กระทู้สำหรับโม่งที่อยากแต่งนิยายแล้วให้โม่งสับหรือเล่นต่อนิยายกัน
Last posted
Total of 780 posts
กระทู้สำหรับโม่งที่อยากแต่งนิยายแล้วให้โม่งสับหรือเล่นต่อนิยายกัน
กุรอคนเปิดนะ กุเปิดเรื่องไม่เก่ง
กูเสนอธีมนิยายแฟนตาซีโรงเรียน มีหอพัก ภารกิจอะไรก็ว่าไป แล้วแบ่งกันแต่งตัวละครของตัวเอง จะเบียวแบบกลับมาแก้แค้น ทะลุมิติ เบียวให้เต็มที่
แซะอีหนังสือกับก็อตนี่หว่า
กูขออย่างเดียว อย่าแต่ง ๆ ไปตันแล้วเล่นมุกตื่น กูเคยเล่น แม่งคนเล่นมันกาก ไม่มีจินตนาการ เขียนไปรวม 20 โพสต์ ตื่นกัน 5-6 ครั้งเลย กูเซ็งมาก
กูวางพล็อตให้ปะ เอาให้เบียวสุดกู่ไปเลย ยำรวมกันทั้งถูกอัญเชิญมาต่างโลก เกิดใหม่ในต่างโลก จู่ๆ ก็ถูกส่งมาต่างโลก และโรงเรียนเวทมนตร์สี่หอ ฮาเร็ม สกิลเทพทรู โลกนี้คือเกมจีบหนุ่มจีบสาวที่เคยเล่น บลาๆ
>>12 งั้นกูต่อให้ คู่แข่งพระเอกได้เกิดใหม่ในต่างโลก และพบว่านี่คือโลกในเกมที่ตูเพิ่งเล่นจบ หนำซ้ำตัวร้ายก็คือข้า เลยคิดหาทางขัดขวางจุดจบหายนะของตัวร้าย ซึ่งเผอิญว่าไอ้วิธีของเจ้านี่ดันไปขัดขวางภารกิจของพระเอก แต่ที่แย่กว่านั้นคือพระเอกมันมีภารกิจต้องเก็บคู่แข่งพระเอกนี่เข้าฮาเร็มเพื่อช่วยโลก
พระเอกหลุดเข้าไปในโลกเกมที่ทุกคนเล่นเกมแข่งกันแล้วผ่านไปสักพักก็หลุดเข้าไปในโลกของเกมในโลกของเกมอีกที ไงล่ะโคตรเทพมาๆใครเอาไปแต่งที
อ้าวกุนึกว่าพวกมรึงจะมาต่อนิยายกันไหงกลายเป็นมาคิดพล้อตให้คนเอาไปแต่งละนี่
หรือกะลังสุมหัวก่อนแล้วหาคนเปิดวะ
ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับกระจกประตู มือซ้ายของเขากำหลวม ๆ อยู่บนพวงมาลัย ดวงตาสีดำเหม่อมองฝ่าบรรยากาศอันอึมครึมจากสายฝนที่ตกปรอย ๆ อยู่ด้านนอกพร้อมถอนหายใจยาว
หญิงสาวบนเบาะข้างคนขับปิดปากหาว เธอใช้มือข้างถนัดหมุนสายเข็มขัดนิรภัยเล่น ผมยาวที่ดูกระเซิงไม่เข้ากับชุดนิสิตที่เธอใส่อยู่เท่าใดนัก “จะทำหน้าแบบนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยแววแง่งอน “ถ้าฝนไม่ตกเราก็กลับเองได้น่า”
“แม่เธอจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูด ยังไม่ถอนสายตาออกจากกระจก “โตแล้วนะเอม ทำไมถึงต้องทำให้ที่บ้านเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ก็วันนี้วันเกิดเพื่อน บอกแม่ไว้แล้วไงว่าจะกลับดึก” หญิงสาวยังไม่หยุดเถียง “ไปได้แล้ว ไฟเขียวแล้ว”
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันความสนใจกลับมายังสภาพการจราจรเบื้องหน้า เขาถอนเบรกออกตัวช้า ๆ มือทั้งสองข้างกำอยู่บนพวงมาลัย ขับตามรถคันหน้าไปด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้ในคืนฝนตกเช่นนี้
รถแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็ถูกไฟสัญญาณบังคับให้ต้องหยุดลงอีกครั้ง ชายหนุ่มใส่เกียร์ว่าง ถอนหายใจยาวอีกครั้งขณะหันหน้ากลับมาหาเพื่อนสาวที่กำลังนั่งแคะเล็บเป็นทองไม่รู้ร้อน “เดี๋ยวก็ถึงบ้านเธอแล้ว” เขาพูด “คิดข้อแก้ตัวดี ๆ ก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องแก้ตัว เราบอกแม่ไว้แล้วว่าวันนี้จะกลับดึก” หญิงสาวตีหน้านิ่ง สายตายังไม่ละไปจากนิ้วเรียว “โอมก็รู้นี่ว่าแม่เป็นยังไง คราวหลังถ้าแม่โทรหาอีกก็ทำเฉยไว้นะ จะได้ไม่ลำบาก”
“โอมรู้ว่าป้าดาเขาเป็นห่วงไง” ชายหนุ่มพูดอย่างหัวเสีย ปล่อยมือซ้ายที่กำพวงมาลัยไว้มาทึ้งผมตัวเอง “ที่บอกว่าจะกลับดึกน่ะเขาคิดกันว่าคงไม่เกินสี่ทุ่ม นี่มันจะตีสองแล้วนะเอม แถมโทรไปก็ไม่รับอีก”
หญิงสาวยกมือขวาขึ้นดึงแก้มของเพื่อนหนุ่ม “หยุดพูดเถอะ เดี๋ยวต้องเก็บหูไว้ฟังแม่อีก” เธอใช้มืออีกข้างกดเปิดวิทยุ เสียงเพลงป๊อบสากลดังกระหึ่มออกมาจากลำโพงทันที “ฟังนี่ล้างหูไว้ดีกว่า”
เสียงเพลงยังคงดังต่อไปโดยไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากชายหนุ่มข้างกาย เอมหันไปมองใบหน้าถมึงทึงของเพื่อนก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา “เป็นอะไรน่ะโอม” หญิงสาวทำเสียงฉอเลาะ เอี้ยวตัวไปใช้มือทั้งสองข้างบีบต้นแขนของอีกฝ่ายแน่น “โกรธเค้าเหรอ เค้าขอโทษ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งขณะพยายามดึงแขนของตนให้พ้นจากการเกาะกุม “เลิกทำแบบนี้สักทีเถอะ” เขาขมวดคิ้ว “กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว เข้าบ้านทั้งแบบนี้เธอตายแน่”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เอมรีบถอนมือขึ้นไปอังปากทดสอบกลิ่นลมหายใจ “จริงด้วย” เธอร้องอย่างตกใจ “ทำไงดีล่ะ แม่ต้องฆ่าเอมแน่ ๆ เลย”
“เดี๋ยวไปจอดเซเว่นหน้าปากซอยให้ก็แล้วกัน” เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่ม “หาน้ำหวานกิน เผื่อจะช่วยได้”
เอมนั่งเงียบไปตลอดทางจนถึงที่หมาย ชายหนุ่มลอบยิ้มในใจเมื่อได้เห็นหญิงสาวนั่งพ่นลมหายใจทดสอบกลิ่นแอลกอฮอล์ทุก ๆ สิบวินาที เขาจอดรถเทียบข้างฟุตบาทขณะที่หญิงสาวรีบก้าวเท้าลงจากรถตรงดิ่งเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อทันที
หญิงสาวกลับมาในอีกห้านาทีพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่ โอมเอี้ยวตัวหันมามองของในนั้นก่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “กาแฟ กาแฟดำ น้ำแดง น้ำเขียวแล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะเนี่ย” เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ “กินหมดนี่ปวดท้องตายแน่เธอ”
“มันจะได้ดับกลิ่นไง” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงวิตกจริตขณะกระดกกระป๋องอลูมิเนียมขึ้นดื่มแล้วหันกลับมาพ่นลมใส่หน้าเพื่อนหนุ่ม “หายยัง” เธอถาม
ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ผู้หญิงบ้าอะไรโคตรหยาบคาย” เขาพูดพร้อมเอนหลังกลับไปชิดเบาะ “เดี๋ยวสัปดาห์หน้าโอมก็ไปอเมริกาแล้ว ใครจะมาคอยตามล้างตามเช็ดให้เอม”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
โอมหัวเราะเบา ๆ เหสายตากลับไปมองม่านฝนด้านนอกหน้าต่างที่เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น “รีบ ๆ กินเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ป้าดาจะรอเธอจนไม่ได้นอน”
สัส เว็บห่านี่ไม่เหมาะกับการเขียนนิยาย เอาใหม่นะ กู >>20
ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับกระจกประตู มือซ้ายของเขากำหลวม ๆ อยู่บนพวงมาลัย ดวงตาสีดำเหม่อมองฝ่าบรรยากาศอันอึมครึมจากสายฝนที่ตกปรอย ๆ อยู่ด้านนอกพร้อมถอนหายใจยาว
หญิงสาวบนเบาะข้างคนขับปิดปากหาว เธอใช้มือข้างถนัดหมุนสายเข็มขัดนิรภัยเล่น ผมยาวที่ดูกระเซิงไม่เข้ากับชุดนิสิตที่เธอใส่อยู่เท่าใดนัก “จะทำหน้าแบบนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยแววแง่งอน “ถ้าฝนไม่ตกเราก็กลับเองได้น่า”
“แม่เธอจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูด ยังไม่ถอนสายตาออกจากกระจก “โตแล้วนะเอม ทำไมถึงต้องทำให้ที่บ้านเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ก็วันนี้วันเกิดเพื่อน บอกแม่ไว้แล้วไงว่าจะกลับดึก” หญิงสาวยังไม่หยุดเถียง “ไปได้แล้ว ไฟเขียวแล้ว”
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันความสนใจกลับมายังสภาพการจราจรเบื้องหน้า เขาถอนเบรกออกตัวช้า ๆ มือทั้งสองข้างกำอยู่บนพวงมาลัย ขับตามรถคันหน้าไปด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้ในคืนฝนตกเช่นนี้
รถแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็ถูกไฟสัญญาณบังคับให้ต้องหยุดลงอีกครั้ง ชายหนุ่มใส่เกียร์ว่าง ถอนหายใจยาวอีกครั้งขณะหันหน้ากลับมาหาเพื่อนสาวที่กำลังนั่งแคะเล็บเป็นทองไม่รู้ร้อน “เดี๋ยวก็ถึงบ้านเธอแล้ว” เขาพูด “คิดข้อแก้ตัวดี ๆ ก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องแก้ตัว เราบอกแม่ไว้แล้วว่าวันนี้จะกลับดึก” หญิงสาวตีหน้านิ่ง สายตายังไม่ละไปจากนิ้วเรียว “โอมก็รู้นี่ว่าแม่เป็นยังไง คราวหลังถ้าแม่โทรหาอีกก็ทำเฉยไว้นะ จะได้ไม่ลำบาก”
“โอมรู้ว่าป้าดาเขาเป็นห่วงไง” ชายหนุ่มพูดอย่างหัวเสีย ปล่อยมือซ้ายที่กำพวงมาลัยไว้มาทึ้งผมตัวเอง “ที่บอกว่าจะกลับดึกน่ะเขาคิดกันว่าคงไม่เกินสี่ทุ่ม นี่มันจะตีสองแล้วนะเอม แถมโทรไปก็ไม่รับอีก”
หญิงสาวยกมือขวาขึ้นดึงแก้มของเพื่อนหนุ่ม “หยุดพูดเถอะ เดี๋ยวต้องเก็บหูไว้ฟังแม่อีก” เธอใช้มืออีกข้างกดเปิดวิทยุ เสียงเพลงป๊อบสากลดังกระหึ่มออกมาจากลำโพงทันที “ฟังนี่ล้างหูไว้ดีกว่า”
เสียงเพลงยังคงดังต่อไปโดยไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากชายหนุ่มข้างกาย เอมหันไปมองใบหน้าถมึงทึงของเพื่อนก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา “เป็นอะไรน่ะโอม” หญิงสาวทำเสียงฉอเลาะ เอี้ยวตัวไปใช้มือทั้งสองข้างบีบต้นแขนของอีกฝ่ายแน่น “โกรธเค้าเหรอ เค้าขอโทษ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งขณะพยายามดึงแขนของตนให้พ้นจากการเกาะกุม “เลิกทำแบบนี้สักทีเถอะ” เขาขมวดคิ้ว “กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว เข้าบ้านทั้งแบบนี้เธอตายแน่”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เอมรีบถอนมือขึ้นไปอังปากทดสอบกลิ่นลมหายใจ “จริงด้วย” เธอร้องอย่างตกใจ “ทำไงดีล่ะ แม่ต้องฆ่าเอมแน่ ๆ เลย”
“เดี๋ยวไปจอดเซเว่นหน้าปากซอยให้ก็แล้วกัน” เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่ม “หาน้ำหวานกิน เผื่อจะช่วยได้”
เอมนั่งเงียบไปตลอดทางจนถึงที่หมาย ชายหนุ่มลอบยิ้มในใจเมื่อได้เห็นหญิงสาวนั่งพ่นลมหายใจทดสอบกลิ่นแอลกอฮอล์ทุก ๆ สิบวินาที เขาจอดรถเทียบข้างฟุตบาทขณะที่หญิงสาวรีบก้าวเท้าลงจากรถตรงดิ่งเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อทันที
หญิงสาวกลับมาในอีกห้านาทีพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่ โอมเอี้ยวตัวหันมามองของในนั้นก่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “กาแฟ กาแฟดำ น้ำแดง น้ำเขียวแล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะเนี่ย” เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ “กินหมดนี่ปวดท้องตายแน่เธอ”
“มันจะได้ดับกลิ่นไง” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงวิตกจริตขณะกระดกกระป๋องอลูมิเนียมขึ้นดื่มแล้วหันกลับมาพ่นลมใส่หน้าเพื่อนหนุ่ม “หายยัง” เธอถาม
ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ผู้หญิงบ้าอะไรโคตรหยาบคาย” เขาพูดพร้อมเอนหลังกลับไปชิดเบาะ “เดี๋ยวสัปดาห์หน้าโอมก็ไปอเมริกาแล้ว ใครจะมาคอยตามล้างตามเช็ดให้เอม”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
โอมหัวเราะเบา ๆ เหสายตากลับไปมองม่านฝนด้านนอกหน้าต่างที่เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น “รีบ ๆ กินเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ป้าดาจะรอเธอจนไม่ได้นอน”
มึงจะต่อป้ะ เดี๋ยวกูต่อ555
.....
...
"ขอบใจนะลูก" ป้าดาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเกรงใจก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาว "ไปเอม เข้าบ้าน" น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาเต็มด้วยร่องรอยของความโล่งอก..โชคดีที่คราวนี้เขาไปเป็นเพื่อนเธอ อย่างไรเอมิกาก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เที่ยวกลางคืนคนเดียวคงไม่ปลอดภัยนัก
เอมยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มซุกซนโดยไม่สนใจมารดา แล้วจึงหมุนตัวเข้าบ้านไป ชายหนุ่มยิ้มตามมารยาทแล้วจึงกล่าวขอตัว
โอมขับรถออกมา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความหนักใจ..
...ชายหนุ่มรู้ดีว่าเอมคิดอย่างไรกับตนเอง โอมคิดกับหญิงสาวเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น แต่ยิ่งเขาถอยหนี เอมก็ยิ่งรุกไล่ วันนี้ถึงขั้นโทรมาเรียกให้เขาไปรับที่ผับชื่อดังกลางกรุงแห่งหนึ่ง จะให้เขาปล่อยผู้หญิงคนเดียวไปเมาอยู่คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่อง
..แต่อาทิตย์หน้าเขาก็จะไปอเมริกาแล้ว
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นอะไรบางอย่างแล่นผ่านไปตรงหน้ากระจก
"อะไรวะ?"
ปัง!
เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประหลาด มันมาพร้อมแรงกระแทกจากด้านบน..หลังคารถ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันที..ทันได้เห็นรอยยุบบนหลังคารถที่ปรากฏเป็นใบหน้าคนชัดเจนก่อนที่ดวงหน้านั้นจะหายไป!
เอ้าต่อมึง หนังผีไปแล้วมั้งสัส555
มึง สรุปจะเอาเขียนดีหรือเขียนเบียว กูว่าเริ่มไปทางแรกแล้วนะ5555
เปรี้ยงงงงง
รถทั้งคันพลิกคว่ำคะมำหงายภายในทันที กระกายไฟแล่นแปลบปลาบยามเสียดสีไปกับขอบรั้วเหล็กริมถนน อะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หัวเขาอย่างจังจนสติของชายหนุ่มหลุดลอยไป
พร้อมกับเสียงหัวเราะที่แว่วมา
วินาทีนั้นเองที่โอมรู้ว่า เขาไม่มีวันจะได้ไปอเมริกาหรือเจอหน้าเอมิกาอีกแล้ว
เขา....กำลังจะตาย
.................
..........
ความมืดที่เข้าครอบงำห้วงสติเริ่มถดถอยไปประดุจหมอกยามเช้าที่ค่อยสลายไปยามเมื่อแสงตะวันเริ่มแรงกล้า
โอมไ้ด้สติอีกครั้ง
ยังไม่ตายอีกเหรอวะ... ชายหนุ่มถึงกับสบถออกมาในใจด้วยความงุนงง ภาพเบื้องหน้าค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์ที่ปรากฎเบื้องหน้านั้น...ไม่ใช่ภาพของกรุงเทพที่เขาเห็นมาตลอด23ปีแต่อย่างใด ยิ่งไม่ใช่โรงพยาบาลเข้าไปใหญ่
เอ้าโยนไม้ต่อ สร้างสรรค์ความเบียวตามใจมึง
เอาจริงๆกูว่าภาษาดีไปนะ ถ้าจะเอาพล็อตเบียวๆ ภาษาก็น่าจะเบียวไปด้วยเลย รึเปล่าวะ 555
งั้นเดี๋ยวคราวหน้ากูจะพยายามเขียนเบียวๆขึ้นละกัน
>>30 กูต่อนะ
ซากโบราณสถานที่ดูคล้ายโคลอสเซี่ยมยุคโรมันคือสิ่งที่โอมเห็น บรรยากาศรอบตัวมีแต่ความมืดสลัวในยามราตรี แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ชัดเจนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคือคบไฟขนาดใหญ่สองอันที่มีเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้ ชายชราในชุดนักบวชชั้นสูงยืนอยู่ตรงกลางคบไฟทั้งสอง มีเงาร่างของผู้คนจำนวนมากยืนห่างไกลแสงไฟออกไปเรียงแถวกันโอบล้อมรอบตัวโอมเป็นวงกลม คนเหล่านั้นแต่งกายกันสองแบบ คือสวมชุดคลุมตัวโคร่งปกปิดรูปร่างหน้าตา และสวมชุดเกราะเต็มยศเยี่ยงอัศวินเตรียมออกศึก
"สวัสดีท่านผู้กล้า ข้าในฐานะตัวแทนชาวอาณาจักรไบลี่ย์ ได้ทำการอัญเชิญท่านจากแดนไกลมายังที่แห่งนี้เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยปราบจอมมารร้ายที่กำลังจะยึดครองโลกในอนาคตอันใกล้ ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถิดท่านผู้กล้า" นักบวชชรากล่าวจบก็โค้งคำนับเป็นเชิงขอร้อง เหล่าจอมเวทและอัศวินที่ยืนกระจายอยู่โดยรอบก็คุกเข่าลงแล้วก้มหัวอย่างนอบน้อม
"ห้ะ?" โอมติดสตั้นไปพักใหญ่หลังฟังคำพูดของชายชราจบ
เอ้า ต่อเลยโม่ง
งี่เง่า...
นั่นเป็นความคิดแรกในใจของเขา
การที่มีคนหมู่มากมาคุกเข่า ร้องขอให้เราวิ่งไปทิ้งชีวิต คนโง่ๆอย่างพระเอกนิยายธรรมดาคงทำ แต่โอมไม่คิดจะวิ่งไปให้จอมมารทิ่ม
"ช่วยแล้วได้อะไร?"
"มีประกันชีวิตไหม?"
"แล้วนี่ลุกขึ้นได้แล้ว จะนอนอีกนานไหม"
โอมมองต่ำ บางทีคนพวกนี้อาจจะได้จอมมารคนที่สองแทนผู้กล้าซะแล้ว...
ต่อเลยเพื่อน
รออ่านอยู่นะโม่งงง โม่งคนเปิดเรื่องมีผลงานไหมอ่ะ ชอบการเขียนนายมากเลย แต่คงบอกไม่ได้สินะเดี๋ยวโม่งแตก เสียดายจัง
>>34 "มันจะมากไปแล้วนะนายน่ะ" เสียงแหลมสูงดังขึ้นมาจากเบื้องหลังฝูงชนที่ห้อมล้อมเขาอยู่
โอมแหงนหน้ามองไปรอบตัว ก่อนจะพบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืดแล้วจ้องมองเขาด้วยแววตาขุ่นเคืองอยู่
เธออยู่ในชุดที่ดูแปลกตามากสำหรับเขา เสื้อผ้าประดับด้วยลูกไม้แต่กลับดูเรียบง่ายเข้ากับร่างกาย ดวงตาสีม่วงเข้มแปลกประหลาด ทั้งยังมีผมสีดำตัดกับผิวขาวซีด
"เป็นแต่สิ่งมีชีวิตชนชั้นต่ำที่ถูกเรียกมาแท้ๆ ยังกล้ามาต่อรองกับพวกข้าอีกงั้นหรอ" พูดทั้งเสียงเหยียดหยามราวกับจะบดขยี้เขาซะให้แหลกตรงนี้
"เธอ..." โอมข่มความกลัวไว้ในใจเพื่อรักษาท่าที "เป็นใครกัน"
"ข้าหรอ" หญิงสาวเชิดคางมือท้าวสะเอวแสดงความเหย่อหยิ่ง "เจ้าหญิงของอาณาจักรนี้ยังไงล่ะ"
ปล่อยความเบียวเสร็จละ กูขอลาก่อยยยย กาวนี่มันหอมจริงๆ~
>>38 เอามาให้กูดมบ้าง ความเบียวจะเริ่มต้นขึ้นณบัดนี้!!!??
เจ้าหญิง..มิน่าล่ะถึงทำท่าหัวสูงดูถูกคนเป็นบ้า โอมนึกเข่นเขี้ยวในใจ
"เจ้า" อีกฝ่ายชี้นิ้วมาทางเขา "ในเมื่อถูกเรียกมาแล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีด้วยล่ะ"
โอมคิ้วกระตุก "แล้วถ้าฉันไม่ทำล่ะ"
..หญิงสาวเงียบไปชั่วครุ่ เสียงฝูงชนด้านหลังพึมพำอื้ออึงมาเป็นระยะ
"เจ้า...เจ้าก็จะกลับไปที่ๆเจ้าจากมาไม่ได้ไงล่ะ!! ถ้าเจ้าทำสำเร็จ เราจะส่งเจ้ากลับไปโดยสวัสดิภาพ" แววตาสีม่วงเปล่งประกายอย่างมีชัย
..เรื่องนั้นมันก็เห็นชัดๆอยู่แล้วไม่ใช่หรือ โอมคิดในใจ
เปิดตัวนางเอกหมายเลขหนึ่ง
กูเขียนเจ้าหญิงแต่ลืมคิดชื่อให้ว่ะ เอาไงดี เรียกเจ้าหญิงไปละกัน แต่ถ้าใครมีไอเดียก็ใส่ได้นะมึง
เอาชื่อยาวๆเว่อวังอลังการก็ดีนะ แล้วก็มีชื่อเรียกย่อๆด้วย 555 ตอนนี้กูยังคิดไม่ออก
เอมิเลีย เรกาเซียบลาๆๆเรียๆๆสระเอียนี่แหละมึงหรูแล้ว
"ว่าแต่เธอจะให้ฉันอยู่ตรงนี้ไปถึงเมื่อไหร่" โอมองรอบตัวแล้วบ่นโอดครวญ
"เสียมารยาท!" เจ้าหญิงแผดเสียง "เรียกว่าเธออยู่ได้ข้าก็มีชื่อเหมือนกันนะ"
"งั้นชื่ออะไรล่ะ" โอมถามกลับทันทีโดยไม่ต้องคิด
"ถามได้ไร้มารยาทเสียจริง!" เจ้าหญิงพูดท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจ
ขณะที่โอมกำลังจะเถียงกลับด้วยความปวดประสาทกับเจ้าหล่อนนั้นเอง เธอก็ได้พูดขัดขึ้น
"ทีราเลนเซีย ฟราดิก้า เอสเปอร์รัญญ่า" เจ้าหญิงสะบัดหน้าหลบไม่สบตาเขา "แต่สามัญชนและข้าราชบริพารจะเรียกข้าว่าเอสเปอร์รัญญ่าที่12"
"แปลว่าข้างหน้าเป็นชื่อเธอสินะ" โอมลูบคางพลางคิดตาม "ทีราเลนเซีย?"
เจ้าหญิงถลึงตาใส่เขา "ไม่ได้ยินรึไงว่าสามัญ..."
"ฉันชื่อโอม" เขาไม่สนใจเสียงบ่นกับรังสีอาฆาตทีแผ่ออกมาจากเธอ "แล้วฉันก็ไม่ใช่สามัญชนสักหน่อย...เป็นผู้กล้าต่างหาก"
Let it goooooooo,let it byouuuuu
>>43 กูต่อออ
"หืม? แสดงว่าเจ้ายอมทำตามหน้าที่แล้วสินะ" เจ้าหญิงถามแล้วยกยิ้มอย่างพอใจ
"ใช่ แต่มีเงื่อนไขอยู่สามข้อ" โอมพูดจบก็แสยะยิ้มที่ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
"อะไร?"
"หนึ่ง ต้องมีทีมไปช่วยฉันปราบจอมมารด้วย สอง สมาชิกที่จะร่วมทีมต้องเป็นคนเก่งมีฝีมือระดับประเทศหรือชั้นแนวหน้าของวงการ สาม เธอคือสมาชิกคนแรกของทีม มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยของฉัน ถ้าเธอกระจอกสุดในกลุ่มฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่อย่ามาเป็นตัวถ่วงของทีมละกัน"
"บังอาจ!" เจ้าหญิงตวาดลั่นอย่างมีโทสะ ไม่รู้ว่าโกรธกับเงื่อนไขที่เรียกร้องมากเกินไปหรือถูกสบประมาทในช่วงท้าย
เอาเอมมาด้วยๆ เอาไปอยู่กะจอมมารงี้ 555555555
'บังอาจ!' หญิงสาวตวาดลั่น
ทว่าเหมือนมีแรงบางอย่างกระชากตัวเธอออกมาจากตรงนั้นอย่างรุนแรงจนร่างกายเธอสั่นสะดุ้งด้วยความหวั่นวิตก
"ฝันเมื่อกี้มันอะไรกัน" หญิงสาวถอนหายใจหอบหลังจากพึ่งตื่นจากความฝันแสนประหลาดนั่น
สายตามองรอบตัวก็พบว่ายังอยู่ในห้องนอนตัวเองอยู่
เป็นฝันที่เหมือนจริงชะมัด แถมยังฝันเห็นโอมอีก เธอคิดในใจ
ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อนั้นเอง ประตูห้องได้เปิดออกกระทันหันกระแทกกำแพงจนเสียงดังสนั่น
เอมมองแม่ของตนด้วยสายตาไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงต้องทำท่าร้อนรนแบบนั้นด้วย
"มีอะไรคะแม่" เอมถามแม่ที่ยืนหอบอยู่
"โอม...โอม..." สีหน้าหล่อนซีดยิ่งขึ้นหลังพูดชื่อโอมออกมา
"โอมเขา..."
Byou is coming!
เหยดดดด
"อะไรนะคะ....แม่?"เอมิกาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่ภาพของมารดาผู้เต็มไปด้วยความจริงจังทำให้เธอสั่นเทา นี่เธอกำลังกลัวอะไรกันอยู่?
"เอมตั้งสตินะลูก โอมเขาจากไปแล้ว"มารดาของเอมิกาพูดย้ำอีกครั้ง เธอรู้ว่านั่นจะทำให้ลูกสาวของเธอเสียใจแต่ยังไงเจ้าโอมเองก็เป็นเพื่อนกับเอมตั้งแต่เด็ก เธอคิดว่ายังไงเอมก็ควรรู้เรื่องนี้
"ตะ แต่หนูพึ่งเจอโอมเมื่อกี้เองนะ พึ่งเจอเมื่อกี้เอง!"เธอโวยวายรู้สึกบรรยากาศรอบด้านพร่ามัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็อยู่ในอ้อมกอดของแม่ร้องไห้ฟูมฟาย
ยังมีสิ่งหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเอมิกา
เมื่อกี้เจอยังเจอโอม ยังเจอโอมอยู่ในฝันของเธอ
ไม่สิ!!
โอมที่อยู่อีกโลกหนึ่ง!
ส่งไม้ต่อคร่ะ
กูนึกว่าจะไม่มีคนมาต่อกูละสาดดด คิดว่าโจทย์ยากไป พวกมึงเลยเผ่นกันหมด 55555
แต่งต่อไอสัส
>>52
"โอมเค้าขับรถไปชนรถไฟฟ้าน่ะจ้ะ แม่โอมเค้าพึ่งโทรมาบอกแม่นี่เอง"
"แม่คะ หนูไม่ขำด้วยนะ"เอมพูดแล้วผละออกจากแม่ หยิบมือถือโทรไปเบอร์ที่เธอบันทึกไว้เป็นรายการโปรด เบอร์ที่เธอโทรทุกวันทุกเวลา เบอร์ของคนที่เธอแอบชอบมาตั้งแต่เด็ก ทันทีที่ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของแม่โอมจากปลายทาง เธอก็นิ่งไป โลกของเธอเหมือนหยุดหมุน
เอมสวมกอดแม่ ทั้งคู่ต่างร้องไห้ แม่ของเอมเองก็รักโอมเหมือนลูกชายอีกคน
คืนนั้น เอมนอนร้องให้จนหลับไป
"เห้ย! ปิรัญญ่า เป็นอ่ะไรของเธอน่ะ อยู่ดีๆก็วูบไป"
"กรี๊ดดด!! อย่ามาแตะตัวฉันนะไอ้บ้า ไอ้สามัญชน ไอ้สิ่งปติกูล"
"อีกอย่าง อีปีรัญญ่านี้มันหมายถึงใครยะ"
ปลาปิรันยา (อังกฤษ: Piranha) เป็นชื่อสามัญเรียกปลาน้ำจืดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงศ์ Serrasalmidae (หรือในวงศ์ Characidae[2]) โดยทั่วไป ปลาที่ได้ชื่อว่า "ปิรันยา" นั้นจะหมายถึงปลาในสกุล Pristobrycon, Pygocentrus, Pygopristis และ Serrasalmus แต่ก็อาจรวมถึงปลาในสกุล Catoprion ด้วย รวมกันแล้วประมาณ 40 ชนิด[3] ส่วนปลาในสกุลอื่นมักไม่นิยมเรียกว่าปลาปิรันยา ถึงแม้จะอยู่ในวงศ์ย่อยนี้ก็ตาม
ปลาปิรันยากินเนื้อเป็นอาหาร มักอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ พบในแม่น้ำอเมซอน และแม่น้ำหลายสายในทวีปอเมริกาใต้ มีฟันที่แหลมคมรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ มีส่วนหัวขนาดใหญ่ มีกล้ามเนื้อบริเวณกระพุ้งแก้มแข็งแรง ใช้สำหรับกัดกินเนื้อของสัตว์ที่ตกลงไปอยู่ใกล้ที่อยู่เป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ที่ตื่นตระหนกตกใจ หรืออยู่ในภาวะอ่อนแอบาดเจ็บ เสียงตูมตามของน้ำที่กระเพื่อม จะดึงดูดปลาปิรันยาเข้ามาอย่างว่องไว ซึ่งปลาปิรันยาจะใช้ฟันที่แหลมคมกัดกินเนื้อของสัตว์ใหญ่จนทะลุไปถึงกระดูกสันหลังได้เพียงไม่กี่นาที ความดุร้ายของปลาปิรันยาแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิด[3] แต่เชื่อว่าปลาปิรันยาทุกชนิดสามารถตรวจจับกลิ่นเลือดในน้ำแม้เพียง 50 แกลลอน เหมือนกับปลาฉลาม
โอมปิดหนังสือพจนานุกรมหลังอ่านเสร็จดังฉับท่ามกลางความงุนงงของคนทั้งฝูง...มันไปเอามาจากไหนกันวะ
"น...นาย" หญิงสาวโกรธจนหน้าแดง ความอยากจะบีบคอคนให้ตายคามือเป็นอย่างไรก็เพิ่งได้รู้วันนี้เอง
จะว่าไปก็น่าแปลก คนทั่วไปโดนพาตัวมาอีกโลก..อย่างน้อยมันก็ควรจะตกใจอยู่บ้างสิ!!
แล้วไอ้หมอนี่มันมาจากไหนกัน!?
>>59 "เจ้าหญิงได้สงบอารมณ์ลงก่อน" ชายหนุ่มร่างกำยำเดินมาเยืนขนาบข้างองค์หญิง พูดจาเตือนสติ "อย่าให้ศักดิ์ศรีของท่านต้องด่างพร้อยเพราะชนชั้นต่ำเชียว"
องค์หญิงเม้มปากแน่น กำมือกรอด ก่อนส่งเสียงจิ้จ้ะในลำคอทีหนึ่งแล้วปั้นหน้าหยิ่งผยองอีกครั้ง "ขอบใจมากพัลพาทีนที่เตือนสติเรา"
"หามิได้" ชายผมทองโค้งตัวลงต่ำครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นเพ่งสายตาสีเขียวประกายมองโอม"นี่น่ะหรือผู้กล้า มารยาทของท่านนั้นต่ำตมยิ่งกว่าหนูโสโครกในท่อน้ำทิ้งเสียอีก"
โอมทำหน้านิ่วมองชายในชุดอัศวินสีขาวบริสุทธิ์ ประมวลผลความคิดด้วยเวลาอันรวดเร็วแล้วถามพรวดออกไป "นาย...เป็นแฟนยัยนี่งั้นหรอ แบบคู่รักหรือสามีภรรยาอะไรทำนองนี้น่ะ ดูปกป้องกันดีจังนะ"
ทันใดนั้นเองหน้าของผู้ถูกกล่าวถึงทั้งสองก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากบางของเจ้าหญิงสั่นรัว"จะ...เจ้า..."
พัลพาทีน...มึง5555555
เธอหลับตาก้มหน้า ตัวสั่นเทาพยายามสะกัดกลั้นความโกรธ สักประเดี๋ยวต่อมาก็มีท่าทีที่ผ่อนคลายลง
"ทหาร! นำตัวสามัญชนไร้มารยาทผู้ที่ไปคุมขัง! ข้าจะรอให้เสด็จพ่อตัดสินโทษประหารกับผู้ที่ดูหมิ่นเจ้าหญิงเช่นข้า!!"
ทหาร5นาย ที่อยู่ข้างหลังของเจ้าหญิงขยับกายเข้ามาพยายามจะจับโอม ชายหนุ่มถูกมัดปาก มัดมือ มัดขาแน่น ก่อนโดนแบกขึ้นพาดบ่านายทหารร่างยักษ์ นำพาออกไปจากลานพิธีกรรม
แม้ว่าเขาพยายามจะขัดขืน แต่ก็ไร้ประโยชน์ นายทหารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนการต่อสู้มานาน คนธรรมดาอย่างเขาจะทำอะไรได้
"ท่านนักบวช การอัญเชิญในวันนี้นับเป็นการอัญเชิญที่ผิดพลาด รอให้คืนเดือนมืดคราวหน้า ค่อยทำพิธีกันอีกครั้ง ข้าหวังว่าเราจะได้ท่านผู้กล้าที่แท้จริง มาช่วยเหลืออาณาจักรและนำตัวน้องชายของเรากลับคืนมาอย่างปลอดภัย"
หญิงสาวคุกเข่าลงที่กลางลานทำพิธี หลับตาลง น้ำตาเอ่อนอง กุมมือทั้งสองที่อกอย่างเว้าวอนต่อผืนฟ้ายามค่ำคืน พัลพาทีนพร้อมทหารและเหล่าจอมเวทย์ที่เหลือต่างก้มหน้านิ่งเงียบอย่างสะเทือนใจ
จบ
แต่เดี๋ยวก่อน
"เจ้าหญิงหากข้าขอให้นำตัวเขากลับมาก่อน ท่านจะได้โปรดเมตตาแก่ข้าหรือไม่" สาวงามที่ทาปากสีแดงจัดเอ่ยชัดถ้อยคำ สายตาจดจ้องตรงที่เจ้าหญิงอย่างไม่ไหวติง แม้ด้านข้างจะมีทหารหนุ่มเอาดาบชี้คออยู่ก็ตาม
"โอหังนักเมย์ลิน เจ้าเป็นแค่นักโหราศาสตร์ประจำวังแท้ๆ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งเจ้าหญิง" พัลพาทีนแผดเสียงกร้าว "ไม่เห็นรึว่ามันลบหลู่ศักดิ์ศรีท่านไปแค่ไหน"
เมย์ลินไม่ตอบแต่เดินสาวเท้าเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย เบิกตาสีแดงเพลิงกว้าง ขยับริมฝีปากอย่างเชื่องช้า"คน-ที่-โอ-หัง-น่ะ-มัน-เจ้า"
สิ้นคำพูดนั้นเองสายลมกรรโชกได้พุ่งตรงเข้าปะทะพัลพาทีนด้วยความแรงสูงจนเขาต้องงอตัวเพื่อต้านแรงลม
"อย่าลืมสิว่าข้าเป็นหมอดูแค่ในตำแหน่ง" เธอเหยียดยิ้มกว้าง "แม่มดสิตัวจริงของข้า"
"ทำไมเจ้าถึงอยากได้ตัวผู้กล้ามีตำหนินั่น" เจ้าหญิงผู้ถูกลืมชื่อไปแล้วถามขึ้น
"เพราะเขาคือผู้กล้า แม้มารยาทจะต่ำทรามแต่เขาก็คือวีรบุรุษที่จะช่วยพวกเราได้" แม่หมอเมย์ลินเผยยิ้มร้ายแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอันหวานยิ่ง
"ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิดองค์หญิง รับรองว่าภายในหนึ่งเดือนเขาก็พร้อมจะทำหน้าผู้กล้าได้แน่นอน"
เจ้าหญิงและทุกคนต่างมีสีหน้าผ่อนคลายและตกลงตามใจเมย์ลินอย่างไร้ข้อโต้แย้ง เพราะเธอผู้นี้ฉายาอันน่าสะพรึงว่า "แม่มดแห่งความวิปริต" ผู้มีจิตวิปลาส จอมทรมานที่ปีศาจยังต้องร้องขอชีวิต
กุมาบอกไอเดียช้าไปโคตรๆว่ะโทษที ช่วงที่มีคนแต่งแล้วทู้เงียบไปนานๆ ตอนก่อนเจ้าหญิงจะแพล่มน่ะ
คืออยากให้มีสาวหน้าเหมือนเอมแต่นิสัยตรงข้ามกับตัวจริงอยู่ในโลกต่างมิติด้วยน่ะ และเป็นเหตุให้โอมมันอยากทำภารกิจผู้กล้าเพื่อช่วยเธอคนนี้
>>68 ที่กุบอกว่าช้าไปเพราะที่คิดไว้คือให้เอมต่างมิติเป็นเจ้าหญิงนี่แหล่ะ แต่มีคนมาต่อแล้วกุอ่านดูก็ไม่เลวนะไปต่อในแบบนี้อาจสนุกกว่าแบบที่กุคิด
ตอนแรกก็จะมาช่วยแต่งต่อนะแต่พอเริ่มพิมพ์ไปสามบรรทัด รู้สึกแย่เพราะเรื่องเริ่มมาสำนวนดีนะกุชอบเลย แต่ตัวเองยังด้อยประสบการณ์น่ะเลยขอออกไอเดียนิดๆหน่อยๆแทนดีกว่า
กุมาจากสายวาด Sketch Design แต่มีพล้อตดองในหัวเยอะเลยอยากลองเขียนนิยายดู คงต้องฝึกสกิลอีกเยอะ+กุอ่านหนังสือน้อยด้วยน่ะ
กลิ่นสาบหนูและกลิ่นอาจมของนักโทษ ในคุกใต้ดินไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าปรารถนา เธอย่นจมูกขณะก้าวเท้าไปตามทางเดินโสโครกอันมืดสลัวโดยมีเพียงแสงจากตะเกียงในมือของผู้คุมร่างพลุ้ยนำทาง
ผู้คุมนำเธอมาจนถึงปลายสุดของคุกใต้ดิน ณ ที่ ๆ มืดและอับชื้นที่สุดในปราสาทแห่งนี้ เจ้าหญิงรับตะเกียงจากผู้นำทางมาถือไว้ ยกขึ้นส่องพร้อมเพ่งสายตาสีม่วงคู่สวยเข้าไปยังห้องขัง “ลุกขึ้น” เธอสั่ง
ชายหนุ่มผมดำเงยหน้าขึ้นมองแสงไฟก่อนที่จะต้องหลับตาลงทันที โอมยกมือขึ้นป้องตา หอบหายใจพร้อมเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาจากลำคอ “เธอมีธุระอะไรกับฉันอีก”
“ชะตาของเจ้ายังไม่ถึงฆาตกระมัง” เอสเปอร์รัญญ่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวน “รีบลุกขึ้นมาจากกองอาจมนั่นก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”
โอมค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน รู้สึกปวดแปลบไปตามกล้ามเนื้อทั่วสรรพางค์กายจากการถูกรุมซ้อม เจ้าหญิงพยักหน้าให้กับผู้คุมที่เริ่มลงมือไขกุญแจลูกกรง ก่อนที่ประตูจะเปิดออกในอีกอึดใจต่อมา
แค่เพียงก้าวแรกหลังจากออกมาจากห้องขัง ชายหนุ่มก็ถูกรวบแขนไพล่หลังไว้อีกครั้งด้วยฝีมือของผู้คุมร่างท้วม “จะให้ข้ามัดมือมันไว้ก่อนดีไหมพะยะค่ะ” น้ำเสียงเจือความสอพลอออกมาจากปากของผู้คุม “หรือจะให้ข้าล่ามตรวนมันด้วยดี”
“ช่างเขาเถอะ ขอบใจเจ้ามากเดวิส” เจ้าหญิงพูด “ไม่มีสิ่งใดที่ท่านผู้กล้าจะเก่งไปหรอก นอกจากปากของเขาเท่านั้นล่ะ”
ผู้คุมหัวเราะสอพลอในขณะที่โอมแค่นเสียงตอบเบา ๆ “ที่เก่งจริง ๆ น่ะคือลิ้นต่างหาก”
เจ้าหญิงขมวดคิ้ว ดูท่าว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เธอตัดสินใจไม่คิดถึงมัน “ไปจากที่นี่กันเถอะ” เธอกวักมือเรียกเดวิสที่ยังไม่ปล่อยมือจากการรัดแขนนักโทษ “ออกไปจากส้วมนี่กันเถอะ”
โอมถูกพาขึ้นไปยังลานกว้างหน้าปราสาท คนกลุ่มหนึ่งรอเขาอยู่แล้วพร้อมกับถังน้ำเย็นเฉียบในมือ ชายหนุ่มถูกชำระร่างกายด้วยวิธีการที่เหมือนกับว่าเขาเป็นผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ผืนหนึ่ง มีหนึ่งหรือสองคนใช้ผ้าเนื้อหยาบเช็ดตัวเขาจนรู้สึกแสบผิว ก่อนที่จะถูกยัดเยียดให้สวมเสื้อผ้าอย่างไม่ไยดี
ชายหนุ่มถูกดึงให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ตรงหน้าของเขาเป็นรอยยิ้มยียวนของเจ้าหญิงที่กวาดสายตาสีม่วงมองดูเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “ท่านผู้กล้า” เธอทำเสียงเยาะ “ตามข้ามาทางนี้ มีคนอยากจะได้ตัวท่าน”
โอมถูกทหารนายหนึ่งผลักให้เดินตามหญิงสาวไป เอสเปอร์รัญญ่านำขบวนเข้าไปในตัวปราสาท เดินทะลุผ่านจนไปถึงสนามหญ้าอีกฟากหนึ่ง มีสิ่งปลูกสร้างเดียวที่น่าจะเป็นเป้าหมายของพวกเขา นั่นก็คือหอคอยสีขาวสว่างที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“ตั้งแต่ตรงนี้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์” จู่ ๆ เจ้าหญิงก็พูดขึ้น เธอชี้มือไปที่รั้วต้นไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่ง “มีแต่ข้ากับเจ้า และก็คนของหอพยากรณ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
เป็นจริงดังที่เจ้าหล่อนว่า เมื่อพวกเขาเดินมาจนถึงรั้วต้นไม้นั่นขบวนทหารที่เดินตามมาด้านหลังก็หยุดเดินทันที ปล่อยให้คู่ชายหญิงเดินตรงไปยังหอคอยแต่เพียงลำพัง
ทางเดินยังคงทอดยาวถึงแม้ว่าพวกเขาจะเดินผ่านรั้วต้นไม้มาแล้ว บรรยากาศรอบ ๆ ที่แต่เดิมเป็นเพียงสนามหญ้ากลับกลายเป็นอุทยานดอกไม้นานาพรรณ หมู่ภมรบินว่อนเหนือยอดหญ้า เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังมาจากหอคอยสูงและไม้ยืนต้นที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษกลางดงดอกไม้
ชายหนุ่มหยุดเดิน
เจ้าหญิงยังคงเดินนำหน้าต่อไปอีกสองสามก้าวก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังเดินตามมา เธอหันหลังกลับไปจ้องตาสีดำคู่นั้น “เป็นอะไรของเจ้า” เอสเปอร์รัญญ่าถาม “หยุดทำไม”
“แล้วจะให้เดินต่อไปทำไม” โอมถามกลับ “ฉันไม่ใช่ผู้กล้า เธอผิดแล้ว”
เจ้าหญิงเหยียดยิ้ม “ข้าก็คิดแบบนั้น เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี รีบปล่อยฉันไปสักทีสิ” โอมร้อง ความโกรธพวยพุ่งออกมาจากดวงตา “พาฉันกลับบ้าน ฉันมีพ่อแม่และเพื่อน ๆ รออยู่นะ”
“ข้าอาจคิดผิดได้ แต่มนตราโบราณไม่เคยผิดพลาด” หญิงสาวตอบอย่างใจเย็น “เจ้าคิดหรือว่ารั้วต้นไม้นั่นเป็นแค่รั้วต้นไม้ธรรมดา หากเจ้าไม่ใช่ผู้ที่มีสายเลือดราชวงศ์ ผู้กล้าหรือเป็นผู้มีตาพยากรณ์ เจ้าก็คงแหลกสลายตายไปด้วยเวทมนต์ที่ลงไว้นั่นแล้ว”
“ฉันไม่สนหรอกว่าเวทมนต์บ้าบอของเธอมันจะบอกว่ายังไง” ชายหนุ่มยังไม่หยุดตะโกน “ปัญหาของพวกเธอ เธอก็ต้องแก้มันเองสิ ส่งฉันกลับไปโลกของฉันเดี๋ยวนี้นะ”
เอสเปอร์รัญญ่าพ่นลมหายใจอย่างดูถูกก่อนที่จะหันหลังกลับ “เลิกเพ้อเจ้อเสียที เดินต่อได้แล้ว”
ก่อนที่เจ้าหญิงจะได้ทันก้าวเท้าเดินต่อไป มือข้างถนัดของชายหนุ่มก็ฉวยเอาข้อมือเรียวของเธอไว้แน่น หล่อนอุทานออกมาคำหนึ่งในขณะที่ร่างกายถูกแขนอันแข็งแรงรวบเข้าหาตัว “พูดดี ๆ ไม่รู้เรื่องยังงั้นเหรอ” โอมส่งเสียงขู่
“ปล่อยข้า ไม่อย่างนั้นหัวของเจ้าหลุดจากบ่าแน่” หญิงสาวร้อง พยายามสะบัดร่างให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย “เจ้าเป็นผู้ชายประเภทไหนกัน ไยถึงรังแกผู้หญิง”
คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้าหญิง เอสเปอร์รัญญ่าฉวยเอาจังหวะที่โอมกำลังสับสนยกเท้าถีบเข้าที่กล่องดวงใจของเขาเต็มรัก ชายหนุ่มร้องลั่นเหมือนถูกม้าเหยียบ ลงไปนอนคู้ตัวเอามือกุมเป้าอยู่บนพื้นอย่างสิ้นลาย
เจ้าของดวงตาสีม่วงเหยียดยิ้มอีกครั้งขณะใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างของชายหนุ่ม “ไม่เอาน่าท่านผู้กล้า มันจะเจ็บไปได้อย่างไร” เธอส่งเสียงฉอเลาะจอมปลอมอีกครั้ง “เมื่อครู่ตอนที่ข้าดูเจ้าอาบน้ำ ไม่ยักเห็นมีอะไรอยู่ตรงหว่างขาของเจ้าเลยนี่นา”
>>72 เฮ้ย น่าสนุกว่ะเอาด้วย
"ใจร้าย" โอมสำลักความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนลิ้นปี่ของเขาถูกฆ้อนทุบจนยุบเหมือนหมอนขนห่าน "ผู้กล้าไม่ใช่อะไรที่ฉันฝันถึง เราจะผจญภัยแส่หาเรืีองทำไมในเมื่ออยู่ในที่ปลอดภัยก็ดีอยู่แล้ว" เขาสบตาเจ้าหญิงอย่างยากลำบาก "ทำไมไมคัดอัศวินดีๆที่สมัครใจแทน เรื่องผู้กล้ามันไร้สาระสิ้นดี ฉันต้องการทนาย Bitch"
เจ้าหญิงเม้มปากแน่น แบบเดียวกับเด็กตัวเล็กเอาแต่ใจตอนที่พวกเขาถูกปฏิเสธ โอมแอบกรอกตากับตัวเอง ไอ้น่าสมเพชกำลังถูกบังคับให้ช่วยผู้คนที่ไม่รู้จัก ไม่เคยให้น้ำ ข้าว ที่นอน หรือกระทั่งการต้อนรับดีๆ นี่ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่เขาแคร์ว่าพวกของเธอจะตายวันพรุ่งหรือตอนนี้ เขาไม่ได้ติดค้างหล่อน ไม่จำเป็นต้องสุภาพด้วยซ้ำ
"รู้อะไรไหม เธอไม่ใช่เจ้าของชีวิตฉัน เธอมีอำนาจสั่งทหารได้ และเธอเกลัยดฉันเพราะเรื่องนี้ การมีอยู่ของฉันทำให้เธอเสียความมั่นใจ"
"แล้วยังไง" เสียงแปลกดังขึ้น เป็นเสียงที่โอมไม่คุ้นเคยเลยแม่แต่นิด "นั่นมันสำคัญด้วยหรอ"
โอมลุกขึ้นนั่งกุมท้อง ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเพ่งพินิจ ชุดสีดำยาวที่คลุมตัวหล่อนอยู่ ทำให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างที่ชั่วร้ายอย่างเช่น แม่มด
"เมย์ลิน..." ไม่ทันที่โอมจะได้ไต่ถามชื่อของหล่อน เจ้าหญิงก็ได้ชิงพูดขึ้นก่อน
"นี่น่ะหรือผู้กล้า" เมย์ลินหรี่ตามอง เหยียดยิ้มดูถูกใส่เขา "ไม่มีราศีเลยสักนิด"
ฉับพลันเมื่อเมย์ลินชี้นิ้วเรียวยาวไปทางโอม สายลมแรงได้รวมตัวกันจนเห็นเป็นเส้นเกลียวแล้วพุ่งเข้าโจมตีตรงท้องเขา
"อั๊ก!" โอมล้มลงนอนกองอยู่บนพื้นอีกครั้ง
ปากสำลักน้ำลายออกมานับไม่ถ้วน จนไม่เหลือเรี่ยวแรงจะโต้กลับ
"ทำอะไรน่ะเมย์ลิน" เจ้าหญิงเขม่นตาใส่ "อย่าได้ฆ่าเขาในพื้นที่ศักดิ์เป็นอันขาดเชียว"
เมย์ลินโปรยยิ้มพร้อมโค้งตัวลงให้เจ้าหญิงเล็กน้อย หันหน้ากลับมาทางโอมที่นอนหมดสภาพบนพื้นอยู่
"มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะอยากหรือไม่" ดวงตาสีแดงโตเบิกกว้างจนโอมนึกสั่นกลัวในใจ "แต่โชคชะตาสั่งให้ทำเจ้าก็ต้องทำ!"
กูมาเสนอพลอต เท่าที่เห็นคือไอ้โอมโดนทรมานซะไม่มีชิ้นดี โดนเข้าแบบนี้ใครจะอยากช่วยโลกนี้วะ นั่นแหละ เป็นเหตุให้โอมอยากจะเอาตัวรอดจากเมย์ลินให้ได้ก็เลยต้องฝึกวิชาบลาๆดีมั้ย ดูเป็นไง แล้วเอาไงต่อกับเอมดี ที่มึงอยากให้โอมช่วยโลกนี้เพราะเอมอ่ะ มาคุยกันแปป
โอมยันกายลุกขึ้น เขารู้สึกเจ็บที่เหนือลิ้นปี่จากการถูกพลังประหลาดจับกระแทกพื้นจนต้องใช้มือซ้ายกุมอกของตนเองไว้ “โชคชะตายังงั้นเหรอ” ชายหนุ่มแค่นเสียง “โชคชะตามันเป็นใครถึงคิดจะมาสั่งให้ฉันทำอย่างโน้นอย่างนี้กัน หา”
เมย์ลินเหยียดยิ้มในขณะที่เอสเปอร์รัญญ่ายืนกอดอก “เจ้าน่ะจะดื้อด้านไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” เจ้าหญิงแหว “ต่างคนต่างก็ต้องมีหน้าที่ขอตนเอง โชคชะตาได้ลิขิตเอาไว้แล้วให้เจ้าได้มาเป็นผู้กล้า”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ” โอมตะคอกกลับไป “เธอจะปราบจอมมารก็หาคนในโลกของเธอมาเป็นผู้กล้าสิ ทำไมจะต้องเอาภาระบ้า ๆ แบบนี้มายัดเยียดให้กับคนต่างถิ่นอย่างฉันด้วย”
“เพราะมันเป็นโชคชะตาที่ได้ลิขิตเอาไว้แล้วยังไงล่ะ” เจ้าของนัยน์ตาสีม่วงยิ้มเยาะ “อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องไปปราบจอมมาร ไม่มีใครหลีกหนีโชคชะตาได้พ้นหรอก เฮอะ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากให้คนใจเสาะอย่างเจ้ามาเป็นตัวแทนของโลกใบนี้หรอกนะ”
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากโต้ตอบกลับไป นักพยากรณ์สาวก็หันหน้ากลับมาหาเจ้าหญิง ขมวดคิ้วพร้อมชิงพูดขึ้นก่อน “เดี๋ยวนะเพคะองค์หญิง” เมย์ลินท้วง “ท่านว่าจะให้ท่านผู้กล้าไปปราบจอมมารอย่างนั้นหรือ”
สีหน้าของเอสเปอร์รัญญ่าดูฉงน “ก็เจ้าเป็นคนบอกข้าเองไม่ใช่หรือเมย์ลิน” เธอท้วง “ว่าเจ้าหมอนี่น่ะคือผู้กล้าที่จะมาทำให้จอมมารหายไปจากโลกนี้”
“ข้าพูดเช่นนั้นจริง” นักพยากรณ์ผงกศีรษะรับคำ “แต่ข้าไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นคนไปปราบจอมมารนะเพคะ”
โอมมองผู้หญิงสองคนตรงหน้าสลับกันไปมาอย่างงุนงง “นี่พวกเธอพูดเรื่องอะไรกันน่ะ” เขาร้อง “ฉันเป็นเหยื่อของพวกเธอนะ มีอะไรก็อธิบายให้ฉันฟังสิ”
เมย์ลินหันหน้ากลับมาหาโอม ริมฝีปากคู่สวยของเจ้าหล่อนเหยียดยิ้ม “เจ้าน่ะเป็นผู้กล้าตามคำทำนายของข้าจริง แต่โชคชะตาไม่ได้ลิขิตให้เจ้าเป็นผู้สังหารจอมมาร” เมื่อพูดถึงตอนนี้เธอก็ยิ้มกว้างขึ้น “ลูกชายทั้งเจ็ดคนของเจ้ากับเจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าต่างหากที่จะต้องทำมัน”
ดวงตาสีม่วงของเจ้าหญิงเบิกกว้าง “เจ้าพูดอะไรน่ะเมย์ลิน” เธอร้อง “ไม่น่ะ ข้าไม่ยอม”
“โชคชะตาได้ลิขิตไว้เช่นนั้น องค์หญิง” เมย์ลินหันมาส่งยิ้มหวานที่แฝงไปด้วยยาพิษให้กับเอสเปอรัญญ่า “ท่านพูดถูก ไม่มีใครหลีกหนีโชคชะตาได้พ้นหรอก”
จจจจจจเจ็ดคนน!!???
ไอ้สัส คดีพลิก
>>77 "ก็ได้...แค่ลูกของข้ากับเขาใช่ไหมล่ะ" ทีราเลนเซียกัดฟันกรอดทั้งยังทำหน้านิ่ว "ข้าจะแต่งงานกับเขา"
"โฮ่..." แม่หมอสาวแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น เรื่องสนุกกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ เมย์ลินคิดในใจ
"เดี๋ยวสิ ใครบอกว่าฉันจะแต่งกับเธอกัน!" โอมพูดขัดขึ้นเสียงลนลาน แค่คิดว่าจะต้องแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่เธอคนนั้น...ก็ทำให้เขารู้สึกแย่แทบบ้า
"หุบปาก!" หญิงผู้สูงศักดิ์ตวาดลั่นไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม "คิดว่าข้าอยากแต่งงานกับเจ้ามากนักหรอ นี่จะเป็นการแต่งแค่ในนามจำเอาไว้!"
"ส่วนเรื่องของบุตรทั้งเจ็ด" ทีราเลนเซียจ้องเมย์ลินสายตาแน่วแน่ "ข้าจะตามหาผู้ที่เหมาะสมทั้งกับคำว่า 'บุตร' และ 'ผู้กล้า' มาเป็นบุตรบุญธรรมของข้าและเขา นี่คงจะไม่ผิดต่อคำทำนายใช่ไหมเมย์ลิน"
เมย์ลินเอียงคอ ยิ้มมุมปากเบาๆ "นั่นสิ" แม้เธอจะคุยกับทีราเลนเซียอยู่ แต่สายตาของเจ้าตัวกลับมองเหม่อลอยออกไป เหมือนกับว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ "ข้าน่ะเป็นแค่ผู้รับฟังเสียงแห่งโชคชะตา หาใช่ผู้บงการโชคชะตาไม่ ท่านอยากทำอย่างไรก็สุดแต่ใจท่านแล้วองค์หญิง"
"ข้าจะถือว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นเป็นคำอนุญาต" องค์หญิงกอดอกเชิดคางอย่างไม่สะทกสะท้าน
แม้ตัวทีราเลนเซียนั้นจะรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า เมย์ลินผู้เป็นนักโหราศาสตร์ประจำวังมาตั้งแต่หลายรุ่นก่อน เจ้าหล่อนมีนิสัยที่แปลกประหลาดยากจะคาดเดาได้ ทั้งยังเป็นผู้ชอบเล่นสนุกกับความทุกข์ของคนอื่นจากคำบอกเล่าของราชาองค์ก่อนๆ แต่ก็ไม่นึกฝันเลยว่าจะต้องมาเจอกับตัวเองแบบนี้
"ให้ตายสิ เป็นผู้กล้าที่เอาแต่สร้างเรื่องจริงๆ" ทีราเลนเซียตวัดสายตาดุมองโอม "รับผิดชอบด้วยล่ะ"
โอมผู้รู้สึกหน่ายกับการถูกทำร้ายร่างกายหากเผลอทำอะไรขัดใจกับสาวแกร่งทั้งสองอีก จึงได้แต่ตอบหน้ามุ่ย "เอาไงก็เอา"สินะ
"ตกลงกันได้แล้วงั้นหรือ" เมย์ลินดีดนิ้วดังเป๊าะกลางอากาศ ในตอนนั้นเองบนฝ่ามือเธอได้มีมวลพลังานสีขาวรวมตัวกันจนเกิดเป็นทรงกลม ก่อนเมย์ลินประทับปากบนสิ่งนั้นเบาๆ
โอมกลืนน้ำลายก้อนโตลงคอพลางคิดในใจว่าสายตาของแม่หมอสาวที่มองมวลพลังงานบนมือนั้นช่างดูเย้ายวนเหลือเกิน อย่างกับว่าเธอจะกลืนกินมันซะอย่างงั้น
"บอกข้าทีสิ" เมย์ลินเผยอปากสีแดงสด ดวงตาคู่งามจ้องมองลึกเข้าไปที่ทรงกลม "ถึงเรื่องของบุตรทั้งเจ็ดที่จะมาเป็นผู้กล้าให้กับพวกเขา"
คนแคระทั้งเจ็ดปราบจอมมาร กู้โลก 55555
ทำไมต้อง 7 คนวะ 555
กุมาอ่านต่อแล้วงงนิดนึงว่ะ องค์หญิงชื่ออะไรแน่วะ
มีใครอยากอ่านฉากเย็ดไหมครับ
อยากอ่านต่อว่ะ หายไปไหนกันหมดดด
>>81
"ท่านพี่! เจ้านั่นคือผู้กล้าจริงหรือ" เสียงทุ้มของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขัดจังหวะอย่างไม่พอใจ ส่งผลให้สายตาทั้งสามคู่ต้องหันหลังไปมองเจ้าของเสียงในทีนที
ชายหนุ่มผู้เรือนผมสัน้ำตาลเข้มยาวระต้นคอและไว้ผมหน้าม้ายาวปิดบังใบหน้าซีกขวา ทว่าก็ไม่อาจปกปิดความหล่อเหลาราวเทพบุตรของเขาได้ ดวงตาสีม่วงเข้มเช่นเดียวกับทีราเลนเซียถลึงตามองโอมอย่างไม่พอใจ ซึ่งโอมก็มองตอบกลับด้วยความงุนงงปนสงสัย ไอ้หน้าหล่อนี่เป็นใคร ทำไมถึงหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
"โอ้ ท่านเทลาเรนเซ่ อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ" เมย์ลินทักทานด้วยรอยยิ้มอันหวานใสไร้เดียงสาและเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนหวาน สายตาและสีหน้าเจ้าเล่ห์แปรเปลี่ยนเป็นความเมตตาอ่อนโยนประดุจนักบุญ ดูราวกับคนละคนก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
เมื่อเห็นการเปลี่ยนบุคลิกที่รวดเร็วเพียงหนึ่งการกะพริบตา โอมถึงกับเงิบไปช่วยขณะ ยัยแม่มดตัวร้ายกลายเป็นแม่พระใจบุญในหนึ่งย่อหน้าได้ไงวะ!
"ใช่ แล้วน้องมาทำอะไรที่นี่" ทีราเลนเซียมองหน้าน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจในท่าทางฮึดฮัดของอีกฝ่าย
"ไม่จริง! ถ้างั้นท่านพี่ก็ต้องมีลูกกับไอ้หน้าปลาทูต้มให้ครบเจ็ดคนตามคำทำนายน่ะสิ" เทลาเรนเซ่เมินคำถามพี่สาวแล้วเริ่มโวยวายอย่างสติแตก
"ไอ้เวรนี่! กล้าดียังไงถึงมาดูถูกหน้าตากัแบบนี้วะหา" โอมแย้งขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจ เลยได้รับการมองเหยียดอย่างสง่างามจากเจ้าชายผู้หล่อเหลาอย่างหาที่ติมิได้
"นอกจากหน้าตาจะหาดีมิได้แล้ว การพูดจายังต่ำชั้นยิ่งกว่าทาสไร้การศึกษา"
โอมอ้าปากจะสวนกลับ ทว่าก็ถูกพลังจากสายลมของคนที่คุณก็รู้ว่าใครพุ่งอัดท้องจนจุกพูดไม่ออกไปหลายนาที ระหว่างนี้ทีราเลนเซียก็ขมวดคิ้วมองหน้าน้องชายด้วยความสงสัยในบางอย่าง
" นี่น้องรู้เรื่องคำทำนายได้ไง" พลันนั้นเจ้าหญิงก็หันขวับไปมองเมย์ลินทันที
"เมย์ลิน!" หญิงสาวผู้ถูกเรียกสะดุ้งเฮือก และด้วยการแสดงระดับดาราชั้นนำรางวัลออสก้ายังต้องสยบ แม่มดสาวน้ำตาซึมและเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ร่างบางสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น
"ขะ ขออภัยเพคะ มะ หม่อมฉันแค่อยากผ่อนคลายความกังวลในใจของท่านเทลาเรนเซ่ที่ต้องเฝ้าระวังการมาเยือนของจอมมาร พะ เพื่อไม่ให้ท่านต้องวิตกมากเกินไป หม่อมฉันจึงได้บอกถึงการมาเยือนของผู้กล้าและคำทำนายที่จะช่วยแบ่งเบาภาระขององค์รัชทายาทแห่งเอสเปอร์รัญญ่า ผู้ที่จะต้องแบกรับภาระหนักในอนาคตต่อจากองค์ราชา เนื่องจากหม่อมฉันทำงานรับใช้ราชวงศ์มาหลายรุ่น กะ การช่วยแบ่งเบาภาระของว่าที่ผู้นำประเทศในอนาคตก็ถือว่าเป็นหน้าที่หนึ่งที่สำคัญ มะ มากนะเพคะ" กล่าวจบแม่มดสาวก็มีท่าทีหงอยเหงาราวกับสุนัขที่ถูกเจ้านายจับได้ว่าทำผิด ทว่าก็ไม่อาจปิดโอมที่มองเห็นสายร้อนแรงประดุจสาวน้อยแรกรุ่นเจอชายในฝันของเมย์ลินที่มองเทลาเรนเซ่ผ่านม่านน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาด้วยการแสดงชั้นครู
นี่...ยัยแม่มดวิปริตนี่คงไม่ได้หลงรักไอ้เจ้าชายปากปลาร้านี่ใช่ไหม โอมครุ่นคิดในใจด้วยความสงสัยยิ่ง
"ท่านพี่อย่าไปต่อว่านางเลย นางทำไปเพราะหวังดีต่อข้า" เทลาเรนเซ่มองเมย์ลินอย่างสงสารเมื่อเห็นหญิงสาวผู้อ่อนโยนมีท่าทีกลัวมากจนหลั่งน้ำตาออกมาไม่ขาดสาย ทีราเลนเซียผู้รู้ธาตุแท้ของเมย์ลินถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย โอมกลอกตามองบน ส่วนเมย์ลินนั้นลอบยิ้มอย่างชั่วช้าในหัวใจที่เบิกบานประหนึ่งผีเสื้อโบยบินในทุ่งดอกไม้สีชมพู
มาต่อยาวหน่อยนะงิ
เปิดตัวตัวละครใหม่แฮะ
"ฮึ่ย!" เอมลุกพรวดขึ้นจากเตียงพลางยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง "ฝันบ้าๆ อีกแล้ว"
ความฝันนั่นทำให้เธอหัวเสียเป็นบ้า ผู้หญิงคนนั้นมันอะไรกัน มายาร้อยเล่มเกวียนชะมัด เอมขบคิดสีหน้าขุ่นมัว
"แปลกจริง ทำไมเราถึงฝันต่อเนื่องอะไรแบบนี้ล่ะ" เธอนั่งเม้มปากอยู่บนเตียง มือกำชุดนอนแน่นจนเกิดรอยยับ "แถมยังรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องจริงมากกว่าความฝันอีก..."
"ถูกแล้วนั่นคือเรื่องจริง" เสียงปริศนาดังมาจากหน้าต่างที่เธอเปิดทิ้งไว้รับสายลมโชยยามค่ำคืน
เอมหันควับมองอีกฝ่าย ทว่าก่อนจะได้กรีดร้องออกมา บุคคลที่ควรจะอยู่ตรงหน้าต่างกลับไม่มีอยู่ และในตอนนั้นเองเอมก็ได้ถูกปิดปากด้วยฝ่ามือหนา
"อย่าร้องไปเลยชิ้นส่วนแห่งประตูเอ๋ย" ชายหนุ่มผมสีดำเข้มยาวเกือบกลางหลังบอก "ใครจะคิดกันว่าชิ้นส่วนแห่งประตูจะกลับชาติมาเกิดเป็นผู้หญิงที่ต่างโลกกัน"
เอมดิ้นรนพยายามสลัดการจับกุมของเขา แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ "อื้อ!" เธอเปล่งเสียงออกมาไม่เป็นคำพูด
"เป็นชิ้นส่วนที่น่ารำคาญชะมัด" ชายผู้มีตาสีเขียวทอประกายบ่น "ทั้งช่วยส่งผู้กล้าไปให้อีกฝ่าย ทั้งขัดขืนผู้ใต้บังคับบัญชาท่านจอมมารอย่างฉัน เธออยู่ฝั่งไหนกันแน่ ยัยชิ้นส่วนปิศาจ?" สบถอย่างไม่พอใจแล้วเหยียดตามอง
เอมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แม้จะเข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกมาเลยสักนิด เขาพูดบ้าอะไรอยู่ เธอตั้งคำถามในใจ
"ได้เวลาไปหาท่านจอมมารแล้วสิ" ชายแปลกหน้ายกเอมขึ้นพาดบ่า เดินไปเหยียบขอบหน้าต่างเตรียมพุ่งตัวออกไปด้านนอก
"คุณเป็นใคร แล้วจะพาฉันไปไหนกัน!" เมื่อมีที่ปิดปากอยู่หายไป เอมจึงพ่นสิ่งที่นึกในใจออกมาไม่หยุด
"อยากรู้มากก็ไปด้วยกันสิ" ชายหนุ่มแค่นหัวเราแล้วกระโจนตัวออกนอกหน้าต่างสู่กลางอากาศอันว่างเปล่า...
ขุด
ดินด้วยพลั่วไม้
จนด้ามหัก
เอาจริงดิ ;-;
ดินชื้นๆ ปูทับด้วยฟางเก่าหยาบ ผนังหินขึ้นตะไคร่เขียวรายล้อมทั้งสี่ด้าน ถังรองรับอาจมถูกวางส่งๆ อยู่ที่มุมห้อง ประกอบกับกลิ่นสาบหนูอบอวล นี่คือสภาพของคุกใต้ดิน สถานที่ๆโอมเคยลั่นวาจาไว้ในใจว่าจะไม่มีวันหวนย้อนกลับมาอีก
หากแต่ถูกบังคับ จะแข็งขืนอย่างไรได้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาเพิ่งถูกประกาศว่าจะต้องแต่งงานกับเจ้าหญิง ห้านาทีต่อมามีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาอาละวาด ประกาศว่าอย่างไรก็ตามจะไม่ขออยู่ร่วมชายคาเดียวกับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นเขาแน่
และนี่คือสิ่งที่เจ้าหญิงประทานให้กับว่าที่พระสวามีเช่นเขา ห้องพักที่มีความเป็นส่วนตัวที่สุดของปราสาทเนื่องจากห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม ด้านหน้ามีทหารรูปร่างบึกบึนห้าคนคอยยืนยามเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหนือกว่าคีย์การ์ดและระบบแสกนนิ้วมือ ยังดีที่เอสเปอร์รัญญ่ายังมีเมตตาให้ปลดตรวน หาไม่แล้วเขาคงคิดสั้นเอาหัวโขกกำแพงตายแต่แรกเป็นแน่
เสียงทุบประตูดังขึ้นสองครั้ง โอมเงยหน้าอมทุกข์ขึ้นจากการนั่งจ้องพื้นอย่างไร้จุดหมาย “กินข้าว” ทหารยามขานเสียงห้วน “มารับถาดที่หน้าประตู”
โอมค่อยๆลุกเดินตรงไปยังหน้าประตู หวนระลึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาได้กินอาหาร นั่นคงเป็นมื้อเย็นกับครอบครัวกระมัง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเอมได้แบ่งของกินจากร้านสะดวกซื้อให้เขาหรือไม่
ประตูบานเล็กถูกเปิดออกพอที่จะเสือกถาดอาหารเข้ามาได้ ภายในถาดบุบๆ บรรจุขนมปัง ซุปข้นและเนื้อตากแห้ง โอมรีบหยิบอาหารขึ้นมากัดกินอย่างหิวโหย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะหิวหรืออื่นใด เขารู้สึกว่าอาหารมื้อนี้อร่อยราวกับเป็นอาหารทิพย์ก็มิปาน
เมื่อท้องหายว่างชายหนุ่มก็กลับไปนั่งบนกองฟาง อย่างไรเสียสุดท้ายคนพวกนั้นก็ต้องเอาเขาออกไปจากที่นี่ เขาจะต้องกำเนิดบุตรให้องค์หญิงเจ็ดคน หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องแต่งงานหลอกๆ แล้วรับบุตรบุญธรรมเอา เอสเปอร์รัญญ่าคงจะไม่ใจร้ายทิ้งพระสวามีของนางไว้ในคุกใต้ดินอันอับชื้นเช่นนี้ตลอดไปแน่
ในขณะที่โอมเตรียมกายจะเอนลงพักผ่อน เสียงฝีเท้าย่ำมาตามทางเดินด้านนอกก็ดังกระทบโสต ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอีกครั้งอย่างประหลาดใจ ทหารยามไม่น่าที่จะมีธุระกับเขาอีกและเขาก็ถูกสั่งห้ามเยี่ยม เสียงฝีเท้าหนักนั้นเป็นของบุรุษแน่ ใครกันที่มีอำนาจมากพอจะแข็งขืนต่อคำสั่งขององค์หญิง
คำตอบนั้นมาถึงในอีกอึดใจต่อมา โอมได้ยินเสียงไขกุญแจก่อนที่ประตูจะเปิดออก ชายผมทองหน้าตาหล่อเหลาในชุดอัศวินสีขาวยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ที่ปากประตู ที่เบื้องหลังของเขามีผู้คุมร่างยักษ์สองคนยืนคุมเชิงอยู่พร้อมกับคบเพลิงในมือ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง อัศวินขาวพัลพาทีนก็สาวเท้ายาวๆ ตรงมายังนักโทษก่อนสาวหมัดเข้าใส่ใบหน้าของเขาเต็มรัก โอมกระเด็นไปกระแทกกับผนังหินร้องโอดโอย เหมือนว่าจะยังไม่หนำใจ ชายผมทองปั้นหน้าเคียดแค้นกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้น “ผู้กล้าจากต่างมิติเช่นเจ้ามีปัญญาแค่นี้เองหรือ”
“แกเป็นบ้าอะไร” โอมแค่นเสียงใส่ก่อนที่จะถูกชกใส่อีกหมัดหนึ่ง “ฉันไม่ใช่กระสอบทรายนะโว้ย ใช่ว่าแกคิดจะซ้อมเมื่อไหร่ก็ซ้อมได้”
คำพูดอวดดีนั้นทำให้โอมได้รับหน้าแข้งเข้าที่ท้องน้อย บัดนี้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะยันร่างขึ้นจากพื้น พลันความคิดวูบหนึ่งก็แล่นเข้าสู่สมอง ที่อีกฝ่ายโกรธแค้นเขาเช่นนี้คงเป็นเพราะได้ข่าวว่าเขาจะได้ตบแต่งกับเจ้าหญิงที่เขาแอบหลงรักอยู่เป็นแน่
แม้จะจับต้นชนปลายได้ถูก แต่ก็จนใจที่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าลงได้อย่างไร พัลพาทีนยังคงไม่หายแค้น ประเคนทั้งหมัดทั้งเท้าใส่โอมที่หมอบกระแตอยู่บนพื้นอย่างไม่ไว้ไมตรี พลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นที่ด้านนอก ทหารยามที่ยืนคุมเชิงอยู่หันไปมองตามทางเดินก่อนเบิกตากว้าง เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่ากำลังเดินตรงมาตามทางเดินอันมืดสลัวในคุกใต้ดินพร้อมกับทหารติดตามอีกหลายนาย
อัศวินขาวยังคงเมามันอยู่กับการซ้อมนักโทษจนไม่ได้สังเกตว่าบัดนี้คุกใต้ดินไม่ได้มีแต่คนของเขาแล้ว เจ้าหญิงกระแอมดังๆครั้งหนึ่งฝ่ายนั้นจึงค่อยรู้สึกตัว ใบหน้าหล่อเหลาดูตกใจถึงขีดสุดเมื่อหันหน้ากลับมาประจันหน้ากับเจ้าของดวงตาสีม่วงคู่สวยนั้น “เจ้าหญิง” พัลพาทีนพูดตะกุกตะกัก “ข้า ข้าอธิบายได้”
“เก็บคำอธิบายของท่านไว้กับตัวเถิด” เจ้าหญิงผู้เลอโฉมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกระด้าง “ข้าสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามายังที่นี่ ท่านไม่นำพาซ้ำยังมาทำร้ายว่าที่สวามีของข้าอีก เช่นนี้จะแก้ตัวอันใด”
ไม่ใช่แค่เพียงพัลพาทีนที่ตื่นตะลึง แม้แต่โอมที่นอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนพื้นก็อดตกใจไม่ได้ที่จู่ๆ เจ้าหญิงก็เรียกขานเขาเป็นว่าที่สวามีของพระองค์อย่างชัดถ้อยชัดคำ อัศวินขาวก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างลืมตัว “ท่าน เจ้าหญิง” เขาพูดตะกุกตะกัก “พระองค์รักมันเช่นนั้นหรือ”
“คนเราคงแต่งงานอยู่กินกันไม่ได้หากปราศจากความรัก” เอสเปอร์รัญญ่าพูดพร้อมเดินตรงเข้ามาหาโอมที่ล้มคว่ำอยู่ “ท่านไปเถิดพัลพาทีน เห็นแก่ตำแหน่งของท่าน ครานี้ข้าจะยกโทษให้”
อัศวินขาวถอยฉากไป สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นตื่นตะลึงจนน่าหัวร่อ โอมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าหญิงที่แสดงกิริยาอ่อนหวานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เอสเปอร์รัญญ่าตอบกลับสายตาสงสัยคู่นั้นด้วยการเบะปากพร้อมเชิดจมูกรั้นๆของนาง แสดงให้ว่าที่พระสวามีของนางเห็นว่าที่พูดและทำไปเมื่อครู่ก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง
ถึงแม้จะเป็นแค่การเล่นละครแต่นั่นก็ทำให้โอมเกิดปฏิภาณวูบ เขาเบี่ยงสายตากลับไปมองอัศวินขาวที่กำลังค่อย ๆ ก้าวออกจากห้องไป ก่อนรวบรวมพลังเสียงร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมา
พัลพาทีนชะงักเท้า หันหลังกลับมามองด้วยแววตาเคืองขุ่น ในขณะที่เขากำลังจะกระชากเสียงถามว่ามีเรื่องอันใด นักโทษบนพื้นก็รวบรวมเรี่ยวแรงเท่าที่มีอยู่ลุกขึ้นโอบรัดเจ้าหญิงที่ไม่ทันได้ระวังตัวเข้าสู่อ้อมอก ประทับจูบเข้าที่ริมฝีปากคู่งามของหญิงสาว ต่อหน้าของอัศวินขาวที่ผงะถอยด้วยความตื่นตะลึง
เช้ดดดดดด ดีงามมม
ฝ่ามือของหญิงสาวฟาดเข้าที่ใบหน้าของโอมแทบจะพร้อม ๆกับที่อัศวินขาวคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงเคืองแค้น แรงนั้นถึงกับทำให้ชายหนุ่มเซไปพิงผนังเบื้องหลัง เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเผือดขาวหากแต่นัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยโทสะของทีราเลนเซียด้วยความพอใจ แววตานั้นดูราวกับว่าปราถนาจะให้เขาตายไปเสียตรงนั้น โอมแค่นยิ้ม มองเห็นทหารผู้ติดตามเบื้องหลังที่บัดนี้ชักดาบออกมาจ่อแล้วก็นึกรู้ว่าถ้ายังไม่รีบพูดอะไรออกไป เห็นทีเงาหัวก็คงจะไม่เหลือแล้ว
"ไหนบอกว่ารักฉันไง"
โอมกำลังเสี่ยงโชค
มาตอนนี้ ชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าตนเองมาอยู่ในต่างโลกจริง ๆ ไม่ใช่ละครบ้าบออะไรแต่อย่างใด เขาเป็นคนธรรมดา เป็นผู้ชายอนาคตไกลคนหนึ่ง จู่ๆก็ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถูกชักจูงใช้เป็นหุ่นเชิดไปตามความต้องการของคนแปลกหน้า ช่วยปกป้องโลกที่เขาไม่่ได้ผูกพันธ์ไม่ได้ไยดีอะไร คนสติดีที่ไหนก็คงไม่เอาด้วย แต่.ยังไงก็คง้องเล่นตามน้ำไปก่อนถ้ายังไม่อยากตาย
ใบหน้าของทีราเลนเซียมีแววอับอายจางๆยามได้ยินคำพูดนั้น ท่าทางของหญิงสาวน้ำท่วมปากจนพูดไม่ออกดูน่าสงสารยิ่ง โอมแน่ใจแล้ว เขายังมีประโยชน์กับคนในโลกนี้อยู่ ถึงอย่างไรก็จะตายไมได้ หญิงสาวจึงต้องมาช่วยเขา โอมไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไรกับทีราเลนเซียเป็นพิเศษ อย่างมากก็เห็นว่าการล่วงเกินเมื่อกี้นี่ยั่วโมโหไอ้อัศวินอันธพาลนั่นได้ก็แค่นั้น
โอมค่อย ๆลุกขึ้นท่ามกลางสายตาหวาดระแวงของคนทั้งห้อง เขายืนพิงผนัง เริ่มรู้สึกปวดร้าวตามร่างกายขึ้นมา แม้แต่ลมหายใจยามนี้ยังมีเสียงหวีดเบา ๆ ยามสูดสมหายใจเข้าทีก็เจ็บปวดจนต้องค่อยสูดอากาศ ตามใบหน้าและร่างกายมีรอยฟกช้ำม่วง ๆ เขียว ๆดูน่าเวทนา แต่ท่วงท่าของชายหนุ่มกลับมีความถือดีปนอยู่ในนั้น เตือนให้รู้ว่าใครก็อย่าบังอาจมาสงสารเขาเป็นอันขาด
แววตาของทีราเลนเซียอ่อนลงเล็กน้อย
"เอ้า" ชายหนุ่มพูด ทำลายบรรยากาศที่ตนเองสร้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่เสียสิ้น "รีบ ๆ พาฉันไปให้พ้น ๆ ไอ้ห้องเหม็นนี่ซะทีสิ"
ในหนึ่งวันมานี้ เขาเข้าคุกมามากกว่าที่ตัวเองเคยเข้ามาทั้งชีวิตซะอีก
โอมคิดขณะเดินตามหลังทีราเลนเซียไปเรื่อย ๆ ชายหนุ่มหันไปมองซ้ายทีขวาที ก่อนหน้านี้เขยังสับสนอยู่ รอบข้างก็ไม่ได้พิจารณาให้ชัดเจน มาตอนนี้จิตใจสงบขึ้นบ้างหลังได้เข้าไปนั่งพิจารณาตัวเองอยู่ในคุกใต้ดินมาระยะหนึ่ง จึงมองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น
จะว่าไปก็ต้องขอบคุณแม่เจ้าหญิงนี่กับยัยแม่มดที่เถียงกันไม่เลิกจนต้องเอาโอมไปโยนไว้ในคุกตัดปัญหาก่อน
"เธอจะพาฉันไปไหน" จู่ ๆ เขาก็นึกสงสัยขึ้น
หญิงสาวชายตากลับมามองเขาเล็กน้อย ท่าทางควบคุมอารมณ์ได้บ้างแล้ว และแล้วองค์หญิงก็ชะงักไปน้อย ๆ จยแทบไม่เป็นที่สังเกต
"...." ทีราเลนเซียไม่พูดอะไร เพียงแต่ยื่นมือมาข้างหน้า โอมก้มลงมองฝ่ามือเรียวบางขาดสะอาดที่ก่อนหน้านี้เลยประทับอยู่บนหน้าเขาด้วยความงุนงง
"...มือมา"
โอมยืนนิ่ง
"ข้าบอกให้เจ้ายื่นมือมา" คราวนี้น้ำเสียงของทีราเลนเซียเย็นขึ้นอีกระดับ "ข้าจะใช้เวทมนต์รักษาเจ้า ไม่อยากเดินกะเผลกไปมาก็จับมือข้าซะ"
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะดวงตาสีม่วงคู่สวยหรือพวงแก้มแดงระเรื่อของเจ้าหญิงที่ทำให้โอมยอมทำตามคำสั่งของเจ้าหล่อนอย่างว่าง่าย เขายื่นมือทั้งสองข้างไปเบื้องหน้า ปล่อยให้เอสเปอร์รัญญ่าใช้นิ้วเรียวงามของนางแตะสัมผัส
เมื่อผิวกายของคนทั้งสองกระทบกันก็พลันเกิดแสงสีขาวสว่างวาบขึ้น โอมรู้สึกถึงไออุ่นจางๆ ที่กำลังไล้ผ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนที่อึดใจต่อมาแสงนั้นจะหายวับไปพร้อมกับความเจ็บปวดตามร่างกายที่มลายสิ้น
ในขณะที่โอมกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ พลันดวงตาสีม่วงคู่นั้นก็ทอประกายเปลี่ยนไป ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าผิดท่า รีบชักมือออกแต่ก็ไม่ทันการ แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันขดตัวเป็นเส้นเชือก มัดข้อมือทั้งสองข้างของเขาเข้าไว้ด้วยกัน
“ไม่ตัดมือเจ้าเสียก็นับเป็นบุญคุณมากแล้ว” เอสเปอร์รัญญ่ารีบแหวใส่ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูด “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกันถึงได้บังอาจใช้มือโสโครกนั่นมาสัมผัสตัวข้า”
คำว่า “ก็เป็นว่าที่สามีท่านไง” กำลังจะหลุดออกมาจากปากของโอม แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหญิงจะรู้ทันคำพูดของเขา นางสะบัดมืออีกครั้งหนึ่ง คราวนี้แสงสีขาวเปลี่ยนสภาพกลายเป็นก้อนกลม พุ่งเข้าไปยัดอยู่ในปากที่เผยอขึ้นของชายหนุ่ม บีบบังคับให้เขาไม่สามารถเอื้อนเอ่ยถ้อยวจีใดออกมาได้
เจ้าหญิงไม่สนใจสายตาขุ่นแค้นของว่าที่พระสวามี นางฉุดกระชากเขาไปตามทางเดินที่ปราศจากผู้คนจนมาถึงห้องเล็กๆ ใต้บันไดห้องหนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บไม้กวาดก่อนผลักไสร่างที่ไร้ทางสู้เข้าไปไว้ข้างในนั้น “พรุ่งนี้เราจะเข้าพิธีแต่งงานกันอย่างลับๆ” เอสเปอร์รัญญ่าพูดรัวเร็ว “ข้าจะไปเตรียมการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย เจ้าเองก็สงบปากสงบคำให้มาก หากทำตัวดีๆ เครื่องพันธการพวกนั้นก็จักหายไปเอง”
โอมกำลังเดือดดาลถึงขีดสุด
คนบ้านนี้เมืองนี้มันเป็นอย่างไรกัน เรียกเขาข้ามมิติมาอวยยศเป็นผู้กล้าแท้ๆ แต่สิ่งที่กระทำต่อเขาก็ราวกับกำลังปฏิบัติต่อสัตว์ ต่อมาจู่ๆ จะให้เขาเป็นพระสวามีของเจ้าหญิง แต่สิ่งที่ได้รับในคืนก่อนวันแต่งงานกลับเป็นการส่งเขาเข้าที่คุมขังครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายหนุ่มใช้เท้าเตะทุกอย่างที่ขวางหน้าเป็นการระบายอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นถังน้ำหรือด้ามไม้กวาดเก่าๆล้วนถูกหวดจนล้มกองระเนระนาดกับพื้น ในที่สุดข้าวของภายในห้องก็พังเละสมใจ โอมทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อล้นออกมาจากดวงตา
พลันเกิดลมหอบใหญ่พัดเข้ามาในห้องเก็บไม้กวาด ซากของที่กองอยู่บนพื้นถูกลมหมุนพัดวนกระเด็นกระดอน เมื่อลมสงบลงก็ปรากฏร่างในชุดคลุมสีดำขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า ร่างนั้นสะบัดมือหนึ่งครั้ง แสงสีขาวที่พันธนาการมือและปากของโอมก็สลายกลายเป็นควันไปในทันที
ผู้มาใหม่ดึงหมวกที่คลุมศีรษะเปิดออก เผยให้เห็นเรือนผมสีดำขลับคู่กับดวงตา ริมฝีปากรูปกระจับเข้ากับจมูกเล็กๆ ขับให้ใบหน้ารูปไข่นั้นดูงดงามผุดผาดโดยไม่ต้องแต่งเติม
โดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเปิดปากถาม หญิงสาวผู้นั้นก็เอ่ยแนะนำตัวขึ้นก่อน “ข้าชื่อนัวร์” ดวงตาของนางพินิจสำรวจใบหน้าของชายหนุ่ม “ท่านคงรู้จักข้าในนามของจอมมารสินะ ท่านผู้กล้า”
เมื่อพูดจบหญิงสาวก็ย่อกายถอนสายบัวเป็นการทำความเคารพโอมครั้งหนึ่ง ดวงตาสีดำคู่สวยนั้นทอประกายพิสดาร ชายหนุ่มกลืนน้ำลายขณะเหม่อมองดวงหน้าอันงดงามนั้น ยามกะทันหันไม่อาจเอ่ยวาจาใดได้
จอมมารเอียงศีรษะอย่างสงสัยเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยโต้ตอบอะไร อากัปกิริยานั้นยิ่งทำให้นางดูงามพิลาสขึ้นอีก “มีเรื่องอันใดหรือท่านผู้กล้า” เจ้าหล่อนกล่าวต่อ “หรือข้ามาขัดจังหวะอันใดท่าน ต้องขออภัย”
“เปล่า เปล่าครับ” โอมละล่ำละลักตอบเมื่อตั้งสติได้ “ไม่ได้ขัด ไม่ได้อะไรเลย ผมก็แค่ตกใจนิดหน่อย”
“คงเป็นความผิดของข้าเองที่เลือกปรากฏกายด้วยวิธีนี้” จอมมารค้อมศีรษะเป็นการขอโทษ “ความจริงไม่ได้อยากจะมารบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน แต่จำต้องนำสิ่งนี้มาให้”
นัวร์ล้วงมือเข้าไปในชุดคลุม ก่อนหยิบแหวนไข่มุกวงหนึ่งออกมาจากด้านในนั้น “ท่านผู้กล้า ข้านับถือในความกล้าหาญของท่านที่ปรารถนาจะต่อกรกับตัวข้า” สีหน้าของนางดูเอียงอายเล็กน้อยเมื่อยื่นแหวนวงนั้นส่งให้ชายหนุ่ม “จึงอยากจะให้ท่านพกมันติดตัวไว้ เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาของสองเรา”
โอมรับแหวนวงนั้นมาถือไว้ในมือก่อนที่จะสังเกตว่าจอมมารก็มีแหวนลักษณะเดียวกันนี้ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของนาง “ขอบคุณ” เขาพูดเบาๆ “ข้าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี”
ใบหน้าของนัวร์ขึ้นสีเข้ม “นอกจากจะเป็นแหวนแห่งพันธสัญญาของเราแล้ว มันยังมีคุณสมบัติพิเศษในการซึมซับเวทมนตร์” จอมมารเอ่ยเสียงค่อย “มันสามารถลอกเลียนเวทมนตร์ของใครก็ตามที่ท่านต้องการ”
ยังไม่ทันที่โอมจะได้พูดอะไรอื่นจอมมารสาวก็ก้าวเท้าถอยหลัง “ข้าจะรอวันที่ท่านออกตามหาข้า” นางพูด “ก่อนจะได้พบกันอีกครั้ง โปรดรักษาตัว ท่านผู้กล้า”
ลมหอบใหญ่พัดอีกวูบหนึ่ง ข้าวของปลิวสะบัดไปตามแรงลมอีกครั้งก่อนที่อึดใจต่อมาทุกอย่างจะเงียบลง เหลือชายหนุ่มที่คุกเข่ากำแหวนอยู่บนพื้นแต่เพียงผู้เดียว
เสียงระฆังวิวาห์ในโบสถ์ลับใต้ดิน ดังสนั่นไปทั่วชั้นใต้ดินของพระราชวัง หากแต่บนผืนอาณาจักรกลับไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงพระราชพิธีสำคัญระหว่างหนึ่งผู้กล้าและหนึ่งราชนิกูลเลย เพราะโบสถ์ลับใต้ดินเอสเปอรัญญ่า เป็นหนึ่งในหกโบราณสถานวิเศษ ที่มีลักษณะเฉพาะ และยินยอมให้กับผู้ที่มีพลังกล้าแกร่งพอที่จะดึงดูดมิติแห่งทวารบานให้เปิดออกต้อนรับเท่านั้น
แต่ก็ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่จะได้ยินเสียงระฆังวิเศษนี้ ที่ๆ ดำดิ่งลึกลงไป ลึกลงไปกว่าเปลือกโลก สถานที่ที่ไม่มีมนุษย์ปกติคนไหนสามารถเดินทางไปถึง สถานที่ที่จิตใจของมนุษย์ปกติไม่อาจตั้งมั่น และอาจพังทลายได้ทุกเมื่อ สถานที่บั่นทอนความประเสริฐใดๆ
สถานที่อาศัยของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่คับผืนดิน
..นรก
หายไปไหนกันอีกแล้วมึง มาต่อหน่อยสิ
ไหนตอนแรกบอกจะเบียวหมดทั้งพลอตทั้งภาษาไง นี่ภาษาดีเกินไปนะ 555
เห็นไม่มีใครเม้นอะไรนึกว่าไม่มีใครติดตามละ
พยายามเบียวแต่เขียนไปมามันเริ่มหลุดออกมาอะมึง ต่อเบียวๆกันเลยดิ
ต่อปกติก็ได้มั้งมึง กูสงสารเขียนเบียวแม่งปวดหัวกว่าเขียนธรรมดาอีก
เสียงระฆังวิวาห์ที่ดังแว่วมาไม่ได้ทำให้นัวร์หวั่นไหว เจ้าแห่งความมืดกำลังง่วนอยู่กับม้วนเอกสารตรงหน้าพอดีกับที่ทหารองค์รักษ์ร้องแจ้งให้ทราบว่า ดารัค หนึ่งในสี่จตุรมารของนางได้เดินทางมาขอเข้าพบ
ประตูไม้หนาหนักถูกผลักเปิดออก ชายร่างยักษ์ในชุดคลุมเดินทางสีดำสนิทเดินตรงเข้ามายังห้องหนังสืออย่างองอาจ ในอ้อมแขนของเขากำลังโอบอุ้มหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ในภาวะหลับไหลไม่ได้สติ
ดารัคคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าจอมมารสาว “ข้าแต่ท่านหญิงผู้ชั่วช้า” เขาเอ่ย “ข้าได้นำชิ้นส่วนของประตูมามอบแก่ท่านตามคำสั่ง”
นัวร์หยุดสนใจม้วนกระดาษตรงหน้า หล่อนวางมันลงก่อนที่จะเดินอ้อมโต๊ะหนังสือตรงมายังยอดขุนพลที่ยังคงคุกเข่าคำนับ จอมมารดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เบาะกำมะหยี่อันอ่อนนุ่มก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างของเอมถูกวางลงบนเบาะสีแดงนั้นอย่างนุ่มนวล
จอมมารใช้นิ้วเรียวสัมผัสพวงแก้มของหญิงสาวผู้หลับใหล เกิดแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นก่อนที่เปลือกตาของเอมจะเผยอเปิดออก “สวัสดี นางงาม” นัวร์เอ่ยขึ้นก่อน “เจ้าจำข้าได้หรือไม่”
ดวงตาสีดำของเอมจับจ้องไปที่ใบหน้าเรียวของอีกฝ่าย “เธอเป็นใคร” หญิงสาวร้องถามเบาๆ ขณะยันกายขึ้นนั่ง “เขาเป็นใคร แล้วฉันอยู่ที่ไหน”
จอมมารไม่สนใจคำถามนั้น เจ้าหล่อนหันหน้าไปหาขุนพลที่ก้มหน้าต่ำ “ข้าคิดว่านางจำพวกเราไม่ได้หรอกขอรับ ท่านหญิง” ดารัคพูด “ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะส่งผู้กล้ามา”
“นั่นคงเป็นเพราะพวกเราไม่อาจฝืนโชคชะตา” นัวร์เอ่ยตอบเบาๆ ก่อนหันหน้ากลับมาหาเอม “ไม่ต้องกังวล เจ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่”
“เธอพูดเรื่องอะไร” เอมขมวดคิ้ว สีหน้ายังคงมึนงงคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน “ฉันอยู่ที่ไหน พวกเธอเป็นใครกันแน่”
จอมมารยังคงไม่ตอบคำถามนั้น เจ้าหล่อนใช้ฝ่ามือทาบสัมผัสเข้ากับหน้าผากของเอม ก่อนที่จะใช้ริมฝีปากเรียวทาบกับริมฝีปากของอีกฝ่ายเบาๆ พลันร่างนั้นก็ผล็อยเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้งแทบจะในทันที
“เจ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่” นัวร์ย้ำคำพูดนั้นอีกครั้งก่อนหันกลับไปหาดารัคที่ยังคงคุกเข่าอยู่ “เพื่อนของท่านทั้งสามยังคงสบายดีหรือไม่”
หนึ่งในจตุรมารก้มศีรษะรับคำ “ยังอยู่ดีขอรับท่านหญิง” เขาเหลือบมองไปยังร่างที่กำลังหลับใหลอย่างไม่วางใจ “ขออภัยที่ข้าต้องพูดเช่นนี้ แต่ท่านหญิงแน่ใจแล้วหรือว่า— ”
จอมมารขมวดคิ้ว “เจ้าสงสัยในข้อวินิจฉัยของข้าหรือ”
ใบหน้าของดารัคซีดเผือด เข้าก้มต่ำลงอีก “ข้าไม่ได้— ขออภัยขอรับท่านหญิง ท่านผู้ชั่วช้า ข้ามิอาจสงสัยอันใดอีกแล้ว”
“ข้าต้องการให้เจ้านำคำสั่งของข้าไปแจ้งต่อจตุรมารทั้งหมด” นัวร์พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เจ้าจักทำมันหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำตอบรับจากอีกฝ่าย จอมมารก็เอ่ยต่อ “ข้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งสี่คลายการป้องกันป้อมปราการต่างๆลง เมื่อผู้กล้าเดินทางมาถึง เขาจักได้ไม่ต้องเปลืองแรงต่อกร”
ใบหน้าของดารัคซีดเผือด “แต่— ท่านหญิง” เขาละล่ำละลักพูด “เรื่องนั้น ข้าเกรงว่า”
“สั่งการลงไป” นัวร์ไม่สนใจข้อโต้แย้ง เจ้าหล่อนเผลอยกมือขึ้นคลำแหวนไข่มุกบนนิ้วนางข้างซ้ายอย่างลืมตัว “หากมีผู้ใดแข็งขืน ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ให้ประหารฆ่าพวกมันทั้งตระกูล”
“เอาล่ะ คราวนี้เราก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว” เจ้าหญิงพูดเรียบๆ แหวนเพชรวงน้อยส่องประกายอยู่บนนิ้วของนาง “เมย์ลิน ข้าจักต้องทำเช่นใดต่อไป”
ริมฝีปากสีชาดของแม่มดเหยียดยิ้ม “ท่านคงไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ประสากระมัง”
เอสเปอร์รัญญ่าถลึงตาคู่สวย “ใช่เรื่องที่เจ้าควรล้อข้าเล่นอย่างนั้นหรือ” นางแหว “ข้าหมายถึงเรื่องลูกบุญธรรมที่เจ้ารับปากอย่างไรเล่า”
เมย์ลินอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้ารับปากอันใดกับท่านหรือเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวาน “ข้าไม่ยักจำได้ว่าเคยพูดไว้”
เจ้าหญิงนิ่งอึ้งไป เพิ่งตระหนักได้ว่าเรื่องรับบุตรบุญธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ตนเอ่ยปากขึ้นเอง ในขณะที่หญิงสาวนิ่งค้างอยู่นั้น โอมที่ยืนเงียบมาตลอดก็เอ่ยถามขึ้น “เมย์ลิน ถ้างั้นก็หมายความว่าฉันจะต้องมีลูกกับ— กับยายเจ้าหญิงโรคประสาทนี่น่ะเหรอ”
แม่มดฉีกยิ้มเป็นคำตอบ ในขณะที่เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าหันกลับมาทำตาเขียวใส่ “เจ้าเพ้อเจ้ออะไร ข้าไม่มีวันยอม— ”
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ผู้กล้าจำเป็นที่บัดนี้ปลงตกแล้วก็รวบเอาร่างบางขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน ดวงตาสีดำของโอมจ้องลึกลงไปในดวงตาสีม่วงที่ฉายแววตื่นตะลึง “ฟังให้ดี เจ้าหญิง” เขาพูดเรียบๆ “สำหรับฉัน เธอไม่ได้น่าพิศวาสเลยสักนิด และถ้าเลือกได้ฉันขอเลือกที่จะไม่ต้องเจอเธอตลอดไปเสียดีกว่าที่จะต้องมาอยู่กินกับเธอ เพราะฉะนั้น ฉันจึงตัดสินใจที่จะยอมโอนอ่อนตามพวกเธอแค่ปีเดียว เข้าใจไหมเจ้าหญิง ครั้งนี้เธอจะต้องมีลูกแฝดเจ็ดให้ฉัน”
เจ้าหญิงอุทานออกมา “เจ้าจะบ้าอย่างนั้นหรือผู้กล้า” นางร้องลั่น “แฝดเจ็ด ผีห่าตนใดเจาะปากให้เจ้าพูดออกมากัน”
โอมเลิกคิ้ว “มีปัญหาอะไรเหรอ” เขาเหยียดยิ้ม “หรือเจ้าหญิงคนเก่งก็มีสิ่งที่ทำไม่ได้เหมือนกัน”
“เจ้ามันบ้าไปแล้ว” เอสเปอร์รัญญ่ายังไม่หยุดโวยวาย “ใครกันจะไปมีลูกครั้งเดียวเจ็ดคนได้ เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรกัน”
“ก็เห็นเป็นภรรยาสุดที่รักของฉันน่ะสิ” ไม่พูดเปล่า คราวนี้โอมถึงกับโน้มตัวลงไปจุมพิตหน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ “เอาล่ะเมย์ลิน เป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องนำฉันกับเจ้าหญิงไปส่งที่เรือนหอแล้ว”
แม่มดผู้ทรงเสน่ห์ถึงกับนิ่งตะลึงเมื่อเห็นฉากตรงหน้า ใครจะไปคาดคิดว่าชายหนุ่มที่ปั้นหน้ามึนตึงมาตลอดทั้งพิธีจะมีวิธีตลบหลังประหลาดๆ เช่นนี้ แต่ด้วยเหตุการณ์ที่กะทันหันย่อมไม่อาจคิดวิธีแก้ไขได้ นางจึงได้แต่ก้มศีรษะรับก่อนเดินนำชายหนุ่มผู้อุ้มร่างที่แข็งขืนของหญิงสาวขึ้นไปตามบันไดเวียนที่ทอดสู่หอคอยปราสาท
ห้องชั้นบนสุดของหอคอยตะวันตกถูกออกแบบให้เป็นห้องนอนขนาดใหญ่ หรืออย่างน้อยในตอนนี้มันก็มีรูปแบบการใช้งานเช่นนั้น ฟูกหนานุ่มขนาดหกฟุตถูกจัดวางอยู่บนตั่งเตียงไม้เข้าคู่กับโต๊ะหัวเตียง ริมผนังห้องเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่พร้อมฉากกั้น เครื่องเรือนทุกชิ้นถูกตกแต่งด้วยริบบิ้นและดอกไม้สีสันสดใสละลานตา
หญิงรับใช้ทั้งสี่เปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อมโรยกลีบกุหลาบลงบนเตียง เมย์ลินเดินตามเข้าไป สะบัดมือเบาๆด้วยท่วงท่าสง่างาม “ข้าขออวยพรให้เจ้าหญิงผู้เป็นที่รักของเรา ประสบโชคดีในการครองเรือน มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
โอมหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ในขณะที่เจ้าหญิงในอ้อมแขนของเขาส่งสายตาเขียวปั๊ดให้กับคนทั้งสอง “พวกเจ้าเลิกบ้ากันได้แล้ว” นางแหว “ข้าไม่ยอม— ไม่มีวันมีลูกให้กับเขาแน่”
ไม่มีใครสนใจคำพูดนั้น ผู้กล้าจำเป็นปั้นสีหน้าจริงจังขณะหันไปสบตากับแม่มดสาว “เมย์ลิน ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ในพิธีเมื่อครู่ฉันถูกอวยยศให้เป็นเจ้าชายใช่ไหม”
แม้อีกฝ่ายจะประหลาดใจกับคำถามนั้นแต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองควรแสดงกิริยาที่นอบน้อมกว่านั้น “ใช่สิเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวาน “ในตอนนี้ท่านถือเป็นเจ้าชายของพวกเราแล้ว”
โอมเผยอยิ้มออกมา เอ่ยถามต่อ “งั้นตอนนี้พวกเธอก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉันแล้วสิ”
หญิงรับใช้ทั้งสี่ก้มศีรษะต่ำเป็นเชิงรับคำทันที ในขณะทีเมย์ลินขมวดคิ้วเนื่องด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน “ใช่เพคะ” ในที่สุดนางก็เอ่ยตอบ “แต่ต้องเป็นคำสั่งที่มีเหตุผลรองรับด้วย”
“งั้นก็ดี มีเหตุผลแน่” โอมเกือบที่จะหัวเราะออกมาเมื่อพูดคำนั้น “งั้นนับแต่บัดนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า ฉันขอห้ามทุกผู้คนย่างเข้ามาในหอคอยตะวันตกนี้ แม้แต่ทหารยามก็ให้ไปเฝ้าอยู่ที่ด้านล่างของหอคอย”
เมย์ลินเลิกคิ้ว “แล้วเหตุผลล่ะเพคะ”
แทนคำตอบ โอมชม้ายตาไปยังดวงหน้าของหญิงสาวในอ้อมแขน เมื่อหญิงรับใช้เห็นดังนั้นก็อดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้ รีบแจ้นออกจากห้องไปในทันที
แม่มดสาวยังคงขมวดคิ้วไม่ขยับไปจากที่ “ท่านผู้กล้า ข้าไม่เข้าใจการกระทำของท่าน— ”
“จะมีอันใดให้ต้องเข้าใจอีก ก็เขามันเป็นคนเลวน่ะสิ” เอสเปอร์รัญญ่าร้องออกมาทันที “เมย์ลิน เจ้าต้องช่วยข้า— ”
โอมโน้มศีรษะลงไปทำท่าจะจุมพิต เจ้าหญิงเห็นดังนั้นจึงรีบเม้มริมฝีปากแน่นทันที “ดีทีเดียวที่เห็นเธอหยุดพูดได้สักที” ชายหนุ่มหัวเราะ “เอาล่ะเมย์ลิน ถ่ายทอดคำสั่งของฉันลงไป แม้แต่เธอก็ห้ามกลับเข้ามาที่นี่จนถึงพรุ่งนี้เช้า”
ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันคิดคำพูดอื่น โอมรีบส่งสายตาไปยังประตูเป็นเชิงไล่ เมื่อเห็นว่าตนเองพ่ายแพ้แล้วแม่มดสาวก็ทำได้เพียงแต่ถอนใจ พยายามไม่สบตาเจ้าหญิงที่กำลังร้องโวยวายขณะหันหลังออกจากห้องไป
ประตูไม้บานหนักถูกดึงปิด โอมใช้มือข้างหนึ่งลงกลอนอย่างแน่นหนาในขณะที่มืออีกข้างกำลังกอดรัดร่างของผู้เป็นภรรยาที่กำลังดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุมอย่างสุดชีวิต
เขาวางร่างของเจ้าหญิงลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล “ถ้าเธอสัญญาว่าจะไม่ขัดขืน ฉันจะไม่ทำอะไรรุนแรง” โอมพูด
เจ้าหญิงรีบพยักหน้ารับคำทันที แต่ในชั่วพริบตาที่ชายหนุ่มปล่อยนางจากการเกาะกุมนั้น ดวงตาของหญิงสาวก็เป็นประกายวูบ เอสเปอร์รัญญ่ายิ้มเหี้ยมเกรียมในขณะที่สะบัดมือ แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นกลายเป็นเชือกพันธนาการร่างของผู้กล้าหนุ่มไว้แน่น
“เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแรงกว่าอย่างนั้นหรือ” เจ้าหญิงร้องอย่างมีชัย “ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีปัญญาหลุดจากการถูกเชือกมนตราของข้ารัดรึงหรือไม่”
ถึงแม้จะถูกมัดแน่น แต่โอมก็ยังคงยิ้มได้ “ฉันคิดแล้วว่าเธอมันต้องเลี้ยงไม่เชื่อง” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันรู้ดีว่าลำพังแค่แรงของฉันน่ะคงสู้เวทมนตร์ของเธอไม่ได้หรอก แต่ก็นะ ของแบบนี้มันก็มีจุดอ่อน”
แววตาแห่งชัยชนะของหญิงสาวสลายไปในทันทีเมื่อเห็นว่าเชือกแสงที่รัดร่างของอีกฝ่ายอยู่นั้นกำลังสลายกลายเป็นควันไปอย่างช้าๆ โอมรีบกอดรัดร่างของเจ้าหญิงที่มีทีท่าว่าจะกระโดดหนีไว้แน่น “เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเธอเพิ่งกล่าวคำสาบาน ว่าจะรัก และไม่มีวันที่จะคิดทำร้ายฉัน”
บัดนี้เจ้าหญิงก็รู้แล้วว่าเวทมนตร์ของตนเองคงไม่สามารถทำอันตรายแก่ชายตรงหน้าได้อีก คงต้องโทษชะตาของฟ้าไม่ก็ใครก็ตามที่เป็นคนเขียนบทพูดในพิธีแต่งงานของเธอ โอมได้ทีที่เห็นหญิงสาวเสียขวัญ รีบปีนขึ้นนั่งบนเตียง โอบกอดร่างที่ไม่มีทางสู้เข้ามาไว้ในอ้อมอก
ในตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าหญิงสาวผู้นี้คงจะร้องไห้ออกมา แต่ปรากฏว่าเอสเปอร์รัญญ่านั้นเข้มแข็งกว่าที่เขาคิด เมื่อเห็นว่าคงไม่มีทางสู้แรงของเขาได้ นางก็นั่งนิ่งเป็นหุ่นไม้อยู่ในอ้อมอก ยอมให้เขาเอาเปรียบอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อเห็นดังนั้นโอมจึงถอนหายใจเบาๆ พร้อมหยุดมือที่กำลังรุกไล่ “เอาล่ะ ฉันว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องคุยกัน”
“มีอันใดต้องเอ่ยอีก” เจ้าหญิงเอ่ยตอบเสียงเรียบ ไม่มีแสดงอาการยินดียินร้ายในน้ำเสียง “เจ้าชนะแล้ว ทำสิ่งที่เจ้าต้องการเถอะ”
โอมถอนหายใจอีกครั้ง เขาพลิกร่างของหญิงสาวให้หันกลับมาเผชิญหน้ากันโดยยังไม่ยอมปล่อยให้นางหลุดออกจากอ้อมกอด “ฉันขอโทษที่ล่วงเกินเธอ” ชายหนุ่มพูด “แต่ถ้าอยากจะคุยกับเธอแบบเป็นผู้เป็นคน ก็มีแค่วิธีนี้นี่แหละที่ฉันนึกออก”
ดวงตาสีดำจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีม่วง เจ้าหญิงพยายามหันหน้าหนีแต่ก็ถูกมือใหญ่เชยคางให้จ้องตรง “อย่าหลบหน้าฉัน เจ้าหญิง— ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ โอมก็ชะงักไป “จริงสิ ฉันยังจำชื่อเธอไม่ได้เลย”
“สามีข้าช่างความจำสั้นยิ่งนัก” แม้ท่าทีของนางจะอ่อนลง แต่น้ำเสียงก็ยังฟังดูกระด้าง “นามของข้าคือ ทีราเลนเซีย ฟราดิก้า เอสเปอร์รัญญ่า”
โอมพ่นลมหายใจขำ “ชื่อยาวขนาดนี้ ใครมันจะไปจำได้” เขาพูด “ไม่มีชื่อเล่นเหรอ บอกฉันซิ เพื่อนๆของเธอเรียกเธอว่ายังไง”
“เพื่อน” เมื่อหญิงสาวทวนคำนี้ ก็ดูเหมือนว่าดวงตาที่เคยแข็งกำลังค่อยๆรื้นไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่มีเพื่อน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่มีเพื่อน” เขาถาม “แล้วตอนเด็กๆ เธอโตมากับใคร”
เจ้าหญิงสะบัดหน้าหนีไม่ยอมตอบ บัดนี้โอมสังเกตเห็นแล้วว่าน้ำตาอุ่นๆ กำลังค่อยๆ ไหลออกจากดวงตาของอีกฝ่าย “เจ้าหญิง” ชายหนุ่มคลายมือจากการโอบกอดลง ก่อนที่จะใช้มือหนึ่งล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในอกเสื้อออกมาช่วยซับน้ำตา “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉัน— ”
“ขอโทษข้าทำไมหรือผู้กล้า” เจ้าหญิงยังคงเอียงหน้าหลบสายตา “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เชิญท่านรุกไล่ข้าต่อไปเถอะ”
เห็นท่าทางดื้อรั้นทั้งน้ำตาของอีกฝ่ายแล้วโอมก็อดนึกถึงเอมไม่ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็เอนตัวลงนอนโอบกอดร่างบางที่กำลังสั่นเทิ้มไว้อย่างหลวมๆ “อย่าเรียกฉันว่าผู้กล้า เพราะฉันมันไม่ใช่” เขาพูดเบาๆ “ฉันชื่อโอม เรียกฉันว่าโอม หยุดร้องให้เถอะเจ้าหญิง ฉันจะไม่รังแกเธออีกต่อไปแล้ว”
ดวงตาสีม่วงช้อนมองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ “เจ้ากำลังวางแผนอันใด” นางเอ่ยถาม “ผู้กล้า ข้าควรเชื่อเจ้าหรือ”
ชายหนุ่มพลิกตัวกลับมาประจันหน้ากับหญิงสาว “ฉันบอกให้เธอเรียกชื่อฉัน” เขาพูดเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง “และฉันก็จะเรียกเธอด้วยชื่อเหมือนกัน เธอชื่อทีราเลเซียใช่ไหม”
“ทีราเลนเซีย”
“นั่นแหละ” โอมยิ้มออกมา ใช้นิ้วชี้ป้ายน้ำตาออกจากขนตางอนยาวของหญิงสาว “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกเธอว่าทีร่า ดีไหมทีร่า ฉันว่าจำง่ายดี”
“ทีร่า” หญิงสาวทวนคำเบาๆ ไม่มีใครทราบได้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไร “เจ้าจะเรียกข้าว่าทีร่าอย่างนั้นหรือ”
“ตอนพวกเราอยู่ข้างนอก เธอจะเรียกฉันว่าอะไรก็สุดแล้วแต่ความคิดเธอ” โอมยังคงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ถ้าเราอยู่กันสองคนเช่นในตอนนี้ ฉันคือโอมของเธอ และเธอคือทีร่าของฉัน”
ใบหน้าของเจ้าหญิงขึ้นสีเข้มทันที “เจ้าพูดบ้าอันใด” หญิงสาวกัดริมฝีปาก พลิกตัวหนีไปอีกทาง “จะเรียกข้าอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าเถิด แต่อย่ามาตู่เอาว่าข้าเป็นของเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้”
โอมหัวเราะพร้อมรวบร่างบางเข้ามาแนบอก “ก็ได้พะย่ะค่ะองค์หญิง” เขาพูดยิ้มๆ “ฉันจะไม่ล่วงเกินเธอ เธอไม่จำเป็นที่จะต้องมีลูกให้ฉัน แค่สัญญาว่าจะหาทางพาฉันกลับบ้านให้เร็วที่สุดก็พอแล้ว”
พิมพ์ 69 ไอ้โอมเย็ดเจ้าหญิง
พิมพ์ 44 ไอ้โอมเย็ดมือ
เสียวเกิน เดี๋ยวเถอะ555555
กลายเป็นยอดนักเย็ดต่างมิติไปละโอมเอ้ย 5555555
696969696969696969
เมื่อเมย์ลินออกมาจากเขตหอคอยที่กลายเป็นเรือนหอ ก็พบเทลาเรนเซ่ยืนรอด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
"นี่ข้าต้องมีพี่เขยเป็นคนไร้สกุลนั่นจริงหรือ" เจ้าชายรูปงามเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
"เพคะ เพราะคำทำนายกำหนดไว้เช่นนั้น บุตรทั้งเจ็ดคนของเจ้าหญิงทีราเลนเซียกับชายผู้มาต่างโลกคือผู้ที่จะปราบจอมมารได้" เมย์ลินกล่าวตอบอย่างนอบน้อม ด้วยการใส่มารยาหญิงอีกเล็กน้อย ทำให้ความขุ่นเคืองใจของเทราเลนเซ่จางหายไปทันทีเมื่อแม่มดสาวเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันหวานใสและช้อนตามองด้วยสายตาอันใสซื่อที่สั่นไหวราวกับสาวน้อยบ้านนอกที่ประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าว่าที่ราชาคนต่อไป
"ท่านพอจะมีเวลาว่างร่วมจิบน้ำชายามบ่ายกับข้าหรือไม่" เป็นคำถามที่ทำให้หัวใจของเมย์ลินลิงโลดอย่างยินดี แม่มดสาวซ่อนรอยยิ้มไว้แล้วแสร้งเอ่ยตอบอย่างหวั่นเกรง
"ให้แม่มดผู้ต่ำต้อยอย่างข้าร่วมโต๊ะจิบน้ำชากับองค์ชายผู้สูงส่งอย่างท่านดูจะไม่เหมาะสมนะเพคะ"
"ไม่เป็นไร เราไม่ถือ และท่านเองก็ไม่ใช่แม่มดชั้นต่ำ แต่เป็นถึงนักพยากรณ์ประจำราชวงศ์ที่มีอำนาจรองเพียงราชา ที่เราชวนท่านก็เพื่อปรึกษาเรื่องการเคลื่อนไหวของจอมมาร"
"อะ...อ๋อ เพคะ เรื่องที่หนึ่งในจตุรมารได้เริ่มสร้างกองทัพออร์คเมื่อสองเดือนก่อนสินะเพคะ" เมย์ลินแสร้งถาม พลางเก็บซ่อนความเสียดายเมื่อภาพมโนอันแสนหวานถูกทำลาย
"ใช่ และตอนนี้กองทัพออร์คส่วนหนึ่งได้แล่นเรือผ่านทะเลดำเข้าใกล้อาณาจักรของเรา คาดว่าจะเทียบชายฝั่งในอีกเจ็ดวัน" เทลาเรนเซ่ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
"อีกหนึ่งเดือนกว่าท่านพ่อจะกลับมาจากการประชุมกับอาณาจักรปากิป้า สามแม่ทัพผู้เก่งกาจก็มีภารกิจวุ่นวายอยู่กับการปราบชนเผ่าและฝูงอสูรที่ถูกจอมมารปลดปล่อยออกมาจากนรก ท่านจะช่วยข้ารับมือกับกองทัพออร์คได้ไหม แม่หมอเมย์ลิน"
เมย์ลินปั้นสีหน้าอ่อนโยนประดุจแม่พระ รอยยิ้มอ่อนหวานราวกับดอกไม้บานในยามเช้าตรู่ แล้วเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลชวนให้ผู้ฟังรู้สึกจิตใจผ่อนคลาย
"ได้สิเพคะ เราไปคุยกันในช่วงจิบชายามบ่ายกันดีกว่า การที่ท่านมายืนตากแดดตากลมรอข้าเช่นนี้เดี๋ยวร่างกายจะแย่นะเพคะ ถึงหม่อมฉันจะเป็นแค่แม่หมอ แต่ก็ขอช่วยท่านให้สุดความสามารถ"
ชายหนุ่มหลับสนิทไปแล้ว แต่หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาหาข่มตาลงได้ไม่
เจ้าหญิงพยายามที่จะพลิกตัวหนีหลายครั้ง หากแต่ต้องจนใจเมื่อทุกครั้งที่นางขยับ คนชั่วช้าที่กำลังกอดรัดนางก็สะดุ้งขึ้นคล้ายจะตื่นทุกครั้งไป เจ้าหล่อนจึงทำได้เพียงแค่ทอดถอนใจจ้องมองใบหน้าของชายผู้เอาเปรียบเธอเท่านั้น
แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ทีราเลนเซียก็จำต้องยอมรับว่าชายตรงหน้านั้นถือว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง อาจไม่ใช่เจ้าชายผู้แข็งแรงองอาจอย่างที่เธอวาดฝันไว้ว่าจะได้เจอ แต่เขาก็ดูอ่อนโยน เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาในยามนิทราเช่นนี้
หญิงสาวรีบข่มตาไล่ความคิดนั้นออกไปจากสมอง คงไม่มีเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไหนอุกอาจรุกไล่เธอให้จนตรอกได้ถึงขนาดนี้ ทั้งขโมยจูบแรก ทำเธออับอายจนแทบต้องแทรกแผ่นดินหนีต่อหน้าธารกำนัล รวมไปถึงใช้เธอเป็นหมอนข้างกอดนอนอยู่ในขณะนี้
แต่เจ้าหญิงก็อดรู้สึกจั๊กจี้ในใจไม่ได้ ถึงอีกฝ่ายจะคุกคามเธอเพียงใด แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีด้านที่อ่อนโยน กอดปลอบและคอยเช็ดน้ำตาให้เธอ ซ้ำยังบังอาจตั้งชื่อเล่นให้เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์อย่างเธอ และที่สำคัญที่สุด ชายตรงหน้าไม่ได้บีบบังคับให้เธอมอบพรหมจรรย์อันแสนล้ำค่าให้กับเขา— อย่างน้อยก็ในตอนนี้
แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาอาบห้องหอจนเปลี่ยนเป็นสีส้ม บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แน่ทีเดียวว่าเป็นเพราะคำสั่งของโอมที่ห้ามไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่าม เจ้าหญิงถลึงตาให้กับร่างที่กำลังหลับสนิทอีกครั้ง ด้วยคำสั่งงี่เง่าของเขา ไม่ทราบว่าป่านฉะนี้พวกปากหอยปากปูในปราสาทจะนำเรื่องของเธอไปเติมแต่งเสียจนพังพินาศไปเท่าใดแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ดึงแขนที่กอดรัดตัวนางอยู่ให้หลุดออก สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มครางออกมาครั้งหนึ่ง หัวใจของเจ้าหล่อนเต้นโครมครามด้วยอารามกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางถอนหายใจอย่างโล่งอก ลุกขึ้นจัดแต่งอาภรณ์ให้ดูเรียบร้อยก่อนค่อยๆ ย่องตรงไปยังประตู
ยังไม่ทันที่มือของเจ้าหญิงจะได้ทันสัมผัสกับกลอนประตู เสียงกระแอมก็ดังมาจากทางด้านหลัง ทีราเลนเซียกรีดร้องในใจขณะหันกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง “ทีร่า” โอมร้องเรียกด้วยน้ำเสียงง่วงงุน “นั่นเธอจะไปไหนน่ะ”
“ข้าจะไปที่ใดมันก็เรื่องของข้า” เจ้าหญิงเชิดเสียงตอบ “เจ้ามีสิทธิอันใดมากล่าวห้าม”
โอมอ้าปากหาว “นี่เช้าแล้วงั้นเหรอทีร่า” เขาถาม “เธออย่าลืมสิว่าฉันสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวนพวกเราที่นี่”
หญิงสาวยิ้มเมื่อได้ยินคำนั้น “นั่นก็ใช่ แต่เจ้าก็ไม่เคยสั่งห้ามใครลงไปก่อนเช้านี่”
ชายหนุ่มหัวเราะ ใช้ดวงตาของเขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีม่วงที่พยายามหลบเลี่ยง “งั้นฉันขอสั่งไม่ให้ใครลงไปจากที่นี่ก่อนที่จะเช้า”
“เหลวไหล” เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าแหวทันที “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครถึงคิดมาออกคำสั่งเช่นนั้นกับข้า”
แทนคำตอบ โอมหยิบหมอนอิงที่หล่นอยู่บริเวณนั้นขึ้นมาวางพิงไว้กับหัวเตียงแล้วเอนหลังลงเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ก่อนใช้มือซ้ายตบลงบนฟูกที่นอนข้างกาย “ทีร่า” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “มานอนตรงนี้”
อากัปกิริยานั้นแทบทำให้เจ้าหญิงเดือดดาลจนเต้นเร่า “เจ้าคนชั่วช้า” นางร้อง “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะลงไป ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะทำอันใดข้าได้”
โอมผายมือไปทางประตู “งั้นฉันก็แนะนำให้เธอลองดู” เขาพูด “ฉันจะปล่อยให้เธอลงไปพักหนึ่งก่อน จากนั้นฉันจึงค่อยลงไปตามหาเธอ จะเรียกหายอดรักให้ทั่วทั้งปราสาท เมื่อเจอก็จะโอบอุ้มเธอกลับขึ้นมาบนห้องนี้ใหม่ นั่นฟังดูดีหรือไม่ ทีร่า”
หญิงสาวยกชายกระโปรงยาวขึ้นสูงไม่ให้เกะกะขณะเร่งรีบลงจากหอคอย ใจหนึ่งก็โมโหอีกใจหนึ่งก็หวาดกลัว ด้วยไม่อาจคาดเดาได้ว่าคนชั่วช้าด้านบนนั่นจะคิดวางแผนทำสิ่งใดอีก
ไม่นานเจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าก็ลงมาถึงด้านล่างของหอคอย ตลอดทางที่ผ่านไร้สุ้มเสียงของสิ่งมีชีวิต ทหารองครักษ์ทำตามคำสั่งของโอมโดยเคร่งครัด นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าหล่อนหวาดกลัว ถึงแม้คนในปราสาทจะเป็นคนที่นางมักคุ้นมานาน และหลายๆ คนก็ไม่ใคร่ที่จะชอบชายผู้มาจากต่างมิตินัก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนในปราสาทอีกเป็นจำนวนมากที่เชื่อในเรื่องของคำทำนายและศรัทธาในตัวของผู้กล้าผู้นี้
เจ้าหญิงก้าวเท้าออกไปยังลานด้านนอก ทหารยามห้าคนที่นั่งจับกลุ่มคุยกันต่างแตกฮือพรวดขึ้นทำความเคารพ “ขออภัยที่พวกกระหม่อมหย่อนยาน— ” หัวหน้าชุดเฝ้ายามละล่ำละลักพูด “คือกระหม่อมหมายถึง ไม่มีใครคาดคิดว่าพระองค์จะลงมาก่อนเช้าวันพรุ่ง”
ทีราเลนเซียทำตาขวางค้อนใส่วงใหญ่ “สามหาวยิ่งนัก” นางตวาด “พวกเจ้าฟังคำสั่งข้า ให้ยืนยามอยู่ตรงนี้โดยแข็งขัน หาก— หากผู้กล้าลงมาเมื่อไร ให้ขัดขวางมิให้เขาติดตามข้ามาได้”
เมื่อได้ฟังคำสั่ง ใบหน้าของเหล่ายามก็พลันซีดขาวเสียยิ่งกว่าเดิม “แต่พระองค์” ทหารยามคนเดิมร้องเสียงสั่น “พวกกระหม่อมจะขัดขวางท่านผู้กล้า— เจ้าชายได้อย่างไร”
“นั่นเป็นปัญหาของพวกเจ้า” เจ้าหญิงยังได้ทีตะเบ็งเสียงต่อไป ยามนี้นางต้องการหาใครเป็นที่ระบายสักคน “ถ้าพวกเจ้าปล่อยให้ผู้กล้าตามมาถึงตัวข้าได้ รับรองว่าเราจะได้เห็นดีกันแน่”
ไม่รอฟังคำตอบ เจ้าหญิงรีบสาวเท้าเดินต่อไป ตลอดทางที่ลงบันไดเวียนมานางก็นึกหาสถานที่ปลอดภัยภายในปราสาทมาโดยตลอด สถานที่ๆ ไม่ว่าอย่างไรผู้กล้าก็คงไม่มีวันที่จะมาฉุดรั้งนางให้กลับไปได้ และแน่นอนว่าสถานที่แห่งนั้นคือหอคอยทิศเหนือ อันอยู่ในความควบคุมของเจ้าชายเทลาเรนเซ่ผู้เป็นพระอนุชาของนางนั่นเอง
ด้วยท่าทางอันรีบเร่งและผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงทำให้เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าหญิงรับใช้และทหารองครักษ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวพยายามตีสีหน้าเรียบเฉยในขณะก้าวตรงไปข้างหน้า ทั้งที่ในใจของเจ้าหล่อนกำลังก่นด่าคนชั่วช้าผู้นั้นที่ทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ในที่สุดเจ้าหญิงก็เดินทางไปถึงห้องทรงหนังสือของพระอนุชา ประตูเปิดออกแทบจะในทันทีที่ทหารยามขานชื่อของนางออกมา เจ้าชายเทลาเรนเซ่โผล่พรวดมายังหน้าประตูจนแทบจะชนโครมกับผู้เป็นพี่ “ท่านพี่ ไฉนท่านถึงมาหาข้ายามค่ำเช่นนี้” เจ้าชายร้อง กวาดตามองร่างของคนตรงหน้า “สภาพของท่านดูไม่ได้เลย เจ้าคนถ่อยนั่นได้ล่วงเกินท่านพี่หรือไม่”
ทีราเลนเซียอึกอักไม่รู้จะตอบกลับคำถามนั้นอย่างไร พอดีกับที่มีสุ้มเสียงหวานของเมย์ลินดังขึ้นขัดจังหวะ “ถามเช่นนั้นไม่สุภาพเลยนะเพคะองค์ชาย” นางพูดพร้อมรอยยิ้ม “โดยเฉพาะในคืนส่งตัวเข้าหอเช่นนี้”
ใบหน้าของเจ้าหญิงขึ้นสี “เหลวไหล เจ้าน่ะเงียบไปเลยนะเมย์ลิน” นางแหวด้วยแรงอารมณ์ “เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“คำทำนาย— ”
“เหลวไหล คำทำนายของเจ้าน่ะข้าไม่เชื่อถืออีกต่อไปแล้ว”
เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มแย่ลง เจ้าชายก็จำใจที่จะต้องยกมือขึ้นห้ามทัพ “ใจเย็นก่อนเถิดท่านพี่ เมย์ลินนั้นเพียงแต่ทำตามหน้าที่ของนาง” เขาพูดช้าๆ “ท่านนั่งลงก่อนดีหรือไม่ เราสองคนกำลังสนทนากันเรื่องพวกออร์คอยู่พอดี”
“พวกเราคงคร่ำเคร่งเกินไป คุยกันตั้งแต่ยามบ่ายคล้อย บัดนี้ดวงอาทิตย์ก็ได้อัสดงเสียแล้ว” นักพยากรณ์สาวเอ่ยเสียงใส “ข้าเกรงว่าอาจดูไม่งาม คงต้องขอตัวก่อน” ว่าแล้วเมย์ลินก็ลุกขึ้นถอนสายบัวหนึ่งครั้ง ก่อนเยื้องย่างออกจากห้องไป
เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง หยดน้ำตาก็ร่วงหล่นออกมาจากดวงตาสีม่วงเป็นสาย “เทลาเรนเซ่” นางร้องเสียงค่อย “พี่— พี่ทนรับมันไม่ไหวอีกแล้ว”
เจ้าชายยังคงยืนนิ่ง แววตาที่จับจ้องใบหน้าของพี่สาวดูไม่ใคร่พึงใจ “ท่านพี่หยุดร้องไห้ก่อนเถอะ” เขาพูดเสียงเรียบ “ลืมไปแล้วหรือว่าท่านพ่อสอนพวกเราอย่างไร เราเหล่าขัตติยะเสียได้แต่เพียงเลือด ไม่มีวันที่จะหลั่งน้ำตา”
คำพูดนั้นทำให้ทีราเลนเซียเงียบไป เจ้าหล่อนยกมือขึ้นปาดน้ำตาครั้งหนึ่งก่อนพยายามปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉย “เรื่องของพี่นั้นพักไว้ก่อนเถอะ” นางพูดฝืนพูด “พวกออร์คมันเป็นอย่างไร วานน้องช่วยขยายความให้ฟัง”
เจ้าชายหนุ่มทอนหายใจก่อนผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง “ข่าวไม่ค่อยดีนัก” เขาพูดพร้อมหยิบถ้วยชาขึ้นริน “ท่านคงรู้จักเลอดุ๊กกระมัง มันเป็นหนึ่งในจตุรมารที่กำลังนำกองทัพออร์คข้ามทะเลดำอยู่ในขณะนี้”
“กองทัพออร์ค” เจ้าหญิงทวนคำ “ธรรมชาติของพวกออร์คมักอยู่รวมกันเป็นเผ่าเล็กๆ กระจัดกระจายกันไป ที่น้องว่ากองทัพออร์คนั้นมันมีจำนวนสักเท่าใดกัน”
สีหน้าของอีกฝ่ายเครียดเขม็ง “ข้าเข้าใจที่ท่านพี่พูด ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกันที่พวกสัตว์ร้ายนั่นรวมตัวกันได้เป็นกลุ่มก้อนเช่นนี้ คงไม่แคล้วเป็นฝีมือของจอมมาร” เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ “ทัพของพวกมันคะเนแล้วคงไม่ต่ำกว่าสามหมื่น”
“สามหมื่น” ทีราเลนเซียร้อง “ด้วยกำลังของมนุษย์เราสักห้าคนจึงจะเทียบได้กับออร์คตนหนึ่ง นี่มากันถึงสามหมื่น แล้วเราจะมีกำลังเพียงพอรับมือพวกมันหรือน้องพี่”
“เรื่องนั้นข้าได้ปรึกษากับเมย์ลินแล้ว” เจ้าชายตอบกลับแทบจะในทันที “หากปล่อยให้พวกมันขึ้นฝั่ง ถึงเราจะสามารถเอาชนะพวกมันได้ แต่จะต้องมีสักกี่เมืองเล่าที่จะต้องแหลกลาญ ข้าเห็นว่าเราควรที่จะแต่งทัพเรือออกไปสู้กับพวกมันกลางสมุทร ถึงพวกออร์คจะแรงเยอะแต่ก็โง่เขลานัก ซ้ำยังมีเรื่องปัญหาชนเผ่าที่คอยระแวงกัน การบัญชาการรบของพวกมันกลางทะเลคงจะเป็นเรื่องที่วุ่นวายน่าดูชม”
“พี่เห็นว่านั่นเป็นความคิดที่ดี” เจ้าหญิงตอบรับ “แล้วน้องคิดจะแต่งทัพออกไปเมื่อใดกัน”
“ท้องน้ำนั้นกว้างใหญ่นัก พวกมันคงไม่มีทางเดินทางข้ามทะเลดำมาถึงดินแดนของพวกเราได้ในเวลาอันใกล้” ชายหนุ่มตอบ “แต่อย่างไรข้าจะไม่ประมาท จะเร่งฝึกซ้อมกำลังพล ซ่อมบำรุงเรือแลตระเตรียมเสบียง คงได้ฤกษ์ออกเดินทางภายในครึ่งเดือนนี้” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “ข้าคงต้องนำกำลังพลออกสู้รบ เป็นห่วงก็แต่ท่านพี่ ท่านต้องรักษาตัว อย่าให้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นเอาเปรียบได้”
ผู้เป็นพี่สาวชะงักไป ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นแย้มยิ้ม “เหลวไหล นี่เจ้าคิดว่าพี่เป็นผู้หญิงอ่อนแอหรือไร” นางพูด “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พี่สิต้องเป็นห่วงน้อง ต้องรอนแรมจากบ้านออกไปสู้รบกลางทะเล”
“เป็นเลือดขัตติยะก็ต้องรักษามาตุภูมิ” ชายหนุ่มพูดอย่างภูมิใจ “ท่านพี่เองก็เช่นกัน อย่าให้คนถ่อยนั่นเห็นความอ่อนแอของท่าน มันจะใช้ช่องว่างเหล่านั้นมาทำร้ายทั้งตัวท่าน และอาณาจักรของเราได้”
เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าหลบสายตาผู้เป็นน้องชายโดยทำทีเป็นสนใจกาน้ำชาบนโต๊ะ “พี่รู้ดี ต้องขอบใจน้องที่เตือน” นางพูด “นี่ก็ดึกแล้ว พี่คง— พี่คงต้องกลับก่อน เชิญน้องตามสบาย”
เทลาเรนเซ่ลุกขึ้นโค้งคำนับก่อนที่จะเดินไปส่งผู้เป็นพี่สาวจนถึงลานหน้าหอคอย ก่อนจากกันชายหนุ่มก็กุมมือของหญิงสาวไว้แน่น “ท่านพี่” เขากล่าวย้ำ “ท่านต้องอดทน อย่าให้มันเห็นว่าท่านอ่อนแอ ข้าสาบานว่าจะต้องช่วยท่านพี่ให้พ้นจากเงื้อมมือของเจ้าคนชั้นต่ำนั่นให้ได้”
หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองกำลังมุ่งหน้าสู่ลานประหาร ดวงตาทั้งคู่สอดส่ายไปตามทางเดินด้วยกลัวว่าชายผู้นั้นจะแอบเข้ามารังแกต่อหน้าธารกำนัล ยิ่งเมื่อก้าวเท้าไปจนเห็นหอคอยตะวันตกได้ถนัดตา ความประหวั่นพรั่นพรึงก็ยิ่งระบายอยู่บนใบหน้าจนเห็นได้ชัดเจน
ทหารยามทั้งห้ามองเห็นนายเหนือหัวแต่ไกล พวกเขาทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงเมื่อทีราเลนเซียเดินมาถึง “สถานการณ์ปกติพะยะค่ะ” หัวหน้าชุดรีบกล่าวรายงาน “เจ้าชายไม่ได้ติดตามพระองค์ลงมา”
เจ้าหญิงมองเห็นสายตาโล่งใจของคนทั้งห้าได้ชัดเจน จึงเชื่อว่าชายหนุ่มด้านบนคงไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้ต้องลำบากใจ เจ้าหล่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “พวกเจ้าทำดีมาก” นางพูด “คอยเฝ้ายามต่อไป หลีกทาง”
หัวหน้าชุดเฝ้ายามรีบก้าวเท้าถอยหลังทันที โชคร้ายที่ลูกน้องเจ้ากรรมคนหนึ่งกลับพูดสวนขึ้นมา “แต่เจ้าชายมีรับสั่งไม่ให้ใครขึ้นไปรบกวน”
ทีราเลนเซียชะงักเท้า หันหน้าไปจ้องมองทหารยามผู้นั้นที่ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าพูดผิดไป หัวหน้าของเขารีบหันกลับไปตวาดใส่ทันที “ไอ้โง่ เจ้าชายหมายถึงคนอื่น นี่เขาจะขึ้นไปพลอดรักกัน”
ชายผู้หน้าสงสารรู้ทันทีว่าตนเองนั้นพูดผิดไป แต่โชคก็ยังคงเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อฝ่ายหญิงสาวนั้นรู้สึกอับอายจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดผ่านริมฝีปากออกมาได้ เท่าที่นางจะทำได้ก็เพียงแต่ถลึงตาใส่ก่อนพาใบหน้าที่แดงก่ำราวพระอาทิตย์ขึ้นไปบนหอคอย
ยิ่งก้าวขึ้นไปเท่าไหร่ ความคิดของเจ้าหล่อนก็ยิ่งตีบตัน การที่วิ่งหนีลงมาดื้อๆ ก็นับว่าเสียหน้าพออยู่แล้ว แต่การที่จะกลับขึ้นไปใหม่นั้นย่อมทำได้ยากกว่า ในขณะที่หญิงสาวกำลังสองจิตสองใจว่าจะเดินต่อไปดีไหมนั่นเอง เสียงเหมือนคนกำลังคุยกันก็แว่วเข้ามากระทบโสตประสาท ทีราเลนเซียหยุดเดินในทันทีพร้อมเงี่ยหูฟัง แน่ชัดแล้วว่าเสียงพูดคุยนั้นดังมาจากห้องบนสุดของหอคอยเป็นแน่แท้
เจ้าหญิงขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ สงสัยในใจว่าคนชั่วช้าผู้นั้นอาจกลายเป็นบ้าพูดโต้ตอบกับตัวเอง แต่เมื่อนางเดินไปหยุดลงตรงหน้าประตูที่เปิดแง้มก็พบว่าไม่ใช่ แม้จะจับความใดๆ จากคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ แต่ก็มั่นใจว่าเสียงที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นมีเสียงหนึ่งที่เป็นเสียงของผู้หญิง
แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้ทำอะไรต่อไป เสียงในห้องก็พลันเงียบลง ก่อนเกิดเสียงดังเหมือนมีพายุลูกใหญ่กำลังหมุนวนอยู่ในห้อง ประตูที่แง้มอยู่ก็พลันเปิดผางออก เผยให้เห็นสภาพห้องที่ดอกไม้และริบบิ้นปลิวว่อนกระจัดกระจายเกลื่อนเต็มพื้น
ใบหน้าของชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงฉายแววประหลาดใจ เขายิ้มฝืนๆ ขณะพูด “เธอกลับมาแล้วเหรอ”
ทีราเลนเซียไม่ตอบคำ ตอนนี้ความใคร่รู้ของนางอยู่เหนือความหวาดกลัว หญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาในห้องพร้อมกวาดสายตามองสภาพที่ยุ่งเหยิงบนพื้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” นางถาม
“แย่หน่อยที่ฉันเผลอเปิดหน้าต่างกว้างเกินไป” โอมบุ้ยใบ้ไปยังหน้าต่างที่อ้ากว้าง “ไอ้ลมบ้ามันก็เลยพัดเอา ดูซิเนี่ยห้องเละเทะหมด”
หญิงสาวหรี่ตามองชายตรงหน้า “อย่างนั้นเองหรือ” น้ำเสียงนั้นมีความไม่เชื่อถือปนอยู่อย่างเห็นได้ชัด “แล้วเมื่อครู่เจ้ากำลังสนทนาอยู่กับใคร”
ชายหนุ่มผงะไปอย่างเห็นได้ชัด เป็นครั้งแรกที่เขาหลบตาขณะเอ่ยตอบ “ฉันพูดเหรอ คงร้องด่าลมที่ทำห้องพังล่ะมั้ง”
ดวงตาสีม่วงคู่สวยหรี่ลง “คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ” ไม่พูดเปล่า หญิงสาวกระโดดขึ้นไปบนเตียง ใช้มือจับคางอีกฝ่ายเป็นเชิงบังคับให้หันหน้ากลับมา “บอกความจริงกับข้ามา ไม่เช่นนั้นเจ้าอย่าหวังว่าจะได้นอน”
โอมดึงมือเจ้าหญิงออกอย่างง่ายดาย “ไม่ได้นอนเชียวหรือทีร่า” ดวงตาสีดำแฝงแววซุกซนขณะพูด “ลงไปดื่มยาปลุกกำหนัดมาหรืออย่างไร”
ใบหน้าของหญิงสาวขึ้นสีเข้ม ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากร้องด่าชายหนุ่มก็ชิงสะบัดตัว คว้าผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ไม่คิดที่จะหันกลับไปโต้ตอบกับคำพูดของอีกฝ่ายอีก
ขณะที่ชะตาฟากหนึ่งของแผ่นดิน ถูกฝากไว้กับการพลอดรักอันรุ่มร้อนซุกซน ใต้หนึ่งของแผ่นดินกำลังระอุร้อนเร่งเร้าสร้างกองทัพปีศาจ เหนือหนึ่งของแผ่นดิน บนฟ้าสูงเกินกว่าเมฆ แต่ไม่อาจเกินเลยไปกว่าชั้นดวงดาว 'สวรรค์' สถานที่ชุมนุมของเหล่าเทพเจ้า เทพี และชาวสวรรค์ผู้รับใช้ใต้เบื้องดวงดาราอันเหนือกว่าโลกนี้จะเทียบเทียมได้ กำลังเป็นทองไม่รู้ร้อนว่า ผืนดินกำลังจะลุกเป็นไฟจากคำทำนายมั่วซั่ว ที่เกิดจากความสนุกของกีฬาสวรรค์ ฟุตบอลชิงแชมป์ประเพณี ระหว่างทีมเทพฤดูกาลและทีมเทพธรณี ที่ดันแข่งเสมอ แต่ไม่อยากยิงลูกโทษเพราะเบื่อ จนเป็นที่ไม่พอใจไปทั่วแดนสวรรค์ ทำให้ฝ่ายกรรมการคิดหาวิธีแก้ไข โดยใช้แผ่นดินเป็นนัดตัดสินแทน ฝ่ายนรกเป็นตัวแทนทีมเทพฤดูกาล ฝ่ายมนุษย์เป็นตัวแทนทีมเทพธรณี
กรรมการใช้อำนาจพรวิเศษสร้างคำทำนายเก๊ เพื่อสร้างเรื่อง ให้ทุกอย่างวุ่นวาย ชาวสวรรค์จะได้มีอะไรดูกัน โดยตัดสินกันว่า ทุกอย่างจบเมื่อไหร่ ไม่ว่าใครชนะ ก็จะใช้เวทย้อนกลับ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และให้ผลของสงครามเป็นตัวกำหนดดรรชนีการเจริญเติบโตของผลผลิตเกษตรกรรมในปีถัดๆ ไป
“ฮาเดรียน”
ผู้ถูกเรียกหันกลับไปหาต้นเสียง เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มผมทองกำลังก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา “ลูคัส” ฮาเดรียนเอ่ยชื่อของอีกฝ่าย “ไยเจ้าถึงมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้”
ลูคัสขยิบดวงตาสีฟ้าซุกซนของเขาทีหนึ่ง “เช้านี้ข้ามีนัดกับท่านเจ้าสวรรค์” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “และตอนบ่ายยังมีนัดกับเลขาของเขา”
ฮาเดรียนเผยสีหน้าระอา เขาเสยผมสีเพลิงของตนไม่ให้ตกลงมาปรกหน้า “นี่เจ้าก็เป็นไปกับเขาอีกคนแล้วหรือนี่” ชายหนุ่มถาม “เอวาน่ะอสรพิษในคราบนางฟ้า เทพบุตรตั้งมากมายหวังจะแอ้มนางแล้วเป็นอย่างไร เจ้าไม่เห็นชะตากรรมที่เกิดกับพวกเขาหรอกหรือ”
“พวกนั้นน่ะมันโง่ คอยดูทีของข้าเถอะ” ลูคัสตอบกลับอย่างมั่นใจขณะหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ “ว่าแต่เจ้าเถอะ ไยเมื่อคืนไม่ยอมกลับวิมาน ท่านเจ้าสวรรค์จ่ายค่าล่วงเวลาให้มากนักหรือ”
ฮาเดรียนถอนใจขณะพยักพเยิดไปยังลูกแก้ววิเศษที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ “ก็เรื่องเดิมพันบ้าบอนั่นน่ะทำเอาฝ่ายรักษาความสงบอย่างพวกข้าหัวหมุน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “พวกเทพธรณีบัดซบ พวกเทพฤดูกาลเฮงซวย ไม่คิดหน่อยหรือว่าสมดุลที่พวกเรารักษากันมากว่าหมื่นปีจะถูกทำลายเพราะเรื่องงี่เง่านั่น”
เทพบุตรผมทองหัวเราะ ยกมือขึ้นตบบ่าเพื่อนหนุ่มด้วยท่าทีสนุกสนาน “เอาน่า ฮาเดรียน” เขาพูดยิ้มๆ “อย่างไรสงครามข้างล่างนั่นก็ต้องเกิดขึ้นสักวันอยู่แล้ว เราก็รอพวกมันตีกันจนเละแล้วค่อยลงไปห้ามทัพ ฟื้นฟูโลกขึ้นมาใหม่ก็ได้มิใช่หรืออย่างไร”
“เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเจ้าคิด” ฮาเดรียนตอบกลับอย่างหัวเสีย “พวกเทพอย่างเจ้ามักมองว่าสมดุลของโลกเป็นเรื่องของมนุษย์กับปีศาจ ทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเราเหล่าเทพเองก็เป็นหนึ่งในกงล้อนั้นด้วย”
เทพเจ้าสำราญเลิกคิ้ว “เจ้ากำลังหมายความว่า— ”
“หน้าที่ของพวกข้าเหล่าเทพสันติสุขไม่ใช่การสร้างสันติภาพระหว่างพื้นพิภพกับเมืองบาดาล แต่เป็นการสร้างความระหองระแหงให้ทั้งสองเผ่าแคลงใจกัน พวกมันจะได้ไม่มีกำลังพอบุกขึ้นแดนสวรรค์ของพวกเราได้”
“ถ้าเช่นนั้นให้พวกมันเข่นฆ่ากันก็ยิ่งดี จะได้ไม่มีกำลังอันใดเหลือไว้ต่อกรกับพวกเรา” ลูคัสเอ่ยปาก “เรื่องไม่ได้เป็นเช่นนี้หรือ”
ชายผมแดงแค่นเสียงหัวเราะ เขาหยิบลูกแก้ววิเศษบนโต๊ะขึ้นหมุนสามครั้ง พลันปรากฏภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่บนเตียง “ผู้หญิงคนนั้นคือจอมมารนี่” ลูคัสอุทานเสียงค่อย “แล้วผู้ชายคนนั้น— ”
“ผู้ชายคนนั้นคือผู้กล้าของเหล่ามนุษย์” ฮาเดรียนตอบสหายหนุ่มเบาๆ “วันนี้เจ้ามีนัดกับท่านเจ้าสวรรค์ก็ดี ฝากบอกท่านด้วยว่าความพิเรนทร์นั่นได้ชักศึกเข้าบ้านเราเสียแล้ว”
สวัสดี นี่โม่งใหม่ ขอตามเรื่องนี้ด้วยคนเผลอกดเข้ามาอ่านแล้วมัน อมกกกมาก ดีงามม
ชายหนุ่มรู้สึกหนาวกาย เมื่อปรือเปลือกตาขึ้นก็พบว่าผ้าห่มที่เคยคลุมตัวอยู่บัดนี้ได้ถูกหญิงสาวข้างกายรวบเอาไปใช้แต่เพียงผู้เดียวเสียแล้ว
โอมถอนหายใจยาวขณะพยายามแกะผ้าห่มที่ห่อร่างของทีราเลนเซียให้หลุดออก ไม่ทราบแน่ว่านางเป็นคนขี้หนาวหรือกลัวเขาคิดทำมิดีมิร้าย ผ้าห่มผืนนั้นถึงได้ม้วนแน่นแนบกับลำตัวของนางจนยากที่จะชิงคืนมาได้โดยไม่ทำให้ตื่นเสียก่อน
เมื่อเห็นใบหน้าหลับอย่างเป็นสุขของหญิงสาวได้ถนัดตา ชายหนุ่มก็ไม่คิดที่จะทำศึกแย่งผ้าห่มกับนางอีก เขาถอนใจยาวอีกครั้งขณะเดินตรงไปยังบานหน้าต่างที่แง้มเปิดอยู่ ในขณะที่เขาคิดจะปิดมันลงนั้นเอง แสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับดาวหาง ก่อนที่ก้อนกลมประหลาดจะมาหยุดลงตรงหน้าบานหน้าต่างบานนั้นพอดี
ก้อนสีทองพลันสว่างวาบก่อนที่ในอึดใจต่อมามันจะกลายมาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรผู้หนึ่ง ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะคงไม่มีมนุษย์หรือปีศาจตนใดที่มีปีกขนนกสีขาวบริสุทธ์ขนาดกว้างสองเมตรติดอยู่บนหลังเป็นแน่ เทพบุตรผู้นั้นสะบัดผมสีทองของตนอย่างสง่างามก่อนเปล่งวาจา “ขอคารวะท่านผู้กล้า” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ย “นามของข้าคือลูคัส เทพส่งสารแห่งอาณาจักรสวรรค์”
ด้วยการปรากฏตัวที่น่าตื่นตาตื่นใจ รวมทั้งรูปลักษณ์อันงามสง่าของเขาทำให้ลูคัสอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงจะตกตะลึงจนถึงกับต้องคุกเข่าภาวนา แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้กล้าหนุ่มเพียงชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยเสียงเรียบตอบกลับมา “เทพเจ้ามีอะไรที่ต้องการติดต่อกับฉัน”
แม้จะผิดคาดไปบ้างแต่เทพบุตรก็ยังรักษาท่าทีเยือกเย็นเอาไว้ได้ “ท่านผู้กล้า ศึกครั้งนี้เหล่าชาวสวรรค์เห็นว่าพวกปีศาจทำไม่ถูกต้อง” เขาพูดเข้าประเด็นทันที “ท่านเจ้าสวรรค์เรียกประชุมจนได้ข้อยุติแล้ว นับแต่บัดนี้อาณาจักรสวรรค์จะอยู่เคียงข้างพวกท่านในการต่อกรกับเหล่าปีศาจ ขอเพียงท่านร้องขอ เราจะส่งขุนพลสวรรค์ทั้งหกของเราลงมาช่วยเหลือพวกท่านทันที”
“ดีจัง” โอมตอบเสียงเนือย “แล้วอย่างนี้ผลการแข่งขันฟุตบอลจะว่ายังไง”
ประโยคเรียบง่ายประโยคเดียวนั้นทำเอาลูคัสเสียศูนย์ ในขณะที่เขาอ้าปากจะแกล้งทำเป็นไขสือก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างไรก็คงไม่ทันแล้ว จึงเปลี่ยนมาเป็นแก้ต่างแทน “นั่นเป็นความโง่เขลาของพวกเราเหล่าเทพ” เทพบุตรพูด “แต่อย่างไรก็ตามพวกปีศาจก็หวังจะบุกแดนมนุษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมิใช่หรือ ให้พวกเราได้ไถ่โทษด้วยการช่วยพวกท่านป้องกันดินแดนเถิด”
“เรื่องนั้นก็เป็นแค่ปัญหาชาติพันธุ์ธรรมดา” โอมตอบกลับอย่างไม่ไยดี “ปีศาจกับมนุษย์ก็มีปัญหากันเรื่อยมาอยู่แล้ว แต่ที่มันวุ่นวายแบบนี้ก็เริ่มมาจากไอ้คำทำนายบ้าบอที่พวกท่านกรอกหูเมย์ลินมาไม่ใช่รึยังไง”
ลูคัสกลายเป็นฝ่ายโดนไล่ต้อน “เมย์ลินเป็นนักพยากรณ์ที่มีพรสวรรค์ นางหยั่งรู้ฟ้าดิน” เขาพูด “คำทำนายของนาง—”
“น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้รู้จักเขา” โอมยังคงกล่าวตัดบทอย่างไม่แยแส “เพราะเมย์ลินตัวจริงถูกพวกนายฆ่าตายไปก่อนหน้านี้แล้ว ที่เห็นตะแล๊ดแต๊ดแต๋อยู่ตอนนี้คงไม่พ้นนางฟ้าสักคนหนึ่งที่จำแลงกายลงมาสวมตัวเป็นเธอ จริงไหม”
คราวนี้เทพบุตรถึงขั้นลืมกระพือปีกจนเกือบร่วงลงไปยังสวนด้านล่าง โอมยิ้มให้กับท่าทางนั้นก่อนเอ่ยปากต่อ “พวกนายก็แค่กลัวว่าฉันกับนัวร์จะร่วมมือกันจัดการกับชาวสวรรค์ใช่ไหมล่ะ” เขายิ้ม “จริงๆ ก็ว่าจะทำอยู่หรอกนะ ก็พวกนายน่ะมันน่าหมั่นไส้ชะมัด”
“ท่านผู้กล้าก็รู้ดีว่าการทำสงครามระหว่างสวรรค์ พิภพ และบาดาลจะทำให้โลกใบนี้เสียสมดุลแค่ไหน” ลูคัสที่เพิ่งตั้งสติได้รีบพูดขึ้นทันที “ข้า— ท่านเจ้าสวรรค์มีข้อเสนอ ไม่ว่าท่านมีความปรารถนาใดท่านก็จะได้ตามคำขอทุกประการ”
โอมหัวเราะ “งั้นขอเป็นเจ้าสวรรค์ได้ไหม”
“ท่านผู้กล้าช่างมีอารมณ์ขัน” ลูคัสยิ้มแห้งๆ “ข้าเสนออย่างนี้ดีกว่า เราชาวสวรรค์จะส่งขุนพลมาช่วยท่านรบอย่างที่พูดไป ท่านจะได้ชัยในสงคราม ได้ทั้งหญิงงามและเกียรติยศ รวมไปถึงตำแหน่งกษัตริย์องค์ต่อไปของอาณาจักรแห่งนี้อีกด้วย”
โอมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา “พวกนายนี่มันเป็นเทพจริงๆ อย่างนั้นเหรอ” เขาส่ายหัว “คิดว่าฉันต้องการของแบบนั้นรึยังไงกัน”
“ได้โปรดเถอะท่านผู้กล้า” เทพบุตรหนุ่มร้อง “ชะตาของโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว ท่านคิดจะร่วมมือกับจอมมาร ทำลายล้างโลกนี้ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นคืนแห่งความมืดมิดอนันตกาลหรืออย่างไร”
“จะมืดหรือสว่างก็ช่างหัวมันปะไร” ชายหนุ่มสบถ “อย่างเดียวที่ฉันต้องการน่ะคือกลับบ้านโว้ย พวกนายสามารถช่วยฉันได้รึเปล่าล่ะ”
ลูคัสมีสีหน้าแปลกไปเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม เทพหนุ่มเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาทันที
"ท่านคือผู้กล้าของพวกเรา" เขาพูดเสียงนุ่มนวล "ขอเพียงช่วยเหลือโลกไว้จากภัยมืดได้ ความปราถนาทุกอย่างของท่านก็จะเป็นจริง"
"......" โอมหรี่ตามองคนเบื้องหน้าน้อย ๆ เป็นอย่างที่นัวร์บอกไว้จริงเสียด้วย
เรื่องลวงโลกชัด ๆ
“ฉันก็อยากที่จะเชื่อคำพูดของนายหรอกนะ” โอมหรี่ตามองคู่สนทนา “แต่จอมมาร ผู้ซึ่งเป็นปรปักษ์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังให้เกียรติมาพูดคุยกับฉันด้วยตัวเอง แต่ทำไมเจ้าสวรรค์ของพวกนายถึงได้ส่ง— ขอโทษทีนะ ถึงได้ส่งเทพชั้นล่างๆ อย่างนายมาแทน”
ใบหน้าของลูคัสขึ้นสี เทพชั้นต่ำอันใดจะมีรัศมีพลังสีทองอร่ามห่อหุ้มตัวอย่างที่เขาเป็นอยู่ “ท่านเจ้าสวรรค์มีภารกิจมากมาย” เทพบุตรตอบ “ข้ามาในนามของพระองค์ คำพูดทุกคำของท่านจะถูกบอกต่อแก่ท่านเจ้าสวรรค์โดยไม่ผิดเพี้ยน ท่านผู้กล้าโปรดวางใจ”
โอมถอนหายใจยาว “ตอนนี้พวกเราทุกคนก็ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันทั้งนั้น” ชายหนุ่มพูด “ฉันเองก็อยากกลับบ้านใจจะขาด แต่พวกมนุษย์ไม่มีวันส่งฉันกลับไปก่อนที่จะจัดการพวกปีศาจได้แน่ ฝ่ายจอมมารเองก็ต้องการให้ฉันชักจูงพวกมนุษย์ให้เข้าร่วมกับปีศาจเพื่อบุกสวรรค์ คงไม่ปล่อยให้ฉันกลับไปอีก พอมาตอนนี้พวกนายก็กลัวว่าถ้าฉันกลับไปก่อน พวกมนุษย์จะเสียขวัญจนยอมร่วมมือกับปีศาจ มันน่าตลกสิ้นดีที่ฉันต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่ทั้งๆ ที่คาถาย้ายมิติแค่บทเดียวก็จบเรื่องนี้ได้แล้วแท้ๆ”
“ข้าเข้าใจดีในความลำบากของท่าน” ลูคัสเอ่ยตอบด้วยเสียงทุ้ม “อันที่จริงก็เป็นความผิดของเราชาวสวรรค์เองที่ไม่คิดหน้าคิดหลังเสียก่อน ท่านเจ้าสวรรค์เองก็ทราบดีว่าท่านคงไม่ให้อภัยและคิดร่วมมือกับเราโดยง่าย จึงได้ประทานสิ่งนี้มาให้ท่าน”
เทพบุตรวาดมือขึ้นกลางอากาศ พลันปรากฏจี้ห้อยคอรูปดาวห้าแฉกประดับเพชรเส้นหนึ่งขึ้น “นี่คือจี้เพชรประกายดาว” ลูคัสอธิบาย “มันมีคุณสมบัติที่จะปกป้องผู้สวมใส่จากสิ่งชั่วร้าย หากแม้ปีศาจตนใดบังอาจแตะตัวท่าน ร่างกายของพวกมันจะปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกน้ำร้อนราดก็มิปาน”
ชายหนุ่มรับสร้อยมาถือไว้ในมือขณะที่อีกฝ่ายสะบัดปีกถอยหลังกลับไป “ข้าจะนำคำพูดของท่านกลับไปหารือกับท่านเจ้าสวรรค์อีกครั้ง” เขาพูด “ในเร็ววันนี้เราคงได้พบกันใหม่ ขอโชคดีจงนำทางท่าน”
แสงสีทองสว่างวาบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ร่างหล่อเหล่าจะกลายสภาพไปเป็นก้อนกลม พุ่งย้อนกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแทบจะพร้อมกับที่แสงแรกของดวงอาทิตย์แตะขอบฟ้า เจ้าหญิงผุดลุกขึ้นทั้งๆ ที่ยังมีผ้าห่มผืนหนาม้วนรัดลำตัวเอาไว้ “ใครน่ะ” ทีราเลนเซียร้อง “เมย์ลินหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายตอบรับ เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าก็รีบลงจากเตียง จัดแต่งทรงผมให้เป็นทรงอย่างรวดเร็วขณะที่ใช้มืออีกข้างคว้าเอาเสื้อคลุมชุดนอนขึ้นสวมก่อนที่จะออกปากอนุญาตให้คนภายนอกเข้ามาได้
เสียงประตูเปิดปลุกให้ชายหนุ่มตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา เขาขยี้ตาขณะใช้มือยันกายขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล “นี่มันเช้าแล้วเหรอ” โอมปิดปากหาว “อรุณสวัสดิ์ ยอดรัก”
เจ้าหญิงหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ในขณะที่นักพยากรณ์สาวยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ แววตาที่นางจ้องมายังชายหนุ่มนั้นดูแปลกประหลาดนัก “ข้ากลัวท่านทั้งสองหิว จึงได้จัดสำรับอาหารขึ้นมาให้” เมย์ลินพูด หญิงรับใช้เกือบสิบคนถือถาดอาหารตรงเข้ามาจัดวางบนโต๊ะตัวยาว “ทั้งหมดเป็นอาหารที่มีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง พวกท่านต้องรับประทานให้มาก”
โอมหัวเราะลั่นในขณะที่ทีราเลนเซียแยกเขี้ยวใส่ “ข้าไม่หิว ขอบใจเจ้ามาก เมย์ลิน” นางแหว “นอกจากเรื่องอาหารแล้วเจ้ามีเรื่องอื่นจะหารือหรือไม่”
“มีแน่นอนเพคะ” นักพยากรณ์เอ่ยเสียงหวาน “หลังจากที่องค์ราชาทราบเรื่องของท่านผู้กล้า งานแต่งงาน และกองทัพออร์ค พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยที่จะกลับมายังปราสาทก่อนกำหนด คาดว่าคงจะมาถึงภายในสามหรือสี่วันนี้”
“ท่านพ่อจะกลับมาแล้วเช่นนั้นหรือ” เจ้าหญิงทวนคำ “แล้วเรื่องการเตรียมพิธีต้อนรับเล่า”
เมย์ลินก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ข้ามาเพื่อที่จะแจ้งให้องค์ชายทราบว่า หลังมื้ออาหารนี้ให้ท่านเตรียมตัวลงไปซักซ้อมในพิธีการต้อนรับ” นางพูด “สำหรับเจ้าหญิงและเจ้าชายเทลาเรนเซ่นั้นไม่น่าเป็นห่วง แต่ท่านผู้กล้านั้นยังใหม่อยู่มาก คงต้องซักซ้อมเรื่องขั้นตอนในพิธีไม่ให้เกิดผิดพลาดได้”
“องค์ราชางั้นเหรอ” โอมทวนคำหลังจากสำรวจสำรับอาหารเสร็จสิ้น “หมายความว่าเขาเป็นพ่อตาของฉันสินะ”
เมย์ลินพยักหน้ารับ “ใช่เพคะ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็ง ปกครองอาณาจักรแห่งนี้สืบต่อจากพระบิดามากว่ายี่สิบปีแล้ว” นางพูด “พระองค์เข้มงวดกับเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติมาก เพราะฉะนั้นข้าถึงได้มานัดเวลาซักซ้อมกับท่าน”
“ฉันรู้แล้ว ไว้กินข้าวเสร็จจะลงไป” ชายหนุ่มพูดเป็นเชิงไล่ “เธอก็ลงไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยแล้วกัน คงรู้นะว่าเธอมีคำถามมากมายที่ต้องตอบฉัน”
นักพยากรณ์สาวก้มหน้าต่ำ “คำถามของท่านข้าทราบดี” นางพูด “เช่นนั้นข้าขอตัว”
หลังจากเมย์ลินและหญิงรับใช้ล่าถอยออกไปหมดแล้ว โอมก็ค่อยๆ ยันกายขึ้นจากเตียง ตรงไปวักน้ำสะอาดในอ่างหินขึ้นล้างหน้า “นั่งโต๊ะเถอะทีร่า” เขาหันกลับมาบอกหญิงสาวที่ยังยืนนิ่ง “ฉันรู้ว่าเธอหิวมาก ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วก็ลงมือเถอะ”
“ข้าไม่หิวเท่าใด” ทีราเลนเซียตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็ยอมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง “ข้ากำลังคิดถึงเสด็จพ่อ พระองค์ต้องไม่ชอบใจเจ้าแน่”
“ไม่ชอบฉัน” ชายหนุ่มทวนคำขณะหย่อนกายลงบนเก้าอี้ข้างกายหญิงสาว “ไม่แปลกนะ พ่อตากับลูกเขยก็ไม่ถูกกันทั้งจักรวาลนั่นล่ะ ยิ่งฉันเป็นพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าเสียด้วย”
เจ้าหญิงเผลอหลุดหัวเราะออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย “ก็แน่ล่ะ อย่างที่เมย์ลินบอก เสด็จพ่อเคร่งเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติมากๆ” นางใช้ข้อศอกกระทุ้งเอวของอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง “หากเจ้าร่วมโต๊ะอาหารกับคนๆ หนึ่ง ตามมารยาทแล้วเจ้าก็ควรที่จะนั่งด้านตรงกันข้าม มิใช่นั่งเสียชิดข้าอย่างนี้”
“ต้องสนใจด้วยเหรอ” โอมคว้าส้อมคันหนึ่งขึ้นจิ้มไส้กรอกย่างในจาน “ถ้าจะให้ไปนั่งฝั่งตรงข้าม แล้วฉันจะโอบเอวพร้อมป้อนอาหารภรรยาสุดที่รักได้อย่างไร”
ทีราเลนเซียถลึงตาคู่สวยใส่ “เลิกเรียกข้าด้วยสรรพนามชวนอาเจียนเช่นนั้นเถอะ” นางพูด “และที่เจ้าถืออยู่นั่นคือส้อมสลัด เจ้าควรใช้ส้อมอีกคันพร้อมมีดตัดแบ่งให้เป็นชิ้นพอคำก่อนรับประทาน”
โอมส่ายศีรษะ “วุ่นวายเป็นบ้า” เขาบ่น แต่ก็ยอมทำตามวิธีของหญิงสาว หั่นไส้กรอกชิ้นโตให้เป็นท่อนพอคำ “เอาล่ะทีร่า อ้าปากสิ”
“เจ้าเอาเถอะ” นางพูด หยิบส้อมของตนขึ้นมาบ้าง “ข้าจัดการส่วนของข้าเองได้”
เจ้าหญิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าเอวบางของนางกำลังถูกมือใหญ่เกี่ยวกระหวัด “กินหน่อยเถอะ ทีร่า” โอมพูดเบาๆ ขณะโน้มใบหน้าลงใกล้ “ไหนๆ ฉันก็ยอมหั่นตามที่เธอบอกแล้วนี่”
ทีราเลนเซียเผยสีหน้าอ่อนใจด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึกพิเรนทร์อะไรขึ้นมาได้อีก หญิงสาวตัดสินใจงับไส้กรอกที่ถูกจ่อจนเกือบจะสัมผัสกับริมฝีปาก ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นนางยอมเคี้ยว “อร่อยไหม” เขาถาม
เจ้าหญิงยิ้มออกมาไม่ตอบคำ รอจนกลืนอาหารในปากลงไปแล้วจึงเอ่ยปาก “เจ้าจะถามไปเพื่อเหตุใด” น้ำเสียงนั้นฟังดูอารมณ์ดีแม้จะมีมือของอีกฝ่ายสัมผัสอยู่ที่เอว “เจ้าไม่ใช่คนปรุงเสียหน่อย จะอร่อยหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
โอมยิ้ม “ถ้าอร่อยฉันจะได้ป้อนเธออีกไง”
ดวงตีสีม่วงถลึงใส่ คราวนี้ดูแง่งอนมากกว่าที่จะโกรธเคือง “มือซ้ายของเจ้าโอบเอวข้าอยู่ ไฉนเลยจะมีมือจับส้อมเสียบไส้กรอกอีก”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ เขาปล่อยมือจากเอวของหญิงสาวก่อนที่จะไพล่มันข้ามขึ้นไปจับข้อมือซ้ายของอีกฝ่ายไว้ “ก็ใช้มือนี้จับไง” เขาพูดพร้อมบังคับให้มือที่ถือส้อมของหญิงสาวเสียบไส้กรอก ก่อนใช้มีดในมือขวาของตนหั่น “เอาล่ะเรียบร้อย ทีนี้ก็อ้าปาก”
แม้เจ้าหญิงจะส่งสายตาขุ่นเคืองใส่แต่ก็ยอมอ้าปากตามคำสั่งของอีกฝ่ายโดยไม่เอ่ยปัด แต่ขณะที่นางกำลังจะงับชิ้นไส้กรอก เสียงกระแทกส้นเท้าดังโครมครามก็ดังสนั่นมาตามบันได ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดผางออกโดยไม่มีการเอ่ยขอ เจ้าชายเทลาเรนเซ่ก้าวอาดๆ เข้ามาในห้อง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นภาพของคู่ชายหญิงตรงหน้า “เจ้าตัวชั่วช้า” เขาร้อง “เอามือโสโครกของเจ้าออกไปจากตัวของพี่สาวข้าเดี๋ยวนี้”
"นี่! เขียนถึงไหนแล้ว" หญิงสาวผู้มีฐานะเป็นบก.ของชาวหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งกล่าวถาม "ใกล้เดดไลน์แล้วนะคุณนักเขียน เมื่อไหร่จะส่งตัวเต็มให้สักที"
นักเขียนหนุ่มจ้องมองหญิงสาวใต้ชุดสูทรัดรูปสีดำเข้ม แล้วก้มหน้าลงพิมพ์งานเขียนของตนในโน้ตบุ๊คต่อ "พี่มุขอย่าเร่งมากสิครับ ผมก็เขียนเต็มที่แล้วนะ แล้วไหนตอนแรกบอกว่าวันนี้แค่จะมาเช็คความคืบหน้าไง..."
"ยังไงก็เถอะนิยายเรื่อง 'ผู้กล้าวายร้ายทะลุมิติ' เนี่ย ถ้าไม่รีบเข็นออกไปพิมพ์ขายตอนนี้มันจะหมดกระแสเอานะตะไคร้" ไข่มุกเริ่มบ่นเสียงอิดออด เธอกอดอดแน่น จนหน้าอกเริ่มล้นหลามออกนอกแขน "ยังไงวันนี้ฉันก็ขอตรวจตอนล่าสุดก่อนละกัน"
"ครับพี่ๆ" ตะไคร้ตอบรับลนลาน พลางหมุนโน้ตบุ้คเครื่องโตไปทางอีกฝ่าย นั่งลุ้นอย่างจดจ่อเมื่อเห็นเธอเริ่มกวาดสายตาอ่านจริงจัง จนเขาใจเต้นตุ๊บๆ
เจ้าหญิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่น้องชายของตนโผล่เข้ามาอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางพยายามจะผุดลุกขึ้น แต่ก็ถูกมือใหญ่ที่โอบรอบเอวรั้งเอาไว้
“นายขึ้นมามีธุระอะไร” น้ำเสียงของโอมฟังดูไม่สบอารมณ์ “แล้วพวกทหารยามหายหัวไปไหนหมด ทำไมถึงปล่อยให้เข้ามาเงียบๆ ได้”
“ทหารยามพวกนั้นเป็นตัวอะไรถึงคิดจะขวางทางข้า” เทลาเรนเซ่กล่าวอย่างโอหัง “ข้ามาตามพี่สาวของข้าไปร่วมโต๊ะอาหารเช้า คลายมือโสโครกของเจ้าออกได้แล้ว”
“พี่สาวของนายก็กำลังกินข้าวเช้าอยู่นี่ไง” โอมโต้ตอบอย่างไม่กลัวเกรง “ไหนว่าเป็นผู้ดีมีมารยาทกัน ทำไมถึงได้ทรามขนาดมาขัดจังหวะคู่รักข้าวใหม่ปลามันแบบนี้”
“นี่เจ้า” เจ้าชายหนุ่มถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล มือข้างถนัดเลื่อนไปจับด้ามดาบที่ข้างเอว “คนต่ำช้า คุกเข่าขอโทษข้าเดี๋ยวนี้”
อันที่จริงแล้วโอมก็ไม่ได้คิดอยากจะรับประทานอาหารกับเจ้าหญิงเพียงลำพังในเชิงชู้สาว เพียงแค่ต้องการสนทนาถึงเสด็จพ่อของนางเท่านั้น หากแม้เจ้าชายผู้นี้ขึ้นมาเชิญนางลงไปดีๆ เขาก็พร้อมที่จะยอมยกโทษให้กับเรื่องแย่ๆ ที่ผ่านมา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีไม่ยอมลดราวาศอกเช่นนี้ ต่อให้เอาช้างมาลาก ชายหนุ่มก็ไม่มีวันปล่อยมือจากหญิงสาวเป็นอันขาด
“พวกเจ้าน่ะ พอกันเสียที”
ดูเหมือนว่าน้ำเสียงของเจ้าหญิงจะมีผลต่อโอมมากกว่าแรงช้างลาก ชายหนุ่มคลายมือออกจากข้างเอวของหญิงสาวที่ก้าวเดินอย่างแช่มช้าตรงไปยังน้องชายที่กำลังทำท่าจะกระชากดาบออกจากฝัก “เราไปกันเถอะ เจ้าอย่าได้มีเรื่องกันที่นี่เลย”
เจ้าชายเทลาเรนเซ่ทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมปล่อยมือจากด้ามดาบตามคำของพี่สาว ก่อนที่จะยอมให้อีกฝ่ายลากแขนเดินออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย ในขณะที่โอมทำได้แต่นั่งมองคนทั้งคู่ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูไป
เขาไม่ชอบน้ำเสียงที่เพิ่งได้ยิน มันเป็นเสียงพูดขณะกลั้นน้ำตาของเอมที่เขาเคยได้ยินเมื่อหลายปีก่อน โอมรู้ดีว่าเพื่อนสาวของเขาไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา การที่จะบีบให้เธอแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาได้นั้นต้องเป็นอะไรที่จี้ใจดำของเธอจริงๆ และทีราเลนเซียเองก็คงเป็นแบบเดียวกัน
ปมของเอมคือการที่ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท อาจเป็นเพราะเธอหน้าตาดีเกินกว่าใครในกลุ่ม เลยมักถูกตามเอาใจจากชายหนุ่มมากหน้าหลายตาจนอาจทำให้ใครหลายๆ คนอิจฉา ครั้งหนึ่งเอมเคยถูกเพื่อนที่คิดว่าสนิทส่งกรรไกรมาให้เป็นของขวัญวันเกิด หลังจากที่ผู้ชายที่เพื่อนคนนั้นชอบเข้ามาจีบเธอ
โอมมองตามเจ้าหญิงที่กำลังจะหายลับไปจากสายตา ปมของเจ้าหล่อนก็คงไม่พ้นเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว กอปรกับภาระหน้าที่ต่างๆ ที่ราชนิกุลอย่างเธอต้องแบกรับเอาไว้ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ตกลงปลงใจยอมแต่งงานกับเขาตามคำทำนายบ้าๆ เช่นนี้
ดวงตาสีม่วงคู่นั้นเหลือบกลับเข้ามาในห้อง นัยน์ตาของเจ้าหล่อนฉายแววประหลาดออกมาเมื่อประสานสายตาเข้ากับโอมที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนที่เทลาเรนเซ่จะกระตุกแขนพี่สาวให้ก้าวลงบันไดหายลับไป
เมย์ลินยืนรออยู่แล้วเมื่อโอมปรากฏตัวขึ้นที่ท้องพระโรง หญิงสาวโปรยยิ้มหยาดเยิ้มขณะย่อกายถอนสายบัวทำความเคารพ “อาหารเช้าเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางที่ดูกระเซ้าทำให้ชายหนุ่มเข้าใจได้ว่านางคงทราบเรื่องที่เทลาเรนเซ่ขึ้นไปอาละวาดแล้ว โอมเลิกคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ขณะที่เอ่ยปาก “จริงๆแล้วเธอเป็นใคร”
“ข้าคือเทพธิดานามว่าอาเฟรเนียส” นักพยากรณ์สาวตอบโดยไม่ปิดบัง “นับแต่นี้ข้าได้รับคำบัญชาจากท่านเจ้าสวรรค์ให้ช่วยท่านในทุกเรื่อง มีสิ่งใดขาดเหลือโปรดบอกข้า”
“ยกเว้นเรื่องกลับบ้าน”
เทพธิดาสาวหัวเราะคิก “ใช่เพคะ องค์ชาย” นางยิ้ม “หรือจะให้ข้าเรียกท่านว่าผู้กล้าดี”
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะอย่างหัวเสีย “เรียกฉันว่าโอมเฉยๆ ก็พอ” เขาพูด “เอาล่ะ มาเข้าเรื่องเถอะ เธอมีอะไรจะให้ฉันทำ”
“ข้าต้องมาช่วยเตรียมตัวท่านให้พร้อมรับเสด็จองค์ราชา” อาเฟรเนียสพูด “อันดับแรก คำพูดของท่านช่างแสลงหูเสียเหลือเกิน ต่อจากนี้โปรดเรียกตัวเองว่า ‘ข้า’ แทนตัวผู้ต่ำศักดิ์กว่าว่า ‘ท่าน’ หรือ ‘พระองค์’ ในกรณีที่พูดกับองค์ราชา”
“เรื่องสำนวนลิเกน่ะฉันพูดได้—”
“ต้องเป็น ’ข้า’ พูดได้ สิเพคะ”
“เออ ก็ได้ ข้าพูดได้” โอมยอมแก้ตามที่อีกฝ่ายแย้ง “มาพูดถึงพิธีกันต่อเถอะ หลังจากที่พระราชามาถึงแล้วๆ ไงต่อ”
“องค์ราชาจะเสด็จลงจากม้าที่หน้าประตูปราสาท เจ้าหญิงทีราเลนเซียและเจ้าชายเทลาเรนเซ่จะรอรับเสด็จพ่อของพวกเขาอยู่ที่นั่น” หญิงสาวบรรยาย “ส่วนท่านจะรออยู่ตรงหน้าบัลลังก์ ในท้องพระโรงแห่งนี้”
ชายหนุ่มเหลียวไปมองบัลลังก์ไม้ประดับอัญมณีที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง “ให้ฉัน— ให้ข้ายืนตรงนี้สินะ” เขาถาม “แล้วยังไงต่อ”
“องค์ราชาจะเดินตรงเข้ามา ขุนนางที่ตั้งแถวรออยู่ทั้งสองข้างจะโค้งคำนับเมื่อพระองค์เดินผ่าน” อาเฟรเนียสพูดต่อ “แต่ท่านไม่ต้องรีบคำนับตามคนพวกนั้น รอจนกระทั่งองค์ราชามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าท่านก่อนแล้วจึงค่อยโค้งคำนับ”
ไม่พูดเปล่า เทพธิดาในคราบนักพยากรณ์ยกมือขวาขึ้นแนบอกซ้าย ในขณะที่ค่อยๆ ค้อมศีรษะลงเป็นตัวอย่าง “แบบนี้คือการคำนับเพคะ” นางพูด “ท่านคงจะเคยถูกขุนนางในปราสาทคำนับทำความเคารพอยู่บ้าง วิธีที่เหมาะสมสำหรับท่านคือการโค้งต่ำๆ ตอบ หรืออย่างน้อยก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก็ยังดี”
ชายหนุ่มลองทำตามด้วยการยกมือขวาขึ้นแตะที่หัวใจพร้อมก้มศีรษะลง “แบบนี้น่ะเหรอ” โอมถามเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “ข้าทำถูกหรือเปล่า”
เป็นฝ่ายหญิงสาวที่ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา “พอดูได้เพคะ” นางพูด “แต่วันนี้ยังมีเวลาเหลืออีกมาก เราซักซ้อมกันอีกสักหลายรอบก็คงดี”
กูอ่านแล้วโคตรเพลินจนไม่อยากแต่งต่อ กูติดตามอยู่นะ
บนโต๊ะอาหารตัวยาวเรียงรายไปด้วยอาหารหลายสิบชนิดที่ถูกปรุงขึ้นอย่างประณีต ภาพนั้นช่างขัดกับจำนวนผู้ร่วมรับประทานอาหารที่มีเพียงแค่เจ้าหญิงและเจ้าชายผู้สูงศักดิ์แห่งราชสกุลเอสเปอร์รัญญ่าเท่านั้น
สีหน้าของเทลาเรนเซ่ยังคงขุ่นมัว เขาใช้ส้อมแทงใส่ไส้กรอกชิ้นหนึ่งราวกับแค้นเคืองกันมาแต่ปางก่อน “เจ้าคนชั้นต่ำนั่นมันช่างโอหังยิ่งนัก” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “หากไม่ติดว่ามันเป็นผู้กล้าตามคำทำนายล่ะก็ ข้าจะสั่งประหารมันเสียเดี๋ยวนั้นเลย”
เจ้าหญิงยังคงเคี้ยวอาหารต่อไปอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าอันเรียบเฉย เมื่อกลืนอาหารคำนั้นลงไปแล้วจึงค่อยเปิดปากพูด “น้องอย่าย้อนความอีกเลย” น้ำเสียงของทีราเลนเซียฟังดูไม่ยินดียินร้าย “ยังมีเรื่องอีกมากที่จะต้องจัดเตรียมมิใช่หรือ”
เทลาเรนเซ่พ่นลมหายใจยาว “บ่ายนี้ข้ามีนัดลงตรวจกองทัพ” เขาพูดก่อนหันไปหาอัศวินผมทองที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลัง “พัลพาทีน เรื่องที่ข้าสั่งเจ้าไว้เมื่อคืนดำเนินการไปถึงไหนแล้ว”
อัศวินขาวชิดเท้าตรง ตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “กระหม่อมได้จัดเตรียมม้าพันธุ์ดีไว้ฝูงหนึ่งตามคำสั่งแล้วพะยะค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างพึงใจ ในขณะที่พี่สาวของเขาเผยสีหน้าฉงนออกมา “ม้าพันธุ์ดีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถาม “น้องจะออกทำยุทธนาวี ไฉนถึงต้องการม้า”
เทลาเรนเซ่ยิ้มกริ่ม “วิธีที่ดีที่สุดที่จะสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กองทัพคือการจัดงานประลองยุทธ์” เขาพูดพร้อมยกถ้วยใส่เหล้าองุ่นขึ้นดื่ม “ข้าจะลงแข่งขันทั้งด้านเพลงอาวุธ ขี่ม้า และยิงธนู ย่อมแน่ว่าผู้ชนะสมควรจะเป็นข้าซึ่งเป็นแม่ทัพ เช่นนี้แล้วความภักดีของเหล่าทหารจะไปไหนเสีย”
เจ้าหญิงพยักหน้ารับ “เรื่องการทหารพี่จะไม่ขอยุ่ง” นางพูด “แต่เสด็จพ่อจะกลับมาในไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว น้องได้คิดเผื่อถึงเรื่องนี้ไว้หรือไม่”
“ข้าไม่เห็นว่าเรื่องของเสด็จพ่อจะมีอะไรน่าห่วง” ผู้เป็นน้องชายตอบกลับแทบจะในทันที “คนที่ควรกังวลน่ะคือเจ้าคนชั้นต่ำนั่นเสียมากกว่า ท่านพ่อต้องไม่ชอบใจมันอย่างมากแน่ ถึงจะต้องฝืนยอมรับมันในฐานะผู้กล้าตามคำทำนายก็ตาม”
“แน่ทีเดียวขอรับ ข้าไม่เห็นว่าเจ้านั่นจะมีอะไรพิเศษ” อัศวินขาวอดพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาไม่ได้ “ดูท่าแล้วไม่เหมือนคนมีฝีมืออันใด นอกจากใช้ความต่ำช้าปลิ้นปล้อนหากินไปวันๆ เท่านั้น
เจ้าชายหนุ่มตบโต๊ะหัวเราะ ไม่ได้รู้สึกว่าการที่อีกฝ่ายเอ่ยปากพูดในสิ่งที่ตนไม่ได้ถามในคราวนี้นั้นจะเป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด นั่นผิดกับสีหน้าของทีราเลนเซีย เจ้าหญิงนิ่วหน้าขณะหันสายตาคู่สวยของนางไปยังอัศวินผู้นั้น “ท่านควรระวังคำพูดเสียหน่อย” เจ้าหล่อนเอ่ย “ไม่ว่าจะอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นเจ้าชายคนหนึ่งของอาณาจักรเรา ซ้ำเขายังเป็นผู้กล้าตามคำทำนายอีก คงไม่ใช่คนไม่ได้เรื่องถึงขนาดที่ท่านว่าแน่”
แม้จะไม่พอใจที่ได้ยินคำพูดนั้นแต่ด้วยศักดิ์แล้วพัลพาทีนก็จำต้องก้มศีรษะขอโทษที่ล่วงเกิน แต่สิ่งที่ทีราเลนเซียเพิ่งพูดไม่ได้มีความหมายอะไรกับพระอนุชาของนาง เจ้าชายหนุ่มจ้องหน้าพี่สาวเขม็งก่อนแค่นเสียงออกมา “นี่มันอะไรกัน”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เจ้าหญิงถามกลับ “พี่ก็พูดไปตามความจริงเท่านั้น ฐานะของเขาตอนนี้เทียบเท่าพวกเราทั้งสองคน จะปล่อยให้คนอื่นมาพูดไม่เหมาะสมเช่นนี้ได้หรือ”
“ถ้ามันเป็นเรื่องจริงแล้วไยต้องปกปิดมัน”
“เจ้าแน่ใจแค่ไหนกันว่านั่นเป็นเรื่องจริง”
เทลาเรนเซ่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะกระดกมุมปากยิ้ม “ข้าคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้แล้ว” เจ้าชายพูด “ในงานประลองยุทธ์ เจ้าคนชั้นต่ำนั่นจะต้องร่วมการประลองด้วย ถือเสียว่าเป็นการเปิดตัวให้ประชาชนและพวกเราได้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วนั้นฝีมือของมันเป็นเช่นไร”
ทีราเลนเซียชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ในขณะที่พระอนุชาของนางยังคงพูดต่อไปด้วยรอยยิ้มเย็น “เสด็จพ่อเองก็คงอยากรู้ถึงฝีมือของมันเช่นกัน ท่านต้องไม่คัดค้านแน่” เขาวางแผนต่อไปเป็นฉากๆ “ต่อให้มันเก่งอย่างไรสุดท้ายก็จำต้องแพ้ให้แก่ข้าในรอบชิงชนะเลิศ แต่เชื่อเถอะ มันไม่มีทางมาถึงรอบนั้นได้หรอก”
หายไปไหนกันแล้วอะพวกมึง รออยู่นะ
"ไม่ไหวๆ ยิ่งเขียนยิ่งหัวตื้อไปหมดเลย" ตะไคร้บ่นกับตัวเองขณะนั่งพิมพ์นิยายอยู่ในห้องส่วนตัวหลังกลับถึงห้อง
"ต่อไปก็..." เขายกมือขึ้นเตรียมกดแป้นพิมพ์เว้นบรรทัด
ทันใดนั้นเองเมื่อเขาได้นิ้วได้สัมผัสลงไปบนปุ่ม 'enter' แสงสว่างวาบได้พลันส่องขึ้นทะลุออกจากหน้าจอ
"เวรแล้ว!" ตะไคร้ร้องตกใจ พร้อมยกแขนทั้งสองขึ้นบังหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
หลังรู้สึกได้ว่าแสงนั้นจางหายไป และตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะบาดเจ็บอะไรเลย จึงค่อยๆ ยกแขนออกแล้วลอบมองตรงหน้า "ไม่ระเบิด?" แต่ว่าภาพตรงหน้านั้นกลับยิ่งทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าเดิม
มันไม่ใช่โน้คบุ้คบ้านๆ ในห้องเก่าๆ อย่างที่เขาเห็นเมื่อไม่นานนี้ แต่มันกลับเป็นดวงตากลมสีม่วงงามที่กำลังประสานตาเข้ากับเขาอยู่ ทั้งยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดใบหน้า กลิ่มหอมหวานคล้ายเช่นดอกไม้ และสัมผัสนุ่มนิ่มบนริมฝีปาก!
"เฮ้ย" ตะไคร้ร้องเสียงหลง พร้อมถอนใบหน้ากลับ "เธอเป็นใคร ทำไมฉันถึง..."
หญิงสาวคนนั้นนั่งหน้าชาชะงัก เธอเผยอริฝีปากขึ้น ยกมือผลักเข้าเต็มแรงที่อกตะไคร้จนเขาเซล้มลงพื้น "เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงถึงโผล่มานั่งอยู่บนตักข้า...ไม่สิ ควรถามว่าเจ้ามานั่งอยู่บนตักข้าได้ยังไงมากกว่า!"
"เดี๋ยวสิๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน เธอเป็นใคร แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่กลางมื้ออาหารสุดหรูได้ล่ะ" คะไคร้หันรีมองชายอีกคนที่จ้องเขาด้วยใบหน้าตื่นวิตกอยู่
"อยากรู้มากใช่มั้ย?" เธอคนนั้นถามพร้อมลุกขึ้นยืน "ในนามของทีราเลนเซีย ฟราดิก้า เอสเปอร์รัญญ่า ข้าขอทำการจับกุมเจ้า ทหาร!"
"ทีราเลนเซีย?" ตะไคร้เบิกตาโต ขยับแว่นจ้องมองเธออย่างไม่อยากเชื่อ "ตัวละครในนิยายของฉันนี่"
"เดี๋ยวก่อนท่านพี่!" ชายคนที่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันสั่งห้ามขัดจังหวะ "ข้ารู้สึกเหมือนมันคล้ายกับเหตุการณ์ที่ท่านพี่เล่าให้ฟัง"
"เหตุการณ์ไหนกันน้องข้า" ทีราเลนเซียพยายามสะกดกั้นอารมณ์ตัวเองถาม
"ตอนที่ท่านพี่ไปอัญเชิญผู้กล้ายังไงล่ะ" ชายคนนั้นเผยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความตกใจยิ่งกว่าเดิม "หรือเขาจะเป็นผู้กล้า"
"ผู้กล้า" ทีราเลนเซียทวนคำเสียงหน่าย "ชักเริ่มขยะแขยงคำนี้เต็มทนแล้วสิ"
หายเงี่ยนเลย 55555
คนพวกนี้มีพิธีรีตองมากกว่าที่ชายหนุ่มคิด เขาต้องจำตำแหน่งต่างๆ ของขุนนางในปราสาทกว่าร้อยตำแหน่ง แม้กระทั่งการที่เขาจะขอพักดื่มน้ำ นักพยากรณ์กำมะลอผู้นี้ยังไม่วายหาทางสอนเขาถึงการจับถ้วยแก้วแต่ละประเภทให้ถูกต้อง
“จะให้ฉัน— ให้ข้าเรียนรู้อะไรอีกล่ะ” โอมพูดอย่างหัวเสีย ขณะวางแก้วน้ำในมือลงด้วยท่วงท่าที่ถูกสอน “เราเรียนวิธีก้าวเท้า วิธีก้มหัวผ่านประตูมาแล้วนี่ ต่อไปจะเป็นอะไร วิธีเดินลงบันไดอย่างงั้นเหรอ”
เทพธิดาสาวหัวเราะเป็นเชิงพึงใจ “องค์ชายก็ประชดหม่อมฉันเกินไป” เจ้าหล่อนทำเสียงฉอเลาะ “วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้เพคะ ท่านเรียนรู้เร็วทีเดียว พรุ่งนี้ซักซ้อมกันอีกสักรอบสองรอบก็คงใช้ได้แล้ว”
“พรุ่งนี้อีกเหรอ” ชายหนุ่มกลอกตา “เอาเถอะ ถ้ามันจะช่วยให้ฉัน— ให้ข้ากลับบ้านได้เร็วขึ้นล่ะก็นะ”
อาเฟรเนียสย่นจมูก “ท่านก็พูดแต่เรื่องกลับบ้าน” นางเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงตัดพ้อ “องค์หญิงไม่งดงามพอหรือไร หรือท่านไม่ได้รับความสะดวกอื่นใด ท่านบอกกล่าวกับข้าได้ตลอดเวลา”
“อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรา” โอมเอ่ย สีหน้าบึ้งตึง “ที่โลกของฉันเรื่องมันกำลังไปได้สวย ฉันได้ทุนไปเรียนต่อนอก พ่อแม่ก็กำลังดีใจ เพื่อนๆ ก็กำลังฉลอง— เอาเถอะ ใช่ว่าเมืองนอกจะไปยากกว่าโลกต่างมิติเสียเมื่อไหร่”
นักพยากรณ์สาวหัวเราะเบาๆ ก่อนขอตัวจากไป ปล่อยให้โอมได้เดินสำรวจปราสาทอย่างอิสระเป็นครั้งแรกนับแต่ถูกส่งมายังโลกแห่งนี้
เขาก้าวเท้าไปตามโถงทางเดิน ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ตามจุดโค้งคำนับให้เขาทันทีเมื่อเห็นหน้า ชายหนุ่มเองก็พยักหน้าตอบอย่างสุขุมเมื่อเดินผ่านเช่นกัน ในที่สุดขาของเขาก็นำร่างมาสู่อุทยานแห่งหนึ่ง กลิ่นหอมของปวงบุปผาและเสียงเจื้อยแจ้วของนกน้อยเรียกให้เขาหยุดยืนอยู่กับที่
แต่อารมณ์สุนทรีย์ของชายหนุ่มก็คงอยู่ได้ไม่นาน เสียงร้องโวยวายจากทางด้านหลังดังขึ้นกลบเสียงสกุณา โอมขมวดคิ้วเมื่อหลุดจากภวังค์ก่อนหันกายกลับไปมอง เห็นเป็นทหารองครักษ์ร่างกำยำกลุ่มหนึ่งกำลังหิ้วปีกชายแต่งตัวประหลาดไปตามทางเดิน
ขณะที่โอมกำลังจะชักสายตากลับ ร่างของเขาก็พลันสะท้านขึ้น ชายหนุ่มเพ่งสายตาไปยังนักโทษที่กำลังถูกหิ้วปีกผู้นั้นอีกครั้ง ที่เห็นแวบแรกว่าแต่งตัวประหลาดนั่นคงเป็นเพราะเขาใช้คนในโลกนี้เป็นมาตรฐาน แต่จริงๆ แล้วไอ้หมอนั่นมันใส่เสื้อยืดกับกางเกงบอลอยู่ไม่ใช่หรือ
โอมคิดจะร้องเรียกแต่ขบวนนั้นก็เดินลับมุมไปเสียแล้ว ในขณะที่จะวิ่งตามก็พลันคิดได้ว่าเป็นกริยาที่ไม่เหมาะสมไปเสียอีก เขาร้องด่าธรรมเนียมปฏิบัติพวกนั้นอยู่ในใจขณะที่ก้าวเดินไปตามทางอย่างสุขุม เดาได้ไม่ยากว่านักโทษคนนั้นคงจะถูกส่งไปยังที่ๆ เหมาะสม— คุกใต้ดิน
คุกใต้ดินไม่ใช่ที่น่าอภิรมย์อย่างยิ่งไม่ว่าจะสำหรับใครก็ตาม แต่ถ้าต้องการรู้คำตอบ เขาก็ต้องเข้าไป โอมเดินตรงไปยังปากทางเข้า ทหารที่เฝ้ายามอยู่รีบทำความเคารพเขาทันที “เมื่อครู่มีนักโทษถูกพาตัวเข้าไปใช่หรือไม่” เขาถาม “มันเป็นใคร”
“อ่า เรื่องนั้นข้า— เอ๊ย กระหม่อมก็ไม่ทราบพะยะค่ะองค์ชาย” ทหารผู้นั่นละล่ำละลักตอบ “แต่องค์หญิงมีคำสั่งว่าห้ามใคร— ได้พะยะค่ะ กระหม่อมจะเปิดให้เข้าไปเดี๋ยวนี้”
โอมรับตะเกียงมาถือไว้ในมือขณะที่ก้าวเท้าลงไปยังคุกใต้ดิน กลิ่นสาบหนูอันคุ้นเคยโชยแตะจมูกเขาทันที ชายหนุ่มนิ่วหน้าขณะก้าวตรงไป พยายามยกเท้าหลบไม่ให้เผลอเหยียบขี้หนูหรือเมือกโคลน
เขาสวนทางเข้ากับกลุ่มทหารที่นำนักโทษเข้ามาส่งพอดี แค่เห็นหน้าเพียงพริบตาเดียวโอมก็สามารถจดจำได้ว่า หนึ่งในนั้นเป็นทหารคนสนิทของพัลพาทีนที่เคยเฝ้าดูเขาถูกซ้อม “ท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ทหารผู้นั้นร้อง “เจ้าหญิงมีรับสั่งไม่ให้ใครเข้ามายังที่แห่งนี้”
“ข้ามาเยี่ยมนักโทษ” โอมตอบเสียงเย็น “เจ้าไปรายงานนางเถิดว่าข้าเข้ามา หากมีเรื่องอันใดให้มาบอกกับข้าได้โดยตรง”
แม้ทหารนายนั้นจะดูไม่พอใจ แต่อย่างไรก็ยังข่มสติเอาไว้ได้ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรายงานให้ท่านอัศวินขาวทราบตามขั้นตอน” เขาพูด “เชิญท่านเถอะ”
โอมพยักหน้ารับคำนั้นก่อนก้าวเดินต่อไป พวกทหารที่เหลือดูไม่แข็งกร้าวเท่าชายคนแรก พวกเขาก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงทำความเคารพเมื่อผู้กล้าเดินผ่านก่อนเดินอย่างเป็นระเบียบกลับขึ้นไปด้านบน
เสียงร้องโวยวายช่วยนำทางให้ชายหนุ่มมาถึงจุดหมายได้ไม่ยาก ใช่อย่างที่เขาคิด นักโทษรายนั้นสวมเสื้อยืดกับกางเกงบอลอยู่จริงๆ ชายในห้องกรงเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนก่อนเบิกตากว้าง “นายคือโอมอย่างนั้นเหรอ”
แม้โอมจะเดาได้ไม่ยากว่าชายตรงหน้าคงเป็นคนที่ข้ามมิติมาเหมือนกับเขา แต่ก็ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะรู้ชื่อของเขาด้วย “นายเป็นใคร” เขาถาม “รู้จักฉันได้ยังไง”
“ก็ฉันเป็นคนเขียนเรื่องบ้าๆ นี่ขึ้นมาน่ะสิ” นักโทษร้องอย่างสติแตก “โอม ขอร้องล่ะ เอาฉันออกไปจากที่บ้าๆ แบบนี้ที”
“ใจเย็นๆ ฉันช่วยนายแน่” โอมพูดปลอบเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มจะพูดไม่เป็นภาษาคน “นายว่ายังไงนะ นายเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างงั้นเหรอ มันหมายความว่ายังไงกัน”
“ก็หมายความว่าฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมายังไงเล่า” ฝ่ายนั้นยังไม่เลิกสติแตก “เรื่องของโลกนี้ จอมมาร เจ้าหญิง ผู้กล้าจากต่างมิติ ฉันเขียนมันขึ้นมาเอง”
โอมนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก็จะเผยอยิ้มน้อยๆ ออกมา “สรุปว่าที่นี่ไม่ใช่โลกต่างมิติ แต่เป็นโลกในนิยายที่นายเขียนอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ จะพูดแบบนั้นก็ได้” นักโทษร้อง ดูสงบจิตใจลงได้บ้างแล้ว “แต่มันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว พูดให้ถูกจริงๆคือนี่เป็นโลกต่างมิติของนาย แต่เป็นโลกในนิยายของฉัน”
ผู้กล้าหนุ่มขมวดคิ้ว “นายพูดอะไร” เขาถาม “โลกต่างมิติของฉัน ในนิยายของนาย”
“ฉันสร้างนายขึ้นมา โอม นายเป็นตัวละครตัวหนึ่งในนิยายของฉัน” นักโทษพูดรัวเร็ว “ฉันชื่อตะไคร้ เข้าใจไหม ฉันสร้างนายขึ้นมา”
โอมเลิกคิ้ว มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าอีกฝ่ายกำลังสับสนอะไรบางอย่าง “แล้วเรื่องมันเป็นยังไง ฉันหมายความถึงตอนจบน่ะ”
“ตอนจบนายจะรู้ว่าตัวเองไม่มีอยู่จริง โลกของนายก็ไม่มีอยู่จริงเหมือนกัน หลังจากปราบจอมมารได้แล้วร่างของนายก็จะหายไป เจ้าหญิงพยายามวิ่งเข้ามากอดนายแต่ก็กอดไม่ได้ จากนั้นนาย— ”
“กระโดดลงทะเลเหรอ ฟังดูเหมือนตอนจบไฟนอลสิบนะ”
“ใครสนวะ ขายได้ก็พอแล้วน่า”
โอมหลุดหัวเราะออกมาขณะสาวเท้าถอยหลัง “เอาเป็นว่าฉันจะไปบอกให้เจ้าหญิงปล่อยตัวนายออกมาก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพูด “ระหว่างนี้นายก็ตั้งสมาธิดีๆ ทำใจให้สงบ เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีก”
“ฉันไม่ได้บ้านะเฮ้ย” ตะไคร้ร้องสุดเสียงเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันหลังกลับ “กลับมาก่อน อย่าทิ้งฉันไว้ในนี้คนเดียว ฉันกลัวความมืด”
โอมเอียงศีรษะกลับมา “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ฉันไม่มีกุญแจสักหน่อย” เขายิ้ม “อดทนหน่อยน่าเพื่อน ฉันไม่ปล่อยให้นายตายในนี้หรอก”
เจ้าหญิงยืนรอเขาอยู่ในโถงปราสาทนานแล้ว “เจ้าคนชั่วช้านั่นพูดอะไรบ้าง” นางเอ่ยถามเมื่อเห็นโอมเดินตรงเข้ามา “มันแย่เสียยิ่งกว่าเจ้า นอกจากจะล่วงเกินข้าแล้ว ยังสติแตกอย่างกับอะไรดี”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “มันล่วงเกินเจ้าหรือ” เขาถาม “อย่างไรกัน”
ทีราเลนเซียมองค้อนก่อนเผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “สำนวนเจ้าผิดแปลกไป” นางทัก “แค่เพียงครึ่งวันเศษ เมย์ลินก็เป่ามารยาทใส่ตัวเจ้าได้แล้วหรือนี่ เห็นทีว่าข้าต้องเลื่อนตำแหน่งให้นาง”
“ตำแหน่งนักพยากรณ์ยังไม่สูงศักดิ์พออีกหรือ”
“ดูจากเจ้าแล้ว ข้าว่านางเหมาะที่จะฝึกสุนัขหลวงมากกว่า”
โอมพ่นลมหายใจยาว ดูขบขันมากกว่าที่จะโกรธเคือง “คำพูดเช่นนั้นไม่เหมาะจะออกจากปากเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์มิใช่หรือ”
ดวงตาสีม่วงค้อนใส่อีกวงหนึ่ง ไม่ตอบคำ “ตอบคำถามข้าก่อนเถิด เจ้าคนชั่วช้านั่นพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”
“เจ้าหมอนั่นมันสติแตกทีเดียว” ชายหนุ่มกล่าวตอบ “คุยตรงนี้คงไม่เหมาะ เจ้าพอจะรู้จักที่สงบๆ ที่จะไม่มีใครผ่านไปมาบ้างหรือไม่”
“คงเป็นที่ห้อง— เจ้าคนชั่วช้า ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” เจ้าหญิงแหวเมื่อเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของโอม “ข้าคิดออกแล้ว เราไปที่อุทยานกันเถอะ ที่นั่นคงพอจะสนทนากันอย่างเงียบๆ ได้ และไม่ลับตาคนดีด้วย”
“เจ้าจะสนใจสายตาผู้อื่นทำไม” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่โอมก็ยอมเดินเคียงคู่กับหญิงสาวไปอย่างว่าง่าย “เจ้าเข้าพิธีแต่งงานกับข้าแล้ว ยังจะให้คนอื่นคิดว่าเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่อีกอย่างนั้นเหรอ”
ใบหน้าของเจ้าหญิงแดงก่ำ “ดูเจ้าพูด” นางกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงดุร้าย “ข้ายังไม่ได้— เจ้ายังไม่— ”
โอมส่ายศีรษะ “ช่างเถอะ” เขาพูดเบาๆ “แล้วสรุปว่าไอ้หมอนั่นมันทำอะไรเจ้า”
พวกเขาเดินทางมาถึงอุทยานดอกไม้แห่งนั้นอีกครั้ง ทีราเลนเซียทำทีเป็นสนใจหมู่ผกาในขณะที่กระซิบตอบกลับมา “มันลอบจุมพิตข้า”
เมื่อเห็นสีหน้าคับแค้นใจของหญิงสาวก็ทำให้โอมอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ “หมอนั่นก็เป็นคนในโลกของข้าเนี่ยล่ะ รอให้มันหายสติแตกก่อนแล้วไว้ข้าจะคุยกับมันอีกที” เขาพูดขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้ “จะยังไงเจ้าก็สั่งปล่อยมันออกมาจากคุกใต้ดินก่อนเถอะ ในนั้นไม่น่าอยู่หรอก เจ้าก็รู้”
“ไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดก็แล้วกัน” เจ้าหญิงเอ่ยตอบ “มันบังอาจล่วงเกินข้า อย่างไรก็ต้องได้รับโทษบ้าง”
โอมถอนหายใจพร้อมยิ้มกว้าง “เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง ทีร่า” เขานั่งยองลงข้างหญิงสาว “มันแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ”
“แย่เสียยิ่งกว่าเจ้าทำร้อยเท่า”
ชายหนุ่มหัวเราะ “หมายความว่าเจ้ายินดีที่จะให้ข้าจุมพิตมากกว่า”
“ขี้ตู่ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ทีราเลนเซียแหว “แล้วเรื่องมีเพียงเท่านี้หรือ ไยไม่พูดให้จบเสียตั้งแต่แรก”
“ก็ข้าอยากจะเที่ยวชมปราสาทพร้อมภรรยาที่รัก” โอมยิ้มแป้นขณะเอี้ยวตัวหลบศอกที่ชักใส่ “แล้วน้องชายของเจ้าเล่า หายหัวไปที่ใดแล้ว”
“เทลาเรนเซ่ไปตรวจความเรียบร้อยหลายๆ อย่าง” เมื่อพูดถึงตรงนี้เจ้าหญิงก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “อีกไม่นานจะมีงานประลองยุทธ์ เจ้าจะต้องเข้าร่วมแข่งขันด้วย”
ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของตัวเอง “ประลองยุทธ์ ข้าเนี่ยเหรอ”
“เจ้าโดนอัดน่วมแน่” สีหน้าของหญิงสาวดูชื่นมื่นเมื่อได้พูดคำนั้น “หมั่นฝึกซ้อมให้มาก สามีข้า งานนี้ไม่มีคำว่าออมมือหรอกนะ”
"แล้วนายจะเชื่อฉัน...โอม หึๆๆ" ตะไคร้หัวเราะคนเดียวเงียบๆ ในคุก พร้อมเหลือบตามองไปตาหน้าลูกกรงเหล็กหลังได้ยินเสียงฝีเท้าขยับเข้าใกล้
"ผ่านไปหนึ่งคืนแล้วสินะ" เจ้าของเสียงฝีเท้าหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าตะไคร้โดยมีเหล็กซี่คั่นระหว่างกลางเอาไว้ "ทีนี้เจ้า...นายคงหายบ้าสักที เอาล่ะลองพูดคามจริงทั้งหมดมา" โอมนั่งชันเข่าจ้องลึกเข้าไปในแววตานั้นไม่ไหวติง
"นายอาจจะคิดว่ามันบ้า แต่ว่าจะฉันจะทำให้นายเชื่อฉันเอง!" ตะไคร้กำลูกกรงแน่น แผดเสียงพูดอย่างมั่นใจ "ความจริงตอนที่ฉันเขียนนิยายเรื่องนี้อยู่ กองบก.ได้สั่งให้ฉันเขียนตอนพิเศษที่เล่าถึงเรื่องน่าอายหรือความลับของตัวละครแต่ละตัวไว้ด้วย"
โอมเลิกคิ้วสูงกวนประสาท เขายกยิ้มมุมปากแล้วกล่าวต่อ "นายจะบอกว่ารู้ความลับของฉันแล้วกะจะใช้ตรงนั้นยืนยันความจริงงั้นสิ" เขาหัวเราะแล้วกุมท้องแน่น "เอาสิ ถ้านายพูดถูกฉันจะยอมเชื่อ"
"ก็ขอให้จริงเถอะไอ้โรคจิต" ตะไคร้วางมาด ขยับขาแว่นตาเบาๆ "นายเคยแอบหอมแก้มเอมตอนเธอหลับทั้งหมด7ครั้ง มีทั้งที่บ้าน บนรถ หรือแม้กระทั่งที่ห้องสมุด!"
โอมสำลักน้ำลายดออกมาพรูดใหญ่ ใบหน้าของเขาเริ่มแสดงออกถึงความหวั่นเกรงต่อชายแปลกหน้าคนนี้ "นาย..."
"เดี๋ยวก่อน!" ตะไคร้ยกมือขึ้นเป็นสัณญาณให้อีกฝ่ายเงียบปาก "ไม่ใช่แค่นั้นนะ นายยังชอบแอบส่องชุดชั้นในเวลาเอมเผลอแล้วจด..."
"พอได้เแล้ว! หยุด!" โอมตะคอกเสียงดังจนทหารที่ยืนเวรอยู่ด้านหน้าเกิดความสงสัย
เขาโบกมือไล่ทหารให้อย่าใส่ใจแล้วก้มลงแนบชิดลูกกรงยิ่งกว่าเดิมพร้อมพูดเสียงต่ำ "นี่นายเขียนฉันขึ้นมาจริงๆหรอวะเนี่ย?"
"แน่นอน" ตะไคร้เอามือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ถอนหายใจยาวเหยียด "โชคดีจริงๆที่ยอมเขียนบทนี้ตามที่พี่มุกขอ"
ฝ่ามือหนาลอดผ่านซี่ลูกกรงไปฟาดเข้าที่ขมับของนักโทษเต็มรัก ตะไคร้ร้องโอดโอยยกมือขึ้นกุมหัว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยถามอะไร โอมก็เอ่ยตอบออกมาก่อนแล้ว “ได้สติกลับมารึยัง” เขาขู่ฟ่อ “เรื่องบ้าบอแบบนั้นเคยมีที่ไหนกัน”
“อะไร” นักเขียนหนุ่มส่งสายตาค้อนขณะที่มือยังคงกุมขมับของตัวเองอยู่ “ผิดตรงไหน ฉันเขียนตอนพิเศษพวกนั้นขึ้นมากับมือ”
ตะไคร้รีบไถลบั้นท้ายหนีเมื่อเห็นว่าฝ่ามือพิฆาตกำลังลอดผ่านลูกกรงมาอีกครั้ง “ถ้ายังเหลวไหลไม่เลิกพ่อจะฟาดให้สมองกลับไปเลย” โอมขู่ “เรื่องนี้ฉันไม่ตลกด้วยหรอกนะ”
“ก็ไม่ตลกนี่โว้ย” นักเขียนจากต่างมิติตะโกนตอบเมื่อเห็นว่าตัวเองถอยพ้นระยะมือของอีกฝ่ายแล้ว “ฉันพูดจริงทุกอย่างนะ ทั้งโลกนี้ ทั้งตัวนาย ฉันเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเองกับมือ”
“กะอีแค่เรื่องของฉันยังต้องกุอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ทำเพื่อสนองตัณหาของตัวเองรึไง” โอมตะโกนตอบ “เอาเถอะพ่อนักเขียน ถ้าเก่งจริงก็หาทางออกไปจากที่นี่เองแล้วกัน”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ” ตะไคร้ร้องลั่น รีบคลานมายังลูกกรงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเดินจากไป “นายต้องปล่อยฉันไปนะ ฉัน— ฉันช่วยนายได้ นายต้องประลองยุทธ์ไม่ใช่เหรอ”
โอมหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยตอบโดยไม่หันหลังกลับ “เรื่องนั้นฉันคิดไว้แล้ว ไม่ต้องถึงมือนายหรอก”
ทหารยามยกมือขึ้นแตะที่หัวใจเป็นเชิงทำความเคารพเมื่อเห็นเจ้าชายของเขากลับขึ้นมาจากคุกใต้ดิน โอมก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการตอบรับก่อนหันไปส่งยิ้มให้เจ้าหญิงที่ยืนทำสีหน้าบูดบึ้งคอยเขาอยู่ไม่ห่างนัก “นักโทษว่าอย่างไรบ้าง” นางถาม
“ดูเหมือนว่าสติมันจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนเดิม” โอมยักไหล่ขณะเดินตรงไปโอบเอวหญิงสาวที่เอี้ยวตัวหลบอย่างรู้ทัน “ไว้พรุ่งนี้เราค่อยลงไปด้วยกัน ดูซิว่ามันจะพูดอะไร”
“ข้างในนั้นเหม็นเหมือนหนูตายซาก” เจ้าหญิงย่นจมูกพลางทำสีหน้าครุ่นคิด “ข้าไม่ลงไปกับเจ้าหรอก มีเรื่องอันใดก็นำมาบอกข้าก็แล้วกัน”
ผู้กล้าจำเป็นเห็นสีหน้าเอาแต่ใจเช่นนั้นก็อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ เขาโค้งต่ำเป็นเชิงรับคำแบบประชด “ตามพระบัญชาเลย องค์หญิงคนสวย แม้จะต้องบุกน้ำลุยไฟ กระหม่อมก็ไม่เคยคิด—”
คำพูดกวนโทสะเหล่านั้นถูกหยุดลงด้วยการถองศอกใส่แรงๆ ครั้งหนึ่ง โอมที่ยังไม่หมดลายแสร้งปั้นสีหน้าเจ็บปวดเกินพรรณนาทรุดตัวลงกับพื้น ทำเอาหญิงรับใช้ที่ยืนกลั้นขำอยู่แถวนั้นต้องกุลีกุจอเข้ามาช่วยตามหน้าที่ เมื่อเห็นดังนั้นทีราเลนเซียก็แหวใส่ “อย่าไปช่วยเขา” นางร้อง “เดี๋ยวจะเคยตัวกันเสียเปล่าๆ”
“ข้าไม่ใช่เด็กๆ นะ จะกลัวเคยตัวอะไรอีก” โอมหัวเราะ เลิกแสร้งเจ็บพร้อมยันกายขึ้นยืน “โถทีร่า ทำไมเจ้าถึงใจร้ายกับพระสวามีอย่างข้าเช่นนี้นะ”
เจ้าของดวงตาสีม่วงหันกลับมาประจันหน้ากับพระสวามีพร้อมเลิกคิ้วขึ้นสูง “แล้วพระสวามีจะมีปัญหาอันใดกับข้าล่ะเพคะ” นางพ่นเสียงขู่ลอดไรฟัน “เจ้าอย่าทำอะไรให้มันดูล้นเกินไปหน่อยเลยน่า เจ้าเป็นเจ้าชายนะ ไม่ใช่ตัวตลกหลวง”
“ตัวตลกหลวงยังมีข้ามากกว่ามันเลยท่านพี่ ไม่สิ แม้แต่สุนัขล่าเนื้อยังมีค่ามากกว่าไอ้คนไร้หัวนอนปลายเท้าคนนี้เสียอีก”
คนทุกผู้หันไปหาต้นเสียง ไม่มีทางเป็นใครอื่นนอกจากเจ้าชายเทลาเรนเซ่ที่เดินนำขบวนทหารองค์รักษ์ออกมาจากตัวปราสาท “สวัสดียามเที่ยง พี่เขย” เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นเมื่อพูดประโยคนั้นจบ “ขอโทษที่ข้าแสดงกริยาไม่งาม แต่ดูเหมือนคำเรียกเมื่อครู่จะทำให้เสนียดมันติดอยู่ในคอ”
โอมไม่มีทีท่าโกรธเคืองต่อวาจาดูถูกนั้น “เกรงว่าถ้าเจ้าจะเอาเสนียดออกให้หมด คงต้องเผาตัวเองไปด้วยกระมัง” เขายิ้มน้อยๆ “คงต้องเปลืองแรงขัดล้างปราสาทกันน่าดูเลยล่ะ”
สีหน้าของเจ้าหญิงซีดลงเมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่เริ่มปะทะคารมกันอีกครั้ง แต่คราวนี้น้องชายของนางไม่พลาดระเบิดอารมณ์ออกมาง่ายๆ อีกแล้ว “โดยเฉพาะที่หอคอยที่ใช้เป็นรังรักของเจ้ากระมัง” เจ้าชายยิ้มเหี้ยม “เสนียดจากพวกชั้นต่ำที่บังอาจคิดชั่วช้าคงไม่อาจขัดออกได้ง่ายๆ แน่”
“นั่นฟังดูแปลกๆ อยู่นะ” ฝ่ายผู้กล้าเอ่ยตอบ “เหมือนตีวัวกระทบคราดอย่างไรก็ไม่รู้ พูดแบบนี้ไม่ใช่พี่สาวเจ้าจะเสื่อมเสียไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ที่พี่สาวข้าต้องเสื่อมเสีย ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะความต่ำช้าของเจ้า” เจ้าชายขู่ฟ่อ “บรรพชนคงกำลังหัวเราะเยาะเราที่ต้องเสียรู้ให้กับพวกชั้นต่ำ เอาสายเลือดกษัตริย์มาเกลือกกลั้วกับโคลนตม”
ขณะที่โอมอ้าปากจะโต้ตอบ สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นสีหน้าที่คลับคล้ายว่ากำลังกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดความสามารถ ชายหนุ่มถอนหายใจยาวพร้อมกลืนเอาคำพูดเผ็ดร้อนที่คิดใช้ตอบโต้กลับเข้าไปในลำคอ “เจ้าไปเถอะ มาโต้เถียงกันตรงนี้ไม่อายข้าราชบริพารบ้างหรือ” เขาพูด “ไว้เราค่อยคุยกันในงานประลองก็ยังไม่สาย”
“โอ้ เจ้ารู้เรื่องงานประลองยุทธ์แล้วอย่างนั้นหรือ” เจ้าชายเหยียดยิ้มกว้างด้วยคิดว่าตัวเองชนะในการดวลคารม “ก็ดี ผู้กล้า ไว้เราจะได้รู้กันว่าเพลงดาบข้างถนนของเจ้ามันจะวิเศษสักเท่าไร”
รอจนขบวนของเทลาเรนเซ่หายลับไปแล้ว โอมจึงเอื้อมมือไปจับแขนหญิงสาวที่ยืนนิ่งเป็นรูปสลักให้ก้าวเดินตามเขาไปตามทาง “เรากลับกันก่อนเถอะ”
มือใหญ่เอื้อมไปปิดตาของหญิงสาว ทีราเลนเซียชะงักไปก่อนเผยอริมฝีปากน้อยๆ คล้ายมีบางอย่างจะพูด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมา
เห็นดังนั้นโอมก็คลายมือออก เขาใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งข้างกายเจ้าหญิง ดวงตาทั้งคู่จ้องตรงไปยังกระจกเงาเหนือโต๊ะเครื่องแป้งที่สะท้อนเงาร่างของคนทั้งสองกลับมา
สีหน้าของเจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าเรียบเฉย ดวงตาสีม่วงคู่งามจ้องตรงไปยังเงาในกระจกคล้ายไม่ต้องการสนใจสิ่งอื่น เมื่อเห็นท่าทางนั้นชายหนุ่มก็อดยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้ “ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาทุกเรื่องมาเป็นอารมณ์ก็ได้นี่นา”
ทีราเลนเซียยังคงนิ่งอยู่ แม้จะได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเต็มสองรูหูแต่ก็ยังทำทีเป็นเฉื่อยชา ท่าทางดังกล่าวกวนใจโอมยิ่งนัก เขาเอนตัวเข้าใกล้ ใช้ปลายจมูกดุนใบหูของหญิงสาวเบาๆ “จะนั่งเงียบไปถึงเมื่อไหร่กัน”
เจ้าหญิงยังคงไม่พูดอะไร แม้ริมฝีปากคู่สวยจะเม้มชิดกันมากขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นอาการนั้น เขารุกไล่ต่อโดยใช้ปลายจมูกไล้ไปตามหลังใบหู นั่นได้ผลชะงัดนัก หญิงสาวจำต้องเบี่ยงตัวหลบแม้จะไม่ยอมส่งเสียงใดออกมา โอมรีบใช้มือใหญ่จับหัวไหล่ของอีกฝ่ายไม่ให้ขยับหนีไปได้อีก นั่นทำให้ทีราเลนเซียต้องส่งเสียงร้องออกมา “ปล่อย”
ชายหนุ่มปล่อยมือจากการเกาะกุมนั้นทันที เขายิ้มกริ่มเมื่อถูกดวงตาของอีกฝ่ายถลึงมองมา “ก็พูดได้นี่นา คนสวย” โอมเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ไม่เห็นต้องคิดมากขนาดนี้เลยนี่นา”
“เจ้าเป็นใครหรือถึงบังอาจมาคิดแทนข้า” นางแหวใส่ “มันไม่ใช่ธุระกงการใดของเจ้า”
“ฉันเป็นสามีของเธอนะ”
“สามีปลอมๆ อย่างเจ้าไม่ควรที่จะมีสิทธิแม้แต่มาแตะตัวข้า”
“สามีปลอมแล้วยังไง มันไม่ได้หมายความว่าความปรารถนาดีที่ฉันมีให้เธอจะต้องเป็นของปลอมไปด้วยสักหน่อย” โอมเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นโอบเอวของหญิงสาวก่อนพูดต่อ “หรือว่าต้องให้เป็นสามีจริงๆ ก่อน เธอถึงจะเชื่อ”
ทีราเลนเซียดันกายออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม น้ำตาสายหนึ่งไหลลงอาบแก้มของนาง “เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้” น้ำเสียงนั้นฟังดูคล้ายตัดพ้อมากกว่าต่อว่า “เพียงแค่ข้าต้องมานั่งร้องไห้ต่อหน้าเจ้าทุกวี่วันก็ทำให้บรรพชนของข้าต้องอับอายพออยู่แล้ว”
โอมไม่รุกไล่ต่อ เขาขมวดคิ้วก่อนเอ่ยปาก “ทำไมแค่การร้องไห้ต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่” ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ “ใครๆ เขาก็ร้องไห้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เสียใจหรือดีใจ”
“นั่นเป็นคนอื่น ไม่ใช่สายเลือดขัตติยะอย่างข้า” เจ้าหญิงตวาด ยกมือขึ้นลูบน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลออกจากพวงแก้ม “ใครใคร่จะร้องไห้ก็ร้องไป แต่ต้องไม่ใช่เรา เหล่าสกุลเอสเปอร์รัญญ่า”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ให้กับดวงหน้านั้น “ไร้สาระน่า” เขาบ่น “มีเหตุผลอะไรเหรอที่จะห้ามไม่ให้ร้องไห้”
“หากผู้ปกครองยังหลั่งน้ำตา แล้วจะทำให้ผู้อื่นเชื่อมั่นได้อย่างไร”
“แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้ปกครองนี่” โอมแย้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนเราอยู่กันแค่สองคน เธออยากจะร้องไห้มากแค่ไหนก็ร้องออกมาเถอะ ฉันไม่เห็นประโยชน์ที่จะกลั้นมันเอาไว้เลย”
เจ้าหญิงช้อนตาขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่าย “ดูท่าว่าเจ้าจะอยากเห็นข้าร้องไห้เสียเต็มทน”
“ฉันชอบตอนที่เธอร้องไห้” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสเรือนผมสีทองของหญิงสาวก่อนใช้นิ้วมือสางมันเบา ๆ “เพราะมันเป็นเวลาเดียวที่เธอเป็นเธอ ไม่ใช่ใครอีกคนที่คอยแต่ใส่หน้ากากชูคอ จนลืมนึกถึงสิ่งที่ใจของตนเองต้องการ”
ทีราเลนเซียเรียกดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์มาไว้ในกำมือแล้วแทงเข้ากลางหัวใจชายหนุ่ม...
อยู่ดีๆ โลกก็ระเบิด...
ทุกคนตายไม่เหลือซาก
จบบริบูรณ์...
เปิดเรื่องใหม่เว้ยยย
ไหนบอกว่าจะไม่เล่นมุกฝันไปกับระเบิดโลกไง
>>157 ได้ จะเอาเบียวๆ ใช่มะ
ในโลกแห่งโลกต่างมิติที่มีธีมเป็นเกมออนไลน์ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นทุกผู้นามล้วนมีพลังปราณวิเศษเป็นของตนเอง ปราณวิเศษนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 7ขั้น ขั้นแรกมีชื่อว่าปราณทารก ขั้นสูงสุดคือปราณจอมสวรรค์ ส่วนที่เหลืออีกห้าขั้นไม่ต้องสนใจ เพราะเดี๋ยวพระเอกของเราก็จะได้ปราณขั้นสุดท้ายมาแบบง่ายๆ อยู่ดี
พระเอกของเรามีชื่อว่าไคกิระ เป็นชื่อที่พยายามตั้งเลียนแบบญี่ปุ่นด้วยการเอาคำสามพยางค์มาเรียงต่อกันโดยไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร บัดนี้ไคกิระน้อยอายุได้สามปี พ่อกับแม่ของมันชื่อเฉินหวิ่นและสเตฟานี่ พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชายป่ามนต์ดำ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวหาเลี้ยงทั้งสามชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่าไปขายในเมือง
ไคกิระนั้นดูเผินๆ คล้ายกับเด็กน้อยสามัญทั่วไป แต่แท้ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น...
สามปีก่อน ในดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงหนึ่งที่เรียกว่าโลก
หวอออออออออ
"เกิดเหตุคนร้ายปล้นธนาคารค่ะ" นักข่าวสาวผู้หนึ่งกรอกเสียงใส่ไมโครโฟนด้วยความตื่นเต้น "ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปิดล้อมธนาคารไว้ทุกทิศทาง แต่ฝั่งโจรจับพนักงานและลูกค้าไว้เป็นตัวประกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถบุกจู่โจมได้ค่ะ"
ภายในธนาคาร
"เอาไงดีลูกพี่" ชายสวมโม่งดำคลุมหน้าส่งเสียงตื่นเมื่อมองเห็นไฟกระพริบและได้ยินเสียงไซเรนที่ดังมาจากด้านนอก "พวกหมาต๋าแม่งไวฉิบหายเลย เดี๋ยวพวกมันคงบุกเข้ามาแน่"
"มึงใจเย็นๆ" ผู้เป็นลูกพี่พูดเสียงเข้มขณะกระชากเอาเด็กผู้ชายร่างผอมบางคนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น "ตัวประกันเยอะขนาดนี้พ่อมึงไม่บุกเข้ามาหรอก เฮ้ยให้เหี้ยชิต มึงตะโกนบอกพวกเหี้ยนั่นไปสิว่าถ้าแม่งยังไม่หลบไปกูจะยิงตัวประกันทีละคน"
โจรอีกคนหนึ่งพยักหน้าก่อนคว้าเอาเครื่องขยายเสียงที่หามาได้จากที่ไหนก็ไม่รู้ตะโกนข้อความเมื่อครู่ออกไป ฝั่งลูกพี่เองก็ต้องการให้คำขู่นั้นมีน้ำหนัก เขาลากตัวเด็กผู้ชายคนนั้นไปชิดหน้าต่าง รัดคอของเด็กคนนั้นให้กระชับตัวเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีการยิงเข้ามา "ถ้าภายในสิบนาทีรถทุกคนยังไม่ถอยออกไป" มันตะโกนลั่นขณะยกปืนพกในมือจ่อเข้าที่ขมับของเด็กชาย "กูจะเป่าหัวแม่งให้กระจุย"
เมื่อพูดจบหัวหน้าโจรก็หัวเราะร่าพร้อมขยับกายถอยกลับเข้ามายังที่กำบังด้านใน ตัวประกันภายในธนาคารร่างสั่นระริก ทุกคนถูกจับมัดมือไพล่หลังนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะผงกศีรษะขึ้นมามองสถานการณ์
แต่ในชั่วขณะที่ฝ่ายโจรกำลังชะล่าใจนั้น สายตาของเด็กชายตัวน้อยก็พลันกระจ่างวูบ เขาพลิกตัวออกจากการรัดรึงของหัวหน้าโจรก่อนบิดแขนอีกฝ่ายไพล่หลัง เสียงกร็อบดังลั่นเมื่อกระดูกหัวไหล่ของชายผู้นั้นหักสะบั้นลง "อ๊าคคคคคคคคคคค" หัวหน้าโจรร้องลั่น ในขณะที่โจรคนอื่นๆ กำลังชะงักไปด้วยความประหลาดใจนั่นเอง เด็กชายก็ฟันศอกซ้ำลงไปที่กลางศีรษะของหัวโจก เลือดฉีดพุ่งราวน้ำพุกระเซ็นเปรอะไปทั่วอาคาร มันสมองสีขาวอมเหลืองผุดออกมาจากบาดแผล
เด็กชายไม่รอให้คนอื่นได้ทันตั้งตัว เขาคว้าปากกาที่ตกอยู่บริเวณนั้นกระโจนเข้าใส่โจรอีกคนหนึ่ง ใช้มันแทงซ้ำๆ เข้าไปที่ลูกตา โจรผู้นั้นร้องเสียงหลง ร่างสั่นเป็นเจ้าเข้าเมื่อถูกโจมตีอย่างเหี้ยมโหด
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนรัวขึ้นสามนัด เด็กชายกระโดดหลบอย่างชำนาญก่อนที่จะตีลังกากลับหลังเข้าใส่โจรคนสุดท้าย ใช้ส้นเท้ากระแทกปลายคางของฝ่ายนั้นจนปืนในมือกระเด็นตกลงพื้น เด็กชายพลิกตัวกลางอากาศ ใช้มือทั้งสองข้างง้างปากของโจรออกพร้อมใช้กำลังแขนกระชากอย่างแรง ฉีกศีรษะของผู้ร้ายออกเป็นสองส่วน
ความเงียบเข้าปกคลุมภายในธนาคารอยู่อึดใจหนึ่งก่อนที่พนักงานคนหนึ่งจะกล้าเงยหน้าขึ้นจากพื้น แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นค้อนปอนด์อันหนึ่งที่กำลังฟาดลงมาอย่างแรง
โพล๊ะ
ศีรษะนั้นถูกทุบราวกับลูกแตงโม เศษกระโหลก เลือดและเนื้อสมองถูกบดกระจายเกลื่อนพื้น เด็กชายยิ้มเหี้ยมเกรียมขณะที่เดินตรงไปทุบศีรษะของผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกมัดคว่ำหน้าอยู่กับพื้นคนแล้วคนเล่า "ตัวตุ่นๆ" เด็กชายหัวเราะ ใช้ลิ้นเลียริมฝีปากที่มีเศษเนื้อและเลือดสดๆ เปรอะอยู่ "อยากตีตัวตุ่น"
ไม่กี่อึดใจต่อมา ธนาคารก็ปราศจากเสียงหวีดร้องอีก เด็กชายเหยียบย่ำไปท่ามกลางกองศพที่ยากจะจำแนกได้ว่าใครเป็นใคร รอยยิ้มที่มุมปากดูเคลิบเคลิ้มคล้ายกับเด็กที่ได้ไปเที่ยวสวนสนุกเป็นครั้งแรก
เด็กชายเดินตรงไปยังประตู ในใจคิดปั้นเเต่งเรื่องที่จะใช้โกหกตำรวจ โดยไม่ทันมองว่าตรงหน้าของเขามีปากกาด้ามหนึ่งหล่นอยู่
เด็กชายเผลอเหยียบปากกาด้ามนั้นจนลื่นล้ม โชคไม่ดีที่จังหวะนั้นมือของเขาไพล่ไปโดนไกปืนที่ตกอยู่บริเวณนั้นพอดี เสียงปืนคำรามขึ้นหนึ่งนัด ส่งกระสุนนัดหนึ่งเข้าใส่สมองของเขา
เขาเสียชีวิตโดยที่ไม่ทันรู้ตัว เรียกได้ว่าแทบไม่เกิดความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
"ที่นี่ที่ไหน" เด็กชายคิดในขณะที่เหลือบมองความมืดรอบตัว "อะไรกัน นี่ฉันตายแล้วงั้นเหรอ"
พลันแสงสว่างดวงหนึ่งก็เกิดขึ้นท่ามกลางความมืด พร้อมกับที่ชายชราผมขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากแสงนั่น "ข้ารอเจ้ามานานแล้ว โดวาคิน" เขาพูด "เจ้าคือตัวแทนแห่งโชคชะตา ผู้ที่จะมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของสปีร่า"
"อะไรนะ" เด็กชายร้องถามกลับ "เปลี่ยนประวัติศาสตร์อะไร แล้วนี่ลุงเรียกชื่อผมว่าไงนะ"
"โดวาคิน ข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว" ชายชราพูดซ้ำอีกครั้ง "ในฐานะดราก้อนบอร์น เจ้าจะต้องเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้"
"ลุงพูดเรื่องอะไรกันน่ะ" เด็กชายร้องถามอีกครั้ง "เปลี่ยนประวัติศาสตร์อะไร ดราก้อนบอร์นอะไร แล้วที่นี่ที่ไหน เอ้อ แล้วลุงเป็นใครกัน"
"ที่นี่คือช่องว่างระหว่างมิิติ" ชายชราพูด "โดวาคิน เราไม่ได้เพิ่งจะคุยกันเป็นครั้งแรก เพียงแต่เจ้าจำไม่ได้ ข้าคือพระเจ้าแห่งจักรวาลนี้ ผู้ซึ่งเรียกตัวเจ้ามาเพื่อเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของสปีร่า"
"พระเจ้างั้นเหรอ ถ้าลุงเป็นพระเจ้าจริงทำไมไม่ไปทำเองล่ะ" เด็กชายตะคอกกลับ "ส่งผมกลับบ้านได้แล้ว เย็นนี้เพื่อนผมชวนไปตีดอท"
"โดวาคิน ที่นั่นไม่ใช่บ้านของเจ้า" พระเจ้าตะคอก "เจ้ามีพันธะที่ต้องทำ ข้าจะส่งเจ้าไปยังสปีร่า เพื่อทำหน้าที่นั้นให้สำเร็จ"
"สปีร่าพ่อมึงดิ ซินตายไปตั้งแต่ไฟนอล 10 แล้วโว้ย"
พระเจ้าชะงักกึก เขาล้วงมือลงไปในอกเสื้อ หยิบเอาสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู "เออจริงด้วย" ชายชราตบหน้าผากตัวเอง "งั้นเดี๋ยวจะส่งไปอินซอมเนีย"
"อินซอมเนียพ่อง เขาเคลียร์กันไปตั้งนานละ"
พระเจ้าปากอ้าตาค้างเมื่ออ่านข้อความในสมุด "นี่มัน... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย" ชายชราร้องออกมา "ทำไมกัน ทำไมทุกที่มีคนจัดการไปเรียบร้อยหมดแล้วล่ะ"
"จะไปรู้ลุงเหรอ ถ้าทุกอย่างจบแล้วก็ส่งผมกลับบ้านสักทีสิโว้ย" เด็กชายตะโกน "ไอ้บ้าเอ้ย เป็นพระเจ้าจริงรึเปล่าวะ ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงพลาด"
พระเจ้ากระแอม "เอาน่า โดวาคิน คนเรามันก็ต้องพลาดกันได้ โบราณว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" เขาโบกมือครั้งหนึ่ง "เอาล่ะ ตอนนี้ข้าสร้างโลกใบใหม่ขึ้นแล้ว นามของมันคือ... คือ... ช่างเถอะ เอาเป็นว่าข้าจะส่งเจ้าเข้าไปข้างในนั้นแล้วกัน"
พระเจ้าสะบัดมืออีกครั้ง ร่างกายของเด็กหนุ่มเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาทันที "โดวาคิน ในฐานะดราก้อนบอร์น เจ้าห้ามทำให้ข้าผิดหวัง" ชายชรากำชับ "ข้าจะมอบพรวิเศษให้เจ้าสามข้อ ข้อแรก ข้าจะให้เจ้าเป็นชายผู้มีพลังปราณแก่กล้าที่สุดในโลกใบนั้น"
"ข้อที่สอง ข้าจะให้เจ้าเป็นชายที่หน้าตาดีที่สุด ใครเห็นใครก็หลงรัก ถ้าเจ้ามีความต้องการ ขอแค่กระดิกนิ้ว ผู้หญิงทั่วทั้งโลกก็พร้อมที่จะแบให้เจ้าโดยที่ไม่ต้องพูดให้มากความ"
"ส่วนข้อสาม ข้าจะเติมทรูให้เจ้าสัปดาห์ละสองพัน รับรองว่าบอทได้ จีเอ็มไม่แบนแน่"
"นี่ลุงจะส่งผมไปไหนเนี่ย"
"ข้าจะส่งเจ้าไปเป็นเด็กผู้หนึ่ง ชื่อของมันคือไคกิระ"
สัส กาวดีมากมึง อ่านแล้วโคตรฮา จิกกัดนิยายกากๆ ในเว็บได้แม่งเกือบครบ โดยเฉพาะเรื่องชื่อ กับพ่อจีนแม่ฝรั่งลูกเสือกชื่อยุ่น อห.ขำมาก
ต่อดิวะ
เขียนตอนต่อไปไม่ออกว่ะ แม่งเหี้ยเกิน คือรู้ล่ะว่าปกติแม่งต้องตามพ่อออกไปล่าสัตว์ แล้วโชว์เทพ กลับมาเจอหมู่บ้านถูกไฟไหม้ จากนั้นแม่งก็เผยสันดานดิบฆ่าโหดคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ แล้วก็บังเอิญตกเขา ลงไปเจอกล่องสมบัติเทพ แต่เขียนไม่ไหวจริงๆ
ไอสัส กุอ่านผ่านๆนึกว่ามันมาเกิดเป็นชาย เยดดดดดดดดด
ไม่มีใครลงมือเขียนเลยเหรอ
อยากเขียนต่อแต่แทนที่จะเป็นจิกกัดนิยายกากๆมันจะกลายเป็นนิยายกากๆซะเองเนี่ยสิ
รออ่านอยู่นะ
โม่งเขียนแน่ๆ ดูสิ https://writer.dek-d.com/bushido24685/story/view.php?id=1630115
>>176 คงจิกกัดแหละ แต่อาจหมดมุกไง คือไอ้นิยายต่างโลกออนไลน์แม่งก็เดิมๆอะ มีมุกเท่านั้นแหละ ชาติก่อนดวงซวยตายง่าย พระเจ้าให้พร บังเอิญเจอของดี เก่งเทพ ทำตัวถ่อย สาวติด สะสมฮาเร็มเดินทาง ไม่งั้นก็ต้องมีแกล้งทำเป็นอ่อนแอ ให้คนอื่นดูถูก แต่จริงๆเก่ง แล้วรอไปโชว์เทพทีหลังเพื่อให้ไอ้คนที่ดูถูกเงิบไป
มันสะท้อนได้หลายอย่างเลยนะ กลุ่มคนที่ชอบอ่านถ้าไม่ใช่เด็ก ก็ต้องเป็นคนที่คล้ายว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต จนคิดไปว่าอยากจะไปเกิดชาติใหม่ที่หล่อ รวย เก่ง สาวติด อะไรๆก็เพอร์เฟค และก็อยากจะตอกหน้าไอ้คนที่ชอบดูถูก (ที่เจอในโรงเรียน ที่ทำงาน) ให้หงาย ประมาณนั้น
ไม่ต่อแล้วหรอเพื่อน ฮือๆ
3 ปี ที่ผ่านมาถึงแม้ไคกิระจะยังมีความทรงจำในชาติก่อน
แต่ด้วยร่างกายของเด็กแบเบาะ ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากนักและอีกทั้งยังปัญหาเรื่องภาษา
ที่ทำให้ไม่สามารถเข้าใจในบทสนทนาของผู้อื่นได้ทั้งหมดด้วยสัญชาตญาณเขาพยายามทำตัวให้สมอายุเข้าไว้
ถึงเมื่อชาติที่แล้วจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม แต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยกำลังได้
เขายังต้องการคำอธิบายในคำพูดของคนที่ส่งเขามาในโลกนี้
อะไรคือปราณ? อะไรคือโดวาคิน? อะไรคือดรากอนบอร์น? บอท? เติมทรู? จีเอม?
แผนในหัวของเขาตอนนี้คือ ต้องออกเดินทาง ถ้าการดำรงอยู่ของเขาเกี่ยวกับชะตากรรมของโลกนี้จริง
คำตอบน่าจะอยู่กับชนชั้นปกครองของโลกนี้ แต่ตอนนี้ ที่เขาอยู่คือ หมู่บ้านเล็ก ๆ สุดขอบชายแดน
ถึงแม้จะเป็นชายแดน แต่ก็เป็นที่ ที่สงบสุข ด้วยด้านหนึ่งเป็นอาณาเขตของป่ามนตร์ดำ ที่เป็นชายแดนธรรมชาติ
ป่ามนตร์ดำดูภายนอกเป็นป่าฝนธรรมดา แต่พอเมื่อเดินเข้าไปลึกๆ จะมีหมอกปกคลุมหนาขึ้น
จนสิ่งมีชีวิตทั่วไปไม่สามารถอาศัยอยู่หรือเดินทางผ่านป่านี้ได้
ทั้งๆที่ควรจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาจปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมนี้ได้ แต่กลับไม่มีเลย และนั้นคือที่มาของชื่อป่ามนตร์ดำ
และด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของป่า ทำให้มีพืชพันธุ์ที่เติบเฉพาะในป่านี้เท่านั้น ซึ่งคนในหมู่บ้าน รวมทั้งพ่อของไคกิระ
จะเข้ามาเก็บเกี่ยวเดือนละครั้งในบริเวณชายป่าที่หมอกยังไม่เป็นอุปสรรค
ซึ่งวันนี้เป็นวันเข้าป่า ทำให้ตอนนี้ไคกิระอยู่ที่บ้านกับสเตฟานี่ แม่ของเขาในโลกนี้
สเตฟานี่ทำงานบ้านพลางเหม่อออกนอกหน้าต่าง อาจเป็นเพราะเฉินหวิ่นและคนอื่น ๆ กลับหมู่บ้านช้ากว่าปกติ
จนพระอาทิตย์คล้อยต่ำท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม ในตอนนั้นเริ่มมีเสียงผู้คนจากในหมู่บ้าน
ชาวบ้านที่เหลือในหมู่บ้านกำลังจะรวมอาสาสมัครอีกกลุ่มเพื่อออกตามหา
เพราะว่ากลุ่มที่ไปเก็บเกี่ยวไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะเดินทางตอนกลางคืน
กลุ่มอาสาสมัครมีทั้งหมด 6 คน และหนึ่งในนั้นคือ สเตฟานี่ นั่นเอง
เธอรวบผมหางม้า และเปลี่ยนเป็นใส่ชุดหนังสำหรับนักผจญภัย พร้อมด้วยธนูล่าสัตว์และลูกธนูพาดไว้ที่หลัง
และมีดสั้นเหน็บไว้ที่เอว และในมือหนึ่งถือคบเพลิง ดูทะมัดทะแมงผิดกับตอนปกติ ซึ่งเป็นภาพที่ไคกิระไม่คุ้นเคยมาก่อน
ไคกิระได้ถูกฝากไว้กับอีกครอบครัวพร้อมกับเด็กคนอื่น ๆ ที่น่าจะเป็นคนในครอบครัวของกลุ่มที่กำลังจะเดินทาง
หลังสเตฟานีฝากฝังผมกับอีกครอบครัวพอเป็นมารยาท แล้วจึงออกเดินทางไปที่ป่ามนตร์ดำ
---------------------------------
โทษทีนะถ้างงๆ ไม่ใช่สายเขียนน่ะแต่เห็นกระทู้ไม่ขยับสักที
ถ้าชอบก็ช่วยกันต่อสิ จะได้มีให้อ่านกัน
อู๊ววววววววววววววววววว เสียงของอสูรกายทมึนตัวใหญ่ร้องอย่างโหยหูนและน่าขนลุก มันเดินย่องไปช้าๆตามด้วยเหล่าสมุนมากมายที่คล้ายกับมันเพียงแต่ตัวเล็กกว่า พวกมันออกล่าเหยื่อกันเป็นปกติ แต่วันนี้พิเศษกว่าเพราะพวกมันเจอเหยื่อที่เป็นมนุษย์จำนวนมากจากการรับกลิ่นที่สามารถแยกแยะได้ว่ามีจำนวนร่วมสิบ และที่สำคัญเหยื่อพวกนี้อ่อนแอ
แก้มของเธอแดงเรื่อ แม้แต่ลมหายใจก็ยังเจือกลิ่นของแอลกอฮอล์
หญิงสาวยิ้มพราย ซุกใบหน้านั้นลงกับอกเสื้อของเพื่อนสนิท "กอดหน่อย"
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ดันร่างนั้นออกห่างจากอก ก่อนยิ้มให้ใบหน้าที่คล้ายว่าจะเลอะเลือนนั้น "นี่เมาขนาดนั้นเลย? ช่วยตั้งสติหน่อยได้ไหม"
หญิงสาวส่ายศีรษะพร้อมขืนแรงอีกฝ่ายเพื่อซุกใบหน้ากลับลงไปยังอ้อมอกนั้นอีกครั้ง "เมาก็ได้ แต่กอดหน่อยสิ"
อาณาจักรแห่งนึงจะสือทอดความเป็นกษัตริย์ด้วยแหวนแห่งราชา
องค์ชายขอดูแหวนจากพระราชาแต่เกิดอุบัติเหตุ แหวนถูกกลืนลงไปในท้องขององค์ชาย
รอให้องค์ชายถ่ายออกมา แล้วตรวจอุจจาระแล้วก็ไม่พบ
จนองค์ชายต้องให้ข้ารับใช้ล้วงก้นให้ ถูกล้วงทุกวันจนองค์ชายรู้สึกดีและเป็นเกย์
จวบจนพระราชาองค์ปัจจุบันสิ้นพระชน แต่ไม่สามารถมีผู้ปกครองใหม่ได้เพราะไม่มีแหวน
บ้านเมืองถูกชักนำด้วยนักการเมืองผู้มากเล่ห์เหลี่ยม
เจ้าชายถูกไล่ออกจากเมือง เป็นเกย์ผู้ยากจนและถูกรังเกียจ
จนเช้าชายตายและร่างกายเน่าเปื่อนแล้ว จึงพบว่าแหวนแห่งราชายังติดอยู่ภายในลำส่วนนึงของลำไส้องค์ชายนั่นเอง
Wtf 🤔
กลายเป็นโครงการเรื่องสั้นจัญไรไปแล้ว
กุว่าจะฝึกเขียน อยากเอาพล็อตจากโดจินมาฝึก
มั่ยต่อกันแร้วอ่อ 😶
>>185 "ช่วยไม่ได้ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับยอมแพ้ พร้อมกับยื่นมือโอบกอดร่างบางของหญิงสาว
ภายใต้อ้อมกอดนั้น หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุขกับการแลกไออุ่น หน้าสีแดงระเรื่อของเธอคลอเคลียไปกับหน้าอกของชายหนุ่ม
ในมุมมองของชายหนุ่ม ตอนนี้เพื่อนสนิทของเขาไม่ต่างอะไรไปกับลูกแมวขี้อ้อนที่เขาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ด้วยความเอ็นดูเขายื่นมาไปลูบหัวหญิงสาวอย่างแผ่วเบา "เหมือนเด็กจังเลยนะ"
หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ผลักตัวออกจากชายหนุ่มพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง "ไม่ใช่เด็กซักหน่อย"
ชายหนุ่มได้ยินก็หัวเราะอย่างชอบใจ "ไม่หรอก ดูยังไงเธอตอนนี้ก็แค่เด็กน้อยขี้อ้อนคนหนึ่งเท่านั้นแหละ"
หญิงสาวไม่พอใจเป็นอย่างมาก เธอดันตัวของชายหนุ่มลงไปนอนกับโซฟา "ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่เด็กแล้วนะ !! "
-----------
เห็นแล้วอยากต่อ แต่สกิลความมุ้งมิ้งไม่ถึงอะ
เค้า >>185 นะ ดีใจจังที่มีคนชอบ ตอนแรกเห็นเงียบๆ ไปนึกว่าไม่มีใครสนซะอีก
ที่ลองซ้อมเขียนไปแบบนั้น เพราะช่วงนั้นเสพหนังรอมคอมเข้าไปเยอะ เลยอยากจะแต่งนิยายรอมคอม (ปลอมๆ หลอกคนอ่าน ตอนท้ายจะดราม่า) ดูบ้าง โครงเรื่องคือ นางเอกนี่จะอารมณ์ประมาณ bitch หน่อยๆ คือกินเหล้า สูบบุหรี่ ชอบเที่ยวกลางคืน เสียตัวตั้งแต่อายุ 14 ต้องการผู้ชายตลอดเวลา (ไม่ใช่เงี่ยนไปทั่ว แต่แบบต้องมีแฟนอยู่ตลอด ถ้าเลิกกับแฟนปุ๊บจะร้องห่มร้องไห้ แต่จะหาใหม่ได้แบบเร็วสัสๆ) ส่วนพระเอกนี่ก็จะมาแบบมีมาด+กวนตีน กินหรูอยู่หรู มีความเป็นนักล่าผู้หญิงอยู่ในตัว
เรื่องเริ่มจากวันทำงานวันแรกของพระ นาง คือฝ่ายนางเอกแม่งนอนตื่นสาย เลยไปทำงานช้า เข้ามาก็เจอกับพระเอก เลยได้กัดกันก่อนทีหนึ่งเป็นการให้ตัวละครได้ทำความรู้จักกัน แต่พอได้เข้าไปแนะนำตัวกับคนที่แผนกนางเอกก็ต้องตะลึง เพราะว่าผู้ชายคนหนึ่งในแผนกนั้นคือแฟนคนแรกของเธอ (ที่ได้เปิดซิง) นั่นเอง ส่วนเรื่องจะดำเนินต่อไปในทางไหน ไม่บอกจย้า
แฮปปี้นิวเยียร์ 2018 ลองตัดส่วนหนึ่งจากนิยายที่แอบเขียนมาให้ลองอ่านดู ไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจรึเปล่านะ
---
อลิสาช่วยหาวิธีให้พวกเขาได้เองตอนเวลาประมาณเกือบสี่ทุ่ม เกินครึ่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ในกองพากันกลับบ้านกันไปแล้ว หญิงสาวพาร่างที่แดงไปด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ตรงไปยังห้องน้ำ อาเจียนเอาของในกระเพาะลงไปในชักโครก ก่อนที่จะเดินโซเซออกมาหากวินทร์ที่ยืนล้างมืออยู่ที่อ่างด้านหน้า
“อ้าวว่าไง” ชายหนุ่มทำทีเป็นเพิ่งมองเห็นคู่หูเดินออกมาจากห้องน้ำ “น้ำเปล่าอร่อยไหม”
คำพูดนั้นทำให้เขาถูกหญิงสาวเอากระเป๋าหวดใส่ดังพลั่ก อลิสาทำท่าว่าจะพูดอะไรออกมา แต่ก็เหมือนจะสำลักคำพูดนั้นอยู่ในคอ ร้อนจนกวินทร์ต้องช่วยประคองหล่อนกลับเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อลูบหลังให้อาเจียนเอาของที่เหลือออกมา
“ฉันจะทำยังไงดี” อลิสาร้อง ทรวงอกขยับขึ้นลงขณะที่หอบหายใจ “ฉันจะทำยังไงดี พี่อาร์ต้องไม่ชอบใจแน่ ๆ ”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา “นอนพักอยู่ในนี้สักงีบไหม เผื่อว่าจะดีขึ้น”
“ขืนทำงั้นฉันคงได้นอนอยู่ในนี้ยันสว่างแหละ” คู่หูของเขาครวญคราง “ไม่น่าเลย ฉันว่าจะกินแค่แก้วเดียว”
“เธอบอกว่าจะไม่กินเลยแม้แต่หยดเดียวต่างหาก”
“ก็ฉันโดนบังคับนี่ เลยคิดว่าจะกินแค่แก้วเดียว แถมผสมน้ำหวานด้วย”
“นั่นล่ะตัวดีเลย ไม่เคยเห็นใครจบได้ที่แก้วเดียวสักคน”
“เพราะนายคนเดียวเลยเห็นไหม สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องอะไร แถมยังเมาอีก”
กวินทร์ยิ้มน้อย ๆ ออกมา ไม่ถือสากับอาการพาลของอีกฝ่าย “เลือกเอา อย่างไหนแฟนเธอจะโอเคกว่ากัน หนึ่ง กลับไปในสภาพนี้ สอง โทรไปบอกว่าจะค้างบ้านเพื่อน แล้วไปนอนที่คอนโดฉัน”
“ฉันต้องกลับห้องสิ ไม่งั้น...” เสียงครวญครางของอลิสาฟังดูน่าเวทนา “โอ๊ย มีวิธีไหนที่จะทำให้หายเมาได้บ้างเนี่ย”
“สรุปว่าแฟนเธออยากแค่ให้เธอกลับบ้านอย่างปลอดภัย หรือไม่อยากให้เธอเมากลับไป”
“พี่อาร์เขาไม่ชอบผู้หญิงกินเหล้า” ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้หญิงสาวเปิดปากเล่าเรื่องส่วนตัวออกมา “เขาบอกว่าผู้หญิงกินเหล้าคือผู้หญิงขายตัว ตอนไปฉลองคราวก่อนก็ทีนึงแล้ว โอ๊ย...”
“ฉันไม่เข้าใจ” คู่หูของเธอขมวดคิ้ว “ไม่ให้ดื่ม แต่สูบบุหรี่ได้เนี่ยนะ”
“นั่นยิ่งแล้วใหญ่เลย ฉันถึงต้องแอบสูบยังไงล่ะยะ ในกระเป๋าฉันมีช่องลับไว้เพื่อซ่อนบุหรี่โดยเฉพาะเลยรู้ไหม”
“เขาค้นกระเป๋าเธอด้วยเหรอ”
“ก็ดูบ้างบางที ฉันก็ดูของพี่เขาบ้างเหมือนกัน”
“โรคประสาทจริง ๆ ” คิ้วของกวินทร์ขมวดเป็นปม “ถึงว่าสิว่าทำไมเธอถึงไม่รู้จักคำว่าเรื่องส่วนตัว”
“เออ ด่าเลย จะด่ายังไงก็ด่าเลย จะด่าว่าแรดว่าร่านก็ได้” คำพูดของอลิสาฟังดูรุนแรงขึ้นเมื่อสติของเธอเหลือน้อยลง “แต่ช่วยฉันที ช่วยฉันด้วย อย่าให้พี่อาร์...”
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ฟังคำพูดของคู่หูไม่เข้าใจอีก อลิสาได้แต่ส่งเสียงงึมงำ ทำตาปรือ เกือบจะฟุบหน้าลงไปกับอาจมในโถหากกวินทร์ไม่ได้ยื่นมือมารับไว้ทัน เขาถอนหายใจยาวขณะดึงร่างของหญิงสาวเข้ามาในอ้อมอกก่อนกดต่อสายโทรศัพท์ “ฮัลโหล แกช่วยแอบไปบอกพี่ฉัตรทีว่าพวกเราจะกลับแล้ว”
“พวกเรา” เสียงจงเจตน์ทวนคำลอดผ่านมาทางลำโพง “หมายถึงแค่กันกับแก หรือ... อ้อ เข้าใจล่ะ นี่แกอยู่ไหน”
“ห้องน้ำหญิง”
“วิตถาร เข้าไปทำอะไรในห้องน้ำหญิงวะ”
“ขี้เกียจอธิบายว่ะ เจอกันหน้าร้านก็แล้วกัน เรียกแท็กซี่ด้วย ด่วนที่สุด”
>>200 เอาใหม่ เว็บนี้จัดหน้าไม่ได้เลย
อลิสาช่วยหาวิธีให้พวกเขาได้เองตอนเวลาประมาณเกือบสี่ทุ่ม เกินครึ่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ในกองพากันกลับบ้านกันไปแล้ว หญิงสาวพาร่างที่แดงไปด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ตรงไปยังห้องน้ำ อาเจียนเอาของในกระเพาะลงไปในชักโครก ก่อนที่จะเดินโซเซออกมาหากวินทร์ที่ยืนล้างมืออยู่ที่อ่างด้านหน้า
“อ้าวว่าไง” ชายหนุ่มทำทีเป็นเพิ่งมองเห็นคู่หูเดินออกมาจากห้องน้ำ “น้ำเปล่าอร่อยไหม”
คำพูดนั้นทำให้เขาถูกหญิงสาวเอากระเป๋าหวดใส่ดังพลั่ก อลิสาทำท่าว่าจะพูดอะไรออกมา แต่ก็เหมือนจะสำลักคำพูดนั้นอยู่ในคอ ร้อนจนกวินทร์ต้องช่วยประคองหล่อนกลับเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อลูบหลังให้อาเจียนเอาของที่เหลือออกมา
“ฉันจะทำยังไงดี” อลิสาร้อง ทรวงอกขยับขึ้นลงขณะที่หอบหายใจ “ฉันจะทำยังไงดี พี่อาร์ต้องไม่ชอบใจแน่ ๆ ”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา “นอนพักอยู่ในนี้สักงีบไหม เผื่อว่าจะดีขึ้น”
“ขืนทำงั้นฉันคงได้นอนอยู่ในนี้ยันสว่างแหละ” คู่หูของเขาครวญคราง “ไม่น่าเลย ฉันว่าจะกินแค่แก้วเดียว”
“เธอบอกว่าจะไม่กินเลยแม้แต่หยดเดียวต่างหาก”
“ก็ฉันโดนบังคับนี่ เลยคิดว่าจะกินแค่แก้วเดียว แถมผสมน้ำหวานด้วย”
“นั่นล่ะตัวดีเลย ไม่เคยเห็นใครจบได้ที่แก้วเดียวสักคน”
“เพราะนายคนเดียวเลยเห็นไหม สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องอะไร แถมยังเมาอีก”
กวินทร์ยิ้มน้อย ๆ ออกมา ไม่ถือสากับอาการพาลของอีกฝ่าย “เลือกเอา อย่างไหนแฟนเธอจะโอเคกว่ากัน หนึ่ง กลับไปในสภาพนี้ สอง โทรไปบอกว่าจะค้างบ้านเพื่อน แล้วไปนอนที่คอนโดฉัน”
“ฉันต้องกลับห้องสิ ไม่งั้น...” เสียงครวญครางของอลิสาฟังดูน่าเวทนา “โอ๊ย มีวิธีไหนที่จะทำให้หายเมาได้บ้างเนี่ย”
“สรุปว่าแฟนเธออยากแค่ให้เธอกลับบ้านอย่างปลอดภัย หรือไม่อยากให้เธอเมากลับไป”
“พี่อาร์เขาไม่ชอบผู้หญิงกินเหล้า” ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้หญิงสาวเปิดปากเล่าเรื่องส่วนตัวออกมา “เขาบอกว่าผู้หญิงกินเหล้าคือผู้หญิงขายตัว ตอนไปฉลองคราวก่อนก็ทีนึงแล้ว โอ๊ย...”
“ฉันไม่เข้าใจ” คู่หูของเธอขมวดคิ้ว “ไม่ให้ดื่ม แต่สูบบุหรี่ได้เนี่ยนะ”
“นั่นยิ่งแล้วใหญ่เลย ฉันถึงต้องแอบสูบยังไงล่ะยะ ในกระเป๋าฉันมีช่องลับไว้เพื่อซ่อนบุหรี่โดยเฉพาะเลยรู้ไหม”
“เขาค้นกระเป๋าเธอด้วยเหรอ”
“ก็ดูบ้างบางที ฉันก็ดูของพี่เขาบ้างเหมือนกัน”
“โรคประสาทจริง ๆ ” คิ้วของกวินทร์ขมวดเป็นปม “ถึงว่าสิว่าทำไมเธอถึงไม่รู้จักคำว่าเรื่องส่วนตัว”
“เออ ด่าเลย จะด่ายังไงก็ด่าเลย จะด่าว่าแรดว่าร่านก็ได้” คำพูดของอลิสาฟังดูรุนแรงขึ้นเมื่อสติของเธอเหลือน้อยลง “แต่ช่วยฉันที ช่วยฉันด้วย อย่าให้พี่อาร์...”
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ฟังคำพูดของคู่หูไม่เข้าใจอีก อลิสาได้แต่ส่งเสียงงึมงำ ทำตาปรือ เกือบจะฟุบหน้าลงไปกับอาจมในโถหากกวินทร์ไม่ได้ยื่นมือมารับไว้ทัน เขาถอนหายใจยาวขณะดึงร่างของหญิงสาวเข้ามาในอ้อมอกก่อนกดต่อสายโทรศัพท์ “ฮัลโหล แกช่วยแอบไปบอกพี่ฉัตรทีว่าพวกเราจะกลับแล้ว”
“พวกเรา” เสียงจงเจตน์ทวนคำลอดผ่านมาทางลำโพง “หมายถึงแค่กันกับแก หรือ... อ้อ เข้าใจล่ะ นี่แกอยู่ไหน”
“ห้องน้ำหญิง”
“วิตถาร เข้าไปทำอะไรในห้องน้ำหญิงวะ”
“ขี้เกียจอธิบายว่ะ เจอกันหน้าร้านก็แล้วกัน เรียกแท็กซี่ด้วย ด่วนที่สุด”
เขากำลังรู้สึกเคลิบเคลิ้มใกล้จะหลับอยู่รอมร่อแล้ว ก่อนที่เธอจะพลิกร่างกายอันอ่อนนุ่มขึ้นคร่อมทับ ปัดเป่าความรู้สึกง่วงหาวนั้นให้พ้นไปจากสมอง
ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ด้วยแสงรำไรของพระอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างก็เพียงพอที่จะสำรวจดวงหน้าจิ้มลิ้มนั้นได้ถนัดตา ด้านสาวเจ้าเองแม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายลืมตาขึ้น แต่ก็หาได้มีความขวยอายไม่ ซ้ำยังเผยสีหน้าทะเล้น ขยับศีรษะไปมาเล็กน้อยพร้อมส่งรอยยิ้มซุกซนเป็นเชิงยั่วเย้า
ชายหนุ่มยิ้มให้กับดวงหน้านั้น ในขณะที่หญิงสาวค่อย ๆ ม้วนผ้าห่มที่คั่นกลางระหว่างร่างทั้งสองลง เผยให้เห็นแผงอกเปลือยเปล่าที่ดูแข็งแรง ซ้ำยังเรียงได้รูปสวยงามของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่เจ้าหล่อนจะได้สำรวจมากไปกว่านั้น มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมากุมมือน้อยไว้ พร้อมด้วยเสียงทุ้มแฝงกลิ่นอายเจ้าชู้ที่ดังขึ้นว่า “ขอนอนหลับสบาย ๆ สักตื่นหนึ่งจะไม่ได้เชียวเหรอ”
หญิงสาวหัวเราะคิก ใช้มือเรียวอีกข้างที่ว่างอยู่ดึงมือใหญ่นั้นออก “นี่จะเจ็ดโมงแล้วนะพ่อขี้เซา” เธอพูดกลั้วหัวเราะ “ใจคอจะไม่คิดไปทำงานรึยังไง”
ชายหนุ่มหัวเราะหึ พูดว่า “ถ้าวันนี้ยังจะให้เข้างานตรงเวลาอีก ก็คงใจร้ายไปหน่อยมั้ง ใจคอจะไม่คิดให้คนเขาได้พักผ่อนบ้างเชียวเหรอ”
อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมาเป็นคำตอบ ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องเอ่ยถามขึ้นว่า “ถ้างั้นเช้านี้จะกินอะไร”
เมื่อได้ฟังคำถามนั้น ชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มเจ้าชู้ออกมา เขายกมือขึ้นปัดปอยผมสีน้ำตาลอ่อนของหญิงสาวให้พ้นไปจากใบหน้า ทัดมันไว้ที่ใบหูของอีกฝ่าย ก่อนกล่าวอย่างทะเล้นออกมาเบา ๆ ว่า “หมายถึงอาหารจริง ๆ หรือว่าหมายถึง ‘อย่างอื่น’ ”
หญิงสาวเลิกคิ้วสูง แม้ในดวงตาจะมีประกายของความขบขัน แต่ก็ยังเชิดจมูกตอบกลับไปว่า “คนลามก ถ้าไม่หิวก็เชิญนอนต่อไปเถอะ”
แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของชายหนุ่มจะเป็นนายของความง่วงไปแล้ว เขาใช้จังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัวพลิกร่างบางนั้นลงไปนอนหงายบนอีกฝากหนึ่งของฟูกที่นอน หญิงสาวร้องตำหนิพร้อมด้วยใช้กำปั้นทุบซ้ำเมื่อตนเองตกเป็นเบี้ยล่าง หากแต่ร่างกำยำนั้นหาได้สนใจไม่ ยังคงแนบกายลงมาบดทับ ก่อนที่จะส่งเสียงกระซิบที่ข้างใบหูของเจ้าหล่อนว่า “แล้วใครบอกว่าไม่หิวล่ะ”
ใบหน้าของหญิงสาวขึ้นสี หากแต่ไม่มีความคิดที่จะดิ้นรนขัดขืนอีก เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะ ใช้จมูกโด่งหอมเข้าที่พวกแก้มของอีกฝ่ายฟอดหนึ่ง แล้วจึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “ในตู้เย็นมีไส้กรอกกับวาฟเฟิล อุ่นให้หน่อยก็ดีนะ”
เจ้าหล่อนหันมามองค้อน ในขณะที่ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะร่าในขณะที่พลิกตัวกลับไปนอนหงายในพื้นที่ของตน เขาดึงผ้าห่มขึ้นถึงคอ ยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นหยิกแก้มของหญิงสาวพร้อมพูดว่า “ขอนอนก่อนสักชั่วโมง ไว้คนสวยช่วยมาปลุกด้วยนะคะ”
อาจม มันแปลว่า อุนจินะ ไม่รวมอาเจียน>>201
ร่างที่แดงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ กูว่ามันรวบรัดไปหน่อยแล้วส่วนใหญ่มันจะหน้ากับคอแดงมากกว่าทั้งตัว มึงจะบรรยายอีกนิกว่า ร่างที่ผิวขาวเริ่มเรื่อสีแดงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ก็อาจจะให้ภาพมากกว่า
“ด่าเลยๆจะด่าว่าแรดว่าร่านก็ได้” กูว่าไดอะลอคนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับประโยคก่อนหน้าของพระเอกที่ว่า ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัว เลยนะ
บทตื่นมาบนเตียงช่างกรุบกริบน่ารักดีนะ
โม่ง //reset_IDXXojt/b7e
อย่านะ อย่า ตรงนั้นไม่ได้นะ อ๊ะ อย... อย่า มะ... อ๊ะ ไม่นะ ไม่เอา ตรงนั้นอย่า อ๊า ไม่ไหว... ไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้แนวอะไรฮิตนะ จะลองแต่งเล่นๆ สักหน่อย
โนบิตะ วัย18 สอบไม่ติด ชีวิตค่อนข้างมืดมน เพราะทางบ้าน ก็เครียด และบ่นเรื่องนี้กับเขา
วันนั้น โนบิตะ แอบทางบ้านไปแข่งพันด้ายที่จัดขึ้นโดยห้างเล็กๆแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าเขาชนะ โนบิตะ เอาถ้วยรางวัล ดิ่งไปบ้านชิซุกะ เพื่อจะอวดเธอ
เมื่อไปถึง โนบิตะ เรียกชิซูกะ แต่ก็ไม่มีการตอบรับ ในบ้านยังเปิดแอร์ไว้ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ของทั้งพ่อิแม่ชิซุกะ หรือแม้แต่ชิซุกะเอง
โนบิตะ สงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงแอบเข้าไป แล้วเมื่อ เข้าไปถึงห้องของชิซุกะ ก็ ได้ยินเสียงชิซุกะกรีดร้อง และได้ยินเสียงผู้ชาย
โนบิตะ ตกใจมาก รีบเปิดประตูเข้าไป
สิ่งที่เขาได้พบคือ เดคิซุกะ กำลังXXXกับชิซุกะอย่างลืมโลก เสียงร้องของเขาและเธอเมื่อครู บ่งบอกว่า เพื่อเสร็จกิจอย่างเร่าร้อนรุนแรง ทั้งคู่สะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นโนบิตะ เปิดประตูเข้ามา
โนบิตะเอง ก็ทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกของเขาเหมือนโลกกำลังพังทลาย เพื่อเพียงคนเดียวที่คอยกำลังใจเขาคือชิซูกะ เขาพยายาม ติวข้อสอบเพื่อเข้ามหาลัย ก็เพราะชิซุกะคอยเป็นกำลังใจ เขารักชิซูกะ และชิซุกะ ก็ทำดีกับเขา โนบิตะไม่เข้าใจว่า ทำไมชิซูกะ ถึงทำแบบนี้ทั้งๆที่เธอ น่าจะรักเขา
โนบิตะ โวยวาย ว่าทำไม ชิซุกะทำแบบนี้ ทำไมหักหลังเขา ชิซุกะ อึ้ง จน ไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่เดคิซศูกิที่เพ่องถุกเห็นตอนทำอะไรกับชิซุกะนั้น อับอายกลายเป็นโทสะ
เค้าด่าว่า โนบิตะ มายุ่งเรื่องของแฟนคนอื่น และยังขี้ตู่ว่า ชิซุกะเป็นแฟนตัวเองทั้งๆที่แม้แต่จูบก็ไม่เคย
โนบิตะ เริ่มสติแตก กลับไปว่า ชิซุกะ รักเขา เพราะเธอทำดีกับเขามาตลอด
เดคิซุกิ หัวเราะซ้ำ และบอกว่าชิซุกะทำดีด้วย ก็อารมณ์เหราะสงสาร โนบิตะ หากไม่มีชิซุกะคอยดูแล ก็แค่คนไม่เอาไหนคนนึง ความรู้สึกของชิซุกะกับโนบิตะ ก็ไม่ต่างกับดูแลหมาจรจัดเท่าไหร่หรอก เดคิซุกะพูดพลางหัวเราะ และหันไปถามชิซุกะว่า จริงไหม ชิซุกะ อึ้ง ไม่รับ และไม่ปฏิเสธ
โนบิตะ ร้องให้โฮๆอย่างน่าสมเพช เดคิซุกิ เดินเข้ามาผลักโนบิตะให้ออกไปจากห้องพลางพูดสำทับว่า เขาจะเริ่มทำต่อกับชิซุกะอีกรอบ
วินาทีนั้น โนบิตะ รู้สึกเหมือนมีอะไรในร่างกายของเขาแตกสลายลง เขาเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว ด้ายที่เขาถือมาจากการแข่งพันด้าย ไปวนรอบคอเดคิซุกิเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และกระชากเขาล้มลง
เดคิซุกิ ร้องโวยวายว่า โนบิตะจะฆ๋าเค้า แต่โนบิตะ ก็ตกใจมาก ได้แต่ร่ำร้องบอกว่า ขอโทษๆ ไม่ได้ตั้งใจ และพยายามจะแก้ด้ายที่พันตรงคอ แต่เนื่องจาก เดคิซุกกิดิ้น ก็เลยทำให้ด้ายยิ่งยัดแน่นเข้า
เดคิซุกิ ร้องบอกให้ชิซุกะช่วย ชิซุกะโวยวายให้โนบิตะปล่อย แต่โนบิตะ ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปมด้ายที่พันอยู่ได้ เดคิซุกิ หน้าแดงลิ้นจุกปาก จนชิซุกะทนไม่ไหว เธอหยิบเอาแจกันหวดเข้าหัวของโนบิตะ หวังจะให้เข้าสลบหรือคลายมือ
หัวที่กระแทกอย่างรุนแรง ด้วยน้ำมือของคนที่เขารัก ทำให้โนบิตะจิตใจสลาย เขามองร่างของชายเปลือยที่เขาคล่อม ซึ่งบัดนี้กำลบังดิ้นทุรนทุรายตาเหลือกลิ้นจุกปากอยู่
เพราะไอ้นี่ ชิซุกะถึงเปบลี่ยนไป เพียงแว่บเดียวที่คิดแบบนั้น โนบิตะออกแรง บิดกระชากปมด้ายในมืออย่าวรุนแรงทีสุดเท่าที่ทำได้
กร๊อบบบบบ เสียงกระดูกคอหักดังได้ยินชัดเจน ทั้งโนบิตะ และชิซุกะ ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก แต่หลังจากที่ชิซุกะ ได้เห็นหน้าของเดคิซุกิที่ตาถล่น ลิ้นจุกปาก คอบิดในทิศทางวที่ไม่น่าทำได้ เธอก็กรีดร้องสุดเสียง และวิ่งออกจากบ้านไปแม้ไม่มีผ้าปิดตัวแม้สักผืน
ทิ้งไว้แต่เพียงโนบิตะ และร่างไร้วิญญาณของเดคิซุกิ
>>210 กูชอบ กูขอต่อ
โนบิตะเห็นชิซูกะวิ่งหนีไปก็ฉุกคิดได้ว่า ชิซูกะต้องไปแจ้งตำรวจแน่ ๆ ตัวเขาไม่มีอะไรดี ฐานะทางบ้านไม่รวย ไม่มีเส้นสาย หากเรื่องไปถึงตำรวจ อนาคตทุกอย่างของเขาก็ต้องจบสิ้น
โนบิตะวิ่งตามชิซูกะไป เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา ก็รีบวิ่ง ทำให้ก้าวพลาดจนตกบันได และโนบิตะวิ่งตามเธอได้ทัน
ชิซูกะที่ตกบันไดมองโนบิตะที่มีสีหน้าคร่ำเครียด เขาขึ้นคร่อมร่างของเธอ แล้วตบหน้าของเธอสุดแรง
“ทั้ง ๆ ที่ฉันรักเธอ แต่เธอกลับไปมีอะไรกับมัน แล้วยังจะไปแจ้งตำรวจอีก เธอคิดจะทำลายอนาคตของฉันใช่ไหม!?” เขาตะโกนเสียงดัง แล้วทั้งตบ ทั้งต่อยเธออย่างไม่ยั้งมือ
ตั้งแต่เกิดมา ชิซูกะไม่เคยโดนใครตบตีมาก่อน เธอรู้สึกมึนงงเมื่อกำปั้นกระแทกเข้ามาที่จมูก แม้โนบิตะจะแรงไม่เยอะ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เลือดกำเดาของเธอทะลักออกมา ภาพเบื้องหน้าของเธอนั้นลางเลือน เธอพยายามจะดิ้นหนีเมื่อเขาจิกเส้นผมแล้วลากเธอไปยังห้องนั่งเล่น แต่ก็ไม่สำเร็จ เท้าของโนบิตะระดมกระทืบลงมาบนร่างเปลือยของเธอ เธอได้แต่ขดงอร่างเพื่อเลี่ยงไม่ให้แรงกระแทกอัดลงมาบริเวณท้อง
“ขอโทษนะ เจ็บใช่ไหม ขอโทษ ขอโทษนะชิซูกะจัง” โนบิตะพูดซ้ำ ๆ เขาร้องไห้เหมือนทุกครั้งที่เจอเรื่องลำบากในขณะที่ใช้เชือกมัดร่างของเธอไว้ และเอาถุงเท้าของเขาอุดปากเธอ “ช่วยอยู่อย่างนี้ก่อนนะ ไม่นานหรอก” พูดจบ เขาก็ออกจากห้องไป
ชิซูกะนอนมึนงงอยู่กับพื้นห้องนั่งเล่นในบ้านของเธอ ครู่ใหญ่ เธอก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรหนัก ๆ ถูกลากไปตามพื้น และเสียงอะไรซักอย่างหล่นลงมาจากขั้นบนสุดของบันได
เสียงฝีเท้าก้าวลงบันไดตามลงมา ก่อนที่เสียงลากจะดังขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดฟ้าก็มืด
ชิซูกะนอนฟังเสียงจอบขุดดินที่ดังอย่างต่อเนื่องมากว่าชั่วโมงท่ามกลางปัสสาวะที่เจิ่งนอง ในที่สุด เสียงขุดดินก็หยุดลง ความเงียบเข้าครอบงำจนกระทั่งเสียงประตูสวนดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า แล้วประตูห้องนั่งเล่นก็เปิดออก
โนบิตะที่ทั่วตัวเปื้อนไปด้วยคราบดินมองเธออย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะจิกเส้นผมของเธอ แล้วลากเธอไปตามระเบียง ชิซูกะดิ้นรนสุดชีวิตอีกครั้ง เธอมั่นใจแน่แล้วว่าหากหนีไปพ้น ปลายทางของเธอมีแต่ความตาย
ความอดทนของโนบิตะหมดลงในที่สุด เขาจับหน้าของเธอกระแทกกับเสา รอยเลือดจากกำเดาลากเป็นทางบนผนังสีขาวที่เธอกับคุณแม่เธอเลือกวอลล์เปเปอร์ด้วยกัน โนบิตะลากเธอออกไปที่สวน แม้จะหยุดเป็นพัก ๆ เพื่อเอาแรง แต่ในที่สุด เธอก็ถูกลากมาจนถึงปากหลุม
เขาใช้เท้ายันร่างของเธอลงไป เธอกรีดร้องเมื่อหล่นลงบนพื้น หากทว่าพื้นด้านร่างไม่ใช่ดิน แต่เป็นร่างเปลือยของเดคิสุงิคุง
“ราตรีสวัสดิ์ ชิซูกะจัง”
ดินกองแล้วกองเล่าถูกตักลงมาทับร่าง ชิซูกะกรีดร้องด้วยเสียงที่ไปไม่ถึงใคร
มันไม่ควรเป็นอย่างงี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอคงไม่ใจอ่อนช่วยเหลือเด็กอ่อนแออย่างเขา
เด็กที่สวมเปลือกร่างอ่อนแอภายนอก คลุมร่างสัตว์นรกที่แท้จริงอยู่ภายใน
คุโด้ ชินอิจิ มีธุระที่ต้องมาทำแถว เมืองเนริมะ ในโตเกียว ความจริแล้วเขาเป็นยอดนักสืบหนุ่มมัธยมปลายแต่เกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้ตอนนี้ต้องมาอยู่ในร่างเด็กประถมล้านปีจึงปลอมตัวแล้วใช้ชื่อใหม่ว่า เอโดงาวะ โคนัน
เมื่อวันก่อนโคนันเกิดอารมณ์เปลี่ยวอยากสาวหนอนแต่ขาดแคลนอุปกรณ์เขาจึงแอบไปขโมยกุงเกงในใช้แล้วของรันเพื่อนสาวของเขา ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงจึงทำให้กุงเกงในตัวนั้นเสียหายแล้วถูกรันจับได้ ด้วยความที่ต้องการเอาตัวรอดก่อนถูกรันจับได้โคนันได้ย่องเข้าไปในห้องอาหารที่โกโร่นั่งกินเหล้าอยู่ เขายิงเข็มยาสลบใส่แล้วเทอาหารใจจานลงพื้นกอนเอากุงเกงในตัวนั้นมาเช็ดเหมือนผ้าขี้ริ้วแล้วยัดใส่มือโกโร่ที่สลบเหมือนคนเมาหลับคาโต้ะ
เมื่อรันออกมาจากห้องน้ำแล้วพบกับเหตุการณ์ดังกล่าวจึงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟด่าว่าโกโร่เสียๆหายๆ โกโร่ที่เมาแล้วสลบจึงเผลอคิดว่าตัวเองเป็นคนทำจึงรู้สึกเสียใจมากอยากจะชดใช้ให้เงินไปซื้อกุงเกงในตัวใหม่ รันหลั่งน้ำตาออกมาแล้วบอกว่ากุงเกงในตัวนี้เป็นตัวที่ไปซื้อตอนออกเดทกับชินอิจิ เป็นตัวที่สำคัญมากแล้วจึงวิ่งหนีเข้าไปเก็บตัวในห้องนอน
เมื่อโคนันรู้เข้าดังนั้นจึงสำนึกผิดเดินทางไปเนริมะเพื่อหาซื้อกุงเกงในตัวนั้นมาให้กับรัน เมื่อไปถึงที่ร้านก็สอบถามหากุงเกงในตัวดังกล่าวว่าจะซื้อไปให้เป็นของขวัญพี่สาว แต่เจ้าของร้านก็ทำหน้าเศร้าใจเพราะกุงเกงในตัวดังกล่าวนั้นเป็นตัวพิเศษแปะงานถักรูปหมีน้อยเอาไว้ซึ่งเป็นงานฝีมือจากเด็กประถมโรงเรียนที่อยู่ไกล้ๆ เด็กผู้หญิงคนดังกล่าวได้หายสาปสูญไปสามวันแล้วทั่วเมืองต่างช่วยกันตามหาแต่ยังไม่มีข่าวคราว เด็กประถมหญิงคนนั้นเป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองชื่อ มินาโมโตะ ชิซุกะ หากสามาถหาเธอได้ก็สามารถทำกุงเกงในตัวดังกล่าวขึ้นมาใหม่ได้
โคนันได้กลิ่นแปลกๆจากการบอกเล่าของเจ้าของร้าน จึงสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก่อนออกมาจากร้าน โคนันจำเป็นต้องหาเด็กผู้หญิงคนดังกล่าวเพื่อกุงเกงในของรันเขาจึงก้าวเดินเข้าไปในเมืองเพื่อสืบหาเด็กสาวที่หายตัวไป
ต่อ
ขณะที่โคนันตามเบาะแสไปเพื่อสืบคดี เขาได้พบกับเด็กหนุ่มที่สงสัยในคดีนี้เช่นกัน
"ขอเอาเกียรติของคุณปู่เป็นเดิมพัน ฉันจะจ้องสืบคดีนี้ให้ได้"
แน่นอน โคนันมีคู่แข่งเสียแล้ว เขาคนนั้นมีชื่อว่า คินดะอิจิ
>>213 น่าสนุก ถถถ
เขาใช้ข้อมูลที่ได้ตามหาเด็กสาวดังกล่าวจากคำบอกเล่าขอเจ้าข้อร้าน จากข้อมูลที่ได้เห็นครั้งสุดท้ายที่เห็นเธอคือสวนสาธาระณะแห่งหนึ่ง จากคำบอกเล่าเห็นว่าเธอเดินมากับเพื่อนสาวของเธออีกสองคน อยู่เด็กประถมคนนั้นก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำกระทันหัน เลยขอเพื่อนเธอไปเข้าห้องน้ำที่สวนสาธารณะ พอผ่านไปสักพักก็พบว่าเพื่อนของเธอไม่ออกมาสักที พอไปตามหาก็ไม่พบตัวเธอเลย เธอไม่อยู่ห้องน้ำสักห้องเลย
เมื่อได้ข้อมูลดังนั้นเขาจริงได้ไปในที่เกิดเหตุก่อนที่เด็กสาวจะหายด้วยไป เขาเข้าไปสำรวจในห้องน้ำทันที ในห้องน้ำไม่มีอะไรผิดปกติเลย จนกระทังเขาได้ยินเสียงแปลกมาจากห้องข้างๆ เป็นเสียงร้องหวานของคนหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงร้องความเจ็บปวดที่ปนความสุข เข้ารู้สึกเสียงร้องแบบนี้ดี เพราะเขาได้ยินมันทุกคืนจนเบื่อ แต่พอมาเห็นหนังสดแบบนี้มัน เขาไม่รอช้า รีบกดมองลอดช่องไปดูห้องข้างๆ ทันที ภาพตรงหน้าถึงกับทำให้เขาตกตะลึก เพราะภาพที่เข้าเห็นนั้นมีผู้หญิงสองคนคน!! สุดยอด เขาไม่เคยเห็นแบบหญิงมาก่อน กางเกงของเขาเริ่มจะคับแน่นขึ้นมา พอมาสังเกตดีๆ นั่นมันดาราบนปก AV ที่ลุงโคโกโร่ซ่อนไว้นี่นา!!
ผู้หญิงหนึ่งในนั้นดูท่าจะตาดีเกินไป เธอสังเกตเห็นโคนันที่มองลอดผ่านช่องประตู แต่แทนที่เธอจะตกใจ เธอกับยิ้มแล้วเชิญชวนโคนันมาร่วมดูแบบสดๆ ใกล้ชิด เข้าไปตามนั้นราวถูกเชิญชวน เขาได้ดูสองสาวโลมเล้ากันแบบใกล้ชิด มีบ้างที่พวกเธอมานัวเนียกับเขาบ้าง
เวลาผ่านไป
สองสาวหนึ่งเด็กที่เสร็จกิจแล้วมานั่งคุยกัน พวกเธอถามโคนันด้วยความแปลกใจว่าเด็กผู้ชายมาทำอะไรที่ห้องน้ำหญิงแบบนี้ โคนันจึงบอกเรื่องเด็กผู้หญิงที่เขากำลังตามหาไปพร้อมยืนรูปภาพที่เขาได้มา สองสาวมองพิจารณาสักพักก่อนหนึ่งในนั้นจะนึกได้ว่าเคยเจอที่ไหน เมื่อสามวันก่อนพวกเธอนัดกันมาที่นี่เหมือนกัน เธอเคยเด็กผู้หญิงคนนั้นเดินไปกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเธอก็รู้จัก เขาเป็นตากล้องผู้ขึ้นชื่อเรื่องการถ่ายวิดีโอเด็กประถม เขาได้ขอที่อยู่ชายคนนั้น ซึ่งเธอก็ยอมให้เพื่อเป็นการตอบแทนที่ทำให้เธอได้สนุก เสร็จพวกเธอก็บอกลาโคนันไป
เมื่อสองสาวเดินจากไปเข้าก็มองที่อยู่ที่เธอเห็นมา เขาตกใจมากกับสิ่งที่เขียนไว้ เขารีบวิ่งไปที่จุดหมายทันที โธ่เว้ย ทำไมเขาไม่เอะใจตั้งแต่แรก ไม่มีทางที่คนปกติจะมีรูปเด็กประถมได้หรอ
ที่อยู่นั่นคือร้านที่เขาไปซื้อกางเกงในในตอนแรก!!!
!
ปัง!!
ยอดเยี่ยมมากครับ เป็นการครอสจักรวาลที่ดี
ดวงตาของเขาฉายประกายประหลาดขณะพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า "สรุปว่าเธอจะไปจริงๆ?"
ริมฝีปากของหญิงสาวแย้มยิ้ม หากแต่ดวงตาคู่สวยนั้นคล้ายไม่อาจแย้มยิ้มตาม "อืม" เธอรับคำขึ้นคราหนึ่ง "ก็ไปจริงๆแหละ"
ชายหนุ่มเผยอรอยยิ้มขึ้นบ้าง แต่มันก็ดูเต็มฝืนเกินทน เห็นดังนั้นหญิงสาวก็หัวเราะ ใช้มือทั้งสองข้างโอบรัดเอวอีกฝ่าย หน้าอกของเธอแนบชิดกับแผงอกของเขา "เป็นอะไรล่ะ บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าหลงรักกัน"
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาคำหนึ่ง เห็นดังนั้นหญิงสาวก็เผยอยิ้ม ดวงตาที่เคยหมองพลันกระจ่างขึ้น เธอใช้ริมฝีปากคู่สวยจุมพิตเบาๆ เข้าที่ปลายคางของเขา ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยต่อว่า "ยังไงก็ยังเหลือคืนนี้อีกคืน"
ชายหนุ่มใช้มือทั้งสองข้างแตะสัมผัสเบาๆ ที่บั้นท้ายของหญิงสาว ตาทั้งสองคู่ประสานกันเป็นประกายวาวอย่างที่ไม่มีใครคิดยอมใคร ไม่ต้องใช้คำพูดอื่นอีก ร่างบางถูกสองแขนแกร่งเกี่ยวกระหวัดขึ้นอุ้มตรงไปยังห้องนอน ก่อนที่จะวางเธอลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล
หญิงสาวแย้มยิ้มอย่างยั่วเย้า ยื่นลิ้นออกมาแตะริมฝีปากอิ่มนั้นเป็นเชิงเชื้อเชิญ หากแต่ชายหนุ่มก็ยังไม่คิดผลีผลามดื่มกินอย่างมูมมาม ร่างใหญ่กว่าขยับตัวขึ้นคร่อม กางมือทั้งสองกั้นร่างบางไว้คล้ายเป็นกรงมนุษย์ชนิดหนึ่ง
ชุดชั้นในที่รั้งทรงอกตูมตั้งของหญิงสาวสัมผัสบางๆ กับแผงอกของอีกฝ่ายอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองคู่จ้องมองกันอย่างลึกล้ำในขณะที่ชายหนุ่มเพียงใช้มือข้างหนึ่งล้วงปลดบราปีกนกของเจ้าหล่อนออก ม้วนพับชุดเดรสเกาะอกสีแดงลงไปถึงสะดือ เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่สุดแสนจะรัดรึงใจ
ใบหน้าของเธอขึ้นสีเรื่อ ลมหายใจนั้นก็เริ่มหอบกระชั้น หากแต่ชายหนุ่มยังคงมีความคิดเล่นสนุกเพิ่มเติม เขาไม่สนใจทรวงอกที่เพิ่งจะถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระคู่นั้น หากแต่ใช้มือลูบไล้ไปตั้งแต่ข้อศอกจนถึงหัวไหล่กลมกลึงของหญิงสาว รับรู้จังหวะการเต้นของหัวใจที่รัวเร็วขึ้นจนหนำใจแล้วจึงค่อยเลื่อนมือขึ้นไปสัมผัสที่ติ่งหูของอีกฝ่าย ก้มหน้าลงจุมพิตที่ปลายคางเป็นการเอาคืนครั้งหนึ่ง
ริมฝีปากคู่นั้นจูบสัมผัสที่ปลายคาง ก่อนที่จะค่อยไล่ลงมาตามลำคอของหญิงสาว ชายหนุ่มจงใจสูดสัมผัสกลิ่นกายของอีกฝ่ายอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มขยับลงมารุกรานที่เนินอก ในตอนนั้นคล้ายว่าโฉมงามจะไม่อาจข่มกลั้นได้อีก ร่างที่เคยสั่นน้อยๆ พลันสะท้านขึ้นครั้งหนึ่ง ก่อนที่เสียงครางเบาๆ จะหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่งาม
ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็ยิ้มกริ่ม พานยกใบหน้าขึ้นจากอกอูมคู่นั้น พลิกกายจากท่าคร่อมเปลี่ยนมาเป็นนอนเคียงข้าง กล่าวอย่างสบอารมณ์ยิ่งว่า "เปลี่ยนใจแล้ว คืนนี้พวกเรานอนคุยกันท่าจะดีกว่า"
หญิงสาวลืมตากลมกว้าง หันไปมองค้อนคนข้างกายพร้อมถองศอกเข้าใส่ข้างเอวของเขาครั้งหนึ่ง ฝ่ายชายหนุ่มที่โดนถอง แทนที่จะร้องโอดโอยกลับส่งเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจออกมา เอ่ยกระเซ้าอีกฝ่ายว่า "เราให้เกียรติเธอไม่ดีรึไง หืม คนลามก"
"จะคุยเรื่องอะไรล่ะ"
"เธอคิดว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน"
นี่มันอะไร หยุดกิจกรรมเมื่อสักครู่เพื่อมาถามคำถามนี้กับเธองั้นเหรอ บ้าหรือเปล่า "เขาออกว่าเฉลยแล้วนี่ว่าไก่เกิดก่อนเพราะโปรตีนอะไรสักอย่างที่มีอยู่เฉพาะในไก่"
ชายหนุ่มเหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับคำตอบเท่าไหร่นัก เขาถามต่อ "แล้วเธอคิดว่าไก่กับหมูอะไรอร่อยกว่ากัน"
"มันก็แล้วแต่คนหรือเปล่า แต่ฉันชอบหมูมากกว่า" ถามคำถามบ้าอะไรวะ ดีที่เธอไม่ใช่อิสลามไม่อย่างนั้นคงเปรียบเทียบไม่ได้
"เราก็ชอบหมูเหมือนกัน"
"เธอหิวเหรอ"
"นิดหน่อย"
"ลงไปทำมาม่ากินสิ" นาฬิกาดิจิตอลตรงหัวนอนปรากฏเลข 00.21 แล้ว แต่ถ้าหิวเราจะกินเวลาไหนก็ได้ไม่ใช่หรือ "ทำเผื่อด้วย ขอเป็นรสหมูสับ"
"ได้" ชายหนุ่มลุกลงเตียงเพื่อไปเข้าครัวไปทำมาม่ากิน "เธอไม่มาช่วยกันทำเหรอ"
อารมณ์วาบหวามเมื่อสักครู่ไม่เหลือแม้เพียงแต่เศษเสี้ยว เปอร์เซนต์ที่จะทำอะไร ๆ ต่อในห้องครัวเท่ากับศูนย์ คำตอบที่ชายหนุ่มได้รับคือคำปฏิเสธจากหญิงสาว
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ลองโยงเข้ากับเรื่องข้างบนด้วยได้มะ
กูจำสำนวนมึงได้ สวยดี
เธอไม่สูง ผิวสีแทนก็ไม่เรียบเนียน ผมยาวดูกระเซิงอย่างที่หวีคงช่วยไม่ได้ ถ้าอยากจัดทรงให้เรียบตรงคงต้องพึ่งร้านทำผมอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ดวงตาของเธองดงามมาก นัยน์ตาสีดำขลับรับกับขนตางามงอน ขนคิ้วเรียงสวยอย่างไม่ต้องพึ่งดินสอใด จมูกรั้นน้อยๆ คู่กับฟันคู่หน้าที่เก แม้ว่าที่หน้าผากจะมีร่องรอยแผลเป็นจากสิวจางๆ ก็ไม่ได้ทำให้เสน่ห์ที่มีอยู่นั้นถดถอยไป
ที่สำคัญคือเธอฉลาด ถ้าคุณรู้จักผม คุณจะทราบว่านี่คือคำชมที่สูงที่สุดเท่าที่ผมจะมอบให้ผู้หญิงคนไหนได้ ที่ผมบอกว่าเธอฉลาดนั้นไม่ได้หมายความว่าเธอเรียนเก่ง แต่ผมหมายถึง... ไม่รู้สิ ไหวพริบดีมั้ง
ผมบอกคุณไปรึยังนะว่าเธอช่างสวยเหลือเกิน
ใช่ ไหนจะลักยิ้มคู่นั้นอีก ผมชอบเวลาเธอยิ้ม และผมก็ชอบเวลาที่เห็นเธอทำหน้าบึ้ง เครื่องหน้าของเธออาจไม่ได้งดงามที่สุด แต่พวกมันกลับเคลื่อนไหวอย่างมีเสน่ห์ที่สุด เวลาเธองอน จมูกรั้นๆ ของเธอจะเชิดขึ้น ดวงตากลมโตนั้นจะเบิกกว้าง ช้อนนัยน์ตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองค้อน แค่นั้นก็ทำใจผมเกือบละลายแล้ว
ผมชอบตอนที่เธอร้องเพลง เว้นแต่เป็นเพลงที่เธอร้องตอนคิดถึงแฟนเก่า ผมชอบตอนที่เธอเต้น เว้นแต่ตอนที่มีผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาเต้นใกล้ๆ แต่เธอกลับไม่ยอมขยับตัวหนี
ผมรับได้ที่เธอชอบเที่ยวผับ แต่ไม่ชอบเท่าไหร่เวลารู้ว่าเธอไปกับกลุ่มเพื่อนผู้ชาย ผมรับได้เวลาที่เธอเมา แต่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟถ้ารู้ว่าคนที่ขับรถมาส่งเป็นผู้ชายที่เธอเพิ่งเจอที่ผับ ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนแรกของเธอ และผมรับได้กับเรื่องนั้น สิ่งที่ผมต้องการมีแค่เพียงได้อยู่ดูแลเธอ พวกเราอาจมีลูกด้วยกันสักคนหนึ่งเมื่อเธอพร้อม เธอรู้ว่าผมรักเธอมาก และผมก็รู้ว่าเธอเองก็รักผมไม่น้อยไปกว่านั้น
ก็พวกเราเป็นพ่อลูกกันนี่นา
จะทำให้อาหารอร่อย มันก็ต้องมีซอสเป็นเครื่องช่วยชูรส
ไก่อบซอส เนื้ออบซอส มันฝรั่งทอดจิ้มซอส อืมมม ของโปรดของผมเชียวล่ะ ถ้าเป็นของหวานก็คงต้องเป็นวาฟเฟิลหอมๆ ราดด้วยซอสช็อกโกแลต สตรอวเบอร์รี่ น้ำผึ้ง หรือเมเปิ้ลไซรัป อืมมม ถ้าได้ไอศกรีมวานิลลาสักสโคปจัดเคียงข้างๆ มื้อนั้นก็เรียกได้ว่าสวรรค์
แต่ทุกรายการที่เพิ่งกล่าวไปนั้นไปอาจเทียบได้กับเธอคนนั้น เทียบไม่ได้เลยแม้แต่เพียงเศษเสี้ยว
เธอเป็นผู้หญิงอวบขาว ใบหน้ากลมมักระบายไปด้วยรอยยิ้มสดใสที่คล้ายจะทำให้โลกทั้งใบแย้มยิ้มไปกับเธอบ้าง เธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เธอเป็นเด็กกิจกรรม เธอเป็นที่รักของทุกคน แต่คนที่รักเธอมากที่สุดย่อมต้องเป็นผม
และคนที่รักผมมากที่สุดก็ย่อมต้องเป็นเธอเช่นกัน
อย่างที่บอก อาหารจะอร่อยยิ่งขึ้นถ้ามีซอสที่เข้ากัน อุปมาว่าเธอเป็นอาหาร ผมเป็นซอส พวกเราอยู่ด้วยกันในหอพักริมรั้วมหาวิทยาลัย เธอมักกลับมาถึงห้องช่วงหัวค่ำ เล่าให้ผมฟังถึงทั้งเรื่องเรียนและเรื่องกิจกรรมที่เธอต้องวุ่นวายกับมันอยู่ทั้งวัน จากนั้นก็ได้เวลากอดจูบลูบคลำ ทำอะไรที่คู่รักเขาทำกัน แล้วก็เข้านอน
เอาล่ะ ผมไม่ได้พูดเรื่องซอสกับอาหารขึ้นมาเพื่อที่จะกล่าวอุปมาอุปไมยแต่เพียงถ่ายเดียวหรอก คืองี้ จริงๆ แล้วเธอคนนี้น่ะมีรสนิยมทางเพศที่ออกจะ... อืมมม ผมไม่อยากใช้คำว่าวิตถารนะ ไม่เลย คำนั้นมันฟังดูรุนแรงไปสำหรับคนดีๆ อย่างเธอ เอาเป็นว่ามันเป็นรสนิยมที่ค่อนข้างเฉพาะตัวก็แล้วกัน
ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ พวกเรามักชอบเล่นอะไรแผลงๆ กัน นัยว่าเพื่อเปลี่ยนรสชาติไม่ให้จำเจ คือผมหมายถึง "รสชาติ" จริงๆ น่ะ ไม่ใช่แค่คำอุปมาหรอกนะ
ร่างอวบขาวของเธอนอนเปลือยเปล่าอยู่บนพื้นกระเบื้อง มือหนึ่งก็จะบีบราดซอสละเลงลงจนทั่วร่าง จะเป็นช็อกโกแลต สตรอวเบอร์รี่ หรือบางทีก็เป็นวิปครีมแล้วแต่โอกาส จากนั้นก็จะเป็นทีของผม ผมมักขึ้นคร่อมร่างเธอ โลมเลียตั้งแต่ซอกคอขาว สูดกลิ่นกายผสมกลิ่นซอสนั้นจนหนำใจ ค่อยไล่เลียลงมาถึงปทุมถันสีอ่อน แกล้งใช้ฟันขบเบาๆ ให้เธอได้ตกใจเล่น
ผมไล่ลิ้นละเลงเลียลงมาจนถึงหว่างขา ที่ส่วนนั้นออกจะขึ้นสีคล้ำกว่าส่วนอื่นเล็กน้อย หากแต่รสชาตินั้นหอมหวานกว่าอาหารเลิศรสทุกชนิดบนโลก ผมสัมผัสได้ถึงความคมที่ชวนให้รู้สักจั๊กจี้ของตอขน ยิ่งตวัดลิ้นรับประทานก็ยิ่งเข้าใจได้ถึงรสชาติอันแสนประเสริฐนั้น
เธอหายใจหอบกระชั้น มือทั้งสองข้างเอื้อมลงมาสัมผัสศีรษะของผม กดมันลงคล้ายว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ผมได้เงยหน้าขึ้นมาอีก หากแต่ใครจะสนใจเงยหน้าในเมื่อมีของล้ำค่ำอยู่ตรงหน้าเล่า ผมเร่งตวัดลิ้นรัวเร็ว สัมผัสได้ถึงรสชาติแปลกใหม่อันโอชะ ที่จู่ๆ ก็พลันหลอมรวมเข้ากับกลิ่นกายและกลิ่นซอส คล้ายกับกลิ่นข้าวคลุกน้ำปลาโรยผงชีส ที่มีซอสหวานๆ เป็นท็อปปิ้งช่วยชูรสอยู่ที่ด้านบน
เธอยอมปล่อยมือที่รั้งจับศีรษะของผมไว้ นอนหอบหายใจอย่างมีความสุข ก่อนที่จะใช้แขนนั้นดึงรั้งผมให้ขึ้นมาอยู่ในอ้อมอก ประดิษฐ์เสียงเห่าเบาๆ อย่างรักใคร่ให้ผม ได้ยินเช่นนั้นผมก็ต้องเห่าตอบคำหนึ่ง ใช้ลิ้นเลียหน้าของเธอจนเปียกชุ่ม ผมว่าผมพยายามจะควบคุมอารมณ์ให้อยู่นะ แต่หางเจ้ากรรมเนี่ยสิ เวลามีความสุขทีไร ไม่เคยหยุดกระดิกได้เลยสักที
เฮ้อ ผมรักเธอจัง
- จากผู้เขียน - ขอบคุณสำหรับกระแสตอบรับนะครับ อันนี้เห็นกระทู้นิยายเด็กดีมีคน request นิยายมุมมองหมามา เลยทดลองเขียนดู ไม่รู้ว่าจะถูกใจรึเปล่า ฝากคอมเมนต์ด้วยนะครับ
มึงเป็นคนเดียวกับอินเซสต์ด้านบนแน่ ๆ อิเหรี้ยยยยยย (อุทาน)
ขอขัดจังหวะนิด แต่หมามันแดกช็อคโกแลตไม่ได้นะเว้ย
ถ้าแดกแล้วอันตรายต่อชีวิตมันก็ตายห่าตั้งแต่รอบแรกแล้วว้อย ไม่มีโอกาสได้มาเล่นหมาเนยกับเจ้านายอีกเป็นครั้งที่สองหรอก
โอเค สำบัดสำนวนมันก็โอเคดี แต่เนื้อหาตรงนี้มันพลาดก็ต้องยอมรับว่าพลาด จะปกป้องทำหอยอะไร
>>243 ไม่ได้ปกป้องโว้ย แค่จะบอกว่าชอคโกแลตมันไม่ได้อันตรายขนาดนั้น มันอาจทำให้หมาตายได้ก็จริง แต่ก็ยังมีปัจจัยอีกตั้งเยอะแยะให้คิด เช่นว่าหมาพันธ์ไหน น้ำหนักตัวเท่าไหร่ กินเข้าไปเยอะเท่าไหร่ และชอคที่กินเนี่ยมีส่วนผสมของโกโก้เข้มข้นแค่ไหน มึงบอกไม่ได้หรอกว่าหมากินชอค=ตายแน่ ไม่ใช่ยาฆ่าหญ้าสักหน่อย
อ้าว กลายเป็นคุยเรื่องช็อกโกแลตไปละ ถถถ เพิ่งรู้เหมือนกันนะว่าหมากินไม่ได้ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลจย้า
หมากินช็อกโก้ไม่ได้แต่ของทัยที่ซื้อได้ตาม7-11กินได้นะ เพราะแม่งเป็นช็อกโก้ไขมันปาล์มปลอมๆ
ปนัดดาเป็นเด็กเรียน แต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง บรรดาอาจารย์พูดเป็นเสียงเดียวกัน
ที่ป้ายรถประจำทางหน้าโรงเรียน... บุ๋มบิ๋มที่เพิ่งสอบเสร็จหมาด ๆ กำลังเดินเครียดมา
"นัดดา... ข้อสอบเมื่อเช้าอยากมากเลยเนอะ" บุ๋มบิ๋มเรียกเพื่อนสนิทของเธอ
ปนัดดาที่กำลังอ่านข่าวขนมปังไส้กรอกอยู่เงยหน้าขึ้นมา
"ไม่นะ ข้อสอบง่ายมักมักเลยนะบุ๋มบิ๋ม"
ปนัดดาดูมั่นใจผิดปกติ บุ๋มบิ๋มสัมผัสได้ว่ามีอะไรที่เปลี่ยนไป
"ก็ว่าอยู่... นัดดาออกมาก่อนใครเพื่อนเลย เตรียมตัวมาดีเหรอ?"
"เปล่า ไม่ได้อ่านเลยจ้า"
"อ้าว"
บุ๋มบิ๋มถึงกับงง ปนัดดายิ้ม
"เพราะฉันใช้ไอ้นี่ไง"
ปนัดดายื่นมือถือให้เพื่อนสนิทของเธอดู
ปนัดดาเป็นเด็กเรียน แต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง บรรดาอาจารย์พูดเป็นเสียงเดียวกัน
บุ๋มบิ๋มหลังจากที่เห็นตัวสินค้าก็ยิ้มให้เพื่อนสุดรัก
"แหม... นัดดา... ดินสอเหี้ยอะไรมันแพงแบบนี้"
พูดจบบุ๋มบิ๋มกับปนัดดาก็หัวเราะพร้อมกัน
จังหวะนั้นบุ๋มบิ๋มก็สังเกตเห็นความโทรมของมือถือปนัดดา
"นัดดา... ทำไมน้องสับมันแหกเยินแบบนั้นล่ะ"
ปนัดดาพลิกมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วก็ใช้นิ้วลูบรอยขีดข่วนที่แสนทุเรศ
"มันตกบ่อยน่ะ เสียดายเหมือนกัน"
ปนัดดาเสียงหงอย บุ๋มบิ๋มเห็นเพื่อนรักกำลังเศร้าก็...
"งั้นเอานี่ไปใช้นะนัดดา"
บุ๋มบิ๋มยื่นบางอย่างให้ปนัดดา
ปนัดดาเป็นเด็กเรียน แต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง บรรดาอาจารย์พูดเป็นเสียงเดียวกัน
พักใหญ่หลังจากที่บุ๋มบิ๋มและปนัดดายืนรอรถประจำทางเมฆดำก็เริ่มรวมตัวกันปกคลุมผืนฟ้า
"ซวยสัดละบุ๋มบิ๋ม ฝนแม่งจะมาแล้วสิ"
บุ๋มบิ๋มขมวดคิ้วมองไปที่เมฆดำ...
"ตายจริงนัดดา เราไม่ได้เอาร่ม..."
"ใครบอกกันล่ะบุ๋มบิ๋ม"
ปนัดดายื่นบางอย่างให้เพื่อนสุดรัก
กลายเป็นมู้ขายของเด็กดีแล้วเหรอ???
ปนัดดาเป็นเด็กเรียน แต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง บรรดาอาจารย์พูดเป็นเสียงเดียวกัน
บุ๋มบิ๋มเห็นปนัดดากระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง จึงหันไปถามด้วยความเป็นห่วง
"นัดดา เป็นไรไป"
ปนัดดาตอบคำถามบุ๋มบิ๋มไป
"เราทำยางลบหายเมื่อวานแล้วลืมซื้อ ตอนนี้ไม่มียางลบใช้แล้ว"
บุ๋มบิ๋มหัวเราะให้ปนัดดา
"อะไรกัน เรื่องแค่นี้เอง เราจะให้อะไรเธอ"
บุ๋มบิ๋มยื่นบางสิ่งให้ปนัดดา
https://www.dek-d.com/store/view_info.php?product=77
>>252 บุ๋มบิ๋มเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนอย่าตื่นตะลึง ก่อนที่จะขว้างเคสไอโฟนใส่หัวของปนัดดาจนฝ่ายนั้นต้องร้องโอดโอย
บุ๋มบิ๋มหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธ ยกนิ้วชี้หน้าปนัดดาร้องด่าว่า "อีบ้า มึงเป็นเพื่อนกูมากี่ปีแล้วเนี่ย ทำไมถึงไม่รู้ว่ากูใช้ซัมซุง อีดอก กูว่าแล้วว่ามึงไม่เคยสนใจเหี้ยอะไรกูเลย นับแต่วันนี้เราขาดกัน และไม่ต้องสะเหล่อเอาของมาให้กูใช้อีกนะ"
หลับหูหลับตาเข้ามาโพสฟลัดมั่วๆ ใช้กระทู้ไม่ถูกวัตถุประสงค์ แจ้งมาต้าให้แบนได้นะจ๊ะ
ปล.ไม่ได้เล่นกระทู้นี้ โม่งที่เล่นกระทู้นี้ก็จัดการกันเองนะจ๊ะ
จะเล่นเรื่องเด็กดีมันขายของก็ไปเม้าที่มู้เว็บโนเวลได้ หรือจะแต่งก็แต่งรวมเลยได้มะ ไม่ต้องฟลัด ชักรำคาญล่ะนะ
ปนัดดาเป็นเด็กเรียน แต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง บรรดาอาจารย์พูดเป็นเสียงเดียวกัน
"อะไรนะคะป้า? โตโต้หกล้มหัวเข่าแตก!?"
บุ๋มบิ๋มหันขวับมาคอแทบเคล็ดทันทีที่ได้ยินปนัดดาอุทาน
"อ๋อ ๆ ปลอดภัยก็ดีแล้วค่ะ... หนูใจหายหมดเลย..." ปนัดดาถอนหายใจอย่างโล่งอก
บุ๋มบิ๋มเห็นเพื่อนรักปลอดโปร่งก็พลอยโล่งใจไปด้วย
"นั่นสิ... โตโต้ลูกป้ามันเล่นทำอิท่าไหนคะ? หืม? อะไรนะคะ? ป้าใช้อะไรนะคะ?"
บุ๋มบิ๋มชักฟังบทสนทนาไม่รู้เรื่อง ส่วนปนัดดาเริ่มพยักหน้าหงึกหงึก
"ค่ะค่ะ ส่งลิงค์มาทางไลน์นะคะ"
ปนัดดารีบเปิดไลน์ขึ้นมาดู ด้านบุ๋มบิ๋มก็ชะเง้อมา... เห็นเป็น...
>>253
"ว้าว ร่มมาทันเวลาพอดีอย่างกับรู้ใจ ร่มมาได้ตรงเวลาพอดีอย่างกับนัดกันไว้ ขอบใจนะปนัดดา" บุ๋มบิ๋มส่งยิ้มให้ปนัดดา
"ไม่เป็นไรจ้ะ" ปนัดดายิ้มกลับ
ทันใดนั้นมีอย่างแหวกอากาศเข้ามาหาบุ๋มบิ๋มอย่างรวดเร็ว มันคือกระสุนขนาด 9 มม ที่ออกมาจากกระบอกปืนของมือปืนที่ได้รับการจ้างวานมาให้ปลิดชีพลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของแก๊งมาเฟียใหญ่ ใช่ บุ๋มบิ๋มคือลูกสาวของหัวหน้ามาเฟียคนนั้น
"ขอโทษนะจ๊ะ"
เมื่อสิ้นเสียงกล่าวขอโทษ ปนัดดากระชากร่มสีส้มในมือของบุ๋มบิ๋มและกางมันออกอย่างรวดเร็วไปในทิศทางที่กระสุนสีเงินเย็นเยียบตรงเข้ามา นอกจากร่มจะกันไม่ให้เม็ดฝนตกกระทบที่เส้นผมของหญิงสาว ยังสามารถกันกระสุนที่จะคร่าชีวิตเธอได้อีกด้วย
โลหะที่ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้สำเร็จตกลงสู่พื้นโลกตามแรงโน้มถ่วงเกิดเป็นเป็นแกร๊งเบา ๆ สองสามที
"เกิดอะไรขึ้นเหรอปนัดดา" บุ๋มบิ๋มถามอย่างตกใจเพราะอยู่ดี ๆ เพื่อนเธอก็กระชากร่มไปกางเล่น
"แค่ทดสอบว่ามันกางได้หรือเปล่าเท่านั้นน่ะจ้ะ" ปนัดดาหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มหวาน
ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะปกป้องเธอ ต่อให้แลกด้วยชีวิตของฉันก็ตาม
>>255
"ลบสะอาดมากเลยล่ะบุ๋มบิ๋ม" ปนัดดากล่าวด้วยความดีใจ ยางลบก้อนนี้ลบสะอาดกว่าก้อนที่หายไปซะอีก
"มันทำอย่างอื่นได้อีกนะ" บุ๋มบิ๋มคลี่ยิ้มบาง ๆ
"เอ๋"
"ตามมาสิ เดี๋ยวฉันจะทำอะไรให้ดู"
บุ๋มบิ๋มหยิบยางลบสีขาวก้อนนั้นมากำไว้ในมือแล้วจูงมือปนัดดาเดินออกจากห้องเรียนเพื่อไปห้องเก็บไม้กวาดที่อยู่ใต้บันไดภายในตึก
"ทำไมต้องมาที่นี่ด้วยล่ะ" ปนัดดาถามทันทีที่เข้ามาในห้องแคบ ๆ และเต็มไปด้วยฝุ่น เธอเริ่มคันจมูกเสียแล้ว
"ต้องเป็นที่นี่เท่านั้นแหละ" บุ๋มบิ๋มผลักร่างของปนัดดาให้ชิดกับผนังห้อง เข่าข้างหนึ่งคั่นระหว่างขาเรียวสวยของอีกฝ่าย ใบหน้าสวยมีสีแดงเรื่อ ดวงตาเป็นประกายเหมือนรอช่วงเวลานี้มานาน "เธอดูนะ"
บุ๋มบิ๋มเริ่มสาธิตให้เห็นประโยชน์อย่างอื่นของยางลบก้อนเล็ก ๆ นั่น มือของเธอเลื่อนมือไปจับปลายนิ้วบอบบางของอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นให้อยู่ตรงหน้า เธอบรรจงใช้ยางลบถูเบา ๆ บนปลายนิ้วนั้น ถูไม่กี่ทีปลายนิ้วที่เคยเป็นสีเนื้อก็เลือนลางหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน
"เห็นหรือยัง"
"ม มันเกิดอะไรขึ้น" เสียงปนัดดาสั่นราวกับลูกนกที่เพิ่งออกจากไข่เจอนักล่า นิ้วของเธอหายไป เล็บที่เธอดูแลมาอย่างดีก็หายไป "เธอจะทำอะไรฉัน ปล่อยนะ"
ร่างเล็กดิ้นเพื่อจะสะบัดให้หลุดจากกรงเล็บของนักล่า แต่มันไม่ง่ายดายขนาดนั้น ในเมื่ออีกฝ่ายใช้มือข้างนึงบีบคอเธอและดันให้ชิดผนัง เสียงที่ออกมาจากลำคอเป็นเสียงขลุกขลักเหมือนน้ำที่ค้างอยู่ในท่อเวลาเปิดก๊อก ดวงตของปนัดดาเบิกกว้าง
"เบา ๆ หน่อย ฉันต้องใช้สมาธินะ" ใจจริงบุ๋มบิ๋มอยากลบปากโสโครกนั่นออกเป็นอย่างแรก แต่สุดท้ายก็เก็บไว้เพราะอยากฟังเสียงน่าสมเพชของมันตอนร้องขอชีวิต เหอะ อีแพศยา นังเพื่อนสารเลว
"ฉันรู้นะว่าเธอแอบทำอะไรลับหลังฉันไว้บ้าง มือข้างนี้สินะที่เคยจับไอ้นั่นของแฟนฉัน ไม่เป็นไร ฉันจะลบมือเน่า ๆ ของเธอเอง เดี๋ยวมือเธอก็จะสะอาดแล้ว" แฟนของเธอเป็นผู้ชายน่ารังเกียจ เพื่อนของเธอเองก็สกปรกเพราะไปจับไอ้ผู้ชายขยะนั่น บุ๋มบิ๋มลบมือของเพื่อนรักอย่างพิถีพิถัน บัดนี้มือข้างขวาของปนัดดาไม่มีอยู่อีกแล้ว
มือที่จับ แขนที่กอด หน้าอกที่ถูกโลมเลีย ใบหน้าที่แฟนเธอหลงรัก บุ๋มบิ๋มจะลบให้หมด
ไม่-ให้-เหลือ
ปนัดดาเป็นเด็กเรียน แต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง บรรดาอาจารย์พูดเป็นเสียงเดียวกัน
บนรถประจำทาง บุ๋มบิ๋มและปนัดดาบังเอิญพบกับบุคคลไม่คาดฝัน
"อาจารย์กิ่งก้อย?"
สองสาวอุทานเป็นเสียงเดียวกันเมื่อเห็นสาวใหญ่ใส่แว่นกำลังนั่งสงบเสงี่ยมเป็นผู้โดยสารอยู่ท้ายรถ
ปนัดดาดีใจมากที่ได้เจอครูคนโปรด
"ออก้อยคะ หวัดดีค่ะ" บุ๋มบิ๋มรีบมาทักอาจารย์ทันที
"นั่นนัดดาบุ๋มบิ๋มหรอก ฤ บังเอิญกระไรเยี่ยงนี้"
อ. กิ่งก้อยพูดจบทุกคนในรถก็พากันหันมามอง
บุ๋มบิ๋มกับปนัดดารู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
สาวใหญ่ใส่แว่นได้จังหวะ ขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจ หล่อนก็ชูบางอย่างขึ้นทันที
คนแต่งincestกับzoophilliaอยู่ไหนอะ คิดถึง อีบุ๋มแม่งน่าเบื่อละ ขอแบบหักมุมได้มั้ย
เล่นโม่งแต่เป็น snowflakes กูขรรม
ปนัดดาเป็นเด็กเรียน แต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง บรรดาอาจารย์พูดเป็นเสียงเดียวกัน
เธอมีเพื่อนสนิทชื่อบุ๋มบิ๋ม เด็กสาวทั้งสองคนกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ทั้งคู่ตั้งเป้าว่าจะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ให้ได้ หลังเลิกเรียนจึงชักชวนกันไปเรียนพิเศษในสถาบันมีชื่อ ส่วนวันที่ไม่มีคอร์สเรียน ก็มักจะมารวมหัวกันติวหนังสือในร้านกาแฟ
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ปนัดดาถูกปลุกสายเรียกเข้าปลุกตั้งแต่เก้าโมงเช้า เด็กสาวถอนหายใจอย่างไม่ใคร่จะสบอารมณ์นักขณะที่เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะหัวเตียง แต่พอเธอเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นเพื่อนสนิท สีหน้านั้นก็แช่มชื่นขึ้น จึงกดรับสายแล้วพูดว่า "ว่าไงบิ๋ม แก โทรมาแต่เช้ามีอะไรเหรอ"
"นี่เราโทรมากวนแกปะเนี่ย" เสียงใสของบุ๋มบิ๋มตอบกลับมา "เออ คือจะบอกว่าวันนี้เราไปติวหนังสือกับแกไม่ได้นะ พอดีพ่อกับแม่ออกไปธุระ แล้วเขาให้เราอยู่เฝ้าบ้านอะ"
"อ้าวเหรอ" น้ำเสียงของปนัดดาเจือกระแสผิดหวังเล็กน้อย "ไม่เป็นไรหรอกแก งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกันที่โรงเรียนเลย"
บุ๋มบิ๋มเงียบไป คล้ายกำลังนิ่งคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นว่า "งั้นเอางี้ไหม... นัดดา แกมาบ้านเราปะล่ะ กว่าพ่อกับแม่เราจะกลับก็คงดึกๆ แหละ ไม่มีใครรู้หรอก"
ปนัดดาตอบรับคำอย่างแทบไม่ต้องคิดตรึกตรองอะไรให้มากความ เธอคุยกับเพื่อนสนิทอยู่อีกสองสามประโยค ก่อนที่จะรีบวางสาย อาบน่้ำแปรงฟันจนสะอาด ก่อนที่จะสวมชุดตัวสวย แต่งหน้าบางๆ หอบหิ้วตำราขึ้นแท็กซี่ไปยังบ้านของบุ๋มบิ๋ม
เพียงแค่ชั่วโมงเศษหลังตื่นนอน ปนัดดาก็เดินทางมาถึงบ้านที่บุ๋มบิ๋มอาศัยอยู่ ที่แห่งนั้นเป็นบ้านเดี่ยวในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างเงียบสงบ และสิ่งที่ต้องแลกมากับความเงียบสงบนั้นก็คือการที่มีผู้คนบางตา สุ่มเสี่ยงต่อการที่จะเกิดเหตุร้ายโดยไม่มีใครทราบเรื่อง พ่อแม่ของเด็กสาวจึงไม่อยากให้เธอกลับบ้านเพียงลำพังในช่วงเย็นช่วงค่ำนั่นเอง
บุ๋มบิ๋มออกมารับเพื่อนสนิทถึงหน้าประตูรั้ว เธอเป็นเด็กสาวร่างผอมบาง ผิวขาวสะอาดได้มาจากเชื้อจีนฝั่งแม่ ถึงแม้จะไม่ได้ประทินโฉมแต่งตัวสวย ก็ยังนับว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาชวนมองผู้หนึ่ง
พอบุ๋มบิ๋มเห็นเพื่อนแต่งหน้าสวมชุดสวยก็ต้องอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ "จะแต่งไปอวดใครอะแก" เธอพูดหยอกขณะที่เดินนำปนัดดาเข้าบ้าน "นี่กินอะไรมารึยังเนี่ย ที่บ้านไม่มีอะไรกินนะ"
เมื่อประตูบ้านถูกปิดลง บรรยากาศก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ บุ๋มบิ๋มรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงหันกลับมาหาเพื่อนสนิทหมายจะไถ่ถามว่าทำไมถึงเงียบไป แต่เมื่อดวงตาทั้งสองคู่สบกัน แววตาประหลาดของปนัดดานั้นก็ทำให้เด็กสาวชะงักไป ต้องเอ่ยขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า "แก... นัดดา... เป็นอะไรอะ อย่ามองเราแบบ..."
เกิดเสียงดังตุ๊บเมื่อปนัดดาทิ้งกระเป๋าใส่หนังสือลงกับพื้น ก่อนที่จะสาวเท้ายาวๆ เข้าประชิดร่างของเพื่อนสนิทอย่างไม่ปล่อยให้ทันได้ตั้งตัว ดวงตาของบุ๋มบิ๋มเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากของเธอถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายเกาะกุม ลิ้นของเธอสัมผัสได้ถึงความหยุ่นของลิ้นของอีกฝ่ายที่สอดแทรกเข้ามาหมายจะชำแรกให้ถึงดวงวิญญาณของเธอ
ต่อจาก >>271 ฟลัดหน่อยเพื่อให้ไม่สปอย
สกสอดกวฟหงใ
หกหกาทสมฟ
เนิ่นนาน กว่าที่ริมฝีปากคู่นั้นจะหลุดออกจากการประกบปิด แววตาเคลิบเคลิ้มของบุ๋มบิ๋มเริ่มกลับมาเป็นปกติทีละน้อย จนท้ายที่สุด เด็กสาวก็ได้สติรู้ตัว เจ้าของบ้านผงะถอยหลังไปสองก้าว เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นว่า "แก... แกเป็น..."
ประโยคของบุ๋มบิ๋มไม่อาจหลุดออกมาจากลำคอได้เมื่อเห็นเพื่อนสนิทที่เมื่อครู่เพิ่งคุกคามเธอกำลังยืนหลั่งน้ำตา "แก..." ปนัดดาเอ่ยเสียงสั่น "แก... บิ๋ม เราขอโทษนะ เรา... เรายังเป็นเพื่อนกันได้อยู่ใช่ไหม"
ปนัดดาร้องไห้หนักขึ้นเมื่อไม่ได้ยินเพื่อนสนิทตอบคำใด หลายอึดใจถัดมา บุ๋มบิ๋มจึงค่อยสาวเท้าเข้าหา ยกมือขึ้นเชยคางอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้น ก่อนที่จะเอ่ยด้วยเสียงนุ่มว่า "นัดดา แกชอบเรารึเปล่า"
ปนัดดาปล่อยโฮออกมาอีก พยายามที่จะกลับไปก้มหน้าร้องไห้ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเธอถึงไม่อาจขืนแรงของเพื่อนสนิทที่กำลังเชยคางให้เงยอยู่ได้ "ชอบสิ ชอบมากด้วย" เด็กสาวร่ำร้องออกมาทั้งน้ำตา "บิ๋ม แก... แกโกรธเรารึเปล่า"
แทนคำตอบ บุ๋มบิ๋มพลันลดมือทั้งสองข้างลงมาสัมผัสที่เอวคอดของเพื่อสนิท แล้วจึงเริ่มเป็นฝ่ายรุก ประกบริมฝีปากของเธอเข้ากับริมฝีปากของอีกฝ่ายบ้าง
ในตอนแรกปนัดดาเกิดความตระหนก ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกระทำเช่นนี้ แต่ท้ายที่สุดเธอก็ตกเป็นฝ่ายยินยอมพร้อมใจ ปล่อยให้เพื่อนสนิทได้กระทำการตามประสงค์ ด้านบุ๋มบิ๋มพอเห็นฝ่ายนั้นยอมโอนอ่อนแล้ว เธอก็รวบเอวบางนั้นมาแนบชิดกับร่าง ก่อนที่จะประกบจูงไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมตัวยาวในห้องรับแขก
ลิ้นแลกลิ้น ใบหน้าของเด็กสาวทั้งสองแนบชิดกันประหนึ่งเป็นคนเดียว ด้านเสื้อผ้าสวยงามที่ปนัดดาบรรจงเลือกมานั้นบัดนี้ได้ลงไปกองกระจุยกระจายอยู่บนพื้น บนร่างเหลือเพียงแต่กางเกงในตัวน้อย ยกทรง และเสื้อซับในตัวบางเท่านั้น
แต่ในอีกอึดใจต่อมา อาภรณ์บนตัวของปนัดดาก็คงเหลือแต่ผ้าผืนน้อยที่ปิดช่วงล่างอยู่เท่านั้น บุ๋มบิ๋มที่เป็นฝ่ายนอนคร่อมร่างอยู่พลันยิ้มยั่วเย้าเมื่อได้เห็นหน้าอกแรกตูมของเพื่อนสนิท พร้อมพูดแซวออกมาว่า "เรานึกว่าของแกจะดูมๆ กว่านี้ซะอีก"
เมื่อแรกเปลือยก็เกิดความเอียงอายอยู่แล้ว พอยิ่งโดนแซวเข้า ปนัดดาก็พานเขินจนแง่งอน ตวัดมือตีเข้าที่ต้นแขนของเพื่อนสนิทครั้งหนึ่ง ร้องว่า "ขี้โกง ถอดของเราแล้วก็ถอดของแกบ้างดิ"
ไม่พูดเปล่า ปนัดดายังรวบรวมแรงผลักร่างขึ้นเป็นฝ่ายคร่อม ด้านบุ๋มบิ๋มที่ความจริงมีแรงเยอะกว่าเพียงแต่หัวเราะ ยอมเปลี่ยนกลับมาเป็นฝ่ายถูกรุกรานแต่โดยดี สำหรับเรื่องของเธอนั้นรวบรัดตัดตอนกว่ามาก เพียงแค่ถอดเสื้อยืดสำหรับใส่อยู่บ้านออก อกตูมตั้งของเธอก็เผยโฉม อวดความขาวเนียนเป็นประกาย เมื่อแสงไฟตกกระทบก็จะพอมองเห็นเส้นเลือดสะท้อนออกมาได้จางๆ
เมื่อได้เห็นร่างของเพื่อนที่สมส่วนสาวกว่า ปนัดดาก็ต้องหัวเราะออกมา ก้มหน้าลงไปใช้ลิ้นเลียสัมผัสจุดสำคัญบนอกตูมตั้งนั้นจนบุ๋มบิ๋มต้องครางระบายอารมณ์ออกมาเบาๆ พอได้ยินเสียงร้องจากความสุขนั้น เด็กสาวก็เกิดความยินดี รีบเร่งรุกไล่ ขยับริมฝีปากลงไปจนถึงกางเกงขาสั้นตัวน้อยตัวนั้น แล้วจึงใช้ฟันกัดทั้งขอบกางเกงและขอบกางเกงใน หมายจะเปิดเผยส่วนสงวนออกมาภายในการขยับปากเพียงครั้งเดียว
แต่เมื่อเปลื้องกางเกงทั้งสองตัวนั้นออกมาจากเอวของบุ๋มบิ๋มได้ ปนัดดาก็ถูกวัตถุบางอย่างดีดเข้าที่โหนกแก้มจนต้องผงะหน้าหนีไป ในตอนแรกเธอคิดว่านั่นเป็นนิ้วมือของเพื่อนสาวที่ดีดใส่ แต่เมื่อหันกลับไปมองให้เต็มตาแล้วกลับต้องตื่นตะลึงจนร่างชะงักค้าง ด้วยวัตถุนั้นเป็นสิ่งที่เพื่อนสนิทของเธอไม่สมควรมี
ปนัดดานั่งอ้าปากตาค้าง ในขณะที่บุ๋มบิ๋มได้แต่หัวเราะออกมา เปลี่ยนท่าทางจากที่เคยยอมนอนให้อีกฝ่ายรุกรานกลับมาเป็นฝ่ายเดินเกมอีกครั้ง บุ๋มบิ๋มกลับขึ้นเป็นฝ่ายคร่อมร่าง ส่วนสงวนที่ความจริงแล้วไม่ได้แปลกตา หากแต่ไม่ถูกต้องเมื่อมันงอกออกมาจากตัวของเด็กสาววางพาดผ่านอยู่บนกางเกงในตัวน้อยของปนัดดา รับรู้ได้ถึงความเรียบลื่นและเปียกชื้นในเวลาเดียวกัน
"แกรู้ความลับของเราแล้วสินะ" บุ๋มบิ๋มก้มลงกระซิบคำที่ข้างหูของเพื่อนสนิท "แล้วแบบนี้แกยัง... แกยังชอบเราอยู่ไหม"
ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมบ้านเดี่ยวหลังนั้นอีกครั้ง ก่อนที่ปนัดดาจะครางรับคำว่า "อืม" ขึ้นเบาๆ ได้ยินดังนั้นบุ๋มบิ๋มก็ส่งยิ้มหวาน ใช้ริมฝีปากจุมพิตเข้าที่ข้างแก้มของเพื่อนสนิทครั้งหนึ่ง ในขณะที่มือของเธอกำลังเกี่ยวเข้าที่ขอบกางเกงในตัวน้อยนั้น หมายจะกระตุกมันให้เผยส่วนที่สงวนไว้ออกมา
ไม่มีอะไรที่จะขวางกั้นความรักของคนทั้งสองแล้ว ในขณะที่ปากบนของปนัดดาประกบกับริมฝีปากอิ่มของเพื่อนสาว ปากล่างของเธอก็คล้ายว่าจะพร้อมประกบเข้ากับของที่เข้าคู่กัน แต่ก่อนที่บุ๋มบิ๋มจะได้เติมเต็มในส่วนนั้น ปนัดดาก็พลันเบิกตากว้างขึ้น ก่อนที่จะร้องออกมาว่า http://condomsiam.com/durex-comfort
ปนัดดาเป็นเด็กเรียน แต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง บรรดาอาจารย์พูดเป็นเสียงเดียวกัน
ปนัดดากับเพื่อนสนิทชื่อบุ๋มบิ๋มกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ทั้งคู่ตั้งเป้าว่าจะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ให้ได้
ในร้านกาแฟ ปนัดดาหยิบสองสิ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ
"นัดดาได้มาแล้วเหรอ?"
บุ๋มบิ๋มที่นั่งร่วมโต๊ะเห็นก็ตาโต ด้านปนัดดาเองก็ยิ้มให้เพื่อนซี้อย่างภาคภูมิใจ
แม้เสียงลั่นกระสุนจะสงบลงไปได้พักหนึ่งแล้ว แต่กลิ่นไอตะกั่วและดินปืนยังคงคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณนั้น
ชายหนุ่มเดินข้ามไร้ชีวิตหลายศพที่นอนไม่เป็นท่าอยู่บนพื้น ระหว่างที่ก้าวเท้ายาวไป มือหนึ่งก็เก็บเอาปืนพกประจำตัวสอดกลับเข้าซองที่ซ่อนใต้เสื้อแจ็คเก็ตหนังโดยลืมเรื่องเติมกระสุนเปลี่ยนแม็กกาซีนให้อาวุธกลับมาอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตามที่ถูกฝึกมาไปเสียสนิท
เขาก้าวข้ามกองเศษปูนเศษไม้ ท้ายที่สุดก็บรรลุถึงห้องโถงกว้างห้องหนึ่ง แม้เสาปูนและขื่อคานที่ใช้ค้ำยันอาคารจะยังอยู่ในสภาพดี แต่หลังคาด้านบนนั้นได้ถล่มลงมาเป็นรูใหญ่ บนพื้นปูนหยาบเต็มไปด้วยน้ำฝนที่ขังค้างอยู่หลายจุด ผนังปูนที่ฉาบกำแพงอิฐทั้งสี่ด้านไว้อย่างลวกๆ ก็โดนความชื้นและแสงแดดเข้าเล่นงานจนหลุดลอกออกมาให้เห็นเป็นแถบ
แต่เหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ได้มีตาเอาไว้มองภาพน่าสังเวชเหล่านั้น สิ่งเดียวที่เขาต้องการเห็นคือร่างบางของหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนเอาหลังตะแคงพิงเสาปูนต้นหนึ่งไว้
เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็สาวเท้าวิ่งตรงไปยังเป้าหมาย ไม่กี่พริบตาก็มาหยุดนั่งยองลงที่ข้างกายของหญิงสาวผู้นั้น เขาเห็นเธอมีเลือดออกที่ช่องท้อง ทำเอาเสื้อเชิ้ตขาวตัวในเปรอะสีแดงสดนั้นไปครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มรีบใช้มือทั้งสองเข้าประคองนั่งให้ตรง สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีพจรอยู่ แต่ร่างนั้นออกจะเย็นผิดปกติไปบ้างแล้ว
เขาเปลี่ยนมาใช้มือสอดใต้ตัวจะช้อนร่างหญิงสาวขึ้นอุ้ม แต่กลับถูกมือของเธอผู้นั้นกระชากเสื้อแจ็คเก็ตเอาไว้ แม้ชายหนุ่มจะรู้ว่าแรงรั้งนั้นเบามากจนเขาไม่จำเป็นที่จะต้องตอบโต้ แต่ก็ยังอดเอ่ยกลับไปไม่ได้ว่า "นี่ฉันเอง เธอไม่เป็นไรแล้ว"
ในตอนแรกคล้ายว่าหญิงสาวจะพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นมองว่าคนที่รุดมานั้นเป็นใคร แต่พอได้ยินเสียงของชายหนุ่ม เธอก็พลันหยุดอาการนั้นเปลี่ยนมาเป็นยกมุมปากยิ้ม ส่งเสียงดังกว่ากระซิบเล็กน้อยออกมาว่า "กว่าจะมาได้นะ นี่ฉันเป็น..."
พูดได้เท่านี้ใบหน้าของหญิงสาวก็พลันเหยเก ต้องยกมือน้อยข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าท้อง แม้ชายหนุ่มจะเกิดความร้อนใจขึ้นมา แต่ก็อดเอ่ยหยอกกลับไปไม่ได้ว่า "เป็นเมนส์น่ะสิ บอกแล้วไม่เชื่อว่าให้กินยาเลื่อนไปก่อน"
หญิงสาวหลุดหัวเราะ ก่อนที่จะต้องเผยสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง "อย่า..." เธอพูดได้แค่นี้ แต่ก็สื่อความหมายพอให้เข้าใจได้ว่าอย่าพยายามทำให้เธอหัวเราะอีก ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ทราบ เขารีบช้อนร่างของเธอขึ้นมา แล้วออกวิ่งกลับไปทางเก่าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เขาคิดว่าจะไม่กระทบกระเทือนถึงบาดแผลที่ท้องของอีกฝ่าย
วิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มก็เกิดรู้สึกขึ้นได้ว่าร่างในอ้อมแขนคล้ายจะนิ่งแข็งไป เขารีบเลื่อนมือแตะชีพจร ใจหล่นไปถึงตาตุ่มเมื่อแทบสัมผัสรหัสชีวิตนั้นไม่ได้ "เฮ้ อย่าเพิ่งหลับ" เขาร้องออกมา "เรายังต้องอยู่ด้วยกันก่อน"
เขาเขย่าร่างของหญิงสาวจนฝ่ายนั้นตอบสนองออกมาด้วยการร้องอือคำหนึ่ง ก่อนที่เธอจะปรือเปลือกตาคู่นั้นขึ้น พูดสั้นๆ ว่า "ง่วง"
ชายหนุ่มรู้สึกทั้งฉิวทั้งขัน เขาเขย่าร่างนั้นเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจว่า "เลิกเอาแต่ใจสักวันเถอะ ขอร้องล่ะ"
หญิงสาวเผยอยิ้มขึ้น ตอบกลับไปว่า "นายน่ะ ตามใจฉันสักวันนึงเถอะ"
"ถ้ายอมตามใจคราวนี้ คงไม่เหลือโอกาสให้เธอได้เอาแต่ใจอีกหรอก" ชายหนุ่มพูด "เถอะน่า แข็งใจหน่อย เดี๋ยวพอถึงมือหมอก็จะได้นอนตามสบายแล้ว"
หญิงสาวครางเบาๆ คำหนึ่งเป็นเชิงรับคำ ชายหนุ่มเองก็เร่งฝีเท้าขึ้น ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ออกมาสู่ด้านนอกอาคาร พบกับดวงอาทิตย์ยามบ่ายที่ทอแสงจ้าอยู่บนท้องฟ้า
ดวงตาที่เคยปรือขึ้นเล็กน้อย บัดนี้ก็ต้องหลุบกลับไป หญิงสาวร้องออกมาคำหนึ่งว่าแดด ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มจึงได้เอียงไหล่ข้างหนึ่งให้เกิดเงาบังใบหน้าของเธอไว้พร้อมพูดว่า "อดทนหน่อยนะ ไม่ต้องกลัว อีกนิดเดียวก็จะถึงมือหมอแล้ว"
รอยยิ้มกลับมาแต้มที่มุมปากของหญิงสาวอีกครั้ง เธอขยับปากขมุบขมิบ ก่อนที่จะส่งเสียงเบาๆ คล้ายว่ามันล่องลอยมาจากที่แสนไกลว่า "ไม่กลัวหรอก ก็นายอยู่ที่นี่แล้วนี่"
ขอต่อๆ ต่อแบบในมโนเรานะ >>276
"ไม่กลัวหรอก ก็นายอยู่ที่นี่แล้วนี่"
.
.
.
คำพูดของเธอในวันนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู หญิงสาวผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียวของเขา
ชายหนุ่มมองเหม่อคิดถึงเรื่องในวันวาน ก่อนจะหันมามองสร้อยกางเขนในมือ.... สร้อยกางเขน ขอเธอคนนั้น
ดวงตาของเขาฉายแววเศร้าที่ปิดไม่มิด ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแห่งความโศก หัวใจบีบรัดด้วยความรู้สึกผิดที่มากล้น "ทั้งๆ ที่สัญญาว่าจะปกป้องเธอแล้วแท้ๆ แต่ฉันกลับ..."
กลับแต่งต่อไม่ได้!! ง่วงแล้วตัน ไปนอนดีกว่า ว่างเมื่อไรจะมาเล่นด้วยใหม่//วิ่งหลบตรีน5555
ฉันเกลียดที่เธอไม่สวย ฉันเกลียดที่เธองี่เง่า ฉันเกลียดที่เธอติดเพื่อน ฉันเกลียดที่เธอชอบหายหน้า ฉันเกลียดที่เธออ่านไลน์แล้วไม่ตอบ ฉันเกลียดที่เราดันมาเจอกันในเวลาแบบนั้น และที่เกลียดที่สุดก็คือตัวฉัน เกลียดที่มันยังลืมเธอไม่ได้สักที
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว(ได้เวลาสนุกแล้วสิ) นี่คือเรื่องราวของชายแก่อายุราว22 ที่ไม่ได้อาศัยในอาณาจักรกลางทะเลทรายที่ถูกปกคลุมไปด้วยป่าสีเขียวชอุ่ม ชายแก่คนนั้นมีเป้าหมายที่จะต้องการเกิดใหม่ เขาได้พยายามในทุกวิธี(กิน เล่น นอน) เพื่อที่จะไปเกิดใหม่ แต่เชาก็ไม่วามารถทำได้ ทันใดนั้นเองก็มีชายสูงวัยหน้าตาอ่อนเยาว์กระโดดเลียบพื้นเอาดาบสั้นที่ยาวเหยียดแทงเข้าไปยังท้องของชายแก่ แต่ด้วยพลังแห่งพระเอก ชายแก่กระโดดถอยหลัง15ตลบอย่างสวยงามและขี่ม้าขาวตัวสีดำหนีหายไป
เพลงดาบของคนแซ่ถงทั้งเฉียบคม ทั้งงดงาม คล้ายว่าจะร่ายรำเพื่อสวดส่งวิญญาณศัตรู ก่อนดาบสุดท้ายจะหมายเอาชีวิต คมดาบแทงทะลุเข้ากลางอกของบุรุษเบื้องหน้า
ร่างในชุดสีขาวบัดนี้อาบด้วยสีโลหิต คุณชายเซวียนผู้พ่ายแพ้ล้มลงบนพื้นดิน สองตายังมองเห็นรอยยิ้มของถงลู่เหวิน...บุรุษหน้าหยกผู้นี้ยังคงงดงามเช่นเคย
สิบครั้ง ร้อยครั้ง หรือพันครั้ง
เซวียนจิ๋นอวี่จำไม่ได้แล้วว่าเขาหวนกลับมาเพื่อตายด้วยน้ำมือของคนแซ่ถงแล้วกี่ครั้ง หากแต่ยังจำเรื่องราวในครั้งก่อนได้มิลืมเลือน เรือนร่างและชุดขาวอาบโลหิตของอีกฝ่ายยังคงตราตรึง
จุดจบระหว่างเขาทั้งสอง หากเขาไม่ตาย ถงลู่เหวินก็ต้องตาย...
และเป็นอีกครั้งที่เขาเลือกสละชีวิตตัวเอง
ชายหนุ่มปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวไปในอากาศ คนเฝ้ารอให้โชคชะตาย้อนคืนอีกครั้ง
เวลาที่จะเริ่มต้นใหม่...อีกครั้ง
ชื่อเรื่อง Sirn ตัวร้ายกับนาย โค้ดสตาร์
เรื่องย่อ : Sirn ผู้เป็นเจ้าของและผู้ดูแลเว็บบอร์ดนิรนามชื่อดัง มีวันหนึ่งที่โฆษณาของสถาบัน โค้ดสตาร์ บุกบอร์ด ทำให้ Sirn จึงต้องไล่บล๊อกโฆษณาเหล่านี้อยู่หลายครั้ง จนในที่สุด Sirn จึงได้เรียกเจ้าของสถาบัน โค้ดสตาร์ มาเพื่อเคลียร์ที่ ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง
คุณแอดมิน... ผมไม่ได้เป็นคนไปลงโฆษณาสถาบันผมในเว็บบอร์ดคุณนะครับ เจ้าของสถาบันกล่าว
ไม่ต้องมาแก้ตัว.... แอดมินหนุ่มไม่ปักใจเชื่อ พร้อมกับลากเจ้าของสถาบันเข้าห้องในโรงแรม
เดี๋ยวมาต่อ
เขาเหลือทนกับไอ้พวกนักอ่านเปรตนั่นแล้ว ผลงานเรื่องอินทรสถานวิมานฟ้าของเขามันไม่ดีตรงไหน นี่อุตส่าห์ทำการบ้านเสียลึก ไปนั่งขุดข้อมูลที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติเป็นเดือน พอเขียนแล้วก็นั่งทวนคำผิดตั้งสามรอบ เสือกได้ยอดวิวมาแค่สิบ แถมครึ่งหนึ่งนี่น่าจะมาจากการรีเฟรชเพจ กดเข้าไปดูซ้ำๆ ของตัวเอง
พอกันที พวกมึงชอบนิยายกำลังภายในเทพทรูกันนักใช่ไหม ได้เลยไอ้สัส ชายหนุ่มคิดพลางยิ้มเหี้ยม มือซ้ายดันจอโน้ตบุ๊กให้เพิ่มองศาเอน ในขณะที่มือขวาดับเบิ้ลคลิกเม้าส์เพื่อเปิดโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดของแท้ที่แครกเองกับมือ นิยายกำลังภายในจีนเสิ่นเจิ้นเขียนง่ายจะตายห่า เดี๋ยวเขาจะสำแดงให้โลกได้เห็นเอง
อันดับแรกต้องวางพล็อต ข้อนี้ง่ายฉิบหาย ชายหนุ่มพรมนิ้วรัวเร็วลงบนแป้น เปิดเรื่องมาพระเอกต้องเป็นขยะของตระกูล จากนั้นก็เจอพระเจ้า ได้พรมาทำให้เก่ง จากนั้นก็ไปตบเกรียนคนที่เคยแกล้ง ช่วยผู้หญิงได้เมีย ปราบตัวโกง แล้วเจอตัวโกงอีก ปราบตัวโกง แล้วเจอตัวโกงตัวใหม่ ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้เรื่อยๆ พอเบื่อเดี๋ยวค่อยตัดจบเอา
ต่อไปก็ตั้งชื่อเรื่อง คราวนี้ชายหนุ่มต้องกุมคางคิดบ้าง ข้อนี้ไม่ง่ายเท่าไหร่ เพราะต้องพยายามหากิมมิกมาดึงดูดคนอ่าน คิดอยู่ได้ครู่หนึ่งเขาก็ดีดนิ้วอย่างดีใจ ชอบอ่านนิยายแปลกันใช่ไหมล่ะไอ้พวกเปรต นี่ไง เติมวงเล็บ (นิยายแปล) ลงไปข้างหน้า จากนั้นก็ใส่คำภาษาอังกฤษที่ผิดแกรมม่าลงไป ตามด้วยแปลชื่อภาษาไทยเวอร์ๆเหมือนเอาหนังฝรั่งมาเข้าโรง เสร็จแล้ว (นิยายแปล) Gods King Warrior Conqueror Heaven อภินิหารเคล็ดวิชาเทพเจ้าราชันย์นักรบเย้ยจอมสวรรค์
ต่อไปก็ชื่อตัวละคร อันนี้สบาย นักเขียนหนุ่มยิ้ม มือก็ยังพรมรัวลงไปบนคีย์บอร์ด อันดับแรกต้องเป็นชื่อจีน อันดับที่สองคือต้องเป็นเสียงที่ไม่มีในภาษาไทย ไอ้พวกสมองเท่าเด็กอายุสิบสามนั่นแม่งจะได้เรียกมั่วๆ "เซวี่ยอวี่เซวียน" นี่แหละพระเอก
พระเอกก็ต้องไปเกิดในสำนักคุ้มภัย เขาพิมพ์ต่อไป แต่ไอ้สำนักคุ้มภัยนี่จะเป็นชื่อจีนไม่ได้ ไม่รู้เป็นเหี้ยอะไรเหมือนกัน ทำไมแม่งแปลชื่อสำนัก แต่ไม่ยอมแปลชื่อคนหรือชื่อเมือง หรือถ้าจะไม่แปล ทำไมไม่ใส่เป็นชื่อจีนให้หมด นักเขียนหนุ่มยิ่งคิดก็ยิ่งขยับนิ้วเร็วขึ้น ในใจก็คิดถึงหน้าลุงน.นพรัตน์ กับป้าหลินโหม่วไปพลาง
ถึงพระเอกจะเป็นขยะ แต่สุดท้ายมันก็ต้องเป็นคนที่เอาสำนักของตัวเองไปโชว์พาว เพราะงั้นสำนักของพระเอกแม่งต้องมีคำว่ามังกร ชายหนุ่มตบโต๊ะฉาดใหญ่ มังกรสวรรค์นี่แหละคือชื่อสำนักคุ้มภัยของพระเอก แล้วก็ต้องมีผู้มีฝีมือสองคนฉายามังกรเงินกับมังกรทอง หรือเรียกอีกอย่างว่าตัวเหี้ย ไอ้คู่หูตัวเหี้ยนี่แหละคือคนที่มารังแกพระเอกในตอนแรก จากนั้นเซวี่ยอวี่เซวียนค่อยไปได้พร เอามาปราบเหี้ยในตอนหลัง
นักเขียนหนุ่มหัวเราะฮาฮาออกมาอย่างเสียจริต ตัดสินใจได้แล้วว่าโลกที่จะเซ็ตนั้นต้องเป็นโลกแฟนตาซีที่ลอกธีมจีนโบราณมาทั้งดุ้น คราวนี้ล่ะมึงไอ้พวกเปรต เตรียมเจอพี่เซวี่ยแสดงอิทธิฤทธิ์ได้เลย
(นิยายแปล) Gods King Warrior Conqueror Heaven อภินิหารเคล็ดวิชาเทพเจ้าราชันย์นักรบเย้ยจอมสวรรค์
ตอนที่ 1 ขยะของตระกูล
ตุ๊บ อัก โอ้ย
เซวี่ยอวี่เซวียนถูกแตะล้มร้องออกมา ที่ตรงหน้าคือคนมีฝีมือของสำนักคุ้มภัยมังกรสวรรค์ฉายามังกรเงินกับมังกรทอง คนทั้งสองหัวเราะ "ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถ้าไม่ขวางทางข้าแต่แลกคงไม่ต้องเจอแบบนี้"
ตุ๊บๆๆๆๆ
คนมีฝีมือทั้งสองเมื่อแตะเซวี่ยอวี่เซวียนจนพอใจแล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้เซวี่ยอวี่เซวียนนอนอยู่ตรงนั้น คล้ายว่าจะใกล้ตาย
แฮ่กๆๆๆ
เซวี่ยอวี่เซวียนตื่นขึ้นมา ข้างนอกก็เป็นเวลามืดแล้ว เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน บ่นพึมพำว่า "แย่แร้ว ข้ายังไม่ได้ไปตักน้ำเลยนี่นา แบบนี้คงโดนกระถืบอีกแน่ เฮ่อ แย่จัง"
วิ้ง แวบบบบ
เกิดแสงสว่างขึ้นด้านน่าจนเซวี่ยอวี่เซวียนต้องหยีตา พอแสงจางก็เห็นเป็นชายแก่คนหนึ่งในชุดขาวหน้าตาเหมือนพระเจ้ายืนถือไม้เท่าอยู่ "เจ้าคือผู้ถูกเลือก" ชายแก่กล่าว "เจ้าสามารถขอพรได้ข้อนึง"
"ท่านเป็นใคร" เซวี่ยอวี่เซวียนร้องออกมา "ท่านเข้ามาที่นี่ได้ยังไง"
พระเจ้าเอาไม้เท่าเคราะหัวเซวี่ยอวี่เซวียนครั้งหนึ่ง "ข้าเป็นพระเจ้า เอาล่ะ ข้าเห็นเจ้าแล้วส่งสาร จะให้พรแก่เจ้าข้อหนึ่ง"
เซวี่ยอวี่เซวียนพยักหน้า พูดว่า "ถ้างั้นข้าขอให้ข้ามีพลังอำนาจเหนือทุกคน และให้มีผู้หญิงมาชอบเยอะๆ และเข้ากับสัตว์ได้ทุกชนิด และฟังภาษาสัตว์รู้เรื่อง และเป็นอมตะ และมีอาวุธและชุดเกาะเท่ๆ ดีที่สุดในโลก และขอให้พลังอำนาจที่ท่านมีเป็นของข้าด้วย"
พระเจ้าพยักหน้า "ตกลง" จากนั้นก็โบกไม้เท่า
วิ้งๆๆๆๆๆๆๆ
เกิดแสงสีทองขึ้นคลอบตัวเซวี่ยอวี่เซวี่ยนเอาไว้ จากนั้นเขาก็สลบไป พระเจ้าก็หัวเราะฮ่าๆๆๆ พูดว่า "แล้วเราจะได้เห็นกัน" ก่อนที่พระเจ้าจะหายตัวไปบ้าง
ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาในช่วงสาย เขาคว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่ข้างตัวขึ้นมากดดูนิยายที่เพิ่งอัพเดตไปเมื่อคืน ก่อนที่จะต้องสะดุ้งตัวขึ้นนั่ง เบิกตาค้างอย่างไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง
พ่อมึง เขียนสั้นๆ ห่วยๆ อย่างนั้น เสือกมีคนเข้ามาอ่านแล้วร้อยกว่าคน แถมมีคอมเมนต์มาตั้งสี่ นักเขียนหนุ่มที่ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยได้คอมเมนต์จากคนอ่านเลยพลันมือไม้สั่น ขณะที่เลื่อนหน้าจอลงไปดูความคิดเห็นของผู้อ่านที่ด้านล่าง หนึ่งในนั้นตำหนิว่าเขาใช้ภาษาไทยผิดเยอะมาก แต่เสือกบอกว่าเนื้อเรื่องน่าสนใจ จะติดตาม อีกสองคนเม้นแค่ สนุกครับ กับบอกว่าแค้นใจแทนพระเอก อยากให้เซวี่ยอวี่เซวียนตบเกรียนคนที่เคยมารังแกหนักๆ
ส่วนคนที่สี่เม้นไว้น่าสนใจ บอกมาก่อนเลยว่าเรื่องนี้สนุก แต่อยากจะรู้ว่ามีแบ่งพลังระดับชั้นปรานแบบนิยายเรื่องอื่นไหม นักเขียนหนุ่มอ่านคอมเมนต์แล้วก็ดีดนิ้ว รีบลุกขึ้นจากที่นอนตรงเข้าไปเปิดโน้ตบุ๊ค รอจนเครื่องเปิดแล้วเสร็จ เขาก็บรรจงพิมพ์สิ่งที่ลืมไปเมื่อคืนวานทันที
ระดับพลังนี่แม่งก็ง่ายฉิบหาย เขายิ้มเย็น พรมนิ้วลงไปบนแป้นพิมพ์ราวกับกำลังเล่นเปียโน แม่งจะมีกี่สิบขั้นก็ได้ แต่เดี๋ยวสุดท้ายพระเอกแม่งก็จะไปได้พลังขั้นสุดยอดมาอยู่ดี คิดถึงตรงนี้นักเขียนหนุ่มก็ต้องชะงักไป นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนตนเองเพิ่งจะให้เซวี่ยอวี่เซวียนได้พลังสุดยอดจากพระเจ้ามานี่นา แปลว่ามันได้พลังปรานขั้นสุดยอดมาแล้วอย่างนั้นเหรอ เร็วไปมั้ง
เขานั่งคิดอยู่อีกอึดใจหนึ่งก็ยิ้มออก เริ่มบรรเลงเพลงอักษรต่อไป ตอนนี้พระเอกบรรลุถึงแค่ขีดสูงสุดของระดับพระเจ้า จริงๆ แล้วมันยังมีระดับราชันย์พระเจ้าอยู่อีก แล้วเหนือระดับราชันย์พระเจ้าก็ยังมีระดับเซียนราชันย์พระเจ้า ที่ต้องตายแล้วเกิดใหม่ บำเพ็ญตบะพันปีเพื่อที่จะให้บรรลุ จากนั้นก็สะสมพลังไปถึงขั้นเซียนสวรรค์ราชันย์พระเจ้า ก่อนที่จะไปถึงขั้นสุดยอดที่ระดับจอมเซียนเทพสวรรค์ราชันย์พระเจ้า
ระดับพลังปรานในเรื่องนะครับ
- ระดับผู้ฝึกหัด (ขั้น 1-9)
- ระดับผู้บรรลุ (ขั้น 1-9)
- ระดับผู้เชี่ยวชาญ (ขั้น 1-9)
- ระดับราชันย์ (ขั้น 1-9)
- ระดับเซียน (ขั้น 1-9)
- ระดับสวรรค์ (ขั้น 1-9)
- ระดับพระเจ้า (ขั้น 1-9) เซวี่ยอวี่เซวียนอยู่ระดับนี้ครับ
- ระดับราชันย์พระเจ้า (ขั้น 1-9)
- ระดับเซียนราชันย์พระเจ้า (ขั้น 1-9)
- ระดับเซียนสวรรค์ราชันย์พระเจ้า (ขั้น 1-9)
- ระดับจอมเซียนเทพสวรรค์ราชันย์พระเจ้า (มีคนเดียวครับ)
นักเขียนหนุ่มอัพเดตข้อมูลแล้วก็หัวเราะหึออกมา ชอบแนวแก้แค้นโหดๆ กันใช่ไหมล่ะพวกมึง เดี๋ยวพี่เซวี่ยจะกลับไปแก้แค้นพวกตัวเหี้ยในตอนหน้าแล้ว
(นิยายแปล) Gods King Warrior Conqueror Heaven อภินิหารเคล็ดวิชาเทพเจ้าราชันย์นักรบเย้ยจอมสวรรค์
ตอนที่ 2 ล้างแค้น
เซวี่ยอวี่เซวียนตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า เขายังอยู่ในห้องเดิม แต่ที่ข้างตัวมีเสื้อเกาะสีรุ้งทองคำ และกะบี่สวยงามอันนึงอยู่
เซวี่ยอวี่เซวียนยิบกะบี่ขึ้นมา มันเป็นกะบี่ทองฟังเพชรสีแดงที่ตรงปลาย เซวี่ยนอวี่เซวี่ยนรองขวงกะบี่ดู ควับๆๆ เสียงกะบี่ฟ่าอากาศ "โอ้โหสุดยอดเรย เราเก่งขึ้นจริงนะเนี่ย พระเจ้าไม่ได้โกหกเรย"
ประตูห้องเปิดออก มังกรเงินเก้าเท้าเข้ามาในห้อง เห็นเซวี่ยนอวี่เซวียนกำลังขวงกะบี่อยู่ "เห้ยเจ้าทำอะไร" มังกรเงินพูด "เอากะบี่กับชุดเกาะมาจากไหน โขมยมาเหรอ"
"พระเจ้าให้ข้ามา" เซวี่ยนอวี่เซวียนตอบ "เจ้าชอบลังแกข้าหนัก เตียมใจใว้เถอะ"
ควับๆๆ เซวี่ยนอวี่เซวียนขวงกะบี่เข้าใส่มังกรเงิน มังกรเงินพยามหลบแต่ไม่พ้น โดนฟันเข้าที่แขนซ้าย ฉับ "โอ้ย เจ็บจัง เจ้ามันเป็นปีสาต"
เซวี่ยอวี่เซวียนหัวเราะ "เจ้าตังหากที่เป็นปีสาต ชอบลังแกข้าหนัก ตายสะเถอะ ควับๆๆๆ"
มังกรเงินนอนจมกองเลือด "เจ้าปีสาต ทำไมถึงเก่ง ข้าเป็นถึงผู้คุ้มกันระดับผู้บรรลุ ทำไม แอ๊ก"
เซวี่ยอวี่เซวียนเอากะบี่ปักเข้าน่าอกของมังกรเงินจนตาย แร้วจึงค่อยแร่เนื้อของมังกรเงินออกมา "ชอบลังแกข้าดีนัก เอาเนื้อมากินสะเรย" เซวี่ยอวี่เซวียนกัดกินเนื้อของมังกรเงินเข้าไป "สมน้ำน่า ตอนนี้เนื้อเจ้ากายมาเป็นขี้ของข้าแร้ว"
เซวี่ยอวี่เซวียนรีบสวมชุดเกาะสีรุ้งทองคำ แร้วเดินออกมาจากห้อง พบกับมังกรทองเข้า "ว่ายังไงเซวี่ยอวี่เซวียน เจ้าเห็นมังกรเงินบ้างไหม"
ควับๆๆๆๆ เซวี่ยอวี่เซวียนตีกะบี่ใส่มังกรทอง "แบบนี้ไงเร่า มังกรเงินถูกข้าแก้แข้นไปแร้ว"
โอ้ยๆๆๆๆๆ มังกรทองร้องออกมา ล่มลงเหีรยนทองแดง เหีรยนเงิน เหีรยนทองตกกะจาย เห็นแบบนั้นเซวี่ยอวี่เซวียนก็รีบก้มลงไปเก็บ พูดว่า "ร้อยเหีรยนทองแดงเท่ากลับหนึ่งเหีรยนเงิน พันเหีรยนเงินเท่ากลับหนึ่งเหีรยนทอง รวยๆๆๆ"
ฉับๆๆๆ เซวี่ยอวี่เซวียนแถงกะบี่ใส่มังกรทองเป็นร้อยขั้งจนตาย "ฮ่าๆๆๆ ข้าไม่ต้องเป็นลูกน้องใครอีกแร้ว" เซวี่ยนอวี่เซวียนพูด "ข้าจะออกไปยังยุธทภพ แร้วช่วงชิงความเป็นหนึ่งให้ได้"
นักเขียนหนุ่มเปิดหน้านิยายขึ้นมา รู้สึกร้อนวูบวาบอย่างประหลาดในอกเมื่อเห็นว่าตอนนี้ยอดผู้เข้าชมนิยายของเขาพุ่งขึ้นเกือบถึงหนึ่งพันแล้ว
บัดซบ นักเขียนหนุ่มตะโกนคำนั้นอยู่ในใจ ไอ้นิยายบ้าบอที่ใช้เวลาเขียนตอนละสิบนาทีพรรค์นี้เสือกมีคนสนใจเข้ามาอ่าน ทีเรื่องที่เขาตั้งใจปั้น ตั้งใจบรรจงเขียน เสือกไม่มีใครเหลียวแล ไอ้พวกเปรต
ยิ่งคิด ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ เขาเลื่อนลงไปดูคอมเมนต์ข้างล่าง ก็มีคนมาบ่นเรื่องใช้คำผิดตามเคย แต่ที่เห็นเยอะกว่าคือคอมเมนต์ให้กำลังใจ บอกว่าสนุกดีแล้ว ขอให้อัพต่อไป
มีคอมเมนต์หนึ่งที่พอได้อ่าน นักเขียนหนุ่มก็ถึงกับต้องผุดลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ ไอ้หมอนั่นมาพิมพ์ชมเขาเสียใหญ่ว่าเขียนนิยายได้กระชับ มีแต่เนื้อ ไม่มีน้ำ ไม่บรรยายละเอียด ปิดช่องจินตนาการของนักอ่าน เอากับผีสิไอ้สัส การบรรยายแบบส่งๆ มันกลายเป็นการเสริมสร้างจินตนาการไปได้ยังไงวะ
เขายืนสงบใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนคิดเรื่องสนุกบางประการขึ้นได้ นักเขียนหนุ่มยิ้มเย็นขณะหย่อนกายลงนั่ง ขยับบั้นท้ายลากเก้าอี้เข้าประชิดโต๊ะคอมพิวเตอร์ ตอนหน้าจะต้องเป็นตอนที่เซวี่ยอวี่เซวียนเข้าไปในเมืองเป็นครั้งแรก เขาจะบรรยายด้วยภาษาเวอร์วังให้แม่งสุดฤทธิ์ เอาไอ้ให้พวกเปรตนั่นแม่งอ่านแล้วอกแตกตายกันไปเลย
(นิยายแปล) Gods King Warrior Conqueror Heaven อภินิหารเคล็ดวิชาเทพเจ้าราชันย์นักรบเย้ยจอมสวรรค์
ตอนที่ 3 ดื่มสุราเคล้านารี
กำแพงสำนักมังกรสวรรค์ถูกก่อขึ้นด้วยอิฐสีส้มแดงไม่ฉาบปูน บนพื้นผิวอันขรุขระนั้นมีไม้เลื้อยจำพวกกาฝากอย่างตีนตุ๊กแกเกาะฝังรากเข้าไปในเนื้อ ต้นสนใหญ่สิบสองต้นตั้งตระหง่านสู้ลมแรงที่หวนพัดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพียงอนุญาตให้ส่วนปลายยอดไหวเอนเล็กน้อยเท่านั้น
เซวี่ยอวี่เซวียนสวมชุดเกราะสีรุ้งทองคำ ที่ข้างเอวเหน็บกระบี่วิเศษ เดินออกมาจากสำนักมังกรสวรรค์อย่างไม่คิดหันกลับไปมองอีก เขาไม่มีความอาลัยในตัวสถานที่แม้แต่เพียงสักนิด ตลอดสิบเจ็ดปีนับตั้งแต่ถูกแม่บังเกิดเกล้าเอาใส่ตะกร้ามาวางทิ้งไว้ที่นี่ เขาก็ถูกผู้คนกลั่นแกล้งรังแกมาโดยตลอด นับว่าสวรรค์ยังพอมีตาอยู่บ้าง จึงได้มอบสิ่งวิเศษนานับประการให้เขาเช่นนี้
เซวี่ยอวี่เซวียนเหยียบย่างไปบนถนนที่ถูกปูลาดด้วยอิฐ เขามิใคร่คุ้นเคยกับเมืองแห่งนี้เท่าใดนัก ด้วยยามปกติคนในสำนักคุ้มภัยมักใช้เขาให้ทำงานต่ำเช่นตักส้วมหรือขุดลอกบ่อปลาตั้งแต่เช้าจรดเย็น เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดจนหัวพอถึงหมอนก็หลับไป ซ้ำยังไม่มีเงินให้นำไปใช้จ่าย ต่อให้มีเวลาว่างก็ไม่อาจเสพสุขกับแสงสีในเมืองได้อยู่ดี
แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มมีเงินพอที่จะหาความสำราญแล้ว เขาจึงตรงไปยังเหลาสุราประจำเมืองเพื่อหาอะไรใส่ท้อง เหลาสุราฟ้าเมามายเป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่สูงสองชั้น ไม้ที่ใช้ก่อสร้างตัวร้านนั้นเป็นไม้แดงที่ตัดมาจากเขตภูเขาทางเหนือในเดือนสี่ จึงมีความแข็งแรงคงทนประกอบด้วยความยืดหยุ่นในเนื้อไม้สูง หลังคาของตัวร้านทำมาจากกระเบื้องที่เผาด้วยอุณหภูมิสูงเทียบเท่าการตีเหล็ก กระเบื้องทั้งหมดนั้นจะมีสีแดงอ่อน ๆ เว้นแต่ทุกแผ่นที่สิบ ที่จะย้อมสีทองลงไปให้เด่นสะดุดตา
อูเสวียนจว่อเป็นเจ้าของเหลาสุราฟ้าเมามายแห่งนั้น เมื่อมันเห็นเซวี่ยอวี่เซวียนแต่งกายคล้ายผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งก็ไม่กล้าดูเบาไป รีบกระวีกระวาดออกมารับแขกด้วยตัวเอง "เป็นเกียรติของเหลาสุราเราที่ได้รับรองคุณชายท่านในวันนี้" คนผู้นั้นกล่าวประจบ "วันนี้ร้านเรามีเนื้อแพะตุ๋นเครื่องยาเป็นรายการแนะนำ คุณชายท่านอย่าดูเบาไป แพะที่ร้านเราเลือกเชือดมานั้นเป็นแพะที่เกิดจากแม่แพะที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เครื่องยาที่ใช้ตุ๋นก็ประกอบไปด้วยสมุนไพรที่มีสรรพคุณเป็นเลิศ ทั้งกระชายดำ กระเจี๊ยบ กระเจี๊ยบที่เราเลือกใช้นั้นคัดมาเฉพาะดอกที่มีสีออกม่วงอมแดงและส่วนโคนมีสีเขียวระเรื่อเท่านั้น"
เซวี่ยอวี่เซวียนรับฟังแล้วก็พยักหน้า "เข้าท่า ข้าขอลองลิ้มรสสักหม้อหนึ่ง" มันกล่าว "แล้วสุราเล่า"
อูเสวียนจว่อยิ้มประจบ "คุณชายมาได้ถูกเวลาทีเดียว" เจ้าของเหลาสุรากล่าว "ร้านเราเพิ่งรับสุรามาหลายถังใหญ่ นอกจากตัวสุราจะบ่มมานานนับสิบปีในถังไม้สีทองที่ตัดมาจากป่าทางใต้ในคืนพระจันทร์เต็มดวงและประกอบขึ้นรูปด้วยช่างมากฝีมือที่ถนัดซ้ายทั้งหมดแล้ว การขนส่งยังทำด้วยการขนขึ้นเกวียนที่จัดสร้างด้วยไม้ชนิดเดียวกันกับถัง แต่ตัดในคืนเดือนมืด แล้วใช้ม้าขาวคู่หนึ่งที่สวมเกือกเหล็กที่ตีขึ้นโดยช่างเหล็กปากเบี้ยวลากมาส่ง ข้าขอรับประกันรสชาติของสุราด้วยชีวิต"
เซวี่ยอวี่เซวียนตบมือแปะ "ฟังดูดียิ่ง ข้าขอรับสุราชนิดนั้นด้วยก็แล้วกัน"
เจ้าของเหลาสุราก้มศีรษะต่ำรับคำ ปากก็หันกลับไปตะโกนสั่งเด็กในร้านให้ไปจัดแจงสำรับอาหาร ก่อนที่จะหันกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงที่พินอบพิเทาดังเดิมว่า "คุณชายขอรับ ยังมีเรื่องอีกประการหนึ่งที่ท่านควรทราบ คุณชายท่านเป็นคนที่โชคดีโดยแท้ ด้วยวันนี้นางงามไร้กระดูกจะมาแสดงการร่ายรำที่เหลาสุราเล็กๆ ของข้า"
เซวี่ยอวี่เซวียนถามว่า "นางงามไร้กระดูกกระนั้นหรือ นั่นเป็นผู้ใด"
อูเสวียนจว่อตอบว่า "เรื่องปูมหลังของนางนั้น ข้าเองก็ไม่ทราบมากนัก แต่นางนับว่าเป็นสตรีที่งดงามยิ่งแล้วบนภพมนุษย์นี้ หากคุณชายท่านไม่รีบร้อนเดินทางไปยังที่ใด ก็อย่าได้พลาดที่จะรอชมดูการแสดง"
นักเขียนหนุ่มเพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน เมื่อตอนเช้าเขาลองแอบเปิดดูแวบๆ ว่ามียอดเข้าชมหน้านิยายเพิ่มขึ้นพอสมควร แต่เห็นยอดคอมเมนต์เพิ่มขึ้นแค่อันเดียว จึงอดใจรอให้มีคนมาแสดงความคิดเห็นเพิ่มก่อน แล้วค่อยเปิดอ่านทีเดียว
แต่พอชายหนุ่มเปิดหน้านิยายขึ้นดูอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าไม่ได้มีความคิดเห็นเพิ่มขึ้นไปมากกว่าเมื่อเช้า เขาเลิกคิ้ว เหลือบตาดูยอดวิวที่ขึ้นตามปกติแล้วก็ต้องเกิดความสงสัย หรือว่าเพราะพยายามเขียนให้ดีขึ้น พวกที่มาตำหนิเรื่องใช้ภาษาไทยผิดถึงได้หายหัวกันไปหมด
เขาหนุ่มเลื่อนสายตาลงไปไล่อ่านความคิดเห็นนั้น ก่อนที่มือขวาจะเคลื่อนไหวไปโดยอัตโนมัติ ทุบโต๊ะดังปังใหญ่จนได้ยินเสียงคนข้างห้องร้องอย่างตกใจแว่วมา ไอ้เปรตตัวที่มาคอมเมนต์นั่นบอกว่าเรื่องมีแต่น้ำ ดูจริงจังเกินไป อยากให้กลับไปเขียนดีๆ แบบเก่า นักเขียนหนุ่มอ่านแล้วก็โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ต้องนั่งหายใจเข้าออกเป็นการสงบใจอยู่ครู่หนึ่ง กว่าที่จะกลับมาเป็นนายของร่างกายตนเองได้สำเร็จ
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด ใช้มือขวาคลิกเม้าส์เปิดโปรแกรมพิมพ์เอกสารขึ้นมา ตอนต่อไปเซวี่ยอวี่เซวียนจะได้เจอกับนางงามไร้กระดูก แล้วก็ต้องเกิดจิตปฏิพัทธ์กันขึ้นด้วยพรของพระเจ้า แต่นั่นยังไม่ดีพอ อีนางงามนั่นแม่งต้องเป็นกะหรี่ทัชสกรีน พอได้เห็นหน้าพระเอกแล้วต้องเกิดความวูบวาบ จากนั้นก็ได้กันในเหลาสุรานั่นเลย
ไม่ นั่นยังไม่ดีพอ นักเขียนหนุ่มคิดแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย จะให้มันเอากันตรงๆ คงไม่เวิร์ก ถ้างั้นลองเปลี่ยนเป็นมีคนเลวใช้ธูปปลุกราคะ ทำให้อีนางงามนั่นมันหื่นก่อน หลังจากที่พระเอกใช้อาวุธเทพปราบคนเลวจนเละเทะแล้ว ค่อยให้มันมาใช้อาวุธลับปราบความเงี่ยนของสตรี
ชายหนุ่มนั่งกำหนดทิศทางของเรื่องโดยคร่าวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแสยะยิ้ม แล้วเริ่มลงมือพรมนิ้วเขียน
อะไรคือกะหรี่ทัชสกรีนวะ 555555
>>314 ศัพท์บัญญติโดยโม่งคนหนึ่งในหมวดนี้ ซึ่งหมายถึง ตัวละครหญิงในเรื่องที่ยอมอ้าขาให้พระเอกเย็ดง่ายๆ แตะตัวปุ๊บสปาร์คน้ำเดินพร้อมให้เสียบ ประเภทตกหลุมรักพระเอกด้วยเหตุผลกากๆ อย่างเช่นพระเอกเข้ามาช่วยเหลือไว้ เจอพระเอกเห็นตอนโป๊โดยบังเอิญ พระเอกไถ่ตัวให้จนหลุดพ้นจากความเป็นทาส ฯลฯ
ง่ายเหมือนหน้าจอทัชสกรีน ที่ใช้ปลายนิ้วแตะนิดเดียว แอปปลิเคชั่นก็เปิดให้มึงใช้งานได้ทันที หีกึ่งสำเร็จรูปแบบที่ไม่ต้องรอถึง 3 นาทีด้วยซ้ำ
(นิยายแปล) Gods King Warrior Conqueror Heaven อภินิหารเคล็ดวิชาเทพเจ้าราชันย์นักรบเย้ยจอมสวรรค์
ตอนที่ 4 ควันราคะ (NC 20++)
เตง เตง เตง เสียงเพลงดังขึ้นในตอนที่เซวี่ยอวี่เซวียนกำลังกินข้าวอยู่ เซวี่ยอวี่เซวียนเงยน่าขึ้นมา พบกับหญิงสาวสวย น่าตาดี ผิวขาวผมยาวสีดำกำลังนั่งดีดพิน คนในร้านก็หันไปมองที่ผู้หญิงคนนั้นกันหมด
"นั้นคือนางงามไร้กระดูกไงละ" เจ้าของร้านพูด "ท่านดู นางเริ่มบันเรงเพลงแร้ว"
คนในร้านต่างก็หรงไหรในเสียงพินของนางงามไร้กระดูกจนไม่มีใครพุดจา แม้แต่เซวี่ยอวี่เซวียนเองก็ยังเคริ้มไปกับเสียงเพลงนั่น เตง เตง เตง นางงามไร้กระดูกยังคงก้มน่าบันเรงต่อไป เมื่อเพลงจบลง คนทั้งร้านก็ปลบมือให้ นางงามไร้กระดูกจึงค่อยลุกขึ้นยิ้มรับคำชม
เซวี่ยวอวี่เซวียนเองก็ปลบมือดังมากเพราะชอบ จนนางงามไร้กระดูกต้องหันน่ามาหาก้นเสียง พอตาของทั้งสองคนซบกัน ตึกตักๆๆๆ หัวใจของนางงามไร้กระดูกก็เต้นเร็วขึ้นทันที
นางไม่เคยเห็นใครหน้าตาหล่อเหราขนาดนี้มาก่อน แหมจะเคยเจอผู้ชายมามากก็ตาม แต่เซวี่ยอวี่เซวียนก็ยังไม่รู้เรื่องนี่ เพราะมันไม่เคยมีแฟนมาก่อนนั้นเอง
ตูมมมม ประตูร้านถูกถีบเปิด "ฮ่าๆๆๆๆ นางงามไร้กระดูก นึกรึว่าจะหนีข้าพ้น" คนผู้นั้นพูด "เจ้ายอมเป็นอนุภรยาข้าโดยดีเถอะ"
คนพวกนั้นมากันห้าหกคน หน้าตาดุร้ายแต่สวมเสื้อผ้าหรูหลาแพงๆ นางงามไร้กระดูกเห็นคนพวกนั้นก็ต้องน่าสีด พูดว่า "ข้าไม่ได้รักท่าน ท่านกับไปสะเถอะ"
คนผู้นั้นหัวเราะอีก "ไป่ถิงโหย่วคนสวย รองเจอนี่สะก่อน แร้วจะไม่ปติเสิฐข้าอีกเรย"
คนผู้นั้นคว้างของบางอย่างออกมาจากในเสื้อ ตูมมมม ฟู่วววว วาบบบ เกิดควันขึ้นเต็มร้านเหลาสุรา "โอ้ยๆๆ ทุกท่านอย่าได้ก่อนเรื่องกันในร้าน" เจ้าของร้านพยามห้ามแต่ไม่มีใครฟัง ทุกคนร้องโวยวาย พยามกุดจมูกไม่ให้ควันเข้า
ในตอนที่คนอื่นกำลังลมควัน เซวี่ยอวี่เซวียนกับไม่รู้สึกถึงควันนั้นเรยแม้แต่หน่อยเดียว เขามองซ้ายขวา เห็นคนร้ายกลุ่มนั่นกำลังใช้กำลังรากตัวนางงามไร้กระดูกไป เซวี่ยอวี่เซวียนรู้ศึกโกรตมาก ชิ้งงงง เขาชักกะบี่ออกมาจากฟัก ฉับๆๆๆๆ "โอ้ยนี่มันอะไรกัน" คนร้ายร้องพร้อมล้มลงตายจนหมด
เซวี่ยอวี่เซวียนอุ้มนางงามไร้กระดูกขึ้นมา "ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม" "ไม่เจ็บคะ" "ดีแร้ว งั้นเดี๋ยวเราหลบควันไปหลังร้านนะ" "คะ"
เซวี่ยอวี่เซวียนอุ้มนางงามไร้กระดูกไปที่หลังร้าน คนทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง นางงามไร้กระดูกก็พูดขึ้น "ขอบคุณนะค่ะที่ท่านผู้กล้ามาช่วย ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องเสียพรมมาจันทร์ไปแน่ๆ" "ไม่เป็นไร ยินดีคับ" เซวี่ยอวี่เซวียนตอบแล้วเห็นว่านางหายใจหอบ "เป็นอะไรไป"
"นั่นต้องเป็นควันราคะแน่ๆ" นางงามไร้กระดูกตอบพร้อมถอดเสื้อผ้าออก "ท่านผู้กล้าช่วยข้าด้่วย"
เซวี่ยอวี่เซวียนตกใจมาก "จะให้ข้าช่วยยังไง ไม่ได้ๆ ถ้าให้ข้าทำแบบนี้ก็เป็นคนเลวซิ"
นางงามไร้กระดูกเผยสีน่าตัดพ่อ "ข้าเห็นน่าท่านแล้ว เกิดหลงรักขึ้น และท่านยังมีบุณคุณช่วยเหลือข้าอีก ข้าจึงขอมอบชีวิตนี่ให้แก่ท่าน"
เซวี่ยอวี่เซวียนได้ยินนางพูดแบบนั้นก็ไม่กล้าขัดอีก จึงได้ถอดเสื้อผ้าออก เอาแก่นกายของตนเสียบเข้าไปในดอกไม้สวรรค์ของอีกฝ่าย "อู้วๆๆๆ ดีจัง" นางงามไร้กระดูกร้องออกมาเป็นอย่างสุก "ข้าขอมอบชีวิตนี้ให้แก่ท่านแร้ว"
เซวี่ยอวี่เซวียนช่วยให้นางถึงสวรรค์ไปได้ยี่สิบลอบ ทั้งสองคนนอนกอดก่ายกัน เซวี่ยอวี่เซวียนกล่าวว่า "ข้ารักท่านนัก อยากจะอยู่รวมกับท่านจนแก่เท่า"
นางงามไร้กระดูกฟังแล้วเคริบเคริ้ม ก่อนที่ร่างจะสะเทิ้นออกมา "ไม่ได้" นางพูด "มีคนชั่วร้ายมากมายที่อยากได้ตัวข้า คงมีแต่หุบเขาเซียนสวรรค์เท่านั่นที่จะหนีพ้น"
"หุบเขาเซียนสวรรค์อย่างนั้นรึ นั่นเป็นที่ใด" เซวี่ยอวี่เซวียนถาม "หุบเขาเซียนสวรรค์ร้อมรอบไปด้วยภูเขาสูง ต้องมีวิชาตัวเบาระดับเซียนสวรรค์ราชันย์พระเจ้าเท่านั้นจึงจะข้ามเขาไปถึงได้" นางงามไร้กระดูกตอบ "อะไรกันง่ายนิดเดียว ข้าจะไปฝึกพลังแล้วมาพาท่านไปยังที่นั้น" เซวี่ยอวี่เซวียนหัวเราะ
นางงามไร้กระดูกตาเป็นปะกาย วาดฟันถึงชีวิตอันสงบสุขในหุบเขา "ข้าจะรอท่าน" นางพูดขณะรีบสวมเสื้อผ้า "ท่านผู้กล้า นับแต่นี่ไม่ว่าข้าอยู่ไหน ไป่ถิงโหย่วผู้นี่ยอมเป็นของท่านเสมอ"
ช่วยกันเขียนหน่อย กูเขียนคนเดียวละไม่สนุกเลยถถถถ
สารีพิมพ์ใหญ่เนื้อทองแดงรมดำปิดทองหลังพระครูปลัดธีรเดชวงศ์พัวพันธ์พ่อภได้ที่นี่เลยครับแต่ถ้าให้ดีที่ได้รับความนิยมมากถ้าไม่อยากทำเสื้อภายภาคเพลงดาบแม่เพลงนี้มากนักเพราะว่าเราจะไม่มีความคิดของตัวละครในม่านเมฆย้อนหลังประจำเดือนมานี้จะเป็นการแสดงสดคอนเสิร์ตที่เมืองนอกลืมไปแล้วแต่ไม่รู้จะพูดว่ารักกันมากมายที่เพิ่มสูงขึ้น
“มึงดู แปดนาฬิกา”
นาวินวางแก้วเหล้าในมือลงบนเคาน์เตอร์บาร์ไม้ เอี้ยวศีรษะเล็กน้อยเพื่อสำรวจรูปร่างของเป้าหมายที่เพื่อนสนิทของเขาหมายตาไว้ “ก็ดีนี่ ให้สักเจ็ดจุดห้าเต็มสิบ” เขากล่าว
“เฮ้ย คนนี้เก้า” อาทิตย์รีบร้องท้วง “เฮ้ยมึงดูผิดคนรึเปล่าวะไอ้วิน คนนั้นอะ หน้าสวยไม่พอ หุ่นแม่งยังโคตรแจ่ม”
นาวินแค่นเสียงหัวเราะ ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ “คนเสื้อฟ้านั่นใช่ไหมล่ะ ก็ดีแหละ แต่ในนี้แสงมันสลัว เวลาจะให้คะแนนมันก็ต้องดรอปลงหน่อย ถ้ามึงให้ตามที่ตาเห็น พอเอาออกไปคั่วจริง ๆ เดี๋ยวก็มาบ่นผิดหวังกับกูอีก”
อาทิตย์หัวเราะ ไพล่ไปพูดถึงเรื่องของผู้หญิงคนเมื่อวานที่เขาตกมาได้ นาวินเพียงแต่ยิ้มรับฟังเรื่องเล่านั้นโดยไม่แสดงความคิดเห็น ก่อนที่จะค่อยเอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายพูดจบว่า “แล้วคืนนี้มึงจะเอายังไง”
“ก็เอาคนนี้แหละ เหี้ย แม่งโคตรตรงสเป็คกูเลย” อาทิตย์ยิ้มกริ่ม หันไปเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ก่อนพูดต่อว่า “มึงช่วยกูหน่อย มึงว่ากูควรเข้าไปยังไงดี”
นาวินยิ้ม “มึงเลิกหวังเลยถ้าคิดแค่จะหิ้วกลับ มึงทำไม่ได้หรอก”
อาทิตย์เลิกคิ้ว วางศอกลงบนเคาน์เตอร์ไม้ในท่าที่คิดว่าดูเท่พร้อมยกแก้วเหล้าขึ้นกระดก “ทำไมวะ มึงเห็นผัวเขาเหรอ”
นาวินส่ายศีรษะ “เขาตั้งการ์ดว่ะ ดูแล้วน่าจะเพิ่งเคยมาเที่ยว” เขาเริ่มอธิบาย “มึงดู เขาเพิ่งทำผมมา เสื้อที่ใส่อยู่กูเห็นลดราคาอยู่ในห้าง ก็คงเพิ่งซื้อมาเร็ว ๆ นี้เหมือนกัน น่าจะซื้อมาเพื่องานนี้ เฮ้ยมึงเห็นเค้กบนโต๊ะเขาปะ กูว่ามาฉลองวันเกิดเพื่อนแน่”
อาทิตย์ลอบส่งสายตาสำรวจ คลับคล้ายว่าจะมีเค้กก้อนหนึ่งวางตั้งอยู่บนโต๊ะของหญิงสาวกลุ่มนั้นจริง แต่เขาก็ยังหาเรื่องขึ้นมาแย้งได้อีกว่า “ที่มึงพูดมาไม่เห็นจะเกี่ยวกัน ผู้หญิงแม่งก็ทำผมซื้อเสื้อกันทั้งนั้นอะ มึงเอาเหี้ยอะไรมามั่นใจว่าเขาไม่เที่ยว”
นาวินหัวเราะอีก “มึงเลี้ยงกูอีกแก้วหนึ่งแล้วกูบอก”
อาทิตย์สบถคำว่าควย แต่ก็ยอมสั่งเครื่องดื่มให้เพื่อนแต่โดยดี นาวินหัวเราะร่าอีกครั้งก่อนพูดขึ้นต่อว่า “เขาแต่งหน้าไม่เป็นว่ะ คือตอนนี้ร้านยังเปิดไฟสลัว เล่นเพลงสเปนอยู่ไง เดี๋ยวสามทุ่มครึ่งแม่งปล่อยมืดเปิดไฟเธค แล้วก็เล่นเพลงตื๊ด ๆ เหี้ยอะไรนั่น ทารองพื้นเบอร์นี้ หน้าคงลอยเป็นกระสือแน่”
นาวินจิบสุราอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่อาทิตย์ขมวดคิ้ว “มึงแค่เหลือบดูก็อ่านได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”
อีกฝ่ายฟังคำนั้นก็หัวเราะ พูดว่า “เหลือบพ่อมึงเหอะ มึงคิดว่าตัวเองมีตาคนเดียวเหรอวะ กูเห็นเขาตั้งแต่ตอนที่ไปเอาเค้กมาแล้ว”
อาทิตย์ร้อง “ไอ้สัตว์” ในขณะที่นาวินหัวเราะร่า เล่าต่ออีกว่า “มึงจะลองไปป้อดูก็ได้ อย่างน้อยก็เผื่อได้เบอร์เก็บไว้ แต่คืนนี้ยังไงมึงก็ไม่ได้แดก ตอนกูไปเข้าห้องน้ำ กูได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับพ่อ เดี๋ยวห้าทุ่มพ่อเขาจะมารับ”
นังขี้ข้ากับเจ้าชายทั้ง 7
ข้าตื่นก่อนฟ้าสาง...ตื่นก่อนเวลาที่หมู่มวลนกน้อยและแม่ไก่ตัวอ้วนจะส่งเสียงร้องปลุกให้เหล่าคนงามตื่นจากนิทรา หน้าที่ของข้าคือต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่จะรับมือกับสงคราม "ของจริง"
.
...
"ใครก็ได้ ช่วยข้าหวีผมที!!" เสียงตะโกนโหวกเหวกจากยอดหอคอยทำให้ข้าต้องรีบปิดเตาอบขนมปังแล้ววิ่งไปตามต้นเสียง
ครั้งที่สามแล้วนะที่สัปดาห์นี้ราพันเซลหวีผมตัวเองไม่ได้ ข้าบอกให้เขาตัดผมไปไม่รู้จักกี่ครั้ง เขาก็ยังดื้อด้าน ไม่รู้จะเก็บผมไว้ให้ใครมาปีนขึ้นไปบนหอคอยหรือไง
ถ้าจะมีปัญญาไว้ผมยาว ก็ต้องมีปัญญาหวีเองด้วยสิ(วะ)
หวีผมสีทองยาวสลวยของเจ้าชายเสร็จ ข้าก็ได้ยินเสียงตึงตังปึงปังจากห้องสมุดด้านบน เจ้าชายอสูรอาละวาดอีกแล้วเรอะ!? ใครเอากระจกไปให้เขาส่องกันไม่ทราบ ก็รู้อยู่ว่าเขารับสภาพขนนุ่มฟูของตัวเองไม่ได้ ยังจะไปยั่วยุให้เขาโกรธอีก
เพล้ง
กระจกเจ้าปัญหาโดนทุบแตกไปเรียบร้อย ก็ดี อย่างน้อยเขาจะได้เลิกโวยวาย ไว้ข้าค่อยไปกวาดเศษกระจกทีเดียวก็ได้ ตอนนี้ข้าต้องรีบไปปลุกเจ้าชายนิทราเสียก่อน เหลือเขาคนเดียวในปราสาทนี้ที่ยังไม่ตื่น ปลุกก็ยาก ไม่รู้จะนอนกินปราสาทกินหอคอยหรือไง
หลังจากลากเจ้าชายนิทราออกจากเตียงได้ ข้าก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องครัว ทิ้งมานานขนาดนี้ขนมปังไหม้หมดไปแล้วมั้ง แต่พอเข้าครัวไปก็ได้กลิ่นขนมปังหอมฉุย ซินเดอร์จัดการเอาขนมปังออกจากเตาอบเรียบร้อย
ถึงจะขัดใจหน่อยที่เขาเป็นเจ้าชายแต่ดันชอบทำตัวเหมือนคนใช้ อย่างน้อยเขาก็เป็นคนเดียวที่ช่วยข้าทำงานบ้านล่ะนะ ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ
"สโนว์กินแอปเปิ้ลติดคออีกแล้ว" เด็กหนุ่มถอดถอนใจพร้อมกับข้าที่กระตุกคิ้วเข้าหากัน "แต่ไม่เป็นไร ข้าช่วยปฐมพยาบาลให้แล้ว ท่านนางฟ้าแม่ทูนหัว"
เฮ้อ บอกตั้งกี่รอบแล้วว่าข้าไม่ใช่นางฟ้าแม่ทูนหัว แล้วก็ไม่ใช่แม่มดด้วย...ข้าเป็นคนรับใช้ต่างหากเล่า
ระหว่างที่เดินเตร่ไปมาอยู่ที่หน้าอาคารขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปปั้นเทพเจ้าโบราณท่าทางดุดันน่าเกรงขามประดับอยู่ที่หน้าทางเข้าของตัวอาคาร
ผมคิดและตัดสินใจเก็บสตุ้งสตางค์มาเนิ่นนานแล้วว่าจะต้องมาที่แห่งนี้ให้ได้ ไม่ว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ต้องมา เพราะถ้าไม่มาผมก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย
ไอ้แป๊ะลูกตาป๋วย บ้านอยู่ห้วยขวาง นัดให้ผมมาเจอกับมันที่นี่เวลาหนึ่งทุ่มตรง นี่ก็ใกล้ถึงเวลานัดแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาหัวของลูกตาป๋วย
ไอ้แป๊ะบอกว่าวันนี้มันจะสอนให้ผมเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว ผมก็อยากจะรู้หนักหนาว่าที่มันจะสอนผมนั้นตัวมันเก่งแค่ไหน
คิดสะระตะไม่นาน ก็เห็นท่าทางของคนที่คุ้นเคยซึ่งวิ่งไล่ดีดหำกันมาตั้งแต่ตัวเท่าลูกกรอก เดินอาดอาดด้วยท่าทางยียวน ราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เคยโดนส้นตีนประทับที่ใบหน้ามาก่อน ชายในร่างผอมสูงราวกับเสาไฟฟ้า กับท่าเดินที่เหมือนมีแม่เหล็กคอยดึงดูดส้นตีนไว้กับตัวตลอดเวลา ตรงดิ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
"เฮ้ย ไอ้ดุ๋ง วันนี้มึงแต่งตัวโก้นี่หว่า"
ใช่แล้วครับ ชายผู้มีพลังดึงดูดส้นตีนติดตัวมาแต่กำเนิดผู้นี้คือเพื่อนรักของผม นามว่าไอ้แป๊ะ ลูกตาป๋วยแห่งห้วยขวางนั่นเอง
"ครั้งแรกมันก็ต้องขอหล่อๆหน่อยซีวะ นี่มึงมาช้าจริง ถ้าช้ากว่านี้กูลุยคนเดียวแล้วโว้ย"
"ก็กูเห็นว่าวันนี้วันสำคัญของชีวิตมึง กูก็ไปหาอะไรติดไม้ติดมือมาเป็นของขวัญมึงหน่อยซีวะ"
"ของขวัญห่าอะไรมึง โตจนหมาเลียดากไม่ถึงยังทำตัวเป็นเด็กไปได้"
ผมตอบพร้อมกับส่ายหัว
ไอ้แป๊ะยิ้มแล้วล้วงกระเป๋าสะพายข้างประจำตัวพร้อมกับหยิบเอาพวงมาลัยมะลิเหี่ยวๆเหมือนกระจู๋หมาแก่หมดแรงออกมาพร้อมกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่มองไกลๆนึกว่าฟันทองคำ แต่พอลองพินิจพิจารณาดูใกล้ๆกลับเป็นฝักข้าวโพดสีเหลืองอ๋อย เรียงกันเข้าคู่ราวกับเล็บตีนหมาอย่างไงอย่างงั้น
"มาเถอะว่ะ ประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตมึงนา ขอกูคล้องพวงมาลัยฉลองให้มึงซักทีเถอว่ะไอ้เกลอ"
"มึงหยุดเสียทีเดียวเลยไอ้ฉิบหาย เอาไปคล้องหัวหมาที่บ้านมึงนู้น"
นอนก่อนเดี๋ยวกูมาแต่งต่อไม่ไหวละ นอนไม่หลับเลยลุกมานั่งเขียนเหี้ยไรเพ้อๆ จะได้ตาลายๆง่วงนอนเหมือนกับชาวบ้านชาวช่องเขาได้เสียที
>>329 อ้าวสัสหายเลยไม่มาแต่งต่อแล้วหรอวะ กูชอบสไตล์การเขียนมึงนะ เป็นไสตล์เขียนแบบนักเขียนรุ่นก่อน งานเขียนมึงคล้าย3คนนี้เลยว่ะ
สุจิต วงศ์เทศ ชาติ กอบจิตติ รง วงสวรรค์ ซึ่งกูว่ามึงน่าจะชอบอ่านงานไสตล์นี้เพราะคงได้อิทธิพลและกลิ่นอายสำบัดสำนวนความกวนตีนชิบหายแบบนี้มาจาก 3 นักเขียนตำนานนํ้าหมึกไทยแน่ๆ ซึ่งก็ดีนะ หลังๆมานักเขียนรุ่นใหม่แทบไม่มีใครเขียนสไตล์นี้แล้ว ยิ่งพวกคำที่มันดูไทยๆแบบไอ้ที่มึงเขียนว่า "หยุดเสียทีเดียวเลยไอ้ฉิบหาย" กูอ่านแล้วขำชิบหาย 5555555 ขำเพราะคำมันฟังแล้วดูจั๊กกะจี้กวนตีนๆดี กลับมาเขียนต่อสิวะ ไม่ได้อ่านสไตล์นี้นานแล้ว
กุไม่ได้ยินคำว่า 'แต่งตัวโก้' มานานมากๆ
กูอ่านแล้วนึกถึงสามเกลอ
นั่งอ่านย้อนไปตั้งแต่ต้นถึงนี่ หลายๆเรื่องสนุกดีนะ อยากอ่านต่อเลย
ปลุกชีพไอ้โอมที
มันนอนหมอบคอยเฝ้าหน้าถ้ำอันมืดมิดมาเนิ่นนาน...นานเสียจนตัวมันจดจำมิได้ว่าตั้งแต่เมื่อไร แม้แต่สีหน้าของเทพบรรพกาลผู้สั่งให้มันอยู่ที่นี่ก็ยังลืมเลือน จดจำได้เพียงชายผ้าสีขาวพลิ้วไหวตามกระแสลม งดงามเสียจนมันเอ่ยร้องขอผ้าแพรเป็นรางวัล เทพผู้นั้นปลดแพรขาวเพื่อห่มคลุมร่างของมันก่อนจะจากไป
ลมเปลี่ยนทิศ จันทร์ลาลับ ตะวันเลยผ่าน จากท้องทะเลกลายเป็นท้องนา...ร่างมันขยายขึ้นทุกปี จนตอนนี้ผ้าแพรผืนนั้นจะโอบพันรอบลำคอก็ยังไม่รอบ มิหนำซ้ำยังมอมแมมจนหมดสภาพ ยังพอมีแค่กลิ่นไอเทพจางๆ ให้พอรู้ว่ายังเป็นผ้าผืนเดิม มันอยากจะขอผ้าผืนใหม่ที่ห่มคลุมกายได้ แต่เทพบรรพกาลผู้นั้นไม่เคยหวนกลับมาสักครั้ง
มันยังคงเฝ้าคอยอยู่เช่นเคย ยามกระหายก็ดื่มกินหยาดน้ำค้าง ยามโหยหิวก็แทะเล็มยอดหญ้าที่หน้าถ้ำ ไม่มีผู้ใดให้พบเจอ ไม่มีผู้ใดให้พูดคุย ไม่ว่าจะมนุษย์ ภูติ เทพ เซียน ปีศาจ หรือแม้แต่สัตว์สักตัว...ทั่วหมื่นลี้นี้มีเพียงมันผู้เดียว
ออดไฟฟ้าลากเสียงยาวปลุกให้ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น เขากระพริบตาไล่ความงัวเงียออกจากสมอง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสกล่องสี่เหลี่ยมที่วางสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เจ้ากล่องนั้นพลันสว่างวาบ แสดงตัวเลขออกมาว่าตอนนั้นเป็นเวลาสองนาฬิกาเศษแล้ว
เสียงออดยังไม่หยุดดัง เรื่องนั้นทำให้ชายหนุ่มเกิดฉุนขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปที่หัวเตียง แตะปุ่มสัญญาณเรียกไมโครโฟน ก่อนที่จะส่งเสียงบอกแขกยามวิกาลผู้นั้นว่า "นี่เธอรู้เวลาบ้างไหมเนี่ย"
ออดไฟฟ้าลากเสียงยาวปลุกให้ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้น เขากระพริบตาไล่ความงัวเงียออกจากสมอง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสกล่องสี่เหลี่ยมที่วางสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เจ้ากล่องนั้นพลันสว่างวาบ แสดงตัวเลขออกมาว่าตอนนั้นเป็นเวลาสองนาฬิกาเศษแล้ว
เสียงออดยังไม่หยุดดัง เรื่องนั้นทำให้ชายหนุ่มเกิดฉุนขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปที่หัวเตียง แตะปุ่มสัญญาณเรียกไมโครโฟน ก่อนที่จะส่งเสียงบอกแขกยามวิกาลผู้นั้นว่า "นี่เธอรู้เวลาบ้างไหมเนี่ย"
เสียงออดเงียบไป ก่อนที่จะเป็นเสียงใสของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาแทนว่า "ก็ฉันนอนไม่หลับนี่"
ชายหนุ่มส่งเสียงคราง แต่ก็ยอมเลื่อนมือไปกดปุ่มปลดล็อกประตูหน้า เขาเอื้อมมือไปกดเปิดโคมไฟก่อนยันกายขึ้นจากเตียง เปลี่ยนเป็นกึ่งนอนกึ่งนั่งโดยซ้อนหมอนไว้กับหัวเตียงเป็นที่พักหลัง รออยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนที่ประตูห้องนอนจะถูกผลักเปิดเข้ามา
ผู้มาเยือนเป็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดนอนกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อน เธอส่งยิ้มละไมมาให้ชายหนุ่มเจ้าของห้องพร้อมพูดว่า "คืนนี้ขอนอนด้วยคนนะ"
ชายหนุ่มเหลือบตามองหมอนใบโตที่หญิงสาวกอดไว้แนบอกก่อนแค่นเสียง "นี่คือไม่เตรียมใจมารับคำปฏิเสธเลยเหรอ"
หญิงสาวหัวเราะ สาวเท้าตรงมาวางหมอนไว้บนเตียง ก่อนที่จะถือวิสาสะเคลื่อนตัวขึ้นไปแนบชิดกับชายหนุ่ม "ฉันพยายามข่มตานอนแล้วจริง ๆ นะ" เธอทำเสียงกระเง้ากระงอดแก้ตัว "น่านะ แค่คืนเดียวเอง รับรองว่าไม่ได้คิดจะรบกวนนายไปตลอดหรอก"
ชายหนุ่มถอนหายใจ แต่ก็ไม่คิดโต้เถียงอีก เขาขยับร่างกลับลงไปอยู่ในท่านอน เหลือบตาไปสำรวจหญิงสาวข้างกายให้แน่ใจว่าเธอเองก็อยู่ใต้ผ้าห่มแล้วจึงค่อยเอื้อมมือไปดับไฟ ห้องนอนพลันกลับมาอยู่ในความมืดอีกครั้ง
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ทันพลิกตัวตะแคง มือของเขาก็ถูกมือน้อยสอดเข้ามาเกาะกุมไว้ ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะชักมือออก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบว่า "นอนเฉยๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่เธอให้ไปนอนที่โซฟา"
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก เอ่ยตอบกลับมาท่ามกลางความมืดว่า "นายไม่ทำหรอก"
"เธออย่ากวนโมโหฉันสิ" น้ำเสียงของชายหนุ่มเริ่มเจือโทสะบ้างแล้ว "พรุ่งนี้ฉันต้องตื่นเช้า เข้าใจไหม คืนนี้ฉันยังพาเธอออกไปเที่ยวเล่นไม่สมใจอีกเหรอ ขอให้ฉันได้นอนสักสี่ห้าชั่วโมงก็ยังดี"
"ก็ได้" หญิงสาวตอบกลับมา ก่อนที่จะค่อยลดเสียงลงจนเกือบเป็นกระซิบ "แต่ฉันมีบางอย่างที่อยากจะบอกให้นายรู้"
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่าย เมื่อทราบดังนั้นหญิงสาวก็แค่นเสียง พลิกตัวตามจนหน้าอกของเธอแนบชิดเข้ากับแผ่นหลังของเขา
ชายหนุ่มสะดุ้งตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสนั้นในขณะที่หญิงสาวได้แต่หัวเราะคิก "ก็นี่แหละที่จะบอก" เธอคว้าเอาข้อมือของเขามาวางไว้บนช่วงเอวของเธอ ก่อนที่จะขืนขยับมือนั้นไล่ลงไปตามส่วนเว้านั้นอย่างช้าๆ "ข้างล่างนี่ก็ไม่ได้ใส่อะไรไว้เหมือนกัน"
โคมไฟพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหันกลับมาหาหญิงสาวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์จนเกินระงับ "ไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ไม่งั้นก็ไปนอนที่โซฟา"
ไม่ได้มีเค้าของความกลัวอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เธอยังยกมุมปากขึ้นยิ้ม เอ่ยยั่วเย้าว่า "ใส่ให้หน่อยสิ จะเป็นเสื้อผ้าหรืออะไรก็ได้"
มาลงชื่อว่าอยากอ่านไอ้โอมต่อ
นิยายพีค ๆ เรื่องนี้ก็มีอยู่จริงวะ https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1897710&chapter=1 คนเขียนแม่งสกิลบ้าขั้นเข้า รพ
มาลงชื่อรออ่านไอ้โอม
เรื่องไอ้โอม
ความเดิมตอนที่แล้ว (ตัดบางส่วนออกให้เรื่องไปต่อได้) : โอมกำลังจะไปเรียนต่อที่อเมริกา เขามารับลูกสาวของเพื่อนแม่จากผับไปส่งที่บ้าน แต่ระหว่างที่โอมกำลังขับรถกลับบ้านนั้น รถของเขาก็เกิดคว่ำแล้วโอมก็ถูกส่งไปยังต่างโลก อาณาจักรที่โอมถูกส่งไปนั้นชื่ออาณาจักรไบลี่ย์ เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้กล้าเพื่อปราบจอมมาร ณ ที่นั้น โอมได้เจอกับเจ้าหญิงสายซึนนามว่าทีราเลนเซีย ฟราดิก้า เอสเปอร์รัญญ่า โอมโวยวายและกวนตีนเจ้าหญิง ทำให้เขาถูกจับไปขังคุกใต้ดิน แต่ด้วยความช่วยเหลือของแม่หมอเมย์ลิน ทำให้โอมหลุดออกมาจากคุกใต้ดินได้ แต่ก็ยังกวนตีนเจ้าหญิงเหมือนเดิม
เรื่องกลายเป็นว่า ความจริงแล้วโอมไม่ใช่ผู้กล้าที่จะต้องไปปราบจอมมาร แต่โอมเป็นคนที่จะต้องยัดเยียดความเป็นผัวให้กับเจ้าหญิงทีราเลนเซียเพื่อที่จะปั้มลูกออกมา 7 คน เพื่อไปปราบจอมมารตามคำทำนาย ในระหว่างที่ทุกคนกำลังอึ้งอยู่นั้น เจ้าชายเทราเลนเซ่ซึ่งเป็นน้องชายของเจ้าหญิงทีราเลนเซียก็ปรากฎตัวออกมาแล้วเริ่มเหยียดไอ้โอมว่าเป็นคนชั้นต่ำและเอามันไปขังคุก ในคุก โอมถูกอัศวินขาวนามว่าพัลพาทีนซึ่งหลงรักเจ้าหญิงอยู่บุกเข้ามาซ้อม แต่โชคยังดีที่เจ้าหญิงเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน ด้วยความกวนตีนและหมั่นไส้พัลพาทีน ไอ้โอมก็เลยดูดปากเจ้าหญิงโชว์ไปทีนึงเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแบบเดียวกับหมาเยี่ยวรดเสาไฟ
ในโลกปัจจุบัน เอมกำลังช็อกกับข่าวที่ว่าโอมรถคว่ำตาย แต่ในคืนนั้นเอง ก็มีคนแปลกหน้าบุกเข้ามา เรียกหาเอมว่าเป็นชิ้นส่วนแห่งประตู แล้วลักพาตัวเอมข้ามมิติไปหาจอมมาร
โอมถูกเจ้าหญิงจับขังไว้ในห้องเก็บไม้กวาด ระหว่างที่เขากำลังหัวเสียอยู่นั้น จอมมารก็พลันปรากฎตัวขึ้นในห้อง ความจริงแล้วจอมมารเป็นสาวสวยน่ารักอ่อนหวาน จอมมารมอบแหวนไข่มุกให้โอม โดยบอกว่าแหวนวงนี้มีความสามารถในการลอกเลียนเวทมนตร์ของคนอื่น ในวันรุ่งขึ้น โอมก็เข้าพิธีแต่งงานกับเจ้าหญิง คราวนี้โอมระวังตัวอยู่ก่อนเลยจัดการเจ้าหญิงก่อนที่จะถูกเจ้าหญิงจัดการ โอมทำเหมือนจะเยสเจ้าหญิงแต่ก็ไม่เยส ทำให้เจ้าหญิงฉวยโอกาสหลบหนีออกจากห้องหอไปหาน้องชาย ในห้องของเจ้าชายทีราเลนเซ่ เจ้าชายกำลังสนทนากับเมย์ลินอยู่ถึงเรื่องสงครามกับออร์ค และบอกว่าจะรีบจัดกองทัพเรือไปปราบออร์ค
โอมมารู้ความจริงว่าเรื่องสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจนั้นความจริงเป็นเรื่องแหกตาที่พวกเทพใช้พนันกันสนุกๆ สรุปก็คือ ฝ่ายปีศาจ (จอมมาร) ต้องการให้โอมชักชวนมนุษย์ให้ร่วมมือกันบุกสวรรค์ แต่พอพวกเทพรู้เข้าก็กลัวโดนกระทืบ ก็เลยส่งทูตสวรรค์ลงมาหาโอม บอกว่าจะบัฟพลังให้โอม+ส่งกองทัพสวรรค์มาช่วยปราบปีศาจ โอมบอกว่ากูไม่เอาอะไรทั้งนั้น กูจะกลับบ้าน แต่ทั้งจอมมารและจอมสวรรค์ก็ไม่ยอมให้โอมกลับบ้าน เพราะกลัวว่าคดีจะพลิก
จากนั้นโอมกับเจ้าหญิงก็กุ๊กกิ๊กๆ กัน ไอ้เจ้าชายก็เข้ามาเหยียดว่าโอมเป็นพวกชั้นต่ำอีก แล้วก็ท้าให้ไอ้โอมเข้าแข่งในงานประลองยุทธ์ที่กำลังจะมาถึง แต่ก่อนที่จะเริ่มงานประลอง ก็จะมีอีเวนท์ที่ราชาแห่งอาณาจักรไบลี่ย์เดินทางกลับมายังอาณาจักร โอมต้องฝึกหัดพิธีการต่างๆ เพื่อต้อนรับราชา โดยมีเมย์ลินเป็นครูสอน อ้อ ความจริงแล้วเมย์ลินก็เป็นเทพองค์หนึ่งที่จำแลงกายลงมา
เรื่องถึงตรงนี้ ขออนุญาตตัดไอ้โลกระเบิดกับส่งตัวนักเขียนข้ามมิติออกนะ เดี๋ยวค่ำๆ ถ้าอารมณ์มันได้จะมาเขียนต่อ
ทีราเลนเซียหลับไปแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงผู้นั้นจะรู้สึกดีกับโอมมากขึ้น แต่เธอก็ยังไม่สนิทใจมากพอที่จะนอนร่วมเตียงกัน ร่างบางถูกม้วนอยู่อยู่ใต้ผ้านวมหนาหนัก หากโอมคิดจะขืนใจนาง ก็เกรงว่าคงต้องออกแรงไม่ใช่น้อยกว่าจะแกะเอาร่างในห่อผ้านั้นออกมาได้
แต่เรื่องล่วงเกินสตรีนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของโอมแม้เพียงสักนิด แม้แสงไฟในห้องนอนจะถูกดับลงจนหมดแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่เข้านอน เขานั่งจิบน้ำชาอยู่บนขอบหน้าต่าง ปล่อยให้แสงจันทร์บนฟากฟ้าสาดส่องแสงลงมากระทบร่าง เผยให้เห็นใบหน้าอมทุกข์นั้นอย่างชัดเจน
ความทุกข์นั้นเห็นจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากความคิดถึงบ้าน แน่นอนว่าโอมไม่ใช่ลูกแหง่ และเตรียมพร้อมที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศมานานแล้ว แต่การไปอเมริกากับการถูกส่งมาต่างโลกนั้นเป็นคนละเรื่องกัน อยู่ที่นี่เขาใช่สามารถโทรศัพท์พูดคุยกับคนที่บ้านได้เสียเมื่อไหร่
ในขณะที่โอมกำลังนั่งทอดอาลัยอยู่นั้น ก็พลันเกิดแสงสีทองสว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้า พุ่งตรงลงมาหยุดเป็นลูกไฟสีทองตรงหน้าของชายหนุ่ม ก่อนที่ลูกไฟจะพลันแปรสภาพเป็นเทพบุตรรูปหล่อผู้หนึ่งที่มีปีกสีทองสี่ปีกอยู่บนหลัง "สายัณห์สวัสดิ์ขอรับ ท่านผู้กล้า" เทพบุตรพูด
โอมไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เขาเพียงแต่กวาดตามองร่างที่ลอยอยู่กลางอาศัยนั้นครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบว่า "อ้อ นายเป็นเทพคนละตัวกับที่มาคราวก่อนสินะ"
เทพบุตรสะดุ้ง ก่อนที่จะหัวเราะแห้งๆ เอ่ยกลับมาว่า "เทพอย่างพวกเรามีลักษณะนามเป็นตนขอรับ ฟังท่านผู้กล้าเรียกเป็นตัว นึกว่าเรียกหมูเรียกหมา"
โอมยักไหล่ ถามกลับไปอย่างไม่อ้อมค้อมว่า "ท่านเจ้าสวรรค์มีข่าวอะไรถึงฉันงั้นเหรอ"
เทพบุตรไม่ชักช้า รีบกล่าวเข้าเรื่องว่า "ท่านเจ้าสวรรค์ทราบข่าวที่ท่านผู้กล้าจะต้องเข้าประลอง จึงได้มอบพลังให้กับท่านผู้กล้า รับรองว่าไม่มีใครหน้าไหนเอาชนะท่านได้แน่นอนขอรับ"
ไม่พูดเปล่า เทพบุตรผู้นั้นยังกางมือออก ปล่อยแสงสีทองวาบเข้าใส่หน้าของโอม ทันใดนั้น โอมก็รู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่กำลังวิ่งไปทั่วร่างกายจนอดไม่ได้ที่จะต้องเปลี่ยนมาอยู่ในท่ายืน ก้มลงสำรวจตัวเองให้ทั่วทั้งตัว
ลักษณะภายนอกนั้นแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เว้นแต่เพียงรอยสักรูปกงจักรที่หลังมือซ้ายเท่านั้น โอมจ้องมองรอยสักที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่นั้นอย่างสนใจ ก่อนที่จะทดลองใช้นิ้วมือแต่สัมผัสดู
เกิดแสงสว่างวาบขึ้นทันที ก่อนที่มันจะรวมตัวกันกลายเป็นจอภาพปรากฏขึ้นกลางอากาศ
หน้าต่างสถานะ
ชื่อ : โอม
อาชีพ : ผู้กล้า
ระดับ : 999/999
สกิล : (เจ้าแห่งศาสตรา - สามารถใช้อาวุธทุกชนิดได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนพ่อเคยสอนที่ฮาวาย) (กายาเหล็ก - ผิวหนังสามารถทนทานการโจมตีทุกชนิดได้) (ฝีเท้าอาชา - สามารถวิ่งได้เร็วและอึดทนเหมือนม้าดี) (ผู้มีเมตตา - เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลาย สามารถสั่งให้สัตว์ทำอะไรก็ได้) (ผู้รอบรู้พิษ - ไม่มีพิษชนิดไหนสามารถทำอันตรายได้) (ลำแสงแห่งเทพ - สามารถใช้พลังเยียวยารักษาผู้อื่นได้)
หลังจากอ่านข้อความทั้งหมดจบ โอมก็อ้าปากค้าง เงยหน้าขึ้นไปถามเทพบุตรที่ลอยตัวยิ้มแป้นอยู่ว่า "ของพวกนี้คงไม่ได้ให้ฉันฟรีๆ หรอกนะ"
เทพบุตรตอบว่า "ท่านเจ้าสวรรค์มีเมตตา มอบพลังนี้ให้กับท่านผู้กล้าโดยไม่มีข้อเรียกร้องใด เพียงแต่พลังพวกนี้จะอยู่ได้แค่สามสิบวันเท่านั้น หากท่านผู้กล้าอยากให้พลังนี้คงทนถาวร ก็ต้อง..."
โอมเอ่ยขัดขึ้นว่า "ก็ต้องเข้าร่วมกับพวกนาย ยอมต่อสู้ปราบจอมมารสินะ"
เทพบุตรยิ้มเป็นคำตอบ โอมเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ กล่าวเสริมไปว่า "ก็ได้ งั้นฉันจะทดลองพลังพวกนี้ดูก่อน ถ้าหากมันดีจริง ฉันก็จะเอาข้อเสนอนั้นมาพิจารณาดูอีกที"
เทพบุตรฟังคำแล้วก็กล่าวลา เปลี่ยนรูปกลายเป็นแสงหายลับไป แต่ก่อนที่โอมจะทันได้ทำอะไรอื่น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังแห่งความมืดที่ปรากฏขึ้นด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็เห็นเป็นจอมมารที่ยืนส่งยิ้มหวานให้เขาอยู่
"เป็นไง นัวร์" โอมทักทายยิ้มๆ "มาได้จังหวะพอดีเลยนะ"
นัวร์ยิ้ม ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า "ความจริงข้ามานานแล้ว เพียงแต่เห็นท่านผู้กล้าสนทนากับเทพตนนั้นอยู่ จึงไม่อยากขัดจังหวะ"
โอมหัวเราะเบา ๆ เหลือบสายตาไปมองเจ้าหญิงบนเตียงว่ายังหลับดีอยู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นต่อว่า "ก็แปลว่าเธอรู้แล้วใช่ไหม ของขวัญที่พวกเทพมันเสนอให้ฉันน่ะ"
นัวร์พยักหน้า "พวกโง่เขลานั่นทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว" จอมมารกล่าว "พลังที่พวกมันมอบให้ท่านผู้กล้ามีอำนาจมากพอที่จะทำลายสวรรค์ได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ"
โอมสั่นศีรษะน้อยๆ "ก็ไม่เชิงหรอกนะ พลังที่ได้มาใช้ได้แค่สามสิบวันเท่านั้นเอง ลำพังเวลาแค่นี้ไม่มากพอที่จะให้ฉันบุกขึ้นไปบนสวรรค์แล้วจัดการพวกมันหรอก"
นัวร์เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง เธอสะบัดมือครั้งหนึ่ง ปรากฏกระดาษปึกหนึ่งขึ้นมาจากอากาศธาตุ "ท่านผู้กล้าโปรดรับเอกสารพวกนี้ไป" จอมมารกล่าว "ขอแค่ทำตามขั้นตอนใน readme.txt รับรองว่าพลังพวกนั้นจะสามารถใช้ได้อย่างถาวรแน่นอน"
อะไรคือ readme.txt วะ เหมือนไฟล์ที่แถมมากับโปรมเถื่อนหรอ 55555
ต่อๆ อยากอ่านต่อ555
ณ ปราสาทแห่งหนึ่งใต้พื้นโลก ที่ๆแสงของพระเจ้าไม่อาจส่องถึง
เอมิกาลืมตาขึ้นมาอยู่ในห้องมืด ตอนนี้เธอสะอาดเอี่ยมอยู่ในชุดจีบระบายหยั่งกับตุ๊กตา ตัวฟุ้งไปด้วยกลิ่นดอกไม้ที่ช่วยผ่อนคลายเหมือนกลิ่นกำยานรอบๆตัวเธอ
เอาจริงๆห้องนี้ก็ไม่ได้มืดนัก ออกจะสลัวๆเพราะแสงเทียนที่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ ร่างอ่อนช้อยของคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ กำลังจรดปากกาขนนกลงบนม้วนกระดาษมากมาย เธองดงามราวภาพวาด
เอมิกาลุกขึ้นนั่งบนเตียง พยามมองรำรวจไปทั่วห้อง การเคลื่อนไหวเพียงนิดหน่อยไม่รอดพ้นจากสัมผัสของอีกคนที่อยู่ในห้อง
“ตื่นแล้วรึ” จอมมารกล่าว ในขณะที่เอมิกาสดุ้งสุดตัว
“ที่นี่ที่ไหน” เธอสับสนมึนงงใหนจะเรื่องฝันบ้าๆนั้นอีก
“ปราสาทสีดำแห่งมหานรกอันมืดมิด” จอมมารตอเสียงเรียบ สายตายังไม่ละจากกองกระดาษตรงหน้า คำตอบของจอมมารไม่ช่วยอะไรเอมิกาเลยสักนิด เธอจึงถามต่อ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ชิ้นส่วนของประตูหมายถึงอะไร”
“...” สิ่งตอบกลับมาคือความเงียบ เธอถามจอมมารอีกสองสามคำถาม แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา เธอจึงหยุดถาม ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
นี่มันความซวยแบบไหนของเธอกัน เอมิกาคิดว่าจะไม่มีอะไรเศร้ากว่าการที่โอมต้องจากเธอไปอเมริกา แต่แล้วก็เกิดอุบัติเหตุกับเขาหลังจากมาส่งเธอที่บ้าน แล้วก็มีชายบ้าๆพาเธอมาที่ไหนก็ไม่รู้
น้ำตาเม็ดใสหยดเผาะลงบนเตียง เธอคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงโอม เธอเริ่มสะอื้น หมดมาดหญิงแก่นแก้ว
เป็นครั้งแรกที่มือของจอมมารหยุด สายตาคมเหลือบมองเอมิกา
“น้ำตาไม่ช่วยแก้ไขอะไรหรอกนะ” จอมมารวางปากกา และหันตัวเข้าหาเอมิกา กล่าวเสียงนุ่มนวล “มานี่สิ เด็กน้อยผู้ซื่อสัตย์ของข้า”
เอมิกาทำตามคำสั่งของจอมมาร คลานลงจากเตียงแหวกผ่านผ้าคลุมหลายชั้น เธอซุกเข้าไปในอ้อมแขนของจอมมาร เธอไม่รู้สึกต่อต้านจอมมารเลยซักนิด
“เศร้าไปใย เอมิกาไม่ใช่ตัวตนจริงๆของเจ้าเสียหน่อย” มือจอมมารลูบปลอบแผ่วเบา “ตัวตนของเจ้าคือข้ารับใช้แสนซื่อสัตย์ ของจอมมารผู้ชั่วช้าต่างหาก”
อ้อมกอดจอมมารให้ความรู้สึกเหมือนพี่สาวใจดี แต่เอมไม่มีพี่สาว เธอเป็นลูกคนเดียว กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวจอมมารทำให้เธอผ่อนคลายลงมากจนง่วนหลับไปทั้งอย่างนั้น
สายตาจอมมารที่มีเอมิกาอยู่ในอ้อมกอด จ้องมองไปยังเปลวเทียนอย่างว่างปล่าว นัยน์ตานั้นปราศจากแสงสว่าง
“อีกไม่นานหรอกนะ เอโรเม่”
สวัสดีกูโม่งมือใหม่ มาหัดสกิลการเขียนกากๆ
แสงอาทิตย์ส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามาปลุกให้เจ้าหญิงในห่อผ้าตื่นขึ้น ทีราเลนเซียกระพริบตาถี่ๆ ก่อนที่จะก้มลงสำรวจร่างกายของตนเองว่าไม่มีส่วนไหนบุบสลาย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างยังอยู่ดีอย่างที่ควรจะเป็น เธอก็ค่อยหันหน้าไปสำรวจชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่ข้างกาย
เจ้าหญิงอดอมยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าพระสวามีจำเป็นของเธอกำลังนอนอ้าปากอยู่ เห็นดังนั้นทีราเลนเซียก็นึกสนุก แกะตัวเองออกจากผ้าห่ม ถอนผมสีทองยาวสลวยของตนออกมาเส้นหนึ่งหมายใช้แหย่ลงไปในลำคอของอีกฝ่าย
แต่ก่อนที่โฉมงามจะได้กระทำดั่งใจหมาย คนที่นอนอ้าปากค้างอยู่ก็พลันลืมตาตื่นขึ้น เห็นเป็นภาพของเจ้าหญิงที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกาย ร่างท่อนบนชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ โอมหัวเราะเบาๆ กล่าวยั่วไปว่า "ยอดรักคิดจะมาขโมยจูบข้าหรือ"
"เจ้าจะบ้ารึไง" ทีราเลนเซียร้องแหวออกมาทันที "คนอะไร... จิตใจสกปรกนัก"
โอมหัวเราะ ก่อนที่จะขมวดคิ้วกลืนน้ำลาย บ่นพึมพำว่าระคายคอ ได้ยินดังนั้นเจ้าหญิงคนงามก็เหยียดยิ้ม เอ่ยปากตอบโต้ไปว่า "นั่นเป็นเพราะเจ้านอนอ้าปากอย่างไรเล่า ฮึ ข้าอุตส่าห์หวังดีจะช่วยปิดปากให้ กลับต้องมาถูกคนชั่วช้าอย่างเจ้าตีความไปในทางสกปรก"
ชายหนุ่มหัวเราะหึเบาๆ โดยไม่โต้เถียงต่อ ก่อนที่จะร้องตะโกนขึ้นว่า "มีใครอยู่ที่ข้างนอกรึเปล่า เข้ามานี่หน่อย"
เจ้าหญิงร้องว่าตนเองแต่งตัวไม่เรียบร้อย แต่โอมหาได้สนใจไม่ ในอีกครึ่งอึดใจถัดมาทหารองครักษ์นายหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น กล่าวอย่างสุภาพว่า "เจ้าชายมีอันใดให้กระหม่อมรับใช้ขอรับ"
"ช่วยไปบอกให้คนยกอาหารเช้าขึ้นมาหน่อยสิ ข้ากับเจ้าหญิงจะรับประทานที่นี่" โอมสั่ง "บอกให้ยกมาเร็วๆ ด้วยนะ เจ้าหญิงหิวแล้ว"
ทีราเลนเซียเบิกตากว้าง หากเธอไม่ได้ถูกอบรมมาอย่างเข้มงวดล่ะก็คงได้ร้องโวยวายขัดคำออกมาแล้ว ด้านทหารองครักษ์ผู้นั้นเมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่คิดที่จะถามซักไซ้ให้มากความ ได้แต่รับคำแล้วหันหลังออกไปกระทำการ
ไม่นานอาหารคาวหวานก็ถูกยกมาจัดวาง โอมไล่บ่าวรับใช้ออกไปจากห้องจนหมดเหลือเพียงแต่คู่รักเฉพาะกิจ เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว เจ้าหญิงก็เอ่ยถามขึ้นว่า "วันนี้มาแปลก ทำไมถึงไม่ลงไปกินมื้อเช้าที่ด้านล่างล่ะ"
โอมยิ้มน้อยๆ ออกมา "เพราะข้ามีบางอย่างจะแสดงให้ยอดรักได้รับชมน่ะสิ"
พอพูดจบ ชายหนุ่มก็ผิวปากเป็นจังหวะครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเอง นกสีฟ้าตัวน้อยนับสิบตัวก็โผบินผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เมื่อโอมผิวปากอีกครั้งพร้อมยื่นแขนออกมา ฝูงนกก็บินลงมาเกาะที่แขนของเขาราวกับใช้เวทมนตร์
ทีราเลนเซียเห็นดังนั้นก็ตื่นเต้นไม่ใช่น้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าทะเล้นของชายหนุ่มตรงหน้าโฉมงามก็ต้องเปลี่ยนมาทำหน้าบึ้ง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจนักว่า "เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร"
โอมหัวเราะ ผิวปากอีกครั้ง คราวนี้ฝูงนกพากันกางปีกบินวนรอบศีรษะของเจ้าหญิงราวกับเป็นวงแหวนเทพวงหนึ่ง "ก็ข้าเป็นผู้กล้านี่นา เรื่องแค่นี้น่ะของหมู่ๆ"
"ป๊ะป๋า"
"นี่... ป๊ะป๋า"
"ป๊ะ... ป๋าาา"
ชายหนุ่มสะดุ้งออกจากภวังค์คิด เขาลืมตาขึ้น เห็นเป็นหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มกำลังลืมตากลมกว้างนอนทับอยู่บนแผงอกของเขา หากเป็นผู้อื่น แค่เพียงได้สัมผัสแนบชิดกับร่างกายนุ่มลื่นบอบบางของเจ้าหล่อนก็คงทำให้กำลังขวัญกระเจิงหายไปแล้ว
แต่ไม่ใช่สำหรับคนผู้นี้ การที่ร่างเปลือยเปล่ากำลังบดทับกันอยู่นั้นไม่ได้ทำให้ส่วนล่างของชายหนุ่มเกิดปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาแม้แต่เพียงน้อย เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ ตอบกลับไปพร้อมพูดว่า "มีอะไรเหรอ ตัวเล็ก"
คนตัวเล็กยิ้ม ดวงตาของเธอหยีเล็กลง แต่ก็ปรากฏลักยิ้มน่ารักขึ้นที่มุมปากทั้งสองข้าง "ป๊ะป๋าคิดอะไรอยู่เหรอ หนูเรียกตั้งนานกว่าจะตอบ"
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะของหญิงสาว "ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย" เขาตอบ "คิดว่าเธอหลับไปแล้ว"
หญิงสาวยอมให้อีกฝ่ายลูบศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแนบแก้มลงที่ตำแหน่งหัวใจของเขา "หัวใจป๊ะป๋าก็เต้นปกตินะ" เธอพูด "ที่ทำงานมีอะไรเครียดรึเปล่า"
ชายหนุ่มตอบกลับว่าไม่ใช่เรื่องงาน เสริมย้ำว่าหญิงสาวควรรีบเข้านอนได้แล้ว แต่คนตัวเล็กไม่คิดฟังในสิ่งที่พูด เธอเพียงแต่ใช้ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ ขยับร่าง มุดกายลงไปใต้ผ้าห่ม
เป็นชายหนุ่มที่คว้าจับหัวไหล่ของฝ่ายนั้นเอาไว้ ออกกำลังแขนเล็กน้อยเพื่อดึงร่างของเจ้าหล่อนให้กลับขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงสายตาของเขาตามเดิม ดุว่า "ทำอะไร ก็บอกว่าไม่ได้เครียดจริงๆ"
"ไม่เชื่ออะ" หญิงสาวตอบ ใช้สายตาคาดคั้นจ้องมองคนตรงหน้า "หนูสงสัยอะ ป๊ะป๋า บอกหนูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น"
ชายหนุ่มยังไม่ยอมปริปาก เห็นดังนั้นหญิงสาวก็ส่งเสียงอดอ้อนอีก ทนอยู่ได้ไม่กี่อึดใจ คนตัวใหญ่กว่าก็ต้องสั่นศีรษะ ตัดใจพูดออกมาว่า "เมื่อตอนบ่ายฉันไปหาเจ้าหญิงน้อยมา เขาบอกว่า... เขาบอกว่าเขาชอบให้ฉันกอด มากกว่าตอนที่มีเซ็กส์กัน"
พอได้ยินชื่อ 'เจ้าหญิงน้อย' หญิงสาวก็ต้องเผยสีหน้าบึ้งตึง แต่เมื่อฟังความจนจบ เธอก็หลุดหัวเราะออกมา ใช้มือทั้งสองข้างพยายามโอบไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมพูด "หนูก็ชอบให้ป๊ะป๋ากอดมากกว่านะ"
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว "พูดจริงเหรอ" เขาพูดพร้อมส่ายศีรษะน้อยๆ "ไม่คิดเลยว่าเซ็กส์ฉันจะห่วยขนาดนั้น"
หญิงสาวหัวเราะ จุมพิตเบาๆ เข้าที่ริมฝีปากของชายหนุ่มครั้งหนึ่งก่อนพูดว่า "ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย"
ชายหนุ่มเลิกคิ้วอีก ถามกลับว่าหมายความว่าอย่างไร แต่หญิงสาวทำเป็นบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ ร้องว่าต้องให้อีกฝ่ายจุมพิตตอบก่อน ได้ยินดังนั้นคนตัวใหญ่ก็แยกเขี้ยว ยกมือขึ้นบีบจมูกของคนตัวเล็กจนฝ่ายนั้นร้องโอย สะบัดมือไม้ปัดป้อง เปลี่ยนจากท่านอนกลายเป็นนั่งคร่อมอยู่บนแผงหน้าท้องของเขาแทน
หญิงสาวร้องว่าเจ็บ ในขณะที่ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มกว้างถามไปว่า "จะตอบได้รึยัง"
คนตัวเล็กมองค้อน "ไม่ตอบหรอก ปล่อยให้ป๊ะป๋างงไปน่ะดีแล้ว" ไม่พูดเปล่า เธอยังพลิกตัวลงไปบนฟูก นอนหันหลังให้แถมยังดึงเอาผ้าห่มที่ชายหนุ่มใช้คลุมร่างเปลือยไว้ไปครองแต่เพียงผู้เดียว "หนูนอนแล้วดีกว่า"
ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ใช้หลังมือสะบัดตีบั้นท้ายของหญิงสาวเบาๆ "อย่าทำเป็นงอนไปหน่อยเลย ฉันรู้ว่าเธอนอนไม่หลับหรอก"
หญิงสาวยังไม่ยอมขยับตัว เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงขยับกลับลงไปนอนตะแคงข้างโอบกอด ใช้แผงอกของเขาแนบชิดกับแผ่นหลังของเจ้าหล่อนโดยมีเพียงผ้าห่มที่คั่นร่างทั้งสองเอาไว้ "กอดแบบนี้น่ะเหรอ ที่ชอบน่ะ"
ในที่สุดคนตัวเล็กก็หัวเราะคิกออกมา เจ้าหล่อนพลิกร่างกลับมาประจันหน้ากับชายหนุ่มพร้อมพูดว่า "แบบนี้ล่ะที่ชอบ"
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงสั่งให้พูดต่อ เห็นดังนั้นหญิงสาวจึงเอ่ยต่อไปว่า "ก็ไม่ใช่ว่าเซ็กส์ของป๊ะป๋าจะห่วยหรอกนะ แต่เซ็กส์น่ะแค่เสร็จก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คือปฏิสัมพันธ์แบบนี้ต่างหาก"
ชายหนุ่มยิ้มออกมา ถามว่า "ฉันก็กอดเธอหลังจากมีเซ็กส์ทุกครั้งไม่ใช่เหรอ หรือว่าเธอเคยไม่เสร็จด้วย"
หญิงสาวหัวเราะ กอดตอบอีกฝ่ายบ้าง "ก็หนูถึงได้บอกว่าชอบกอดมากกว่าไง" เธอพูด ซุกใบหน้าลงกับแผงอกแกร่ง "เซ็กส์น่ะแค่สัปดาห์ละครั้งสองครั้งก็ได้ แต่หนูอยากจะให้ป๊ะป๋ากอดนอนทุกคืนนะ"
ชายหนุ่มสั่นศีรษะ หัวเราะเบาๆ อีกครั้งหนึ่งขณะขยับแขนให้อ้อมกอดนั้นกระชับขึ้น "ถ้าอย่างนั้นก็อย่านอนดิ้นให้มันมากก็แล้วกัน"
หญิงสาวยิ้ม แนบแก้มลงไปบนแผงอกของชายหนุ่มราวกับต้องการให้ใบหน้าชำแรกเข้าไปในนั้น "หนูรักป๊ะป๋านะคะ"
หลับตาลงเถอะคนดี...ปล่อยให้คืนนี้ผ่านพ้นไป
เมื่อเธอตื่นมาพบกับเช้าวันใหม่...ขอให้วันนั้นเป็นวันที่สวยงาม...
เสียงหวูดร้องดังลั่นพร้อมกับร่างเล็กในอ้อมกอดของฉันที่กระตุกตาม เธอตื่นเสียแล้วน้องสาวตัวน้อยของฉัน เธอใช้เวลาเพียงไม่นานในการฟื้นคืนจากโลกนิทรา ดวงตาสีม่วงเข้มสมชื่อไลแลคจ้องมองฉันด้วยความงุนงง ริมฝีปากบางขยับขึ้นคล้ายจะเอ่ยถาม แต่ฉันใช้ปลายนิ้วชี้แตะมันอย่างแผ่วเบา ส่งสัญญาณให้เธอรู้ว่าเธอควรจะเงียบเสียงเอาไว้ มือเล็กจับลงบนข้อศอกของฉัน เธอคงต้องการที่พักพิง..ซึ่งตอนนี้ไม่เหลือใครแล้วนอกจากฉันเพียงคนเดียว
ฉันยกมือขึ้นแตะใบหน้ากลมอย่างแผ่วเบา ฝุ่นควันจับเป็นคราบเปื้อนเปรอะไปทั่วแก้มใส ไม่ต่างอะไรกับฉันเลยสักนิด แต่สิ่งที่เด็กหญิงตัวเล็กมีมากไปกว่าฉันคือความสดใสของวัยเยาว์ สำหรับฉันมันจางหายไปนานเหลือเกิน นานนับตั้งแต่วันที่เขาแยกพ่อและแม่ของเราออกไป
สองปีก่อนฉันยังมีความสุขภายใต้บ้านหลังเล็กกับพ่อผู้ขยันขันแข็ง แม่ผู้แสนดีและน้องสาวตัวเล็กผู้มีรอยยิ้มสดใสเกินใคร หากแต่ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วเกินคาด...พวกเขาก้าวเข้ามาในบ้านและประกาศว่าเด็กทั้งหญิงชายที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีจากครอบครัวที่ยากจนจำเป็นต้องเข้าไปอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ ฉันในวัยสิบสี่ปีและน้องสาวในวัยแปดปีถูกส่งเข้าเมืองหลวงก่อนได้บอกลาพ่อและแม่ด้วยซ้ำ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ฉันเฝ้าแต่บอกเธอว่าสักวันเราจะได้กลับไปหาพ่อแม่
แต่ฉันรู้ดี เราไม่มีวันได้กลับหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนั้นอีกแล้ว
ในตอนแรกฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจับเด็กอย่างฉันมารวมกันเพื่อประโยชน์อันใด เราถูกส่งไปยังโรงเรือนขนาดใหญ่ที่เป็นทั้งที่พักและโรงเรียน เขาเรียกสถานที่นี้ว่าผลึกเพชรตามชื่อโครงการ ในตอนเช้าเราต่างถูกฝึกและร่ำเรียนในหน่วยงานตามความถนัด ตกดึกจึงได้กลับไปยังห้องพัก ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่นั่นเป็นโชคอันดีแล้วที่ฉันกับน้องสาวยังอยู่ด้วยกันได้ในตอนกลางคืน เด็กชายคนหนึ่งบอกกับฉันว่าเขาถูกแยกกับพี่ชายและไม่เคยได้พบเจอกันอีกเลย
ที่โรงเรียนเขาบอกกับฉันว่าจำนวนเด็กในเมืองหลวงกำลังลดลงอย่างมหาศาล ทำให้รัฐบาลต้องเร่งสร้างแรงงานโดยการคัดเลือกเด็กจากพื้นที่ต่าง ๆ มาอบรมเพื่อกลายเป็นเด็กที่มีคุณภาพ พวกเขาเรียกโครงการนี้ว่าโครงการเจียระไนเพชร และเรียกพวกเราที่ยังไม่กลายเป็นเพชรเต็มตัวว่าสมาชิก
ไม่ใช่สมาชิกทุกคนที่สามารถกลายเป็นเพชรน้ำงามได้สมใจโครงการ ในกระบวนการคัดเลือกหน่วยงานเด็กหลายคนกลายเป็นเถ้าถ่าน เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนภาพเป็นเพชรได้...
"ไอริส...พี่ว่าพวกเขาจะตายไหม" เด็กหญิงกระซิบถามฉันอย่างแผ่วเบาจนแทบจับใจความไม่ได้ เธอรู้ตัวดีว่าหากเพิ่มเสียงดังอีกสักนิดอาจทำให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติพร้อมกับกระบอกปืนในมือหันกลับมาสนใจและเราสองคนพี่น้องคงกลายเป็นเป้าหมายต่อไปของกระสุนปืน อาจเป็นโชคอันดีของเราก็ได้...ท่ามกลางเด็กที่ถูกกวาดต้อนมารวมกันในห้องโถง เจ้าหน้าที่คนใกล้ที่สุดเลือกจะสนใจเด็กหนุ่มผิวคล้ำที่ห่างออกไปมากกว่า
"พี่ไม่รู้...พี่หวังว่าพวกเขาจะปลอดภัย นอนต่อเถอะนะคนดี" ฉันลูบเส้นผมเนียนละเอียดของน้องสาว พยายามกล่อมให้เธอนอนหลับไปจนกว่าค่ำคืนนี้จะผ่านพ้นไป ฉันรู้ดีว่ามันยากเย็นขนาดไหนกับการข่มตานอนในคืนเช่นนี้...คืนที่เสียงดังสนั่นหวั่นไหวของปืนยังดังอยู่ภายนอก
กลุ่มคนรุ่นราวคราวเดียวกับฉันจากหน่วยงานสร้างสันติซึ่งรวบรวมเด็กชายหญิงผู้มีหัวด้านการต่อสู้พร้อมใจกันหนีออกจากผลึกเพชร พวกเขามีอาวุธอยู่ในมือ แม้ไม่ใช่ปืนอย่างที่ผู้พิทักษ์สันติใช้กัน แต่ดาบ ธนู มีดสั้นก็ทรงอานุภาพพอสำหรับการเข่นฆ่าชีวิตใครสักคนหนึ่ง...โดยเฉพาะด้วยฝีมือของพวกเราที่ฝึกมาเพื่อการนั้นโดยเฉพาะ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกชักชวนให้หนีไปในคืนนี้ หากฉันตัวคนเดียวเหมือนกับคนอื่น ๆ ฉันคงมีความกล้าพอที่จะเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขาแล้วหนีออกไป แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้...ฉันจะหนีรอดไปตัวคนเดียวโดยทิ้งน้องสาวไว้ในผลึกเพชรได้อย่างไร...ยิ่งตอนนี้เรามีกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น การพาไลแลคหนีไปด้วยยิ่งเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปใหญ่ น้องสาวไม่ได้อยู่ในหน่วยงานสร้างสันติอย่างฉัน เธอเป็นเพียงเด็กหญิงที่ยังไม่เข้าเกณฑ์เลือกหน่วยงานใดทั้งสิ้น จวบจนกว่าเธอจะอายุครบสิบสองปีและเข้ารับการคัดเลือกในอีกหลายปีข้างหน้า
ไลแลคซุกใบหน้าเล็กลงบนอกของฉัน ฉันขยับวงแขนกระชับรอบร่างกายของน้องสาวมากกว่าเดิม คืนนี้เป็นคืนที่เหน็บหนาว...ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอกและหิมะที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ฉันไม่เคยนึกชอบฤดูหนาวเลยสักนิด มันทำให้ฉันหวนคิดถึงกองไฟที่พ่อก่อขึ้นบนเตาผิง แม่และฉันกำลังยกกาใส่น้ำนมแพะที่เรารีดเองเข้ามาวาง น้องสาวตัวเล็กของฉันนั่งร้องเพลงที่พ่อเคยสอนให้ด้วยน้ำเสียงเล็กใสของเธอ
ที่ผลึกเพชรไม่มีเตาผิง...ไม่มีกองไฟ...ไม่มีน้ำนมแพะ...ไม่มีพ่อและแม่...ไม่มีอะไรทั้งนั้น...
พวกเราได้รับความอบอุ่นจากเครื่องทำความร้อน ได้รับอาหารตามการจัดสรรจากนักโภชนาการและฝ่ายผลิตอาหาร...แต่มันไม่เพียงพอหรอกสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉันและน้องสาว หลายคืนเรากอดกันแน่นเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นที่ผลึกเพชรไม่มีวันมอบให้ หลายครั้งที่เราต้องใช้แขนเสื้อสีตุ่น ๆ เช็ดน้ำตาให้กัน ไลแลคคิดถึงบ้าน...เธอคิดถึงพ่อแม่ที่เธอเองก็แทบจำใบหน้าพวกเขาไม่ได้...
ที่ผลึกเพชรไม่มีเตาผิง...ไม่มีกองไฟ...ไม่มีน้ำนมแพะ...ไม่มีพ่อและแม่...ไม่มีอะไรทั้งนั้น...
พวกเราได้รับความอบอุ่นจากเครื่องทำความร้อน ได้รับอาหารตามการจัดสรรจากนักโภชนาการและฝ่ายผลิตอาหาร...แต่มันไม่เพียงพอหรอกสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉันและน้องสาว หลายคืนเรากอดกันแน่นเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นที่ผลึกเพชรไม่มีวันมอบให้ หลายครั้งที่เราต้องใช้แขนเสื้อสีตุ่น ๆ เช็ดน้ำตาให้กัน ไลแลคคิดถึงบ้าน...เธอคิดถึงพ่อแม่ที่เธอเองก็แทบจำใบหน้าพวกเขาไม่ได้
เสียงปืนหยุดลงเมื่อตอนฟ้าสาง ฉันหลับไม่ลงเลยสักนิด ใช้เวลาทั้งคืนในการกอดน้องสาวเอาไว้และภาวนาให้เธอหลับอย่างเป็นสุข ตอนนี้ทุกอย่างคงจบลงแล้ว ฉันไม่อยากคาดเดาว่าพวกเขาหนีการไล่ล่าไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่พวกเขาทำกับโครงการฯมันเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าจะคาดคิด เจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติพูดกันว่าทางรัฐบาลต้องลงมือจัดการอะไรบางอย่าง
"ขณะนี้เหตุการณ์สงบลงแล้ว เราสามารถกำจัดผู้ก่อความวุ่นวายและผู้หลบหนีได้ทั้งหมด ขอให้สมาชิกทุกคนมารวมตัวกันที่ลานอเนกประสงค์" ทีอาน่า สมิธ หัวหน้าผู้ดูแลผลึกเพชรประกาศผ่านทางลำโพงที่ติดอยู่โดยรอบ ฉันรู้ว่าเป็นเธอแม้ไม่ต้องเห็นหน้า เสียงของสมิธแหบแห้งและแข็งกระด้างเป็นเอกลักษณ์เหมือนกับดวงตาทั้งคู่
ฉันไม่ชอบสมิธและคิดว่าสมิธเองก็ไม่ชอบฉัน ที่ถูกต้องคือสมิธไม่เคยชอบใครเลยมากกว่า เธอไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง ฉันไม่เคยเห็นเธอยิ้มมาก่อน เรื่องเล็กน้อยสามารถทำให้เธอบูดบึ้งได้ตลอดเวลาและเรื่องใหญ่จะทำให้เธอรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ตัวอย่างเช่นเมื่อผลการทดสอบประสิทธิภาพของหน่วยสร้างสันติไม่เป็นที่พอใจสำหรับรัฐบาล สมิธในใบหน้าโกรธเกรี้ยวบึ้งตึงจะสั่งให้พวกเรายืนเรียงแถวยาวในลานอเนกประสงค์ เธอใช้สันปืนพกฟาดลงบนแก้มของสมาชิกที่คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์...ฉันเองก็เคยโดนครั้งหนึ่ง ในช่วงปีแรกที่เข้ามาอยู่ในผลึกเพชร เธอบอกกับพวกเราว่าความกดดันจะทำให้แท่งถ่านกลายเป็นเพชรได้
ขบวนแถวถูกจัดตามหน่วยงานและอายุ ไลแลคถูกแยกไปอยู่กับกลุ่มเด็กที่ยังไม่ผ่านการคัดเลือก ส่วนฉันยืนอยู่ในแถวของหน่วยสร้างสันติ แถวของเราสั้นจนน่าใจหาย สมาชิกที่ผ่านการฝึกอย่างเข้มข้นจนเกือบจะกลายเป็นเพชรเหลืออยู่เพียงไม่ถึงสิบคน...และฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเราที่เหลืออยู่ตรงนี้ต่างเลือกที่จะไม่หนี บางคนมีน้องสาวหรือน้องชายในผลึกเพชร บางคนเลือกภักดีกับรัฐบาลเพื่อแลกอาหารและที่นอนมากกว่าการเผชิญโลกภายนอกที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรในตอนนี้
สมิธออกคำสั่งให้พวกเราขึ้นไปบนเวทีด้านหน้าของลานอเนกประสงค์ พร้อมกับการย้ายร่างไร้วิญญาณของอดีตสมาชิกหน่วยสร้างสันติมายังพื้นที่ว่างหน้าเวที ร่างที่เรียงรายอยู่ข้างล่างคือเพื่อนของฉัน...พวกเขาใช้ผ้าใบสีขาวในการห่อศพเหล่านั้นเอาไว้ เหลือเพียงใบหน้าที่โผล่พ้นออกมา ฉันพยายามอย่างมากที่จะกลั้นน้ำตา แต่ชาลิสที่ยืนอยู่ข้างฉันไม่เก่งขนาดนั้น เธอสะอื้นไห้พร้อมน้ำตาที่ไหลนองอาบแก้ม
ฉันที่ยังพอมีสติดีในตอนนี้รับหน้าที่ขานชื่อร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นเพื่อสำรวจว่ามีใครบ้างที่ยังรอดชีวิตอยู่ในผลึกเพชร ฉันรู้จักพวกเขาทุกคน ร่างกายสูงใหญ่ของซีซาร์เด่นสะดุดตาเกินใคร เหมือนกับเส้นผมหยักศกสีแดงเพลิงของจิงเจอร์ ใบหน้ากลมแป้นพร้อมรอยยิ้มกว้างของซู ผิวขาวซีดราวกระดาษของธีโอ แม้กระทั่งหัวหน้าหน่วยสร้างสันติอย่างคริสก็ยังนอนหมดลมหายใจอยู่ตรงนั้น
พวกเขาไม่เก็บใครเอาไว้สักคน...คนไหนที่ถูกจับกุมได้กลายเป็นศพนอนอยู่เบื้องหน้าของฉัน ชื่อที่คุ้นเคยลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ เหลืออีกเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นสำหรับอดีตเพื่อนร่วมหน่วยงาน ฉันกวาดตามองหาร่างของใครบางคนท่ามกลางร่างภายใต้ผ้าใบสีขาว...แต่ไม่มี...ไม่มีเขาในบรรดาศพเหล่านั้น
ไม่มีไทเลอร์...เขาหายไปไหน? หรือเขาหนีไปได้?
"มีอะไรหรือคุณอีแวนส์" สมิธเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก สายตาของเธอเพ่งมองลงมาคล้ายจะอ่านสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ ฉันสูดลมหายใจลึกก่อนบังคับน้ำเสียงสั่นเครือให้ตอบกลับไปโดยไม่ฉายแววพิรุธ
"ไม่มีอะไรค่ะคุณสมิธ ฉันเพียงจำนามสกุลของเขาไม่ได้เท่านั้น"
"เช่นนั้นคิดเสียว่าเขานามสกุลอะไร อย่าให้เราต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้" ฉันก้มหน้ารับคำสั่งของเธอ สมองพยายามประมวลผลอยากรวดเร็วก่อนตัดสินใจกล่าวชื่อหนึ่งออกไป
"ผู้ชายผมสีดำตรงนั้นคือไทเลอร์ รีดจ์ค่ะ..."
ไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาไม่ใช่ไทเลอร์ รีดจ์อย่างที่ฉันกล่าวอ้าง เด็กหนุ่มผมสีดำคนนั้นคือจอร์จ ดาวิส รูปร่างของเขาคล้ายคลึงกับไทเลอร์มากพอที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่าศพใบหน้ายับเยินคือเขา ความหวังลึก ๆ ก่อเกิดขึ้นในใจของฉัน ไทเลอร์เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน ตอนนี้เขาหนีไปแล้ว...หนีรอดไปจากผลึกเพชรแห่งนี้และจะไม่มีใครตามล่าเขาอีกต่อไป
พวกเขาจะตามหาตัวจอร์จ ดาวิสไม่ใช่ไทเลอร์ รีดจ์
ชื่อสุดท้ายหลุดออกจากริมฝีปากของฉัน มีสมาชิกหน่วยอีกสามคนที่สามารถหนีรอดไปได้ ตอนนี้หมดหน้าที่ของสมาชิกหน่วยสร้างสันติที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่สมิธยังคงให้เรายืนอยู่บนเวที ศพของผู้เสียชีวิตยังคงปล่อยวางไว้เช่นนั้น ฉันเหลือบมองเพื่อนในแถว...ทุกคนต่างร้องไห้และสติหลุดลอย การทำใจมองภาพเบื้องหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด การจากไปของเพื่อนสร้างความโศกเศร้าให้กับฉันคล้ายคนอื่น ๆ เพียงแต่ฉันยังเห็นแสงความหวังซึ่งมีชื่อว่าไทเลอร์
"เราทุกคนคงเห็น...การสูญเสียสมาชิกชั้นดีในวันนี้" สมิธก้าวขึ้นยืนบนแท่นโพเดียมกลางเวที เสียงแข็งกร้าวของเธอไม่ได้สอดแทรกซึ่งความอาลัยอาวรณ์เลยสักนิด
"เจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติต่างบาดเจ็บและล้มตายเพื่อปกป้องพวกเราเอาไว้ การก่อจลาจลและการพยายามหลบหนีของหน่วยสร้างสันติในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องน่าผิดหวังอย่างยิ่ง รัฐบาลต่างฟูมฟักสมาชิกทุกคนอย่างดีเพื่ออนาคตในวันข้างหน้าของประเทศชาติ...การกระทำของหน่วยสร้างสันติในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ ทุกคนในหน่วยสร้างสันติที่ยังเหลือรอดล้วนมีความผิดโทษฐานสร้างความเดือดร้อนภายในผลึกเพชร"
มีเพียงความสงบนิ่งเท่านั้นที่รายล้อมอยู่รอบข้าง แม้กระทั่งเสียงสะอื้นของชาลิสยังเงียบไป ถ้อยคำของสมิธไม่จำเป็นต้องตีความหมายใด ๆ เธอกำลังจะสั่งลงโทษพวกเราที่ยังยืนหายใจอยู่ตรงนี้
"เพื่อเป็นการสั่งสอนและย้ำเตือนไม่ให้เกิดความคิดต่อต้านขึ้นมาอีก เบื้องบนมีคำสั่งให้ถอนรากถอนโคน ประหารชีวิตผู้กระทำความผิดทุกคน!"
สิ้นเสียงกร้าวของสมิธ ฉันถูกเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติเตะจากด้านหลังจนล้มหมอบลงกับพื้นเวที แรงเตะไม่ทำให้ฉันเจ็บปวดเท่าไรนัก ที่เป็นห่วงตอนนี้คือไลแลคมากกว่า...
"ทำไมละคะ ก็คุณบอกว่าถ้าฉันบอกแผนการครั้งนี้กับคุณ ทั้งหมดคุณจะส่งฉันไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ในเมืองหลวงไม่ใช่หรือคะ" เสียงกรีดร้องขอชีวิตดังขึ้นจากชาลิส เธอประจานความเห็นแก่ตัวของเธอเอง ขายชีวิตเพื่อนกว่าสามสิบคน...เพียงเพื่อความสุขสบายของตนเอง แต่ชาลิสไม่มีเวลาร่ำไห้นานมากนัก กระสุนปืนเจาะทะลุสมอง มันพรากเสียงร้องของเธอไปตลอดกาล
เสียงปืนดังถี่ขึ้นกว่าเดิม เด็กชายหญิงวัยสิบสามปีที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยก็ถูกกำจัดทิ้งตามระบบ สมิธเก็บฉันไว้เป็นคนท้าย ๆ ตอบแทนที่ฉันช่วยขานชื่อศพพวกนั้นให้เธอ ท่ามกลางโลกที่พร่าไปด้วยน้ำตาของฉัน ฉันยังเห็นน้องสาวพยายามฝ่าเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติเข้ามาหาฉัน ด้วยขนาดตัวที่เล็กว่าเด็กวัยเดียวกันของไลแลค ทำให้เธอเข้ามาใกล้จนเกือบจะถึงหน้าเวทีอยู่แล้ว เส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง สองมือเล็กตะเกียกตะกายไขว่คว้า ริมฝีปากตะโกนเรียกชื่อฉันไม่หยุด
"ไอริส! ไอริส!! ไม่นะไอริส!!"
ฉันยื่นมือไปหาน้องสาวอีกนิดเดียวจะถึงเธออยู่แล้ว...แต่เสียงปืนกลับดังขึ้นเสียก่อน
ท่ามหิมะสีขาวโปรยปรายลงมา ฉันเห็นเลือดของตัวเองสาดกระจายไปทั่ว ดวงตาสีม่วงของน้องสาวเบิกกว้าง เธอกรีดร้องเรียกชื่อฉันซ้ำ ๆ เจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติคนหนึ่งยิงฉันที่หลัง มันไม่มากพอจะทำให้ฉันตายได้ในกระสุนนัดเดียวแต่ความเจ็บปวดนั้นช่างมากมายเหลือเกิน
ไลแลค...ไลแลคของฉัน
ฉันหวนนึกถึงบทเพลงที่แม่ร้องให้ฟังในวัยเด็ก พยายามเปิดปากเค้นเสียงร้องเพลงปลอบน้องสาวผู้มีน้ำตาอาบใบหน้า
หลับตาลงเถอะคนดี...ปล่อยให้คืนนี้ผ่านพ้นไป
เมื่อเธอตื่นมาพบกับเช้าวันใหม่...ขอให้วันนั้นเป็นวันที่สวยงาม...
กระสุนปืนยิงซ้ำขึ้นทันที
วายนะจ๊ะ แต่อ่านเอาฮาได้ เพราะกูก็เขียนเอาฮาในมือถืออ่ะ
คุณจะต้องไม่เชื่อเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าตอนนี้ แน่ล่ะ ผมเองยังไม่เชื่อ...
มาร์โก้ตายแล้ว ตายเมื่อกี้ ตายหลังจากที่เขาได้ เอ่อ... ปลดปล่อย อย่างรุนแรงเข้ามาในร่างของผม
ให้ตายเถอะ ผมแทบไม่อยากเชื่อ คนเราจะตายเพราะถึงจุดออกัสซั่มนี่นะ... นี่เท่ากับว่าผมเป็นฆาตกรฆ่าเขาหรือเปล่า
ผมเหลือบมองดวงตาสีเขียวที่เบิกกว้างของมาร์โก้ พระเจ้า ไอ้จ้อนของเขายังเสียบคาตัวผมด้วยซ้ำ ใครก็ได้ช่วยบอกทีเถอะว่าผมจะแงะศพหมอนี่ออกไปยังไงดีเนี่ย
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเสียดายหน้าตาหล่อเหลาของมาร์โก้ ถ้าเป็นคุณก็ต้องเสียดายเหมือนกับผมนี่แหละ เขาน่ะเป็นถึงนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลตัวท็อปเชียวนะ อนาคตไกลถึงขั้นมีมหาลัยมาต่อคิวจ่อใบสมัคร
แต่...เขาตายห่าไปแล้ว ลาก่อนมาร์โก้
ผมอาจจะเด็ดดวงจนมาร์โก้หัวใจวายตายคาอก แต่ไม่ได้โหดร้ายขนาดจะกำจัดศพเขา อย่างน้อยเซ็กส์เมื่อครู่ก็ทำให้ผมสำราญอยู่มาก...สัก 2-3 สัปดาห์คงได้
ต้องใช้เรี่ยวแรงพอตัวกว่าจะเอาศพที่มีผิวสีแทนและกล้ามท้องล่ำบึ้กออกไปจากร่างผมได้ ผมตบหน้าตัวเอง 3-4 ครั้ง ใบหน้าเฉยชาค่อยเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ดวงตาสั่นไหวและคลอด้วยหยาดน้ำตา เหมือนเสียงผมตอนนี้เป๊ะ
"มะ...ไม่นะ มาร์โก้ ไม่นะ" ผมร้องเรียกซ้ำๆ แต่มั่นใจว่าให้ตายยังไงมาร์โก้ก็ไม่กลับมา ต่อจะให้เอาดร.เฮ้าส์กี่คนมาช่วยปั๊มหัวใจ แต่คนตายห่าไปแล้วไม่มีวันฟื้นขึ้นได้หรอก
ผมคว้าโทรศัพท์ที่หัวเตียงแล้วกดหาตำรวจ กรอกเสียงที่ฟังดูแล้วร้อนรนที่สุดออกมา "ช่วยด้วยครับ แฟนผม..เขาตายแล้ว"
นั่นล่ะครับ เหตุการณ์ต่อจากนั้นคุณก็คงคิดได้ รถตำรวจ รถพยาบาลจอดเต็มหน้าบ้านผมไปหมด เขาหามมาร์โก้ออกไป ส่วนผมก็ทำตาแดงๆ แล้วก็ทำตัวอ่อนๆ เหมือนจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ...เชื่อเถอะว่าน่าสงสารสุดๆ
ก่อนที่ผมจะเป็นลมล้มตึงตรงบันไดหน้าบ้านด้วยความโศกเศร้าจากการตายของแฟนสุดที่รักที่คบกันมาได้ 2 เดือน ร่างของผมก็ถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือแกร่งของใครคนหนึ่งเสียก่อน
"คุณโอเคมั้ย?" น้ำเสียงทุ้มแต่แตกพร่าที่หางเสียงเอ่ยถามขึ้น ผมจับท่อนแขนล่ำไว้ก่อนจะค่อยๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้น
"ผม...ไม่เป็น..ไร" ผมเม้มปากช้าๆ เหมือนคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไรหนัก แต่ในสมองกลับร้อนรนไปหมด ความกระหายที่มาร์โก้เพิ่งเติมเต็มไปเมื่อกี้เหมือนจะกลับมาอีกครั้ง
"คุณคงตกใจมาก นั่งพักก่อนเถอะ" ชายหนุ่มในเครื่องแบบตำรวจประคองผมไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก ขณะที่ผมพยายามบังคับไม่ให้หัวใจเต้นสั่นสะรัวเกินไปจนผิดสังเกต
"ขอบคุณ---" พยางค์สุดท้ายแผ่วไปจนแทบไม่มีเสียงเมื่อผมเงยหน้าสบตากับดวงตาสีชาคู่นั้น เหมือนกับถูกหลุมดำขนาดยักษ์ดึงดูดเข้าไปภายใน....
เป็นเขา! ต้องเป็นเขาเท่านั้น!
ร่างกายของผมเรียกร้องเจียนคลั่ง มือทั้งสองข้างสั่นระริกอย่างคุมสติไม่ได้ อากัปกิริยาที่มากจนเกินไปทำให้ประสาทสัมผัสของผมลดน้อยลง นี่ผมกำลังจะเป็นลมไปจริงๆ....
ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายของใครหลายคน พยาบาลที่วิ่งเข้ามาและแสงริบหรี่ที่ผมเห็นไกลๆ ไม่มีอะไรเด่นชัดเท่าดวงตาสีชาจากชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงนั้น
ตั้งแต่อยู่มา 147 ปี มีคู่มาแล้ว 58 คน นับมาร์โก้เป็นคนที่ 59 ...ไม่เคยมีใครทำให้ผมเป็นไปได้ขนาดนี้
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น....ผม-ต้อง-ได้-เขา!
ฝากฟิคในโม่งได้ห้องไหนบ้างวะ
กูเขียนเจ้านี่ลงแอคหลุมกูไปตอนกำลังเครียด สกิลกูไม่ได้ดีมากนะ กูเลิกเขียนไปเข้าสายโรลมาสักพักแล้ว+เขียนตอนง่วงมากๆ
‘ พลาดอีกแล้ว ‘
เด็กหนุ่มคิด นิ้วค่อยๆไล้ผ่านข้อความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างช้าๆ ดวงตาไร้ประกายหลุบลงมองต่ำคล้ายกำลังนึกเสียใจในการกระทำของตนเอง
พูดความจริงออกไปแล้ว แต่กลับไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิดเดียว
‘ จบสิ้นแล้ว ทุกอย่าง ‘
มือทั้งสองขยับขึ้นมากุมกันเอาไว้แน่น ใบหน้าซบลงบนท่อนแขนของตัวเองอย่างอับจนหนทาง
ในความเป็นจริง มันยังไม่จบลง
แต่ในโลกของเขา ทุกสิ่งมันหยุดนิ่งไปแล้ว
‘ ตายไปให้หมดซะ ‘
มือเลื่อนลงมาจับที่ศีรษะ ใช้เล็บจิกลงไปจนเริ่มมีเลือดไหลซิบ ความรู้สึกในอกตีกันมั่ว ปั่นป่วนจนอยากจะกรีดร้องออกมา
‘ ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ‘
‘ ให้ทุกอย่างมันจบลงที่ตรงนี้ ‘
‘ อยากจะจบทุกอย่าง.. ‘
เขากัดฟันแน่น ขาที่สั่นระริกหยัดยืนขึ้นเพื่อพาร่างของตัวเองเดินไปที่เตียง ท่าทางดูไม่ต่างจากคนไร้สติ
มือคู่นั้นสอดเข้าไปใต้หมอน หยิบปืนกระบอกหนึ่งที่แอบขโมยมาจากคนรู้จักขึ้นถือไว้ ลมหายใจถี่ระรัวอย่างห้ามไม่อยู่
‘ ตายซะ ‘
ปลายประบอกจ่อเข้าที่ใต้คาง
‘ อย่างแกน่ะไม่มีใครต้องการ ‘
‘ หายไปซะ ‘
‘ ตายไปซะ ‘
‘ จบทุกอย่างลงตรงนี้ โลกจะได้เป็นอิสระจากแก ‘
ดวงตาอันแสนหม่นหมองคู่นั้นปิดลง ริมฝีปากที่แห้งผากเม้มแน่น นิ้วขยับวางบนไกปืน
‘ คนอย่างแก หายไปได้ซะก็ดี ‘
..เขากัดฟัน แล้วลั่นไกทั้งน้ำตาที่นองหน้า
กลีบดอกไม้สีแดงฉานปลิวฟุ้งไปทั่ว พวกมันร่วงโรยลงกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง
ร่างที่ไร้การควบคุมล้มลงนอนนิ่งบนกลีบดอกไม้เหล่านั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีก
เป็นเพียงกายเนื้อเฝ้ารอคอยวันเน่าเปื่อย
กายเนื้อที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่
สู่ห้วงนิทราอันเป็นนิจนิรันดร์
อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !!
พรรคอนาคตใหม่ ล้มเจ้า !! พรรคอนาคตใหม่ ล้มเจ้า !! พรรคอนาคตใหม่ ล้มเจ้า !!
คนเลือกพรรคอนาคตใหม่ คือพวกล้มเจ้า !! คนเลือกพรรคอนาคตใหม่ คือพวกล้มเจ้า !!
สำนวนโม่งดีกันจังวะ บางเรื่องดีกว่าที่ตีพิมพ์ตามหนังสืออีก นับถือๆ อยากทำแบบนี้ได้มั่ง
เพียงดินยืนอยู่ท่ามกลางซากเศษอิฐเศษปูนที่ครั้งหนึ่งมันอาจจะเคยเป็นสิ่งก่อสร้างอันงดงามมาก่อน ผิวกายสีคล้ำและชุดเครื่องแบบน้ำเงินเข้มของเขาล้วนเปื้อนเปรอะไปด้วยควันฝุ่นอันลอยละลิ่วอยู่ในอากาศ หน้ากากป้องกันมลพิษถูกคาดไว้ที่จมูกนั้นบดบังใบหน้าของเขาไปกว่าครึ่ง สองมือหยาบกร้านบางครั้งก็กดอุปกรณ์บังคับเจ้าเครื่องจักรกลอัจฉริยะให้งานขุดค้นและรื้อถอนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง บางคราก็หยิบยกเศษซากปูนซีเมนต์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่หุ่นยนต์ไม่สามารถหยิบจับได้...ราวกับเขากำลังค้นหาบางสิ่ง
สมาชิกจากหน่วยบำรุงรักษาต่างกระจัดกระจายกันทำงานอยู่บนกองซากความทรงจำจากอดีต หน้าที่ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับชื่อหน่วยเลยแม้แต่น้อย งานของพวกเขาเป็นเพียงการกำจัดซากอาคารและสิ่งก่อสร้างที่พังทลายลงจากเหตุการณ์ไม่ปรกติ เช่นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไปจนถึงวินาศกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามคำสั่งที่รัฐบาลมอบหมาย
รัฐบาล...รัฐบาล... เปลี่ยนแล้วก็เปลี่ยนอีกจนนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อกลุ่มหนึ่งล้มล้างรัฐบาลเก่า รัฐบาลใหม่ก็จัดตั้งขึ้น แต่เพียงไม่นานหรอก สุดท้ายก็ย้อนกลับตามรูปแบบเดิมคล้ายกับวงกลมที่ไม่ว่าเมื่อใดก็วนกลับมาจุดเดิมเสมอ จนตอนนี้เพียงดินไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าใครกันแน่คือรัฐบาลที่ว่านั่น
ราวครึ่งปีก่อนระเบิดหลายสิบลูกทำลายสถานศึกษาแห่งนี้พร้อมกับคร่าชีวิตหนุ่มสาววัยรุ่น...เลือดเนื้อและอนาคตของกลุ่มคนชั้นสูงไปกว่าร้อยชีวิต มีเพียงแต่ผู้มีเงินเท่านั้นถึงจะเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ดังนั้นไม่ผิดหรอกที่เพียงดินจะบอกได้ว่าชีวิตที่สูญเสียไปมากมายนั้นล้วนแต่เป็นลูกหลานของกลุ่มทุนนิยมในสังคมที่มีเพียงไม่ถึงเศษเสี้ยวหนึ่งของประเทศ
เสียงกรีดร้องก่นด่าร้องขอความเป็นธรรมจากพ่อแม่ผู้เสียหายไม่ต่างอะไรกับเสียงของชนชั้นแรงงานที่กรีดร้องยามเมื่อพวกเขาทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส แม้จะถูกเก็บกู้ไปบ้างแต่หน่วยบำรุงรักษาก็ยังเจอเศษเลือด เศษซากศพเสียจนชินตา จะรวยจะจนไม่ได้ต่างกันเลยยามไร้ชีวิต เป็นเพียงก้อนเนื้อที่ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งและรอวันเน่าสลายเพียงเท่านั้น
นี่คือการเอาคืนเหล่าผู้ร่ำรวย...ใครสักคนเคยบอกเพียงดินเอาไว้เช่นนั้น แต่จะเป็นการเอาคืนอะไรจากอะไรกันนั้นชายหนุ่มไม่เคยเข้าใจ เรียกได้ว่าเขาไม่อยากจะเข้าใจคงดีกว่า เรื่องใครจะแย่งชิงใคร ใครจะเข่นฆ่าเอาชีวิตใคร ไม่มีสักครั้งที่เขาจะเก็บมาให้รกสมอง จะเข้าใจไปเพื่ออะไรกันในเมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่เคยทำให้เขาอิ่มท้อง มีเพียงงานอันแสนน่าเหนื่อยหน่ายเบื้องหน้าต่างหากเล่าที่จะสร้างเงินให้กับเขาได้
เครื่องจักรกลข้างกายหยุดทำงานก่อนจะแผดเสียงดังลั่น บนหน้าจอปรากฏตัวเลขที่บ่งบอกเวลาสิ้นสุดงาน เพียงดินรวบอุปกรณ์ที่ใช้ในงานของเขาเก็บใส่ถุง แล้วเดินไปตามเส้นทางเพื่อรอรถรับ-ส่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ชายหนุ่มได้ยินเสียงทักทายและเสียงพูดคุยของคนรอบข้าง แต่ไม่มีเสียงไหนที่เข้ามาทักทายเขา...ไม่มีใครทักทายคนที่ตนเองไม่รู้จัก
ในยุคสมัยนี้เป็นเรื่องแปลกจนเข้าขั้นผิดกฎหมายทีเดียวกับการทักทายแปลกหน้า อาจต้องเสียเวลาเข้าไปนอนในตะรางหากโดนแจ้งจับกับเจ้าหน้าที่รักษาความสงบ เหตุเพราะไม่มีทางรู้เลยว่าภายในใจเขาจะคิดการอย่างไร จะดีหรือร้ายก็คาดเดาไม่ออก จนสุดท้ายความเงียบงันก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างผู้คนมากมาย ตอนนี้เพียงดินแทบไม่รู้จักกับใครในที่ทำงานเสียด้วยซ้ำ...หรือจะพูดให้ถูกเขาแทบไม่รู้จักใครเลยในชีวิต
รถขนส่งจากหน่วยบำรุงรักษาขับเคลื่อนไปตามถนนสีเข้มที่แตกร้าว เพียงดินไม่รู้หรอกว่ามันถูกออกแบบมาอย่างไร แค่มันสามารถนำเขากลับสู่ที่พักได้ก็เพียงพอแล้ว เขาทรุดตัวนั่งรถบนที่นั่งว่างเปล่า โสตประสาทไม่ใส่ใจเสียงพูดคุยจากคนในรถดังขึ้นแผ่วๆ ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับกระจกสีขุ่น นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลเหม่อมองออกไปเบื้องนอกอย่างไร้จุดหมาย
กรุงเทพมหานครพุทธศักราช 2658...มหานครแห่งความว่างเปล่า
เมื่อแสงสุดท้ายจากตะวันลับหายไปยังเส้นขอบฟ้า แสงไฟนับล้านจากสิ่งก่อสร้างและอาคารสูงใหญ่ส่องสว่างไสวไปทั่วมหานครแห่งนี้ หลากหลายชีวิตยังคงดำเนินต่อไปด้วยกลไกความต้องการตามสัญชาตญาณธรรมชาติ...แต่น่าแปลกสำหรับชายหนุ่มวัยฉกรรจ์อย่างเขาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไร้ซึ่งชีวิต แม้แต่สีสันสดใสที่ประดับประดาอยู่รอบข้างยังคงไร้สีสันในดวงตาคู่สีน้ำตาลของเขา
ทุกอย่างล้วนถูกบดบังด้วยความสวยงามอันเป็นเพียงแค่ภาพหลอกตา...ตึกสูงระฟ้า สถาปัตยกรรมย้อนสมัย ไปจนถึงเรือนร่างเพรียวระหงในกระโปรงกรุยกรายของสตรี ทุกสิ่งกำลังบิดเบือนมหานครแห่งนี้จากความเป็นจริง
เบื้องหลังตึกระฟ้า...ยังคงมีซากปรักหักพังและศพไร้นามที่รอการกอบกู้ เบื้องหลังสถาปัตยกรรมย้อนสมัย...ยังคงมีเม็ดเงินจำนวนมากมายที่สูญเสียไปอย่างไร้ค่าให้กับกระเป๋าเงินของใครบางคน และเบื้องหลังหญิงงามเหล่านั้นยังคงมีคราบโสมมจากกามารมณ์ของเพศผู้ที่มองเธอเหล่านั้นเป็นเพียงวัตถุระบายความใคร่เพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มเคยวาดฝันว่าสักวันหนึ่งเขาจะหลีกหนีไปจากเมืองแห่งนี้ เขาจะเปิดกรงนกด้วยตนเอง ถลาปีกออกบินไปตามกระแสลมที่พัดผ่าน โดยมีเพียงกระเป๋าเป้ที่ใส่ข้าวของจำเป็นและออกเดินทางไปยังโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลโดยไม่มีวันหวนกลับมาอีก...หากแต่มันกลับเป็นได้เพียงความฝันที่เขาไม่มีวันที่จะทำให้มันเป็นจริง นกเลี้ยงอย่างเพียงดินชาชินเสียแล้วกับการอาศัยอยู่ในกรง คอยให้ผู้คนรอบข้างป้อนอาหารให้กับมัน แม้จะใฝ่ฝันหาอิสรภาพเพียงใด หากแต่เมื่อออกไปเผชิญความเป็นจริงเข้าแล้วเขาจะยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่...ใครเล่าจะรู้?
ความกลัวครอบงำได้ทุกสิ่ง..เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกความกลัวกักขังให้อยู่เพียงในกรงขังของเมืองใหญ่ ใช้ลมหายใจไปกับงานอันซ้ำซากจำเจแลกเงินที่ใช้ประทังชีวิตไปได้เพียงวันต่อวัน ในสุดท้ายความฝันและความหวังของเขาดับหรี่ลงไป ความเฉยเมยไม่อยากรับรู้สิ่งรอบข้างกลับเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่เขาขาดหายไป
บางทีเพียงดินก็คิดว่าเขาไม่ต่างอะไรกับซากศพที่รอวันเน่าสลาย --เขาเป็นร่างกายอันว่างเปล่าที่รอคอยลมหายใจสุดท้ายหมดลง--
ความสัมพันธ์คนเราบางครั้งมันก็เป็นเรื่องซับซ้อนเกินกว่าที่หาคำใดมาอธิบาย จากการพูดคุยกันสั้นๆระหว่างมื้อเช้าในวันนั้น ขยับขยายขึ้นเป็นการพูดคุยในเวลาอาหารเช้าและเวลาอาหารเย็นของทุกวัน ชายคนแปลกหน้าไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาอีกต่อไป เพียงแต่เขาก็ยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่ายเหมือนกับวันแรกที่เริ่มคุยกัน เมื่อเขาไม่ได้ถาม ก็ไม่มีคำตอบกลับ -ชื่อ- ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเพื่อนเลยสักนิด
คล้ายกับชีวิตหวนคืนกลับมาหาชายหนุ่มในเมืองที่ยังคงเต็มไปด้วยความว่างเปล่า วันวานที่เขาใช้มันไปอย่างเปล่าประโยชน์ถูกลืมเลือนไปเสียหมดสิ้น ตราบใดที่เขายังคงสรรหาเรื่องพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนเพียงผู้เดียวของเขาได้
สองมือของชายหนุ่มขุดคุ้ยเศษซากปูนก่อนโยนเข้าเครื่องทำลายทิ้งเหมือนทุกวัน งานที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ของเขาใกล้จะจบลงหลังจากทุ่มเวลาให้มันกว่า 2 เดือน อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์เขาก็ต้องย้ายพื้นที่ทำงานอีกครั้ง แต่ไม่มีอะไรน่าวิตกไปหรอก ไม่ว่าอย่างไรเขากับเพื่อนก็ยังสามารถพบเจอกันได้ในโรงอาหารของหน่วยบำรุงรักษาเช่นเคย
สัมผัสนุ่มลื่นคล้ายพลาสติกจากปลายนิ้วทำให้ชายหนุ่มร่างสูงหยุดชะงักลง เขารื้อซากปูนที่กีดขวางออกทิ้งก่อนจะคว้าเจ้าวัตถุปริศนาขึ้นมา...มันเรียบลื่น มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเขาไปไม่มากนัก ทั้งที่มันหนากว่าหนึ่งนิ้วแต่น้ำหนักกลับเบาจนเหลือเชื่อ เขาไล้ปลายนิ้วไปตามตัวอักษรที่นูนขึ้น -ยูโทเปีย-
เพียงดินไม่รู้ว่ามันคืออะไร...เขาเช็ดปลายนิ้วสกปรกเปื้อนกับชุดเครื่องแบบสีมอมแมมก่อนจะพลิกเจ้าของแปลกประหลาดนั่นดู ภายในล้วนร้อยเรียงเป็นอักษรยาวเหยียดเหมือนกับบทเรียนที่เขาเคยเรียนในแท็บเล็ตเอนกประสงค์ ชายหนุ่มวางมันลงบนพื้นว่างใกล้ตัว ก่อนจะรีบรื้อเศษปูนออกจากทาง เขาพบพวกมันเป็นกองใหญ่เต็มไปหมด จำนวนมากมายจนเขาเองก็ไม่เชื่อสายตา
ชายหนุ่มหยิบสิ่งที่เขาพบเป็นอันแรกเก็บซ่อนเข้าในกระเป๋า เขารู้ดีว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ในอนาคตอันใกล้ และก็เป็นจริงอย่างที่เขาคาด เพียงไม่นานข่าวก็ถูกนำเสนอออกไปทั่วประเทศ หนังสือกลุ่มสุดท้ายถูกขุดพบในซากปรักหักพังของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย...ราวกับตอกย้ำว่ามีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้สัมผัสกับความทรงจำครั้งเก่าที่ถ่ายทอดมาจากอดีต
"มันคือหนังสือของจริง..ที่ทำจากต้นไม้?"
"ใช่ครับ มันคือหนังสือ"
"และตอนนี้เธอก็กำลังครอบครองเจ้าวัตถุอันตรายที่คนพร้อมจะฆ่าเธอเพื่อเอามันไปแลกกับเงินเป็นล้าน แถมยังเอามาอวดฉันอีกอย่างนั้นรึ" เพื่อนเพียงคนเดียวของเพียงดินถอนหายใจยาวยืดก่อนจะเทศนาเขาเสียยาวเหยียด "เธอไม่รู้รึไงว่ามันเสี่ยงที่หยิบออกมาอย่างนั้น แล้วถ้าเกิดใครรู้เข้าแล้วไปแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความสงบ เธออาจจะโดนขังยาวลืมวันลืมปี---ดีไม่ดีก็ถูกฆ่าชิงของไปแน่ๆ"
"ไม่รู้ซี-- บางทีผมอาจจะคิดว่ามันน่าสนใจก็ได้ มันทำให้ผมได้คิด ได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง"
"พูดแบบนี้แสดงว่าเธออ่านไปบ้างแล้ว" เขาพยักหน้าตอบรับกลับคำถามนั้น ยิ่งทำให้ชายผู้นั้นถอนหายใจยาวเสียยิ่งกว่าเดิม
"ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ฉันอยากถามว่าภายในนั้นมันเป็นเรื่องราวอย่างไร ถ้าเธอมีอารมณ์จะเล่าน่ะนะ..."
"มันพูดถึงเกาะแห่งหนึ่งที่แสนสงบสุข---"
เรื่องราวภายในหนังสือมิรู้ว่าเป็นอดีตเมื่อคราวไหน หากมันช่างยาวนานเหลือเกิน ยาวนานเกินว่าเพียงดินคาดเดาได้ว่ามันไกลเพียงใดจากช่วงเวลานั้นจนถึงเวลานี้ หนังสือเล่มเดียวที่เขาครอบครองอยู่พาเขาย้อนกลับสู่ภาพที่เขาไม่เคยนึกฝัน
เพียงดินนึกเสียดาย...
เสียดายที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เสียดายสิ่งเก่าๆที่เขาไม่เคยได้พบเห็นในชีวิต เขาไม่เคยรู้ว่าความสงบสุขที่เขาเคยเข้าใจนั้นมันผิดเพี้ยนไปเสียหมด...ความสงบสุขมันไม่ใช่เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราวที่บ้านเมืองไม่มีสงคราม ไม่มีวินาศกรรม มันลึกล้ำกว่านั้นมากมายเหลือเกิน
บางทีสิ่งที่เขาพยายามไขว่คว้านอกจาก-อิสรภาพ-ที่ถูกบีบอัดจนไม่มีทางออก อาจจะเป็น-ความสงบสุข-ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้ภายในมหานครแห่งนี้ก็เป็นได้
หรือไม่...ความสงบสุขนั้นอาจจะอยู่กับอิสรภาพในโลกภายนอกกรุงเทพมหานครของเขา
"ฉันคิดอยากจะกลับบ้าน..จู่ๆก็คิดถึงแม่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น" ชายคนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปนเศร้าต่างจากทุกที ดวงตาของเขาไม่ได้จับจ้องไปที่อะไรสักอย่าง มันเหม่อมองหาจุดสิ้นสุดไม่ได้...
"ถ้าคุณอยากกลับคุณก็แค่กลับ บางทีผมอาจจะไปเยี่ยมหาคุณสักวันก็ได้"
หากเป็นเพียงดินในเมื่อไม่กี่วันก่อนคงอาจจะบอกได้ว่ามันไม่มีวันนั้น แต่เขาในตอนนี้กลับเชื่อว่าสักวันหนึ่งที่พร้อมเขาจะกลายเป็นนกที่เปิดกรงขึ้นแล้วบินออกจากกรงแห่งนี้ไปจริงๆ วันนั้นเขาจะเดินทางไปหาเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา ใช้ชีวิตที่ไม่มีกรงนกและความกลัวมาปิดกั้นอีกต่อไป
"ฉันจะคิดถึงเธอ"
"ผมก็คงจะคิดถึงคุณ และสักวันเราคงได้เจอกัน----"
แต่ในใจเบื้องลึกเขากลับรู้ดี..เขาไม่มีวันจะได้พบเจอเพื่อนของเขาอีกต่อไปแล้ว นี่คือการลาจากอย่างแท้จริง
เพียงดินยังคงทำงานเหมือนเดิม...งานขุดรื้อซากตึกผุพังเหมือนเดิม ภายใต้แดดอันร้อนระอุที่ไม่มีวันลดลงของกรุงเทพมหานครเหมือนเดิม เขายังคงอยู่ในเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มเหมือนเดิม และหน้ากากป้องกันมลพิษมันก็คงยังคาดอยู่บนใบหน้าของเขาเหมือนเดิม มีบางสิ่งหรอกที่ไม่เหมือนเดิม...ใจเขาที่ไม่เหมือนเดิม และหนังสือเล่มนั้นที่ไม่ได้อยู่ที่เดิม
--มันหายไปแล้ว--
ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ดี มันหายไปพร้อมกับเพื่อนเขาที่จากไป จะมีใครล่ะที่หยิบฉวยมันไป..ก็มีแต่ชายคนนั้นที่รู้ว่าเขาเก็บสิ่งของต่างๆไว้ที่ไหน
ทุกสิ่งคือการเรียนรู้...และวันนี้เขาก็ได้รับรู้คำตอบที่เขาเคยค้นหามันมาก่อน ชีวิตของเขาไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนแต่ก่อน ใครบางคนสอนให้เขารู้จักเชื่อใจคนอื่นและสอนให้ไม่เชื่อใจคนอื่นไปพร้อมๆกัน บางทีเขาอาจจะกลับมามีชีวิต...ชีวิตที่ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนร่างตายซากรอลมหายใจสุดท้าย สิ่งที่เขาตามหายังคงเป็นอิสรภาพเหมือนเดิม และบวกเพิ่มความสงบสุขที่เขาได้เรียนรู้จากหนังสือเพียงเล่มเดียวของเขา--ที่มันไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้วก็ตาม
ตู้ม
เสียงระเบิดดังกึกก้องเข้าไปในโสตประสาทของชายหนุ่ม...แรงปะทะทำให้ร่างกายเขาปลิวกระเด็นจากจุดที่เขาเคยยืนอยู่ มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนเกิดคาดคิด เพียงวินาทีที่เพียงดินนึกเสียดายชีวิต ก่อนที่มันจะเลือนหายไปในชั่ววินาทีต่อมา ภาพเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาในทุ่งนาสีเหลืองอร่าม แม้มันจะเป็นเพียงจินตนาการ...แต่น่าแปลกที่มันสวยงามเหลือเกิน
เขาปิดตาลง...หวนคิดถึงความสวยงามของอดีตที่จินตนาการได้ ปล่อยร่างให้ลอยละลิ่วไปตามลมเหมือนกับว่าเขาเป็นนกที่สยายปีก--โบยบินไปสู่อิสรภาพและความสงบที่แท้จริง
-จบ-
เขาบีบไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น กดร่างบางที่ไร้ความคิดขัดขืนนั้นลงกับโซฟา ไม่แม้แต่จะคิดปิดประตูห้องลงให้สนิทเสียก่อน
กลิ่นสาบสาวเจือกลิ่นเหงื่อและกลิ่นสุราลอยฟุ้งเข้าจมูก หากแต่ชายหนุ่มไม่สน เขากดร่างบางที่หายใจหอบกระชั้นนั้นลงนอน ใช้เท้าถีบบานประตูที่เผยออ้าอยู่จนมันสะบัดปิดดังปัง พร้อมสะบัดจนรองเท้าหนังหัวตัดคู่งามของเขาหลุดร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น
หญิงสาวทำตาปรือ หายใจกระชั้นขึ้นเมื่อถูกโจมตีเข้าที่ซอกคอ เจ้าหล่อนยกมือขึ้นโอบรั้งคอของชายหนุ่มไว้แน่น จนเมื่อถึงจุดหนึ่งเธอก็ส่งเสียงครางในลำคอ เริ่มใช้ริมฝีปากคู่งามประกบจูบเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายเป็นการตอบโต้
คนทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนโซฟา มือไม้ป่ายอากาศ เกี่ยวกระหวัดกันคล้ายเด็กน้อยยามฝึกว่ายน้ำ เสื้อผ้าสวยงามที่พวกเขาเคยสวมใส่บัดนี้ถูกดึงกระชากจนร่วงหลุดลงไปกองอยู่กับพื้น ยากที่จะจำแนกว่าชิ้นใดเป็นของผู้ใด
นานพอดูกว่าที่ชายหนุ่มจะยันกายลุกขึ้น ทั่วทั้งลำคอและแผงอกของเขาประดับไปด้วยรอยประทับจูบที่ขึ้นสีเด่นตัดกับสีของผิวหนังออกมา เขาใช้มือหยาบใหญ่ตบเข้าที่ข้างแก้มของหญิงสาวที่นอนหอบหายใจอยู่ทีหนึ่ง ก่อนที่จะเดินไปเปิดลิ้นชัก ล้วงเอาซองบรรจุถุงยางอนามัยออกมา
หญิงสาวปรายตามองมา พอดีเห็นอีกฝ่ายกำลังถอดกางเกงชั้นในลงพร้อมรูดเจ้าโลกให้อยู่ในสภาพพร้อมสวมเครื่องป้องกัน ชายหนุ่มเห็นสายตานั้นก็ยิ้ม ใช้นิ้วมือจัดการกิจอย่างรวบรัดก่อนที่จะก้าวเท้ากลับเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้ง
เขารวบเอาขาเรียวทั้งสองข้างของหญิงสาวเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนที่จะยกมันพร้อมกับรูดกางเกงชั้นในตัวจิ๋วขึ้นไปติดอยู่ที่ข้อเท้า ใช้นิ้วกลางกดเข้าที่ส่วนลับอันชุ่มชื้นนั้นจนหญิงสาวต้องสะดุ้ง ร้องโอยออกมาคำหนึ่ง
ชายหนุ่มหัวเราะ เขาโน้มขาเรียวคู่นั้นไปด้านหน้า รับรู้ได้ถึงความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นของร่างกายอีกฝ่าย ก่อนที่จะแยกมันออก แล้วจับวางพาดไว้บนบ่าของตน
หญิงสาวหลับตา รู้สึกได้ว่าขาทั้งสองข้างนั้นกำลังสั่นพร้อมกับจังหวะหัวใจที่เต้นรัวเร็ว เธอสัมผัสได้ถึงร่างกายของอีกฝ่ายที่กำลังโน้มเข้ามาใกล้ ยิ่งทำให้เธอไม่อาจ และไม่อยากที่จะคิดขยับตัวหลบเลี่ยงไปทางใดอีก
ริมฝีปากของคนทั้งคู่ประกบกัน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงลิ้นอันร้อนแรงดุดันของเขาที่กำลังสอดแทรกเข้ามาเพื่อพัวพันกับลิ้นอันอ่อนนุ่มของเธอ รสรักนั้นแทบทำให้ประสาทสัมผัสอื่นมลายสิ้น เจ้าหล่อนแทบจะไม่รู้สึกตัวว่าบั้นท้ายถูกยกลอยขึ้นจากเบาะนวม เปิดทางให้อีกฝ่ายได้ชำแรกร่างเข้ามาหลอมประสานเป็นหนึ่งเดียว
เขาดูดคอเธอ จ๊วบๆๆ เธอร้อง อ้าๆๆๆ เขาดูดนมเธอสลับเต้า แล้วใช้แก่นกายกระแทกเข้าใส่จุดสงวนของเธออย่างไม่ยั้งควย ตรับๆๆๆๆๆ
>>388 เมื่อเทนทสเคิลจู่โจเข้ามา ผมจึงขอให้มีการจัดการเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกแล้วพักไว้ให้ลูกสาวที่มีความสุขมากที่สุดในโลกครั้งแรกของปีก่อนคริสตกาลการศึกษาและพัฒนาระบบการถ่ายทอดความรู้ความจริงแล้วมันจะไม่สามารถทำให้เกิดความผิดพลาดในการจัดการกับความต้องการของลูกน้อยของเราจะไม่ค่อยมีเวลาให้กับผู้ที่มีคุณภาพสูงที่สุดของโลกที่มีคุณภาพสูงที่สุดของโลกในแง่ดีและไม่มีความคิดของคนไทยคนแรกในรอบปีการศึกษาในระดับสูงสุดในรอบปีการศึกษาในระดับสูงสุดของคุณจะต้องเป็นไปตามที่ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งแล้วก็มีแต่คนที่มีความสุขมากที่สุดในโลกออนไลน์ศรีปทุมถได้อย่างรวดเร็วในการทำงานของเราจะได้รับความนิยมมากในการทำงานที่เกี่ยวกับการใช้งานง่ายและสะดวก
อีรีรู้จัก ‘ซาก’ มาตั้งแต่จำความได้ จึงไม่เห็นว่าร่างเน่าเหม็นที่เดินตุหรัดตุเหร่อยู่ข้างทาง หรือสุสานแปลกประหลาดอะไร สิ่งที่เธอคิดยามบังเอิญเห็นคนรู้จักที่เพิ่งถูกฝังไม่กี่วันก่อนเดินผ่านหน้าบ้าน มีเพียงว่าเขาหรือเธอจะถูกเจ้าหน้าที่เก็บไปหรือเน่าเปื่อยไปเองก่อน
‘เหมือนหมาจรจัด’ พ่อเคยเปรียบเปรยด้วยสีหน้ารังเกียจหนหนึ่ง ‘กลิ่นเหม็น กินไม่เลือก ไร้สติปัญญา’ อีรีเห็นตามที่เขาว่าทุกอย่าง และเธอก็เห็นอีกด้วยว่าพวกซากไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะอยากจะเป็นเสียหน่อย
เธอไม่รู้หรอกว่าพวกเขาลุกขึ้นมาจากหลุมเพราะอะไร เหตุผลอาจจะยากพอ ๆ กับที่ว่าทำไมพระอาทิตย์ถึงขึ้นทางทิศตะวันออก ซึ่งอีรีคิดว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องรู้ ถึงต่อให้รู้แล้วจะอย่างไร ในเมื่อสุดท้ายทุกคนก็ต้องตาย นอนพักในหลุมที่กลบไว้หลวม ๆ สักวันสองวัน ก่อนตื่นมาเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองอย่างไร้จุดหมาย เคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิต แต่ไร้จิตใจ
‘อากาศเคยดีกว่านี้มาก อ้อ อีรี ก่อนไปโรงเรียนห้ามเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ละ’ พ่อมีเรื่องให้บ่นพวกซากไม่น้อยทีเดียว จมูกของพวกผู้ใหญ่ไม่ชินกลิ่นเนื้อเน่าเหมือนเด็ก ๆ รุ่นอีรี เมื่อไหร่ที่เธอกับเขาทะเลาะกัน อีรีจะแกล้งลืมปิดประตูรั้วปล่อยให้พวกซากเดินกระโผกกระเผกเข้ามาในสวน น้ำเหลือง เศษผิวหนังสีคล้ำหยดย้อยลงสนามหน้าบ้าน ฝีเท้าไม่มั่นคงเหยียบย่ำกอกุหลาบจนป่นปี้ จากนั้นเธอก็จะขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้กลิ่นเน่าโชยเข้ามาฝังในผืนพรม ผ้าห่ม หมอนที่เธอไม่รู้สึกว่าแย่อะไรนัก ตรงข้ามกับพ่อที่อาจคลั่งเจียนตาย
อีรีทำลงไปด้วยความโกรธ และผลของมันทำให้เธอสะใจลึก ๆ ภาพแม่ถูกเคียวไร้คมเกี่ยวเข้าไปในตู้กระจกรวมกับซากของคนแปลกหน้าติดใจเธออยู่ทั้งที่ผ่านมาแล้วหลายปี เด็กหญิงไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงรอให้แม่เน่าสลายเงียบ ๆ ไม่ได้ เธอไม่เห็นพิษภัยในตัวแม่แม้แต่น้อย แม่เชื่องช้าออกขนาดนั้น ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย แล้วจะมีปัญญาทำร้ายเธอกับเขาได้ยังไง
คนเป็นต่างหากที่อีรีเห็นว่าน่ากลัว
พวกเพื่อนร่วมชั้นเกเรของอีรีมักขว้างปาหินใส่พวกซากระหว่างทางกลับบ้าน คนตายไม่มีความรู้สึกหรือเจ็บแค้นยิ่งทำให้พวกนั้นได้ใจ บางคนกล้าถึงขนาดต้อนซากศพให้ตกลงไปในลำน้ำเชี่ยว มองดูร่างพองอืดลอยผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไปตามสายน้ำด้วยความคึกคะนอง เพื่อนคนหนึ่งเคยชวนอีรีให้เล่นสนุกด้วยกัน แต่เธอสลัดภาพของแม่ออกไปไม่หลุด ลำคออีรีแสบร้อนด้วยความรู้สึกผิดต่อศพที่กำลังถูกรังแกและแม่ที่ตายถึงสองครั้งเพราะความตาขาวของตัวเอง
หากย้อนเวลาได้อีรีจะไม่ยอมให้พ่อแตะต้องแม่แม้แต่ปลายผม ก่อนแม่ถูกฆ่า บางทีเธออาจจะฆ่าเขาก่อน แต่ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ‘หากรู้’ ใคร ๆ ก็คิดแต่ว่า ‘หากรู้…’ หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้อีรีจะมีความกล้าพอปกป้องแม่ไหม เอาเข้าจริงเธอก็ไม่รู้อีกเช่นกัน เธออาจจะหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าด้วยความหวาดผวากระทั่งเสียงโครมครามชั้นล่างเงียบลงเหมือนทุกที หรือวิ่งออกไปนั่งเล่นสวนสาธารณะจนค่ำค่อยกลับเข้าบ้านราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นในห้องครัว
อีรีกลัวพ่อ กลัวแม่เจ็บ นอกจากนั้น เธอก็กลัวจะถูกทำร้ายไปด้วย คำขอโทษต่อซากของแม่ไม่อาจได้รับการอภัย เธอจึงกอบบาปนั้นเข้ามาบดขยี้ให้เศษแหลมทิ่มแทงตัวเองอยู่ข้างใน เลือดหลั่งจากท้องแขนสู่ปลายนิ้ว หยดลงในปากซึ่งหนอนแมลงคลานยั้วเยี้ยแย่งชอนไชเนื้อแหว่งวิ่น
“หนูขอโทษ หนูขอโทษ หนูขอโทษ” อีรีพึมพำซ้ำ ๆ อยู่บนขั้นบันไดเหนือกล่องไม้ทำจากตู้เสื้อผ้าเก่า น้ำตาผสมเลือดรินรดลงบนซากที่กำลังกลิ้งเกลือกอย่างน่าเวทนาบนกองเลือดเน่า บางคราวเขาจะเงยหน้าขึ้นมาราวกับรู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น อ้าปากรับเลือดที่ไหลจากกายพร้อมวิญญาณ
ประสาทสัมผัสทึ่มทื่อไม่ตอบสนองต่อเลือดหรือสิ่งกระตุ้นใด ๆ อีรีสงสัยว่าเขาอาจรู้สึกถึงความโศกเศร้าของเธอ
“หนูไม่เหมือนพ่อ หนูอยู่แบบนี้ไม่ได้ ขอโทษ ขอโทษ…” เสียงแผ่วผิวคล้ายบอกตัวเอง อีรีสังหรณ์ว่าเธอคงไม่ตายเพราะเสียเลือด จึงแขวนบ่วงเชือกสีขาวสกปรกเผื่อไว้บนราวบันไดด้วย
เธอไม่อาจตายก่อนซากในกล่องหยุดเคลื่อนไหว วาระสุดท้ายของแม่ที่เธอเสียไป เขาจะต้องจ่ายแทน !
ริมฝีปากอีรีแห้งแตกเพราะขาดน้ำ ร่างกายผ่ายผอม ลมหายใจรวยริน กลิ่นของเสียปะปนซากคละคลุ้งทั่วบ้าน และอาจแรงไปถึงถนนด้านหน้า ทว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนอยู่แล้ว เธอจึงได้เฝ้ามองการตายครั้งที่สองนี้โดยไม่ถูกเพื่อนบ้านเข้ามารบกวน
ตัวหนอนกลายเป็นดักแด้สีน้ำตาลเข้ม และอีกไม่นานก็คงกลายแมลงเสาะหาซากอื่น อีรียังคงสติได้ขนาดนึกขบขันว่าพวกมันอาจวางไข่ในร่างของเธอต่อ
กินเถอะ คนตายเจ็บไม่เป็นหรอก
ใบหน้าของซากที่เธอทั้งรักทั้งชังไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว เนื้อหนังถูกหนูและแมลงแทะกินจนเห็นแต่กระดูก แต่กลับยังเหลือแรงก่อเสียงครืดคราด
เน่าสลายเงียบ ๆ
หากตอนนั้นแม่ไม่ถูกเก็บไปก่อนก็คงจะเป็นแบบนี้
น่าเศร้าที่อีรีไม่รู้สึกพอใจเลยสักนิดเมื่อเห็นเขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับแม่ ความโกรธเกลียดยังคงอยู่ น้ำหนักของมันแทบจะโถมทับเธอให้ตกลงไปในกล่องไม้ แต่จะให้เธอตายพร้อมเขาน่ะหรือ ไม่มีทาง !
เมื่อแมลงเริ่มวางไข่อีกครั้งในเนื้อเน่าชิ้นสุดท้าย ซากก็หยุดเคลื่อนไหว หนูบางตัวเริ่มแวะมาสำรวจชีวิตของอีรี เธอสัญญาว่าพวกมันจะได้กินอย่างอิ่มหนำ เฉือนเนื้อต้นขาโยนให้แทนมัดจำ ก่อนสาวบ่วงเชือกขึ้นมาคล้องคอ
มืออีรีกระตุกวูบหนึ่งที่เผลอมองดูโครงกระดูกก้นกล่อง เธออาจเก็บมันออกก่อนค่อยจัดการกับตัวเอง ความคิดที่ว่าซากของตนอาจเกลือกกลั้วอยู่กับชิ้นส่วนของเขาเกินกว่าจะรับได้ เธอจึงถอดบ่วงอันหนักอึ้งออก คลานลงไปลากซากให้พ้นจากกล่องอย่างทุลักทุเล ตอนยังมีชีวิตอยู่เธอผลักเขาไม่เทือนเลยด้วยซ้ำ ดูตอนนี้สิ อีรีที่ใกล้ตายถึงขนาดจับเขาไปวางตรงไหนก็ได้
ซากพ่อกับแม่รวมกันหนักน้อยกว่าบาปของเธอเสียอีก
อีรีเงยหน้ามองบ่วงที่กำลังแกว่งน้อย ๆ ราวกับเชิญชวน เธอเหนื่อยเกินกว่าจะปีนขึ้นไปหามันแล้วตอนนี้ บางทีเธออาจไม่ต้องพึ่งมัน กระนั้นก็ไม่อยากให้ซากตัวเองออกไปเพ่นพ่านแล้วจบลงในคูน้ำ เด็กหญิงจึงเค้นแรงเฮือกสุดท้ายกระเสือกกระสนกลับขึ้นบันได และขณะกำลังพักอยู่บนขั้นที่สาม เสียงใครบางคนก็ดังขึ้น
“มีอะไรให้ช่วยอีกไหม”
แต่ประสาทหูเธอเสียไปแล้ว และดวงตาก็กำลังจะบอดเพราะความมืด หลังจากหายเหนื่อย อีรีก็เริ่มปีนต่อไป
>>392 ขอบคุณที่อ่านกาวของกุนะ ยังคิดอยู่ว่าจะมีใครเข้าใจด้วยมั้ย
มันเป็นอโพคาลิปส์ที่คนตายจะฟื้นขึ้นมา แต่ละประเทศก็มีวิธีจัดการซากต่างกัน แต่เทศบาลที่เด็กนี่อยู่มันไม่ค่อยดี คนตายก็เลยออกมาเพ่นพ่านบ่อยๆ อยู่สภาพนี้มานานมากจนคนชินกันแล้ว ยกเว้นพวกแก่ๆ ที่เคยเห็นโลกสดใสกว่านี้ ส่วนบ้านเด็กนี่ domestic violence พ่อตีแม่ตาย พอแม่ฟื้น เด็กมันก็ต้อนแม่มาบ้าน พ่อมันไม่ชอบกลิ่น ไม่ชอบซากอยู่แล้วก็เลยเรียกเทศบาลมาเก็บ แต่อีเด็กนี่มันรักแม่ อยากอยู่กับแม่จนกว่าจะตายอีกครั้งจริงๆ พอถูกขัด มันเลยแอบแค้น บวกจิตอ่อนๆ กับเก็บกดมานานด้วย ฆ่าพ่อตัวเองซะ ตรงที่มีคนช่วยใส่มากันพล็อตโฮลเฉยๆ เด็กจะมีแรงทำตู้เสื้อผ้าเป็นกล่องได้ยังไงวะ
>>393 อย่างนี้นี่เอง ตอนแรกนึกว่าเป็นพล็อตแนวซอมบี้ทั่วไป พออ่านแล้วก็เข้าใจอารมณ์ตัวละครกับบรรยากาศในเรื่องได้พอสมควรเลย อ่านงานมึงแล้วเหมือนกลับไปอ่านงานอาร์ตๆ ของนักเขียนช่วงปี 40-50 วิธีการเปรียบเปรยหรือใช้คำสื่ออารมณ์มันคมดี เป็นงานที่อาจไม่ถูกใจเด็กรุ่นใหม่ แต่สำหรับวัยทำงานแบบกู อ่านแล้วถือว่าดีใช้ได้เลย ถ้ามึงเขียนแบบนี้ไว้ตอนช่วงสิบปีก่อนกูคงอยากซื้อเก็บไว้ในห้องหนังสือที่บ้าน ฝีมือดีเกินกว่าจะเป็นได้แค่เรื่องสั้นที่เขียนไว้บนเว็บใต้ดินไม่ค่อยมีใครแวะเวียนมาแบบนี้
พ่อยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความงุนงงสงสัย ว่ามันเป็นเพียงความฝันที่เกิดขึ้น
หรือเป็นความจริงกันแน่?.... (โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่าน)....
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นคำบอกเล่าจากความฝันของ "ช่างเทคนิคแห่งแสง" (Luna) คืนนั้น
ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2012 ในราวๆ ตีสาม พ่อรู้ถึงความผิดปกติของไฟชั้นล่าง
ของบ้านที่พ่ออาศัยอยู่กับลูกๆ
จึงเดินลงไปสำรวจดูว่าทำไมถึงยังไม่ได้หลับนอน ก็เจอกับช่าง เทคนิค กำลังอยู่ในภวังค์
สมาธิ และ พ่อรออยู่พักหนึ่งเขาก็ลืมตาขึ้น พ่อก็เลยถามว่ามีอะไรหรือ? ถึงมานั่งทำสมาธิ
เสียดึกดื่น เขาก็ตอบมาว่า มีซิ? ลูกไม่อยากทำเลยแต่ทนการร้องขอไม่ไหวและมันเป็นสิ่ง
สร้างความลำบากใจให้ช่างเทคนิคมากๆ
แต่เพราะมันเป็นภาระหน้าที่ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือปฎิเสธได้ มันเป็นการสยบความอหังการ์ของชาติมหาอำนาจชาติหนึ่ง เพื่อเป็นการเตือนถึงความอ่อนด้อยทางด้านเทคโน
โลยี่ หากต้องมาต่อกรกับรูปธรรมชีวิตชั้นสูงของต่างดาว
Luna เปรียบเสมือนอยู่ในโลกสองมิติเหมือนมีชีวิตในสองรูปแบบ เมื่อเวลายามตื่นก็จะ
เหมือนกับปุถุชนทั่วๆ ไป ไม่มีความแตกต่างๆ ใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากเมื่อถึงยามหลับแล้ว ตัว
เขาก็จะคืนสู่ร่างใหม่ในอีกมิติหนึ่งคือ เขาเป็น ผ.บ.ยาน Mothar Ship Class Maestro
ซึ่งมีขนาดพื้นที่ยาน 1,570 ตารางไมล์ และ บรรจุยานลูกได้ถึง.. 2,000 ลำ..
และ Luna มีหน้าที่สำคัญคือการปกป้องและคุ้มครองโลกไม่ให้ได้รับภยันตรายจากพิบัติ
ภัยต่างๆ ที่จะมากรํ้ากรายโลกโดยมนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือหรือป้องกันตัวเองได้ และ
จะถูกเรียกใช้งานเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่จะต้องตัดสินใจ
เช่นครั้งคราวนี้ โดยประมุขดาวศุกร์ร้องเรียนมายัง สมาพันธ์แกแลคติกแสงสว่างแห่ง
จักรวาล โดยในมิติที่ 5 นั้น ดาวศุกร์ไม่ได้ร้อนแรงจนสามารถละลายตะกั่วได้เหมือนใน
มิติที่ 3 หรอกนะ โดยประมุขดาวศุกร์ให้ช่วยจัดการความแค้นเคืองที่ชาติมหาอำนาจบาตร
ใหญ่กระทำต่อเจ้าหญิงแห่งดาวศุกร์ที่กำลังเดินทางมายังโลกด้วยยานบินส่วนตัวเพื่อมา
ทำภารกิจบางอย่างบนโลก
แต่เป็นเพราะเหตุว่ายานบินที่องค์หญิงโดยสารมาประสบเหตุขัดข้องในขณะนำยานเข้าสู่
แรงโน้มถ่วงโลกเร็วเกินไป ทำให้เกราะป้องกันยานชำรุดเสียหาย และ เรดาร์ชายฝั่งจับ
ภาพได้ จึงส่งเอฟ 15 F 4 ลำ ขึ้นมาขัดขวาง มีการไล่ต้อนยานบินของเจ้าหญิง และ ใช้
จรวดอากาศสู่อากาศยิงยานบินลำที่องค์หญิงเสด็จอยู่ในยานนั้น
แม้จะมียานบินคุ้มกันสองลำก็ไม่อาจรักษาชีวิตเจ้าหญิงไว้ได้ และ ยานบินของเจ้าหญิงก็
ตกสู่พื้นท้องทะเลใกล้หาดไมอามี่ ชาติมหาอำนาจได้ใช้เรือรบเข้าขัดขวางการช่วยเหลือ
ยานบินของเจ้าหญิง และ ใช้ปืนเรือระดมยิง และ ใช้ระเบิดนํ้าลึกจมยานที่มีเจ้าหญิงอยู่
ลำนั้นจนพระองค์สิ้นชีวิตอยู่ในยานในเวลาต่อมา
ฝ่ายยานบินคุ้มกันเจ้าหญิงได้พยายามช่วยเหลือองค์หญิงอย่างเต็มที่ โดยการใช้อาวุธ
พิเศษสร้างคลื่นพายุเฮอริเคน ซัดใส่กองเรือนั้น จนทำให้มีเรือของชาติมหาอำนาจจมไป
1 ลำ และ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชายฝั่งไมอามี่ อย่างหนัก และ อย่างไม่มีเค้าลางของพายุร้ายมาก่อนเลย
ประมุขดาวศุกร์ได้วิงวอนร้องขอความยุติธรรมให้แก่เจ้าหญิงซึ่งก็คือภรรยาของประมุข
ดาวศุกร์นั่นเอง ขอให้ Luna คืนความยุติธรรมให้แก่ภรรยาท่านด้วย โดยขอให้นายช่าง
เทคนิค ให้บทเรียนแก่กองเรือชาติมหาอำนาจด้วยเถิด และ จากคำวิงวอนหลายครั้งได้
มีการประชุมใหญ่ในสมาพันธ์แสงสว่างฯ ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงและต้องจำยอมปฎิบัติ
ตามคำขอนั้น
และ นี่คือปฎิบัติการเอาคืน โดยการส่งยานบินรบฝูงใหญ่นับสิบลำ โดยเล็งเป้าหมายไปที่
เรือ Stealth Destroyer เป็นเรือที่มีอานุภาพสูงสุดของกองเรือมหาอำนาจนั้น เรือชั้นนี้มี
ด้วยกัน 3 ลำ และ เป็นหนึ่งที่จะต้องกำหราบ
คนในหมู่บ้านนี้กำลังกลายเป็นตุ๊กตา...
ไม่รู้ว่าเริ่มต้นจากอะไร หรือเริ่มต้นจากใคร แต่คนภายในหมู่บ้านแห่งนี้ค่อย ๆ กลายเป็นตุ๊กตาไปทีละคน ทีละคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือคนชรา ไม่ว่าใครก็กลายเป็นตุ๊กตากันได้ทั้งนั้น จนตอนนี้จำนวนตุ๊กตามนุษย์ในหมู่บ้านมากมายเต็มไปหมด
มาลีใฝ่ฝัน...ฝันว่าเธออยากเป็นตุ๊กตา
ก็ตุ๊กตานั้นทั้งแสนสวยและอ่อนหวาน เด็กหญิงจำได้ดีถึงตุ๊กตาพี่สิตางค์ สาวสวยประจำหมู่บ้าน ตุ๊กตาผิวสีขาวละเอียดดั่งกระเบื้องเคลือบที่เอนกายพิงเก้าอี้หวายบุนวมอาบแสงแดดยามเช้า ใบหน้าเล็กนั้นยังคงปรากฏความงามสมัยครั้งเธอยังเป็นมนุษย์...ไม่สิ เรียกได้ว่างดงามกว่าครั้งที่เป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ ยิ่งชุดสีขาวฟูฟ่องเหมือนขนมสายไหมอันแสนบริสุทธิ์ ยิ่งทำให้ตุ๊กตาดูช่างน่าทะนุถนอมเหลือเกิน
เด็กหญิงไม่เคยมีตุ๊กตา
แม่บอกกับมาลีอยู่เสมอว่าตุ๊กตานั้นไม่จำเป็นสำหรับเธอ เพียงแค่ของเล่นเด็กที่ไม่ได้มีคุณค่าอะไรนอกจากใช้ประดับตกแต่ง แต่เด็กหญิงวัยหกปีไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมแม่ถึงไม่ให้ตุ๊กตากับเธอ ในเมื่อไม่ว่าเด็กคนไหนก็มีตุ๊กตาทั้งนั้น เด็กผู้หญิงมีตุ๊กตาหญิงสาว ตุ๊กตาหมี ตุ๊กตากระต่าย และเด็กผู้ชายมีตุ๊กตาทหาร ตุ๊กตายานรบ ขนาดสัตว์เลี้ยงของคุณป้าคนรวยที่ท้ายหมู่บ้านยังมีตุ๊กตาเป็นของตัวเองเลย
เสียงสลักประตูถูกปลดดังคลิก ก่อนที่ชายหนุ่มจะค่อย ๆ แง้มประตูเปิด ก่อนแทรกกายเข้าไปยังด้านใน
เสียงของพิธีกรสาวดังออกมาจากโทรทัศน์ที่กลางห้อง แต่สายตาของชายหนุ่มกลับจับจ้องไปยังร่างของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่กำลังทอดกายนอนบนโซฟาหนังตัวยาวในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย แขนข้างหนึ่งป่ายลงไปจมอยู่ในชามใส่ข้าวโพดคั่วที่วางอยู่บนพื้น
ชายหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาค่อย ๆ ย่องเท้าตรงไปยังโซฟา ชะโงกหน้าลงไปคล้ายจะจุมพิต แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น หญิงสาวที่เหมือนว่าจะนอนหลับไม่รู้เรื่องก็พลันลืมตาขึ้น ยกมือข้างที่จุ่มลงไปในชามข้าวโพดคั่วขึ้นปิดปากโจรขโมยจูบผู้นั้นได้ทันเวลา
ชายหนุ่มสะดุ้งถอยหลัง ในขณะที่หญิงสาวเพียงแต่เหลือกตามองค้อน พูดออกมาว่า "คิดจะเอาเปรียบกันเหรอ"
ชายหนุ่มหัวเราะ "ทำไม" เขาย้อนถามขณะที่หญิงสาวยันตัวขึ้นนั่ง "แค่จะหอมแก้มนิดหน่อยไม่ได้เหรอ"
หญิงสาวไม่สนใจคำพูดนั้น เพียงแต่ยกแขนขึ้นเหยียดตัวบิดขี้เกียจก่อนที่จะเหลือบไปมองนาฬิกา "ตีสองกว่าแล้วเหรอเนี่ย" เธออุทาน "ให้ตายสิ ยายนั่นใช้งานเธอคุ้มจริง ๆ "
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาบ้าง "จบงานนี้ว่าจะลาพักร้อนสักครึ่งเดือน" เขาพูด ก้มตัวลงไปหยิบชามบนพื้นขึ้นมาวางไว้บนเบาะข้างตัว "ว่าแต่เธอเถอะ ไม่เห็นต้องรอกันเลย ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ไปนอนก่อน นี่อาบน้ำแปรงฟันรึยัง"
หญิงสาวเลิกคิ้ว ใช้มือดึงชุดเดรสใส่นอนสีฟ้าให้คนตรงหน้าดู "ยังไม่ได้อาบมั้ง แหม ฉันก็แค่ดูทีวีเพลิน อย่าพูดจาขี้ตู่ไปหน่อยน่า"
ชายหนุ่มหัวเราะหึ ชะโงกตัวไปจูบหน้าผากของอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง คราวนี้หญิงสาวยอมให้เอาเปรียบโดยไม่ปริปากบ่น ก่อนที่จะหล่อนจะลุกขึ้นยืนปิดปากหาว แล้วบอกว่าจะเข้านอนแล้ว
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะทันได้กลับหลังหัน ข้อมือนวลก็ถูกอีกฝ่ายยื้อยุดเอาไว้ "เดี๋ยวๆๆๆ" ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ "กินขนมแล้วไม่แปรงฟันได้ยังไง มาแปรงฟันด้วยกันก่อน"
หญิงสาวแยกเขี้ยวโชว์ฟันขาวคล้ายจะบอกว่าไม่เห็นเป็นอย่างไร แต่นั่นก็ยังไม่เป็นที่พอใจของคนตรงหน้า ชายหนุ่มฉวยโอกาสรวบตัวเธอขึ้นอุ้มเดินตรงไปยังห้องน้ำ โดยไม่ได้สนใจเสียงประท้วงนั้นแม้แต่เพียงน้อย
แต่นั่นก็เป็นเพียงการโวยวายให้พอเป็นพิธีเท่านั้นเอง เพราะนอกจากจะพองตาขู่นิดหน่อยแล้ว หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงอาการว่าโกรธเคืองอะไร เมื่อคนทั้งสองแปรงฟันเสร็จ เธอก็ได้ทีใช้มือหยอกตีหน้าท้องของอีกฝ่ายเป็นการเอาคืน ก่อนที่จะสะบัดเรือนผมเดินตรงไปยังห้องนอน ปล่อยให้ชายหนุ่มได้อาบน้ำชำระร่างกายหลังจากต้องทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน
เข็มนาฬิกาเกือบจะแตะเลขสามอยู่รอมร่อกว่าที่ชายหนุ่มจะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย เขาเดินฮัมเพลงตรงไปยังห้องนอน ก่อนที่จะหยุดส่งเสียงออกมากลางคันเมื่อพบว่าด้านในปิดไฟเงียบ ได้ยินเพียงแต่เสียงลมหายใจเป็นจังหวะของคนที่นอนรออยู่ก่อนแล้วเท่านั้น
เขาแทรกตัวเข้าไปในห้อง ขยับกายขึ้นนั่งบนเตียงโดยพยายามใช้เสียงให้เบาที่สุด แต่ดูเหมือนว่านั่นจะยังไม่ดีพอ ด้วยมีเสียงงัวเงียของหญิงสาวดังขึ้นแทบจะในทันทีว่า "ทำงานหนักไปแล้วนะ"
ชายหนุ่มครางอืมในลำคอเป็นเชิงรับ "เธอก็รู้ว่าเรื่องคราวนี้มันเป็นยังไง" เขาพูด "ขอโทษนะที่ช่วงนี้ไม่มีเวลาให้เลย เดี๋ยวไว้..."
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายก่อนที่จะทันพูดได้จบประโยค "ไม่เป็นไรค่ะ" เธอพูด "แต่... แต่เธออ้วนขึ้นนะ เมื่อกี้ฉันว่าฉันจับเจอพุงด้วยล่ะ"
ชายหนุ่มชะงักไปก่อนที่จะหลุดหัวเราะพรืดออกมา "แย่ล่ะสิ" เขาพูดกลั้วหัวเราะ "ทำงานหนักเกินไปจริง ๆ ด้วย"
หญิงสาวหัวเราะคิก ลืมตากลมกว้างขึ้นจ้องตรงไปยังเงาร่างของชายหนุ่ม "จริง ๆ ก็ไม่ได้แย่อะไร นิ่ม ๆ ดี ชอบมากกว่าตอนที่เป็นกล้ามแข็ง ๆ แบบเมื่อก่อนอีก"
ชายหนุ่มหัวเราะ ก้มหน้าลงจูบหน้าผากของอีกฝ่ายพร้อมกล่าวราตรีสวัสดิ์ หญิงสาวหัวเราะคิกอีกครั้ง เธอยกศีรษะขึ้นหอมแก้มกลับ ตอบคำว่า "ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ไอ้หมูอ้วน"
วิธีการเอาตัวรอดจากเหล่าโนวิสผู้กระหายเลือด 101
“เด็ก ๆ จ๊ะ โตไปอยากเป็นอะไรกันเอ่ย?”
ชิบหายละ เปิดมาแบบนี้แม่งต้องแน่นอนว่าผมคงไม่ได้อยู่ในโลกพนักงานบริษัททำงาน 9 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น แต่ทำโอทีต่อถึง 5 ทุ่มแน่ ๆ ตะกี้ก็ไม่ได้ถูกทรัคซังส่งมาต่างโลก ยังมั่นใจว่ากำลังแก้ไฟนอลสุดท้ายของลูกค้าที่จะเอาภายในพรุ่งนี้เช้าอยู่เลย ถึงกรุงโรมจะไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่ถ้าบัดเจ็ทถึง จะเอาเวนิชกับปรารีสด้วยก็ได้
สงสัยกระทิงแดงผสมเอ็มร้อยและเอสเพรสโซ่สองเป๊กคงทำพิษกัน ผมคงตายห่าคาคอมพิวเตอร์และเมาส์ปากกาของบริษัทไปแล้วมั้ง ที่สำคัญกว่าคือตอนนี้ต้องมาอยู่ในสถานการณ์อะไรวะเนี่ย
“พุดิดินอยากเป็นคุณครูค่าา” ยัยเด็กน้อยตาแป๋วกระโดดจนเนื้อตัวสีชมพูใสเด้งดึ๋ง ๆ ด้วยความร่าเริงเบอร์สิบ ถึงเพื่อนจะบ่นว่าเชยแต่อย่างน้อยก็ยังได้รับคำชมจากคุณครูตัวสีม่วงพาสเทล
“ปิ๊วปิ๊วอยากสไลม์นักบวชสาวฮะครู” ไอ้เด็กตัวสีแดงกลมโตเกินไซส์เพื่อนหน้าตาหาเรื่องหาราวตอบแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก สไลม์นี่มันคือ verb ประเภทไหนวะ ขอคำขยายความด้วยไอ้หนู
“อู้หูววว เท่จังเลย ปิ๊วปิ๊วอยากจะสไลม์นักบวชสาว! นี่ต้องเป็นตำนานแน่ ๆ ยังไม่เคยมีบรรพบุรุษคนไหนเคยสไลม์นักบวชสาวเลยนะ! มีแต่เคยสไลม์นักเวทย์หนุ่ม”
เดี๋ยว ๆ ไอ้สไลม์นี่คือหมายถึงทำเรื่องลามกติดเซ็นเซอร์ใช่ไหม! เอ็งมันสายบาปหรือยังไงถึงอยากไปปู้ยี่ปู้ยำนักบวชสาวน่ะ แล้วไอ้โคตรพ่อโคตรแม่ที่เคยไปปล้ำนักเวทย์ชายนี่มันยังไง? ยัยครูก็ห้ามหน่อยสิโว้ย ลูกเด็กเล็กแดงคิดเรื่องลามกจกเปรตพรรค์นี้ หล่อนจะปล่อยมันไปเฉย ๆ เรอะ
“ปาปาอยากเป็นเจลลี่รสมินต์ที่เสิร์ฟในหน้าร้อน~” สไลม์ตัวน้อยสีฟ้าน้ำทะเลพูดด้วยท่าทางเขินอาย ส่วนที่น่าจะเป็นแก้มแดงระเรื่อ
“ว้าวว ปาปาต้องอร่อยแน่ ๆ เลย”
หล่อนแม่งไร้อนาคตสุดแล้วปาปา แม่งอยากโตไปเป็นของกิน! แล้วไอ้การสนับสนุนของเพื่อนนั่นคือแม่งอะไร เอ็งเป็นฮันนิบาลลิซึ่มอยากรับประแดกเพื่อนในหน้าร้อนเหรอ?”
“ความฝันแต่ละคนน่ารักมากเลยจ๊ะ” น่าฮักกะผีอีป้ออีแม่คิงก๊า แต่ละตัวฝันห่าเหวอะไรบัดซบขนาดนั้นวะ ยัยครูเห็นผมเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้ตอบเลยมองลอดแว่นตาที่ไม่รู้ว่าแปะอยู่บนก้อนใส ๆ ได้ยังไง “ปุรินรินล่ะจ๊ะ อยากโตไปเป็นอะไร”
“เทพอย่างปุรินรินต้องอยากเป็นราชันสไลม์แน่เลย~” ยัยปาปาที่ฝันอยากเป็นขนมชิงตอบก่อนที่ผมจะคิดคำตอบออก
ราชันสไลม์บ้าบออะไร ตรูไม่เป็นด้วยหรอกเฟ้ย ฟังดูก็รู้ว่าเป็นแค่บอสกาก ๆ โนวิสเลเวลแปดยังไม่ทันได้เลือกอาชีพก็ตบตายในไม่กี่ทีแล้วมั้ง เกิดใหม่ทั้งทีเป็นอะไรเสือกไม่เป็น ดันเป็นสไลม์สีโง่ ๆ โคตรปัญญาอ่อน
“ครูฮะ!” ลูกคู่ของปิ๊วปิ๊วที่คอยช่วยชงตะโกนแทรกขึ้นมา ครูสาวสไลม์สีม่วงจุปากเบา ๆ ให้เขาเงียบปล่อยให้ผมได้พูดก่อน แต่เขาก็ยังไม่หยุด “ครูฮะ! ผู้กล้าฮะ~”
“อ๋อ ปุรินรินอยากเป็นผู้กล้าเหรอจ๊ะ เป็นความฝันที่—-โผล๊ะ!”
ครูพูดยังไม่ทันจบก็ถูกมีดสั้นจากด้านหลังปักเข้ากลางหัวจนแตกดังโผล๊ะกลายเป็นน้ำเหนียวสีม่วงที่สาดใส่เต็มหน้าเหล่าสไลม์อนุบาลที่ล้อมวงกันอยู่ ส่วนแว่นตาที่เคยอยู่บนหน้าก็ร่วงแกร๊งลงกับพื้น ระหว่างที่เด็ก ๆ มองหน้ากันแบบไม่รู้จะทำยังไงดี ก็มีเสียงประกาศขึ้นเสียก่อน
“ผู้เล่น วันนี้พี่มาคนเดียว กำจัดครูสาวสไลม์ม่วงเลเวล 4 ได้รับ 35 exp. และดรอปไอเทมเควสแว่นตาสไลม์”
ผมกระโดดขึ้นแล้วหันตัวไปมองด้านหลัง ทุ่งสไลม์ที่แสนสงบสุขเริ่มมีเหล่าชายหญิงในชุดผ้าฝ้ายโทรม ๆ ยังไม่ได้เลือกอาชีพเกาะกลุ่มฟาดฟันก้อนสไลม์หลายสีกันอยู่
“หนีสิเว้ย รอพ่อเอ็งมาตัดริบบิ้นเรอะ” พอผมพูดจบเหล่าสไลม์เด็กก็แยกย้ายหนีไปคนละทางทั้งที่ยังร้องไห้กันจ้าละหวั่น ส่วนผมกระโดดดึ๋ง ๆ เผ่นหนีไปทางที่คิดว่าจะมีผู้กล้าน้อยที่สุด
ส่วนคำตอบที่ว่าเกิดใหม่มาอยากเป็นอะไร ก็มีคำตอบเอาไว้ในใจแล้ว
ตูไม่อยากเป็นอะไรทั้งนั้น ตูขอแค่มีชีวิตอยู่รอดไม่โดนโนวิสตบตายก็พอ!
จริง ๆ น่าทำ experiment นะ เขียนด้วยภาษาแบบนี้ เนื้อเรื่องลามกหน่อยนิด ๆ ฮาเร็มหน่อย ๆ เพิ่มจิ้นวายอีกนิด ความยาวสัก 2-3 หน้าก็พอ เขียนล่วงหน้าไว้สัก 20 ตอน แล้วอัพทุกวัน อยากรู้ว่ามันจะไปได้แค่ไหน แต่คงใช้ id ใหม่ว่ะ นี่แม่งคนละแนวกับที่กูเขียนโดยสิ้นเชิงเลย 5555
“ไลท์เทนนิ่งซื้อรถใหม่ว่ะ Pagani Zonda รุ่น HP Barchetta สีดำ หมดไปสิบแปดล้านเหรียญเลยนะเว้ย” เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นมาจากหูฟังทรูไวร์เลสที่เขาสวมเอาไว้ทางด้านซ้าย หลังจบประโยคนั้นก็มีเสียงสวนขึ้นมาทันที
“ปัญญาอ่อน แม่งยังไม่เลิกโรคเด็กม.สองอีกเรอะ รถเด่นขนาดนั้น คงได้โดนคนมุงก่อนได้ขับหนีอีกมั้ง ไอ้เวรนี่แม่งโคตรไม่มืออาชีพ เดี๋ยวก็ได้ชิบหายกันทั้งวงการ”
“ใจเย็นน่าแอล” เขาหัวเราะเบาแล้วกระซิบกลับแผ่วเบา ดวงตาข้างขวายังคงจ้องกล้องซูมคุณภาพสูงที่ส่องไปยังอาคารฝั่งตรงข้าม “ยังไงคนชิบหายก็ไม่ใช่พวกนายหน้าแบบนาย จะไปเดือดร้อนแทนมันทำไม”
“แม่งปัญญาอ่อนกันทั้งผัวทั้งเมีย” คนเปิดเรื่องประเด็นยังคงลากเข้าเรื่องเดิมด้วยความขำขัน “เดือนก่อนยัยบลัดวูล์ฟเมียมันก็เพิ่งถอยแลมโบกินี่ สรุปจอดไม่ต้องแจว วีคก่อนเจอรถติดอยู่สุรศักดิ์เข้าไปจบงานไม่ทัน เห็นว่าโดนกระทืบจนม้ามแตกตอนนี้ยังออกจากโรงบาลไม่ได้เลยมั้ง”
“หมายถึงงานอุ้มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองสินะ” แอลหัวเราะลั่น “กรุงเทพแม่งเมืองหลวงแห่งรถติดนะเว้ย คิดบ้าอะไรซื้อแลมโบมาขับวะ ผัวเมียคู่นี้เหมาะสมกันดีแล้ว”
“คู่นี้มันเพี้ยนตั้งแต่ตั้งชื่อแล้ว ตอนเด็กๆ อ่านการ์ตูนกันมากเกินมั้ง” ชายคนต้นเรื่องพิมพ์อะไรสักอย่างดังก๊อกแก๊ก ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า “นายล่ะแมตต์ เห็นงานก่อนได้มาหลายล้าน ไม่สนใจถอยซูเปอร์คาร์กับเขาสักคันเหรอ นายแม่งความหวังของตี้ ‘ฟอร์ตไนท์จะเล่นตอนไหนก็ได้โตแล้ว‘ ของพวกเรานะเว้ย”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบเป็นจุดเด่นขนาดนั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาเหมือนตาแก่ไม่เหมาะกับหน้าตาที่ดูยังไงก็วัยรุ่นเอเชียอายุไม่น่าเกินยี่สิบ “ขอแค่รองเท้าดีๆ สักคู่ก็พอแล้ว”
“หรือไม่ก็สเก็ตบอร์ดดีๆ สักอัน” แอลหยอกอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังนัก แต่ประโยคต่อมาเรียกว่าชมจากใจจริง “ทำไมไอ้โง่พวกนั้นมันไม่รู้จักทำตัวให้เนียนๆ อย่างนายวะ ฉันยังประทับใจงานที่มาเรียสแควร์ หลังจบงานนายแม่งไถสเก็ตบอร์ดออกไป ตำรวจเจอนายยังไม่สงสัยเลย”
แน่ล่ะ ตำรวจจะไปสนใจอะไรเด็กเอเชียวัยรุ่นทำผมสีทองคล้องเฮดโฟนและไถสเก็ตบอร์ดผ่านไปกัน มองยังไงก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเมื่อกี้เขาเพิ่งเอาลูกกระสุนกรอกปากนักธุรกิจใหญ่มา
“พอๆ นางแอ่นใกล้ถึงแล้ว รอติดไฟแดงอยู่แยกหน้า” ผู้ให้ข้อมูลกล่าวตัดจบแล้วปล่อยให้คอลกลุ่มเหลือแต่ความเงียบงันให้แมตต์ได้มีสมาธิทำงานเต็มที่ เขาสอดนิ้วเข้าไปในโกร่งปืนรอจนรถเก๋งสีดำจอดเทียบประตู ชายวัยกลางคนในชุดสูทค่อยๆ เดินออกมาทักทายกับคนรอบข้าง จากนั้นก็เหนี่ยวไกใส่เลขาของเขา
กระสุนหนึ่งนัดทะลุเข้ากะโหลกศีรษะจบชีวิตนกนางแอ่นผู้เป็นเป้าหมายเรียบร้อย เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนคิดเก็บเลขาของผู้นำประเทศ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องรู้ เขาเป็นนักฆ่า รู้แค่ว่าเป้าหมายคือใครก็พอ
“เอ้า จบงาน เก็บของกลับได้” ผู้ให้ข้อมูลกล่าวสั้นๆ แล้วตัดสายคอลกลุ่มไป แมตต์รีบถอดปืนสไนเปอร์เก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว จากนั้นค่อยหยิบหมวกและแจ็กเก็ตสีเขียวสดมาใส่ตามด้วยสะพายกล่องใส่อุปกรณ์บนหลัง
“เสร็จแล้วหรือไอ้หนุ่ม” ยามร่างกายสูงใหญ่วัยไม่เกินห้าสิบดักเขาไว้ก่อนที่แมตต์จะเดินออกจากตึก เขาหันไปพยักหน้าและยิ้มแย้มด้วยความเป็นมิตร “มาส่งอะไรล่ะ?”
“ส่งปูดองน้ำปลาให้ชั้นสิบหกครับ เดี๋ยวมีงานต่อต้องไปซื้อเกาลัดที่เยาวราช”
ยามคนนั้นมองด้วยสายตาเห็นใจ มือตบลงบนไหล่ของเขาเบาๆ ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่ากล่องที่สะพายบนหลังคือกล่องอุปกรณ์ปืนไม่ใช่กล่องใส่อาหาร “ยังหนุ่มยังแน่นก็ขยันทำมาหากินแล้ว ลุงไม่กวนเอ็งล่ะ ไปส่งของต่อเถอะ”
แมตต์ยกมือไหว้แล้วเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้หน้าอาคาร เขาคาดกล่องอุปกรณ์ไว้ท้ายรถกระชับแจ็กเกตเข้าหากันเล็กน้อย สายตาไม่แม้แต่จะเหลือบมองความวุ่นวายทางฝั่งตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ
งานเรียบร้อย คนไม่น่ารอด อีกไม่กี่วันเงินค่าจ้างคงจะถึงมือ ตอนนั้นเขาคงซื้อรองเท้ากีฬาคู่ใหม่ที่เหมาะกับการวิ่งปีนป่ายเอาไว้คุยอวดเพื่อนร่วมอาชีพในคอลเกมสักที
แมตต์สวมหมวกกันน็อคสีเขียวสะท้อนแสงที่เขียนว่า GrabFood จากนั้นก็ขับมอเตอร์ไซค์คันโทรมออกไปตามถนนพระรามเก้าที่เริ่มรถติดขนัด ไม่มีใครสนใจพนักงานส่งอาหารคนนั้นเลยสักคน
ท่ามกลางสวนลุมพินีเวลาห้าโมงเย็นที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินและใกล้ได้เวลาเคารพธงชาติ ชายวัยห้าสิบกว่าทรุดนั่งบนม้านั่งที่มีกระเป๋าหลายใบวางกองกันอยู่ เขาเอื้อมไปหยิบขวดน้ำจากกระเป๋ายี่ห้อดัง ก่อนจะหยิบแคปซูลละลายน้ำได้จากกล่องโลหะแล้วหย่อนเม็ดยาลงไปเมื่อมั่นใจได้ว่าไม่มีใครสังเกตเห็น เพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินก็ปลีกออกมาจากกลุ่มเพื่อนที่เล่นตะกร้อกันอยู่ไกล ๆ และเดินตรงเข้ามา คงเป็นเจ้าของกระเป๋าใบที่ว่า
"น้องเป็นเจ้าของกระเป๋าใบนี้หรือเปล่า" เขาชี้กระเป๋าพร้อมเอ่ยถาม น้ำเสียงของชายวัยกลางคนแข็งกระด้างยิ่งกว่าหินแกรไฟต์ หน้าตาถมึงทึงบ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตร
"ใช่ กระเป๋าผมเอง" เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมองขึ้นด้วยท่าทางไม่เป็นมิตรไม่ต่างกัน อย่าคิดว่าอายุเยอะแล้วจะมาทำข่มกันได้ อายุไม่เกี่ยวใส่เดี่ยวได้หมด จะรุ่นเล็กรุ่นใหญ่เจอตีนเข้าไปก็ลงไปนอนวัดพื้นได้เหมือนกัน แล้วตีนเขาก็เบอร์สี่สิบห้าเหมาะจะทาบหน้าคนได้พอดี "ลุงจะซื้อเหรอ ผมไม่ขาย มีไรป่าว"
"ไม่ได้จะซื้อ" คิ้วของชายวัยเกือบห้าสิบกระตุกเข้าหากัน เริ่มปวดประสาทที่ไอ้เด็กนี่ชักจะเริ่มกวนส้นเท้า "น้องรู้ไหมกระเป๋าใบนี้มันละเมิดลิขสิทธิ์"
"อ้าว งั้นเหรอ มีคนให้ผมมาอ่ะ ผมจะไปตรัสรู้ได้ยังไง" เด็กหนุ่มยักไหล่แล้วมองกระเป๋าอย่างไม่ยี่หระ แค่กระเป๋าใบหนึ่งยังต้องมาตรวจสอบกันแบบนี้ ตำรวจบนโลกนี้คงว่างงานกันเกินไปแล้วม้าง
"พี่เป็นตำรวจนะน้อง" ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่สนใจหน้าที่ที่บ่งบอกว่า ‘โอ้โห แก่จนหนวดขาวยังจะมีหน้าเรียกตัวเองว่าพี่อีก’ ของอีกฝ่าย "ขอดูบัตรประชาชนหน่อยได้ไหม"
"เอาไปทำไม ลุุงจะจับผมเหรอ?" เด็กหนุ่มหรี่ตาลงมอง “อยู่ดี ๆ มาบอกว่าเป็นตำรวจแล้วมาขอบัตรประชาชนนี่นะ เป็นมิจฉาชีพเปล่าลุง? มีใบไหม? ถ้าไม่มีผมจะแจ้ง"
"แค่อยากดูบัตรเฉย ๆ " คนที่บอกว่าตำเองเป็นตำรวจยังคงไม่ยอมแพ้ จากท่าทางดุดันกลายเป็นอ่อนโยนขึ้นแทน เขาส่งขวดน้ำที่ใส่แคปซูลยาลงไปให้เด็กหนุ่มคนนั้น “บ้านเราอยู่แถวนี้เหรอ เล่นตะกร้อเหนื่อย ๆ กินน้ำหน่อยไป”
“ผมไม่กินเว้ย ลุงใส่ไรลงไปในน้ำเปล่าวะ”
“ไม่ใช่น่า กินหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่ให้ตังค์กินหนมก็ได้” ชายวัยกลางคนทำท่าจะควักกระเป๋าเงินออกมา
“ลุงห่านี่แม่งเป็นไรของมันวะ” เขาขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วตะโกนไปหาเพื่อนที่เตะตะกร้อกันอยู่ข้างหลัง “ไอ้ชาติ ไอ้เปิ้ล มานี่หน่อยดิ๊ ไอ้ลุงนี่มันมีพิรุธว่ะ สงสัยอยากโดนยำตีน”
ค่ำวันนั้นดอกเตอร์ก็กลับไปด้วยท่าทางหมดสภาพตาแตกหมอไม่รับเย็บ ส่วนขวดน้ำเวรนั่นโดนโยนทิ้งถังขยะไปแล้ว
>>409 แรกๆ สังเกตเห็นความพยายามจะฟองเบียร์ แต่พอถึงครึ่งหลังสำนวนมิงกลับมาเป็นของตัวเอง การเล่าเลยกระชับขึ้นเอาดื้อๆ แต่ก็ขอบใจมาก
ลึกๆ แล้วมิงทำให้กุนึกถึงโม่งที่แต่งนิยายว่าตัวเองแต่งนิยายแนวกระแสในเด็กดวก แล้วมียอดวิวถล่มทลาย มีอยู่ตอนนึงมันจงใจเขียนผิดหลายคำ ใช้คะ/ค่ะ ผิดรัวๆ จนกุยอมรับในความพยายามของแม่งเลย
1
ผมดูรูปDLCแล้วชักว่าวครั้งแรกตอนอายุ 25 เพราะผู้หญิงคนหนึ่งบอกผมว่า
“อย่าพูดว่าตัวเองบ้าหีเลย ถ้าดูรูปวงไอดอลแค่สองวงต่อเดือน และไปงานจับมือเพื่อกลับบ้านมาชักว่าวแบบไม่ล้างมือ”
หยิ่งผยอง ผมเสียหน้า
ผมคุยกับเธออีกสองสามประโยคก็พบว่าเธอชอบหนังนอกกระแส เธอชอบ เลว2018 กับ ขรัวโต อมตะเถระ พร้อมเล่าเรื่องย่อให้ผมฟัง ผมคุ้นๆ และผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมเคยดูนานแล้ว นั่นมันเรื่อง “ไอ้หนุ่มขาลาย ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง” กับ “นักบวชตาชั้นเดียว” นี่หว่า เห็นชื่อหนังกูก็นึกว่าหนังตลาดๆทั่วๆไปที่ไหนได้แม่งหนังอะไรก็ไม่รู้ ผมทนเธอไม่ไหวเลยรีบปลีกตัวออกมา เดินกลับไปหาเพื่อน กระซิบบอกมัน ดนตรีการาจร็อคดังกระหึ่มเป็นฉากหลัง...อีห่าโลกมันไปถึงไหนมึงยังเปิด "มหาลัยวัวชน" อีกเหรอ
“ผู้หญิง คื อ ลื อ คนนั้นใครวะ นมหยั่ยชิบหาย”
เพื่อนบอกไม่รู้เหมือนกัน (อ้าวแล้วเนียนมาหลอกด่ากู ?) ดูเหมือนเธอมาคอยผัว เธอยืนผงกตามจังหวะดนตรี เธอใส่เสื้อ อะไรสักอย่างคล้ายเครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เสี้ยววินาทีที่ผมจ้องเสื้อของเธอ เธอรู้ว่าถูกมอง เธอมองตรงมาหาผม เธอมองเพื่อถามว่า “มึงจ้องนมกูอยู่ใช่มั๊ย ?”
2
คืนต่อมา มีคนถ่ายรูปเธอลงในเพจ “คุ ณ ภ าพ” แต่ไม่มีใครแทคเธอ
มีแต่คนคอมเม้นว่า ห อ ม ไม่ก็ คื อ ลือ ผมไม่เข้าใจมาจากจังหวัดไหนกันเนี่ยพวกท่าน
3
สองสัปดาห์ต่อมา ผมไปงานเปิดนิทรรศการของแกลลอรี่หนึ่ง ทั้งที่ไม่รู้ว่าไปทำไม แต่น่าจะมีของฟรี ช่วงนั้นเงินเดือนใกล้หมด อะไรประหยัดได้ผมก็ไป บางครั้งผมไม่รู้ว่าออกจากห้องไปทำไม เสียทั้งค่ารถ รวมๆกันก็เท่ากับแดกลาบข้างทางอิ่มๆสักมื้ออยู่ดี
ผมยอมรับว่าผมลืมไปแล้ว เพราะสาวๆในเพจ คุ ณ ภ า พ แม่งน่าจดจำมากกว่า น้อง คื อ ลื คนนั้น แต่เธอดันอยู่ที่นั่น อกหนาๆ เสื้อเหี้ยอะไรสักอย่างกึ่งๆคอสเพลย์ ผมว่าเธอไม่รู้ว่าเธอมีความพยายามเห็นเด่นชัดแน่ๆ ผมเริ่มประโยคแรก “ผมดูหนังเลว2018 แล้วนะ สนุกดี”
เธอบอก “ดูเพราะมันเป็นหนังแอ๊คชั่นน่ะสิ”
เธออัปเปอร์คัตขวา ผมหลบไม่ทัน อะไรวะ ผู้หญิงคนนี้
“คุณเป็นคนที่ไหนคนจังหวัดอะไร” ผมอยากรู้จริงๆ “เป็นไอดอล นักร้อง หรือ หางเครื่องเต้นประกอบแบคกิ้งแทรค หรือ ขายแฟนเซอร์วิสให้โอตะ”
เธอตอบ “ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง”
“แต่เป็นกระหรี่ใช่มั๊ย?” ผมถามโพล่งไปอย่างไม่รู้ตัว สายตาจับอยู่ที่หน้าอกของเธอ เธอตอบคำถามผมด้วยการตบฉาดเข้าที่ใบหน้า ในขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากขอโทษ เธอก็พูดยิ้มๆ
“คุณชัดเจนดี ฉันจะเย็ดกับคุณ”
4. ไม่น่าเชื่อ ผมมาโรงแรมม่านรูดครั้งแรก กับผู้หญิงแปลกหน้า (เอาจริงๆผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือเปล่า) เรามาโรงแรมตอนเย็นๆ เธอบอกว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย เธอเดินตามผมต้อยๆ ดูสงบและผยองน้อยลงกว่าที่เคยเป็น ผมพาเธอไปเดินซื้อของ7/11 แวะ ซื้อถุงยางด้วย อากาศที่อบอ้าวทำให้ผมและเธอเหงื่อแตกพลั่ก เสื้อบางๆของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ มองเห็นสายยกทรงสีดำและเนินอกใหญ่ตระหง่าน “ร้อนจังเลย” เธอบ่น “คนจะเย็ดกันเค้ามีอารมณ์เอากันได้ยังไงนะ อากาศแบบนี้” ผมสะดุ้งกับคำถามลอยๆของเธอ นึกในใจว่า “แต่กูไม่เคยเย็ดใครเลยนี่หว่า...”
5. เรากลับเข้าห้อง หลังจากที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เธอก็พุ่งตัวเข้าห้องน้ำ ไม่มีท่าทีเขินอายใดๆกับสายตาของผมที่จ้องมอง ห้องน้ำโรงแรมเป็นกระจกใส แต่เธอทำทุกอย่างราวกับผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่นั่น เธอเปลื้องผ้า ขับถ่าย แปรงฟัน อาบน้ำราวกับจะใช้น้ำทั้งโรงแรมไปกับการอาบครั้งนี้ ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพันตัวหลวมๆ และล้มตัวนอนทันที ผมสำรวจ สำรวจเธอ แล้วก็ได้รู้ว่านมเธอใหญ่จริงๆ มือก็ใหญ่ เท้าก็ใหญ่ ไม่ใช่สเปคผมหรอกที่จริง ผมชอบผู้หญิงที่มือเท้าเล็กๆ ที่แน่ๆ ระหว่างรอเทออาบน้ำผมก็ชักว่าวกับDLC จนหมดแรงแล้ว
แถวๆนี้มีอะไรดีบ้างผมไม่รู้แล้ว เพราะหลังจากวันนั้น เราสองคนก็แทบจะไม่ได้ออกจากห้องกันอีกเลย...
6. กลับจากโรงแรมวันนั้น ผมก็หายไปจากชีวิตเธออย่างถาวร มีเพียงสายสัมพันธ์ทางโซเชียลที่ไม่ได้ตัดขาด
7. กลางดึกคืนหนึ่ง เธอโทรมา หนึ่งปีได้มั้ง หลังจากคืนนั้น
เธอถามว่า “ถุงยางกล่องที่เธอลืมไว้ตรงหัวเตียงวันนั้น ยังไม่ได้แกะออก เราขอเอาไปใช้กับลูกค้าใหม่นะ”
ผมตัดสายทิ้งทันที
8. ผมไม่กล้าบอกเธอ ว่าตอนนี้ผมชักว่าวกับรูปผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่ด่าว่าผมเป็นพวกขี้โม่ยเพราะผมไม่เคยอ่านหนังสือโฟโต้บุคของสนพ ปลาสด ก่อนหน้านั้นผมก็เจอผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หาว่าผมเป็นพวก ประชาธิปไตย จอมปลอมเพราะไม่เคยกระทืบเมียเพราะหาเมียไม่ได้ หรือก่อนหน้านั้นอีก กับผู้หญิงที่ดูถูกผมว่าถ้าทนฟังไม่ได้ก็เอามืออุดหูไป ผมเจอผู้หญิงแบบนี้เยอะแยะมากมาย ทุกคนล้วนไม่ใช่สเป็ค แต่ก็ทำได้แค่ เซฟเธอ แล้วชักว่าวๆ
9. คิดดูแล้ว นักบินอวกาศก็คงเป็นแบบนี้ใช่ไหม ที่วันๆเอาแต่นั่งขัดจรวดอะครับ น้องๆครับ...
โรงเรียนวิปโยค ไทรโศกเจ้าเอ๋ย ยามนี้กิ่งใบร่วงโรย ไร้แรงจะสั่นไหว....
"เฮ้ย เทอมนี้โรงเรียนเรามีเด็กทุนด้วยว่ะ"
เสียงพูดคุยซุบซิบที่แพร่หลายไปทั่วกลุ่มนักเรียนคงไม่พ้นประเด็นร้อนที่สุดของการเปิดเทอมใหม่วันนี้ เมื่อผู้อำนวยการคนปัจจุบันรับนักเรียนทุนที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์รอบยี่สิบปีเป็นกรณีพิเศษ
โรงเรียนเอกชนชายล้วนแห่งนี้ไม่ใช่ว่าจะเข้ามาเรียนกันง่าย ๆ นอกจากเป็นลูกหลานของศิษย์เก่าหรือมีเส้นสายแนะนำเข้ามา ยังต้องบริจาคเจ็ดหลักขึ้นไปถึงจะสามารถมีสิทธิ์ในการสอบเข้าได้ นักเรียนใหม่คนนี้ไม่มีทั้งเส้นสาย ไม่มีทั้งเงินทอง แต่เข้ามาด้วยผลการเรียนและการสอบเข้าล้วน ๆ เรียกว่าไม่ยุติธรรมสำหรับสถานที่ที่ใช้เงินตราแทนอำนาจอย่างที่นี่แล้ว
"ไอ้แว่นนั่นเปล่าวะ? มาถึงก็ได้อยู่ห้องคิงเลยนะมึง"
สายตานับสิบพุ่งไปยังเด็กหนุ่มตัวผอมกะหร่องสวมแว่นตาหนาเตอะ ผมสั้นเกรียนแบบเด็กโรงเรียนรัฐบาบ ข้างหลังสะพายกระเป๋าเป้โทรม ๆ ใบโต ชุดนักเรียนแม้เป็นของใหม่แต่ก็ไม่ใช่ของสั่งตัด ท่าทางขัดสนต่างจากนักเรียนคนอื่นที่เนี้ยบหรูตั้งแต่หัวจรดเท้า ความแปลกแยกจากภายนอกของเขาทำให้เด็กที่เติบโตมาจากสังคมเงินต่อเงินส่วนหนึ่งย่นคิ้วมองด้วยสายตากึ่งดูแคลนกึ่งเวทนา ขณะที่อีกส่วนมองด้วยสายตารังเกียจอย่างชัดเจน
ขี้เกียจแต่งแล้วอ่ะ เทละกัน
>> 417 9.นี่ซิกเนเจอร์พรี่โจวเลยอ่ะครับ
คือไรวะ กระทู้เเต่งนิยายเหรอ
มีใครเคยเเต่งนิยายพล็อต ฆาตกรต่อเนื่องศาลเตี้ยที่ติดคุก
เเล้วไปฆ่านักโทษในคุกโดยมีพวกพัศดีเป็นคนช่วยสนับสนุนยังวะ กลัวซ้ำ
กูยังไม่เคยเเต่งนิยาย เเต่ขอกูพิมพ์เเปป
Q-49094
"ขอบคุณมาก คุณพัศดี"
เขาบอกเเก่กล้องวงจรปิดหน้าคุกมืด Qได้ก้าวออกไปจากห้องเเห่งนี้เหมือนมันเป็นห้องของเขาเองทุกคืน เพื่อไปหามิตรสหายที่จะได้รับอิสระภาพเเบ่งปันช่วงเวลาสุดท้ายของตน
เสียงเหล็กครูดกันนานไม่ถึง5วิ ประตูห้องขังหนึ่งเปิดออก นักโทษชาวอเมริกันร่างสมส่วนสูงราว6ฟุตที่อยู่ข้างในรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง พลางคิดสงสัยว่าข่าวนักโทษล้นคุกส่งผลให้ต้องปล่อยนักโทษออกไปอย่างลับๆที่เพื่อนร่วมเเดนของเขาบอกท่าจะจริง ไม่ถึง10วิหลังจากประตูเปิดเขาก็วิ่งโห่ร้องดีใจออกมา
ความทรงจำของเขาจบลงเเค่นั้น
4ชั่วโมงหลังจากสลบไป เขาสะดุ้งตื่น ภาพเเรกที่เห็นคือความมืด เเละความเจ็บปวดทั้งท่อนล่างนับตั้งเเต่ราวนมลงไป
ควยกูไปต่อไม่ได้ละ
ยังไง
ต่อนะ
4ชั่วโมงหลังจากสลบไป เขาสะดุ้งตื่น ภาพเเรกที่เห็นคือความมืด เเละความเจ็บปวดทั้งท่อนล่างนับตั้งเเต่ราวนมลงไปที่รู้สึกเจ็บทุกลมหายใจ
*โพละ*
เสียงของเเข็งกระทบกะโหลกของตัวเขาเอง นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่สัมผัสของเขาสัมผัสได้
เสียงออดปลุกให้นักโทษทุกคนตื่น บ่งบอกเวลา6นาฬิกาในตอนเช้า เเละเป็นเวลาที่Qพ้นโทษจากคุกมืดเช่นกัน
ห้องของรวมของเขามีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา บรรลุนิติภาวะได้ไม่ถึง5ปี รอลงอาญา Qที่เดินสวนฝูงนักโทษไปทางห้องขังของตนกำลังเห็นพวกผู้คุมนำตัวนักโทษคนนี้เขาห้องขังของเขา Qก็เดินตามเข้าไปเเบบไม่พูดอะไร
ทั้งสองฝ่ายเงียบใส่กัน
"ไปทำอะไรมา" Qพูดด้วยเสียงเรียบ
"..."
"มันเอาอีกเเล้วเหรอ"
"เออสิวะ จะกี่คนกี่คนมันก็ทำเเบบนี้ตลอด"
"ตัวกินนักโทษโดยเเท้ ไม่จับมันขังลืมในคุกมืดเลยวะ"
"ก่อนที่มันจะเข้ามามันก็ทำเเบบนี้ พอมันเข้ามามันก็ยังทำเหมือนเดิม เหยื่อที่ตรงความต้องการเต็มไปหมดเเบบนี้ สำหรับมันไม่เรียกว่าคุกหรอก"
"อย่างน้อยก็เอาพวกที่เป็นใบ้ ไม่ก็พวกที่ไม่ได้ก่อคดีอะไรร้ายเเรงไปขังกับมันก็ได้"
Qโดนส่งกลับเข้าสู่คุกมืด
"ขอบคุณมากที่มาส่ง"
เหี้ยไรวะกูไปต่อไม่ได้ละ
‘คุณพ่อของผมคือบุรุษรูปงามร่างสูง เป็นชายที่มีลักษณะโดดเด่นเกินใครคนไหน ผมสีทองเงางาม ดวงตาเรียวคมสีฟ้าสดใส ผิวสีแทนเพราะคล้ำแดด คุณพ่อมีเสน่ห์แบบที่ไม่มีผู้ชายคนไหนมี ทั้งคุณพ่อยังใจดี ท่านเลี้ยงดูลูกทุกคนอย่างยุติธรรม
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นลูกชายคนที่เท่าไหร่ของคุณพ่อ แต่คีธ พี่ชายที่แก่กว่าสามปี บอกเสมอว่าให้จำเอาไว้ว่าผมเป็นลูกคนสุดท้าย เพราะอย่าไปจำเลยว่าเป็นลูกคนที่เท่าไหร่
....เพราะคุณพ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...
ตอนก่อนนอนคุณพ่อมักจะมาเล่านิทานให้ผมฟัง หลังจากที่คุณแม่จากไป หน้าที่เล่านิทานก็ตกไปเป็นของคุณพ่อ วันไหนที่คุณพ่อไม่ว่าง พี่อินกริดพี่ชายคนโตที่เหมือนคุณพ่อมากที่สุดในบ้าน (ผมไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่เหมือนนะครับ) จะมาเล่านิทานแทนคุณพ่อ นิทานที่คุณพ่อเล่ามักจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจเสมอ เรื่องของปีศาจ ปีศาจที่ซุกซนแกล้งมนุษย์บ้าง ปีศาจที่หลงรักมนุษย์ ปีศาจที่อยากเป็นมนุษย์...
ผมถามคีธว่าทำไมคุณพ่อถึงชอบเล่านิทานปีศาจ คีธมักจะหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง
...เพราะว่าคุณพ่อก็เป็นปีศาจเหมือนกัน...’
คัดลอกจากเรียงความเรื่อง ”คุณพ่อของผม”
เด็กชายเอลตัน เครสเซนฟรันท์ เกรด 4
จับไอเหี้ยQขังลืมในคุกมืด จบ ใครก็ได้เเต่งต่อที
มึงว่าเเต่งนิยายเป็นจักรวาลจะเวิร์คปะ
กูไม่ได้อ่านหนังสือเป็นเล่มนอกจากโทรศัพท์มา3-4ปีละ อาจจะ5ปีเเล้วด้วยซ้ำ เฮ้อ
ใครก็ได้ช่วยเขียนฉากบู๊ให้อ่านหน่อย กูเขียนไม่เป็น
“หากเจ้าเลือกรักเขา เจ้าย่อมมิอาจเคียดแค้นเขาได้”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะเขามิอาจปล่อยให้คนที่เคียดแค้นเขามีชีวิตอยู่ร่วมโลกกับเขาได้ เขาโหดเหี้ยมเย็นชาเช่นไร เจ้าเคยเห็นเขาไว้ชีวิตศัตรูด้วยหรือ”
“...”
“หากเจ้าเลือกรักเขา ย่อมมิอาจเดินคู่เคียงข้าง ทำได้เพียงก้าวเดินตามหลังเขาเพียงเท่านั้น”
“เรื่องนั้นข้ารู้ดี...”
“หากเลือกรักเขาแล้ว ด้วยพลังฝึกปรือระดับนั้น วันหนึ่งเขาสละสิ้นกิเลศ ละทิ้งโลกนี้โบยบินข้ึนไปเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ เจ้าย่อมมิอาจฉุดรั้งเขาไว้ได้”
“...”
“ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเป็นคนอ่านบรรยากาศเก่งกาจกว่าใคร หากกลับเข้าใจสถานการณ์เก่งยิ่งกว่า มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าเจ้าหลงรักเขา”
“...”
“เสิ่นหยูอี้...หากเลือกรักเขาแล้วหนึ่งชั่วชีวิตของเจ้าย่อมบัดซบไม่สุขสมหวัง เช่นนั้นเจ้ายังจะเลือกรักเขาอีกหรือ”
“...ข้าย่อมเลือกรักเขา”
“เช่นนั้นข้าก็หมดวาจาจะกล่าวแล้ว”
อ้าวเรอะ
27 ชั่วโมงก่อนโศกนาฏกรรม
ผมถูกปล่อยตัวออกมาอย่างลับๆจากคุก เพื่อมาตามหาผีอย่าง"ฆาตกร14รัฐ" "รอยเลือดเเห่งเมืองหลวง" หรืออะไรก็ตามเเต่ที่นักข่าวสมัยนี้เขาเรียกกัน ผีย่อมเห็นผี ภาษิตนี้จึงทำให้ผมได้ออกมาสูดอากาศนอกคุกหลังจากอยู่ในนั้นมากว่า2ทศวรรษ เเม้สงครามเวียดนามจะจบไปเกือบสิบปีเเล้ว ผีตนนี้ก็ยังเที่ยวยิงคนไปทั่วพร้อมขโมยรถคนอื่นอยู่ หลบหนีจากผู้บังคับใช้กฎหมายทั่วประเทศได้เป็นปีๆ ต้องมีคนใหญ่คอยบังมันไว้เเน่
ผมคิดไปพลางขับรถเพื่อไปรับข้อมูลของผีตนนี้กับเเฟนคลับที่ส่งจดหมายมาหาผมถึงในคุกตลอด5ปีมานี้
หลังจากที่ได้เบาะเเสที่เเฟนคลับคนนั้นให้มาได้ให้มา
มันก็นำผมมาถึงที่ที่เคยเป็นที่เกิดเหตุ ไกลปืนเที่ยง เขตชายเเดน
การฆ่าคนเเล้วชิงรถไปในที่เเบบนี้ ไม่ต่างกับการล่องหน ไม่รู้ว่าไปทางไหน ไม่รู้ว่าไปถึงไหนเเล้ว เเถมไม่รู้ว่ารถอะไรด้วย จะใบขับขี่ บัตรประจำตัวของเหยื่อ รอยนิ้วมือของตน หรือเเม้เเต่รอยนิ้วมือของเหยื่อมันก็ไม่ทิ้งไว้ให้
งานนี้ท่าจะไม่ง่ายเหมือนที่เคยทำ เเต่มันก็ไม่เคยง่ายสักทีนั่นเเหละ
นั่นไงล่ะตัดจบเเบบชับๆ ก็กูเเต่งต่อไม่ได้เเล้วอะ
Q เจอกับผีตนนั้นโดยบังเอิญ
Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว Wing walk, Wing walk , Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว. ย๊ากกกก....
Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว Wing walk, Wing walk , Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว. ย๊ากกกก....
Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว Wing walk, Wing walk , Wing walk ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว ฉัว. ย๊ากกกก....
Q หายใจเฮือกทุกครั้งที่หายใจเข้า เขาพยายามประคองสติเพื่อทำการกำจัดศพ ขณะที่เเผลกว่า30เเห่งทั้งฉกรรจ์ทั้งเล็กน้อยของเขาส่งความเจ็บให้เขารับรู้เป็นระยะ ๆ
Q ตัดสินใจไม่กลับเข้าเรือนจำ เขาไม่ขอทิ้งอิสรภาพที่อยู่กลับไปในเเหล่งรวมกากเดนมนุษย์ ถึงเเม้ว่าเขาจะชอบฆ่าพวกสวะราวกับการหายใจก็ตาม
เขาตัดสินใจหนีออกนอกประเทศไปตายเอาดาบหน้า
แต่ระหว่างที่กำลังหลบหนีนั้นเอง Q ก็ทรุดลงเพราะเสียเลือดมาก รถอีแต๋นที่ส่ายไปมาเพราะคนขับเมา พุ่งมาทาง Q พอดี จนนักโทษหนุ่มถูกอิเซไคไปยังโลกของนิยายเรื่อง "โอกาสที่ 2 เกิดใหม่ไปเป็นปาดแก่ง ใครทักเรื่องพิมพ์ผิดพ่อตาย"
>>458
“เชี่ยเอ๊ย นี่มันนิยายแฟนตาซีที่เคยเขียนสมัยม.2 นี่หว่า” Q พึมพำก่อนจะอ้าปากค้างมองผู้กล้าที่กำลังกวัดแกว่งดาบขนาดยักษ์ที่มีชื่อว่าดาบเทพปีศาจพิฆาตโลกันมหันตภัยทุบปฐพี ส่วนด้านข้างคือเอลห์หนุ่มหน้าตาหล่อโฮกยิ่งกว่าเลโกลัสในเดอะลอร์ดออฟเดอะริง บนหัวมีชื่อและอาชีพเขียนอยู่ว่า ‘ไลท์นิ่ง นักเวทย์จอมปราด Lv.9999‘
แม่งเอ๊ย สมัยนั้นกูสะกดภาษาไทยกากขนาดนั้นเลยเหรอวะ เขินชิบหาย
Q เกาแก้มแกรก ๆ แล้วมองซ้ายมองขวาดูสถานการณ์ตัวเองอีกที เหมือนเขาจะกลับมาในฐานะชาวบ้าน ก. ที่มีเมียเป็นโจรสาวสุดแซบ อีกสองตอนหลังจากนี้เขาจะโดนพระเอก NTR แถมพอรู้ว่าความจริงว่าผู้กล้าฟาดเมียตัวเองไปแล้วยังดีใจยกเมียให้ผู้กล้าอีก บทห่าอะไรควายฉิบหาย
TOSS THE COIN TO THE WITCHER
หมุนจุนเจียง พ่อกูชื่อเหมียงเจียงจุน หมุนจุนเจียง พ่อกูชื่อเหมียงเจียงจุน กดไลก์ให้เพจ สมปอง ใครๆก็มอง วิ้ดวิ่วๆ อภินิหารลุงพี 5 หัว กระโดดหมุนตัว วิ้ดวิ่วๆ ขับ AE 1 1 1 วิ่งขึ้นดอยหมึง วิ้ดวิ่วๆ อย่าลืมพี่ ริคาร์โด้มีหำใหญ่โต ว้าววว วิ้ดวิ่ววว
ไม่สำคัญว่ามันเริ่มเมื่อไหร่
ผมอยากรู้เเค่ว่ามันจะจบตอนไหน
ผมไม่รู้ว่าเมื่อวานผมทำอะไร ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะเป็นยังไง
ผมเหลือเเค่ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เท่านั้นที่ผมยังไม่ทิ้งไป
ผมรู้เเค่ว่าต้องหนี เเละผมมีกลุ่มคนที่คอยให้งานผมทำ
เพื่อนของผมก็อยากจะออกมาซะเหลือเกิน เเต่พอถึงเวลาคับขันก็เตะให้ผมออกมา
เเต่ผมก็ยังต้องการเพื่อนผม
ผมเป็นคนความจำสั้น หรืออาจจะไม่มีความจำเลยนั่นเเหละ
พอหลับไป1ตื่นผมก็จำอะไรไม่ได้เเล้ว
เพื่อนผมจะช่วยเตือนผมเสมอ
หลายบุคลิค , ความจำเสื่อมขั้นเหี้ย
อย่าพามันเข้าต่างโลก ได้โปรด
“ไอ้สัส ไอ้เกรียนเหี้ยพวกนี้ กูแม่งจะฆ่ามึงทิ้งให้หมด กูจะยิ้งรายตัว” เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดพร้อมกับทุบคีย์บอร์ดจนเกือบแตก แสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏบนเลนส์แว่นคือข้อความหยาบคายยาวเหยียดแบบที่พวกแม่งไม่ได้รับการศึกษาในสลัมเท่านั้นที่จะพิมพ์กัน
เป่าปี่กำลังโกรธหนัก เขาเพิ่งเข้าไปในห้องกระทู้สับนิยายของเว็บใต้ดินแห่งหนึ่งที่เพื่อนส่งให้ ดันเจอว่ากระทู้ล่าสุดมีไอ้เหี้ยอานนเอานิยายเทพอหังการ์พิฆาตเซียนที่เขาเขียนอย่างตั้งใจมาด่าเละเทะ แถมยังมีพวกอานนที่เหลือเข้ามากรูรุมทึ้งเขาเหมือนแร้งหลุมศพหมาตาย
‘เขียนกากฉิบหาย จบภาษาไทยป.6 มาได้ไง ตรรกะในเรื่องแม่งโคตรวิบัติ พ่อมึงสอนให้จัดหน้ากึ่งกลางเหรอ? - Anon57owf75l‘
‘กูอ่านแล้วปวดหัว ใครบอกมันทีดิให้รู้จักใช้เครื่องหมายคำพูดด้วย ตัวละครเบียวเหมือนคนเขียนเลยนาจาาา - Anon 8630fkep7‘
เขาพยายามสูดลมหายใจลึกแล้วอธิบาย “ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนั้นด้วยครับ ที่จัดกึ่งกลางเพราะอยากสร้างความแตกต่าง”
‘แตกต่างส้นตีนดิ เลิกแถแล้วเอาเวลาไปพัฒนาตัวเองไป ไอ้ควาย - Anon167reoJO‘
เขารู้สึกเหมือนโดนตบจนหน้าชา นิยายที่เขาเขียนแม่งดีขนาดนั้นมาด่ากันแบบนี้ได้ยังไง เป่าปี่ปาดน้ำตาลูกผู้ชายแล้วเริ่มเคาะคีย์บอร์ดเหมือนกับต่อยหน้าไอ้พวกเหี้ยนั่น “กูไม่ใช่เด็กแล้วไอ้สัส มึงมันจังไร ถ้ามาดี ๆ กูจะไม่ว่าอะไรเลย วิจารณ์นิยายแบบนี้ถ้าคนเป็นโรคซึมเศร้ามาอ่านจะเป็นยังไง”
‘ว้ายยย มาดิ้นเหรอจ๊ะ ดิ้นอีกๆๆๆๆ - Anon83kfMK‘
สัสแม่ง! ไอ้พวกเหี้ย! พวกมึงปลุกความโรคจิตในตัวกูขึ้นมาเองนะ กูจะฆ่าพวกมึง กูจะฆ่าแม่งให้หมด!
ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตาเด็กหนุ่มเป็นประกายวาวโรจน์ เขามองปืนพกที่วางอยู่ข้างโต๊ะด้วยความกระหายเลือด
“น้องภูมิ แม่บอกกี่ครั้งแล้วคะว่าเวลาเล่นคอมให้เปิดไฟด้วย” แม่เปิดประตูเข้ามาแล้วกดสวิตช์จนไฟสว่างจ้า เขาสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบกดปิดหน้าจอ
“แม่! เปิดไฟทำไม เข้ามาทำไมไม่เคาะก่อน”
แม่มองลูกชายด้วยสายตาเหมือนมองเด็กโง่งม เธอเดินเข้าไปหยิบปืนบนโต๊ะออกมา “ไปเอาปืนของเล่นน้องมาเล่นอีกแล้วเหรอ นอนได้แล้วค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเรียนสายโดนวิ่งรอบสนามนะ”
"เอายังไงดี ... (นึกชื่อไม่ออก) เค้าเจ็บหน้กเลย พวกนายออกไปรับเเทนไม่ได้เหรอ"
ในขณะที่ ... โดนรุมทรมานปานที่ระบายอารมณ์ของผู้มีอิทธิพลเป็นเวลาสิบกว่าชั่วโมงรวด เลือดทุกหยุดที่ไหลออกมา เเผลทุกเเผลที่เปิดออก ความบอบช้ำทั่วทักเเห่ง ประดังเข้ามาสู่ที่ ... เพียงผู้เดียว
เขาก็หลับตาครู่หนึ่งระหว่างที่กำลังจะโดนยกระดับการทรมานให้เสียหายถึงอวัยวะภายใน ... ได้ออกมาควบคุมร่างเเทน
สวบ
เสียงของมีคมค่อยๆเดินทางลงไปจากต้นขาจนถึงกระดูก ... ไม่ร้องสักเเอะ
ทั่วทั้งตัวของเขาเกร็ง เส้นเลือดเเทบทุกเส้นปูด เเรงทั้งหมดที่มีอยู่ เขาได้ใช้ไปกับการดวลพลังกับตรวนเล็กที่ล็อกมือของเขาอยู่ เขาสามารถง้างมันได้
เเละเขาโดนฟาดเข้าที่ขมับอย่างเเรง
ตัวตนนั้นของเขาได้ตัดสินใจออกจากการควบคุมไป
ตอนนี้เหลือเพียงร่างของเขาที่หมดสติทั้งที่ลืมตา เเละตัวตนอีก12ตัวตนที่ไม่กล้าออกมากุมบังเหียน
ผมชอบกินนมเธอชอบกินไข่ แต่ผมจะไม่กินถ้าถุงไม่มีใส่ ตอนให้เธอกินไปยันเช้าวันใหม่ คนที่ชอบเธอคงต้องทำใจ ก็เธอชอบกินไส้กรอก หายใจไม่ออก (ทำไมๆ) กูไม่บอก ถ้าเธอทำตัวไม่ดีโดนกูไล่ออก (ไปไหนๆ) ไปที่ข้างนอก ส่งมึงกลับไปบ้านพ่อ ส่งมึงกลับไปบ้านเเม่ เเม่มึงทำอาหารรสชาติเเย่ นิสัยมันคงมาจากบ้านเเน่ ไอ้สัสดูมึงสภาพเเย่ มึงเป็นบ้าเเน่ อาจจะเป็นกล่องข้าวน้อยฆ่าเเม่ เเม่มึงตาย
>>469 อันที่แท้จริง เขาเป็นแค่แฟนคลับเท่านั้น เพราะลิโป้ตัวจริงคืออดีตทหารเกณฑ์ที่ขึ้นชิ่อลือชาและสมบุกสมบัน ต่อจากนั้นเขาก็ได้รับเหรียญตราจำนวนมากมาย แต่ต้องแบกกับที่เขาต้องเป็นโรคไซโคพาธ และเขาได้ไปเป็นทหารรับจ้างที่สหรัฐอเมริกาสองปีจนได้กรีนการ์ดมาในที่สุด และเขาก็สมัครเป็นทหารบก จนได้โยกย้ายมาประจำการที่ไทยดังเดิม เขาสวมเสื้อโค้ทขับรถประจำตำแหน่งไปยังบ้านของมันตามที่เขาค้นพบ และเขายังคอยเช็คคำพูดหยาบๆนั้นต่อไป จนมาถึงบ้านสวยหลังหนึ่ง ก่อนที่เขาจะโน้มตัวไปหาเครื่องปล่อยสัญญาณรบกวนกล้องวงจรปิด เขาใช้วิธีสะเดาะกุญแจที่เรียนมาตั้งแต่ม.1 เขาย่องเข้าไปอย่างแนบเนียนด้วยกระสบการณ์ทหารหลายปี เขาพบกับชายที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขาค่อยๆย่องเข้าไปเรื่อยๆ เขาตัดสินใจถีบขาเดี่ยวใส่บุคคลที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์จนจอแตกพัง ไม่ทันที่ชายผู้ถูกกระทำจะมองหน้าอีกฝั่งนั้น หมัดก็ลอยมากระทบแก้มของมันจนฟันแถบกรามขวาหลุดออกมาทั้งหมด
"ถ้าไม่รู้ตัวตนใคร ระวังไว้ก็ดี" เขาชักปืนDEกระบอกโปรดที่ใส่ปลอกเก็บเสียงของเขา และลั่นไกสู่หัวของมันจนระเบิดเป็นส่วนๆ เศษสมองกระจายเต็มห้องปนกับเศษกะโหลก ร่างเล็กกว่าเสียชีวิตเพราะแรงของปืนที่ยิงแบบเผาขน เขาได้นำเงินจำนวนหนึ่งยัดให้ตำรวจไร้คุณธรรมเพื่อสร้างความผิดปลอมๆ และตำรวจที่ไร้คุณธรรมก็ทำตามที่เขาสั่งอย่างเคร่งครัด เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย กล้องวงจรปิดถูกทุบทำลายจนหมด เขาถอดเสื้อชั้นนอกออก แล้วก็จัดการกลบเกลื่อนร่องรอยที่แสดงถึงตัวเขาจนหมด เวลาที่เขามาปฏิบัติการมันเป็นเวลาดึกสงัด ไม่มีผู้พบเห็นเขา เขาขับรถประจำตำแหน่ง หายกลับมารับเวรคุมพลทหารต่อที่กองพันในที่สุด
#มันๆดิ
>>474 อายุ 17 จูนิเบียวคิดว่าตัวเองมีหลายบุคลิก เอะอะก็ขู่จะใช้ความรุนแรง เอาเวลาไปอ่านหนังสือเรียนให้จบ ม.6 ก่อนเหอะมึง อ่อ แล้วก็อย่าลืมเรียน รด. ด้วยนะ เห็นจูนิเบียวทหารแบบนี้ พอถึงเวลาต้องจับใบดำใบแดงจริงๆ เสือกขาอ่อนเยี่ยวราดร้องเป็นตุ๊ดเด็กหัวโปก ไม่เคยรู้ข้อมูลจริงเกี่ยวกับการฝึกทหารแล้วมาจูนิเบียวว่าตัวเองแม่งเป็นทหารผ่านศึกโคตรเทพ ประเภทมึงนี่ถ้าโดนใบแดงกูให้ไม่เกิน 2 เดือนยิ่งโดนผลัดแรกด้วยยิ่งโหด รับรองร้องไห้ขี้มูกโป่งให้แม่มารับกลับบ้านแน่นอน (แต่ก็กลับไม่ได้) เป็นไบโพล่าร์ก็อย่ามาทำตัวเอจจี้ โรงพยาบาลมีก็ไปรักษาซะ ดีกว่ามาทำตัวเป็นสวะสังคมแบบนี้
น้อนเล่าเบียวมาเรื้อนถึงห้องนี้เลยเหรอ
กูไม่ไหวเเล้วย้าาาากส์
>>477 มึงนี่มันสวะของสวะอีกทีจริงๆ เก่งอยู่แค่ 2 อย่าง ก็อบข้อมูลจากในกูเกิ้ลเอามาตอบเวลาคนอื่นถาม กับเถียงแถพยายามทำตัวโชว์เหนือแต่ยิ่งทำกลับยิ่งดูทุเรศ ความรู้เรื่อง Personality Disorder ก็มีแค่ผิวเผิน พยายามสร้างตัวตนเลียนแบบพฤติกรรมที่อ่านมาจากในเน็ต แต่ออกมาปลอมเปลือกเหี้ยๆ จนคนที่เขารู้จริงสมเพชเวทนาในความตื่นเขินของมึง ไม่ต้องทำมาสอนกูเรื่องโซซิโอพาธ เพราะคนที่เป็นจริงๆ เขาไม่มาทำตัวแบบมึงหรอก แม่งเกิดมาเป็นคู่บุญของอีดอก "ลยาลี" แท้ๆ ทำตัว DID wannabe ทั้งคู่ ที่กูด่ามึงเรื่องไบโพล่าร์เพราะมึงมันเดี๋ยวดีเดี๋ยวเพี้ยน พูดสุภาพได้ซักพักพอเจอคนแซะนิดเดียวก็ชักดิ้นชักงอด่ากราด เหมือนเด็กมีปัญหาที่แม่ไม่ยอมซื้อของเล่นให้แล้วลงไปกลิ้งเกลือกบนพื้น เห็นโม้ว่าอ่านสามก๊กใช่มะ งั้นมึงก็ใช้สมองเน่าๆ ของมึงพิจารณาประโยคนี้ดู
"ทำตัวแบบนี้ระวังจะจบแบบยีเอ๋ง"
>>481 ถถถ ยีเอ๋งตายเพราะอะไรอะผมรู้ แต่คุณจะเป็นยีเอ๋งให้ผมฆ่าแทนมากกว่าละมั้ง พิมพ์ยาวแต่ไม่ได้อะไรเลย ผมสุภาพกับคนที่ควรสุภาพ หยาบกับคนที่ควรหยาบ ไอ้คนที่wannabe มันยังดีกว่าพวกที่วันๆ เอาแต่ด่าคนอื่นอยู่หลังจอ พวกwannabeมันยังพยายามไปให้ถึงเป้าหมาย ถ้าจะรอแต่borntobe ชาติไหนมันจะได้ และอีกอย่างนะ ผมอ่านแล้ววิเคราะห์มาจำแนกให้ได้ ถ้าไม่เข้าใจถามซ้ำได้ ผมไม่ได้ก็อปด้วยซ้ำ ถ้าไม่รู้อย่าพูด ไม่ว่าชาติไหนผมก็จะwannabeไปเรื่อยๆ เพราะความพยายามทำให้ประสบความสำเร็จ คุณรู้ตัวตนจริงผมเหรอ แต่อ่านจากตัวอักษรมันตัดสินกันไม่ได้หรอก ตัวจริงผมก็อีกแบบ ถ้าเจอกันจริงๆผมคงไม่คุยสุภาพอย่างนี้หรอก ไปตั้งห้องแยกมาคุยกันสองคนไหมครับ เกะกะกระทู้ทั้งคู่นั่นแหละ
คิดว่าตัวเองเก่งเทพ แต่จริงๆ ไม่รู้อะไรสักอย่าง มึงก็แค่เป็นลูกบอลให้คนอื่นตบเล่นขำขันเท่านั้นแหละ กูเขียนแซวหน่อยก็โผล่หางมาร้องงอแงต่อมเบียวแตกแล้ว สมควรที่เขาไล่ให้ไปหาจิตแพทย์ มึงไม่ได้เป็น Psycopath ไม่ได้เป็น Antisocial ด้วยซ้ำ สภาพมึงนี่ชีวิตจริงคือคนเข้าสังคมไม่ได้ เป็นเหยื่อให้คนในโรงเรียนบูลลี่ ควรไปบำบัดจะได้กลับคืนสภาพก่อนจะสายเกินไป
You know nothing, เล่าเบียว
ใครมาทำห้องนี้แปดเปื้อน
“ไร้สาระสิ้นดี”
ชายหนุ่มเคาะคีย์บอร์ดแป้นคีย์บอร์ดเหมือนพรมนิ้วบนแป้นเปียโน เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานหุ้มหนังแท้จากอิตาลีก่อนยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ เวลาที่หยอกล้อกับผู้คนบนอินเตอร์เน็ต เขาชอบรสชาติของไวน์ขาว Prinot Grigio หรือ Grauburgunder ที่ส่งตรงมาจากลุ่มแม่น้ำไรน์เป็นพิเศษ มันอาจไม่หรูหราโอ่อ่าอย่างไวน์แดงจาก Bordeux แต่รสชาติอ่อนหวานนุ่มนวลของมันกลับทำให้ช่วงเวลานี้สุนทรีย์ขึ้นได้อย่างประหลาด คล้ายกลับไปยังปิดเทอมฤดูร้อนในปีหนึ่ง การปั่นจักรยานท่ามกลางอากาศร้อนอาจเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจ หากภาพทิวทัศน์ของไร่องุ่นกว้างไกลสุดสายตากลับทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้
การทุ่มเถียงอย่างไม่มีจุดหมายอันใดนอกจากการเติมเต็มความสะใจเป็นเพียงความขบขันเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพิ่มสีสันในชีวิตของเขาเท่านั้น เหมือนกับที่คนเราถ้าดื่มแต่ไวน์ราคาแพงไปนาน ๆ วันหนึ่งก็อาจหวนคิดถึงเบียร์ราคาถูกที่แอบซื้อพ่อกินตอนเรียนม.2 ก็ได้
เขากวาดสายตามองถ้อยคำในเว็บบอร์ดใต้ดินแล้วหัวเราะเบา ๆ เรื่องแบบนี้ยิ่งเอาชนะก็มีแต่ยิ่งแพ้ ยิ่งดิ้นเท่าไรก็มีแต่จะยิ่งกลายเป็นตัวตลกเท่านั้น
และตอนนี้เขาก็กำลังต้องการเรื่องตลกสนุก ๆ ด้วยสิ
เขาหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะ กดแท็กความคิดเห็นที่โพสต์ด่าเป็นภาษาที่ใช้ในยุโรป “ไม่ต้องถึงขนาดด่าเป็นฝรั่งเศสเยอรมันหรอก ควายมันจะเข้าใจภาษาคนได้ยังไง”
จดหมายจากผู้ชม
ผมเอานิ้วปาดเลื่อนอ่านรีพลายการตอบกับในบอร์ดใต้ดินแห่งหนึ่ง ผมกลับเห็นอะไรบางอย่างอันน่าประหลาด
ผมเคยได้ยินมาอยู่บ้างว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมชนิดเดียวที่ชอบใส่หน้ากากเข้าหากัน สิ่งที่เราเห็นกันนั้นอาจไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของคน ๆ นั้นแม้แต่น้อย
ยามที่มนุษย์แต่ละคนนั้นจะยอมถอดหน้ากากออก เท่าที่ผมเคยได้ยินมันจะมีอยู่น้อยกรณี
อยู่คนเดียว... ยามคับขัน...
และในที่ ๆ ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใคร
ผมเคยโดนบังคับให้หลับตากับเพื่อน ๆ ในห้องแล้วให้สารภาพว่าใครเป็นคนขโมยขนมโดยการยกมือขึ้น ปกติแล้วโจรหรือขโมยคงไม่ยอมรับแต่ในวันนั้น หัวขโมยคนนั้นกลับยกมือขึ้นมาจริง ๆ มันน่าแปลกมากที่เขากล้าทำเช่นนั้น ผมเลยเชื่อเรื่องข้างต้นใกล้เคียงว่างมงายเลยก็ว่าได้
ใช่ กรณีที่บอร์ดใต้ดินแห่งหนึ่งก็เหมือนกัน เราไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร ทุกคนกล้าพูด ล้อเลียน แม้กระทั่งด่าใส่คนที่เราไม่รู้จัก จะเรียกว่าเป็นการเปิดเผยธาตุแท้ของตัวบุคคลที่เห็นได้บนโลกออนไลน์นั่นแหละ
ถึงตอนนี้ คุณคงคิดสินะว่าในเมื่อผมเชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วมันมีอะไรแปลกล่ะ
เรื่องที่แปลกน่ะเหรอ มันเกี่ยวข้องกับคนที่เป็นเป้าการด่าและล้อเลียนในตอนนี้ มันทำให้ความคิดของผมที่ว่ามีแค่มนุษย์เท่านั้นที่ใส่หน้ากาก
เพราะในตอนนี้ผมเรียนรู้แล้วว่า "ควาย" ก็ใส่หน้ากากมาเนียนเป็นมนุษย์เหมือนกัน
ผมเคยอ่านผ่านหูผ่านตาในบอร์ดนักเขียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ว่ามีคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ถูกอะไรกระทบกระเทือนเข้าหน่อยก็มักจะคิดสั้นฆ่าตัวตายเอาง่ายๆ
นั่นทำให้ผมนึกย้อนอดีตไปสมัยยังเป็นเด็ก ถึงใครๆจะเห็นว่าผมเป็นคนร่าเริง แต่เชื่อไหมว่าผมเคยคิดฆ่าตัวตายมาก่อน
ครั้งแรกสุดเมื่อตอนผมอยู่ ป.5 ตอนนั้นผมเพิ่งย้ายมาโรงเรียนใหม่แถวสะพานพุทธ แน่นอนว่าด้วยความเป็นเด็กใหม่ จึงตกเป็นเป้าของไอ้พวกกุ๊ยประจำโรงเรียน พวกมันชอบมาดึงกางเกงวอร์มที่ใช้เป็นเครื่องแบบในวิชาพละของผม จนเหลือแต่กางเกงในและขาที่ล้อนจ้อน จากนั้นทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะผม แม้แต่เพื่อนผู้หญิงก็ยังเห็นดีเห็นงาม สนุกสนานไปกับพวกมันด้วย หนักเข้าพวกมันก็เริ่มแกล้งผมหนักขึ้น เอารองเท้าผมไปซ่อนบ้าง และเมื่อผมจงใจพกมีดคัตเตอร์ไปเพื่อขู่พวกมัน พวกมันก็แอบมาขโมยคัตเตอร์ผมไปซ่อนอีก ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมไร้ความสุขโดยสิ้นเชิง ไม่อาจหันหน้าพึ่งใคร แม้จะฟ้องครูหรือผู้ใหญ่ ทุกคนก็มองว่าเป็นเรื่องของเด็กเล่นสนุกกัน และไม่มีใครได้ยินเสียงสะอื้นในใจของผมเลยแม้แต่คนเดียว
และในที่สุด ผมก็ตัดสินใจที่จะหนีจากชีวิตบ้าบอคอแตกนี้เสียที ในเย็นวันหนึ่งผมมุ่งหน้าไปที่สะพานพุทธ จ้องมองลงไปยังกระแสน้ำเน่าเหม็นที่อยู่เบื้องล่าง ผมมั่นใจว่าด้วยความสูงขนาดนี้ ถ้าผมพุ่งตัวดิ่งหัวลงไป ต้องหมดสติและจมหายไปอย่างแน่นอน จะได้ไม่มีใครหาศพผมพบ แต่ก็นั่นแหละ ใครเขาจะมาสนใจคนอย่างผมล่ะ หรือบางทีตอนผมมีชีวิตอยู่ ทุกคนไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา ถ้าผมตายไปพวกเขาอาจจะเริ่มตระหนักได้เองกระมัง
ผมจึงตัดสินใจปีนเหล็กกั้นสะพาน ทว่ามือกลับพลาดไปโดนน็อตคมๆ ที่สนิมเกาะเกรอะกรัง บาดเข้าไปเป็นแผลยาว ความเจ็บปวดทำให้ผมต้องรีบปีนกลับ แล้วไปทำแผลแทน กลัวเป็นบาดทะยักตาย
นั่นคือความคิดฆ่าตัวตายครั้งแรก ส่วนครั้งต่อมาเกิดขึ้นเมื่อผมเรียนอยู่ ม.ต้น และพบรักครั้งแรกกับเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่ง เธอก็เป็นสาว ม.ต้น หน้าตาธรรมดานี่แหละ แต่จุดเด่นคือเธอตัวสูงและดูเป็นสาวมากกว่าผู้หญิงคนอื่นในห้อง ที่สำคัญเธอมีความคิดค่อนข้างแก่แดด เธอเคยชวนผมไปที่บ้านช่วงเวลาที่ไม่มีใครอยู่แล้วเปิดหนังโป๊ จากนั้นเราก็พยายามจะมีอะไรกันเลียนแบบหนัง ซึ่งผมก็ไม่ขอเล่ารายละเอียดละกัน บอกแค่ว่ามันไม่ใช่เซ็กซ์ที่วิเศษนักหรอก ทว่าเราสองคนก็ยอมรับว่ามีความสุขมาก
วันหนึ่ง เธอขอเลิกกับผม ด้วยเหตุผลก็คือผมไม่ยอมกินขนมที่เธอซื้อมาให้ นั่นทำให้หัวใจผมแตกสลาย ผมพยายามง้อเธอแต่เธอก็ไม่กลับมาอีกเลย นั่นเป็นครั้งที่สองที่ความรู้สึกไร้ค่า กระจอก เห็นตัวเองเป็นคนโง่ของผมกลับมาอีกครั้ง ผมสติแตกวิ่งไปหาเชือกได้เส้นหนึ่ง กับเก้าอี้อีกตัว จากนั้นก็มุ่งตรงไปยังต้นไทรใหญ่ในโรงเรียน และเนื่องจากช่วงนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ จึงไม่มีใครเห็นในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ
แน่นอน ผมตั้งใจจะแขวนคอกับกิ่งไทร ให้ร่างอันน่าสมเพชของผมห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้น ให้เธอคนนั้นมาเห็นในตอนเช้าช่วงเคารพธงชาติ และเธอจะได้รู้เสียทีว่า คำพูดสุดท้ายของผมที่บอกว่า ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าขาดเธอ นั้นมันจริงขนาดไหน
ทว่าขณะที่ผมกำลังหาจุดเหมาะๆจะวางเก้าอี้อยู่นั้น ไอ้งูกะปะเหี้ยที่ชอบนอนซ่อนตัวอยู่ในโพรงต้นไทร ก็ฉกเข้าที่น่องของผมพอดิบพอดี รอยเขี้ยวสองรูที่มีเลือดซิบ ทำให้ผมทิ้งตัวลงไปร้องโอดโอย รีบเอาเชือกที่เตรียมจะมาผูกคอตัวเอง รัดขาขันชะเนาะตามแบบเรียนสุขศึกษาที่เคยผ่านหูผ่านตามา จากนั้นก็ลากขามุ่งหน้าไปหาภารโรง ให้แกเรียกรถพาผมไปส่งสถานเสวภาต่อไป
หลังจากรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ครั้งที่สอง ผมก็กลับมานั่งคิด ว่าทำไมเวลาผมจะฆ่าตัวตายทีไร ต้องมีเหตุขัดขวางทำให้ผมไม่ได้ตายสมใจซะที สุดท้ายก็สรุปได้ว่าคงเป็นพระประสงค์ของเทพเจ้าโอดิน ที่อยากให้ผมตายอย่างลูกผู้ชายมีเกียรติมากกว่านี้ จะได้เปิดประตูรับผมสู่วัลฮาลา เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ผมก็ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายอีกเลย
Q: ใช่มึงรึเปล่า
G: ขึ้นอยู่กับว่าถามใคร
Q: [ เงียบไปครู่หนึ่ง กวาดสายตามองG ]
Q: หนีมาตั้งนาน ไม่คิดว่าจะมาเจอกันตรงนี้
G: ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร
Q: มึงไม่ปรกติใช่มั้ย
G: อะไรนะ
Q: ตั้งเเต่นิวยอร์คจนถึงเท็กซัส ทำได้ยังไง ทั้งฆ่าทั้งหนี อุกอาจทั้งนั้น
G: [ พึมพำ ] อย่าไปตอบมัน
Q: อะไรนะ [ เอียงหูไปทางคู่สนทนา ]
G: มึงก็ไม่ปกติเหมือนกันล่ะสิท่า นั่งจ้องกันตั้งนานสองนาน ยิ่งคุยยิ่งไม่อยากคุย ภายนอกมึงดูเหมือนคน เเต่กูรู้ว่าไม่ใช่
บุคลิค8ของ G ได้ออกมาตอบโต้
Q: ก็เป็นได้ [ เอื้อมมือไปจับส้อม ]
G ควักปืนจากข้างเอวด้านขวาพร้อมเหนี่ยวไกด้วยเวลาไม่ถึงวินาที ปืนที่เขาทำขึ้นมาเองอ่อนไหวเป็นพิเศษ ส่งผลให้กระสุนนัดเเรกโดนโต๊ะที่เขานั่ง เเละสิ่งของรอบข้างระหว่างที่เขาจะเล็งปืนไปที่ Q
Q ทุ่มตัวใส่ G พร้อมกับปักส้อมเข้าที่หลัง
เบื่อไอ้เหี้ย Q เห่อหมอยนี่ละว่ะ ใครก็ได้แต่งเรื่องที่มันมีคุณภาพกว่านี้มาลงหน่อยสิ
nothing happened; no sirens came in the night. No knock on the door, squeal of bullhorn, demands that I come out with my hands up—nothing at all. Life steamed along on its well-oiled tracks, with no one calling for Q’s head, and it began to seem like some cruel invisible god was taunting me, mocking my watchfulness, sneering at my pointless apprehension. It was as if the whole thing had never happened, or my Witness had been consumed by spontaneous combustion. But I could not shake the thought that something was coming to get me.
>>516 แบบนี้สิเขาถึงเรียกเรื่องที่มีคุณภาพ >>227 >>235 >>360-362 อ่านแล้วก็ซึมซับไว้ แบบมึงถึงจะกระแดะพิมพ์อิ๊งมายังไงก็กากอยู่ดี ตัวเอกมึงก็ยังเป็นพวกเอดจี้เห่อหมอยอยู่เหมือนเดิม
แล้วก็เลิกพฤติกรรมขุดกระทู้เก่าๆขึ้นมาได้แล้วสัส มันน่ารำคาญ เหมือนพวกย้ำคิดย้ำทำชิบหาย ว่างมากก็ไปหัดพิมพ์นิยายให้มันสนุกหน่อยไป
"มีใครรู้สึกเหมือนผมไหมว่า คลิปเสียงลับ มันเร็วขึ้น"
"เช้านี้ผมเปิดฟัง รู้สึกว่า คลิปเสียงลับมันเร็วกว่าเดิม"
https://youtu.be/N7gxXIQJLbI
ชายหนุ่มดันประตูปิด ถอนหายใจยาวขณะโยนกระเป๋าเอกสารลงไปบนเก้าอี้นวมตัวยาวอย่างไม่ไยดี เขาพาดแจ็คเก็ตสูทไว้กับพนักพิงเก้าอี้ ถอดถุงเท้ารองเท้าและกางเกงขายาวที่รัดแน่นออก ก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในห้องน้ำ บ้วนปากล้างหน้าตา
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสารรูปของตัวเองในกระจกเหนืออ่างล้างมือ ผมที่เซ็ตไว้เมื่อเช้าเสียทรงไปแล้ว หนวดเคราก็เริ่มขึ้นหรอมแหรมให้เห็น ปากก็ซีด ขอบตาก็ดำ ไขมันเริ่มพอกตามเหนียงตามแก้ม เขาคงทำงานหนักเกินไปจริง ๆ
ยังดีที่วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุด เป็นวันหยุดที่ได้หยุดจริง ๆ หลังจากกรำงานหนักแบบไม่มีวันได้หยุดพักมาร่วมหนึ่งเดือนเต็ม ชายหนุ่มเดินออกจากห้องน้ำ สมองเริ่มรู้สึกตื้อขึ้นมาบ้างแล้ว ยังไม่อาบน้ำแล้วกัน ขอเอาตัวพุ่งลงไปขดบนโซฟาสักสิบห้านาทีก่อนเถอะ
เหมือนโลกทั้งใบดับไปในพริบตาเดียว ชายหนุ่มมารู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลาเกือบตีสามแล้ว เขาครางออกมาเบา ๆ อย่างรำคาญใจ ไม่ต้องอาบน้ำแปรงฟันได้ไหม ขอสักวันหนึ่งเถอะ ยังไง ๆ มันก็จะเช้าอยู่แล้ว
แต่พอขยับตัวแล้ว จะให้หลับต่อก็ข่มตาไม่ลง ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาอีกครั้ง เขากดเปิดเฟซบุ๊ก ก่อนที่ข้อความแรกบนหน้าฟีดจะทำให้เขาต้องชะงักไป
‘สัมภาษณ์นักเขียนเงินล้าน: หนุ่มนักเขียนผู้เปิดโลกแห่งจินตนาการของเด็กไทย กับนิยายเรื่องใหม่ของเขา’ คือชื่อของบทความที่เพื่อนคนหนึ่งบนเฟซบุ๊กของเขาแชร์มา พร้อมด้วยรูปของผู้ชายอายุยี่สิบกลาง ๆ คนหนึ่ง กำลังส่งยิ้มโง่ ๆ พร้อมกับถือหนังสือนิยายที่มีรูปวาดตัวละครหญิงนมใหญ่ลายเส้นการ์ตูนญี่ปุ่นสามคนกำลังรุมกอดแข้งกอดขาตัวละครชายคนหนึ่งอยู่บนหน้าปก
บ้าฉิบหาย ไอ้ระยำนี่มันออกนิยายอีกแล้วเหรอ ชายหนุ่มสบถในใจพร้อมกดเข้าไปอ่านบทความ เมื่อกวาดตาดูคร่าว ๆ ก็พบว่าเป็นบทสัมภาษณ์แบบอวย ๆ เพื่อโปรโมตนิยายเรื่องใหม่ที่ชื่อ ‘ทำไมคนไม่เอาไหนอย่างผมต้องถูกพระเจ้าส่งมาให้เป็นจอมมาร แถมทั้งกองทัพปีศาจก็ยังมีแต่สาวสวยหมวยเอ็กซ์อีก แล้วแบบนี้จะทำไงดีล่ะเนี่ย!’
ชายหนุ่มอ่านเรื่องย่อแล้วรู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด อะไรวะ ลูกครึ่งญี่ปุ่น-ไทย โดนบุลลี่ในโรงเรียนมาตลอดชีวิต จู่ ๆ ก็สำลักฝุ่นตาย แล้วก็ไปต่างโลก ได้เป็นจอมมาร มีลูกน้องสาวสวยเยอะ ๆ ไอ้พวกเหี้ย พล็อตเชย ๆ เห่ย ๆ ไม่มีห่าอะไรแบบนี้มันยังรับตีพิมพ์อีกเหรอวะ วงการวรรณกรรมไทยแม่งก็แย่จะตายห่าอยู่แล้ว ทำไมสำนักพิมพ์เฮงซวยมันยังปล่อยอะไรแบบนี้ออกสู่ตลาดให้คนนอกวงการเขาถมถุยอยู่อีกวะ คิดว่ามันจะขายได้ในยุคที่นิยายแนว ๆ นี้มันหาอ่านฟรีได้เกลื่อนอินเทอร์เน็ตไปหมดจริง ๆ เหรอ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนตัวเองก็เคยเขียนนิยายด่าไอ้พวกพระเอกเทพทรูธีมจีนไว้เหมือนกัน แต่ชื่อเรื่องห่าอะไรนั้นจำไม่ได้แล้ว เขานิ่งคิดไปอึดใจหนึ่งก่อนที่จะพยายามล็อกอินเข้าไปในเว็บเขียนนิยายด้วยไอดีปลอมที่สมัครไว้ในตอนนั้น ทดลองกรอกไอดีและพาสเวิร์ดอยู่ครู่หนึ่งก็สามารถล็อกอินเข้าไปในระบบได้สำเร็จ
เจอแล้ว ‘(นิยายแปล) Gods King Warrior Conqueror Heaven อภินิหารเคล็ดวิชาเทพเจ้าราชันย์นักรบเย้ยจอมสวรรค์’ ไอ้ฉิบหาย เขียนได้แค่ 4 ตอน แม่งมียอดวิวหมื่นนึง เฉพาะเดือนนี้มีคนดูแล้วหลักร้อย พ่อมึงตาย นี่ขนาดดองไว้เป็นปีเลยนะ
หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัวเร็ว เขารีบกดเข้าไปดูที่หน้านิยายก่อนที่จะต้องอุทานเป็นชื่อสัตว์เลื้อยคลานและอสูรกายชนิดต่าง ๆ ออกมาเป็นชุด เมื่อเห็นว่ามีนักอ่านมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้เป็นร้อย ๆ ความคิดเห็น แถมส่วนมากยังเป็นการมาชื่นชม ร้องขอให้กลับมาเขียนต่ออีก
ชายหนุ่มรีบกดเข้าไปดูคอมเมนต์เฉพาะของตอนล่าสุด ‘ตอนที่ 4 ควันราคะ (NC 20++)’ โอ้โหไอ้สัส มีคนมาชมเต็มเลยว่าเร้าใจมาก สะใจที่พระเอกฆ่าโจร สะใจที่พระเอกได้เมีย มีคนมาถามว่าคนนี้นางเอกใช่ไหม มีคนมาถามอีกว่าฮาเร็มรึเปล่า มีคนมายี้นางเอก มีคนมาชื่นชมการบรรยายฉากเย็ดทั้ง ๆ ที่แม่งมีแต่อู้วๆๆๆ แล้วอะไรอีกล่ะเนี่ยไอ้เหี้ย มีบอกด้วยนะว่าไม่อยากให้พระเอกผูกตัวเองอยู่กับผู้หญิงมากไป เย็ดแล้วให้รีบทิ้ง ไม่งั้นก็ฆ่า ๆ ไปซะเลย จะได้หมดปัญหา โอ้โห คนที่ไหนคนจังหวัดอะไรพวกท่านเนี่ย เกิดวันไหนเกิดปีจอหรือปีอะไร ทำไมจิตใจถึงโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนี้ ผมไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มนอนนิ่งไปนาน ก่อนที่จะถอนหายใจยาวออกมา ชอบกันนักใช่ไหมล่ะพวกมึง อะไรที่มันสะใจแบบที่ไม่ต้องมีเหตุผลรองรับ ขอแค่ให้พระเอกเทพ ๆ ไล่ตบไล่ตีไล่เย็ดคนอื่นตามใจชอบก็พอ
ได้ เดี๋ยวกูจัดให้เอง ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่ง เขาวางโทรศัพท์ลง ก่อนที่จะไพล่มือไปคว้าเอากระเป๋าใส่เอกสาร ดึงเอาคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปออกมา
"สุวรรณ มีคนจับภาพยมทูตของเราได้...เจ้าเช็คสิว่าเป็นใคร โจงกระเบนแดงเสียด้วย" เสียงสั่งจากท่านยมบาลดังขึ้นขณะที่ผมกำลังคีย์ข้อมูลคนตายประจำไตรมาสแรกของปีอยู่ ช่วงต้นปีนี้มีโรคระบาดคนตายกันเยอะ เจ้าหน้าที่ดูแลข้อมูลอย่างผมเลยวุ่นวายเป็นพิเศษ
"คงจะเป็นคืนก่อนที่มีงานเลี้ยงแฟนซีในนรกมั้งท่าน เจ้าพวกนั้นคงมีงานด่วนเข้ามาเลยลืมเปลี่ยนชุดเสียก่อน" ผมยกมือขึ้นดันแว่นพร้อมกับตอบคำถามของท่านยมด้วยความเคยชิน
"เออ...นั่นล่ะ ไปหาตัวพวกมันมา แล้วสั่งสอนเสียด้วยว่าคราวหน้าถ้าจะออกสื่อให้แต่งเนื้อแต่งตัวดี ๆ หน่อย เดี๋ยวคนเขาจะหาว่านรกของเราเชยแหลก ยุคนี้ยังต้องมานุ่งโจง ถือไม้เท้า ห้อยสร้อยสังวาลอีก!" ท่านยมตบโต๊ะดังปังดูแล้วท่าจะกริ้วหนัก กาแฟลาเต้มัคคิอาโต้บนแก้วถึงกับกระฉอกออกมาเล็กน้อย อีกเดี๋ยวคงต้องตามแม่บ้านมาทำความสะอาดแน่ ๆ
แต่ว่า...ที่ไม่พอใจ สรุปคือเรื่องแต่งตัวเชยหรอกเรอะ?
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
D : เย่.. มีคนโปรโมทนิยายให้ด้วย
F : ไม่คิดตังค์หรอก เพื่อนเอ๊ย
D : ไม่เจอกันนานเป็นไงมั่ง
F : ข้าได้กลายเป็นผู้ที่มีนามว่า.. ไร้นาม
T : ไอ้คนไม่มีสัจจะ อย่าอวดอ้างถึงชื่อนั้น
W : อย่ากล่าวหาด้วยวาจารุนแรงกับเค้านะคะ
F : พูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย?
T : อืม..จำไม่ได้ก็แล้วไป
W : ใช่ค่ะ..เลิกแล้วต่อกันเนาะ คุณไม่เป็นไรนะคะ F
Yu : เอาตีนถีบยอดหน้ามันเลยลูกพี่
F : คุยกับผู้ชายเสียเวลา ไงจ๊ะน้อง W
W : คุณ Yu ยังไม่เห็นความเทพของเค้าสินะคะ
T : Yu ตัดใจจากพี่ซะเถอะ Wคือตัวจริง
T : ผมไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ที่รัก
W : คนบ้า >////<
W : อย่าดูถูกตัวเองเลยนะคะ
F : เพราะผมเป็นคนสำคัญสินะ
W : อย่าเฉไฉนะคะ
T : ชีวิตนี้แสนสั้น..พึ่งรักษาไว้ซึ่งสัจจะ ; ความสมัครใจของท่านทั้งสอง จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าได้แยกจากกันเลย
ชาวDD : อาเมน!
W : โดนท่านดุเลยเห็นมั้ย
F : ผมยอมแล้วครับ
W : ตั้งแต่นี้ไป ต้องรักษาคำพูดนะคะ
THE END
(ผิดอีก กุไม่แก้แล้ว- - -)
>>527 แม่งเอ๊ย! กูแก้เอง! (ขอบใจที่สรุปให้ แม่งคุยกันยาว ชห)
แนะนำตัวละคร
D = darkius
F = FreudMs
T = TunKoB
W = White Frangipani
Yu = yurinohanakotoba
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
D : เย่.. มีคนโปรโมทนิยายให้ด้วย
F : ไม่คิดตังค์หรอก เพื่อนเอ๊ย
D : ไม่เจอกันนานเป็นไงมั่ง
F : ข้าได้กลายเป็นผู้ที่มีนามว่า.. ไร้นาม
T : ไอ้คนไม่มีสัจจะ อย่าอวดอ้างถึงชื่อนั้น
W : อย่ากล่าวหาด้วยวาจารุนแรงกับเค้านะคะ
F : พูดเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย?
T : อืม..จำไม่ได้ก็แล้วไป
W : ใช่ค่ะ..เลิกแล้วต่อกันเนาะ คุณไม่เป็นไรนะคะ F
Yu : เอาตีนถีบยอดหน้ามันเลยลูกพี่
F : คุยกับผู้ชายเสียเวลา ไงจ๊ะน้อง W
W : คุณ Yu ยังไม่เห็นความเทพของเค้าสินะคะ
F : Yu ตัดใจจากพี่ซะเถอะ Wคือตัวจริง
F : ผมไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับ ที่รัก
W : คนบ้า >////<
W : อย่าดูถูกตัวเองเลยนะคะ
F : เพราะผมเป็นคนสำคัญสินะ
W : อย่าเฉไฉนะคะ
T : ชีวิตนี้แสนสั้น..พึ่งรักษาไว้ซึ่งสัจจะ ; ความสมัครใจของท่านทั้งสอง จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าได้แยกจากกันเลย
ชาวDD : อาเมน!
W : โดนท่านดุเลยเห็นมั้ย
F : ผมยอมแล้วครับ
W : ตั้งแต่นี้ไป ต้องรักษาคำพูดนะคะ
THE END
ใช้บริการ Line Taxi เรียกไปส่งยังจุดหมาย ระบบแจ้งให้เราเห็นในแอพชัดเจนว่ารถถึงไหน อีกกี่นาทีถึง คำนวณค่าใช้จ่ายให้เสร็จสรรพ
“ผมใช้ทั้งไลน์ ทั้งแกร็บ นี่มันเด้งทั้งวันรำคาญชิบหายมีแต่เมียไลน์ตาม นี่มันก็ใช้ให้ไปซื้อข้าวมันไก่ ขับมา 2 ชม. ให้ตายก็ไม่ถึงพัน ก่อนพูดมึงคำนวนเส้นทาง/ชั่วโมง ให้มันสอดคล้องกับมิตเตอร์ก่อนมั้ย ไอ้สั ส ชั่วโมงเดียว 1000 ขี้ฟันชิบหาย"
พี่แท็กซี่พูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ตามด้วยการวิจารณ์ไอ้คนที่มันเอาอาชีพแท๊กซี่ไปอ้างเพื่อหาความชอบธรรมให้รัฐบาล
“คนต่อให้ปรับตัวแค่ไหน ถ้าระบบมันแย่ ห่วยแตก มันก็ลำบากอยู่ดี ถ้าผมปรับมากกว่านี้ผมคงต้องปรับตัวเองไปขับเครื่องบินมิตเตอร์แล้วครับ เพราะคมนาคมตอนนี้มึงก็แหกตาดูสิ อีสั ส ติดชิบหาย มีรัฐบาลไหนอนุมัติทำโครงการพร้อมกันทั่วกรุงเทพ เส้นทางเลี่ยงแทบไม่มี ในหัวมีแต่ขี้อีหน้า สั ส”
“บ้านอยู่แถวนี้หรือครับ”
“เปล่า อยู่แถวไหนก็ได้ไอ้ควาย เ สื อ ก”
“เปล่าครับ แถวนี้ตรอกซอยเยอะ กว่าจะออกถนนใหญ่ หลายขยัก ผมมาวิ่งแล้วก็พบว่าไอ้ห่ า ในถนนตรอกซอกซอยยังติด ถ้าผมจะวิ่งแค่ในซอย กูขับวินมอไซต์ดีกว่ามั้ยอะคับๆ"
พี่แท็กซี่ตั้งข้อสังเกต ตามด้วยการทดลองจนสรุปได้ผลว่าบริเวณไหนมีผู้โดยสารใช้บริการมาก ไม่ต่างจากนักวิจัย ผมนี่อดลุกขึ้นยืนปรบมือไม่ได้
“เค้าว่าเศรษฐกิจไม่ดี”
พี่แท็กซี่พูดสวนทันที
“ด่ารัฐบาลเลยครับไอ้หน้าส้ น ตี น ถ้าใครขึ้นมาบริหารแล้วได้แค่นี้ มันจะเลือกตั้งกันทำยวค ลัย มันจะเหมือนได้ไงกับคนที่มีสมองแค่ 84000 เซลล์ กุ้งยังมีเยอะกว่าเลยมั้ง ถ้าจะให้ปรับตัวเองช่วยตัวเองทุกอย่าง แล้วเราจะมีรัฐบาลมาทำมะเขืออะไร เราจะจ่ายภาษีกันไปทำไม งั้นก็ไม่ต้องมี รก เกะกะ ออกไปไอ้ตี๋หน้าหู่”
"จะด่ารัฐบาลทำไมหละ”
“งั้นให้กูด่าแม่มึงแทนมั้ยหละ ถ้ากูขับแท๊กซี่ชั่วโมงเดียวได้ 1000 วันนึงกูขับ 10 ชม. หักค่านั่นนี่ คำนวนมากูได้ขั้นต่ำ 5000+ กูคงไม่ให้เมียกุไปลำบากขายกับข้าว”
“เมียทำกับข้าวเก่งสิ”
“ไม่เป็นเลย พอผมจะบังคับมันเรียนจากยูทูปมันก็อ้างชายเป็นใหญ่”
“แต่พ่อค้าแม่ค้าโวยว่าเศรษฐกิจไม่ดี”
“ก็ถูกแล้วครับ หรือมึงว่าเศรษฐกิจดีหละตอนนี้ มึงอยู่ประเทศเดียวกันกับกูหรือเปล่า”
“ตอนเลือกตั้ง เลือกพรรคไหน” เราอดถามไม่ได้
“เ สื อ ก ค รั บ”
“คือ”
“ปากท้อง ถนน น้ำ ไฟ ค่าแรง รักษาพยาบาล มันก็คือการเมืองหมดอะไอ้สั ส ไม่ให้รัฐบาลแก้ไขมึงจะให้เจ้าอาวาสวัดมาแก้หรอ ไอ้พูดเรื่องประชาธิปไตย ไกลตัวก็เหี้ลแล้ว จบป.ไหนมาครับ ผมยกมือเลือกหัวหน้าห้องตั้งแต่อนุบาล"
“พอใจ ส.ส.ของเขตตัวเองมั้ย”
“ถามเยอะถามแยะนะมึงอะ ถามมากกว่านี้กูจะคิดค่าที่มึงเอาไปทำคอนเท้นต์แล้วสะ”
พี่แท็กซี่สบถอย่างหัวเสีย
ถึงที่หมาย ส่งเงินให้ เหลือเงินทอน 17 บาท เราเอ่ยปากยกให้
“ขอบคุณครับ งานบริการถ้าผู้ใช้บริการเต็มใจจะให้ทิป มันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าผมเงินได้เกินเกณฑ์ที่จะต้องจ่ายภาษีพี่ควรแนะนำผมให้ไปหาสรรพากร ไม่ใช่มาเขียนอะไรโง่ ๆ แบบนี้”
เราหน้าหงายเล็กน้อย
สัญญาณจากแอพในมือถือดังขึ้น
“แหม.. เมียเร่งเอาข้าวมันไก่"
(นิยายแปล) Gods King Warrior Conqueror Heaven อภินิหารเคล็ดวิชาเทพเจ้าราชันย์นักรบเย้ยจอมสวรรค์
ตอนที่ 5 ป่วนเมือง
เซวี่ยอวี่เซวียนเดินออกจากเล่าสุราฟ้าเหมามาย “เหอเบื่อจัง ต้องไปหุบเขาเสียนสวรร์คจริงๆหราเนี่ย ไม่เอาดีกว่า ขี้เกลียดแระ ผู้หญิงหาใหม่ง่ายๆ เด๋วไปป่วนคนเร่นก่อนดีกว่า อิอิ”
พูดจบเซวี่ยอวี่เซวียนก็ใช้ผลังวิชชาตัวเบากระโดด พึ่บ ตุ้บ ลงมาในตลาด “โอ้โฮพี่ชาย ขายอะไรหนะ” เซวี่ยอวี่เซวียนถามพ่อข้า “เป็นเครื่องลางคับคุณลูกข้า” พ่อข้าตอบ “พกเอาไว้แร้วลับลองสาวรักสาวหลง จีบสาวติดทุกคนแน่ๆคับคุณลูกข้า” “จิงเหรอ” “จิงสิคับ ผมขายถูกๆ แค่หนึ่งเหลยีนทองเอง”
เซวี่ยอวี่เซวียนร้วงมือลงไปในกะเป๋ากางเกง พบว่าเงินที่เก็บเอาไว้หายหมด “อ่าว เงินไม่มีเรย ผมขอฟรีได้ป่าวคับพ่อข้า”
พ่อข้าได้ยินอย่างงั้นเรยคิดว่าเซวี่ยอวี่เซวียนกวรตีร “ได้ไงวะไอ้กะจอก เงินแค่เหลยีนทองเดียวมึงไม่มีปันยาแร้วจะมาเดินตลาดทำไม บ้าปะ”
เซวี่ยนอวี่เซวียนโดนด่าว่ากะจอกก็โกด “หน่อยแหนไอ้พ่อข้า คนแค่ไม่มีตังก็ด่ากะจอกเรยหรา เปนใครมาจากไหนอะ แบบนี้ต้องสั่งซ้อนแร้ว” ว่าแร้วเซวี่ยอวี่เซวียนก็เก็งผลังละดับพระเจ้าไว้ที่ฝ่ามือ ปังงงงง โอ้ยย เซวี่ยอวี่เซวียนตบหัวพ่อข้าอย่าแรงจนกโลกยุบ ก้อนสหมองใหลออกมาทางจมูก “55555 คัยกันแน่ที่กะจอก ถุ้ย”
คนแถวนั้นพากันกลัวเซวี่ยอวี่เซวี่ยนจนหนีกันไปหมด เซวี่ยอวี่เซวียนเลยเก็บของที่พ่อข้าคนอื่นๆ ทิ้งไว้ใส่กะเป๋า “เอาเครื่องลางไปด้วยดีกว่า อิอิ”
แต่ก่อนที่เซวี่ยนอวี่เซวียนจะหนีไปไหน ทหารประจำเมืองก็มาถึง “หยุดนะ ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย” “ก็ไอ้พ่อข้านี่มันด่าว่าข้าเปนพวกกะจอกก่อน” “แร้วงัย ฆ่าคนได้เหรอ” “ก็ฆ่าไปแร้ว จะให้ทำงัย มียาชุบชีวิตหรอ” “ปากดี หาที่ตายแท้ๆ”
ควับๆๆ ทหารประจำเมืองขวงดาบเข้าใส่ ฉิ้งงง เซวี่ยอวี่เซวียนฉักกะบี่ออกมาบ้า เช้งๆๆๆๆ อาวุดฟันกันดังเช้ง ก่อนที่เซวี่ยอวี่เซวียนจะแถงเข้าที่กางอกของทหาร อ้ากกกกกก ทหารล้องออกมาอย่าเจ็บปวด ก่อที่จะล้มลงตาย
“อุ้ยๆ ฆ่าทหารตายแร้ว ซวยระเรา รีบหนีดีกว่า” พูดจบเซวี่ยอวี่เซวียนก็ใช้ผลังวิชชาตัวเบาหนีไป
"โวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกคุณ หม่อมย่าคุณเซ็นสัญญายกคุณให้ฉันเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเป็นค่าขัดดอกไงล่ะ"
หญิงสาวร่างเพรียวเอนพิงพนักโซฟาหนังแท้สัญชาติอิตาเลียน มือบางรินไวน์แดงใส่แก้วก่อนยกขึ้นจิบอย่างไม่เดือดร้อนใจ ริมฝีปากอิ่มเคลือบลิปกลอสสีชมพูวาวเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม มันเกือบจะเป็นรอยยิ้มเยาะเสียด้วยซ้ำ ถ้าบอกว่าเหมือนจันทร์สนุกกับการที่เห็นชายหนุ่มในชุดสูทดิ้นพล่านก็ไม่ผิดนักหรอก
"สัญญาอะไร? ขัดดอกอะไร? ผมไม่เข้าใจ" หม่อมหลวงธฤตชลธรละกำปั้นออกจากประตูห้อง ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำมองหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยความงุนงง
"โธ่เอ๊ย.. อย่าทำมาเป็นใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวหน่อยเลยคุณชล คุณชายพ่อคุณน่ะ โกงเงินพ่อฉันไปจมในบ่อนไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยล้าน แถมดันชิงตายหนีหนี้แบบนี้ไปได้ กรรมมันก็ต้องตกถึงลูกอย่างคุณน่ะสิ"
"ถ้าเป็นเรื่องเงินผมชดใช้ให้คุณได้...." ถ้อยคำของร่างสูงเงียบหายไปก่อนที่เขาจะพูดจบ เหมือนจันทร์เดินเยื้องย่างเข้าใกล้จนชายหนุ่มไม่สามารถหลีกหนีไปได้ หลังของเขาแนบอยู่กับบานประตูพร้อมกับร่างของเธอที่บดเบียดเข้ามา ปลายเล็บที่เจือมนและเคลือบสีมาอย่างดีแตะลงบนริมฝีปากบาง
"ฉันไม่พูดอะไรเยิ่นเย้อแล้วกันนะ หม่อมย่าขายคุณให้ฉันแล้ว ส่วนคุณก็มีหน้าที่ผลิตลูกให้ฉันสักคนสองคน แล้วฉันจะปล่อยคุณไปหายัยพิมลมาศ แม่สุดสวาทขาดใจของคุณไงล่ะ"
วันนั้นผมขับรถไปธุระ มีวัยรุ่นกลุ่มนึง ขับตามหลังมา
โทสับผมมีคนโทรเข้า แล้วหันไปหยิบขึ้นมา
วัยรุ่นกลุ่มนึงขับมาประกบข้างรถผม ตะโกนด่าผมว่า ควายๆ
ทั้งที่ไม่รู้จักกัน ผมไม่ได้ไปกวนตีนมันเลยนะ
นักเลงมาก
เเหม่ๆ รู้จักกูน้อยไปแล้วพวกมึง
ผมคิดในใจพร้อมกับจ้องพวกมัน แบบไม่ละสายตา
ผมกดกระจกลง ด่ากลับไป มึงดิควายสัส
สักพักผมก็วูบไป ตื่นขึ้นมาอีกที อยู่โรงพยาบาล ผมถามพยาบาลว่า จับพวกวัยรุ่นที่ตีผมได้ยัง
วันรุ่นที่ตะโกนด่าผมว่า ควาย ยังทำร้ายผมอีก
พยาบาล : คุณขับรถชนฝูงควายตรงทางโค้ง เค้าตะโกนบอกยังไม่ฟังอีก
กาลครั้งหนึ่ง.. นานสองนานมาแล้ว
W : พลังเวทย์เกิดจากธาตุรู้แจ้ง จิตคือช่องเก็บของเวทย์ หลอมธาตุรู้ได้จากแร่บารมี พบมากในใต้น้ำ จงเสาะหาเอาเถิด
F : ท่านอาจารย์ช่างเป็นคนดี เผื่อแผ่เคล็ดวิชา
W : เราต้องการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มิใช่ยกตนข่มท่าน
F : ไมตรียิ่งใหญ่ไพศาล ดังแม่น้ำฮวงโห โลกต้องรับรู้ถึงคุณงามความดีที่ท่านกระทำ
W : หยุดเถิด.. พดฺ อานนฺ
>>210 แม้โนบิตะ จะโง่ แต่เรื่องการเอาตัวรอดนั้น เขาก็เรียกว่าเก่งกาจหาตัวจับยาก โนบิตะหลบหนี ออกจากบ้านของชิซุกะอย่างสับสน เขาหนีไปแอบอยู่ซอกมุมเล็กๆของตรอกแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากเมืองที่เขาอยู่
เขาจะทำอย่างไรดี ตอนนี้ เขาอายุ18แล้ว ไม่ใช่เยาวชน เขาต้องได้รับโทษหนักแน่นอน เขาควรจะมอบตัวหรือทำอย่างไรดี โนบิตะ พยายามคิดวิธีแก้ปัญหาหลายวิธี แต่ก็คิดไม่ออกเลย นอกเสียจากเขาจะมอบตัว
โฯยิตะ เครียดจนหลับไปในกล่องเล็กๆของกองที่ทิ้งขยะที่เขาแอบซุกตัวอยู่ เวลาผ่านไป จนถึงกลางคืน เขาก็สะดุ้งตืนจากเสียง ระเบิดที่ดังขึ้น
เขาผุดลุกขึ้น เสียงดังทำให้ ชายฉกรรจคนนึ่งพบตัวเขา และพุ่งเข้ามาหา เขาถูฏเตะโดยไม่พูดพร้ำทำเพลง จนล้มลงไปนอน และชายคนนั้น ก็ลากเขาออกมาอย่างไปปราณี
" เอาไงดี ไอ้หนีดุเหมือนว่ามันจะแอบเห็นเราอยู่"
" ปิดปากมันดีกว่า จะได้ไม่มีใครเจอ พวกจรจัดหายไปสักคน คงวไม่มีคนสนใจ"
ชายหกคนปรึกษากัน ดนบิตะ ซึ่งพยายามจับต้นชนปลาย ได้มองสถานการณ์รอบๆ
มีชายวัยกลางคน นั่งหอบเพราะอาการบาดเจ็บ มีเลือดไหลจากไหล่ของเขาชุ่มโชก
ชายอีกสองคน นอนนิ่งไม่ขยับบนพื้น มีเลือดไหลออกมากมายจนเจิ่งพื้น
แว่บแรกที่โนบิตะคิด เขารูว่ารตนเอง เข้ามาพัวพันกับเรื่องราวในโลกมืด และตอนนี้ พวกที่เหลือกำลังจะปิดปากเขา
ทั้ง6คนมีปืนครบมือ หากเขาวิ่งหนี ก็ต้องถูกยิงแน่นอน
ทำไงดีล่ะ ทำไงดี หัวของ โนบิตะคิดหาเอาตัวรอดแบบสุดชีวิต ภาพการผจญภัยกับผองเพื่อนในอดีตผุดขึ้นมาราวกับเป็นภาพสุดท้าย
หากแค่ฉันมีปืนล่ะก็ แค่ของพวกนี้ โนบิตะ คิดไปถึงตอนที่เขาดวลปืนกับวายร้ายระดับจักรวาล และเขาเป็นฝ่ายเอาชนะได้ หลายต่อหลายครั้งที่ฝีมือยิงปืนของเขา สามารถทำให้เขาเอาชนะอุปสรรคต่างๆมาได้
แต่ตอนนี้ เขาไม่มีปืน
และจะหาปืนจากไหนล่ะ
ปืนเหรอ หาง่ายจะตายไป ข้างหน้านายก็มีตั้งหลายกระบอกนี่นา
เสีนงตอบโตในหัวของโนบิตะ ที่แม้เหมือนจะดูเนิ่นนาน แตมันก็เป็นเพียงเสียววินาทีเท่านั้น
ตอนนี้ โนบิตะ หวังเพียงว่า เขาอาจจะแย่งปืนได้ แต่หากเขาลุก หรือทำอะไรผิดปกติ เขาคงถูกยิงแน่นอน
แต่การแย่งปืนไมไ่ด้หมายความว่าจะต้องลุกขึ้นไปแย่งนี่นา
เพียงแค่คิด 1ในสิ่งที่เขาถนัดที่สุด การพันด้าย ก็ถูกนำมาใช้ เสันด้สยถือนิ้วมือที่คล่องแคล่วของเขา ส่งลอย ออกไปพันยังปืนของ1ในมือปืนที่ดูว่าถือปืนไม่แน่น และไม่ระวังตัว
เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา เมื่อโนบิตะ กระตุกมือกลับ ปืนกระบอกนั้น ก็กลับมาอยู่ในมือเขาแล้ว
เฮ้ย!!! ปังๆๆๆๆๆ เพียงแค่เสียงร้องตะโกน อย่างตกใจเพียงคำเดียว ทั้ง6 ก็ล้มลงทั้งยืน ด้วยบาดแผลจากกระสุนปืนบริเวนกึ่งปากกึ่งจมูก อันเป็นจุดของก้านสมอง ที่เมื่อถูกทำลาย คนคนนั้นจะตายทันที โดยไม่ขยับแม้แต่นิด
นี่ไม่ใช่ การยิงปืนครั้งแรก ท่าทีของโนบิตะ ในตอนนี้ ไม่เหมือนเด้กหนุ่มไร้น้ำยา แต่มันคือมาดของมือปืนอันดับหนึ่งของจักรวาล
"...นาย... เจ้าหนู... นายเป็นใครกันแน่ "ชายกลางคนที่เลือดชุ่มโชก พูดเสียงแผ่วออกมา ทำให้โนบิตะ กลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
เขาฆ่าคนไปแล้วอีก6คน
แนา่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ฆ่าสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา
ในการผจญภัยหลายครั้ง เขาได้ฆ่าศัตรูไปมากมาย ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
แล้วทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่รู้สึกอะไรล่ะ
เพราะว่า ไม่มีกฏหมายเอาผิด เวลาเขาฆ่าศัตรูไงล่ะ
เขากลัวอะไรกันแน่ ความรู้สึกผิดที่ฆ่าคน หรือเพราะกลัวถูกจับ
แน่นอนว่ากลัวถูกจับสิ
ทางไหนที่ตำรวจจะไม่เข้ามายุ่งล่ะ หนีไปเรื่อยๆเหรอ ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ทำไม ไม่ลองเขามาในโลกที่ตำรวจไม่ค่อยเข้ามายุ่งล่ะ
ความคิดสองฝ่าย โต้เถียงกันในหัว แต่มันก็ถูกหยุดเมื่อชายกลางคนนั้น กระตุกเสื้อเขาเบาๆ
"เสียงปืนดังขนาดนี้ เดี๋ยวพวกที่คอยเก็บศพ มันต้องเข้ามาแน่ เจ้าหนู ช่วยพยุงฉันออไปจากที่นี่ที" ชายกลางคน ขอร้องกึ่งสั่ง
โนบิตะเองก็ปฏิเสธคนที่บาดเจ็บขนาดนั้นไมไ่ด้ และยิ่งบารมีจากแววตาของชายวัยกลางคน ก็ทำให้เขาไปกล้าขัด
โนบิตะ ประคอง ชายวัยกางคน จนมาถึงถนนใหญ่ได้ เพียงชั่วครู ก็มีรถคันใหญ่ วิ่งเข้ามารับ
"เจ้าหนู มาด้วยกันสิ เดี๋ยวพกวมันก็ตามมาเจอหรอก" ชายคนนั้น จับมือของโนบิตะไว้ โนบิตะ แม้จะโง่ แต่เรื่องแบบนี้เขารู้ดีว่า หากเขาเข้าไปในรถคันนี้ เขาจะกลับมายังโลกแบบคนทั่วไปไม่ได้
"เอ้ยๆๆๆ มันอยู่นั้น" เสียงฝีเท้าไล่เข้ามา พวกมันตามมาแล้ว ในวินาทีนั้น โนบิตะ ซึ่งมีปืนอยู่ในมือ เขาไม่ใช่คนขี้ขลาดที่โดนเพื่อนรังแก แต่เขาคือ โนบิตะ ชายผู้เป็นมือปืนอันดับหนึ่งของจักรวาล และวีรบุรุษที่เคยช่วยโลกต่างมิติมาแล้วหลายครั้ง
โนบิตะ ส่งกระสุนสองนัดสุดท้าย เข้าหัวของ กลุ่มชายที่วิ่งตามเขามา และกำลังเล็งปืนไปที่ล้อรถยนต์ ก่อนที่เขา จะกระโดดขึ้นรถไปกับชายคนนั้น
ในรถ นอกจากเสียงหายใจหอบๆของชายวันกลางคนแล้ว ก็แทบไม่มีเสียงอื่นใด โนบิตะเองก็ไม่พูดอะไร ในหัวของเค้ามีแต่ความสับสน เขารู้ดีว่า เขาถลำตัวลึกเข้ามาเรื่อยๆ
"เจ้าหนุ่ม เป็นใคร ฝีมือยิงปืนยอดเยี่ยมขนาดนี้ หาในญี่ปุ่นไม่น่าจะได้นะ ดูแล้วเจ้าหนุ่มคงเป็นคนเอเชีย มาจากไหนล่ะ พูดญี่ปุ่นได้ไหม" ชายกลางคนเริ่มบทสนทนาก่อน
"...หืม เข้าใจที่ฉันพูดไหม" ชายกลางคนสำทับ โนบิตะ จึงค่อยๆอ้ำอึ้งพูดตอบ
"...ผม ผมเป็นคนญี่ปุ่น" โนบิตะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรเพิ่ม
" แล้วเจ้าหนุ่มเป็นใครล่ะ ทำไม ถึงไปอยู่ที่นั่น" คำถามขอบชายกลางคนยิ่งตอกย้ำสาเหตุที่เขาต้องมานั่งบนรถคันนี้ ภาพของชิซุกะ และเดคิดซุกิที่เปลือยกอดรัดทำให้โนบิตะ รู้สึกปวดหัว จนต้องหลั่งน้ำตาออกมา
"ผม... ผมไม่รู้จะไปที่ไหน ผมไม่มีที่ไปแล้ว" โนบิตะ ตอบเช่นนั้น ซึ่งก็จริงตามความรู้สึกของเขา เขาเพิ่งฆ๋าคน แม้จะ ยอทรับผิดสารภาพ แต่เขาก็ต้องติดคุกหมดสิ้นอนาคตแน่นอน
".... ที่ไปน่ะ หากมันไม่มี เราก็สรา้งขึ้นมาสิ คืนนี้หนักมากแล้ว ยังไง ไปพัดที่บ้านของข้าก่อนละกัน แล้วค่อยว่ากันต่อ" ชายกลางคนพูดแค่นั้น โนบิตะ ได้แต่พยักหน้ารับ
รถแล่นมาจนถึงบ้านหลังใหญ่ เมื่อรถแล่นเข้าในบ้าน ก็มีกลุ่มชายหลายคน ออกมาต้อนรับ โนบิตะ ก้าวลงมาด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ
หลังจากที่ชายหลางคนตามลงมา เหล่าชายฉกรรจ์ที่เห็นแผลรุนแรงที่ไหล่ ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดโกรธแค้น ชายกลางคนยกมือขึ้น และผายไปทางโนบิตะ
"เจ้าหนุ่มคนนี้ เป็นคนที่ช่วยข้าเอาไว้ เลี้ยงรับรองต้อนรับเขาให้ดีล่ะ" แล้วชายกลางคน ก็หันไปหาโนบิตะ
" ข้าจะไปทำแผลก่อน หากต้องการอะไร ก็สั่งเด็กๆพวกนี้ได้เลยนะ คืนนี้ เจ้าหนุ่มพักก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรจะทำอะไร พรุ่งนี้ค่อยคิดการต่อ
โนบิตะ ถูกพาเข้าไปในห้องพัก ซึ่งมีนทุกอย่างครบครัน ทั้ง ทีวี อ่างอาบน้ำ เขาถอดเสื้อผ้าชำระร่างกาย และ เปิดทีวี ด้วยมือที่สั่นเทา
อย่างที่เขาคิดไว้ เมืองที่สงบสุข หากมีข่าวฆาตกรรมที่นานๆครั้งจะเกิดขึ้น ข่าวย่อมครึกโครม ในทีวี ปรากฏข่าวของเขา ที่พาดหัวว่าลงมืดฆ่ารัดคอย่างอำมหิต
ในข่าวเปิดเผย ชื่อ และสกุลของเขา เนื่องจากอายุของเขาไม่ใช่เยวชนแล้ว โนบิตะ เครียดสุดชีวิต เขาปิดทีวี แล้วงอตัวกอดเข่า ก่อนที่จะหลับไปในสภาพนั้น
รุ่งเช้ามาถึง แต่เพียงแค่เสียงเดินเข้ามาในหน้าห้อง โนบิตะ ก็ตื่นทันที มือของเขาเอื้อมไปสัมผัสด้ามปืนตามสัญชาติญาณ แต่เสียงที่หน้าประตู ก้ดังขึ้น
"เจ้าหนุ่ม ตื่นหรือยัง ข้าขอเข้าไปหน่อยใจได้ไหม" เสียงของชายวัยกลางคนนั่นเอง โนบิตะ ลังเลชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
ชายวัยกลางเข้า กด้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับชายร่างใหญ่สองคน แต่แล้ว เขาก็โปกมือให้ทั้งสองคนนั้นออกไป
"ข้าจะคุยกะเจ้าหนุ่มนี่หน่อย" เมื่อชายทั้งสองได้ยินดังนั้นจึงถอยออกไป ในห้องที่มีเพียงชายกลางคน และ โนบิตะ เงียบไปชั่วครู ก่อนที่ชายหลางคนจะเอ่ยขึ้นก่อน
"ข้าเห็นจากในทีวีแล้วล่ะ โนบิตะ เชือกมรณะสินะ" ชายกลางคนพูดฉายาที่นักข่าวตั้งให้
"ผมไม่ได้ตั้งใจ!!! "โนบิตะ ตะโกนออกมาเสียงดัง จนทำให้ชายทั้งสองที่อยู่หน้าประตูเปิดประตูถลันเข้ามา
" ไม่ต้องเข้ามา ข้ายังคุยกับเจ้าหนุ่มนี่อยู่ ห้ามใครเข้ามาทั้งนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น" ชายกลางคน ตวาดใส่ชายทั้งสองเสียงดัง ทำให้ทั้งคู่ก้มหัวลงต่ำ ก่อนจะลุกลนออกไปจากห้อง
"... ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ปัญหาคือ เจ้าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ล่ะ " ชายกลางคน พูดกับโนบิตะ ด้วยโทนเสียงอ่อนโยน
"ไม่รู้... ผมไม่รู้ ผมไม่รู้จะไปไหน " โนบิตะ ก้มหน้าพูดตามจริง
"นั่นสิ.... ข้าคิดมาทั้งคืนหลังเห็นเรื่องของเจ้าหนุ่มในทีวี ข้าคิดว่า ตอนนี้ เจ้าหนุ่ม มีทางเลือกอยู่แค่2ทาง นอกจากเรื่องที่จะเข้าคุกล่ะนะ" ข้อเสนมอของชายกลางคน ทำให้โนบิตะ เงยหน้าขึ้นมาฟัง ในแววตาของโนบิตะมีแววแห่งความหวัง
"1.. คือหนี หนีออกจากประเทศ ไปเกาหลี ไปจีน หรือไปไทยก็ได้ ข้าพอจะช่วยเรื่อเอกสารปลอมได้ แต่ปัญหาคือ ข้าไม่มีอิทธิพลใดๆที่สามารถช่วยเจ้าได้เลย เมื่อออกนอกประเทศไปได้ เจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะ" คำตอบแรก ทำให้แววตาแห่งความหวังของโนบิตะดับวูบลง
เขาพยายามรับฟังคำตอบที่2 ด้วยใจที่เต้นระรัว
"2.. หากข้ารวมอิทธิพลพื้นที่ในย่านนี้ได้ ก็พอจะมีบารมีที่จะกันไม่ให้ตำรวจมายุ่งกับเจ้าหนุ่มได้ แต่เสียดาย มันคงเป็นไปไม่ได้ หาก เจ้าหนุ่มไม่ช่วยข้า" ชายกลางคน เสนอข้อแลกเปลี่ยนที่ทำให้โนบิตะสงสัย แววตาของชายหนุ่มจ้องมาที่โนยิตะ ราวกับต้องการให้เขาถามว่า โนบิตะ จะสามารถช่วยได้อย่างไร
" ผม.. จะช่วยส่วนไหนได้" โนบิตะ แม้จะไมไ่ด้เรียนเก่งมากมาย แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เขาร็ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนหมายถึงอะไร
" ช่วยข้า กวาดล้างไอ้พวกแก็งค์ที่มันมาหาเรื่องเมื่อคืน" ชายกลางคนพูด ซึ่งดูเหมือนโนบิตะ จะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าหมายถึงอะไร
ในหัวของโนบิตะ ทั้งมโนธรรม และความต้องการเอาตัวรอด ต่อสู้กันอยู่ หากเขา ยอมเข้ามอบตัว แน่นอนว่า อนาคตของเขา จะดับแน่นอน
แต่มันจะไม่มีคนตายเพิ่ม
หากเขาตัดสินใจช่วย"กวาดล้าง" ศัตรู ของชายกลางคนตามคำไหว้วาน เขาจะพอมีทางที่จะใช้ชีวิตนอกคุกได้
คำถามต่อมาคือ เขาจะสามารถจัดการ"กวาดล้าง" ได้เหรอ
ได้สิ.... ของง่ายๆ แค่ ยิงหัวมันคนละนัดเท่านั้นเอง
"..... ผมขอ ปืน4กระบอก ระบบออโต้ กระสุนชัก8แมกส์" โนบิตะ พูดเรียบๆ ในแววตาของเขาไม่เหลือประกายแห่งความหวัง มันเหลือแต่ความมืดมิด และเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ
" ได้สิ ข้าจะเรียบใก้พวกเด้กไปช่วยด้วย เราจะจัดการมันให้แบบไม่ต้งตัวในคืนนี้แหละ"ชายกลางคน แม้คิดว่าโนบิตะ จะไม่มีทางเลือกและต้องร่วมมือ แต่เขาก็ไม่คิดว่า โนบิตะจะตอบรับเร็วเช่นนี้
"ไม่ต้อง ไม่ต้องส่งใครไปทั้งนั้น ผมจะจัดการคนเดียว อย่าให้ใครตามไปเด็ดขาด แค่ไปส่งผมก็พอ" โนบิตะแย้งทันที โนบิตะเองไม่ได้ตั้งใจจะโชว์ฝีมืออะไรหรอก เพียงแต่เขาไม่ไว้ใจ และกลัวการถูกหักหลัง
"บ้ารึ เจ้าหนุ่ม ในตึกนั้น มีพวกมันอยู่เป็นสิบๆ ถึงเจ้าจะเก่งแค่ไหน แต่ลำพังคนเดียว......" ใีมือของโนบิตะที่ยิงหัวของมือปืน6คนพร้อมๆกันนั้นเปนสิ่วที่ไม่เคยเห็นใครทำได้มาก่อน แม้แต่โชว์ของนักแม่นปืนระดับโลกที่ใข้วิธียิงแบบควิกดรอระดับเอว ก็สามารถยิงได้เพียง2เป้าต่อครั้งเท่านั้น แต่กระนั่น การใช้ปื่นสองกระบอกลุยคนนับสิบมันก็คือการเอาชีวิตไปทิ้งชัดๆ
"ไม่...ไม่ต้อง แค่นี้เอง ให้ผมทำคนเดียวเถอะ ขอร้องล่ะครับ" โนบิตะ ก้มหัวขอร้อง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ชายกลางคนงงเข้าไปใหญ่
"เฮ่อ หากมั่นใจขนาดนั้นก็ได้ ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าหนุ่มเอง เดี่ยวจะเตรียม ขอให้นะ ชายกลางคน พูดแบบปนเสียดาย เขาคิดว่า โนบิตะ คงหาเรื่องที่จะเอาปืน และหนีไปเพราะไม่อยากช่วยเหบลือ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้ ชายกลางคนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เวลาผ่านไป จากเช้า จนถึงช่วงบ่าย ของทั้งหมด ก็เตรียมเสร็จสิ้น ปืน และแมกกาซีนกระสุน ตามที่โนบิตะขอ ได้ถูกนำมาให้เขา
"มีกระสุนสำรองไหม ผมอยากลองยิงดูหน่อย" โนบิตะ ร้องขอ ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร กระสุนสำรองสี่แมกส์ สำหรับปืนสี่กระบอกถูกนำมาให้ โนบิตะ
โนบิตะ หลับตา นึกถึงประสบการณ์ยิงปืนในอดีต เขาเคยยิงปืนลูกโม่บรรจุกระสุน6นัด เข้าเป้า6เป้าได้แบบสบายๆ แต่นั่นคือขีดจำกัดของเขาแล้วหรือ โนบิตะ อยากลองขีดจำกัดของตนเองอีกครั้ง
เขา เหน็บมือทั้ง4กระบอกไว้ที่เอว แล้วหยิบก้อนหินเล็กๆในลานมาเต็มสองมือ นับรวมได้ไม่ตำกว่า30ก้อน และเขาก็โยนมันให้กระจายบนอากาศ แล้วชักปืนออกมาทั้งสองมือ
พริบตานั้น เสียงปืนกล ก็แผดดังขึ้น
แต่เสียงไม่ได้มาจากปืนกล มันมาจากนิ้วที่งว่องไว กระหนำรัวไกปืนอย่างต่อเนื่อง
ในญี่ปุ่นมีคนที่สามารถกดปุ่มจอยเกมได้13ครั้งต่อวินาที แต่โนบิตะตอนนี้ เขาน่าจะกระดิกนิ้วลั่นไก ได้ข้างละ15ครั้งต่อวินาที
รวมทั้งสองข้างก็นับได้30ครั้ง ซึ่งเรียกได้ว่ามันดังรัวกว่าปืนกลทั่วๆไปเสียอีก
หนำซ้ำ ก้อนกรวดที่โยนกระจายกลางอากาศนั้น 1ก่อน ถูกกระสุน1นัดป่นกลางอากาศจนเป็นผง เพียงวินาทีเดียว ก้อนกรวดทั้ง30กว่าลูก ก็ถูกยิงจนแตกสลาย โดยไม่ทันตกพื้น
นับตั้งแต่ โยนกรวด จนถึงที่เขาชักปืนออกมาและยิงจนหมดแมกกาซีน2แกมส์ รวม30นัดนั้น กินเวลาราว1วินาทีเท่านั้น
ชายกลางคน และผู้ติดตาม ต่างก็อึ้งจนพูดไม่ออก กับฝีมือ ของโนบิตะ
จวบจนเวลาบ่ายคล้อย รถเก่งติดฟิลม?สีดำ ก็พอโนบิตะมายังแถวตึดที่เป็นเป้าหมาย ตอนนี้ โนบิตะ ใส่แว่นสีดำ ซึ่งจริงๆ ก็แค่แว่นอันเดิมของเขาที่ติดคลิบกลองแสง และเสื่อโค๊ดยาวเพื่อปกปิดปืนและแม็กกาซีน
" 8ชั้น ผมจะจัดการ พวกที่ถืออาวุธทุกคน รอผมด้วยนะ สัก20นาที" โนบิตะที่เมื่อถือปืนแล้วท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดสั่งด้วยน้ำเสียวงเรียบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังตึก
มีเสียงปืนดังออกมาจากตึก โชคดีที่แถวนั้นไม่ค่อยมีคนผ่านมามากนัก ประกอบกับเสียงรถ และโฆษณาในช่วยบ่าย ทำให้หากไม่สังเกตุหรือเงี่ยฟังในระยะใกบ้จะไมไ่ด้ยินเสียงชัดเจนเท่าไรนัก เสียงปืนดังจากชั้น1 ไล่ไปจนถึงชั้น8 หลังจากนั้น ก็มีแต่ความเงียบปกคลุม
https://fanboi.ch/webnovel/2726/543-546/
อ่านจากสำนวนของมึงแล้วกูว่ามึงมีของอยู่พอสมควร วิธีเล่า pacing ทำได้ดี เสียอยู่อย่างเดียว มึงเว้นวรรคมั่วไปหน่อย ถ้าหาคนมาช่วยเกลาเรื่องนี้ได้ นิยายที่มึงแต่งน่าจะกีขึ้นอีกมาก
กูไปก๊อบที่คนอื่นเขาเขียนมา
ทดลองเขียนแนวยุโรปเสิ่นเจิ้น
‘เคล็ดลับของการรมควันอยู่ที่การเลือกไม้’
เอลิกซ์รู้สึกเหมือนตอนนี้เขาเป็นขาหมูที่กำลังถูกรมควัน...ถ้าปล่อยทิ้งไว้อีกนิดเขาก็คงจะสุกจนกลายเป็นแฮม...
เด็กหนุ่มเคยช่วยป้าเมย์รมควันสารพัดสัตว์อยู่หลายครั้ง ทั้งปลาเทราต์ ไก่งวง เป็ด และส่วนต่าง ๆ ของหมูตัวอ้วน แต่ไม่มีครั้งไหนที่เขาต้องเอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางควันไฟแบบนี้เลยสักครั้ง...ถึงมันจะไม่ใช่ควันจากเนื้อไม้ แต่กลิ่นหอมเอียนจากกำยานผสานกับเสียงสวดแหลมสูงที่เกือบจะเป็นเสียงโหยหวนของเหล่านักบวชในชุดขาวก็ทำให้เขาประสาทเสียจนอยากจะกลายเป็นแฮมอบน้ำผึ้งขึ้นมาจริง ๆ
แค่สวดเฉย ๆ ไม่พอเหรอ...ทำไมต้องจุดกำยานรมควันกันด้วย...
สามวันแล้วที่เอลิกซ์ถูกรมควันในพิธีอวยพรจากศาสนจักรแห่งแสง ดวงตาของเขาแดงก่ำเพราะควันหนาทึบ แสบตาเสียจนน้ำตาจะไหลเอ่อออกมาอยู่รอมร่อ แสบจมูกเสียจนไม่รู้สึกว่าเคยมีจมูกไว้หายใจ อันที่จริงเขาไม่ได้อยากจะเข้าร่วมเลยสักนิด ถ้าไม่ติดว่ามีใครดันบ้าจี้ตั้งกฎให้ทุกคนที่เข้าร่วมขบวนตามหาตัวเจ้าชายเกเบรียลต้องผ่านการอวยพรจากเหล่านักบวชในทุกเช้า และใครที่ว่านั่นดันเป็นเจ้าชายรัชทายาทอันดับสองแห่งอาณาจักรอาริไพน์
ส่วนอันที่จริงกว่าเมื่อกี้...เอลิกซ์ไม่ได้อยากเข้าร่วมตามหาเจ้าชายเกเบรียลตั้งแต่แรก เด็กเลี้ยงม้าอย่างเขาไม่ได้อยากช่วยชาติเพราะจงรักภักดีขนาดนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าชายที่ว่าหน้าตาเป็นแบบไหน เพราะเจ้าชายเกเบรียลหายสาบสูญไปตั้งแต่สิบห้าปีก่อน เขาจำได้แค่ราง ๆ ว่าเป็นเจ้าชายร่างกายสูงกำยำที่มีเส้นผมสีน้ำเงินเข้มและนัยน์ตาสีทองสุกใส...เหมือนกับเจ้าชายอีกหกพันกว่าคนที่เหลือ
จำนวนเจ้าชายที่มากมายขนาดนั้น ดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาเรื่องขาดแคลนรัชทายาท แต่เมื่อสองสัปดาห์กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในราชสำนัก หลังจากพระราชากิลเบิร์ตฟ้องหย่าพระราชินีและปลดเจ้าชายริชาร์ดออกจากตำแหน่งรัชทายาท เพราะจับได้ว่าเจ้าชายเป็นบุตรที่เกิดขึ้นกับชายชู้
เอลิกซ์ได้ยินข่าวแว่วมาว่ามีเจ้าชายหลายคนทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องแย่งบัลลังก์ แต่ร้ายแรงที่สุดคือเจ้าชายคนหนึ่งถูกหลอกไปปล่อยทิ้งไว้กลางทะเลทราย...สุดท้ายพระราชาจึงต้องประกาศให้หาตัวเจ้าชายเกเบรียลบุตรชายคนโตให้เจอภายในสองปี ก่อนที่พรมปูพื้นในพระราชวังจะอาบด้วยเลือดจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมแสนเศร้าของอาณาจักร
เด็กหนุ่มตัดสินใจเข้าร่วมขบวนตามหาเจ้าชายเกเบรียลก่อนออกเดินทางเพียงแค่คืนเดียว เพราะเขาเพิ่งจะได้อ่านประกาศอย่างละเอียด เขาไม่ได้คาดหวังรางวัลอันเป็นทรัพย์สินเงินทองจำนวนมหาศาล ยศถาบรรดาศักดิ์ หรืออะไรต่อมิอะไรที่พระราชายินดีจะมอบให้ โธ่...เด็กเลี้ยงม้าอย่างเอลิกซ์จะตามหาเจ้าชายเจอได้ยังไง เขาก็แค่เห็นว่าพระราชาทุ่มไม่อั้น คนที่ออกเดินทางไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรสักอย่าง ไหนจะเบี้ยเลี้ยงที่ให้รายสัปดาห์อีกล่ะ...ออกมาเปิดหูเปิดตาสักปีสองปีคงจะไม่เดือดร้อนอะไร
ใช่...เขาไม่เดือดร้อน แต่คนที่เดือนร้อนกลับกลายเป็นป้าเมย์ แม่ครัวผู้ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก ที่คิดไปเองอย่างผิด ๆ ว่าเขายังเป็นเอลิกซ์วัยแปดขวบที่วิ่งซนไปทั่ว ไม่ใช่เอลิกซ์วัยสิบแปดที่โตเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสขวัญใจคนครัว...
“อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยากเจ้าหนู เจ้าก็แค่อยากออกไปเที่ยว ไม่ได้อยากไปตามหาเจ้าชายเหมือนคนอื่นเขาหรอก!” เสียงของป้าเมย์ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำเหมือนกับใบหน้าบึ้งตึงจนเกือบจะแข็งกระด้างและดวงตาสีเหลืองอำพันที่มองเขาอย่างรู้ทัน
“โธ่...ใครจะกล้าหลอกป้าเมย์ของข้ากัน” น้ำเสียงทุ้มลากยาวเหมือนค่อนไปทางออดอ้อนมากกว่าตัดพ้อ ริมฝีปากบางของเด็กหนุ่มขยับยิ้มออกเป็นรอยยิ้มหวาน ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนกับทุกครั้งที่เขากำลังคิดทำอะไรแผลง ๆ “ข้าแค่อยากออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง...ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยออกนอกเมืองหลวงเลยสักครั้ง”
อย่าว่าแต่เมืองหลวงเลย แค่ออกนอกเขตรั้ววังแอเรียสยังนับครั้งได้...
เอลิกซ์เติบโตขึ้นในพระราชวังแห่งราชวงศ์ดาริสโดยไม่รู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงคือใคร อดีตของเขาช่างว่างเปล่า...แค่เหมือนกับว่าวันหนึ่งจู่ ๆ เขาก็เข้ามาอยู่ในที่นี่ และมีป้าเมย์ หนึ่งในหัวหน้าคนครัวเป็นคนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็ทำงานสักอย่างในวังเหมือนกับเด็กกำพร้าคนอื่นที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน
เขามีความสุขดีภายใต้การดูแลของป้าเมย์...มีความสุขกับการเลี้ยงม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์ แต่หลายครั้งที่จิตใจร่ำร้องหาอิสรภาพ...ราวกับว่าเขาเป็นนกสีฟ้าตัวจ้อยซึ่งโดนกักขังไว้ในกรง เฝ้ารอคอยวันที่จะออกโผบินไปยังท้องฟ้ากว้างเพื่อตามหาความสุข
“ถ้าเป็นทหารไปตั้งแต่ตอนนั้นก็คงจะได้ออกไปข้างนอกบ่อย ๆ แล้วล่ะ” ป้าเมย์ตัดอารมณ์พร่ำเพ้อของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เธอเบะปากเพิ่มให้เป็นของแถม “ให้เรียนฟันดาบก็ไม่ชอบ ให้เรียนเวทมนต์ก็ไม่เอา ให้เรียนหนังสือก็บ่นเบื่อ ใครกันที่วัน ๆ เอาแต่วิ่งเล่นซน คนเขาหาเจ้ากันทั่ววัง ดันไปเจอนอนแอบอยู่ใต้โต๊ะอาหารของพระราชา!”
“นั่นมันเรื่องตั้งแต่สมัยไหนกัน...” ยังไม่ทันจะอ้าปากแก้ต่างให้ตนเองในวัยเด็ก ป้าเมย์ก็สวนขึ้นตั้งแต่เขายังไม่ทันได้พูดจบประโยค
“สมัยนี้นี่แหละ...รู้มั้ยว่าถ้าเป็นคนอื่นน่ะโดนเฆี่ยนจนหลังลายไปแล้ว แต่เพราะเจ้าไม่มีพิษมีใครกับใคร พวกทหารถึงได้ยกโทษให้ เจ้าน่ะเคยสำนึกบ้างมั้ย? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะลิกซ์ว่าเจ้าลามปามแอบเรียกพระราชาว่าตาเฒ่า” หญิงวัยกลางคนเอื้อมมือมาคว้าใบหูของหลานชายต่างสายเลือดที่นั่งอยู่บนพื้นแล้วออกแรงบิดเพื่อเป็นการทำโทษ เด็กหนุ่มดิ้นขลุกขลักแต่ก็ไม่กล้าตอบโต้ กลัวใจป้าจะคว้าเขียงไม้ที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาฟาด จากประสบการณ์ที่เคยเห็นป้าเมย์ล้มวัวด้วยมีดหนึ่งเล่ม...สอนให้เขารู้ว่าอย่าลองดีกับหัวหน้าคนครัว
อีกอย่าง...เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ก็พระราชาอายุปาเข้าไปเจ็ดสิบกว่า ถ้าไม่ใช่ตาเฒ่าแล้วจะให้เรียกว่าอะไร ขนาดพระราชากิลเบิร์ตยังหลุดขำตอนได้ยิน เพราะงั้นคำบ่นของป้าเมย์ก็ทำหูทวนลมต่อไปเถอะ
“ลิกซ์...เจ้าน่ะเป็นคนเรียนเก่ง หัวดี ทำอะไรก็เก่งไปหมด แต่เจ้ากลับไม่เอาไหน ไม่เอาอะไรสักอย่าง” เสียงของป้าเมย์ฟังดูทั้งอ่อนแรงและอ่อนใจ เธอเลื่อนมือมาลูบเส้นผมสีเข้มของหลานชายตัวดี “อย่างเจ้าน่ะราชองครักษ์ก็ยังเป็นได้ ไม่น่าจะเป็นแค่เด็กเลี้ยงม้าเลย”
“ก็ข้าไม่อยากเป็นทหาร...ทีตอนขอเป็นนักดนตรีป้ายังไม่ให้เลย” เด็กหนุ่มท้วงพร้อมกับมองผู้เลี้ยงดูตาปริบ ๆ ฝีมือเล่นไวโอลินของเขาอยู่ในระดับดีเยี่ยม เคยเล่นในงานเลี้ยงของราชสำนักอยู่บ่อยครั้ง ถึงขนาดได้รับไวโอลินไม้สุดหรูเป็นรางวัลจากพระราชา แต่ป้าก็ตัดอนาคตของเขาเหมือนเอากรรไกรตัดกระดาษเสียอย่างนั้น
“เพราะว่าเจ้าดันอยากไปร่วมขบวนเร่ต่างหากล่ะ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก อยู่กับพวกนั้นข้าวสามมื้อจะมีกินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แล้วถ้าเขาหลอกไปขายขึ้นมาจะทำยังไง” เธอเชยคางหลานชายขึ้นแล้วจ้องมองเขาด้วยสายตาพิจารณา
“สีผมสีตาเจ้าเป็นสีเข้ม เจ้าอาจจะเป็น...”
ผู้เป็นหลานชายระเบิดหัวเราะดังลั่นคั่นกลางประโยค คำพูดของป้าเมย์ตลกเสียจนเขาอยากจะลงไปขำกลิ้งบนพื้น “ข้าอาจจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้นในอาณาจักรนี้ ขนาดป้ายังเป็นลูกสาวของลูกสาวของเจ้าหญิงที่เป็นลูกสาวของปฐมกษัตริย์เลย หน้าตาอย่างข้าก็คงจะเป็นลูกหลานคนแถวนี้เหมือนป้านั่นแหละ”
เด็กหนุ่มกลอกตามองเพดานไม้ ถึงแม้ว่าราชวงศ์ดาริสจะมีเส้นผมสีน้ำเงินเข้มและดวงตาสีทองที่สืบทอดกันตามสายเลือด จนเป็นคำกล่าวว่ายิ่งสีผมเฉดเข้มจนใกล้สีดำเท่าไร สายเลือดก็ยิ่งใกล้ชิดปฐมกษัตริย์มากขึ้นเท่านั้น...แต่ประชากรเกินครึ่งในอาณาจักรอาริไพน์ก็มีผมสีโทนฟ้าหรือน้ำเงินกันทั้งนั้น จะบอกว่าทุกคนสืบสายเลือดมาจากปฐมกษัตริย์ก็ไม่ผิด แค่เจ้าชายก็ปาเข้าไปหกพันกว่าคนแล้ว ไหนจะเจ้าหญิงอีกล่ะ
เรือนผมยาวระต้นคอของเอลิกซ์เป็นสีกรมท่าที่มืดเสียจนคล้ายสีดำและนัยน์ตาสีทองของเขาก็ส่องประกายเจิดจ้า ถ้าวัดกันตามเฉดสีแล้ว สีผมและสีตาเข้มกว่าเจ้าชายบางคนด้วยซ้ำ แต่เผอิญว่าเด็กกำพร้าในรั้วพระราชวังแอเรียสก็มีเส้นผมสีน้ำเงินและดวงตาสีทองกันทุกคน แค่สีเข้ม สีอ่อน แตกต่างกันบ้างเท่านั้น
เพราะงั้นถ้าจะเอาแค่สีผมสีตามาวัด มันก็ล้าสมัยไปหลายสิบปีแล้วป้า
“ยังไงข้าก็เป็นห่วงเจ้าอยู่ดี...อยู่ที่นี่ถึงจะกวนประสาทไปบ้าง แต่ก็ยังใกล้หูใกล้ตา” ป้าเมย์พึมพำอย่างแผ่วเบา ใบหน้าที่พอจะมีเค้าสวยในวัยสาวฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เอลิกซ์มองสบตาสตรีที่ใกล้ชิดเขามากที่สุดในชีวิต ใช้จังหวะที่ดวงตาสีอำพันยังอ่อนแสง บอกเล่าสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังผิดกับทุกครั้ง “ข้าไม่เคยร้องขออะไรให้ป้าต้องหนักใจเลยสักครั้ง ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวไม่ได้เหรอ เด็กเลี้ยงม้าอย่างข้าไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสได้ออกไปท่องโลกกว้าง แค่สองปีเท่านั้น ข้าสัญญาว่าข้าจะกลับมาเป็นเด็กดีของท่านเหมือนเดิม”
“เฮ้อ...เจ้ามันเด็กดื้อต่างหากล่ะ ครั้งนี้ข้าห้ามเจ้าไม่ได้ เพราะต่อให้ห้ามเจ้าก็จะแอบไปอยู่ดี” สตรีวัยสี่สิบห้าระบายลมหายใจยาว เธอส่ายหน้าไปมาเหมือนระอาใจ “อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นห่อผ้าที่เจ้าซ่อนเอาไว้ที่ใต้บันใด กล่องไวโอลินของเจ้ามันเตะตาจนอยากจะเตะสักที”
เด็กหนุ่มพูดไม่ออก...เริ่มนึกกลัวที่ป้าเมย์รู้ทันเขาไปเสียหมดทุกเรื่อง แต่ที่กลัวมากกว่าคือป้าจะเผลอเตะไวโอลินของเขาเข้าจริง ๆ ถึงมันไม่ใช่ของรักของหวงอะไรขนาดนั้น แต่มันแพง...คิดว่าต่อให้เอาเบี้ยเลี้ยงสิบปีของเด็กเลี้ยงม้ามารวมกันก็คงจะยังซื้อไม่ได้
เด็กหนุ่มพูดไม่ออก...เริ่มนึกกลัวที่ป้าเมย์รู้ทันเขาไปเสียหมดทุกเรื่อง แต่ที่กลัวมากกว่าคือป้าจะเผลอเตะไวโอลินของเขาเข้าจริง ๆ ถึงมันไม่ใช่ของรักของหวงอะไรขนาดนั้น แต่มันแพง...คิดว่าต่อให้เอาเบี้ยเลี้ยงสิบปีของเด็กเลี้ยงม้ามารวมกันก็คงจะยังซื้อไม่ได้
“มันลำบากนะลิกซ์ เจ้าคิดหรือว่าการตามหาเจ้าชายเกเบรียลจะเป็นเรื่องง่าย...ท่านออกจากอาณาจักรนี้ไปก็เพราะว่าอยากจะเป็นราชาโจรสลัด ป่านนี้จะอยู่ส่วนไหนของโลกก็ยังไม่รู้”
...ป่านนี้เจ้าชายคงล่องเรือไปถึงแกรนด์ไลน์แล้วมั้ง?
ประโยคเมื่อกี้เป็นแค่ความคิดที่เขาเก็บเอาไว้ในใจ รู้ดีว่าถ้าขืนพูดออกไป ป้าเมย์อาจจะบันดาลโทสะด้วยการคว้าอะไรบางอย่างมาฟาดใส่หัวเขาด้วยข้อหาลามปามเจ้าชายที่หายสาบสูญ
“สรุปแล้ว...ป้าให้ข้าไปใช่มั้ย?”
ไร้คำตอบใด ๆ จากคนเบื้องหน้า ร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานผู้หญิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวตรงไปยังตู้เก็บของ ป้าเมย์หยิบกล่องกำมะยี่ออกจากตู้ ก่อนที่เธอจะโน้มตัวลงเพื่อสวมสร้อยเชือกหนังให้กับผู้เป็นหลานชาย สัมผัสเย็นที่กระทบกับผิวเนื้อทำให้เอลิกซ์ยกมือขึ้นแตะโดยอัตโนมัติ จี้ทรงกลมที่ห้อยอยู่บนสร้อยเป็นอัญมณีสีน้ำเงินหม่นแปลกตา...อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นสร้อยเส้นนี้มาก่อนจนกระทั่งวันนี้
“สร้อยเส้นนี้เป็นเครื่องรางที่เพื่อนเก่าของข้าเคยให้ไว้ มันจะนำพาโชคมาหาเจ้า...” ริมฝีปากบางขยับยิ้มกว้างอย่างเริงร่าเมื่อได้ยินประโยคอันเป็นสัญญาณบอกถึงการท่องเที่ยวและอิสรภาพที่รอเขาอยู่ เด็กหนุ่มมัวแต่ดีใจจนไม่ทันได้สังเกตนัยน์ตาสีทองที่หม่นแสงลงจนแลดูโศกเศร้าของผู้เป็นป้า
“สัญญากับข้าสิเอลิกซ์” อ้อมแขนที่สามารถแบกกระสอบแป้งหนักห้าสิบกิโลกรัมได้สบาย ๆ โอบกอดเขาไว้ด้วยความรักยิ่ง เสียงของป้าเมย์แข็งกร้าวเหมือนกับทุกทีแต่มันก็แฝงไปด้วยความห่วงใย “สัญญาว่าเจ้าจะไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ สัญญาว่าเจ้าจะไม่ออกนอกขบวน สัญญาว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงต่อชีวิต สัญญาว่าเจ้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย...”
“ป้า...ข้าไปเที่ยว ไม่ได้ไปรบ”
พอย้อนคิดดูอีกที ความคิดของป้าเมย์ก็แปลก...ไม่อยากให้เขาอยู่ในอันตราย แต่ดันอยากให้เขาเป็นทหาร ถึงจะเป็นอาชีพมีเกียรติ แต่ก็เป็นอาชีพที่เสี่ยงตายไม่ใช่หรือไงนะ...
กลิ่นหวานเอียนของควันที่ทวีคูณจำนวนมากยิ่งขึ้นช่วยดึงสติของเด็กหนุ่มให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน จมูกทีเหมือนจะทำงานไม่ได้ชั่วคราวทำให้เขาต้องหอบหายใจด้วยปาก แต่ดันสำลักควันขาวเข้าไปเต็ม ๆ เขาเริ่มไอแรงขึ้นจนตัวโยน หยดน้ำตาไหลพรากใบหน้าอันแดงก่ำด้วยความทรมาน เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากการสำลักควันกำยาน...เป็นการตายที่โง่ที่สุดเท่าที่ใครสักคนจะตายได้
“ไหวมั้ยน่ะน้องชาย” เสียงร้องทักขึ้นดังจากชายฉกรรจ์ที่ยืนร่วมพิธีถัดไปจากเขา มือหนาคว้าร่างสูงโปร่งของเอลิกซ์เอาไว้แล้วเริ่มตบหลังเขาเบา ๆ พร้อมกับพูดปลอบด้วยความสงสาร “เจ้าก้มลงต่ำหน่อยแล้วหายใจช้า ๆ อดทนสักนิด อีกเดี๋ยวเขาก็เลิกจุดควันแล้ว”
เด็กเลี้ยงม้าพยักหน้ารับรู้ ถุงหนังใส่น้ำถูกยกขึ้นจ่อริมฝีปากบาง เขาค่อย ๆ จิบน้ำเพื่อให้บรรเทาอาการสำลักควัน ร่างสูงโปร่งก้มตัวลงให้อยู่ต่ำกว่าควันสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่ง ถึงนักบวชของศาสนจักรจะบอกว่ายิ่งร่างกายได้อาบควัน เทพแห่งแสงก็จะยิ่งอวยพรให้...แต่ถ้าต้องทำร้ายร่างกายตัวเองขนาดนั้น เอลิกซ์ยอมโดนเทพสาปแช่งจะดีกว่า
เพียงไม่นานควันก็จางลงและหายไปในที่สุด นักบวชจากศาสนจักรแห่งแสงกว่าสามสิบคนต่างพากันเก็บข้าวของประกอบพิธีกรรมประจำวัน ก่อนขบวนตามหาเจ้าชายเกเบรียลจะเริ่มเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้า กลุ่มราชวงศ์และขุนนางชั้นสูงที่อยู่ด้านหน้าขี่ม้านำออกไป ส่วนเด็กเลี้ยงม้าก็เดินเท้าอยู่ส่วนท้ายของขบวนแต่โดยดี
“เจ้าเป็นคุณหนูมาจากตระกูลไหนล่ะ?” ชายคนเดิมเปิดบทสนทนาที่ทำให้เอลิกซ์เลิกคิ้วมองด้วยความประหลาดใจ เจ้าของคำถามคงสัมผัสได้จึงได้รีบพูดขยายความในทันที “เจ้าหน้าตาดี ผิวพรรณดี ข้านึกว่าเป็นคุณหนูจากไหนหลงมา”
เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะเบา ริมฝีปากบางขยับยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบ เรื่องหน้าตาดีน่ะเขาไม่เถียงหรอก ตำแหน่งขวัญใจโรงครัวนั้นไม่ได้มากันอย่างง่ายดาย แต่เรื่องผิวพรรณดีคงต้องขอปฏิเสธ เอลิกซ์เป็นแค่เด็กเลี้ยงม้า วัน ๆ อยู่แต่กลางแจ้ง ตากแดดตากลมจนผิวกลายเป็นสีแทน เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสีผิวดั้งเดิมของเขาเป็นอย่างไรกันแน่
“ข้าก็แค่คนธรรมดาแค่นั้นล่ะพี่ชาย เห็นประกาศเลยมาร่วมขบวน แต่กระจุกอยู่แค่ขบวนนี้ไม่รู้ว่าจะหาเจอยังไง” ขบวนที่เอลิกซ์เข้าร่วมเป็นกลุ่มแรกที่เริ่มออกตามหาเจ้าชายเกเบรียล คะเนด้วยสายตาแล้วมีจำนวนสมาชิกมากกว่าสองร้อยคน ตั้งแต่เชื้อพระวงศ์ นักบวชจากศาสนจักรแห่งแสง ไปจนถึงสามัญชน แต่เขารู้ดีว่ายังมีกลุ่มอื่นที่มีเป้าหมายเดียวกับพวกเขา บางกลุ่มก็ล่วงหน้าไปแล้ว บางกลุ่มก็ยังไม่ได้ออกเดินทาง
“ข้าได้ยินว่าขบวนจะเริ่มแบ่งเป็นขบวนย่อยที่เมืองรีจิเนีย เจ้าเลือกได้หรือยังล่ะน้องชายว่าจะตามขบวนใคร หรือเจ้าจะเดินทางต่อคนเดียว”
ประโยคจากชายแปลกหน้าเหมือนช่วยจุดประกายความคิดให้กับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปี ในเมื่อเดินทางคนเดียวได้ทำไมเขาจำเป็นต้องยอมโดนนักบวชชุดขาวพวกนั้นรมควันทุกเช้าด้วยล่ะ เงินทองเอลิกซ์ยังพอมี ทั้งจากเงินเบี้ยเลี้ยงและเงินเก็บของเขาเอง หรือถ้าขาดแคลนจริง ๆ เขาก็ยังสามารถเล่นไวโอลินเลี้ยงชีพได้ หรือไม่ก็ขายสร้อยของป้าเป็นตัวเลือกสุดท้าย
“ข้าคงจะแยกที่รีจิเนีย ว่าแต่พี่ชายพอทราบมั้ยว่าต้องเดินทางอีกนานเท่าไรกว่าจะถึง” ถึงเขาจะพอรู้ข้อมูลของเมืองรีจิเนียทั้งที่ตั้ง ความสำคัญ สถานที่ท่องเที่ยวและอาหารแนะนำ แต่ข้อมูลบางอย่างคนที่ไม่เคยออกเดินทางก็ไม่มีวันรู้
“ประมาณค่ำนี้ก็น่าจะถึง เจ้าจะแยกตั้งแต่เข้าเมืองเลยรึ?”
เอลิกซ์ยิ้มกว้างเป็นคำตอบ...เรื่องอะไรเขาจะยอมโดนรมควันต่อเพิ่มอีกวันล่ะ ถ้าเข้าเขตกำแพงเมืองรีจิเนียเมื่อไร เด็กหนุ่มตั้งใจจะเผ่นออกจากขบวนเมื่อนั้น เขาไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์เลยสักนิด ขนาดอาหารในขบวนยังไม่อร่อยสู้อาหารแห้งที่ป้าเมย์ใส่ห่อผ้ามาให้เลย
มือเรียวกระชับห่อผ้าที่แบกไว้ด้านหลัง เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าก้าวเร็วขึ้น เพราะหวังว่าการรีบเดินจะทำให้หลุดพ้นจากขบวนนี้เร็วขึ้น แค่ช่วงบ่ายเอลิกซ์ก็คลาดกับชายที่ไม่รู้จักชื่อคนนั้น พอพระอาทิตย์ลดลงต่ำจนเกือบตกดิน เด็กเลี้ยงม้าก็สามารถเดินขึ้นมาอยู่ต้นขบวนได้สำเร็จ ขอแค่พ้นจากกลุ่มนักบวชและเชื้อพระวงศ์ไปได้เท่านั้น...
ขอโทษนะป้าเมย์ ข้าคงจะรักษาสัญญาของป้าทุกข้อไม่ได้แล้วล่ะ ข้ายังไม่อยากเป็นขาหมูรมควัน แค่นี้กลิ่นกำยานก็ติดตัวจนสยดสยองมากพอแล้ว ขอเที่ยวอีกสองปีแล้วข้าจะกลับไปเป็นลิกซ์เด็กดีคนเดิมของป้า ข้าจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะเลี้ยงม้าอย่างตั้งใจ จะเลิกเรียกพระราชาว่าตาเฒ่า
เด็กหนุ่มใช้ปลายนิ้วลูบจี้สีน้ำเงินที่กลางอกเพื่อลดความรู้สึกผิดในใจ เสียงจ้อกแจ้กจากกลุ่มคนด้านหน้าทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศโดนรอบ นัยน์ตาคู่สีทองเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นกำแพงอิฐสีน้ำตาลอันทอดยาวอยู่เบื้องหน้า จุดหมายปลายทางของเขา...อยู่เพียงเอื้อมนี่เอง
เอลิกซ์กำลังจะย่างเท้าเบี่ยงออกจากขบวนเพื่อออกไปแตะขอบฟ้า แต่กลุ่มคนเบื้องหน้ากลับหยุดเดินกันพอดี เด็กหนุ่มจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่อยากจะขยับตัวให้เป็นที่สังเกต
“วันนี้หยุดขบวนแค่นี้ เราจะตั้งค่ายพักแรมกันที่นี่” เสียงประกาศดังขึ้นจากด้านหน้า เด็กเลี้ยงม้าขยับริมฝีปากบ่นงึมงำอยู่ในลำคอ กำแพงเมืองอยู่ข้างหน้าแท้ ๆ แค่เดินต่ออีกสักครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึง แต่ธรรมเนียมของศาสนจักรแห่งแสงทำแผนของเขาเสียจนได้...นักบวชจะเดินทางภายใต้การชี้นำของแสง นี่พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะตกดินก็หยุดเดินทางซะแล้ว อยากรู้ว่าแสงดาวแสงจันทร์ตอนกลางคืนมันไม่ใช่แสงหรือไง
เมื่อประกาศสิ้นสุดการเดินทาง พิธีชำระล้างในตอนเย็นก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าคมก้มลงมองพื้นดินอย่างเหนื่อยหน่ายใจ โชคดีที่คราวนี้ไม่ใช่การรมควันเหมือนช่วงเช้า ไม่อย่างนั้นเอลิกซ์คงจะเผ่นออกจากขบวนไปตอนนี้เลย ถึงจะต้องเสี่ยงกับการโดนทหารกักตัวเพื่อสอบสวน ถ้าหนักหน่อยก็คงจะโดนซ้อมสักทีสองที...เหมือนกับวันแรกที่มีคนโดนซ้อมเพราะแอบหนีจากพิธีรมควัน
แต่พรุ่งนี้เขาจะไม่ยอมโดนรมควันอีกแน่ ๆ ในเมื่อตอนนี้ยังหนีออกจากขบวนไม่ได้ ก็ต้องให้พิธีกรรมประจำวันเสร็จเสียก่อน เมื่อแยกย้ายให้พักผ่อนเมื่อไร เอลิกซ์จะเผ่นเข้าเมืองไปทันที...เด็กชายจะเติบโตเป็นเด็กหนุ่มได้ก็ต้องกล้าทำอะไรเสี่ยง ๆ แบบนี้แหละ
เสียงฝีเท้าและชายเสื้อสีขาวหยุดลงด้านหน้าของร่างสูงโปร่ง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเพื่อให้นักบวชได้ใช้กิ่งสนชุบน้ำมนต์แตะลงบนหน้าผากของเขา อันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าทำไปแล้วมันจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ตรงไหน แต่ในเมื่อมันเป็นครั้งสุดท้าย จะทำตัวดี ๆ บ้างคงไม่เสียหาย
หยดน้ำเย็นแตะลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา แต่เอลิกซ์ไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขามัวแต่จับจ้องใบหน้ารูปไข่ของนักบวชสาว ถึงจะเสียมารยาทแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองแพขนตาหนา จมูกโด่งที่รั้นปลายนิด ๆ ไปจนถึงริมฝีปากอิ่มสีแดงสด ก่อนดวงตากลมโตคู่สีฟ้าสดจะเลื่อนมองสบตากับเขาเมื่อบทสวดจบลง แววตาของเธอฉายแววขบขันและเลื่อนหายไปในชั่ววินาที น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มจาง “ขอให้เทพแห่งแสงคุ้มครองท่าน”
เด็กหนุ่มหันมองตามร่างบางที่ผละออกไปทำพิธีให้กับคนอื่น ๆ ในขบวน รู้สึกเหมือนยังได้กลิ่นหอมจากเรือนผมสีดำยาวสยาย...แต่มันดันเป็นกลิ่นเดียวกับกำยานที่ใช้ในตอนเช้านี่สิ
เอลิกซ์ส่ายหน้าไปมาเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตนเอง ผู้หญิงคนเมื่อกี้ต่อให้สวยแค่ไหนก็เป็นนักบวชที่ถือพรหมจรรย์ มองได้แต่ตา มืออย่าต้อง แล้วเขาก็ไม่โง่ยอมโดนรมควันทุกวันเพื่อแลกกับการเจอหน้าสาวสวย เป็นไปได้ขอเผ่นดีกว่า เพราะยังไงผู้หญิงสวยบนโลกนี้ก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว
ขนาดป้าเมย์ของเขายังมีคำร่ำลือเลยว่าตอนสาว ๆ ก็สวยใช่ย่อย ถ้าไม่ติดว่าแข็งแรงเกินหญิงไป...ไม่นิด
คบไฟถูกจุดขึ้นเมื่อแสงสุดท้ายจากพระอาทิตย์หายลับไปจากขอบฟ้า พิธีกรรมของศาสนจักรแห่งแสงจบลงพร้อมกับเหล่าชายฉกรรจ์ที่เริ่มตั้งค่ายพักแรมชั่วคราว เอลิกซ์พุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ แกล้งทำเป็นว่าเขาจะยึดตรงนี้เป็นที่พักในคืนนี้ ก่อนจะสาวเท้าหายตัวไปในความมืดอย่างเงียบงัน ไม่ให้ใครได้ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าบริเวณนั้นเคยมีเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเคยยืนอยู่
เอลิกซ์รีบสาวเท้าพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าโดยอาศัยแสงจันทร์นำทาง เขาไม่อยากใช้คบไฟให้กลายเป็นจุดเด่นในความมืด สองมือชื้นเหงื่อกระชับห่อผ้าเอาไว้แน่น นัยน์ตาสีทองเป็นประกายจับจ้องกำแพงเมืองรีจิเนียด้วยความหวัง...ก่อนที่เขาจะก้าวผ่านพ้นประตูเมืองในที่สุด
อิสรภาพ!
เด็กกำพร้าจากพระราชวังแอเรียสแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความยินดี ริมฝีปากบางขยับออกกว้างเป็นรอยยิ้มสดใส เขาอยากจะกระโดดโลดเต้นถ้าไม่ติดว่าบริเวณประตูเมืองยังเต็มไปด้วยผู้คนที่เพิ่งกลับจากการทำงาน เอลิกซ์เดินปะปนไปกับฝูงชนเพื่อหาที่พักสำหรับคืนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร ยังมีเวลาให้คิดอีกมากว่าจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต
เอลิกซ์เลี้ยวเข้าตรอกซอยหนึ่งเพื่อหาโรงแรมราคาถูกตามที่ชาวบ้านท้องถิ่นแนะนำมา แม้ว่าหนทางจะเปลี่ยวไปสักหน่อยในตอนกลางคืน แต่อะไรที่ประหยัดได้เขาก็อยากจะประหยัดเอาไว้ก่อน...การเดินทางของเขายังอีกยาวไกลจะให้หมดเงินตั้งแต่เมืองแรกก็คงจะไม่ไหว
เด็กหนุ่มลากปลายนิ้วไปตามผนังอิฐพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี พรุ่งนี้เขาตั้งใจจะไปเดินเล่นในเมืองรีจิเนีย ถ้าเป็นไปได้ก็จะลองไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญดูบ้าง
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลบางอย่างทำให้เอลิกซ์เร่งจังหวะการก้าวเดินเร็วขึ้น เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตมุ่งร้าย เด็กหนุ่มขยับเบี่ยงไปด้านขวาโดยอัตโนมัติ ในจังหวะเดียวกับที่วัตถุบางอย่างพุ่งผ่านอากาศและถากเฉือนผิวแก้มของเขาเป็นทางยาว แสงริบหรี่จากโคมไฟส่องสะท้อนให้เห็นมีดสั้นขนาดเล็กที่กระทบกับกำแพงอิฐก่อนจะตกลงพื้น
เกิดอะไรขึ้น!?
นิ้วเรียวยกขึ้นแตะใบหน้า ความรู้สึกชาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด...หยาดเลือดไหลซึมออกจากปากแผลยังไม่ทันที่สมองจะประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงโลหะแหวกผ่านอากาศก็ทำให้เด็กเลี้ยงม้ากระโดดหลบพร้อมกับยกห่อผ้าขึ้นกันตามสัญชาติญาณ ห่อผ้าของเขาฉีกออกจนข้าวของภายในตกกระจัดกระจายไปทั่ว เอลิกซ์มีเวลาให้ตกใจได้ไม่นาน สติของเขากลับมาเมื่อเห็นกล่องไม้บุหนังที่ร่วงอยู่บนพื้น
ไวโอลินที่รักของข้า!
ร่างโปร่งถลาลงกับพื้นอิฐ มือคว้าเอากล่องไวโอลินขึ้นมากอดเอาไว้ด้วยความหวงแหน แต่มืออีกข้างขยับเลื่อนไปแตะมีดพกที่ซ่อนเอาไว้ข้างเอว เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองเบื้องบน ก่อนนัยน์ตาสีทองจะเบิกกว้าง ความคิดที่จะสู้ถูกพับเก็บไปในทันที
สัมผัสเย็บเฉียบจากคมดาบแตะอยู่บนลำคอ...
ฝีมือดีนี่หว่า... อ่านแล้วก็ปกติดี ดูไม่ค่อยขี้นก/เสินเจิ้นเท่าไหร่ และไม่รู้สึกถึงกลิ่นที่ผิดปกติจนรู้สึกว่ามันปลอมเปลือก สงสัยเป็นเพราะไม่ได้เปิดเรื่องข้ามมิติมาเกิดใหม่ แถมไม่มีระดับพลังลมปราณให้อ่านด้วย ส่วนตัวเอกก็ดูเป็นเด็กดีน่าเอาใจช่วย ไม่ทำตัวแกรี่เทพซ่าจนน่าหมั่นไส้ ถ้าจะเอาไปต่อยอดเขียนแนวแฟนตาซีให้โม่งแตกเล่นนี่ ทำได้สบายๆ เลยล่ะ
"ไม่ไหวๆๆ ชื่อนี้ไม่เอาดีกว่า" ชายหนุ่มยีหัวจนผมยุ่ง คิ้วขมวด เส้นเลือดข้างขมับปูดโปนขึ้นมาบ่งบอกถึงระดับรวมมเครียดที่พุ่งสูงจนแทบถึงจุดระเบิด เขาต้องส่งต้นฉบับภายในเที่ยงคืน ขณะนี้ก็เป็นเวลายี่สิบสามนาฬิกาสี่สิบห้านาทีแล้ว
"จะทำไงดี.. ทำไงดีๆๆ" ตัวเขาลนจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ ผุดลุกผุดนั่งไปก็หลายครั้ง เหงื่อผุดพรายเต็มกรอบหน้า ทุกอย่างถูกตรวจสอบและรีไรท์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไร้ที่ติ รวมถึงชื่อไฟล์เวิร์ดที่เรียงอย่างเป็นระเบียบในโฟลเดอร์เตรียมซิปส่งเมล แต่ขาดอยู่เพียงอย่างเดียว.. นามปากกา
เขาลืมเรื่องสำคัญอย่างนี้ได้ยังไงกัน เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาก็เหมือนจะแกล้งกันออกตัวปั๊บก็แทบจะน็อครอบ ติดจากฟาส9 มาหรือยังไง
"เหลืออีกสิบสามนาที ต้องทันสิน่า" เขาสูดหายใจลึกและปล่อยออกมาพร้อมกับใจที่สงบลงและรวบรวมสมาธิคิดทบทวนชื่อที่เหมาะสมกับนิยายอีกครั้ง
"เรื่องราวในหอแดงกับธรรมชาติที่รายล้อมจะนึกถึงอะไรงั้นหรือ? อืม.. สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่อยากส่งเสียงร้องออกมาภายในป่าที่กว้างใหญ่ อะไรดีล่ะ.. กบ! ใช่แล้ว!! ชื่อนี้แหละ" ชื่อที่ผุดขึ้นมากะทันหันเป็นชื่อที่ตรงใจทำให้เขายกยิ้มขึ้นมา
"แต่ว่า.. มันก็สั้นและธรรมดามากเกินไป แล้วก็เสี่ยงจะซ้ำกับคนอื่นอีกด้วย ถึงเขาจะชอบกินกบทอดมากก็เถอะ แต่แบบนี้ไม่ไหวแน่ๆ
เอ.. ถ้าใส่คำนำหน้าหรือคำลงท้ายก็น่าจะเวิร์คอยู่นะ อย่าง 'ยำกบ' งี้ ซี้ด~~ เป๋นต๋าแซ่บแท้น้อ" ชายหนุ่มปาดน้ำลายที่ไหลจากมุมปาก แต่ก็ส่ายหน้าให้กับตัวเอง เขาไม่อยากน้ำลายไหลทุกครั้งที่ถูกเรียกชื่อนี้หรอกนะ
"ไม่ๆๆ ถ้าเป็นคำนำหน้า เช่น นายกบ ฯพณฯกบก็ไม่ได้สูงไป อืม.. 'ท่านกบ' เฉยๆ ก็คงได้มั้ง แล้วก็เปลี่ยนภาษาสักหน่อย ดูเท่ไม่หยอก" เขาหาข้อสรุปของชื่อได้แล้วและกรอกลงในใบประวัตินักเขียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงกวาดสายตาดูเป็นรอบสุดท้ายก่อนกดซิปและโยนใส่อีเมลที่เขียนทิ้งไว้เมื่อสองชั่วโมงก่อน ส่วนตอนนี้เข็มยาวของนาฬิกาก็อยู่ระหว่างเลขสิบเอ็ดกับสิบสองแล้ว เขาหลับหูหลับตากลั้นใจคลิกเม้าส์ที่ปุ่มส่ง
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อลืมตาขึ้นมาพบว่าอีเมลนั้นได้เข้าไปนอนอย่างสงบนิ่งอยู่ในกล่องส่งแล้วจึงยิ้มพรายอย่างมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง
"ที่จริงจะ 'กบตุ๋น' หรือ 'ตุ๋นกบ' ก็อร่อยเหมือนกันนั่นแหละนะ อ๊ะ! ในตู้เย็นก็มี 'อึ่งไข่' ด้วยนี่นา เอามาย่างหอมๆ ในเตาอบดีมั้ยนะ"
เขาจึงลุกจากหน้าจอคอมตรงไปยังตู้เย็นอันเป็นเป้าหมาย.. ขอคืนความสุขให้ชาวประชาตาดำๆ อย่างตัวผมหน่อยก็แล้วกันนะครับ ทั่นผู้ชม..
เห็นมู้เรื่องสั้นในบอร์ดเด็กดีแล้วเลยรื้อเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียนสมัยม.ปลายเมื่อสักสิบกว่าปีก่อนมาอ่านดู พยายามเขียนให้เป็นแนว Thriller ลึกลับหน่อยๆ เดี๋ยวนี้ไม่ได้เขียนแนวนี้นานละ ถ้าได้คำติชมก็ขอบคุณ
ชายวัยกลางคนพร้อมกับชายหนุ่มวัยต้นยี่สิบช่วยกันขนกล่องกระดาษหลากหลายขนาดผ่านประตูไม้ของห้องเช่าใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ภายในห้องเต็มไปด้วยลังกระดาษ กล่องพลาสติกและข้าวของที่ยังจัดไม่เข้าที่ หญิงสาวร่างบอบบางในชุดกระโปรงสีอ่อนยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูนัก ในมือของเธอถือถาดใส่แก้วน้ำสำหรับแรงงานขนของทั้งสองคน ใบหน้ารูปไข่เปียกชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ
“พักดื่มน้ำก่อนดีไหมคะ อีกเดี๋ยวค่อยจัดต่อก็ได้” ถาดพลาสติกลายดอกไม้ถูกวางลงบนโต๊ะขนาดเล็กข้างกับโซฟา ชายต่างวัยทั้งสองคนหันกลับมามองตามเจ้าของเสียง รอยยิ้มอ่อนๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าทั้งสองที่มีความคล้ายคลึงดั่งเช่นผู้ที่มีสายเลือดเดียวกัน
“พักหน่อยก็ได้ลูก เหลือแค่จัดของให้เข้าที่อีกนิดหน่อยก็น่าจะเสร็จแล้ว พ่อว่าน่าจะเสร็จก่อนเย็นนี้นี่ล่ะ” มือหนายกขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากพร้อมกับเดินตรงมายังโซฟา ผู้เป็นพ่อยกแก้วน้ำขึ้นจิบแล้วกวาดสายตามองห้องพักของบุตรสาวเพียงคนเดียว
“ห้องกว้างนะครับ พี่อังแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียว ไม่ให้ธินมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย” อธินผู้เป็นน้องชายเอ่ยถามพลางทรุดตัวนั่งข้างผู้เป็นบิดา ขณะที่พี่สาวสั่นศีรษะเป็นคำตอบ
“ธินต้องเรียน ที่นี่อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยตั้งมาก ถ้าต้องคอยตื่นเช้าแล้วก็ขึ้นรถไปกลับน่ะลำบากแย่ พี่อายุมากกว่าธินตั้งหลายปี ทำไมพี่จะอยู่คนเดียวไม่ได้กัน” อังคณาระบายยิ้มอ่อน ดูเหมือนว่าน้องชายของเธอจะเป็นห่วงเธอยิ่งเสียกว่าผู้เป็นพ่อแม่เสียอีก ทั้งที่คนที่เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก่อนก็เป็นเธอแท้ๆ
“จริงๆพ่อก็อยากให้ธินย้ายมาอยู่กับอังหรอกนะลูก ถ้าไม่ติดว่าที่เรียนของเจ้าธินมันอยู่ไกลอย่างที่อังว่า ถึงที่นี่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยก็เถอะ แต่พ่อไม่ค่อยอยากให้อังอยู่คนเดียวเลย ร่างกายเราก็ไม่ใช่จะแข็งแรงเหมือนคนอื่นเขา พ่อกับแม่ก็อยู่ต่างจังหวัด ถ้าเกิดอังเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร”
หญิงสาวยกมือแตะขึ้นที่สะโพกเมื่อได้ยินคำกล่าวของบิดา เธอประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน แม้จะรักษาจนอาการดีขึ้นบ้างแล้ว แต่กระดูกสะโพกที่แตกหักก็ทำให้การเคลื่อนไหวของเธอไม่เป็นปรกติเหมือนแต่ก่อน หากสังเกตให้ดีก็เห็นได้ว่าเธอเดินกระเผลกเล็กน้อย สาเหตุนี้จึงทำให้หญิงสาวต้องย้ายที่พักมาเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้กับที่ทำงานมากขึ้น เพื่อย่นระยะเวลาการเดินทางและภาระของร่างกาย
“พ่อไม่ต้องเป็นห่วงอังหรอกค่ะ อังดูแลตัวเองได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นอังจะรีบติดต่อไปหาธินทันทีเลย...ดีไหมคะ” รอยยิ้มบนใบหน้าหวานทำให้ผู้เป็นพ่อและน้องชายใจอ่อนลงอย่างเสียไม่ได้ สุชาติเอ่ยปากยินยอมตามความต้องการของลูกสาวและกลับไปช่วยเธอจัดห้องให้เป็นระเบียบ
“พ่อไปก่อนนะอัง เดี๋ยวต้องไปส่งธินแล้วก็ขับรถกลับบ้านอีก” ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นหลังจากข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางในที่ที่สมควร เหลือเพียงการจัดของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วสำหรับหญิงสาวที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียว อังคณาสวมกอดพ่อและน้องชายเพราะรู้ดีว่าคงอีกนานที่เธอจะได้พบทั้งสองคนอีกครั้ง
“รักษาสุขภาพด้วยนะคะพ่อ ธินเองก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
ประตูห้องปิดลงหลังจากที่สมาชิกของครอบครัวทั้งสองจากไป อังคณารื้อเสื้อผ้าออกมาจากกล่องพลาสติกแล้วจัดเก็บเข้าตู้ หญิงสาวเหม่อมองห้องพักที่ประกอบไปด้วยหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และส่วนที่กั้นออกเป็นห้องครัวและห้องรับแขกขนาดเล็ก ห้องพักแห่งนี้จะเป็นที่พำนักของเธอไปอีกระยะหนึ่ง...นานเท่าไหร่เธอก็ไม่ทราบได้เช่นกัน
แอ๊ด
ประตูห้องพักห้องข้างๆเปิดออกระหว่างที่อังคณาในชุดทำงานสีอ่อนกำลังลากถุงขยะออกมาจากห้องพักของเธอ เจ้าของห้องผู้เป็นเพื่อนบ้านที่เธอยังไม่เคยพบมาก่อนคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งวัยสามสิบตอนต้น ผิวขาวอมเหลืองเหมือนผู้มีเชื้อสายจีน เขาสวมแว่นสายตากรอบสีดำสนิท ท่าทางดูคงแก่เรียนต่างจากพนักงานบริษัทโดยทั่วไป
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณเพิ่งย้ายมาใหม่หรือครับ ผมชื่อปรานต์เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย....” ชายหนุ่มแนะนำตัวพร้อมกับค้อมศีรษะให้กับเธอ มหาวิทยาลัยที่เขาสอนอยู่นั้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดมิเนียมไปมากนัก ริมฝีปากบางของเขาคลี่ออกเป็นรอยยิ้มสุภาพ ดูแล้วเพื่อนบ้านของเธอจะมีน้ำใจและน่าคบหาอยู่ไม่น้อย
“สวัสดีค่ะอาจารย์ ดิฉัน..อังคณาหรือจะเรียกว่าอังก็ได้ค่ะ เพิ่งย้ายมาอยู่เมื่อวันเสาร์”
“พูดธรรมดาก็ได้ครับคุณอัง ผมไม่ได้คิดมากอะไร อีกอย่างตอนนี้อยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยผมยังเป็นแค่นายปรานต์ธรรมดานะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าของอังคณาขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย “จะเอาขยะออกไปทิ้งหรือครับ...มาครับผมช่วยถือเอง ดูแล้วท่าทางจะหนักไม่ใช่เล่น”
มือหนาคว้าถุงพลาสติกสีดำออกจากมือหญิงสาวอย่างถือวิสาสะ ก่อนหย่อนถุงขยะลงในถังขยะรวมที่ทางอพาร์ตเม้นท์จัดเตรียมไว้ให้ หญิงสาวพึมพำขอบคุณเบาๆและได้รับรอยยิ้มอบอุ่นตอบกลับ อาจารย์หนุ่มฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีระหว่างรอลิฟต์ที่กำลังขึ้นมา ผิดกับอังคณาที่ก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันมั่วไปหมด
สำหรับอังคณาบรรยากาศในลิฟต์ช่างชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาคู่สีน้ำตาลกลมโตเหลือบมองชายหนุ่มผู้อยู่ห้องข้างเคียงเป็นระยะ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่ในใจของหญิงสาวอย่างแปลกประหลาดเธอบอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเท่านั้นที่เธอจะประทับใจใครสักคนหนึ่ง
นั่นเป็นความรู้สึกแรกเริ่มของอังคณาเมื่อได้พบกับ..ปรานต์
นับเป็นเวลาสองเดือนแล้วที่อังคณาย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักใหม่แห่งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและชายหนุ่มห้องข้างเคียงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นจนแม้เธอเองยังรู้สึกแปลกใจ ทุกอย่างดูราบลื่นเรียบง่าย ผิดกับชีวิตก่อนประสบอุบัติเหตุของเธอเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน ชีวิตมนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้เสมอ ดีบ้างร้ายบ้างสลับกันไป บางทีตอนนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เธอจะพบเจอแต่สิ่งดีๆเหมือนคนอื่นเขาบ้างแล้วก็ได้
นาฬิกาบอกเวลากว่าสิบเจ็ดนาฬิกา มือบางของหญิงสาวไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในห้องพักรายเดือนเหมือนเช่นกิจวัตรที่ทำในทุกวัน ขาเรียวก้าวเข้าไปในห้องก่อนจะชะงักค้างกับภาพเบื้องหน้า
รองเท้า...หลากหลายคู่ หลากหลายสีสัน ที่ควรจะเรียงเป็นระเบียบอยู่ในตู้เก็บรองเท้ากลับวางกระจัดกระจายเต็มพื้นหน้าห้อง มันไม่ใช่ภาพเดียวกับเมื่อเช้านี้ เหมือนกับมีใครบางคนเข้ามารื้อมันเสียหมดสภาพ
หญิงสาวทิ้งกระเป๋าสะพายแล้ววิ่งตรงไปยังตู้ลิ้นชักเก็บของที่ข้างเตียง ของมีค่าไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเครื่องประดับของเธอยังอยู่ครบทั้งหมด อังคณาเดินสำรวจรอบห้องเพื่อตรวจสอบว่ามีข้าวของชิ้นไหนสูญหายไปบ้าง...แต่ไม่มีพบความเปลี่ยนแปลง มีเพียงแค่ตู้เก็บรองเท้าเท่านั้นที่ถูกรื้อค้น ไม่มีข้าวของหายไปเลยสักชิ้น
รองเท้าคู่กระจัดกระจายถูกจัดเข้าที่อีกครั้ง อังคณาเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นหายเหนื่อยล้าจากการทำงาน อะไรบางอย่างทำให้เธอตรงไปยังฝักบัวอาบน้ำ นิ้วเรียวคว้าขวดสบู่เหลวสีขุ่นที่เธอใช้อยู่เป็นประจำออกมาแล้วหมุนเปิดฝา... ทั้งๆที่เพิ่งซื้อใหม่เมื่อประมาณสามสัปดาห์ก่อน แต่ตอนนี้สบู่กลับพร่องลงไปเหลือไม่ถึงครึ่งขวด ปริมาณเหมือนกับว่าไม่ได้มีเธอใช้คนเดียว
ไม่สิ บางทีเธออาจจะแค่คิดไปเอง
อังคณาสะบัดศีรษะเบาๆเรียกสติ ย้อนคิดว่าอาจจะเป็นเธอก็ได้ที่รีบร้อนหารองเท้าจนต้องรื้อออกมาแล้วลืมเก็บ เธออาจจะกดสบู่มากกว่าปรกติในตอนอาบน้ำ มันอาจจะเป็นการปลอบใจตัวเอง แต่จะมีใครคนอื่นล่ะที่จะเข้ามาในห้องพักของเธอได้
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงออดดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง หญิงสาววางขวดสบู่เหลวลงและก้าวไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ภาพที่ปรากฏขึ้นบนตาแมวคือใบหน้าของชายหนุ่มห้องเคียงข้าง อังคณาเปิดประตูออกพร้อมกับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า
“ทานอะไรหรือยังครับคุณอัง พอดีผมซื้อเป็ดย่างร้านอร่อยมาก็เลยอยากมาทานกับคุณนะครับ ไม่ทราบว่ารบกวนอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่รบกวนหรอกคะ พอดีอังก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน อังว่าจะอุ่นต้มจืดของเมื่อวานอยู่พอดี คุณปรานต์นั่งรอตรงโต๊ะกินข้าวก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวเอาเป็ดไปใส่จานให้”
ชายหนุ่มร่างสูงถอดรองเท้าและนั่งลงตามที่ผู้เป็นเจ้าของห้องบอก อังคณาแกะอาหารลงใส่จานแล้วเปิดไมโครเวฟเพื่ออุ่นต้มจืดที่แช่ตู้เย็นเอาไว้ หญิงสาวชะงักอีกครั้งเมื่อเห็นสภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าของตนเอง คราบมันและเศษอาหารกระจายเป็นไมโครเวฟเต็มไปหมด ด้วยนิสัยติดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เธอมั่นใจว่าทุกครั้งหลังใช้งานมันต้องถูกเช็ดทำความสะอาดเสมอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณอัง” ปรานต์ชะโงกหน้ามาดูหญิงสาวที่เงียบหายไปเป็นเวลานาน ใบหน้าที่ซีดเซียวของอังคณาทำให้ชายหนุ่มรีบปราดเข้ามาใกล้และคว้าไหล่ของเธอเอาไว้พร้อมส่งเสียงร้องหลายครั้งเหมือนเตือนสติ
“ขอโทษค่ะคุณปรานต์ วันนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับอังเต็มไปหมดเลยน่ะค่ะ...” มือหนาของชายหนุ่มรับจานใส่อาหารมาถือพลางพาเจ้าของห้องพักไปนั่งพักยังเก้าอี้สำหรับทานอาหาร แม้ว่าเขาจะไม่ปริปากพูดอะไรออกมา แต่สายตาห่วงใยที่ส่งมาให้ก็เหมือนกับกระตุ้นให้อังคณาเล่าสิ่งต่างๆที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจให้เขาฟังทั้งหมด
“อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะครับคุณอัง แต่ถ้าคุณอังไม่สบายใจผมว่าลองเปลี่ยนลูกบิดกุญแจดูไหมครับ ที่คอนโดฯก็มีช่างคอยประจำอยู่ พรุ่งนี้วันเสาร์พอดีเดี๋ยวผมพาไปซื้อลูกบิดใหม่ก็ได้ครับ”
ใบหน้าของหญิงสาวค่อยมีสีเลือดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำจากอีกฝ่าย เขาสามารถทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้เสมอ...แต่ในใจลึกๆของเธอก็อดแย้งขึ้นมาไม่ได้
หวังว่าจะ‘ไม่มีอะไร’จริงๆ
“พี่คะ อังขอดูคลิปที่กล้องวงจรปิดที่ชั้นห้า หน้าห้องห้าหนี่งสี่ถ่ายไว้ได้ไหมคะ อังรู้สึกเหมือนมีคนแอบเข้าไปในห้องอังตอนที่อังไม่อยู่” หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มวัยสี่สิบเป็นนิติกรของคอนโดมีเนียมแห่งนี้ เขาส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับเสียใจ
“ขอโทษจริงๆนะครับคุณอังคณา พอดีว่าที่คอนโดฯของเรามีกล้องวงจรปิดแค่ที่หน้าลิฟต์เท่านั้น ถ้าคุณอังรู้สึกไม่สบายใจผมจะลองให้ช่างเข้าไปตรวจในห้องไหมครับ พวกตามฝ้าตามหน้าต่างว่ามีรอยงัดแงะอะไรหรือเปล่า”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลก่อนจะนำทางช่างไปยังห้องพักส่วนตัวของเธอ หลังจากการตรวจสอบรอบห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นฝ้าเพดาน ลูกกรงหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งระเบียงห้อง ก็ไม่พบจุดใดที่คนภายนอกจะเข้ามาในห้องของเธอได้ ฝ่ายช่างจึงกลับไปโดยไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น
บางที...คนที่จะแอบเข้าห้องพักของเธอได้คือคนที่จะต้องมีกุญแจห้องเท่านั้น ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้มอบกุญแจห้องให้กับใคร ยกเว้นแต่ว่า...นายช่างที่มาเปลี่ยนกุญแจให้กับเธอจะแอบทำกุญแจสำรองแล้วแอบเข้ามาในห้องโดยที่เธอไม่รู้ตัว
วันรุ่งขึ้นอังคณาซื้อลูกบิดและตัวล็อกกุญแจอันใหม่มาอีกครั้ง เธอขอให้ช่างของคอนโดมีเนียมขึ้นมาเปลี่ยนลูกบิดประตูให้ด้วยความคาดหวังว่าจะเป็นช่างคนอื่นที่ขึ้นมาทำให้ แต่คนที่ขึ้นมาเปลี่ยนลูกบิดกุญแจกลับเป็นช่างคนเดิม
ขาเรียวสาวเท้าตรงไปยังห้องเคียงข้างเมื่อมั่นใจว่าบุคคลต้องสงสัยของเธอจากไปพร้อมกับกล่องเครื่องมืออุปกรณ์ หญิงสาวเคาะประตูไม้ด้วยจิตใจอันฟุ้งซ่าน เวลานี้คงจะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะให้คำปรึกษากับเธอได้
จากเคาะประตูห้องเปลี่ยนเป็นการใช้แรงทุบ หากแต่ไร้เสียงตอบรับจากอาจารย์หนุ่ม อังคณาหันรีหันขวางด้วยความกังวล ดวงตาสีน้ำตาลแลเห็นหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านที่กำลังเก็บขยะส่วนกลางไปทิ้ง หญิงสาวเดินมุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายในทันที
“คุณป้าคะ ไม่ทราบว่าคุณป้าเห็นอาจารย์ที่อยู่ห้องข้างๆหนูไหมคะ ไม่ทราบว่าเขาออกไปข้างนอกหรือเปล่า” หญิงแม่บ้านละสายตาจากงานที่ทำขึ้นมามองหญิงสาวด้วยความงุนงง เรียวคิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันเหมือนใช้ความคิด
“เอ..อาจารย์คนไหนกันคะ ข้างห้องคุณนอกจากคุณพนักงานธนาคารแล้วอีกห้องก็ไม่มีใครอยู่นะคะ” ดวงตาของอังคณาเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากผู้เป็นแม่บ้าน จะเป็นไปได้อย่างไรว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ข้างห้องเธอ ในเมื่อทุกๆวันปรานต์ยังทักทายและคุยกับเธออย่างสม่ำเสมอ
“ไม่เป็นไรค่ะ อาจจะมีการเข้าใจอะไรผิดก็ได้ ขอบคุณป้ามากเลยนะคะ” ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มหม่น หญิงแม่บ้านพยักหน้าก่อนจะรวบถุงขยะเดินลงบันไดไป อังคณาลากเท้าเดินกลับห้องพักไปอย่างเชื่องช้า เธอหยุดยืนที่หน้าประตูห้องของปรานต์ด้วยความลังเล
แอ๊ด
บานประตูไม้เปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่ปรากฏตัวขึ้น รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าขาวทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งของอังคณามลายหายไปในทันที
“เมื่อกี้คุณอังมาเคาะห้องผมใช่ไหมครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้มาเปิด พอดีตอนนั้นผมกำลังอาบน้ำอยู่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ เส้นผมสีดำสนิทของเขายังเป็นเปียกชื้นจากการอาบน้ำ ที่บอกว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องนี้คงเป็นเพราะความเข้าใจผิดของแม่บ้าน ปรานต์เชื้อเชิญเธอเข้าไปในห้องพักที่จัดเป็นระเบียบของเขา อังคณาทรุดตัวลงพลางเล่าเรื่องช่างของคอนโดมีเนียมให้อีกฝ่ายฟัง
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับว่าช่างจะมีกุญแจสำรองของคุณ” ริมฝีปากบางของชายหนุ่มเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง “ช่วงนี้ผมเองก็ติดธุระเสียด้วยสิ ทางคณะจัดค่ายอบรมผมต้องไปเป็นวิทยากรตั้งสองสัปดาห์...ตอนผมไม่อยู่ คุณต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับคุณอัง”
มือหนายกขึ้นแตะมือของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาเบื้องหลังกรอบแว่นทอดมองมาด้วยความห่วงใย ผิดกับใจของอังคณาที่ว้าวุ่นด้วยลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่บอกว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ จะต้องมีเรื่องราวไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพียงปรานต์เดินทางไปออกค่ายกับทางมหาวิทยาลัยได้ไม่ถึงสองวัน ความหวาดระแวงกัดกินในใจของหญิงสาว ยิ่งปรานต์ไม่อยู่เพราะว่าเช่นนี้ ใจของเธอก็ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ จะโทรศัพท์ไประบายให้ผู้เป็นพ่อและน้องชายฟังก็ไม่เข้าที เพราะทั้งสองคนล้วนก็แต่มีเรื่องที่ต้องคิดเป็นของตัวเอง
ความตึงเครียดของอังคณามาถึงจุดขีดสุดเมื่อพบว่า หลังกลับจากทำงานเสื้อผ้าที่ควรจะอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเธอกลับกระจัดกระจายเต็มส่วนที่เป็นห้องนอนไปเสียหมด
หญิงสาวไม่ก้าวออกจากห้องแม้ว่าจะเป็นวันและเวลาทำงานของเธอก็ตาม อังคณาเฝ้าแต่จับตามองว่าจะมีใครเข้ามาในห้องของเธอหรือไม่ เสียงโทรศัพท์มือถือและเสียงออดที่หน้าประตูห้องดังลั่นหลายต่อหลายครั้ง ผู้เป็นเจ้าของห้องได้แต่เก็บตัวในความมืดเพื่อรอบุคคลโรคจิตที่แอบเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องของเธอ...
เมื่อไหร่ปรานต์จะกลับมาสักที...
เชี่ย ลงสลับกัน ต้องอันนี้ขึ้นก่อน >>561 นะ
ช่างที่มาเปลี่ยนลูกบิดประตูกลับไปหลังจากงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย วันนี้ปรานต์ต้องไปช่วยคุมสอบที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นจึงไม่สามารถมาอยู่เป็นเพื่อนขณะที่ช่างมาทำงานได้ แต่แค่นี้ก็ทำให้อังคณารู้สึกเบาใจได้ขึ้นมาก ถ้าจะมีใครแอบเข้าห้องของเธอเวลาที่เธอไม่อยู่จริงๆ คนๆนั้นคงจะไม่สามารถเข้ามาได้อีกแล้วถ้าไม่มีกุญแจสำรอง
ข้อความมือถือจากอธินถูกส่งมาว่าเขาต้องการจะใช้เงินเพื่อทำโครงงานเป็นจำนวนเงินสามพันบาท น้องชายของเธอจะเข้ามาเอาเงินในวันรุ่งขึ้น อังคณาจึงเบิกเงินมาให้เขาตั้งแต่วันนี้ หญิงสาวหยิบเงินจำนวนหนึ่งแล้ววางกระเป๋าเงินบนโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะเดินลงไปซื้อของใช้ส่วนตัวที่ร้านขายของสะดวกซื้อที่ใต้อาคาร
ความคิดที่ว่าเพียงแค่เปลี่ยนลูกบิดประตูทุกอย่างก็จะจบไม่เป็นจริงอีกต่อไป เมื่อหญิงสาวกลับมาที่ห้องพักเรื่องแปลกๆก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เงินสามพันบาทในกระเป๋าเงินของอธินหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งที่เธอเพิ่งวางมันไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งเมื่อไม่ถึงสิบนาทีนี้นี่เอง
หญิงสาวตรงไปยังส่วนที่กั้นเป็นครัวและเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่มสำหรับสงบใจ...ขนมเค้กที่ปรานต์ซื้อให้เธอเมื่อวานนี้หายไปเรียบร้อยแล้ว...
อังคณาวิ่งเข้าห้องน้ำสถานที่ที่เธอจะพบความเปลี่ยนแปลงของห้องมากที่สุด...พื้นห้องน้ำเปียกโชกไปด้วยหยดน้ำ ทั้งๆที่ครั้งสุดท้ายที่เธออาบน้ำคือเมื่อกว่าหกชั่วโมงที่แล้ว
ภาพต่างๆย้อนเข้ามาในสมองทีละนิด ของใช้ที่บางทีก็เคลื่อนที่จากตำแหน่งของมัน ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่หมดเร็วผิดปรกติ...
คงไม่ใช่เธอ...ที่พักอาศัยอยู่ภายในห้องนี้เพียงลำพัง
“พี่คะ อังขอดูคลิปที่กล้องวงจรปิดที่ชั้นห้า หน้าห้องห้าหนี่งสี่ถ่ายไว้ได้ไหมคะ อังรู้สึกเหมือนมีคนแอบเข้าไปในห้องอังตอนที่อังไม่อยู่” หญิงสาวเอ่ยถามชายหนุ่มวัยสี่สิบเป็นนิติกรของคอนโดมีเนียมแห่งนี้ เขาส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับเสียใจ
“ขอโทษจริงๆนะครับคุณอังคณา พอดีว่าที่คอนโดฯของเรามีกล้องวงจรปิดแค่ที่หน้าลิฟต์เท่านั้น ถ้าคุณอังรู้สึกไม่สบายใจผมจะลองให้ช่างเข้าไปตรวจในห้องไหมครับ พวกตามฝ้าตามหน้าต่างว่ามีรอยงัดแงะอะไรหรือเปล่า”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลก่อนจะนำทางช่างไปยังห้องพักส่วนตัวของเธอ หลังจากการตรวจสอบรอบห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นฝ้าเพดาน ลูกกรงหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งระเบียงห้อง ก็ไม่พบจุดใดที่คนภายนอกจะเข้ามาในห้องของเธอได้ ฝ่ายช่างจึงกลับไปโดยไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น
บางที...คนที่จะแอบเข้าห้องพักของเธอได้คือคนที่จะต้องมีกุญแจห้องเท่านั้น ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้มอบกุญแจห้องให้กับใคร ยกเว้นแต่ว่า...นายช่างที่มาเปลี่ยนกุญแจให้กับเธอจะแอบทำกุญแจสำรองแล้วแอบเข้ามาในห้องโดยที่เธอไม่รู้ตัว
วันรุ่งขึ้นอังคณาซื้อลูกบิดและตัวล็อกกุญแจอันใหม่มาอีกครั้ง เธอขอให้ช่างของคอนโดมีเนียมขึ้นมาเปลี่ยนลูกบิดประตูให้ด้วยความคาดหวังว่าจะเป็นช่างคนอื่นที่ขึ้นมาทำให้ แต่คนที่ขึ้นมาเปลี่ยนลูกบิดกุญแจกลับเป็นช่างคนเดิม
ขาเรียวสาวเท้าตรงไปยังห้องเคียงข้างเมื่อมั่นใจว่าบุคคลต้องสงสัยของเธอจากไปพร้อมกับกล่องเครื่องมืออุปกรณ์ หญิงสาวเคาะประตูไม้ด้วยจิตใจอันฟุ้งซ่าน เวลานี้คงจะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะให้คำปรึกษากับเธอได้
จากเคาะประตูห้องเปลี่ยนเป็นการใช้แรงทุบ หากแต่ไร้เสียงตอบรับจากอาจารย์หนุ่ม อังคณาหันรีหันขวางด้วยความกังวล ดวงตาสีน้ำตาลแลเห็นหญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านที่กำลังเก็บขยะส่วนกลางไปทิ้ง หญิงสาวเดินมุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายในทันที
“คุณป้าคะ ไม่ทราบว่าคุณป้าเห็นอาจารย์ที่อยู่ห้องข้างๆหนูไหมคะ ไม่ทราบว่าเขาออกไปข้างนอกหรือเปล่า” หญิงแม่บ้านละสายตาจากงานที่ทำขึ้นมามองหญิงสาวด้วยความงุนงง เรียวคิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันเหมือนใช้ความคิด
“เอ..อาจารย์คนไหนกันคะ ข้างห้องคุณนอกจากคุณพนักงานธนาคารแล้วอีกห้องก็ไม่มีใครอยู่นะคะ” ดวงตาของอังคณาเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากผู้เป็นแม่บ้าน จะเป็นไปได้อย่างไรว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ข้างห้องเธอ ในเมื่อทุกๆวันปรานต์ยังทักทายและคุยกับเธออย่างสม่ำเสมอ
“ไม่เป็นไรค่ะ อาจจะมีการเข้าใจอะไรผิดก็ได้ ขอบคุณป้ามากเลยนะคะ” ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มหม่น หญิงแม่บ้านพยักหน้าก่อนจะรวบถุงขยะเดินลงบันไดไป อังคณาลากเท้าเดินกลับห้องพักไปอย่างเชื่องช้า เธอหยุดยืนที่หน้าประตูห้องของปรานต์ด้วยความลังเล
แอ๊ด
บานประตูไม้เปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงที่ปรากฏตัวขึ้น รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าขาวทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งของอังคณามลายหายไปในทันที
“เมื่อกี้คุณอังมาเคาะห้องผมใช่ไหมครับ ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้มาเปิด พอดีตอนนั้นผมกำลังอาบน้ำอยู่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ เส้นผมสีดำสนิทของเขายังเป็นเปียกชื้นจากการอาบน้ำ ที่บอกว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องนี้คงเป็นเพราะความเข้าใจผิดของแม่บ้าน ปรานต์เชื้อเชิญเธอเข้าไปในห้องพักที่จัดเป็นระเบียบของเขา อังคณาทรุดตัวลงพลางเล่าเรื่องช่างของคอนโดมีเนียมให้อีกฝ่ายฟัง
“ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับว่าช่างจะมีกุญแจสำรองของคุณ” ริมฝีปากบางของชายหนุ่มเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง “ช่วงนี้ผมเองก็ติดธุระเสียด้วยสิ ทางคณะจัดค่ายอบรมผมต้องไปเป็นวิทยากรตั้งสองสัปดาห์...ตอนผมไม่อยู่ คุณต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับคุณอัง”
มือหนายกขึ้นแตะมือของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาเบื้องหลังกรอบแว่นทอดมองมาด้วยความห่วงใย ผิดกับใจของอังคณาที่ว้าวุ่นด้วยลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่บอกว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ จะต้องมีเรื่องราวไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพียงปรานต์เดินทางไปออกค่ายกับทางมหาวิทยาลัยได้ไม่ถึงสองวัน ความหวาดระแวงกัดกินในใจของหญิงสาว ยิ่งปรานต์ไม่อยู่เพราะว่าเช่นนี้ ใจของเธอก็ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่ จะโทรศัพท์ไประบายให้ผู้เป็นพ่อและน้องชายฟังก็ไม่เข้าที เพราะทั้งสองคนล้วนก็แต่มีเรื่องที่ต้องคิดเป็นของตัวเอง
ความตึงเครียดของอังคณามาถึงจุดขีดสุดเมื่อพบว่า หลังกลับจากทำงานเสื้อผ้าที่ควรจะอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเธอกลับกระจัดกระจายเต็มส่วนที่เป็นห้องนอนไปเสียหมด
หญิงสาวไม่ก้าวออกจากห้องแม้ว่าจะเป็นวันและเวลาทำงานของเธอก็ตาม อังคณาเฝ้าแต่จับตามองว่าจะมีใครเข้ามาในห้องของเธอหรือไม่ เสียงโทรศัพท์มือถือและเสียงออดที่หน้าประตูห้องดังลั่นหลายต่อหลายครั้ง ผู้เป็นเจ้าของห้องได้แต่เก็บตัวในความมืดเพื่อรอบุคคลโรคจิตที่แอบเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องของเธอ...
เมื่อไหร่ปรานต์จะกลับมาสักที...
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.