อีรีรู้จัก ‘ซาก’ มาตั้งแต่จำความได้ จึงไม่เห็นว่าร่างเน่าเหม็นที่เดินตุหรัดตุเหร่อยู่ข้างทาง หรือสุสานแปลกประหลาดอะไร สิ่งที่เธอคิดยามบังเอิญเห็นคนรู้จักที่เพิ่งถูกฝังไม่กี่วันก่อนเดินผ่านหน้าบ้าน มีเพียงว่าเขาหรือเธอจะถูกเจ้าหน้าที่เก็บไปหรือเน่าเปื่อยไปเองก่อน
‘เหมือนหมาจรจัด’ พ่อเคยเปรียบเปรยด้วยสีหน้ารังเกียจหนหนึ่ง ‘กลิ่นเหม็น กินไม่เลือก ไร้สติปัญญา’ อีรีเห็นตามที่เขาว่าทุกอย่าง และเธอก็เห็นอีกด้วยว่าพวกซากไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะอยากจะเป็นเสียหน่อย
เธอไม่รู้หรอกว่าพวกเขาลุกขึ้นมาจากหลุมเพราะอะไร เหตุผลอาจจะยากพอ ๆ กับที่ว่าทำไมพระอาทิตย์ถึงขึ้นทางทิศตะวันออก ซึ่งอีรีคิดว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องรู้ ถึงต่อให้รู้แล้วจะอย่างไร ในเมื่อสุดท้ายทุกคนก็ต้องตาย นอนพักในหลุมที่กลบไว้หลวม ๆ สักวันสองวัน ก่อนตื่นมาเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองอย่างไร้จุดหมาย เคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิต แต่ไร้จิตใจ
‘อากาศเคยดีกว่านี้มาก อ้อ อีรี ก่อนไปโรงเรียนห้ามเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ละ’ พ่อมีเรื่องให้บ่นพวกซากไม่น้อยทีเดียว จมูกของพวกผู้ใหญ่ไม่ชินกลิ่นเนื้อเน่าเหมือนเด็ก ๆ รุ่นอีรี เมื่อไหร่ที่เธอกับเขาทะเลาะกัน อีรีจะแกล้งลืมปิดประตูรั้วปล่อยให้พวกซากเดินกระโผกกระเผกเข้ามาในสวน น้ำเหลือง เศษผิวหนังสีคล้ำหยดย้อยลงสนามหน้าบ้าน ฝีเท้าไม่มั่นคงเหยียบย่ำกอกุหลาบจนป่นปี้ จากนั้นเธอก็จะขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้กลิ่นเน่าโชยเข้ามาฝังในผืนพรม ผ้าห่ม หมอนที่เธอไม่รู้สึกว่าแย่อะไรนัก ตรงข้ามกับพ่อที่อาจคลั่งเจียนตาย
อีรีทำลงไปด้วยความโกรธ และผลของมันทำให้เธอสะใจลึก ๆ ภาพแม่ถูกเคียวไร้คมเกี่ยวเข้าไปในตู้กระจกรวมกับซากของคนแปลกหน้าติดใจเธออยู่ทั้งที่ผ่านมาแล้วหลายปี เด็กหญิงไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงรอให้แม่เน่าสลายเงียบ ๆ ไม่ได้ เธอไม่เห็นพิษภัยในตัวแม่แม้แต่น้อย แม่เชื่องช้าออกขนาดนั้น ช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้เลย แล้วจะมีปัญญาทำร้ายเธอกับเขาได้ยังไง
คนเป็นต่างหากที่อีรีเห็นว่าน่ากลัว
พวกเพื่อนร่วมชั้นเกเรของอีรีมักขว้างปาหินใส่พวกซากระหว่างทางกลับบ้าน คนตายไม่มีความรู้สึกหรือเจ็บแค้นยิ่งทำให้พวกนั้นได้ใจ บางคนกล้าถึงขนาดต้อนซากศพให้ตกลงไปในลำน้ำเชี่ยว มองดูร่างพองอืดลอยผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไปตามสายน้ำด้วยความคึกคะนอง เพื่อนคนหนึ่งเคยชวนอีรีให้เล่นสนุกด้วยกัน แต่เธอสลัดภาพของแม่ออกไปไม่หลุด ลำคออีรีแสบร้อนด้วยความรู้สึกผิดต่อศพที่กำลังถูกรังแกและแม่ที่ตายถึงสองครั้งเพราะความตาขาวของตัวเอง
หากย้อนเวลาได้อีรีจะไม่ยอมให้พ่อแตะต้องแม่แม้แต่ปลายผม ก่อนแม่ถูกฆ่า บางทีเธออาจจะฆ่าเขาก่อน แต่ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ‘หากรู้’ ใคร ๆ ก็คิดแต่ว่า ‘หากรู้…’ หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้อีรีจะมีความกล้าพอปกป้องแม่ไหม เอาเข้าจริงเธอก็ไม่รู้อีกเช่นกัน เธออาจจะหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าด้วยความหวาดผวากระทั่งเสียงโครมครามชั้นล่างเงียบลงเหมือนทุกที หรือวิ่งออกไปนั่งเล่นสวนสาธารณะจนค่ำค่อยกลับเข้าบ้านราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นในห้องครัว
อีรีกลัวพ่อ กลัวแม่เจ็บ นอกจากนั้น เธอก็กลัวจะถูกทำร้ายไปด้วย คำขอโทษต่อซากของแม่ไม่อาจได้รับการอภัย เธอจึงกอบบาปนั้นเข้ามาบดขยี้ให้เศษแหลมทิ่มแทงตัวเองอยู่ข้างใน เลือดหลั่งจากท้องแขนสู่ปลายนิ้ว หยดลงในปากซึ่งหนอนแมลงคลานยั้วเยี้ยแย่งชอนไชเนื้อแหว่งวิ่น
“หนูขอโทษ หนูขอโทษ หนูขอโทษ” อีรีพึมพำซ้ำ ๆ อยู่บนขั้นบันไดเหนือกล่องไม้ทำจากตู้เสื้อผ้าเก่า น้ำตาผสมเลือดรินรดลงบนซากที่กำลังกลิ้งเกลือกอย่างน่าเวทนาบนกองเลือดเน่า บางคราวเขาจะเงยหน้าขึ้นมาราวกับรู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น อ้าปากรับเลือดที่ไหลจากกายพร้อมวิญญาณ
ประสาทสัมผัสทึ่มทื่อไม่ตอบสนองต่อเลือดหรือสิ่งกระตุ้นใด ๆ อีรีสงสัยว่าเขาอาจรู้สึกถึงความโศกเศร้าของเธอ
“หนูไม่เหมือนพ่อ หนูอยู่แบบนี้ไม่ได้ ขอโทษ ขอโทษ…” เสียงแผ่วผิวคล้ายบอกตัวเอง อีรีสังหรณ์ว่าเธอคงไม่ตายเพราะเสียเลือด จึงแขวนบ่วงเชือกสีขาวสกปรกเผื่อไว้บนราวบันไดด้วย
เธอไม่อาจตายก่อนซากในกล่องหยุดเคลื่อนไหว วาระสุดท้ายของแม่ที่เธอเสียไป เขาจะต้องจ่ายแทน !
ริมฝีปากอีรีแห้งแตกเพราะขาดน้ำ ร่างกายผ่ายผอม ลมหายใจรวยริน กลิ่นของเสียปะปนซากคละคลุ้งทั่วบ้าน และอาจแรงไปถึงถนนด้านหน้า ทว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนอยู่แล้ว เธอจึงได้เฝ้ามองการตายครั้งที่สองนี้โดยไม่ถูกเพื่อนบ้านเข้ามารบกวน
ตัวหนอนกลายเป็นดักแด้สีน้ำตาลเข้ม และอีกไม่นานก็คงกลายแมลงเสาะหาซากอื่น อีรียังคงสติได้ขนาดนึกขบขันว่าพวกมันอาจวางไข่ในร่างของเธอต่อ
กินเถอะ คนตายเจ็บไม่เป็นหรอก
ใบหน้าของซากที่เธอทั้งรักทั้งชังไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว เนื้อหนังถูกหนูและแมลงแทะกินจนเห็นแต่กระดูก แต่กลับยังเหลือแรงก่อเสียงครืดคราด
เน่าสลายเงียบ ๆ