Fanboi Channel

นิยายเด็กดี บทที่ 19 (DDN XIX) ภาคสิ้นหวังแล้วเดกดวก ตั้งใจเขียนแล้วไม่มีคนอ่าน หนีไปเขียนกากๆ อัพถี่ๆ เกาะกระแสแล้วติดท็อปกันดีกว่า

Last posted

Total of 1000 posts

1 Nameless Fanboi Posted ID:toYGka/sPX

วิพากษ์วิจารณ์งานเขียนบนเว็บเด็กดี.คอม ทั้งจบแล้วและยังไม่จบ ตีพิมพ์แล้วและยังไม่มีใครเหลียวแล รวมไปถึงพูดคุยเกี่ยวกับวงการนิยายเว็บ (เด็กดี) เพื่อความหวังของวรรณกรรมไทยในอนาคต ทั้งนี้ ไม่สนับสนุนให้นำเรื่องส่วนตัวของนักเขียนแต่ละคนออกมาตีแผ่ ควรเน้นเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานเขียนเท่านั้น

<<คลังกระทู้เก่า>>

นิยายเด็กดี บทที่ 1 -- https://fanboi.ch/webnovel/2403/
นิยายเด็กดี บทที่ 2 -- https://fanboi.ch/webnovel/2703/
นิยายเด็กดี บทที่ 3 -- https://fanboi.ch/webnovel/2907/
นิยายเด็กดี บทที่ 4 -- https://fanboi.ch/webnovel/3066/
นิยายเด็กดี บทที่ 5 -- https://fanboi.ch/webnovel/3187/
นิยายเด็กดี บทที่ 6 -- https://fanboi.ch/webnovel/3229/
นิยายเด็กดี บทที่ 7 -- https://fanboi.ch/webnovel/3388/
นิยายเด็กดี บทที่ 8 -- https://fanboi.ch/webnovel/3594/
นิยายเด็กดี บทที่ 9 -- https://fanboi.ch/webnovel/3852/
นิยายเด็กดี บทที่ 10 -- https://fanboi.ch/webnovel/4106/
นิยายเด็กดี บทที่ 11 -- https://fanboi.ch/webnovel/4265/
นิยายเด็กดี บทที่ 12 -- https://fanboi.ch/webnovel/4393/
นิยายเด็กดี บทที่ 13 -- https://fanboi.ch/webnovel/4626/
นิยายเด็กดี บทที่ 14 -- https://fanboi.ch/webnovel/4810/
นิยายเด็กดี บทที่ 15 -- https://fanboi.ch/webnovel/5006/
นิยายเด็กดี บทที่ 16 -- https://fanboi.ch/webnovel/5346/
นิยายเด็กดี บทที่ 17 -- https://fanboi.ch/webnovel/5535/
นิยายเด็กดี บทที่ 18 -- https://fanboi.ch/webnovel/5769/

2 Nameless Fanboi Posted ID:toYGka/sPX

รายชื่อโดนสับไปแล้ว https://docs.google.com/document/d/1ouFhwS9WeoBzEgYHVNYWkeUAbhQ2YkCg4ozpTpx1-94/edit

3 Nameless Fanboi Posted ID:7Bp9vm6uJv

เขียนนิยายกระแสก็ไม่ได้การันตีติดท็อปหรอกนะ ต่อให้อัพทุกวัน ที่พอจะการันตีได้ก็แค่มีคนอ่านมากกว่าปกติเท่านั้น ถ้าอยากติดท็อป มึงต้องเบียวมาจากภายในจิตใจของมึงเอง+ตั้งชื่อเรื่องให้โดนใจ+ดวง พยายามเฟคๆ น่ะมันไปได้ไม่สุดหรอก

4 Nameless Fanboi Posted ID:X2/qtWMSbc

>>3 มึงรอดูพวกที่แข่งเขียนติดท็อปดิเดี๋ยวก็รู้ว่าทำได้ไหม แต่กูแทงว่าไม่ได้ถถถ ส่องดูแล้วมีแต่เกรียนถ้ามันไม่ปั้มวิวแม่งไม่ได้หรอก

5 Nameless Fanboi Posted ID:NgcHNfSqUz

>>4 ติดท็อปหมวดยังยาก แม่งจะให้เอาติดท็อปรวม ถถถ

6 Nameless Fanboi Posted ID:xB0yLpYgnA

คนคิดชื่อมู้แม่งจงใจล้อเลียน

7 Nameless Fanboi Posted ID:a0zzFMb3Wd

จะติดท็อปนี่มันไม่ง่ายนะเว้ย ทุกอย่างต้องลงล็อคเป๊ะๆ จังหวะต้องถูก แล้วดวงต้องดีด้วย

ถึงจะเขียนบรรลุความเบียวขั้นสวรรค์หยวน อัพถี่ จัดพลังทรูเต็มที่ แต่ถ้าดวงไม่ดีก็ไม่ติดท็อปหรอกเชื่อกู

8 Nameless Fanboi Posted ID:xB0yLpYgnA

บอร์ดเด็กดวกมีแต่มู้จีนโบราณ คนไม่เบื่อแย่เรอะ

9 Nameless Fanboi Posted ID:8aPlTCviNY

>>7 ลองใช้พลังพิเศษแบบเทพกระบี่หมื่นล้านสิ กูโคตรชอบตอนนั้นเลย

10 Nameless Fanboi Posted ID:/tDk6IggGN

ขอบ่นหน่อย กูเจอในบอร์ดบอกเขียนนิยายใหม่รบกวนให้เข้าไปติชม แต่เสือกทิ้งชื่อไม่ทิ้งลิ้งก์ กูคิดว่าก็ เออ มันอาจทำไม่เป็น

พอกูหาตามชื่อปุ้บ แม่งมีตอนเดียวแถมเหี้ยด้วย

กูเลยอยากรู้ว่ารสนิยมเด็กดวกแม่งชอบเขียนตอนเดียวแล้วแปะบอร์ดเลยหรอวะ คือกูว่าตอนเดียวมันยังบอกอะไรไม่ได้แถมแม่งยังเหี้ยจนไม่รู้เรื่องอีก

จบการบ่นเพียงเท่านี้

11 Nameless Fanboi Posted ID:/eFa37vEXB

>>10 ถาม: อยากรู้ว่ารสนิยมเด็กดวกแม่งชอบเขียนตอนเดียวแล้วแปะบอร์ดเลยหรอวะ คือกูว่าตอนเดียวมันยังบอกอะไรไม่ได้แถมแม่งยังเหี้ยจนไม่รู้เรื่องอีก

ตอบ: จะรู้ได้ถ้าไปหาสัดส่วนของจำนวนคนเขียนที่แปะในบอร์ดทั้งหมด ที่เทียบกับตัวเลขคนเขียนตอนสองตอนแล้วแปะ เช่น ถ้ามีแบบนี้อีกสัก 10-20 คน ก็เก็บตัวเลขเอามาทำเป็นฐานข้อมูล เอามาทำสถิติไว้แล้วผลลัพธ์ถึงจะเป็นเชิงประจักษ์

12 Nameless Fanboi Posted ID:Pkr3dH2K7+

และเกือบทั้งหมดของไอ้พวกห่านี่ พอแต่งไปได้ราวๆ 5-10 ตอนแล้วคนอ่านคนเม้นท์มีน้อย ก็จะมางอแงลงบอร์ดอีกรอบ

13 Nameless Fanboi Posted ID:ZYkYnqTpG6

อะหือ ชื่อมู้แม่งสะเทือนใจกูยิ่งนัก มันเป็นเรื่องจริง หลายเรื่องเขียนดีภาษาดีดันไม่มีคนอ่านคนเม้นท์
แต่แนวเกาะกระแสเกิดใหม่ นางร้าย อัพถี่ๆ พล็อตเดิมๆ บทโคตรซูดันติดท็อป

14 Nameless Fanboi Posted ID:VgecZW6Mg0

อยากได้คนเมนต์เหรอ? เปิดรับสมัครตัวละครสิ ไม่ว่าเรื่องของมึงจะกากหมาแค่ไหนก็มีคนเมนต์แน่นอน!

15 Nameless Fanboi Posted ID:cLJeoQPkf8

>>14 มีงอย่าลืมโรลเพลย์ดิเฮ้ย ก็เห็นแม่งมี 5000 กว่าเม้นแล้ว

16 Nameless Fanboi Posted ID:bpIkFvmutS

>>13 ถ้าคิดว่าดี​+ตัวเองสนุกที่จะเขียน​ก็เขียนไปเถอะ​ คนอ่านเลือกอ่านหนังสือ​ หยังสือก็เลือกคนอ่านได้เหมือนกัน​ คนอ่านไม่อยากอ่านบทบรรยาย​ กูก็ไม่อยากให้คนอ่านประเภทโหยหาพระเอกแกรี่สตูมาอ่านงานกูเหมือนกัน​ บิบิ

17 Nameless Fanboi Posted ID:bxHZsUbdQY

>>10 พวกนี้ต้องการยอดวิว ไม่ได้ต้องการเงินเหมือนมืออาชีพ

18 Nameless Fanboi Posted ID:bxHZsUbdQY

Low Fantasy คืออัลไลวะ https://www.dek-d.com/board/view/3878754/

19 Nameless Fanboi Posted ID:sovjZDsCiR

>>18 high = สร้างโลกใหม่ แบบเดอะหลอด
low = มีความแฟนตาซีแฝงอยู่กับโลกจริงของเรา อย่างแฮร์รี่พ่องตาย
-แทงเต็ง คือ การแทงแต้ม 1 ไปจนถึงแต้ม 6 (ภาษานักพนันเรียก แต้ม1 ว่า เอี่ยว) ถ้าลูกเต๋า 1 ใน 3 ลูก ลูกใดลูกหนึ่ง ออกแต้มตามที่เราแทง เราก็จะได้ เงิน 1 ต่อ นั่นคือ แทง 1 บาท ถ้าถูก จะได้ 1 บาท
- แทงโต๊ด คือ การแทงแต้มเหมือนกับข้อ 1 แต่จะแทงทีละ 2 แต้ม ลูกเต๋า 2 ใน 3 ลูก จะต้องออกแต้มที่ทายควบไว้ จึงจะถือว่า แทงถูก เช่น ถ้าแทงว่า โต๊ด 2-3 ถ้าเปิดฝาออกมาแล้ว เป็น 2-3-5 อย่างนี้ ถือว่าเราแทงถูก แต่ถ้าเป็น 2-4-5 หรือ 3-4-6 อย่างนี้ ถือว่าออกแค่แต้มเดียวที่เราทายไปจะถือว่าแทงผิด ด้วยการแทงโต๊ดมีความเสี่ยงสูงค่าตอบแทนจึงจ่ายที่ 5 ต่อ คือ แทง 1 บาท ถ้าถูก จะได้ 5 บาท
- แทงสูง-ต่ำ คือ การแทงแต้มรวมของลูกเต๋าทั้ง 3 ลูก ถ้าแต้มรวมอยู่ระหว่าง 3 แต้ม ไปจนถึง 10 แต้ม ก็ถือว่า "ต่ำ" แต่ถ้าแต้มรวมอยู่ระหว่าง 12 ไปจนถึง 18 แต้ม ก็ถือว่าเป็น "สูง" แทงแบบนี้ ก็จะได้เงิน 1 ต่อ เหมือนกับข้อ 1.
- แทง 11 ไฮโล คือ การแทงแต้มรวมของลูกเต๋าทั้ง 3 ลูก ที่เท่ากับ 11 ซึ่งจะมีศัพท์เฉพาะเรียกว่า "11ไฮโล" 11ไฮโล ออกยากมาก เพราะแต้มรวมต้องได้ 11 พอดี ห้ามขาด ห้ามเกิน ใครแทง 11 ไฮโล แล้วถูกขึ้นมา รับไปเลย 5 ต่อ คือ แทง 1 บาท ถ้าถูก จะได้ 5 บาท

20 Nameless Fanboi Posted ID:Cyss+GCPiz

>>19 แฮรี่กูถือว่าเป็น middle นะ คือไม่ใช่โลกใหม่ทั้งหมด แต่ก็สร้างโลกซ้อนโลกที่มีความเป็นแฟนตาซีสูงอยู่ ถึงกูจะอ่านปวศ.โลกแม่งแล้วรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ European-Supremacist สุดๆ ก็เถอะ โลกเวทมนต์เอเชียแม่งอย่างกาก ไม่มีส่วนร่วมอะไรเลย แถมโรงเรียนเวทมนต์เสือกมีแค่ที่ญี่ปุ่นที่เดียว และชื่อโรงเรียนก็คือ "โรงเรียนเวทมนต์" โคตรสิ้นคิดและ Cultural Approach กากชิบหาย ถ้าเป็นยุค 70 กูยังเข้าใจ แต่ยุค 2000 แล้วยังมีแบบนี้อีก เหลือเชื่อจริงๆ

21 Nameless Fanboi Posted ID:4aPk5vL7Z7

>>20 พี่ถุยครับเลิกไทยคำอังกฤษคำเถอะนะครับ คนอื่นเขาไม่ได้ฉลาดแบบพี่นะครับผม

22 Nameless Fanboi Posted ID:45SoOCC5o8

>>20 ก็พวกยุโรปแม่ง Top-from โครตๆ ตั้งแต่ยุคจักรวรรดิโรมันมาเลยนี่หว่า ถึงยุคใหม่จะแผ่วๆ ให้เอเชียกะเมกาลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่ยังไงก็เทียบกับมันไม่ได้อ่ะ เหตุการณ์ใหญ่ เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์แม่งเกิดวนๆ อยู่ในทวีปเดียว

23 Nameless Fanboi Posted ID:0.wVfgSGML

>>22 Top-from คือมันมาจากข้างบนเหรอ?

24 Nameless Fanboi Posted ID:Tcfe.CGn3D

>>23 จริงๆ ต้อง Torp fom ต่างหาก

25 Nameless Fanboi Posted ID:TQNL6zvUjg

>>24 ใช่ กูเขียนผิดเองโทษที ดึกแล้วมันจะเบลอๆ หน่อย

26 Nameless Fanboi Posted ID:UqTMRGPW5Y

เอาจริงๆนะ พวกยุคกลางยุโรปที่เด็กดีชอบเขียนกัน ถ้าไม่ใช่มาจากหอยหลอดแห่งแหวน ก็ต้องแรงบันดาลใจรากเหง้ามาจากดราก้อนเควสน่ะแหละ

27 Nameless Fanboi Posted ID:XzXlT6wtrf

มันก็โอลสคูลประเภทผจญภัยรับเควสเหมือนกันไม่ใช่เรอะ

28 Nameless Fanboi Posted ID:vYm.ykDE+W

อยากจะเขียนนิยายพระเอกเทพ วางโครงเรื่องไว้แบบนี้

พระเอกไปกินเลี้ยงกับเพื่อนที่ออฟฟิศ เมากลับมาที่ห้องเช่า แล้วบ้าไปแทงบอลออนไลน์ จากนั้นตอนเช้ามีคนจากบ่อนโทรมาแสดงความยินดี ปรากฏว่าที่กดมั่วแทงสกอร์ด้วยความเมา เสือกถูกแจ็คพ็อตสเต็ป 16 คู่ ได้เงินมา 350 ล้าน พระเอกเลยไปเปิดบัญชีธนาคารที่สิงคโปร์ หาทางเอาเงินกลับเข้าประเทศ ใช้ชีวิตแบบโคตรราชา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ปปง กับสรรพากร เริ่มระแคะระคายถึงเรื่องนี้แล้ว

29 Nameless Fanboi Posted ID:AQpXmMixgb

>>28 ถามจริง 350 ล้านมึงจ่ายกันเป็นเงินสดขนใส่รถกระบะมารึไงวะ สรรพากรมันถึงแค่ระแคะระคายเนี่ย 555
อยู่ดีๆ เงินเข้าบัญชี 30ล้านสรรพากรแม่งก็โทรมาแล้ว

30 Nameless Fanboi Posted ID:5ya0q3Jyp.

https://www.dek-d.com/board/view/3878943/
โต้วาทีกันไหมครับ

31 Nameless Fanboi Posted ID:AQpXmMixgb

>>30 บอร์ดไม่มีคนกลางห้ามมวยมันจะกลายเป็นดราม่าได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าคนกลางเสือกเอียงกระเท่เล่ก็ยิ่งเละ
ถ้าไม่มีการจัดการฝั่งให้เรียบร้อยมันก็จะออกทะเล คุยเรื่อง A ญัตติ A ก็จะมีพวกค้านด้วยเหตุผลค้างๆ คูๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันโดยตรงขึ้นมา หรือออกนอกเรื่องไป ซึ่งมันจะลากกลับเข้ามาได้ยากมากๆ
กูว่าถ้าจะทำบอร์ดโต้วาที(ที่เป็นการโต้กันจริงๆ) คงยากว่ะ แต่ถ้าเป็นการถกกันด้วยเหตุผลอันนี้ปกติก็ทำกันอยู่ไม่ใช่รึ

32 Nameless Fanboi Posted ID:zFXpkfAgvN

>>22 มึงตกประวัติศาสตร์นะ หลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ยุโรปแทบไม่มีห่าไรดีเลย เหตุการณ์สำคัญส่วนใหญ่ในโลกเกิดที่เอเชียและตะวันออกกลางซะส่วนใหญ่วะ มึงเมาจากไหนว่า "เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์แม่งเกิดวนๆ อยู่ในทวีปเดียว" เรียนอยู่มัธยมไหนวะเนี่ย

เรียนประวัติศาสตร์ใหม่นะ หรืออ่านที่ไม่ใช่ Eurocentrism บ้างนะ ยุโรปมีบทบาทในระดับโลกจริงจังช่วงปลายยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการนี่เอง ก่อนหน้านั้นผู้ที่มีอิทธิพลต่อโลกเก่าจริงๆ มีแค่ 3 ที่ คือจีน อินเดีย และเปอร์เซีย-อาหรับ ยุโรปพึ่งขึ้นนำตะวันออกเมื่อปี 1820 นี่เอง

ไม่เชื่อลองไปดู GDP โลกย้อนไป 2,000ปี สิ แล้วจะรู้ว่าใครคือผู้ทรงอำนาจที่สุดในโลกของจริง ช่วงที่โรมันยิ่งใหญ่ยังมี GDP ไม่ได้ครึ่งนึงของจีนหรืออินเดียเลย สมัยก่อนไม่ได้มีแค่ยุโรปหรอกที่ส่งผลกระทบต่อโลก ลองศึกษาประวัติศาสตร์ตะวันออกกลางดู แล้วจะรู้ว่ายุโรปสมัยนั้นได้รับอิทธิพลจากโลกอิสลามแค่ไหน

http://www.visualcapitalist.com/2000-years-economic-history-one-chart/

รู้รึเปล่าวว่าจนถึงสมัยอดัม สมิธ ประเทศจีนถูกมองว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวย ความเป็นอยู่ดี และเจริญกว่ายุโรป พึ่งยุคล่าอานานิคมนั่นละ ความคิดของคนยุโรปถึงจะเริ่มเปลี่ยนแปลง และพอสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม ความคิด White-Supremacist ถึงเป็นรูปเป็นร่างจริงๆ

33 Nameless Fanboi Posted ID:AQpXmMixgb

>>28 9หลัก นี่ถ้าไม่ใช่เว็บพนันถูกกฎหมายต่างประเทศมีแววว่าตัวเอกมึงจะหายตัวได้ก่อน ปปง จะทันได้ระแคะระคายมั้ง
แล้วถ้ามันเป็นเงินที่ได้จากการพนันในต่างประเทศนี่ ปปง ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่สรรพากรเรียกแน่นอน เงินขนาดนั้นมันไม่มีวิธีเลี่ยงภาษีหรอก มีแต่หาวิธีลด สรรพากรไม่ได้โง่ แค่ขี้เกียจมาจับปลาซิวปลาสร้อยเฉยๆ แล้วพนักงานออฟฟิสเอาอะไรไปเปิดบัญชีสิงคโปร์วะ
ตัวเอกมึงแค่โชคดี ไม่ได้เป็นพ่อค้ายา ไม่ต้องซ่อนแอบขนาดนั้นก็ได้

34 Nameless Fanboi Posted ID:I0H.3Vv3zl

>>32 +1 กะจะพิมพ์ประมาณ​นี้เหมือนกันแต่ขี้เกียจ

35 Nameless Fanboi Posted ID:G26yMf/3Wd

>>34 กูไม่เชื่อมึง +1

36 Nameless Fanboi Posted ID:nByOEASM5b

>>35 กูไม่รู้จักมึง +1

37 Nameless Fanboi Posted ID:TQNL6zvUjg

>>36 กูก็ไม่รู้จักมึง +1

38 Nameless Fanboi Posted ID:UqTMRGPW5Y

>>27 แต่โอลสคูลไม่มีกิลด์ผจญภัยหลุดจากเกมซะหน่อย คนโบราณรับเควสแบบ common sense แทน อย่าลืมพวกนี้ไม่มีเกมคอมพิวเตอร์ให้เล่นเหมือนพระเอกหลุดจากยุคปัจจุบันหรอก

39 Nameless Fanboi Posted ID:TQNL6zvUjg

อันนี้กูก็สงสัยมานานละว่าทำไมจักรวาลนิยายเกมออนไลน์ถึงมีแต่แบบ VR AR

40 Nameless Fanboi Posted ID:1m5a9lm8yH

>>39 ขาด AV

41 Nameless Fanboi Posted ID:4bSw0NqYqv

>>40 อันนี้แฟนตาซีอยู่แล้ว

42 Nameless Fanboi Posted ID:UqTMRGPW5Y

>>39 AR ไม่ยักกะเจอ แต่ VR เยอะชิบหาย เอาแค่นิยายเด็กดีมีเรื่องไหนเป็น AR จริงๆล่ะ

43 Nameless Fanboi Posted ID:0zyUP9zlbd

>>39 มันเขียนให้เบียวง่ายกว่า มึงลองนึกภาพคนเล่นเกมออนไลน์ปัจจุบันสิ ในคอมกับมือถือ เทพแค่ไหนก็สู้เทพซ่าเข้าไปป่วนเซิฟไม่ได้หรอก แถมมันต้องเขียนให้สมดุลย์ทั้งโลกจริงและโลกเกมด้วย เพราะคนไม่ได้เข้าไปในเกม มันเขียนยากกว่าเยอะ

แต่ถ้าอยากอ่านแนวออนไลน์แบบคอมทั่วไป กูแนะนำ Boss จินตนาการพิศดาร กับ TKA สนุกจริงๆ แต่เรื่องแรกคงหายากหน่อย หลายปีละ เรื่องหลังยังออกไม่จบ

44 Nameless Fanboi Posted ID:8usV/vLEAc

>>43 แม่งเลยพัฒนาจากเกมออนไลน์แบบ​ vr ไปเป็นต่างโลกแบบมีระบบเลเวลไง​ คือไม่ต้องพูดถึงโลกนอกเกมเลย เหมือนเล้นเกมอย่างเดียว​ เฉียบไหมล่ะ

45 Nameless Fanboi Posted ID:I64VKGfAUE

>>43 เล่นเกมคอมธรรมดาต้องไลท์โนเวล Netoge no Yome wa Onna no Ko Janai to Omotta? หรือคนไทยเรียกกันว่า "ถามหน่อยครับ คิดว่าเจ้าสาวผมในเกมออนไลน์เป็นผู้หญิงจริงรึเปล่า?" พระเอกไม่เบียว แต่นางเอกเบียวสุดกู๋ ไม่รู้จะสงสารหรืออิจฉาพระเอกดี แถมเพื่อนร่วมกิลด์ที่ใช้ตัวละครชายเล่น จริงๆแล้วทุกคนเป็นผู้หญิง อยู่โรงเรียนเดียวกันด้วย ถ้ามึงขี้เกียจอ่านไลท์โนเวล ดูอนิเมะหรือมังงะก็ได้ เหมาะกับคนเบื่อพระเอกเบียวซูเห่อหมอยสไตล์ *shit*rito

>>44 ยิ่งเบียวยิ่งเขียนจบยากขึ้น ญี่ปุ่นเขียนต่างโลกเยอะชิบหาย แต่ประสบความสำเร็จจริงๆไม่ถึงครึ่งต่อครึ่ง แค่ของญี่ปุ่นคุณภาพดีกว่าไทย แล้วต่างโลกของไทยไปรอดรึเปล่า นอกจากดองกับตัดจบ

46 Nameless Fanboi Posted ID:5d41aMD2.s

โม่งๆ self-insert คืออะไร

47 Nameless Fanboi Posted ID:STU.3k7p3.

>>46 การเอาตัวเองเข้าไปแทนตัวละคร อย่างนักเขียนอยากเก่งเทพหล่อรวยควยใหญ่ ก็เขียนให้พระเอกเป็นแบบนั้นไป

48 Nameless Fanboi Posted ID:Qc.NuxAHSr

>>46 self-insert อาจจะดูเหี้ย แต่จริงๆแล้วมันไม่แย่อย่างที่คิด ระวังแค่อย่าให้มันเลยตามเลย

49 Nameless Fanboi Posted ID:Xioi78vXOv

วันนี้กูเสียนักอ่านไปคนนึงด้วยข้อหา พระเอกกาก...เสียไต คนอ่านยิ่งน้อยๆ อยู่

50 Nameless Fanboi Posted ID:cOag2jOdOe

โม่งๆ นิยายไซไฟคืออะไร

https://www.facebook.com/solisbooks/videos/740886619593666/

51 Nameless Fanboi Posted ID:STU.3k7p3.

>>50 ใส่ไฟ
หมายถึง
เติมเชื้อเพลิง เช่น คอยเอาฟืนใส่ไฟไว้นะ อย่าให้ไฟดับ; จุดไฟเผาศพ; โดยปริยายหมายถึงให้ร้ายผู้อื่นทำให้ได้รับความเสียหาย เช่น เขาใส่ไฟผม อย่าไปเชื่อ

52 Nameless Fanboi Posted ID:WHZpac0OoE

>>51 ไวไฟ ต้องถังแก๊ส

53 Nameless Fanboi Posted ID:M7.o4kMAMg

>>50

นิยายวิทยาศาสตร์ (Science Fiction / SF / Sci-Fi) กำเนิดขึ้นเมื่อไหร่ และด้วยเหตุใด? หากพิจารณาคำถามนี้ด้วยสามัญสำนึกปัจจุบัน ว่ามนุษย์เขียนบันทึกหรือต่อเติมเรื่องเล่า เพื่อสะท้อนหรือระบายสิ่งที่อยู่ใต้จิตสำนึกของตนออกมา ในขณะที่มีภาษาพูด การเขียน อักขระและท่วงทำนอง เป็นเครื่องมือสำหรับถ่ายทอด คำถามนี้ย่อมได้คำตอบครอบคลุมทันใดว่า เช่นเดียวกับองคาพยพอื่นที่ร่วมอารยธรรม นั่นคือ นิยายวิทยาศาสตร์อุบัติขึ้นพร้อมๆ กับที่มนุษยชาติถือกำเนิด

แต่หากชื่อเรียกเป็นเพียงนิยาม และนิยามมีเพื่อความสบายใจ คำว่า science fiction ในภาษาอังกฤษถูกระบุเป็นครั้งแรกเมื่อปีคศ. 1926 ในบทบรรณาธิการหน้าเดียวของ Amazing Stories เดือนมิถุนายน ซึ่ง Hugo Gernsback ผู้บรรณาธิการนิตยสารเล่มนี้ เขียนว่า science fiction ที่ดีคือ "ส่วนผสมของวรรณกรรมร้อยละ 75 และที่เหลือ เผื่อให้วิทยาศาสตร์"

จึงเป็นเหตุให้เกิดโต้วาทีระหว่างสองสำนัก ฝ่ายที่อ้างอิงแง่ความเชื่อมโยงของแนวทางในการเผยแพร่และตีพิมพ์ กับฝ่ายมุ่งเน้นการสืบค้นมรดกทางความคิด ฝ่ายแรกปักใจว่านิยายวิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นในยุคตื่นตัวทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง (คือระหว่างศตวรรษที่ 1700 ถึง 1900) ในขณะที่ฝ่ายหลัง ยึดเอาวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในอารยธรรม มหากาพย์กิลกาเมช (2100 ปีก่อน คศ.) เป็นหนึ่งในต้นธาร

การศึกษาจุดกำเนิดและพัฒนาการ น่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับผู้ดั้นด้นค้นหาคำตอบเสอมา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางวาระ ความคลุมเครือไม่ต่างจากมนต์เสน่ห์แห่งม่านหมอกอันลี้ลับและเย้ายวน ยุยงให้เรามานะฟันฝ่าไป

และมุมมองที่แตกต่าง ก็เพื่อสมดุลซึ่งความกระหายรู้

----------
ภาพ อินโฟกราฟ The History of Science Fiction
http://www.wardshelley.com/paintings/pages/fullpics/HistSciFi2.jpg

54 Nameless Fanboi Posted ID:WHZpac0OoE

>>53 กูตอบง่ายๆก็ได้
Fantasy = มโนสายศิลป์
Science Fiction = มโนสายวิทย์

55 Nameless Fanboi Posted ID:+PTK/ESEd7

>>53 ชอบ

56 Nameless Fanboi Posted ID:C8v/1dEkj.

>>54 ครับพี่ เก่งมากครับ สุดยอดเลยครับผม

57 Nameless Fanboi Posted ID:4Xw8g9/tFB

ถ้าจะแต่งนิยายแนวโรงเรียนเวทฯ นี่ต้องทำยังไงให้มีเอกลักษณ์ + คนอ่านไม่เบื่อไปก่อนวะ

58 Nameless Fanboi Posted ID:pfOleayXs8

>>57 จะพูดเฉพาะไอ้ที่มันซ้ำๆก็ละกันนะ​ อยากฉีกตรงไหนก็ฉีกไป
- มีหอ/บ้าน​ 4 หลัง
- ต้องมีบ้าน​ 2 หลังที่แบบไม่ถูกกันมากๆ​ ในขณะที่อีกสองหลังที่เหลือจืดจาง
- ตัวเอกต้องมีพลังบางอย่างที่พิเศษกว่าคนทั่วไป
- กลุ่มเพื่อนของตัวเอกจะต้องมีตัวยิงมุก​ ตลกแดก
- พระเอกถ้าไม่เป็นเด็กกำพร้าจนๆ​ ก็ต้องเป็นห่าอะไรใหญ่โตรวยๆ​ ไม่เคยเห็นพวกที่พ่อเป็นพนักงานบัญชี​ แม่เป็นแม่บ้านมาเรียนบ้างเลย

ล้างตูดก่อน​ คิดออกจะพิมพ์ต่อ

59 Nameless Fanboi Posted ID:JtPbKHbSK9

>>57 ดู Senran Kagura แต่เปลี่ยนนินจานมเป็นนักเวทนมแทน
โรงเรียนเวทหญิงล้วน ไม่มีหอพัก เลิกเรียนกลับบ้าน ใครบ้านรวยมีรถมารับส่ง
ใส่กฎว่านมยิ่งใหญ่ เวทยิ่งดี การสู้ไม่มีใครตาย แต่ใครทำให้อีกฝ่ายเสื้อขาดถือว่าชนะ

60 Nameless Fanboi Posted ID:tUY+axh9dq

>>57
- มีหอ/บ้าน​ 4 หลัง ทำให้เหลือหลังเดียว มีตีกิลทุกสัปดาห์ แพ้นอนวัด แบบบากะเทส
- ตัวเอกต้องมีพลังบางอย่างที่พิเศษกว่าคนทั่วไป พลังโคตรไร้ประโยชน์ แต่ดันใช้ได้ผลตอนไคเม็ก แบบเรื่องอะไรกุจำไม่ได้ละ
- กลุ่มเพื่อนของตัวเอกจะต้องมีตัวยิงมุก​ ตลกแดก เพื่อนพระเอกชื่อ เคนนี่ ตายแบบไม่มีใครรู้ตัว แล้วคนแรกที่เห็นก็ตะโกนว่า Who killed kenny?
- พระเอกเป็นคนจนแต่ทุกคนคิดว่า รวยเพราะหน้าตาดีมีออร่าเจ้าชาย

58 เมิงอย่าโกรธกุ

61 Nameless Fanboi Posted ID:psSXmU7G+B

>>60 - ที่ 2 นี่ใช่ไอ้พลังลมพัดกระโปรงเปิดรึเปล่าวะ ไม่แน่ใจแต่จำได้ว่าตอนสุดท้ายมันใช้พลังนี่แล้ววิน จำวิธีใช้กับชื่อเรื่องไม่ได้ด้วย ใครจำได้มั่ง

62 Nameless Fanboi Posted ID:xOK11qvW61

>>58 ร่างโคลน Harry potter เหรอวะ?

63 Nameless Fanboi Posted ID:pRYh8Ae7P0

>>57 ลองดูซีรีย์เรื่อง Magician ซี่ซั่นแรกๆ เป็นแนวทางก็ได้ ขนาดฉีกจากความเป็น Harry ตามที่>>58 บอกออกไปขนาดนั้นแล้ว กูยังรู้สึกว่าแม่งคลิเช่ชอบกล
สรุปคือโรงเรียนเวทแม่งเกล่อซะจนคนเขียนก็เขียนฉีกกันมาร้อยแปดตลบ คนอ่านก็อ่านซะจนเปื่อยหมดกระแสไปเป็นสิบปีแล้ว ถ้าจะหยิบมาเขียนจริงๆ จับเอาไปเป็นประเด็นรองแบบเจือจางไปเลย แล้วไปมุ่งเน้นประเด็นสำคัญอื่นเหอะ โรงเรียนเวทแม่งเข็นยากว่ะ

64 Nameless Fanboi Posted ID:AUDHa+JUsc

>>57
-ต้องมีชนชั้นภายในโรงเรียน อย่างน้อยๆก็สองชั้นขึ้นไป
-พระเอกต้องไปอยู่วรรณะต่ำสุดด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ส่วนระดับพลังก็น้องๆพระเจ้าแถมหัวดี เป็นบราค่อนด้วย
-เพื่อนพระเอกที่อยู่วรรณะเดียวกันก็เทพไม่แพ้พระเอก แต่มีปมบางอย่าง
-ต้องมีเรื่องให้พระเอกโชว์เทพ เช่นโดนคนวรรณะสูงกว่าหาเรื่อง หรือไม่ก็ไปแข่งกับโรงเรียนอื่นๆ
ไอเดียนี้สามารถใช้ได้ถ้า "ค×โ×ค×ว่×" ไม่ฟ้อง

65 Nameless Fanboi Posted ID:xOK11qvW61

Ky ขอถามเป็นไอเดียหน่อย ในเซ็ตโลกแฟนตาซี ที่จอมมารชนะแล้วมนุษย์สูญพันธ์โดยสมบูรณ์จะเกิดผลอะไรตามมาบ้างวะ ถ้าสมมติให้กองทัพจอมมารเป็นอมมนุษย์หลายๆ เผ่ามารวมกัน ไม่ใช่มารหรือปีศาจเพียวๆ

66 Nameless Fanboi Posted ID:cK0T/gZNgw

>>65
1. ปีศาจกินอะไรกัน? ถ้าแดกสัตว์ ปีศาจต้องหัดเลี้ยงสัตว์ด้วย ไม่ก็จับแดกอย่างพอเพียง ไม่ก็ต้องมีช่วงจำศีลกันให้สัตว์เกิดใหม่ทัน
2. ต้องมีสงครามแบ่งแย่งดินแดนกันแน่นอน ด้วย mind set แบบปีศาจ
3. เดี๋ยวนึกออกจะมาต่อ ขอประชุมก่อน

67 Nameless Fanboi Posted ID:FTuqDvD5M0

>>65 ก่อนอื่นต้องถามว่าปิศาจของฝ่ายจอมมารมีอารยธรรมรึเปล่า Civilization รึเปล่า หรือเป็นพวก Barbaric ที่ฆ่าเพราะกระหายอย่างเดียว

กูยกตัวอย่าง 3 เรื่องนะ
เรื่องแรกคือ "จอมมารเศรษฐศาสตร์กับผู้กล้าบ้าพลัง" ของ โทโนะ มามาเระ (ผู้เขียน Log Horizon)
เรื่องนี้เซ็ตติ้งเอาไว้ว่าเผ่าปิศาจนั้นมีอารยธรรม มีการปกครองแบบชนเผ่า มีหัวหน้าเผ่า มีการแบ่งแยกดินแดนและทำสงครามกับมนุษย์เพื่อแย่งชิงดินแดนกับ เหมือนกับแนวสงครามทั่วไป กรณีถ้าเป็นปิศาจแบบนี้ มึงก็ต้องกำหนดระบบการปกครองขึ้นมา และจินตนาการต่อว่าหากเผ่าปิศาจยึดครองโลกมันจะทำอะไรกับมนุษย์ จะจับเป็นทาส? ใช้แรงงาน? ซึ่งอันนี้มึงต้องใช้ความรู้ด้านการปกครองซักหน่อย แต่ก็คงไม่ยากเกินที่จะศึกษา

อย่างในเรื่องมีเมืองปิศาจที่โดนมนุษย์ยึดไปปกครอง ก็กลายเป็นว่าปิศาจในเมืองกลายเป็นพลเมืองชั้น 2 โดนปกครองอย่างกดขี่ โดนใช้งานเยี่ยงทาส + บำเรอกาม ถึงจะมีคนไม่เห็นด้วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งจอมมารได้ส่งพระเอกที่เป็นผู้กล้า ปลอมตัวเป็นอัศวินดำมาช่วยปลดปล่อยจากการปกครองนั้นและกลายเป็นเมืองที่มนุษย์กับเผ่าปิศาจอาศัยอยู่ด้วยกันได้ในตอนหลัง

เรื่องที่ 2 ที่จะยกตัวอย่างคือ "Warhammer (Fantasy)"
ในเรื่องนี้มีพวกปิศาจที่เรียกว่า Daemon เป็นปิศาจจากโลกคู่ขนานที่ถูกส่งมาโดยเทพเจ้าชั่วร้าย (Chaos God) โดยมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือการฆ่าเพื่อสนองความกระหายและบูชาเหยื่อให้แก่เทพโลหิตของพวกมัน สิ่งที่อยู่ในหัวของพวกมันคือการฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่พบเจอ ซึ่งถ้ามึงกำหนดให้ปิศาจเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะโลกที่มึงสร้างคงตกอยู่ในสภาวะวิกฤตแล้วล่ะ ใน End Time นี่ขนาดรวมทุกเผ่าพันธุ์ที่เคยเป็นศัตรูมาก่อนร่วมกันสู้กับปิศาจยังแพ้ยับจนโลกแตก การเขียนแนวนี้ก็ไม่ต้อง Mindset เยอะ แค่กำหนดว่ามันมาฆ่าล้างก็พอแล้ว

เรื่องที่ 3 อันนี้ทุกคนน่าจะเคยดูก็คือ "The Matrix"
ถามว่ามันปิศาจตรงไหน? ก็ไม่เชิงปิศาจหรอก แต่ที่ยกตัวอย่างมานั้นก็เป็นเพราะ "หุ่นยนต์" มันทำสงครามกับมนุษย์นี่ล่ะ ในเรื่องนี้ถ้ารู้จัก Lore ดีๆ จะพบว่าก่อนเริ่มเรื่องเนี่ย หุ่นยนต์มันรบกับมนุษย์จนชนะไปแล้ว มนุษย์ดั้งเดิมนั้นถูกกวาดล้างเกลี้ยง เหลือเพียงแค่กลุ่มน้อยที่พวกหุ่นยนต์ปล่อยเอาไว้เพื่อสร้างไซออนเท่านั้น ในกลุ่มนี้พวกหุ่นยนต์มีเป้าหมายชัดเจนคือต้องการมนุษย์มาใช้เป็นพลังงาน + ศึกษาเพื่อพัฒนาอัลกอริทึม พวกมันเลยจงใจปล่อยให้มนุษย์อยู่ใน Matrix ผนวกกับปล่อยบางส่วนออกไปให้กลายเป็นศัตรูหาอะไรทำฆ่าเวลา ทั้งที่ความจริงแล้วมนุษย์ก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือพวกมันตั้งแต่แรก

68 Nameless Fanboi Posted ID:rSixByQUA5

>>67 มันอาจจะฟังดู Bias แต่กูคิดว่าจะกำหนดแบบนี้
มาร (แวมไพร์ เทวดาตกสวรรค์ etc.) คือ Civilization ไปแล้ว
พวกผิวเขียวอย่างออร์ค/ก็อบลิน หรือพวกกึ่งมนุษย์ต่างๆ อยู่กันแบบชนเผ่า แยกจากกันแม้เป็น species เดียวกัน
ปีศาจ + ยักษ์ระดับโทรลขึ้นไป เป็น อยู่แบบตัวใครตัวมัน
ถามว่าพวกนี้มารวมกันเป็นกองทัพได้ไง
1.เพราะจอมมาร (จากเผ่ามาร) เก่งพอจะควบคุม (บังคับ) ให้พวกนี้อยู่ในระเบียบได้
2.เพราะมีศัตรูร่วมกันคือมนุษย์
และเรื่องที่ทำไมถึงทำสงครามกับมนุษย์ กูคิดให้มันมีเป้าหมายต่างกันคือ
1.ต้องการเป็นสายพันธุ์ Civilization เพียงหนึ่งเดียวบนโลก (ของเผ่ามาร)
2.อาหาร,ขยายดินแดน (พวกผิวเขียว)
3.ล้างแค้นที่เคยโดนกดขี่ (กึ่งมนุษย์ต่างๆ)
4.แค่อยากฆ่าเฉยๆ (ปีศาจ)
ส่วนสาเหตุที่เผ่ามนุษย์จนหายจากโลกโดยสมบูรณ์คือ
1.ขาดแคลนอาหาร เนื่องจากเสียดินแดนทำกินเดิมไปจนหมด ผู้ชายและคนที่เป็นงานตายในการรบแทบทั้งหมด
2.โดนผิวเขียวล่าเป็นอาหารและถูกฆ่าเล่นๆ โดยปีศาจและกึ่งมนุษย์เป็นจำนวนมาก
3.เพราะขาดแคลนอาหารรวมทั้งโดนไล่ฆ่าอยู่เรื่อยๆ อัตราการตายเลยสูงกว่าอัตราการเกิดอย่างมาก และเด็กที่เกิดมาก็มีโอกาสรอดจนเป็นผู้ใหญ่ต่ำเพราะโดนบีบให้ต้องเดินทางหนีการตามล่าของพวกข้อ 2 ไปเรื่อยๆ
ด้วยเหตุผลด้านบนเลยทำให้มนุษย์สูญพันธุ์โดยสมบูรณ์ในเวลาต่อมา

69 Nameless Fanboi Posted ID:L4gAj.lQRf

>>68 มึงทำกูนึกถึง Warhammer ในกรณี if ที่คนแคระไม่ยื่นมือมาช่วยมนุษย์ชะมัด

หมายความว่ามึงต้องการเขียนแนวที่มนุษย์ใกล้สูญพันธุ์ + โดนตามล่าจากทุกเผ่าพันธุ์สินะ? ถ้ากูเข้าใจถูกก็แนะนำลองไปอ่านเรื่อง No game No life เล่ม 6 เอาแค่เล่ม 6 อย่างเดียวพอ เพราะเหตุการณ์มันใกล้เคียงกันมนุษย์ไม่มีแรงสู้แล้วเลยต้องอาศัยอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ประมาณว่าเผยตัวไม่ได้เลย

ถ้าหาอนิเมมาดูจะเห็นภาพชัด เพราะทำมาค่อนข้างดี แต่มันเป็นภาค Movie คงหาดูยากหน่อยนะ

70 Nameless Fanboi Posted ID:rSixByQUA5

>>69 ที่กูจะเขียนคือหลังมนุษย์สูญพันธุ์ไปแล้วอะนะ

71 Nameless Fanboi Posted ID:OuGgyX8HkU

>>68 กูสงสัยนิดหน่อย ที่วางให้มนุษย์สูญพันธุ์คือฉากจบของเรื่องเหรอ หรืออยู่ช่วงไหนวะ คือกูไม่เข้าใจว่าถ้ามึงสร้างสงครามมาโดยกำหนดว่าจุดจบของสงครามคือเผ่าพันธุ์นึงล่มสลายไปเลย แล้วเนื้อเรื่องจะไปต่อยังไงนะ หรือก็คือจบแล้ว ที่คิดอยู่คือจะเอาไว้เล่า outtro ของเรื่องเฉยๆ?

ที่มึงวางมา กูติดตั้งแต่มารคือพวกตกสวรรค์ แวมไพร์ etc มารวมกันแล้วว่ะ มึงอาจจะเรียกรวมว่ามารได้ แต่กลุ่มนี้มันจะไม่ใช่กลุ่ม civilized เดียวบนโลกสิ สุดท้ายมันก็จะมีสงครามฆ่าล้างกันต่อไปเรื่อยๆ อีก ยกเว้นจะบอกว่าเผ่าทั้งหมดนี้มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน

กลับมาที่มนุษย์สูญพันธุ์ เป็นกูจะคิดก่อนว่ามนุษย์มีประโยชน์อะไรบ้าง เป็นแหล่งอาหารเดียวของพวกผิวเขียวมั้ย หรือคอยผลิตสินค้าอะไรให้เผาาพันธุ์อื่นรึเปล่า แล้วมนุษย์มีพันธมิตรอื่นๆ มั้ย หรือพันธมิตรก็ตายทั้งหมดด้วย แล้วพวกมารนี่พอลเางเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วอยากทำอะไรต่อ จะครองโลก ตั้งตัวเองเป็นผู้นำแล้วควบคุมทุกเผ่ามั้ย แล้วจะเป็นผู้นำแบบไหน ช่วยพัฒนาเผ่าต่างๆ รึเปล่า (ซึ่งก็น่าจะไม่ ถ้าอยากเป็นอารยะเดียวที่เหลืออยู่บนโลก) หรือจะปกครองด้วยอำนาจกับความหวาดกลัวอย่างเดียว หรือจบสงครามก็แยกย้ายกลับไปมีชีวิตของตัวเองกันหมด

ภาพในหัวกูตอนนี้คือดิสโทเปียอย่างเดียวเลย มีเผ่าเฉพาะเผ่ามารที่เข้าถึงน้ำ อาหารได้ ใช้ชีวิตหรูๆ แบบไม่สนใจเผ่าอื่น ส่วนพวกที่เหลือก็ต่อสู้แย่งชิงกันเข้าถึงแหล่งอาหารที่เหลือไม่มาก ไม่เหลือคำว่าเผ่าพันธุ์ มีแต่กูอยู่ มึงตาย อะไรประมาณนี้

72 Nameless Fanboi Posted ID:GH+zS0bFSp

>>71 post-apocalypse ไม่ใช่​ dystopia

73 Nameless Fanboi Posted ID:0+gE36BAPs

>>68 กูพอเข้าใจสิ่งทีมึงจะสื่อ แต่ถ้าเอาตามตรงตามเหตุผลที่มึงบอกมาถึงสาเหตุที่ทำสงครามกัน หลังสงครามจบมนุษย์สูญพันธุ์ สิ่งที่เกิดเป็นอย่างแรกคือแม่งจะตีกันเองต่อแน่นอน เพราะเหตุผลที่มารวมกันสู้คือโหลงเหลงมากซะจนกูเองยังไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าแม่งจะไปรอด เผลอๆ จะตีกันเองตั้งแต่สงครามยังไม่จบด้วยซ้ำ
1.ต้องการเป็นสายพันธุ์ Civilization เพียงหนึ่งเดียวบนโลก (ของเผ่ามาร) - ยังไงเดี๋ยวก็จะก่อสงครามอีก แถมไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากการทำสงครามเลยด้วย สูตรสำเร็จจอมมารสาย Annihilation เป๊ะๆ หลังจบสงครามกับมนุษย์มีแววจะโดนรุมกินโต๊ะเป็นเผ่าแรก ยิ่งถ้าในช่วงสงครามเป็นพวกชนชั้นปกครองหรือยิ่งเก่งเท่าไหร่ก็จะยิ่งโดนเพ่งเล็งเป็นพวกแรก
2.อาหาร,ขยายดินแดน (พวกผิวเขียว) - กูไม่ค่อยแน่ใจว่ามึงหมายความว่ายังไง เพราะกูไม่รู้ว่ามันจะต้องการอาหารกันซักเท่าไหร่ จะขยายดินแดนกันขนาดไหนถึงจะพอ สงครามจบแล้วพวกแม่งพอกันรึยังหรือยังจะเอาอีก ต้องการเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบอย่างงี้อ่ะเรอะ แบบนี้มันก็ออกจะเป็นภาพซ้อนกับพวกข้อ 1 อยู่นะ แค่ออกไปแนวๆ ยึดครองโลกมากกว่าทำลายล้าง
3.ล้างแค้นที่เคยโดนกดขี่ (กึ่งมนุษย์ต่างๆ) - เหตุผลนี้มันพอจะให้เชื่อได้นะว่าจะช่วยรบ ช่วยทำสงคราม แต่ถ้าระหว่างสงครามโดยกดขี่ เป็นขี้ข้า เป็นทหารเลวอีก กูว่าพวกนี้น่าจะแยกตัวออกมาก่อนสงครามจบ หรือถ้าช่วยจนจบมันก็จะเป็นแบบจบแล้วก็จบกันอ่ะ ไม่น่าจะไปยุ่งกับใครเขาอีก แต่จากเหตุผลเผ่าอื่นกูว่าต่อให้ไม่ยุ่งกับใครยังไงก็ต้องจะโดนรุกรานอยู่ดี แล้วก่อนหน้านี้มีแต่มนุษย์หรอวะที่กดขี่ เผ่าอื่นชื่อเสียเยอะขนาดนี้แต่แค้นแค่มนุษย์? ก็มีเหตุผลดี....
4.แค่อยากฆ่าเฉยๆ (ปีศาจ) - คงไม่ต้องอธิบายให้มากแล้วมั้ง เหตุผลแบบนี้ ปลายทางเดียวกับข้อ 1,2 เลย
ที่มึงเล่ามานี่ทำสงครามกันด้วยความอยากล้วนๆ แล้วแบบนี้จุดจบมัน0tอยู่ตรงไหน่อ่ะ ก็ตีกันไปเรื่อยๆ จนเหลือเผ่าเดียวงี้เรอะ

74 Nameless Fanboi Posted ID:gRh.Y.V85c

>>72 dystopia นั่นละ เพราะมันหมายถึงอนาคตที่ไม่ดี ตรงข้ามกับ utopia แต่ก็ขึ้นกับโลกหลังจากนั้นด้วย ถ้าหลัง post-apocalypse โลกสงบสุข สังคมพัฒนา มันก็คือ utopia ได้เหมือนกัน แต่ปรกติพวก post-apocalypse จะเป็น dystopia เสียมากกว่า

75 Nameless Fanboi Posted ID:E/PDWDx9JU

>>72 ตามที่กูเข้าใจ dystopia คือ man vs man ต่อสู้กับชนชั้น ความเหลื่อมล้ำ ส่วน post-apocalypse คือ man vs nature อะ แต่ดิสโทเปียก็น่าจะเป็นสเตจนึงของ post-apocalypse ได้เหมือนกัน

ที่กูใช้คำว่าดิสโทเปียคือเป็นภาพแต่ละเผ่าต้องต่อสู้แย่งชิงกัน ถูกกดขี่โดยเผ่ามารอีกทีนึง แล้วสุดท้ายอาจจะมีซักกลุ่มนึงที่ลุกขึ้นมาต่อต้านอะนะ

76 Nameless Fanboi Posted ID:gRh.Y.V85c

>>75 เปล่า dystopia ไม่ต้องสู้กับอะไรเลยก็ได้ เขียนให้ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนก็ได้

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Dystopia

ในนิยายเรื่องนึงเขียนให้สังคมนึงสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง แต่มีกฎที่ต้องแลกเปลี่ยน คือต้องให้คนบริสุทธิ์ 1 คนคอยรับกรรมทั้งหมดของเมือง และทึกคนในเมืองต้องรับรู้เรื่องนี้ แต่ห้ามพูด เพื่อให้ทุกคนยกเว้นคนที่รับกรรมมีความสุข สังคมในโลกนี้จะเป็น dystopia ก็ได้ถ้าอยากจะมอง

77 Nameless Fanboi Posted ID:0+gE36BAPs

>>75 มึงเปรียบแบบนั้นได้ไงวะ Distopia กับ Post-apocalypse มันไม่ใช่คำจำแนกที่เกี่ยวข้องกันเลย มึงเปรียบแบบไม่รู้ความหมายของตำศัพท์ด้วยซ้ำ
Distopia คืออนาคตอันไม่พึงประสงค์ อนาคตที่ไม่ดี ความหมายมันกว้างมาก แต่ไม่เกี่ยวห่าอะไรกับ MAN vs MAN แค่มึงรู้สึกว่าอนาคตแบบนี้แม่งไม่โอเคนี่แม่งก็เป็น Distopia แล้ว สมมุตในอนาคตโลกร้อนมากเกิดภัยพิบัติมันทุกวันแบบนี้ก็ Distopia เหมือนกัน ไม่ต้องสู้กับชนชั้นสู้กับคนห่าอะไรทั้งนั้น
ส่วน Post-Apocalypse คือโลกภายหลังภัยพิบัติครั้งใหญ่ นิวเคลียร์ อุกกาบาติชนโลก บลาๆๆ แล้วแต่จะมึงคิดได้

78 Nameless Fanboi Posted ID:E/PDWDx9JU

>>77 มันเป็น theory นึงที่กูเคยอ่านเจอเมื่อซักพักมาแล้ว เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสอง Genre นี้ เพราะลักษณะโดยพื้นฐานมันใกล้เคียงกัน แต่แค่ดิสโทเปียมันกว้างกว่า ถ้ามึงบอกว่าโพสต์คือหลังจากนิวเคลียร์ อุกกาบาต บลาๆ มันก็คือความพยายามที่คนต้องดิ้นรนในสภาพแวดล้อมที่จำกัดไง แล้วมันไม่ man vs nature ยังไงอะ

79 Nameless Fanboi Posted ID:A2c7PlF8Tk

>>78 Apocalypse เกิดได้จากหลายอย่าง เอเลี่ยน-ปีศาจถล่มโลกก็เป็น Apocalypse ได้ สงครามนิวเคลียร์คนฆ่ากันเองก็เป็น Apocalypse ได้ Apocalypse=/Nature

80 Nameless Fanboi Posted ID:/l0nHZK7fZ

โม่งพูดเรื่องนี้ไปแล้วไม่ใช่หรือวะ

81 Nameless Fanboi Posted ID:0esTaySBUm

Dystopia ไม่ต้องรอเกิด Apocalypse ก็ได้ เช่น
1984, การปฏืวัติทางวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตุง, ยุคแห่งความน่าสะพรึงกลังหลังปฏิวัติฝรั่งเศส, โซเวียตสมัยโจเซฟ สตาลินปกครอง, ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอัฟกันสมัยตาลีบันปกครอง, Death Note แม้อาชญากรหดหายเกือบหมดโลก แต่ชาวโลกกลัวคิระที่เกิดจากบักแสงสร้างโลกอุดมคติ ใครขวาง มึงตาย, Bioshock สร้างเมืองยูโทเปียใต้มหาสมุทร แต่ความชิบหายบังเกิดจากยาอดัมและความละโมบเสียเอง, We Happy Few อังกฤษรอดจากการยึดครอง แต่วีรกรรมของนาซีเยอรมันทำให้อังกฤษตกอยู่ในความสิ้นหวัง จึงผลิตยา Joy เพื่อลืมอดีตอันโหดร้าย ไปๆมาๆ สังคมกำหนดให้พวกที่ไม่กินยา Joy เป็นสวะทางสังคม ไม่กินยาก็ต้องถูกกำจัด จะได้ไม่หนักแผ่นดิน แถมคนกินยา Joy ก็เหี้ยเกินคำบรรยาย

82 Nameless Fanboi Posted ID:1tR5Fj09vo

>>76 ขอขัดจังหวะหน่อย นิยายที่มึงยกตัวอย่างชื่อว่าอะไรหรอ

83 Nameless Fanboi Posted ID:pnV7PGsY9g

Dystopia มันเกิดยุคไหนก็ได้โว้ยย ไม่จำเป็นต้องเป็นยุคอนาคต ไปเอาความมั่นใจผิดๆแบบนั้นมาจากไหนเนี่ย
เอางี้ รู้จักยูโทเปีย (Utopia)มั้ย แดนในฝัน สถานที่ที่ทุกอย่างดี การปกครองดี ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ปราศจากสงคราม ทุกคนอยู่ในกรอบกฏหมาย ไม่มีการฆ่าฟันแย่งชิงหรือลักขโมย

ส่วนดิสโทเปียคือขั้วตรงข้าม มีการแบ่งชนชั้นชัดเจน การปกครองเลวร้าย ความเหลื่อมล้ำสูง อาจมีสงคราม มีการฆ่าฟัน มีการทำผิดกฎหมาย บลาๆ

ดิสโทเปียจะชอบเล่นกับจุดนี้ เน้นที่ความเหลื่อมล้ำและการปกครอง บางทีมันก็จะพ่วงมาเป็นยุคPost-Apocalypses ด้วย เพราะโลกล่มสลาย เลยเกิดการปกครองแบบนี้ขึ้น เป็นต้น แต่จริงๆแล้วจะมีอะโพคาลิปหรือไม่มีก็ได้ โลกนั้นอาจปกครองแบบนั้นอยู่แล้วก็ได้

ส่วนPost apocalypse คือยุคหลังการล่มสลาย เอาจริงๆจะอนาคตไม่อนาคตก็ได้ มึงอาจตั้งโจทย์ว่า What if ในยุค1826เกิดมีซอมบี้ล้างโลกขึ้นมา โลกตอนนี้จะเป็นยังไง จะรับมือซอมบี้ยังไง ก็ถือว่ายุคนี้เป็น post-apocalypse แล้ว หรือเกิดเด็กอ้วนไม่ได้ลงแค่ญี่ปุ่น แต่ลงทุกประเทศทั่วโลก โรงงานปรมาณูระเบิด หรือออกซิเจนหมดโลก บลาๆๆๆ คือมันยุคไหนก็ได้ แต่คือหลังการล่มสลาย ส่วนจะพ่วงดิสโทเปียมั้ยก็แล้วแต่จินตนาการไป

84 Nameless Fanboi Posted ID:k4+IvvMyCJ

Dystopia ที่กูรู้จักประมาณว่า รัฐบาลถูกชักใยโดยองค์กรเอกชน ทำให้องค์กรมีอำนาจกำจัดคนที่ต่อต้านและปกปิดความลับ ส่วนชีวิตประชากรก็ถูกแบ่งตามฐานะทำให้คุณภาพชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวอะไรทำนองนั้น ซึ่งพอมานึกดูดีๆ นะ... ไอ้ Dystopia นี่คือขั้นกว่าของระบอบสังคมทุนนิยมเลยนี่หว่า... พวกต้นทุนสูงได้เปรียบและเรืองอำนาจ กลับกันพวกที่ฐานะต่ำหรือกำลังน้อยก็มีแต่โดนกดขี่ลงๆ จนโดนคนชั้นสูงเห็นเป็นแค่ของเล่นใช้สร้างความบันเทิงเท่านั้น

จะว่าไปมันดูคล้ายสังคมบ้านเราในช่วงนี้ดีแฮะ SME จนลงๆ แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่รวยจนมีอำนาจต่อรองกับรัฐบาลเนี่ย หยิบไปเขียนนิยายได้เลยมั้งแบบนี้

85 Nameless Fanboi Posted ID:j2.KHpqo5K

>>82 กูไม่ได้อ่านเองเลยจำไม่ได้ แต่มันเป็นตัวอย่างในหนังสือเล่มนี้นะ แนะนำให้หามาอ่าน งานดีมากจริงๆ เรื่องนี้อยู่ในบทอรรถประโยชน์นิยม

http://openworlds.in.th/books/justice-revised/

>>84 กูไม่คิดว่า SME จนลงจริงๆ หรอกนะ ลองดูจากข่าวและสถิติต่างๆ หรือบ.ที่เกียวข้องได้ ส่วนที่ถูกประโคมข่าวว่าจนลงถือพวกรากหญ้าอย่างภาคการเกษตรซะส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นคนส่วนมาก แต่สร้าง GDP น้อยที่สุด

http://www.sme.go.th/th/download.php?modulekey=215

86 Nameless Fanboi Posted ID:ph0lKhoo49

dystopia พูดให้กว้างๆ หยาบๆ โดยมากมักเป็นเรื่องที่คนต่อสู้กับระบบ เช่นว่ามนุษย์ทุกคนต้องกินยาไม่ให้มีความรู้สึก เพราะความรู้สึกเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม อะไรก็ว่าไป แล้วจู่ๆ ตัวเอกของเรื่องก็เกิดลืมกินยา ทำยาตกส้วม หรือกินยาแล้วยาไม่ได้ผล กลายเป็นเกิดมีความรู้สึกขึ้นมา จากนั้นก็ตาสว่างว่า เฮ้ย คนเราจะใช้ชีวิตแบบไม่มีความรู้สึกไม่ได้ จากนั้นก็ไปพบกับกลุ่มต่อต้าน ร่วมมือกันปฏิวัติ อ้อ และ utopia เนี่ยก็อาจถูกมองว่าเป็น dystopia ได้เหมือนกันนะ

ส่วน post-a ก็ตรงตัว เป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกหลังจากเกิดหายนะอะไรบางอย่าง เช่น อุกกาบาตชนโลก โรคระบาดมรณะ โดยทั่วไปก็เน้นเอาชีวิตรอดจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย + ความเลวของมนุษย์ด้วยกันเอง

87 Nameless Fanboi Posted ID:3/qwNxi2YS

เพื่อนโม่ง อยากลองแต่งนิยายแนวเจ้าหญิงลั้ลลาๆ ชิวๆเพลินๆไปเรื่อยมันได้ป่าววะ มันจำเป็นต้องมีไทม์ไลน์แน่ชัดมั้ยอ่ะว่าอยู่ช่วงปีไหนไรงี้ นึกภาพประมาณเจ้าหญิงดิสนีย์อ่ะ

88 Nameless Fanboi Posted ID:3VE+m8bESg

>>87 ทำเป็นแฟนตาซีไปเลยก็ได้ ไม่ต้องสนยุค

89 Nameless Fanboi Posted ID:oIJXSvTHr2

ใครมีแหล่งชื่อแปลกๆ อยากจะแนะนำบ้างไหมวะ คือกูไม่ได้ขอทานชื่อนะ แค่อยากได้ตัวอย่างชื่อที่มันแปลกๆ อ่านยากมาเป็นแนวทางหน่อย ปกติกูชอบตั้งแบบ เอ เร ล่า วิ เฟ เฟีย อะไรแบบนี้

รู้สึกว่ามันออกจะง่ายเกินไปหน่อย ยังไงไม่รู้ อยากได้ชื่อจำพวกที่ออกเสียงเป็น เอ็ม บรึม เบลม บะลาบรือบรือ บรื๊อบรื๋อบี้... (แอบนั่งมุมไปร้องไห้) เข้าใจที่กูจะสื่อกันไหม // ประมาณนี้แหละ ชื่อต่างชาติแบบแปลกๆ ก็แปะมาได้ กูรออยู่นะ...

90 Nameless Fanboi Posted ID:vtFtORyaXR

>>89 Google 'name generator'

91 Nameless Fanboi Posted ID:O21jqtSn1O

>>89 เลือกสัญชาติแล้วเสิร์ชหาชื่อเอา ส่วนตัวกูไม่นิยมชื่อตั้งเอง เจอชื่อมั่วๆ ไม่มีรากศัพท์ไม่มีความหมายแค่พยายามจะให้ฟังดูตะวันตกเฉยๆ แล้วกูขนลุกทุกที

92 Nameless Fanboi Posted ID:WG0/zRnkIX

>>89 ที่กูเคยทำนะ ไปเปิดดิคภาษาโรมัน/กรีก หาคำที่แทนอิมเมจตลค.ได้ แล้วเอามาดัดแปลงเป็นชื่อ เพราะกูชอบภาษาพวกนี้ ถ้ามึงชอบภาษาอะไร ก็ลองทำแบบนี้ดูได้

93 Nameless Fanboi Posted ID:a0wdE8KTuF

>>89 เมื่อก่อนกูใช้วิธีเปิดหนังสือภาษาอังกฤษแบบสุ่มๆ แล้วนิ้วจิ้มหาคำซัก 3 คำมาแล้วเอามาผสมกับเป็นชื่อ (ฮา)
ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ แต่เปลี่ยนไปใช้เว็ป name generator แทน

94 Nameless Fanboi Posted ID:9t5Hltne/D

จริงๆ กูว่าจินตนาการชื่อเอาเองอะไรแบบนี้มันยากกว่าอีกนะ แถมมีโอกาสสูงว่าจะตั้งแล้วแหม่งๆ อย่างข้างบนว่า

เข้าเว็บชื่อแล้วเลือกชื่อคนที่ให้ความรู้สึกแฟนตาซีๆ หน่อยยังจะเวิร์คกว่า ถ้าขยันหน่อยก็หาชื่อที่ความหมายพ้องกับลักษณะตัวละครด้วย

95 Nameless Fanboi Posted ID:ivpDg.sPDW

แล้วถ้าเป็นพล็อตกระแสอย่างต่างโลก ที่กำหนดให้มีภาษาในโลกนั้น มึงว่ามันจะแหม่งไหม ถ้ากูจะคิดชื่อเอง คิดความหมายชื่อเอาเอง 5555555

96 Nameless Fanboi Posted ID:88M/8Oy0jH

>>95 ไม่ ดูอย่าง GoT หรือ LotR สิ นั่นก็มีภาษาของตัวเองเหมือนกัน แต่มันก็เบสมาจากภาษาบนโลกนี้ละ

97 Nameless Fanboi Posted ID:ivpDg.sPDW

>>96 แต๊งหลายเพื่อนโม่ง

98 Nameless Fanboi Posted ID:AbGdBUnUtE

การประกวดแบบนี้ รุ่งหรือร่วงว่ะ
https://www.dek-d.com/board/view/3880187/

99 Nameless Fanboi Posted ID:693w/R/F8p

>>96 ก็ถ้ามึงเก่งระดับ J. R.R. Tolkien ที่นอกจากเป็นนักเขียนแล้วยังเป็นนักภาษาศาสตร์สอนมหาลัย สร้างภาษาใน Middle-Earth ของตัวเองขึ้นมาเป็นเล่มๆ ทั้งคำแปล ทั้งไวยากรได้ กูว่าก็คงไม่มีปัญหาหรอกมั้งที่จะสร้างภาษาขึ้นมาเอง
หรือไม่งั้นก็ต้องใช้ภาษาที่คิดขึ้นมาให้มันสม่ำเสมอ มีต้นขั่ว มีแบบแผนรากศัพท์แบบปู่ G.R.R. Matin ที่สร้างภาษาขึ้นมาเองแล้วเอามาใช้ในหนังสือจริง เชื่อได้จริงๆ ว่าเออนี่แหละชื่อภาษา Dothraki นี่แหละ Common Tongue เพราะมันใช้ชื่อแบบนี้กันทั้ง Westeros ไปทางเดียวหมด
>>95 กูยังยืนยันนะว่าไม่ควรสร้างเอง หรือถ้าจะสร้างจริงๆ ก็อิงรากศัพท์ซักนิดนึงให้มันไปในแนวทางเดียวกัน ไม่ขนลุกเวลาอ่าน
แถมให้อีกหน่อย พวกชื่อลงท้ายลงท้าย เรีย เฟีย ไม่เอานะ เบื่อแล้ว

100 Nameless Fanboi Posted ID:ivpDg.sPDW

>>99 ถถถถถ กูก็พยายามคิดอยู่ แต่ไอ้ตรงที่มึงบอกว่าเบื่อเนี่ย แม่งต้องมีโผล่มาบ้างอะ 😂😂

101 Nameless Fanboi Posted ID:uOS.aG6EiY

>>100 พวก Celtic Irish OldEnglish Spain พวกนี้แฟนตาซีฝั่งฝรั่งชอบใช้เพราะมันอ่านง่าย(สำหรับลิ้นฝรั่ง) จำง่าย รากศัพท์ชัดเจนไม่หวือหวา ตรงสายแฟนตาซียุคกลางด้วย
ถ้าอยากเป็นเอกลักษณ์ก็แค่แก้เสียงตัวอักษรบางตัว แบบ J ก็ยกเลิกเสียง จ ไปใช้ ย อย่างเดียวแบบ Norse ไปเลย
แต่ถ้าชอบ เซีย เรีย เฟีย มากแบบยังไงก็ต้องมี ถ้าไม่มีมันอยู่ไม่ได้จริงๆ จะดิ้นตาย กูแนะนำรากภาษารัซเซียเลย ภาษา Slavic เพราะเอาเข้าจริงไอ้การลงท้ายสระเอียเยอะๆ เนี่ยแม่งก็มาจาก Slavic เกือบหมด

102 Nameless Fanboi Posted ID:AbGdBUnUtE

>>101 พูดถึงรัสเซีย ทำไมเด็กดวกไม่มีใครอยากเขียนแฟนตาซีกลิ่นไอรัสเซียเลย

103 Nameless Fanboi Posted ID:VHNkb6ZH/G

>>96 ถ้าอยากจะทำคงต้องเริ่มจากพวกconlangในredditก่อนมั้ง

104 Nameless Fanboi Posted ID:JYAXS/Aq5N

>>102 เพราะคนไทยไม่ค่อยรู่จักวัฒนธรรมรัสเซียไง

105 Nameless Fanboi Posted ID:zY0dEJvLns

>>104 แต่แม่งอวยกันหนักมากเลยในเพจต่างๆ ที่เกี่ยวกะทหารรัสเซีย

106 Nameless Fanboi Posted ID:qicu2sBp+a

>>105 แล้วมีคนชอบสโลแกนโหดสัสรัสเซีย

107 Nameless Fanboi Posted ID:RpNhFU1DCN

>>102 สำหรับกูที่ไม่ได้อวยรัสเซีย คือจะมีความรู้สึกแหม่งๆ เพราะบ้านเรามันคุ้นเคยกับกลิ่นอายแฟนตาซีของญี่ปุ่นจ๋า จีนจ๋า กับพวกแถบยุโรปบางส่วนมาหน่อยๆ แล้ว มันต้องมีความรู้สึกแหม่งๆ บ้างล่ะวะ ถ้าต้องไปเขียนแบบมีกลิ่นอายรัสเซียปนมา บางคนมันไม่ได้รู้สึกแหม่งแบบกู แต่มันจะติดปัญหาตรงที่ไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย บ้านเราในชีวิตประจำวันรู้จักบ้านเขามากแค่ไหน กูไม่คิดหรอกว่ามันจะยอมไปนั่งค้นข้อมูลมาศึกษาเพียงเพราะเกิดคึกอยากเขียนแนวนี้ขึ้นมา ถ้ามันไม่ได้สนใจจริงๆ มันก็ไม่ทำ ก็คือจบแล้ว ถ้าให้กูบอกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับรัสเซีย กูก็บอกได้แค่ว่าสาวรัสเซียสวย มีอยู่ข้อเดียวอะที่กูรู้ ถถถถถถ

กูนั่งอ่านไอ้ที่พวกมึงพิมพ์ๆ กันมาด้านบน เกี่ยวกับดิสโทเปียอะไรสักอย่าง กูไม่เข้าใจว่าพวกมึงกำลังจะสื่ออะไรกันนะ แต่อยากถามเกี่ยวกับพล็อตนิยายกู คือกูกำลังนั่งเขียนนั่งร่างเซ็ตติ้งต่างๆ คือมันจะมันมีโลกแฟนตาซี ที่สิ่งมีชีวิตหลายเผ่าพันธุ์ต่อสู้กัน มีการกดขี่กันระหว่างเผ่าพันธุ์ แล้วมีชนชั้นการปกครองภายในตัวไปอีกขั้น(ทาส,สามัญชน,ราชวงศ์) เข้าข่ายดิสโทเปียปะวะ กูไม่เข้าใจจริงๆ นะ อ่านที่พวกมึง คุยกันละไม่รู้เรื่อง

108 Nameless Fanboi Posted ID:TTmO3aMfzV

>>107 กุตอบสั้นๆ นิยายมึงแนวแฟนตาซี ไม่เกี่ยวไรกะดิสโทเปีย ไม่เก็ตอะไรกูเกิ้ลบอกมึงได้หมด

109 Nameless Fanboi Posted ID:iapluYrYXU

>>108 กูก็นึกว่าเกี่ยวซะอีก 555555

110 Nameless Fanboi Posted ID:qicu2sBp+a

>>107 ถ้ามึงพึ่งพาใครไม่ได้ มึงต้องถามตัวเองว่าเข้าใจนิยายของมึงเองแล้วยัง

111 Nameless Fanboi Posted ID:Bj/mB6vTbd

>>110 เคร กูถามตัวเองอยู่ คงหาคำตอบสักพักจนกว่าจะเริ่มแต่ง

112 Nameless Fanboi Posted ID:h.Bd3vlS8u

เพื่อนโม่งกูขอถามความเห็นหน่อยสิ คือตอนนี้กูมีนิยายเรื่องนึงที่เขียนดองเอาไว้ (ก็คนมันทำงานอะนะ) แล้วพอดีกูลองส่งให้เพื่อนในกลุ่มลองอ่าน แล้วหลายคนมันแนะนำว่าน่าจะเปลี่ยนนิยายกูให้กลายเป็นนิยายจีนว่ะ

คือองค์ประกอบนิยายกูนี่ พอกลับมาอ่านเองแล้วก็ค่อนข้างใช่ตามสูตรนิยายจีนอย่างที่เพื่อนกูว่าเลย มีคลีเช่ประมาณว่าพระเอกตอนต้นเรื่องโดนชาวบ้านดูถูกว่าเป็นขยะแต่ใจสู้ พอเดินเรื่องไปซักพักพระเอกได้พลังมาก็เริ่มเก่งขึ้น แต่ยังใช้ไม่เป็นเลยต้องใช้แบบผิดๆ ถูกๆ ค่อยๆ ขยับฝีมือขึ้นไปเรื่อยๆ ตามเหตุการณ์ที่พบ (แต่ไม่มี game element , ไม่มีระดับพลัง) แถมวิธีต่อสู้ยังเป็นแบบ Martial arts + เวทมนตร์ มาผสมกัน (ตรงนี้เพื่อนกูบอกแถให้เป็น Wuxia ไปเลย) ซึ่งเมื่อเอาทั้งหมดมารวมกัน ก็ทำเอากูเก็บมาคิดว่า แบบนี้ถ้าแปลงเป็นนิยายจีนล้วนไปเลยมันจะตอบรับกระแสกว่ามั้ยหว่า?

เรื่องนี้เดิมทีใช้ธีมแนว Sword&Magic (ประมาณช่วงยุคกลางตอนปลาย - เข้ายุคฟื้นฟูศิลปะ) ส่วนหนึ่งเพราะกูถนัดแนวนี้ และอีกส่วนคือกูไม่ค่อยรู้เรื่องจีนๆ (ฮ่า) + มันสามารถหยิบวัฒนธรรมหลายๆ ชาติมาเล่นง่าย แต่ก็อย่างที่รู้กันดีว่ายุคนี้แนวจีนมันครองตลาด กูเลยไม่มั่นใจว่าเขียนด้วยธีมนี้ต่อไปมันจะไปได้สวยเท่ากับเขียนใหม่ให้กลายเป็นจีนล้วนเลยรึเปล่านี่ล่ะ

ที่ถามนี่เพราะตอนนี้รู้สึกลังเลนี่ล่ะ เสียดายอะไรหลายๆ อย่างที่เขียนมาแล้ว เช่นพล็อตที่วางจนแน่น พวกเซ็ตติ้งของโลก ความสัมพันธ์ตัวละคร และพวกข้อมูลยิบย่อยที่ไปหามาเขียนนี่ล่ะ ถ้าต้องแก้เป็นจีนก็คงต้องเขียน + หาข้อมูลใหม่เยอะ แถมพวกประเด็นวัฒนธรรมและความต่างของเชื้อชาติคงเอามาใช้ยาก เพราะมันจะกลายเป็นจีนกันหมดนี่ล่ะ

113 Nameless Fanboi Posted ID:dTsoiSuTZN

>>112 มึงบอกว่าไม่ค่อยรู้เรื่องจีน ก็ตามที่มึงสบายใจที่สุดเลยอะ ปล่อยให้มันเป็นงั้นไปไม่ต้องไปเปลี่ยนก็ได้ กูแนะนำในฐานะที่กูเคยดีดไปฝืนแต่งอะไรที่กูไม่รู้เรื่องและไม่คุ้นเคย ผลคือตอนแต่งนี่โครตเครียดโครตปวดกะบาล ต้องมานั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายต่างๆ เขียนแถแบบไปเรื่อยแทบตาย มึงคิดว่าพอเปลี่ยนแล้วจะทนหาข้อมูลใหม่ ไม่ได้เขียนสบายๆ แบบในตอนแรกได้ไหมล่ะ สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวมึง รู้ใจตัวเองไวๆ นะ

แล้วกูก็กระดกยาพาราวนไป คนอ่านก็ตามจี้ไม่ให้เททิ้ง ถถถถถถถ

114 Nameless Fanboi Posted ID:u.NOvvM6js

พวกชอบเขียนนิยายจีนบางคนก็ไม่ได้มีความรู้ความเชื่อแบบเต๋าหรือขงจื้อหรอก กูอ่านแล้วบางเรื่องแม่งไม่เป็นจีน

115 Nameless Fanboi Posted ID:WMywR43Jwy

>>114 เขาถึงเรียกว่านิยายเสิ่นเจิ้นไง

116 Nameless Fanboi Posted ID:u.NOvvM6js

>>115 ก็ใช่ไง แบบเดียวกับพวกญี่ปุ่นเขียนแนวโลกยุคกลางศักดินายุโรปๆ แต่เวลาคนขอโทษหรือขอร้องอะไร เสือกนั่งท่ากราบแบบญี่ปุ่นๆ ซึ่งคนยุโรปจริงๆไม่ได้กราบท่าแบบซามูไรโชกุนซะหน่อย แล้วก็นิยายจีนเสือกมีซูชิกับข้าวผัดกะเพราหมูสับ

117 Nameless Fanboi Posted ID:zrXUz.IpN5

>>116 ข้าวผัดกระเพราหมูสับ 5555555555

118 Nameless Fanboi Posted ID:WC7FN8KRzn

>>116 ข้าวผัด + กระเพราหมูสับ หรือ ข้าว + ผัดกระเพราหมูสับ วะ

119 Nameless Fanboi Posted ID:p4RAWbF5xB

โหลๆ ยังมีคนสับนิยายอยู่ป่าววะ

120 Nameless Fanboi Posted ID:TATPKUwjId

กูอยากสับนะ ถ้าว่างก็จะสับให้

121 Nameless Fanboi Posted ID:0msu8MvXV/

>>120 ระวังกลายเป็นม้านะมึง

122 Nameless Fanboi Posted ID:vjMhLOiiR3

>>121 กูเป็นแกะได้มั้ง กูชอบแกะมากกว่า

123 Nameless Fanboi Posted ID:JUxaM9gV3r

>>121 มึงยังเล่นมุกม้าเหี้ยๆอีกแล้วเรอะ ที่กระทู้เกือบจะร้างเพราะมัวแต่จับผิดเรื่องม้า

124 Nameless Fanboi Posted ID:4GZHuvYEce

ม้าคือไรวะ?

125 Nameless Fanboi Posted ID:PD3jjifcqX

>>124 มาย ลิตเติ้ล โพนี่

126 Nameless Fanboi Posted ID:Mx.F6eH0hd

>>125 นั่นมันม้าแคระ!

127 Nameless Fanboi Posted ID:QE5KhvwNz+

โทรลแม่งป่วนไปทั่วแหละ ไม่ต้องไปสนใจหรอก

128 Nameless Fanboi Posted ID:0msu8MvXV/

>>123 กูไม่ได้เล่นนะเว๊ย กูเตือนด้วยความหวังดีจริงๆ

129 Nameless Fanboi Posted ID:5CspJEC7If

>>127 แต่คนแม่งสนใจ เพราะบางคนแยกแยะไม่เป็นว่ามู้นี้ต้องการสื่ออะไร คนถึงเลิกสับกันไง

130 Nameless Fanboi Posted ID:hoiGQwUAr.

เรื่องที่กูตามแม่งมีแต่นิยายดอง มีให้ชอบตั้งหลายเรื่องไม่ชอบ เสือกมาชอบนิยายดอง น้ำตาจิไหล

131 Nameless Fanboi Posted ID:vjMhLOiiR3

>>130 เด็กดีมีนิยายเวียดนามด้วยเหรอ?

132 Nameless Fanboi Posted ID:BwONSJ5SIx

>>131 นี่มึงมุกหรือมึงมุก

133 Nameless Fanboi Posted ID:qkKNJMjTQK

นิยายจะตัวเองหรือคนอื่นกูสับได้หมดแหละ แต่ถ้าสับเละเป็นหมูบะช่อ โดนด่าประหนึ่งลากไปตบกลางสี่แยกแล้วสาดทับด้วยแอลกอฮอล์ เจ้าของเรื่องที่เอามาให้สับก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วย

134 Nameless Fanboi Posted ID:fbd70V41Qy

>>133 งั้นมึงสับเรื่องนี้หน่อย กูเกลียดอีคนเขียนเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว
https://writer.dek-d.com/Bwine/story/view.php?id=1850517

135 Nameless Fanboi Posted ID:5nyV4ukZm4

>>134 อย่างงี้ก็ได้เหรอวะ

136 Nameless Fanboi Posted ID:4zbTxga+NF

>>134 ชื่อตอนมาแบบนี้ไม่ต้องเขียนประกาศิตก็ได้ ใครจะไปจำเรื่องได้เว้ย ไอ้คนเขียน

137 Nameless Fanboi Posted ID:5nyV4ukZm4

ช่วงนี้กูมือลั่นไปกดลบนิยายตัวเองตลอด พอตกใจเผลอกดออกแม่งเซฟหน้ากระดาษเปล่าๆ แบบอัตโนมัติ โครตเหี้ย 555555 หายหมด จิตใจที่กระชุ่มกระชวยตอนเขียนกูนี่แฟบติดดินลงเลย

138 Nameless Fanboi Posted ID:LeBYkqtZh/

>>137 เขียนใน​ word สิ​ ไม่มีนักเขียนคนไหนบ้าไปเขียนในหน้าเว็บหรอก​ โคตรมือสมัครเล่นเลยห่า

139 Nameless Fanboi Posted ID:jN9XrtjbLX

>>138 กูเขียนในแอปเอกสารอะ ผลคือเป็นงั้นแหละ หายเกลี้ยง// อ้าว แต่กูเขียนในหน้าเว็บก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ กดเซฟแบบกระหน่ำ 555555

140 Nameless Fanboi Posted ID:37++zZcrNv

>>139 ถ้าใช้เครือนั้นมันย้อนไปดูประวัติได้ไม่ใช่อ่ิวะ

141 Nameless Fanboi Posted ID:asg+kHs4Gm

>>139 ปี 2018 แล้วนะมึง มันไม่ควรมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว
ว่าแต่แอพอะไรวะถึงมือลั่นลบเอกสารจนเหลือหน้าเปล่าได้ขนาดนั้น

142 Nameless Fanboi Posted ID:XPBh4ZxL8P

https://www.dek-d.com/board/view/3880907/

คิดยังไงกับประเด็นนี้วะ?

143 Nameless Fanboi Posted ID:asg+kHs4Gm

>>142 มีมาเรื่อยๆ เบื่อแล้วว่ะ กูเห็นใจ เข้าใจนะ แต่ก็สมเพชไปพร้อมๆ กัน
แต่ขอแยกประเด็นไอ้ นักปฎิวัติ นี่หน่อยนะ คือแม่งปฎิวัติอะไรบ้างวะ สิ่งที่แม่งทำ กระทู้ที่แม่งตั้งไม่ใช่การเรียกร้องหรือพยายามาจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เจตนามันชัดเจนอยู่แล้วว่าแค่อยากดัง อยากมีตัวตนอยู่ในบอร์ดแค่นั้นแหละ

144 Nameless Fanboi Posted ID:4zbTxga+NF

>>143 เรื่องดีๆไม่ดัง พอทำเรื่องเหี้ยๆเสือกดัง

145 Nameless Fanboi Posted ID:fbd70V41Qy

>>135 กูคิดว่าได้นะ

146 Nameless Fanboi Posted ID:o37Y/6dAcJ

>>139 มึงพึ่งพา word ไม่ได้ก็หันไปใช้ google drive สิ อีเมลเดียวใช้ได้ทุกเครื่อง

147 Nameless Fanboi Posted ID:4zbTxga+NF

>>142 เอานี่ไป นิยายของนักปฏิวัติ เชิญสับตามสบาย https://my.dek-d.com/shadowvihok/writer/view.php?id=1727769

148 Nameless Fanboi Posted ID:DcggdkSdb7

>>147 เข้าใจละว่าทำไมถึงด่านักอ่านเงาแบบนั้น
เขียนมาเพื่อหวังโดเนต แต่พอยอดไม่พอเอาไปโปะบัตรเครดิตก็เลยมาโวยวายสินะ

149 Nameless Fanboi Posted ID:YhpQQlVv6p

แหม่ คิดว่าเขียนนิยายออกมาแล้วจะมีคนโดเนตให้จนได้ตังค์มาใช้เหลือเฟือมันง่ายมากนักเหรอวะ ฝันมากเกินไปแล้ว 555

150 Nameless Fanboi Posted ID:/YFcsN5srL

งาช้างไม่งอกออกมาจากปากสุนัขฉันใด​ นิยายดีๆ​ ก็ไม่งอกออกมาจากสมองของนักเขียนตามกระแสฉันนั้น

151 Nameless Fanboi Posted ID:XBzc+.z.WJ

>>150 อันนี้ชอบวะ

152 Nameless Fanboi Posted ID:NYwYk2iU.R

คิดยังไงกับผู้ชายที่อ่านนิยายแนวรักหวานแหวววะ
กูเป็นคนแต่ง โคตรปลื้มเลยที่มีนักอ่านผู้ชายมาทั้งอ่านทั้งซื้อหนังสือกู ใน10 คนมี 2-3 คน สำหรับกูแล้วมันปลื้มมากกกกกกกกก

153 Nameless Fanboi Posted ID:BC6Cdiaxm1

เป็นคนน่ารักโรแมนติกครับ

154 Nameless Fanboi Posted ID:mKnrGuNb5C

>>152 กูเพิ่งรู้ว่าผู้ชายไม่อ่านรักหวานแหวว กลุ่มกูนี่แม่งอ่านกันทุกตัวถถถ

155 Nameless Fanboi Posted ID:fbd70V41Qy

>>133 เมื่อไหร่จะสับที่กูส่งให้ใน 134 วะเพื่อนโม่ง

156 Nameless Fanboi Posted ID:4L4SL+Ncvb

>>150 อันนี้ไม่เห็นด้วย นักเขียน 99% ก็นักเขียนตามกระแสทั้งนั้น มองแคบไปหน่อย ศิลปินแห่งชาติเริ่มเขียนก็เขียนตามกระแสนิยายในยุคนั้นๆ สมัยก่อนคนชอบอ่านนิยายรัก ก็เขียนตามๆ กันมา เวลาผ่านไปเรียกนิยายกระแสในสมัยก่อนเป็นนิยายทรงคุณค่า กูสรุปให้แล้วกัน นิยายดีไม่ดีอยู่ที่สิ่งที่เขาเขียน ไม่ใช่แนวที่เขาเขียน

157 Nameless Fanboi Posted ID:Q39BX1QltK

>>152 >>152 กูผู้ชายอ่าน เพื่อนกูผู้ชายก็อ่าน เหตุผลเหมือนกันคือมันตลกหรือไม่ก็ละมุนพอให้ยิ้มอ่อน แต่เรื่องไหนใช้อีโมจิเยอะๆ ใช้มุกห่วยๆ หรือน้ำเน่าเกินกูไม่อ่านเหมือนกัน

เรื่องอีโมจิคือกูแค่ไม่ชอบ แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ดีหรืออะไรนะ

158 Nameless Fanboi Posted ID:QPoFUDc3vU

>>155 กูไม่ได้ว่างตลอด 24 ชั่วโมงป่ะมึง คือถ้าว่างก็จะสับให้ กูเปิดนิยายที่มึงโยนมาเห็นตัวเล็กนิดนึงกับเขียนค่ะคะผิด กูว่ากูคงต้องใช้ความพยายามในการอ่านหน่อยเลยรอว่างกว่านี้หน่อย

159 Nameless Fanboi Posted ID:HAFnr0MmrP

>>157 นิยายกูไม่มีพวกอีโมจินะ แบบนิยายสไตล์ผู้หญิงเลย หวานละมุนกว่านี้ไม่มีอีกละ น้ำเน่าอีก ดราม่าอีก
คือไม่คิดว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นผู้ชายเลยไง
ตีพิมพ์แล้วมีผู้ชายมาถามซื้อเรื่อยๆ พอเป็นผู้ชายก็อดไม่ได้ที่จะแอบเจ้าไปส่องโปรไฟล์โอโหหห แต่ละคนหน้าอย่างเถื่อน ในเฟสนี่เข้มมาเลย หนวดครึ้มบ้าง ภาษาหยาบ ลงภาพกินเหล้าสูบบุหรี่ เตะบอล แมนจนไม่รู้จะแมนยังไง ไม่ได้มีฟีลมุ้งมิ้งสักนิด

พอเห็นเค้ามาถามหาซื้อนิยายเรานี่แบบ โอ้ยย เพิ่มความน่ารักขึ้น300% แบบภาพเปลี่ยนเลย ทำไมพี่มุ้งมิ้งจังวะ น่ารักโคตร

160 Nameless Fanboi Posted ID:JR3MKgZABq

ซื้อให้คนอื่นอีกทีป่าว 555

161 Nameless Fanboi Posted ID:4zbTxga+NF

กูอยากถาม ผู้ชายชอบฮาเร็มเยอะแค่ไหน

162 Nameless Fanboi Posted ID:Ny6o4r5ZEz

>>161 อยากรู้เหมือนกันว่าพวกที่แต่งๆ ฮาเร็ม หญิงยัดนมใส่แขนใส่หน้านี่คิดยังไงกันอยู่

163 Nameless Fanboi Posted ID:0hAwZZxsJT

>>146 ถ้าบ้าพอเขียนแล้วอัพขึ้นrepoเลย

164 Nameless Fanboi Posted ID:3kDFiIDeFE

>>163 เดี๋ยวกูทำแน่

165 Nameless Fanboi Posted ID:5k.QX+2qcw

มาสับนิยายกัน

ประกาศิตนางร้าย
https://writer.dek-d.com/Bwine/story/view.php?id=1850517

ชื่อเรื่องเว่อร์วังอลังการ แต่เละเทะแค่ไหน เรามาดูกันข่า ออกตัวก่อนว่าอ่านเท่าที่อ่านไหว อ่านไม่ไหวเมื่อไรคือปิดนะเออ

ขอติอย่างแรกเลยคือการจัดอักษรฉิบหายวายป่วงมาก นับถือคนที่ติดตามอ่านได้จริงๆ ว่ามึงทนกับการจัดหน้าที่แบบนี้ได้ยังไง บอกกงๆ ว่าอ่านแค่ตอนแรกก็ปวดตาแล้ว อ่านในมือถือกับในคอมไม่ไหวจะเพลีย เบอร์ว่ากูต้องจิ๊กไอแพดแม่มาเปิดอ่านขยายตัวใหญ่ๆ อีกเรื่องคือตอนนึงสั้นมากกกกกก ถึง 700 ตัวอักษรไหมเนี่ย??

เนื้อเรื่อง
เปิดเรื่องมาด้วยการโชว์เทพของอลัวเทีย นางมีความสามารถย้ายจิตตัวเองไปร่างใหม่ได้ อมตะว่างั้น จู่ๆ นางก็มาฆ่าล้างบาง ไม่รู้ว่ามาทำภารกิจอะไร เพื่ออะไร ไม่ได้เกริ่นใดๆ ทั้งสิ้น นังอลัวเทียก็ง่าวโดนอาวุธที่ตัวเองจะใช้ฆ่าตาย ไหนบอกเทพไง งงเลย พอนางตายก็จะไปหาร่างอื่นสิงต่อ จู่ๆ ก็ข้ามมิติมาโลกที่มีเวทย์มนตร์ จู่ๆ ก็มีความทรงจำของเจ้าของร่างที่ชื่อเลวิธาน (มันชื่อผู้ชายป่ะ??) ซึ่งตามฉบับคือร่างนี้ไม่มีเวทย์ แล้วก็นึกอยากดูแลครอบครัวร่างนี้ขึ้นมาซะงั้น เออ งง ไม่มีที่มาที่ไปดี กูไม่ได้เป็นปรสิตในสมองคนเขียนนะ จะได้รู้ว่าเรื่องมันอะไรยังไง มึงไม่คิดจะเกริ่นจริงๆ เรอะะะ?

เสร็จแล้วนางก็ติดตั้งอุปกรณ์(?)กับร่าง ก็งงว่ามึงย้ายมามึงเอาซอฟต์แวร์ติดมาด้วยอ่อ พอติดตั้งก็มีเวทย์สายฟ้าขึ้นมา ตาก็เปลี่ยนสี พอพ่อเลวี่ถามว่าทำไมตาอีกข้างเปลี่ยนสี แม่งตอบว่าเซอร์ไพรส์…เซอร์ไพรส์พ่อง พ่อแม่งก็ไม่ตกใจด้วยนะ เอ้า ก็ไปงานเลี้ยงรัชทายาทซึ่งเป็นคู่หมั้น สรุปคือโดนถอนหมั้นเพราะกากไม่มีพลังตามสไตล์นิยายจีนเป๊ะ นางก็โชว์พลังสายฟ้า เห้อ…

คือเนื้อเรื่องไม่ค่อยมีอะไรอ่ะ ตีกับคู่หมั้นเก่าและกิ๊กใหม่ของคู่หมั้น บีบคู่หมั้นให้ตกจากตำแหน่งรัชทายาท ไปเรียนรร.เวทย์ คือมันไม่สนุกอ่ะแก ไม่รู้จะทนอ่านไปทำไม… กูอ่านไป 5 ตอน และคงพอละ สงสารตัวเอง

การเขียน

การบรรยาย : มันขาดๆ เกินๆ ยังไงไม่รู้ ด้วยการใช้ภาษาที่แปลก เลือกใช้คำทั่วไปและคำสันธานที่แปลก โยงประโยคแบบไม่มีตรรกะ เนื้อเรื่องยังไม่เห็นปมหรืออะไรสักอย่าง ไม่ดึงดูดให้อ่าน แล้วแม่งจะบรรยายเสื้อผ้าอะไรขนาดนั้น เสียเวลาบรรยายชุดนางเอกมากกว่าภูมิหลังเซตติ้งกับตัวละคร กูอ่านไปก็ถอนหายใจไป

รำคาญการใช้ซาวด์เอฟเฟ็กต์แทนการบรรยายมาก เพราะแม่งล่อใส่กลางย่อหน้าเลยจ้าาา ก่อนจะเปรี้ยง แล้ว ฟึบ ห่านจิก กูจะรู้ไหมว่ามึงเปรี้ยงอะไร ฟึบอะไร แล้วมึงจะเน้นร่างเซ็กซี่ เสียงเซ็กซี่อะไรนักหนา ตอกย้ำความเบียวของนางเอกและคนเขียนเหลือทน

เขียนๆ อยู่ แม่นางอยากจะเปลี่ยนเป็นมุมมองบุรุษที่ 1 แม่ก็เปลี่ยนซะงั้น แล้วงงเซตติ้งมึงมาก ลุดโกธิคย้อนยุคแต่ขึ้นรถลีมูซีน ตกลงคือยังไงไหนตอบ! แล้วจู่ๆ อีพี่ก็เรียกนางเอกว่าเลจัง สรุปยังไง มึงต้องเลือกนะ จะฝรั่ง ญี่ปุ่น โกธิค ยุคกลาง เอาไงกันแน่ เลือก!!

เว้นวรรค : เว้นวรรคได้บรรลัยมาก เหมือนเคาะเว้นวรรคไม่เป็น ประโยคมันยาวยืดจนไม่มีจุดพัก บวกกับการใช้พวกคำเชื่อมติดๆ กันเหมือนเกิดมาไม่เคยใช้มาก่อน อ่านแล้วอึดอัดไปหมด กูอ่านข้ามรัวๆ บอกตรงๆ

คะแนน : ถอนหายใจแล้วกดปิด อ่านแล้วนอกจากปวดเฮดก็ยังจะปวดตา วงวารกระจกตากูเถอะ สายตากูก็สั้น อายุก็ไม่น้อย อย่าทำร้ายสุขภาพตากูมากไปกว่านี้เลย

166 Nameless Fanboi Posted ID:5I+ijqw4Zx

>>165 อ่านแล้วขำ สับได้ดี กระชับเข้าใจง่าย
ลองไปตามอ่านแล้วพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นด้วย
สำนวนมึงคุ้นมาก เหมือนกูเคยอ่านสับแบบนี้มาแล้ว
แต่มึงเลิกไปเพราะเจอพวกโทรลมาป่วน

หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ กูจะรอ

เรื่องนี้กูให้ 8/10 คาเงโร่ ขาดอีกแค่ 2 คาเงโร่พ้อยต์จะห่วยสมบูรณ์แบบ
ตอนแรกกะจะให้ 7/10 แต่พอเจอ 'นะค่ะ' เข้าไปเลยเพิ่มไป +1

167 Nameless Fanboi Posted ID:hHP1ec4Ccp

คาเงโร่พอยต์ยิ่งเยอะยิ่งดีหรือยิ่งเยอะยิ่งแย่

168 Nameless Fanboi Posted ID:E1A8sB9rD3

>>165 กูขอนับถือความพยายาม และความใส่ใจของมึง เพราะกูไม่อ่าน กูอ่านแบบมึงไม่ได้ มึงสับนิยายได้ดี เข้าใจง่ายดี

กูเห็นด้วยกับมึงเรื่องความเว่อร์วัง อลังการของชื่อเรื่อง มันเด่นสะดุดตามาก กูเลยพยายามเปิดใจให้นิยายติดท็อป (เรื่องนี้ท็อป 1 หมวดรักแฟนตาซี?) ปรากฎว่าพอเปิดเข้าไปส่อง จบเลย จัดหน้าได้เละเทะมาก กูแอบเห็นคำผิดด้วย เห็นแบบนี้ก็ได้แต่ปิดไปแบบเงียบๆ แล้วคิดในใจว่า ขึ้นท็อปมาได้ไง แล้วคนอ่าน คนติดตามเขาทนอ่านกันได้ไงวะ...

169 Nameless Fanboi Posted ID:5k.QX+2qcw

>>166 ถ้ามึงอ่านตั้งแต่มู้แรกๆ มึงจะพบเจอกูได้บ่อยๆ กูว่ากูขาประจำใช้ได้เลย ที่หายไปคือช่วงดราม่าเซฮุน โม่งเรื่องสั้น ด่ากันเป็นสัปดาห์ แต่ก่อนเวลาสับด่าแหลกกว่านี้มาก ตอนนี้คือชักจะขี้เกียจร่ายยาว ไม่ค่อยว่างเหมือนแต่ก่อนละ

170 Nameless Fanboi Posted ID:dR9kfKZbXz

>>165 >>166 >>168 กูคนเอามาแปะนะ ถ้าอยากรู้ว่าทำไมกูถึงเกลียดอีนักเขียนคนนี้ มึงลองไปอ่าน Talk ชวนทะเลาะกับคนอ่าน ตอนที่ 27 กะ 31 ดู

171 Nameless Fanboi Posted ID:KHBO+a6hqf

>>170 กูไม่ค่อยแปลกใจ ที่มึงจะรู้สึกแบบนั้นกับคนเขียน เห็นแนะนำตัวละคร มีวงเล็บด่ากราดตัวละครของตัวเอง กูก็เดาทางอุปนิสัยบางส่วนได้แล้ว ยิ่งมาเห็นหัวข้อสนทนา 'ชวนทะเลาะ' มันก็ยิ่งชัดว่ะ เพราะกูไม่ค่อยเห็นนักเขียนที่ออกตัวแรงแบบนี้ ส่วนใหญ่จะนอบน้อมสำรวมเข้าไว้ก่อน (หรือเป็นกูเองที่โลกแคบ ไม่ค่อยเห็นนักเขียนออกตัวแรงๆ วะ??) เอาเป็นว่าโอเค กูเข้าใจในระดับนึง //กูไม่ได้เกลียด ไม่ได้ชอบตรงส่วนนั้นของเขา และกูก็เข้าใจมึงนะ

172 Nameless Fanboi Posted ID:i9hbmKcTdR

>>147 เข้าไปแล้วก็เพลียใจ ว่าแล้วว่าต้องมาไม้นี้ มันแปลกๆ ตั้งแต่แรกแล้ว

คนผู้นี้มีฐานแฟนคลับของเขา เขาจึงมั่นใจว่าการตั้งโพสแบบนี้ ตัวเองจะไม่ได้รับดาเมจความเสียหายอะไรมาก อีกทั้งยังช่วยดึงให้ยอดวิวเพิ่มขึ้น พวกที่ชอบในนิยายไม่สนเนื้อใน และอุปนิสัยของผู้เขียนก็จะออกมาปกป้อง ส่วนคนที่มาแซะก็จะดูแย่ๆ ลงไปในหน้านิยายของเขา คนอ่านคงไม่เข้าใจหรอก ว่าสิ่งที่เขากำลังทำมันดูแย่แค่ไหน ใครที่ร้อนก็ช่วยใจเย็นและเฉยๆ ไปหน่อย ปิดเทอมพวกปั่นแบบนี้มีมาตลอด

กูรู้สึกว่ามันแปลกๆ พวกที่ปกป้องนี่โดนเป่าหูหรืออะไร ที่มีคนมาแซะนั่นก็เพราะความคิดของเขา เท่าที่เห็นก็ไม่มีใครด่านิยายของเขาเลยนะ เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า เห็นปกป้องราวกับคนที่เข้ามาจากกระทู้ เป็นคนไม่ดี มารังแกนักเขียนงั้นแหละ เฮ้อออออ น่ากลัวจริงๆ แบบนี้ก็มีด้วย

173 Nameless Fanboi Posted ID:dR9kfKZbXz

หมวดนิยายสงครามนี่ดูเหมือนจะติดท็อปกันง่ายเนาะ...

174 Nameless Fanboi Posted ID:i9hbmKcTdR

>>173 คนอ่านยังไม่อิ่มพล็อตสงคราม ส่วนใหญ่เนื้อหาก็แทรกสงครามมาทีละนิดละหน่อย เลยอยู่ได้ยาวๆ ไง

175 Nameless Fanboi Posted ID:rbHC3rPew1

จริงๆ มันก็หลายหมวดที่คนไม่ค่อยลงนั่นละ
บางหมวดร้างๆ แต่งนิยายไปตอนเดียวมันเด้งขึ้นท็อป10เลยก็ยังมี

176 Nameless Fanboi Posted ID:CC.IT9wrDU

>>175 ยอดวิวมันเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด อธิบายง่ายๆ ถ้านิยายมึงมี 5 ตอน มีคนอ่าน 1 คน ยอดวิวก็จะอยู่ที่ 6 (รวมกดเข้าหน้าแรก)​ แต่ถ้ามี 40 ตอน ยอดวิวมึงก็จะอยู่ที่ 41

และยิ่งคนเห็นยอดวิวสูง ก็จะยิ่งดึงดูดนักอ่านได้มากขึ้น จากเดิมที่ยอดวิวขึ้นวันละสิบวิว พอลงนิยายไปสักพักก็จะกลายเป็นวันละร้อย ติดท๊อปก็อาจกลายเป็นวันละพัน

ถ้าอยากติดท็อปมาก ก็ให้ไปเปิดนิยายในหมวดที่คนอ่านเยอะ เช่น แฟนตาซี อดีต ซึ่งมึงไม่มีทางติดท็อป แต่ก็คงจะมีคนหลงเข้ามาอ่านพอควร จากนั้นก็รอเดือนนึงย้ายหมวดไปยังหมวดที่การแข่งขันต่ำำ​ รอสักวันสองสันก็ขึ้นท๊อปละ

177 Nameless Fanboi Posted ID:Ra1BzroRnc

คิดยังไงกันกับนิยายท็อปหมวดแฟนตาซีบ้างครับผมอ่านไปเรื่อยๆ แต่ยังงงๆอยู่เลยว่าเรื่องมันมีจุดประสงค์อะไร

178 Nameless Fanboi Posted ID:0NUEhO3V.8

>>167 ยิ่งเยอะ ยิ่งห่วย

179 Nameless Fanboi Posted ID:C2qD4dpOLS

>>177 เลิกสนนานแล้ว หาเรื่องดียาก ที่ขึ้นก็ไม่ใช่เพราะเขียนดีซะเยอะ

180 Nameless Fanboi Posted ID:mb9KtZWR8T

เด็กดวกเดี่ยวนี้่โดเนทได้แล้วเรอะ จำได้ว่าตอนมีนิยายแปล แอดมินเคยบอกว่าห้ามโดเนทวะ
https://www.dek-d.com/board/view/3881133/

181 Nameless Fanboi Posted ID:CbMGQhPBF.

>>156 นักเขียน 99% เขียนตามกระแส อันนี้ข้อมูลจากไหนอะ?

182 Nameless Fanboi Posted ID:7DoiS/RXyN

>>180 นิยายเขียนเองเปิดรับโดเนทได้ไม่ใช่เหรอ

183 Nameless Fanboi Posted ID:i9hbmKcTdR

>>180 กูว่าถ้าเขียนเอง มันก็น่าจะได้นะ

184 Nameless Fanboi Posted ID:tyV4t+7A7T

จะให้สับเรื่องไหนก็บอกมา เดี๋ยวสับให้ ถ้าว่าง

185 Nameless Fanboi Posted ID:D9f/DrySNQ

ถ้ากูเลือกหยิบมาให้สับแบบมั่วๆ จะโดนด่าเปล่าวะ

186 Nameless Fanboi Posted ID:tyV4t+7A7T

>>185 ไม่โดนหรอก อยากสับไรสับเลยพี่น้อง

187 Nameless Fanboi Posted ID:mb9KtZWR8T

>>184 สับของอีปฏิวัติก็ได้ >>147 อยากรู้ว่าเขียนดีจริงรึเปล่า

188 Nameless Fanboi Posted ID:CbMGQhPBF.

ช่วงนี้ติดตามกลุ่มนักเขียนอยู่ พอได้ฟังเรื่องราวของแต่ละคนแล้วก็ยิ้มได้นิดๆ คิดว่าเราโชคดีนะที่ไม่บ้าคิดจะหาเลี้ยงชีพด้วยการเขียนอย่างเดียว ทำงานประจำไปด้วย พอมีเวลาว่างก็เขียนนิยายเป็นงานอดิเรกแบบนี้ดีกว่า พวกที่เขียนนิยายเป็นอาชีพอยู่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะแนวไหนก็หนีการเล่นกับตลาดไปไม่พ้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีกิน ตอนแรกคงคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือการขายหนังสือ แต่สุดท้ายมันกลับเป็นการขายวิญญาณไปแทน

189 Nameless Fanboi Posted ID:kGYQZ+dvrH

>>188 เห็นด้วย พูดตรง ๆ นะ เรานี่วัยเรียน ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องหาเงินเลย แต่พอความเป็นนักเขียนมันกลายเป็นอาชีพไปกลาย ๆ +มันกลายเป็นแหล่งทำเงิน ความอยาก ความชอบเราต้องกดลงไปละ แล้วต้องมาคิดว่าคนอ่านชอบแบบไหน ไม่ชอบแบบไหน อะไรขายได้บ้าง

ตอนนี้เลยตัน มืดแปดด้าน คิดกับเขียนอะไรไม่ออกเลย

190 Nameless Fanboi Posted ID:r8CBuIdVp8

อีกเรื่องหนึ่งคือ จำได้ว่าในบอร์ดเด็กดีเนี่ยแหละ เมื่อนานหลายปีมาแล้ว มีคนเคยมาตั้งกระทู้ประมาณว่า นิยายเนี่ยเป็นจุดต่ำสุดของงานศิลปะทุกประเภทเลย เพราะแทบไม่ต้องมีความสามารถอะไรก็เขียนนิยายได้ โดยยกตัวอย่างการ์ตูน (มังงะ) มาว่า ถ้าวาดภาพไม่สวย ต่อให้เนื้อหาดียังไง คนก็ไม่อ่าน แต่นิยายเนี่ยเขียนยังไงก็ได้ขอแค่คนอ่านๆ แล้วรู้เรื่องก็พอ

จำได้ว่าตอนนั้นเถียง (ในใจ) ไปว่า การเขียนแม่งไม่ใช่สักแต่ว่าเขียนๆ ไปก็ได้สักหน่อย การใช้ภาษาให้สวยงามลื่นไหลนั้นเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนและสั่งสมมา ไม่ใช่ใครคิดเขียนก็เขียนได้ เพียงแต่ด้วยระบบการศึกษาที่มันทำให้คนเกือบทั้งหมดสามารถเขียนหนังสือได้ การเขียนมันเลยดูง่ายกว่าศิลปะอย่างอื่น เช่นการวาด หรือการเล่นดนตรี (ที่ระบบการศึกษาไม่ได้เน้น)

แต่พอมาตามเว็บโนเวลในปัจจุบัน (ในอดีตก็ด้วย แต่ยิ่งมายิ่งแย่) ก็พบว่ามันเลวร้ายมาก คนแทบไม่สนใจความสวยงามทางภาษาแล้ว อันนั้นยังไม่เลวร้ายเท่าคนไม่สนใจเรื่องคำผิด นักเขียนหลายๆ คนเขียนงานออกมาเหมือนกับชีวิตนี้เคยอ่านหนังสือมาไม่ถึงสิบเล่ม ไม่รู้แม้กระทั่งว่ารูปแบบของการเขียนบทสนทนานั้นเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ ตลกร้ายที่งานแบบนั้นกลับมีคนติดตามไม่ใช่น้อย นี่ยังไม่ได้พูดถึงเนื้อเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอีกนะ

191 Nameless Fanboi Posted ID:+wB+ZSzFqA

>>190 แล้วพวกวรรณกรรมอย่างสุนทรภู่ล่ะ

192 Nameless Fanboi Posted ID:Xu6We70JA6

>>190 ONEกล่าวเอาไว้ว่ากุขายเนื้อเรื่องไม่ได้ขายภาพโว้ยยย

193 Nameless Fanboi Posted ID:hx+SPNTiXg

ทำไมพวกมึงอยู่ดึกกันจังวะช่วงนี้

194 Nameless Fanboi Posted ID:gkdcOVn+QU

เขียนนิยายอยู่ ตอนกลางวันไอเดียไม่มา เสือกมาซะดึกเลย

195 Nameless Fanboi Posted ID:xwgUYeq3mE

สับเรื่องนี้หน่อย ตัวละครอื่นโผล่มาพรึ่บๆ
/เหมือนมู้ที่แล้ว จะมีโม่งเอามาถาม ว่าใช้ตัวละครคนอื่นแบบนี้ เอามาขายได้เหรอ
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1801889

196 Nameless Fanboi Posted ID:+wB+ZSzFqA

>>194 เพราะเบื่อเสียงแว้นไง คนจะเขียน เสียงเหี้ยจากไหนไม่รู้

197 Nameless Fanboi Posted ID:7NEGyEwcpE

ฉัวฉัวกุดุสกุดุสเริ่มเผยแพร่สู่สังคมแล้วเรอะ

198 Nameless Fanboi Posted ID:cqkudv3PP7

>>195 นี่คือการคิดจะทำนิยายล้อเลียนแบบกินทามะโดยไม่ได้รู้เลยว่ามันล้อชาวบ้านได้เพราะอะไร

199 Nameless Fanboi Posted ID:BME31RZbVQ

>>197 ฉัวฉัวฉัว กุดุสกุดุส มุ้งมิ้งชิบหาย กูนี่ปวดกบาลเลย ฉัว ฉัว

200 Nameless Fanboi Posted ID:nLhb6f15TY

มีคนบอกกูว่าถ้าเจอสำนวนสไตล์ผู้ใหญ่เขียนจะไม่กล้าเม้น เพราะรู้สึกเกรงใจ ถึงจะชอบมากก็แค่ตามอ่านเงียบๆ ส่วนนิยายที่ใช้สำนวนทั่วๆไปคนจะกล้าเม้นกว่า เพราะคนเขียนดูเข้าถึงง่าย

201 Nameless Fanboi Posted ID:BME31RZbVQ

>>200 สำหรับกู กูไม่ได้เกรงใจ แต่มันรู้สึกเกร็งๆ ไม่เป็นกันเอง พอมันรู้สึกแบบนั้น ก็ไม่รู้จะเมนต์อะไรละ

202 Nameless Fanboi Posted ID:Qxy15h3P8Z

นางร้ายภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไรอ่ะโม่ง เห็นคนใช้Villainมันกว้างไปป่ะวะ

203 Nameless Fanboi Posted ID:1hVPQCKM5N

>>200 สำนวนผู้ใหญ่นี่ยังไงวะ? สำนวนคนแก่? ภาษาทางการ? เน้นภาษาบรรยายมากกว่าภาษาปาก?
คือกูต้องใช้แบบพิมพ์แชท ภาษาสก๊อย หรือ กุดุสกุส รึไงวะ ถึงจะเป็นกันเอง

204 Nameless Fanboi Posted ID:+wB+ZSzFqA

>>202 Jerkass Lady กับ Badass Lady

205 Nameless Fanboi Posted ID:RXmWC60f9.

>>203 ใจเย็นๆ นะเพื่อนโม่ง สำนวนผู้ใหญ่ในที่นี้กูว่าเป็นสำนวนแบบพวกนิยายที่ผู้ใหญ่ชอบอ่าน พวกนิยายในกุลสตรี ขวัญเรือน แบบภาษาว.วินิจฉัยกุล โสภาค สุวรรณ กฤษณา อโศกสิน อ่ะ มันจะคนละแบบกับภาษานิยายออนไลน์ว่ะ กูเป็นคนนึงที่เขียนภาษาแบบนั้นนะ เพื่อนบอกนึกว่าอ่านนิยายในขวัญเรือน เด็กๆ ไม่ชอบอ่านกัน....

206 Nameless Fanboi Posted ID:MRQOU8uhvb

>>202 ตอนแรกจะใช้คำว่าBitchแต่หยาบไป 555 งั้นFemale antagonistล่ะเป็นไง

207 Nameless Fanboi Posted ID:JFst7sxFLE

>>206 นั่นมันหมายถึงตัวดำเนินเรื่องเป็นผู้หญิงไม่ใช่เรอะ?

208 Nameless Fanboi Posted ID:J82z5Aq/iS

>>207 นั่น fem protagonist

209 Nameless Fanboi Posted ID:vknduV05NT

>>206 ที่กูเคยใช้คือ Wretched Lady มันแปลได้กว้างแต่ถ้าใช้ถูกบริบทก็คือ สตรีสามานย์

210 Nameless Fanboi Posted ID:IW4yf9w97+

>>202 เดี๋ยวกูสรุปให้ ทดเรื่องคำว่า Villain เอาไว้ก่อน
>>204 Jackass Badass อันนี้พยายามเกิน ไม่ใช่แน่นอน ความหมายไม่ลบแล้วยังฟังดูบวกไปอีก สองคำนี้มันใช้ในเชิงบวกมากกว่าลบ แถมฟังแล้วแหม่งแปลกๆ
>>206 Female antagonist ถูกเป๊ะ Antagonist คือตัวโกง ฝรั่งไม่แยกเพศตัวละคร ตัวหลักคือตัวหลัก ตัวโกงคือตัวโกง แต่ Female Antagonist นี่น่าจะตรงสุดเท่าที่กูรู้ล่ะ (จริงๆ ถ้า 206 ไม่เกริ่นขึึ้นมากูก็ลืมคำนี้ไปเลย)
แล้วทีนี้ Villlian กับ antogonist ต่างกันตรงไหน ความหมายตามพจนานุกรมเลยนะ Antogonist คือตัวละครที่มีการกระทำ หรือแรงกระตุ้นเป็นปฏิปักษ์คุกคามตัวละครหลัก หรือเนื้อเรื่อง ไม่มีความจำเป็นต้องร้ายก็ได้
ส่วน Villian คือตัวร้ายแบบร้ายอ่ะ ปีศาจ อสูร วายร้าย
กูสรุปมาจาก http://writerandproud.blogspot.com/2015/05/the-difference-between-villain-and.html เผื่อมึงอยากอ่านเต็มๆ

211 Nameless Fanboi Posted ID:PPZ4ok5TBG

ทำไมต้องแปลตรงๆ กันด้วยวะ เรียกแบบ bitchy angel หรือ sassy bitch ไม่ได้เรอะ

212 Nameless Fanboi Posted ID:Qxy15h3P8Z

กูคนถามเรื่องนางร้ายเองนะ ขอบใจโม่งทุกคนมาก แล้วมีคำอื่นที่สื่อได้อีกป่ะที่ไม่แปลตรงๆอ่ะขอแบบมีชั้นเชิง Female Antagonistแม่มดิบเป็นบ้าถถถ

213 Nameless Fanboi Posted ID:IW4yf9w97+

>>211 เพราะกูเข้าใจว่าเรากำลังหาคำแยก category ของตัวโกงเพศหญิงทั้งหมด ไม่่ได้หาสรรพนามเรียกผู้หญิงที่ทำกริยาแบบ sassy bitch ล่ะมั้ง หรือกูเข้าใจผิดวะ
>>202 ว่าแต่มันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรอกับ ไอ้การพยายามแปล นางร้าย เนี่ย

214 Nameless Fanboi Posted ID:JFst7sxFLE

ว่าแล้วถามหน่อย อันนี้อยากรู้ส่วนตัว ถ้าแบบตัวเอกฉลาดแกมโกง มีการเล่นแง่ชิงไหวพริบประมาณโซระในเรื่อง No game no life นี่ควรใช้ Clever หรือ Smart protagonist ดี?

พอคุยเรื่อง tag กันแบบนี้อยากให้เด็กดีเปลี่ยนไปใช้ระบบ tag เพียวๆ แทนที่จะแบ่งหมวดชะมัด นิยายกูแม่งเสียเปรียบเพราะเนื้อหามันครอบคลุมทั้งกลุ่มผู้อ่านชายและหญิง แต่นี่กลายเป็นกูต้องเลือกระหว่างลงหมวดรักแฟนตาซีเพื่อเอากลุ่มผู้อ่านหญิง หรือจะไปหมวดแฟนตาซีที่ผู้อ่านเป็นชายเยอะซะงั้น

215 Nameless Fanboi Posted ID:u/0TJW84ZO

>>214 กูก็เข้าใจมึงแหละ เพราะเขียนนิยายเหมือนกัน แล้วมันต้องเลือกสักหมวด แต่กูก็ยังอยากให้มีระบบหมวดหมู่ว่ะ

216 Nameless Fanboi Posted ID:yneANHIU5H

เมื่อกี้กูนั่งอ่านของนักปฏิวัติมาเจ็ดตอนรวด

ลิ้งก์ : https://my.dek-d.com/shadowvihok/writer/view.php?id=1727769

ภาษา: กูว่ามันก็ใช้ภาษาโอเคในระดับนึง ให้ความสำคัญกับการตรวจทาน เรื่องคำผิดเลยมีน้อยมาก เห็นแค่คำว่าสคริปต์คำเดียว ที่จริงมันต้อง skip

ระดับการใช้ภาษาของสำนวนการบรรยายไม่คงที่ เดี๋ยวมีบรรยายจีน(ซึ่งโอเคอยู่)เดี๋ยวมีบรรยายแบบเด็กน้อย ทำให้อารมณ์ดรอป เหมือนเจอสก๊อยตลาดล่างสลับกับเบอร์ตองในตู้ และแม่งบรรยายเวิ่นเว้อ ไม่สละสลวย หมอยกูยังสละสลวยกว่า

พลอต: ออนไลน์ จีน เทพทรู ทำเควส ตบมอนโชว์ อวดเก่ง วันนาบีเอกกี้ ดวงดีเหมือนลักกี้แมน กูไม่เห็นว่ามันมีอะไรแปลกใหม่ เติมคำว่าอีสปอร์ตมาทำไมไม่รู้ คิดว่าตอนหลังอาจจะมีแข่งขันจริงจังหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ และกูคงไม่เสียเวลาอ่านไปมากกกว่านี้แน่นอน

บทสนทนา: ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะบางทีแม่งเอาภาษาเขียน/บรรยายมาใส่ในบทสนทนา แถมยังเวิ่นเว้อไร้สาระเหี้ย ๆ ควรตัดไปเลยไอ้บทสนทนาถามสารทุกข์สุกดิบหีแตดทั้งหลาย บรรยายคร่าว ๆ แทน มึงเอาแต่บทสนาที่สำคัญจริง ๆ มีผลต่อเนื้อเรื่อง หรือไม่ก็เป็นกิมมิก หรือจะใช้คำพูดคม ๆ ต่อปากต่อคำกัน อะไรเทือกนี้

ความสนุก: พูดตามตรง มันก็เรื่อย ๆ อ่านไปได้เพลิน ๆ แต่กูเอาเวลาไปอาบน้ำหมาดีกว่า

ให้ 4/10 สำหรับ 7 ตอน และขอไว้อาลัยให้เวลายี่สิบนาทีที่หายไปจากชีวิตกู

อยากลงชื่อ แต่โฟกัสที่ความเห็นกันดีกว่า พวกเราจะได้ดูมีอารยะไง

217 Nameless Fanboi Posted ID:ysCycwXU30

>>216 กูอ่านไปไกลกว่ามึง สำหรับกูเรื่องนี้ธรรมดา พล๊อตตลาดทั่วไป
คิดดูแล้วน่าจะเหมาะกับ FL มากกว่า DD ด้วยซ้ำ เห็นด้วยเรื่องระดับภาษา
กับรูปแบบการบรรยาย มันอยู่ผิดที่ผิดทางชวนสะดุดไปหมด บางที่นอกเกม
ควรบรรยายไทยๆ หน่อย ดันเขียนเหมือนหนังจีนคุยกัน

นิยายปานกลางค่อนไปทางแย่ ส่วนนิสัยคนแต่งควรปรับปรุง (จากที่เห็นในดราม่า)

218 Nameless Fanboi Posted ID:30QABoqC0i

*ระบายสี*
ช่วงนี้กูติดนิสัยอ่านนิยาย แล้วในหัวมันจะมีคำวิจารย์งอกขึ้นมาเป็นดอกเห็ดว่ะ เวลาพยายามอ่านนิยายสักเรื่อง ถ้ามันไม่ดีเลิศเลอผ่านเกณฑ์การประเมิน จะมีคำวิจารย์เต็มหัวไปหมด ซึ่งกูก็ได้แต่เก็บๆ ไว้ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่านักเขียนบางคนคงรับไม่ได้ ถ้ากูจะคอมเมนต์ไปตามตรง

โอเค นั่นไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ ปัญหาคือเวลากูอ่านนิยายของตัวเองนี่แหละ พออ่านคำวิจารย์ก็เด้งขึ้นมาเป็นพรืด บางทีมันไม่ใช่คำวิจารย์ แต่เป็นความรู้สึกแหม่งๆ ซึ่งกูไม่รู้จะแก้ไขตรงไหน แก้ยังไงดีเหมือนกัน นั่งลบๆ นิยายกับพล็อตที่ร่างไว้ทั้งวัน สรุปไม่คืบหน้าสักอย่าง

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.