Fanboi Channel

นิยายเด็กดี บทที่ 19 (DDN XIX) ภาคสิ้นหวังแล้วเดกดวก ตั้งใจเขียนแล้วไม่มีคนอ่าน หนีไปเขียนกากๆ อัพถี่ๆ เกาะกระแสแล้วติดท็อปกันดีกว่า

Last posted

Total of 1000 posts

1 Nameless Fanboi Posted ID:toYGka/sPX

วิพากษ์วิจารณ์งานเขียนบนเว็บเด็กดี.คอม ทั้งจบแล้วและยังไม่จบ ตีพิมพ์แล้วและยังไม่มีใครเหลียวแล รวมไปถึงพูดคุยเกี่ยวกับวงการนิยายเว็บ (เด็กดี) เพื่อความหวังของวรรณกรรมไทยในอนาคต ทั้งนี้ ไม่สนับสนุนให้นำเรื่องส่วนตัวของนักเขียนแต่ละคนออกมาตีแผ่ ควรเน้นเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานเขียนเท่านั้น

<<คลังกระทู้เก่า>>

นิยายเด็กดี บทที่ 1 -- https://fanboi.ch/webnovel/2403/
นิยายเด็กดี บทที่ 2 -- https://fanboi.ch/webnovel/2703/
นิยายเด็กดี บทที่ 3 -- https://fanboi.ch/webnovel/2907/
นิยายเด็กดี บทที่ 4 -- https://fanboi.ch/webnovel/3066/
นิยายเด็กดี บทที่ 5 -- https://fanboi.ch/webnovel/3187/
นิยายเด็กดี บทที่ 6 -- https://fanboi.ch/webnovel/3229/
นิยายเด็กดี บทที่ 7 -- https://fanboi.ch/webnovel/3388/
นิยายเด็กดี บทที่ 8 -- https://fanboi.ch/webnovel/3594/
นิยายเด็กดี บทที่ 9 -- https://fanboi.ch/webnovel/3852/
นิยายเด็กดี บทที่ 10 -- https://fanboi.ch/webnovel/4106/
นิยายเด็กดี บทที่ 11 -- https://fanboi.ch/webnovel/4265/
นิยายเด็กดี บทที่ 12 -- https://fanboi.ch/webnovel/4393/
นิยายเด็กดี บทที่ 13 -- https://fanboi.ch/webnovel/4626/
นิยายเด็กดี บทที่ 14 -- https://fanboi.ch/webnovel/4810/
นิยายเด็กดี บทที่ 15 -- https://fanboi.ch/webnovel/5006/
นิยายเด็กดี บทที่ 16 -- https://fanboi.ch/webnovel/5346/
นิยายเด็กดี บทที่ 17 -- https://fanboi.ch/webnovel/5535/
นิยายเด็กดี บทที่ 18 -- https://fanboi.ch/webnovel/5769/

2 Nameless Fanboi Posted ID:toYGka/sPX

รายชื่อโดนสับไปแล้ว https://docs.google.com/document/d/1ouFhwS9WeoBzEgYHVNYWkeUAbhQ2YkCg4ozpTpx1-94/edit

3 Nameless Fanboi Posted ID:7Bp9vm6uJv

เขียนนิยายกระแสก็ไม่ได้การันตีติดท็อปหรอกนะ ต่อให้อัพทุกวัน ที่พอจะการันตีได้ก็แค่มีคนอ่านมากกว่าปกติเท่านั้น ถ้าอยากติดท็อป มึงต้องเบียวมาจากภายในจิตใจของมึงเอง+ตั้งชื่อเรื่องให้โดนใจ+ดวง พยายามเฟคๆ น่ะมันไปได้ไม่สุดหรอก

4 Nameless Fanboi Posted ID:X2/qtWMSbc

>>3 มึงรอดูพวกที่แข่งเขียนติดท็อปดิเดี๋ยวก็รู้ว่าทำได้ไหม แต่กูแทงว่าไม่ได้ถถถ ส่องดูแล้วมีแต่เกรียนถ้ามันไม่ปั้มวิวแม่งไม่ได้หรอก

5 Nameless Fanboi Posted ID:NgcHNfSqUz

>>4 ติดท็อปหมวดยังยาก แม่งจะให้เอาติดท็อปรวม ถถถ

6 Nameless Fanboi Posted ID:xB0yLpYgnA

คนคิดชื่อมู้แม่งจงใจล้อเลียน

7 Nameless Fanboi Posted ID:a0zzFMb3Wd

จะติดท็อปนี่มันไม่ง่ายนะเว้ย ทุกอย่างต้องลงล็อคเป๊ะๆ จังหวะต้องถูก แล้วดวงต้องดีด้วย

ถึงจะเขียนบรรลุความเบียวขั้นสวรรค์หยวน อัพถี่ จัดพลังทรูเต็มที่ แต่ถ้าดวงไม่ดีก็ไม่ติดท็อปหรอกเชื่อกู

8 Nameless Fanboi Posted ID:xB0yLpYgnA

บอร์ดเด็กดวกมีแต่มู้จีนโบราณ คนไม่เบื่อแย่เรอะ

9 Nameless Fanboi Posted ID:8aPlTCviNY

>>7 ลองใช้พลังพิเศษแบบเทพกระบี่หมื่นล้านสิ กูโคตรชอบตอนนั้นเลย

10 Nameless Fanboi Posted ID:/tDk6IggGN

ขอบ่นหน่อย กูเจอในบอร์ดบอกเขียนนิยายใหม่รบกวนให้เข้าไปติชม แต่เสือกทิ้งชื่อไม่ทิ้งลิ้งก์ กูคิดว่าก็ เออ มันอาจทำไม่เป็น

พอกูหาตามชื่อปุ้บ แม่งมีตอนเดียวแถมเหี้ยด้วย

กูเลยอยากรู้ว่ารสนิยมเด็กดวกแม่งชอบเขียนตอนเดียวแล้วแปะบอร์ดเลยหรอวะ คือกูว่าตอนเดียวมันยังบอกอะไรไม่ได้แถมแม่งยังเหี้ยจนไม่รู้เรื่องอีก

จบการบ่นเพียงเท่านี้

11 Nameless Fanboi Posted ID:/eFa37vEXB

>>10 ถาม: อยากรู้ว่ารสนิยมเด็กดวกแม่งชอบเขียนตอนเดียวแล้วแปะบอร์ดเลยหรอวะ คือกูว่าตอนเดียวมันยังบอกอะไรไม่ได้แถมแม่งยังเหี้ยจนไม่รู้เรื่องอีก

ตอบ: จะรู้ได้ถ้าไปหาสัดส่วนของจำนวนคนเขียนที่แปะในบอร์ดทั้งหมด ที่เทียบกับตัวเลขคนเขียนตอนสองตอนแล้วแปะ เช่น ถ้ามีแบบนี้อีกสัก 10-20 คน ก็เก็บตัวเลขเอามาทำเป็นฐานข้อมูล เอามาทำสถิติไว้แล้วผลลัพธ์ถึงจะเป็นเชิงประจักษ์

12 Nameless Fanboi Posted ID:Pkr3dH2K7+

และเกือบทั้งหมดของไอ้พวกห่านี่ พอแต่งไปได้ราวๆ 5-10 ตอนแล้วคนอ่านคนเม้นท์มีน้อย ก็จะมางอแงลงบอร์ดอีกรอบ

13 Nameless Fanboi Posted ID:ZYkYnqTpG6

อะหือ ชื่อมู้แม่งสะเทือนใจกูยิ่งนัก มันเป็นเรื่องจริง หลายเรื่องเขียนดีภาษาดีดันไม่มีคนอ่านคนเม้นท์
แต่แนวเกาะกระแสเกิดใหม่ นางร้าย อัพถี่ๆ พล็อตเดิมๆ บทโคตรซูดันติดท็อป

14 Nameless Fanboi Posted ID:VgecZW6Mg0

อยากได้คนเมนต์เหรอ? เปิดรับสมัครตัวละครสิ ไม่ว่าเรื่องของมึงจะกากหมาแค่ไหนก็มีคนเมนต์แน่นอน!

15 Nameless Fanboi Posted ID:cLJeoQPkf8

>>14 มีงอย่าลืมโรลเพลย์ดิเฮ้ย ก็เห็นแม่งมี 5000 กว่าเม้นแล้ว

16 Nameless Fanboi Posted ID:bpIkFvmutS

>>13 ถ้าคิดว่าดี​+ตัวเองสนุกที่จะเขียน​ก็เขียนไปเถอะ​ คนอ่านเลือกอ่านหนังสือ​ หยังสือก็เลือกคนอ่านได้เหมือนกัน​ คนอ่านไม่อยากอ่านบทบรรยาย​ กูก็ไม่อยากให้คนอ่านประเภทโหยหาพระเอกแกรี่สตูมาอ่านงานกูเหมือนกัน​ บิบิ

17 Nameless Fanboi Posted ID:bxHZsUbdQY

>>10 พวกนี้ต้องการยอดวิว ไม่ได้ต้องการเงินเหมือนมืออาชีพ

18 Nameless Fanboi Posted ID:bxHZsUbdQY

Low Fantasy คืออัลไลวะ https://www.dek-d.com/board/view/3878754/

19 Nameless Fanboi Posted ID:sovjZDsCiR

>>18 high = สร้างโลกใหม่ แบบเดอะหลอด
low = มีความแฟนตาซีแฝงอยู่กับโลกจริงของเรา อย่างแฮร์รี่พ่องตาย
-แทงเต็ง คือ การแทงแต้ม 1 ไปจนถึงแต้ม 6 (ภาษานักพนันเรียก แต้ม1 ว่า เอี่ยว) ถ้าลูกเต๋า 1 ใน 3 ลูก ลูกใดลูกหนึ่ง ออกแต้มตามที่เราแทง เราก็จะได้ เงิน 1 ต่อ นั่นคือ แทง 1 บาท ถ้าถูก จะได้ 1 บาท
- แทงโต๊ด คือ การแทงแต้มเหมือนกับข้อ 1 แต่จะแทงทีละ 2 แต้ม ลูกเต๋า 2 ใน 3 ลูก จะต้องออกแต้มที่ทายควบไว้ จึงจะถือว่า แทงถูก เช่น ถ้าแทงว่า โต๊ด 2-3 ถ้าเปิดฝาออกมาแล้ว เป็น 2-3-5 อย่างนี้ ถือว่าเราแทงถูก แต่ถ้าเป็น 2-4-5 หรือ 3-4-6 อย่างนี้ ถือว่าออกแค่แต้มเดียวที่เราทายไปจะถือว่าแทงผิด ด้วยการแทงโต๊ดมีความเสี่ยงสูงค่าตอบแทนจึงจ่ายที่ 5 ต่อ คือ แทง 1 บาท ถ้าถูก จะได้ 5 บาท
- แทงสูง-ต่ำ คือ การแทงแต้มรวมของลูกเต๋าทั้ง 3 ลูก ถ้าแต้มรวมอยู่ระหว่าง 3 แต้ม ไปจนถึง 10 แต้ม ก็ถือว่า "ต่ำ" แต่ถ้าแต้มรวมอยู่ระหว่าง 12 ไปจนถึง 18 แต้ม ก็ถือว่าเป็น "สูง" แทงแบบนี้ ก็จะได้เงิน 1 ต่อ เหมือนกับข้อ 1.
- แทง 11 ไฮโล คือ การแทงแต้มรวมของลูกเต๋าทั้ง 3 ลูก ที่เท่ากับ 11 ซึ่งจะมีศัพท์เฉพาะเรียกว่า "11ไฮโล" 11ไฮโล ออกยากมาก เพราะแต้มรวมต้องได้ 11 พอดี ห้ามขาด ห้ามเกิน ใครแทง 11 ไฮโล แล้วถูกขึ้นมา รับไปเลย 5 ต่อ คือ แทง 1 บาท ถ้าถูก จะได้ 5 บาท

20 Nameless Fanboi Posted ID:Cyss+GCPiz

>>19 แฮรี่กูถือว่าเป็น middle นะ คือไม่ใช่โลกใหม่ทั้งหมด แต่ก็สร้างโลกซ้อนโลกที่มีความเป็นแฟนตาซีสูงอยู่ ถึงกูจะอ่านปวศ.โลกแม่งแล้วรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ European-Supremacist สุดๆ ก็เถอะ โลกเวทมนต์เอเชียแม่งอย่างกาก ไม่มีส่วนร่วมอะไรเลย แถมโรงเรียนเวทมนต์เสือกมีแค่ที่ญี่ปุ่นที่เดียว และชื่อโรงเรียนก็คือ "โรงเรียนเวทมนต์" โคตรสิ้นคิดและ Cultural Approach กากชิบหาย ถ้าเป็นยุค 70 กูยังเข้าใจ แต่ยุค 2000 แล้วยังมีแบบนี้อีก เหลือเชื่อจริงๆ

21 Nameless Fanboi Posted ID:4aPk5vL7Z7

>>20 พี่ถุยครับเลิกไทยคำอังกฤษคำเถอะนะครับ คนอื่นเขาไม่ได้ฉลาดแบบพี่นะครับผม

22 Nameless Fanboi Posted ID:45SoOCC5o8

>>20 ก็พวกยุโรปแม่ง Top-from โครตๆ ตั้งแต่ยุคจักรวรรดิโรมันมาเลยนี่หว่า ถึงยุคใหม่จะแผ่วๆ ให้เอเชียกะเมกาลืมตาอ้าปากได้บ้าง แต่ยังไงก็เทียบกับมันไม่ได้อ่ะ เหตุการณ์ใหญ่ เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์แม่งเกิดวนๆ อยู่ในทวีปเดียว

23 Nameless Fanboi Posted ID:0.wVfgSGML

>>22 Top-from คือมันมาจากข้างบนเหรอ?

24 Nameless Fanboi Posted ID:Tcfe.CGn3D

>>23 จริงๆ ต้อง Torp fom ต่างหาก

25 Nameless Fanboi Posted ID:TQNL6zvUjg

>>24 ใช่ กูเขียนผิดเองโทษที ดึกแล้วมันจะเบลอๆ หน่อย

26 Nameless Fanboi Posted ID:UqTMRGPW5Y

เอาจริงๆนะ พวกยุคกลางยุโรปที่เด็กดีชอบเขียนกัน ถ้าไม่ใช่มาจากหอยหลอดแห่งแหวน ก็ต้องแรงบันดาลใจรากเหง้ามาจากดราก้อนเควสน่ะแหละ

27 Nameless Fanboi Posted ID:XzXlT6wtrf

มันก็โอลสคูลประเภทผจญภัยรับเควสเหมือนกันไม่ใช่เรอะ

28 Nameless Fanboi Posted ID:vYm.ykDE+W

อยากจะเขียนนิยายพระเอกเทพ วางโครงเรื่องไว้แบบนี้

พระเอกไปกินเลี้ยงกับเพื่อนที่ออฟฟิศ เมากลับมาที่ห้องเช่า แล้วบ้าไปแทงบอลออนไลน์ จากนั้นตอนเช้ามีคนจากบ่อนโทรมาแสดงความยินดี ปรากฏว่าที่กดมั่วแทงสกอร์ด้วยความเมา เสือกถูกแจ็คพ็อตสเต็ป 16 คู่ ได้เงินมา 350 ล้าน พระเอกเลยไปเปิดบัญชีธนาคารที่สิงคโปร์ หาทางเอาเงินกลับเข้าประเทศ ใช้ชีวิตแบบโคตรราชา โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ปปง กับสรรพากร เริ่มระแคะระคายถึงเรื่องนี้แล้ว

29 Nameless Fanboi Posted ID:AQpXmMixgb

>>28 ถามจริง 350 ล้านมึงจ่ายกันเป็นเงินสดขนใส่รถกระบะมารึไงวะ สรรพากรมันถึงแค่ระแคะระคายเนี่ย 555
อยู่ดีๆ เงินเข้าบัญชี 30ล้านสรรพากรแม่งก็โทรมาแล้ว

30 Nameless Fanboi Posted ID:5ya0q3Jyp.

https://www.dek-d.com/board/view/3878943/
โต้วาทีกันไหมครับ

31 Nameless Fanboi Posted ID:AQpXmMixgb

>>30 บอร์ดไม่มีคนกลางห้ามมวยมันจะกลายเป็นดราม่าได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าคนกลางเสือกเอียงกระเท่เล่ก็ยิ่งเละ
ถ้าไม่มีการจัดการฝั่งให้เรียบร้อยมันก็จะออกทะเล คุยเรื่อง A ญัตติ A ก็จะมีพวกค้านด้วยเหตุผลค้างๆ คูๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันโดยตรงขึ้นมา หรือออกนอกเรื่องไป ซึ่งมันจะลากกลับเข้ามาได้ยากมากๆ
กูว่าถ้าจะทำบอร์ดโต้วาที(ที่เป็นการโต้กันจริงๆ) คงยากว่ะ แต่ถ้าเป็นการถกกันด้วยเหตุผลอันนี้ปกติก็ทำกันอยู่ไม่ใช่รึ

32 Nameless Fanboi Posted ID:zFXpkfAgvN

>>22 มึงตกประวัติศาสตร์นะ หลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ยุโรปแทบไม่มีห่าไรดีเลย เหตุการณ์สำคัญส่วนใหญ่ในโลกเกิดที่เอเชียและตะวันออกกลางซะส่วนใหญ่วะ มึงเมาจากไหนว่า "เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์แม่งเกิดวนๆ อยู่ในทวีปเดียว" เรียนอยู่มัธยมไหนวะเนี่ย

เรียนประวัติศาสตร์ใหม่นะ หรืออ่านที่ไม่ใช่ Eurocentrism บ้างนะ ยุโรปมีบทบาทในระดับโลกจริงจังช่วงปลายยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการนี่เอง ก่อนหน้านั้นผู้ที่มีอิทธิพลต่อโลกเก่าจริงๆ มีแค่ 3 ที่ คือจีน อินเดีย และเปอร์เซีย-อาหรับ ยุโรปพึ่งขึ้นนำตะวันออกเมื่อปี 1820 นี่เอง

ไม่เชื่อลองไปดู GDP โลกย้อนไป 2,000ปี สิ แล้วจะรู้ว่าใครคือผู้ทรงอำนาจที่สุดในโลกของจริง ช่วงที่โรมันยิ่งใหญ่ยังมี GDP ไม่ได้ครึ่งนึงของจีนหรืออินเดียเลย สมัยก่อนไม่ได้มีแค่ยุโรปหรอกที่ส่งผลกระทบต่อโลก ลองศึกษาประวัติศาสตร์ตะวันออกกลางดู แล้วจะรู้ว่ายุโรปสมัยนั้นได้รับอิทธิพลจากโลกอิสลามแค่ไหน

http://www.visualcapitalist.com/2000-years-economic-history-one-chart/

รู้รึเปล่าวว่าจนถึงสมัยอดัม สมิธ ประเทศจีนถูกมองว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวย ความเป็นอยู่ดี และเจริญกว่ายุโรป พึ่งยุคล่าอานานิคมนั่นละ ความคิดของคนยุโรปถึงจะเริ่มเปลี่ยนแปลง และพอสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม ความคิด White-Supremacist ถึงเป็นรูปเป็นร่างจริงๆ

33 Nameless Fanboi Posted ID:AQpXmMixgb

>>28 9หลัก นี่ถ้าไม่ใช่เว็บพนันถูกกฎหมายต่างประเทศมีแววว่าตัวเอกมึงจะหายตัวได้ก่อน ปปง จะทันได้ระแคะระคายมั้ง
แล้วถ้ามันเป็นเงินที่ได้จากการพนันในต่างประเทศนี่ ปปง ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่สรรพากรเรียกแน่นอน เงินขนาดนั้นมันไม่มีวิธีเลี่ยงภาษีหรอก มีแต่หาวิธีลด สรรพากรไม่ได้โง่ แค่ขี้เกียจมาจับปลาซิวปลาสร้อยเฉยๆ แล้วพนักงานออฟฟิสเอาอะไรไปเปิดบัญชีสิงคโปร์วะ
ตัวเอกมึงแค่โชคดี ไม่ได้เป็นพ่อค้ายา ไม่ต้องซ่อนแอบขนาดนั้นก็ได้

34 Nameless Fanboi Posted ID:I0H.3Vv3zl

>>32 +1 กะจะพิมพ์ประมาณ​นี้เหมือนกันแต่ขี้เกียจ

35 Nameless Fanboi Posted ID:G26yMf/3Wd

>>34 กูไม่เชื่อมึง +1

36 Nameless Fanboi Posted ID:nByOEASM5b

>>35 กูไม่รู้จักมึง +1

37 Nameless Fanboi Posted ID:TQNL6zvUjg

>>36 กูก็ไม่รู้จักมึง +1

38 Nameless Fanboi Posted ID:UqTMRGPW5Y

>>27 แต่โอลสคูลไม่มีกิลด์ผจญภัยหลุดจากเกมซะหน่อย คนโบราณรับเควสแบบ common sense แทน อย่าลืมพวกนี้ไม่มีเกมคอมพิวเตอร์ให้เล่นเหมือนพระเอกหลุดจากยุคปัจจุบันหรอก

39 Nameless Fanboi Posted ID:TQNL6zvUjg

อันนี้กูก็สงสัยมานานละว่าทำไมจักรวาลนิยายเกมออนไลน์ถึงมีแต่แบบ VR AR

40 Nameless Fanboi Posted ID:1m5a9lm8yH

>>39 ขาด AV

41 Nameless Fanboi Posted ID:4bSw0NqYqv

>>40 อันนี้แฟนตาซีอยู่แล้ว

42 Nameless Fanboi Posted ID:UqTMRGPW5Y

>>39 AR ไม่ยักกะเจอ แต่ VR เยอะชิบหาย เอาแค่นิยายเด็กดีมีเรื่องไหนเป็น AR จริงๆล่ะ

43 Nameless Fanboi Posted ID:0zyUP9zlbd

>>39 มันเขียนให้เบียวง่ายกว่า มึงลองนึกภาพคนเล่นเกมออนไลน์ปัจจุบันสิ ในคอมกับมือถือ เทพแค่ไหนก็สู้เทพซ่าเข้าไปป่วนเซิฟไม่ได้หรอก แถมมันต้องเขียนให้สมดุลย์ทั้งโลกจริงและโลกเกมด้วย เพราะคนไม่ได้เข้าไปในเกม มันเขียนยากกว่าเยอะ

แต่ถ้าอยากอ่านแนวออนไลน์แบบคอมทั่วไป กูแนะนำ Boss จินตนาการพิศดาร กับ TKA สนุกจริงๆ แต่เรื่องแรกคงหายากหน่อย หลายปีละ เรื่องหลังยังออกไม่จบ

44 Nameless Fanboi Posted ID:8usV/vLEAc

>>43 แม่งเลยพัฒนาจากเกมออนไลน์แบบ​ vr ไปเป็นต่างโลกแบบมีระบบเลเวลไง​ คือไม่ต้องพูดถึงโลกนอกเกมเลย เหมือนเล้นเกมอย่างเดียว​ เฉียบไหมล่ะ

45 Nameless Fanboi Posted ID:I64VKGfAUE

>>43 เล่นเกมคอมธรรมดาต้องไลท์โนเวล Netoge no Yome wa Onna no Ko Janai to Omotta? หรือคนไทยเรียกกันว่า "ถามหน่อยครับ คิดว่าเจ้าสาวผมในเกมออนไลน์เป็นผู้หญิงจริงรึเปล่า?" พระเอกไม่เบียว แต่นางเอกเบียวสุดกู๋ ไม่รู้จะสงสารหรืออิจฉาพระเอกดี แถมเพื่อนร่วมกิลด์ที่ใช้ตัวละครชายเล่น จริงๆแล้วทุกคนเป็นผู้หญิง อยู่โรงเรียนเดียวกันด้วย ถ้ามึงขี้เกียจอ่านไลท์โนเวล ดูอนิเมะหรือมังงะก็ได้ เหมาะกับคนเบื่อพระเอกเบียวซูเห่อหมอยสไตล์ *shit*rito

>>44 ยิ่งเบียวยิ่งเขียนจบยากขึ้น ญี่ปุ่นเขียนต่างโลกเยอะชิบหาย แต่ประสบความสำเร็จจริงๆไม่ถึงครึ่งต่อครึ่ง แค่ของญี่ปุ่นคุณภาพดีกว่าไทย แล้วต่างโลกของไทยไปรอดรึเปล่า นอกจากดองกับตัดจบ

46 Nameless Fanboi Posted ID:5d41aMD2.s

โม่งๆ self-insert คืออะไร

47 Nameless Fanboi Posted ID:STU.3k7p3.

>>46 การเอาตัวเองเข้าไปแทนตัวละคร อย่างนักเขียนอยากเก่งเทพหล่อรวยควยใหญ่ ก็เขียนให้พระเอกเป็นแบบนั้นไป

48 Nameless Fanboi Posted ID:Qc.NuxAHSr

>>46 self-insert อาจจะดูเหี้ย แต่จริงๆแล้วมันไม่แย่อย่างที่คิด ระวังแค่อย่าให้มันเลยตามเลย

49 Nameless Fanboi Posted ID:Xioi78vXOv

วันนี้กูเสียนักอ่านไปคนนึงด้วยข้อหา พระเอกกาก...เสียไต คนอ่านยิ่งน้อยๆ อยู่

50 Nameless Fanboi Posted ID:cOag2jOdOe

โม่งๆ นิยายไซไฟคืออะไร

https://www.facebook.com/solisbooks/videos/740886619593666/

51 Nameless Fanboi Posted ID:STU.3k7p3.

>>50 ใส่ไฟ
หมายถึง
เติมเชื้อเพลิง เช่น คอยเอาฟืนใส่ไฟไว้นะ อย่าให้ไฟดับ; จุดไฟเผาศพ; โดยปริยายหมายถึงให้ร้ายผู้อื่นทำให้ได้รับความเสียหาย เช่น เขาใส่ไฟผม อย่าไปเชื่อ

52 Nameless Fanboi Posted ID:WHZpac0OoE

>>51 ไวไฟ ต้องถังแก๊ส

53 Nameless Fanboi Posted ID:M7.o4kMAMg

>>50

นิยายวิทยาศาสตร์ (Science Fiction / SF / Sci-Fi) กำเนิดขึ้นเมื่อไหร่ และด้วยเหตุใด? หากพิจารณาคำถามนี้ด้วยสามัญสำนึกปัจจุบัน ว่ามนุษย์เขียนบันทึกหรือต่อเติมเรื่องเล่า เพื่อสะท้อนหรือระบายสิ่งที่อยู่ใต้จิตสำนึกของตนออกมา ในขณะที่มีภาษาพูด การเขียน อักขระและท่วงทำนอง เป็นเครื่องมือสำหรับถ่ายทอด คำถามนี้ย่อมได้คำตอบครอบคลุมทันใดว่า เช่นเดียวกับองคาพยพอื่นที่ร่วมอารยธรรม นั่นคือ นิยายวิทยาศาสตร์อุบัติขึ้นพร้อมๆ กับที่มนุษยชาติถือกำเนิด

แต่หากชื่อเรียกเป็นเพียงนิยาม และนิยามมีเพื่อความสบายใจ คำว่า science fiction ในภาษาอังกฤษถูกระบุเป็นครั้งแรกเมื่อปีคศ. 1926 ในบทบรรณาธิการหน้าเดียวของ Amazing Stories เดือนมิถุนายน ซึ่ง Hugo Gernsback ผู้บรรณาธิการนิตยสารเล่มนี้ เขียนว่า science fiction ที่ดีคือ "ส่วนผสมของวรรณกรรมร้อยละ 75 และที่เหลือ เผื่อให้วิทยาศาสตร์"

จึงเป็นเหตุให้เกิดโต้วาทีระหว่างสองสำนัก ฝ่ายที่อ้างอิงแง่ความเชื่อมโยงของแนวทางในการเผยแพร่และตีพิมพ์ กับฝ่ายมุ่งเน้นการสืบค้นมรดกทางความคิด ฝ่ายแรกปักใจว่านิยายวิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นในยุคตื่นตัวทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง (คือระหว่างศตวรรษที่ 1700 ถึง 1900) ในขณะที่ฝ่ายหลัง ยึดเอาวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในอารยธรรม มหากาพย์กิลกาเมช (2100 ปีก่อน คศ.) เป็นหนึ่งในต้นธาร

การศึกษาจุดกำเนิดและพัฒนาการ น่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับผู้ดั้นด้นค้นหาคำตอบเสอมา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางวาระ ความคลุมเครือไม่ต่างจากมนต์เสน่ห์แห่งม่านหมอกอันลี้ลับและเย้ายวน ยุยงให้เรามานะฟันฝ่าไป

และมุมมองที่แตกต่าง ก็เพื่อสมดุลซึ่งความกระหายรู้

----------
ภาพ อินโฟกราฟ The History of Science Fiction
http://www.wardshelley.com/paintings/pages/fullpics/HistSciFi2.jpg

54 Nameless Fanboi Posted ID:WHZpac0OoE

>>53 กูตอบง่ายๆก็ได้
Fantasy = มโนสายศิลป์
Science Fiction = มโนสายวิทย์

55 Nameless Fanboi Posted ID:+PTK/ESEd7

>>53 ชอบ

56 Nameless Fanboi Posted ID:C8v/1dEkj.

>>54 ครับพี่ เก่งมากครับ สุดยอดเลยครับผม

57 Nameless Fanboi Posted ID:4Xw8g9/tFB

ถ้าจะแต่งนิยายแนวโรงเรียนเวทฯ นี่ต้องทำยังไงให้มีเอกลักษณ์ + คนอ่านไม่เบื่อไปก่อนวะ

58 Nameless Fanboi Posted ID:pfOleayXs8

>>57 จะพูดเฉพาะไอ้ที่มันซ้ำๆก็ละกันนะ​ อยากฉีกตรงไหนก็ฉีกไป
- มีหอ/บ้าน​ 4 หลัง
- ต้องมีบ้าน​ 2 หลังที่แบบไม่ถูกกันมากๆ​ ในขณะที่อีกสองหลังที่เหลือจืดจาง
- ตัวเอกต้องมีพลังบางอย่างที่พิเศษกว่าคนทั่วไป
- กลุ่มเพื่อนของตัวเอกจะต้องมีตัวยิงมุก​ ตลกแดก
- พระเอกถ้าไม่เป็นเด็กกำพร้าจนๆ​ ก็ต้องเป็นห่าอะไรใหญ่โตรวยๆ​ ไม่เคยเห็นพวกที่พ่อเป็นพนักงานบัญชี​ แม่เป็นแม่บ้านมาเรียนบ้างเลย

ล้างตูดก่อน​ คิดออกจะพิมพ์ต่อ

59 Nameless Fanboi Posted ID:JtPbKHbSK9

>>57 ดู Senran Kagura แต่เปลี่ยนนินจานมเป็นนักเวทนมแทน
โรงเรียนเวทหญิงล้วน ไม่มีหอพัก เลิกเรียนกลับบ้าน ใครบ้านรวยมีรถมารับส่ง
ใส่กฎว่านมยิ่งใหญ่ เวทยิ่งดี การสู้ไม่มีใครตาย แต่ใครทำให้อีกฝ่ายเสื้อขาดถือว่าชนะ

60 Nameless Fanboi Posted ID:tUY+axh9dq

>>57
- มีหอ/บ้าน​ 4 หลัง ทำให้เหลือหลังเดียว มีตีกิลทุกสัปดาห์ แพ้นอนวัด แบบบากะเทส
- ตัวเอกต้องมีพลังบางอย่างที่พิเศษกว่าคนทั่วไป พลังโคตรไร้ประโยชน์ แต่ดันใช้ได้ผลตอนไคเม็ก แบบเรื่องอะไรกุจำไม่ได้ละ
- กลุ่มเพื่อนของตัวเอกจะต้องมีตัวยิงมุก​ ตลกแดก เพื่อนพระเอกชื่อ เคนนี่ ตายแบบไม่มีใครรู้ตัว แล้วคนแรกที่เห็นก็ตะโกนว่า Who killed kenny?
- พระเอกเป็นคนจนแต่ทุกคนคิดว่า รวยเพราะหน้าตาดีมีออร่าเจ้าชาย

58 เมิงอย่าโกรธกุ

61 Nameless Fanboi Posted ID:psSXmU7G+B

>>60 - ที่ 2 นี่ใช่ไอ้พลังลมพัดกระโปรงเปิดรึเปล่าวะ ไม่แน่ใจแต่จำได้ว่าตอนสุดท้ายมันใช้พลังนี่แล้ววิน จำวิธีใช้กับชื่อเรื่องไม่ได้ด้วย ใครจำได้มั่ง

62 Nameless Fanboi Posted ID:xOK11qvW61

>>58 ร่างโคลน Harry potter เหรอวะ?

63 Nameless Fanboi Posted ID:pRYh8Ae7P0

>>57 ลองดูซีรีย์เรื่อง Magician ซี่ซั่นแรกๆ เป็นแนวทางก็ได้ ขนาดฉีกจากความเป็น Harry ตามที่>>58 บอกออกไปขนาดนั้นแล้ว กูยังรู้สึกว่าแม่งคลิเช่ชอบกล
สรุปคือโรงเรียนเวทแม่งเกล่อซะจนคนเขียนก็เขียนฉีกกันมาร้อยแปดตลบ คนอ่านก็อ่านซะจนเปื่อยหมดกระแสไปเป็นสิบปีแล้ว ถ้าจะหยิบมาเขียนจริงๆ จับเอาไปเป็นประเด็นรองแบบเจือจางไปเลย แล้วไปมุ่งเน้นประเด็นสำคัญอื่นเหอะ โรงเรียนเวทแม่งเข็นยากว่ะ

64 Nameless Fanboi Posted ID:AUDHa+JUsc

>>57
-ต้องมีชนชั้นภายในโรงเรียน อย่างน้อยๆก็สองชั้นขึ้นไป
-พระเอกต้องไปอยู่วรรณะต่ำสุดด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ส่วนระดับพลังก็น้องๆพระเจ้าแถมหัวดี เป็นบราค่อนด้วย
-เพื่อนพระเอกที่อยู่วรรณะเดียวกันก็เทพไม่แพ้พระเอก แต่มีปมบางอย่าง
-ต้องมีเรื่องให้พระเอกโชว์เทพ เช่นโดนคนวรรณะสูงกว่าหาเรื่อง หรือไม่ก็ไปแข่งกับโรงเรียนอื่นๆ
ไอเดียนี้สามารถใช้ได้ถ้า "ค×โ×ค×ว่×" ไม่ฟ้อง

65 Nameless Fanboi Posted ID:xOK11qvW61

Ky ขอถามเป็นไอเดียหน่อย ในเซ็ตโลกแฟนตาซี ที่จอมมารชนะแล้วมนุษย์สูญพันธ์โดยสมบูรณ์จะเกิดผลอะไรตามมาบ้างวะ ถ้าสมมติให้กองทัพจอมมารเป็นอมมนุษย์หลายๆ เผ่ามารวมกัน ไม่ใช่มารหรือปีศาจเพียวๆ

66 Nameless Fanboi Posted ID:cK0T/gZNgw

>>65
1. ปีศาจกินอะไรกัน? ถ้าแดกสัตว์ ปีศาจต้องหัดเลี้ยงสัตว์ด้วย ไม่ก็จับแดกอย่างพอเพียง ไม่ก็ต้องมีช่วงจำศีลกันให้สัตว์เกิดใหม่ทัน
2. ต้องมีสงครามแบ่งแย่งดินแดนกันแน่นอน ด้วย mind set แบบปีศาจ
3. เดี๋ยวนึกออกจะมาต่อ ขอประชุมก่อน

67 Nameless Fanboi Posted ID:FTuqDvD5M0

>>65 ก่อนอื่นต้องถามว่าปิศาจของฝ่ายจอมมารมีอารยธรรมรึเปล่า Civilization รึเปล่า หรือเป็นพวก Barbaric ที่ฆ่าเพราะกระหายอย่างเดียว

กูยกตัวอย่าง 3 เรื่องนะ
เรื่องแรกคือ "จอมมารเศรษฐศาสตร์กับผู้กล้าบ้าพลัง" ของ โทโนะ มามาเระ (ผู้เขียน Log Horizon)
เรื่องนี้เซ็ตติ้งเอาไว้ว่าเผ่าปิศาจนั้นมีอารยธรรม มีการปกครองแบบชนเผ่า มีหัวหน้าเผ่า มีการแบ่งแยกดินแดนและทำสงครามกับมนุษย์เพื่อแย่งชิงดินแดนกับ เหมือนกับแนวสงครามทั่วไป กรณีถ้าเป็นปิศาจแบบนี้ มึงก็ต้องกำหนดระบบการปกครองขึ้นมา และจินตนาการต่อว่าหากเผ่าปิศาจยึดครองโลกมันจะทำอะไรกับมนุษย์ จะจับเป็นทาส? ใช้แรงงาน? ซึ่งอันนี้มึงต้องใช้ความรู้ด้านการปกครองซักหน่อย แต่ก็คงไม่ยากเกินที่จะศึกษา

อย่างในเรื่องมีเมืองปิศาจที่โดนมนุษย์ยึดไปปกครอง ก็กลายเป็นว่าปิศาจในเมืองกลายเป็นพลเมืองชั้น 2 โดนปกครองอย่างกดขี่ โดนใช้งานเยี่ยงทาส + บำเรอกาม ถึงจะมีคนไม่เห็นด้วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งจอมมารได้ส่งพระเอกที่เป็นผู้กล้า ปลอมตัวเป็นอัศวินดำมาช่วยปลดปล่อยจากการปกครองนั้นและกลายเป็นเมืองที่มนุษย์กับเผ่าปิศาจอาศัยอยู่ด้วยกันได้ในตอนหลัง

เรื่องที่ 2 ที่จะยกตัวอย่างคือ "Warhammer (Fantasy)"
ในเรื่องนี้มีพวกปิศาจที่เรียกว่า Daemon เป็นปิศาจจากโลกคู่ขนานที่ถูกส่งมาโดยเทพเจ้าชั่วร้าย (Chaos God) โดยมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือการฆ่าเพื่อสนองความกระหายและบูชาเหยื่อให้แก่เทพโลหิตของพวกมัน สิ่งที่อยู่ในหัวของพวกมันคือการฆ่าล้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่พบเจอ ซึ่งถ้ามึงกำหนดให้ปิศาจเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะโลกที่มึงสร้างคงตกอยู่ในสภาวะวิกฤตแล้วล่ะ ใน End Time นี่ขนาดรวมทุกเผ่าพันธุ์ที่เคยเป็นศัตรูมาก่อนร่วมกันสู้กับปิศาจยังแพ้ยับจนโลกแตก การเขียนแนวนี้ก็ไม่ต้อง Mindset เยอะ แค่กำหนดว่ามันมาฆ่าล้างก็พอแล้ว

เรื่องที่ 3 อันนี้ทุกคนน่าจะเคยดูก็คือ "The Matrix"
ถามว่ามันปิศาจตรงไหน? ก็ไม่เชิงปิศาจหรอก แต่ที่ยกตัวอย่างมานั้นก็เป็นเพราะ "หุ่นยนต์" มันทำสงครามกับมนุษย์นี่ล่ะ ในเรื่องนี้ถ้ารู้จัก Lore ดีๆ จะพบว่าก่อนเริ่มเรื่องเนี่ย หุ่นยนต์มันรบกับมนุษย์จนชนะไปแล้ว มนุษย์ดั้งเดิมนั้นถูกกวาดล้างเกลี้ยง เหลือเพียงแค่กลุ่มน้อยที่พวกหุ่นยนต์ปล่อยเอาไว้เพื่อสร้างไซออนเท่านั้น ในกลุ่มนี้พวกหุ่นยนต์มีเป้าหมายชัดเจนคือต้องการมนุษย์มาใช้เป็นพลังงาน + ศึกษาเพื่อพัฒนาอัลกอริทึม พวกมันเลยจงใจปล่อยให้มนุษย์อยู่ใน Matrix ผนวกกับปล่อยบางส่วนออกไปให้กลายเป็นศัตรูหาอะไรทำฆ่าเวลา ทั้งที่ความจริงแล้วมนุษย์ก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือพวกมันตั้งแต่แรก

68 Nameless Fanboi Posted ID:rSixByQUA5

>>67 มันอาจจะฟังดู Bias แต่กูคิดว่าจะกำหนดแบบนี้
มาร (แวมไพร์ เทวดาตกสวรรค์ etc.) คือ Civilization ไปแล้ว
พวกผิวเขียวอย่างออร์ค/ก็อบลิน หรือพวกกึ่งมนุษย์ต่างๆ อยู่กันแบบชนเผ่า แยกจากกันแม้เป็น species เดียวกัน
ปีศาจ + ยักษ์ระดับโทรลขึ้นไป เป็น อยู่แบบตัวใครตัวมัน
ถามว่าพวกนี้มารวมกันเป็นกองทัพได้ไง
1.เพราะจอมมาร (จากเผ่ามาร) เก่งพอจะควบคุม (บังคับ) ให้พวกนี้อยู่ในระเบียบได้
2.เพราะมีศัตรูร่วมกันคือมนุษย์
และเรื่องที่ทำไมถึงทำสงครามกับมนุษย์ กูคิดให้มันมีเป้าหมายต่างกันคือ
1.ต้องการเป็นสายพันธุ์ Civilization เพียงหนึ่งเดียวบนโลก (ของเผ่ามาร)
2.อาหาร,ขยายดินแดน (พวกผิวเขียว)
3.ล้างแค้นที่เคยโดนกดขี่ (กึ่งมนุษย์ต่างๆ)
4.แค่อยากฆ่าเฉยๆ (ปีศาจ)
ส่วนสาเหตุที่เผ่ามนุษย์จนหายจากโลกโดยสมบูรณ์คือ
1.ขาดแคลนอาหาร เนื่องจากเสียดินแดนทำกินเดิมไปจนหมด ผู้ชายและคนที่เป็นงานตายในการรบแทบทั้งหมด
2.โดนผิวเขียวล่าเป็นอาหารและถูกฆ่าเล่นๆ โดยปีศาจและกึ่งมนุษย์เป็นจำนวนมาก
3.เพราะขาดแคลนอาหารรวมทั้งโดนไล่ฆ่าอยู่เรื่อยๆ อัตราการตายเลยสูงกว่าอัตราการเกิดอย่างมาก และเด็กที่เกิดมาก็มีโอกาสรอดจนเป็นผู้ใหญ่ต่ำเพราะโดนบีบให้ต้องเดินทางหนีการตามล่าของพวกข้อ 2 ไปเรื่อยๆ
ด้วยเหตุผลด้านบนเลยทำให้มนุษย์สูญพันธุ์โดยสมบูรณ์ในเวลาต่อมา

69 Nameless Fanboi Posted ID:L4gAj.lQRf

>>68 มึงทำกูนึกถึง Warhammer ในกรณี if ที่คนแคระไม่ยื่นมือมาช่วยมนุษย์ชะมัด

หมายความว่ามึงต้องการเขียนแนวที่มนุษย์ใกล้สูญพันธุ์ + โดนตามล่าจากทุกเผ่าพันธุ์สินะ? ถ้ากูเข้าใจถูกก็แนะนำลองไปอ่านเรื่อง No game No life เล่ม 6 เอาแค่เล่ม 6 อย่างเดียวพอ เพราะเหตุการณ์มันใกล้เคียงกันมนุษย์ไม่มีแรงสู้แล้วเลยต้องอาศัยอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ประมาณว่าเผยตัวไม่ได้เลย

ถ้าหาอนิเมมาดูจะเห็นภาพชัด เพราะทำมาค่อนข้างดี แต่มันเป็นภาค Movie คงหาดูยากหน่อยนะ

70 Nameless Fanboi Posted ID:rSixByQUA5

>>69 ที่กูจะเขียนคือหลังมนุษย์สูญพันธุ์ไปแล้วอะนะ

71 Nameless Fanboi Posted ID:OuGgyX8HkU

>>68 กูสงสัยนิดหน่อย ที่วางให้มนุษย์สูญพันธุ์คือฉากจบของเรื่องเหรอ หรืออยู่ช่วงไหนวะ คือกูไม่เข้าใจว่าถ้ามึงสร้างสงครามมาโดยกำหนดว่าจุดจบของสงครามคือเผ่าพันธุ์นึงล่มสลายไปเลย แล้วเนื้อเรื่องจะไปต่อยังไงนะ หรือก็คือจบแล้ว ที่คิดอยู่คือจะเอาไว้เล่า outtro ของเรื่องเฉยๆ?

ที่มึงวางมา กูติดตั้งแต่มารคือพวกตกสวรรค์ แวมไพร์ etc มารวมกันแล้วว่ะ มึงอาจจะเรียกรวมว่ามารได้ แต่กลุ่มนี้มันจะไม่ใช่กลุ่ม civilized เดียวบนโลกสิ สุดท้ายมันก็จะมีสงครามฆ่าล้างกันต่อไปเรื่อยๆ อีก ยกเว้นจะบอกว่าเผ่าทั้งหมดนี้มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน

กลับมาที่มนุษย์สูญพันธุ์ เป็นกูจะคิดก่อนว่ามนุษย์มีประโยชน์อะไรบ้าง เป็นแหล่งอาหารเดียวของพวกผิวเขียวมั้ย หรือคอยผลิตสินค้าอะไรให้เผาาพันธุ์อื่นรึเปล่า แล้วมนุษย์มีพันธมิตรอื่นๆ มั้ย หรือพันธมิตรก็ตายทั้งหมดด้วย แล้วพวกมารนี่พอลเางเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วอยากทำอะไรต่อ จะครองโลก ตั้งตัวเองเป็นผู้นำแล้วควบคุมทุกเผ่ามั้ย แล้วจะเป็นผู้นำแบบไหน ช่วยพัฒนาเผ่าต่างๆ รึเปล่า (ซึ่งก็น่าจะไม่ ถ้าอยากเป็นอารยะเดียวที่เหลืออยู่บนโลก) หรือจะปกครองด้วยอำนาจกับความหวาดกลัวอย่างเดียว หรือจบสงครามก็แยกย้ายกลับไปมีชีวิตของตัวเองกันหมด

ภาพในหัวกูตอนนี้คือดิสโทเปียอย่างเดียวเลย มีเผ่าเฉพาะเผ่ามารที่เข้าถึงน้ำ อาหารได้ ใช้ชีวิตหรูๆ แบบไม่สนใจเผ่าอื่น ส่วนพวกที่เหลือก็ต่อสู้แย่งชิงกันเข้าถึงแหล่งอาหารที่เหลือไม่มาก ไม่เหลือคำว่าเผ่าพันธุ์ มีแต่กูอยู่ มึงตาย อะไรประมาณนี้

72 Nameless Fanboi Posted ID:GH+zS0bFSp

>>71 post-apocalypse ไม่ใช่​ dystopia

73 Nameless Fanboi Posted ID:0+gE36BAPs

>>68 กูพอเข้าใจสิ่งทีมึงจะสื่อ แต่ถ้าเอาตามตรงตามเหตุผลที่มึงบอกมาถึงสาเหตุที่ทำสงครามกัน หลังสงครามจบมนุษย์สูญพันธุ์ สิ่งที่เกิดเป็นอย่างแรกคือแม่งจะตีกันเองต่อแน่นอน เพราะเหตุผลที่มารวมกันสู้คือโหลงเหลงมากซะจนกูเองยังไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าแม่งจะไปรอด เผลอๆ จะตีกันเองตั้งแต่สงครามยังไม่จบด้วยซ้ำ
1.ต้องการเป็นสายพันธุ์ Civilization เพียงหนึ่งเดียวบนโลก (ของเผ่ามาร) - ยังไงเดี๋ยวก็จะก่อสงครามอีก แถมไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากการทำสงครามเลยด้วย สูตรสำเร็จจอมมารสาย Annihilation เป๊ะๆ หลังจบสงครามกับมนุษย์มีแววจะโดนรุมกินโต๊ะเป็นเผ่าแรก ยิ่งถ้าในช่วงสงครามเป็นพวกชนชั้นปกครองหรือยิ่งเก่งเท่าไหร่ก็จะยิ่งโดนเพ่งเล็งเป็นพวกแรก
2.อาหาร,ขยายดินแดน (พวกผิวเขียว) - กูไม่ค่อยแน่ใจว่ามึงหมายความว่ายังไง เพราะกูไม่รู้ว่ามันจะต้องการอาหารกันซักเท่าไหร่ จะขยายดินแดนกันขนาดไหนถึงจะพอ สงครามจบแล้วพวกแม่งพอกันรึยังหรือยังจะเอาอีก ต้องการเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบอย่างงี้อ่ะเรอะ แบบนี้มันก็ออกจะเป็นภาพซ้อนกับพวกข้อ 1 อยู่นะ แค่ออกไปแนวๆ ยึดครองโลกมากกว่าทำลายล้าง
3.ล้างแค้นที่เคยโดนกดขี่ (กึ่งมนุษย์ต่างๆ) - เหตุผลนี้มันพอจะให้เชื่อได้นะว่าจะช่วยรบ ช่วยทำสงคราม แต่ถ้าระหว่างสงครามโดยกดขี่ เป็นขี้ข้า เป็นทหารเลวอีก กูว่าพวกนี้น่าจะแยกตัวออกมาก่อนสงครามจบ หรือถ้าช่วยจนจบมันก็จะเป็นแบบจบแล้วก็จบกันอ่ะ ไม่น่าจะไปยุ่งกับใครเขาอีก แต่จากเหตุผลเผ่าอื่นกูว่าต่อให้ไม่ยุ่งกับใครยังไงก็ต้องจะโดนรุกรานอยู่ดี แล้วก่อนหน้านี้มีแต่มนุษย์หรอวะที่กดขี่ เผ่าอื่นชื่อเสียเยอะขนาดนี้แต่แค้นแค่มนุษย์? ก็มีเหตุผลดี....
4.แค่อยากฆ่าเฉยๆ (ปีศาจ) - คงไม่ต้องอธิบายให้มากแล้วมั้ง เหตุผลแบบนี้ ปลายทางเดียวกับข้อ 1,2 เลย
ที่มึงเล่ามานี่ทำสงครามกันด้วยความอยากล้วนๆ แล้วแบบนี้จุดจบมัน0tอยู่ตรงไหน่อ่ะ ก็ตีกันไปเรื่อยๆ จนเหลือเผ่าเดียวงี้เรอะ

74 Nameless Fanboi Posted ID:gRh.Y.V85c

>>72 dystopia นั่นละ เพราะมันหมายถึงอนาคตที่ไม่ดี ตรงข้ามกับ utopia แต่ก็ขึ้นกับโลกหลังจากนั้นด้วย ถ้าหลัง post-apocalypse โลกสงบสุข สังคมพัฒนา มันก็คือ utopia ได้เหมือนกัน แต่ปรกติพวก post-apocalypse จะเป็น dystopia เสียมากกว่า

75 Nameless Fanboi Posted ID:E/PDWDx9JU

>>72 ตามที่กูเข้าใจ dystopia คือ man vs man ต่อสู้กับชนชั้น ความเหลื่อมล้ำ ส่วน post-apocalypse คือ man vs nature อะ แต่ดิสโทเปียก็น่าจะเป็นสเตจนึงของ post-apocalypse ได้เหมือนกัน

ที่กูใช้คำว่าดิสโทเปียคือเป็นภาพแต่ละเผ่าต้องต่อสู้แย่งชิงกัน ถูกกดขี่โดยเผ่ามารอีกทีนึง แล้วสุดท้ายอาจจะมีซักกลุ่มนึงที่ลุกขึ้นมาต่อต้านอะนะ

76 Nameless Fanboi Posted ID:gRh.Y.V85c

>>75 เปล่า dystopia ไม่ต้องสู้กับอะไรเลยก็ได้ เขียนให้ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนก็ได้

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Dystopia

ในนิยายเรื่องนึงเขียนให้สังคมนึงสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง แต่มีกฎที่ต้องแลกเปลี่ยน คือต้องให้คนบริสุทธิ์ 1 คนคอยรับกรรมทั้งหมดของเมือง และทึกคนในเมืองต้องรับรู้เรื่องนี้ แต่ห้ามพูด เพื่อให้ทุกคนยกเว้นคนที่รับกรรมมีความสุข สังคมในโลกนี้จะเป็น dystopia ก็ได้ถ้าอยากจะมอง

77 Nameless Fanboi Posted ID:0+gE36BAPs

>>75 มึงเปรียบแบบนั้นได้ไงวะ Distopia กับ Post-apocalypse มันไม่ใช่คำจำแนกที่เกี่ยวข้องกันเลย มึงเปรียบแบบไม่รู้ความหมายของตำศัพท์ด้วยซ้ำ
Distopia คืออนาคตอันไม่พึงประสงค์ อนาคตที่ไม่ดี ความหมายมันกว้างมาก แต่ไม่เกี่ยวห่าอะไรกับ MAN vs MAN แค่มึงรู้สึกว่าอนาคตแบบนี้แม่งไม่โอเคนี่แม่งก็เป็น Distopia แล้ว สมมุตในอนาคตโลกร้อนมากเกิดภัยพิบัติมันทุกวันแบบนี้ก็ Distopia เหมือนกัน ไม่ต้องสู้กับชนชั้นสู้กับคนห่าอะไรทั้งนั้น
ส่วน Post-Apocalypse คือโลกภายหลังภัยพิบัติครั้งใหญ่ นิวเคลียร์ อุกกาบาติชนโลก บลาๆๆ แล้วแต่จะมึงคิดได้

78 Nameless Fanboi Posted ID:E/PDWDx9JU

>>77 มันเป็น theory นึงที่กูเคยอ่านเจอเมื่อซักพักมาแล้ว เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสอง Genre นี้ เพราะลักษณะโดยพื้นฐานมันใกล้เคียงกัน แต่แค่ดิสโทเปียมันกว้างกว่า ถ้ามึงบอกว่าโพสต์คือหลังจากนิวเคลียร์ อุกกาบาต บลาๆ มันก็คือความพยายามที่คนต้องดิ้นรนในสภาพแวดล้อมที่จำกัดไง แล้วมันไม่ man vs nature ยังไงอะ

79 Nameless Fanboi Posted ID:A2c7PlF8Tk

>>78 Apocalypse เกิดได้จากหลายอย่าง เอเลี่ยน-ปีศาจถล่มโลกก็เป็น Apocalypse ได้ สงครามนิวเคลียร์คนฆ่ากันเองก็เป็น Apocalypse ได้ Apocalypse=/Nature

80 Nameless Fanboi Posted ID:/l0nHZK7fZ

โม่งพูดเรื่องนี้ไปแล้วไม่ใช่หรือวะ

81 Nameless Fanboi Posted ID:0esTaySBUm

Dystopia ไม่ต้องรอเกิด Apocalypse ก็ได้ เช่น
1984, การปฏืวัติทางวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตุง, ยุคแห่งความน่าสะพรึงกลังหลังปฏิวัติฝรั่งเศส, โซเวียตสมัยโจเซฟ สตาลินปกครอง, ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอัฟกันสมัยตาลีบันปกครอง, Death Note แม้อาชญากรหดหายเกือบหมดโลก แต่ชาวโลกกลัวคิระที่เกิดจากบักแสงสร้างโลกอุดมคติ ใครขวาง มึงตาย, Bioshock สร้างเมืองยูโทเปียใต้มหาสมุทร แต่ความชิบหายบังเกิดจากยาอดัมและความละโมบเสียเอง, We Happy Few อังกฤษรอดจากการยึดครอง แต่วีรกรรมของนาซีเยอรมันทำให้อังกฤษตกอยู่ในความสิ้นหวัง จึงผลิตยา Joy เพื่อลืมอดีตอันโหดร้าย ไปๆมาๆ สังคมกำหนดให้พวกที่ไม่กินยา Joy เป็นสวะทางสังคม ไม่กินยาก็ต้องถูกกำจัด จะได้ไม่หนักแผ่นดิน แถมคนกินยา Joy ก็เหี้ยเกินคำบรรยาย

82 Nameless Fanboi Posted ID:1tR5Fj09vo

>>76 ขอขัดจังหวะหน่อย นิยายที่มึงยกตัวอย่างชื่อว่าอะไรหรอ

83 Nameless Fanboi Posted ID:pnV7PGsY9g

Dystopia มันเกิดยุคไหนก็ได้โว้ยย ไม่จำเป็นต้องเป็นยุคอนาคต ไปเอาความมั่นใจผิดๆแบบนั้นมาจากไหนเนี่ย
เอางี้ รู้จักยูโทเปีย (Utopia)มั้ย แดนในฝัน สถานที่ที่ทุกอย่างดี การปกครองดี ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ปราศจากสงคราม ทุกคนอยู่ในกรอบกฏหมาย ไม่มีการฆ่าฟันแย่งชิงหรือลักขโมย

ส่วนดิสโทเปียคือขั้วตรงข้าม มีการแบ่งชนชั้นชัดเจน การปกครองเลวร้าย ความเหลื่อมล้ำสูง อาจมีสงคราม มีการฆ่าฟัน มีการทำผิดกฎหมาย บลาๆ

ดิสโทเปียจะชอบเล่นกับจุดนี้ เน้นที่ความเหลื่อมล้ำและการปกครอง บางทีมันก็จะพ่วงมาเป็นยุคPost-Apocalypses ด้วย เพราะโลกล่มสลาย เลยเกิดการปกครองแบบนี้ขึ้น เป็นต้น แต่จริงๆแล้วจะมีอะโพคาลิปหรือไม่มีก็ได้ โลกนั้นอาจปกครองแบบนั้นอยู่แล้วก็ได้

ส่วนPost apocalypse คือยุคหลังการล่มสลาย เอาจริงๆจะอนาคตไม่อนาคตก็ได้ มึงอาจตั้งโจทย์ว่า What if ในยุค1826เกิดมีซอมบี้ล้างโลกขึ้นมา โลกตอนนี้จะเป็นยังไง จะรับมือซอมบี้ยังไง ก็ถือว่ายุคนี้เป็น post-apocalypse แล้ว หรือเกิดเด็กอ้วนไม่ได้ลงแค่ญี่ปุ่น แต่ลงทุกประเทศทั่วโลก โรงงานปรมาณูระเบิด หรือออกซิเจนหมดโลก บลาๆๆๆ คือมันยุคไหนก็ได้ แต่คือหลังการล่มสลาย ส่วนจะพ่วงดิสโทเปียมั้ยก็แล้วแต่จินตนาการไป

84 Nameless Fanboi Posted ID:k4+IvvMyCJ

Dystopia ที่กูรู้จักประมาณว่า รัฐบาลถูกชักใยโดยองค์กรเอกชน ทำให้องค์กรมีอำนาจกำจัดคนที่ต่อต้านและปกปิดความลับ ส่วนชีวิตประชากรก็ถูกแบ่งตามฐานะทำให้คุณภาพชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวอะไรทำนองนั้น ซึ่งพอมานึกดูดีๆ นะ... ไอ้ Dystopia นี่คือขั้นกว่าของระบอบสังคมทุนนิยมเลยนี่หว่า... พวกต้นทุนสูงได้เปรียบและเรืองอำนาจ กลับกันพวกที่ฐานะต่ำหรือกำลังน้อยก็มีแต่โดนกดขี่ลงๆ จนโดนคนชั้นสูงเห็นเป็นแค่ของเล่นใช้สร้างความบันเทิงเท่านั้น

จะว่าไปมันดูคล้ายสังคมบ้านเราในช่วงนี้ดีแฮะ SME จนลงๆ แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่รวยจนมีอำนาจต่อรองกับรัฐบาลเนี่ย หยิบไปเขียนนิยายได้เลยมั้งแบบนี้

85 Nameless Fanboi Posted ID:j2.KHpqo5K

>>82 กูไม่ได้อ่านเองเลยจำไม่ได้ แต่มันเป็นตัวอย่างในหนังสือเล่มนี้นะ แนะนำให้หามาอ่าน งานดีมากจริงๆ เรื่องนี้อยู่ในบทอรรถประโยชน์นิยม

http://openworlds.in.th/books/justice-revised/

>>84 กูไม่คิดว่า SME จนลงจริงๆ หรอกนะ ลองดูจากข่าวและสถิติต่างๆ หรือบ.ที่เกียวข้องได้ ส่วนที่ถูกประโคมข่าวว่าจนลงถือพวกรากหญ้าอย่างภาคการเกษตรซะส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นคนส่วนมาก แต่สร้าง GDP น้อยที่สุด

http://www.sme.go.th/th/download.php?modulekey=215

86 Nameless Fanboi Posted ID:ph0lKhoo49

dystopia พูดให้กว้างๆ หยาบๆ โดยมากมักเป็นเรื่องที่คนต่อสู้กับระบบ เช่นว่ามนุษย์ทุกคนต้องกินยาไม่ให้มีความรู้สึก เพราะความรู้สึกเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม อะไรก็ว่าไป แล้วจู่ๆ ตัวเอกของเรื่องก็เกิดลืมกินยา ทำยาตกส้วม หรือกินยาแล้วยาไม่ได้ผล กลายเป็นเกิดมีความรู้สึกขึ้นมา จากนั้นก็ตาสว่างว่า เฮ้ย คนเราจะใช้ชีวิตแบบไม่มีความรู้สึกไม่ได้ จากนั้นก็ไปพบกับกลุ่มต่อต้าน ร่วมมือกันปฏิวัติ อ้อ และ utopia เนี่ยก็อาจถูกมองว่าเป็น dystopia ได้เหมือนกันนะ

ส่วน post-a ก็ตรงตัว เป็นเรื่องราวของกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกหลังจากเกิดหายนะอะไรบางอย่าง เช่น อุกกาบาตชนโลก โรคระบาดมรณะ โดยทั่วไปก็เน้นเอาชีวิตรอดจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย + ความเลวของมนุษย์ด้วยกันเอง

87 Nameless Fanboi Posted ID:3/qwNxi2YS

เพื่อนโม่ง อยากลองแต่งนิยายแนวเจ้าหญิงลั้ลลาๆ ชิวๆเพลินๆไปเรื่อยมันได้ป่าววะ มันจำเป็นต้องมีไทม์ไลน์แน่ชัดมั้ยอ่ะว่าอยู่ช่วงปีไหนไรงี้ นึกภาพประมาณเจ้าหญิงดิสนีย์อ่ะ

88 Nameless Fanboi Posted ID:3VE+m8bESg

>>87 ทำเป็นแฟนตาซีไปเลยก็ได้ ไม่ต้องสนยุค

89 Nameless Fanboi Posted ID:oIJXSvTHr2

ใครมีแหล่งชื่อแปลกๆ อยากจะแนะนำบ้างไหมวะ คือกูไม่ได้ขอทานชื่อนะ แค่อยากได้ตัวอย่างชื่อที่มันแปลกๆ อ่านยากมาเป็นแนวทางหน่อย ปกติกูชอบตั้งแบบ เอ เร ล่า วิ เฟ เฟีย อะไรแบบนี้

รู้สึกว่ามันออกจะง่ายเกินไปหน่อย ยังไงไม่รู้ อยากได้ชื่อจำพวกที่ออกเสียงเป็น เอ็ม บรึม เบลม บะลาบรือบรือ บรื๊อบรื๋อบี้... (แอบนั่งมุมไปร้องไห้) เข้าใจที่กูจะสื่อกันไหม // ประมาณนี้แหละ ชื่อต่างชาติแบบแปลกๆ ก็แปะมาได้ กูรออยู่นะ...

90 Nameless Fanboi Posted ID:vtFtORyaXR

>>89 Google 'name generator'

91 Nameless Fanboi Posted ID:O21jqtSn1O

>>89 เลือกสัญชาติแล้วเสิร์ชหาชื่อเอา ส่วนตัวกูไม่นิยมชื่อตั้งเอง เจอชื่อมั่วๆ ไม่มีรากศัพท์ไม่มีความหมายแค่พยายามจะให้ฟังดูตะวันตกเฉยๆ แล้วกูขนลุกทุกที

92 Nameless Fanboi Posted ID:WG0/zRnkIX

>>89 ที่กูเคยทำนะ ไปเปิดดิคภาษาโรมัน/กรีก หาคำที่แทนอิมเมจตลค.ได้ แล้วเอามาดัดแปลงเป็นชื่อ เพราะกูชอบภาษาพวกนี้ ถ้ามึงชอบภาษาอะไร ก็ลองทำแบบนี้ดูได้

93 Nameless Fanboi Posted ID:a0wdE8KTuF

>>89 เมื่อก่อนกูใช้วิธีเปิดหนังสือภาษาอังกฤษแบบสุ่มๆ แล้วนิ้วจิ้มหาคำซัก 3 คำมาแล้วเอามาผสมกับเป็นชื่อ (ฮา)
ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ แต่เปลี่ยนไปใช้เว็ป name generator แทน

94 Nameless Fanboi Posted ID:9t5Hltne/D

จริงๆ กูว่าจินตนาการชื่อเอาเองอะไรแบบนี้มันยากกว่าอีกนะ แถมมีโอกาสสูงว่าจะตั้งแล้วแหม่งๆ อย่างข้างบนว่า

เข้าเว็บชื่อแล้วเลือกชื่อคนที่ให้ความรู้สึกแฟนตาซีๆ หน่อยยังจะเวิร์คกว่า ถ้าขยันหน่อยก็หาชื่อที่ความหมายพ้องกับลักษณะตัวละครด้วย

95 Nameless Fanboi Posted ID:ivpDg.sPDW

แล้วถ้าเป็นพล็อตกระแสอย่างต่างโลก ที่กำหนดให้มีภาษาในโลกนั้น มึงว่ามันจะแหม่งไหม ถ้ากูจะคิดชื่อเอง คิดความหมายชื่อเอาเอง 5555555

96 Nameless Fanboi Posted ID:88M/8Oy0jH

>>95 ไม่ ดูอย่าง GoT หรือ LotR สิ นั่นก็มีภาษาของตัวเองเหมือนกัน แต่มันก็เบสมาจากภาษาบนโลกนี้ละ

97 Nameless Fanboi Posted ID:ivpDg.sPDW

>>96 แต๊งหลายเพื่อนโม่ง

98 Nameless Fanboi Posted ID:AbGdBUnUtE

การประกวดแบบนี้ รุ่งหรือร่วงว่ะ
https://www.dek-d.com/board/view/3880187/

99 Nameless Fanboi Posted ID:693w/R/F8p

>>96 ก็ถ้ามึงเก่งระดับ J. R.R. Tolkien ที่นอกจากเป็นนักเขียนแล้วยังเป็นนักภาษาศาสตร์สอนมหาลัย สร้างภาษาใน Middle-Earth ของตัวเองขึ้นมาเป็นเล่มๆ ทั้งคำแปล ทั้งไวยากรได้ กูว่าก็คงไม่มีปัญหาหรอกมั้งที่จะสร้างภาษาขึ้นมาเอง
หรือไม่งั้นก็ต้องใช้ภาษาที่คิดขึ้นมาให้มันสม่ำเสมอ มีต้นขั่ว มีแบบแผนรากศัพท์แบบปู่ G.R.R. Matin ที่สร้างภาษาขึ้นมาเองแล้วเอามาใช้ในหนังสือจริง เชื่อได้จริงๆ ว่าเออนี่แหละชื่อภาษา Dothraki นี่แหละ Common Tongue เพราะมันใช้ชื่อแบบนี้กันทั้ง Westeros ไปทางเดียวหมด
>>95 กูยังยืนยันนะว่าไม่ควรสร้างเอง หรือถ้าจะสร้างจริงๆ ก็อิงรากศัพท์ซักนิดนึงให้มันไปในแนวทางเดียวกัน ไม่ขนลุกเวลาอ่าน
แถมให้อีกหน่อย พวกชื่อลงท้ายลงท้าย เรีย เฟีย ไม่เอานะ เบื่อแล้ว

100 Nameless Fanboi Posted ID:ivpDg.sPDW

>>99 ถถถถถ กูก็พยายามคิดอยู่ แต่ไอ้ตรงที่มึงบอกว่าเบื่อเนี่ย แม่งต้องมีโผล่มาบ้างอะ 😂😂

101 Nameless Fanboi Posted ID:uOS.aG6EiY

>>100 พวก Celtic Irish OldEnglish Spain พวกนี้แฟนตาซีฝั่งฝรั่งชอบใช้เพราะมันอ่านง่าย(สำหรับลิ้นฝรั่ง) จำง่าย รากศัพท์ชัดเจนไม่หวือหวา ตรงสายแฟนตาซียุคกลางด้วย
ถ้าอยากเป็นเอกลักษณ์ก็แค่แก้เสียงตัวอักษรบางตัว แบบ J ก็ยกเลิกเสียง จ ไปใช้ ย อย่างเดียวแบบ Norse ไปเลย
แต่ถ้าชอบ เซีย เรีย เฟีย มากแบบยังไงก็ต้องมี ถ้าไม่มีมันอยู่ไม่ได้จริงๆ จะดิ้นตาย กูแนะนำรากภาษารัซเซียเลย ภาษา Slavic เพราะเอาเข้าจริงไอ้การลงท้ายสระเอียเยอะๆ เนี่ยแม่งก็มาจาก Slavic เกือบหมด

102 Nameless Fanboi Posted ID:AbGdBUnUtE

>>101 พูดถึงรัสเซีย ทำไมเด็กดวกไม่มีใครอยากเขียนแฟนตาซีกลิ่นไอรัสเซียเลย

103 Nameless Fanboi Posted ID:VHNkb6ZH/G

>>96 ถ้าอยากจะทำคงต้องเริ่มจากพวกconlangในredditก่อนมั้ง

104 Nameless Fanboi Posted ID:JYAXS/Aq5N

>>102 เพราะคนไทยไม่ค่อยรู่จักวัฒนธรรมรัสเซียไง

105 Nameless Fanboi Posted ID:zY0dEJvLns

>>104 แต่แม่งอวยกันหนักมากเลยในเพจต่างๆ ที่เกี่ยวกะทหารรัสเซีย

106 Nameless Fanboi Posted ID:qicu2sBp+a

>>105 แล้วมีคนชอบสโลแกนโหดสัสรัสเซีย

107 Nameless Fanboi Posted ID:RpNhFU1DCN

>>102 สำหรับกูที่ไม่ได้อวยรัสเซีย คือจะมีความรู้สึกแหม่งๆ เพราะบ้านเรามันคุ้นเคยกับกลิ่นอายแฟนตาซีของญี่ปุ่นจ๋า จีนจ๋า กับพวกแถบยุโรปบางส่วนมาหน่อยๆ แล้ว มันต้องมีความรู้สึกแหม่งๆ บ้างล่ะวะ ถ้าต้องไปเขียนแบบมีกลิ่นอายรัสเซียปนมา บางคนมันไม่ได้รู้สึกแหม่งแบบกู แต่มันจะติดปัญหาตรงที่ไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย บ้านเราในชีวิตประจำวันรู้จักบ้านเขามากแค่ไหน กูไม่คิดหรอกว่ามันจะยอมไปนั่งค้นข้อมูลมาศึกษาเพียงเพราะเกิดคึกอยากเขียนแนวนี้ขึ้นมา ถ้ามันไม่ได้สนใจจริงๆ มันก็ไม่ทำ ก็คือจบแล้ว ถ้าให้กูบอกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับรัสเซีย กูก็บอกได้แค่ว่าสาวรัสเซียสวย มีอยู่ข้อเดียวอะที่กูรู้ ถถถถถถ

กูนั่งอ่านไอ้ที่พวกมึงพิมพ์ๆ กันมาด้านบน เกี่ยวกับดิสโทเปียอะไรสักอย่าง กูไม่เข้าใจว่าพวกมึงกำลังจะสื่ออะไรกันนะ แต่อยากถามเกี่ยวกับพล็อตนิยายกู คือกูกำลังนั่งเขียนนั่งร่างเซ็ตติ้งต่างๆ คือมันจะมันมีโลกแฟนตาซี ที่สิ่งมีชีวิตหลายเผ่าพันธุ์ต่อสู้กัน มีการกดขี่กันระหว่างเผ่าพันธุ์ แล้วมีชนชั้นการปกครองภายในตัวไปอีกขั้น(ทาส,สามัญชน,ราชวงศ์) เข้าข่ายดิสโทเปียปะวะ กูไม่เข้าใจจริงๆ นะ อ่านที่พวกมึง คุยกันละไม่รู้เรื่อง

108 Nameless Fanboi Posted ID:TTmO3aMfzV

>>107 กุตอบสั้นๆ นิยายมึงแนวแฟนตาซี ไม่เกี่ยวไรกะดิสโทเปีย ไม่เก็ตอะไรกูเกิ้ลบอกมึงได้หมด

109 Nameless Fanboi Posted ID:iapluYrYXU

>>108 กูก็นึกว่าเกี่ยวซะอีก 555555

110 Nameless Fanboi Posted ID:qicu2sBp+a

>>107 ถ้ามึงพึ่งพาใครไม่ได้ มึงต้องถามตัวเองว่าเข้าใจนิยายของมึงเองแล้วยัง

111 Nameless Fanboi Posted ID:Bj/mB6vTbd

>>110 เคร กูถามตัวเองอยู่ คงหาคำตอบสักพักจนกว่าจะเริ่มแต่ง

112 Nameless Fanboi Posted ID:h.Bd3vlS8u

เพื่อนโม่งกูขอถามความเห็นหน่อยสิ คือตอนนี้กูมีนิยายเรื่องนึงที่เขียนดองเอาไว้ (ก็คนมันทำงานอะนะ) แล้วพอดีกูลองส่งให้เพื่อนในกลุ่มลองอ่าน แล้วหลายคนมันแนะนำว่าน่าจะเปลี่ยนนิยายกูให้กลายเป็นนิยายจีนว่ะ

คือองค์ประกอบนิยายกูนี่ พอกลับมาอ่านเองแล้วก็ค่อนข้างใช่ตามสูตรนิยายจีนอย่างที่เพื่อนกูว่าเลย มีคลีเช่ประมาณว่าพระเอกตอนต้นเรื่องโดนชาวบ้านดูถูกว่าเป็นขยะแต่ใจสู้ พอเดินเรื่องไปซักพักพระเอกได้พลังมาก็เริ่มเก่งขึ้น แต่ยังใช้ไม่เป็นเลยต้องใช้แบบผิดๆ ถูกๆ ค่อยๆ ขยับฝีมือขึ้นไปเรื่อยๆ ตามเหตุการณ์ที่พบ (แต่ไม่มี game element , ไม่มีระดับพลัง) แถมวิธีต่อสู้ยังเป็นแบบ Martial arts + เวทมนตร์ มาผสมกัน (ตรงนี้เพื่อนกูบอกแถให้เป็น Wuxia ไปเลย) ซึ่งเมื่อเอาทั้งหมดมารวมกัน ก็ทำเอากูเก็บมาคิดว่า แบบนี้ถ้าแปลงเป็นนิยายจีนล้วนไปเลยมันจะตอบรับกระแสกว่ามั้ยหว่า?

เรื่องนี้เดิมทีใช้ธีมแนว Sword&Magic (ประมาณช่วงยุคกลางตอนปลาย - เข้ายุคฟื้นฟูศิลปะ) ส่วนหนึ่งเพราะกูถนัดแนวนี้ และอีกส่วนคือกูไม่ค่อยรู้เรื่องจีนๆ (ฮ่า) + มันสามารถหยิบวัฒนธรรมหลายๆ ชาติมาเล่นง่าย แต่ก็อย่างที่รู้กันดีว่ายุคนี้แนวจีนมันครองตลาด กูเลยไม่มั่นใจว่าเขียนด้วยธีมนี้ต่อไปมันจะไปได้สวยเท่ากับเขียนใหม่ให้กลายเป็นจีนล้วนเลยรึเปล่านี่ล่ะ

ที่ถามนี่เพราะตอนนี้รู้สึกลังเลนี่ล่ะ เสียดายอะไรหลายๆ อย่างที่เขียนมาแล้ว เช่นพล็อตที่วางจนแน่น พวกเซ็ตติ้งของโลก ความสัมพันธ์ตัวละคร และพวกข้อมูลยิบย่อยที่ไปหามาเขียนนี่ล่ะ ถ้าต้องแก้เป็นจีนก็คงต้องเขียน + หาข้อมูลใหม่เยอะ แถมพวกประเด็นวัฒนธรรมและความต่างของเชื้อชาติคงเอามาใช้ยาก เพราะมันจะกลายเป็นจีนกันหมดนี่ล่ะ

113 Nameless Fanboi Posted ID:dTsoiSuTZN

>>112 มึงบอกว่าไม่ค่อยรู้เรื่องจีน ก็ตามที่มึงสบายใจที่สุดเลยอะ ปล่อยให้มันเป็นงั้นไปไม่ต้องไปเปลี่ยนก็ได้ กูแนะนำในฐานะที่กูเคยดีดไปฝืนแต่งอะไรที่กูไม่รู้เรื่องและไม่คุ้นเคย ผลคือตอนแต่งนี่โครตเครียดโครตปวดกะบาล ต้องมานั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายต่างๆ เขียนแถแบบไปเรื่อยแทบตาย มึงคิดว่าพอเปลี่ยนแล้วจะทนหาข้อมูลใหม่ ไม่ได้เขียนสบายๆ แบบในตอนแรกได้ไหมล่ะ สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวมึง รู้ใจตัวเองไวๆ นะ

แล้วกูก็กระดกยาพาราวนไป คนอ่านก็ตามจี้ไม่ให้เททิ้ง ถถถถถถถ

114 Nameless Fanboi Posted ID:u.NOvvM6js

พวกชอบเขียนนิยายจีนบางคนก็ไม่ได้มีความรู้ความเชื่อแบบเต๋าหรือขงจื้อหรอก กูอ่านแล้วบางเรื่องแม่งไม่เป็นจีน

115 Nameless Fanboi Posted ID:WMywR43Jwy

>>114 เขาถึงเรียกว่านิยายเสิ่นเจิ้นไง

116 Nameless Fanboi Posted ID:u.NOvvM6js

>>115 ก็ใช่ไง แบบเดียวกับพวกญี่ปุ่นเขียนแนวโลกยุคกลางศักดินายุโรปๆ แต่เวลาคนขอโทษหรือขอร้องอะไร เสือกนั่งท่ากราบแบบญี่ปุ่นๆ ซึ่งคนยุโรปจริงๆไม่ได้กราบท่าแบบซามูไรโชกุนซะหน่อย แล้วก็นิยายจีนเสือกมีซูชิกับข้าวผัดกะเพราหมูสับ

117 Nameless Fanboi Posted ID:zrXUz.IpN5

>>116 ข้าวผัดกระเพราหมูสับ 5555555555

118 Nameless Fanboi Posted ID:WC7FN8KRzn

>>116 ข้าวผัด + กระเพราหมูสับ หรือ ข้าว + ผัดกระเพราหมูสับ วะ

119 Nameless Fanboi Posted ID:p4RAWbF5xB

โหลๆ ยังมีคนสับนิยายอยู่ป่าววะ

120 Nameless Fanboi Posted ID:TATPKUwjId

กูอยากสับนะ ถ้าว่างก็จะสับให้

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.