ต่อจาก >>419
ศิลปะมีหลายประเภท ไม่มีกฎว่าหนังหรือหนังสือดีจะต้องมีความลึก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้เขียน เพชรพระอุมา ต้องการใส่ความลึกของตัวละครหรือเรื่องมากไปกว่าการผจญภัยในป่า ประเภท รพินทร์ ไพรวัลย์ คิดยังไงกับการแบ่งชนชั้นในสังคมหรือระบอบเผด็จการทหาร ป่านนี้ก็อาจไม่มีคนอ่านเรื่องนี้ก็ได้ เพราะมันจะเป็นนิยายอีกตระกูลหนึ่งซึ่งทำได้ แต่คนเขียนไม่ได้อยากใส่ความลึกแบบนี้ คนอ่านก็ไม่ได้อยากอ่านความลึก
สิ่งที่ผมใช้วัดงานอย่างง่าย ๆ ก็คือมองดูว่าเรื่องหนึ่ง ๆ นั้นเขียนได้ดีหรือเปล่า หนังฮอลลีวูดที่แบนราบแต่สร้างได้ดีก็มีไม่น้อย หนังสือที่จับประเด็นลึก ๆ แต่เขียนแย่ก็มีถมไป
เวลาเราวัดคุณค่าของงานศิลปะชิ้นหนึ่ง จึงไม่ได้วัดที่ความลึกอย่างเดียว แต่ดูที่ภาพรวม คุณเขียนได้ดีหรือเปล่า คุณจะทำอาหารระดับฮ่องเต้ อาหารตามสั่ง อาหารขยะ หรืออาหารที่มีวิตามินครบถ้วน อะไรก็ได้ คุณปรุงได้ดีหรือเปล่า
มีงานประกวดรางวัลวรรณกรรมเท่านั้นที่นักเขียนต้องพร้อมทั้งความลุ่มลึก สาระ บันเทิง ภาษา ครบถ้วน ถ้าไม่คิดจะล่ารางวัล ก็ไม่ต้อง เขียนตามใจที่อยากเขียน
ถามว่าแล้วงานของผมเองล่ะ มีความลึกหรือไม่ ก็ตอบได้ว่าบางเรื่องก็มี บางเรื่องก็ไม่มี ถามว่าในเรื่องที่ไม่มีความลึก รู้หรือเปล่าว่าไม่ลุ่มลึก ตอบว่ารู้สิครับ และตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น
ยกตัวอย่างงานที่โดนด่ามาตลอดคือ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ผมเขียนในคำนำชัดเจนแล้วว่า ตั้งใจเขียนในลักษณะของการเขียนเรื่องสั้นหักมุมจบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานตระกูลอ่านเอาสนุก ไม่ใช่อ่านเอาความลึก ขณะที่ตอนเขียน สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ตั้งใจเขียนเอาความลึก (ส่วนสำเร็จหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) บังเอิญที่ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ได้รับรางวัล ก็เลยเป็นเรื่องที่คนนำไปถกกันตามประสางานซีไรต์
เรื่องชุด พุ่มรัก พานสิงห์ ก็เขียนแบบไม่ต้องการความลุ่มลึก เขียนเพื่อคลายเครียด เรื่องอย่าง อาเพศกำสรวล เส้นสมมุติ พวกนี้ตั้งใจเขียนแบบลึก ก็ปนๆ กันไปอย่างนี้แหละตามอารมณ์
สิงห์วรรณกรรม พี่สุชาติ สวัสดิ์ศรี เคยกรุณาวิเคราะห์ผมให้ผมรู้เป็นการส่วนตัวนานปีมาแล้วว่า งานของผมมีลักษณะเชิงกว้างมากกว่าลึก นั่นคือไม่ว่าเสนอแง่มุมอะไร ก็เป็นการเสนอในแบบมหภาคมากกว่าจุลภาค ผมว่าพี่สุชาติดูเหมือนเป็นคนเดียวในวงการที่อ่านงานผมแตก และนี่ก็เป็นจุดที่ผมรู้ และชอบทำแบบนี้
เมื่อนักเขียนรู้ว่ากำลังทำงานแบบไหน ก็จะไม่เขวเวลาได้ยินคำวิจารณ์
ไม่ใช่คำวิจารณ์ทุกอันที่มีประโยชน์ นักเขียนต้องอ่านให้ออก
………………………
อีกปัญหาหนึ่งของการวิจารณ์ในบ้านเราที่ผมสัมผัสมาก็คือ บ่อยครั้งนักวิจารณ์มักศึกษาคนเขียน แล้วใช้เป็นจุดในการวิจารณ์งานเขียน ยกตัวอย่าง เช่น ถ้านักเขียนประกอบอาชีพโฆษณา ก็สรุปว่าเขาคิดอย่างคนโฆษณา ถ้าเขาเกิดเมืองกรุง ก็สรุปว่าเขาคิดอย่างชาวกรุง
มันอาจไม่ผิดก็ได้ แต่มันก็อาจไม่ถูกเช่นกัน
การยึดติดกับภาพลักษณ์ของคนเขียนจึงอาจเป็นดาบสองคม ทำให้อ่านผิดได้
นักวิจารณ์ไม่น้อยมักยึดติดอยู่กับอะไรบางอย่าง เช่น หากนักเขียนคนหนึ่งมีภาพของการเขียนงานวรรณกรรม ก็จะวิจารณ์งานทุกชิ้นของเขาแบบนั้น ยกตัวอย่างชัด ๆ เช่น ศรีบูรพา เป็นนักเขียนชั้นครูที่สร้างผลงานวรรณกรรมชั้นดีมาก แต่ท่านก็เขียนเรื่อง ‘น้ำเน่า’ ชิงรักหักสวาทหลายเรื่องเช่นกัน ทว่าผมก็เห็นนักวิจารณ์พยายามมองเรื่องน้ำเน่าของท่านว่าเป็นงานวรรณกรรมสูงค่า ซึ่งมันนอกประเด็นไปแล้ว แม้แต่โก้วเล้งก็เขียนงานน้ำเน่ามานับร้อยเรื่องก่อนที่จะเขียนงานชั้นเลิศ
มีนักเขียนไม่มากนักที่จับงานวรรณกรรมเชิงลึกอย่างเดียว เช่น กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ สมมุติว่าวันหนึ่งกนกพงศ์เกิดนึกสนุกเขียนเรื่องนางสาวมะลิมีปานที่ก้นซ้ายแย่งชิงมรดกเจ้าคุณที่คฤหาสน์ฟ้าแจ้ง ตบตีกับสาวไฮโซอีกสิบคน นักวิจารณ์หลายคนก็คงจะตีความเป็นการใหญ่ว่าเป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ นานา ทั้งที่คนเขียนอาจหัวเราะในใจว่า กูแค่อยากเขียนเรื่องน้ำเน่าแก้เครียดสักเรื่อง ก็แค่นั้น
รู้น่ะว่ากำลังกินมาม่า รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่วันนี้แค่ไม่อยากกินอาหารดี ก็เท่านั้น!
ผมชอบงานเชิงลึกแบบกนกพงศ์ ชอบงานเครียดๆ ของ มิลาน กุนเดอรา แต่ผมก็ชอบงานแบบพนมเทียน กิมย้ง โก้วเล้ง และในการทำงาน ผมก็มักรวมเอาสองสายทาง คืออย่างน้อยที่สุดเรื่องต้องอ่านสนุก แต่ก็ใส่แนวคิดลงไปตามสมควร มากน้อยแล้วแต่เรื่อง และพอใจกับสิ่งที่ทำ
สิ่งที่ผู้อ่านควรอ่านจึงเป็นการดูงานเรื่องหนึ่ง ๆ ว่าเขียนดีหรือเปล่า ไม่ใช่ตัดสินจากชื่อผู้เขียน เพราะอาจจะทำให้โลกทรรศน์แคบลงได้
………………..
วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/winlyovarin/