>>>/tech/333/ โปรแกรมเมอร์ที่รัก
Last posted
Total of 1000 posts
>>>/tech/333/ โปรแกรมเมอร์ที่รัก
ไอสัสไม่มีใครต่อเลย
เราเป็นโปรแกรมเมอร์เงินเดือนเกินแสน ใครอยากถามอะไรถามมาไกเ
พวกมีง Outsource วันลากี่วันวะ กุ 6 วันต่อปี เยอะหรือน้อยวะ
https://fanboi.ch/game/8282/
ช่วยมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนติดเกมกันแล้วมาฝึกเขียนโปรแกรมกันเถอะ
เบื่ออารมณ์แบบฝ่าย technical กับ business ทะเลาะกันแล้วโปรแกรมเมอร์ต้องทำตัวเป็นนกสองหัวเพื่อความปลอดภัยของตัวเองว่ะ
แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ เดี๋ยวตกงาน
ในไทยบริษัทไหนสัมภาษณ์งานยาก ๆ บ้างครับ อยากไปลองเจอดู
คนทำงานประจำมา เคยเจอโปรแกรมเมอร์ที่เรียนเองกันบ้างปะวะ
กะทำโปรเจกต์เก็บพอร์ตเองไปสมัคร แต่จบไม่ตรงสายบริษัทเดี๋ยวนี้เขารับกันบ้างไหม
คอมติดไวรัส .zobm ทำไงถึงกู้ไฟล์ได้คับ
อยากรู้ว่าอัตราการผ่านโปรของคนอื่น ๆ อยู่ที่กี่ % หรือ เราอยู่ที่ 50%
ถามโม่งโปรแกรมเมอร์หน่อย ตอนนี้กูมีคอมเครื่องเดียวที่ซื้อมาทั้งเล่นเกมและเขียนโปรแกรม ปัญหามีอยู่ว่า SSD ติดเครื่องที่มันน้อย ลงเกมก็แน่นแล้ว
พวก tools โปรแกรมเมอร์ก็กินที่เยอะมาก แต่ไม่มีงบซื้อ SSD เพิ่ม ซื้อ SSHD มาใส่เพิ่มแล้วลง tools ทำงานบนนั้นจะเวิร์คมั้ย
ผมคิดมาตลอดนะว่าจะเขียนโค้ดได้ดี ต้องเข้าใจ Literature และ
Writing communication in general ด้วย ว่า อย่างพื้นฐานสุดก็งานเขียนต่างๆ มันมีผลต่อความคิดของคนอ่านยังไง การแบ่ง Chapter หรือย่อหน้าแบบไหนมีผลยังไง แบบไหนเข้าใจง่ายยาก เวลาอธิบาย Academic ที่ซับซ้อนทำยังไง
ถ้าเข้าใจพวกนี้จะเห็นว่าพวกเทคนิคต่างๆ ในการสเกลโค้ด มันเป็นแค่เครื่องมือนำมาใช้ในการทำ Written communication ที่มีคุณภาพเฉยๆ ไม่ใช่ปลายทาง
อย่างเมื่อกี้เขียนเรื่อง Terminology ถ้าไปอ่านงานเขียนดีๆ เขาจะมีวิธี Introduce term พิเศษในงานเขียนของเขาโดยที่ไม่ Overwhelming คนอ่านเกินไป มันจะมี Sweet spot อยู่นะ
ลองคิดดูว่าถ้า Lord of the ring ซึ่งเป็นนิยายที่มี Technical term เฉพาะโคตรจะเยอะ ดีไม่ดีเยอะกว่า Codebase ที่เราทำหลายๆ ตัวอีก ถ้าโยน Term ทั้งหมดไปให้คนอ่านแล้วบอกว่าเข้าใจพวกนี้หมดก่อนนะค่อยเริ่มอ่านนิยายของผม
แต่ที่เราเข้าใจเพราะ LOTR เลือกใช้ Term ที่ Well-known ในหมู่นักอ่านนิยายแฟนตาซี ช่วยลดปริมาณความสับสน แล้วก็ผสมกับใช้จังหวะในการแนะนำแต่ละคำศัพท์อย่างเหมาะสม ไม่ใช่ทีเดียวจบ
อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้เห็นว่า Literature มันมีเทคนิคหลายอย่างที่เราใช้ได้
ถามโม่งโปรแกรมเมอร์หน่อย ถ้าอยากลองเริ่มเขียนโค้ดมันมีที่ไหนเปิดสอนเป็นคอร์สบ้างมั้ยอ่ะ ราคาประมาณเท่าไหร่
แล้วพื้นฐานที่ควรมีคือไรบ้าง เลข? รึอะไรยังไง
>>42 เรื่องที่เรียนไม่มีแนะนำแฮะ พอดีกูเรียน ป. ตรี มาด้านนี้อยู่แล้ว ไม่ได้เรียนเองทั้งหมด
ความรู้ที่ควรมีก่อนกูว่าสำคัญสุดคือภาษาอังกฤษนะ และอีกอย่างก็รู้จักการใช้ google หาข้อมูลด้วยตัวเอง
เพราะต้องหาข้อมูลเองเยอะ และข้อมูลพวกนี้ส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษหมด
คอมใช้เลขเป็นพื้นฐานก็จริง แต่การเขียนโปรแกรมมันไม่เหมือนแก้โจทย์เลข แค่มีความเข้าใจ concept คร่าวๆ และประยุกต์เป็นก็พอ
มันเป็นการสั่งให้คอมทำสิ่งต่างๆให้ แล้วดูผลลัพธ์การทำงานที่ออกมาว่าถูกรึเปล่า ซึ่งในความรู้สึกกูมันต่างกันเยอะ
ลองใช้กลยุทธ์ ทรัมป์ ก็จะได้เห็น Dark Side ของคนมากขึ้น
ได้ข้อมูลมาเยอะแยะ ดีเลย จะได้เห็นว่าจริงๆแล้วเค้าคิดยังงัยกับเรา
คนที่เห็นประโยชน์เราตอนเราดีก็มีเต็มไปหมด
ตอนเราร้ายก็ด่าเราลับหลัง
ความโกหกตอแหลมันโผล่ออกมาชัดเจน
สิ่งที่อยากได้จาก Community คือความจริงใจเป็นอันดับแรก
มันเป็นวิธีการกรองคนที่ได้ผลดีอย่างที่ตั้งใจไว้
คนที่เขาทำงานด้านมืดนี่ รู้จักจริงๆหลายคน ธรรมมะธรรมโมมาก ดูแลผู้หญิงดีมาก ไม่งั้นผู้หญิงก็ไม่มาทำงานด้วยหรอก
เพราะสังคมบีบคั้นทำงานแล้วโดนกดขี่ เก็บเงินไม่ได้ โดนขูดรีดจากผู้มีอิทธิพล แต่ละคนก็มีทางเลือกต่างกัน ไม่ต้องรีบตัดสินก็ได้ถ้ายังไม่รู้จักกันดีพอ
คนที่ทำด้านสว่างก็ทำเรื่อง Dark ๆ เยอะ ก็เห็นมาเยอะแต่ทำไรไม่ได้ พอยกเรื่อง dark ที่ตัวเองเคยทำขึ้นให้เห็น ก็แสดงตัวเป็นคนดีขึ้นมารับไม่ได้ก็แปลกดี ตัวตนจริงๆตัวเองยังยอมรับไม่ได้เลย
ริเริ่มทำไรใหม่ๆก็ไม่มีคนเข้าใจอยู่ละ ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก เพราะไม่ได้อยากอธิบาย อยากทำให้สำเร็จมากกว่า ยังงัยก็ทำอยู่ละ
ก็ไม่อยากจะโอ้อวดว่าตัวเองทำมาไม่น้อยกว่าใคร เห็นปัญหามากมายที่มันไปต่อไม่ได้ด้วยวิธีการเดิม ก็พิสูจน์กันละกัน เอาตัวเองให้รอดก่อน
ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำมาในอดีตมันคือความดี มันก็เป็นอดีต ที่ไม่ได้มีใครสนใจ ป่วยมายังไม่มีใครเหลียวแหล ทุกอย่างมันก็เป็นแค่อดีต
ผมเจ็บแทนคนใน Community มาเยอะกว่าที่หลายคนรู้ ไม่แฉก็ดีแล้วครับ แต่ละคนแสบๆทั้งนั้น
ก็อยากจะ Filter ให้เหลือน้อยๆ เหลือแต่คนที่ลำบากไปด้วยกันลุยไปด้วย
Set to Zero ถ้าไม่ทิ้งบางอย่าง เราก็ยากจะก้าวผ่าน ใครจะดราม่าก็ดราม่าไปนะครับ มีไรทำเยอะ
เอาเวลาไปทำงานสร้าง Value ให้ Community ที่คุณคิดว่าดี ดีกว่าครับ
ทำไมฝั่ง business เขาชอบมาคุยกับผมมากกว่าคุยกับ Dev และ Community ก็ลองคิดเองว่ามันยังมีปัญหาอะไรอยู่ ทำไมอีกหลายๆที่เขาไม่อยากสนับสนุน
อย่ามาเสียเวลากะผม อีกไม่กี่ปีเราก็ตายจากกันละ แมนๆก็มาคุยกันได้ ไม่ต้องโพสต์หรือนินทาลับหลัง ขี้เกียจตามไปอ่าน
ดราม่า
https://www.youtube.com/watch?v=FMIZEfjYmtM
Programming with Boris 👍👍👍
เขียนโค้ดเป็นทำอาชีพอะไรได้มั่ง ตอนนี้กูกำลัง hello world
"มีใครรู้สึกเหมือนผมไหมว่า โดดดิด่ง มันเร็วขึ้น"
"เช้านี้ผมเปิดฟัง รู้สึกว่า เพลงมันเร็วกว่าเดิม"
https://www.youtube.com/watch?v=Ek8itihPQgE
กูอยากเริ่มเขียนโค้ด เเต่กูต้องเขียนลงในไหน ?
visual studio code
อยากลาออกจังเลยน้า
เคยมีคนบอกอยากสัมภาษณ์ยากๆ น่าลองมาหางานช่วงนี้นะ น่าจะยากสมใจ
Agoda backendเรียกสัมว่ะ แม่งยากป่ะวะ อัลกอกุอย่างกากเลยต้องซ่อมซัมเมอร์ ผลงานก็มีแต่ที่ทำตอนเรียน ทำไงดีวะเหลืออีก3วัน
วันนี้ที่กะจะหัด React ของกูหมดไปกับการตามดูแคสเกมดบดล แม่งเอ๊ย กูทำตัวกูเองนี่แหละ
พน.สัมภาษณ์ ถ้าถามโค้ดละตอบไม่ได้ต้องทำไงดีวะ
>>66 ตอนสัมไม่เคยเจอถามเป็น code จริงๆนะ แต่จะถามประมาณว่า ถ้าต้องการทำแบบนี้ 1 2 3 ควรทำยังไง
ก็บอกเขาไปปากเปล่าหรือใช้กระดานก็ได้ ออกแนวคอนเซ็ป มากกว่า เขาก็จะดูแค่ว่ามึงเข้าใจพวก oop มั๊ย หรือรู้จัก tool อะไรที่เอามาใช้ได้บ้าง ไม่ต้องถึงขนาดแม่น syntax อะไรมาก
ส่วนถ้า code จริงๆ เขาจะถามตอนสอบข้อเขียนมากกว่า
กุไปสัมagodaมาละ พาทโต้ดกุทำไม่ได้แต่ก็พยายามเขียนแต่แม่งก็ไม่เสร็จ พาทสัมกุพอได้อยู่ วันนี้เขาofferละว่ะได้ไงวะ เพื่อนกุทำโค้ดได้หมดไม่เห็นมีใครโทรมาเลย กุทำไม่ได้ไม่เสร็จด้วยเสือกได้เฉย ทำไมวะครับ
ใครที่สนใจเรื่องการออกแบบโค้ด ผมอยากแนะนำให้อ่าน Essay อันนี้ตั้งแต่ปี 1991 ซึ่งผมว่า Classic มากและยังเป็นจริงถึงทุกวันนี้
คือคนเขียนเขาเป็นคนทำ Lisp ซึ่งสมัยนั้นต้องสู้กับภาษา C เพื่อสร้าง Traction แล้วเขาได้นำเสนอสิ่งหนึ่งที่เขาพบระหว่างการสร้าง Traction ให้ Lisp ซึ่งชื่อว่า Worse is better
ซึ่งถ้าสรุปสั้นๆ เขาเคลมว่า ระบบที่ดีไซน์อย่างไม่ถูกต้องมีความสามารถที่จะอยู่รอดและแพร่กระจายมากกว่าระบบที่ดีไซน์อย่างถูกต้อง
แต่ลองไปอ่านดูจะเข้าใจนิยามของคำว่า "ถูกต้อง" ของเขาและทำไมถึงเคลมแบบนี้
ลองเน้นหัวข้อ 2.1 ไม่ต้องมีพื้นฐาน Lisp หรือภาษาเก่าๆ ก็อ่านเข้าใจ
https://www.dreamsongs.com/WIB.html
ถ้าใครสนใจภาคต่อไป เจ้าตัวเขาเขียนบทความมาดีเบตกับตัวเอง โดยใช้นามปากกาอีกอันนึง เขียนลง Magazine อื่นๆ ช่วงปี 199x อีกประมาณ 2-3 บล็อก ก็จะตามได้ที่
https://www.dreamsongs.com/WorseIsBetter.html
ในฐานะคนสนใจเรื่องการออกแบบระบบและโค้ด ผมว่าเป็นงานชิ้นคลาสสิคที่กระตุ้นให้คิดได้มาก
อีกนิดนะถามหน่อย ตอนนี้มีทั้งagoda และ exxonmobil offerมาละอยากถามทุกๆคนหน่อยว่าจะเลือกบ.ไหนกัน backend devทั้งคู่เลย agodaให้เยอะกว่าexxon ~20k แต่สวัสดิการอาจจะไม่เท่า อันนี้คือของจบใหม่นะ รบกวนด้วย
>>84 ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นทำเว็บเหมือนกัน แต่จริงๆ เว็บในความหมายของทั้งสองคอร์สต่างกัน กูยังไม่ได้ดูละเอียดนะ
คอร์สแรก เหมาะกับคนที่มาจากฝั่งดีไซน์ ทำเว็บเล็กๆ นำเสนอข้อมูลเป็นหลัก หน้าบ้านเป็นหลัก
คอร์สสอง ไปทางโปรแกรมมิ่ง ภาษาที่ใช้เขียนเว็บ ทำหลังบ้านด้วย แม่งกว้างจริงแหละ กูก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ใช้ Python
กูว่ามันขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่มึงมี กับความต้องการ ทางที่จะไปด้วยอ่ะ เช่น จะเอาไปสมัครงาน? ทำฟรีแลนซ์? ต่อยอดธุรกิจที่ทำอยู่? งานอดิเรก?
เผลอๆ สิ่งที่มึงต้องการอาจมีคอร์สอื่นตอบโจทย์กว่า เช่น อาจจะเหมาะไปเรียน Wordpress มากกว่าก็ได้
มันจะมีหนังสือสอนเขียนโปรแกรมภาษาจาวาอยู่ จำไม่ได้ว่า เป็นชุดสามเล่มหรือเล่มนึง แต่รวมๆกันน่าจะประมาณ พันหน้าได้มั้ง
ตอนนั้นกูเป็นเด็ก พยายามจะหาแต่ไม่มีปัญหามา ตอนกูเป็นถ้านับจากตอนนี้ยอนหลังไปประมาณ 7 ปีได้ แต่ตอนที่กูหาหนังสือเล่มนั้นมันค่อนข้างเก่าแล้ว แต่ก็ยังมีคนบอกว่ายังสามารถใช้ได้ดีอยู่ และเหมาะสำหรับทำการศึกษา เพื่อนโม่งที่อยู่ในวงการเขียนโปรแกรมมานานพอจะนึกออกไหม หนังสือน่าจะเป็นภาษาไทยมั้งไม่แน่ใจ
กูอยากหามันอีกครั้ง ถ้ามีรูปมาให้กูดู กูพอจะนึกออกนะ ถ้าเป็นสามเล่ม มันจะมีสี ขาว ม่วง เขียว มั้งนะ
>>86 ไม่รู้ชื่อหนังสือ แต่อยากมาแนะนำมึงว่าถ้าจะอ่านหนังสือสอนเขียนโปรแกรมอยากให้อ่านภาษาอังกฤษมากกว่า
อ่านตามเว็บเอาก็ได้ ไม่ต้องหนังสือเป็นเล่มๆหรอก
ปัญหาของการอ่านหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยคือคำศัพท์หลายๆคำพอแปลไทยแล้วมันกลายเป็นเข้าใจยากกว่าเดิม
เวลาเขียนโปรแกรมจริงๆต้องหาข้อมูลเพิ่มแทบตลอดเวลา แม้แต่กับเรื่องพื้นๆ แล้วของพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษหมด โค้ดก็เป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าไปชินกับคำศัพท์/คำอธิบายภาษาไทยแล้วเวลาต้องหาข้อมูลจะลำบาก
เพราะนึก keyword ที่ต้องเอามา search ไม่ออก หาข้อมูลเจอก็ต้องพยายามแปลกลับมาเป็นคำภาษาไทยที่เองชิน
สู้ทำตัวให้ชินกับศัพท์เทคนิค คำอธิบายภาษาอังกฤษ ไปแต่แรกจะดีกว่ามาก
>>88 เออวะเข้าใจที่มึงบอกนะ ขอบคุณมึงมากนะเรื่องนี้ ตอนนั้นกูที่อยากจะเรียนเขียนโปรแกรมตอนนั้นยังเด็ก ขอใครเรียนก็ไม่มีใครเข้าใจ กูเลยหาหนังสือจะอ่านเอาเอง แต่จริงๆแล้วกูแบบอยากเห็นเหื้อหาข้างในไง ก็คือเอาง่ายๆกูอยากเห็นหนังสือที่กูหมายถึงนี้อีกครั้งนึง ถ้ากูจะกลับมาเริ่มเขียนโปรแกรมอีกครั้งกูคงจะเริ่มอะไรแบบใหม่ๆมากกว่าอยู่แล้ว กูแอบเสียดายนะ ตอนนั้นกูเขียนโปรแกรมออกมาเป็น .apk ตั้งหนึ่งตัว แต่เสือกไม่ทำต่อ จนตอนนี้ผ่านมา 7 ปีละ
แต่ก็ลำบากมากด้วยจนถึงตอนนี้เลยเพราะกูไม่มีคอม ไม่มีตัง เพราะตอนนั้นกูมีมือถือ android โง่ๆเครื่องนึงเอง แล้วเสือกไปพยายามหาวิธีเขียนโปรแกรมบนมือถือ ซึ่งแม่งก็มองจากมุมคนมีคอมใช้ คงไร้สาระ
ขอระบาย ย้ายงานมา บ. นึงมาพักใหญ่ พบว่าวิธีการเขียนโค้ดแม่งโคตรโบราณ เช่นใช้ c# แต่ไม่ค่อยจะใช้ lib มาตรฐานๆที่คนใช้กันใน nuget ล่อเขียนเองทั้งหทดทุกโมดูล แล้วการเขียนไม่พัฒนาไปไหนเลย 10-20 ปีที่แล้วเคยทำยังไง ก็ยังคงทำอยู่แต่แบบเดิมๆ
เสนอโซลูชั่นใหม่ๆให้ทำงานได้ง่ายขึ้นก็ไม่เอา ไม่อยากปรับเปลี่ยน
Devops นี่เหี้ยมากตั้งแต่กูเคยเจอเลย มีก็เหมือนไม่มี ทุกคนเขียนใครเขียนมัน git มีก็ไม่ค่อยใช้กัน ตามงานแต่ละที แทนที่จะ push จะ merge ขึ้น แม่งเล่นก็อปใส่แฟล็ชไดร์ฟมาให้ แถมบางฟีเจอร์ใช้งาน service ใช้งาน api เหมือนๆกันก็ไม่รวมใช้ตัวเดียวกันนะ ตั้งแยก ใช้ใครใช้มันไปอีก
ถ้าว่าเป็นโปรเจ็คเก่าๆที่มันปรับการโค้ดยากยังพอเข้าใจ แต่ขึ้นโปรเจ็คใหม่มา แม่งก็เหมือนๆเดิม วนเวียนไปแบบเดิม
อีกอย่างเวลาจะ deploy หัวหน้าก็บอกอยากได้อะไรใหม่ๆทันเทคโนโลยี อยากจะใช้ cloud ใช้ container สุดท้ายก็แป้กเพราะคนในทีมไม่ค่อยอยากเรียนรู้ (ทั้งๆที่มันก็มีเวลา) บอกกูให้สอนนั่นนี่ พอเรียกมาจะเทรนด์ให้พวก CI/CD การ auto deploy การเขียน unit test (เออ มันเขียน unittest กันไม่เป็น) พี่แกก็บอก ยาก ไม่เอาอะ เพิ่มงานเขาเปล่าๆ
สุดท้ายยังไง ก็เป็นกูกับน้องๆในทีมนี่แหละ รับหน้าที่ดูส่วนนี้ ต้องมานั่งเขียน unit test ให้ ดู environment ให้ทั้งหมด สำหรับ production อันไหนไม่ได้ พวกกูก็ต้องแก้ให้เขา ทั้งๆที่ไม่ได้เขียนเอง แล้วโค้ดแม่ง debug ยากสัดๆ 10 คนก็เขียนมา 10 แบบ
บางคนคงสงสัย แล้วทำไมกูไม่วางโครงของโปรเจ็ค แบ่งงานให้คนอื่นดีๆ คือหน้าที่กูไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง มันบังคับใครไม่ได้ ได้แต่เสนอไอเดียเฉยๆ ซึ่งส่วนใหญ่เขาไม่เอากันแหละ
เปรียบเปรยอารมณ์จะคล้ายๆมึงอยากอัพเดตคอมให้ญาติผู้ใหญ่ เป็น window 10 แต่เขาไม่เอา จะใช้แต่ winXP แถมไม่พอ ดันเอา ไอ้ XP มาข่ม win10 ที่มึงจะลงให้เขากลับอีก
>>90 win xp ยังดี เดี๋ยวเจอ 98 โผล่กลางดง 555+
ปัญหาคือ บ.มึงเหมือนไม่ได้ทำเกี่ยวกับด้าาน sw โดยตรงหรือเปล่า ถ้าแบบนั้นก็เรื่องปรกติที่เล่นกันลูกทุ่งแบบนั้น
พนักงานรากงอกเคยใช้วิธีไหนก็วิธีนั้น เพราะมันตอบสนองกับ project ระดับงานที่ไม่ใหญ่มากได้ คือจบ
วิธีที่ดีที่สุดคือ หาที่ใหม่ เจ็บแต่จบ แต่ถ้าเศรษฐกิจยังแย่ ไวรัสยังระบาดก็แล้วแต่
>>91 บอกไปกลัวโม่งแตก ลักษณะงาน ประมาณว่ารับเขียนซอร์ฟแวร์ซับพอร์ต business ให้ลูกค้า เช่นระบบจัดการ user จัดการ workflow ต่างๆ ในหน่วยงานของลูกค้า บางโปรเจ็คถึงขั้น 10k users concurrent ก็มี
กูยังงงมาก ว่าก่อนหน้านี้รอดกันมาได้ยังไง
แล้วที่แย่อย่างนึงคือมันทำงานแบบแบ่งทีมเป็นภาษาที่เขียน ทีมนึง .net ทีมนึง java อีกทีม nodejs อีกทีม python
แล้วแต่ละทีมมันก็จะไม่รู้ภาษาอื่นเลยนะเว้ย แบบสมมติงานที่ dev โดยใช้ java มีปัญหาต้องการคนช่วย จะขอยืมคนจากทีม .net ไม่ได้เลย อ้างว่าไม่เคยทำ เขียนไม่เป็น debug ไม่ได้
นี่ยังไม่นับ SA ที่รู้จักแค่ database ที่ใช้ mssql นะ
พวก noSQL พี่ไม่เอา ไม่สนใจ ไม่อยากทำกันเลย
แล้ว จะให้ dev พี่ก็ไม่ดีไซน์ให้ชัวร์ก่อน คือ dev ก็ทำไป SA ก็แก้ table ไป ข้อมูลที่ไว้ test ก็ไม่มีเตรียมให้ บอกให้ dev ยัดๆไปเลย พอจะขึ้นวง SIT ก็บ่นบอกว่า ข้อมูลที่ใช้ test ไม่สัมพันธ์กับ business
พอมีปัญหาก็โยนมาให้ทีมกูทำอย่างเดียว
ชื่อทีม R&D นะ หน้าที่รับผิดชอบจริงๆไม่ต้อง code หนักด้วย เน้นหาโซลูชั่นมาช่วยให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือทำ poc ให้ sales ไปคุยลูกค้า แต่เอาไปเอามา แม่งโยนมาให้ทำทุกอย่าง ทั้ง dev , deploy, MA แต่ไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียงนะ เพราะไม่ใช่หน้าที่หลักใร JD ไง
สาเหตุคือต้องย้อนกลับไปที่กูบ่นแรกๆ คือคนทีมกูมันเขียนได้แทบทุกภาษา เขาเลยชอบโยนมาให้(ช่วย)ทำ
>>95 30 หมาดๆ คิดว่าคงเปลี่ยนงานได้อีก 2 รอบ
แต่คงไม่ใช่ช่วงนี้อะ ขืนย้ายไป เศรษฐกิจไม่ดี สถานการณ์แบบต้อง work from home แม่งจะเสี่ยงไม่ผ่านโปรมาก
บ.ปัจจุบันกูก็เพิ่งโดนพิษไวรัสไปเหมือนกัน เอางานไปขาย ทำ poc เรียบร้อย เตรียมปิดดีล เตรียมจะเซ็นต์สัญญา โดนบอกว่าขอเลื่อนไปก่อน เพราะ บ. เขาต้องหยุดงานเหมือนกัน
ไวรัสเนี่ย อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มันก็กระทบเหมือนกันนะ เพราะลูกค้าเขารัดเข็มขัดเหมือนกันช่วงนี้ ไม่ค่อยอยากจะลงทุนพัฒนาระบบอะไรเท่าไหร่
กุเริ่มงานมิ.ย. บ.จองรร.ชื่อดังอ่ะนะ เซ็นสัญญาไปละแต่ดูทรงcovidแม่งแย่ลงเรื่อยๆเลยว่ะ กุมีสิทธิ์โดนเขาเทก่อนเริ่มงานป่ะวะ
- test function ไม่มีปัญหา
- automation test ไม่มีปัญหา
- test มือไม่มีปัญหา
- test ในทีมไม่มีปัญหา
- ลูกค้า test ไม่มีปัญหา
-เอาขึ้น production จริง bug มาเลยจ้า wtf
พวกมึง outsource มีปัญหา covid ป่ะวะ กุเป็น outsource เหมือนเขาขอลดเงินว่ะ บอกช่วงนี้ลูกค้าก็แย่
เขาบอกบางที่ทำงานโรงงาน ต้อง hold งาน hold สัมภาษณ์ เลยเหรอวะ เพราะโรงงาน work from home ไม่ได้ อันนี้จริงป่าว
เขาขอลดไปซักระยะนึง พวกมึงเคยโดนกันไหม
ใครมี Api ตัวเเปลภาษาของ Instragram บ้าง อยากได้ มันเเปลรู้เรื่อง
กู >>102 ของกุลูกค้าต่อที่เดิมวะ แต่หัวขอลดกู หัวอ้างว่า(หรือหัวต้องการทำยอดเท่าเดิม ในช่วงไวรัสระบาด? อันนี้กุคิดเองเออเองนะ) ลูกค้าขอลดซึ่งกุก็ไม่รู้ว่าจริงมั้ยเพราะกูไม่ได้คุยเรื่องเงินกับลูกค้า ก็เลยให้เค้าลดไปหน่อยนึง(จริงจะลดเยอะกว่านี้มาก แต่กุไม่ยอม) ช่วงนี้ ขก หางานใหม่ด้วย work from home ยาวๆ ว่ะ อีกเดือนสองเดือน สถานการณ์ดีขึ้นค่อยว่ากัน สู้ๆ พวกมึง
กุขอรุ้เรทเงินเดือนพวกมึงหน่อย ทั้ง os และประจำ(โบนัสกี่เดือนด้วยก็ดี) ประสบการณ์กี่ปี + แนวงานที่ทำ(บริษัททำเกี่ยวกับอะไรด้วย จะดีมาก) กุอยากเปรียบเทียบวะ ขี้เกียจ ไปถามในกลุ่มเฟส เดี๋ยวมีดราม่า
บ.กู พวกอายุ 35+ แม่งไม่ค่อยเอา code ขึ้น git กันว่ะ
บอกให้เอาขึ้นก็บ่ายเบี่ยง ขอเทสก่อน สุดท้าย ส่งเป็นไฟล์ zip มาทางไลน์
ฝั่งคน up มันย้ายสะดวก พวกมักง่ายแอบโยกใส่ github มีประจำ
>>116 เออ ถ้ามันตั้ง local แบบที่ >>114 บอกมันจะรั่วได้ยังไงหว่า เพราะมันเข้าจาก internet ไม่ได้ ต้อง commit จากที่ทำงาน หรือไม่ก็ต้องต่อ vpn
ถ้าจะรั่วคือต้องอัพลง internet เอง ซึ่งปัญหานี้ไม่ว่า git หรือ svn มันก็เกิดได้เหมือนกัน แล้วแบบนี้ svn มัน secure กว่ายังไง หว่า
แล้วพวกส่งโค้ดกันผ่าน line ผ่าน facebook มันซีเคียวกว่าหรอวะ
นี่กูสงสัยจริงๆนะ ขอความรู้ เพราะเหมือนมึงรู้เยอะ มีอ้าง silicon valley ด้วย
นี่กูไม่ได้กวนตีนนะ
>>117 มันมีหรอวะคนที่ทำแบบนั้น ไม่โง่จริงๆ ก็บ้า(หรือมีเจตนาปล่อยความลับ บ.) คือมึงยุ่งยากกว่าเดิมนะ ต้อง clone repo มาจากของ server แล้วก็เอาไปขึ้น github ก่อน แล้วจะทำเพื่ออะไรวะ ? เพื่อสะดวกในการ commit กูว่าไม่น่าใช่ละ ในเมื่อ มึง clone ไปมันก็เป็น local repo ในเครื่องมึง มึงจะเอาโค้ดไปทำงานที่ไหน จะ commit แบบ local แล้ว ค่อยกลับไป push เข้า server ของ บ. ตอนหลังก็ได้
แต่ เอ. . . ไอ้อ้างเรื่องว่า "จะเอางานกลับไปที่บ้านพี่ต้องอัพลง github สิ เพราะพี่ขี้เกียจ vpn" เนี่ย เหมือนกูจะเพิ่งเถียงกับคนๆนึงในที่ทำงานไม่นานมานี้ซะด้วย ตอบคล้ายๆมึงเลย แม่งไม่เข้าใจแล้วก็อ้างเหตุผลปัญญาอ่อนๆ จริงๆ คือไม่อยากให้คน track ว่าวันนี้เขียนโค้ดไปเท่าไหร่
>>111 รั่วได้เหมือนกันหมดนั่นแหละ แุถม svn ยิ่งส่อโค้ดรั่วเลย เคยใช้มาก่อน
เพราะว่ามันทำแบบ offline ไม่ได้เหมือน git มันค่อนข้างจะยุ่งยากในการแชร์โค้ด
ที่ทำงานเมื่อก่อนของกูส่วนใหญ่จะใช้วิธีก็อปทั้งโปรเจ็กมาไว้ในเครื่องตัวเอง แล้วก็โค้ดกัน ตอนโปรดักชั่นก็มารวมโค้ดกันข้างนอกด้วยมือแล้วเข้าเอาขึ้นเซิร์ฟเป็นซับเวอร์ชั่น เพราะไม่อยากไปยุ่งกับโค้ดข้างบนมาก กลัวมันพัง จะก็อปไฟล์กันผ่านแฟรชไดร์ฟก็ไม่ได้ เครื่องในออฟฟิศเขาไม่ให้ก็อปข้อมูลออก ก็แชร์ผ่านพวกแชร์ไดร์ฟไป
ส่วนคนที่ต้องเอาโค้ดไปทำที่บ้าน ใช้โน็ตบุ้คตัวเองไม่อยู่ในโดเมนมันจะก็อปไฟล์ไม่ได้ บ. ไม่ได้ ก็อาศัยส่งเข้าอีเมล์ตัวเอง แล้วสมัยก่อนเมล์มันจำกัดขนาดไฟล์ ก็ต้องแตก rar หลายๆพาร์ท บางคนมักง่ายแบบกูก็อัพลงเว็ปฝากไฟล์ mediafire เลย
โม่งบางคนแม่งเหมือนคนที่เคยใช้แต่โทรศัพท์แบบปุ่มกดอะ ชาวบ้านเขาเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนกันหมด แต่ตัวเองไม่อยากเปลี่ยน แล้วหาข้ออ้างว่าสมาร์ทโฟนไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ไปคิดเอาเองละกัน
สภาพแวดล้อมแต่บริษัทมันไม่เหมือนกัน เนื้อหางานก็เซนซิทีฟไม่เท่ากัน มึงจะเอามาแซะกันทำไม
>>124 จริงนะ ต่อให้อีกอันมันจะดีกว่าแค่ไหน แต่ user ไม่ยอมใช้ แม่งก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ก็กลายเป็นของไร้ค่าไป
แล้ว git แม่ง ถ้าเริ่มแรกๆมันก็จะงงๆ วุ่นวายกับชีวิตมากด้วย ต้องเรียนรู้นิดนึง เอาจริงๆ ที่ทำงานใหม่กูก็ไม่ได้ใช้ เพราะโปรเจ็คมันเล็กๆ ก็ส่งโค้ดกันทางไลน์นี่แหละ
แต่กูเห็นบางคนบอกข้อเสียเรื่อง security ของ git กูก็เพลียหมือนกัน ดูตอบคอมเม้นท์นี่คือไม่ได้มีความเข้าใจเลย แต่ก็พยายามมาดิสเครดิตในสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นเคย
ไม่ใช่ git = ประหาร
ขอแชร์ของกูต่อ
คือก่อนขึ้นโปรเจ็คก็คุยกันว่าให้ทุกคนเอาโค้ดขึ้นกิต แต่มีคนประมาณเกือบครึ่งไม่ยอมเอาลง หัวหน้าก็พยายามจะตรวจโค้ดในกิต แต่มันไม่มีคนใช้ สุดท้ายก็ล่ม กลับไปใช้งานแฟลชไดฟ์เหมือนเดิม แล้วตอนนี้โดน wfh แม่ง wtf มาก รวมโค้ดแต่ละทีหืดขึ้นคอ ลากยาวมากลางคืนไลน์นี่เด้งจนกูไม่ได้นอน
ส่งไฟล์กันทาง flash drive นี่งานกลุ่มเล็กๆสมัยเรียนตรียังปวดหัวกันแทบตายเลย...
ที่บริษัทเดิมกูยังใช้ source safe อยู่เลย พวกมึงเคยใช้มั้ย เฉพาะโปรเจคเก่านะ มีเยอะด้วย แต่เป็นโปรเจคขายได้เรื่อยๆด้วย แม่งจะ maintain ทีนี่หอบขึ้น(ซึ่งแต่ละไซต์ก็ require ไม่เหมือนกันเลย) นุ้นนี่นั่นไม่รองรับบ้าง เสียเวลาชิบ
มีใครใช้ CPU AMD มั่งป่ะ กูเห็น AMD ออก Zen 2 สำหรับ notebook แล้วน่าจะได้ notebook ดีๆในราคาที่ถูกลงเยอะ
แต่เคยเห็นโม่งในห้อง PC บอกว่า AMD Driver CPU ห่วย กับมีเพื่อนบอกว่างานเขียนโปรแกรมมันสู้ Intel ไม่ได้
ถ้ากูจะใช้จริงนี่ควรระวังอะไรมั่ง
>>134 กูใช้ ryzen5gen2 เท่าที่เขียนมาด้วย dotnet razor js nodejs html python tensorflow แล้วก็ลองใช้เป็นเครื่อง master เทสของ k8s ไม่มีปัญหาอะไร
ที่ยังไม่ลองคือเขียนลง mobile พวก react-native flutter
เห็นมีพี่ที่ทำงานบอกมันมีปัญหาเรื่องใช้งาน emulator ของ android มันจะใช้งานบางฟังชั่นไม่ได้ แต่กูยังไม่ลอง ได้ยินมาเฉยๆ
>>134 เพื่อนกุจัดมา ryzen 5 3500U ที่มันเป็นการ์ดจอแบบแชร์ ไม่รู้เป็นทุกรุ่นที่ใช้ ตัวนี้ หรือ เฉพาะรุ่นที่เพื่อนกูซื้อมา แม่งเว็บบราวเซอร์เล่นวิดีโอ ทั้ง ยูทูป เฟส ฯลฯ แม่งภาพ วิดีโอเขียวบ่อยวะ เอาไปเคลมภายใน 7 วันทางร้านเปลีย่นเคื่องให้ก็ไม่หาย ใครใช้ cpu รุ่นเดียวกัน มาตอบหน่อย เป็นอาการนี้กันไหม
Technical Debt คือไรอ่ะครับ เจอในข่าวบ่อยมาก
>>141 ในก็อนาคตก็... เท่าที่ดูข่าว มันบอกการจะทำ backup ข้ามค่าย ios, android เป็นเรื่องยาก ต้องใช้ทรัพยากร และอื่นๆอีกเยอะ มันเลยไม่ทำ เหตุผลก็น่าจะเป็นอันเดียวกับ tech debt ที่ด้านบนๆ บอก ขนาดตอนนี้รูปที่ส่ง กับ วิดีโอยังมีหมดอายุเลย กุละเซง แล้วก็ใช้กันเยอะอีกไทย
>>141 https://www.blognone.com/node/113349 เอาไปอ่านดู มันบอกขาดตังเลย backup ข้อความไม่ได้ด้วย wtf
ตอนนี้ Work from home กูเปลี่ยนช่องทางคุยงานจาก line เป็น discord ละ ฟังก์ชั่นครบกว่า
แต่คนแก่ๆ เขาก็ถนัดใช้ line กว่าอยู่ดี กูว่าเพราะมันใช้ง่าย ไม่ต้องสมัครเมล์อะไรวุ่นวาย ขอแค่มีเบอร์มือถือ
ส่วนตัวกูชอบ telegram เพราะมันเบาไม่หนักเครื่องดี
ที่ออฟฟิศใช้ Work Chat เป็นหลัก แต่เวลา VDO con ใช้ MS Team อ่ะ
ตอนอยู่ออฟิศใช้ line ตอนนี้ line + skype ว่ะ
พี่ๆ ครับ ในการทำงานจริงปัจจุบันนี้ภาษา JAVA ยังใช้กันอยู่มั้ยครับ หลักสูตรที่ ม.เป็น JAVA แต่เท่าที่ลองดูเนื้อหามันเก่ามากเลย ผมไม่รู้ว่า บ.ทั่วไปเขายังใช้กันอยู่(อย่างที่ อ.บอก)จริงๆ หรอ ผมควรจะทุ่มเทกับ JAVA หรือเรียนแค่ให้พอผ่านรับวุฒิ แล้วเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับภาษาอื่นดีครับ เช่น Python นี่มีอนาคตกว่าหรือเปล่าครับ
>>150 Java ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่จริง แต่เหลือใช้ในองค์กรใหญ่ๆซะมาก บริษัทเล็กๆ startup แทบไม่มี
ในอนาคตองค์กรใหญ่ๆน่าจะยังใช้ไปอีกนานมาก ความนิยมน่าจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆในระยะยาว แต่ก็ไม่ตายสนิท
เรื่องเนื้อหาเรียนในห้องพยายามทำความเข้าใจในแง่ concept ไป อย่าไปยึดติดกับตัวภาษามาก
https://www.blognone.com/node/115919 จริงๆทำออกมาสกุลเดียวก็จะกลายเป็น บิตคอยไปอีก 1 เจ้าเท่านั้นเอง
พวกมึง wfh มีให้ช่วยทำฟรีเสาร์ อาทิต์บ้างป่าววะ กุเป็น outsource แม่ง
หรือพวกพนักงานประจำ มีให้ช่วยทำฟรีมั่งป่าวเสาร์อาทิตย์
>>154 กู พนง.ประจำ wfh ที่ผ่านมาก็โดน ขอให้ทำ ส.-อ. และกูทำ 7 โมงเช้า-ตี 4 เลยด้วย ซึ่งกูก็ไม่บ่ายเบี่ยงอะไร เพรายังไงก็ต้องทำไม่งั้น บ.รายได้หายหลักล้านว่ะ แต่กูเจรจากับหัวหน้าสาขา งานเสร็จขอพักนะ เค้าก็ ok อยู่
แต่ถึงกระนั้นก็ตามถึงวันหยุดตามที่ตกลง ก็ไม่ได้พักอยู่ดี โดนลากไปประชุม แต่กูก็เฉยๆ นะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเอาเปรียบอะไรหรอก บ.ขายได้เยอะ สุดท้ายก็เพิ่มเงินเดือน สวัสดิการให้กูอยู่ดี ที่ผ่านมาก็ขึ้นเงินเดือนให้กูปีละ 2 รอบ แถมพาไปเที่ยว ตปท.ออกค่าทัวร์ให้หลายอยู่
Futureskill เป็นไงบ้างวะ ใครเคยเรียน
กูต้องย้ายงานแล้วที่ใหม่เริ่มเดือน 7 แล้วที่นี่ต้องเอาคอมมาเอง
อยากได้ Ultrabook Ryzen 4000 (5 หรือ 7 ก็ได้ แต่อยากได้ 7 มากกว่า) มี M2 NVMe RAM 16 GB
จริงๆอยากได้ Acer Swift 5 แต่ไม่รู้จะทำรุ่น AMD ขายรึเปล่า รุ่น Intel Gen 10 ตัวท๊อปก็ราคาแรงไป
มีรุ่นไหนแนะนำบ้างมั้ย
>>162 ถ้าให้กูแนะนำ กูคงแนะนำ Macbook Pro ว่ะ กรณีที่มึงไม่มี software เฉพาะ บน win ที่ต้องใช้เป็นพิเศษนะ
ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะอัตราส่วนจอเป็น 16:10 ดู code ง่ายดี และไอ้พวกปัญหาจุกจิกเวลาใช้น้อย ระบบ backup ง่ายและสะดวก
แต่ก็นะนานาจิตตังว่ะ เลือกซื้อเครื่องรุ่นอะไร OS ไหนก็ตามสะดวกกับมึงเถอะ แต่แนะนำไว้หน่อย ถ้าเครื่องหากินอย่าดูแค่ตัวเลขเสป็คอย่างเดียว ให้ดูพวก keyboard แสงสะท้อนจอ การวางมือด้วย เพราะเป็นเครื่องที่ต้องอยู่กับมันวันละหลายชั่วโมง
พวกมึงใครเคยทำ web dev ที่ easy buy มั่งวะ เป็นไงมั่ง สวัสดิการ เงินเดือน ฯลฯ
Notebook ที่ใช้ทำงาน โค้ดดิ้ง etc+เล่นเกมได้ด้วยซื้อรุ่นไหนดีครับเพื่อนๆ
>>163 Mac ราคามันค่อนข้างเกินงบกูน่ะ เรื่อง software เฉพาะ Win ที่ตัวกูเองใช้ปกติไม่มี
แต่ระบบ authen ของบริษัทมัน support เฉพาะ Win (ตอนสัมเค้าบอกว่างั้น)
เรื่อง keyboard กูไม่ซีเรียสมาก เพราะปกติต่อ keyboard แยกอยู่แล้ว
เวลาที่ใช้โดยไม่ต่อน่าจะไม่บ่อย เช่นหิ้วคอมไปทำงานในห้องประชุม หรือเอาคอมไปทำงานร้านกาแฟนานๆที
>>165 แต๊งมาก ปกติไม่เคยดูตระกูลนี้มาก่อน ดีตรง custom ได้นี่แหละ แต่ต้องเผื่อเวลาสั่งล่วงหน้า
เสียแต่ X1 ไม่มี AMD ถ้ามี AMD มันน่าจะถูกกว่านี้ได้เยอะ ส่วน T495 ดันมีแต่ Ryzen 3000 อีก
ลองไปหาข้อมูลเพิ่มมี T14s, T14 ที่จะมี Ryzen 4000 แต่เห็นว่ากว่าจะขายก็เดือน 6 นู่นเลย ไม่รู้ว่าจะทันมั้ย
Notebookรุ่นใช้devดี+เล่นเกมได้มั่งอ่ะเพื่อนๆ เครื่องเก่าMsiมันจะห้าปีละไม่รู้จะพังวันไหนเลยอยากลองดูตัวใหม่ไว้ก่อน
กูเป็น outsource ทำงานให้บริษัทใหญ่แห่งนึง แล้วทีนี้ลูกค้าเค้าบอกกูว่าบริษัทกูหักค่าหัวคิวเยอะ
เค้าเลยเสนอว่าอยากเปลี่ยนหัวมั้ย แล้วเค้าก็หามาให้ที่นึง ซึ่งจะได้เงินเดือนเพิ่ม 5000 แต่ต้องซื้อคอมมาทำงานเอง
ซึ่งกูก็คิดว่ายอมซื้อใหม่ก็ได้ เพราะคอมบริษัทมันห่วยมาก ถือว่าเพื่อคุณภาพชีวิตเพราะของใช้ทำงานทุกวัน
เท่าที่ลองเอาชื่อบริษัทมา search ไม่เจอข้อมูลเลย เดาว่าน่าจะบริษัทเล็กๆ
แต่กูก็ไม่ติดอะไรนะตราบเท่าที่เค้าจ่ายเงินเดือน เพราะไม่ได้ทำงานด้วยกันโดยตรงอยู่แล้ว
กลายเป็นตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัวๆแล้วว่าควรย้ายดีมั้ยวะ กลัวย้ายไปแล้วมีปัญหา ยิ่งช่วงนี้หางานใหม่ยากด้วย
คำว่าเพิ่ม 5 พัน มันแล้วแต่กรณีด้วย ถ้าฐาน 6-7 หมื่น ย้ายแล้วได้เพิ่ม 5 พัน... อันนี้จะย้ายทำด๋อยอะไร แต่ถ้าฐาน 2 หมื่น ได้เพิ่ม 5 พันอ่าก็ดูเยอะนะ
แต่กูให้คำตอบแบบนี้ดีกว่า
1. มึงควรหางานใหม่นะ
2. แต่บริษัทที่มึงคิดจะย้ายไปทำดูไม่ดีเลยว่ะ ไม่ปั่นประสบการณ์แล้วค่อยหาที่ดีกว่านี้เหรอ ไอ้ที่เสนอมามันดูกระจอกเกินไป กลัวว่าสวัสดิการจะไม่มีอะไรเลยน่ะสิ
ส่วนทำไมกูคิดแบบนั้น เอางี้
ถ้าคิดในแง่เบสิกสุดนะถ้าบริษัทจะอยู่รอดได้ โดยเฉลี่ยเซลล์ 1 คนมันต้องขายงานระดับกลางที่หักกำไรแล้วได้เงิน 3-4 แสนต่อเดือน ถึงจะสามารถ เช่าห้องอาคารสำนักงานระดับเล็กใจกลางเมือง ที่มีคนงาน 20 คนได้ แล้วต้องมีโปรเจคระดับล้านทำกันหลายเดือนหน่อยไว้กินระยะกลาง ดังนั้นคอมตัวนึงไม่กี่หมื่น บริษัทระดับแค่นี้ซื้อแจกได้สบาย แต่นี่ให้ซื้อคอมมาทำงานเองโคตรตลก
>>170 เทียบกับฐานแล้วมันดูไม่เยอะมากก็จริง แต่มันก็คือเงินเพิ่มน่ะ ตอนแรกกูก็คิดซะว่าได้เอาไปเป็นส่วนลดค่าคอมซึ่งอยากซื้ออยู่แล้ว
จริงๆกูเดาเองว่าเพราะมีเรื่องโควิดลูกค้าถึงยื่นข้อเสนอนี้ให้ เค้าน่าจะต้องจ่ายให้เจ้านี้น้อยลง
แต่กูได้เงินเพิ่มเพราะเค้าคิดส่วนต่างน้อยลงมากด้วย
แล้วกูก็ไม่ค่อยกล้าปฏิเสธลูกค้า เพราะกลัวว่าเค้าจะมองว่าค่าตัวกูแพงไปไม่คุ้มสำหรับช่วงต้องประหยัดเลยไม่จ้างต่อ
เรื่องบริษัทใหม่ดูไม่ดีก็ใช่แหละ แต่กูคิดสวัสดิการทั้งที่ใหม่ที่เก่าไม่มีอะไรเลยเหมือนกันทั้งคู่ ดูเผินๆก็น่าจะไม่เสียอะไรนอกจากเรื่องคอม
เนื้องานที่ทำก็งานเดิม ถ้าไม่แจ๊คพอตเจออะไรที่เหี้ยมากๆก็น่าจะโอเค แต่กูก็ยังกลัวๆอยู่
เรื่องคอมบริษัทพวกนี้หากินกับค่าหัวคิวเป็นหลัก ในมุมคนทำงานอาจจะมองว่าเค้างกก็จริง แต่ในมุมบริษัทจะให้เค้ายอมจ่ายนี่ยาก
แล้วบริษัทเก่าที่ยอมให้คอมนี่เครื่องที่ได้ก็สเปคต่ำมากจนใช้งานทั่วไปยังช้า ไม่ต้องพูดถึงรัน tool เขียนโปรแกรมต่างๆ
outsource คนอื่นที่มาจากบริษัทอื่นก็เจอเหมือนๆกันหมด ทุกคนใช้คอมตัวเองกัน มีกูคนเดียวที่ทนใช้คอมบริษัท
นอกเรื่องนะ
แต่จากประสบการณ์ที่กูทำมา กูว่างาน outsource ส่วนมากมันงานกรรมกรยังไงไม่รู้ว่ะ
เพราะคนจ้างเค้าไม่ส่งโปรเจค ใหญ่แบบต้องประเมินคิดเองวางโครงเองตั้งแต่ต้น มันเหมือนงานรับทำส่วนย่อยๆ แบบคำนวณแล้วว่าไม่เกินเท่านี้ๆ แล้วค่อยโยนมาให้ทำเหมือนรูทีนซะมากกว่า
มัน ok ที่ต้องตามเรื่องใหม่ๆ แต่มันก็ได้แค่ตาม ไอ้พวกโปรเจค r&d สร้างนวัตกรรมเอง ประสบการณ์ส่วนนี้มันได้น้อยมาก
ถ้าจะเอาแบบ ประสบการณ์ level + ไว กูว่างานบริษัทพวกเอเจนที่ขาย software แบบพัฒนาตามความต้องการลูกค้าไปไวกว่า อันนี้ความกดดันคนละแบบ คือมึงต้องทำได้ทุกอย่าง รวมถึงขายงานเองด้วย งานด่วน งานบีบเวลา แล้วแต่เจรจาเองเลย ต้องวางแผนตั้งต้นเองเลยว่าซื้อเครื่องมือเท่าไหร่ ยังไง หา supplier เจ้าไหน ทำเองแค่ไหน
กูทำงานประจำ ที่ออฟฟิศมีแมคบุ๊คให้ แต่กูก็มี pc ไว้เล่นเกมทำนู่นนี่ก๊อกๆ แก๊กๆ ฝึกอะไรของตัวเองไปด้วยนะ ไม่รู้ว่ะกูว่าของมันต้องมีติดตัวไว้อ่ะ
ไอ้ซื้อเครื่องส่วนตัวกูเชื่อว่าต้องซื้อกันทุกคนอยู่แล้ว
แต่คำว่าบริษัทมีเครื่องทำงานให้หรือบังคับให้เจ้าตัวซื้อแล้วขนมาเอง อันนี้มันต่างกันว่ะ มันหมายถึงสวัสดิการนะ
แถมการซื้อ software แบบต้องจ่ายรายเดือนหลายตัว ทั้งที่ไม่ได้ต้องการใช้เองเลยก็ไม่ดีนัก
>>174 เหมือนกูโชคดีมั้ง คือเป็น outsource ที่โชคดีได้ทำงานใน Agile Team อยู่ไปยาวๆ ไม่ได้จ้างเป็นโปรเจค
แต่มันก็ค่อนข้างโดนตีกรอบจากการ design ของ SA, standard ขององค์กรลูกค้าที่หลายอย่างก็ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล
แต่ก็ไม่ได้ทำงานในมุม manage project เองหรอก
>>177 กูก็มีคอมของตัวเองนะ แต่เป็น gaming notebook ซึ่งมันโคตรหนัก และไม่อยากทิ้งไว้ออฟฟิซด้วย
จะแบกกลับทุกวันก็หนักไปเลยอยากได้อีกเครื่องต่างหากเบาๆ สำหรับย้ายที่เวลาไปประชุมกับหิ้วกลับบ้านได้ง่ายๆ
อีกอย่างคืออยากแยกเครื่องที่ไว้ทำงานกับเล่นเกมหนักๆเป็นคนละเครื่องด้วย
>>178 outsource บางที่เค้ามองว่ามันก็กึ่งๆเป็น freelance อ่ะมึง คือถ้าบริษัทไม่ค่อยมีพวกนี้ให้แต่เงินเดือนจะเยอะ
คือเค้ามองว่าจ่ายเงินเยอะแล้วจบ ที่เหลือคือจะใช้ทำอะไรคือไปบริหารกันเอง
พวก tool ทำงานเสียตังก็แล้วแต่คน บางคนก็จ่ายเพราะมองว่าเพื่อคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดี บางคนก็ crack เอา
กูโชคดีที่ tool ทำงานใช้ของฟรีได้หมด
พวกมึง outsource เค้า blacklist กันด้วยทำโปรเจคไม่จบเหรอวะ แบบหมดสัญญาแล้ว แต่โปรเจคไม่จบ
และเราไม่ต่อสัญญาไรงี้
บ่นระบายหน่อย ล่าสุดกุทำ project นึง คือ ทั้ง
unit test ก็แล้ว
integrated test ก็แล้ว
ui test ก็แล้ว
function query builder ตรูก็แยกแล้ว test แล้ว test อีก
up ขึ้น production ok เหมือนจะรันได้ไม่มีปัญหา
production ขึ้นของจริง พอผ่านมา 1 เดือน bug โผล่สัด สุดท้ายโดนด่าเสียหมาเลยตรู orz
ไม่จบมหาลัยแต่ถ้าศึกษาเก็บไปภาษาเดียวพอทำงานเรียกเงินได้ถึง15k มั้ยวะ
>>184 ปกติงานโปรแกรมเมอร์มันควรจะได้เงินเกิน 15k อยู่แล้ว
เรื่องได้ภาษาเดียวปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ภาษาเดียว มันขึ้นอยู่กับว่าที่ๆเข้าไปทำงานใช้ภาษาอะไรทำงานมากกว่า
ถ้าตรงกับที่เค้าใช้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร (ถ้าไม่ได้เป็น full stack)
เรื่องจบตรีนี่ขึ้นอยู่กับว่าที่ๆทำงานเค้าใจกว้างรับรึเปล่ามากกว่า ซึ่งในไทยคือหายากหน่อย
>>184 ถ้าถามแบบนี้ตอบเลยว่าไปเรียนให้จบซะ ม.ไก่กา รับนอกเวลาเยอะแยะ
ทำไมน่ะเหรอ ที่ทำงานไม่ได้ต้องการคนเขียนโปรแกรมเป็น แต่ต้องการคนเขียนโปรแกรมแล้วใช้งานได้ คือ ต้องค่อนไปทางเก่ง ระดับชำนาญแล้ว และภาษาก็แค่เครื่องมือที่สำคัญคือ วิธีทำวิธีสร้าง ต่างหาก
ส่วนถ้าเก่งระดับที่ไม่ต้องจบมหาลัย อันนี้คงไม่มาถามแบบนี้ เพราะเก่งจริงขายงานเองได้สบาย ที่วางขาย software มีเยอะแยะ วันไหนเบื่อๆ จะทำงาน freelance ข้ามโลกเลยก็ได้
ถ้าเป็น OS คิดว่าจะได้ทำงานแบบ Agile ตลอดฝันกลางวันชัดๆ
องค์กรในไทยเล็กใหญ่เหมือนกันหมดเปลี่ยน requirement กลางทางตลอดและจะเอาไวๆ บางครั้งแค่จะเขียน unit test ยังไม่มีเวลาเลย ต้องข้ามไป integrated test ไม่ก็ ui test ตลอด ยกเว้นจะได้พัฒนาระบบที่เอาไว้ขายชาวบ้านเองโดยตรงก็ว่าไปอย่าง
ปล. เหี้ยสุดที่กุเคยเจอก็ประเภทงานกุตีไป 2 อาทิตย์ โดนปรับเวลาเหลือ 3 วัน เชี้ยมาก
ถ้าทำงานประเภทบริษัทเอเจนซี่ที่มีโปรแกรมเมอร์ภายใน งานประเภทที่ไปรับจ๊อปไล่ปิดโปรเจคลูกค้า พวกมึงได้จะรู้ว่าคำว่า agile คือตำนานเมือง ประมาณได้ยินชื่อแต่ไม่เคยใช้จริง งานเปลี่ยนได้ตลอดแหละ ประมาณสร้างบ้านเสร็จรื้อเสาออกต้นนึง ต่อไม้กระดานบางๆ แผ่นเดียวออกด่านฟ้า แล้วบนไม้กระดานบางๆ เสือกให้สร้างห้องครัวต่อ unit test เหรอ integrated test เหรอ ui test เหรอ ไม่เคยได้ยิน งานสั่งเย็นวันนี้ก่อนเลิกงาน 5 นาที แต่เอาเช้าพรุ่งนี้ manual test ได้ซัก 3 รอบก็เก่งแล้ว
แล้วทำที่ไหน? บน production จริงเฟ้ย ไม่มีตัว local test แล้วห้ามผิด ผิดเมื่อไหร่โดนด่าประมาณจะไล่ออกเลยทีเดียว เพราะ production จริงมีเงินหลายล้านวิ่งอยู่ต่อวัน transaction update ทุก 10 วิ
ใช่ๆ แม่งทำงานเหมือนคนไม่รู้งาน ถ้ามึงทำพลาดเจอค่าชดใช้ หัวโกร๋นพอดี
ใครเป็นมั่งวะ ตอนเรียนเขียนโปรแกรมแทบไม่รู้เรื่องไรเลย เรียนจบมาแบบงูๆ ปลาๆ สอบเขียนโค้ดบนกระดาษแต่ละวิชาทำแทบไม่ได้ โปรเจคจบคือ มานั่งคิดตอนนี้ มันง่ายมากเลย แทบไม่มีไร ทำไปได้ไง ตอนสัมภาษณ์แทบไม่อยากพูดถึงโปรเจคจบ
...แต่มารู้เรื่องตอนทำงาน (เรียนจบก็อ่านหนังสือ หาข้อมูล ก่อนเริ่มสัมภาษณ์งานที่แรกประมาณนึง) แล้วก็กลับไปคิดว่า ทำไมตอนเรียน เรื่องแค่นี้เราไม่รู้เรื่องว่ะะะะ ??????
โม่ง ป.ตรี สาขา MIS สมัยนี้ถือว่าตกยุคไหมวะ? จบมามันทำงานเขียนโปรแกรมได้ไหม? หรือมันควรไปสายธุรกิจ/การตลาดมากกว่าวะ?
พวกมึง outsource หรือไม่ outsource พอจะรีวิวเงินเดือนตัวเองได้ป่าว ปสก กี่ปี ประเภทงาน เงินเดือน
กุเปิดก่อน .net outsource ปสก 3 ปีนิดๆ เงิน 45000
กำลังจะหมดสัญญาว่าจะเรียกซัก 55000 พวกมึงคิดว่าไงวะ
>>199
- Data Structure กูว่าแล้วแต่ภาษา ถ้าอย่าง Java รู้ในระดับใช้เป็นก็พอ
มากกว่านั้นใช้ของให้เหมาะกับงาน ลักษณะและปริมาณข้อมูลที่ต้อง process ก็ดี แต่ปกติไม่ได้ยุ่งกับข้อมูลเยอะๆมันไม่มีผลมากขนาดนั้น
แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ขนาด implement เองได้ หรือรู้ว่าข้างในเป็นยังไงแบบลึกๆหรอก
ส่วน JS เท่าที่กูเคยใช่มารู้แค่ใช้เป็นก็พอ มันไม่ได้มีให้เลือกหลายหลายแบบ Java กูเข้าใจว่า Interpreter มันน่าจะปรับให้เองตามความเหมาะสม
- Database ถ้าทำงานหลังบ้านน่าจะได้แตะเกือบทุกงาน หน้าบ้านบางงานอาจจะไม่ต้องใช้ แต่มันก็ไม่น่าเรียนเองยากนะ
เรียนในห้องมันเน้น concept ก็พอ การทำงานถ้าแบบจริงๆจังๆมันก็ต่างไปตามแต่ละ database อีก
- OS ไม่น่าจะต้องรู้ถ้าไม่ได้ทำงานเฉพาะทาง
>>201 Outsource Java ปสก 7 ปี นิดๆ (มั้งนะ เบลอๆแล้วว่าตัวเองเริ่มทำงานเมื่อไหร่) เงินเดือน 65,000 สวัสดิการไม่มี
กูเปลี่ยนจากประจำมาเป็น Outsource 3-4 ปีก่อน ขอเงินเดือน 50,000 ก็สัมภาษณ์ลูกค้าหลายเจ้าหน่อยกว่าจะได้ที่ๆเค้าโอเค
ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้วถ้านับปัจจัยเงินเฟ้อน่าจะขอได้นะ แต่อาจจะต้องดูปัจจัยเรื่อง ศก. ช่วงนี้ไม่ดีด้วย
>>201 ประจำเงินเดือน 60k กว่าๆ เท่าไหร่ไม่รู้จำไม่ได้ ปสก. 9 ปี ทำในส่วน web อย่างเดียว เลือกเครื่องมือเอง ส่วนมากช่วงหลังใช้ wp เผางานส่งด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำเพิ่มเติมคือต้องทำงานร่วมกับเซล ไม่เชิงไปขายงานโดยตรง แต่ประเมินพวกค่าใช้จ่ายเวลา ความเป็นไปได้ มากกว่า
สวัสดิการ โบนัสอย่างน้อย 1 เดือน พาเที่ยว ตปท.ปีละครั้ง น่าจะงบต่อหัวประมาณ 40-50k พาเลี้ยงบุฟเฟ่หรูประเภทหัวละ 2k เดือนละรอบ ช่วงโควิตเค้าให้ตังค์แทน มีประกันสุขภาพน่าจะเป็นเบี้ยจ่ายทิ้งให้ปีละหมื่นมั้ง ง่ายๆ คือเอาไว้ทำฟันฟรี ตรวจสุขภาพปีละครั้ง ส่วนเข้า office จะเข้าหรือไม่เข้าก็ไม่ไม่ซีเรียสว่าง่ายๆ งานเสร็จพอ แต่ office ก็ไม่ได้ไปลำบากเพราะอยู่ติดรถไฟฟ้านะ
สอบถามหน่อย exxon กับ kbtg เป็นไงมั่ง เงินเดือนประมาณเท่าไหร่
เวลาจะขึ้น พวก framework ใหม่ๆ พวกมึงศึกษากันไงวะ แบบหาเรียน tutorial หรือพวก get started จาก official web แล้วลุยโปรเจคจริงเลยป่าว กุคิดอยุ่ เหมือนต้องอัพสกิลวะ พวกแม่งหาแต่ full stack
แต่พวก framework หรือของใหม่ๆ ไม่เคยทำโปรเจคแบบใหญ่ๆให้ user ใช้งานจริงๆ เลยไม่รุ้จะเริ่มต้นยังไง
>>207 สำหรับกู
1.อ่าน get started จาก official web
2.เปิด udemy คอสกากๆ อะไรก็ได้ในงบ 300 เน้นแบบชั่วโมงน้อยหน่อย เอาแบบรู้คอนเซ็ป
3.อ่าน get started จาก official web แบบละเอียดอีกรอบ เน้นอ่านเรื่องส่วนการรักษาความปลอดภัย
4.ลุย project จริง
อาจจะฟังดูเหมือนมักง่ายไปหน่อยสำหรับ แต่ project หลักล้านกูก็ทำแบบนี้ล่ะ
เวลาสมัครงานโปรแกรมเมอร์เอา portfolio ให้ดุไหม รึแค่ส่ง cv ไป
ถ้ามี portfolio จัดการการยังไง เปิดโปรแกรมโชว์ หรือแคปรูปมาแปะ
ใครเคยทำ outsource เขียนโปรแกรมที่ ปตท. mrt พหลโยธินมั่ง เป็นไง เคยได้ยินคำร่ำลือว่า มีหลายทีม บางทีมอยุ่ดึก บางคนเข้าไปไม่นานก็ออก มันจริงป่าวว่ะ
ถ้าจะหา part time ทำหลังเลิกงานนี่หาจากไหนได้มั่งวะ
ทำงานที่เดิม โปรเจคใหม่ business คล้ายของเดิม tech เดิมๆ + เงินให้มากกว่าที่ใหม่หน่อยนึง อยุ่นี่ก็สบายๆ เพราะอยู่มานาน
ทำงานที่ใหม่ tech ใหม่ แนวโปรเจคใหม่ tech ที่ใช้เป็นที่ต้องการของตลาด(ช่วงนี้และอนาคต) มากกว่า แต่เงินเดือนน้อยกว่าหน่อย
พวกมึงคิดว่าแบบไหน อนาคตดูดีกว่ากัน
ปล outsource ทั้งคู่
ว่าแต่ยุคนี้เวลาโยนข้อมูลในโปรแกรมตัวเองนิยมใช้เป็น Json หมดแล้ว
แต่ทำไมเวลาเขียนโปรแกรมรับข้อมูลจากโปรแกรมอื่น หรือจากระบบอื่นทำไมยังนิยมรับเป็น XML อยู่
กู >>162 สุดท้ายก็ทนยอมซื้อ Swift 5 ตัวท๊อป มาตอนปลายๆเดือน 6 เพราะเวลาไม่เหลือให้เลือกเยอะแล้ว และมีโปรลดราคานิดหน่อยพอดี
มันก็เบามากสมกับที่เป็นจุดขายของรุ่นนี้ กับดีไซน์สวยดี แต่แลกมาด้วยราคาต่อสเปคที่ไม่ค่อยคุ้ม
มาวันนี้เจอ MSI Modern 14 ประกาศรุ่น AMD หนักกว่ากัน 3 ขีด ราคาถูกกว่ากันหมื่นกว่าๆ แรม 8 แต่มี slot ว่าง ซื้อเพิ่มมาใส่เองก็พันนิดๆ
ของอย่างอื่นที่เครื่องกูดีกว่าก็เป็นของไม่ค่อยได้ใช้หรือมีผลต่างน้อยทั้งนั้น อย่าง touch screen, Thunderbolt, WiFi 6, MX350
รู้สึกโคตรเซ็ง ถ้ามันออกเร็วกว่านี้หน่อยกูก็ประหยัดเงินไปตั้งเยอะแล้ว
ปกติต้นสังกัด(recruit) outsource เขาได้เงินเป็นก้อนแล้วไปแบ่งกับ โปรแกรมเมอร์เอง หรือได้ % จากเงินเดือนที่ตกลงกับลูกค้าวะ
สมมติได้จากลูกค้า 100,000 แล้วแบ่งให้โปรแกรมเมอร์ 50k หรือตามตกลง(โปรแกรมเมอร์กับ recruit ตกลงกันเอง)
หรือ โปรแกรมเมอร์เงินเดือน 50k ต้นสังกัดอาจจะได้ซัก 30% ของเงินเดือนโปรแกรมเมอร์จากลูกค้าคือ 15,000 แบบนี้
ส่วนใหญ่เขาเป็นแบบไหนกัน
ใครเคย onsite ที่ ปตท วิภามั่ง บรรยากาศเปงไง
เงืนเดือนเกินแสนกันปกติเลย โปรแกรมเมอร์
มีโปรแกรมเมอร์คนไหนอยากร่วมทีมทำโปรแกรมขายไหมครับ ผมคุยฝั่งธุรกิจ คุณเขียนโปรแกรม ถ้าธุรกิจทำกำไรได้เราแบ่งกันครึ่งนึง ถ้าธุระทำกำไรไม่ได้คุณทำฟรี
>>223 ทำด้วยก็ควายเต็มที่ ฝั่งธุรกิจที่มีความเป็นไปได้ ต้องเผาเงินดึงคนเข้า platform ได้ ไหนจะค่า server รองรับคนเยอะ ค่า ads ซึ่งปรกติแล้วค่าพวกนี้แพงกว่าค่าจ้างทำโปรแกรมอยู่แล้ว. ถ้าทำ platform ขนาดใหญ่ขายฝันแบบพวก shopee คำถามแรกเลยคือ พี่มีเงินให้เผาเล่นเพื่อจัดแคมเปนซัก 9 หลักต่อเดือนไหม
ส่วนประเภทจ้างทำไก่กาเป็น job ไป อันนี้ไม่ต้องมาเป็นนายหน้าหรอก งูๆปลาๆ ไป out source ยังให้เงินเยอะกว่า ส่วนงาน freelance ถ้าจะหลอกเด็กหัดเขียนโปรแกรมทำก็จ่ายให้สมงานจ้างทำให้เป็นกิจจะเถอะ อย่าไปขี้โกงเป็นนายหน้าหักครึ่งเค้าเลย
>>225 เอ่อมองโลกสวยเกินไปแล้วมึง ลูกค้าไม่ใช่เสกขึ้นมานะ แต่ต้องไปหาเอง จ่ายโฆษณา Ads boot เอง และวิธีไม่ให้ลูกค้าหาย มันมี cost ที่ต้องจ่ายทั้งนั้น ปีแรกพวก start up ส่วนมากก็เจ้งกันทั้งนั้นแหละ พอมีลูกค้ามันต้องจ้าง support ด้วย ขนาดเว็ปเทรด เว็ปพนันมันยังยอมเผาเงินเรียกคนก่อนเลย
และกูบอกอะไรอย่างนึง ถ้ามึงจะทำธรุกิจกับพวก sme บอกไว้เลย กากสัดหมา พวกนี้เยอะเรื่องมาก จ่ายยาก ประสาทแดกไม่คุ้มกับเศษเงินหรอก
หาเจ้าใหญ่ง่ายกว่าเยอะ บ.ใหญ่ งาน project 3 ล้าน มันแค่เศษเงินเค้า ไม่เรื่องมากกว่าเงินที่จ้าง แถมคนเดียวปั่น 4-6 เดือนก็เสร็จจบรับเงินแล้ว แถมงานดีก็จ้างเรื่อยๆ อีกนะมึง
พวก recruit IT นี่เงินเดือนดีไหม ส่วนใหญ่ใช้ eng ได้กันทุกคนเลย
ถามจริงๆนะ พวกเว็บshopee , lazada มันเริ่มต้นมาก็ทุนแบบมหาศาล9หลักอยู่แล้วไหมวะ?หรือว่ามูลค่าค่าใช้จ่ายมันค่อยๆโตตามเรื่อยๆ แล้วพวกแบบe-bay , amazonเงี้ย ถ้าห้าหกปีก่อนคือแม่งเริ่มมางบ9หลักเลยเรอะ?
ค่าพัฒนา web เฉยๆ น่าจะ 8 หลัก แถมเป็นบริษัทจาก sg ทั้งคู่
คิดง่ายๆ บริษัท sg ค่าแรงพนักงานตีเลขกลมๆ อย่างน้อยๆ ค่าจ้างก็คนละล้านต่อปีแล้วนา ระบบพวกนี้รวมโน่นนั่นนี ก็ใช้แรงงานอย่างคร่าวๆ น้อยสุดสำหรับบริษัทก็ประมาณ 10 คน
lazada เปิดมาอาจจะไม่ได้ใช้ทุน 9 หลัก แต่ก็เพราะ lazada มันมาในช่วงทะเลเปิดโล่ง คู่แข่งก็มีแต่ปลาซิวปลาสร้อย แค่ทำ web คนก็ใช้แล้ว และก็ฟันกำไรไปเยอะด้วย ทุนมันเพิ่มพรวดตอนขายให้ alibaba
ส่วน shopee เปิดมาถึง 9 หลัก เพราะไอ้ที่ปั่นโฆษณาจัดแคมเปนดึงคนไม่ใช่น้อยนะ แต่ก็นะ shpee เจ้าของมันคือ garena เงินถุงเงินถังอยู่แล้ว
ปล. ช่วงพีคๆ ไม่ใช่ 9 หลักนะ เผาทิ้งกัน 10 หลัก
ขอถามหน่อยนะเพื่อนโม่ง พอดีกูไม่ได้เรียนสายนี้ แต่อยากลองทำแอพใน thunkable x กูอยากรู้ว่าถ้าจะทำแอพจองคิวร้านเสริมสวย ทำใน thunkable x เหมาะไหมวะ หรือมีเครื่องมืออะไรที่มันง่าย ๆ สำหรับมือใหม่ไหม กูไม่เก่งคอม
จองคิว ลูกค้า -> Server -> ร้านค้า
thunkable x ไม่มีส่วน server จะจองได้อิหยัง
ไปใช้ wordpress + ซื้อปลั๊กอิน หรือทีม ที่มีระบบจอง เอาเหอะ ง่ายกว่า
ใครเคย onsite พระราม 3 กรุงศรีบ้าง รถตู้ตรง mrt ศูนย์ศิริกิต ของ กรุงศรีที่รับส่ง ตอนเช้ามันรับคนพอไหม หรือรอนาน หาข้อมูลเก่าๆ เห็นบอกว่ามีบริการ 3 คัน ถ้าคนเยอะต้องรอยาวใช่ไหม
พี่ ๆ ผมกำลังหาที่ฝึกงานในต่างจังหวัด เช่น กรุงเทพ ขอนแก่น ถ้าพอมีพื้นฐาน php+laravel เขาจะรับฝึกงานไหม คือ ยอมรับเลยว่าความรู้ค่อนข้างต่ำอยู่
พี่ๆ คะ ช่วงนี้สายงานไหนน่าทำบ้างคะ ตอนนี้เรียนวิศวะคอมปี 4 ยังไม่ค่อยแน่ใจในตัวเอง
ไม่ได้ถนัด/ชอบอะไรเป็นพิเศษ เป็นเป็ดทำได้ทุกอย่าง
ตอนนี้สาย AI/ML/Data มาแรงมากจนน่ากลัว กลัวจะล้นตลาดไปสู้กับคนอื่นเขาไม่ได้เหมือนกัน ในขณะที่ software dev พอทำได้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากทำไปตลอดชีพขนาดนั้นค่ะ
ตอนนี้เริ่มมีบริษัท offer เข้ามาบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงลังเลไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย อิจฉาคนอื่นที่เขาดูมีแนวทางเป็นของตัวเองแล้วจัง :(
ใครเคยทำ Outsource .net กรุงศรี เงินดีจริงไหม ทำไมบอกว่าพระราม 3 ไกลบ้าน แต่รีครูทเสนอจะให้ค่าเดินทางเพิ่มกันทั้งนั้น จากเงินเดือนที่ขอ
เป็นโปรแกรมเมอร์ อายุ 40+ เงิน ~70k เขียน react เป็นหลัก ประสบการณ์ 7-8 ปีมั๊ง อยู่ในทีม inhouse ที่มีคนอยู่ 4-5 คน ใน บ. ด้านสุขภาพแห่งหนึ่ง
ทำได้ทุกอย่างในโลก ก่อนหน้านี้เป็น vendor เขียน backend ให้ ธ แห่งนึง แต่จริงๆ แม่งทำทุกอย่างตั้งกะ build server ยันเขียน front
จริงๆ ตอนนี้มันก็แฮปปี้น่ะนะ งานเยอะ แต่สบายอยู่ แต่กำลังคิดว่า ถ้าแยกทีมออกมาตั้ง startup เองนี่ มันจะโตไปทางไหนได้อีกมั่งที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์วะ
>>243 เรียนจบช้า กว่าจะจบกว่าจะเริ่มทำงานก็ 30-31 แล้วอ่ะ มันเลยไม่ค่อยมี port ถ้าไม่นับทำโน่นนี่นั่นก๊อกแก๊กๆ น่ะนะ เอาจริงๆ ก็มานั่งคิดแหละ แม่งเหมือนเริ่มช้าไปป่าววะ ถ้าไม่เรียนโท ตอนนี้อาจอยู่สูงกว่านี้
>>240 ตอนนี้ inhouse ทำพวก management software แบบครบวงจร (สำหรับธุรกิจด้านนี้) อยู่ ถ้ามัน work มีแผนว่าจะแยกตัวออกมาแล้วทำขายที่อื่นด้วย แต่พอมาติด covid ช่วงนี้แม่งเหมือนความหวังริบหรี่จริงๆ
เอาจริงๆ เรียนโทมา (เมืองนอก) แม่งไม่ได้อะไรเลย แค่เหมือนไปดู trend 2-3 ปีข้างหน้าแค่นั้นเอง พอเกินกว่านั้นแม่งก็หมดละที่เรียนมา แอบเสียดายอยู่
สวัสดีค่ะ ระหว่างคิดจะเปลี่ยนมาสายงาน programmer ได้มาเจอบอร์ดนี้โดยบังเอิญ อ่านแล้วเรียลดีมากเลยค่ะ ชอบ ๆ 5555
ขอคำปรึกษาหน่อยค่ะ ตอนนี้เราทำงานวิศวะไฟฟ้าออกแบบอยู่ที่นึง แต่อยากจะเปลี่ยนมาเป็นสาย programmer นี่เริ่มจากไหนดีคะ
ตอนเซิร์จ เจอทั้ง ยูเดมี่,โค้ดสตาร์ (แต่เหมือนในนี้ไม่ค่อยแนะนำ โค้ดสตาร์เท่าไหร่) สนใจ codecamp thailand แต่ค่าเรียนก็แอบสูงค่ะและเราทำงานเต็มเวลา อาจจะไม่เหมาะ
เคยเรียน java มานิด ๆ ตอนเรียนมหาลัย แต่เอาจริงๆ แทบจะลืมไปหมดละค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้านะคะ และก็อย่าด่าเค้าเยอะนะ หาข้อมูลแล้วมันเยอะจนจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกเลยค่ะ TT
Aws solution architect ของไทยเงินเดือนประมาณเท่าไรอ่ะ
ถามหน่อย
คือตอนนี้มีอีก บ. มาทาบทามให้กูไปทำงานด้วย ซึ่งเงินเดือนดีกว่าที่เดิมเกือบ 2 หมื่น แต่การก้าวหน้าดูดีกว่า
ทีนี้คือกูยังเหลือโปรเจ็คของ บ. ปัจจุบันอยู่ ส่งมอบงานให้ลูกค้า สิ้นปีนี้ แต่ในส่วนของกูทำเกือบเสร็จแล้ว ถ้าไม่มีเปลี่ยน requirement เดือนหน้าก็จะเสร็จ รวม unit test แล้วก็ sit ของ sprint นี้แล้ว
คำถามคือกูควรอยู่จนถึงปิดโปรเจ็คเลย หรือกูควรย้ายงานเลยดีวะ ต่อส่วน module ที่กูทำมันค่อนข้างเฉพาะทาง มีคนทำเป็นอยู่ 2 คน ถ้ากูออกก็จะเหลือเขาคนเดียวที่ต้องดูต่อน่ะ กูเลยลำบากใจ กูอยากไปจากที่นี่เพื่อฟาโอกาสที่ดีกว่า แต่ที่นี่ก็โอเคกับกู ไม่อยากเหมือนทิ้งเขา หรือกูคิดมากไปวะ
node vs golang อันไหนน่าจะไปต่อได้ดีกว่ากัน พอดีได้งาน2ที่
ความรู้สึกเวลามาเขียน go lang เหมือนขี้ไม่สุดว่ะ จากเคยพิมพ์เต็มๆ พอย่อแล้วรู้สึกแปลกๆ
ความเข้าใจผิดที่เห็นบ่อย
"การเลือกใช้ RDBMS แล้วทีมพัฒนาจะคิดเรื่อง Schema ให้ดี วางแผนเรื่องข้อมูลเยอะๆ แล้วเราจะได้ Structure ของข้อมูลที่ดี"
ผมคิดว่าการใช้ RDBMS โดยคาดหวังผลลัพธ์ว่าจะได้บังคับทีมพัฒนาให้คิดเรื่อง Data structure ให้ดีก่อนทำอะไร ไม่เคยได้ผลจริงเลย
อันนี้มักจะเป็นความเข้าใจของคนที่ดูแลฐานข้อมูลหรือ Infrastructure แต่ไม่ได้ร่วมงานกับทีมพัฒนา ที่ว่าพอเสนอ Field Migration แล้วถูกตั้งคำถามจากฉัน เขาจะได้คิดดีๆ ก่อนเสนอ แล้วเราจะได้มี Data schema ที่งดงามไม่ Bloat โอ้ มันช่างดี มันต้องได้ผลแน่ๆ
ในความเป็นจริงผมเห็นมาหลายระบบแล้ว พอคุณทำให้ Field Migration มันยาก คนไม่ได้คิดให้ดีก่อนเสนอ Schema change ครับ คนเขาจะพยายาม Reuse field เก่ามาใช้หลายๆ อย่างแทนครับ เพราะเขามานั่งรอคุณตั้งคำถามไม่ได้ เขามีงานที่ต้อง Deliver
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะมีฟิลด์ที่มีหลายความหมาย ซึ่งไม่ใช่การออกแบบที่ Data ที่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว
นั่นคือ Actual consequence ไม่ใช่การที่คนคิดให้ดี แต่เป็นการที่คนขี้เกียจทำไปเลย
แต่ถ้าคนที่เสนอสิ่งนี้ ไม่ได้อยู่ในทีมพัฒนา เช่น อยู่ในองค์กรที่มี DBA แยกกันกับทีมพัฒนาอย่างสมบูรณ์จนกระทั่งไม่รู้เลยว่าข้อมูลพวกนี้ไปใช้ในส่วนไหนของซอฟต์แวร์บ้าง จะไม่รู้ไง เห็นว่า Database schema/Structure เหมือนเดิม ก็เข้าใจผิดไปว่านี่คือออกแบบ Data มาดีแล้ว
"ดูสิ ออกแบบครั้งเดียวใช้ได้เป็นปีเลยนะ เห็นป่ะ อยากออกแบบดีๆ ให้ไม่ต้องเปลี่ยนก็ทำได้นี่" เขาจะเข้าใจประมาณนี้ เพราะไม่เห็นว่าเนื้อซอฟต์แวร์เอาฟิลด์ไปใช้อะไรบ้าง
จนกระทั่งต้องเริ่มทำ BI ถึงจะเห็นปัญหาว่าอ้าว ฟิลด์นี้มันหมายถึงหลายอย่างเลยนี่หว่า จะเอาไป Analyze ยังไงล่ะ
RDBMS มีประโยชน์หลายอย่างมากๆ ผมก็ชอบ RDBMS แต่ผมไม่เห็นด้วยกับเคลมที่ว่า พอใช้ RDBMS แล้วจะบีบให้ทีมคิดให้ดีก่อนทำ Database schema ไม่เคยเห็นเกิดขึ้นจริงมาก่อน
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่คนทำงาน Infra ควรจะอยู่ในทีมพัฒนา ไม่ใช่แยกกันทำงาน ฉันดูแลระบบ แกพัฒนา พอมันแยกกัน ความเข้าใจผิดก็เกิดขึ้นได้ง่ายมาก
จำได้ว่าแต่ก่อนมีแต่คนไซโคว่าอายุใกล้ 30 แล้วจะหางาน Programmer ยาก
วันนี้กูมาลองเปิดหาๆดู พวกตำแหน่ง Senior ส่วนมากรับช่วงอายุแถวๆ 28-40 เกือบทั้งนั้นเลย
แปลว่าจริงๆอายุเกิน 30 แล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้หางาน Programmer ยากเสมอไปแล้วรึเปล่านะ
fw ยุคหลังๆ ถ้าจะเอามา customize แม่งเขียนได้ป่วยชิบ บางทีก็อยากจะด่าว่ามึงทำ IDE ลากวางไปเลยเหอะ เวลาจะดัดแปลงอะไรนอกเหนือจากของที่มีหน่อย ล็อกโน่นล็อกนี่เต็มไปหมด สรุปตรูต้องมาเสียเวลาเขียนข้ามกฏมัน และหาวิธีมันมากกว่าเขียนดิบไปเลยสัด
ล่าสุดว่าจะเปลี่ยนระบบเก่าเป็น laravel กลายเป็นว่ายิ่งลุยเข้าไปลึกมักเจอเรื่อง wtf เยอะมาก ครือ แค่จะ authentication โง่ๆ เปลี่ยนเป็นแบบ manual เพื่อจะดัดแปลงหน่อยไม่ยอม ติดโน่นติดนี่เต็มไปหมดอะไรวะเนี่ย คู่มือบอกอย่างนึง ทำจริง error ?? stack overflow ไล่หาก็มีคนถามกันเต็ม ไล่อ่านมาทั้งวัน กลายเป็นว่าไม่มีคำตอบ ไอ้ที่ตอบมาก็มั่วไม่ตรงคำถาม dafuq ช่างแม่งตัดหัวตัดท้ายลบจุดที่ใช้ไม่ได้เขียน bypass เองแม่ง สัดเอ้ย
โม่ง อันนี้รบกวนขอความรู้หน่อย กราบเลย พอดีมีคนในทวิตเตอร์โดนspam hashtag
โดยใช้ ทวิต บอต โปรแกรม ในเว็บนี้ https://www.cubi.so/twitter/tweet_bot/
ไปแสปมHashtag ของคนในทวิตรัวๆ โดยใส่เนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป เพื่อทำให้ hashtag เกิดการปนเปื้อน
ทำให้คนไม่กล้าเข้าไป หวังทำลายธุรกิจ เราจะแก้ทางวิธีการแบบนี้ยังไง?
https://www.facebook.com/829547523/posts/10161118104872524/?extid=0&d=n ทัวร์ลงเฉยเลย
Kamon Treetampinij
โหดสัด สั่งบิ้มทิ้งหมด ประเภทไม่สังเกตคำสั่งเลยก็อปวางแหง
เห็นเม้นนึงบอกว่ามันลบไม่ได้นี่ คนถามมันแกล้งกลับเรียกทัวร์
โม่งโปรแกรมเมอร์มีใครหางานใหม่บ้างมั้ย วันนี้กูอัพ resume ใส่ jobsdb ไป เจอ recruiter โทรมาแบบรัวๆจนกูตกใจเลย
ตอนนี้เค้าบอกว่าส่งไปหลายที่แล้ว ซึ่งก็ดีแหละ แต่กูกลัวสัมภาษณ์ไม่ผ่านชิบหาย
เพราะตอนกูหางานรอบก่อนสัมภาษณ์ไม่ผ่านซะส่วนใหญ่ ไปสิบกว่าที่ เค้ารับแค่สองที่ แต่ที่ๆได้ก็ได้แบบง่ายๆงงๆ
กู >>270 นะ ตอนนี้สัมภาษณ์มา 2 ที่เป็นธนาคารทั้งคู่ รู้สึกไม่ใช่แนวเลย เพราะเคยอยู่บริษัทแนวๆ Software House มาก่อน
เจอต้องเข้างาน 8.30 สายไม่ได้, WFH ไม่ได้เลย, ต้องใส่เสื้อเชิ๊ต อะไรพวกนี้แล้วรู้สึกอีหยังวะมากๆ
ที่ๆนัดสัมอื่นๆเป็นแนวบริษัทประกันซะส่วนมาก หวังว่าจะไม่มาแนวเดียวกันนะ
มีเมลล์ชวนไปทำ test สมัครงานมาจากบริษัทๆนึง เข้าไปเป็นหน้าเว็บทำ test ตอนแรกก็รู้สึกเจ๋งดีอยู่หรอก
พอเจอข้อสอบจริงๆรู้สึกว่าแม่งเหี้ยเกิ๊น ข้อสอบ choice เขียนไม่ค่อยเคลียร์ แถมถามแต่เรื่องของที่แทบไม่ได้ใช้เวลาทำงานจริง
ข้อสอบเขียนโค้ดก็ยากแบบเจอโจทย์แนวๆ Dynamic Programming ซึ่งไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันอีกเหมือนกัน
มีมา 3 ข้อกูทำได้ข้อเดียว แต่ดันเสือกได้ข้อที่เค้าเขียวว่าเป็นข้อยาก ข้อที่เค้าบอกว่าปานกลาง 2 ข้อทำไม่ได้ซะงั้น
จากตอนแรกประทับใจที่ข้อสอบบนเว็บ (ถึงจะไม่ได้ทำเอง) เจอข้อสอบเหี้ยๆแบบนี้แทบจะไม่เหลือความประทับใจเลย
หรือบริษัทเค้าอยากรับแต่พวกสัตว์ประหลาดที่แก้โจทย์พวกนี้ได้กันเป็นปกติก็ไม่รู้นะ
ได้ยินมาจากเพื่อนที่เพิ่งจบเรื่องบ.ท่องเที่ยวดังย่านสยามว่า งานมันน่าเบื่อ tech debtโคตรเยอะ มันกะเข้าไปฝึกสกิลแต่ไม่ค่อยได้ไรเลย อยากออกไปทำบ.อื่นถึงเงินจะน้อยกว่าก็เถอะ
อันนี้จริงป่ะ เห็นเงินก็ดีคนก็อยากเข้ากัน
test test test test test
test test test test test
test test test test test
test test test test test
https://www.facebook.com/groups/1836794843081325/permalink/3431757143585079/
มีคนมาหมิ่นโค้ดสตาของเราครับ
อยากลองเป็นโปรแกรมเมอร์นะ อังกฤษพอได้ พอรู้พวกโค้ด เรียนมาเหมือนกัน แต่เริ่มไม่เป็น แต่แปลงได้ แก้ได้ ต่อยอดได้ โทอิคตก 500กว่าๆ แต่ตอนนี้รู้สึกไม่มั่นใจว่าจะทำอะไรเป็นสักอย่างเลย มี rpi 3 ตัวเดียว
1.ถ้าจะเริ่มต้นสักอาชีพนึงที่เกี่ยวกับด้านนีั้ ต้องเริ่มตรงไหนก่อนดี blackend frontend full stack
2.งานแบบนี้คอมหรือโน้ตบุ๊คดี สเปคต้องครอบคลุมมั้ย
3.ถ้าไปสายนี้จะต้องเกลาตรงไหนให้ชำนาญมั้ง แบบทำงานให้เขาได้
4.โฟกัสโค้ดไหนก่อน C C++ C# javascript python หรือตัวอื่นๆ
>>288
อยากทำ web หรือ app? เลือกมาซักอย่างใดอย่างนึงก่อน
สายเว็ป วิธีลัดสุด cms ง่ายๆ แบบ wordpress ไปหาวิธีติดตั้ง host มาดูก่อน ตาม youtube ก็น่าจะมี ขี้เกียจหาก็ udemy ทำตามที่สอนไปเหอะ ไม่นานก็น่าจะลงได้ จากก็ลองติดตั้ง template , plugin พอคล่องก็ สลับมาหัดเขียน html css ลองดู bad design vs. good design หามาดูประกอบ อ่านกฏพื้นฐานของ material design หน่อย แล้วกลับมาลองเขียน theme wordpress
ถ้าจะไป backend ต่อก็หยิบเครื่องมือ จะหา framework javascript สวยๆ ซักตัว หรือถ้าเคยเรียนภาษา php , c# ก็ลองรื้อฟื้น test กฏพื้นฐาน get post ส่งข้อมูลไปมา ส่ง mail แล้วค่อยกลับไปหา framework javascript ยอดนิยมอีกทีเอาก็ได้ อย่างน้อยก็น่าจะไวกว่าไปเล่น javascript โดดๆ ก่อน แล้วก็ฝึกกฏพื้นฐาน ปรับรูปแบบสไตล์การเขียน code ให้สวยเป็นมาตรฐาน ฝึกใช้งาน version control
จากนั้นก็ได้เวลาลองทำระบบทั่วไป จะเอา blog ง่ายๆ หรือระบบซื้อขายง่ายๆ หรือระบบจอง ลองหัดทำซักตัวแล้วค่อยมา ลองชำแหละ cms ยอดนิยม ดูสไตน์การเขียน code แล้วสร้างเองต่อยอดเอา
สาย App ให้ดู bad design vs. good design , material design เหมือนกัน จากนั้นก็เลือกภาษา platform แล้วลุยได้เลยเริ่มจาก app ตารางง่ายๆ กดหา save เชื่อมต่อกับ database ภายในภายนอก ส่ง mail , save รูป พอคล่องก็มาเล่นกับ notification จากนั้นก็หา UI components มาเล่น วนกลับไปฝึกและปรับรูปแบบสไตล์การเขียน code ให้สวยเป็นมาตรฐาน ฝึกใช้งาน version control จากนั้นลองหาวิธี submit app ที่เขียนเองง่ายๆ ลง store แล้วค่อยมามองตัวเองต่อว่าจะทำ app อะไร เอาชิ้นส่วนที่ผ่านหูผ่านตามาแล้วมาประกอบกัน
ส่วนคอม ให้เริ่มจากเอาเครื่องแบบไหนก็ได้ที่พิมพ์งานได้ สายเว็ปเริ่มแรกคอมดาดๆ ทั่วไปก็ได้ ส่วน app ก็ยัด ram ให้เยอะหน่อย อ่อถ้าจะมา iOS อาจจะต้องใช้ mac อย่างเดียว กรณีนั้นเอาตัวถูกๆ แบบ mac mini มาก็ได้
>>288
ไม่แน่ใจว่ามึงเรียนมาตรงสายมั้ย แล้วเป็นเด็กจบใหม่รึเปล่า
1. เรื่องจะ backend frontend fullstack นี่กูว่าคงต้องลองศึกษาดูทั้ง front และ back อ่ะว่าตัวมึงเองชอบงานแบบไหนมากกว่ากัน
เรื่อง front ส่วนตัวเชียร์ให้ลองสายเว็บก่อน เพราะไม่ต้องใช้เครื่องมือเยอะ พื้นฐาน html, js, css ถึงไม่เป็น front ก็เป็นอะไรที่รู้ไว้ก็ดี
โดยเฉพาะ js มันเอาไปประยุกต์ใช้ได้หลายหลาย
2. สเปคคอมที่ใช้ทำงาน กูเป็นสาย Windows นะ สำหรับกู
- ควรมี SSD ซึ่งโน๊ตบุ๊คยุคนี้ทั่วๆไปน่าจะเป็น SSD แทบหมดแล้ว
- แรมควรมีขั้นต่ำ 16 GB เพราะพวก tool ทำงานส่วนมากกินแรมเยอะ เวลาเขียนโค้ดทำงานจริงต้องหาข้อมูลเยอะ ซึ่ง browser ก็กินแรมอีก
โน๊ตบุ๊คแรม 16 ในไทยราคาอาจจะโดดจากพวกรุ่นแรม 8 เยอะบ้าง ถ้าแพงไปอาจจะลองดูรุ่นแรม 8 ที่ใส่เพิ่มเองได้แทน
- ถ้าไม่รีบรอ commart ปลายปี (ไม่ต้องไปซื้อที่งานก็ได้ แค่รอให้ถึงช่วงนั้น) จะเป็นช่วงที่ของลดราคาเยอะ
และรุ่นใหม่ๆที่ออกปลายปีจะเข้าไทยเกือบครบแล้ว
3. เรื่องทั่วๆไปที่ควรรู้ก่อนนอกจากเขียนโค้ดตรงๆนึกออกแค่ database, version control, web service ซึ่งรู้พื้นฐานไว้ก็ดี
แต่ทำงานจริงมันก็มีรายละเอียด/ข้อตกลงภายในของแต่ละที่ๆต้องไปเรียนรู้หน้างานเอาอีกที
4. เรื่องภาษาโนคอมเม้นแฮะ พอดีทำงาน back ในบริษัทใหญ่ๆเลยเขียน Java อย่างเดียวมาตลอด
และติดภาษานี้ไปแล้ว ลองอย่างอื่นก็ไม่ถนัดมือเท่า ไม่ค่อยได้ตามเทรนด์ภาษาช่วงนี้เท่าไหร่
>>292 กูว่าเริ่มจากหางานเลยดีกว่ามั้ง จบใหม่ยังไงรับเข้าไปก็ต้องมีสอนงานเพิ่มอยู่แล้ว
เค้าไม่ได้เอาขนาดว่าเข้าไปแล้วต้องต่องานได้เลยหรอก
ไม่ใช่ทุกที่จะรับเด็กจบใหม่ แต่ถ้าเค้ารับแปลว่าเค้าต้องคิดเผื่อเรื่องการสอนงานอยู่แล้วแหละ น่าจะเป็นที่ๆให้โอกาสคนพอสมควร
แต่ค้นหาตัวเองในเรื่องสำคัญๆก่อนก็ดี เช่นชอบงาน front และ back, จะเขียนภาษาอะไร (อันนี้อาจจะต้องดูตลาดประกอบด้วย)
ตอนของกูจบใหม่ก็ไม่คิดอะไรมากอ่ะ เพื่อนชวนไปงาน job fair ก็ตามเค้าไป แล้วบู๊ทไหนเค้ารับเด็กจบใหม่ก็กรอกๆไป
แต่ของกูดีตรงชัดเจนเรื่องภาษาเพราะคณะกูเน้นสอน Java เป็นหลัก เลยถนัดจริงๆจังๆแค่ภาษาเดียว แล้วก็เป็นภาษาหากินยาวจนทุกวันนี้
กูสงสัยมานานละ พวกเกมมือถือเวลาแจกไอเท็ม ทำไมต้องแจกด้วยการเอาใส่ mailbox แล้วคนเล่นต้องมากดรับอีกทีนึง
ไม่เอาของใส่ inventory คนเล่นตรงๆ มันเป็นข้อจำกัดทางเทคนิคอะไรรึเปล่า
เห็นคนเริ่มพูดเรื่อง ThoughtWorks เอา Redux กลับมาอยู่ Trial ขอร่วมออกความเห็นบ้าง
คือทำแอพมาก็เยอะ ในชีวิต Career ที่ผ่านมา พบว่ามีแอพ Taskworld แอพเดียวจริงๆ ที่นั่งคิดนอนคิดยังไง ก็ต้องใช้ Redux ในการจัดการ State
แต่แอพที่เหลือที่ทำมาเนี่ย ไม่มีอะไรเลยที่ผม Prefer Redux
คือถามว่าทำไม Taskworld เขียนด้วย State management แบบอื่นได้ยาก
- เราทำให้เวลาที่คนแก้ Task title จาก A เป็น B แล้วตัว Notification bar, Chat message ที่เกี่ยวข้องกับ Task นี้ เช่น John commented on Task A one minute ago ก็จะถูกเปลี่ยนเป็น John commented on Task B โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องมี Full refresh ใดๆ
- เราทำให้เวลา Project เปลี่ยนชื่อ ทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้อง ก็เปลี่ยนตามไปในพริบตาเดียวเหมือนกัน ไม่ต้องมี Refresh
- เวลามี Notification เรามีจุดแดงเตือนว่ามีคนส่งข้อความหา ประมาณ 2-3 ทั่วแอพ เพื่อให้มั่นใจว่า User เห็นโดยไม่ได้เด้งมาเป็น Popupใหญ่ๆ ให้รำคาญ และในเวลาที่คนอ่าน Notification แล้ว จุดแดงพวกนั้นจะหายไปพร้อมกันหมดในพริบตาเดียว
คือถ้าระบบที่สร้างมันมี State มีข้อมูลที่ต้องใช้ร่วมกันหลายที่มากๆ แล้วเราต้องการให้มี Seamless syncronization แบบเนี้ย มันจะเหมาะกับ Redux มาก การทำคุณภาพที่เนียนขนาดนี้ด้วย MobX หรืออื่นๆ จะยากมาก
(และจากที่ลองใช้ Basecamp, Jira มา บอกเลยว่าเรื่อง Seamless Sync เนี่ย Taskworld ทำได้ดีมาก จนทำให้พอใช้อย่างอื่น ผมหงุดหงิดความ Sync ข้อมูลทั่วแอพไม่เนี๊ยบต้องคอย Full refresh เรื่อยๆ ไปเลย)
แต่เนื่องจาก ~95% ของระบบ Web app ในโลกนี้ไม่ได้มี UI ที่ซับซ้อนขนาดนี้ หลายครั้งก็เป็นอารมณ์แอพกรอกฟอร์มข้อมูล ดูข้อมูล ก็จงสงวน Redux ไว้ใช้ในกรณีพิเศษจริงๆ ละกันนะ และผมเข้าใจได้ว่าทำไม Redux ไม่ควรจะเป็น Default choice ในการเขียน React App
เศร้าว่ะ เป็นเด็กจบใหม่ ตรงสาย เกรดสวยมาก ภาษาก็ดี สกิลก็มี แต่เงินเดือนสตาร์ทน้อยกว่าคนเรียนโค้ดสตาร์อีก 😔
https://cryptozombies.io/
เรียน Blockchain
>>304 เรียนตาม >>299 หรือ https://www.skilllane.com/courses/ethereum-developer
ด้วยความเคารพ
Imperative “ไม่เท่ากับ” Loop
Functional “ไม่เท่ากับ” Map, Reduce
โว้ยยยยยยย
#ขอระบายหน่อย
#เจออะไรโง่ๆมา
#แค่เปลี่ยนLoopเป็นMapก็เขียนFPแล้ว
กุรู้พวกมึงแต่ละคนเสียภาษีเยอะ เพราะเงินเดือน เย๊อะะะะ
พวกมึงใช้ลดหย่อน บิดา มารดา คนละ 30,000 ไหม แต่บิดา มารดา มีรายได้เกิน 30,000 ต่อปี(ไม่เข้าเงื่อนไขที่ใช้ในการลดหย่อน)
พวกมึงเคยลักไก่ไหมวะ แบบบิดามารดารายได้เกิน 30,000 ต่อปี แต่พวกมึงก็ยังไปใช้สิทธิ์ลดหย่อนบิดา มารดา
เค้าจะมาตรวจสอบย้อนหลังไหม หรือใครเคยใช้ ใครเคยโดน
>>308 รายได้บิดามารดาอยู่ในระบบไหม ถ้าอยู่ในระบบก็เอามาลดหย่อนไม่ได้
จาก ปสก.ตรง ไม่ต้องรอตรวจสอบย้อนหลังหรอก แค่ลืมจ่ายภาษี freelance ไปซักใบสองใบ ยอดไม่กี่หมื่น มันก็โทรมาทวงถึงที่ล่ะ รู้ขนาดว่าลืมจ่ายไปกี่ใบเลขไหนบ้าง เอาภาษีส่งด้วย
สรรพกรมันไม่โง่หรอก มันแทรกย้อนหลังได้หมดว่าทำอะไรบ้าง รายการไหนมั่วบ้าง เพียงแค่ถ้ายอดน้อยๆ มันอาจจะขี้เกียจทวงแค่นั้น
รู้สึกเซ็งตัวเองว่ะ ทำงานพลาดโง่ๆติดกันรัวๆเลย ยังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่นะว่าถ้างานมันไม่ได้เร่งเอาๆน่าจะทำได้ดีกว่านี้
มีคนถามว่าอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ไปจนแก่เลย ไม่อยากเป็น Manager ต้องเตรียมตัวเตรียมสกิลอะไรบ้าง
.
เป็นคำถามที่ดี ก็อยากแบ่งเป็นสองอย่างนะ
.
1) Faste Learner Skill - การเขียนโปรแกรมนั้นเราไม่สามารถบอกแบบ Fix ได้ว่าต้องเขียนโน่นเป็นนี่เป็นเพราะ "สกิลของงานสายนี้เป็น Dynamic และเปลี่ยนไปตามยุค" ทุกอย่างมันเปลี่ยนทุกวัน มีของใหม่เกิดมาทุกวัน มีของเก่าตายไปทุกวัน
.
สกิลสำคัญของคนที่จะทำสายนี้ยืดคือ "ต้องวิ่งตามเทคโนโลยีให้ทัน" ต้องลองลงมือทำทุกอย่าง มีอะไรใหม่ก็ต้องทำให้เป็นให้หมด ก็คือต้องเรียนรู้เร็วมากนั่นเอง
.
ช่วงแรก ๆ เหนื่อยแหละ แต่ถ้าทำไปเรื่อย ๆ .... ก็เหนื่อยแหละ มันจะไม่เหนื่อยได้ไงอ่ะ ! 5555
.
แต่สิ่งที่หลายคนทำพลาดไปในข้อนี้คือไม่ยอมฝึกสกิลใหม่ ๆ และยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองทำเป็นอยู่แล้วเท่านั้น มันไม่พอนะ บอกเลยว่ามันไม่เคยพอ ตระหนักไว้เสมอว่าสิ่งที่คุณทำเป็นอยู่แล้วอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้
.
ก็ได้ยินอยู่บ่อย ๆ นะว่า "งานประจำหนักอยู่แล้วเลยไม่มีเวลาฝึกสกิลใหม่เลย"
.
แนะนำให้ลองบริหารเวลาใหม่เพราะฟังดูน่าจะมีปัญหาเรื่อง Work Life Balance ที่ทำอยู่มันอาจจะดีกับบริษัท แต่มันไม่ดีกับตัวคุณนะ
.
อยากอยู่สายนี้อย่าหยุดพัฒนาตัวเองและตามให้ทันเทคโนโลยีครับ
.
ไม่ฝากเรื่องว่าต้องเขียนอะไรให้เป็นบ้างเพราะสกิลที่ยั่งยืนของสายงานนี้คือ "ต้องปรับตัวเองตามยุคให้ทันเสมอ" ก็ลองดูว่าตอนนี้โลกไปทางไหนแล้วฝึกสกิลที่ขาดดูนะ
.
2) Teamwork Skill - สำคัญมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ต่อให้อยากจะโค้ดจนแก่ชราแต่การทำงานดี ๆ ขึ้นมาสักชิ้นเราทำคนเดียวไม่ได้หรอกนะ มันต้องทำเป็นทีม
.
และแน่นอน คุณเลยต้องฝึกทุกสกิลที่เกี่ยวข้องให้หมด เช่น การสื่อสาร การ Collab การเขียน Doc ฯลฯ
.
หลายคนมาก ๆ ที่ยังติดกับการทำงานคนเดียวเพราะมันสะดวกว่องไว Doc ก็ไม่ต้องเขียน ไม่ต้อง Co งานกับใคร
.
แต่ถ้ายังทำได้แค่นั้นคุณจะโตไปไหนไม่ได้หรอกนะ
.
ชีวิตจริงมันต้อง Collab กับ PM, PMM, Designer, Customer Supporr ฯลฯ เพราะเราก็ต้องการข้อมูลจากเค้า เค้าก็ต้องการข้อมูลจากเรา หรือก็ต้อง Collab กับโปรแกรมเมอร์คนอื่น จะทำคนเดียวหมดนี่จะ Deliver งานเมื่อไหร่ ?
.
ถ้ายังทำงานเป็นทีมไม่เป็น สุดท้ายคุณก็จะได้ทำแค่งานเล็ก ๆ เพื่อนร่วมงานก็ไม่อยากทำงานด้วย ท้ายที่สุดบริษัทไหนก็คงไม่ต้องการ ทำได้อย่างมากก็รับงาน Freelance เล็ก ๆ
.
เดินคนเดียวมันเดินเร็ว แต่ก็เหงานะ อยากเดินไปได้ไกลต้องเดินไปเป็นทีม จำไว้
.
3) Mentorship - ยิ่งอายุมากขึ้นประสบการณ์ก็มากขึ้น แม้จะยังทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ต่อไปแต่สิ่งที่ทุกคนคาดหวังในตัวคุณจะมีมากกว่ามานั่งเขียนโปรแกรมเสมอ
.
หนึ่งในนั้นคือ คุณต้องสามารถส่งต่อความรู้และปั้นคนได้
.
มันก็คือสกิลการสอนแหละ การที่มีคนที่ทำเป็นอยู่แล้วแต่กลับส่งต่อความรู้ให้คนอื่นไม่ได้นี่มัน Waste มากเลยนะ มันไม่ส่งผลดีกับใครเลย
.
ก็ถือเป็นสกิลที่ยากอยู่เพราะการสอนมันเป็นศิลปะ สอนคนยังไงให้ใช้เวลาน้อยแต่ได้ประสิทธิภาพ รู้ได้ยังไงว่าจะสอนอะไร เรียบเรียงเนื้อหายังไง ฯลฯ ก็ถือเป็นอีกสกิลที่อยากให้ฝึกไว้ครับ
.
ที่เมกาคนอายุ 50-60 แต่ยังเขียนโปรแกรมอยู่มีอยู่ถมไปมาก ต่างจากที่เมืองไทยที่พออายุเกิน 40 ก็เริ่มโดนกีดกันหรือโดนบังคับให้เปลี่ยนสายงานละ เราเสียโปรแกรมเมอร์เก่ง ๆ ไปเพราะสาเหตุนี้กี่พันคนแล้วก็ไม่รู้
.
เป็นอีกสิ่งที่ถ้าสังคมไทยเปลี่ยนได้ก็คงส่งผลดีต่อวงการอย่างมากเลยทีเดียว
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3678729828859859&id=100001686337010&ref=bookmarks
ดราม่าเลย คุ้นๆว่ามีโม่งโปรแกรมเมอร์จบที่นี่หลายคนด้วยหนิ
เพิ่งจบมอหก อยากเป็นสายเกมส์เดฟ เกมส์ที่สร้างต้องระดับไหนอะ เขาถึงจะรับเข้าทำงาน
คือ เขาคาดหวังขั้นต่ำของเด็กจบใหม่ไว้ประมาณไหนอะ
10 คำแนะนำสำหรับการสมัครงานบริษัท tech ในอเมริกา
ในปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสแนะนำน้องๆที่สนใจสมัครงานกับบริษัท tech ในอเมริกาหลายๆบริษัท ก็เลยขอเขียนรวบรวมคำแนะนำต่างๆ และแก้ความเข้าใจผิดของคนไทยในบางเรื่อง หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการเตรียมตัวครับ
(หมายเหตุ 1: ทั้งหมดเป็นคำแนะนำและความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ได้เป็นคำแนะนำหรือความคิดเห็นของบริษัทที่สังกัดอยู่
หมายเหตุ 2: ข้อ 1-5 เฉพาะเจาะจงกับตำแหน่งสาย engineer ส่วนข้อ 6-10 ไม่เจาะจงกับสาย)
1. ควรซ้อมโจทย์ coding interview สไตล์อัลกอริทึมที่บริษัทส่วนใหญ่ในอเมริกาใช้ในการสัมภาษณ์ เว็บที่ใช้ซ้อมกันเยอะคือ leetcode ที่จะรวมโจทย์ที่คนเคยไปเจอมาจากการสัมภาษณ์บริษัทต่างๆ รวมถึงมีระบบตรวจโค้ดอัตโนมัติ แนะนำว่าให้ซ้อมเยอะๆให้คล่องมือกับภาษาอะไรก็ได้ที่ถนัด ควรคล่องประมาณว่าถ้าคิดอัลกอออกแล้วจะไม่ไปเสียเวลาคิดว่าจะ implement ยังไง เช่น ถ้าจะ sort array ของ tuple โดย sort by key หรือ by value ก็ควรเขียนได้เร็วๆ หรือถ้าจำไม่ได้จริงๆ ก็บอกคนสัมภาษณ์ว่าขอสมมติว่ามีฟังก์ชันให้เรียกใช้ (ถ้าฟังก์ชันนั้นไม่ได้เป็นแก่นหลักของการแก้โจทย์)
ส่วนตัวยังไม่เคยเจอคนที่รู้จักที่ไม่ซ้อม coding interview แล้วผ่านการสัมภาษณ์ บางคนเก่งมากระดับคอมพิวเตอร์โอลิมปิก แต่ไม่ได้ซ้อมก็ทำให้ไม่คล่องตอนสัมภาษณ์ และตกสัมภาษณ์ได้ ดังนั้นซ้อมเยอะๆ (มีเพื่อนชาวอินเดียสมัยทำงานที่สิงคโปร์เล่าให้ฟังว่ากลุ่มเพื่อนเค้าซ้อมโจทย์กันทุกๆครึ่งปี เผื่อมีโอกาสในการย้ายงานจะได้พร้อม)
2. ควรซ้อม interview รูปแบบที่เฉพาะเจาะจงกับ role นั้นๆเพิ่ม เช่น ถ้าเป็น SWE (Software Engineer) ก็ควรซ้อม System Design เพื่อออกแบวระบบให้ scalable ถ้าเป็น UIE (User Interface Engineer) ก็ควรซ้อมเขียน JS/HTML/CSS ในการออกแบบเว็บ ถ้าสาย Data Science ก็ควรซ้อมโจทย์ด้านเลขและสถิติ ถ้าเป็น SE (Solutions Engineer) ก็ควรซ้อมการออกแบบระบบโดยคำนึงถึงมุมมองด้านธุรกิจ
3. การ interview นั้นไม่ได้ดูแค่ผลลัพท์ว่าแก้โจทย์ได้หรือไม่ได้ แต่ยังดูผลในมิติอื่นๆประกอบด้วย เช่น สามารถสื่อสารให้คนสัมภาษณ์เข้าใจกระบวนการคิดได้มั้ย สามารถแสดงความเห็นของข้อดีข้อเสียในวิธีต่างๆที่เป็นไปได้ได้มั้ย เป็นต้น
4. บางบริษัทขนาดเล็กหรือกลาง อาจมีการให้การบ้านไปแก้โค้ดจริง หรือลองนั่งทำงานจริงกับ engineer แต่บริษัทใหญ่แทบจะไม่มีแบบนั้น เพราะยากที่จะ scale ได้เทียบกับปริมาณคนที่สมัครเข้ามา
5. ควรซ้อม mock interview กับเพื่อนโดยสลับกันเป็นคนสัมภาษณ์ และคนถูกสัมภาษณ์ เพราะจะได้ฝึกการคิดไปอธิบายไปให้อีกฝ่ายรู้เรื่อง และพอเราเป็นคนสัมภาษณ์ เราจะได้เห็นว่าอะไรที่คนถูกสัมภาษณ์มักจะพลาดและเราควรหลีกเลี่ยง ถ้าไม่มีคู่ซ้อม ลองฝึกกับเว็บ pramp.com ซึ่งจะช่วยจับคู่ซ้อมให้กับเรา
6. ไม่ต้องกลัวหรือคิดว่าตัวเองไม่เก่งถ้าสัมภาษณ์ไม่ผ่าน เป็นที่รู้กันว่านอกจากความสามารถแล้วก็ยังขึ้นกับดวงด้วยว่าได้เจอโจทย์แนวที่เข้าทางมั้ย หลายคนตกสัมภาษณ์บริษัทระดับรอง แต่ผ่านสัมภาษณ์บริษัทระดับท็อป เพราะเจอโจทย์ที่เข้าทางมากกว่า บริษัทหลายที่ยอมที่ว่าให้มีคนเก่งตกสัมภาษณ์ ดีกว่าให้คนไม่เก่งผ่าน ดังนั้นเราอาจเป็นคนเก่งที่ตกก็ได้ พยายามสัมภาษณ์หลายๆที่
7. ถึงจะตกสัมภาษณ์ ส่วนใหญ่รอครึ่งปีหรือปีนึงก็จะสมัครใหม่ได้ หรือบางครั้งถ้าเราตกแบบมีแวว ก็อาจถูกเรียกสัมภาษณ์ใหม่เร็วกว่านั้น หลายๆคนที่รู้จักสามารถผ่านได้ในการสมัครครั้งที่ 2-3 หรือมากกว่านั้น
8. ถ้ารู้จักใครทำงานอยู่ในบริษัทที่สนใจ ไม่ต้องกลัวที่จะขอให้เค้าช่วย refer ให้ มุมมองการ refer ของอเมริกาไม่เหมือนไทย คนไทยมักคิดว่าเป็นการใช้เส้นสายเลยอาจไม่อยากให้คน refer เพราะดูไม่ดีหรืออาจจะกลัวเป็นการรบกวน แต่การ refer ของบริษัทใหญ่ในอเมริกาคือ แค่ช่วยให้ resume ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาเร็วขึ้นแทนที่จะไปต่อคิวยาวเหยียดเพราะคนสมัครกันเยอะมาก ซึ่งสุดท้ายแล้วจะขึ้นกับการพิจารณาของ recruiter อีกทีนึงอยู่ดีว่าจะเรียกสัมภาษณ์มั้ย และทุกคนก็ต้องผ่านการสัมภาษณ์ทุกรอบตามปกติ (เพราะถ้าใช้เส้นสายเข้างานเลย บริษัทอาจถูกฟ้องได้) ในขณะที่คนที่ช่วย refer ให้ส่วนใหญ่จะได้รับโบนัสถ้าคนที่ถูกแนะนำสามารถผ่านสัมภาษณ์และเข้าทำงานในบริษัทได้ ดังนั้นส่วนใหญ่จะเต็มใจช่วย refer อยู่แล้ว ขอแค่เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์
9. ถ้า recruiter ให้เตรียมตัวเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือให้ลิงค์เว็บเพื่อศึกษา ควรทำการศึกษาให้มาก เพราะคนสัมภาษณ์มีสิทธิ์ถามเรื่องที่ให้ไปเตรียมตัวมา แต่บางครั้งถ้าเวลาเตรียมตัวไม่ทันจริงๆ ให้จัดลำดับความสำคัญโดยเตรียมเรื่องที่เราถนัดน้อยสุดก่อน
10. ถ้าสมัครบริษัทสาขาที่อเมริกาโดยตรงจากเมืองไทยโดยไม่มี visa ทำงาน โอกาสสูงมากที่จะโดนปฏิเสธทันทีหรือเงียบหายไป (แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส เพราะมีคนที่ทำสำเร็จมาแล้ว แต่ก็ถือว่าจำนวนน้อยมาก) ซึ่งมีทางเลือกอื่นเช่น ทำงานบริษัทที่มีสาขานอกอเมริกาอย่างน้อย 1-2 ปีก่อน ก็จะได้ visa L-1 ทำให้เข้าไปทำงานที่อเมริกาได้ หรืออีกทางเลือกที่นิยมกันคือไปเรียนต่อที่อเมริกาก่อน ก็จะได้ visa ทำงานต่อหลังเรียนจบ
11. [Bonus] แนะนำให้ search profile ของ Knott Wittawat ด้วยคีย์เวิร์ด "สัมภาษณ์" เค้าได้เขียนประสบการณ์การไปสัมภาษณ์แต่ละที่ไว้อย่างละเอียด และทรงคุณค่ามาก
ก็หวังว่าคำแนะนำนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการเตรียมตัวหรือวางแผนสมัครงานบริษัท tech ในอเมริกาครับ
ถามหน่อยว่าโม่งที่อายุใกล้ 30 หรือเพิ่งเลย 30 ใหม่ๆมีใครเปลี่ยนจากฟรีแลนซ์/พนักงานสัญญาจ้างที่เงินเยอะๆมาเป็นพนักงานประจำกันบ้างมั้ย
ตอนนี้กูเป็นโปรแกรมเมอร์ อายุใกล้ 30 แล้ว เป็นพนักงานสัญญาจ้าง ยังรู้สึกว่าถ้าต้องเปลี่ยนจริงๆทำใจกับเงินที่หายไปไม่ค่อยได้
ตอนเรียนจบใหม่ๆเคยเป็นพนักงานประจำอยู่พักนึง รู้สึกสวัสดิการหลายอย่างจะใช้จริงๆก็เงื่อนไขการขอเบิกก็จุกจิกมาก
แล้วก็ไม่ชอบระบบประเมินพนักงานด้วย กูเลยไม่ชอบการเป็นพนักงานประจำเท่าไหร่
เรื่องความมั่นคงเห็นพ่อแม่หรือเพื่อนที่เป็นประจำชอบพูดเชียร์กันว่าดี แต่ก็เห็นพนักงานประจำโดยเลย์ออฟกันเป็นว่าเล่นอยู่ดี
อาชีพนี้ ศก. ไม่ดีก็หางานประจำยากขึ้นเรื่อยๆด้วย พวกมึงคิดว่าไงกันมั่ง
งานประจำไม่ใช่ทุกที่ต้องประเมินแบบที่มึงว่านะ
บางที่ประเมินเป็นพิธี ส่วนที่เหลือหารจากผลประกอบการแจก
บางที่จะเข้า office หรือทำที่บ้านก็ได้
ค่ารถ ค่ารักษาพยาบาล ก็ไม่ได้เบิกยุ่งยาก ทุกที่
ค่าตอบแทนโบนัส แบบที่ให้เจ๋งๆ กว่าสัญญาจ้างก็มี
สวัสดีพี่โม่ง กำลังจะเรียนจบวิดวะคอม ถ้าต้องเลือกเรียนโทนอกกับทำงานเลย เลือกไหนดี
ตอนนี้ฝึกเขียนโปรแกรมไปก่อนเถอะ โควิดยังระบาดอยู่แบบนี้น่าจะไปนอกยากว่ะ
>>325 ไม่รู้ว่าอันไหนดีกว่า แต่จากประสบการณ์ตัวเอง เลือกทำงานก่อนค่อยเรียน เพราะตอนจบมายังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี งานสายคอมแม่งไปได้โคตรเยอะ เลยไปลองทำงานดูว่าชอบอะไร ช่วงแรกๆก็ลองทำงานไปเรื่อย งานไหนไม่ชอบก็ลาออก(ทำงานได้ 1-2อาทิตย์ลาออก บางที่ทำได้2วันออก) แต่เพิ่งจบใหม่+เก่ง+ชื่อมหาลัยดี เลยหางานไม่ยาก ตอนหลังเจองานที่ชอบก็ทำยาวๆเลย แล้วอยากอัพสกิล+อัพโปรไฟล์เลยต่อโทสายที่เกี่ยวกับงานนี้
เลยออกมาเรียนต่อหลังจากทำงานไปได้ปีนึง
แล้วตั้งใจว่าจะเอาความรู้ไปอุทิศให้กับประเทศด้วยการไปเข้าวงการราชการ (ให้เวลาตัวเองสำหรับการอดทนไอพวกหัวโบราณ 2 ปี) จบเรื่องเล่าแบ่งปันประสบการณ์
คหสต ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร ไปทำงานหาคำตอบให้ตัวเองก่อนน่าจะดีกว่าไปเรียนต่อแบบประสบการณ์เป็นศูนย์
อยากได้คำแนะนำอีกหน่อย จะเรียนจบแล้ว. ML ไปได้ไกลแค่ไหนอะ ชอบคอนเซปมันเลยอยากหากินกับ ML ด้วย กลัวจะเสียเปล่า
>>329 กุ327เอง ตอนนี้ตลาดสาย ML จากที่กุคิด กุแบ่งได้แบบนี้
Low-tier - พวกกากๆที่เห่อ ML, data sci ใช้เป็นแค่ Lib ดังๆ เข้าใจเบสิค ML นิดหน่อย พื้นฐานคอมพอใช้ แก้ปัญหาที่มันตรงไปตรงมาได้ ณ ตอนนี้แม่งคน tier นี้แม่งเริ่มจะเกลื่อนตลาดแรงงาน
Medium/High-tier - ไอพวกนี้จะเก่งกว่าพวกแรก พื้นฐานแน่นปึก ทำงานที่มันซับซ้อนมากๆได้ อ่านเปเปอร์แล้วมาประยุกต์กับงานมึงได้ เริ่มทำ ML มาแก้ปัญหาที่มันไม่ค่อยมีใครทำได้หรือยังทำได้ไม่ดี หลักๆก็จะไปแนว Reseacher ซะมากกว่า ถ้าเก่งมากๆหรือเป็นพวกระดับสูง กุบอกได้เลยว่าพวกนี้มันทำโปรเจคเสร็จทีนึง มันเอาโปรเจคนี้ไปตีพิมพ์เป็นเปเปอร์ต่อ
ประเด็นที่กุจะบอกคือ ถ้ามึงยังไม่หลุดพ้นจากการเป็น Low-tier มึงไปได้ไม่ไกลหรอก เพราะคนเห่อ ML ช่วงนี้แม่งเยอะชิบหาย แถมพวกนี้ไม่มีจุดที่น่าสนใจซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามึงหลุดพ้น Low-tier แล้ว มันมีพื้นที่ให้มึงเสมอ กุเห็นบริษัทใหญ่ๆหลายที่แม่งเปิดหา Data science ไปทำงานด้าน ML กันหลายเดือนแต่ก็ยังไม่ได้คนซักที ซึ่งไอที่มันยังไม่ได้คนเนี่ยมันหมายถึงยังไม่มีคนที่เก่งพอจะมาทำงานด้วย มีแต่แบบกากๆ low-tier ต่อให้เข้ามา 10 คน ก็สู้เอาพวก Medium/High-tier คนเดียวไม่ได้ ที่บริษัทกุก็เป็นงี้ บอกว่ามี ผญ หลายคนมาสมัคร สุดท้ายแม่งไม่ผ่านสัมซักคน เศร้าชิบหาย TT
>>330 อีกมุมนึงนะ
ถ้าจากที่มึงเล่า กู classify ตัวเองว่าน่าจะเป็นพวก mid-tier เกือบๆ high ละ แก้ปัญหาที่ค่อนข้าง specific ไม่มีคนทำได้ เคยจับงานตั้งแต่ visualize , feature analysis, computer vision, nlp มาหมดละ ทำ Architecture หรือ Deployment cloud k8s docker ไรงี้เป็นหมด
เหลือแค่พวก reinforcement ที่ไม่เคยทำ ส่วนเปเปอร์อินเตอร์ก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอะไรมากมาย
ล่าสุดเมื่อกลางปีที่แล้วมี headhunt มาทาบทามให้ไปทำ บ. ด้าน ai ในเครือของบริษัทชั้นนำอันนึงมาเรียกไปสัมภาษณ์ กูก็เออน่าไปทำนะ เงินน่าจะดีกว่าที่เดิม
ตอนสัมภาษณ์แม่งเอาประมาณเด็กจบนอกมาสัมกูว่ะ พูดแต่เรื่องทฤษฎี ดููไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่อะเอาจริง โม้ซะเยอะ แล้วก็ถามเรื่องงานเก่าๆที่กูทำซึ่งกูก็เล่าๆไป แม่งมีเถียงงานกูด้วยบอก ทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งกูก็บอกมันว่าทำไปหมดแล้วมันไม่เวิร์ค เลยต้องทำอีกแบบนึง พร้อมอธิบายเหตุผล
ก็จบไป เหมือนจะรับนะ พอกูรีเควสเงินเดือน แม่งไม่สู้ว่ะ กูเลยไม่ได้ไปทำ
เอาจริงๆกูก็ไม่ได้เรียกแพงว่ะ แต่แม่งให้ได้ในเรตพวกเด็กจบใหม่ ไร้ประสบการณ์อะ แต่ตอนสัมนี่ทำเหมือนหา expert เลยนะ
อาทิตย์ที่แล้ว คนรู้จักกูที่อยู่บริษัทแม่ของบริษัทนั้นก็แชร์หาคนเข้าไอ้ตำแหน่งเดิมที่เรียกกูไปสัมนั่นแหละ ป่านนี้มันยังไม่ได้คนเลย
ความเห็นกูมันก็สมควรนะ บางบริษัทแม่งอยากหาคนเก่ง ทำงานได้ แต่ไม่สู้เงินเดือน สงสัยหวังฟลุคเจอพวกจบใหม่ mid tier มั้ง กูบอกเลยยากมาก
งาน ML ตอนเรียนกับโจทย์จริงแม่งคนละเรื่อง
>>330 งี้ถ้ามีโอกาสไปโทด้าน ML จะดีกว่าเริ่มทำงานเลยไหม ไม่งั้นก็แบบ เป็นพวก Low-tier มีโท น่าจะ stand out ออกมาอีกหน่อย ไรเงี้ย
>>331 เออเนี่ย ผมงงมาก คือยังไม่ได้ทำงานด้านนี้จริงๆเลยนึกไม่ออกว่ามันจะเอาความรู้พวกนี้ไป Adapt กับ real-life problem ยังไง ที่ศึกษาอยู่คือเอา data set มา process หา insight นู่นนี่ แต่คิดว่าของจริงน่าจะยากกว่า แต่ยังไม่เคย เลยไม่รู้จะทำงานด้านนี้แล้วจะชอบจริงไหม
เมื่อคืนไปเห็น RoR มา มี บ นึงทำงานกับ ตปท ด้วย RoR ผมมองเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะว่าผมมีภาษาที่สามด้วย ไม่รู้จะไปทางไหนดีตอนนี้ เวลาน้อยละ
Bitkubเงินเดือนประมาณเท่าไรรู้ป่ะครับ
ระบายหน่อย กูสาย full stack web แต่ตอนนี้กำลังอยากกรีดร้อง งานครึ่งปี กว่าจะได้ข้อมูลว่าจะทำอะไรบ้าง ลากมา 3 เดือนประชุมแล้วประชุมอีก ลูกค้าเอากำหนดเร็วขึ้นอี๊ก แต่เพิ่มตังค์ให้ แล้ว sale รีบคว้าเฉย เพราะโควิตแถมดีไซน์ก็ทำ mock up หลอกลูกค้าไปอย่าง กูก็ทำไปอย่าง ตอนนี้เริ่มเห็นถึงความชิบหายมาลางๆ แล้ว ระบบใหญ่ชิบล็อกอินหลายประเภท แต่แต่ละ log in เซลเสือกโม้ว่าแบ่งสิทธิ์ sub ย่อยไปอี๊ก ไหนจะต้องทำ app มือถือด้วย
ระบบหลักล้าน programmer 1 หน่อ เวลาทำ ณ ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 2 เดือนทำทุกอย่าง เขียนโปรแกรม ดีไซน์ระบบ คุยกับลูกค้า ตั้งเซิร์ฟเวอร์ รวมทั้งดีไซน์ภายนอกเองอีกต่างหาก เวงแท้ ไม่ทำก็ไม่ได้ orz
ถามประสบการณ์ทำงาน Dev. เริ่มงานแรกกันยังไงหรอครับ นี่คิดไม่ออกเพราะแม่งมีหลายภาษา หลายเฟรมเวิร์ก หลายรูปแบบเหลือเกิน นี่เลยนั่งคิดว่าตะเริ่มด้วยทางไหนดี อะไรไปไกลกว่า เงินดีกว่า ช่วยแนะนำหน่อย ตอนนี้ศึกษา AI, ML, Data นู่นนี่อยู่ อีกอย่างที่มองไว้คือพวก Backend Dev. ไม่เอา Mobile Dev. เพราะศึกษาแล้วไม่ชอบ ไม่รู้มีอะไรน่าสนใจอีกไหม รึควรไปทางไหนดี แนะนำหน่อยครับ
>>335 บริษัทอยากทำของใหญ่ๆขายได้แพงๆเอาเร็วๆ แต่ไม่ยอมลงทุนนี่หว่า ถ้าได้งานใหม่มึงรีบชิ่งก็ดีนะ
>>339 แชร์ของตัวเองให้ฟัง แต่มึงอาจจะเอาไปประยุกต์ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้นะ
คณะกูเค้ามีจัดงาน job fair ให้บริษัทมาเปิดบูทชวนเด็กไปทำงานอยู่แล้ว กูก็เลยไปร่อนๆ resume
กูว่าเกรดกูกับ resume กูก็ไม่แย่นะ แต่ไม่รู้ทำไมร่อนไปเยอะมาก ซัก 10 ที่ได้ มีที่เค้าติดต่อมาที่เดียว เป็นบริษัทต่างชาติที่มีสาขาในไทย
ด้วยความที่ไม่มีที่อื่นติดต่อมา แล้วกูเองก็ไม่ได้ขวนขวายไปหางานจากแหล่งอื่น ก็เลยจบที่บริษัทนี้
ส่วนเรื่องภาษากับสายงาน ตอนนี้กูเป็น Backend Java คือคณะกูใช้ Java เป็นภาษาหลักเวลาเรียนอยู่แล้ว
กูเลยถนัดภาษานี้เด่นๆอยู่แค่ภาษาเดียว กูชอบภาษานี้ด้วย แล้วก็เป็นคนปรับตัวเข้ากับภาษาอื่นๆยาก เลยเก่งเด่นๆอยู่แค่ภาษาเดียว
เรื่อง framework สมัยนั้นงาน Java ถ้าเด็กเรียนจบใหม่บริษัทเค้าไม่ซีเรียสอยู่แล้ว ของพวกนี้มาเรียนกันหน้างาน แต่ภาษาอื่นๆไม่รู้นะ
แต่มันมามีปัญหาเอาตอนหางานที่ 2 นี่แหละ หลายที่มากแค่ไม่เคยใช้ Spring ก็สอบตกสัมภาษณ์แล้ว
ส่วนที่เป็น Backend เพราะชอบความตรงไปตรงมาของงาน
มันไม่จุกจิกเหมือนงาน Frontend ที่มีปัญหาเรื่องความสวยงาม ทำงานไม่เหมือนกันเพราะปัญหา environment ของคนใช้ที่เราคุมไม่ได้
แล้วก็เรื่องเทคโนโลยีด้วย สาย web ไม่ชอบ JS เพราะลักษณะภาษาที่เรียกได้ว่าแทบจะตรงข้ามกับ Java ทุกอย่าง
สาย mobile ยุคนั้น dev tool library Android ยังไม่ดีเหมือนทุกวันนี้ แค่ทำแอพในโปรเจควิชาๆนึงก็ไม่อยากกลับไปยุ่งกับมันแล้ว
iOS นี่ไม่เคยแลเลย เพราะไม่ชอบแนวทางของ Apple
>>339 กูยุคแรกเริ่มต้นด้วยงาน support ซ่อมคอม ติดตั้ง server อะไรพวกนี้ ตอนนั้นหัวหน้ากูเค้าบอกถ้าว่างนักก็เขียนโปรแกรม support user บ้างสิ ดูท่าทางน่าจะเขียนเป็นนิ (ในหัวกูจบช่างไฟ) แต่ก็ทำนะ ช่วงนั้นใช้ vb macro excel foxpro access กับฐานข้อมูลโง่ๆ ทำอยู่พักนึง
จากนั้น พอย้ายที่มาเขียน delphi + oracle พวกระบบ ERP ตอนนั้นก็เขียน delphi ซะจนพรุน ทำ component เอง สมัยนั้นยังไม่มี machine learning ใช้ ocr แบบเขียน logic ดิบเอง อ่อที่พีคหน่อยทำระบบ POS โต้รุ่ง 2 อาทิตย์เสร็จ จากนั้นปวกกระบาลไปกับระบบบัญชีซะเต็มคราบเป็นปี จริงๆ ตอนทำระบบ ERP ช่วงนั้นระบบกันบังก็ผ่านมาหมดนะ ส่วนฐานข้อมูล บางทีก็สลับไปมาไม่ได้ oracle อย่างเดียว ms sql บ้าง บางทีก็ไปเขียนโปรแกรมเสริมให้ win รุ่นเก่าเพราะเครื่องจักรมัน update ไม่ได้
ถัดมาเขียนเวป html php mysql ทำระบบจองโรงแรม ร้านค้า อะไรพวกนี้ แล้วระหว่างนี้ก็เขียนพวกเกม flash ช่วงแรก ส่วน php framework ช่วงแรกที่มีให้ใช้มันห่วย เพราะดันใช้กับบาง server ไม่ได้ก็ทำเอง ส่วน flash ก็ทำนะตอนนั้น time frame ไม่ได้สน จับเขียน script ดิบเนี่ยล่ะ ยุคต่อมาก็ย้ายมา html5 อ่อ fw javascript ก็ทำนะ แล้วบางทีก็โดดไปแก้ .net แล้วแต่เซลว่าจะขายอะไรมา เน้นงาน ตปท. ระบบคล้ายๆ พวก วงใน shopee lazada หรือทำเว็ปคล้ายๆ fb พวกนี้เคยทำมาหมดนะ ช่วงทำเว็ปได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเกี่ยวกับเรื่องดีไซน์ ออกแบบ ux มั้ง เจอคนตรวจงานเป็นคนฝรั่งเศส แม่งโคตรเคี่ยวจัด เลยได้พวกการออกแบบช่องไฟ สี ui มาเยอะ ส่วนฝั่งญี่ปุ่นก็ไม่แพ้กันแม่งเอา code ไปอ่านแล้วไล่บี้มาเป็นชุดเลย นอกจากนั้นช่วงนี้สิ่งที่กูพัฒนามาด้วยความขี้เกียจ ก็พวกเขียน scrip automation มั้ง เพราะระบบใหญ่ไม่เขียนก็ลำบาก
ส่วนด้านมือถือ จริงๆ กูเขียนมาตั้งแต่ objective c ช่วงแรกอยู่แล้วเลยไปไวหน่อย ไอ้ที่ต้องมา ล้าง mem เองน่ะ แล้วก็เปลี่ยนผ่านมาเรื่อย จนถึงตัว swift ปวดกระบานหน่อยตอนย้ายเก่ามาใหม่ แถมช่วงแรกเปิลมันเสือกทิ้ง bug ยิ่งพวกจัดการ memory leak แรกๆ ต้องรื้อเองทั้งกะบิเลยคล่องหน่อย แล้วก็มาเล่นด๋อยต่อ พักนึง ช่วงหลังขี้เกียจถ้าไม่ได้ใช้โปรเจคที่ต้องคุม memory ที่พิศดารมากก็จะใช้ react เผา
อ่อเกมกูก็เขียนนะ แต่เป็นเกมแคสช่วล ทำไม่กี่อาทิตย์เสร็จอะไรพวกนี้น่ะ เกมกากๆ ยุคแรกก็ flash script จากนั้นพอลงมือถือก็ก็ใช้ cocos2d พอทำได้ซักพัก ช่วงนึงก็ใช้ fusion เผาเพราะมันทำไวดี แต่ช่วงหลังก็เปลี่ยนมายูนิตี แต่พว sprite พวกนี้ได้ดีไซน์เนอร์ญี่ปุ่นมาทำให้ และเป็นช่วงที่ภาษาอังกฤษกูวิบัติมาก
ส่วนเรื่องอื่น พวก bot เทรดหุ้นกูก็เขียนนะ ลำบากเรื่องคำนวณ rsi mdca wave ผลก็ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง
ที่ทำงานใครใช้ vmware horizon client มั่งวะ กุว่าเหมือนมันกระตุกๆ แล็คๆ ประมาณ response ช้า ดีเลย์ไป 0.2 0.3 วิประมาณนี้อ่ะ ไม่สมูทเหมือนเล่นเครื่องตัวเอง
>>331 เรื่องโดนกดเงินน่าจะเป็นเรื่องปกติของตอนสมัครงาน อันนี้อยู่ที่ศิลปะการเจรจาล่ะ ส่วนเรื่องสัมภาษณ์ที่พูดนั่นพูดนี่ ถามจี้ คิดว่าน่าจะเรื่องปกติ
อารมณ์แบบอยากรู้ว่าเรารู้จริงหรือรู้จำเฉยๆ วัดกึ๋นน่ะแหล่ะ เคยโดนแบบถามเรื่องโปรเจคจบ นั่งถามตอบกับคนสัมภาษณ์อยู่ครึ่งชั่วโมง คุย วิเคราะห์ว่าแบบนั้นทำได้ด้วยเหรอ ทำไมได้ ลองวิธีอื่นเป็นไง บลาๆๆ ก็ตอบไปด้วยหลักการที่ศึกษามา
>>332 ตอบไม่ได้แฮะ เพราะส่วนตัวทำงานก่อนค่อยไปเรียนต่อ แต่ในมุมมองผมนะ คิดว่าดีกรีสูงมันได้เปรียบกว่านิดหน่อยในการหางานสายนี้ หลายบริษัทรับขั้นต่ำ ป.โท อะ ยังไงก็มีโอกาสเยอะกว่าอยู่แล้ว
>>331 กูเป็นเด็กจบใหม่ กูเคยสมัครงานตำแหน่ง Network Admin ที่จังหวัดนึงแถวภาคเหนือ สัมกับหัวหน้าเขา ถามมากูก็ตอบไปปกติ แต่บางทีกูก็รู้สึกว่ามึงถามอะไรที่มันเลยขอบเขตของ Network Admin ไปแล้วป่ะวะ จนกูงงสุดคือเขาถามกูว่าปีนเสาไฟได้ไหม กูก็แบบ "ห๊ะ?" ปกติ Network Admin ต้องปีนเสาไฟไปลากสายด้วยหรอวะ ทีนี้ตอนถึงเรื่องเงินเดือนกูเรียกไปแบบเจียมตัว 18K เขาไม่สู้ กดให้เหลือ 15K กูก็เริ่มใจไม่ดีละ พอเหลือ 15K แม่งถามต่อว่าต่ำลงกว่านี้ได้ไหม กูชิ่งเลย หลังจากนั้นก็เห็นเขายังคงรับอยู่ถึงทุกวันนี้
เข้ามาเก็บความรู้ และชีวิประวัติ 5555
คือเราเป็นนักศึกษาอยู่นะ คือตอนนี้เรากำลังดูวิธีเขียนแบบoopบนjavaอยู่ คือเราก็อ่านตามพวกบทความที่หาจากกูเกิลแล้ว พวกคอนเซ็ปอะไรพวกนี้ก็พอเก็ตๆอยู่ แต่อยากรู้ว่าเวลาเค้าเขียนกันจริงๆเค้าเขียนกันยังไง ใครพอมีตัวอย่างบ้าง หรือควรพิมพ์ในกูเกิลว่าอะไรดี
>>354 ถ้า Java Frontend ยุคนี้น่าจะเหลือเด่นๆแค่ Android
ส่วนมากจะเป็นแนวมี class/interface ของ library สำเร็จรูปมาให้ แล้วต้องมา extends/implements จาก class/interface พวกนั้น
แล้ว override method ต่างๆตามจุดที่ต้องการ custom การทำงาน/การ display เอาเอง
อยากเห็นตัวอย่างก็ต้องเรียนเขียน Android เลยแหละ
ส่วน Backend โค้ดที่เขียนกันเองในบริษัทส่วนมากไม่ค่อยประยุกต์ใช้ประโยชน์จากอะไรพวกนี้มากหรอก
อย่างมากก็แค่แยกโค้ดไปตาม class ต่างๆเพื่อจัดโค้ดให้มันเป็นหมวดหมู่เฉยๆ
แต่ก็มีพวก library / framework หลายตัวที่ใช้ประโยชน์จากอะไรพวกนี้ เพราะงั้นก็ควรรู้ไว้
อยากเห็นโค้ดที่ใกล้เคียงกับกับการใช้ทำงานจริงลองไปดูพวก Spring Framework เอา เพราะเดี๋ยวนี้งาน Backend Java เป็นตัวนี้แทบจะหมดแล้ว
มีใครพอบอกได้มั้ยว่า ไอที่เขาประกาศรับกันในเพจ facebook Job Thai For Programmer
สาย Outsourceสัญญาจ้าง ที่ว่าให้เงินเดือน30,000 - 65,000 (บริษัทไทยนะ ไม่ได้ภาษาอังกฤษ)
สมมติเรียกไป 65,000 ตรง max พอดี ถ้าผ่านไป 1 ปี ต่อสัญญา เงินเดือนมันจะขึ้นมั้ย หรือมันจะตันละ ไม่ขึ้นละ
แล้วถ้าขึ้นเนี่ย อยากรู้ว่ามันจะไปตันที่ประมาณเท่าไหร่อะ
ปล.ลืมบอก สาย C#.NET นะ
Outsource บริษัทเดิม ต่อสัญญาอย่าหวังว่าเงินจะขึ้นเลย ยิ่งบริษัทไทยบอกเลยว่ายากว่ะ
สอบถามหน่อย คือตอนนี้เราเป็นกราฟฟิคดีไซน์ อยากผันตัวไปเป็น Web-dev เราจำเป็นต้องมีทักษะอะไรที่ต้องรู้มากแค่ไหนบ้าง คือเคยเรียนมาบ้างตอนสมัยเรียนแต่ไม่ได้ลงลึก ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปถึงไหนกันแล้ว ขอบคุณล่วงหน้านะ
>>359
หลักสูตรเร่งรัด
Wordpress + Theme สำเร็จรูป จบปิ๊ง
พอคล่องแล้วก็หัด Html CSS PHP jQuery(JavaScript) เอาไว้ทำ Theme เอง ตอนนี้หา plugin มาทำ custom field pos อะไรพวกนี้
แค่นี้ก็ไปสมัครงานรับงานระดับย่อยได้แล้ว เอาจริงๆ กราฟฟิกดีไซน์ส่วนมากจะจบแค่นี้น่ะ อาจจะโดดไปทำทีม E-Commerce สำเร็จรูป ตัวอื่นต่อก็ว่ากันไป
แต่ถ้ามึงไม่สนใจงานดีไซน์ต่อแล้วจะมา Backend , Frontend ทำทั้งระบบใหม่ รูปแบบ Enterprise หรือจะทำ Start Up ของตัวเองอะไรก็ตามแต่ อันดับแรกลองแกะ DB WP ได้ก่อน แล้วค่อยมา ไม่งั้นออกแบบระบบได้ง่อยแดก เจออะไรจำกัดนิดหน่อยไปไม่เป็น
ถ้ามาส่วนนี้ให้เพิ่มความรู้ฐานข้อมูลหน่อย หัดเขียน stored procedure trigger แล้วก็หัดตั้ง host ใช้งานพวก AWS สร้าง EC2 , Firebase อะไรพวกนี้ด้วยถ้าจะลุยเดี่ยว ส่วนงานกลุ่มอาจจะไม่ต้องยุ่งกับ server มากนัก แต่หัดใช้ GIT ด้วยก็ดีใช้ไม่เป็นโดนด่าเสียหมานะมึง
ส่วน Javascript framework หัดใช้ Angular , React , Vue เป็นให้หมดทั้ง 3 ตัวนั่นล่ะ แล้ว PHP , C# ก็อ่านไว้บ้างก็ดี ถ้าเป็นงานบริษัท 3rd party ประเภทขายงานชาวบ้านได้ใช้แน่เพราะงานเก่ามันก็วนๆ กับ PHP , C# นั่นล่ะ
ถามหน่อยพวก webassembly มีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต
สัมภาษณ์งานตำแหน่งพวก AI developer นี่มันต้องเตรียมอะไรไปบ้างวะ คือกูจบใหม่
คำถามเดียวกับปีที่แล้ว (ที่ยังไม่มีคนตอบ)
ที่ไหนดีระหว่าง Agoda กับ ExxonMobil
ใครมีวิธีทำให้เน็ตเปิดเว็บจีนไวๆบ้างวะสาสส เนตบ้านกูออกจีนกากเหี้ยๆเลยจ้า
>>359 ตามรอยแบบที่ >>361 แนะนำเลย เราก็เคยเป็นกราฟิกที่ปัจจุบันเป็น Front-end เราเริ่มจาก HTML/CSS ต่อด้วย jQuery ต่อด้วย Wordpress (modify theme นะไม่ใช่อัพเดทคอนเท้นท์) เลยต้องแตะ PHP ด้วยเพื่อ custom ต่างๆ นาๆ เหล่านี้คือส่ิงที่มีก่อนได้งานปัจจุบัน ตอนนี้อยากศึกษา React อยู่ ทำตามคอร์สใน Udemy ยังใช้ ES6 ไม่คล่องมือเลย
ที่อยากเสริมคือส่วนที่เราคิดว่าเป็นจุดเด่นของคนที่เคยเป็นกราฟิกมาก่อนจับงานฟร้อนท์เอน คือ ทำ ตาม ดีไซน์ เท่าที่รู้มาเดฟจ๋าๆ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดพวกนี้ เขาไม่เข้าใจว่าแพดดิ้งต่างกันนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไร มีเส้นโผล่มาพิกเซลนึงทำเป็นเรื่องใหญ่ สีเอยฟ้อนต์เอย คนที่ดีไซน์มาก็อยากจะให้ผลสุดท้ายที่ออกมา เหมือน ดีไซน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เราว่าความรู้ CSS และมุมมองแบบดีไซน์เนอร์นี่แหละที่ทำให้เราได้งาน
>>376 ตัดปัจจัยเรื่องงานและเงินออกไป e เป็นบริษัทที่ใฝ่ฝันอยากร่วมงานมานานแล้ว ที่สำคัญคือประทับใจกับบุคลากรของบริษัทนี้มาก ตั้งแต่ hr คนที่สัมภาษณ์ ไปจนเจ้าหน้าที่ ตอนไปที่บ.ทุกครั้งรู้สึกว่าทุกคน nice มาก ทุกๆ คนจริงๆ แบบไปแล้วไม่อึดอัดใจเหมือนที่อื่น มีโอกาสได้ไป open house ก็รู้สึกว่าคนแบบนี้แหละที่กูอยากจะเป็น คิดว่าทำงานที่นี่จะมีความสุข
จริงๆ ต้องเล่าก่อนว่าเมื่อก่อนกูเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเงิน แต่รู้สึกตัวอีกที กูแทบไม่มีเพื่อนเลย ป่วยเป็นโรคเครียดเรื้อรังเพราะการเรียน เพราะแบบนี้มั้ง กูเลยคิดว่า ตอนนี้กูอยากพัฒนาด้านความเป็นมนุษย์บ้าง กูทำทุกอย่างเพื่อเงิน ลืมไปว่าเป้าหมายคือการมีความสุข แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีความสุขเลย :(
จริงๆ ได้เรียกสัมหลายที่มาก ทั้งที่ที่ให้เงินเยอะกว่าสองเท่า บ.ที่กูชอบเนื้องานมาก และบ.ที่เคลมว่าเป็นที่ 1 ที่เลือก e อีกส่วนก็เพราะติดต่อมาไวด้วย ไม่รู้เลือกผิดเลือกถูก แต่เลือกไปแล้ว T_T
เปิดมาดูเล่นๆแล้วเจอ Angular กูตกใจเลย สรุปแพ้ React อย่างเป็นทางการแล้วใช่ป่ะ https://killedbygoogle.com
ปกติเวลาย้ายงาน เรียกเงินเดือนเพิ่มขึ้นกี่%กันอะ 30%นี่เยอะไปปะวะ ปสก4ปี
บ่น ...
แก้เพิ่มช่องนิดนุง แยกช่องก็ดีนะดูง่าย
- อีเหี้ยนิดนุงของมึงนะ รื้อตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไหนจะต้องไปแก้ db ที่เข้ามาแล้วอีก เยอะชิบหาย
อุ้ยเวลาเท่านี้ลูกค้าเข้าไม่เอาหรอก
- ให้เวลาแค่นั้น มีมนุษย์คนไหนก็ทำไม่ทั้นหรอกเว้ย
ลูกค้าส่งข้อมูลมาแล้วทำไม่ทำไม่ทัน
- ก็มุงส่งมาเมื่อวานเนี่ยนะ ทันก็บ้าละ ข้อมูลไรวะขยะชิบ กำหนดไว้อย่าง ส่งมาอีกอย่าง ขยุ้มรวมกันหมดเลย
ทำไม search แบบนี้ๆ ไม่ได้เหรอจ๊ะ
- ก็ข้อมูลมึงมันเหี้ยไง ตอนแรกคุยซะดิบดีจะมีโน่นนี่ไหน จะไปหาเจอได้ไงวะ เล่นเอาทุกอย่างรวมเป็นบรรทัดเดียวกันหมดเลย แถม record ข้อมูลเดียวกันเสือกกรอกไม่เหมือนกัน
ปรับดีไซน์หน่อยนุง
- ดีไซน์เชี่ยไรวะเนี่ย แต่ละหน้าทำไหมหมดเลยนี่หว่า ไหน guide line ไม่ได้ทำตามเลยหรือวะ ขนาดปุ่มหน้านึงกีสีนึง input ก็คนละแบบ คว***ยเถอะ
จะเอา app ด้วย นี่ไงๆ มีเขียนบอกด้วยนะ
- fu*k you มึงมาบอกเมื่อวานเนี่ยนะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.