปล่า...แค่เหมือนกับว่าวันหนึ่งจู่ ๆ เขาก็เข้ามาอยู่ในที่นี่ และมีป้าเมย์ หนึ่งในหัวหน้าคนครัวเป็นคนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็ทำงานสักอย่างในวังเหมือนกับเด็กกำพร้าคนอื่นที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน
เขามีความสุขดีภายใต้การดูแลของป้าเมย์...มีความสุขกับการเลี้ยงม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์ แต่หลายครั้งที่จิตใจร่ำร้องหาอิสรภาพ...ราวกับว่าเขาเป็นนกสีฟ้าตัวจ้อยซึ่งโดนกักขังไว้ในกรง เฝ้ารอคอยวันที่จะออกโผบินไปยังท้องฟ้ากว้างเพื่อตามหาความสุข
“ถ้าเป็นทหารไปตั้งแต่ตอนนั้นก็คงจะได้ออกไปข้างนอกบ่อย ๆ แล้วล่ะ” ป้าเมย์ตัดอารมณ์พร่ำเพ้อของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เธอเบะปากเพิ่มให้เป็นของแถม “ให้เรียนฟันดาบก็ไม่ชอบ ให้เรียนเวทมนต์ก็ไม่เอา ให้เรียนหนังสือก็บ่นเบื่อ ใครกันที่วัน ๆ เอาแต่วิ่งเล่นซน คนเขาหาเจ้ากันทั่ววัง ดันไปเจอนอนแอบอยู่ใต้โต๊ะอาหารของพระราชา!”
“นั่นมันเรื่องตั้งแต่สมัยไหนกัน...” ยังไม่ทันจะอ้าปากแก้ต่างให้ตนเองในวัยเด็ก ป้าเมย์ก็สวนขึ้นตั้งแต่เขายังไม่ทันได้พูดจบประโยค
“สมัยนี้นี่แหละ...รู้มั้ยว่าถ้าเป็นคนอื่นน่ะโดนเฆี่ยนจนหลังลายไปแล้ว แต่เพราะเจ้าไม่มีพิษมีใครกับใคร พวกทหารถึงได้ยกโทษให้ เจ้าน่ะเคยสำนึกบ้างมั้ย? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะลิกซ์ว่าเจ้าลามปามแอบเรียกพระราชาว่าตาเฒ่า” หญิงวัยกลางคนเอื้อมมือมาคว้าใบหูของหลานชายต่างสายเลือดที่นั่งอยู่บนพื้นแล้วออกแรงบิดเพื่อเป็นการทำโทษ เด็กหนุ่มดิ้นขลุกขลักแต่ก็ไม่กล้าตอบโต้ กลัวใจป้าจะคว้าเขียงไม้ที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาฟาด จากประสบการณ์ที่เคยเห็นป้าเมย์ล้มวัวด้วยมีดหนึ่งเล่ม...สอนให้เขารู้ว่าอย่าลองดีกับหัวหน้าคนครัว
อีกอย่าง...เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ก็พระราชาอายุปาเข้าไปเจ็ดสิบกว่า ถ้าไม่ใช่ตาเฒ่าแล้วจะให้เรียกว่าอะไร ขนาดพระราชากิลเบิร์ตยังหลุดขำตอนได้ยิน เพราะงั้นคำบ่นของป้าเมย์ก็ทำหูทวนลมต่อไปเถอะ
“ลิกซ์...เจ้าน่ะเป็นคนเรียนเก่ง หัวดี ทำอะไรก็เก่งไปหมด แต่เจ้ากลับไม่เอาไหน ไม่เอาอะไรสักอย่าง” เสียงของป้าเมย์ฟังดูทั้งอ่อนแรงและอ่อนใจ เธอเลื่อนมือมาลูบเส้นผมสีเข้มของหลานชายตัวดี “อย่างเจ้าน่ะราชองครักษ์ก็ยังเป็นได้ ไม่น่าจะเป็นแค่เด็กเลี้ยงม้าเลย”
“ก็ข้าไม่อยากเป็นทหาร...ทีตอนขอเป็นนักดนตรีป้ายังไม่ให้เลย” เด็กหนุ่มท้วงพร้อมกับมองผู้เลี้ยงดูตาปริบ ๆ ฝีมือเล่นไวโอลินของเขาอยู่ในระดับดีเยี่ยม เคยเล่นในงานเลี้ยงของราชสำนักอยู่บ่อยครั้ง ถึงขนาดได้รับไวโอลินไม้สุดหรูเป็นรางวัลจากพระราชา แต่ป้าก็ตัดอนาคตของเขาเหมือนเอากรรไกรตัดกระดาษเสียอย่างนั้น
“เพราะว่าเจ้าดันอยากไปร่วมขบวนเร่ต่างหากล่ะ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก อยู่กับพวกนั้นข้าวสามมื้อจะมีกินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แล้วถ้าเขาหลอกไปขายขึ้นมาจะทำยังไง” เธอเชยคางหลานชายขึ้นแล้วจ้องมองเขาด้วยสายตาพิจารณา
“สีผมสีตาเจ้าเป็นสีเข้ม เจ้าอาจจะเป็น...”
ผู้เป็นหลานชายระเบิดหัวเราะดังลั่นคั่นกลางประโยค คำพูดของป้าเมย์ตลกเสียจนเขาอยากจะลงไปขำกลิ้งบนพื้น “ข้าอาจจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้นในอาณาจักรนี้ ขนาดป้ายังเป็นลูกสาวของลูกสาวของเจ้าหญิงที่เป็นลูกสาวของปฐมกษัตริย์เลย หน้าตาอย่างข้าก็คงจะเป็นลูกหลานคนแถวนี้เหมือนป้านั่นแหละ”
เด็กหนุ่มกลอกตามองเพดานไม้ ถึงแม้ว่าราชวงศ์ดาริสจะมีเส้นผมสีน้ำเงินเข้มและดวงตาสีทองที่สืบทอดกันตามสายเลือด จนเป็นคำกล่าวว่ายิ่งสีผมเฉดเข้มจนใกล้สีดำเท่าไร สายเลือดก็ยิ่งใกล้ชิดปฐมกษัตริย์มากขึ้นเท่านั้น...แต่ประชากรเกินครึ่งในอาณาจักรอาริไพน์ก็มีผมสีโทนฟ้าหรือน้ำเงินกันทั้งนั้น จะบอกว่าทุกคนสืบสายเลือดมาจากปฐมกษัตริย์ก็ไม่ผิด แค่เจ้าชายก็ปาเข้าไปหกพันกว่าคนแล้ว ไหนจะเจ้าหญิงอีกล่ะ
เรือนผมยาวระต้นคอของเอลิกซ์เป็นสีกรมท่าที่มืดเสียจนคล้ายสีดำและนัยน์ตาสีทองของเขาก็ส่องประกายเจิดจ้า ถ้าวัดกันตามเฉดสีแล้ว สีผมและสีตาเข้มกว่าเจ้าชายบางคนด้วยซ้ำ แต่เผอิญว่าเด็กกำพร้าในรั้วพระราชวังแอเรียสก็มีเส้นผมสีน้ำเงินและดวงตาสีทองกันทุกคน แค่สีเข้ม สีอ่อน แตกต่างกันบ้างเท่านั้น
เพราะงั้นถ้าจะเอาแค่สีผมสีตามาวัด มันก็ล้าสมัยไปหลายสิบปีแล้วป้า
“ยังไงข้าก็เป็นห่วงเจ้าอยู่ดี...อยู่ที่นี่ถึงจะกวนประสาทไปบ้าง แต่ก็ยังใกล้หูใกล้ตา” ป้าเมย์พึมพำอย่างแผ่วเบา ใบหน้าที่พอจะมีเค้าสวยในวัยสาวฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เอลิกซ์มองสบตาสตรีที่ใกล้ชิดเขามากที่สุดในชีวิต ใช้จังหวะที่ดวงตาสีอำพันยังอ่อนแสง บอกเล่าสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังผิดกับทุกครั้ง “ข้าไม่เคยร้องขออะไรให้ป้าต้องหนักใจเลยสักครั้ง ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวไม่ได้เหรอ เด็กเลี้ยงม้าอย่างข้าไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสได้ออกไปท่องโลกกว้าง แค่สองปีเท่านั้น ข้าสัญญาว่าข้าจะกลับมาเป็นเด็กดีของท่านเหมือนเดิม”
“เฮ้อ...เจ้ามันเด็กดื้อต่างหากล่ะ ครั้งนี้ข้าห้ามเจ้าไม่ได้ เพราะต่อให้ห้ามเจ้าก็จะแอบไปอยู่ดี” สตรีวัยสี่สิบห้าระบายลมหายใจยาว เธอส่ายหน้าไปมาเหมือนระอาใจ “อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นห่อผ้าที่เจ้าซ่อนเอาไว้ที่ใต้บันใด กล่องไวโอลินของเจ้ามันเตะตาจนอยากจะเตะสักที”
เด็กหนุ่มพูดไม่ออก...เริ่มนึกกลัวที่ป้าเมย์รู้ทันเขาไปเสียหมดทุกเรื่อง แต่ที่กลัวมากกว่าคือป้าจะเผลอเตะไวโอลินของเขาเข้าจริง ๆ ถึงมันไม่ใช่ของรักของหวงอะไรขนาดนั้น แต่มันแพง...คิดว่าต่อให้เอาเบี้ยเลี้ยงสิบปีของเด็กเลี้ยงม้ามารวมกันก็คงจะยังซื้อไม่ได้
เด็กหนุ่มพูดไม่ออก...เริ่มนึกกลัวที่ป้าเมย์รู้ทันเขาไปเสียหมดทุกเรื่อง แต่ที่กลัวมากกว่าคือป้าจะเผลอเตะไวโอลินของเขาเข้าจริง ๆ ถึงมันไม่ใช่ของรักของหวงอะไรขนาดนั้น แต่มันแพง...คิดว่าต่อให้เอาเบี้ยเลี้ยงสิบปีของเด็กเลี้ยงม้ามารวมกันก็คงจะยังซื้อไม่ได้
“มันลำบากนะลิกซ์ เจ้าคิดหรือว่าการตามหาเจ้าชายเกเบรียลจะเป็นเรื่องง่าย...ท่านออกจากอาณาจักรนี้ไปก็เพราะว่าอยากจะเป็นราชาโจรสลัด ป่านนี้จะอยู่ส่วนไหนของโลกก็ยังไม่รู้”
...ป่านนี้เจ้าชายคงล่องเรือไปถึงแกรนด์ไลน์แล้วมั้ง?
ประโยคเมื่อกี้เป็นแค่ความคิดที่เขาเก็บเอาไว้ในใจ รู้ดีว่าถ้าขืนพูดออกไป ป้าเมย์อาจจะบันดาลโทสะด้วยการคว้าอะไรบางอย่างมาฟาดใส่หัวเขาด้วยข้อหาลามปามเจ้าชายที่หายสาบสูญ
“สรุปแล้ว...ป้าให้ข้าไปใช่มั้ย?”
ไร้คำตอบใด ๆ จากคนเบื้องหน้า ร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานผู้หญิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวตรงไปยังตู้เก็บของ ป้าเมย์หยิบกล่องกำมะยี่ออกจากตู้ ก่อนที่เธอจะโน้มตัวลงเพื่อสวมสร้อยเชือกหนังให้กับผู้เป็นหลานชาย สัมผัสเย็นที่กระทบกับผิวเนื้อทำให้เอลิกซ์ยกมือขึ้นแตะโดยอัตโนมัติ จี้ทรงกลมที่ห้อยอยู่บนสร้อยเป็นอัญมณีสีน้ำเงินหม่นแปลกตา...อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นสร้อยเส้นนี้มาก่อนจนกระทั่งวันนี้
“สร้อยเส้นนี้เป็นเครื่องรางที่เพื่อนเก่าของข้าเคยให้ไว้ มันจะนำพาโชคมาหาเจ้า...” ริมฝีปากบางขยับยิ้มกว้างอย่างเริงร่าเมื่อได้ยินประโยคอันเป็นสัญญาณบอกถึงการท่องเที่ยวและอิสรภาพที่รอเขาอยู่ เด็กหนุ่มมัวแต่ดีใจจนไม่ทันได้สังเกตนัยน์ตาสีทองที่หม่นแสงลงจนแลดูโศกเศร้าของผู้เป็นป้า
“สัญญากับข้าสิเอลิกซ์” อ้อมแขนที่สามารถแบกกระสอบแป้งหนักห้าสิบกิโลกรัมได้สบาย ๆ โอบกอดเขาไว้ด้วยความรักยิ่ง เสียงของป้าเมย์แข็งกร้าวเหมือนกับทุกทีแต่มันก็แฝงไปด้วยความห่วงใย “สัญญาว่าเจ้าจะไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ สัญญาว่าเจ้าจะไม่ออกนอกขบวน สัญญาว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงต่อชีวิต สัญญาว่าเจ้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย...”
“ป้า...ข้าไปเที่ยว ไม่ได้ไปรบ”
พอย้อนคิดดูอีกที ความคิดของป้าเมย์ก็แปลก...ไม่อยากให้เขาอยู่ในอันตราย แต่ดันอยากให้เขาเป็นทหาร ถึงจะเป็นอาชีพมีเกียรติ แต่ก็เป็นอาชีพที่เสี่ยงตายไม่ใช่หรือไงนะ...
กลิ่นหวานเอียนของควันที่ทวีคูณจำนวนมากยิ่งขึ้นช่วยดึงสติของเด็กหนุ่มให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน จมูกทีเหมือนจะทำงานไม่ได้ชั่วคราวทำให้เขาต้องหอบหายใจด้วยปาก แต่ดันสำลักควันขาวเข้าไปเต็ม ๆ เขาเริ่มไอแรงขึ้นจนตัวโยน หยดน้ำตาไหลพรากใบหน้าอันแดงก่ำด้วยความทรมาน เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากการสำลักควันกำยาน...เป็นการตายที่โง่ที่สุดเท่าที่ใครสักคนจะตายได้
“ไหวมั้ยน่ะน้องชาย” เสียงร้องทักขึ้นดังจากชายฉกรรจ์ที่ยืนร่วมพิธีถัดไปจากเขา มือหนาคว้าร่างสูงโปร่งของเอลิกซ์เอาไว้แล้วเริ่มตบหลังเขาเบา ๆ พร้อมกับพูดปลอบด้วยความสงสาร “เจ้าก้มลงต่ำหน่อยแล้วหายใจช้า ๆ อดทนสักนิด อีกเดี๋ยวเขาก็เลิกจุดควันแล้ว”
เด็กเลี้ยงม้าพยักหน้ารับรู้ ถุงหนังใส่น้ำถูกยกขึ้นจ่อริมฝีปากบาง เขาค่อย ๆ จิบน้ำเพื่อให้บรรเทาอาการสำลักควัน ร่างสูงโปร่งก้มตัวลงให้อยู่ต่ำกว่าควันสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่ง ถึงนักบวชของศาสนจักรจะบอกว่ายิ่งร่างกายได้อาบควัน เทพแห่งแสงก็จะยิ่งอวยพรให้...แต่ถ้าต้องทำร้ายร่างกายตัวเองขนาดนั้น เอลิกซ์ยอมโดนเทพสาปแช่งจะดีกว่า
เพียงไม่นานควันก็จางลงและหายไปในที่สุด นักบวชจากศาสนจักรแห่งแสงกว่าสามสิบคนต่างพากันเก็บข้าวของประกอบพิธีกรรมประจำวัน ก่อนขบวนตามหาเจ้าชายเกเบรียลจะเริ่มเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้า กลุ่มราชวงศ์และขุนนางชั้นสูงที่อยู่ด้านหน้าขี่ม้านำออกไป ส่วนเด็กเลี้ยงม้าก็เดินเท้าอยู่ส่วนท้ายของขบวนแต่โดยดี
“เจ้าเป็นคุณหนูมาจากตระกูลไหนล่ะ?” ชายคนเดิมเปิดบทสนทนาที่ทำให้เอลิกซ์เลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ เจ้าของคำถามคงสัมผัสได้จึงได้รีบพูดขยายความในทันที “เจ้าหน้าตาดี ผิวพรรณดี ข้านึกว่าเป็นคุณหนูจากไหนหลงมา”
เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะเบา ริมฝีปากบางขยับยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบ เรื่องหน้าตาดีน่ะเขาไม่เถียงหรอก ตำแหน่งขวัญใจโรงครัวนั้นไม่ได้มากันอย่างง่ายดาย แต่เรื่องผิวพรรณดีคงต้องขอปฏิเสธ เอลิกซ์เป็นแค่เด็กเลี้ยงม้า วัน ๆ อยู่แต่กลางแจ้ง ตากแดดตากลมจนผิวกลายเป็นสีแทน เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสีผิวดั้งเดิมของเขาเป็นอย่างไรกันแน่
“ข้าก็แค่คนธรรมดาแค่นั้นล่ะพี่ชาย เห็นประกาศเลยมาร่วมขบวน แต่กระจุกอยู่แค่ขบวนนี้ไม่รู้ว่าจะหาเจอยังไง” ขบวนที่เอลิกซ์เข้าร่วมเป็นกลุ่มแรกที่เริ่มออกตามหาเจ้าชายเกเบรียล คะเนด้วยสายตาแล้วมีจำนวนสมาชิกมากกว่าสองร้อยคน ตั้งแต่เชื้อพระวงศ์ นักบวชจากศาสนจักรแห่งแสง ไปจนถึงสามัญชน แต่เขารู้ดีว่ายังมีกลุ่มอื่นที่มีเป้าหมายเดียวกับพวกเขา บางกลุ่มก็ล่วงหน้าไปแล้ว บางกลุ่มก็ยังไม่ได้ออกเดินทาง
“ข้าได้ยินว่าขบวนจะเริ่มแบ่งเป็นขบวนย่อยที่เมืองรีจิเนีย เจ้าเลือกได้หรือยังล่ะน้องชายว่าจะตามขบวนใคร หรือเจ้าจะเดินทางต่อคนเดียว”
ประโยคจากชายแปลกหน้าเหมือนช่วยจุดประกายความคิดให้กับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปี ในเมื่อเดินทางคนเดียวได้ทำไมเขาจำเป็นต้องยอมโดนนักบวชชุดขาวพวกนั้นรมควันทุกเช้าด้วยล่ะ เงินทองเอลิกซ์ยังพอมี ทั้งจากเงินเบี้ยเลี้ยงและเงินเก็บของเขาเอง หรือถ้าขาดแคลนจริง ๆ เขาก็ยังสามารถเล่นไวโอลินเลี้ยงชีพได้ หรือไม่ก็ขายสร้อยของป้าเป็นตัวเลือกสุดท้าย
“ข้าคงจะแยกที่รีจิเนีย ว่าแต่พี่ชายพอทราบมั้ยว่าต้องเดินทางอีกนานเท่าไรกว่าจะถึง” ถึงเขาจะพอรู้ข้อมูลของเมืองรีจิเนียทั้งที่ตั้ง ความสำคัญ สถานที่ท่องเที่ยวและอาหารแนะนำ แต่ข้อมูลบางอย่างคนที่ไม่เคยออกเดินทางก็ไม่มีวันรู้
“ประมาณค่ำนี้ก็น่าจะถึง เจ้าจะแยกตั้งแต่เข้าเมืองเลยรึ?”
เอลิกซ์ยิ้มกว้างเป็นคำตอบ...เรื่องอะไรเขาจะยอมโดนรมควันต่อเพิ่มอีกวันล่ะ ถ้าเข้าเขตกำแพงเมืองรีจิเนียเมื่อไร เด็กหนุ่มตั้งใจจะเผ่นออกจากขบวนเมื่อนั้น เขาไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์เลยสักนิด ขนาดอาหารในขบวนยังไม่อร่อยสู้อาหารแห้งที่ป้าเมย์ใส่ห่อผ้ามาให้เลย
มือเรียวกระชับห่อผ้าที่แบกไว้ด้านหลัง เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าก้าวเร็วขึ้น เพราะหวังว่าการรีบเดินจะทำให้หลุดพ้นจากขบวนนี้เร็วขึ้น แค่ช่วงบ่ายเอลิกซ์ก็คลาดกับชายที่ไม่รู้จักชื่อคนนั้น พอพระอาทิตย์ลดลงต่ำจนเกือบตกดิน เด็กเลี้ยงม้าก็สามารถเดินขึ้นมาอยู่ต้นขบวนได้สำเร็จ ขอแค่พ้นจากกลุ่มนักบวชและเชื้อพระวงศ์ไปได้เท่านั้น...
ขอโทษนะป้าเมย์ ข้าคงจะรักษาสัญญาของป้าทุกข้อไม่ได้แล้วล่ะ ข้ายังไม่อยากเป็นขาหมูรมควัน แค่นี้กลิ่นกำยานก็ติดตัวจนสยดสยองมากพอแล้ว ขอเที่ยวอีกสองปีแล้วข้าจะกลับไปเป็นลิกซ์เด็กดีคนเดิมของป้า ข้าจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะเลี้ยงม้าอย่างตั้งใจ จะเลิกเรียกพระราชาว่าตาเฒ่า
เด็กหนุ่มใช้ปลายนิ้วลูบจี้สีน้ำเงินที่กลางอกเพื่อลดความรู้สึกผิดในใจ เสียงจ้อกแจ้กจากกลุ่มคนด้านหน้าทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศโดนรอบ นัยน์ตาคู่สีทองเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นกำแพงอิฐสีน้ำตาลอันทอดยาวอยู่เบื้องหน้า จุดหมายปลายทางของเขา...อยู่เพียงเอื้อมนี่เอง
เอลิกซ์กำลังจะย่างเท้าเบี่ยงออกจากขบวนเพื่อออกไปแตะขอบฟ้า แต่กลุ่มคนเบื้องหน้ากลับหยุดเดินกันพอดี เด็กหนุ่มจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่อยากจะขยับตัวให้เป็นที่สังเกต
“วันนี้หยุดขบวนแค่นี้ เราจะตั้งค่ายพักแรมกันที่นี่” เสียงประกาศดังขึ้นจากด้านหน้า เด็กเลี้ยงม้าขยับริมฝีปากบ่นงึมงำอยู่ในลำคอ กำแพงเมืองอยู่ข้างหน้าแท้ ๆ แค่เดินต่ออีกสักครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึง แต่ธรรมเนียมของศาสนจักรแห่งแสงทำแผนของเขาเสียจนได้...นักบวชจะเดินทางภายใต้การชี้นำของแสง นี่พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะตกดินก็หยุดเดินทางซะแล้ว อยากรู้ว่าแสงดาวแสงจันทร์ตอนกลางคืนมันไม่ใช่แสงหรือไง
เมื่อประกาศสิ้นสุดการเดินทาง พิธีชำระล้างในตอนเย็นก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าคมก้มลงมองพื้นดินอย่างเหนื่อยหน่ายใจ โชคดีที่คราวนี้ไม่ใช่การรมควันเหมือนช่วงเช้า ไม่อย่างนั้นเอลิกซ์คงจะเผ่นออกจากขบวนไปตอนนี้เลย ถึงจะต้องเสี่ยงกับการโดนทหารกักตัวเพื่อสอบสวน ถ้าหนักหน่อยก็คงจะโดนซ้อมสักทีสองที...เหมือนกับวันแรกที่มีคนโดนซ้อมเพราะแอบหนีจากพิธีรมควัน
แต่พรุ่งนี้เขาจะไม่ยอมโดนรมควันอีกแน่ ๆ ในเมื่อตอนนี้ยังหนีออกจากขบวนไม่ได้ ก็ต้องให้พิธีกรรมประจำวันเสร็จเสียก่อน เมื่อแยกย้ายให้พักผ่อนเมื่อไร เอลิกซ์จะเผ่นเข้าเมืองไปทันที...เด็กชายจะเติบโตเป็นเด็กหนุ่มได้ก็ต้องกล้าทำอะไรเสี่ยง ๆ แบบนี้แหละ
เสียงฝีเท้าและชายเสื้อสีขาวหยุดลงด้านหน้าของร่างสูงโปร่ง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเพื่อให้นักบวชได้ใช้กิ่งสนชุบน้ำมนต์แตะลงบนหน้าผากของเขา อันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าทำไปแล้วมันจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ตรงไหน แต่ในเมื่อมันเป็นครั้งสุดท้าย จะทำตัวดี ๆ บ้างคงไม่เสียหาย
หยดน้ำเย็นแตะลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา แต่เอลิกซ์ไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขามัวแต่จับจ้องใบหน้ารูปไข่ของนักบวชสาว ถึงจะเสียมารยาทแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองแพขนตาหนา จมูกโด่งที่รั้นปลายนิด ๆ ไปจนถึงริมฝีปากอิ่มสีแดงสด ก่อนดวงตากลมโตคู่สีฟ้าสดจะเลื่อนมองสบตากับเขาเมื่อบทสวดจบลง แววตาของเธอฉายแววขบขันและเลื่อนหายไปในชั่ววินาที น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มจาง “ขอให้เทพแห่งแสงคุ้มครองท่าน”
เด็กหนุ่มหันมองตามร่างบางที่ผละออกไปทำพิธีให้กับคนอื่น ๆ ในขบวน รู้สึกเหมือนยังได้กลิ่นหอมจากเรือนผมสีดำยาวสยาย...แต่มันดันเป็นกลิ่นเดียวกับกำยานที่ใช้ในตอนเช้านี่สิ
เอลิกซ์ส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตนเอง ผู้หญิงคนเมื่อกี้ต่อให้สวยแค่ไหนก็เป็นนักบวชที่ถือพรหมจรรย์ มองได้แต่ตา มืออย่าต้อง แล้วเขาก็ไม่โง่ยอมโดนรมควันทุกวันเพื่อแลกกับการเจอหน้าสาวสวย เป็นไปได้ขอเผ่นดีกว่า เพราะยังไงผู้หญิงสวยบนโลกนี้ก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว
ขนาดป้าเมย์ของเขายังมีคำร่ำลือเลยว่าตอนสาว ๆ ก็สวยใช่ย่อย ถ้าไม่ติดว่าแข็งแรงเกินหญิงไป...ไม่นิด
คบไฟถูกจุดขึ้นเมื่อแสงสุดท้ายจากพระอาทิตย์หายลับไปจากขอบฟ้า พิธีกรรมของศาสนจักรแห่งแสงจบลงพร้อมกับเหล่าชายฉกรรจ์ที่เริ่มตั้งค่ายพักแรมชั่วคราว เอลิกซ์พุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ แกล้งทำเป็นว่าเขาจะยึดตรงนี้เป็นที่พักในคืนนี้ ก่อนจะสาวเท้าหายตัวไปในความมืดอย่างเงียบงัน ไม่ให้ใครได้ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าบริเวณนั้นเคยมีเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเคยยืนอยู่
เอลิกซ์รีบสาวเท้าพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าโดยอาศัยแสงจันทร์นำทาง เขาไม่อยากใช้คบไฟให้กลายเป็นจุดเด่นในความมืด สองมือชื้นเหงื่อกระชับห่อผ้าเอาไว้แน่น นัยน์ตาสีทองเป็นประกายจับจ้องกำแพงเมืองรีจิเนียด้วยความหวัง...ก่อนที่เขาจะก้าวผ่านพ้นประตูเมืองในที่สุด
อิสรภาพ!
เด็กกำพร้าจากพระราชวังแอเรียสแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความยินดี ริมฝีปากบางขยับออกกว้างเป็นรอยยิ้มสดใส เขาอยากจะกระโดดโลดเต้นถ้าไม่ติดว่าบริเวณประตูเมืองยังเต็มไปด้วยผู้คนที่เพิ่งกลับจากการทำงาน เอลิกซ์เดินปะปนไปกับฝูงชนเพื่อหาที่พักสำหรับคืนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร ยังมีเวลาให้คิดอีกมากว่าจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต
เอลิกซ์เลี้ยวเข้าตรอกซอยหนึ่งเพื่อหาโรงแรมราคาถูกตามที่ชาวบ้านท้องถิ่นแนะนำมา แม้ว่าหนทางจะเปลี่ยวไปสักหน่อยในตอนกลางคืน แต่อะไรที่ประหยัดได้เขาก็อยากจะประหยัดเอาไว้ก่อน...การเดินทางของเขายังอีกยาวไกลจะให้หมดเงินตั้งแต่เมืองแรกก็คงจะไม่ไหว
เด็กหนุ่มลากปลายนิ้วไปตามผนังอิฐพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี พรุ่งนี้เขาตั้งใจจะไปเดินเล่นในเมืองรีจิเนีย ถ้าเป็นไปได้ก็จะลองไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญดูบ้าง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลบางอย่างทำให้เอลิกซ์เร่งจังหวะการก้าวเดินเร็วขึ้น เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตมุ่งร้าย เด็กหนุ่มขยับเบี่ยงไปด้านขวาโดยอัตโนมัติ ในจังหวะเดียวกับที่วัตถุบางอย่างพุ่งผ่านอากาศและถากเฉือนผิวแก้มของเขาเป็นทางยาว แสงริบหรี่จากโคมไฟส่องสะท้อนให้เห็นมีดสั้นขนาดเล็กที่กระทบกับกำแพงอิฐก่อนจะตกลงพื้น
เกิดอะไรขึ้น!?
นิ้วเรียวยกขึ้นแตะใบหน้า ความรู้สึกชาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด...หยาดเลือดไหลซึมออกจากปากแผลยังไม่ทันที่สมองจะประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงโลหะแหวกผ่านอากาศก็ทำให้เด็กเลี้ยงม้ากระโดดหลบพร้อมกับยกห่อผ้าขึ้นกันตามสัญชาติญาณ ห่อผ้าของเขาฉีกออกจนข้าวของภายในตกกระจัดกระจายไปทั่ว เอลิกซ์มีเวลาให้ตกใจได้ไม่นาน สติของเขากลับมาเมื่อเห็นกล่องไม้บุหนังที่ร่วงอยู่บนพื้น
ไวโอลินที่รักของข้า!
ร่างโปร่งถลาลงกับพื้นอิฐ มือคว้าเอากล่องไวโอลินขึ้นมากอดเอาไว้ด้วยความหวงแหน แต่มืออีกข้างขยับเลื่อนไปแตะมีดพกที่ซ่อนเอาไว้ข้างเอว เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองเบื้องบน ก่อนนัยน์ตาสีทองจะเบิกกว้าง ความคิดที่จะสู้ถูกพับเก็บไปในทันที
สัมผัสเย็บเฉียบจากคมดาบแตะอยู่บนลำคอ...
ฝีมือดีนี่หว่า... อ่านแล้วก็ปกติดี ดูไม่ค่อยขี้นก/เสินเจิ้นเท่าไหร่ และไม่รู้สึกถึงกลิ่นที่ผิดปกติจนรู้สึกว่ามันปลอมเปลือก สงสัยเป็นเพราะไม่ได้เปิดเรื่องข้ามมิติมาเกิดใหม่ แถมไม่มีระดับพลังลมปราณให้อ่านด้วย ส่วนตัวเอกก็ดูเป็นเด็กดีน่าเอาใจช่วย ไม่ทำตัวแกรี่เทพซ่าจนน่าหมั่นไส้ ถ้าจะเอาไปต่อยอดเขียนแนวแฟนตาซีให้โม่งแตกเล่นนี่ ทำได้สบายๆ เลยล่ะ
"ไม่ไหวๆๆ ชื่อนี้ไม่เอาดีกว่า" ชายหนุ่มยีหัวจนผมยุ่ง คิ้วขมวด เส้นเลือดข้างขมับปูดโปนขึ้นมาบ่งบอกถึงระดับรวมมเครียดที่พุ่งสูงจนแทบถึงจุดระเบิด เขาต้องส่งต้นฉบับภายในเที่ยงคืน ขณะนี้ก็เป็นเวลายี่สิบสามนาฬิกาสี่สิบห้านาทีแล้ว
"จะทำไงดี.. ทำไงดีๆๆ" ตัวเขาลนจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ ผุดลุกผุดนั่งไปก็หลายครั้ง เหงื่อผุดพรายเต็มกรอบหน้า ทุกอย่างถูกตรวจสอบและรีไรท์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไร้ที่ติ รวมถึงชื่อไฟล์เวิร์ดที่เรียงอย่างเป็นระเบียบในโฟลเดอร์เตรียมซิปส่งเมล แต่ขาดอยู่เพียงอย่างเดียว.. นามปากกา
เขาลืมเรื่องสำคัญอย่างนี้ได้ยังไงกัน เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาก็เหมือนจะแกล้งกันออกตัวปั๊บก็แทบจะน็อครอบ ติดจากฟาส9 มาหรือยังไง
"เหลืออีกสิบสามนาที ต้องทันสิน่า" เขาสูดหายใจลึกและปล่อยออกมาพร้อมกับใจที่สงบลงและรวบรวมสมาธิคิดทบทวนชื่อที่เหมาะสมกับนิยายอีกครั้ง
"เรื่องราวในหอแดงกับธรรมชาติที่รายล้อมจะนึกถึงอะไรงั้นหรือ? อืม.. สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่อยากส่งเสียงร้องออกมาภายในป่าที่กว้างใหญ่ อะไรดีล่ะ.. กบ! ใช่แล้ว!! ชื่อนี้แหละ" ชื่อที่ผุดขึ้นมากะทันหันเป็นชื่อที่ตรงใจทำให้เขายกยิ้มขึ้นมา
"แต่ว่า.. มันก็สั้นและธรรมดามากเกินไป แล้วก็เสี่ยงจะซ้ำกับคนอื่นอีกด้วย ถึงเขาจะชอบกินกบทอดมากก็เถอะ แต่แบบนี้ไม่ไหวแน่ๆ
เอ.. ถ้าใส่คำนำหน้าหรือคำลงท้ายก็น่าจะเวิร์คอยู่นะ อย่าง 'ยำกบ' งี้ ซี้ด~~ เป๋นต๋าแซ่บแท้น้อ" ชายหนุ่มปาดน้ำลายที่ไหลจากมุมปาก แต่ก็ส่ายหน้าให้กับตัวเอง เขาไม่อยากน้ำลายไหลทุกครั้งที่ถูกเรียกชื่อนี้หรอกนะ
"ไม่ๆๆ ถ้าเป็นคำนำหน้า เช่น นายกบ ฯพณฯกบก็ไม่ได้สูงไป อืม.. 'ท่านกบ' เฉยๆ ก็คงได้มั้ง แล้วก็เปลี่ยนภาษาสักหน่อย ดูเท่ไม่หยอก" เขาหาข้อสรุปของชื่อได้แล้วและกรอกลงในใบประวัตินักเขียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงกวาดสายตาดูเป็นรอบสุดท้ายก่อนกดซิปและโยนใส่อีเมลที่เขียนทิ้งไว้เมื่อสองชั่วโมงก่อน ส่วนตอนนี้เข็มยาวของนาฬิกาก็อยู่ระหว่างเลขสิบเอ็ดกับสิบสองแล้ว เขาหลับหูหลับตากลั้นใจคลิกเม้าส์ที่ปุ่มส่ง
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่าอีเมลนั้นได้เข้าไปนอนอย่างสงบนิ่งอยู่ในกล่องส่งแล้วจึงยิ้มพรายอย่างมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง
"ที่จริงจะ 'กบตุ๋น' หรือ 'ตุ๋นกบ' ก็อร่อยเหมือนกันนั่นแหละนะ อ๊ะ! ในตู้เย็นก็มี 'อึ่งไข่' ด้วยนี่นา เอามาย่างหอมๆ ในเตาอบดีมั้ยนะ"
เขาจึงลุกจากหน้าจอคอมตรงไปยังตู้เย็นอันเป็นเป้าหมาย.. ขอคืนความสุขให้ชาวประชาตาดำๆ อย่างตัวผมหน่อยก็แล้วกันนะครับ ทั่นผู้ชม..
เห็นมู้เรื่องสั้นในบอร์ดเด็กดีแล้วเลยรื้อเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียนสมัยม.ปลายเมื่อสักสิบกว่าปีก่อนมาอ่านดู พยายามเขียนให้เป็นแนว Thriller ลึกลับหน่อยๆ เดี๋ยวนี้ไม่ได้เขียนแนวนี้นานละ ถ้าได้คำติชมก็ขอบคุณ
ชายวัยกลางคนพร้อมกับชายหนุ่มวัยต้นยี่สิบช่วยกันขนกล่องกระดาษหลากหลายขนาดผ่านประตูไม้ของห้องเช่าใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ภายในห้องเต็มไปด้วยลังกระดาษ กล่องพลาสติกและข้าวของที่ยังจัดไม่เข้าที่ หญิงสาวร่างบอบบางในชุดกระโปรงสีอ่อนยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูนัก ในมือของเธอถือถาดใส่แก้วน้ำสำหรับแรงงานขนของทั้งสองคน ใบหน้ารูปไข่เปียกชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ
“พักดื่มน้ำก่อนดีไหมคะ อีกเดี๋ยวค่อยจัดต่อก็ได้” ถาดพลาสติกลายดอกไม้ถูกวางลงบนโต๊ะขนาดเล็กข้างกับโซฟา ชายต่างวัยทั้งสองคนหันกลับมามองตามเจ้าของเสียง รอยยิ้มอ่อนๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าทั้งสองที่มีความคล้ายคลึงดั่งเช่นผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน
“พักหน่อยก็ได้ลูก เหลือแค่จัดของให้เข้าที่อีกนิดหน่อยก็น่าจะเสร็จแล้ว พ่อว่าน่าจะเสร็จก่อนเย็นนี้นี่ล่ะ” มือหนายกขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากพร้อมกับเดินตรงมายังโซฟา ผู้เป็นพ่อยกแก้วน้ำขึ้นจิบแล้วกวาดสายตามองห้องพักของบุตรสาวเพียงคนเดียว
“ห้องกว้างนะครับ พี่อังแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียว ไม่ให้ธินมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย” อธินผู้เป็นน้องชายเอ่ยถามพลางทรุดตัวนั่งข้างผู้เป็นบิดา ขณะที่พี่สาวสั่นศีรษะเป็นคำตอบ
“ธินต้องเรียน ที่นี่อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยตั้งมาก ถ้าต้องคอยตื่นเช้าแล้วก็ขึ้นรถไปกลับน่ะลำบากแย่ พี่อายุมากกว่าธินตั้งหลายปี ทำไมพี่จะอยู่คนเดียวไม่ได้กัน” อังคณาระบายยิ้มอ่อน ดูเหมือนว่าน้องชายของเธอจะเป็นห่วงเธอยิ่งเสียกว่าผู้เป็นพ่อแม่เสียอีก ทั้งที่คนที่เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก่อนก็เป็นเธอแท้ๆ
“จริงๆพ่อก็อยากให้ธินย้ายมาอยู่กับอังหรอกนะลูก ถ้าไม่ติดว่าที่เรียนของเจ้าธินมันอยู่ไกลอย่างที่อังว่า ถึงที่นี่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยก็เถอะ แต่พ่อไม่ค่อยอยากให้อังอยู่คนเดียวเลย ร่างกายเราก็ไม่ใช่จะแข็งแรงเหมือนคนอื่นเขา พ่อกับแม่ก็อยู่ต่างจังหวัด ถ้าเกิดอังเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร”
หญิงสาวยกมือแตะขึ้นที่สะโพกเมื่อได้ยินคำกล่าวของบิดา เธอประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน แม้จะรักษาจนอาการดีขึ้นบ้างแล้ว แต่กระดูกสะโพกที่แตกหักก็ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอไม่เป็นปรกติเหมือนแต่ก่อน หากสังเกตให้ดีก็เห็นได้ว่าเธอเดินกระเผลกเล็กน้อย สาเหตุนี้จึงทำให้หญิงสาวต้องย้ายที่พักมาเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กับที่ทำงานมากขึ้น เพื่อย่นระยะเวลาการเดินทางและภาระของร่างกาย
“พ่อไม่ต้องเป็นห่วงอังหรอกค่ะ อังดูแลตัวเองได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นอังจะรีบติดต่อไปหาธินทันทีเลย...ดีไหมคะ” รอยยิ้มบนใบหน้าหวานทำให้ผู้เป็นพ่อและน้องชายใจอ่อนลงอย่างเสียไม่ได้ สุชาติเอ่ยปากยินยอมตามความต้องการของลูกสาวและกลับไปช่วยเธอจัดห้องให้เป็นระเบียบ
“พ่อไปก่อนนะอัง เดี๋ยวต้องไปส่งธินแล้วก็ขับรถกลับบ้านอีก” ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นหลังจากข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางในที่ที่สมควร เหลือเพียงการจัดของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วสำหรับหญิงสาวที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียว อังคณาสวมกอดพ่อและน้องชายเพราะรู้ดีว่าคงอีกนานที่เธอจะได้พบทั้งสองคนอีกครั้ง
“รักษาสุขภาพด้วยนะคะพ่อ ธินเองก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
ประตูห้องปิดลงหลังจากที่สมาชิกของครอบครัวทั้งสองจากไป อังคณารื้อเสื้อผ้าออกมาจากกล่องพลาสติกแล้วจัดเก็บเข้าตู้ หญิงสาวเหม่อมองห้องพักที่ประกอบไปด้วยหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และส่วนที่กั้นออกเป็นห้องครัวและห้องรับแขกขนาดเล็ก ห้องพักแห่งนี้จะเป็นที่พำนักของเธอไปอีกระยะหนึ่ง...นานเท่าไหร่เธอก็ไม่ทราบได้เช่นกัน
แอ๊ด
ประตูห้องพักห้องข้างๆเปิดออกระหว่างที่อังคณาในชุดทำงานสีอ่อนกำลังลากถุงขยะออกมาจากห้องพักของเธอ เจ้าของห้องผู้เป็นเพื่อนบ้านที่เธอยังไม่เคยพบมาก่อนคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งวัยสามสิบตอนต้น ผิวขาวอมเหลืองเหมือนผู้มีเชื้อสายจีน เขาสวมแว่นสายตากรอบสีดำสนิท ท่าทางดูคงแก่เรียนต่างจากพนักงานบริษัทโดยทั่วไป
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณเพิ่งย้ายมาใหม่หรือครับ ผมชื่อปรานต์เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย....” ชายหนุ่มแนะนำตัวพร้อมกับค้อมศีรษะให้กับเธอ มหาวิทยาลัยที่เขาสอนอยู่นั้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมไปมากนัก ริมฝีปากบางของเขาคลี่ออกเป็นรอยยิ้มสุภาพ ดูแล้วเพื่อนบ้านของเธอจะมีน้ำใจและน่าคบหาอยู่ไม่น้อย
“สวัสดีค่ะอาจารย์ ดิฉัน..อังคณาหรือจะเรียกว่าอังก็ได้ค่ะ เพิ่งย้ายมาอยู่เมื่อวันเสาร์”
“พูดธรรมดาก็ได้ครับคุณอัง ผมไม่ได้คิดมากอะไร อีกอย่างตอนนี้อยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยผมยังเป็นแค่นายปรานต์ธรรมดานะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าของอังคณาขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย “จะเอาขยะออกไปทิ้งหรือครับ...มาครับผมช่วยถือเอง ดูแล้วท่าทางจะหนักไม่ใช่เล่น”
มือหนาคว้าถุงพลาสติกสีดำออกจากมือหญิงสาวอย่างถือวิสาสะ ก่อนหย่อนถุงขยะลงในถังขยะรวมที่ทางอพาร์ตเม้นท์จัดเตรียมไว้ให้ หญิงสาวพึมพำขอบคุณเบาๆและได้รับรอยยิ้มอบอุ่นตอบกลับ อาจารย์หนุ่มฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีระหว่างรอลิฟต์ที่กำลังขึ้นมา ผิดกับอังคณาที่ก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันมั่วไปหมด
สำหรับอังคณาบรรยากาศในลิฟต์ช่างชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาคู่สีน้ำตาลกลมโตเหลือบมองชายหนุ่มผู้อยู่ห้องข้างเคียงเป็นระยะ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ในใจของหญิงสาวอย่างแปลกประหลาดเธอบอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเท่านั้นที่เธอจะประทับใจใครสักคนหนึ่ง
นั่นเป็นความรู้สึกแรกเริ่มของอังคณาเมื่อได้พบกับ..ปรานต์
นับเป็นเวลาสองเดือนแล้วที่อังคณาย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักใหม่แห่งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและชายหนุ่มห้องข้างเคียงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นจนแม้เธอเองยังรู้สึกแปลกใจ ทุกอย่างดูราบลื่นเรียบง่าย ผิดกับชีวิตก่อนประสบอุบัติเหตุของเธอเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน ชีวิตมนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้เสมอ ดีบ้างร้ายบ้างสลับกันไป บางทีตอนนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เธอจะพบเจอแต่สิ่งดีๆเหมือนคนอื่นเขาบ้างแล้วก็ได้
นาฬิกาบอกเวลากว่าสิบเจ็ดนาฬิกา มือบางของหญิงสาวไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในห้องพักรายเดือนเหมือนเช่นกิจวัตรที่ทำในทุกวัน ขาเรียวก้าวเข้าไปในห้องก่อนจะชะงักค้างกับภาพเบื้องหน้า
รองเท้า...หลากหลายคู่ หลากหลายสีสัน ที่ควรจะเรียงเป็นระเบียบอยู่ในตู้เก็บรองเท้ากลับวางกระจัดกระจายเต็มพื้นหน้าห้อง มันไม่ใช่ภาพเดียวกับเมื่อเช้านี้ เหมือนกับมีใครบางคนเข้ามารื้อมันเสียหมดสภาพ
หญิงสาวทิ้งกระเป๋าสะพายแล้ววิ่งตรงไปยังตู้ลิ้นชักเก็บของที่ข้างเตียง ของมีค่าไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเครื่องประดับของเธอยังอยู่ครบทั้งหมด อังคณาเดินสำรวจรอบห้องเพื่อตรวจสอบว่ามีข้าวของชิ้นไหนสูญหายไปบ้าง...แต่ไม่มีพบความเปลี่ยนแปลง มีเพียงแค่ตู้เก็บรองเท้าเท่านั้นที่ถูกรื้อค้น ไม่มีข้าวของหายไปเลยสักชิ้น
รองเท้าคู่กระจัดกระจายถูกจัดเข้าที่อีกครั้ง อังคณาเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นหายเหนื่อยล้าจากการทำงาน อะไรบางอย่างทำให้เธอตรงไปยังฝักบัวอาบน้ำ นิ้วเรียวคว้าขวดสบู่เหลวสีขุ่นที่เธอใช้อยู่เป็นประจำออกมาแล้วหมุนเปิดฝา... ทั้งๆที่เพิ่งซื้อใหม่เมื่อประมาณสามสัปดาห์ก่อน แต่ตอนนี้สบู่กลับพร่องลงไปเหลือไม่ถึงครึ่งขวด ปริมาณเหมือนกับว่าไม่ได้มีเธอใช้คนเดียว
ไม่สิ บางทีเธออาจจะแค่คิดไปเอง
อังคณาสะบัดศีรษะเบาๆเรียกสติ ย้อนคิดว่าอาจจะเป็นเธอก็ได้ที่รีบร้อนหารองเท้าจนต้องรื้อออกมาแล้วลืมเก็บ เธออาจจะกดสบู่มากกว่าปรกติในตอนอาบน้ำ มันอาจจะเป็นการปลอบใจตัวเอง แต่จะมีใครคนอื่นล่ะที่จะเข้ามาในห้องพักของเธอได้
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงออดดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง หญิงสาววางขวดสบู่เหลวลงและก้าวไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฏขึ้นบนตาแมวคือใบหน้าของชายหนุ่มห้องเคียงข้าง อังคณาเปิดประตูออกพร้อมกับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า
“ทานอะไรหรือยังครับคุณอัง พอดีผมซื้อเป็ดย่างร้านอร่อยมาก็เลยอยากมาทานกับคุณนะครับ ไม่ทราบว่ารบกวนอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่รบกวนหรอกคะ พอดีอังก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน อังว่าจะอุ่นต้มจืดของเมื่อวานอยู่พอดี คุณปรานต์นั่งรอตรงโต๊ะกินข้าวก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวเอาเป็ดไปใส่จานให้”
ชายหนุ่มร่างสูงถอดรองเท้าและนั่งลงตามที่ผู้เป็นเจ้าของห้องบอก อังคณาแกะอาหารลงใส่จานแล้วเปิดไมโครเวฟเพื่ออุ่นต้มจืดที่แช่ตู้เย็นเอาไว้ หญิงสาวชะงักอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าของตนเอง คราบมันและเศษอาหารกระจายเป็นไมโครเวฟเต็มไปหมด ด้วยนิสัยติดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เธอมั่นใจว่าทุกครั้งหลังใช้งานมันต้องถูกเช็ดทำความสะอาดเสมอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณอัง” ปรานต์ชะโงกหน้ามาดูหญิงสาวที่เงียบหายไปเป็นเวลานาน ใบหน้าที่ซีดเซียวของอังคณาทำให้ชายหนุ่มรีบปราดเข้ามาใกล้และคว้าไหล่ของเธอเอาไว้พร้อมส่งเสียงร้องหลายครั้งเหมือนเตือนสติ
“ขอโทษค่ะคุณปรานต์ วันนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับอังเต็มไปหมดเลยน่ะค่ะ...” มือหนาของชายหนุ่มรับจานใส่อาหารมาถือพลางพาเจ้าของห้องพักไปนั่งพักยังเก้าอี้สำหรับทานอาหาร แม้ว่าเขาจะไม่ปริปากพูดอะไรออกมา แต่สายตาห่วงใยที่ส่งมาให้ก็เหมือนกับกระตุ้นให้อังคณาเล่าสิ่งต่างๆที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจให้เขาฟังทั้งหมด
“อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะครับคุณอัง แต่ถ้าคุณอังไม่สบายใจผมว่าลองเปลี่ยนลูกบิดกุญแจดูไหมครับ ที่คอนโดฯก็มีช่างคอยประจำอยู่ พรุ่งนี้วันเสาร์พอดีเดี๋ยวผมพาไปซื้อลูกบิดใหม่ก็ได้ครับ”
ใบหน้าของหญิงสาวค่อยมีสีเลือดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำจากอีกฝ่าย เขาสามารถทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้เสมอ...แต่ในใจลึกๆของเธอก็อดแย้งขึ้นมาไม่ได้
หวังว่าจะ‘ไม่มีอะไร’จริงๆ
“พี่คะ อังขอดูคลิปที่กล้องวงจรปิดที่ชั้นห้า หน้าห้องห้าหนี่งสี่ถ่ายไว้ได้ไหมคะ อังรู้สึกเหมือนมีคนแอบเข้าไปในห้องอังตอนที่อังไม่อยู่” หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มวัยสี่สิบเป็นนิติกรของคอนโดมีเนียมแห่งนี้ เขาส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับเสียใจ
“ขอโทษจริงๆนะครับคุณอังคณา พอดีว่าที่คอนโดฯของเรามีกล้องวงจรปิดแค่ที่หน้าลิฟต์เท่านั้น ถ้าคุณอังรู้สึกไม่สบายใจผมจะลองให้ช่างเข้าไปตรวจในห้องไหมครับ พวกตามฝ้าตามหน้าต่างว่ามีรอยงัดแงะอะไรหรือเปล่า”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลก่อนจะนำทางช่างไปยังห้องพักส่วนตัวของเธอ หลังจากการตรวจสอบรอบห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นฝ้าเพดาน ลูกกรงหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งระเบียงห้อง ก็ไม่พบจุดใดที่คนภายนอกจะเข้ามาในห้องของเธอได้ ฝ่ายช่างจึงกลับไปโดยไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น
บางที...คนที่จะแอบเข้าห้องพักของเธอได้คือคนที่จะต้องมีกุญแจห้องเท่านั้น ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้มอบกุญแจห้องให้กับใคร ยกเว้นแต่ว่า...นายช่างที่มาเปลี่ยนกุญแจให้กับเธอจะแอบทำกุญแจสำรองแล้วแอบเข้ามาในห้องโดยที่เธอไม่รู้ตัว
วันรุ่งขึ้นอังคณาซื้อลูกบิดและตัวล็อกกุญแจอันใหม่มาอีกครั้ง เธอขอให้ช่างของคอนโดมีเนียมขึ้นมาเปลี่ยนลูกบิดประตูให้ด้วยความคาดหวังว่าจะเป็นช่างคนอื่นที่ขึ้นมาทำให้ แต่คนที่ขึ้นมาเปลี่ยนลูกบิดกุญแจกลับเป็นช่างคนเดิม
ขาเรียวสาวเท้าตรงไปยังห้องเคียงข้างเมื่อมั่นใจว่าบุคคลต้องสงสัยของเธอจากไปพร้อมกับกล่องเครื่องมืออุปกรณ์ หญิงสาวเคาะประตูไม้ด้วยจิตใจอันฟุ้งซ่าน เวลานี้คงจะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะให้คำปรึกษากับเธอได้
จากเคาะประตูห้องเปลี่ยนเป็นการใช้แรงทุบ หากแต่ไร้เสียงตอบรับจากอาจารย์หนุ่ม อังคณาหันรีหันขวางด้วยความกังวล ดวงตาสีน้ำตาลแลเห็นหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านที่กำลังเก็บขยะส่วนกลางไปทิ้ง หญิงสาวเดินมุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายในทันที
“คุณป้าคะ ไม่ทราบว่าคุณป้าเห็นอาจารย์ที่อยู่ห้องข้างๆหนูไหมคะ ไม่ทราบว่าเขาออกไปข้างนอกหรือเปล่า” หญิงแม่บ้านละสายตาจากงานที่ทำขึ้นมามองหญิงสาวด้วยความงุนงง เรียวคิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันเหมือนใช้ความคิด
“เอ..อาจารย์คนไหนกันคะ ข้างห้องคุณนอกจากคุณพนักงานธนาคารแล้วอีกห้องก็ไม่มีใครอยู่นะคะ” ดวงตาของอังคณาเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากผู้เป็นแม่บ้าน จะเป็นไปได้อย่างไรว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ข้างห้องเธอ ในเมื่อทุกๆวันปรานต์ยังทักทายและคุยกับเธออย่างสม่ำเสมอ
“ไม่เป็นไรค่ะ อาจจะมีการเข้าใจอะไรผิดก็ได้ ขอบคุณป้ามากเลยนะคะ” ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มหม่น หญิงแม่บ้านพยักหน้าก่อนจะรวบถุงขยะเดินลงบันไดไป อังคณาลากเท้าเดินกลับห้องพักไปอย่างเชื่องช้า เธอหยุดยืนที่หน้าประตูห้องของปรานต์ด้วยความลังเล
แอ๊ด
บานประตูไม้เปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่ปรากฏตัวขึ้น รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าขาวทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งของอังคณามลายหายไปในทันที
“เมื่อกี้คุณอังมาเคาะห้องผมใช่ไหมครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้มาเปิด พอดีตอนนั้นผมกำลังอาบน้ำอยู่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ เส้นผมสีดำสนิทของเขายังเป็นเปียกชื้นจากการอาบน้ำ ที่บอกว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องนี้คงเป็นเพราะความเข้าใจผิดของแม่บ้าน ปรานต์เชื้อเชิญเธอเข้าไปในห้องพักที่จัดเป็นระเบียบของเขา อังคณาทรุดตัวลงพลางเล่าเรื่องช่างของคอนโดมีเนียมให้อีกฝ่ายฟัง
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับว่าช่างจะมีกุญแจสำรองของคุณ” ริมฝีปากบางของชายหนุ่มเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง “ช่วงนี้ผมเองก็ติดธุระเสียด้วยสิ ทางคณะจัดค่ายอบรมผมต้องไปเป็นวิทยากรตั้งสองสัปดาห์...ตอนผมไม่อยู่ คุณต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับคุณอัง”
มือหนายกขึ้นแตะมือของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาเบื้องหลังกรอบแว่นทอดมองมาด้วยความห่วงใย ผิดกับใจของอังคณาที่ว้าวุ่นด้วยลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่บอกว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ จะต้องมีเรื่องราวไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพียงปรานต์เดินทางไปออกค่ายกับทางมหาวิทยาลัยได้ไม่ถึงสองวัน ความหวาดระแวงกัดกินในใจของหญิงสาว ยิ่งปรานต์ไม่อยู่เพราะว่าเช่นนี้ ใจของเธอก็ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ จะโทรศัพท์ไประบายให้ผู้เป็นพ่อและน้องชายฟังก็ไม่เข้าที เพราะทั้งสองคนล้วนก็แต่มีเรื่องที่ต้องคิดเป็นของตัวเอง
ความตึงเครียดของอังคณามาถึงจุดขีดสุดเมื่อพบว่า หลังกลับจากทำงานเสื้อผ้าที่ควรจะอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเธอกลับกระจัดกระจายเต็มส่วนที่เป็นห้องนอนไปเสียหมด
หญิงสาวไม่ก้าวออกจากห้องแม้ว่าจะเป็นวันและเวลาทำงานของเธอก็ตาม อังคณาเฝ้าแต่จับตามองว่าจะมีใครเข้ามาในห้องของเธอหรือไม่ เสียงโทรศัพท์มือถือและเสียงออดที่หน้าประตูห้องดังลั่นหลายต่อหลายครั้ง ผู้เป็นเจ้าของห้องได้แต่เก็บตัวในความมืดเพื่อรอบุคคลโรคจิตที่แอบเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องของเธอ...
เมื่อไหร่ปรานต์จะกลับมาสักที...
เชี่ย ลงสลับกัน ต้องอันนี้ขึ้นก่อน >>561 นะ
ช่างที่มาเปลี่ยนลูกบิดประตูกลับไปหลังจากงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย วันนี้ปรานต์ต้องไปช่วยคุมสอบที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นจึงไม่สามารถมาอยู่เป็นเพื่อนขณะที่ช่างมาทำงานได้ แต่แค่นี้ก็ทำให้อังคณารู้สึกเบาใจได้ขึ้นมาก ถ้าจะมีใครแอบเข้าห้องของเธอเวลาที่เธอไม่อยู่จริงๆ คนๆนั้นคงจะไม่สามารถเข้ามาได้อีกแล้วถ้าไม่มีกุญแจสำรอง
ข้อความมือถือจากอธินถูกส่งมาว่าเขาต้องการจะใช้เงินเพื่อทำโครงงานเป็นจำนวนเงินสามพันบาท น้องชายของเธอจะเข้ามาเอาเงินในวันรุ่งขึ้น อังคณาจึงเบิกเงินมาให้เขาตั้งแต่วันนี้ หญิงสาวหยิบเงินจำนวนหนึ่งแล้ววางกระเป๋าเงินบนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะเดินลงไปซื้อของใช้ส่วนตัวที่ร้านขายของสะดวกซื้อที่ใต้อาคาร
ความคิดที่ว่าเพียงแค่เปลี่ยนลูกบิดประตูทุกอย่างก็จะจบไม่เป็นจริงอีกต่อไป เมื่อหญิงสาวกลับมาที่ห้องพักเรื่องแปลกๆก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เงินสามพันบาทในกระเป๋าเงินของอธินหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งที่เธอเพิ่งวางมันไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งเมื่อไม่ถึงสิบนาทีนี้นี่เอง
หญิงสาวตรงไปยังส่วนที่กั้นเป็นครัวและเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่มสำหรับสงบใจ...ขนมเค้กที่ปรานต์ซื้อให้เธอเมื่อวานนี้หายไปเรียบร้อยแล้ว...
อังคณาวิ่งเข้าห้องน้ำสถานที่ที่เธอจะพบความเปลี่ยนแปลงของห้องมากที่สุด...พื้นห้องน้ำเปียกโชกไปด้วยหยดน้ำ ทั้งๆที่ครั้งสุดท้ายที่เธออาบน้ำคือเมื่อกว่าหกชั่วโมงที่แล้ว
ภาพต่างๆย้อนเข้ามาในสมองทีละนิด ของใช้ที่บางทีก็เคลื่อนที่จากตำแหน่งของมัน ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่หมดเร็วผิดปรกติ...
คงไม่ใช่เธอ...ที่พักอาศัยอยู่ภายในห้องนี้เพียงลำพัง
“พี่คะ อังขอดูคลิปที่กล้องวงจรปิดที่ชั้นห้า หน้าห้องห้าหนี่งสี่ถ่ายไว้ได้ไหมคะ อังรู้สึกเหมือนมีคนแอบเข้าไปในห้องอังตอนที่อังไม่อยู่” หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มวัยสี่สิบเป็นนิติกรของคอนโดมีเนียมแห่งนี้ เขาส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับเสียใจ
“ขอโทษจริงๆนะครับคุณอังคณา พอดีว่าที่คอนโดฯของเรามีกล้องวงจรปิดแค่ที่หน้าลิฟต์เท่านั้น ถ้าคุณอังรู้สึกไม่สบายใจผมจะลองให้ช่างเข้าไปตรวจในห้องไหมครับ พวกตามฝ้าตามหน้าต่างว่ามีรอยงัดแงะอะไรหรือเปล่า”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลก่อนจะนำทางช่างไปยังห้องพักส่วนตัวของเธอ หลังจากการตรวจสอบรอบห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นฝ้าเพดาน ลูกกรงหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งระเบียงห้อง ก็ไม่พบจุดใดที่คนภายนอกจะเข้ามาในห้องของเธอได้ ฝ่ายช่างจึงกลับไปโดยไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น
บางที...คนที่จะแอบเข้าห้องพักของเธอได้คือคนที่จะต้องมีกุญแจห้องเท่านั้น ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้มอบกุญแจห้องให้กับใคร ยกเว้นแต่ว่า...นายช่างที่มาเปลี่ยนกุญแจให้กับเธอจะแอบทำกุญแจสำรองแล้วแอบเข้ามาในห้องโดยที่เธอไม่รู้ตัว
วันรุ่งขึ้นอังคณาซื้อลูกบิดและตัวล็อกกุญแจอันใหม่มาอีกครั้ง เธอขอให้ช่างของคอนโดมีเนียมขึ้นมาเปลี่ยนลูกบิดประตูให้ด้วยความคาดหวังว่าจะเป็นช่างคนอื่นที่ขึ้นมาทำให้ แต่คนที่ขึ้นมาเปลี่ยนลูกบิดกุญแจกลับเป็นช่างคนเดิม
ขาเรียวสาวเท้าตรงไปยังห้องเคียงข้างเมื่อมั่นใจว่าบุคคลต้องสงสัยของเธอจากไปพร้อมกับกล่องเครื่องมืออุปกรณ์ หญิงสาวเคาะประตูไม้ด้วยจิตใจอันฟุ้งซ่าน เวลานี้คงจะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะให้คำปรึกษากับเธอได้
จากเคาะประตูห้องเปลี่ยนเป็นการใช้แรงทุบ หากแต่ไร้เสียงตอบรับจากอาจารย์หนุ่ม อังคณาหันรีหันขวางด้วยความกังวล ดวงตาสีน้ำตาลแลเห็นหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านที่กำลังเก็บขยะส่วนกลางไปทิ้ง หญิงสาวเดินมุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายในทันที
“คุณป้าคะ ไม่ทราบว่าคุณป้าเห็นอาจารย์ที่อยู่ห้องข้างๆหนูไหมคะ ไม่ทราบว่าเขาออกไปข้างนอกหรือเปล่า” หญิงแม่บ้านละสายตาจากงานที่ทำขึ้นมามองหญิงสาวด้วยความงุนงง เรียวคิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันเหมือนใช้ความคิด
“เอ..อาจารย์คนไหนกันคะ ข้างห้องคุณนอกจากคุณพนักงานธนาคารแล้วอีกห้องก็ไม่มีใครอยู่นะคะ” ดวงตาของอังคณาเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากผู้เป็นแม่บ้าน จะเป็นไปได้อย่างไรว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ข้างห้องเธอ ในเมื่อทุกๆวันปรานต์ยังทักทายและคุยกับเธออย่างสม่ำเสมอ
“ไม่เป็นไรค่ะ อาจจะมีการเข้าใจอะไรผิดก็ได้ ขอบคุณป้ามากเลยนะคะ” ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มหม่น หญิงแม่บ้านพยักหน้าก่อนจะรวบถุงขยะเดินลงบันไดไป อังคณาลากเท้าเดินกลับห้องพักไปอย่างเชื่องช้า เธอหยุดยืนที่หน้าประตูห้องของปรานต์ด้วยความลังเล
แอ๊ด
บานประตูไม้เปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่ปรากฏตัวขึ้น รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าขาวทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งของอังคณามลายหายไปในทันที
“เมื่อกี้คุณอังมาเคาะห้องผมใช่ไหมครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้มาเปิด พอดีตอนนั้นผมกำลังอาบน้ำอยู่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ เส้นผมสีดำสนิทของเขายังเป็นเปียกชื้นจากการอาบน้ำ ที่บอกว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องนี้คงเป็นเพราะความเข้าใจผิดของแม่บ้าน ปรานต์เชื้อเชิญเธอเข้าไปในห้องพักที่จัดเป็นระเบียบของเขา อังคณาทรุดตัวลงพลางเล่าเรื่องช่างของคอนโดมีเนียมให้อีกฝ่ายฟัง
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับว่าช่างจะมีกุญแจสำรองของคุณ” ริมฝีปากบางของชายหนุ่มเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง “ช่วงนี้ผมเองก็ติดธุระเสียด้วยสิ ทางคณะจัดค่ายอบรมผมต้องไปเป็นวิทยากรตั้งสองสัปดาห์...ตอนผมไม่อยู่ คุณต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับคุณอัง”
มือหนายกขึ้นแตะมือของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาเบื้องหลังกรอบแว่นทอดมองมาด้วยความห่วงใย ผิดกับใจของอังคณาที่ว้าวุ่นด้วยลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่บอกว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ จะต้องมีเรื่องราวไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพียงปรานต์เดินทางไปออกค่ายกับทางมหาวิทยาลัยได้ไม่ถึงสองวัน ความหวาดระแวงกัดกินในใจของหญิงสาว ยิ่งปรานต์ไม่อยู่เพราะว่าเช่นนี้ ใจของเธอก็ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ จะโทรศัพท์ไประบายให้ผู้เป็นพ่อและน้องชายฟังก็ไม่เข้าที เพราะทั้งสองคนล้วนก็แต่มีเรื่องที่ต้องคิดเป็นของตัวเอง
ความตึงเครียดของอังคณามาถึงจุดขีดสุดเมื่อพบว่า หลังกลับจากทำงานเสื้อผ้าที่ควรจะอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเธอกลับกระจัดกระจายเต็มส่วนที่เป็นห้องนอนไปเสียหมด
หญิงสาวไม่ก้าวออกจากห้องแม้ว่าจะเป็นวันและเวลาทำงานของเธอก็ตาม อังคณาเฝ้าแต่จับตามองว่าจะมีใครเข้ามาในห้องของเธอหรือไม่ เสียงโทรศัพท์มือถือและเสียงออดที่หน้าประตูห้องดังลั่นหลายต่อหลายครั้ง ผู้เป็นเจ้าของห้องได้แต่เก็บตัวในความมืดเพื่อรอบุคคลโรคจิตที่แอบเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องของเธอ...
เมื่อไหร่ปรานต์จะกลับมาสักที...
“พี่อัง!” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างใบหูพร้อมกับแรงเขย่า เปลือกตาบางของหญิงสาวเปิดขึ้นพร้อมกับภาพใบหน้าของอธินปรากฎขึ้นในสายตา ดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มจ้องมองมายังผู้เป็นพี่สาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“พี่อังเป็นอะไร ธินไม่อยู่แค่ครึ่งเดือนทำไมพี่อังไม่ดูแลตัวเอง ทำไมพี่ไม่ไปทำงานตั้งเกือบครึ่งเดือน โทรมาก็ไม่มีใครรับมือถือ รู้ไหมว่าคนอื่นเขาเป็นห่วง”
“ธิน...” น้ำเสียงของอังคณาแหบแห้งกว่าที่เคย “ธิน...มีคนแอบเข้ามาในห้องตอนที่พี่ไม่อยู่ พี่จะทำอย่างไรดีธิน”
“ธินก็อยู่กับพี่ตอนนี้ไงครับพี่อัง พี่อย่าคิดมากนะไม่มีอะไรหรอก พี่อังลุกไปอาบน้ำดีกว่า เดี๋ยวธินจะหาอะไรให้ทานเอง” อธินประคองร่างผอมบางของพี่สาวขึ้นจากพื้น ในขณะที่อังคณาเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“สองสัปดาห์แล้วหรือธิน...ทำไมคุณปรานต์ยังไม่กลับมาสักที ทำไมทิ้งให้พี่รอนานขนาดนี้...” ร่างกายของผู้เป็นน้องชายหยุดชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากพี่สาว อธินย้อนถามเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“ปรานต์? พี่อังหมายถึงพี่ปรานต์ไหนกันแน่”
“คุณปรานต์ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย.....ไงธิน คนที่อยู่ข้างๆห้องพี่”
“พี่อัง” น้ำเสียงของชายหนุ่มมีแววแหบแห้งระคนขื่นขม “ข้างห้องพี่ไม่มีใครอยู่หรอกนะ ธินย้ายมาอยู่กับพี่อังตั้งแต่เดือนแรกที่พี่มาอยู่ ธินก็ยังไม่เห็นมีใครอยู่ข้างห้อง...ส่วนเรื่องพี่ปรานต์...พี่ปรานต์เขาตายไปแล้วพี่ ตายเพราะรถคว่ำตอนที่ขับรถพาพี่กลับบ้าน พี่จำไม่ได้หรือ”
สิ้นเสียงของน้องชายเหมือนมีฟ้าฟาดลงกลางใจของหญิงสาว ภาพต่างๆแล่นย้อนเข้ามาในสมอง
ภาพของอธินที่รื้อหารองเท้าสำหรับเล่นกีฬาก่อนจะไปมหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้า เธอเป็นคนบอกเขาเองว่าจะช่วยเก็บให้ตอนกลับห้องมาแล้ว...ภาพของอธินที่ทำไมโครเวฟเลอะเทอะด้วยคราบน้ำมันจนเธอต้องปริปากบ่น...ภาพของอธินที่รับกุญแจห้องใหม่พร้อมกับเงินสามพันบาทไปจากมือเธอ
ทุกภาพ...ทุกเหตุการณ์...ไม่ว่าจะเป็นการไปซื้อลูกบิดประตูอันใหม่ เป็ดย่างร้านอร่อยที่ซื้อมา ขนมเค้กที่หายไปเพราะฝีมือของอธิน...ไม่เคยมีปรานต์อยู่ในนั้น ราวกับตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีเขาอยู่ในชีวิตของเธอมาก่อน
ภาพของชายหนุ่มที่เป็นคนรักของเธอปรากฏขึ้นในความทรงจำ ใบหน้าของเขาอาบไปด้วยเลือด เลนส์แว่นตากรอบสีดำแตกร้าวไม่มีชิ้นดี มือของเขากอบกุมมือของเธอไว้ น้ำเสียงที่อ่อนโยนนั้นเหมือนกับได้ยินทุกวันวาน
‘ไม่เป็นไร..อังจะต้องไม่เป็นไร อังจะต้องรอด...อังจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป’
“ไม่!” หญิงสาวสะบัดผู้เป็นน้องชายออกไปพลางกรีดร้องเสียงดังลั่น “อังจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีปรานต์ อังจะอยู่ไปเพื่ออะไรกัน!!!”
“มันไม่จริง! มันไม่ใช่เรื่องจริง!! ปรานต์ยังไม่ตาย!!! ปรานต์ยังอยู่กับอังเสมอ...” หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบใบหน้าของอังคณา ท่ามกลางสายตาของน้องชายที่มองเธอด้วยหัวใจอันแตกร้าว เสียงร้องโหยหวนของหญิงสาวดังขึ้นด้วยความทุกข์ทรมานใจ
“ไม่จริง!! ไม่!!!!!!”
.
.
.
ในสวนหย่อมที่เต็มไปด้วยผืนหญ้า ต้นไม้ต้นสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา ยังมีหญิงสาวรูปร่างบอบบางในชุดกระโปรงสีขาวผู้หนึ่งเอนกายนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีเดียวกับชุดของเธอ ดวงตาสีน้ำตาลของเธอเหม่อมองออกไปไกล ไม่สนใจคนรอบข้างที่พูดถึงเธออยู่ตอนนี้
“เพราะอาการช็อกจากอุบัติเหตุและการเสียคนรักทำให้เกิดความบิดเบี้ยวในใจของเธอเข้าน่ะครับ เธออาจจะดูเหมือนคนปรกติทั่วไป แต่ก็มีอาการเกิดภาพหลอน หูแว่วในบางครั้ง จนอาการหนักแบบนี้ล่ะครับ คนรอบข้างถึงจะรับรู้ว่าเธอมีอาการผิดปรกติทางประสาทไปแล้ว”
“คุณหมอครับ...ลูกสาวผมจะพอมีโอกาสหายไหมครับ” สุชาติมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของบุตรสาวคนโตด้วยความเศร้าใจ ถ้าพวกเขาดูแลเธอให้ดีกว่านี้เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“หมอจะพยายามรักษาอย่างเต็มที่ครับ หมอเชื่อว่าสักวันหนึ่งเธอจะสามารถกลับเข้าสู่สังคมปรกติได้อย่างแน่นอน”
ดวงตาใต้กรอบแว่นสีดำสนิทของจิตแพทย์หนุ่มจ้องมองไปยังอังคณาที่นั่งเหม่อลอยพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเหงาหงอยอย่างประหลาด นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลเหลือบมาสบตากับเขา ก่อนที่ริมฝีปากของเธอจะขยับออกเป็นรอยยิ้มสดใส
“ปรานต์....ปรานต์ของอัง อังจะรักปรานต์ตลอดไป....”
หญิงสาวพึมพำอย่างแผ่วเบา...คงมีแต่เธอและจิตแพทย์เท่านั้นที่ได้ยิน
-จบบริบูรณ์-
>>564 เพิ่งได้มาอ่าน.. ขอบอกว่าไม่ใช่นักสับหรอกนะ
รู้สึกว่าเดาทางได้ตั้งแต่แรกว่าปรานต์ไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงๆ แน่ๆ (ตั้งแต่ก่อนเจอแม่บ้าน) อาจเพราะคำโปรยอยากให้ทริลเลอร์แหละ ขอเรียงเป็นข้อๆ นะ กันกูงง
0.จุดที่รู้สึกแปลกๆ ก็ที่เฉลยว่ามีแต่น้องชายอธินมาตลอดไม่ใช่ปรานต์ ขัดกับที่เธอบอกพ่อว่า น้องไม่ต้องมาอยู่ด้วยหรอก ไปพักใกล้มหาลัยส่วนที่นี่ใกล้ที่ทำงานเธอ ย้ายมาเพราะเรื่องเจ็บป่วยที่ขา (ซึ่งตอนอยู่กับพ่อและน้องเธอไม่ได้หลอนไปเองแน่ๆ )
1.ครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์ประหลาด รองเท้าถูกรื้อค้นจึงไม่ค่อยสมเหตุสมผล (เมื่อมองว่าข้อความข้างบนเป็นจริง; เธอไม่ได้พักอยู่กับน้องชาย) เธอทิ้งของแล้ววิ่ง ขาไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอ? สปริ้นท์ได้ด้วย
2.ต่อมาคือสบู่ใกล้หมด เธอดูตกใจ/สงสัยกับเหตุการณ์นี้น้อยเกินไป ก่อนจะปักใจเชื่อว่ากดใช้เยอะเกินไปเองแน่ๆ คือถ้าลังเล/หยุดคิด/บ่งบอกอะไรสักอย่างที่แสดงถึงความเริ่มไม่มั่นคงทางอารมณ์ จะเชื่อถือได้อยู่นะ
3.เป็ดย่างกับครัวเลอะ จึงเริ่มกลัวและปรึกษาปรานต์ ช่างมาซ่อม เบาใจ(ตอนนี้อยู่ในห้องนะ) น้องไลน์บอกขอเงินสามพันจะมาเอาพรุ่งนี้ เธอเบิกเงินและควักมาวางไว้บนโต๊ะ จะว่ายังไงดีล่ะ? ช่างซ่อม-ลงไปเบิกเงิน-วางไว้บนโต๊ะ-ลงไปซูเปอร์ (ไทม์ไลน์แปลกๆ นะ) จากนั้นตังค์หาย-เค้กหาย-พื้นเปียก ด้วยระยะเวลาไม่ถึง 10 นาที? สมมุติไม่บอกคำว่า 'พรุ่งนี้' อาจจะเชื่อได้มากกว่านี้ก็ได้
4.นึกขึ้นได้และหวาดกลัวหนักไปอีก-ไปขอดูกล้องวงจรปิด-ช่างมา-สงสัยช่าง และปักใจเชื่อเลยรึ? ด้วยหลักฐานรองเท้าถูกรื้อ(แต่ไม่มีไรหาย)-สบู่จะหมด-ครัวเลอะ-เค้กหาย-ของขยับได้ ที่พูดมาจนถึงตรงนี้ให้เชื่อว่าผีอยู่ด้วยจะน่าเชื่อกว่าการปักใจเชื่อว่าคนตัวเป็นๆ แอบเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกับเธอ และสงสัยช่างก่อนช่างจะเปลี่ยนกุญแจรอบ 2 แต่ก็ยอมให้ช่างทำงั้นเหรอ
5.เจอป้าแม่บ้าน-ถามหาคนข้างห้อง-ไม่เห็นอาจารย์พนักงานธนาคาร แม่บ้านไม่ลังเลหน่อยเหรอ? อาจารย์/คุณครู/ติวเตอร์ (ซึ่งยูนิฟอร์มแตกต่างกัน) นี่โพล่งมาเลยว่าไม่มี.. มีแต่พนักงานธนาคาร จำได้จากยูนิฟอร์มเหรอ?
6.ปรานต์อาบน้ำและออกมาเปิดประตู เธอเชื่อว่าแม่บ้านเข้าใจผิด เธอเข้าห้องเขาและนั่งลงปรึกษาแต่เขาบอกว่าจะไม่อยู่ช่วงนี้นะ จากนั้นปราณไม่อยู่สองวัน แล้วออดดังลั่น น้องชายบอกผมไม่อยู่กับพี่ครึ่งเดือน ทำไมไม่ไปทำงาน (จะขัดกับ 0. และขัดกับที่อธิบายให้รู้สึกว่าเธอยังคงใช้ชีวิตปกติ ทำงานได้ปกติ) และเธอบอกน้องว่าเขาหายไปสองสัปดาห์แล้ว อ่าว.. ตะกี้บอกแค่สองวัน แล้วก็ออดดังลั่นจากน้องชาย
7.ธินย้ายมาตั้งแต่เดือนแรกที่พี่มาอยู่ (จะขัดกับ0.) ถ้าสมมุติธินบอกว่า.. ถึงพี่จะพูดว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ผมอดเป็นห่วงพี่ไม่ได้ จึงยอมเดินทางไกลหน่อยและย้ายเข้ามาหลังจากนั้น 1-2 สัปดาห์ (ไทม์ไลน์ให้พ้นระยะหวานกับปรานต์และพอดีกับการเกิดเหตุการณ์แปลกๆ)
8.เฉลย และเข้าโรงพยาบาล ไม่มีอะไร
งืมมมม..
บรรยาย – ดี รู้เรื่อง เห็นภาพ แต่รู้สึกขัดๆ ตรงไทม์ไลน์ที่ขัดแย้งกันนี่แหละ ถ้าไม่ระบุชี้ชัดลงไปอาจลดความตะขิดตะขวงใจลงไปได้บ้าง
ลำดับเหตุการณ์/ความสมเหตุสมผล
1. (เมื่อเรื่องถูกเฉลยว่า ภาพซ้อนทับกันระหว่างปรานต์กับอธิน) ทำใจเชื่อได้ยาก เหตุการณ์เกิดที่ห้องเธอ(เพราะน้องชายอยู่ในนั้น) แต่เธอมักไปมีกิจกรรมที่ห้องของเขา เช่น ทักทาย ทิ้งขยะ เคาะประตู เข้าไปปรึกษา เว้นไว้อันนึงคือ กินเป็ด อันนี้มาห้องเธอ
2. ตัวละครปักใจเชื่อเร็วเกินไป ทั้งเรื่องสบู่หมดและเรื่องช่างซ่อมประตู (ตรงนี้ทำลายความเชื่อว่าอยู่ร่วมกับผีไปแบบย่อยยับเลย ด้วยความเชื่อว่าต้องเป็นคนนี้แน่ๆ กุไม่กลัวมึงล่ะโว้ย) แม่บ้านมีความมั่นใจมาก ไม่มีอาจารย์มีแต่พนง.ธนาคาร คล้อยหลังไปนิดเดียวปรานต์เปิดประตูให้เธอเข้าห้องได้ (เข้าห้องเขาด้วยนะ)
3. การระบุเวลาแบบชี้ชัด ถ้าตามสไตล์สืบสวนสอบสวนจะต้องปิดช่องโหว่ให้ดีๆ ไม่งั้นมันจะตีกันเองและเกิดเป็นจุดอ่อนได้ง่าย (นี่ไม่ได้อ่านจับผิดนะ อ่านรอบแรกรับรู้เรื่องราว อ่านรอบสองหลังจากรู้เฉลยแค่นั้นเลย) จัดการกับไทม์ไลน์ให้ดีๆ ไม่สามารถเอาสองคนนี้มาซ้อนทับกันได้เลย
การใช้คำ - อันนี้ไม่ค่อยถนัดเลยบอกไม่ได้ แต่ ‘ราบรื่น’ เขียนงี้นะ ส่วนหน้าขึ้นสีเลือดนี้ฟังดูหลอนๆ ถ้าซับสีเลือดก็ยังพอว่า อ้อ! เรื่องชื่อ แค่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับ ‘ปรานต์’ เท่าไหร่ อ่านเป็น ‘ปราบต์’ เกือบทุกที
โม่ง เรดิโอ - ไหนนน.. ว่าจะไม่ ‘สับ’ กัน
>>565 ขอบใจจ้า ข้อผิดพลาดเรื่องเวลาตรงท้ายคือหลังจากปรานต์หายไป 2 วัน นางเอกก็ขังตัวเองอยู่ในห้องอีก 2 สัปดาห์ จนน้องชายกลับจากค่ายมาเจอ ตรงนี้อาจเป็นเพราะกูเขียนสื่อเวลาได้ไม่ดีเอง ไม่ได้ทำให้เห็นเรื่องนี้ชัดเจนเท่าไร ส่วนจุดข้อผิดพลาดอื่น ๆ ไม่เถียงว่ะ ยังจัดการจุดยิบย่อยได้ไม่ดีเท่าไร หลังจากเรื่องนี้กูก็เว้นแนวนี้มานานจัด เพราะรู้สึกเขียนไม่ค่อยถึง ไว้มีโอกาสจะลองเขียนใหม่
ทรัมป์ลองวิชาขอมดำดิน
ทรัมป์ออกอาการสติแตกเมื่อได้รับรายงานลับในห้องรูปไข่ของทำเนียบขาวว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโคโรน่าไวรัสชาวอเมริกันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพันคนแล้วทั่วทั้งประเทศ แทนที่จะถามสต๊าฟว่ามาตรการควบคุม และป้องกันโรคระบาดของหน่วยงานสาธารณสุขมีประสิทธิภาพเพียงใด เขากลับเหลือบดูดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐตลอดเวลาด้วยความกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง
ทรัมป์หันไปถามรมว. คลังว่า "สตีฟ ทำไมหุ้นร่วงไปแล้วหลายพันจุด หรือ20% แต่ไม่มีใครทำอะไรเลยหรือไง ผมนั่งอยู่ในทำเนียบขาวอย่างนี้เดือดร้่อนนะ แล้วไอ้เจ ผู้ว่าเฟดทำอะไรอยู่ บอกให้ลดดอกก็ไม่ยอมลด แล้วอย่างนี้จะแก้โรคระบาดได้อย่างไร"
"นายครับ ลดดอกเบี้ยแล้วจะทำให้มีคนอเมริกันติดเชื้อโคโรน่าน้อยลง มันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน" สตีฟพูดอย่างประหม่า เพราะกลัวถูกปรับออกจากครม.
"ไม่เกี่ยวก็ทำให้มันเกี่ยวได้ บอกไอ้เจให้ลดดอกเบี้ยให้มากเท่ายุโรป กับญี่ปุ่น แล้วความมั่นใจในโคโรน่าไวรัสจะกลับคืนมา ไม่งั้นผมจะเซ็นคำสั่งปลดไอ้เจ แล้วจะให้อีแวนก้า ลูกสาวมาบริหารการเงินแทน" ทรัมป์กระแทกเสียงด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
"นายครับ ดอกเบี้ยยุโรปและญี่ปุ่นดำดินติดลบไปแล้วนะครับ จะให้เราดำดินกดดอกเบี้ยติดตาม ไม่รู้ว่าต่อไปดอลล่าร์จะไปโผล่ที่ไหน ถ้าโผล่ที่ไทยแลนด์พอทำเนา แต่ถ้าไปโผล่ที่เกาหลีเหนือ ผมคิดว่าบริษัทประกันภัยไม่จ่าย เพราะว่าอยู่นอกพื้นที่"
"แต่อังกฤษเพิ่งลดดอกไปแล้วสองสลึงเหลือ0.25%ได้ ทำไมของเรายังอยู่ที่ 1 บาท?"
"ครับนาย เดี๋ยวผมจะพูดกับเจให้เขารีบลดดอกตามนายสั่ง" สตีฟรีบพูดเอาใจนาย
ทรัมป์หันไปหาโรเบิร์ต เร็ดฟิลด์ ผู้อำนวยงานสำนักควบคุมและป้องกันโรคระบาด แล้วถามว่า "คุณบ๊อบ ลดดอกเบี้ยแล้วจะช่วยสร้างความมั่นใจให้โรคระบาดได้หรือไม่ อย่างน้อยหุ้นอาจจะขึ้น เพราะถ้าหุ้นตก ผมกับเมลาเนียอาจจะต้องขนของย้ายออกจากทำเนียบขาวสิ้นปีนี้"
"ครับนาย ถ้าหากว่าป้องกันการแพร่ระบาดไม่ได้ อเมริกาอาจจะต้องปิดประเทศในอีก2สัปดาห์" บ๊อบพูดอย่างไม่เต็มใจนัก
"ห๊ะ ปิดประเทศเหมือนจีน อิตาลี แล้วแขกที่บุ๊คมาอยู่ที่รีสอร์ทมาร์ อะลาโมของผมที่ฟลอริด้าจะทำอย่างไร? ต้องยกเลิกด้วยหรือไง ทำอย่างนี้ธุรกิจเสียหายหมดนะ"
"เฮียสี สั่งปิดเมืองอู่ฮั่น กักคนจีน50กว่าล้านคนที่มณฑลหูเป่ยจึงเอาโคโรน่าอยู่ อิตาลีปิดประเทศกักประชาชน60ล้านคนแล้ว ยังไม่รู้เอาอยู่หรือเปล่า"
"แล้วเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์ที่จะตรวจคนไข้โคโรน่ามีความพร้อมแค่ไหน" ทรัมป์ถาม
"ท่านอยากฟังข่าวดี หรือข่าวร้ายก่อนครับ"
"เอาข่าวดีก่อนก็แล้วกัน"
"ข่าวดีคืองบประมาณดูแล และป้องกันโคโรน่า$8,500ล้าน มีการเบิกจ่ายแล้วครับ หน่วยงานCDCของผมได้รับเงินแล้วครับ ขอบคุณนายมากที่กรุณาสู้เรื่องนี้"
"ดีแล้ว แล้วข่าวร้ายเป็นไง"
"ข่าวร้ายคือ แม้จะมีเงิน มีงบประมาณพร้อม แต่ซื้อของไม่ได้ครับ"
"ว่าไงนะ"
"เฮียสีสั่งงดการส่งออกเวลานี้ อุปกรณ์การแพทย์ เวชภัณฑ์หยูกยาอะไรต่างๆที่เราให้ 80%ส่งมาจากจีนครับ เมื่อจีนไม่ส่งของ เราก็ไม่มีของ" บ๊อบจำใจพูด
"ดอลล่าร์คือเงิน เงินคือพระเจ้า ใครๆก็ต้องการเงินทั้งนั้น แต่ทำไมดอลล่าร์ซื้อของไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร" ทรัมป์บ่นพึมพัม
"ก็คงต้องรอเฮียสีเมตตาว่าเมื่อไหร่จะปล่อยล็อตสินค้าเวชภัณฑ์ที่เราออร์เดอร์ ตอนนี้ค้างที่ท่าเรือเซี่ยงไฮ้หลายร้อยตู้คอนเทนเนอร์ ถ้าล่าช้าเราจะไม่มีอุปกรณ์ตรวจสอบ (test kits)คนไข้โคโรน่า หมออเมริกันตามโรงพยาบาลอาจจะต้องวินิจฉัยโรคแบบดำดิน คือมั่วเอาไปพลางๆก่อนครับ ถ้ายาจากจีนไม่มา สงสัยโรงพยาบาลทั่วประเทศอเมริกาต้องปิดกิจการในอีก2เดือนข้างหน้าครับ เพราะสต็อคหมด เวชภัณฑ์เกือบทุกอย่าง Made in Chinaทั้งนั้นครับ"
ทรัมป์รู้สึกกระดากใจขึ้นมาทันที ถ้าต้องโทรศัพท์ฮ็อตไลน์ไปหาเฮียสีเพื่อขอให้เฮียสีปล่อยตู้คอนเทนเนอร์ลงเรือมันจะเสียฟอร์มประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อเมริกาเคยมีมาตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐ เมื่อยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร ทรัมป์จึงสั่งปิดประชุม ไล่ทุกคนให้ออกจากทำเนียบขาว
ทรัมป์นั่งเหม่อลอยคนเดียวที่โต๊ะทำงาน เขาจำคำพูดของตัวเองได้ที่ด่าเฮียสีเอาไว้มาก ทั้งต่อหน้าและลับหลัง หาว่าเฮียสีขโมยเทคโนโลยีอเมริกัน หาว่าเฮียสีแฮ็คระคอมพิวเตอร์ของทำเนียบขาว หาว่าเฮียสีค้าขายเอาเปรียบคนอเมริกัน ด่าพ่อล่อแม่เฮียสีไปมาก แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี สตีฟแอบกระซิบหูวันก่อนว่า เฮียสีจัดชั้นดอลล่าร์เป็นเงินสกุลกงเต๊ก เทียบชั้นต่ำกว่าเงินกงเต็กเซียนฮ่องเต้ หลายเกรด เวลาคนจีนจะเผาเงินกงเต๊ก ดอลล่าร์กงเต๊กอาจจะขายไม่ออกด้วยซ้ำ
เหม่อไปละเมอมา ทรัมป์รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เพราะว่าเขาไปร่วมงานประชุมวันก่อน และได้จับมือสัมผัสกับสส.หลายคน มีคนหนึ่งติดเชื้อโคโรน่า เขาไม่มั่นใจว่าตัวเขาเองจะติดเชื้อหรือไม่
"ตายแล้วจะทำอย่างไรดี โลกนี้ยังน่าอยู่ กูยังไม่อยากตาย" ทรัมป์เผลออุทานออกมา
โชคดีไม่มีใครได้ยิน
ทรัมป์เอะใจคำว่า"ดำดิน" ที่สตีฟ และบ๊อบพูดขึ้นโดยไม่นัดแนะ บริหารการเงินแบบดำดิน กดดอกเบี้ยติดลบ หมอรักษาผู้ป่วยโคโรน่าแบบดำดินเพราะไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์Made in China
ทรัมป์รีบค้นกูเกิ้ลกับแล็ปท็อบของตัวเอง พิมพ์คำว่า ดำดิน พบเรื่องราวตำนาน"ขอมดำดิน"ที่ไทยแลนด์ เขาเข้าไปอ่านข้อความตอนหนึ่งของขอมดำดินเขียนว่า:
"นายร่วงพเนจรหลบหนีพวกทหารขอมอยู่เป็นเวลาหลายปี จนเมื่ออายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดในเมืองสุโขทัย ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า พระร่วง นับแต่นั้นมา วันหนึ่งนายทหารขอมซึ่งทราบข่าวได้ติดตามมา ครั้นถึงวัดที่พระร่วงจำพรรษาอยู่ได้ใช้ฤทธิ์ดำดินลอดกำแพงวัดเข้าไป เห็นพระร่วงกำลังกวาดลานวัดอยู่แต่ไม่รู้จักจึงถามว่า “พระร่วงที่มาจากเมืองละโว้อยู่ที่ไหน” พระร่วงจึงสอบถามจนรู้ว่าเป็นนายทหารขอมที่ตามมาจับตนจึงบอกว่า “เจ้าจงอยู่ที่นี่แหละอย่าไปไหนเลย จะไปตามพระร่วงให้” ด้วยฤทธิ์วาจาสิทธิ์ของพระร่วง ร่างของขอมดำดินผู้นั้นก็แข็งกลายเป็นหินติดคาแผ่นดินอยู่ตรงนั้น"
บิงโก เท่านั้นเอง สมองของทรัมป์ก็เปล่งประกายสว่างไสว แทนที่จะโทรศัพท์ฮ็อตไลน์ไปหาเฮียสีโดยตรง เพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องโคโรน่า หรือเดินทางไปหาเฮียสีด้วยแอร์ฟอร์สวันเพื่อขอให้จีนปล่อยล็อตตู้คอนเทนเนอร์สินค้าเวชภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นเรื่องเอิกเกริก เพราะเขาเองเป็นคนเซ็นคำสั่งห้ามคนจีนเดินทางมายังอเมริกากับมือเพื่อMake America Great Again หลังจากมือมืดแอบปล่อยไวรัสถล่มเมืองอู่ฮั่น ทางที่ดี ทรัมป์คิดว่า ตัวเขาน่าจะแอบไปหาเฮียสีเป็นการไพรเวทจะดีกว่า
จุดประสงค์คือ ไปขอโทษที่พูดจาไม่ดีกับเฮียสี ให้ลืมๆไปเสียอะไรที่เคยบาดหมางกัน ขอเริ่มต้นมิตรภาพกันใหม่ แต่ที่สำคัญทรัมป์ต้องการขอความช่วยเหลือ2ประการจากเฮียสี คือให้ช่วยส่งยารักษาโคโรน่า และให้ช่วยเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของเงินสกุลดอลล่าร์เทียบเท่าเงินกงเต๊กเงียกเซียนฮ่องเต้ จะได้ไม่อายบรรพบุรุษจอร์จ วอชิงตันที่อุตส่าห์ก่อตั้งสาธารณรัฐอเมริกาให้ลูกหลานคนอเมริกันได้อยู่ดีกินดี
การจะไปหาเฮียสีด้วยวิธีการไพรเวท วิธีเดียวที่จะไปได้ คือต้องใช้วิชาดำดิน เหมือนขอมดำดินจากทำเนียบขาวไปโผล่ที่ประเทศจีน มันจะได้ไม่กระโตกกระตาก ไม่ให้ใครรู้ เพราะว่ามันเป็นความลับสุดยอด ถ้าข่าวรั่ว จะอายผู้คนไปทั่วทั้งสามโลก
เนื่องจากอเมริกาไม่มีวิชาเวทย์มนต์ของขอมดำดิน แต่มีกระจกวิเศษของAlice in the Wonderland ที่ทางซีไอเอแอบเอามาติดตั้งที่ห้องใต้ดินของทำเนียบขาว ทรัมป์จึงจะดำดินไปหาเฮียสีด้วยการเข้าไปในกระจกวิเศษของอะลิซ
คืนนั้น ทรัมป์จูบปากเมลาเนียอย่างดูดดื่ม พร้อมกับบอกว่า "ที่รัก คืนนี้ ผมจะลงไปห้องสตัดดี้ที่ชั้นใต้ดินหน่อยนะ มีการบ้านหลายอย่างที่จะต้องทำ ถ้าขึ้นมานอนดึกหน่อยไม่ต้องลงไปตามนะ"
เมลาเนียตอบกลับว่า "ค่ะที่รัก อย่าทำงานหักโหมเกินไปนะจ๊ะ บ้านเมืองไม่ใช่ของเราคนเดียว แต่ถ้าเราได้ครอบครองทำเนียบขาวอีก4ปีก็น่าจะเป็นการดีนะค่ะ"
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง I shall come back"
ทรัมป์รีบลงห้องใต้ดินของทำเนียบขาว ไปที่มุมเอาผ้าคลุมกระจกวิเศษออก เสยผมทองทรงหล่อ พร้อมกับตะโกนถามว่า "กระจกวิเศษ ผู้ใดหล่อเลิศในธรณี" อ้อลืมไป เวลานี้ไม่ใช่เป็นเวลาห่วงเรื่องความหล่อ ทรัมป์รีบกระโดดเข้ากระจกวิเศษเพื่อดำดินไปประเทศจีน
เพี้ยง! อีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ทรัมป์ดำดินไปโผล่ที่ประเทศจีน แต่อยู่แห่งหนตำบลใดก็ไหนก็ไม่ทราบ ปรากฎว่า ทรัมป์ไปโผล่ที่สำนักวัดเส้าหลิน ในขณะนั้นท่านเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินกำลังใช้ไม้กวาดทำความสะอาดลานวัด เพื่อเป็นการทรงสมาธิไปในตัว
ทรัมป์ดำดินโผล่ขึ้นมากลางลานวัดเส้าหลินพอดี "เฮลโหลๆ ไอแอมอเมริกัน ไอว้อนท์ทูมีดเฮียสี จิ้นผิง แคนยูเทลมีฮาวทูโกทูซีฮีม" ทรัมป์สอบถาม ท้ังๆที่ตัวเองโผล่ขึ้นมาบนผิวดินแค่ครึ่งลำตัว
ท่านเจ้าอาวาสวัดเสาหลิน มองดูทรัมป์อย่างเฉยเมย พร้อมกับตอบว่า ให้รออยู่ตรงนี้ก่อน
"โอ เค แทงกิ้ว" ทรัมป์ตอบอย่างอุ่นใจขึ้นมาบ้าง แม้ว่าจะตัวสั่นปอดแหก พร้อมกับรีบตะโกนต่อไปว่า "ถ้าท่านมียาฟ้าทะลายโจรให้สักเม็ดจะขอบพระคุณอย่างยิ่ง เพราะรู้สึกตัวร้อน"
ทันใดนั้นเอง ทรัมป์ถูกสาปกลายเป็นตุ๊กตาหิน เหมือนขอมดำดินที่ถูกพระร่วงสาปให้เป็นหินที่สุโขทัย
ทรัมป์ที่เป็นตุ๊กตาหินยังคงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ตอนนี้สถิตย์อยู่ที่วัดโพธิ์ ถ้าใครไม่เชื่อให้ไปดูที่วัดโพธิ์ได้ ว่าหน้าตาเหมือนทรัมป์มาก ส่วนตุ๊กตาหินทรัมป์เดินทางมาจากวัดเส้าหลินมายังวัดโพธิ์ได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่งทางประวัติศาสตร์ที่ต้องมีการค้นคว้ากันต่อไป
“เธอเคยคิดไหมว่าองค์กรมีระบบนี้ไปทำไม”
“ระบบอะไรเหรอคะ”
“ก็ระบบครอบครัวจอมปลอมนี่ยังไงล่ะ”
เด็กสาวฟังคำนั้นแล้วก็หัวเราะ เธอเอนศีรษะลงบนหมอน หลับตาลงก่อนพูดว่า “หนูไม่เห็นว่ามันจะจอมปลอมตรงไหน ป๊ะป๋าก็เหมือนพ่อของหนูจริง ๆ ”
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยหัวเราะ เขาคลี่ผ้าห่มสีน้ำเงินที่กระจุกกองอยู่บนข้อเท้า ดึงมันขึ้นมาห่มคลุมถึงช่วงอกของหญิงสาว “ไม่เคยคิดสักหน่อยเหรอว่าทำไมมันต้องเป็นระบบพ่อแม่ลูก เธอกับฉันเราห่างกันแค่แปดปี บอกว่าเป็นพี่ชายน้องสาวกันไม่ดีกว่าเหรอ”
“ก็ไม่รู้สิคะ” หญิงสาวพึมพำตอบ “แต่ป๊ะป๋าน่ะเป็นป๊ะป๋าก็ดีอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว แต่สีหน้าของเขากลับไม่ได้ดูเบื่อหน่ายแต่อย่างไร “เธอน่ะยี่สิบสามแล้วนะ” เขาพูดยิ้ม ๆ “พูดจาออเซาะเหมือนเด็กสิบขวบไปได้”
ฟังคำนี้แล้วหญิงสาวก็เผยอเปลือกตาขึ้น โพล่งขึ้นมาว่า “จริงด้วย งั้นปีนี้ป๊ะป๋าก็สามสิบเอ็ด...”
“สามสิบ” ชายหนุ่มเอ่ยแก้ทันที “อีกหลายเดือนกว่าจะถึงวันเกิดฉัน เธอลืมไปแล้วเหรอ”
“ขอโทษค่า” สีหน้าของหญิงสาวดูสดชื่น เธอแลบลิ้นอย่างเขิน ๆ ออกมาก่อนถามกลับไปว่า “แล้วป๊ะป๋ารู้เหรอว่าทำไมเราถึงต้องมีระบบครอบครัว”
“นั่นน่ะสิ พวกผู้บริหารรุ่นเก่า ๆ คงจะกลัวพวกเราเบื่อมั้ง” พูดได้ถึงตรงนี้ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลยกถาดใส่อาหารกลางวันเข้ามาให้ในห้อง เมื่อเจ้าหน้าที่คนนั้นกลับออกไปที่ด้านนอกแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยเปิดปากขึ้นต่อว่า “กินข้าวได้แล้ว”
ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า เขาเข็นเอาโต๊ะวางอาหารตัวนั้นเข้ามาเทียบข้าง พร้อมปรับระดับระดับโต๊ะเตียงให้อยู่ในท่าที่คนป่วยจะสามารถกินอาหารได้สะดวก เห็นดังนั้นหญิงสาวก็ยิ้มกว้าง หันมาทำตาแป๋วถามว่า “จะป้อนหนูด้วยไหมคะ”
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจสั้น ๆ เป็นเชิงหัวเราะ “กี่ขวบแล้วแม่คุณ เมื่อก่อนยังไม่เห็นต้องให้ฉันป้อนเลยนี่นา”
หญิงสาวเลิกคิ้ว ถามกลับด้วยน้ำเสียงแง่งอนว่า “ไม่เคยเหรอ ป๊ะป๋าจำไม่ได้เหรอว่า...”
เธอหยุดพูดไปเมื่อเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ของอีกฝ่าย “จำได้น่า” ชายหนุ่มตอบ “กินข้าวเถอะ หรือคิดจะให้ฉันป้อนจริง ๆ ”
หญิงสาวเบะปากไม่ตอบคำ เธอเปิดฝาสำรับก่อนที่จะนิ่วหน้า บ่นว่า “ข้าวต้มอีกแล้ว”
ชายหนุ่มชี้ไปที่ป้าย ‘อาหารอ่อน’ ที่หัวเตียง “อย่าบ่นนักเลย กินเข้าไปให้เยอะ ๆ พักผ่อนมาก ๆ จะได้ออกจากที่นี่ไว ๆ ”
หญิงสาวหันมาส่งยิ้ม ใช้นิ้วชี้ไปที่สำรับอาหาร ก่อนที่จะชี้ไปที่ปากตัวเองพร้อมกระพริบตาปริบ ๆ เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็ต้องส่ายหัว บ่นออกมาอย่างอ่อนใจว่าว่า “เธอนี่น้า”
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ยังหยิบช้อนตักกับอาหารในสำรับ ก่อนที่จะประคองไปจ่อไว้ถึงปากของหญิงสาว คนป่วยหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ก่อนที่จะอ้าปากงับช้อนแต่โดยดี เมื่อกลืนอาหารลงท้องไปแล้ว เธอค่อยเปิดปากพูดว่า “ยังใจดีเหมือนเดิมเลยนะคะ แต่ไม่รู้ว่าแอบไปใจดีกับสาว ๆ คนอื่นอีกรึเปล่า”
ชายหนุ่มส่งอาหารอีกช้อนเข้าปากของหญิงสาวเกือบจะในทันทีที่เจ้าหล่อนพูดจบ “สัปดาห์หนึ่งฉันต้องเอาใจสาว ๆ สามสี่คน” เขาพูด “ปีนึงมีห้าสิบสองสัปดาห์ เราไม่ได้เจอกันมาห้าปี ก็เอาสามคูนห้าสิบสองคูณห้า... อืม มีเครื่องคิดเลขให้ยืมไหม”
หญิงสาวทำหน้าบึ้ง ถามกลับไปว่า “แล้วได้ป้อนสาว ๆ ทุกคนไหมคะ”
“ก็เป็นส่วนใหญ่นะ” ชายหนุ่มหัวเราะ “อ้อ แต่ถ้าหมายถึงป้อนอาหาร อันนี้ฉันจำไม่ได้จริง ๆ ว่ากี่คน”
หญิงสาวทำตาเขียว เอื้อมมือไปแย่งช้อนกลับมาพร้อมประกาศว่าจะตักอาหารกินเอง เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะ ยกมือขึ้นลูบเรือนผมที่ออกจะกระเซิงไปบ้างของคนป่วยอย่างรักใคร่ “นี่ เดี๋ยวฉันต้องไปแล้วนะ”
หญิงสาวทำหน้าบึ้ง “ใครสนกันล่ะ”
ชายหนุ่มหัวเราะ “นั่นสินะ”
เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะวางช้อนในมือลง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงค่อยว่า “คราวนี้จะหายไปอีกห้าปีรึเปล่า”
ชายหนุ่มยิ้ม “อาจเร็วกว่านั้น หรืออาจนานกว่านั้น เธอก็รู้ว่าฉันตอบไม่ได้”
หญิงสาวหันหน้ากลับมามอง ดวงตาของเจ้าหล่อนดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดขณะถามว่า “แต่ป๊ะป๋าจะกลับมาแน่ ๆ ใช่ไหม”
“เธอก็รู้ว่าฉันตอบคำถามนั้นไม่ได้” ชายหนุ่มไม่ยิ้มอีกต่อไปแล้ว “แต่ถ้าฉันยังไม่ตาย สักวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีก”
เหมือนหญิงสาวใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็อดโอบเอาใบหน้านั้นเข้ามาซบในอ้อมอกไม่ได้ “นี่ อย่าร้องไห้สิ ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีนะ”
“หนูไม่ร้องไห้หรอกน่า” คนในอ้อมอกพึมพำ “แต่หนูห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกเศร้าไม่ได้นี่นา อย่างน้อย... อย่างน้อยก็กับเรื่องนี้”
เงียบไปอีกหลายอึดใจ ก่อนที่จะชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระซิบว่า “นี่ หรือจะร้องไห้ดีล่ะ ร้องให้พอไปเลยดีไหม ร้องเผื่อเรื่องเสียใจทุกอย่างในอนาคต จนกว่าฉันจะกลับมา”
หญิงสาวตอบกลับมาด้วยเสียงหัวเราะ “น้ำเน่าน่า” เธอพูดพร้อมผลักตัวเองออกจากอ้อมอก แต่ถึงจะพูดแบบนั้น สีหน้าของเจ้าหล่อนก็ดูขวยอายที่เสียกิริยาไปไม่น้อย “หนูไม่ร้องไห้หรอก ก็เคยสัญญากับป๊ะป๋าไว้แล้วว่าจะไม่ร้อง”
ชายหนุ่มอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ถูกขัดขึ้นก่อนว่า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ถ้าป๊ะป๋ายังพูดอีกหนูโกรธจริง ๆ ด้วย”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะยิ้ม ๆ “ฉันเคยกลัวเธอโกรธตั้งแต่เมื่อไหร่”
หญิงสาวยิ้มบ้าง “นั่นสินะ หนูลืมไป ป๊ะป๋าไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้วนี่นา”
ชายหนุ่มหัวเราะ “นั่นน่ะมันเรื่องเมื่อนานมาแล้ว” เขาพูด “ตอนนี้ฉันมีเรื่องให้กลัวเต็มไปหมด”
“ตายจริง” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ “มีเรื่องอะไรที่ทำให้ป๊ะป๋าคนเก่งของหนูต้องกลัวด้วยเหรอคะ”
“ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเธอนั่นล่ะ”
สีหน้าของหญิงสาวหมองลง แต่ก็ยังฝืนยิ้มพูดขึ้นว่า “หนูเอาตัวรอดได้สบาย ป๊ะป๋าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ชายหนุ่มยิ้ม ยกมือขึ้นหยิกแก้มของอีกฝ่ายเบา ๆ “ฉันต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะ”
หญิงสาวเพียงยิ้มเป็นคำตอบ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็หักใจกลับหลังหัน คว้าเอากระเป๋าที่วางไว้บนโซฟาขึ้นมาถือไว้ ก่อนที่จะดึงประตูเปิด ก้าวเท้าออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหลังมอง
>>569-570 ณ ตอนนี้ยังไม่สื่อความ ไม่เห็นพล็อตว่าต้องการจะเล่าอะไร เหมือนอยากชงให้หักมุม แล้วมึงก็ปล่อยร่วงดังตุ้บ อ่านมาก็ยังไม่รู้เลยว่าองค์กรอะไร ทำอะไร ตัวละครมีความสำคัญยังไง ทำให้รู้สึกเสียดายเวลาอ่านขึ้นมาทันที รำคาญความหญิงสาวชายหนุ่มหญิงสาวชายหนุ่มด้วย ลูปวนอยู่แค่สองคำ หาคำอื่นมาแทนบ้างก็ได้
คนอย่างนายน่ะเหรอจะมาข่มฉัน
เธอพูดด้วยเสียงกระหืดกระหอบหทยใจไม่เป็นจังหวะเพมื่อในขณะที่ผมเองยังไม่หยุดลิ้นอันซุกซนไล่จากหน้าอกขึ้นไปยังลำคอของเธอ
"ไม่อยากต่อต้านการถูกข่มเหงบ้างรึไง" ผมกระซิบข้างหูเธอแผ่วเบา พร้อมกับทิ้งน้ำหนักลงสู่สะโพก มือข้างหนึ่งบีบขยำและอีกข้างกำลังจิกทิ้งผมเธอ
"ได้แค่นี้เหรอผู้ชายทะเนด" เธอจิกหัวผมคืนพร้อมกับประกบปากเข้าที่ลำคอของผม เธอดูดมันอย่างรุนแรงจนน้ำตาผมแทบไหล เราแข่งกันหายใจหืดหอบไปพร้อมๆกับบดขยี้ร่างกายเข้าหากันและกัน
เธอใช้ลิ้นลามเลียไปตามลำคอของผม เพียงชั่ววินาทีเท่านั้น ผมเกิดเผลอปล่อยตัวไปตามแรงกระตุ้น เธอเหวี่ยงผมพลิกตัวลงก่อนจะลุกคร่อมผมอีกครั้ง เธอถอยลงไปยังปลายเตียงก่อนปลดเปลื้องเสื้อผ้าของผมจะหมดสิ้น
ผมพยายามจะลุกขึ้นอีกครั้งแต่เธอกลับขึ้นมาผลักอกผมลงไปนอนแผ่ราบเช่นเดิม ผมปล่อยตัวให้เธอทำอย่างที่ต้องการ
"ไม่รังเกียจฉันเหรอ นี่เฟมทวิตไง" เธอถามผมราวเย้ยหยัน
"ผมไม่เคยรังเกียจเฟมทวิต แต่ผมเกลียดท่าทีของคุณที่แสดงออกมาต่างหาก" สีหน้าเย้ยหยันของเธอเปลี่ยนไปในทันที
"ผมสนก็แค่ตัวคุณ ร่างกายคุณ ไม่ได้สนเลยสักนิดว่าคุณเป็นใคร"
"คุณค่าของนายก็ไม่ได้ต่างกันหรอก ฉันก็แค่เห็นว่าอยากจะลองกับนายดู แต่พอรู้ว่าเป็นผู้ชายทะเนด ฉันเองก็อดไม่ไหว อยากจะทำให้นายอับอายยิ่งกว่าอะไรดี"
"อะไรอ่ะ ขี้แตกในโรงเรียนเหรอ" ผมกล่าวตัดบทไปด้วยปากอันโสมม
"ฉันจะทำให้นายรู้สึกพ่ายแพ้" เธอบีบกรามของผมอีกครั้งก่อนจะถอดกางเกงในตัวจ้อยนั่นทิ้งไป
เกมของเราเริ่มโดยไม่มีอารัมภบท เธอเป็นฝ่ายเปิดเกมก่อนอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
"ไม่เล้าโลมก่อนเลยรึไง" ผมพูดพลางเกร็งท้องน้อย
"ฉันไม่ได้อยู่เบี้ยล่างที่นายจะมาออกคำสั่งหรือขอร้อง" เธอตอบพร้อมกับร่างกายที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ ผมคว้าข้อมือเธอไว้ บีบมันแน่นจนเธอร้องเพราะเจ็บปวดมากกว่าสุขสม
"ร้องอีกสิ" ผมกัดฟันแค่นเสียงพูด
"อย่า.. มา.. ออก.. อ่ะห์.. คำสั่ง.. โอ๊ยยย กับฉันนะ!"
ผมปล่อยข้อมือเธอจากพันธนาการก่อนจะเปลี่ยนไปขยำหน้าอกที่กำลังกระเพิ่มขึ้นลงนั่น
"อย่า"
"ทำไม"
"นายไม่มีสิทธิ์"
"แต่ตอนนี้คุณก็ยังอยู่บนตัวผมนะ หรือคุณจะ consent เฉพาะจุดล่ะ"
"ไอ้หมาติดสัด" เธอตอบกลับผมด้วยประโยคที่ผมคุ้นเคยในขณะที่ร่างกายของเธอไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลย
ใช่ เป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่ผมฟาดฟันกับเธอในโลกอินเตอร์เน็ต "ไอ้หมาติดสัด" คือชื่อที่เธอเรียกผมมานานแสนนาน แต่แล้วยังไงกันล่ะ เธอกำลังเอาอยู่กับหมาติดสัดนี่
เรากำลังเอากัน หรือเธอกำลังเอาผม หรือเธอกำลังถูกเอาโดยหมาติดสัดอย่างผมกันแน่
ผมไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเกิดอยากเอาชนะเธอ ทั้งๆที่ปกติผมก็เป็นแค่โทรลโง่ๆที่พอจะมีความรู้ไว้ประดับสมองสำหรับใช้เถียงชาวบ้านอยู่บ้างก็เท่านั้น
แต่กับเธอเป็นกรณีพิเศษ เธอลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ผมจนเหลือแต่เพียงหมาติดสัดที่หมกมุ่นแต่ในแรงขับเรื่องเพศเท่านั้น งั้นเหรอ
"แล้วคุณรู้สึกยังไงล่ะที่กำลังโดนหมาติดสัดเอาอยู่น่ะ" ผมถามเธอด้วยการแค่นลำคอให้ออกเสียงมา เพราะมือทั้งสองข้างของเธอกำแน่นอยู่ที่คอหอยของผม
"หึ" เพรงเสียงสั้นๆจากลำคอคอนเธอ แต่แน่นอนว่าเธอพลาด ด้วยประโยคคำถามง่ายๆ นั่น เธอถึงกับชะงักและปลดการระวังตัว
ผมเหวี่ยงเธอลงเตียงอีกด้านและเข้าหาเธอต่อจากด้านหลัง
"หมาติดสัดเหรอ เอาท่าหมาดีมั้ย" ผมฟาดไปที่ก้นขาวเนียนนั่น เธอส่งเสียงในลำคอเพราะกำลังกัดกรามของตัวเองอยู่
"อยากร้องก็ร้องสิ" ผมเย้ย
"ไม่!!!" เธอแผดเสียงกลับมาแล้วแอ่นหลังจนหัวไหล่ติดที่นอน
"นายจะทำให้ฉันร้องเหรอ ฝันสูงไปป่ะ"
"งั้นต่อไปก็ร้องให้เต็มที่เลย ยังไงผมก็ไม่ได้ยิน" ผมกดหัวเธอลงกับหมอน มีเสียงดังอู้อี้ออกมา เธอเริ่มเอามือทุบตีที่นอน ผมจึงจิกผมเธอกระชากขึ้นมาจากหมอนนั่น
"ไม่ร้องเลยนะคนเก่ง" ผมกระซิบข้างหูเธอในขณะที่เธอมองผมตาขวาง
"แน่จริงก็ตีฉันอีกสิ" เธอท้าทาย ผมฟาดลงไปที่ก้นขาวเนียนนั่น ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเริ่มช้ำเลือด
"นั่นแหละ นั่นแหละ เอาสิ ฟาดฉันสิไอ้หมา" เธอตะคอกราวโกรธแค้นพลางส่งเสียงอืออาออกมาจากลำคอที่ตอนนี้เส้นเลือดเริ่มปูดโปน
ผมหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ใช่เพราะคำพูดเธอ ผมเหนื่อย
ผมพลิกตัวเธอให้หงายขึ้น เธอจ้องหน้าผมด้วยสายตาทั้งโกรธและเกลียด ก่อนที่จะโอบเธอขึ้นมานั่งประจันหน้ากับผม
"ตอนนี้ผมเป็นเครื่องจักรอะไร?" ผมถาม
"เครื่องจักรสำเร็จความใคร่" เธอทำหน้าเย้ยหยันก่อนที่เราจะจูบกันอย่างรุนแรงด้วยความปรารถนาจะเอาชนะ
ช่วยพูดอะไรร่านๆให้ฟังหน่อยสิคุณเฟมทวิต
พวกมึงลืมตอนที่ 1 ไป กูเอามาลงให้
ยังไงก็แล้วแต่คุณก็ปัดขวาผมไม่ใช่เหรอ
.
ผมถามเธอขณะที่เธอเองก็เอาแต่นั่งหน้าบูดอยู่หัวเตียง สีหน้าของเธอดูผิดหวังและหัวเสีย แต่ผมก็เข้าใจดีว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการทรยศตัวเอง
.
"ฉันแค่อยากได้นาย ไม่ได้อยากจะสนด้วยซ้ำว่านายเป็นพวกทะเนดรึเปล่า"
"งั้นเหรอ แล้วคุณจะสนใจไปทำไม ถ้าเราจะแค่เอากันแล้วแยกย้ายกันไป"
"พวกท็อกซิกอย่างนายจะไปเข้าใจอะไรอ่ะ เวลาที่คนเราทรยศตัวเอง"
"เข้าใจสิ เพราะผมเองก็เป็นอยู่ คุณไม่คิดบ้างเหรอ ยานนาเวี่ยนอยากได้เฟม"
.
เธอเงียบไปอีกครั้ง ความเงียบที่น่าอึดอัดทำให้เราทั้งคู่ต่างก็หมดอารมณ์ไปตาม ๆ กัน
"ถ้าคุณไม่เต็มใจ ไม่เป็นไรนะ ผมกลับก่อนละกัน" ผมสวมเสื้อผ้ากลับคืนเข้าสู่ร่างกาย ในใจผิดหวังเล็กน้อย ผมชอบเธอนะ แต่เธอน่ะสิ
"เออ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว นายชื่ออะไรล่ะ เผื่อเราติดต่อกันอีก"
"ไม่ต้องสนห่าอะไรผมหรอก ผู้ชายทะเนดอ่ะนะ แหงล่ะ"
"บอกชื่อนายมา" เธอเริ่มขึ้นเสียง ผมได้แต่ส่ายหัวอย่างละเหี่ย
"ผมไม่มีชื่อให้กับคุณหรอก ยังไงคุณก็เรียกผมว่าผู้ชายทะเนด"
พูดจบยังไม่ทันจะได้หันหน้ากลับไป เธออ้อมมาทางหน้าผมแล้วผลักผมกลับลงเตียง
.
"คิดว่าจะเอาชนะฉันได้ด้วยการเดินหนีฉันไปงั้นเหรอ" พูดจบเธอขึ้นคร่อมหน้าอกผม ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ยังซะมันก็แค่เกม เอาชนะอีกฝ่ายก็พอ
"ผมไม่สนหรอกนะว่าจะเอาชนะอะไรคุณ ถ้าไม่เอา ก็ลุกออกไป"
"เงียบ" เธอตบห้นาผมฉาดใหญ่ ผมเริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมาจริงๆซะแล้ว และเธอก็เริ่มบดขยี้ฝีปากของเธอมาที่ผม
"รู้สึกยังไงเวลาโดนข่มเหง" เธอจิกหัวผม ถามเสียงสั่นเครือขณะที่แก้มของเราทั้งคู่แนบกัน
"ไม่เท่าไหร่ว่ะ" ผมมองเธอด้วยหางตา ทำหน้าเหมือนได้รับชัยชนะ เธอก้มลงมาปะทะฝีปากกับผมอีกครั้ง ลมหายใจของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
.
ผมเอื้อมมือไปปลดตะขอเสื้อในเธอตามปกตินิสัย ช่างง่ายดายเมื่อคุณใช้มือเพียงข้างเดียว ในขณะที่มืออีกข้างของผมบีบกรามของเธอไว้
"นายไม่ได้ขอ consent จากฉันนะ" เธอบีบกรามผมคืน
"ชายเป็นใหญ่ไม่ต้องขอนี่ คุณก็รู้" พูดจบเธอยกตัวขึ้นสูงขึ้นก่อนถอดบราเจ้าปัญหานั่นออก เผยให้เห็นทรวดทรงที่เธอหลบซ่อนเอาไว้
"ฉันไม่ต้องคอยให้ผู้ชายอย่างนายมาขอหรือมาสั่งหรอกนะ ร่างกายของฉัน สิทธิ์ของฉัน"
"อ้อ นึกว่าเกลียดผู้ชายทะเนดจนเอาไม่ลงซะอีก" ผมพลิกตัวเธอลงกับเตียง กดร่างเธอไว้จนอกแนบกันพร้อมกับยกท่อนขาของเธอขึ้นสูง
"ไหนบอกหน่อย โดยข่มเหงรู้สึกยังไง" ไม่มีคำตอบ ผมทำหน้ามีชัยชนะอีกครั้งพร้อมกับกดริมฝีปากลงไปที่ยอดปทุมถันสีน้ำตาลอ่อนอย่างสาวเอเชียทั่วไป เธอจิกหัวผมรุนแรงพร้อมกับหนีบท่อนขาเข้าลำตัวผมแนบแน่น
"ค... คนอย่างนายน่ะเหรอจะมาข่มฉัน"
อันนี้ต่างหากที่เป็นตอนแรก
เฟมทวิตเปลี่ยวกายกับผู้ชายกรุ๊ปธเนศ
Chapter 1: Foreplay
.
ขณะนี้เวลาสี่ทุ่มตรง หนุ่มสาววัยยี่สิบต้นๆ สองคนกำลังนัวกันอยู่บนห้องคอนโด พวกเขาไม่เคยเจอกันมาก่อน พวกเขาไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว และจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ทั้งคู่รู้ดีว่าการนัดดีลในช่วงปอดบวมเจ๊กระบาดนั้นเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ แต่กระนั้นสัจธรรมที่ว่า "ความเงี่ยนไม่เคยปราณีใคร" ก็จริงแท้เป็นนิรันดร์ โดยเฉพาะในช่วงเว้นระยะห่างทางสังคมเช่นนี้ ความเงี่ยนยิ่งเพิ่มความโหดเหี้ยมเป็นเท่าทวี
.
“ไม่เอา ไม่จูบปากดิ” เธอขัด ทำให้กิจกรรมเมื่อสักครู่ชะงักลง “เราไม่จูบวันไนท์แสตนด์” ชายหนุ่มหัวเราะรับแล้วประทับริมฝีปากกลับไปที่ลำคอของเธอ เขาแอบซ่อนความผิดหวังไว้ใต้ลมหายใจหอบถี่ ปลายลิ้นพลางวาดเส้นโค้งลงมาที่เนินอกช้าๆ เสียงอืออาในลำคอของหญิงสาวทำให้ความเงี่ยนกางเล็บตะครุบเธอลงไปนอนบนเตียง
.
“ขาวจัง” เขากระซิบเบาๆ ข้างใบหูหล่อนขณะมือค่อยๆ ถอดเสื้อเชิร์ตโอเวอร์ไซส์ออก “เธอเป็นลูกเจ๊กใช่มั้ย”
.
“อืมมมมมม” เธอยังคงหลับตาพริ้มไม่สนใจคำถาม ไม่เป็นไร เขาก็ไม่ได้สนใจคำตอบเช่นกัน ริมฝีปากและลิ้นของชายหนุ่มยังคงหมกมุ่นอยู่กับใบหูของเธอประหนึ่งส-ลิ่มที่หมกมุ่นกับทักษิณ มือของเขาสอดลอดใต้แผ่นหลังไปปลดตะขอบราของเธออย่างช่ำชองเหมือนกองทัพที่ชำนาญการทำรัฐประหาร
.
“จัดมาดิ๊” ชายหนุ่มกระซิบเบาๆ “เอาแบบเบิ้มๆ บ่ะน่ะ” ตาของเธอยังคงหลับพริ้มแต่คิ้วเริ่มขมวดเบาๆ “คือลือน่ะ” เขาพูดต่อพลางใช้มือดึงบราแล้วโยนมันออกไป ตอนนี้มือของเขาค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจากสะโพก สัมผัสเอว สัมผัสชายโครง ร่างกายของหญิงสาวสั่นรับเบาๆ ขณะที่ชายแปลกหน้าลูบไล้ตามลำตัว ตอนนี้แขนทั้งสองข้างของเธอถูกจับรวบไว้เหนือศีรษะเผยให้เห็นวงแขนขาวใสเรียบเนียน
.
“ห อ ม” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงโทนต่ำ
“เรารู้สึกแปลกๆ อ่ะ” ในที่สุดฝ่ายหญิงก็พูดขึ้นหลังจากอืออามาสักพัก
“ทำไมเหรอ ชุดคำที่เราใช้มันคุณภาพเกินไปเหรอ” ชายหนุ่มที่ร่างกายร้อนผ่าวค่อยๆ ผละตัวออกมาจากเธอ
.
“หือ ไม่นะ หมายถึง แกสังเกตมั้ยว่าย่อหน้าบนนี่เขียนผ่าน Male gaze ทั้งนั้นเลย”
“ยังไงนะครับ” ชายหนุ่มที่ถูกขัดอารมณ์เริ่มงงปนหัวเสีย
.
“เธอสังเกตมั้ยว่าหนังโป๊หรือนิยายอิโรติกที่ผู้ชายเขียนอ่ะ มักจะถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของผู้ชาย โดยมีตัวละครชายเป็นผู้ลงมือกระทำ และเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ชายอ่าน โดยฝ่ายหญิงเพียงยู่ในบทบาทที่ passive ไม่สามารถจะกำหนดรูปแบบเซ็กส์ที่อยู่ในเนื้อเรื่องได้ ผลคือมันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ objectify ผู้หญิง ทำให้ดูเหมือนว่าผู้หญิงพร้อมจะยอมทำทุกอย่างโดยไม่ขัดขืน”
.
“แต่เธอบอกเราว่าห้ามจูบ เราก็ไม่จูบละไง” ชายหนุ่มระบายความผิดหวังที่มีอยู่ในใจ “เธอก็ได้กำหนดแล้วมั้ยล่ะ”
“เห้ยไม่เกี่ยวดิ อันนั้นมันเรื่อง Consent ไง ถ้ามีใครไม่ต้องการอะไรก็ต้องไม่ทำอยู่แล้วมั้ย มันเป็นเรื่องพื้นฐาน”
“โอเค ไม่จูบก็ไม่จูบ งั้นแบบนี้ได้ใช่มั้ย” เขาเอนตัวกดริมฝีปากสัมผัสแก้มของหญิงสาว ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนจูบไปสัมผัสหางคิ้ว สัมผัสหน้าผาก สัมผัสคาง สัมผัสข้างมุมปาก เว้นไว้เฉพาะริมฝีปากสีชมพูของหญิงสาวเท่านั้น เธอปล่อยลมหายใจยาวแสดงความพอใจ ก่อนจะฝืนตัวเองพูดว่า “ทำไมยังไม่เลิกใช้ Male gaze อีก”
.
“เธอ..เป็น..เฟมทวิต...เหรอ ” ชายหนุ่มถาม เสียงของเขาขาดตอนเนื่องจากปากยังคงดูดบริเวณลำคอของเธออยู่ “อือออ” หญิงสาวพยักหน้าขณะนิ้วของชายคู่ขาเริ่มถูเนินเนื้อผ่านผ้าบางๆ “เราเป็นเฟมินิสต์ เราเล่นทวิต” ทั้งคู่เริ่มบทสนทนาขับเคลื่อนสังคมโดยไม่หยุดกิจกรรมสานสัมพันธ์
.
“เธอคิดว่าผู้หญิงยังเสียเปรียบผู้ชายอยู่” เขาถาม นิ้วยังคงถูร่องหลืบที่เปียกชื้น
“อ้าว ใช่สิ ทั้งความคาดหวังต่อบทบาททางสังคม อืมมม หน้าที่ที่ถูกกำหนด ทั้งประเด็น Glass ceiling อาาา ทั้ง victim blaming..” ดูเหมือนหญิงสาวจะทนไม่ไหวกับการกดขี่อีกต่อไป เธอผลักฝ่ายชายล้มลงไปข้างๆ แล้วขึ้นคร่อมบนลำตัว จากนั้นใช้มือเรียวเล็กปลดกระดุมเสื้อของชายหนุ่มเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ บรรจงกัดเบาๆ ที่หน้าอกของเขา มือขวาค่อยๆ เลื่อนลอดลงไปเคล้นคลึงท่อนเนื้อใต้บ๊อกเซอร์ เสียงครางทุ้มต่ำของผู้ชายสลับเสียงหายใจหอบระรัวทำให้อารมณ์ของเธอพุ่งพล่านเหมือนนายกตอนถูกสัมภาษณ์
.
“นายเป็นผู้ชายกลุ่มธเนศใช่ไหม” สาวเฟมทวิตถามขึ้นมาอย่างกระทันหัน สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป เขาค่อยๆ พยุงตัวขึ้นพิงหลังที่หัวเตียง ทั้งคู่นั่งจ้องตากันท่ามกลางเสียงลมหายใจที่ค่อยๆ ทุเลาความรุนแรง
ผมเป็นพวกติ๋มไม่ค่อยมีเพื่อนชาย (เเต่มีบ้าง)
เข้าเรื่องเลยนะ
เพื่อนผมนัดกันใส่ใข่สั่นกันมาโรงเรียน (หญิงกับเกย์)
เเละให้ผมเป็นคนบังคับ
ผมเลยได้แต่นั่งเล่นแบบง่กๆ เงิ่นๆ สั่นๆ
"อู๊ง..." เสียงกระเส่าลั่นหลุดจากปากเกย์ชายสายรับที่นั่งบิดอยู่ห่างจากผมไปไม่ถึงฟุต
"อู๊งชื่อพ่อกู" ผมเขวี้ยงรีโมตใส่หน้ามันเพื่อให้มันหลับตาปี๋ จากนั้นจึงบรรจงสาวหมัดใส่หน้าตุ๊ดๆของมันอย่างไม่บันยะบันยัง
"อู๊ง.. เจ็บ... อู๊งเสียว..." เสียงกระเส่าของมันชวนให้ผมนึกถึงเสียงที่เล็ดรอดจากห้องนอนใหญ่ที่บ้านตัวเอง
"กูเพิ่งซัดหน้ามึงไปเมื่อตะกี๊ มึงยังจะเสียวอีกเหรอ"
แล้วผมก็เพิ่งนึกได้ว่าไข่สั่นยังเสียบคาอยู่ในตัวมัน
ผมจึงเอามีดจากกรรไกรตัดเล็บเสียบเพิ่มให้
จากนั้นผมหันไปหาเพื่อนหญิงคนหนึ่งที่ยังนั่งหนีบขาตัวสั่นงก มือจิกกระโปรงด้วยความสะท้านกับสิ่งแปลกปลอมในตัว
ผมยืนประจันหน้าเธอ พร้อมเอื้อมมือซ้ายไปโอบที่ท้ายทอยเเละตีศอกขวาใส่โหนกเเก้มของหล่อน
"อยู่นิ่งๆอีดอก"
"อู๊ง.... .." เสียงแหบระโหยจากเกย์ที่เหงื่อแตกพลั่กเกลือกกลิ้งกับพื้นยังแว่วมาหลอกหลอน
"มึงเลิกล้อชื่อพ่อกูสักที"
ผมจึงเตะใข่ของมันไป1ที เยี่ยว+เลือด+น้ำว่าวไหลออกมาปนกัน
คนที่เห็นเหตุการณ์อยู่นั้นจึงตกใจ วิ่งเเจ้นไปฟ้องคุณครูปารีญาคนดุเเห่งโรงเรียนหนองอีฮ้อย
"อู๊ง มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ" คุณครูปารีญาใช้น้ำเสียงเฉียบขาดกับพ่อผมที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพักครู
ไม่ต้องสงสัยว่าผมถูกเชิญผู้ปกครองมาพบ แต่ผมก็เพิ่งรู้ว่าคุณครูกับพ่อเคยเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยอยู่โรงเรียนหนองอีฮ้อย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คุณครูเรียกชื่อเล่นพ่อผมอย่างไม่มีพิธีรีตองนัก
ที่น่าแปลกใจคือพ่อผมที่ตามปกติจะโครตดุอย่างกับเสือ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณครูปารีญากลับหงออย่างกับลูกแมว
"............"
ผมอยากถามสาเหตุใจจะขาด แต่อ้าปากไม่ได้เพราะโดนสั่งให้คาบไข่สั่นเจ้าปัญหาเป็นเวลาสองชั่วโมงเต็ม
"ลูกฉันไปก่อเรื่องอะไรอีกเหรอครู'ญา"
พ่อผมถามด้วยเสียงสั่น พลางกระเเอม
ใช่ เสียงสั่นด้วยความกลัวหัวหดของพ่อทำให้ผมได้แต่แอบขำอยู่ในใจ ไม่ไหวแล้ว
แต่เพราะไข่สั่นยังคับปากจึงหัวเราะออกมาไม่ได้ นอกจากหลุดเสียงออกมาเบา ๆ ว่า
"อู๊ง............"
"เมื่อกี๊มึงเรียกพ่อเหรอไอ้ตัวเเสบ"
ผมเงียบ ตอบไม่ได้เพราคาบไข่สั่นอยู่
พอเห็นผมถามไม่ตอบ พ่อหงุดหงิดมาก คว้ารีโมทไข่สั่นบนโต๊ะคุณครูปารีญาขึ้นมา หมายจะสั่งสอนผมที่ดื้อกำแหง
ผมถึงกับตาเหลือกเมื่อเห็นพ่อกดปุ่มสั่นเต็มแม็กซ์
"อู๊ง........"
เสียงครางกระเส่าลั่นห้อง...... ดังขึ้นจากคุณครูปารีญา
"?"
พ่อผมทำตาเลิ่ก สับสนสถานการณ์ จากนั้นก็ชี้รีโมตบังคับไปทางครูญา
"อู๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ" (ใครมันครางอู๊งกันวะ?) ครูเสียวจนทำรีโมตของไข่สั่นในปากของเด็กชายหล่น
ปั่ก
"อู๊งงงงอ่อกๆๆ" ไข่สั่นไหลลงคอของเด็กชาย
มองหน้าพ่อแว๊บเดียวผมก็ดูออก พ่อกำลังสงสัยว่าใครมันครางอู๊งกันวะ?
ผมอยากบอกพ่อใจแทบขาด ว่านั่นคือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพื่อนหญิงซื้อมาให้คนในกลุ่มทดลองใช้
มันคือ เอ็กก์ เชค อู๊งอู๊ง พัฒนาขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจจากเพลงของ BKK48
ผมไม่ทันได้อธิบายเพราะไข่เพิ่งลื่นลงคอ สองวันต่อมา ไข่เวรนั่นก็หลุดจากตัวผมในช่องทางที่มันควรออกและถูกชักโครกทิ้งในที่สุด
ส่วนครูปารีญาในวันนั้นถูกพ่ออุ้มไปดูอาการที่ห้องพยาบาลแล้วหายไปนานสองนาน คนที่เดินผ่านแถวนั้นเล่าว่าได้ยินเสียงเตียงเหล็กห้องพยาบาลลั่นเอี๊ยดอ๊าดอยู่เป็นชั่วโมง
"เธอจะต้องไม่เป็นไร"
.
เธอยิ้ม "งั้นนายก็อย่าร้องไห้สิ"
.
"ฉัน... ฉันไม่ได้ร้องไห้"
.
"อย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นฉันก็ไม่... ไม่เป็นไรเหมือนกัน"
.
"อดทนนิดเดียวนะ อีกเดี๋ยวพวกเขา..."
.
"ไม่มีใครมาช่วยพวกเราหรอก"
.
"เชื่อฉันเถอะ ขอแค่เธออดทน ยังไงพวก..."
.
"ไม่มีใครมาช่วยพวกเราหรอก"
.
เธอมองดูเขา ยิ้มน้อย ๆ ออกมา "ฉันเพิ่งได้เห็นนายร้องไห้ครั้งแรกก็วันนี้"
.
"ก็บอกว่าฉันไม่ได้..."
.
"อาจฟังดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ก็รู้สึกดีใจเหมือนกันนะ"
.
"เธอ..."
.
เธอหัวเราะฝืน ๆ "นี่ ๆ นายช่วยพูดอะไรฉลาด ๆ ให้ฉันฟังหน่อยสิ"
.
"ฉันขอโทษ... เรื่องทั้งหมดมัน..."
.
เธอยกมือที่อ่อนแรงขึ้นสัมผัสแก้มของเขา ดวงตาของคนทั้งคู่ประสานกันในขณะที่เอ่ยขึ้นว่า "นายคงไม่อยากให้สิ่งสุดท้ายที่ฉันได้ยินเป็นเรื่องที่นายโทษตัวเองหรอกนะ"
.
"ฉันรักเธอ"
.
เธอหัวเราะ เสียงนั้นกังวานเหมือนระฆังแก้วเมื่อกระทบโสตของอีกฝ่าย "คนโง่ ฉันบอกให้นายพูดอะไรฉลาด ๆ ไม่ใช่เหรอ"
จากนั้นก็มีชายชราคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้ทุกคนที่นี่ต้องสั่นสะท้าน เขากล่าวออกมาอย่างเต็มเสียงว่า
"เงี่ยนโว้ยยย เงี่ยน เงี่ยนจริงๆ"
สงสัยว่ากระมู้นี้มีคนตามอ่านแบบจริงจังบ้างไหมวะ แบบอ่านอย่างเดียวแต่ไม่แต่งอะ
กูเคยโดนลักพาตัว....
ในเช้าวันหนึ่ง กูกำลังเก็บมะละกอใส่ย่าม
มีรถตู้สีดำ2คัน ได้มีชายฉกรรณ์ ลงมาจากรถ10กว่าคน พร้อมอาวุธครบมือ
ในตอนนั้นลูกสาวของกูอยู่ข้างๆ กูเลยบอกว่าวิ่งหนีไป หลังจากนั้น.....ภาพก็ดับลง
กูตื่นขึ้นมาอีกที พร้อมกับย่ามที่มีมะละกออยู่ในย่าม ได้พบว่า สถานที่ที่กูอยู่. มันเป็นมันคุกใต้ดิน มีแสงไฟเพียงริบหรี่ หลุมดินที่มีน้ำ. และคนแปลกหน้าหลายคน
หลังจากนั้น มีเสียงการต่อสู้จากด้านนอกลูกกรง มีทั้งเสียงความเจ็บปวด และหัวเราะอย่างสะใจ
กูลุกขึ้นไปดู ก็พบว่า...นี่คือสังเวียนเถื่อน
สนามประลองกั้นด้วยลวดใบมีด และรอบสนามประลองเป็นร่องน้ำ มีจระเข้นับสิบๆตัว
มีผู้ชมที่เป็นเหล่าผู้ดี ฝรั่ง ชาวต่างชาติ และทหาร ที่แต่งตัวดูไม่คุ้นตามากนัก
ตอนนี้กูรู้ตัวแล้ว ว่านี่คือสังเวียนนรกบนดิน
โลหิตที่เปื้อนสังเวียนแห่งนั้น เสียงหัวเราะร่าจากผู้ชม ที่ต้องบูชาด้วยเลือด ผู้คุมที่ท่าขึงขังอาวุธครบมือ ประหนึ่ง ป้อมปราการ
อีก3วันถัดมากูเริ่มคุยกับนักโทษที่ถูกจับมา จึงได้รู้ความจริงว่า ทุกคนคือนักต่อสู้ทั่วทุกมุมโลกที่ถูกจับตัวมา พระวัดเส้าหลิน,นักรบเอสกิมโม,ชาวเผ่าซูลู,แม้กระทั่ง ยอดนักมวยสากลโลก ก็ถูกจับตัวมา
กูจะเล่าถึงนักมวยสากลคนนี้สักนิดนึง ว่าเขาคือ “นาซีม ฮาเหม็ด “มันคือนักมวยที่เก่งที่สุดในเวลานั้น “ไม่เคยแพ้สักครั้ง”ข่าวที่ว่ามันขับรถชนคนตาย และติดคุกนั้น ไม่เป็นความจริง ความจริงคือ มันถูกองค์กรนี้จับตัวมาเพื่อสู้...
ในทุกวันที่นักสู้ออกไปสู้ จะมีเพียงหนึ่งที่ได้กลับมา ผู้แพ้จะถูกโยนลงบ่อไอ้เข้
วันแล้ววันเล่าที่กูต้องออกไปต่อสู้กับเพื่อนร่วมชะตากรรม และกูเป็นคนที่ได้กลับเข้ามา
มันมีแต่ความตาย สิ่งเดียวที่ทำให้กูจรรโลงใจคือ “มะละกอ” กุให้ชีวิตต้นมะละกอ ปลูกมันไว้ในนรกแห่งนี้
จนมาวันหนึ่งกูเบื่อกับการฆ่า กูเลยปลุกระดม กูอยู่มา1เดือน สามารถพูดได้30ภาษา
กูบอกกับทุกคนว่า “ถึงจะเก่งแค่ไหน สักวันเวลาและความชราจะฆ่าเราทุกคน วันนี้เรายังมีความหวัง ใยเราต้องสู้กัน เรามาสู้และฆ่าพวกคนรวย ที่ทำกับเราเยี่ยงสัตว์ ฆ่าพวกมันให้เหี่ยน.....”
ทุกคนพร้อมใจกัน ก่อกบฏ ในคืนถัดมา ทุกคนคือนักสู้ที่ดีที่สุดจากทุกมุมโลก ไต้ซือโหง่วไถ่ ,มารู ,มาคัส ,คาวาสกี้,จ่าเอกไมกี้
นักสู้พวกนี้สามารถสู้กับผู้คุมได้1ต่อ10
คืนนั้นคือการนองเลือดเริ่มขึ้น เสียงกริ๊ดร้องที่โหยหวน เกินกว่าจะจินตนาการ
ในขณะที่ทุกคนสู้กันอย่างบ้าคลั่ง...กูกับ นาซีม ตัดต้นมะละกอ และใช้ก้านมะละกอแอบดำน้ำ อยู่ในหลุมดิน
ผ่านไป5ชม. ทุกคนตายหมดแล้ว กูจึงหนีออกมา และกูไปตามวิถีของกูออกไปหาลูกหาเมีย เก็บเรื่องมาในใจตลอดหลายปี
ส่วนไอ้นาซีม มันขึ้นไปชกมวยครั้งสุดท้าย และก็ได้รับความพ่ายแพ้ครั้งแรก มันสารภาพกับกูว่า “กูไม่ควรได้แชมป์ กูละอายใจที่ใช้ก้านมะละกอหนีตายในวันนั้น”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง “คำบอกเล่าจาก ขุนเข่าเขียวขี้ม้า”
ไว้อาลัยแด่ ... ไต้ซือโหง่วไถ่ ,มารู ,มาคัส ,คาวาสกี้,จ่าเอกไมกี้
ในสายพระเนตรของความเงี่ยนนั้น เชื้อชาติ ศาสนา หรือกระทั่งแนวคิดทางการเมือง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่แบ่งแยกกีดกันมนุษยชาติ ชายแท้กรุ๊ปธเนศที่หล่อและควยใหญ่ย่อมไม่ใช่ศัตรูของสตรีนิยม เฟมทวิตที่หน้าสวยหุ่นดีย่อมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญ ทว่ากว่าทั้งคู่จะตกลงกันได้ ขณะนี้เวลาก็เดินมาจนถึงเที่ยงคืนตรงแล้ว
.
“เรา...อืม.ม..ม.ม....เราไม่โม้กนะ.. เธอไม่ต้องเลียให้เราด้วย...”
ลิ้นของชายหนุ่มที่ค่อยๆ สะกิดลดระดับลงมาถึงสะดือ ขณะนี้ถูกสกัดไว้โดยข้อตกลงอีกข้อ
.
“นี่คุณเป็นเฟมินิสต์หรือรัฐบาลทหารเนี่ย ออกกฎหมายอะไรเยอะแยะไปหมด” เขาเงยหน้าขึ้นไปแซวก่อนจะประทับริมฝีปากลงที่โหนกเนินเพื่อหยอกล้อ หญิงสาวไม่ทันอ้าปากโต้เถียงเอวก็ต้องยกกระตุกเสียววาบ
.
“ไม่อม” เธอยืนยัน สีหน้าจริงจัง
“ขนาดหียังอมควยตุ่ย แล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมเป่าขลุ่ยไม่ยอมเป่าแตร” เขาเกลี้ยกล่อม
.
“ก็บอกว่าไม่อมไง” เธอยืนยัน
“อมเถิดอรชุน” เขาตื๊อ
.
“ถ้ายังไม่หยุด เราจะถือว่าเป็น Sexual Coercion” เธอยื่นคำขาด
ชายหนุ่มนิ่งไปสักครู่ “จริงด้วย ผมขอโทษ”
“การขอร้องซ้ำๆ ให้กระทำกิจกรรมที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ ก็ถือว่าเป็นการคุกคามอย่างหนึ่งที่อยู่บนสเปรคตรัมความรุนแรงทางเพศ” เขารู้สึกผิด “หนูๆ อย่าทำตามนะครับ เพราะความรุนแรงทางเพศไม่ได้มีแค่การข่มขืนอย่างเดียว” ชายหนุ่มหันมาเตือนคนอ่าน
.
“งี้ดีไหม” ในที่สุดชายหนุ่มก็หยุดกิจกรรมบนเรือนร่างแล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้เธอ “เราเลียให้เธอ แต่เธอไม่ต้องอมให้เรา”
“ไม่เป็นไร มันไม่แฟร์” เธอหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะปฏิเสธเบาๆ
.
เขารู้ว่าเธอปฏิเสธตามมารยาท
.
“เถอะน่าเราชอบหี แล้วอีกอย่างผู้ชายกับผู้หญิงก็ไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้วนี่” เขาตอบ
คิ้วของหญิงสาวขมวดขึ้นอีกครั้ง
“ไม่เท่าเทียม? เธอหมายถึงผู้หญิงยังถูกกดขี่เหรอ?” เธอยิงคำถาม
.
ชายหนุ่มยังไม่ตอบ เขาค่อยๆ เลื่อนลำตัวลงมาจนใบหน้าอยู่ระหว่างขาของเธอ สายตายังคงมองขึ้นไป จดจ้องที่ใบหน้าของหญิงสาว
.
“ไม่ใช่...” เขาตอบเชื่องช้า สายตากวาดมองเพื่อหาความยินยอมบนใบหน้าฝ่ายหญิง
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่แสดงสีหน้ารังเกียจ
เขาจึงจูบเนินสวรรค์เบาๆ
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่แสดงสีหน้าขัดขืน
เขาจึงใช้ปลายลิ้นสะกิดกลีบดอกสีชมพู
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวหลับตาพริ้มอิ่มสุข
เขาจึงลากลิ้นจากด้านล่างขึ้นไปถึงด้านบน
.
“แผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บ
(ทุกวันนี้ผู้หญิงได้เปรียบจะตายไป)”
.
เสมือนว่าสวิทช์เครื่องฉอดของหญิงสาวถูกกดเปิดขึ้น
ใบหน้าของเธอเริ่มร้อนผ่าวด้วยความเดือดดาลในขณะที่ช่วงล่างร้อนรุ่มด้วยความเสียวซ่าน
“เอาอะไรมาพูดว่าผู้หญิงได้เปรียบ” เธอกระแทกเสียง ก่อนจะใช้ขาทั้งสองข้างล็อคคอชายหนุ่มแล้วพลิกตัวมานั่งคร่อมบนใบหน้า “ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งว่ามันยังมีโครงสร้างที่กดทับผู้หญิงอยู่” เธอบิดตัวกลับหลังแล้วก้มลงดูดเครื่องจักรข่มขืนเป็นการตอบโต้
.
“แผล่บแผล่บ อึก แผล่บ (เธอลอง..คิดดู..)”
ชายหนุ่มตัวเกร็ง ลมหายใจถี่รัวขณะกระทำความหกเก้า
“แผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บ (เวลาผู้ชายจะนัดเย็ด ผู้ชายแม่งต้องปัดถามผู้หญิงเป็นสิบคนกว่าจะหาคนเย็ดได้ แต่พอเป็นผู้หญิง แค่เธอบอกว่าเงี่ยนคำเดียวก็มีผู้ชายเป็นโหลเข้าแถวให้เลือก)”
ข้าวหลามกะทิที่กำลังถูกดูดทำให้เขาต้องโฟกัสกับการใช้เหตุผลมากขึ้น “อำนาจต่อรองของผู้หญิงมีมากกว่าเห็นๆ”
.
“อ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อก (แค่นี้อ่ะนะทำให้ผู้หญิงได้เปรียบ)” เธอหงุดหงิดปนเสียว “อ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อก (ก็แค่ผู้ชายหวังเย็ด มีมากกว่าผู้หญิงที่หวังเย็ดมั้ยล่ะ ดีมานด์ซัพพลาย เศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐาน)” เธอให้เหตุผลแย้ง
ยิ่งการถกเถียงร้อนแรงขึ้น ลิ้นของเขาก็โบกไปมาเร็วขึ้นกว่าเดิม ริมฝีปากอ่อนนุ่มของเธอก็เพิ่มแรงดูดมากขึ้น
.
“แผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บ อึก แผล่บแผล่บ (แต่มูลค่าของผู้หญิงในตลาดนัดเย็ดก็สูงกว่าผู้ชาย ถูกมั้ย)” ชายหนุ่มไม่ยอมเลิกรา ลิ้นที่เลียไปมาบริเวณร่องค่อยๆ ล้วงเข้าไปในหลืบที่เปียกชุ่ม
.
“อ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อกอ่อก (แล้วจะให้ทำยังไง นัดเย็ดมันก็เป็นไปตามกลไกตลาด)” สาวเฟมพยายามบังคับลมหายใจ เอวกระตุกยกเบาๆ เป็นจังหวะ
.
“แผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บ อ๊ะ แผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บแผล่บ (เธอเชื่อในตลาดเสรีเหรอ? เธอไม่คิดเหรอว่ารัฐบาลควรจะแทรกแซงตลาดนัดเย็ด)” หนุ่มกรุ๊ปธเนศถาม
.
“อิสัดพอ เลอะเทอะ เย็ดกันได้แล้ว”
หญิงสาวไม่ได้พูด แต่คนอ่านนึกในใจ
ไปย้อนอ่านท่านเรย์กะแล้วคิดขึ้นได้ว่าถ้าปรับมาเป็นแนวไทยแม่งน่าจะบัดซบนะ เพราะนิยายไทย นางร้ายจุดจบไม่ดีแทบจะทุกตัว เลยอยากลองเขียนเล่นๆ เป็นแนวเกิดใหม่เป็นนางร้ายนิยายไทย ไม่รู้มีใครเคยเขียนมาก่อนไหม ไม่ได้จะเขียนจริงจัง ถือว่าเขียนให้อ่านเล่นๆ แล้วกัน
- - - - -
ตอนที่อารตีในชุดนักเรียนคอนแวนต์ส่องกระจกระหว่างที่พี่เลี้ยงสาวกำลังแบ่งผมเธอเป็นสามช่อเพื่อถักเปียเก็บแบบที่เด็กหญิงชื่นชอบ จู่ๆ ภาพความทรงจำอันแสนเลือนลางที่คุ้นเคยแบบแปลกๆ พลันแวบเข้ามาในหัว เหมือนจะเป็นเรื่องราวในชีวิตก่อนที่เธอเป็นกราฟิกในบริษัทเอเจนซี่โฆษณาใหญ่ยักษ์ที่หัวใจวายคาเม้าส์ปากกาเพราะโด๊ปกาเฟอีนมากเกินไป
การระลึกชาติชีวิตก่อนได้เหมือนจะไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาจริงๆ คือชีวิตนี้ต่างหาก...เมื่อมองสภาพแวดล้อมของการเป็นอารตี ศักยะสวัสดิกุล เด็กหญิงผู้เกิดมาในชาติตระกูลสูงศักดิ์ ร่ำรวยเงินตรา และเพียบพร้อมไปเสียทุกกอย่าง เธอมีพ่อเป็นนักธุรกิจใหญ่ในวงการรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ครอบครัวฝั่งแม่เป็นผู้ดีเก่าแก่ลูกหลานเจ้าพระยาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่หก...อารตีเป็นเด็กหน้าตาน่ารักที่มีความรู้ความสามารถโดยเฉพาะการเล่นเปียโนที่ฝีมือไม่น้อยหน้าใคร ทุกอย่างเหมือนจะดีไปทั้งหมด
ถ้าไม่ติดว่านี่มันคือประวัติชีวิตช่วงต้นของ “อารตี ศักยะสวัสดิกุล” นางร้ายหลักของ “ดั่งสวรรค์ลิขิต” นิยายน้ำเน่าและละครดังแห่งยุคที่ตอนจบเล่นเสียเรตติ้งสองหลักทำเอาถนนในกรุงเทพว่างโล่งเพราะคนต้องรีบกลับบ้านไปดูฉากสุดฟินของคู่พระ-นางและชะตากรรมบัดซบของนางร้ายที่สมควรจะโดนเปลือกทุเรียนตบสักหลายๆ ที
ปัจจัยชีวิตอันแสนสมบูรณ์แบบทำให้อารยะ ศักยะสวัสดิกุลควรจะมีชีวิตเลิศเลอประเสริฐศรี แต่เมื่ออายุได้สิบหกปี แม่ของเธอเส้นเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพาตไปครึ่งซีก พอจึงฉวยโอกาสพาเมียน้อยและลูกสาวนอกสมรสเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งน้องสาวคนละแม่นั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก “ญาดา ศักยะสวัสดิกุล” นางเอกผู้แสนน่าสงสารของเรื่อง
ด้วยความเกลียดชังทำให้อารตีหาเรื่องกลั่นแกล้งน้องสาวไม่เว้นแต่ละวัน แม้ว่าผู้เป็นพ่อจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่สามารถขัดใจลูกสาวคนโตได้ ความน่าสงสารเวทนาของญาดากลับไปเข้าตาธีร์ธวัชผู้เป็นคู่หมั้นตั้งแต่เยาว์วัยของอารตี จนก่อเกิดเป็นความรักในที่สุด ส่วนอารตีที่รักคู่หมั้นของตัวเองหัวปักหัวปำก็โกรธแค้นจนเอาแต่วางแผนทำลายชีวิตน้องสาว ไม่สนใจเรื่องอื่นใดในชีวิต สุดท้ายแล้วพ่อของอารตีก็ถูกจับด้วยข้อหาฉ้อโกงและมีส่วนพัวพันกับขบวนการฟอกเงินและการค้ายาเสพติด ตระกูลศักยะสวัสดิกุลถูกฟ้องล้มละลาย
จากลูกคุณหนูสุดแสนไฮโซ อารตีต้องตกอับจนไม่เหลืออะไรในชีวิต แตกต่างกับญาดาที่มีธีร์ธวัชคอยปกป้องดูแล
แต่...
ปัญหาคือจุดจบของอารตีมันมีสองแบบน่ะสิ...
อารตีในวัยสิบสองปียกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกปวดศีรษะตุ้บๆ เหมือนไมเกรนจะขึ้น นี่เธอเข้ามาอยู่ใน "ดั่งสวรรค์ลิขิต” เวอร์ชันไหนกันแน่? เวอร์ชันต้นตำหรับนิยายที่นางร้ายของเรื่องรับความจริงไม่ได้จนกลายเป็นคนบ้าไปในที่สุด หรือเวอร์ชันละครช่องดิจิทัลที่นางร้ายตกอับต้องไปเป็นสาวเอสคอร์ทจนกลายเป็นโสเภณีราคาถูก สุดท้ายโดนแมงดาซ้อมตายคาซ่อง...
แย่สุดๆ...ถึงคนดูจะสะใจ แต่ในฐานะอารตีจุดจบแบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น เด็กหญิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะตั้งใจแน่วแน่ เธอต้องแก้ไขชะตากรรมอันแสนน่ารันทดนี้ ไม่ต้องถึงขั้นได้ครองคู่กับพระเอก หรือจบแบบแฮปปี้สวยหรูอะไรมากมาย อย่างน้อยก็ขอแค่ไม่ต้องไปขายตัวก็พอ...
ที่สำคัญต้องเอาตัวรอดไม่ให้ตัวเองเจอฉากโดนเพื่อนนางเอกตบด้วยเปลือกทุเรียนให้ได้!
บรืนน นน น น น
ผมจอดรถ
แกร๊กๆ ผมก้าวลงจากรถ
ปัง. อ๊ากกก ผมเอื้อมมือไปหยิบปืน
ตีลังหาสิบสามตลบ พรึ่บๆๆ
ผมยิงมัน ปังๆ
ผมกุมใจวิ่งขึ้นรถ
บรื้น ผมขับออกไป
ผมจอดในที่แห่งหนึ่ง
ผมเดินเข้าตรอกนั้นไป
บรึ้ม ผมโดนแรงระเบิดกระแทก
หน้าแหกนอนจมกองเลือด
ลุกขึ้นทั้งที่เปื้อน
หยิบปืนแล้วเข้าไป
กุดุสๆ กลุกๆ ขลุกๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป
พี่เสร็จภารกิจแล้วน้อง ต่อตอนสองกันเลย
ภาพตัด
ห้ะๆๆที่นี้ที่นัย ผมถาม
สวัสดี ผมอยากเล่นเกม
ตึกระเบิด บึ้ม
ผมตาย
เจอกันสีสั้นสอง
เหงาหรือไงมาเล่นอะไรอยู่คนเดียว เลิกดันมู้ได้แล้ว
ตึกๆๆๆ ผมกำลังเดิน
ผมงัดรถคันหนึ่ง แงะๆๆแกะๆ
เปิดประดูแล้วเข้าไปนั่ง
ผมออกรถไป บรื่นน
เอี๊ยดดอ๊ากกผมรถชน
ผมกลิ้ง กุดุสๆ
ตึกๆๆ ชายคนหนึ่งเดินมาทางผม
บะคู่ม
ผมกลิ้งอัก
งคกๆงักๆ
ผมนอนชิลล์
ดาวตก
บรค้มมมมมมมม มันตกลงบนรถผม
มันคือเครื่องมือเอเลี่ยนประหลาด
อะจ๊ากกกมันเกาะ
บึ้มมมมม
ผมวิ่งกระโดดน้ำ
เจอศพโม่งเด็กดอกในห้องเมต้า
ผมเลยว่ายขึ้นมา
หยิบปืนจากรถ
แล้วว่ายกลับลงไป
ยิงซ้ำศพอีนั่น โป้งป้าง
เผื่อมันไม่ตาย
ผมเหนื่อย เลยนั่งพักในน้ำ
บุ๋งๆๆๆ
ผมหมดสติ
ผมตาย
อวสานแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตาม
เมื่อแฟนขับเรียกร้อง ผมก็พร้อมสนองคับ
เรื่องต่อไปนี้คือมุมจากผู้เห้นเหตุกานนะครัฟบๆ
ตอนที่ 1 : เว็บโม่ง
ผมกำลังเล่มคอม ตะล๊อกต๊อกแต๊ก
ตาผมเหลือบไปเจอเว็บ fanboi
ผมคลิกเข้าไป
ผมอยากอ่านนิยาย
หึ้ย ห้องเว็บโนเวล
ผมคลิกเข้าไป
โห ๆ นิยายเรื่องนี้ฮาจัง ผมคิด
นี่มันนิยายของผมนี่
ผมปิดคอม ไปหยิบปืน
อัญเชิญปีศาจ
บันทึกการทดลองอยากจะแมสของกูเอง
จุดประสงค์: พิสูจน์สมมติฐานว่าถ้ามึงไม่ได้เขียนเหี้ยมาก พอเล่าเรื่องได้ นิยายมึงก็ควรจะมีคนอ่านและคนติดตามอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นลง 2 ตอนได้มาแค่ 12 วิว
เป้าหมาย: ลง 10 ตอนต้องได้อย่างน้อย 1,000 วิว 100 เฟบ ถ้ามีแนวโน้มจะไปได้ดี จะเปิดขายแพ็คตอน
วิธีการ: เขียนนิยายตอนสั้นๆ ความยาวประมาณ 2-3 หน้า เพื่อให้ลงได้ทุกวัน หลังจากลงได้ 10 ตอนแล้วค่อยชะลอความเร็วลงเพื่อดูว่านิยายจะยังมีคนติดตามหรือไม่
อุปสรรค: อาจเทเมื่อขี้เกียจ
Day 1: เปิดนิยายแฟนตาซีขึ้นมา 1 เรื่องโดยใช้นามปากกาใหม่ เป็นแนวต่างโลก ตามกระแส ใช้ชื่อเรื่องยาวๆ คำโปรยที่พอเล่าเรื่องและพล็อตคร่าวๆ หลังจากเปิดเรื่องได้ 6 ชั่วโมงพบว่ามีคนเข้ามาดูแล้ว 11 วิว ผู้ติดตาม 5 คน เป้าหมายระยะสั้นลง 2 ตอนได้วิวมากกว่า 12 วิว ใกล้สำเร็จ
ผมเช็กไอพีโม่งตัวนั้น
ผมเจอที่อยู่
ผมควบม้าไปหามัน
ผมเจอบ้านมันแล้ว
โครมคราม
ผมได้ยินเสียงคนจอดรถ
ปังปัง มันยิงกันแล้ว
ผมรีบวิ่งขึ้นบ้านไอ้โม่งไป
เจอไอ้โม่งกำลังสับนิยาย
โป้ง! เสียงปืนดังขี้นหนึ่งนัดพร้อมกับความเงียบอันอึดอัด 'ถึงจะยิงจากปืนที่ใส่ท่อเก็บเสียงแต่ก็ยังดังอยู่ดี โดยเฉพาะกลางดึกแบบนี้'เขาคิด
ตรงหน้ามีร่างไร้ชีวีตนั่งคอตกอยู่บนเก้าอี้ มือยังวางบนคีย์บอร์ด จอคอมเปรอะเลือด หลังตรวจดูร่างนั้นเล้ว เขาก็รื้อค้นของในห้องเพื่อหาเอกสารบางอย่าง
"นี่ลูกเป็นอะไรหรือปล่าว" เสียงหญิงวัยกลางคนคาดเป็นมารดาของร่างในห้อง ดังมาจากโถงบ้าน พร้อมกับเสียงฝืเท้าเดินขึ้นบันไดมาด้วยความเป็นห่วง "ยุ่งยาก"เขาพึมพำ พร้อมกำปืนพกไว้ในมือ "นี่ลู-" โป้ง! ยังไม่ทันขาดคำ ตุบ ร่างหนึ่งล้มลงหน้าประตูห้อง สภาพนอนคว่ำเลือดไหลออกจากศรีษะ
หลังจากนั้น เขาก็รีบวิ่งไปที่หน้าต่าง เพื่อแอบดูปฏิกิริยาเพื่อนบ้าน
5 นาทีผ่านไป ไม่มีใครออกมาดู
นภาการคิดมาตั้งนานแล้วว่าอยากจะข้ามยุคทะลุมิติกับเขาบ้าง...
สำหรับนีทอายุยี่สิบหกผู้รักความสบายอย่างเธอแล้ว ข้ามไปโลกแฟนตาซีอาจจะไม่ค่อยใช่แนว เป็นไปได้ขอเป็นธีมจีนโบราณจะตรงสเปคกว่ามาก จะเรื่องในรั้วในวัง กำลังภายใน บำเพ็ญเพียรเป็นเซียนก็น่าสนใจทั้งนั้น
ถ้าสร้างฮาเร็มหนุ่มๆ ได้ก็จะยิ่งดี--แค่กๆ
จากที่พบเห็นในนิยาย ส่วนใหญ่ต้องตายหองกันก่อนถึงจะข้ามมิติได้ อาจจะโดนฆ่า จมน้ำ ประสบอุบัติเหตุ อื่ม...จะว่าไปก็เหมือนเห็นนางเอกข้ามมิติเพราะเครื่องบินตกอยู่หลายคนเหมือนกัน อย่างน้อยก็สามสี่เรื่องแล้วมั้ง ในยุคนี้โอกาสที่เครื่องบินจะตกมีกี่เปอร์เซ็นต์กันนะ
สาเหตุการตายอันนี้ดูจะยากไปหน่อย ส่วนโดนฆ่าก็เหมือนจะยากไปใหญ่ โถ่ถัง คนอย่างนภาการจะไปเคยมีปัญหากับใครจนถึงขั้นโดนเก็บล่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจมน้ำตาย เห็นแบบนี้ตอนเรียนมัธยมเธอเป็นถึงแชมป์ว่ายน้ำท่าผีเสื้อประจำจังหวัดเชียวนะ
เฮ้อ...แค่คิดจะข้ามมิติก็ยากซะแล้ว
ขอโทดที่ไม่ได้แต่งนิยานต่อนะครับน้องๆ พี่ติดภารกิจตามล่าผู้นำอิรัก
จิดาภาสะดุ้งตื่นจากฝันด้วยอาการหวาดผวา เสียงของบรรพตผู้เป็นสามียังคงก้องอยู่ในหูไม่ว่าตอนหลับหรือตอนตื่น ถ้อยคำก่นด่าถึงความไม่เอาไหนที่เขาย้ำบอกนั้นคอยหลอกหลอนเธออยู่เสมอ เขาไม่ต้องการเธอ...เพราะเธอไร้ค่า นั่นก็สาสมแล้วกับที่เขาจากเธอไปหาผู้หญิงคนใหม่ ที่สวยกว่า เก่งกว่า...
หญิงสาวสูดลมหายใจลึกเข้าปอด พยายามหวนนึกถึงความเป็นจริงในปัจจุบัน ตอนนี้เธอเป็นคนใหม่แล้ว ไม่ใช่จิดาภาคนไม่เอาไหนที่ไม่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่ใช่จิดาภาที่เพียงเห็นก็ชวนสังเวชด้วยความหดหู่...ตอนนี้เธอกลายเป็นสาวสวยเก๋ ใบหน้าสดใสด้วยรอยยิ้ม ลบเลือนภาพเธอคนเก่าออกไปจนหมดสิ้น
จิดาภาเหลือบมองขวดโหลแก้วบนชั้นวางของตรงข้ามกับเตียง ทุกครั้งที่เรื่องราวในอดีตหลอกหลอนเธอจะจ้องมองมันเพื่อเรียกกำลังใจกลับคืนมา เพียงไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง
ไม่มีคำด่าทอจากบรรพต...ผู้กลายเป็นอดีตสามีของเธออีกต่อไปแล้ว
เขาไม่สามารถเอื้อนเอ่ยวาจาทำร้ายเธอได้อีกต่อไป...
ใช่...
เพราะเธอเป็นคนตัดศีรษะของเขาแล้วยัดใส่โหลแก้วนั้นด้วยมือของตนเอง!
ฟีบี้เป็นหงส์ตัวหนึ่งที่อยากจะเป็นฟีนิกซ์ แต่หาเพลิงอมตะไม่ได้...ก็เลยลองเพลิงนรกดูก่อน เพราะไหนๆ ก็เป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน เลยคิดว่าน่าจะใช้แทนกันได้อยู่
ดั้นด้นตั้งไกลไปจนถึงนรก ฟีบี้กระโจนเข้าไปในกองเพลิงโดยไม่รอช้า แต่ด้วยความร้อนแทบบ้าที่เหมือนจะแผดเผาไปจนถึงจิตวิญญาณทำให้ความอดทนขาดสะบั้น ฟีบี้ต้องกระโจนออกมาดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น
ก่อนที่จะมอดไหม้กลายเป็นไก่เชสเตอร์กริลล์ก็มีน้ำสาดซ่าลงมาช่วยชีวิตเอาไว้
“อ๋า! ยังไม่สุกพร้อมกินอีกเหรอ??”
“ยังไม่ตายว้อย!!” ฟีบี้ตะโกนกลับ
"อืมๆ นึกว่าจะไม่รอดแล้ว กำลังดูน่ากินเลย” อีกฝ่ายทำเสียงแจ๊บๆ กลับมาเหมือนว่าจะหิวจริง “มาทำอะไรที่นี่เหรอ หรืออยากฆ่าตัวตายแบบคูลๆ ด้วยไฟนรก”
ฟีบี้ที่ขนไหม้ไปครึ่งตัวได้ฟังมากเข้าก็รู้สึกอยากเหนี่ยวอีกฝ่ายขึ้นมาในข้อหากวนตีนเกินเหตุ พอหันกลับไปมองก็ต้องตกใจ..
เพนกวิน!
แถมยังถืออมยิ้มอยู่ด้วย!
ฟีบี้ชะงักมองเพนกวินตัวสีขาวที่ยังไม่โตเต็มวัยด้วยสายตายากจะบรรยาย หงส์โผล่มาในนรกก็แปลกอยู่แล้ว แต่เพนกวิน! เพนกวินโผล่มาในนรกได้ยังไง? มันควรจะเดินเตาะแตะอยู่ขั้วโลกไม่ใช่เหรอ
“แผล็บๆ” เพนกวินเลียอมยิ้มในมือ ดวงตากลมใสมองฟีบี้ตาแป๋วเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ “ทดลองมาอยู่ในนรกอะ เผื่อวันไหนโลกร้อนน้ำแข็งละลายหมดจะได้ปรับตัวได้”
“อ๋อออ” พอฟีบี้รู้เหตุผลแล้วก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย ช่างเป็นเพนกวินที่มองการณ์ไกลดีจริงๆ ตัวเขาเองยังไม่ทันได้คิดเลยว่าถ้าสภาพอากาศเปลี่ยนจนที่อยู่อาศัยถูกทำลายแล้วจะทำยังไงต่อไป...
ไม่ใช่แล้วว้อยยยย
เพนกวินบ้าอะไรมาทดลองอยู่ในนรกวะ ผิดจุดไปหมดแล้ว!!!
“มันไม่ร้อนเกินไปหรือไง” ขนาดเขายังเกือบสุก เพนกวินนี่ไม่ต้องพูดถึง
“ฮาดี้ก็ว่างั้นเลยให้เสื้อบุชนวนกันความร้อนมา” เพนกวินกระพือเสื้อให้ดูเบาๆ ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปอีกทาง “แล้วก็มีวังน้ำแข็งอยู่ตรงโน้นน ฮาดี้ทำให้”
ถ้าถึงขั้นมีวังน้ำแข็งในนรกแล้วมันจะย้ายมาอยู่นี่หาพระแสงอะไรวะ??
“แล้วสรุปมาทำอะไรที่นี่ง่ะ”
ฟีบี้อ้ำอึ้ง เริ่มอับอายขึ้นมาบ้าง แต่พอเห็นดวงตาใสของเด็กน้อยที่รอฟังอย่างตั้งใจก็ยอมเล่าออกมา “มาตามหาเพลิงนรกเผื่อจะได้เป็นนกฟีนิกซ์น่ะ”
เพนกวินมองด้วยสายตาเห็นใจ
“โตแล้วยังจูนิเบียวอยู่อีกเหรอ”
ไม่เบียวว้อยยยย
ฟีบี้โดนทำร้ายจิตใจขั้นสุดจนน้ำตาตกใน อย่าให้เผลอนะไอ้กวินสารเวร พ่อจะสกายคิกเตะลงไฟนรกให้กลายเป็นกวินย่างเลยคอยดู
เธอไม่สวยหรอก ไม่สวยเลยสักนิด
ขอโทษ ผมโกหก เธอสวย
ไม่ เธอไม่สวย ไม่ เธอสวย อาจไม่สวยสำหรับคนอื่น แต่อย่างน้อยก็สวยสำหรับผม
ผมยาวสลวย ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาขี้เล่น
แต่เธอหัวเถิก ดั้งแหมบ แล้วก็ฟันเหยินนะ
ไม่ใช่ฟันเหยิน ฟันกระต่ายต่างหาก บ้าเอ๊ย ผมชอบฟันกระต่าย เธอไม่น่าไปดัดฟันเลย
แต่เธอก็ยังสวย สวยมากแล้วสำหรับผม ผมอยากให้เธอเป็นของผมตลอดไป
แต่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ก็เราเพิ่งเลิกกันไปนี่นา
ไม่ ไม่ได้เลิก เราไม่เคยคบกัน ก็เป็นแค่คนคุย ไม่มีสถานะ จะคุยมากี่เดือนกี่ปีก็ไม่มีสถานะ
เธอกลับไปคบกับแฟนเก่าของเธอ คนที่เธอเป็นฝ่ายบอกเลิกเขาเองเพราะเธอเบื่อนั่นแหละ
ใช่แล้ว เธอเป็นคนขี้เบื่อ ตอนนี้เธอก็คงเบื่อผมแล้วเหมือนกัน
ต้องใช่แน่ๆ
แล้วเธอจะเบื่อเขาอีกรอบไหมนะ ถ้าเบื่อแล้ว เธอจะกลับมาหาผมอีกครั้งรึเปล่า
พูดเป็นเล่นน่า เกิดเป็นคนก็ต้องมีศักดิ์ศรีสิ ต่อให้เธอกลับมาจริง ผมก็คงได้แต่ยิ้มเยาะใส่ ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรอก
ตอนนี้เธอจะเ ย็ดกับแฟนอยู่รึเปล่านะ
หลับตาลงก็เห็นแต่ภาพนั้น
ไม่ได้เ ย็ดกันมาเป็นปี พวกเขาจะเริ่มจากที่ไหนนะ
จะเล่นกันบนเตียง ในห้องน้ำ หน้ากระจก หรืออัดอั้นมานาน พอปิดประตูห้องลงได้ก็จัดการกันบนพื้นตรงนั้นเลย
ไม่อยากหลับตาเลย เอาภาพพวกนั้นออกจากหัวไม่ได้
ช่วยผมด้วย
แต่เธอสวยเหลือเกิน ผมชอบตาของเธอ ผมบอกรึยังว่าตาของเธอดูขี้เล่นมาก
ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ
จะมองใครอยู่
ไม่ใช่ผมแน่ๆ
อาจเป็นแฟนของเธอ หรือไม่ก็เงาของเธอที่สะท้อนอยู่ในกระจก
ฟันกระต่าย
ติดเหล็กดัดฟันแล้ว จะอมคว ยก็ต้องระวังหน่อยนะ
ช่วยผมด้วย
ผมจะขาดใจตายอยู่แล้ว
ผมคิดเธอแทบคลั่ง
จะคลั่งใจตายอยู่แล้ว
เธอจะคิดถึงผมบ้างไหมนะ
สักแวบหนึ่งก็ยังดี
มันต้องมีสักแวบล่ะ เวลาที่เธอไปเห็นอะไรที่เราเคยมีความทรงจำร่วมกัน
จะมีไหมนะ
หรือเธอลืมไปแล้ว
ผมอ่านข้อความเก่าๆ ซ้ำไปซ้ำมา
ไม่กล้าทักเธอไปหรอก
พอแล้ว ควรพอได้แล้ว
เกลียดตัวเองเหมือนกัน เมื่อไหร่จะก้าวต่อไปได้สักที
จะคลั่งใจตายอยู่แล้ว
อยากได้ยินเสียงของเธอ
ผมควรโทรไปไหมนะ
ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ หาโทรศัพท์สาธารณะแล้วกดเบอร์ไป
รอให้ได้ยินเสียงเธอรับสาย แล้วรีบวาง
ฟังดูโรคจิตจัง
ตอนนี้ยังมีโทรศัพท์สาธารณะให้ใช้อยู่ไหมนะ
จะคลั่งใจตายอยู่แล้ว
ขำตรง "ติดเหล็กดัดฟันแล้ว จะอมควยก็ระวังๆ หน่อย" จังไรได้โล่จริงๆ
คิดถึงเธออีกแล้ว
ตื่นเช้ามาไม่มีใครให้ทักไปราตรีสวัสดิ์ ก็รู้สึกโหวงๆ ในใจอยู่นะ
เธอจะทักอรุณสวัสดิ์ผู้ชายคนอื่นรึเปล่า
หรือจะถูกแฟนปลุกขึ้นมาเ ย็ดก่อนไปทำงาน
ปวดใจจัง
ผมจะทำยังไงดี หยุดคิดถึงเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลย
ต้องขยับแล้ว
แต่มันเสียศักดิ์ศรีนี่นา จะให้เป็นฝ่ายทักไปก่อนเหรอ
ต้องมีสักวันที่เธอจะผิดหวังจากแฟนเก่า แล้วกลับมาหาผมสิ
คนที่เคยเลิกกันไปแล้วครั้งหนึ่ง มันจะกลับมาคบกันใหม่ได้นานแค่ไหนเชียว
พูดเหมือนพวกขี้แพ้เลย อายตัวเองจัง
ผมอยากทักเธอไปมากๆ แต่ก็รู้ว่าคงเปล่าประโยชน์
เธอไม่กลับมาหรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็วๆนี้
แต่ถ้าจะให้ผมอดทนอยู่เฉยๆ แบบนี้ ผมคงคลั่งใจตายก่อน
ต้องขยับแล้ว
อย่างน้อยก็ขยับมือชั กว่ าว ใส่รูปของเธอก็แล้วกัน
ตอนนี้เธอจะเ ย็ดกับแฟนอยู่รึเปล่านะ
ปวดใจจัง
เรื่อง แผนที่..อ่าส์
ที่มา https://www.dek-d.com/board/view/3969838/
จขกท - ขอชื่อกวนๆ ex. ฟอสซิ่ลสยิวกิ้ว รับรุกบุกทลวง ควงสวาทบานบุรี คือบั่บอ่อยเหยื่อให้ตกหลุมรักอ่ะ
W - แน่ใจเหรอว่าจะเอา
ขอ - ลองได้ค่ะ
ขอ - 'โทษ จังไรน้า
W - 555 พูดจริงป่ะ
W - ชื่อหยาบไปไม่เหมาะ ต้องโรแมนติกมีคลาสสิคะ
ขอ - เน้นๆ แรงอีกค่ะ
W - 555 สายSสินะ แต่นี่ทุ่งลาเวนเดอร์นะจ๊ะ เงินจงไหลกอง ทองจงไหลมา
ขอ - สักที
W - อะไรนะคะ?
ขอ - yes ค่ะ
W - ดวงใจใคร่รัก เรื่องย่อ อุ้มลูกน้อยกลอยตา เสาะตามหาแก้วตาของพี่..
ขอ - สาธุ99
F - ไม่สมเป็นเธอเลยนะ
W - อย่า-ชัก-ใบ-เรือ!!
F - เธอน่ะ หัวโบราณเกิ๊น
W - ก๊อยมาก็ก๊อยกลับดิ ดูดิ๊.. เจือกไม่เข้าเรื่อง
F - อ่ะฮึ่ม! ยะ-อย่า.. ผมเมา
W - ยัง ยังอีก
F - เค ผมผิดเอง
W - จะเสียบต้องใส่หมวกนะ!!!
F - ป่ะ ไปกัน
W - ปิดไฟนอนได้แล้ว
F - ครับ แต่ยังไม่ง่วงอ่าส์..
W - ไว้พระก่อนนอนนะ
F - บาก่ะ น่าา..
W - ด้ายยย จะไม่นอนใช่มะ จะเอาช่ะ คุณS ตัวพ่อ
W - นอนล้าว ม๊วฟ!!
F - คนเก่ง
W - อุ๊ย ฮุฮุ //ปิดหน้าเขิน
กูมั่นใจว่าไอ้ F เล่นโม่งว่ะ
ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด
สะดุ้งตื่น
คิดถึงเธออีกแล้ว
ในหัวก็มีแต่คำถามว่า เมื่อคืนเธอโดนไปกี่น้ำ
ถ้านับที่ผมชั กว่ าวใส่รูปไปด้วยก็บวกไปอีกสามน้ำล่ะ
ปวดใจจริงๆ เอาความคิดพวกนี้ออกจากหัวไม่ได้เลย
ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่ผมไม่มีสิทธิแท้ๆ
คนเขารักกันชอบกัน จะเ ย็ดกันกี่ท่ากี่น้ำก็เป็นความสุขของเขา
ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย
ตอนเธอเ ย็ดกับเขาเธอจะนึกถึงผมบ้างไหมนะ
คงไม่หรอก ผมจำได้ว่าเธอเคยบอกว่าแฟนของเธอเ ย็ดเก่ง
พอโดนค วยเข้าไปทีหนึ่ง เธอก็คงลืมหน้าผมไปแล้วล่ะ
เฮ้อ ปวดใจจัง
ลบภาพเธอออกจากหัวไม่ได้เลย
ช่วยผมด้วย
ทำไมถึงไม่มีใครช่วยผมได้เลย
คงต้องช่ว ย ตั ว เอ ง อีกแล้วสิเรา
เมื่อคืนผมฝั นเปี ย ก
แต่ไม่ได้ฝันถึงเธอนะ ถือว่าพัฒนาไปในทางที่ดีแล้วใช่ไหม
ใกล้จะตัดใจได้แล้วสินะ
ดีใจจัง
แต่ตอนนี้กลับมาคิดถึงเธออีกแล้ว
จะทำยังไงดี
จะทักไลน์ไปดีไหมนะ
หรือจะกดฟอลไอจี
อย่างหลังนี่ไม่ดีแน่ ถ้าเธอไม่ยอมรับฟอล ผมคงจะจิตตกไปกว่าเดิม
หรือรับฟอล แล้วได้เธอรูปเธอกับแฟน ผมก็คงจะคลั่งใจตาย
ทำยังไงดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
พอนึกถึงภาพที่เธอกำลังโทรคุยกับแฟนเก่าจนหลับคาสายแล้วปวดใจจัง
หรือนึกภาพตอนที่เธอโดนเ ย็ด ค าชุ ด นิสิต ก็ทำใจไม่ได้
ฟันกระต่าย
ขูดหนังค วย
เบาๆ
เสี ย ว แทนเลย
เ งี่ย น อีกแล้ว
จะคลั่งใจตายอยู่แล้ว
ผมควรทำยังไงดี
ผมทักเขาไปแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ในป่าใหญ่อันแสนไกลโพ้นแห่งหนึ่ง ยังมีสัตว์ป่าสองสหายที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเล็ก นั่นคือนกและเสือ แม้เป็นมิตรภาพต่างสายพันธ์แต่ทั้งสองก็รักใคร่กันมาก ทุกเช้าเย็นนกจะร้องเพลงให้สหายฟัง ด้วยเสียงอันไพเราะเสนาะจับใจ ชาวบ้านที่เข้ามาหาของป่าต่างก็หลงใหลในเสียงนั้น แต่พวกเขาไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักนกชนิดนี้มาก่อน จึงตั้งสมญานามให้ว่า "โพระดก มันร้อง โฮกป๊ก โฮกป๊ก" เสือได้ยินดังนั้นจึงกระหยิ่มยิ้มย่อง เพื่อนตัวน้อยของมันยังมีสมญานามอันน่าเกรงขาม ตัวมันเองเป็นรองเพียงเจ้าป่า สมญานามนั้นจะต้องแผ่ไปทั่วพนา สะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า
แล้วจึงคำรามไปสุดหล้า
"โฮกกกกกกกกก!!!!!!! ปี๊บ!"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
โฮกปี๊บ ไม่เกี่ยวกับ กบว. แต่อย่างใด
มู้นี้เลื่อนยากชิบหายควบเถอะ
เขียนไม่ออก
แรกนั้น Z สนใจเขาเพียงเพราะว่านานมากแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกับใครสักคน เมื่อพระจันทร์โผล่พ้นกลีบเมฆทอแสงเงินยวงลงมาขับไล่ความดำมืดของป่าประดิษฐ์ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูรั้วที่ถูกโซ่เส้นใหญ่ล็อกไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีความลังเลเลยสักนิดขณะป่ายปีนเข้ามา Z เดาว่าเขาคงอยากพิสูจน์เรื่องลึกลับไร้สาระที่พวกแม่บ้านแต่งขึ้นไม่ให้เด็ก ๆ ของพวกหล่อนเตร็ดเตร่อยู่นอกบ้านหลังตะวันตกดิน
เด็กหญิงแอบอยู่เงียบ ๆ ในเงาต้นไม้ใหญ่ ยังไม่อยากรีบไล่ผู้บุกรุกออกไปเร็วนัก สนทนากันสักหน่อยก่อนทำให้เตลิดกลับบ้านคงไม่บกพร่องต่อหน้าที่เท่าไหร่หรอกกระมัง
“แต่จะออกไปคุยอะไรด้วยล่ะ” เด็กหญิงพึมพำ คิ้วขมวดมองร่างผอมแห้งเดินผ่านไปโดยไม่มีทีท่าจะรับรู้ถึงตัวตนของหล่อน “เชื่อเลยว่าเจ้านี่ตาบอดแหง”
มันก็มีบ้างเหมือนกันละนะคนแบบนี้
Z ถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มตามไปอย่างเงียบเชียบภายใต้เงาดำของแมกไม้ ขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นเดินดุ่มอยู่กลางแสงจันทร์ เป็นธรรมดาว่าเราจะมองไม่เห็นในที่มืด และแสงจ้าแสบตาก็บดบังทัศนวิสัยเช่นกัน สองสถานที่ซึ่งถูกแบ่งด้วยเส้นขาวดำจึงรับรู้ถึงกันได้เพียงเลือนราง
จะมีก็แต่บางเวลาที่ความมืดกับความสว่างซ้อนเหลื่อมกันเช่นวันเกิดสุริยุปราคาและคืนวันเพ็ญเช่นนี้ จึงพอจะข้าม ‘ขอบเขต’ ไปมาหาสู่กันได้
กระนั้นก็ไม่บ่อยนักที่จะมีคน ‘หลง’ เข้ามาในป่าประดิษฐ์ในค่ำคืนอันเหมาะเจาะ
ช่วงเวลาที่เส้นเขตแดนเลือนราง มลพิษเสียงและอากาศจากภายนอกถูกกรองกั้นด้วยกำแพงต้นไม้แน่นหนา และมนุษย์ผู้บ้าบิ่น ไม่มีอะไรจะทำให้ Z พึงใจมากกว่านี้อีกแล้ว
“กำลังจะไปสะพานเหรอ” Z ส่งเสียงทัก ก้าวออกมาเงาต้นไม้ ความเงียบสงัดทำให้เสียงลมหายใจไม่สม่ำเสมอของชายหนุ่มดังชัด
“ใช่ ทางนี้ถูกไหม” ชายหนุ่มถามกลับเสียงแหบแห้ง
โอ ไม่ตกใจเลยแฮะ
Z นึกทึ่งระคนชื่นชม ดีเหมือนกัน หล่อนจะได้ไม่เสียเวลากล่อม
รอยยิ้มจุดขึ้นมุมปากก่อนเอ่ยต่อ “กิโลกว่า ๆ เลยนะ เดินไหวเหรอ”
“ไกลกว่านี้ก็เดินมาแล้ว”
Z สังเกตรูปร่างหน้าตาคนข้าง ๆ อย่างไม่เกรงใจ ใบหน้าไม่มีอะไรให้วิจารณ์ เว้นแต่นัยน์ตาโศกเศร้าที่หล่อนมองผิดไปนิดหน่อยตอนปีนรั้ว จะว่าใจกล้าหรือไร้หนทางกันแน่ล่ะทีนี้ เด็กหญิงไม่ใส่ใจความรู้สึกละเอียดอ่อนของคนที่อีกไม่นานก็จะหายไป จึงไม่ควานหาอะไรในสีหน้าแววตานั้นอีก ร่างกายอมโรคกับเสื้อผ้ามอซอมองไม่ออกว่าสีเดิมคืออะไรนั้นต่างหากที่น่าสนใจ กลิ่น รอยเปื้อน ริ้วรอยบนหน้า รอยเผาของแดด รอยด้าน แผลเป็น ต่าง ๆ นานาเหล่านี้หากเชี่ยวชาญมากพอก็สามารถทำนายอาชีพ ฐานะ หรือกิจวัตรของเขาคนนั้นได้
เท่านี้เองที่ Z ใคร่รู้ ถือเป็นการเก็บสถิติพิลึก ๆ ของหล่อนก็ว่าได้
“ที่นี่มีเจ้าของนะรู้ไหม”
“ของเธองั้นเหรอ”
“อือ ก็ประมาณนั้นละ” Z ยิ้มตาหยี ที่จริงแล้วหล่อนมีหน้าที่เพียงรักษาความสงบเรียบร้อยของป่าประดิษฐ์ซึ่งถูกเปลี่ยนรายชื่อผู้ถือครองบ่อยจนหล่อนคร้านจะจำว่าใครกันแน่เป็นเจ้าของอยู่ตอนนี้ ยาวนานเกินกว่าหนึ่งช่วงชีวิตมนุษย์ที่ใช้ชีวิตเวียนวนอยู่ในนี้ เฝ้ารอวันที่เส้นเขตแดนรางเลือนและใครสักคนหลงเข้ามาเป็นเพื่อนคุยแค่ชั่วยาม
แค่พอให้ไม่ลืมภาษาพูดของตัวเองไป
“มาจากชายฝั่งเหรอ” หล่อนได้กลิ่นน้ำมันเครื่องกับเกลือติดเสื้อผ้า
คำตอบนั้นคือสายตาไม่เป็นมิตรวาววับขึ้น เด็กหญิงหัวเราะคิก ถ้าไม่ทำหน้าตะลึงก็ต้องถูกเขม่นแบบนี้ล่ะ หล่อนชินแล้ว
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่ชอบถูกอ่านความคิดสินะ ทั้งที่คิดได้เช่นนี้ แต่ Z ก็ยังล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของพวกเขาด้วยข้ออ้างที่ว่ารู้ไปก็เท่านั้น ท้ายสุดแล้วก็ไม่ได้มาเกี่ยวข้องอะไรกันอีกอยู่ดี
“ก็แค่เดาน่ะ ไม่นึกว่าจะถูก”
ชายหนุ่มจากเมืองชายฝั่งคงดูออกว่าหล่อนแกล้งหยอกจึงไม่คิดต่อความ ค่ำคืนไม่ยาวนานพอให้ถือสาเด็กประหลาด
“แถมท่าทางจะป่วยอยู่ด้วย เจ้าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลละสิ” หล่อนว่าต่อ กลิ่นยาติดผิวกายแน่นทีเดียว “นี่ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าหายป่วยหรือยัง แต่ถ้าจะไปสะพานมันดูไม่ฉลาดเอาเสียเลย”
“ทำไมถึงคิดว่าฉันจะไปสะพานล่ะ” ชายหนุ่มก้าวเท้ายาวขึ้น
“ก็เจ้าบอกข้าเองเมื่อกี้นี่” Z เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น “และคนที่เข้ามาในป่านี้น่ะ… อยากไปสะพานกันทั้งนั้น”
ถ้าไม่นับพวกเด็กเกเรที่ชอบเล่นเกมพิสูจน์ความกล้าน่ะนะ
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามีอะไรอยู่ที่นั่น” เด็กหญิงหรี่ตามองเสี้ยวหน้าซีดเซียวด้วยความเวทนา
“มีอีกโลก”
“แล้วโลกนั้นเป็นยังไงล่ะ”
“เธอเป็นเจ้าของก็น่าจะรู้สิ”
“เสียใจด้วย ถึงจะเป็นข้าก็ไม่รู้หรอกนะ” Z ยิ้มในหน้า ชายหนุ่มเหลือบมองหล่อนด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ ซึ่งหล่อนก็ไม่ได้ต้องการรู้อยู่แล้วว่าเขาจะสุขหรือเศร้า นอกจากเรื่องที่เขากำลังจะไปสะพานแล้วก็ไม่มีอะไรให้ Z เข้าไปยุ่งเกี่ยว
‘สะพาน’ นั้นอยู่ใจกลางป่าประดิษฐ์ซึ่งถูกสร้างขึ้นทดแทนต้นไม้จริง ๆ ซึ่งใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากโลก ดัดแปลงต้น ใบ ดอก และผลให้สังเคราะห์ออกซิเจน ไอน้ำ และน้ำตาลภายใต้เงื่อนไขเดียวกับของจริง ต้นไม้เทียมน้อยใหญ่ถูก ‘ติดตั้ง’ อย่างเป็นระเบียบจนน่าขยะแขยงอยู่กลางเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษ สิ่งประดิษฐ์โสโครกราวกับรังไหมห่อหุ้มโครงสร้างผิดยุคผิดสมัยอย่าง ‘สะพาน’ และ Z ไว้ไม่ให้ล่วงไปกับเวลา
ผูกหล่อนกับสะพานไว้กับพลังงานโบราณที่แม้แต่ในยุคสมัยของ Z เองก็หาคำอธิบายให้ไม่ได้
“ถ้าผ่านไปแล้วจะกลับมาไม่ได้อีกนะ” Z ยิ้มเล็กยิ้มน้อย ยากจะเดาว่ากำลังหยอกเย้าหรือเตือนเขากันแน่ “แต่ถ้ากำลังหนีเพราะไปทำอะไรไม่ดีมา ข้าแนะนำที่ซ่อนอื่นให้ก็ได้นะ”
“ฉันไม่ได้หนี !” ชายหนุ่มขึ้นเสียง ถอยออกจากเด็กหญิงเล็กน้อย
“แต่สภาพเจ้าไม่บอกเช่นนั้นเลยรู้ตัวไหม” เด็กหญิงกล่าวต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าจะบอกอะไรให้นะว่าคนปกติเขาไม่ดั้นด้นไปในที่ที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่าหรอก ใครยืนยันกับเจ้าล่ะว่าสะพานนั้นมีอีกโลกรออยู่ ไม่ใช่ความว่างเปล่า หรือเหน็บหนาว เจ้ากำลังหนีใคร หนีจากชีวิตตัวเองอยู่ล่ะสิ”
“สะพานนั้นเป็นเขตหวงห้ามหรือไง”
“ม่ายยย… มันไม่เหมือนกับเดินหลงเข้าไปในซอยตันหรอกนะ เจ้าไม่รู้ว่าข้ามไปแล้วจะพบเจอกับอะไร หากมันเป็นอะไรที่แย่มาก ๆ เลวร้ายกว่าวันวานที่เจ้าหนีมา…”
“ไม่ได้หนี !”
“อื้อ ๆ ไม่หนีก็ไม่หนี หากว่ามันเลวร้ายกว่าสถานที่ที่เจ้าจากมา ก็หันหลังกลับไม่ได้นะ ไม่ได้เลยเข้าใจไหม”
“ความตายหรือที่อยู่อีกฟากสะพานน่ะ”
ท้องฟ้ายามราตรีที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม ความเงียบสงัดแผ่ไปทั่วบริเวณ เมื่อเสียงของคนที่เป็นจอมเวทย์ผู้มีตาทิพย์รู้แจ้งเอ่ยขึ้นมาว่าชายผมสีทองด้านข้างของเขาเป็นจอมมาร
ชายผู้มีผมสีทองกำมือแน่น จนชายหนุ่มที่เป็นสหายยังสังเกตเห็นได้ แววตาของเขาไม่ได้น่าหวั่นพรึงหรือแสดงความโกรธเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นจอมมาร ทว่ามันกลับแสดงความหวาดกลัวออกมาจนเห็นได้ชัดมากกว่า ชายหนุ่มในชุดเครื่องสีน้ำเงินของกลุ่มทหารผู้กล้าก้าวเท้าออกไปด้านหน้า ยกมือขึ้นขวางด้านหน้าชายหนุ่มผมทองเอาไว้
"ท่านจอมเวทย์ ท่านพูดอะไรออกมา สหายข้าเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เขาอยู่กับข้าและเหล่ากลุ่มทหารผู้กล้ามากมายมานานแล้ว ผู้คนต่างก็คุ้นหน้าคุ้นตาของเขาดี" ชายหนุ่มเครื่องแบบสีน้ำเงินที่เป็นสหายของชายหนุ่มผมทองกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด
จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในชุดสีขาวปักดิ้นทองแค่นเสียงหึ "คิดจะเถียงสายตาของข้าที่ได้รับพรมาจากพระเจ้าอันยิ่งใหญ่หรือ"
ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินทำสีหน้าลำบากใจ แต่ดวงตายังคงแน่วแน่ ผมสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีข้าวสาลีปลิวตามสายลม เขาไม่เชื่อว่าสหายผู้อ่อนโยนของเขาจะเป็นจอมมาร สหายของเขาทั้งซุ่มซ่าม รักสะอาด เป็นคนที่ซื่อบื้อไร้เค้าของการเป็นจอมมารผู้โหดเหี้ยมในสมัยก่อน
"ถูกหลอกสินะ" จอมเวทย์กล่าวขณะก้าวลงมาจากแท่นสูง "ไม่แปลกใจๆ เดิมทีจอมมารหาใช่สิ่งที่รับสืบทอดจากทางสายเลือด แต่เป็นการสืบทอดด้วยความเต็มใจของจอมมาร จอมมารรุ่นก่อนจะมอบพลังให้แก่ผู้ที่จะมาเป็นจอมมารคนใหม่ด้วยตนเองและตายจากไป ท่าทางจอมมารคนใหม่ก็ดูใสซื่อเกินไปจริงๆ"
จอมเวทย์สะบัดชุดคลุมของตนเอง ก้าวมาข้างหน้าของชายหนุ่มผมทองที่ก้มหน้าลงไม่สบตาผู้ใด ผมสีทองที่แสนยาวดูนุ่มสลวย ดวงตาสีมรกตแสนงงดงามอย่างกับเป็นมรกตจริงๆ ดูไปก็เหมือนคุณชายสูงศักดิ์ที่รูปลักษณ์งดงามหาใครเปรียบได้ยาก จอมเวทย์ผู้สูงศักดิ์เอื้อมมือไปจับคางของชายหนุ่มผมทอง แต่ข้อมือของเขาก็ถูกจับอีกที
"เฮ้!!" เสียงคนร้องตะโกนออกมาเมื่อชายหนุ่มผมสีน้ำตาลจับข้อมือของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลขมวดคิ้วแน่น ดวงตาสีเขียวเหมือนใบต้นสนจับจ้องที่ข้อมือของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ แม้เป็นการล่วงเกิน กลุ่มทหารที่ถูกเรียกว่าผู้กล้าก็ไม่ได้มีอำนาจเท่ากับจอมเวทย์ผู้นี้ แต่ว่าเขารู้สึกได้ว่าจอมเวทย์ผู้นี้กำลังจะทำอันตรายแก่สหายของเขา
จอมเวทย์เดาะลิ้นทีหนึ่ง มือของชายหนุ่มก็หลุดออกไป ตัวของชายหนุ่มกระเด็นไปเล็กน้อยเหมือนล้มลงไปเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไร
"ดูเอาเองก้แล้วกัน เจ้าทหารผู้กล้าโง่เง่า" จอมเวทย์ทำเสียงเยาะเย้ย มือที่จับคางของชายหนุ่มผมทองตรงหน้าออกแรงกดที่ปลายคาง แล้วจับให้ก้มลงมามองที่ตาของเขา
อืม หน้าตาดูไร้เดียงสาไม่เข้ากับรูปร่างเสียจริง ไม่เข้ากับพลังจอมมารที่ได้รับมาเลยจริงๆ...
ซ้ำหน้าตายังเหมือนกับว่าจะซีดเพราะความหวาดกลัวที่ถูกเปิดเผยตัวตนอีกต่างหาก
"เล่นเป็นมนุษย์ธรรมดาสนุกพอแล้วมั้ง" จอมเวทย์เอ่ยเสียงหยันใส่ ก่อนจะท่องคาถาหนึ่งประโยคที่ไม่ยาวมาก ชายหนุ่มผมทองได้ยินก็ผลักตัวจอมเวทย์ออก ร่างกายทรุดลงไปกับพื้น ตัวคล้ายจะสั่นเทาอยู่เล็กน้อย
ไอสีดำคล้ายวิญญาณร้ายพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของชายหนุ่มผมทอง
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่เหมือนจะล้มลงไปเบาๆ แต่แท้จริงถูกตรึงให้นั่งกับพื้นโดยลุกขึ้นมาไม่ได้ มองภาพตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน ไอสีดำที่เหมือนหมอกควันกำลังไหลออกมาจากร่างกายของสหายของเขา
ชายหนุ่มผมทองกัดฟัน แต่ทนไม่ไหวจนต้องเปลี่ยนมากัดริมฝีปากจนเลือดสีแดงไหลซึมออกมา ก่อนจะร้องครวญครางออกมาเสียงดังหนึ่งเสียง
"บัดซบ!!" ชายหนุ่มผมทองสบถออกมาอีกหนึ่งคำ
รูปลักษณ์ของเขาที่อยู่ภายใต้หมอกควันสีดำกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารผู้กล้า และสหายของเขาที่ยังคงมองมาทางนี้ด้วยสายตาตกใจ
มันจบแล้วสินะ...
จบแล้วจริงๆ...
ในวันที่ DD เดือน XX วันนี้คนผู้หนึ่งก็ยังคงเปิดคอมเข้าอินเทอร์เน็ต ในช่องค้นหาของเขาขึ้นคำประจำที่เขามักกดเข้าไป เพียงแค่เขาเลื่อนนิ้วไปที่แถวกลางของคีย์บอร์ด นิ้วจิ้มลงที่ตัว F
'Fanboi' ชื่อของเว็บที่คนผู้นี้มักกดเข้าไปเป็นประจำ
บนโต๊ะของเขาที่นอกจากมีเครื่องคอม คีย์บอร์ด และเมาส์วางอยู่ บนนั้นก็ยังเต็มไปด้วยซองขนมมันฝรั่งทอด น้ำหวานมากมาย เขาหยิบแผ่นมันฝรั่งขึ้นมาเข้าปากหนึ่งชิ้น นิ้วเลื่อนหากระทู้ที่เขาคิดว่าจะเข้าไปอ่านได้
ครั้นพอเจอกระทู้ที่กำลังดุเดือด เขาคลิกเมาส์เข้าไปในกระทู้นั้น ตั้งหน้าตั้งตาอ่านจนตาแทบจะชิดหน้าจอคอม ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
"ได้เวลาสนุกแล้วสิ"
ในวันที่ DD เดือน XX ใครคนหนึ่งเปิดบราวเซอร์โครมขึ้นมาด้วยความเคยชิน บุ๊กมาร์กหน้าหลักของเขาปรากฏไอคอน F สีส้ม เขาเลื่อนเม้าส์คลิกทันที
'Fanboi' คือเว็บที่เขาเข้าไปส่องประจำ
บนโต๊ะของเขานอกจากมีคอมพิวเตอร์พกพา ยังมีจานใส่ส้มโอกับขวดน้ำเปล่าวางไว้หลายขวด เขาหยิบส้มโอครึ่งชิ้นใส่ปาก ดวงตาหยีลงเพราะแม่งเสือกเปรี้ยวฉิบหาย นิ้วมือเลื่อนลูกกลิ้งเมาส์ไปเรื่อยๆ
กระทั่งเจอกระทู้ที่คุ้นเคย เขาจึงกดเข้าไปในนั้น แผ่นหลังเอนหลังพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆ กวาดสายตาอ่านไปได้ไม่นานก็ถอนหายใจออกมา
“วันนี้ไม่มีดราม่ามันๆ เบย”
ขุดดดดดด
“มาอ่านไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็นที่ห้องเราไหม?” เขาเอ่ยปากชวน
“โอ้โห เดี๋ยวนี้เขาเลิกชวนไปอ่านฟ้าเดียวกัน แล้วใช้มุขนี้กันแล้วหรอ? ถ้าไปถึงแล้วมีพุทธธรรมกับอิทัปปัจจยตาเรากลับนะ” ฉันกระเซ้ากลับทีเล่นทีจริง
.
“ประเมินผมต่ำไปไหม ผมท็อปแฟนนะคุณ มีตั้งแต่สมองแห่งพุทธะ สัจธรรมแห่งจักรวาล ความลับของจักรวาลทางแห่งนิพพาน...”
ไม่ทันรอให้เขาไล่หมด ร่างกายไวกว่าความคิดเสมอ เรียวนิ้วชี้ประกบนิ้วชี้ เรียวนิ้วนางประกบนิ้วนาง ห้านิ้วประกบกันวางระหว่างคิ้ว
ยกขึ้นเหนือหัวหนึ่งทีหนึ่งที
จึงกลับมาอยู่หว่างคิ้ว
แล้วก็
สาธุ
พ่นลมหายใจเย็นในธรรม
จงใจอนุโมทนาใกล้ใบหู
ถือเป็นการบอกโดยไม่ต้องบอกว่า
ยินดียิ่งแล้ว ที่ได้พบสหายธรรมชาวสวรรค์
.
จ้องตาเขาหนึ่งหน ลึกลงไป ภาวนาให้รัฐบาลล้มภารกิจไปดวงจันทร์ แล้วส่งเสริมพุทธศาสนาที่สามารถถอดจิตไปดาวอังคารแทน ยากฉิบหาย หนังสือไอน์สไตน์พบพุทธเจ้าเห็นคงยังบอกไม่ได้ว่าเขาเป็นคนพุทธแท้หรือไม่ แต่ถ้าคนเรามันจะลงทุนมีหนังสือทันตแพทย์สม สุจีรา เพื่อชวนสหายบุญที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาไปห้อง ก็ถือว่าแมสแล้วล่ะวะ
.
“นิ่งนานเลย จิตใจคงสงบล่ะสิ ถ้าไม่อยากไปปฏิเสธได้นะ เราไม่ใช่สายตื๊อ ไม่คือไม่ ถ้าไม่คอนเซ้นท์จะนั่งทำสมาธิกันตรงนี้ก็ได้”
แม่งเอ๊ย อนุโมทนาสิวะแบบนี้
จบที่พยักหน้าหนึ่งหน
รู้ตัวอีกทีก็โผล่มาที่ห้องเขาแล้ว
.
“ชอบไหมเล่มนี้” ฉันถามเพยิดหน้าไปทาง คิดแบบอัจฉริยะ ของทันตแพทย์สม สุจีรา เล่มที่ปกดูไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา วางอยู่อยู่ท่ามกลางห้องโล่งๆ ของเขา “อ่านไม่ยากนะ จารย์เขียนอ่านง่าย หลักคิดแบบจิตวิทยานี่ก็ตั้งอยู่บนพุทธศาสนาทั้งนั้นนะ เพราะว่าพุทธองค์ท่านทรงใช้ปัญญาญาณส่องดูจิตตลอดเวลา เราเลยประยุกต์ใช้กับจิตวิทยาได้”
.
“แล้วมีเล่มไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็นเล่มสองหรือยัง?” ฉันกวาดตามองทั่ว ๆ แล้วไม่เห็น เลยอดถามไม่ได้ เล่มนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง
“ตังค์หมดก่อนน่ะสิ เงินส่วนทำบุญของเดือนก่อนก็เอาไปถวายอาจารย์แดงหมดแล้ว” เขาตอบด้วยสีหน้ายินดี เหมือนพร้อมจะขายห้องสมุดเอาเงินไปถวายเพิ่ม
“เรามีไอน์สไตน์เล่มสอง เอาไหม?” ฉันเสนอ
“เอา” เขาสนอง
“เอาอะไร?
เอาหนังสือ?
หรือ เอาเรา?”
.
เขายกมือขึ้นพนมเหนือหัว
เอียงหัวไปทางพระพุทธรูปแก้วใสที่วางอยู่บนชั้นบูชา
.
"เอามรรคผล"
เขาตอบ
ฉันน้ำตาไหลด้วยความปีติ
Santa's Boys (1)
.
“หา ไอ้ลุงอ้วนติดโควิด” ผมร้องออกมาอย่างตกใจ “แล้วแกเป็นไงบ้างตอนนี้”
.
“ก็นอนต่อท่ออยู่ที่ขั้วโลกเหนือนั่นแหละ” ไลก้า เพื่อนสนิทของผมตอบ “อย่าห่วงไปเลย ไอ้แก่หนังเหนียวนั่นคงไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
.
ผมหลุดหัวเราะออกมา และยิ่งรู้สึกตลกมากขึ้นไปอีกที่ได้เห็นไอ้ไลก้าเพื่อนผมต้องมาแต่งชุดแดงติดหนวดปลอมรับบทเป็นซานตาคลอสจำเป็นในคืนนี้
.
“ตลกเหี้ยอะไรวะไอ้แจ๊ค” มันด่าผม “สรุปว่ามึงจะช่วยกูไหม นี่จะเที่ยงคืนแล้วนะเว้ย ชักช้าเดี๋ยวก็แจกของขวัญไม่ทันกันพอดี”
.
ผมยังคงหัวเราะอยู่ แต่ก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธคำขอนั้น ไลก้าหยิบชุดแดงกับหนวดปลอมออกมาจากกระเป๋าให้ผมสวมใส่ พอแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ มันก็เดินนำผมไปยังรถตู้ที่จอดอยู่ริมฟุตบาท
.
“รถเลื่อนกับกวางไปไหนเสียล่ะ” ผมถาม “อย่าบอกนะว่าไอ้ลุงอ้วนแม่งจับไปต้มแดกหมดแล้ว”
.
เป็นคราวไลก้าได้หัวเราะบ้าง “อยากลองแดกดูเหมือนกัน” มันพูด “แต่ไม่ใช่หรอก เรื่องของเรื่องก็คือไอ้พวกเหี้ยพีต้าแม่งส่งจดหมายขอให้เลิกใช้กวางลากเลื่อนน่ะสิ ลุงอ้วนแม่งก็บ้าจี้ไปตามมัน ทุเรศฉิบหาย ไม่รู้จักอนุรักษ์วัฒนธรรมไว้บ้างเลย”
.
ไลก้าขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ ติดเครื่องยนต์แล้วก็ขับรถออกไป ในขณะที่ผมกางแผนที่ออกดู แล้วบอกเส้นทางกับมันว่า “เดี๋ยวเลี้ยวขวาเข้าถนน 34 ขับไปกิโลนึงแล้วเลี้ยวซ้าย แถวนั้นมีหมู่บ้านเยอะ”
.
ไลก้าพยักหน้ารับ ขับรถไปตามที่ผมบอก ครู่หนึ่งก็มาถึงบ้านหลังแรก พวกผมจอดรถไว้ที่หัวมุมถนน เดินตรงไปยังประตูหน้าบ้านหลังนั้น ก่อนที่ไลก้าจะใช้กุญแจวิเศษแตะเข้าที่ประตูบ้าน บานประตูแง้มเปิดออกในทันที
.
ไลก้าเดินตรงไปที่โต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่น เขาจิบนมและกัดคุกกี้ช็อคโกแลตชิพที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้ซานตาคลอสตามวัฒนธรรมอย่างพอเป็นพิธี ก่อนที่จะหันมาพูดกับผมว่า “เอาของขวัญวางแล้วรีบไป เดี๋ยวไม่ทัน”
.
ผมกระพริบตา ถามว่า “ของขวัญอยู่ไหนล่ะ”
.
ไอ้ไลก้าได้ฟังคำนั้นก็ดูหงุดหงิดใจเต็มทน “ของก็อยู่หลังรถสิไอ้ควาย นี่มึงไม่ได้หยิบออกมาเหรอ”
.
ผมชักฉุน “อ้าว ก็มึงไม่บอกกูอะ แล้วกูจะไปรู้ไหม” ผมสวน “เปิดหลังรถยังไงกูยังไม่รู้เลย”
.
ไอ้ไลก้าดูไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ด่าอะไรเพิ่ม ผมคิดว่ามันก็คงเข้าใจว่ามันพลาดเองที่ไม่ได้พูดแต่แรก มันเดินนำผมไปที่รถ ชี้ชวนเป็นเชิงสอนให้ผมรู้ว่าต้องดูชื่อเจ้าของของขวัญที่ตรงไหนก่อนที่จะหยิบเอากีต้าร์ไฟฟ้าตัวหนึ่งขึ้นมา แล้วจึงเดินกลับมาที่บ้านหลังนั้น
.
ประตูมันล็อกไปแล้ว
Santa's Boys (2)
.
ไอ้ไลก้าหันกลับมาหาผม “มึงปิดประตูทำไม”
.
ผมกระพริบตาปริบ ๆ “แล้วมึงจะเปิดประตูค้างไว้ให้พ่อมึงเดินเข้าออกเหรอ ประตูมันล็อกมึงก็ใช้กุญแจวิเศษไขสิ”
.
ไลก้าตอบเสียงเรียบ “กูวางกุญแจไว้บนโต๊ะตอนที่จิบนม”
.
“ไอ้ฉิบหาย” ผมสบถ “แล้วแบบนี้จะเข้าบ้านยังไง”
.
ไลก้าดูฉุน “อย่ามาด่ากู ถ้ามึงไม่ลืมเอาของขวัญมาแต่แรก งานนี้คงจบไปแล้ว”
.
ไลก้าส่งกีตาร์ไฟฟ้าในมือมันให้ผมเอามาถือไว้ ก่อนที่จะเดินไปหยิบเอาก้อนหินขนาดเท่าหัวคนก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น ทุ่มมันใส่กระจก แล้วเอื้อมมือสุดแรงเอี้ยวไปกดปุ่มปลดล็อกประตูบ้านจากทางด้านใน
.
ประตูเปิดออก ไลก้าสั่งเสียงเรียบว่า “มึงรีบเอาของขวัญไปวางใต้ต้นคริสต์มาส เดี๋ยวกูจะไปหยิบกุญแจ”
.
ผมพยักหน้ารับ รีบเดินเอากีตาร์ไปวางไว้ที่ต้นคริสต์มาสข้างบันไดโดยไม่โต้เถียง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หันกลับออกมา ก็พลันเกิดเสียงดัง ‘แกร๊ก’ เหมือนเสียงขึ้นลำกล้องปืน ก่อนที่จะมีเสียงผู้ชายตวาดว่า “มึงเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในบ้านกู”
.
ดูเหมือนว่าไอ้หมอนั่นจะเป็นเจ้าของบ้าน เขายืนอยู่บนบันได ในมือถือปืนพกที่ขึ้นลำแล้วชี้ตรงไปที่ไอ้ไลก้าที่ยืนทำหน้าเหวออยู่กลางบ้าน “มึงเป็นใคร” เจ้าของบ้านถามย้ำ ขณะค่อย ๆ ก้าวตรงเข้ามา “ถ้าไม่ตอบกูยิงแน่”
.
“ผม... ผมมาทำงานแทนซานตาคลอส” ไอ้ไลก้าตอบเสียงสั่น ดูเหมือนว่ามันจะกลัวลูกปืนเหมือนกัน “มาส่งของขวัญ ส่งเสร็จแล้วกำลังจะกลับครับ”
.
“พูดเหี้ยอะไรของมึงวะ” เจ้าของบ้านตวาด ย่างสามขุมเข้ามาใกล้ขึ้นพร้อมตะโกนขึ้นไปบนบ้าน “ที่รัก โทรเรียกตำรวจเลย มีขโมยขึ้นบ้าน”
.
ไอ้ไลก้าหน้าซีด “อย่าแจ้งตำรวจ ผมไม่ใช่ขโมย ผมมาทำงานแทนซานตา”
.
เจ้าของบ้านหลุดหัวเราะออกมา เขาคงเห็นว่าเรื่องนี้ดูน่าขันพอควร “แล้วทำไมซานตาถึงทุบกระจกบ้านเข้ามา ทำไมไม่เข้ามาทางปล่องไฟวะ”
.
เจ้าของบ้านเดินเข้ามาหยุดอยู่ห่างจากไอ้ไลก้าประมาณห้าเมตร แต่เขาไม่เห็นผม เพราะผมยืนตัวลีบอยู่ข้างบันไดด้านหลังของเขา
.
แต่ถ้าตำรวจมา ตำรวจต้องเห็นผมแน่ และไอ้ข้ออ้างเรื่องซานตาคลอสป่วยโควิดคงไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ ไวเท่าความคิด ผมกระโจนพรวดเดียวเข้าไปเกือบถึงตัวเจ้าของบ้าน ยกกีตาร์ไฟฟ้าในมือขึ้นฟาดเขาที่ท้ายทอยของเขาจนล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น
.
เกิดเสียงผู้หญิงกรีดร้องขึ้นที่ด้านบน ไอ้ไลก้าสบถ รีบวิ่งเข้าไปในครัว หยิบมีดปลายแหลมออกมาแล้ววิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบน ที่ด้านนอกเริ่มมีเสียงไซเรนรถตำรวจใกล้เข้ามา ผมมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะลากเอาร่างไร้สติของชายเจ้าของบ้านไปซุกไว้ใกล้ ๆ กับกองของขวัญใต้ต้นคริสต์มาสข้างบันได
Santa's Boys (3-จบ)
.
รถตำรวจมาจอดที่หน้าบ้าน พอดีกับที่เจ้าของบ้านสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะต้องใช้กีตาร์ไฟฟ้าในมือทุบซ้ำอีกสองสามรอบจนเขาแน่นิ่งไป ก่อนที่จะตรงไปหยิบปืนพกที่ตกอยู่บนพื้นมาเก็บไว้ในอกเสื้อ แล้วเปิดประตูออกมาหาตำรวจ
.
ตำรวจมากันสองนาย ทั้งคู่ยกปืนขึ้นประทับเล็งมายังผม เห็นดังนั้นผมก็ยกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ พูดว่า “ผมเป็นเจ้าของบ้านครับ ขโมยมันหนีออกไปแล้ว”
.
ตำรวจออกจะประหลาดใจที่ได้เห็นชายในชุดซานตาคลอสเดินออกมา แต่ก็คงเป็นเพราะชุดซานตาคลอสนี้ด้วยที่ทำให้ดูไม่มีพิษภัย เพราะตำรวจทั้งสองลดปืนในมือลงทันที ก่อนที่คนหนึ่งจะพูดกับผมว่า “ขโมยไปทางไหนแล้วครับ”
.
ผมตอบไปว่าไม่แน่ใจ โม้ต่อไปว่าพอขโมยเห็นผมในชุดซานตาคลอสก็ตกใจ รีบหนีออกไปทันที เมื่อตำรวจถามผมว่าทำไมผมถึงแต่งชุดนี้ ผมก็ทำเป็นเหนียมอาย แสร้งบอกไปว่าวันนี้มีนัดแต่งชุดคอสเพลย์คริสต์มาสร่วมรักกับภรรยา
.
ตำรวจหัวเราะชอบใจ ถ่ายรูปกระจกที่แตกแบบพอเป็นพิธีแล้วแจ้งว่าจะส่งหน่วยพิสูจน์หลักฐานมาในตอนเช้า จากนั้นก็หันหลังกลับไปขึ้นรถ
.
แต่ในขณะที่ตำรวจทั้งสองกำลังจะเปิดประตูรถ ก็เกิดเสียงกรีดร้องขอให้ช่วยดังมาจากด้านบนบ้าน ไวกว่าความคิดอีกครั้ง ผมชักปืนออกมาจากอกเสื้อ เหนี่ยวไกส่งกระสุนเข้าสู่สมองของตำรวจทั้งสองจนล้มหงายหลัง เลือดไหลออกจากรอยกระสุนอาบพื้นหิมะจนเป็นสีแดงฉาน
.
เพื่อนบ้านที่ได้ยินเสียงปืนเริ่มเปิดไฟ ก่อนที่ในอีกเสี้ยวอึดใจต่อมาไลก้าจะวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากบ้าน หน้าและมือเปื้อนเลือด ไม่มีใครพูดอะไร เราทั้งสองคนรีบวิ่งตรงไปขึ้นรถที่จอดทิ้งไว้ ไลก้าติดเครื่องยนต์แล้วรีบบึ่งออกจากที่นั่นทันที
.
เพลง ‘Santa Claus is Comin to Town’ แผดดังออกมาจากวิทยุ พอถึงท่อนที่ว่า “You better not cry” ไลก้าก็สบถออกมาว่า “กูบอกแล้วว่าอย่าร้อง ๆ ความผิดมึงเองนะ กูไม่ได้ตั้งใจ”
.
ผมทำหน้านิ่ง ในใจก็ช็อกไปไม่น้อยเหมือนกัน “แล้วเราจะทำยังไงต่อ” ในที่สุดผมก็ถามออกมา “ยังต้องไปแจกของขวัญต่ออีกไหม”
.
ไลก้าส่ายหัว “เรื่องนั้นคงต้องช่างมันแล้ว” มันพูด “เดี๋ยวกูขับรถไปทิ้งแม่น้ำ แล้วพวกเราก็ตัวใครตัวมัน กบดานสักพัก ไว้ช่วงตรุษจีนค่อยมาเจอกันที่เดิม”
.
ผมพยักหน้ารับ ในขณะที่ไลก้าหัวเราะหึออกมา “เออ มึงรู้อะไรไหม” มันหันหน้ามายิ้มกับผม “คือเมื่อกี้กูหยิบของผิดว่ะ ไอ้กีตาร์ไฟฟ้านั่นมันเป็นของบ้านตรงข้าม”
เราขอลง plot เรื่องนะ ขอโทษด้วยถ้ามันไม่ดีเพราะเพิ่งแต่ง
เรื่องราวของห้องเรียนม.4ห้องหนึ่งที่มีนกเรียนชายคนหนึ่งชื่อว่า นก เป็นแค่เด็กธรรมดาเลยไม่ค่อยมีไครสนใจวันหนึ่งมีแสงประหลาดเกิดขึ้นใรห้องทำให้ทุกคนไปเจอคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าและมอบพลังให้แต่นกนั้นได้เพียงแค่พลังความรู้สึกที่ไวอย่างเดียวทำให้ทุกคนพากันออกห่างจากนกเพราะทุกคนมีพลังในการใช้เวทมนต์และต่อสู้กันหมดเลยยกเว้นนกเลยทำให้คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้ามาตรวจนกและบอกว่านกเป็นเพียงแค่ส่วนเกินของกลุ่มทำให้ทุกคนต่างเหยียดหยามและหัวเราะเยาะนกพร้อมกับบอกว่าเอานกไปขายเป็นทาสพ่อค้าทาสยังไม่เอาเลยและถุยน้ำลายใส่พร้อมกับเดินจากไปนกแต่คุณครูผู้หญิงที่ชื่อคุณครูบุบผาและเด็กผู้หญิงใส่แว่นผมสั้นที่ชื่อเข็มดีพยามยามบอกให้ทุกคนรับนกไปด้วยแต่ไม่มีไครฟังพร้อมกับถูกบอกให้หุบปาก แล้วคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าก็ร่ายมนต์บางอย่างทำให้นกสลบก่อนนกสลบนกก็แอบสาปในใจว่าขอให้เพื่อนๆทุกคนที่เหยียดฉันกลายเป็นทาสและต้องทำงานจนวันตายเมื่อนกฟื้นมาก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องเรียนเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือทุกคนหายไปทำให้้นกถูกสอบสวนเรื่องเด็กหายแล้วก็ไปนอนหลังจากที่นกนอน นกก็ได้ไปเจอกับคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า มาขอโทษนกที่ทำให้ชีวิตนกต้องวุ่นวายพร้อมกับให้ cd ที่เล่าเรื่องราวการผจญภัยของเพื่อนร่วมชั้นเป็นของขวัญขอโทษ
คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าก็หาไปพร้อมกับนกได้ต่นขึ้นแล้วคิดว่าตัวเองฝันประหลาดจังแต่นกก็เห็น cd ทำให้นกจำสิ่งที่คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าบอกไว้ได้เลยรีบไปกินข้าวแล้วเอาไปเปิดดู(พอดีเป็นวันเสาร์)แล้วาห็นว่าใน cd มี10 ตอนเลยนกก็ดูตอนแรก
ก็เห็นเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้ชายสามคนชื่อว่า ขัน กาน และดวงถูกเด็กผู้หญิงผมดำตัวเล็กที่มีเขากวางจับฉีกแขนฉีกขา, ถูกควักใส้ควักลูดตาออกมาและพูดว่าถ้ายอมรับส่วนแบ่งของหมูป่าตั้งแต่แรกก็จบแต่ก็ดีเพราะตอนนี้มีอาหารเพิ่ม
สิ่งนี้ทำให้นกตกใจแทบตายพร้อมกับบ่นว่าคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าเอาอะไรมาให้ดูฟะแต่ก็สะใจดี
หลวงปู่คำพบพญางูถ้ำภูสี่นาค
.
เรื่องราวต่อไปนี้เรื่องจริงที่ผมได้ยินมาจากปากของหลวงปู่คำ กามวุฑฺโฒ ท่านเล่าให้ผมฟังเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ผมมีโอกาสไปเจริญวิปัสสนาที่วัดบ้านสวิง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน หลวงปู่คำท่านเป็นศิษย์รูปหนึ่งของพระอาจารย์มุ่น ราคฺวฑฺฒโน ที่มีผู้เคารพเลื่อมใสจำนวนมาก และมีเรื่องเล่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมายไม่แพ้กัน
.
หลวงปู่คำเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งเมื่อท่านธุดงค์ตามสันเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างชายแดนไทย-ลาว จนมาปลักกลดที่ป่าแห่งหนึ่งใกล้ๆ ถ้ำภูสี่นาคอำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี (ในสมัยนั้น) คืนหนึ่งในขณะที่หลวงปู่คำนั่งสมาธิภาวนา ท่านก็ได้เห็นนิมิตเป็นพญางูใหญ่ เกล็ดแผ่นหนาสีดำ มีหงอนสีแดงสด เลื้อยคดเคี้ยวออกมาจากธารน้ำไหลถ้ำภูสี่นาค ผ่านออกมาทางปากถ้ำเห็นเป็นภาพน่าสะพรึงนัก
.
ในนิมิตของหลวงปู่คำนั้น พญางูได้เลื้อยรอบกลดของท่านเวียนเป็นทักษิณาวัตรสามหนแล้วจึงหยุดอยู่เบื้องหน้าหลวงปู่ ชั่วอึดใจเดียวก็จำแลงเป็นมนุษย์เพศชาย กายกำยำ แต่งตัวเหมือนเจ้านายเมืองลาวสมัยโบราณ พญานาคตนนั้นได้คุกเข่ากราบบูชาหลวงปู่แล้วจึงกล่าวเชิญหลวงปู่ลงไปที่เมืองบาดาล
.
ครั้นออกจากฌานแล้ว ในคืนเดียวกันหลวงปู่คำก็ได้เตรียมกัณฑ์เทศน์สำหรับสอนธรรมพร้อมด้วยอัฐบริขารที่จำเป็น เดินฝ่าความมืดตรงไปที่ถ้ำภูสี่นาคตามเส้นทางที่ปรากฎในภาพนิมิต หลวงปู่เดินเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษท่านก็ได้ยินเสียงธารน้ำไหลและเห็นผิวน้ำสะท้อนแสงจันทร์ ท่านเดินเลียบเงื้อมหินอีกเพียงชั่วครูก็ได้มาถึงปากทางเข้าถ้ำภูสี่นาคในที่สุด
.
หลวงปู่คำเล่าว่า ทันทีที่ท่านก้าวเท้าเข้าไปในถ้ำท่านก็รู้สึกวังเวงทันที เพราะโดยปกติแล้วถ้ำที่เย็นตามธรรมชาติเช่นนี้มักจะมีสัตว์ป่าหรือค้างคาวพักอยู่ยามค่ำมืด แต่ถ้ำภูสี่นาคนี้ไม่มีเสียงสัตว์ แมลง หรือแม้กระทั่งกลิ่นมูลค้างคาวเลย มีเพียงเสียงธารน้ำไหล ผิดวิสัยถ้ำสามัญนัก
.
หลวงปู่เดินลัดหินงอกในถ้ำเพียงครู่เดียวก็มาถึงทางตัน ท่านเล่าว่าครั้งนั้นภายในถ้ำมืดสนิทไม่มีแสงใดเล็ดลอด มีเพียงตะเกียงน้ำมันริบหรี่ในมือท่านส่องนำทางเท่านั้น หลวงปู่คำเกือบถอดใจมุ่งหน้ากลับที่ปักกลด แต่ท่านก็นึกถึงคำบอกเล่าของหลวงปู่มุ่นเสียก่อน ท่านว่าเมืองบาดาลของเหล่าพญานาคนี้มักจะมีคาถาอาคมบังตา ต้องเป็นผู้ได้รับคำเชิญเท่านั้นจึงจะผ่านเข้าไปได้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลวงปู่คำก็ตั้งจิตอธิษฐาน สำคัญว่าตนนี้ต้องการเผยแพร่ธรรมะ สั่งสอนนาคและบริวารให้มีบุญกุศล ไม่ได้ตั้งใจเบียดเบียนเลย ทันใดนั้นธารน้ำในถ้ำก็หยุดไหลเป็นอัศจรรย์ ตาน้ำค่อยๆ แห้งเหือด เห็นเป็นช่องหินที่ผนังถ้ำด้านหนึ่งขนาดพอคนลอดได้ ท่านจึงสวดพุทธคุณแล้วปีนลงไปในรูตาน้ำนั้น
.
หลวงปู่ท่านว่าภายในช่องตาน้ำแคบและอึดอัด หายใจแทบไม่ออก ยิ่งคลานเข้าไปก็ยิ่งเงียบและมืด ท่านได้แต่นึกในใจว่าขออย่าให้เป็นพญานาคฝ่ายร้ายเลย ในใจทั้งกลัวทั้งสงสาร เพราะการทำร้ายพระสงฆ์นั้นเป็นบาปอย่างยิ่ง ยังไม่ทันหมดความคิดหลวงปู่คำก็รู้สึกว่ามีน้ำเย็นๆ มาสัมผัสมือและเท้า ช่องแคบๆ ที่ท่านคลานอยู่เริ่มมีน้ำท่วมขึ้นมาจนหายใจไม่ออก ครั้นจะหันหลังถอยกลับก็ทำไม่ได้ จนในที่สุดน้ำก็ขึ้นมาท่วมจนเต็มช่อง ทำให้หลวงปู่คำหมดสติไป
.
หลวงปู่คำได้สติขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวท่านกำลังนอนอยู่บนเตียงฟูก มีกลิ่นน้ำอบ กำยาน หอมอบอวล รอบตัวเห็นเป็นตำหนักโบราณคล้ายว่าจะเป็นแบบอาณาจักรล้านช้าง เมื่อมองไปเบื้องหน้าหลวงปู่ท่านก็เห็นพญานาคในนิมิต แต่หนนี้ท่านสำคัญว่าท่านเห็นด้วยตาเนื้อ
.
“ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ารอคอยท่านมากี่ร้อยกี่พันปี” พญางูตนนั้นพูดกับหลวงปู่ กายท่อนบนของเขาจำแลงเป็นมนุษย์หนุ่มรูปงามผิวขาวอมเหลือง กายกำยำ ห้อยสังวาลเป็นรูปนาค แต่ท่อนล่างนั้นเห็นเป็นงูใหญ่เกล็ดดำมะเมื่อม “เจ้าเป็นใคร เราไม่เคยรู้จัก” หลวงปู่คำท่านตอบอย่างสนเท่ห์
.
“ชาติก่อนท่านคือท้าวสุวรรณชาตินาคราช ปกครองหมู่บริวารนาคอยู่ริมฝั่งเมืองสุวรรณโคมคำ” พญานาคตนนั้นกล่าว พลางเคลื่อนตัวเข้าโอบรัดหลวงปู่คำ “เราคือท้าวคำเกิดนาคราช เป็นพญานาคอยู่ที่นี่” พญานาคตนนั้นใช้มือล้วงเข้าไปในสบงของหลวงปู่ หลวงปู่ส่งเสียงครางลอดออกมาเบาๆ
.
ภาพนิมิตปรากฏให้เห็นเป็นชาติปางก่อน หลวงปู่คำจำได้ว่าตนเคยเกิดเป็นพญานาคนามสุวรรณชาตินาคราช แอบเสพสังวาสกับท้าวคำเกิดนาคราชอยู่ลับๆ นานหลายปี ครั้นเมื่อราชวงศ์พญานาคเก้าแม่น้ำทราบข่าวว่านาคเพศผู้สองตนสมสู่กันก็ไม่ยอมรับ จึงกีดกัน กดดันให้ทั้งคู่เลิกไปมาหาสู่จนท้าวสุวรรณชาตินาคราชตรอมใจตายในที่สุด ก่อนตายนั้นท่านได้ตั้งจิตว่าขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์และอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับความรักอีกเลย
>>724 ต่อ
เมื่อได้สติหลวงปู่ก็พบว่ามีน้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้ม ท่านรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน “ทำไมท่านถึงใจร้ายเช่นนี้ ท่านตัดใจจากความรักเพียงเพราะความเจ็บปวด แต่ข้ายอมทนความเจ็บปวดนานนับพันปีเพื่อรอให้ท่านนำความรักกลับมา” ท้าวคำตัดพ้อ ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงค่อยๆ โน้มตัวเข้าใกล้ ลิ้นสองแฉกของเขาตวัดเลียที่หัวนมของหลวงปู่
.
“ผ่านมากี่ภพกี่ชาติ ท่านก็ยังมีจุดเสียวที่หัวนมสินะ” ท้าวคำเกิดกระเซ้า สองมือเลื่อนลงไปคลึงที่ปลายลึงค์หลวงปู่
.
“อาตมาว่าแบบนี้ไม่ควร อาตมาครองเพศบรรพชิต จีวรเหลืองยังคลุมร่างกาย แบบนี้เป็นบาป” หลวงปู่คำพยายามต้านทานความรู้สึกในจิตใจ
.
“ก็ถอดจีวรออกสิ ข้ารู้ว่าท่านก็ต้องการข้า ข้าเห็นสายตาที่ท่านมองมาตอนนั่งกรรมฐาน” คำเกิดนาคราชใช้มือปลดเปลื้องจีวรของหลวงปู่ ส่วนหางที่เป็นงูก็ค่อยๆ ถอดสบงออกจนหลวงปู่เปลือยเปล่า อ้อมแขนรัดอ้อมแขน หางงูรัดพันขา ชิวหาแลกลิ้น หลวงปู่คำไม่สนใจอีกต่อไปว่าสิ่งใดผิดศีลสิ่งใดปาราชิก ความรู้สึกที่สะสมมานานแม้พระธรรมก็ไม่อาจฉุดรั้ง
.
“อาตมาบวชเณรมาตั้งแต่เด็ก สำคัญตนว่ากำลังหนีทุกข์ แต่จริงๆ อาตมากำลังหนีความผิดหวังจากความรัก” ท่อนเนื้อของหลวงปู่ทะลวงเข้าไปในช่องส่วนหลังของท้าวคำเกิด หางงูคำเกิดที่โอบรัดก็กระทุ้งเข้าไปส่วนหลังของหลวงปู่คำ ทั้งคู่ส่งเสียงอืออาสะท้อนผนังถ้ำจนระงม การตีระฆังเพลดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาเจ็ดวันกระทั่งหลวงปู่หมดสติไป
.
หลวงปู่เล่าว่ารุ่งขึ้นชาวบ้านพบหลวงปู่ในสภาพที่อิดโรย ชาวบ้านว่าถ้ำภูสี่นาคนั้นมีพญางูฤทธิ์กำแหงนัก ที่ผ่านมาผู้มีอาคมมากมายพยายามกำราบแต่ก็กลายเป็นศพเสียหมด แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้เจอพญานาคอีกเลย ชาวบ้านจึงว่ากันว่าหลวงปู่คำเป็นผู้ปราบพญางูถ้ำสี่นาค หลังจากนั้นหลวงปู่คำก็ยังแวะเวียนไปถ้ำภูสี่นาคทุกพรรษาเพื่อสะกดฤทธิ์พญานาค ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเสียงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่คำ กามวุฑฺโฒ ก็เป็นที่รู้จักไปทั่ว
‘เราไม่เลิกกันได้ไหม ทำไมคุณไม่บอกให้ฉันแก้ไข ทำไมเราไม่ปรับเปลี่ยนให้อะไรๆมันดีขึ้นมา’ ฉันถาม
.
คุณเงียบไป คล้ายครุ่นคิด คล้ายลำบากใจ
‘ผมว่ามันไม่สำคัญว่าเราจะใช้คำว่าเลิกกันอย่างเด็ดขาดหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว’ เขากล่าวตอบ พลางหลบสายตา
.
‘ถ้าความรู้สึกของคุณมันหายไปง่ายดายขนาดนั้น ฉันจะเชื่อคุณได้อย่างไรอีก ฉันจะเชื่อใครได้อีก’
.
‘ที่ผมเคยรักคุณมันเป็นเรื่องจริง แต่ในตอนนี้ที่ผมไม่รักคุณ—มันก็เป็นความจริง
.
ผมผิดเองที่ความรู้สึกมันหายไปง่ายดายขนาดนั้น หายไปก่อนคุณ แต่ผมอยากซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง’
.
‘ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันหายไป’
.
‘ผมไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ที่มองหน้าคุณ ผมไม่เห็นอะไรเลยนอกจากใบหน้าที่ผมไม่ได้อยากจูบหรือหอมอีกแล้ว หลงเหลือแค่ความเป็นห่วง ผมยังหวังสิ่งดีๆสำหรับคุณเสมอ แต่ผมไม่ใช่สิ่งดีๆในชีวิตคุณแล้ว ผมเป็นให้ไม่ได้’
.
เขาร้ายกาจนัก แต่มันเป็นความจริงที่ร้ายกาจ จะตะบี้ตะบันยื้อให้ยังอยู่ก็คงไม่มีอะไรดี ฉันทำได้เพียงเก็บเศษความรักที่เขาไม่ต้องการออกมา เก็บมันใส่กระเป๋าเดินทาง
.
คนที่หยุดรักก่อนไม่ได้ผิดอะไร แต่คนที่ยังรักอยู่เท่านั้นที่ต้องจัดการหัวใจตัวเอง
.
ฉันอยากกอดเพื่อบอกลา แต่จะกอดลงได้อย่างไร กับคนตรงหน้าที่ไม่ปรารถนาในกายและใจของฉันอีกต่อไปแล้ว
ถามหน่อย นิยายจีนโบราณที่ตัวละครชายเป็นลูกคนรวยแต่ทำอาหารเป็นเข้าครัวได้ ถ้าเป็นในสมัยก่อนพ่อแม่คนจีนๆจะมองเป็นเรื่องดีรืเปล่า เหมือนที่ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรีจ๋า แล้วผู้ชายที่ต้องเป็นเสาหลักในสมัยนั้น ทำงานบ้านที่เป็นหน้าที่ของผญในตอนนั้น จะถูกว่าไหมอะ
>>727 ขนาดผู้หญิงอะ ถ้าเป็นฮูหยินเข้าไปครัว พวกคนใช้ก็แตกตื่นแล้วว่าจะมาทำไม ไม่ให้หยิบจับอะไรเลย ทั้งที่นางเอกอยากทำ ทำได้แค่ยืนชี้ ยืนสั่งอะ แล้วถ้าเป็นผู้ชายนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยคับปม แต่ถ้าเออมันอยาก มึงก็คงต้องเขียนพล็อตหนีออกจากบ้านหรือไม่ก็ตกระกำลำบาก แล้วกลายเป็นพ่อครัว ตอนหลังถึงกลับมาคืนตำแหน่งเป็นคุณชายละ ยังชอบทำอาหารก็ว่าไป พอๆ กูเพ้อมากไปละ 5555
สาวปากร้าย-กะ-นายถุงไข่
"จะพาไปดูเน็ตฟลิกซ์ก็คือดูเน็ตฟลิกซ์ ไม่ได้แปลว่าจะพากันไปเ ย็ด"
.
"งั้นเราไปเ ย็ดกันเถอะ เน็ตฟลิกซ์น่ะช่างแม่มัน"
.
"เฮ้ย ไม่ได้ฟังที่พูดเหรอวะ ฉันบอกว่าเน็ตฟลิกซ์ก็คือเน็ตฟลิกซ์ คนรณรงค์เรื่องความยินยอมกับทั้งบ้านทั้งเมือง คุณแม่งยังมาชวนเ ย็ด เป็นเหี้ยอะไร"
.
"ดูคุณโกรธนะ"
.
"ก็ใช่ไง ฉันโกรธ โกรธที่คุณชวนไปดูเน็ตฟลิกซ์แล้วสุดท้ายคุณชวนไปเ ย็ด"
.
"ก็นี่ไง ผมก็พึ่งเผยจุดประสงค์ ช่างแม่งเน็ตฟลิกซ์ ไปเ ย็ดกันเถอะ"
.
"ไอ้เหี้ย คุณเลิกทำตัวแบบนี้ได้ป่ะ ทำไมไม่ถามความยินยอมกันก่อน สรุปคุณใช้หัวหรือใช้ควยคิด"
.
"ผมก็ชวนอยู่ ถ้าคุณจะไปก็ไปกับผม ถ้าไม่ไปก็ไม่ต้องไป ผมให้คุณเลือกได้เลย แล้วทำไมคุณถึงยังโกรธ"
.
"คุณมันไร้สมอง คุณมัวแต่คิดว่าผู้หญิงจะเป็นได้แค่เครื่องมือระบายความใคร่ นี่คือสิ่งที่ฉันเกลียดคุณชิบหาย"
.
"แล้วสรุปคือคุณต้องการอะไร"
.
"ฉันต้องการให้คุณให้เกียรติฉันในฐานะมนุษย์คนนึง ไม่ใช่วัตถุทางเพศที่ถ้าคุณอยากได้คุณก็ต้องได้"
.
"ผมถึงได้ชวนคุณดีๆนี่ไง แล้วทำไมคุณยังโกรธอยู่ล่ะ"
.
"เพราะคุณมันไม่มีหัวคิด แล้วเอาแต่คิดว่าจะเ ย็ดอย่างเดียวไง"
.
"แล้วผมก็ชวนคุณดูเน็ตฟลิกซ์เพราะมันจะได้มีเวลาในการเรียนรู้สัมผัสทางกายแล้วก็รสนิยมซึ่งกันและกันไง คือเซ็กส์เป็นเรื่องของการปรับจูนตัวตนของคน 2 คนไม่ใช่เหรอ"
.
"เนี่ยเห็นมั้ย คุณแม่งโง่บรมเลย สุดท้ายคุณก็วกกลับไปหาเน็ตฟลิกซ์ เอาเน็ตฟลิกซ์มาเป็นข้ออ้างหาเรื่องเ ย็ดฉัน"
.
"สรุปคือ?"
.
"คือ?"
.
"อ้าวแล้วคืออะไรล่ะ?"
.
"ก็.. ก็คืออะไร"
.
"เอางี้นะ ผมชวนคุณไปดูเน็ตฟลิกซ์ เพื่อที่เราสองคนจะได้เรียนรู้สัมผัสรสนิยมกันและกันหน่อย ไม่ใช่ชวนปุ๊บไปเ ย็ดปั๊บ แม่งโคตรไร้รสนิยม แล้วคุณก็แม่งบอกว่าถ้าอยากเ ย็ดก็ชวนเ ย็ด คุณรู้มั้ย ไอ้เหี้ย Tasteless ชิบหาย คุณแม่งไร้ซึ่งวาทศิลป์ใดๆในการจูงใจคน คุณแม่งยังไม่สามารถ convince ผมให้เข้าใจจุดประสงค์ในการแสดงอาการโกรธของคุณได้เลยด้วยซ้ำ ทั้งไม่ว่าผมจะชักชวนคุณด้วยวิธีไหนก็ตาม ไม่ว่าจะทางอ้อม ทางตรง คุณล้วนปฏิเสธสัมพันธ์ในฐานะมนุษย์ เราอาจจะแค่เ ย็ดกันแล้วจบไปตามที่คุณคิด แต่อย่างน้อยผมมองว่าการได้เรียนรู้สร้างความประทับใจก็เป็นอีกหนึ่งทางที่เราจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ผ่านอารมณ์และความรู้สึก ไม่ใช่แค่การเ ย็ดกันแล้วจากไปโดยไม่มีอะไรทิ้งท้ายไว้ให้จดจำ ทีนี้ คุณบอกผมที ยังโกรธผมอยู่มั้ย"
.
"โกรธ และฉันเริ่มจะเกลียดคุณแล้วด้วย"
.
"นี่อธิบายเป็นฉากๆเผื่อว่าคุณจะเข้าใจแล้วนะ"
.
"คุณแม่ง mansplain ชิบหาย หลักคิดโลกวนอยู่รอบควย"
.
"โอเค แม่หีหลุมดำ"
.
"หมายความว่ายังไง"
.
"โลกไม่ได้วนรอบควยผมหรอก แต่จักรวาลถูกดูดเข้าหีคุณ แค่นี้นะ"
เธอทเวิร์ค ผมทเวิร์ค เราทเวิร์คด้วยกันทั้งคืน จนกระทั่งตำรวจเข้ามาตรวจสอบจุดเกิดเหตุฆ่าหั่นศพในห้องของเรา ศพของพวกเราเองแหละ เราทเวิร์คใส่ยมทูตด้วยสองกรุบ
เท้าลืมรอยของมันเองไปแล้ว ตัวฉันก็ลืมเช่นกัน
ชีวิตวัยเด็กเกือบยี่สิบปีในบ้านทึมทึบหลังนี้ ทำให้ฉันคิดแต่จะจากไป ระหว่างจำเป็นต้องพึ่งพิงค่าใช้จ่าย ฉันเข้าเรียนมัธยมปลายในอำเภอที่อยู่ห่างไปกว่าห้าสิบกิโลเมตร กลับบ้านอย่างมากสัปดาห์ละครั้ง พอขึ้นมหาวิทยาลัย นิ้วมือข้างเดียวนับแล้วก็ยังเหลือ
ครั้นยืนด้วยขาตัวเองได้มั่นคง ฉันก็ถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างบ้านกับฉันจบสิ้น
ฉันคิดเช่นนั้น ทว่าความจริงมันไม่ใช่
มนุษย์ไม่สามารถตัดเส้นเลือดตัวเองขาด ช่างเป็นกฎธรรมชาติที่น่าเศร้าและโหดร้าย
ทั้งที่ความทรงจำรางเลือน ใบหน้าญาติ ๆ ก็จำไม่ได้ เสียงเรียกนั้นก็ยังกวนใจฉันเสมอ
“ย่าถูกสาป”
เสียงสั่นเครือของย่าแว่วขึ้นมาในหูทุกครั้งที่หัวฉันว่างโล่ง และก็เป็นต้องรู้สึกคล้อยตามเสียทุกทีด้วยว่า “ฉันถูกสาป” ฉันต่างหากที่ถูกสาปโดยย่าผู้เคียดแค้นหลานสาวที่พยายามลืมรากเหง้าของท่าน
รากเหง้าของแม่มด
สมัยยังอยู่บ้านหลังนี้ ฉันมักถูกใช้ให้อยู่เป็นเพื่อนย่าผู้เดินเหินไม่ได้ คอยเปลี่ยนผ้าอ้อม ซับน้ำลาย และฟังท่านพึมพำบทสวดในภาษาที่ไม่น่าจะมีอยู่บนโลกนี้ “เป็นบ้า” ทุกคนลงความเห็น ฉันก็เช่นกัน มันช่วยไม่ได้ที่คนหนึ่งจะเป็นบ้า แต่พระเจ้าก็โปรดช่วยฉันด้วยเถอะ การดูแลยายแก่ที่พร่ำเพ้อว่าตนคือแม่มดอยู่ตลอดวันก็ทำให้ฉันใกล้จะเป็นบ้าเหมือนกัน !
นกมักตกมาตายตรงหน้าต่าง มดไม่เคยไต่มาเก็บเศษน้ำตาลบนตัวย่า ต้นพลูด่างข้างเตียงไม่เคยเหี่ยวเฉา ฉันเริ่มสังเกตเห็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัวย่า ฉันสงสัยและหวาดระแวงว่าการได้ยินภาษาแปลก ๆ นานวันเข้าคงทำให้เริ่มเชื่อว่าแม่มดมีตัวตนจริง ๆ
เมื่อฉันบ่นเรื่องนี้กับพ่อ ท่านปลอบใจ “ย่าก็แค่เลอะเลือน” ฉันพยายามคิดเช่นนั้น แต่มันไม่ได้ผล จริงอยู่ ย่าเลอะเลือน ย่าเป็นบ้า แถมยังเป็นแม่มดอีกด้วย !
ฉันอดทนอยู่เป็นเพื่อนย่าต่ออย่างยากลำบาก ถ้าแค่ละเมอว่าเป็นแม่มด ฉันอาจจะอยู่บ้านหลังนั้นได้นานอีกหน่อย ถ้าเพียงแต่ย่าจะไม่เอ่ยถึง ‘คำสาป’
“ย่ากำลังจะตาย เมื่อคืนมันมาหาย่า มันหาย่าเจอแล้ว โอ ย่ากำลังจะตาย”
ฉันแทบขว้างหนังสือเกี่ยวกับโครงการอวกาศที่กำลังอ่านทิ้ง พยายามกัดฟันข่มเสียงกรีดร้อง ลุกขึ้นเดินลงส้นเท้าตึง ๆ ลงเรือน โรงเรียนเปิดเทอมเมื่อไหร่ฉันจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้ ทิ้งความป่วยไข้ของย่าให้น้องสาวรับผิดชอบแทน
อาจดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ถ้าอยู่กับย่าต่อ ฉันคงไม่พ้นกลายเป็น ‘แม่มด’ เหมือนย่า
พ่อกับน้องดูแลแม่มดสองตนไม่ไหวแน่
“จิวาน จิวาน จิวาน...”
ย่าร้องเรียกซ้ำไปซ้ำมา ฉันไม่หันกลับ สวนอึมครึมรกทึบบดบังฉันจากประสาทสัมผัสของย่า ทว่าเสียงเรียกยังดังอยู่ ไม่แผ่วลงแม้แต่น้อย หรือมันดังอยู่ในหูฉัน หรือฉันกลายเป็นแม่มดเสียแล้ว
ฉันอุดหู ปิดตา คู้ตัวราวกับจะช่วยให้หลบพ้น ทว่านอกจากหนีไม่พ้น มันยิ่งทำให้ฉันเหมือนคนบ้า ไม่รู้ตัวว่ากำลังกรีดร้องสะอึกสะอื้นก่นด่าย่าอยู่จนกระทั่งพ่อซึ่งได้ยินเสียงตามมาเขย่าตัวเรียกสติ
ฉันร้องไห้น้ำตานอง อยากกอดพ่อ ทว่ายกแขนไม่ขึ้น สีหน้าเศร้าโศกของพ่อทิ่มแทง ทั้งที่สงสารเห็นใจฉันแท้ ๆ แต่ทำไมถึงยังผลักฉันลงไปในบ่อแห่งความเพ้อคลั่งของย่าอยู่อีก ยอมให้ฉันผุดขึ้นมาสูดอากาศเพียงครู่ แล้วก็กดหัวฉันลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หนูไม่ไหว ! หนูทนไม่ได้ ! หนูเกลียดย่า ! หนูเกลียดพ่อ ! เกลียด ๆ ๆ ๆ ๆ !!!”
- - - -
“ซักวันแกจะเป็นเหมือนฉัน”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันทนฟังได้ ฉันคิดว่าย่าจะตายหลังจากฉันขึ้นมหาวิทยาลัย แต่ผิดคาด ท่านยังมีชีวิตอยู่อีกหลายปี ‘มัน’ ไม่ได้เร่งรีบเก็บเกี่ยวชีวิตท่านไป แม่มดอาจเป็นเพียงภาพหลอน กระนั้นฉันก็ทำใจกลับมานั่งข้างท่านไม่ได้จริง ๆ แม้ขณะกลับมาบ้านช่วงวันหยุด ฉันก็ไม่คิดจะเฉียดใกล้ห้องทึมเทานั้น
กระทั่งวันนี้
แม่มดตายไป ร่างถูกเผาเป็นเถ้าถ่านคืนผืนดิน ฉันก็ยังไม่กล้าเชื่อว่าย่าตายแล้วจริง ๆ ประตูที่ฉันหวาดหวั่นแง้มออกอย่างเชื่องช้า ลมสายหนึ่งพัดกลิ่นอับน่าสะอิดสะเอียนปะทะใบหน้า ฉันชะงัก มือสั่นระริก อยากกระแทกประตูกลับ แล้ววิ่งหนีไปให้ไกล ทว่าเสียงฝีเท้าแผ่วเบาด้านหลังทำให้ฉันตามใจตัวเองไม่ได้
“พี่ใจร้ายมากกนะ” น้องสาวต่อว่าด้วยเสียงสะอื้น
เธอเกลียดฉัน หรือย่า
ฉันไม่รู้
“เข้าไปสิ เข้าไปดูว่าพี่ทิ้งฉันไว้กับอะไร”
แต่มันไม่มีอะไร
ทุกสิ่งเปลี่ยนไป ทว่าเวลายังคงอยู่
พยานโศกนาฏกรรมของแม่มดมีเพียงฟูกนอนที่พับไว้อย่างเรียบร้อย กับกระถางต้นไม้ตรงมุมห้อง ย่าตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครโศกเศร้าเสียใจ ไม่มีใครหลั่งน้ำตายื้อเรียก งานศพเรียบง่าย เชิญแขกพอให้ไม่ถูกพูดได้ว่าลูกหลานเย็นชาเกินไป
“ย่ารักพี่มาก” น้องสาวบอก
ฉันส่ายหน้า ไม่ใช่หรอก ไม่มีใครสาปแช่งคนที่ตัวเองรัก
“ย่าพูดถึงแต่พี่”
เธอชี้ไปยังตู้ไม้ตรงมุมห้อง หลังตู้มีกล่องเหล็กเก่า ๆ วางอยู่ สนิมขึ้น แต่ก็ยังพอดูสีเดิมออก
สีฟ้า สีของท้องฟ้า สีของทะเล
ทะเล
จำได้ว่าย่าชอบทะเลมาก แต่ฉันเกลียด มันเคยเกือบกลืนฉันลงไป ย่าเล่าว่าวิญญาณที่ถูกทิ้งไว้ในทะเลจะล่องลอยอยู่ตรงนั้น หาทางกลับบ้านไม่ได้ ทั้งที่นั่นเป็นสิ่งที่ฉันต้องการแท้ ๆ แต่ฉันกลับเกลียด
ย่าชอบทะเล
ท่านอยากตายอยู่กลางทะเลหรือเปล่า
ฉันไม่แน่ใจ
ในกลองเต็มไปด้วยเศษรากไม้ กิ่งไม้ และใบไม้เก่าผุ ๆ ฉันไม่รู้ว่ามันมีไว้เพื่ออะไร หรือสำคัญยังไงกับตัวเอง ฉันปิดฝา วางมันไว้ที่เดิม แล้วออกจากห้อง
กลิ่นอับตามฉันออกมา
ทุกสิ่งทุกอย่างของย่าห้อยติดตัวฉันมาตั้งแต่วันนั้น แม้จะหนี ทำเป็นลืม กลิ่นเหม็นอับ เสียงสวดพึมพำ นกตาย ต้นพลูด่าง รวมถึงความรัก และความเกลียดชัง
จิตแพทย์ที่ฉันพบประจำบอกว่าแม่มดไม่มีจริง มันเป็นเพียงความเครียด มลพิษของเมือง และงานหนักทำให้ฉันเครียดโดยไม่รู้ตัว
เสียงรถราแว่วเหมือนเสียงคนท่องมนต์ กลิ่นท่อระบายน้ำแค่บังเอิญคล้ายห้องของย่า ฝุ่นเกาะกลุ่มกันเป็นรูปกา พลูด่างเป็นพืชเลี้ยงง่าย ไม่ใช่ต้นไม้ที่มีชีวิตนิรันดร์แต่อย่างใด
บาดแผลบนตัวฉันอาจจะเกิดจากการนอนละเมอ
ไม่ใช่คำสาปแช่ง
ไม่ใช่เพราะย่าหรือฉันเป็นแม่มด
--- (1)
ว่างเปล่าจังเลย
ความคิดนี้วนกลับมาอีกครั้งเมื่อฉันได้ตื่นขึ้นมา ก่อนจะมองไปที่มือถือแล้วเห็นว่าไม่มีข้อความจากคนที่รอคอย
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่มือถือของฉันไม่มีแจ้งเตือนจากคนๆนั้น?
จากที่เคยรอคอยเพียงแค่ไม่กี่ชม. กลายเป็น 3 วัน กลายเป็น 1 อาทิตย์ จนตอนนี้ก็จะ 1 เดือนเข้าแล้ว
ปกติถ้าผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่มีการตอบกลับมาก็ควรจะลืม ๆ แล้วคุยกับคนใหม่ไปได้แล้วแท้ ๆ
ฉันมองไปที่มือถืออีกครั้ง ทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าควรจะทักเขาไปดีไหมนะ
แต่ว่าไม่อยากถูกปฏิเสธเลย...
ถ้าเขาไม่ตอบละ? ถ้าเขาส่งเพียงแค่สติกเกอร์กลับมาละ?
แค่คิดรู้สึกพ่ายแพ้แล้ว เพราะงั้นเลยไม่มีความกล้าขึ้นมาสักที
ในความคิดตอนนี้เรื่องที่พอจะทักไปได้ก็มีแต่เรื่องโง่ ๆ ที่สามารถหาคำตอบได้เองทั้งนั้น
อยากได้ยินเสียงนายจัง มันผ่านมานานเกินไปแล้วนะ
เมื่อก่อนเราคุยกันบ่อยมากเลยนะ นานเป็น 10 ชม.ทุกวันเลย แม้จะมีแต่เรื่องเกมที่เล่นด้วยกัน กับมุกแป้กกาก ๆ ที่ถ้านายไปเล่นกับคนอื่นที่ไม่ใช่เราคงไม่มีใครขำแน่ ๆ
ทำไมความสัมพันธ์ของเราถึงห่างเหินขึ้นแบบนี้เหรอ ฉันทำอะไรพลาดไปรึเปล่า
ถ้าฉันบอกนายว่าคิดถึงจัง ไม่ได้คุยกันตั้งนานนายจะตอบฉันไหมนะ?
>>736
---(2)
แน่นอน มันเป็นเพียงแค่ความคิดที่ฉันไม่คิดจะทำ
เพราะลึก ๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมากเกินไปกว่าเพื่อนคนหนึ่ง
ขืนบอกไปแบบนั้นอาจจะโดนบล็อคกลับมาก็ได้
รอเขาชวนคุยดีกว่า
แต่ว่าเมื่อไรกันละ...
อากาศเริ่มร้อนขึ้นจนฉันเลือกที่จะไปอาบน้ำแทนที่จะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาคิดเรื่องของเขา
แต่สุดท้ายฉันก็ยังคิดถึงเขาตอนที่อาบน้ำอยู่ดี
นายเบื่อกันรึเปล่านะ? หรือว่ารอฉันทักไปรึเปล่านะ?
ทั้งเราและนายต่างก็เกิดเดือนเดียวกัน ถ้าจะคิดว่านายเองก็รอฉันทักไปเหมือนกันจะเป็นการเข้าข้างตัวเองรึเปล่านะ?
ถ้าเขาอยากคุยคงทักมาแล้วละน่า...
นายคงไม่ได้คิดแบบเดียวกันและก็รอฉันทักไปใช่ไหม?
แต่มันไม่เหมือนกันเลยนี่ พอฉันทักนายไปทีไรนายก็ตอบมาแค่สั้น ๆ ทุกทีเลยนะ ถึงจะตอบทันทีทุกครั้งก็เถอะ แต่นายก็คงเป็นแบบนั้นกับทุกคนอยู่แล้วใช่ไหมละ
ทั้งที่ตอนที่นายทักมา ฉันตอบนายทันทีและก็ตอบตั้งเยอะด้วย
นายคงรู้ใช่ไหมว่าฉันรอคุยกับนายตลอดเลย
ท่ามกลางกลุ่มคน ฉันได้ยินแต่เสียงนาย คุยแค่กับนาย และตอบแค่นายคนเดียว
ชัดเจนขนาดนั้นไม่มีทางที่นายจะไม่รู้
รู้ใช่ไหมว่าฉันชอบนาย
นายรู้ใช่ไหม?
ถ้าอย่างงั้นทำไมถึงได้หายไปกันละ?
ความคิดหลาย ๆ อย่างเริ่มหลั่งไหลเข้ามาทำให้หงุดหงิดจนจะร้องไห้
คงมีแค่ฉันแหละที่บ้าไปเอง
ฉันควรจะเลิกคิดเรื่องของคน ๆ นี้สักที
>>737
---(3)
โกหกแหละ ถ้าทำได้คงไม่เก็บมาคิดทั้ง ๆ ที่ผ่านมาตั้ง 1 เดือนหรอก
กลับมาย้อนอ่านประวัติข้อความที่เคยคุยกันอีกครั้ง
นายก็ชวนเราคอลคุยตั้งหลายครั้งเลยนะ ทักมาก็บ่อยพอ ๆ กับที่เราทักไปเลย
แสดงว่านายคงไม่ได้รำคาญกันหรอกใช่ไหม?
แล้วมันเป็นเพราะอะไรกัน...
นี่เป็นคำถามที่ฉันสงสัยทุกวันมาเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม
และฉันตั้งใจว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย
>>738
---(4)
ผ่านมานานแค่ไหนไม่รู้ที่ไม่ได้ติดต่อกับคน ๆ นั้น สุดท้ายก็ยังคิดถึงอยู่แต่ก็ได้หันไปทำอะไรต่าง ๆ มากขึ้น
กลับกลายเป็นรู้สึกอยากขอบคุณที่เขาหายไปซะแทน เพราะในที่สุดฉันก็ได้ฝึกฝนตัวเองจนกลับมาทำงานได้อีกครั้งสักที
ในช่วงเวลาโควิดที่ออกจากบ้านไม่ได้ เพื่อที่จะไม่ฟุ้งซ่านฉันจึงตั้งใจอ่านหนังสือสอบอย่างบ้าคลั่ง และฝึกภาษาเพื่อไปทำงานต่างประเทศได้สำเร็จ
จนตอนนี้ก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากแม้จะแอบโหวงเพราะในใจยังคิดถึงเขาอยู่ค่อนข้างมากก็ตาม
ปกติคนเราไม่ควรหมกหมุ่นกับใครสักคนเป็นปีแท้ ๆ เลยนะ
แต่ว่าในวันนี้ความรู้สึกพวกนั้นมันหายไปแล้วหมดละ
ไม่ใช่เพราะตัดใจได้...
แต่เป็นเพราะคน ๆ นั้นกลายเป็นเพื่อนร่วมงานในบริษัท
อา ควรจะแสดงสีหน้ายังไงดีนะ?
"Realm of Fantasy" เกมออนไลน์เกมใหม่ที่เพิ่งเปิดโอเพ่นเบต้าเมื่อตอนบ่ายสอง ผมรอเวลานี้มานานร่วมปี หลังจากที่มีข่าวเปิดตัว ในที่สุดผมก็ได้เล่นเกมนี้ซักที พอเลิกเรียนเสร็จผมก็รีบวิ่งกลับไปที่บ้าน ตรงดิ่งไปที่คอมพิวเตอร์แสนรักของผม ล็อคอินเข้าเกมด้วยบัญชีที่สมัครเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อพบกับดินแดนแห่งความแฟนตาซีที่รอผมอยู่
"ขณะนี้มีผู้เล่นในเซิฟเวอร์เต็มจำนวนค่ะ กรุณาเข้าคิวรอ
จำนวนผู้เล่นเข้าคิว : 420"
"นี่ก็รอมาสามชั่วโมงแล้วนะ เมื่อไหร่จะได้เข้าเกมล่ะเนี่ย เบื่อโว้ย เบื่อ เบื่อจริงจริ๊งงง" ผมได้แต่บ่นไปเรื่อยระหว่างที่ตาก็คอยนับถอยหลังว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวของผมซักที นี่ขนาดผมทำการบ้าน อาบน้ำ กินข้าว ฟังเพลงวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ผมชอบจนจบอัลบั้ม ผมยังไม่ได้เข้าเกมเลย ได้แต่นั่งถอนใจว่าเมื่อไหร่จะได้เล่นเกมที่ผมรอคอยมานานซักที ทันใดนั้นเอง
"จำนวนผู้เข้าคิว : 250"
"จำนวนผู้เข้าคิว : 125"
"จำนวนผู้เข้าคิว : 20"
ผมถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้เห็นคิวผู้เล่นลดลงไปเรื่อยๆในไม่กี่วินาที อีกไม่กี่วินาทีสินะที่ผมจะได้เพลิดเพลินไปกับดินแดนแห่งความแฟนตาซีที่รอผมอยู่
"ขออภัยด้วยค่ะ ขณะนี้เรากำลังทำการปิดปรับปรุงเซิฟเวอร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 23 สิงหาคม เวลา 12.00 AM ตามเวลา UTC ค่ะ"
ผมได้แต่มองข้อความนี้ซ้ำไปซ้ำมาแล้วได้แต่ถามในใจว่า "12.00 AM ตามเวลา UTC นี่มันกี่โมงวะ" ผมจึงนั่งค้นหาในเว็บไซต์เซิร์จเอ็นจิ้นแล้วผมก็ได้รู้ว่า มันคือเวลาห้าโมงในไทย หรือก็คือตอนนี้นี่เอง
"ถ้าเกมมันไม่พร้อมแล้วคุณพี่จะเปิดทำซากอะไรคร้าบบ! ถามจริ๊งงง!" ผมตะโกนออกไปด้วยความหัวเสียที่นอกจากเซิฟเวอร์จะไม่เพียงพอต่อผู้เล่นแล้ว ยังนับเวลาสากลไม่เป็นอีก หลังจากที่หัวเสียได้ซักพัก ผมก็ลองล็อคอินเข้าเกมใหม่อีกรอบ แต่คราวนี้ได้ผล ตัวเกมขึ้นหน้าต่างให้เลือกเซิฟเวอร์ได้ตั้งมากมาย แต่แทบทุกเซิฟเวอร์มีผู้เล่นเต็มไปหมดจนไม่สามารถเข้าไปเล่นได้ ผมพยายามเลือกเซิฟเวอร์ SEA อย่างสุดชีวิต เพราะอินเตอร์เน็ตของผมไม่สามารถไปเล่นในเซิฟเวอร์อื่นได้ จนในที่สุด ผมก็สามารถเข้าไปเล่นในตัวเกมได้ซักที
"นี่คือโลกแห่งอูราเซีย โลกที่เต็มไปด้วยเวทย์มนต์และสัตว์วิเศษ ที่กำลังถูกจอมมารผู้ชั่วร้ายหมายจะครอบครองดินแดนแห่งนี้ ท่านผู้กล้ามีนามเช่นไรกัน" เสียงผู้หญิงอันหวานซึ้งชวนหลงไหลได้ดังขึ้น พร้อมหน้าต่างให้กรอกชื่อตัวละครที่ผมจะสร้าง ผมมีชื่อหนึ่งอยู่ในในมานานจึงไม่รอช้าที่จะกรอกชื่อและนามสกุลของตัวละครลงไป
"รับรองว่าชื่อนี้ไม่มีใครเหมือนแน่" ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในการตั้งชื่อของตน แต่ทว่า...
"ขออภัยค่ะ ชื่อนี้มีคนใช้ซ้ำไปแล้วค่ะ"
"นี่มันยังมีคนคิดชื่อเห่ยเหมือนตูอีกเหรอวะเนี่ย!!! สมหมาย ชายทุ่ง มีคนใช้ซ้ำไปแล้วเนี่ยนะ" ผมตะโกนออกมาด้วยความหัวเสียที่อุตส่าห์คิดชื่อที่ไม่น่าจะมีใครกล้าใช้ แต่ดันมีคนมาใช้ตัดหน้าไปซะก่อน ผมที่ไม่ได้เตรียมชื่ออื่นจึงลองสุ่มชื่อใหม่จากระบบสุ่มชื่อตามความสนใจ ผมจึงกรอกลงไป ทั้งนักร้องในวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ชอบฟัง ตัวละครเอกในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ชอบ และอย่างอื่นอีกมาก แล้วระบบก็สุ่มชื่อว่า...
"มิยาวากิ มัสแตง สตราโตคอฟสกี้ที่ 48"
ผมได้แต่นั่งกุมขมับกับระบบที่สุ่มชื่อออกมาให้ผม ผมนึกว่าจะมีการอนาแกรมชื่อให้ดูเป็นผู้เป็นคนกว่านี้ ระบบดันยัดชื่อกับนามสกุลมาทั้งดุ้น แล้วไอ้สตราโตคอฟสกี้ที่ 48 มันมาจากไหนอีก ผมพยายามจะสุ่มชื่อใหม่ แต่แล้วก็มีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมา
"นามนี้เป็นนามที่ดียิ่ง เทพธิดาโอฟิเลียจึงได้ประทานพรให้ท่านด้วยการมอบกล่องสุ่มอาวุธระดับ SSR จำนวน 1 กล่อง
เงื่อนไข : หากท่านทำการสุ่มชื่อใหม่หรืออกไปสร้างตัวละครใหม่ จะไมมีการมอบไอเทมดังกล่าวอีก"
"เอายังไงดีวะตู ของก็อยากได้ แต่ชื่อนี่ไม่ไหวเลยว่ะ" ผมบ่นรำพึงพลางครุ่นคิดไปด้วย ในขณะนั้นผมก็สังเกตข้อความที่เพิ่มเติมตัวเล็กๆในบรรทัดล่างสุด
"เวลาในการตัดสินใจจะหมดลงใน 5...4....3...2..."
ผมกดยืนยันเลือกชื่อนี้แบบไม่ลังเล
ความรู้สึกโหยหาที่พยายามกดไว้เกือบสามสิบปีปะทุขึ้นระหว่างดูข่าวต่างประเทศในเช้าวันหนึ่ง น้ำตาพริมารื้นอย่างไร้เหตุผล สามีรีบเปลี่ยนช่อง ทว่าไม่ทัน เธอซบลงสะอึกสะอื้นหลั่งน้ำตาไร้สุ้มเสียง คำปลอบโยนไม่ช่วยคลายความคิดถึง เธอนอนไม่หลับทั้งคืน รุ่งเช้าเธอบอกเขาว่าอยากไปเตหะราน
ธิติไม่พูดอะไร เพียงยิ้มเศร้า เธอเองก็หมองหม่น อดีตไม่จางไปพร้อมเวลา เธอสัญญาว่าจะรักษาตัว และรีบกลับมาทันทีที่เสร็จธุระ
ไม่มีกระทั่งเบอร์ติดต่อคนรู้จัก ในสมุดบันทึกที่เก็บไว้อย่างดีมีเพียงที่อยู่ เธอเตรียมตัวเดินทางหลายอาทิตย์ ธิติถามไถ่ตลอดเวลาว่าต้องการให้ไปเป็นเพื่อนไหม เธอปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
อกพริมาเต้นแรงเมื่อเข้าน่านฟ้าต่างแดน ความสุขเศร้าหนหลังหวนสู่ปัจจุบัน เธอรู้ดีว่าไม่ควรมา ทุกคนอาจลืมเธอไปแล้ว
แต่เธอไม่ลืม
สภาพบ้านเมืองแตกต่างจากในความทรงจำ แท็กซี่แล่นผ่านถนนที่เธอจำชื่อไม่ได้ แต่ไม่เคยลืมว่าเธอกับเขาเคยเดินเที่ยวกันอย่างมีความสุขขนาดไหน ร้านกาแฟบรรยากาศอึมครึมตรงหัวมุมไม่มีอยู่อีกแล้ว หายไปพร้อมกับเขา เปลี่ยนกลายเป็นบางสิ่งที่ไม่อาจย้อนคืน
อดีตไม่หมุนย้อน คนรักไม่คืนกลับ ความรักแหลกสลาย
“คุณต้องเชื่อมั่น พิมา เชื่อว่าเราจะมีวันที่ดีกว่านี้” อาลีย้ำกับเธอทุกครั้งที่เขาออกไปบนถนน แจกใบปลิวต่อต้านชาห์ สับสนกลางเปลวเพลิงและเสียงกรีดร้องก่นด่า เขาเชื่อมั่นในโมซาเดก เชื่อในระบอบใหม่ ขณะที่เธอไม่เชื่อในสิ่งใดเลย นอกจากตัวเขา
เธอเป็นผู้หญิงที่วิ่งตามความรัก ส่วนคนรักของเธอวิ่งตามอุดมการณ์เลือนราง
เขาไม่เคยหยุดรอ
พริมาส่ายหน้าสิ้นหวัง อยากรั้งเขาไว้
วันที่ดีจะมีความหมายอะไรถ้าคุณเป็นอะไรไป คำตัดพ้อติดอยู่ในลำคอ คำอ้อนวอนไม่เคยส่งไปถึง น้องสาวเขาบอกว่าเธอรักคนผิด อาลีไม่ใช่ผู้ชายที่จะมองเห็นความรักของใคร พริมาวิ่งตามเขา เพราะเขาเป็นคนเช่นนั้น ความขึ้งแค้นในดวงตาคมรีดึงดูดเธอ เมื่อสังหรณ์ว่าอาจไม่ได้เจอกันอีก ในท้ายชั่วโมงประวัติศาสตร์ตะวันออก เธอรวบรวมความกล้าเข้าหา เกราะของเขาแข็งแกร่ง แต่ใช่ไร้ช่องว่าง
อาลีเกลียดอเมริกาทั้งที่อยู่บนแผ่นดินอเมริกา เธออ่านทุกอย่างในแววตาเขาได้ และโดยไม่รู้ตัวก็ถูกเขาดึงความสนใจ เธอเป็นคนขอคบ เขาลังเล แต่ไม่ปฏิเสธ รักแบบวัยรุ่นคงจะไม่ร้อนแรงเท่าไหร่ เธอคิด ไม่คาดหวังรักยืนยาว ทว่าสุดท้ายกลับลงเอยที่เธอตามเขากลับมาอิ ห ร่ า น
ในช่วงที่บ้านเมืองตึงเครียดที่สุด ความรักของเธอเข้มข้นลึกซึ้ง ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้แม้แต่คำคัดค้านอย่างห่วงใยของพ่อแม่ ไม่ผิดถ้าเธอจะมีรัก ไม่เป็นอะไรถ้าจะลงหลักปักฐานอยู่ไหนที่ไม่ใช่ประเทศไทย
ขอแค่เธอมีความสุข
พริมามีความสุข
น่าเศร้าที่ความสุขนั้นไม่คงอยู่ตลอดไป
เธอเข้ากับครอบครัวของอาลีได้ดี แม่เขาเปิดใจยอมรับเธอเป็นสะใภ้อย่างไม่ขัดเขิน เธอหัดทำหลายอย่างเพื่อเตรียมพร้อมเป็นภรรยาเขา อาลีไม่ปฏิเสธความรัก และเขาตอบแทนเธอด้วยความอ่อนหวานเทียมกัน การแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเรื่องยาก เธอพอใจเพียงพิธีตามธรรมเนียมเปอร์เซียเล็กๆ
ขณะที่ภายในบ้านสงบอบอุ่น ข้างนอกกลับวุ่นวายราวกับสงคราม อาลีใช้ชีวิตอยู่ระหว่างสองโลกนี้ ไม่นำสิ่งใดมากล้ำกลายกัน เหมือนว่าเขาจัดการทุกอย่างได้ไม่ติดขัด ทว่าพวกผู้หญิงในบ้านไม่คิดเช่นนั้น
>>743
พริมาไม่สามารถคิดถึงแค่ความสุขของตัวเอง เธอคิดถึงเขา สิ่งที่เขากำลังเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน บางวันเธอเห็นภาพหลอน ตำรวจซาวักวนเวียนอยู่แถวบ้าน พวกผู้ชายไว้หนวดเคราสวมแจ็คเก็ตหนังเดินผ่านไปมา อาลีบอกว่าเธอคิดมาก เธอต้องทำใจให้สบายเพื่อสุขภาพของลูกในท้อง เธอพยักหน้าเออออ ซึมซับสัมผัสมือเขาบนหน้าท้องโป่งนูน เลือดเนื้อของเธอและเขาจะลืมตาขึ้นมาในประเทศที่ดีกว่า
ทุกคนเป็นซาวัก
หูตาของชาห์มีอยู่ทุกที่ ไม่สามารถแยกออกจากคนทั่วไป อาจบางทีคนทั่วไปนั้นเองที่เป็นตำรวจลับของชาห์ อาลีไม่ไว้ใจใคร เขาเปิดรับเพื่อนบ้านน้อยลง หลังเสียงทุบประตูระรัวกลางดึกคืนหนึ่ง เขาพาเธอกับแม่ไปหลบอยู่กับญาติในกะรัจ พริมาทุ่มเถียง งานของเธอจะเป็นยังไง เธอจะทิ้งร้านกับน้องสาวเขาไปได้ยังไง
“ความปลอดภัยต้องมาก่อน จูนัม ขอร้อง”
เขาห่วงพวกเธอ แต่ไม่ห่วงตัวเอง ทิ้งเธอไว้ในบ้านทุ่งห่างไกลหูตาทางการ ส่วนตัวเองหันกลับสู่ดงกระสุน พริมาใช้เสียงกรีดร้องหยุดเขา น้ำตาของเธอไม่ทำให้เขาลังเล
“ฉันขอให้คุณหยุด ฉันรักคุณนะอาลี คุณได้ยินมั้ยว่าฉันรักคุณ แค่นี้เราก็มีความสุขดีอยู่แล้ว”
ฉันไม่ได้ตามคุณมาเพื่อให้คุณทิ้งไป
เขาเม้มริมฝีปากบางเฉียบ กอดเธอแนบแน่น พริมาทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้ วอนให้เขาทิ้งอนาคตของประเทศสิ้นหวังนี้ ขอร้องให้เขาทิ้งเพื่อน
เพื่อเธอกับลูก
“แต่ผมไม่มีความสุข!” เขาร้องใส่หน้าเธอ ผายมือออกไปยังโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวการจลาจล เส้นเลือดฝอยแผ่เต็มหน่วยตา พริมาตัวสั่น ถอยห่าง ไม่เคยเห็นเขาขึ้นเสียงแบบนี้มาก่อน “ประเทศนี้ไม่ใช่ของพวกตะวันตก พิมา มันเป็นของเรา มันควรจะเป็นของเรา”
“มันก็เป็นของเราไงคะ”
“แล้วทำไมพวกเราถึงมีชีวิตอยู่กันแค่นี้ ไม่ว่าจะทำงานหนักขนาดไหน ไม่ว่าพยายามเท่าไหร่ ประเทศนี้มีทรัพยากรมากมาย แต่มันกลับมาไม่ถึงเราเลย คุณบอกผมสิจูนัม ไม่ใช่เพราะพวกนั้นเหรอที่ขายประเทศ สูบเลือดสูบเนื้อจนอ้วนพี ขณะที่ประชาชนอดตายไม่เว้นแต่ละวัน!”
พริมาส่ายหน้า เธอจะอธิบายได้ยังไงในเมื่อเธอไม่ได้สนใจอะไรแบบนั้นเลย
ต่อให้อธิบายได้เขาก็คงไม่ฟัง
อาลีอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
เธอเองก็อยากเห็น ถ้าเพียงแต่มันจะไม่ต้องแลกกับความสุขน้อยนิดในมือเธอ
>>744
เธอกลัวอยู่ทุกวันคืน กลัวทุกคราวที่เขาออกจากบ้าน กลัวทุกครั้งที่มีขบวนผ่านหน้าบ้าน เสียงก่นด่าขับไล่ชาห์ สลับขับไล่โมซาเดกกัดกร่อนประสาทเธอไม่เว้นแต่ละวัน
วันนี้ นำความตายสู่ชาห์! วันต่อมา นำความตายสู่โมซาเดก!
ใครจะตายก็ช่าง ใครจะปกครองประเทศก็ไม่สำคัญ
ขอแค่อาลีปลอดภัย เธอไม่ต้องการสิ่งยิ่งใหญ่อย่างประชาธิปไตย หรือระบอบใหม่เลย
เธอไม่ได้มองไปไกลเหมือนเขา
เขาออกจากบ้านหลังการทะเลาะรุนแรงคืนหนึ่ง เธอนั่งกอดเข่าสะอื้น ลางสังหรณ์บอกว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะไม่กลับมา เธอเฝ้ารอด้วยความอกสั่นขวัญแขวน จะทำอย่างไรหากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น รายการทีวีมีแต่เนื้อหาปลุกระดม สั่งสมความหวัง และคนรักของเธอคือหนึ่งในพลังนั้น
อาลีกำลังมุ่งไปสู่ความฝัน ขณะที่เธอสวดมนต์ต่อพระเจ้าทุกองค์ ขอให้เขาปลอดภัย ขอให้เขาได้เห็นโลกที่ใฝ่ฝันในเร็ววัน
และแล้วเขาก็กลับมา ทันเห็นหน้าลูกสาวอ้วนพีที่หน้าตาเหมือนย่า พริมาคิดว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้น ระหว่างที่เธอเศร้าโศก กังวล และตื่นเต้นกับการเป็นแม่ ชาห์ลี้ภัย ราชวงศ์ปาห์ลาวีล้มโค่น อยาตอลลาห์ กลับจากฝรั่งเศส เปลี่ยนอิ ห ร่ า น สู่ระบอบใหม่
ทุกอย่างจบลงแล้ว เธอคิด กอดลูกสาวอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของสามี
แต่มันไม่ได้จบลง การเมืองเป็นเช่นนี้ หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่ง ศัตรูคือมิตร มิตรกลายเป็นศัตรู ขบวนการประชาชนที่เคยร่วมขับไล่ราชวงศ์ กลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลเคร่งศาสนาต้องกำจัด
อุดมการณ์แตกต่าง แต่จุดหมายเดียวกัน ตอนนี้เป้าหมายบรรลุแล้ว เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ให้เวลาหนีหรือหลบซ่อน อาลีถูกลากออกไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องอ้อนวอนของแม่และเธอ เสียงร้องไร้เหตุผลของทารกทำให้ใจเธอยิ่งแตกสลาย น้องสาวเขารุดมาหา จนคำพูด มีเพียงน้ำตา
ไม่ว่าซาวักหรือกองกำลังปฏิวัติ เมื่อถูกจับไปก็น้อยคนนักจะได้กลับมา
“ฉันมีคนรู้จักในเอวิน จะลองถามดูว่าอาลีอยู่ที่นั่นไหม” ทาร่าบอกเสียงเรียบ หญิงสาวเข้มแข็งเกินวัย พยายามเป็นหลักให้พวกเธอพึ่งพา
เขาอยู่ แต่เข้าเยี่ยมไม่ได้ แม่ของเขาอ้อนวอนเจ้าหน้าที่ ยอมทำทุกอย่าง จ่ายเท่าไหร่ก็ได้เพื่อประกันตัวลูกชาย แต่เงินไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ พริมานอนน้ำตาไหลทุกคืน นี่น่ะหรือประเทศที่อาลีอยากเห็น นี่น่ะหรือประเทศที่อาลีรัก ทุกอย่างพลิกกลับ ความสุขของเขาสั้นเหลือเกิน สั้นเกินกว่าของเธอนัก
ลูกสาวทำให้พอจะคลายความคิดถึงลงได้บ้าง เด็กน้อยเริ่มมีเค้าหน้าพ่อ พริมาเศร้าสร้อย เธอเห็นสามีซ้อนทับลูก วันคืนเคลื่อนผ่าน ไร้วี่แววเขากลับมา ไร้ความหวัง ข่าวเกี่ยวกับเอวินมีแต่ว่าวันนี้ถูกจับเข้าไปเพิ่มกี่คน กี่ชีวิตถูกปลิดประหาร
เมื่อตัดสินใจมอบใจแก่เขาไป พริมาไม่คิดเลยว่าจะต้องเสียไปมากกว่าหัวใจ เธอเสียทุกอย่าง อนาคตพังทลายในกองไฟแห่งการปฏิวัติ
>>745
เธอกับครอบครัวเขารอคอยด้วยความหวัง สองปีเชื่องช้า แต่รุนแรงเกินรับไหว เมื่อเจ้าหน้าที่นำข้าวของของเขามาส่งอย่างสั่วๆ พร้อมเรียกเก็บค่ากระสุน พริมาแทบล้มทั้งยืน แม่เขาตรอมใจ ก่อนฆ่าตัวตายวันที่สี่สิบหลังจากนั้น
ลูกสาวถูกทอดทิ้ง พริมาไร้จิตใจจะดูแล เธอไม่มีแรงแม้แต่จะใช้ชีวิต พ่อแม่ขอร้องให้กลับบ้านไปตั้งต้นใหม่ เตหะรานมีแต่ความเศร้าโศก เธอสะอื้นไห้ กอดทาร่าหลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บร้าวเจียนตาย
ทาร่าบอกให้เธอกลับบ้าน เธอไม่เหลืออะไรที่นี่แล้ว
พริมายอมกลับ โดยทิ้งสิ่งหนึ่งไว้ให้เธอช่วยดูแล
มันอาจเป็นประเทศที่แตกต่างจากที่อาลีวาดฝัน แต่ก็เป็นประเทศที่เขามีส่วนร่วมปลุกปั้นมาเป็นรูปร่างนี้ เลือดเนื้อเขาซึมผืนดินรองรับรอยเท้าลูกสาว
‘โกลิ’ ดอกไม้งามของเธอกับอาลี
โกลิควรจะได้เติบโตในประเทศที่พ่อของเธอรัก อยู่กับเขาแทนเธอที่อ่อนแอเกินกว่าจะทนอยู่ได้
พริมาเดินเข้าซอยเล็กๆ ผ่านฉากทรงจำมากมาย กว่าจะถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง ตาเธอก็แดงรื้นด้วยความคะนึงหา เธอซับหัวตาแล้วเคาะประตู เสียงความเคลื่อนไหวค่อยๆ ดังขึ้นจากหลังรั้ว หัวใจเต้นโครม ฝ่ามือเย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง
เมื่อประตูเปิดออกโดยเด็กผู้หญิงวัยประมาณสี่ขวบ พริมาก็แทบทรุดลงร้องไห้ เด็กหญิงตื่นตะลึง ตะโกนเรียกแม่แล้ววิ่งกลับเข้าบ้าน หญิงสาวคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นตามลูกสาวออกมา ไถ่ถามเธอด้วยภาษาฟาร์ซี แต่พอเห็นว่าพริมาไม่น่าจะฟังออกก็เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแปลกแปร่ง
“เกิดอะไรขึ้นคะ มีอะไรให้ช่วยไหม” เธอถามด้วยความเป็นห่วง มองหาร่องรอยบาดเจ็บ
พริมามองหญิงสาวผ่านม่านน้ำตา คิ้วเข้ม ริมฝีปากบางอย่างผู้เป็นพ่อ
“คานูมคะ” หญิงสาวยังร้อนใจ
“โกลิ” พริมากระซิบเรียก
เธอยิ้มพยักหน้าน้อยๆ สงสัยว่าอาจเป็นเพื่อนมารดา “มาหาแม่เหรอคะ เข้ามานั่งรอในบ้านก่อนดีกว่าค่ะ อีกเดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้ว”
โกลิช่วยพยุงเธอขึ้น มือหนึ่งประคองอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งทำท่าไล่ลูกสาวตัวน้อยเข้าบ้าน ดวงตาพริมาพร่ามัว เหมือนว่าดอกไม้ของเธอกับอาลีจะเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง
ต่อให้ลืมเธอก็ไม่เป็นไร
ขอแค่มีความสุข
พี่หมี มองมนุษย์ทุกคน
ย้อนเวลากลับไป เห็นเป็น sperm x ไข่
มนุษย์ทุกคน เกิดจากการปฏิสนธิกัน
ของแรงกระตุ้นตามธรรมชาติ
สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต
ที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราอยู่รอด
.
มนุษย์ทุกคนที่เดินบนท้องถนน
ที่เห็นใน social network
ที่เจอขับรถ ขี่มอเตอร์ไซต์ ขี่ grab
รปภ. พนักงานร้านอาหาร
ตัวท๊อป ผัวตัวท๊อปที่มีรอยสัก
นักการเมือง พระ ผู้พิพากษา
คนต่างชาติ คนพิการ
CEO นักลงทุน แอร์
คนอ้วน คนผอม คนดำ คนขาว
ทำหน้าอก ทำจมูก ศัลยกรรม
.
ทุกคนล้วนมีที่มาจากที่ๆเดียวกัน
มนุษย์เกือบทั้งหมด เกิดจากอดีต
ข้อมูลจากพ่อแม่ที่ปฏิสนธิกัน
เพื่อสร้างมนุษย์คนใหม่ขึ้นมา
.
DNA ของมนุษย์ยุคก่อน ยังอยู่ในร่างกาย
แล้วก็ DNA ของมนุษย์ยุคก่อน
ก็ได้รับการถ่ายทอดมาต่อจากอดีตอีกที
ย้อนกลับไปหลายหมื่น generation
เป็นเวลาที่ยาวนานมากๆ
จนพี่หมีจินตนาการไม่ออกเลย
.
ช่วงเวลานี้ ที่พี่หมีพิมพ์
มันเป็นแค่เสี้ยวเวลาเดียว
ของชีวิตพี่หมี
และชีวิตพี่หมี
ก็เป็นแค่เสี้ยวเวลาสั้นๆ
ของเผ่าพันธุ์พวกเรา
.
เผ่าพันธุ์ของพวกเรา
ก็เป็นแค่ช่วงเวลาแสนสั้น
ของอายุของดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลก
.
ดาวเคราะห์สีฟ้าที่เรียกว่าโลก
ก็อายุน้อยมาก ถ้าเทียบกับระบบสุริยะ
.
ระบบสุริยะ ก็อายุน้อยมาก
ถ้าเทียบกับอายุของทางช้างเผือก
.
อายุของทางช้างเผือก
ก็ยังเทียบไม่ได้กับ
Big Bang
.
ย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน
พี่หมีเหมือนมนุษย์ต่างดาว
ที่ได้เกิดมาในโลกใบนี้
พี่หมีเลยอยากจะทำวิจัยมนุษย์ไปเรื่อยๆ
.
X'mas มันคือ เทศกาลที่มาจากซีกโลกเหนือ
ผ่านการนับวัน เดือน ปี จนได้เป็น pattern
ว่าช่วงก่อนปีใหม่ จะต้องมีเทศกาลแบบนี้
.
แซนตี้ ที่มาอยู่กับพี่หมี ตาม request เมื่อคืน
ก็มาจาก culture ตรงนี้ ที่เกิดขึ้นเฉพาะโลกนี้
.
ตอนที่พี่หมี กระแทกอยู่ ก็มองหน้าแซนตี้
เหมือนพี่หมี ไม่ใช่มนุษย์ยังไงก็ไม่รู้
หลังจากที่น้ำที่ 3 ออกไปแล้ว
มันเหมือนกับการเล่น cardio + weight training
ออกกำลังกายตอนเกือบเช้า
.
พี่หมี มองทะลุเนื้อหนังมังสาเข้าไปที่โครงกระดูก
การหายใจ การแลกเปลี่ยน oxygen ที่ปอด
ได้ยินเสียงหอบ สัมผัสได้ถึงลมหายใจ
ของมนุษย์เพศเมีย ที่กำลังถูกผสมพันธุ์
เพื่อแลกกับสิ่งปลอมๆ ที่เรียกว่าเงินตรา
ที่ตอนนี้ กลายเป็นตัวเลข digital
เปลี่ยนตัวเลขทางมือถือ จากเครื่องนึง
ไปอีกเครื่องนึง
.
พี่หมี เลยคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร
อาจจะตีเหมารวมไปสัก 99% ได้เลย
ว่ามนุษย์เราเกิดจากเหตุการณ์แบบนี้
เกิดขึ้นจากการกระแทกกันแบบนี้
เกิดขึ้นจากความรัก ความปรารถนา
ใน moment แบบนี้
.
มันทำให้พี่หมี มองโลกเปลี่ยนไป
.
มนุษย์ทุกคนช่างสวยงาม
มีความแตกต่างเป็นของตัวเอง
โลกนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
ขอบคุณที่พี่หมีได้ถือกำเนิดมา
ในดาวเคราะห์สีฟ้าแห่งนี้
ขอบคุณที่เป็นช่วงปลายปี 2021
.
ไม่รู้จะขอบคุณอะไรไปมากกว่านี้
พี่หมีอยากขอบคุณทุกคนเลย
ไม่ว่าจะเป็นใคร
.
จากัวร์ตัวนั้นเป็นตัวสุดท้ายที่เขาฆ่า ความตายของมันนำมาซึ่งจุดเริ่มต้นของการชดใช้บาปนิรันดร์กาล เลือดแดงคล้ำหลากหลั่งจากหลอดเลือดดำของสัตว์ร้าย ขณะรอยตะปปที่ลำคอของซูกำลังผดฟองฟอด ลมหายใจและชีวิตค่อยๆ หลั่งไหลจากร่างกำยำคืนสู่ผืนดิน ดวงตาหม่นแสงเบิกโพลงสะท้อนทะเลดาวดาดาษ
จบสิ้นแล้ว ซูไม่อาจขัดขืนครรลองชีวิต น่าอดสูที่ผู้ล่าพลาดท่าให้เหยื่อ คมหินเสียบหัวใจเสือ แลกกับเนื้อต้นคอถูกกรงเล็บคมกริบกรีดกระชาก
การตายระหว่างล่าเป็นเรื่องปกติ การออกล่าแต่ละครั้งหมายความว่าตนเองก็อาจถูกล่าเช่นกัน
จากสัตว์
จากเผ่าอื่น
จากผู้บุกรุก
ซูไม่เคยเผชิญหน้ากับผู้บุกรุก ได้ยินเพียงผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง ท่อนไม้ยิงลูกไฟได้ของพวกมันน่าครั่นคร้าม เข่นคร่าทุกชีวิตที่ขัดขืนขวางทาง
ไม่ต่างกัน
ซูก็เหมือนพวกมัน ต่างเพียงเขาฆ่าแค่สัตว์เท่านั้น เลือดกระตุ้นเลือดในกายให้สูบฉีด จากสัตว์เล็กอย่างกิ้งก่า ค่าง งู ซูก็เริ่มล่าวัวป่า ยิ่งเลือดหลั่งก็รินยิ่งนำมาซึ่งความพึงใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาฆ่าเพื่อสนองสัญชาตญาณดิบ หาใช่เพื่อยังชีพ
‘ซักวันจ้าวภูเขาจะลงโทษเจ้า’ ผู้เฒ่าเดือดดาลที่สัตว์น้อยใหญ่ซึ่งถูกเข่นฆ่าโดยไร้ความจำเป็น
คำสาปแช่งรออยู่ภาคหน้า ซูไม่ยี่หระอำนาจผีสาง แม้กระทั่งคืนที่ผีสางแห่งป่าเขามาเหนี่ยววิญญาณเขาออกจากร่างเนื้อ ชายหนุ่มก็คิดเพียงว่า นั่นสินะ
เสียงแมลงกรีดปีกเฉลิมฉลองการตายของนักล่า บทลงโทษที่รออยู่หลังความตายคือไม่อาจตายได้ ไม่มีเชือกจูงสู่นรกหรือสวรรค์ ไม่มีดินแดนส่องสว่างหรือมืดมิดชั่วนิรันดร์ มีเพียงยักษ์เร่ร่อนเดียวดายที่ไม่อาจดำรงถาวร ณ ถิ่นที่ใด กรีดร้องคร่ำครวญด้วยเสียงของสัตว์ทุกตัวที่ถูกชำแหละเป็นๆ เขย่าขวัญมนุษย์เลือดเย็นที่ครั้งหนึ่งซูเคยเป็นให้หลีกพ้นจากสรรพสัตว์ที่อาจถูกเขาฆ่าหากว่ายังมีชีวิตอยู่
ผู้พรากกลายเป็นผู้ปกปักษ์
วิญญาณต้องสาประหกระเหินผ่านกาลเวลาเชื่องช้า เผ่านั้นถูกสังหารสิ้น เผ่านี้ก่อเกิดขึ้นมา แยกแยะจากกันด้วยรอยสักและภาษา สิ่งที่เคยรู้จักค่อยๆ สูญหาย ภาษาเดียวที่วิญญาณโบราณเข้าใจคือภาษาของสัตว์
มนุษย์ทุกผู้เป็นศัตรู
สัตว์ทุกตัวก็เป็นศัตรู
เสียงกรีดร้องที่ควบคุมไม่ได้ยังผลให้สัตว์คลุ้มคลั่ง เหยียบย่ำทำร้ายทุกชีวิตที่ขวางหน้า เลือดที่หลั่งรินไม่ใช่แค่ของสัตว์อีกต่อไป
แม้ไม่อาจหยุดพเนจรเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง ซูก็รู้สึกได้ว่าการวนกลับมาแห่งเดิมใช้เวลาสั้นลง ผืนป่ากำลังหด เสือถูกยิงล้มก่อนคลั่ง เขาสงสัยว่าคำสาปใกล้จะเสื่อมลง แต่เมื่อเห็นคนผิวสีขาวกับดำ เขาก็ตระหนักทันทีว่ามันคงไม่สลายไวดังใจหวัง
ชีวิตบนเกาะเปลี่ยนแปลง ทว่าคำสาปนานนับกัลป์ยังคงอยู่ ซูได้ประจักษ์ว่ามนุษย์โหดร้ายต่อเผ่าพันธุ์อื่นเพียงใด กับเผ่าพันธุ์เดียวกันยิ่งทารุนกว่า
ขาถูกล่ามนำมา แผ่นหลังถูกเฆี่ยนโบย เหงื่อและเลือดรินรดไร่กาแฟและโกโก้ ผลิดอกงอกเงยด้วยวิญญาณและหยาดน้ำตา ความเศร้าโศกคับแค้นฝังกลบใต้ก้อนดิน ทะนุถนอมพืชพรรณและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าชีวิต
ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิต อิสรเสรีคือสิทธิโดยกำเนิดจากพระเจ้า แต่เมื่อมีผู้คิดว่ามนุษย์บางเผ่าพันธุ์ไร้ศักยภาพเกินกว่าจะถือครองชีวิตตน ประวัติศาสตร์บทใหม่ก็จารขึ้น
ซูติดอยู่ในฉากใหม่นี้ เป็นตัวละครพื้นหลังโดยไม่มีผู้ใดรับรู้ถึง เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยโดดเดี่ยวทรมานเปลี่ยนที่มาเป็นความเวทนาต่อชะตาของคนผิวดำ
อิสรภาพถูกพรากชิง ศักดิ์ศรีถูกบดขยี้ ครอบครัวแตกสลาย แม้หัวใจที่เปี่ยมรักก็ไม่อาจเอาชนะโชคชะตา
รักชนะทุกอุปสรรค ประโยคนี้มีมาตั้งแต่ซูยังพูดภาษาตนเองได้ และมันเลื่อนไหลแทรกซึมอยู่เกือบในทุกภาษาบนโลกนี้
ทว่ารักทำอะไรอยู่ระหว่างที่พวกเขาถูกลำเลียงจากบ้านสู่แผ่นดินอื่น รักไม่ช่วยสมานรอยแผลบนแผ่นหลัง รักไม่ช่วยชะล้างความอ่อนล้าโรยแรง รักอาจให้ความหวัง เพียงเพื่อจะพบว่ามันหาได้มีอยู่จริง
ประวัติศาสตร์ไม่เปลี่ยนหน้าเร็วขนาดนั้น
จนกว่าจะเปียกชุ่มด้วยเลือด จนกว่าน้ำตาจะทำให้มันเปื่อยยุ่ย จนกว่าจะถูกไฟแค้นเผาเป็นจุณ
ซูภาวนาให้มันจบลง
นางก็ภาวนาให้มันจบลง
Writing prompt : Love Craft Magic
“นี่คือ Love potion ทำให้ผู้หญิงรักตามที่คุณขอไว้ แล้วอย่าลืมสัญญาของเรา ลูกคนแรกของคุณจะต้องเป็นของฉัน” แม่มดสาวยื่น Love Potion ที่เพิ่งปรุงเสร็จให้กับท่านประธานหนุ่มแห่งเครือเดลต้ากรุ๊ป
“ผมตกลง ลูกคนแรกของผมจะเป็นของคุณ”
ชายหนุ่มรับเอา Love potion ไปถือไว้ เปิดฝา แล้วสาดใส่แม่มดสาว
“แต่เราสองคนจะเป็นของกันและกัน”
ท่านประธานพูดจบแล้วก็ดึงมือแม่มดสาวออกจากบ้าน แม่มดที่เดินตามมาด้วยสีหน้างุนงง
เธอไม่ทันบอกเขา ว่าน้ำยานี้ใช้กินไม่ใช่สาด
ว่าแต่
จะบอกดีไหม
"มาหาตอนตีสองแบบนี้ ไม่เมาก็เงี่ยนถูกไหม?"เขาดักคอ
"ดูพูดเข้า อุตส่าห์หนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ"ฉันออดอ้อน
"หนีร้อนจากคนที่หักอกคุณมารอบที่ร้อยอ่ะนะ?"เขารู้ทัน
"หนีไม่พ้นหรอก คุณชอบแบบนั้นล่ะ ผมดูออก"
"ชอบแบบไหนไม่ทราบ"
"แบบเจ็บแล้วเจ็บอีก เจ็บซ้ำซากเหมือนพวกที่เชื่อในความรัก"
.
หมดคำจะโต้
ไร้คำจะตอบ
ก้อนสะอื้นขวางทุกประโยคที่มี
.
"เห็นหรอกนะ ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ฉอดร้าบาลแล้ว รับบทคนคลั่งรัก เวิ่นเว้อคำคมรัว ๆ ผมคิดว่าแอคไลฟ์โค้ช" เขาแซะ
"พูดซะดูเราเป็นสลิ่มเลย" ฉันจ๋อย
ส่วนเขาหัวเราะเอ็นดู
.
"เรื่องการเมืองคุณคงไม่สลิ่มหรอก
แต่ถ้าความรักผมว่าคุณใกล้ละ"
"ใกล้สลิ่ม?"
"อื้อ ใช่"
ไอ้นี่กวนตีนซะแล้ว คิดว่าจะหักมุม
เสือกตอบตามจริงอีก
.
"โห จะไม่หักมุมโบ๊ะบ๊ะให้หัวเราะหน่อยเลยหรอ ชงไปเต็มที่เลย นี่คนเศร้านะะะ"
ฉันไม่วายอ้อนต่อ
พลางกระเถิบตัวเข้าใกล้
.
"ก็คุณคลั่งรักเหมือนพวกคลั่งเจ้า งมงายกับเขาเหมือนคนที่งมงายว่าเผด็จการเป็นประชาธิปไตย อ้อ
หลงเขายิ่งกว่าคนที่ศรัทธาประชาธิปัตย์ด้วยนะ"
"เจ็บอ่ะคุณ"
ฉันตีหน้าเศร้ากว่าเดิมสามเท่าหลังจากเขากระหน่ำความจริงชุดใหญ่ใส่
ถ้าไม่ตาสว่างก็คงเป็นพวกคลั่งรักยิ่งกว่าลัทธิคลั่งเจ้าจริงอย่างเขาว่า ต่างตรงที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ฉันรัก ฉันเต็มใจเป็นทาสปล่อยไม่ไปของแท้
.
"เป่าหน่อยสิ เจ็บตรงนี้"
ฉันกระเง้ากระงอด แล้วชี้ไปตรงตำแหน่งของหัวใจ ประหนึ่งว่ามีแผลสดเลือดซิบแสบเจียนตายอยู่ตรงนั้น
แล้วฉันก็ถอดชุดคลุมเบาแผ่ว เหมือนแมวตัวน้อย ๆ ที่บาดเจ็บแล้วสำออยเพื่ออ้อนใครสักคน
แล้วชุดนอนลายดอกไม้ที่ใส่มาจากบ้านก็แบ่งบานต่อหน้าเขา
.
กลีบดอกแดงฉ่ำ
ลำก้านแข็งตระหง่านชูเด่น
หยาดฉ่ำเยิ้มแฉะ
และเมล็ดพันธุ์สั่นระริก
.
"ผมไม่เป่าให้ ไม่ต้องมาอ้อน"
ถ้อยความปฏิเสธชัดแจ้ง
แต่ปฏิกิริยาเขาแพ้พ่ายชัดกว่า
ลมหายใจพ่นไออุ่นเจียนร้อนราวจะเผาไหม้
เป็นสัญญาณว่าร่างกายเราต้องการกันแทบบ้า
.
"เจ็บไม่จำแบบคุณต้องโดนทำโทษนะ รู้ใช่ไหม"
"หรอ กลัวจัง"
ความหมายว่ากลัว
แต่สีหน้าไม่บอกอย่างนั้น
ฉันมองลึกลงไปในดวงตาเขาอย่างท้าทาย
ลึกเท่าลึก
ริมฝีปากฉันแนบริมฝีปากเขา
แน่นเท่าแน่น
นานเท่านาน
เราโผเข้าหากัน
ไวเท่าไว
อย่างโหยหา
อย่างกระหายหิว
อย่างตะกรุมตะกราม
.
ไม่มีคำพูดอื่นใดอีก
เรือนร่างฉันคุยกับเรือนร่างเขา
ผลุบเข้า
ช้า
ผลุบออก
เร็ว
ร้อนเร่ง
กระตุกเร้า
ร่ายรำไปในจังหวะของบทสนทนา
บางจังหวะเราแทบกระซิบแผ่ว
แล้วสลับเป็นเน้นหนัก
สะเทือนเลื่อนลั่นในวินาทีหนึ่ง
และเบาหวิวลอยล่องในอีกวินาทีหนึ่ง
.
"อยากรักเขาก็รักไปเถอะ
ใครจะห้ามคุณได้ รักเองก็เจ็บเอง"
"เอ้า ไม่ดุเราแล้วหรอ"
"อื้อ ไม่ดุแล้ว วันไหนทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็มาให้ผมเป่าแผลนะ"
.
อบอุ่นเป็นบ้า
มิน่าฉันต้องซมซานมาให้เขาเลียแผลใจทุกรอบ
.
"ผมมาคิด ๆ ดูแล้ว กว่าสลิ่มจะเปลี่ยนใจยังต้องใช้เวลา กว่าคนจะตาสว่างยังต้องค่อยเป็นค่อยไป จะให้คนใต้เลิกศรัทธาประชาธิปัตย์ยังต้องใช้เป็นชั่วอายุคนเลยนี่ จริงไหม?"
เหมือนเขาจะใจดีใส่
แต่...
เดี๋ยวนะ
ไอ้เวรเอ๊ย!
.
ไม่เสียเวลาคุยด้วยต่อแม้แต่คำเดียว กระโจนเข้าใส่เขาอีกหนให้สมกับความโกรธที่ถูกตราหน้าว่างมงายในรักเหมือนคนที่ยังดันทุรังเชียร์ประชาธิปัตย์ ทั้งที่มีสารพัดเรื่องเหม็นเน่า ขัดกับภาพลักษณ์ไอ้ต้าวคนดีถึงเพียงนั้น...
"มาหาตอนตีสองแบบนี้ ไม่เมาก็เงี่ยนถูกไหม?"เขาดักคอ
"ดูพูดเข้า อุตส่าห์หนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ"ฉันออดอ้อน
"หนีร้อนจากคนที่หักอกคุณมารอบที่ร้อยอ่ะนะ?"เขารู้ทัน
"หนีไม่พ้นหรอก คุณชอบแบบนั้นล่ะ ผมดูออก"
"ชอบแบบไหนไม่ทราบ"
"แบบเจ็บแล้วเจ็บอีก เจ็บซ้ำซากเหมือนพวกที่เชื่อในความรัก"
.
หมดคำจะโต้
ไร้คำจะตอบ
ก้อนสะอื้นขวางทุกประโยคที่มี
.
"เห็นหรอกนะ ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ฉอดร้าบาลแล้ว รับบทคนคลั่งรัก เวิ่นเว้อคำคมรัว ๆ ผมคิดว่าแอคไลฟ์โค้ช" เขาแซะ
"พูดซะดูเราเป็นสลิ่มเลย" ฉันจ๋อย
ส่วนเขาหัวเราะเอ็นดู
.
"เรื่องการเมืองคุณคงไม่สลิ่มหรอก
แต่ถ้าความรักผมว่าคุณใกล้ละ"
"ใกล้สลิ่ม?"
"อื้อ ใช่"
ไอ้นี่กวนตีนซะแล้ว คิดว่าจะหักมุม
เสือกตอบตามจริงอีก
.
"โห จะไม่หักมุมโบ๊ะบ๊ะให้หัวเราะหน่อยเลยหรอ ชงไปเต็มที่เลย นี่คนเศร้านะะะ"
ฉันไม่วายอ้อนต่อ
พลางกระเถิบตัวเข้าใกล้
.
"ก็คุณคลั่งรักเหมือนพวกคลั่งเจ้า งมงายกับเขาเหมือนคนที่งมงายว่าเผด็จการเป็นประชาธิปไตย อ้อ
หลงเขายิ่งกว่าคนที่ศรัทธาประชาธิปัตย์ด้วยนะ"
"เจ็บอ่ะคุณ"
ฉันตีหน้าเศร้ากว่าเดิมสามเท่าหลังจากเขากระหน่ำความจริงชุดใหญ่ใส่
ถ้าไม่ตาสว่างก็คงเป็นพวกคลั่งรักยิ่งกว่าลัทธิคลั่งเจ้าจริงอย่างเขาว่า ต่างตรงที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ฉันรัก ฉันเต็มใจเป็นทาสปล่อยไม่ไปของแท้
.
"เป่าหน่อยสิ เจ็บตรงนี้"
ฉันกระเง้ากระงอด แล้วชี้ไปตรงตำแหน่งของหัวใจ ประหนึ่งว่ามีแผลสดเลือดซิบแสบเจียนตายอยู่ตรงนั้น
แล้วฉันก็ถอดชุดคลุมเบาแผ่ว เหมือนแมวตัวน้อย ๆ ที่บาดเจ็บแล้วสำออยเพื่ออ้อนใครสักคน
แล้วชุดนอนลายดอกไม้ที่ใส่มาจากบ้านก็แบ่งบานต่อหน้าเขา
.
กลีบดอกแดงฉ่ำ
ลำก้านแข็งตระหง่านชูเด่น
หยาดฉ่ำเยิ้มแฉะ
และเมล็ดพันธุ์สั่นระริก
.
"ผมไม่เป่าให้ ไม่ต้องมาอ้อน"
ถ้อยความปฏิเสธชัดแจ้ง
แต่ปฏิกิริยาเขาแพ้พ่ายชัดกว่า
ลมหายใจพ่นไออุ่นเจียนร้อนราวจะเผาไหม้
เป็นสัญญาณว่าร่างกายเราต้องการกันแทบบ้า
.
"เจ็บไม่จำแบบคุณต้องโดนทำโทษนะ รู้ใช่ไหม"
"หรอ กลัวจัง"
ความหมายว่ากลัว
แต่สีหน้าไม่บอกอย่างนั้น
ฉันมองลึกลงไปในดวงตาเขาอย่างท้าทาย
ลึกเท่าลึก
ริมฝีปากฉันแนบริมฝีปากเขา
แน่นเท่าแน่น
นานเท่านาน
เราโผเข้าหากัน
ไวเท่าไว
อย่างโหยหา
อย่างกระหายหิว
อย่างตะกรุมตะกราม
.
ไม่มีคำพูดอื่นใดอีก
เรือนร่างฉันคุยกับเรือนร่างเขา
ผลุบเข้า
ช้า
ผลุบออก
เร็ว
ร้อนเร่ง
กระตุกเร้า
ร่ายรำไปในจังหวะของบทสนทนา
บางจังหวะเราแทบกระซิบแผ่ว
แล้วสลับเป็นเน้นหนัก
สะเทือนเลื่อนลั่นในวินาทีหนึ่ง
และเบาหวิวลอยล่องในอีกวินาทีหนึ่ง
.
"อยากรักเขาก็รักไปเถอะ
ใครจะห้ามคุณได้ รักเองก็เจ็บเอง"
"เอ้า ไม่ดุเราแล้วหรอ"
"อื้อ ไม่ดุแล้ว วันไหนทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็มาให้ผมเป่าแผลนะ"
.
อบอุ่นเป็นบ้า
มิน่าฉันต้องซมซานมาให้เขาเลียแผลใจทุกรอบ
.
"ผมมาคิด ๆ ดูแล้ว กว่าสลิ่มจะเปลี่ยนใจยังต้องใช้เวลา กว่าคนจะตาสว่างยังต้องค่อยเป็นค่อยไป จะให้คนใต้เลิกศรัทธาประชาธิปัตย์ยังต้องใช้เป็นชั่วอายุคนเลยนี่ จริงไหม?"
เหมือนเขาจะใจดีใส่
แต่...
เดี๋ยวนะ
ไอ้เวรเอ๊ย!
.
ไม่เสียเวลาคุยด้วยต่อแม้แต่คำเดียว กระโจนเข้าใส่เขาอีกหนให้สมกับความโกรธที่ถูกตราหน้าว่างมงายในรักเหมือนคนที่ยังดันทุรังเชียร์ประชาธิปัตย์ ทั้งที่มีสารพัดเรื่องเหม็นเน่า ขัดกับภาพลักษณ์ไอ้ต้าวคนดีถึงเพียงนั้น...
ชายคนหนึ่งกำลังนอนหงายบนเตียงนอนพุๆพัง เขามองจอโทรศัพท์มือถือจีนยี่ห้อดัง หัวเว่ย gr5 2017 ภายในหน้าจอมันเป็นหน้าเว็บไซต์สำหรับวัยรุ่น นามเด็กดี ที่มีหมวดการใช้งานต่างๆมากมาย หมวดที่ชายคนนั้นมองดูคือหมวดนิยาย เขามองไปที่ขวาบนของเว็บ กดที่หน้าโปรไฟล์ เลื่อนหาหัวข้อหมวดนิยายของฉัน เขาจ้องมองมันอยู่นาน ทำใจเพื่อรับ'บางสิ่ง' ที่จะตามมา ในท้ายที่สุดเขาก็กดมันไปที่หน้าแต่งนิยาย ชายคนนี้แต่งนิยายเพียงเรื่องเดียว มันเป็นเรื่องที่เขาแต่งเพื่อจะเอายอดคนอ่าน และ ยอดคอนเม้นล้วนๆ 'เมื่อพระเจ้าจุติมาต่างโลก' นั่นคือนิยายของเขา ชื่อเรื่องสุดเชยนี้ ปรากฎในหัวเขาตอนดูสตรีมเมอร์นักรีวิวอนิเมะชื่อดัง กำลังอ่านนิยายสุดคริ้นของตัวเองอยู่ นั่นทำให้ชายที่นอนอยู่ อยากเริ่มแต่งนิยายของตัวเอง แต่ทว่าตัวเขาเป็นพวกเกลียดเรื่องพระเอกเทพ แต่เขาก็อยากได้ยอดอ่าน นั่นทำให้เนื้อเรื่องในนิยายพระเอกมักจะทำตัวดูกระจอกและโชว์เก่งบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งขัดกับชื่อนิยาย เหล่าๆนักอ่านคุณภาพที่หลงมาด้วยชื่อเรื่องสุดดึงดูด 'พระเจ้า' แค่คำนี้คำเดียว สมองของคนเหล่านั้นก็คาดหวังที่จะได้เห็นพระเอกโชว์เทพ ตบจอมมารให้เกรียนแตก แล้วจับมันแปลงเพศเป็นหญิงสาวนมโต และให้พระเอกจับข่มขืนต่อกรรมที่นางได้ทำมา แต่พวกเขากับพบว่าพระเอกของนั้นดูกลางๆจืดๆ ไม่กาก ไม่เก่ง สมองที่เต็มไปด้วยความเบียว และคลั่งไคล้อยากเห็นพระเอกเทพ จึงสั่งให้มือเลื่อนลงช่องความคิดเห็น พร้อมกับให้มันพิมพ์สั่งไรท์เตอร์ถึงความไม่พอใจพวกเขา 'พระเอกไม่เห็นเทพเหมือนชื่อเรื่องเลย' 'ตั้งชื่อมาหรอกคนดูหรอครับ ผมเสียความรู้สึกนะ' 'ไรท์น่าจะให้พระเอกโชว์เทพมากกว่านี้นะ ขอฮาเร็มเยอะๆด้วย' ชายที่นั่งมองจอโทรศัพท์ ได้มองลงไปที่ช่องความคิดเห็น เขาอ่านมันทุกระเบียบนิ้ว ความรู้สึกของเขาตอนนี้มันช่างปั่นป่วน นิ้วมือของเขากดลงข้างที่ปุ่มขวาล่าง การกดปกติจะเป็นโหมดหน้าต่างแอปพลิเคชันต่างๆ แต่เมื่อกดข้างมันคือโหมดสองหน้าจอ เขามองหาไอคอนแอพสีแดงขาว ซึ่งนั่นก็คือยูทูป เขากดมันพร้อมไปที่หน้าค้นหาอย่างเร็วไว มือของเขาพิมพ์ชื่อเพลง 'Nuclear Mike Oldfield' ในตอนที่เขากดค้นหา มืออีกข้างก็คว้าหูฟังคู่ใจที่อยู่บนเตียง เขาจัดแจงสวมใส่มัน และต่อเข้ากับโทรศัพท์มือถือ เมื่อการค้นหาเสร็จสิ้น ชายคนดังกล่าวกดฟังมันอย่างนุ่มนวล จากท่านอน เขาลุกขึ้นนั่ง และมองไปที่อีกหน้าต่างด้านบน เขากดที่ชื่อนิยาย มันพาเข้าไปที่หน้าการปรับแต่งนิยาย ชายที่นั่งอยู่กดที่ 'เพิ่มตอน' หน้าเว็บได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง หน้าสีขาว พร้อมกับหน้านิยายตอนใหม่ที่ยังว่างเปล่า เขาพิมพ์ชื่อตอนอย่างบรรจง 'สมชื่อเทพเจ้า' นั่นคือชื่อตอนที่จะเปลี่ยนแนวเรื่องที่พระเอกเก่งกลางๆไปทั้งสิ้น เสียงเพลงในหูฟังเริ่มใกล้ถึงท่อนฮุค เขาสูดลมหายใจเข้า 'Gladiators draw their swords
Form their ranks for armageddon
I'm nuclear-'
เมื่อท่อนฮุคมาถึงเขาปล่อยลมหายใจออก มือเริ่มพิมพ์ถึงเนื้อหาใหม่ ที่จะเต็มไปด้วยความเบียวแดก พระเอกเทพ ฮาเร็ม ตัวของเขาตอนนี้เปรียบดั่งนิวเคลียร์ที่อัดอั้นจะระเบิดมานาน ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งแตกสลายภายใน ดวงใจที่เปรียบดั่งเศษกระจกที่พังทลาย ตัวเขาม่นหมอง ลึกๆลงไปในใจ เขาเปรียบเหมือนเด็กกำพร้า ที่จินตนาการถึงความฝันอันเป็นไปไม่ได้
'การทำตามใจคนอ่าน จะทำให้เรารวย !'
ความจริงก็คือความจริง เราเจาะกลุ่มแนวไหน เราก็ต้องทำแนวนั้น
ผมมีเรื่องจะเล่าครับ คือผมแค่เล่นเกม Genshin impact แต่เพื่อนในโรงเรียนของผมคนนึงเขากลับบอกผมว่า
"เลิกเล่นไอ้เกมJ3kเหี้ยนั่นเถอะ แม่งหลอกแดกตังค์ทั้งนั้น มีแต่พวกเหม็นเปรี้ยวเท่านั้นแหละที่เล่น"
วินาทีนั้นผมบอกตรง ๆผมหงุดหงิดมาก ผมเลยเผลอตะคอกใส่มันไปว่า
"ไม่เล่นก็อย่ามาพาลดิวะ!!"
เพื่อนผมตอบ
"แค่นี้ก็โกรธแล้วเหรอวะไอ้เบาหวาน หูเถ๋าของมึงไม่เห็นน่ารักตรงไหนเลย"
คำพูดสุดท้ายของมัน ทำให้ผมโกรธถึงขีดสุด จนหายใจไม่เป็นจังหวะ มือทั้งสองกำแน่น ดวงตาของผมมองขวางไปที่เพื่อนคนนั้น และเหมือนมันจะเริ่มกลัวผม ผมเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ และปล่อยหมัดฮุคขวาหวังจะเข้าหน้ามัน จนมันล้มพับลงไปกองกับพื้น
ผมไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด เพราะมันบังอาจมาดูถูกหูเถ๋าของผม ผมกะจะลงไปซ้ำแต่เพื่อนคนอื่นดันมาห้ามไว้ก่อน
ผมต้องนั่งเฉย ๆสักพักใหญ่ ถึงจะสงบอารมณ์ที่เดือดพล่านของผมได้
หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนคนนั้น แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก เพราะว่าการมีเพื่อนไม่ใช่สิ่งจำต่อชีวิตของผม อยู่แบบหมาป่าเดียวดายนี่แหละดีที่สุด
ณ ห้องๆหนึ่งในโรงเรียน
จองกุก : " อย่านะครับครู อย่าทำตรงนั้น ปล่อยผมนะ " //ดิ้น
ไพบูลย์ : " อยู่นิ่งๆสิ ยิ่งนายดิ้นมันยิ่งทำให้ฉันมีอารมณ์นะจองกุก "
ร่างหนาค่อยๆขึ้นมานั่งคร่อมร่างบาง
ไพบูลย์ : "อมให้ฉันหน่อยสิ"
ร่างบางอึ้งกับคำพูดชวนเสียวของอีกฝ่าย ก่อนจะยังไม่ได้พูดอะไรมาก ร่างหนาของไพบูลย์ก็ขึ้นมานั่งตักเขา
ไพบูลย์ : "เอาล่ะ นายเลิกเรียกฉันว่าครูได้แล้ว ต่อจากนี้นายต้องเรียกฉันว่าไพบูลย์ฮยอง
จองกุก : "ต..แต่"
ไพบูลย์ : " สาวๆในโรงเรียนนี้เรียกฉันว่าไพบูลย์โอปป้าทั้งนั้นแหละ เหอะ มีแต่คนอยากได้ฉันทั้งนั้นแหละ แต่พอฉันไม่เล่นด้วยก็หาว่าฉันทำทรงผมตามนายอีก คนมันเคยได้กันแล้วจะทำทรงผมเหมือนกันแล้วมันทำไมวะ แต่ฉันไม่สนใจคนพวกนั้นหรอก ที่ฉันสนก็มีแต่..."
ร่างหนาค่อยๆลูบไล้และมองร่างบางจากบนลงล่างด้วยสายตาหื่นกระหาย
ฮึกก!!
จองกุก : "อื้อ~ ปล่อยผมนะ"
ไพบูลย์ได้ยัดแท่งที่พร้อมใช้งานเข้าไปในรูรักของอีกฝ่าย
ไพบูลย์ : " นั่นแหละเด็กดี ดิ้นอีกสิ ฉันชอบ อื้มส์ อ่าส์~ นั่นแหละกระต่ายน้อยของฉัน "
จองกุกได้แต่ครางด้วยเสียงอันสั่นคลอน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเสียใจแต่อย่างใด เพราะลึกๆจองกุกก็อยากกับครูของเขาเช่นกัน แต่ตอนนี้ต้องปล่อยให้ไพบูลย์เสร็จก่อนค่อยถึงตาของจองกุก
ซ่าาส์!! ไพบูลย์ได้ทำกิจเสร็จ และหอบมาก แค่สามนาทีก็แตก
จองกุก : " อื้อส์ อ้ะส์ งั้นตาผมแล้วนะครับ "
ไพบูลย์ //ทำหน้าตกใจเพราะไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะคิดแบบนี้
จองกุก : " ขย่มให้ผมนะครับคุณลูกชิ้น"
ไพบูลย์ค่อยครางๆจนในที่สุดนํ้ารักของเขาก็แตกก่อนจองกุกอีกแล้ว
.
.
.
.
และแล้ว!!! จองกุกก็แตกก!!!
จองกุกค่อยๆเอากระดอออกจากรูตูดของครูไพบูลย์ แต่ก็ได้มีเศษขี้ติดออกมาเต็มลำควย กลิ่นขี้คลุ้งห้องไปหมด ครูไพบูลย์อายมากเลยหลบหน้าจองกุก
จองกุก : "อ่าส์~....ฮ่าๆๆ"
ไพบูลย์ : " ขำอะไรของนายห้ะ"
จองกุก : " ก็ขำฮยองไงครับ แตกก่อนผมตั้งสองรอบ แถมยัง....."
ด้วยความอาย ไพบูลย์รีบเอามือรูดขี้ที่ติดอยู่ลำควยจองกุกฟาดทิ้ง แต่มันกลับติดอยู่ผนังห้องโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ทุกคนแทบจะกลั้นอ้วกไม่อยู่เพราะฝาผนังนั้นมีแต่อุนจิ แต่มันไม่สำคัญเท่าความจริงได้เปิดเผย 3ปีที่รอคอย ขอบคุณฟ้าที่มีตา ทุกคนได้รู้ความจริงว่าครูไพบูลย์เป็นเกย์ และจองกุกเองก็โดนครูไพบูลย์เย็ดตูดจนรูโบ๋หลายครั้งแล้ว ครูไพบูลย์ก็โดนกับเขาด้วย ทั้งสองอายมาก เสียใจไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกที่ไหน สองเดือนผ่านไปจองกุกก็ตั้งท้องกับครูไพบูลย์
I trashed my pride.
I begged her, said please.
Please come back.
She said no.
Said she found someone special.
The one she thinks she deserves his love.
The love she has been thirst all the time.
I have my pride.
I stepped back.
If you please, do not mention her name to me.
I do not hate her, but frankly,
I am very upset.
I do not want to see her face.
I do not want to know what she is doing.
I do not want to dream of her, but she haunted me all the nights.
Help is all I need.
Please help.
It isn’t what i feel for her, it is what i feel for no one but her.
มู้นี้ไว้แต่งนิยายอะไรก็ได้ใช่ไหม
แต่งโรงเรียนปราบปีศาจต่อดีป่าววะแต่กูกลัวsirnแม่งลบทิ้งอีกว่ะ
สิงหดาบ
จดหมายถึง แม่เฌอ ep.1 รักแรกพบ
ปี 2543 จาก หอหลวงณรงค์เดชา ร.ศ. ๐๗๑
กราบเท้าคุณแม่ที่เคารพ
ผม โม่ง ลูกแม่ ได้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพ
หลังจาก สอบติดมหาลัยได้
แต่ แม่จ๋าไม่ต้องห่วงหนูเลยนะ
หนูสบายดี ได้ที่พัก ราคาถูกด้วยละแม่จ๋า
ตอนออกไปซื้อของ บอกแม่ค้าว่า ว่า พักที่ไหน เขามีสีหน้าแปลกๆ
คนกรุงเทพ นี่แปลกจังนะครับแม่
ถามแปลกๆ ว่าไม่เจออะไรแปลกๆ บ้างหรอ
เจ้าของหอใจดี เท่านั้นไม่พอนะแม่จ๋า
ลูกสาวเจ้าของหอ สวยมาก แถมอยู่ มหาลัยเดียวกัน
เรียนสาขาเดียวกันเลยจ๊ะแม่
พรหมลิขิตหรือเปล่าหนอ อยากให้แม่G ยกขบวนขันหมากจาก เมืองกาญจน์ มาขอจัง
เธอชื่อ พาขวัญ เจอเธอครั้งแรก หัวใจแทบหยุดเต้นเลยแม่จ๋า
ดีว่า CPR ทัน
แถม พข ยังพูดตลกๆ ว่า ผีมีเยอะแล้ว ไม่ต้องมาอยู่เพิ่มหรอก
หน้าตาดี มีอารมณ์ขันจริงๆ น้า
แต่ก็นะ
เวลาจะคุยกับเธอ พี่เลี้ยงเธอ ขอบมาขัดจังหวะ
ชอบมาเงียบๆ มาไวมาก ยังกะหายตัวได้เลยครับ
แถมพี่เลี้ยง ดูนิยมไทย ใส่สไบเขียวตองเลยแม่จ๋า
ถ้ามีเรื่องอะไร หนูจะเล่าให้แม่ฟังอีกนะแม่จ๋า
วันนี้ เหนื่อยจัง เก็บของกว่าจะเสร็จ
ของชอบลอยออกจากในห้อง เฮ้อ
รักแม่เสมอ
โม่งชัย
มิลค์อายุ 21 ปี
เรื่องนี้ไม่ได้อ้อมค้อมอะไรมาก มันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ มิลค์ อายุ 21 ปี เราไม่จำเป็นต้องพร่ำพรรณนาอะไรถึงบรรยากาศรายล้อมอันจะกลายเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า เพียงแต่โดยสังเขปของมิลค์นั้นเราจะเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นหญิงสาววัยกำลังจะพ้นมหาวิทยาลัย รูปพรรณสัณฐานของเธอสามารถบอกคุณได้อย่างไม่ต้องคิดว่าเธอเป็นคนไทยเชื้อสายจีนเป็นแน่แท้ ด้วยดวงตาลีบเล็ก ผิวขาวเหลืองออกสว่าง ผมเงาตรงเป็นธรรมชาติ แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์ เธอเป็นลูกครึ่งไทย-เวียดนาม แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะเดาไม่พลาดคือเธอเป็นลูกคนอันมีจะกินซึ่งก็ไม่น่าจะเกินจินตนาการนักจากระดับการศึกษาของเธอ มิลค์เป็นผู้มีใจใส่ในกิจการงานสังคมอย่างแม่นมั่นมาแต่ไหนแต่ไร เธอหวังว่าวันหนึ่งพลังของเธอจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ อันเป็นแรงผลักดันแก่กล้าให้เธอดั้นด้นจากความเป็นลูกแกวย่านตลาดห้าแยกเมืองอุดรมาเป็นสาวสังคมมหาวิทยาลัยชื่อก้องในด้านรัฐศาสตร์ ซึ่งนับได้ถึงปัจจุบันก็นับเข้าปีที่สี่เสียแล้ว
มิลค์เป็นคนที่มีอุปนิสัยที่แน่วแน่ มุ่งมั่น กล้าหาญ และโอบอ้อมอย่างลึกซึ้ง วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอจะต้องใช้ชีวิตในโลกอันเธอเห็นว่าเลวร้ายเหลือคณา ในโลกที่ผู้คนล้วนแก่งแย่งชิงดี รบราฆ่าฟันกันเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยในโลก และมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายที่สุดเกินกว่าสปีชี่ส์ใดๆ ในโลกจะเสมอเหมือน เช้านี้ยังคงเป็นอีกวันที่โหดร้ายสำหรับเธอ โลกอันทุกข์ทรมานนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อเธอเดินออกจากหอพักใกล้มหาวิทยาลัย สิ่งแรกที่เธอได้เห็นคือกลุ่มของวินมอเตอร์ไซค์ที่ดักรออยู่หน้าปากซอย พวกเขาต่างยกไม้ชูมือส่งสัญญาณมาทางเธอ และทันใดที่เธอหันไปสบตากลับเป็นเสี้ยววินาทีเดียวกันกับที่เธอต้องหลุบตาหนี สัญลักษณ์แปลกๆ ที่คนเหล่านั้นส่งมาทางเธอคือนิ้วชี้ขึ้นข้างบน “แม่งเอ๊ย ไอ้พวกชายเป็นใหญ่” เธอสบถก่อนจะเดินกอดกระเป๋ามุดหลบสายตาจากคนเหล่านั้นด้วยท่าทีกระวนกระวาย ครั้งหนึ่ง เธอเคยพยายามสร้างความตระหนักทางสังคมว่าด้วยการล่วงละเมิดทางเพศในที่สาธารณะแบบนี้ด้วยการเขียนที่มีชื่อว่า “การผลิตซ้ำวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ด้วยสัญลักษณ์มือของกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วยสัญลักษณ์มือและ cats call” ซึ่งผลออกมาไม่ดีนัก อาจารย์ที่รับหน้าที่บรรณาธิการบอกว่าบทความของเธอเต็มไปด้วยอคติต่อเพศตรงข้าม และในวันนั้น มันเป็นวันที่บทความนี้ถูกเสนอหน้าชั้น เสียงหัวเราะของเหล่าเพื่อนร่วมรุ่นที่มีต่อบทความของเธอมันทำให้รู้สึกราวโดนโลกทั้งใบถล่มใส่ เหตุใดการสร้างความตระหนักให้สังคมกลับถูกมองเป็นเรื่องตลก ยิ่งไปกว่านั้น เธอได้ตระหนักถึงความจริงของเธอข้อหนึ่งว่า มันไม่แปลกเลยที่อาจารย์คนนั้นจะปัดตกบทความของเธอ นั่นก็เพราะเขาเป็นผู้ชาย มันเรื่องอะไรที่เพศชายจะยอมรับว่าวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่มีอยู่จริง ก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่าการชี้นิ้วขึ้นบนของคนพวกนั้นมันหมายถึงอวัยวะเพศที่ชี้โด่ขึ้นบนฟ้า การแสดงท่าทีแบบนั้นมันมีแต่พวกดักดานเท่านั้นที่รับได้ แต่ก็ใช่ เพราะสังคมอันเลวร้ายด้วยชายเป็นใหญ่เธอจึงต้องยอมศิโรราบ แต่ไม่ใช่สำหรับเธอผู้มีความมุ่งมั่นทำลายปิตาธิปไตยให้หมดไป ในครั้งต่อไปที่ต้องเข้าเรียนวิชานั้นอีกครั้ง เธอเลือกที่จะสวมหูฟังอันใหญ่แล้วนั่งในจุดที่คนเห็นเยอะที่สุด อาจารย์ถามกับเธอว่าทำไมถึงได้สวมหูฟังในขณะที่กำลังอยู่ระหว่างการสอน เธอทำท่าทางไม่ใส่ใจจนกระทั่งเพื่อนข้างๆ สะกิดตัวเธอ เธอจึงลุกพรวดขึ้นมาแล้วกล่าวคำปลุกใจเอาไว้ว่า
“อาจารย์กำลังกระทำการ mansplaining ตลอดเวลาที่ทำการสอนด้วยการถือว่าตัวเองเป็นผู้ชายและมีการศึกษาแล้วยังเป็นการด้อยค่าผู้หญิง แค่นั้นอาจารย์ยังใช้ seniority เพื่อแสดงอำนาจและ manipulate กฎเกณฑ์ในห้องนี้โดยที่จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย แล้วพวกคุณที่เหลืออยู่ในคลาสเป็นอะไรกันไปหมด เห็นการกระทำกดขี่ทางเพศอยู่ต่อหน้าแล้วยังเพิกเฉยอีกได้ยังไงกัน การเพิกเฉยต่อความไม่ถูกต้องคือการเข้าข้างผู้กดขี่นะ” ไม่มีใครปริปากอะไร “พวกคุณกำลังปล่อยให้ฉันสู้ลำพัง” เป็นอันแน่นอนว่าหลังจากนั้นก็ได้มีการเรียกเข้าไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ของทางมหาวิทยาลัยต่อการกระทำของเธอซึ่งสิ่งที่แน่นอนยิ่งกว่าคือการที่เธอไม่ยอมรับข้อตัดสินใดๆ ทุกกรณี เธอกล่าวว่าคณาจารย์ท่านอื่นกำลังโทษเหยื่อต่อการกระทำของเธอ และเธอยังกล่าวไว้อีกด้วยว่า Silent is violence แต่ราวกับว่าโลกนี้หันหลังให้กับเธออีกครั้ง ไม่มีใครสนใจสิ่งที่เธอพยายามต่อสู้และดิ้นรนเพื่อเอาชนะโลกอันแสนโหดร้ายนี้เลย และจนท้ายที่สุด เธอจึงได้หันหลังให้กับโลก นับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น เธอก็ทำเพียงแค่การเข้าเรียนไปเพียงให้ผ่านและหวังว่าเธอจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ได้ในวันหนึ่ง
กลับมายังปัจจุบันกันดีกว่า แม้ว่าเรื่องราวนั้นจะผ่านไปแล้วนานหลายเดือนหรือปีไม่ทราบ เพราะความทรงจำอันเลือนรางนั้นมันเป็นสิ่งที่เธออยากจะปลดปล่อยมันออกไปที่สุด และเธอหวังว่าเรื่องเลวร้ายนั้นจะไม่เคยเกิดขึ้นจริง เธอเดินลัดเลาะไปตามอาคารที่เป็นหอพักอื่นๆ ใกล้เคียง ร้านค้าแถวนี้ไม่ใคร่อยากจะค้าขายอะไรกับเธอนัก ด้วยอุปนิสัยเอาจริงเอาจังของเธอนี่แหละ ครั้งหนึ่งเธอเคยต่อว่าแม่ค้าขายน้ำส้มที่พยายามจะขายน้ำส้มแบบราคาพิเศษให้กับเธอด้วยราคาสามขวดห้าสิบบาทจากราคาปกติขวดละยี่สิบ จริงอยู่ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ช่วยประหยัดเงินได้ถึงสิบบาท แต่เธอมองว่าการตลาดด้วยการลดราคานั้นเป็นเพียงเหยื่อหลอกล่อเข้ากับดักของทุนนิยมอันเลวทราม แม้ว่านั้นจะเป็นเวลาสี่ทุ่มและแม่ค้าก็ออดอ้อนว่า “ซื้อยายเถอะลูก ยายอยากกลับบ้านแล้ว” นั่นยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดโมโหเข้าไปใหญ่ การใช้ความอ่อนแอของช่วงวัยและความพิกลพิการมาหากินเป็นเรื่องที่อภัยไม่ได้ และการที่ยายตาฝ้าฟางจนบอดไปข้างหนึ่งนั้นก็เป็นไปเพื่อการตลาดเท่านั้น เธอจึงยืนเทศนาคุณยายท่านนั้นไปยกใหญ่ นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเห็นแกอีกเลย สำหรับเธอแล้วนั่นเป็นเรื่องที่ดีกว่า อย่างน้อยมันก็ดีที่ตรงข้างทางจะได้ดูสะอาดสะอ้านน่ามองมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่แม่ค้าเหล่านั้นไม่ค่อยอยากจะญาติดีกับเธอนัก เธอเชื่อว่าแม่ค้าคนอื่นๆ สนับสนุนการค้าขายตามไหล่ทางอันเป็นการจัดการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อที่สาธารณะ แต่เคราะห์ยังดีสำหรับเธอในวันนี้ เพราะมีร้านอาหารมาเปิดใหม่ซึ่งเธอเองก็ใคร่อยากจะเข้าไปหาอะไรใหม่ๆทานพอดี
“ขอออมเล็ตไม่ใส่ไข่ค่ะ” เธอกล่าวต่อพนักงานหน้าร้าน ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะเป็นอีกคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เรียนไม่จบจนจำเป็นต้องมาเปิดร้านอาหารด้วยเงินค่าเทอมที่หลอกขอพ่อแม่มา
“อะไรนะครับ” เจ้าของร้านไม่เข้าใจ แน่นอน คนโง่ๆ เรียนไม่จบอย่างเขาไม่มีทางเข้าใจอะไรเธอหรอก
“ขอออมเล็ตค่ะ แต่ไม่ใส่ไข่นะ” เธอยังพยายามพูดด้วยท่าทีที่เป็นมิตรยิ่งขึ้น
“ผมไม่เข้าใจ ออมเล็ตไม่ใส่ไข่จะเป็นออมเล็ตได้ยังไง” ใช่แล้ว เขาโง่เกินกว่าจะเข้าใจเธอจริงๆ ด้วย
“ก็ใส่เต้าหู้อ่อนไง คนๆ แค่นาทีเดียวก็ได้แล้ว คุณทำอาหารวีแกนไม่เป็นเหรอ” ตอนนี้เธอเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อยซึ่งปกปิดไม่ได้ด้วยสายตาและหัวคิ้วที่ปรับจูนเข้าหากัน
“งั้น.....” เขาหยิบจานขึ้นมาวางบนโต๊ะ โรยเกลือ พริกไทย “เอนจอยครับ”
เธอรู้ได้ทันทีว่าเขาประชดเธอ ไม่รอช้าเธอสับเท้าก้าวออกจากร้านในแทบจะวินาทีเดียวกัน เธอโกรธจนแทบจะร้องไห้ โลกนี้มีแต่พวกคนกวนประสาท ไม่เคยมีใครสักคนเลยที่เข้าใจเธอ เขามองตามหลังเธอไปจนลับตาแล้วค่อยอุทานออกมา “อีห่า ประสาท ออมเล็ตบ้านพ่องใช้เต้าหู้ทำ” แน่นอนเขาบ่นให้เธอเพราะขาดความรู้ ออมเล็ตจะใส่อะไรก็ได้ ขอแค่เรานิยามมันว่านี่คือออมเล็ตมันก็คือออมเล็ต แม้กระทั่งมาการีนก็ยังเป็นเนยสดหากคุณนิยามว่ามันคือเนยสดและสังคมเห็นดีเห็นงามกับคุณว่ามันคือเนยสด เมื่อเธอรู้ตัวว่าล้มเหลวแล้วในเช้านี้กับการสั่งออมเล็ตไม่ใส่ไข่ ทางเลือกสุดท้ายในตอนที่เธอต้องการรู้สึกได้พลังงานที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือน้อยลงเต็มที เธอจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านกาแฟเจ้าดังที่มาเปิดสาขาอยู่ภายในมหาวิทยาลัยแทน เพียงไม่กี่นาทีกาแฟก็มาเสิร์ฟแต่
"วันนี้กาแฟรสชาติเพี้ยน" เธอพึมพำกับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหยิบเอาไอแพดโปร 256 GB ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ปลายนิ้วของเธอสั่นระริกที่ขอบเคสแป้นพิมพ์จากร้าน 425Degree แน่นอนมันต้องมาจากยี่ห้อที่ดีที่สุดเท่าเที่เธอจะหาได้จากร้าน คิ้วขมวดเข้มของเธอขนานเข้ากับขอบบนของเครื่องสื่อสารนั่น เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่งพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆแล้วบรรจงพลิกเปิดมันออกมา หน้าจอล็อคปรากฎภาพของ คาร์ล มาร์กซ นักคิดชื่อก้องที่เธอบูชาเขาเสมือนเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมิอาจแปดเปื้อนรึอาจเอื้อมตนไปเสมอเหมือน เธอไล่นิ้วไปตามหน้าจอเพื่อค้นหาโน้ตพร้อมเรียบเรียงความคิดของตนไปพลาง ทันทีที่เธอหาแอพพลิเคชั่นนั้นเจอ มันกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการขับเคี่ยวระหว่างตัวเองและกระบวนทัศน์ที่หล่อหลอม องค์ความรู้ที่ถูกกวนเข้า เคี่ยวอย่างประณีต หมักบ่มเป็นเวลานาน บัดนี้ไอน้ำแอลกอฮอล์ทางการเมืองพวยพุ่ง เธอเปลี่ยนท่าทางเป็นการนั่งหลังตรงพร้อมพลิกหน้าจอไปแนวตะแคงอย่างทันท่วงที
"รสชาติกาแฟที่ผิดเพี้ยนจากปกติทุกวันทำให้ข้าพเจ้าพึงตระหนักได้ว่า ในสายธารแห่งการแข่งขันและทุนนิยมอันเดือดดาลท่ามกลางน่านน้ำสีแดงชาดอันเจิ่งนองไปด้วยเลือดของผู้ปราชัยในสนามแห่งการค้ากาแฟเหล่านี้นั้น ไม่เพียงเป็นการพยายามอย่างเลวทรามในการช่วงชิงพื้นที่ทางความเชื่ออันว่าด้วยการดื่มกาแฟเป็นเรื่องจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต แต่หากหมายถึงการพรากนำเอาจิตวิญญาณของการดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่สำคัญในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปเสียด้วย การที่พนักงานไม่สามารถควบคุมรสชาติให้อยู่ได้อย่างเป็นมาตรฐานนั้นเกิดจากการที่รัฐไม่ยอมเข้าแทรกแซงกระบวนการค้าและสายการผลิตของภาคเอกชนและปล่อยให้ตลาดเสรีได้ใช้งานทั้งทรัพยากรมนุษย์และเวลาไปอย่างสูญเปล่า อีกทั้งยังสะท้อนปัญหาการใช้แรงงานอย่างล้นเกิน เป็นภาวะความล้มเหลวในการสร้างรูปแบบชีวิตที่ดี ความเหนื่อยล้าของพนักงานที่ต้องทำงานเกินควรจะเป็นรวมไปถึงการพยายามลดต้นทุนการผลิตของเหล่านายทุนได้ก่อให้เกิดมหัยตภัยทางเศรษฐกิจอย่างไม่อาจเยียวยาให้หายขาดได้ ความสัมพันธ์อันเกี่ยวโยงกันอย่างไม่สามารถตัดขาดนี้เป็นอีกหนึ่งวงจรที่ไม่สามารถหนีพ้น เป็นบ่วงแห่งทุกขกรรมที่มนุษยชาติล้วนหลีกหนีไม่ได้ เป็นสังสารวัฏแห่งความเหลื่อมล้ำและการถูกกดขี่ ชีวิตแรงงานอันไร้ความหมายในสายตาของเหล่านายทุนไม่อาจถูกหล่อหลอมเยียวยาให้สามารถกลับมาเป็นดังควรได้ และแม้ความผิดเพี้ยนของกาแฟนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเล็งเห็นได้แล้วว่า มิคคสัญญียุคไม่ได้เป็นเพียงนิทานปรัมปราหรือปกรณัมในศาสนา หากแต่เป็นการจำต้องทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กรอบแห่งสภาวะสังคมทุนนิยม"
เธอจดโน้ตเสร็จแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คิ้วที่ขมวดเขม็งเริ่มคลายออก ความรู้สึกฟื้นฟูคืนชีวิตชีวาราวกับพึ่งสำเร็จความใคร่ถาโถม โดปามีนหลั่งไหลไปตามระบบประสาท เธอยิ้มออกมาที่มุมปากครั้งหนึ่ง ความผ่อนคลายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เธอยกมือขึ้นเหนือศีรษะตัวเองเล็กน้อยพลางหันไปมาราวร้องขอความช่วยเหลือ และแล้วพนักงานคนหนึ่งได้เผอิญสบสายตาเข้ากับเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ
"ขอโทษนะคะ ฉันอยากพบกับผู้จัดการของคุณ" พนักงานผู้อับโชคได้แต่เดินตัวสั่นไปเรียกผู้จัดการมาให้เธอก่อนที่มันจะกลายเป็นมหากาพย์การเทศนาอย่างยาวนานกว่าสิบนาทีว่าด้วยกาแฟที่ผิดเพี้ยนไป และแม้จะไม่ถูกต้องนักแต่ทางร้านกาแฟก็ต้องจำยอมต่อเธอด้วยประการทั้งปวงและชดเชยด้วยการมอบขนมกับกาแฟที่ชงใหม่ให้ ซึ่งมันทำให้เธออารณ์ดีขึ้นเล็กน้อยจนถึงกับต้องจดลงไปในโน้ตว่า “การเอาคืนทุนนิยมอย่างสาสม”
คลาสเรียนในวันนี้ก็ยังคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อด้วยเรื่องเดิมๆ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งในตอนบ่ายที่เธอคิดว่ามีช่วงหนึ่งที่อาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งได้กล่าวเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง Listen and believe การฟังและเชื่อ เป็นแนวคิดที่ตอบรับทุกสภาพสังคมโดยเฉพาะสังคมที่เธอเชื่อว่าจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้ อันว่าด้วยการรับฟังคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหยื่อไม่ตั้งคำถาม และไม่คาดคั้น โดยให้เราเชื่อว่าเรื่องที่เหยื่อพูดนั้นคือความจริงเสมอ มันคือความยุติธรรมที่สุด มันชอบธรรม และมันเที่ยงธรรม เมื่อกระบวนการทางยุติธรรมมันเต็มไปด้วยการโทษเหยื่อ แล้วทำไมคุณถึงยังก้มหัวให้แก่ความยุติธรรมที่อยุติธรรมเหล่านั้น การใช้ศาลมันไม่ต่างอะไรกับการเอาเหยื่อไปขึ้นเขียงให้ตายทั้งเป็นจากการโดนทั้งสอบสวนทั้งตั้งคำถามซ้ำไปซ้ำมา กลายเป็นว่าเป็นการตอกย้ำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจเข้าไปอีก ความยุติธรรมทางสังคม จึงยุติธรรมกว่า ไม่ต้องผ่านกระบวนการชายเป็นใหญ่ ให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน และเครื่องมือเดียวที่จะช่วยให้ความยุติธรรมเหล่านี้เป็นจริงได้คือ วัฒนธรรมคว่ำบาตร Cancel Culture เท่านั้น เธอตาวาวเป็นประกายเมื่อรู้ว่าตัวเธอสามารถใช้มันเพื่ออะไรได้บ้าง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ผู้คนที่อ่อนแอกว่า เพื่อต่อกรกับปิตาธิปไตยที่เธอเกลียดชัง เพื่อช่วยเหลือเหยื่อและเอาผิดผู้กระทำในวันที่ความยุติธรรมของศาลไม่สามารถเอื้ออำนวย มันทั้งชัดเจน เด็ดขาด และรุนแรง คุณไม่จำเป็นต้องกังวลด้วยซ้ำว่ามันจะไม่ได้ผล มันได้ผลเสมอ และหากต่อให้มันผิด หากมันเป็นการกล่าวหาลอยๆ เธอก็เชื่อว่าอย่างน้อย มันก็ได้สร้างความตระหนักรู้ให้แก่สังคมได้มากกว่า มันไม่คุ้มอย่างนั้นหรือที่เราจะยอมเสียสละใครสักคนเพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมและสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องการกระทำความรุนแรงทางเพศ สำหรับเธอแล้ว นี่เป็นวิชาที่เธอชอบที่สุดนับตั้งแต่เรียนมาเป็นเวลาสามปีกว่าด้วยซ้ำ
เย็นวันนั้นเป็นวันที่เธออิ่มเอมที่สุด ด้วยเนื้อหาสิ่งที่เธอได้เรียนมา มันนับเป็นทางสว่างของสังคมเลยก็ว่าได้ เธอตั้งมั่นว่าเธอจะเอาการคว่ำบาตรนี้ไปช่วยเหลือสังคมให้ได้มากที่สุดโดยตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ว่าเมื่อกลับไปถึงห้องในคืนนี้เธอจะ Cancel ใครบ้างสักคนสองคนเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า แต่อย่างไรก็ดีช่วงหัวค่ำแบบนี้จะต้องหาอะไรกลับไปกินที่ห้องเสียก่อน เธอแวะที่ร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่งพร้อมกับสั่งว่า “ผัดผักรวม ไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่น้ำมัน ไม่ใส่ผงปรุงรส ไม่ใส่ซอสหอยนางรม ไม่ใส่น้ำปลา ไม่ใส่น้ำตาล กลับบ้าน ไม่ใส่กล่องโฟม ไม่เอาช้อนพลาสติกค่ะ” ผู้คนหันมามองเธอทั้งร้านชั่ววินาทีหนึ่ง แต่เมื่อทุกสายตาจับจ้องเธอแล้วก็หุบลงในแทบจะทันที ถ้าจะกล่าวได้ว่าเธอเป็นบุคคลมีชื่อเสียงก็คงจะไม่แปลกนัก ระหว่างที่เธอกำลังนั่งรออยู่นั้นมีกลุ่มผู้ชายเดินเข้ามาพร้อมกับสั่งกะเพราไข่เยี่ยวม้า ทันใดเธอรู้สึกผะอืดผะอมคลื่นเหียนมาในทันที เพราะเธอได้รู้ความจริงข้อหนึ่งเกี่ยวกับความเลวร้ายของมนุษย์ที่สร้างสรรค์เมนูนี้ขึ้นมา เธอเคยเขียนเอาไว้ด้วยว่า
“ฟัวกราส์ ไข่เยี่ยวม้า นมปรุงรส เมนูอาหารสุดเลวระยำด้วยน้ำมือความต่ำช้าของมนุษย์ เมนูฟัวกราส์หรือตับห่านนั้นเกิดจากการกรอกอาหารปริมาณมากลงไปในคอห่านเพื่อให้เกิดอาการตับพอกจากไขมันส่วนเกินที่ห่านจะต้องกิน การยัดอาหารลงไปอย่างไม่สนใจความทุกข์ทรมานของมันนั้นช่างอำมหิตจนผิดมนุษย์ ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือการตัดต่อพันธุกรรมวัวนมที่เดิมมีนมไว้แค่ให้กับลูกวัว แต่ความมัวเมาของมนุษย์นั้นเหมือนหลุมไร้ก้นบึ้ง ความละโมบโลภมากขับเคลื่อนมนุษย์ด้วยทุนนิยมจนเพาะพันธุ์วัวที่รีดนมมาให้พวกเขาได้อย่างไม่จำกัด ไม่เพียงแต่นมจืดสีขาวธรรมดาเท่านั้น แต่นมหวานสีเขียวที่เกิดจากการบังคับให้แม่วัวทานหญ้าหวานที่ผิดจากอาหารธรรมชาติของมันช่างเลวร้ายขึ้นไป แค่นั้นยังไม่พอ พวกกลุ่มนายทุนที่หน้าเลือดยังคัดเลือกตัดต่อสายพันธุ์สีน้ำตาลขึ้นมาเพื่อนมรสช็อกโกแลตไปจนถึงความโหดเหี้ยมที่เอาวัวไปอาบรังสีเพื่อให้มันผลิตนมวัวสีชมพูที่ออกรสชาติมาผิดธรรมชาติอย่างรสสตรอว์เบอร์รี่ ฉันเคยเห็นจากฟอร์เวิร์ดเมล์ของกลุ่มวีแกนต่างชาติว่า วัวสีชมพูนั้นไม่ได้เกิดเป็นสีชมพูแต่ถูกอาบด้วยรังสี Strawber - ray จนเลือดซึมออกจากผิวหนังแล้วจึงนำมากลั่นเป็นนม และที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้ นั่นก็คือเมนูไข่เยี่ยวม้า อาหารไทยเชื้อสายจีนที่มีประวัติมาเป็นพันๆ ปี โดยในแต่ละปีทั้งคนไทย จีน และประเทศวัฒนธรรมร่วมอื่นๆ บริโภคไข่ประเภทนี้ถึงปีละสองล้านฟอง นั่นแปลว่าเราจะต้องทำการตอนม้าเพศผู้ในวัยก่อนเจริญพันธุ์ถึงปีละหนึ่งล้านตัวเพื่อเอามาทำอาหารสนองความอยากของมนุษย์อย่างนั้นหรือ เปลือกไข่สีชมพูนั้นก็เป็นแค่เครื่องพรางตาสีสันสดใสที่ปิดบังเรื่องราวอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในที่ดำไม่ต่างกัน มันคือเมนูอาหารที่อุดมไปด้วยความเลวทรามต่ำช้ำ ความละโมบโลภมาก ความหน้าไม่อายและความอำมหิตจิตวิปลาสที่สุดเท่าที่จะหาได้จากที่ใดก็ตามในโลกนี้ และเพราะเหตุนี้ฉันจึงปวารณาให้ตนเองเป็นวีแกน เพื่อหวังว่าในวันหนึ่ง ผู้คนทั้งโลกจะเข้าใจได้เสียทีว่าความอัปยศเหล่านี้ไม่เป็นที่ยอมรับและน่ารังเกียจ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้คนจะตาสว่าง” แต่ก็เช่นเคย งานเขียนของเธอไม่เป็นที่ยอมรับครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้คนโดยทั่วไปแล้วล้วนย่อมต้องปกป้องสิ่งที่ตัวเองเชื่อ สิ่งที่ตาเห็น มากกว่าจะเอาข้อเท็จจริงมานั่งคุยกันถึงเหตุและผลของสรรพสิ่งในโลก เหตุใดกัน ไม่ว่าจะแม่ค้าขายน้ำส้มหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยที่เรียนมาสูงกว่าเธอถึงได้ไร้วิจารณญาณได้ถึงขนาดนี้ Critical Thinking ไม่เคยมีความหมายในสังคมนี้เลย
ความคิดของเธอขาดห้วงในตอนที่ป้าร้องเรียกเธอเพื่อบอกว่าอาหารของเธอได้แล้ว เธอไม่ชอบสายตาดูถูกของคนพวกนี้เลย โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่จ้องมองเธอโดยไม่เคยขอความ ยินยอม Consent นั้นสำคัญมาก มันจะเป็นอย่างไรหากเราต้องถูกรุกล้ำอธิปไตยส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา “ห้าสิบบาทลูก” พูดไม่ทันขาดคำ การละเมิดความยินยอมที่พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ก็ถาโถมเข้าใส่เธอ เพราะอะไรกัน ทำไม ทำไมคนพวกนี้ถึงได้เรียกเธอด้วยสรรพนามที่เธอไม่ยินยอม เธอไม่ได้เป็นลูกของพวกเขาสักหน่อย เธอไม่ใช่น้องของเจ้าของร้านถ่ายเอกสารด้วยซ้ำ เธอไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการถูกละเมิดด้วยเรื่องที่คนในสังคมบอกว่า “จะอะไรนักหนา หยวนๆ ไปไม่ได้เหรอ” ใช่สิ เพราะคำว่าหยวนๆ อันเป็นลักษณะนิยมของคนไทย เป็นอุปนิสัยไร้อารยะแบบนี้ ประเทศนี้มันเลยเป็นได้แค่ประเทศโลกที่สาม การไม่ให้เกียรติกันเพียงเพราะเอาคำว่าสบายใจมาเป็นข้ออ้าง มองยังไงก็เลวร้ายไม่น้อยกว่าการทำร้ายจิตใจ “น้องผู้หญิงลูก ได้ยินป้ามั้ย” พอมาถึงเวลานี้สติของเธอเริ่มพร่ามัว คุรเป็นใครกันมาตัดสินและเรียกฉันด้วยเพศสภาพ ใช่ ฉันอาจจะเป็นผู้หญิง อาจจะใช้ she/her แต่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันล่ะ ถ้ามันเป็นคนที่จริงจังกว่านี้ การเรียกด้วยสรรพนามที่ผิดอาจหมายถึงการสร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับคนๆ นั้นจนบานปลายได้ การเรียกคนอื่นด้วยเพศสภาพควรกลายเป็นความเคยชินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และหากสังคมจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเธอคงไม่มีวันได้พบเจอกับความเจริญที่เธอคิดถึง และถ้ามันเลวร้ายไปกว่านั้น ด้วยค่านิยมที่ล้าหลังและมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตื่นรู้ active citizen อย่างเธอไม่ต่างอะไรจากสัตว์ประหลาด พวกเขาย่อมต่อต้านเธอ ใช่ มันเป็นเช่นนั้น สังคมไม่ยอมรับเพราะคิดว่าเธอคือสิ่งแปลกปลอม แต่ความถูกต้องท่ามกลางสิ่งที่บิดเบี้ยวย่อมแปลกปลอมไม่ใช่หรือ ระหว่างที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น
“คุณ คุณ เฮ้ยคุณ!!!” มีเสียงหนึ่งเรียกเธอพลางสะกิด เสี้ยววินาทีเธอคิดได้ว่าอย่างน้อยก็มีคนที่พูดภาคนอยู่ละแวกนี้บ้าง ไม่เรียกเธอว่าน้อง หนู ลูก หรือผู้หญิง
“เฮ้ยคุณเหม่ออะไรวะเนี่ย” เจ้าของเสียงเขย่าเธออีกที เป็นไอ้หนุ่มออมเล็ตเมื่อเช้า
“นี่คุณอย่ามา Sexual Harassment ฉันนะ” แทนที่เธอจะขอบคุณเขาแต่ดันทำท่าทางไม่พอใจ เธอโมโหเพราะการที่เขามาแตะต้องร่างกายเธอโดยไม่ยินยอมนั้นแปลว่ามันคือการล่วงละเมิดทางเพศอย่างไม่มีข้อแม้ ตอนนี้สายตาจับจ้องมาทางพวกเขาทั้งคู่ นายคนนั้นยังคงยืนคิ้วขมวดจ้องหน้าเธอ ในวินาทีนั้นเธอน้ำตาคลอขึ้นมา เธอเชื่ออย่างสุดหัวใจว่ากำลังโดนล่วงละเมิดทางเพศอยู่จริงๆ เธอไม่ทำอะไรอีกนอกเสียจากการเดินไปตบเงินลงบนโต๊ะแม่ค้าแล้วรีบวิ่งกลับหอ ทิ้งนายออมเล็ตยืนงงอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งสามีของคุณแม่ค้าเดินมาตบบ่าเขาทีนึง
“หนุ่มเอ้ย ครั้งแรกก็ตกใจแบบนี้แหละ เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”
มิลค์กลับมาถึงห้องร้องไห้ฟูมฟายกรีดร้องลงบนหมอน คิดทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอตลอดวันที่ผ่านมานี้ ทำไมกัน ประเทศนี้ สังคมนี้ไม่เคยพร้อมที่จะพัฒนาเลยหรืออย่างไร ทำไมถึงมีแต่คนแย่ๆ มากมายในสังคม เธอทำอะไรไม่ได้สักนิดเลยหรือ แม้เพียงเล็กน้อย โอกาสที่จะทำให้เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นบ้าง แต่แล้วเธอก็ฉุกคิดขึ้นมา ในช่วงเวลาที่ดำมืดและโดดเดี่ยวที่สุด ก็ย่อมเห็นแสงดาวชัดเจนที่สุด เธอจำสิ่งที่เรียนไปวันนี้ได้ เธอรีบเขียนลงในทวิตเตอร์ลงไปในทันที
“วันนี้เราโดนเจ้าของร้านอาหารเช้าหน้ามอ SH เมื่อตอนเย็น ตอนนี้สภาพจิตใจเราแย่มาก ไม่อยากพบเจอใครเลย เราขอเตือนภัยเพื่อนๆ ไม่อยากให้เจอแบบเดียวกับเรา #sexualharassment #sexualassult #มหาลัยไม่ปลอดภัย #metoo”
ราวสี่สิบหน้านาทีหลังจากนั้น มีคนรีทวีตเธอพร้อมรูปภาพ เป็นร้านของหมอนั่นโดนอิฐปาจนกระจกแตกพร้อมพ่นสเปรย์ด่าเอาไว้ว่า HARASSER MUST DIE และบรรดาของตกแต่งถูกเผาจนวอด และเธอก็ได้รับรู้ว่า สังคมนี้ไม่ใช่ว่าไม่พร้อม แต่มันพร้อมแล้ว ผู้คนพร้อมจะอยู่เคียงข้างเธอ เพียงแค่จากในเงามืดเท่านั้น และเพียงเชื่อแบบนั้น เธอเองก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว และวันนี้นี่แหละ คือวันที่เธอมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
HAPPY ENDING
ถ้าหากเธอเป็นท้องฟ้าจะงดงามขนาดไหนกันนะ
เธอที่เป็นมนุษย์
ตอนนี้คงโดนตอกสด
ตอนนี้คงโดนกดหัวอย่างรุนแรง
ตอนนี้คงโดนย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี
ตอนนี้คงกลืนน้ำไอหนุ่มนั่น
ตอนนี้คงลืมเราไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงงดงามเสมอ
แต่ท้องฟ้า
ท้องฟ้าไม่โดนตอกสด
ท้องฟ้าไม่ถูกกดหัวอย่างรุนแรง
ท้องฟ้าไม่โดนย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี
ท้องฟ้าไม่กลืนน้ำไอหนุ่มนั่น
ท้องฟ้าที่ไม่จดจำเราตั้งแต่แรกแล้ว และไม่จดจำไอหนุ่มไหนทั้งนั้น
ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า คงจะงดงามกว่าตอนนี้ขนาดไหนกันนะ
ในขณะที่ไอ้หนุ่มนั่นเสียบจนมิด
ทุกอย่างก็บิดเบี้ยวไปจนหมด
ทั้งใบหน้าของเธอ
ทั้งหัวใจของผม
เป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่ได้รับปลูกถ่ายดวงตามา ทำให้เขาเห็นฉากการฆาตรกรรมผู้บริจาคร่างกายจัดฉากว่าเป็นการปลิดชีพตัวเองเพื่อหนีความผิดในคดีฉ่อโกง forex หลายหมื่นล้าน หนทางเดียวที่จะลบภาพหลอนในตาได้ คือ ต้องช่วยไขคดีให้ความเป็นธรรมกับเจ้าของดวงตา โดยร่วมมือกับ หญิงสาวที่ได้รับบริจาคหัวใจ และเด็กที่ได้รับบริจาคไต ที่มีอาการอวัยวะต่อต้านเพราะเจ้าของอวัยวะต้องการความเป็นธรรม
ผู้ร้ายตัวจริงจะเป็นใคร เอาไปแต่งต่อเองนะ
เอลิชาตายแล้ว
หญิงสาวผมสีทองซีดยกมือขึ้นกุมแก้มบวมช้ำของตนเอง ดวงตากลมโตเผยความรู้สึกยากจะเชื่อความจริงที่ปรากฏตรงหน้า ภาพสะท้อนผ่านกระจกทองเหลืองคือเอลิชาในวัยสิบแปดปี ใบหน้าที่มีเค้าโครงความงาม หากแต่เปรอะเปื้อนด้วยคราบสกปรก เบ้าตาลึกโบ๋จากการขาดสารอาหาร แก้มซูบตอบจนเห็นกระดูกบริเวณโหนกชัดเจน ริมฝีปากแห้งกร้านและซีดเซียว ไหนจะร่างกายผ่ายผอมเหมือนไม้ขีดในชุดสาวใช้ชั้นต่ำ
“ไม่…จริง…..เป็น…ไปไม่ได้” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น สองมือขยุ้มเส้นผมบนศีรษะจนยุ่งเหยิง สีหน้าที่แสดงออกมาในยามนี้คล้ายกับสตรีวิกลจริต “ไม่…จริง….ข้า…ฆ่า..นาง…ไป..แล้วด้วยมือคู่นี้“ นางก้มมองมือเหี่ยวแห้งที่หยาบกร้านจากการทำงานหนัก พลันนึกถึงสองมือเรียบเนียนในอดีตซึ่งถูกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด
มีดแหลมคมเล่มนั้นนางยังจำได้ดี รวมถึงวินาทีที่เสือกอาวุธมีคมลงในกายเนื้ออุ่น ๆ ของเอลิชา ใบหน้าน่าขยะแขยงของหญิงสาวที่นางเกลียดชังเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ออกมา ราวกับปล่อยวางสิ่งสำคัญทุกสิ่งในชีวิต
บุตรสาวดยุคเอเรส นักบุญแห่งสหราชอาณาจักร และคู่หมั้นขององค์รัชทายาท
“เป็นแค่บุตรสาวนอกสมรสที่มีสายเลือดโสโครกจากสตรีชั้นต่ำ” เสียงหัวเราะจากลำคอแห้งผากเต็มไปด้วยความขมขื่น หัวใจริษยายามนี้เหมือนถูกหนามแหลมทิ่มแทงเข้ามา
นางเป็นถึงอามีเรีย เอเรส บุตรสาวที่ถูกต้องตามกฎหมายของท่านพ่อ ผู้สืบทอดตำแหน่งนักบุญศักดิ์สิทธิ์ และคู่หมั้นรัชทายาท
แต่แล้วสตรีนางนั้นกลับแย่งชิงทุกสิ่งไปจากนาง ความปรารถนาทั้งหมดพังทลายลงชั่วพริบตา ไม่เว้นแม้กระทั่งความรักของบุรุษที่นางรัก
คิดแก้แค้นจนทำลายเอลิชาแล้วอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายกลับปล่อยวางทุกสิ่งที่นางทุ่มเทอย่างง่ายดาย
หญิงสาวยกมือขึ้นสัมผัสกระจกทองเหลืองซึ่งสะท้อนภาพตนเองออกมา ดวงตาโศกเศร้าเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำ นางไม่อาจยอมรับความจริงได้ว่าได้…กลายเป็นเอลิชา
พล็อตล้นจนมาแต่งว่างๆ ส่วนนิยายหลักยังดองอยู่เพราะแต่งไม่ออก ไม่รู้จะแก้หัวตันเรื่องเก่ายังไง
พศ 2660 มีศูนย์กลางอยู่ที่อารยธรรมภายในกำแพงวงกลมสามชั้น ความรู้ที่เผยแพร่ในท้องถิ่นบันทึกว่ามันเป็นร่องรอยสุดท้ายของอารยธรรมมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ชาวละโว้ผู้อยู่อาศัย ถูกทำให้เชื่อว่าเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว มนุษยชาติถูกทำให้เกือบสูญพันธุ์หลังการปรากฏตัวของฝูงลิงยักษ์ศาลเจ้า กับฝูงลิงปรางค์สามยอด ที่โจมตีและแย่งชิงอาหารของมนุษย์ จนทำให้เกิดการขาดแคลรอาหารมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก มนุษยชาติส่วนที่เหลือที่เป็นชาวตลาดได้สร้างกำแพงยักษ์และหลบซ่อนหลังกำแพงร่วมศูนย์กลางสามแห่ง และดำรงชีวิตอย่างสงบสุขประมาณศตวรรษหนึ่ง
“นี่... ให้เสี่ยวตี้ปรนนิบัติท่านเถอะ”
ชายหนุ่มเหลือบตามองดวงหน้าของหญิงสาวที่นอนอิงอยู่แนบอก ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากกล่าวว่า “หญิงใดจะใจกว้างเท่าภรรยาเราไม่มี แต่งงานกันได้ไม่ถึงขวบปี ท่านก็เสนออนุภรรยาให้แก่ข้าเสียแล้ว”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นค้อนขวับ ดุว่า “เสี่ยวตี้ติดตามรับใช้ข้ามาตั้งแต่ยังเล็ก มารดานางก็เป็นแม่นมของข้า ข้าก็ย่อมต้องเป็นห่วงอนาคตของนาง”
“จึงให้ข้ารับนางเป็นอนุภรรยากระนั้นหรือ”
“แล้วจะมีอันใดมิได้ นางติดตามข้าแต่งเข้าตระกูลท่าน จะมีบุรุษใดบังอาจมาสู่ขอนางได้อีก หรือท่านคิดให้นางตบแต่งกับบ่าวไพร่ในบ้าน”
“ยอดรัก เสี่ยวตี้เพิ่งจะอายุได้สิบสี่สิบห้ากระมัง อีกสักสองสามปีค่อยคิดถึงเรื่องนี้ก็ยังมิสาย”
“สิบสี่สิบห้าแล้วอย่างไร บุรุษโสโครกเช่นพวกท่านมิใช่ชมชอบมีภรรยาอายุน้อยหรอกหรือ”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ใช้มือมารที่ใต้ผ้าห่มบีบเข้าที่บั้นท้ายของนางเบา ๆ “อายุเท่านี้ออกจะเยาว์เกินไป” มันกล่าว “อีกอย่างหนึ่ง ภรรยาข้าคนนี้ก็ยังสาวยังสวย ไยข้าต้องไปคิดหาสตรีอื่น เอาไว้อีกสักสิบปี ข้าค่อยคิดหา...”
“หา” หญิงสาวแหว ถลึงตามองสามีอย่างดุดัน “อีกสิบปีแล้วจะอย่างไร ถ้าข้าไม่สาวไม่สวยแล้วท่านก็จะไปมีสตรีอื่นอย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มยิ้มแหย “ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น” มันพยายามแก้ตัว “ที่ข้าจะกล่าวคือ ข้าไม่ได้คิดอยากจะรับอนุภรรยาในตอนนี้...”
“...แต่ถ้าเมื่อใดข้าไม่สาวไม่สวยแล้ว ท่านก็ค่อยเริ่มคิดสินะ เฮอะ บุรุษโสโครกก็ย่อมเป็นบุรุษโสโครกวันยังค่ำ”
ชายหนุ่มโอบรัดร่างบางไว้แนบอก กระซิบคำง้องอนที่ข้างหูของนางอยู่หลายคำ ครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงค่อยเอ่ยคำขึ้นว่า “ข้าให้เวลาท่านห้า... ไม่สิ สามปี”
ชายหนุ่มครางหืม ย้อนถามว่าหมายความว่าอย่างไร เมื่อนั้นหญิงสาวจึงกล่าวต่อว่า “ข้าให้เวลาท่านหาอนุภรรยามาตบแต่งด้วยสามปี ท่านคิดจะตบแต่งกี่ร้อยกี่พันนางก็เรื่องของท่าน แต่เมื่อพ้นกำหนดสามปีนี้แล้ว ห้ามมิให้ท่านรับธิดาตระกูลใดเข้าบ้านอีก”
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ใช้เสียงเล็กเสียงน้อยถามนางว่า “ยอดรัก ทำเช่นนี้จะเกิดประโยชน์อันใด”
“ข้าจะได้มีเรี่ยวแรงสู้รบกับพวกนางได้อย่างไรเล่า” หญิงสาวแหว “ขืนรอจนแก่ ข้าจะเอาอะไรไปสู้กับนางจิ้งจอกทั้งหลาย คงได้กลายเป็นขี้ปากของผู้คนไปทั่ว”
ชายหนุ่มตีหน้าขรึมพยักหน้ารับ “ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนสำรวจไปตามบ้านต่าง ๆ ลูกเล็กเด็กแดงบ้านไหนหน้าตาจิ้มลิ้มจะสู่ขอเผื่อเอาไว้ พอพวกนางอายุสิบเจ็ดค่อยให้เข้าบ้าน... ยอดรักอย่าร้อง ข้าเพียงแต่กล่าวล้อเล่นเท่านั้น”
ชายหนุ่มพยายามที่จะกอดภรรยาเอาไว้ แต่หญิงสาวถลันตัวหลบ ลุกขึ้นนั่งกอดอกหันหลังให้ ร้องว่า “อย่ามายุ่งกับข้า”
ชายหนุ่มชักมือกลับ หุบปากสนิท แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังไม่กล้าระบายออกโดยแรง เกิดความเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะร้องไห้โฮ หันกลับมาใช้หมัดน้อย ๆ ทุบตีสามี ปากก็ฟูมฟายว่า “ท่านไม่รักข้าแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่รักได้อย่างไร ยอดรัก ข้ารักท่าน” ชายหนุ่มร่ำร้องออกมา รีบยกสองแขนขึ้นโอบกอดนางเอาไว้ “ข้าขอโทษ ๆ เพียงแต่คิดหลอกล้อท่านเล่นเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าท่านจะถือเป็นจริงจังเพียงนี้”
“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่... ไม่ง้องอนข้า”
ชายหนุ่มเผยสีหน้าจนปัญญาออกมา กล่าวเบา ๆ ว่า “ยอดรัก เมื่อครู่นี้เป็นท่านเองที่สั่งไม่ให้ข้ายุ่งกับท่าน”
หญิงสาวดันตัวออกจากอ้อมอกของสามี ร้องอย่างขุ่นเคืองแง่งอนว่า “แล้วอย่างไร ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่านเชื่อฟังคำพูดข้า”
ตอน แพนเค้กที่เละอยู่บนพื้น ตอนพิเศษ
เหตุการณ์ตอนที่แล้ว :ตูมมมมม พลังโมเอะญี่ปุ่น ปฐมยุค ของจิตเวชแรกกำเนิด เข้าจู่โจม องญเกาหลีเกลือ พลังโจมตี 1000 ล้าน เข้าใส่ร่างองญ ไร้ทางต่อต้านโดยสิ้นเชิง องญเกลือพ่ายแพ้!! อย่างไม่คาดคิด ไม่มีผู้ใดคาดเดาถูก นี่คือพลังของจิตเวช ไร้เทียมทานเสียจริง
สิ่งที่เหลือ เป็นเพียงกระดาษพับจรวจสีสันผ้าฉูดฉาด แปลกตา 6 จรวจ เท่านั้น ราวกับของที่เหลืออยู่คือกระดูกขององญเกลือ ลูกกระจ๊อกที่เหลือต่างแตกรังทันที จิตเวชได้ส่งหน่วยต่างๆเข้า
จู่โจมทั้งทาง1000ทิพย์ ท่อแดง นกX เฟสบนบก การต่อสู้จบลงด้วยความรวดเร็ว นี่จะเรียกต่อสู้ได้อย่างไร มันคือการสังหารหมู่ชัดๆ
อยู่ๆ โม่งป้าข้างบ้านที่สะบักสะบอมหนีทัพ ก็กล่าว ข้าไม่อาจแพ้มินต์ๆๆ พวกเขาท่องย้ำๆในใจ ราวกับคนสูญเสียสติ
"เจ้าพ่ายแพ้ให้ข้าแล้วโม่งป้าข้างบ้าน แหล่งพลังงาน เกลือของเจ้า ได้ดับสูญไปเรียบร้อยแล้ว ตัวเจ้านั้นจะเอาพลังมาจากไหนมาต่อสู้ได้อีก ฮ่าาาา555555+"
การต่อสู้จบลงด้วย ด้วยความรวดเร็ว โม่งป้าข้างบ้านโดนกระทืบสะบักสะบอม ฟันร่วงหมดปาก ตาบอดทั้ง 2 ข้าง นิ้วมือทั้ง 10 ล้วนหัก ทั้งสิ้น ไม่สามารถพิมอะไรได้แล้ว
โม่งจิตเวชดั้งเดิม กำลังง้างเท้าพร้อมกระทืบโหลกให้แหลกเละคาตีน พร้อมกับพูดว่า " มีอะไรจะสั่งเสียไหม แต่จู่ๆได้กลิ่น แพนเค้ก เชื่อมน้ำผึ้ง หอมๆ จากโรงอาหารพอดี
โม่งป้าข้างบ้านกล่าว เราอยากให้ม่วงมินต์ยุบไปซะ ยังไงองญเกลือก็ไม่อยู่แล้ว แต่หางตาก็เกลือบไปเห็น แพนเค้ก
อยู่ๆ โม่งป้าข้างบ้านก็พูดด้วยเสียงแหบพร่า "อยากกินแพนเค้ก"
เอ้ากินซะสิ จิตเวชดั้งเดิม โยนแพนเค้ก จนเละลงพื้นดูไม่น่ากินสักนิด แล้วโม่งป้าข้างบ้านก็เริ่มคลาน ง่ำกินไปนึงคำ@#!#@!#@!$!#$%@$ อยู่ โม่งป้าข้างบ้านอาการกำเริบทันที
พร้อมน้ำตาที่หลั่งริน
"ข้ายังไม่อยากใต้ตีนมินต์ ข้าอยากมีตัวตน เราไม่อยากอยู่แล้วถ้าไม่มีองญเกลืออยู่ด้วย
เราอยากชิมเกลือ เราอยากให้ม่วงผงาด เราอยากดับสูญพร้อมกับองญเกลือ
เราอยากกินแพนเค้กของม่วง เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้าไม่มีองญเกลือ เราไม่อาจชนะมินต์
เราไม่อยากอยู่แล้ว ถ้าไม่มีองญเกลืออยู่ เราขอไม่มีชีวิตดีกว่า
ถึงจะไม่มีองญ เกลืออยู่ เราอยากกิน แพนเค้กของม่วง ขอแค่ได้กิน เราอยากมีชีวิต เราอยากมีชีวิต
เราไม่อยากตาย
ดวงจิตเวช มองร่างไร้สติ ที่กำลัง พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด หลังจากสูญเสียองญเกลือไป
"ดีแบบนี้แหละข้าชอบ 555555555+ ปิดฉาก องญเกลือที่เจ้าภาคภูมิใจซะ ปลิดชีวิต มันซะเดียวนี้ อย่าปล่อยให้เศษกระดูกกระดาษพับ6จรวจยังหายใจรวยรินอยู่"
โม่งป้าข้างบ้านกรีดร้องราวกับคนเสียสติ พุ่งเข้าหาองญเกลือทันที ฉีกกระดาษแล้วกระดาษเล่าจนไม่อาจปะติดปะต่อกันได้อีก
เมื่อนั้นจิตของเขา ก็เข้าสู่โลกนรกกันต์ทันที!!!
"ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตใหม่ในฐานะ โม่งป้าข้างบ้านไม่มีต่อไปอีกแล้ว คนพิการอย่างเจ้า โม่งม่วงvoid
ข้าจะเปลี่ยนเจ้าเอง ต่อจากนี้ เจ้ารับหน้าที่ดูแลพื้นที่ดับสูญ เจ้าจะมีชิวตอยู่ต่อในฐานตัวตนใหม่ ฮ่าๆๆๆ
ยิ่งข้าทำให้คนเป็นจิตเวชมากเท่าไร พลังก็กล้าแข็งขึ้นเท่านั้น นี่คือ โลกที่จิตเวชสร้างขึ้นมา
ผู้คนทั่วทุกสารทิศต่างหวาดกลัวเขา ชื่อเสียงกระฉ่อนไปไกล ตัวตน ไร้พ่าย จิตเวชปฐมบรรพชน ฉายา จิตเวชแรกกำเนิดoriginal
.
จบตอน... แพนเค้กที่เละอยู่บนพื้น
นิยายกุพอใช้ได้ไหม
กูมาแค่เคาะภาษาไทยที่ไม่ได้ใช้นาน ถ้าพิมพ์ผิดก็...ช่างมันละกัน ๕๕๕
---
[สหายย เราเบื่อ]
น้ำเสียงลากคำยาวเหยียดดังทะลุหูฟังท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงรั่วแป้นคีย์บอร์ดและเสียงครืนๆ
"คุณบ่นมากี่รอบแล้วเนี่ย ลูนิค เบื่อนักก็เอาเวลาไปเล่นอีเว้นท์ที่จะหมดพรุ่งนี้เซ่ ไม่ทันผมไม่ช่วยนะเออ"
[พูดเป็นเล่นน่ะ ออร์ก้า นายก็เห็นว่าเราอยู่ที่ไหน คิดว่ากลางป่ากลางเขาแบบนี้มันจะสัญญาณดีพอให--]
ติ๊ง
"หลุดไปแล้ว ...งี้ผมก็ต้อง้ล่นอีกแล้วเรอะ?"
[เห็นว่าฝนตกหนักด้วย ท่าทางจะหลุดยาว]
[ฮ่าๆ เช่ากับไม่เช่าสัญญาณแทบไม่ต่าง ไม่ต้แงเสียเงินก็ได้แท้ๆ น่าสมเพชชะมัดลูนิค]
"ผมล่ะเหลือเชี่อจริงๆ ที่เขายังขยันไปหาที่"
[ทำไงได้ละครับ เขาเป็นช่างภาพอิสระที่เลือกเดินทางรอบโลกละนะ]
สายตาสีน้ำตาลเหลือบมองแมกกาซีนที่เขาเริ่มซื้อจนเป็นกิจวัตรแยู่วางกองอยู่บนชั้นวางหนังสือใกล้ๆ ภาพธรรมชาติที่ลูนิคเป็นคนกดชัตเตอร์ต่างถูกเลือกให้ลงในหนังสือพวกนั้นเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เริ่มต้นจากเพียงกรอบภาพเล็กๆ
"ผมไปหาไรกินก่อนละ ถ้าลูนิคกลับมาแล้วก็ช่วยบอกให้เจ้าตัวอย่าอู้นะครับ"
เด็กหนุ่มตัวสูงตามมาตรฐาน ชื่อจริง เรนเดล ลี เบ้หน้าใส่จอสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผมทรงรังนกถูกคาดทับด้วยหูฟังตัดเสียงลดราคาที่ซื้อมาตอน black friday 2 ปีที่แล้ว เขาดึงมันออกแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเช็คแจ้ง้ตือนที่เผื่อจพมีมา แต่ก็เหมือนวันที่แล้วๆ มา ไม่มีสิ่งใดนอกจากเมลล์คูปองลดราคาร้านที่้เขาไม่ได้สนใจ
เวลาตีบอกเวลาสี่โมงสามสิบหก เขาเดินออกจากห้องหลังคว้านหากระเป๋าตังที่น่าจะวางอยู่หน้าจอคอมกับโต๊พตัวเตี๊ยไม่เจอ งั้นมันคงอยู่ที่เสื้อกันหนาวตรงประตู เสียงทีวีดีงแว่วมาจากห้องนั่งเล่นที่เด็กหนุ่มเล่นผ่าน เขาชะโงกหน้าดูเห็นชายวัยปลายกลางคนในชุดอยู่บ้านโอบถังป๊อปคอร์นทำเองที่พร่องไปอล้วถึงหนึ่งในสามนั่งเอกขนกดูแข่งบอลอยู่บนโซฟาสีเข้ม
"พ่อ กลับมาตั้งแต่ตอนไหน" เขาเดินไปข้างโซฟา ถือโอกาศเอาป๊อปคอร?นมากินบ้าง
"จริงๆ ก็ตั้งแต่เที่ยง คนของอีกโรงงานเลื่อนประชุมเพราะลูกค้าน่ะ" ผู้เป็นพ่อรับถังกลับมา "แกจะออกไปซื้อของกินใช่ไหม ตอนกลับมาซื้อไข่กับขนมปังมาด้วย เงินอยู่ที่กระเป๋าเสื้อนอก"
"ได้" เรนเดลพยักหน้า "แล้วเอาแค่นี้เหรอ"
"ถ้าแกอยากซื้ออะไรเพิ่มก็ซื้อมาเถอะ เอามาเผื่อมื้อเย็นพรุ่งนี้ด้วย"
เด็กหนุ่มเดินย้อนกลับไปที่โถงทางเดิน หยุดอยู่หน้าโค้ทยาวสองสามตัวของพ่อ ก่อนจะได้ตัดสินใจว่าต้องเป็นตัวด้านซ้ายกลับมีเสียงลอยไล่หลังมา
"ตัวสีเทาเข้ม กระเป๋าบนสุด"
"บอกแต่แรกสิฟะ"
---
เปิดเรื่องไว้ก่อน ค่อยมาต่อ
มึง กูว่าง ไถ ๆ ดูละเจอ Love Craft Magic ของโม่งสักคนในนี้เลยเอามาเขียนขยายเคาะสนิมฝีมือหลังจากไม่ใช้มานาน
***
ยามสนธยาท้องฟ้าสีส้มแสดเห็นดาวปรากฏเลือนราง จิ้งหรีดเรไรร้องประสานเสียงบรรเลงท่วงทำนองยามค่ำคืน
ที่บ้านหลังเล็กบริเวณชานเมืองภายในมีเพียงแสงรำไรจากเทียนให้ความสว่าง ผนังบ้านเป็นชั้นไม้ที่เต็มไปด้วยขวดแก้วขวดโหลใส่พืช สมุนไพร รวมถึงสสารอื่น ๆ ทั้งของแข็งและของเหลว
หญิงสาวในชุดคลุมตัวยาวยกขวดแก้วบรรจุของเหลวสีชมพูแกว่งไปมาเกิดเป็นน้ำวนสายน้อย ปากแดงวาดรอยยิ้มพอใจ
เธอเป็นแม่มดเจ้าของบ้านหลังนี้ ผิวกายซีดขาว ผมยาวเหยียดดำสนิทเหมือนม่านหมึกเช่นเดียวกับดวงตาเรียวโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวไร้ประกายแสง “ยาสเน่ห์ทำให้สาวรักสาวหลงตามที่สั่ง อย่าลืมสัญญาของเรา ลูกคนแรกของคุณจะต้องเป็นของฉัน”
ลูกค้ารับขวดแก้วยาสเน่ห์ไปถือ ฟ้าสางประธานแห่งบริษัทเครือเดลต้า—เขาเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่า สวมสูทเนี๊ยบเรียบกริบ ผมดำปาดเจลเซ็ตอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาคมคาบเรียบนิ่ง ริมฝีปากเหยียดตรง ดวงตาจับจ้องขวดแก้วในมือไม่บ่งบอกอารมณ์
ว่าแล้วก็แปลกที่ชายหนุ่มเพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และการงานกลับต้องมาพึ่งแม่มดให้ปรุงยาสเน่ห์ ทั้งที่เพียงเขาอยู่เฉย ๆ ก็มีผู้หญิงมากมายที่พร้อมเข้ามาให้เขาเลือกสรร
ที่จริง แม่มดมีความลับอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับออเดอร์นี้ ความลับที่เธอจะเก็บงำมันเอาไว้ กลืนกินและกลบฝังมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจไม่ให้คนตรงหน้าล่วงรู้
ความลับที่ว่าเธอชอบเขา
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การแอบชอบอยู่ลับ ๆ รู้กับตัวเองคนเดียว ไม่เคยเปิดเผยกับใครที่ไหน และไม่ทำอะไรกับมันกระทั่งฟ้าสางเดินเข้ามาในร้านของเธอขอให้ปรุงยาสเน่ห์ให้
เป๊าะ!
เหมือนหัวใจโดนเข็มหมุดเจาะแตก ค่อย ๆ ฟีบลงเหลือเพียงซากลูกโป่งห่อเหี่ยว ท่ามกลางหยาดฝนที่ร่วงกราว
กระนั้นแม่มดก็แย้มยิ้มการค้ารับออเดอร์เก็บซ่อนความร้าวรานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และคิดค่าความเสียใจของตัวเองเป็นลูกคนแรกของเขาอย่างชั่วร้ายสมจรรยาบรรณวิชาชีพสายดำ
“ลูกคนแรกของผมจะเป็นของคุณตามสัญญา” ฟ้าสางหมุนเปิดผาขวดแก้ว กลิ่นหวานที่ให้ความรู้สึกมัวเมาอวลอยู่ในอากาศ
…ก่อนที่เขาจะสาดยาสเน่ห์ใส่เธอโดยไม่ลังเล
?!
ใบหน้าและเส้นผมของแม่มดเปียกโชก
ยังไม่ทันที่จะได้ยกมือปาดของเหลวบนหน้า ฟ้าสางก็คว้าข้อมือเธอดึงให้เดินออกจากบ้านไปด้วยกัน
“แต่เราสองคนจะเป็นของกันและกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนอย่างเคย แต่หนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
แม่มดสังเกตดวงตาเขาอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก มันเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เผด็จการ และหลงใหลที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
เธอเม้มปาก รู้สึกว่าความร้อนจากทั่วร่างไหลมากองอยู่ที่ใบหน้า หัวใจในอกพองขยายเสียจนกลัวว่ามันจะแตกออกเพราะความสุขที่ล้นทะลัก
บอกดีไหมนะว่ายานี่เอาไว้ดื่มไม่ใช่ใช้สาดใส่กัน
เชี่ย มีคำผิด เอาใหม่
***
มึง กูว่าง ไถ ๆ ดูละเจอ Love Craft Magic ของโม่งสักคนในนี้เลยเอามาเขียนขยายเคาะสนิมฝีมือหลังจากไม่ใช้มานาน
***
ยามสนธยาท้องฟ้าสีส้มแสดเห็นดาวปรากฏเลือนราง จิ้งหรีดเรไรร้องประสานเสียงบรรเลงท่วงทำนองยามค่ำคืน
ที่บ้านหลังเล็กบริเวณชานเมืองภายในมีเพียงแสงรำไรจากเทียนให้ความสว่าง ผนังบ้านเป็นชั้นไม้ที่เต็มไปด้วยขวดแก้วขวดโหลใส่พืช สมุนไพร รวมถึงสสารอื่น ๆ ทั้งของแข็งและของเหลว
หญิงสาวในชุดคลุมตัวยาวยกขวดแก้วบรรจุของเหลวสีชมพูแกว่งไปมาเกิดเป็นน้ำวนสายน้อย ปากแดงวาดรอยยิ้มพอใจ
เธอเป็นแม่มดเจ้าของบ้านหลังนี้ ผิวกายซีดขาว ผมยาวเหยียดดำสนิทเหมือนม่านหมึกเช่นเดียวกับดวงตาเรียวโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวไร้ประกายแสง “ยาเสน่ห์ทำให้สาวรักสาวหลงตามที่สั่ง อย่าลืมสัญญาของเรา ลูกคนแรกของคุณจะต้องเป็นของฉัน”
ลูกค้ารับขวดแก้วยาเสน่ห์ไปถือ ฟ้าสางประธานแห่งบริษัทเครือเดลต้า เขาเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่า สวมสูทเนี้ยบเรียบกริบ ผมดำปาดเจลเซตอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเรียบนิ่ง ริมฝีปากเหยียดตรง ดวงตาจับจ้องขวดแก้วในมือไม่บ่งบอกอารมณ์
ว่าแล้วก็แปลกที่ชายหนุ่มเพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และการงานกลับต้องมาพึ่งแม่มดให้ปรุงยาเสน่ห์ ทั้งที่เพียงเขาอยู่เฉย ๆ ก็มีผู้หญิงมากมายที่พร้อมเข้ามาให้เขาเลือกสรร
ที่จริง แม่มดมีความลับอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับออเดอร์นี้ ความลับที่เธอจะเก็บงำมันเอาไว้ กลืนกินและกลบฝังมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจไม่ให้คนตรงหน้าล่วงรู้
ความลับที่ว่าเธอชอบเขา
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การแอบชอบอยู่ลับ ๆ รู้กับตัวเองคนเดียว ไม่เคยเปิดเผยกับใครที่ไหน และไม่ทำอะไรกับมันกระทั่งฟ้าสางเดินเข้ามาในร้านของเธอขอให้ปรุงยาเสน่ห์ให้
เป๊าะ!
เหมือนหัวใจโดนเข็มหมุดเจาะแตก ค่อย ๆ ฟีบลงเหลือเพียงซากลูกโป่งห่อเหี่ยว ท่ามกลางหยาดฝนที่ร่วงกราว
กระนั้นแม่มดก็แย้มยิ้มการค้ารับออเดอร์ เก็บซ่อนความร้าวรานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และคิดค่าความเสียใจของตัวเองเป็นลูกคนแรกของเขาอย่างชั่วร้ายสมจรรยาบรรณวิชาชีพสายดำ
“ลูกคนแรกของผมจะเป็นของคุณตามสัญญา” ฟ้าสางหมุนเปิดผาขวดแก้ว กลิ่นหวานที่ให้ความรู้สึกมัวเมาอวลอยู่ในอากาศ
…ก่อนที่เขาจะสาดยาเสน่ห์ใส่เธอโดยไม่ลังเล
?!
ใบหน้าและเส้นผมของแม่มดเปียกโชก
ยังไม่ทันที่จะได้ยกมือปาดของเหลวบนหน้า ฟ้าสางก็คว้าข้อมือเธอดึงให้เดินออกจากบ้านไปด้วยกัน
“แต่เราสองคนจะเป็นของกันและกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนอย่างเคย แต่หนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
แม่มดสังเกตดวงตาเขาอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก มันเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เผด็จการ และหลงใหลที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
เธอเม้มปาก รู้สึกว่าความร้อนจากทั่วร่างไหลมากองอยู่ที่ใบหน้า หัวใจในอกพองขยายเสียจนกลัวว่ามันจะแตกออกเพราะความสุขที่ล้นทะลัก
บอกดีไหมนะว่ายานี่เอาไว้ดื่มไม่ใช่ใช้สาดใส่กัน
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.