>>>/tech/333/ โปรแกรมเมอร์ที่รัก
Last posted
Total of 1000 posts
>>>/tech/333/ โปรแกรมเมอร์ที่รัก
ไอสัสไม่มีใครต่อเลย
เราเป็นโปรแกรมเมอร์เงินเดือนเกินแสน ใครอยากถามอะไรถามมาไกเ
พวกมีง Outsource วันลากี่วันวะ กุ 6 วันต่อปี เยอะหรือน้อยวะ
https://fanboi.ch/game/8282/
ช่วยมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนติดเกมกันแล้วมาฝึกเขียนโปรแกรมกันเถอะ
เบื่ออารมณ์แบบฝ่าย technical กับ business ทะเลาะกันแล้วโปรแกรมเมอร์ต้องทำตัวเป็นนกสองหัวเพื่อความปลอดภัยของตัวเองว่ะ
แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ เดี๋ยวตกงาน
ในไทยบริษัทไหนสัมภาษณ์งานยาก ๆ บ้างครับ อยากไปลองเจอดู
คนทำงานประจำมา เคยเจอโปรแกรมเมอร์ที่เรียนเองกันบ้างปะวะ
กะทำโปรเจกต์เก็บพอร์ตเองไปสมัคร แต่จบไม่ตรงสายบริษัทเดี๋ยวนี้เขารับกันบ้างไหม
คอมติดไวรัส .zobm ทำไงถึงกู้ไฟล์ได้คับ
อยากรู้ว่าอัตราการผ่านโปรของคนอื่น ๆ อยู่ที่กี่ % หรือ เราอยู่ที่ 50%
ถามโม่งโปรแกรมเมอร์หน่อย ตอนนี้กูมีคอมเครื่องเดียวที่ซื้อมาทั้งเล่นเกมและเขียนโปรแกรม ปัญหามีอยู่ว่า SSD ติดเครื่องที่มันน้อย ลงเกมก็แน่นแล้ว
พวก tools โปรแกรมเมอร์ก็กินที่เยอะมาก แต่ไม่มีงบซื้อ SSD เพิ่ม ซื้อ SSHD มาใส่เพิ่มแล้วลง tools ทำงานบนนั้นจะเวิร์คมั้ย
ผมคิดมาตลอดนะว่าจะเขียนโค้ดได้ดี ต้องเข้าใจ Literature และ
Writing communication in general ด้วย ว่า อย่างพื้นฐานสุดก็งานเขียนต่างๆ มันมีผลต่อความคิดของคนอ่านยังไง การแบ่ง Chapter หรือย่อหน้าแบบไหนมีผลยังไง แบบไหนเข้าใจง่ายยาก เวลาอธิบาย Academic ที่ซับซ้อนทำยังไง
ถ้าเข้าใจพวกนี้จะเห็นว่าพวกเทคนิคต่างๆ ในการสเกลโค้ด มันเป็นแค่เครื่องมือนำมาใช้ในการทำ Written communication ที่มีคุณภาพเฉยๆ ไม่ใช่ปลายทาง
อย่างเมื่อกี้เขียนเรื่อง Terminology ถ้าไปอ่านงานเขียนดีๆ เขาจะมีวิธี Introduce term พิเศษในงานเขียนของเขาโดยที่ไม่ Overwhelming คนอ่านเกินไป มันจะมี Sweet spot อยู่นะ
ลองคิดดูว่าถ้า Lord of the ring ซึ่งเป็นนิยายที่มี Technical term เฉพาะโคตรจะเยอะ ดีไม่ดีเยอะกว่า Codebase ที่เราทำหลายๆ ตัวอีก ถ้าโยน Term ทั้งหมดไปให้คนอ่านแล้วบอกว่าเข้าใจพวกนี้หมดก่อนนะค่อยเริ่มอ่านนิยายของผม
แต่ที่เราเข้าใจเพราะ LOTR เลือกใช้ Term ที่ Well-known ในหมู่นักอ่านนิยายแฟนตาซี ช่วยลดปริมาณความสับสน แล้วก็ผสมกับใช้จังหวะในการแนะนำแต่ละคำศัพท์อย่างเหมาะสม ไม่ใช่ทีเดียวจบ
อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้เห็นว่า Literature มันมีเทคนิคหลายอย่างที่เราใช้ได้
ถามโม่งโปรแกรมเมอร์หน่อย ถ้าอยากลองเริ่มเขียนโค้ดมันมีที่ไหนเปิดสอนเป็นคอร์สบ้างมั้ยอ่ะ ราคาประมาณเท่าไหร่
แล้วพื้นฐานที่ควรมีคือไรบ้าง เลข? รึอะไรยังไง
>>42 เรื่องที่เรียนไม่มีแนะนำแฮะ พอดีกูเรียน ป. ตรี มาด้านนี้อยู่แล้ว ไม่ได้เรียนเองทั้งหมด
ความรู้ที่ควรมีก่อนกูว่าสำคัญสุดคือภาษาอังกฤษนะ และอีกอย่างก็รู้จักการใช้ google หาข้อมูลด้วยตัวเอง
เพราะต้องหาข้อมูลเองเยอะ และข้อมูลพวกนี้ส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษหมด
คอมใช้เลขเป็นพื้นฐานก็จริง แต่การเขียนโปรแกรมมันไม่เหมือนแก้โจทย์เลข แค่มีความเข้าใจ concept คร่าวๆ และประยุกต์เป็นก็พอ
มันเป็นการสั่งให้คอมทำสิ่งต่างๆให้ แล้วดูผลลัพธ์การทำงานที่ออกมาว่าถูกรึเปล่า ซึ่งในความรู้สึกกูมันต่างกันเยอะ
ลองใช้กลยุทธ์ ทรัมป์ ก็จะได้เห็น Dark Side ของคนมากขึ้น
ได้ข้อมูลมาเยอะแยะ ดีเลย จะได้เห็นว่าจริงๆแล้วเค้าคิดยังงัยกับเรา
คนที่เห็นประโยชน์เราตอนเราดีก็มีเต็มไปหมด
ตอนเราร้ายก็ด่าเราลับหลัง
ความโกหกตอแหลมันโผล่ออกมาชัดเจน
สิ่งที่อยากได้จาก Community คือความจริงใจเป็นอันดับแรก
มันเป็นวิธีการกรองคนที่ได้ผลดีอย่างที่ตั้งใจไว้
คนที่เขาทำงานด้านมืดนี่ รู้จักจริงๆหลายคน ธรรมมะธรรมโมมาก ดูแลผู้หญิงดีมาก ไม่งั้นผู้หญิงก็ไม่มาทำงานด้วยหรอก
เพราะสังคมบีบคั้นทำงานแล้วโดนกดขี่ เก็บเงินไม่ได้ โดนขูดรีดจากผู้มีอิทธิพล แต่ละคนก็มีทางเลือกต่างกัน ไม่ต้องรีบตัดสินก็ได้ถ้ายังไม่รู้จักกันดีพอ
คนที่ทำด้านสว่างก็ทำเรื่อง Dark ๆ เยอะ ก็เห็นมาเยอะแต่ทำไรไม่ได้ พอยกเรื่อง dark ที่ตัวเองเคยทำขึ้นให้เห็น ก็แสดงตัวเป็นคนดีขึ้นมารับไม่ได้ก็แปลกดี ตัวตนจริงๆตัวเองยังยอมรับไม่ได้เลย
ริเริ่มทำไรใหม่ๆก็ไม่มีคนเข้าใจอยู่ละ ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก เพราะไม่ได้อยากอธิบาย อยากทำให้สำเร็จมากกว่า ยังงัยก็ทำอยู่ละ
ก็ไม่อยากจะโอ้อวดว่าตัวเองทำมาไม่น้อยกว่าใคร เห็นปัญหามากมายที่มันไปต่อไม่ได้ด้วยวิธีการเดิม ก็พิสูจน์กันละกัน เอาตัวเองให้รอดก่อน
ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำมาในอดีตมันคือความดี มันก็เป็นอดีต ที่ไม่ได้มีใครสนใจ ป่วยมายังไม่มีใครเหลียวแหล ทุกอย่างมันก็เป็นแค่อดีต
ผมเจ็บแทนคนใน Community มาเยอะกว่าที่หลายคนรู้ ไม่แฉก็ดีแล้วครับ แต่ละคนแสบๆทั้งนั้น
ก็อยากจะ Filter ให้เหลือน้อยๆ เหลือแต่คนที่ลำบากไปด้วยกันลุยไปด้วย
Set to Zero ถ้าไม่ทิ้งบางอย่าง เราก็ยากจะก้าวผ่าน ใครจะดราม่าก็ดราม่าไปนะครับ มีไรทำเยอะ
เอาเวลาไปทำงานสร้าง Value ให้ Community ที่คุณคิดว่าดี ดีกว่าครับ
ทำไมฝั่ง business เขาชอบมาคุยกับผมมากกว่าคุยกับ Dev และ Community ก็ลองคิดเองว่ามันยังมีปัญหาอะไรอยู่ ทำไมอีกหลายๆที่เขาไม่อยากสนับสนุน
อย่ามาเสียเวลากะผม อีกไม่กี่ปีเราก็ตายจากกันละ แมนๆก็มาคุยกันได้ ไม่ต้องโพสต์หรือนินทาลับหลัง ขี้เกียจตามไปอ่าน
ดราม่า
https://www.youtube.com/watch?v=FMIZEfjYmtM
Programming with Boris 👍👍👍
เขียนโค้ดเป็นทำอาชีพอะไรได้มั่ง ตอนนี้กูกำลัง hello world
"มีใครรู้สึกเหมือนผมไหมว่า โดดดิด่ง มันเร็วขึ้น"
"เช้านี้ผมเปิดฟัง รู้สึกว่า เพลงมันเร็วกว่าเดิม"
https://www.youtube.com/watch?v=Ek8itihPQgE
กูอยากเริ่มเขียนโค้ด เเต่กูต้องเขียนลงในไหน ?
visual studio code
อยากลาออกจังเลยน้า
เคยมีคนบอกอยากสัมภาษณ์ยากๆ น่าลองมาหางานช่วงนี้นะ น่าจะยากสมใจ
Agoda backendเรียกสัมว่ะ แม่งยากป่ะวะ อัลกอกุอย่างกากเลยต้องซ่อมซัมเมอร์ ผลงานก็มีแต่ที่ทำตอนเรียน ทำไงดีวะเหลืออีก3วัน
วันนี้ที่กะจะหัด React ของกูหมดไปกับการตามดูแคสเกมดบดล แม่งเอ๊ย กูทำตัวกูเองนี่แหละ
พน.สัมภาษณ์ ถ้าถามโค้ดละตอบไม่ได้ต้องทำไงดีวะ
>>66 ตอนสัมไม่เคยเจอถามเป็น code จริงๆนะ แต่จะถามประมาณว่า ถ้าต้องการทำแบบนี้ 1 2 3 ควรทำยังไง
ก็บอกเขาไปปากเปล่าหรือใช้กระดานก็ได้ ออกแนวคอนเซ็ป มากกว่า เขาก็จะดูแค่ว่ามึงเข้าใจพวก oop มั๊ย หรือรู้จัก tool อะไรที่เอามาใช้ได้บ้าง ไม่ต้องถึงขนาดแม่น syntax อะไรมาก
ส่วนถ้า code จริงๆ เขาจะถามตอนสอบข้อเขียนมากกว่า
กุไปสัมagodaมาละ พาทโต้ดกุทำไม่ได้แต่ก็พยายามเขียนแต่แม่งก็ไม่เสร็จ พาทสัมกุพอได้อยู่ วันนี้เขาofferละว่ะได้ไงวะ เพื่อนกุทำโค้ดได้หมดไม่เห็นมีใครโทรมาเลย กุทำไม่ได้ไม่เสร็จด้วยเสือกได้เฉย ทำไมวะครับ
ใครที่สนใจเรื่องการออกแบบโค้ด ผมอยากแนะนำให้อ่าน Essay อันนี้ตั้งแต่ปี 1991 ซึ่งผมว่า Classic มากและยังเป็นจริงถึงทุกวันนี้
คือคนเขียนเขาเป็นคนทำ Lisp ซึ่งสมัยนั้นต้องสู้กับภาษา C เพื่อสร้าง Traction แล้วเขาได้นำเสนอสิ่งหนึ่งที่เขาพบระหว่างการสร้าง Traction ให้ Lisp ซึ่งชื่อว่า Worse is better
ซึ่งถ้าสรุปสั้นๆ เขาเคลมว่า ระบบที่ดีไซน์อย่างไม่ถูกต้องมีความสามารถที่จะอยู่รอดและแพร่กระจายมากกว่าระบบที่ดีไซน์อย่างถูกต้อง
แต่ลองไปอ่านดูจะเข้าใจนิยามของคำว่า "ถูกต้อง" ของเขาและทำไมถึงเคลมแบบนี้
ลองเน้นหัวข้อ 2.1 ไม่ต้องมีพื้นฐาน Lisp หรือภาษาเก่าๆ ก็อ่านเข้าใจ
https://www.dreamsongs.com/WIB.html
ถ้าใครสนใจภาคต่อไป เจ้าตัวเขาเขียนบทความมาดีเบตกับตัวเอง โดยใช้นามปากกาอีกอันนึง เขียนลง Magazine อื่นๆ ช่วงปี 199x อีกประมาณ 2-3 บล็อก ก็จะตามได้ที่
https://www.dreamsongs.com/WorseIsBetter.html
ในฐานะคนสนใจเรื่องการออกแบบระบบและโค้ด ผมว่าเป็นงานชิ้นคลาสสิคที่กระตุ้นให้คิดได้มาก
อีกนิดนะถามหน่อย ตอนนี้มีทั้งagoda และ exxonmobil offerมาละอยากถามทุกๆคนหน่อยว่าจะเลือกบ.ไหนกัน backend devทั้งคู่เลย agodaให้เยอะกว่าexxon ~20k แต่สวัสดิการอาจจะไม่เท่า อันนี้คือของจบใหม่นะ รบกวนด้วย
>>84 ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นทำเว็บเหมือนกัน แต่จริงๆ เว็บในความหมายของทั้งสองคอร์สต่างกัน กูยังไม่ได้ดูละเอียดนะ
คอร์สแรก เหมาะกับคนที่มาจากฝั่งดีไซน์ ทำเว็บเล็กๆ นำเสนอข้อมูลเป็นหลัก หน้าบ้านเป็นหลัก
คอร์สสอง ไปทางโปรแกรมมิ่ง ภาษาที่ใช้เขียนเว็บ ทำหลังบ้านด้วย แม่งกว้างจริงแหละ กูก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ใช้ Python
กูว่ามันขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่มึงมี กับความต้องการ ทางที่จะไปด้วยอ่ะ เช่น จะเอาไปสมัครงาน? ทำฟรีแลนซ์? ต่อยอดธุรกิจที่ทำอยู่? งานอดิเรก?
เผลอๆ สิ่งที่มึงต้องการอาจมีคอร์สอื่นตอบโจทย์กว่า เช่น อาจจะเหมาะไปเรียน Wordpress มากกว่าก็ได้
มันจะมีหนังสือสอนเขียนโปรแกรมภาษาจาวาอยู่ จำไม่ได้ว่า เป็นชุดสามเล่มหรือเล่มนึง แต่รวมๆกันน่าจะประมาณ พันหน้าได้มั้ง
ตอนนั้นกูเป็นเด็ก พยายามจะหาแต่ไม่มีปัญหามา ตอนกูเป็นถ้านับจากตอนนี้ยอนหลังไปประมาณ 7 ปีได้ แต่ตอนที่กูหาหนังสือเล่มนั้นมันค่อนข้างเก่าแล้ว แต่ก็ยังมีคนบอกว่ายังสามารถใช้ได้ดีอยู่ และเหมาะสำหรับทำการศึกษา เพื่อนโม่งที่อยู่ในวงการเขียนโปรแกรมมานานพอจะนึกออกไหม หนังสือน่าจะเป็นภาษาไทยมั้งไม่แน่ใจ
กูอยากหามันอีกครั้ง ถ้ามีรูปมาให้กูดู กูพอจะนึกออกนะ ถ้าเป็นสามเล่ม มันจะมีสี ขาว ม่วง เขียว มั้งนะ
>>86 ไม่รู้ชื่อหนังสือ แต่อยากมาแนะนำมึงว่าถ้าจะอ่านหนังสือสอนเขียนโปรแกรมอยากให้อ่านภาษาอังกฤษมากกว่า
อ่านตามเว็บเอาก็ได้ ไม่ต้องหนังสือเป็นเล่มๆหรอก
ปัญหาของการอ่านหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยคือคำศัพท์หลายๆคำพอแปลไทยแล้วมันกลายเป็นเข้าใจยากกว่าเดิม
เวลาเขียนโปรแกรมจริงๆต้องหาข้อมูลเพิ่มแทบตลอดเวลา แม้แต่กับเรื่องพื้นๆ แล้วของพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษหมด โค้ดก็เป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าไปชินกับคำศัพท์/คำอธิบายภาษาไทยแล้วเวลาต้องหาข้อมูลจะลำบาก
เพราะนึก keyword ที่ต้องเอามา search ไม่ออก หาข้อมูลเจอก็ต้องพยายามแปลกลับมาเป็นคำภาษาไทยที่เองชิน
สู้ทำตัวให้ชินกับศัพท์เทคนิค คำอธิบายภาษาอังกฤษ ไปแต่แรกจะดีกว่ามาก
>>88 เออวะเข้าใจที่มึงบอกนะ ขอบคุณมึงมากนะเรื่องนี้ ตอนนั้นกูที่อยากจะเรียนเขียนโปรแกรมตอนนั้นยังเด็ก ขอใครเรียนก็ไม่มีใครเข้าใจ กูเลยหาหนังสือจะอ่านเอาเอง แต่จริงๆแล้วกูแบบอยากเห็นเหื้อหาข้างในไง ก็คือเอาง่ายๆกูอยากเห็นหนังสือที่กูหมายถึงนี้อีกครั้งนึง ถ้ากูจะกลับมาเริ่มเขียนโปรแกรมอีกครั้งกูคงจะเริ่มอะไรแบบใหม่ๆมากกว่าอยู่แล้ว กูแอบเสียดายนะ ตอนนั้นกูเขียนโปรแกรมออกมาเป็น .apk ตั้งหนึ่งตัว แต่เสือกไม่ทำต่อ จนตอนนี้ผ่านมา 7 ปีละ
แต่ก็ลำบากมากด้วยจนถึงตอนนี้เลยเพราะกูไม่มีคอม ไม่มีตัง เพราะตอนนั้นกูมีมือถือ android โง่ๆเครื่องนึงเอง แล้วเสือกไปพยายามหาวิธีเขียนโปรแกรมบนมือถือ ซึ่งแม่งก็มองจากมุมคนมีคอมใช้ คงไร้สาระ
ขอระบาย ย้ายงานมา บ. นึงมาพักใหญ่ พบว่าวิธีการเขียนโค้ดแม่งโคตรโบราณ เช่นใช้ c# แต่ไม่ค่อยจะใช้ lib มาตรฐานๆที่คนใช้กันใน nuget ล่อเขียนเองทั้งหทดทุกโมดูล แล้วการเขียนไม่พัฒนาไปไหนเลย 10-20 ปีที่แล้วเคยทำยังไง ก็ยังคงทำอยู่แต่แบบเดิมๆ
เสนอโซลูชั่นใหม่ๆให้ทำงานได้ง่ายขึ้นก็ไม่เอา ไม่อยากปรับเปลี่ยน
Devops นี่เหี้ยมากตั้งแต่กูเคยเจอเลย มีก็เหมือนไม่มี ทุกคนเขียนใครเขียนมัน git มีก็ไม่ค่อยใช้กัน ตามงานแต่ละที แทนที่จะ push จะ merge ขึ้น แม่งเล่นก็อปใส่แฟล็ชไดร์ฟมาให้ แถมบางฟีเจอร์ใช้งาน service ใช้งาน api เหมือนๆกันก็ไม่รวมใช้ตัวเดียวกันนะ ตั้งแยก ใช้ใครใช้มันไปอีก
ถ้าว่าเป็นโปรเจ็คเก่าๆที่มันปรับการโค้ดยากยังพอเข้าใจ แต่ขึ้นโปรเจ็คใหม่มา แม่งก็เหมือนๆเดิม วนเวียนไปแบบเดิม
อีกอย่างเวลาจะ deploy หัวหน้าก็บอกอยากได้อะไรใหม่ๆทันเทคโนโลยี อยากจะใช้ cloud ใช้ container สุดท้ายก็แป้กเพราะคนในทีมไม่ค่อยอยากเรียนรู้ (ทั้งๆที่มันก็มีเวลา) บอกกูให้สอนนั่นนี่ พอเรียกมาจะเทรนด์ให้พวก CI/CD การ auto deploy การเขียน unit test (เออ มันเขียน unittest กันไม่เป็น) พี่แกก็บอก ยาก ไม่เอาอะ เพิ่มงานเขาเปล่าๆ
สุดท้ายยังไง ก็เป็นกูกับน้องๆในทีมนี่แหละ รับหน้าที่ดูส่วนนี้ ต้องมานั่งเขียน unit test ให้ ดู environment ให้ทั้งหมด สำหรับ production อันไหนไม่ได้ พวกกูก็ต้องแก้ให้เขา ทั้งๆที่ไม่ได้เขียนเอง แล้วโค้ดแม่ง debug ยากสัดๆ 10 คนก็เขียนมา 10 แบบ
บางคนคงสงสัย แล้วทำไมกูไม่วางโครงของโปรเจ็ค แบ่งงานให้คนอื่นดีๆ คือหน้าที่กูไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง มันบังคับใครไม่ได้ ได้แต่เสนอไอเดียเฉยๆ ซึ่งส่วนใหญ่เขาไม่เอากันแหละ
เปรียบเปรยอารมณ์จะคล้ายๆมึงอยากอัพเดตคอมให้ญาติผู้ใหญ่ เป็น window 10 แต่เขาไม่เอา จะใช้แต่ winXP แถมไม่พอ ดันเอา ไอ้ XP มาข่ม win10 ที่มึงจะลงให้เขากลับอีก
>>90 win xp ยังดี เดี๋ยวเจอ 98 โผล่กลางดง 555+
ปัญหาคือ บ.มึงเหมือนไม่ได้ทำเกี่ยวกับด้าาน sw โดยตรงหรือเปล่า ถ้าแบบนั้นก็เรื่องปรกติที่เล่นกันลูกทุ่งแบบนั้น
พนักงานรากงอกเคยใช้วิธีไหนก็วิธีนั้น เพราะมันตอบสนองกับ project ระดับงานที่ไม่ใหญ่มากได้ คือจบ
วิธีที่ดีที่สุดคือ หาที่ใหม่ เจ็บแต่จบ แต่ถ้าเศรษฐกิจยังแย่ ไวรัสยังระบาดก็แล้วแต่
>>91 บอกไปกลัวโม่งแตก ลักษณะงาน ประมาณว่ารับเขียนซอร์ฟแวร์ซับพอร์ต business ให้ลูกค้า เช่นระบบจัดการ user จัดการ workflow ต่างๆ ในหน่วยงานของลูกค้า บางโปรเจ็คถึงขั้น 10k users concurrent ก็มี
กูยังงงมาก ว่าก่อนหน้านี้รอดกันมาได้ยังไง
แล้วที่แย่อย่างนึงคือมันทำงานแบบแบ่งทีมเป็นภาษาที่เขียน ทีมนึง .net ทีมนึง java อีกทีม nodejs อีกทีม python
แล้วแต่ละทีมมันก็จะไม่รู้ภาษาอื่นเลยนะเว้ย แบบสมมติงานที่ dev โดยใช้ java มีปัญหาต้องการคนช่วย จะขอยืมคนจากทีม .net ไม่ได้เลย อ้างว่าไม่เคยทำ เขียนไม่เป็น debug ไม่ได้
นี่ยังไม่นับ SA ที่รู้จักแค่ database ที่ใช้ mssql นะ
พวก noSQL พี่ไม่เอา ไม่สนใจ ไม่อยากทำกันเลย
แล้ว จะให้ dev พี่ก็ไม่ดีไซน์ให้ชัวร์ก่อน คือ dev ก็ทำไป SA ก็แก้ table ไป ข้อมูลที่ไว้ test ก็ไม่มีเตรียมให้ บอกให้ dev ยัดๆไปเลย พอจะขึ้นวง SIT ก็บ่นบอกว่า ข้อมูลที่ใช้ test ไม่สัมพันธ์กับ business
พอมีปัญหาก็โยนมาให้ทีมกูทำอย่างเดียว
ชื่อทีม R&D นะ หน้าที่รับผิดชอบจริงๆไม่ต้อง code หนักด้วย เน้นหาโซลูชั่นมาช่วยให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือทำ poc ให้ sales ไปคุยลูกค้า แต่เอาไปเอามา แม่งโยนมาให้ทำทุกอย่าง ทั้ง dev , deploy, MA แต่ไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียงนะ เพราะไม่ใช่หน้าที่หลักใร JD ไง
สาเหตุคือต้องย้อนกลับไปที่กูบ่นแรกๆ คือคนทีมกูมันเขียนได้แทบทุกภาษา เขาเลยชอบโยนมาให้(ช่วย)ทำ
>>95 30 หมาดๆ คิดว่าคงเปลี่ยนงานได้อีก 2 รอบ
แต่คงไม่ใช่ช่วงนี้อะ ขืนย้ายไป เศรษฐกิจไม่ดี สถานการณ์แบบต้อง work from home แม่งจะเสี่ยงไม่ผ่านโปรมาก
บ.ปัจจุบันกูก็เพิ่งโดนพิษไวรัสไปเหมือนกัน เอางานไปขาย ทำ poc เรียบร้อย เตรียมปิดดีล เตรียมจะเซ็นต์สัญญา โดนบอกว่าขอเลื่อนไปก่อน เพราะ บ. เขาต้องหยุดงานเหมือนกัน
ไวรัสเนี่ย อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มันก็กระทบเหมือนกันนะ เพราะลูกค้าเขารัดเข็มขัดเหมือนกันช่วงนี้ ไม่ค่อยอยากจะลงทุนพัฒนาระบบอะไรเท่าไหร่
กุเริ่มงานมิ.ย. บ.จองรร.ชื่อดังอ่ะนะ เซ็นสัญญาไปละแต่ดูทรงcovidแม่งแย่ลงเรื่อยๆเลยว่ะ กุมีสิทธิ์โดนเขาเทก่อนเริ่มงานป่ะวะ
- test function ไม่มีปัญหา
- automation test ไม่มีปัญหา
- test มือไม่มีปัญหา
- test ในทีมไม่มีปัญหา
- ลูกค้า test ไม่มีปัญหา
-เอาขึ้น production จริง bug มาเลยจ้า wtf
พวกมึง outsource มีปัญหา covid ป่ะวะ กุเป็น outsource เหมือนเขาขอลดเงินว่ะ บอกช่วงนี้ลูกค้าก็แย่
เขาบอกบางที่ทำงานโรงงาน ต้อง hold งาน hold สัมภาษณ์ เลยเหรอวะ เพราะโรงงาน work from home ไม่ได้ อันนี้จริงป่าว
เขาขอลดไปซักระยะนึง พวกมึงเคยโดนกันไหม
ใครมี Api ตัวเเปลภาษาของ Instragram บ้าง อยากได้ มันเเปลรู้เรื่อง
กู >>102 ของกุลูกค้าต่อที่เดิมวะ แต่หัวขอลดกู หัวอ้างว่า(หรือหัวต้องการทำยอดเท่าเดิม ในช่วงไวรัสระบาด? อันนี้กุคิดเองเออเองนะ) ลูกค้าขอลดซึ่งกุก็ไม่รู้ว่าจริงมั้ยเพราะกูไม่ได้คุยเรื่องเงินกับลูกค้า ก็เลยให้เค้าลดไปหน่อยนึง(จริงจะลดเยอะกว่านี้มาก แต่กุไม่ยอม) ช่วงนี้ ขก หางานใหม่ด้วย work from home ยาวๆ ว่ะ อีกเดือนสองเดือน สถานการณ์ดีขึ้นค่อยว่ากัน สู้ๆ พวกมึง
กุขอรุ้เรทเงินเดือนพวกมึงหน่อย ทั้ง os และประจำ(โบนัสกี่เดือนด้วยก็ดี) ประสบการณ์กี่ปี + แนวงานที่ทำ(บริษัททำเกี่ยวกับอะไรด้วย จะดีมาก) กุอยากเปรียบเทียบวะ ขี้เกียจ ไปถามในกลุ่มเฟส เดี๋ยวมีดราม่า
บ.กู พวกอายุ 35+ แม่งไม่ค่อยเอา code ขึ้น git กันว่ะ
บอกให้เอาขึ้นก็บ่ายเบี่ยง ขอเทสก่อน สุดท้าย ส่งเป็นไฟล์ zip มาทางไลน์
ฝั่งคน up มันย้ายสะดวก พวกมักง่ายแอบโยกใส่ github มีประจำ
>>116 เออ ถ้ามันตั้ง local แบบที่ >>114 บอกมันจะรั่วได้ยังไงหว่า เพราะมันเข้าจาก internet ไม่ได้ ต้อง commit จากที่ทำงาน หรือไม่ก็ต้องต่อ vpn
ถ้าจะรั่วคือต้องอัพลง internet เอง ซึ่งปัญหานี้ไม่ว่า git หรือ svn มันก็เกิดได้เหมือนกัน แล้วแบบนี้ svn มัน secure กว่ายังไง หว่า
แล้วพวกส่งโค้ดกันผ่าน line ผ่าน facebook มันซีเคียวกว่าหรอวะ
นี่กูสงสัยจริงๆนะ ขอความรู้ เพราะเหมือนมึงรู้เยอะ มีอ้าง silicon valley ด้วย
นี่กูไม่ได้กวนตีนนะ
>>117 มันมีหรอวะคนที่ทำแบบนั้น ไม่โง่จริงๆ ก็บ้า(หรือมีเจตนาปล่อยความลับ บ.) คือมึงยุ่งยากกว่าเดิมนะ ต้อง clone repo มาจากของ server แล้วก็เอาไปขึ้น github ก่อน แล้วจะทำเพื่ออะไรวะ ? เพื่อสะดวกในการ commit กูว่าไม่น่าใช่ละ ในเมื่อ มึง clone ไปมันก็เป็น local repo ในเครื่องมึง มึงจะเอาโค้ดไปทำงานที่ไหน จะ commit แบบ local แล้ว ค่อยกลับไป push เข้า server ของ บ. ตอนหลังก็ได้
แต่ เอ. . . ไอ้อ้างเรื่องว่า "จะเอางานกลับไปที่บ้านพี่ต้องอัพลง github สิ เพราะพี่ขี้เกียจ vpn" เนี่ย เหมือนกูจะเพิ่งเถียงกับคนๆนึงในที่ทำงานไม่นานมานี้ซะด้วย ตอบคล้ายๆมึงเลย แม่งไม่เข้าใจแล้วก็อ้างเหตุผลปัญญาอ่อนๆ จริงๆ คือไม่อยากให้คน track ว่าวันนี้เขียนโค้ดไปเท่าไหร่
>>111 รั่วได้เหมือนกันหมดนั่นแหละ แุถม svn ยิ่งส่อโค้ดรั่วเลย เคยใช้มาก่อน
เพราะว่ามันทำแบบ offline ไม่ได้เหมือน git มันค่อนข้างจะยุ่งยากในการแชร์โค้ด
ที่ทำงานเมื่อก่อนของกูส่วนใหญ่จะใช้วิธีก็อปทั้งโปรเจ็กมาไว้ในเครื่องตัวเอง แล้วก็โค้ดกัน ตอนโปรดักชั่นก็มารวมโค้ดกันข้างนอกด้วยมือแล้วเข้าเอาขึ้นเซิร์ฟเป็นซับเวอร์ชั่น เพราะไม่อยากไปยุ่งกับโค้ดข้างบนมาก กลัวมันพัง จะก็อปไฟล์กันผ่านแฟรชไดร์ฟก็ไม่ได้ เครื่องในออฟฟิศเขาไม่ให้ก็อปข้อมูลออก ก็แชร์ผ่านพวกแชร์ไดร์ฟไป
ส่วนคนที่ต้องเอาโค้ดไปทำที่บ้าน ใช้โน็ตบุ้คตัวเองไม่อยู่ในโดเมนมันจะก็อปไฟล์ไม่ได้ บ. ไม่ได้ ก็อาศัยส่งเข้าอีเมล์ตัวเอง แล้วสมัยก่อนเมล์มันจำกัดขนาดไฟล์ ก็ต้องแตก rar หลายๆพาร์ท บางคนมักง่ายแบบกูก็อัพลงเว็ปฝากไฟล์ mediafire เลย
โม่งบางคนแม่งเหมือนคนที่เคยใช้แต่โทรศัพท์แบบปุ่มกดอะ ชาวบ้านเขาเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนกันหมด แต่ตัวเองไม่อยากเปลี่ยน แล้วหาข้ออ้างว่าสมาร์ทโฟนไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ไปคิดเอาเองละกัน
สภาพแวดล้อมแต่บริษัทมันไม่เหมือนกัน เนื้อหางานก็เซนซิทีฟไม่เท่ากัน มึงจะเอามาแซะกันทำไม
>>124 จริงนะ ต่อให้อีกอันมันจะดีกว่าแค่ไหน แต่ user ไม่ยอมใช้ แม่งก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ก็กลายเป็นของไร้ค่าไป
แล้ว git แม่ง ถ้าเริ่มแรกๆมันก็จะงงๆ วุ่นวายกับชีวิตมากด้วย ต้องเรียนรู้นิดนึง เอาจริงๆ ที่ทำงานใหม่กูก็ไม่ได้ใช้ เพราะโปรเจ็คมันเล็กๆ ก็ส่งโค้ดกันทางไลน์นี่แหละ
แต่กูเห็นบางคนบอกข้อเสียเรื่อง security ของ git กูก็เพลียหมือนกัน ดูตอบคอมเม้นท์นี่คือไม่ได้มีความเข้าใจเลย แต่ก็พยายามมาดิสเครดิตในสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นเคย
ไม่ใช่ git = ประหาร
ขอแชร์ของกูต่อ
คือก่อนขึ้นโปรเจ็คก็คุยกันว่าให้ทุกคนเอาโค้ดขึ้นกิต แต่มีคนประมาณเกือบครึ่งไม่ยอมเอาลง หัวหน้าก็พยายามจะตรวจโค้ดในกิต แต่มันไม่มีคนใช้ สุดท้ายก็ล่ม กลับไปใช้งานแฟลชไดฟ์เหมือนเดิม แล้วตอนนี้โดน wfh แม่ง wtf มาก รวมโค้ดแต่ละทีหืดขึ้นคอ ลากยาวมากลางคืนไลน์นี่เด้งจนกูไม่ได้นอน
ส่งไฟล์กันทาง flash drive นี่งานกลุ่มเล็กๆสมัยเรียนตรียังปวดหัวกันแทบตายเลย...
ที่บริษัทเดิมกูยังใช้ source safe อยู่เลย พวกมึงเคยใช้มั้ย เฉพาะโปรเจคเก่านะ มีเยอะด้วย แต่เป็นโปรเจคขายได้เรื่อยๆด้วย แม่งจะ maintain ทีนี่หอบขึ้น(ซึ่งแต่ละไซต์ก็ require ไม่เหมือนกันเลย) นุ้นนี่นั่นไม่รองรับบ้าง เสียเวลาชิบ
มีใครใช้ CPU AMD มั่งป่ะ กูเห็น AMD ออก Zen 2 สำหรับ notebook แล้วน่าจะได้ notebook ดีๆในราคาที่ถูกลงเยอะ
แต่เคยเห็นโม่งในห้อง PC บอกว่า AMD Driver CPU ห่วย กับมีเพื่อนบอกว่างานเขียนโปรแกรมมันสู้ Intel ไม่ได้
ถ้ากูจะใช้จริงนี่ควรระวังอะไรมั่ง
>>134 กูใช้ ryzen5gen2 เท่าที่เขียนมาด้วย dotnet razor js nodejs html python tensorflow แล้วก็ลองใช้เป็นเครื่อง master เทสของ k8s ไม่มีปัญหาอะไร
ที่ยังไม่ลองคือเขียนลง mobile พวก react-native flutter
เห็นมีพี่ที่ทำงานบอกมันมีปัญหาเรื่องใช้งาน emulator ของ android มันจะใช้งานบางฟังชั่นไม่ได้ แต่กูยังไม่ลอง ได้ยินมาเฉยๆ
>>134 เพื่อนกุจัดมา ryzen 5 3500U ที่มันเป็นการ์ดจอแบบแชร์ ไม่รู้เป็นทุกรุ่นที่ใช้ ตัวนี้ หรือ เฉพาะรุ่นที่เพื่อนกูซื้อมา แม่งเว็บบราวเซอร์เล่นวิดีโอ ทั้ง ยูทูป เฟส ฯลฯ แม่งภาพ วิดีโอเขียวบ่อยวะ เอาไปเคลมภายใน 7 วันทางร้านเปลีย่นเคื่องให้ก็ไม่หาย ใครใช้ cpu รุ่นเดียวกัน มาตอบหน่อย เป็นอาการนี้กันไหม
Technical Debt คือไรอ่ะครับ เจอในข่าวบ่อยมาก
>>141 ในก็อนาคตก็... เท่าที่ดูข่าว มันบอกการจะทำ backup ข้ามค่าย ios, android เป็นเรื่องยาก ต้องใช้ทรัพยากร และอื่นๆอีกเยอะ มันเลยไม่ทำ เหตุผลก็น่าจะเป็นอันเดียวกับ tech debt ที่ด้านบนๆ บอก ขนาดตอนนี้รูปที่ส่ง กับ วิดีโอยังมีหมดอายุเลย กุละเซง แล้วก็ใช้กันเยอะอีกไทย
>>141 https://www.blognone.com/node/113349 เอาไปอ่านดู มันบอกขาดตังเลย backup ข้อความไม่ได้ด้วย wtf
ตอนนี้ Work from home กูเปลี่ยนช่องทางคุยงานจาก line เป็น discord ละ ฟังก์ชั่นครบกว่า
แต่คนแก่ๆ เขาก็ถนัดใช้ line กว่าอยู่ดี กูว่าเพราะมันใช้ง่าย ไม่ต้องสมัครเมล์อะไรวุ่นวาย ขอแค่มีเบอร์มือถือ
ส่วนตัวกูชอบ telegram เพราะมันเบาไม่หนักเครื่องดี
ที่ออฟฟิศใช้ Work Chat เป็นหลัก แต่เวลา VDO con ใช้ MS Team อ่ะ
ตอนอยู่ออฟิศใช้ line ตอนนี้ line + skype ว่ะ
พี่ๆ ครับ ในการทำงานจริงปัจจุบันนี้ภาษา JAVA ยังใช้กันอยู่มั้ยครับ หลักสูตรที่ ม.เป็น JAVA แต่เท่าที่ลองดูเนื้อหามันเก่ามากเลย ผมไม่รู้ว่า บ.ทั่วไปเขายังใช้กันอยู่(อย่างที่ อ.บอก)จริงๆ หรอ ผมควรจะทุ่มเทกับ JAVA หรือเรียนแค่ให้พอผ่านรับวุฒิ แล้วเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับภาษาอื่นดีครับ เช่น Python นี่มีอนาคตกว่าหรือเปล่าครับ
>>150 Java ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่จริง แต่เหลือใช้ในองค์กรใหญ่ๆซะมาก บริษัทเล็กๆ startup แทบไม่มี
ในอนาคตองค์กรใหญ่ๆน่าจะยังใช้ไปอีกนานมาก ความนิยมน่าจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆในระยะยาว แต่ก็ไม่ตายสนิท
เรื่องเนื้อหาเรียนในห้องพยายามทำความเข้าใจในแง่ concept ไป อย่าไปยึดติดกับตัวภาษามาก
https://www.blognone.com/node/115919 จริงๆทำออกมาสกุลเดียวก็จะกลายเป็น บิตคอยไปอีก 1 เจ้าเท่านั้นเอง
พวกมึง wfh มีให้ช่วยทำฟรีเสาร์ อาทิต์บ้างป่าววะ กุเป็น outsource แม่ง
หรือพวกพนักงานประจำ มีให้ช่วยทำฟรีมั่งป่าวเสาร์อาทิตย์
>>154 กู พนง.ประจำ wfh ที่ผ่านมาก็โดน ขอให้ทำ ส.-อ. และกูทำ 7 โมงเช้า-ตี 4 เลยด้วย ซึ่งกูก็ไม่บ่ายเบี่ยงอะไร เพรายังไงก็ต้องทำไม่งั้น บ.รายได้หายหลักล้านว่ะ แต่กูเจรจากับหัวหน้าสาขา งานเสร็จขอพักนะ เค้าก็ ok อยู่
แต่ถึงกระนั้นก็ตามถึงวันหยุดตามที่ตกลง ก็ไม่ได้พักอยู่ดี โดนลากไปประชุม แต่กูก็เฉยๆ นะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเอาเปรียบอะไรหรอก บ.ขายได้เยอะ สุดท้ายก็เพิ่มเงินเดือน สวัสดิการให้กูอยู่ดี ที่ผ่านมาก็ขึ้นเงินเดือนให้กูปีละ 2 รอบ แถมพาไปเที่ยว ตปท.ออกค่าทัวร์ให้หลายอยู่
Futureskill เป็นไงบ้างวะ ใครเคยเรียน
กูต้องย้ายงานแล้วที่ใหม่เริ่มเดือน 7 แล้วที่นี่ต้องเอาคอมมาเอง
อยากได้ Ultrabook Ryzen 4000 (5 หรือ 7 ก็ได้ แต่อยากได้ 7 มากกว่า) มี M2 NVMe RAM 16 GB
จริงๆอยากได้ Acer Swift 5 แต่ไม่รู้จะทำรุ่น AMD ขายรึเปล่า รุ่น Intel Gen 10 ตัวท๊อปก็ราคาแรงไป
มีรุ่นไหนแนะนำบ้างมั้ย
>>162 ถ้าให้กูแนะนำ กูคงแนะนำ Macbook Pro ว่ะ กรณีที่มึงไม่มี software เฉพาะ บน win ที่ต้องใช้เป็นพิเศษนะ
ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะอัตราส่วนจอเป็น 16:10 ดู code ง่ายดี และไอ้พวกปัญหาจุกจิกเวลาใช้น้อย ระบบ backup ง่ายและสะดวก
แต่ก็นะนานาจิตตังว่ะ เลือกซื้อเครื่องรุ่นอะไร OS ไหนก็ตามสะดวกกับมึงเถอะ แต่แนะนำไว้หน่อย ถ้าเครื่องหากินอย่าดูแค่ตัวเลขเสป็คอย่างเดียว ให้ดูพวก keyboard แสงสะท้อนจอ การวางมือด้วย เพราะเป็นเครื่องที่ต้องอยู่กับมันวันละหลายชั่วโมง
พวกมึงใครเคยทำ web dev ที่ easy buy มั่งวะ เป็นไงมั่ง สวัสดิการ เงินเดือน ฯลฯ
Notebook ที่ใช้ทำงาน โค้ดดิ้ง etc+เล่นเกมได้ด้วยซื้อรุ่นไหนดีครับเพื่อนๆ
>>163 Mac ราคามันค่อนข้างเกินงบกูน่ะ เรื่อง software เฉพาะ Win ที่ตัวกูเองใช้ปกติไม่มี
แต่ระบบ authen ของบริษัทมัน support เฉพาะ Win (ตอนสัมเค้าบอกว่างั้น)
เรื่อง keyboard กูไม่ซีเรียสมาก เพราะปกติต่อ keyboard แยกอยู่แล้ว
เวลาที่ใช้โดยไม่ต่อน่าจะไม่บ่อย เช่นหิ้วคอมไปทำงานในห้องประชุม หรือเอาคอมไปทำงานร้านกาแฟนานๆที
>>165 แต๊งมาก ปกติไม่เคยดูตระกูลนี้มาก่อน ดีตรง custom ได้นี่แหละ แต่ต้องเผื่อเวลาสั่งล่วงหน้า
เสียแต่ X1 ไม่มี AMD ถ้ามี AMD มันน่าจะถูกกว่านี้ได้เยอะ ส่วน T495 ดันมีแต่ Ryzen 3000 อีก
ลองไปหาข้อมูลเพิ่มมี T14s, T14 ที่จะมี Ryzen 4000 แต่เห็นว่ากว่าจะขายก็เดือน 6 นู่นเลย ไม่รู้ว่าจะทันมั้ย
Notebookรุ่นใช้devดี+เล่นเกมได้มั่งอ่ะเพื่อนๆ เครื่องเก่าMsiมันจะห้าปีละไม่รู้จะพังวันไหนเลยอยากลองดูตัวใหม่ไว้ก่อน
กูเป็น outsource ทำงานให้บริษัทใหญ่แห่งนึง แล้วทีนี้ลูกค้าเค้าบอกกูว่าบริษัทกูหักค่าหัวคิวเยอะ
เค้าเลยเสนอว่าอยากเปลี่ยนหัวมั้ย แล้วเค้าก็หามาให้ที่นึง ซึ่งจะได้เงินเดือนเพิ่ม 5000 แต่ต้องซื้อคอมมาทำงานเอง
ซึ่งกูก็คิดว่ายอมซื้อใหม่ก็ได้ เพราะคอมบริษัทมันห่วยมาก ถือว่าเพื่อคุณภาพชีวิตเพราะของใช้ทำงานทุกวัน
เท่าที่ลองเอาชื่อบริษัทมา search ไม่เจอข้อมูลเลย เดาว่าน่าจะบริษัทเล็กๆ
แต่กูก็ไม่ติดอะไรนะตราบเท่าที่เค้าจ่ายเงินเดือน เพราะไม่ได้ทำงานด้วยกันโดยตรงอยู่แล้ว
กลายเป็นตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัวๆแล้วว่าควรย้ายดีมั้ยวะ กลัวย้ายไปแล้วมีปัญหา ยิ่งช่วงนี้หางานใหม่ยากด้วย
คำว่าเพิ่ม 5 พัน มันแล้วแต่กรณีด้วย ถ้าฐาน 6-7 หมื่น ย้ายแล้วได้เพิ่ม 5 พัน... อันนี้จะย้ายทำด๋อยอะไร แต่ถ้าฐาน 2 หมื่น ได้เพิ่ม 5 พันอ่าก็ดูเยอะนะ
แต่กูให้คำตอบแบบนี้ดีกว่า
1. มึงควรหางานใหม่นะ
2. แต่บริษัทที่มึงคิดจะย้ายไปทำดูไม่ดีเลยว่ะ ไม่ปั่นประสบการณ์แล้วค่อยหาที่ดีกว่านี้เหรอ ไอ้ที่เสนอมามันดูกระจอกเกินไป กลัวว่าสวัสดิการจะไม่มีอะไรเลยน่ะสิ
ส่วนทำไมกูคิดแบบนั้น เอางี้
ถ้าคิดในแง่เบสิกสุดนะถ้าบริษัทจะอยู่รอดได้ โดยเฉลี่ยเซลล์ 1 คนมันต้องขายงานระดับกลางที่หักกำไรแล้วได้เงิน 3-4 แสนต่อเดือน ถึงจะสามารถ เช่าห้องอาคารสำนักงานระดับเล็กใจกลางเมือง ที่มีคนงาน 20 คนได้ แล้วต้องมีโปรเจคระดับล้านทำกันหลายเดือนหน่อยไว้กินระยะกลาง ดังนั้นคอมตัวนึงไม่กี่หมื่น บริษัทระดับแค่นี้ซื้อแจกได้สบาย แต่นี่ให้ซื้อคอมมาทำงานเองโคตรตลก
>>170 เทียบกับฐานแล้วมันดูไม่เยอะมากก็จริง แต่มันก็คือเงินเพิ่มน่ะ ตอนแรกกูก็คิดซะว่าได้เอาไปเป็นส่วนลดค่าคอมซึ่งอยากซื้ออยู่แล้ว
จริงๆกูเดาเองว่าเพราะมีเรื่องโควิดลูกค้าถึงยื่นข้อเสนอนี้ให้ เค้าน่าจะต้องจ่ายให้เจ้านี้น้อยลง
แต่กูได้เงินเพิ่มเพราะเค้าคิดส่วนต่างน้อยลงมากด้วย
แล้วกูก็ไม่ค่อยกล้าปฏิเสธลูกค้า เพราะกลัวว่าเค้าจะมองว่าค่าตัวกูแพงไปไม่คุ้มสำหรับช่วงต้องประหยัดเลยไม่จ้างต่อ
เรื่องบริษัทใหม่ดูไม่ดีก็ใช่แหละ แต่กูคิดสวัสดิการทั้งที่ใหม่ที่เก่าไม่มีอะไรเลยเหมือนกันทั้งคู่ ดูเผินๆก็น่าจะไม่เสียอะไรนอกจากเรื่องคอม
เนื้องานที่ทำก็งานเดิม ถ้าไม่แจ๊คพอตเจออะไรที่เหี้ยมากๆก็น่าจะโอเค แต่กูก็ยังกลัวๆอยู่
เรื่องคอมบริษัทพวกนี้หากินกับค่าหัวคิวเป็นหลัก ในมุมคนทำงานอาจจะมองว่าเค้างกก็จริง แต่ในมุมบริษัทจะให้เค้ายอมจ่ายนี่ยาก
แล้วบริษัทเก่าที่ยอมให้คอมนี่เครื่องที่ได้ก็สเปคต่ำมากจนใช้งานทั่วไปยังช้า ไม่ต้องพูดถึงรัน tool เขียนโปรแกรมต่างๆ
outsource คนอื่นที่มาจากบริษัทอื่นก็เจอเหมือนๆกันหมด ทุกคนใช้คอมตัวเองกัน มีกูคนเดียวที่ทนใช้คอมบริษัท
นอกเรื่องนะ
แต่จากประสบการณ์ที่กูทำมา กูว่างาน outsource ส่วนมากมันงานกรรมกรยังไงไม่รู้ว่ะ
เพราะคนจ้างเค้าไม่ส่งโปรเจค ใหญ่แบบต้องประเมินคิดเองวางโครงเองตั้งแต่ต้น มันเหมือนงานรับทำส่วนย่อยๆ แบบคำนวณแล้วว่าไม่เกินเท่านี้ๆ แล้วค่อยโยนมาให้ทำเหมือนรูทีนซะมากกว่า
มัน ok ที่ต้องตามเรื่องใหม่ๆ แต่มันก็ได้แค่ตาม ไอ้พวกโปรเจค r&d สร้างนวัตกรรมเอง ประสบการณ์ส่วนนี้มันได้น้อยมาก
ถ้าจะเอาแบบ ประสบการณ์ level + ไว กูว่างานบริษัทพวกเอเจนที่ขาย software แบบพัฒนาตามความต้องการลูกค้าไปไวกว่า อันนี้ความกดดันคนละแบบ คือมึงต้องทำได้ทุกอย่าง รวมถึงขายงานเองด้วย งานด่วน งานบีบเวลา แล้วแต่เจรจาเองเลย ต้องวางแผนตั้งต้นเองเลยว่าซื้อเครื่องมือเท่าไหร่ ยังไง หา supplier เจ้าไหน ทำเองแค่ไหน
กูทำงานประจำ ที่ออฟฟิศมีแมคบุ๊คให้ แต่กูก็มี pc ไว้เล่นเกมทำนู่นนี่ก๊อกๆ แก๊กๆ ฝึกอะไรของตัวเองไปด้วยนะ ไม่รู้ว่ะกูว่าของมันต้องมีติดตัวไว้อ่ะ
ไอ้ซื้อเครื่องส่วนตัวกูเชื่อว่าต้องซื้อกันทุกคนอยู่แล้ว
แต่คำว่าบริษัทมีเครื่องทำงานให้หรือบังคับให้เจ้าตัวซื้อแล้วขนมาเอง อันนี้มันต่างกันว่ะ มันหมายถึงสวัสดิการนะ
แถมการซื้อ software แบบต้องจ่ายรายเดือนหลายตัว ทั้งที่ไม่ได้ต้องการใช้เองเลยก็ไม่ดีนัก
>>174 เหมือนกูโชคดีมั้ง คือเป็น outsource ที่โชคดีได้ทำงานใน Agile Team อยู่ไปยาวๆ ไม่ได้จ้างเป็นโปรเจค
แต่มันก็ค่อนข้างโดนตีกรอบจากการ design ของ SA, standard ขององค์กรลูกค้าที่หลายอย่างก็ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล
แต่ก็ไม่ได้ทำงานในมุม manage project เองหรอก
>>177 กูก็มีคอมของตัวเองนะ แต่เป็น gaming notebook ซึ่งมันโคตรหนัก และไม่อยากทิ้งไว้ออฟฟิซด้วย
จะแบกกลับทุกวันก็หนักไปเลยอยากได้อีกเครื่องต่างหากเบาๆ สำหรับย้ายที่เวลาไปประชุมกับหิ้วกลับบ้านได้ง่ายๆ
อีกอย่างคืออยากแยกเครื่องที่ไว้ทำงานกับเล่นเกมหนักๆเป็นคนละเครื่องด้วย
>>178 outsource บางที่เค้ามองว่ามันก็กึ่งๆเป็น freelance อ่ะมึง คือถ้าบริษัทไม่ค่อยมีพวกนี้ให้แต่เงินเดือนจะเยอะ
คือเค้ามองว่าจ่ายเงินเยอะแล้วจบ ที่เหลือคือจะใช้ทำอะไรคือไปบริหารกันเอง
พวก tool ทำงานเสียตังก็แล้วแต่คน บางคนก็จ่ายเพราะมองว่าเพื่อคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดี บางคนก็ crack เอา
กูโชคดีที่ tool ทำงานใช้ของฟรีได้หมด
พวกมึง outsource เค้า blacklist กันด้วยทำโปรเจคไม่จบเหรอวะ แบบหมดสัญญาแล้ว แต่โปรเจคไม่จบ
และเราไม่ต่อสัญญาไรงี้
บ่นระบายหน่อย ล่าสุดกุทำ project นึง คือ ทั้ง
unit test ก็แล้ว
integrated test ก็แล้ว
ui test ก็แล้ว
function query builder ตรูก็แยกแล้ว test แล้ว test อีก
up ขึ้น production ok เหมือนจะรันได้ไม่มีปัญหา
production ขึ้นของจริง พอผ่านมา 1 เดือน bug โผล่สัด สุดท้ายโดนด่าเสียหมาเลยตรู orz
ไม่จบมหาลัยแต่ถ้าศึกษาเก็บไปภาษาเดียวพอทำงานเรียกเงินได้ถึง15k มั้ยวะ
>>184 ปกติงานโปรแกรมเมอร์มันควรจะได้เงินเกิน 15k อยู่แล้ว
เรื่องได้ภาษาเดียวปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ภาษาเดียว มันขึ้นอยู่กับว่าที่ๆเข้าไปทำงานใช้ภาษาอะไรทำงานมากกว่า
ถ้าตรงกับที่เค้าใช้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร (ถ้าไม่ได้เป็น full stack)
เรื่องจบตรีนี่ขึ้นอยู่กับว่าที่ๆทำงานเค้าใจกว้างรับรึเปล่ามากกว่า ซึ่งในไทยคือหายากหน่อย
>>184 ถ้าถามแบบนี้ตอบเลยว่าไปเรียนให้จบซะ ม.ไก่กา รับนอกเวลาเยอะแยะ
ทำไมน่ะเหรอ ที่ทำงานไม่ได้ต้องการคนเขียนโปรแกรมเป็น แต่ต้องการคนเขียนโปรแกรมแล้วใช้งานได้ คือ ต้องค่อนไปทางเก่ง ระดับชำนาญแล้ว และภาษาก็แค่เครื่องมือที่สำคัญคือ วิธีทำวิธีสร้าง ต่างหาก
ส่วนถ้าเก่งระดับที่ไม่ต้องจบมหาลัย อันนี้คงไม่มาถามแบบนี้ เพราะเก่งจริงขายงานเองได้สบาย ที่วางขาย software มีเยอะแยะ วันไหนเบื่อๆ จะทำงาน freelance ข้ามโลกเลยก็ได้
ถ้าเป็น OS คิดว่าจะได้ทำงานแบบ Agile ตลอดฝันกลางวันชัดๆ
องค์กรในไทยเล็กใหญ่เหมือนกันหมดเปลี่ยน requirement กลางทางตลอดและจะเอาไวๆ บางครั้งแค่จะเขียน unit test ยังไม่มีเวลาเลย ต้องข้ามไป integrated test ไม่ก็ ui test ตลอด ยกเว้นจะได้พัฒนาระบบที่เอาไว้ขายชาวบ้านเองโดยตรงก็ว่าไปอย่าง
ปล. เหี้ยสุดที่กุเคยเจอก็ประเภทงานกุตีไป 2 อาทิตย์ โดนปรับเวลาเหลือ 3 วัน เชี้ยมาก
ถ้าทำงานประเภทบริษัทเอเจนซี่ที่มีโปรแกรมเมอร์ภายใน งานประเภทที่ไปรับจ๊อปไล่ปิดโปรเจคลูกค้า พวกมึงได้จะรู้ว่าคำว่า agile คือตำนานเมือง ประมาณได้ยินชื่อแต่ไม่เคยใช้จริง งานเปลี่ยนได้ตลอดแหละ ประมาณสร้างบ้านเสร็จรื้อเสาออกต้นนึง ต่อไม้กระดานบางๆ แผ่นเดียวออกด่านฟ้า แล้วบนไม้กระดานบางๆ เสือกให้สร้างห้องครัวต่อ unit test เหรอ integrated test เหรอ ui test เหรอ ไม่เคยได้ยิน งานสั่งเย็นวันนี้ก่อนเลิกงาน 5 นาที แต่เอาเช้าพรุ่งนี้ manual test ได้ซัก 3 รอบก็เก่งแล้ว
แล้วทำที่ไหน? บน production จริงเฟ้ย ไม่มีตัว local test แล้วห้ามผิด ผิดเมื่อไหร่โดนด่าประมาณจะไล่ออกเลยทีเดียว เพราะ production จริงมีเงินหลายล้านวิ่งอยู่ต่อวัน transaction update ทุก 10 วิ
ใช่ๆ แม่งทำงานเหมือนคนไม่รู้งาน ถ้ามึงทำพลาดเจอค่าชดใช้ หัวโกร๋นพอดี
ใครเป็นมั่งวะ ตอนเรียนเขียนโปรแกรมแทบไม่รู้เรื่องไรเลย เรียนจบมาแบบงูๆ ปลาๆ สอบเขียนโค้ดบนกระดาษแต่ละวิชาทำแทบไม่ได้ โปรเจคจบคือ มานั่งคิดตอนนี้ มันง่ายมากเลย แทบไม่มีไร ทำไปได้ไง ตอนสัมภาษณ์แทบไม่อยากพูดถึงโปรเจคจบ
...แต่มารู้เรื่องตอนทำงาน (เรียนจบก็อ่านหนังสือ หาข้อมูล ก่อนเริ่มสัมภาษณ์งานที่แรกประมาณนึง) แล้วก็กลับไปคิดว่า ทำไมตอนเรียน เรื่องแค่นี้เราไม่รู้เรื่องว่ะะะะ ??????
โม่ง ป.ตรี สาขา MIS สมัยนี้ถือว่าตกยุคไหมวะ? จบมามันทำงานเขียนโปรแกรมได้ไหม? หรือมันควรไปสายธุรกิจ/การตลาดมากกว่าวะ?
พวกมึง outsource หรือไม่ outsource พอจะรีวิวเงินเดือนตัวเองได้ป่าว ปสก กี่ปี ประเภทงาน เงินเดือน
กุเปิดก่อน .net outsource ปสก 3 ปีนิดๆ เงิน 45000
กำลังจะหมดสัญญาว่าจะเรียกซัก 55000 พวกมึงคิดว่าไงวะ
>>199
- Data Structure กูว่าแล้วแต่ภาษา ถ้าอย่าง Java รู้ในระดับใช้เป็นก็พอ
มากกว่านั้นใช้ของให้เหมาะกับงาน ลักษณะและปริมาณข้อมูลที่ต้อง process ก็ดี แต่ปกติไม่ได้ยุ่งกับข้อมูลเยอะๆมันไม่มีผลมากขนาดนั้น
แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ขนาด implement เองได้ หรือรู้ว่าข้างในเป็นยังไงแบบลึกๆหรอก
ส่วน JS เท่าที่กูเคยใช่มารู้แค่ใช้เป็นก็พอ มันไม่ได้มีให้เลือกหลายหลายแบบ Java กูเข้าใจว่า Interpreter มันน่าจะปรับให้เองตามความเหมาะสม
- Database ถ้าทำงานหลังบ้านน่าจะได้แตะเกือบทุกงาน หน้าบ้านบางงานอาจจะไม่ต้องใช้ แต่มันก็ไม่น่าเรียนเองยากนะ
เรียนในห้องมันเน้น concept ก็พอ การทำงานถ้าแบบจริงๆจังๆมันก็ต่างไปตามแต่ละ database อีก
- OS ไม่น่าจะต้องรู้ถ้าไม่ได้ทำงานเฉพาะทาง
>>201 Outsource Java ปสก 7 ปี นิดๆ (มั้งนะ เบลอๆแล้วว่าตัวเองเริ่มทำงานเมื่อไหร่) เงินเดือน 65,000 สวัสดิการไม่มี
กูเปลี่ยนจากประจำมาเป็น Outsource 3-4 ปีก่อน ขอเงินเดือน 50,000 ก็สัมภาษณ์ลูกค้าหลายเจ้าหน่อยกว่าจะได้ที่ๆเค้าโอเค
ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้วถ้านับปัจจัยเงินเฟ้อน่าจะขอได้นะ แต่อาจจะต้องดูปัจจัยเรื่อง ศก. ช่วงนี้ไม่ดีด้วย
>>201 ประจำเงินเดือน 60k กว่าๆ เท่าไหร่ไม่รู้จำไม่ได้ ปสก. 9 ปี ทำในส่วน web อย่างเดียว เลือกเครื่องมือเอง ส่วนมากช่วงหลังใช้ wp เผางานส่งด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำเพิ่มเติมคือต้องทำงานร่วมกับเซล ไม่เชิงไปขายงานโดยตรง แต่ประเมินพวกค่าใช้จ่ายเวลา ความเป็นไปได้ มากกว่า
สวัสดิการ โบนัสอย่างน้อย 1 เดือน พาเที่ยว ตปท.ปีละครั้ง น่าจะงบต่อหัวประมาณ 40-50k พาเลี้ยงบุฟเฟ่หรูประเภทหัวละ 2k เดือนละรอบ ช่วงโควิตเค้าให้ตังค์แทน มีประกันสุขภาพน่าจะเป็นเบี้ยจ่ายทิ้งให้ปีละหมื่นมั้ง ง่ายๆ คือเอาไว้ทำฟันฟรี ตรวจสุขภาพปีละครั้ง ส่วนเข้า office จะเข้าหรือไม่เข้าก็ไม่ไม่ซีเรียสว่าง่ายๆ งานเสร็จพอ แต่ office ก็ไม่ได้ไปลำบากเพราะอยู่ติดรถไฟฟ้านะ
สอบถามหน่อย exxon กับ kbtg เป็นไงมั่ง เงินเดือนประมาณเท่าไหร่
เวลาจะขึ้น พวก framework ใหม่ๆ พวกมึงศึกษากันไงวะ แบบหาเรียน tutorial หรือพวก get started จาก official web แล้วลุยโปรเจคจริงเลยป่าว กุคิดอยุ่ เหมือนต้องอัพสกิลวะ พวกแม่งหาแต่ full stack
แต่พวก framework หรือของใหม่ๆ ไม่เคยทำโปรเจคแบบใหญ่ๆให้ user ใช้งานจริงๆ เลยไม่รุ้จะเริ่มต้นยังไง
>>207 สำหรับกู
1.อ่าน get started จาก official web
2.เปิด udemy คอสกากๆ อะไรก็ได้ในงบ 300 เน้นแบบชั่วโมงน้อยหน่อย เอาแบบรู้คอนเซ็ป
3.อ่าน get started จาก official web แบบละเอียดอีกรอบ เน้นอ่านเรื่องส่วนการรักษาความปลอดภัย
4.ลุย project จริง
อาจจะฟังดูเหมือนมักง่ายไปหน่อยสำหรับ แต่ project หลักล้านกูก็ทำแบบนี้ล่ะ
เวลาสมัครงานโปรแกรมเมอร์เอา portfolio ให้ดุไหม รึแค่ส่ง cv ไป
ถ้ามี portfolio จัดการการยังไง เปิดโปรแกรมโชว์ หรือแคปรูปมาแปะ
ใครเคยทำ outsource เขียนโปรแกรมที่ ปตท. mrt พหลโยธินมั่ง เป็นไง เคยได้ยินคำร่ำลือว่า มีหลายทีม บางทีมอยุ่ดึก บางคนเข้าไปไม่นานก็ออก มันจริงป่าวว่ะ
ถ้าจะหา part time ทำหลังเลิกงานนี่หาจากไหนได้มั่งวะ
ทำงานที่เดิม โปรเจคใหม่ business คล้ายของเดิม tech เดิมๆ + เงินให้มากกว่าที่ใหม่หน่อยนึง อยุ่นี่ก็สบายๆ เพราะอยู่มานาน
ทำงานที่ใหม่ tech ใหม่ แนวโปรเจคใหม่ tech ที่ใช้เป็นที่ต้องการของตลาด(ช่วงนี้และอนาคต) มากกว่า แต่เงินเดือนน้อยกว่าหน่อย
พวกมึงคิดว่าแบบไหน อนาคตดูดีกว่ากัน
ปล outsource ทั้งคู่
ว่าแต่ยุคนี้เวลาโยนข้อมูลในโปรแกรมตัวเองนิยมใช้เป็น Json หมดแล้ว
แต่ทำไมเวลาเขียนโปรแกรมรับข้อมูลจากโปรแกรมอื่น หรือจากระบบอื่นทำไมยังนิยมรับเป็น XML อยู่
กู >>162 สุดท้ายก็ทนยอมซื้อ Swift 5 ตัวท๊อป มาตอนปลายๆเดือน 6 เพราะเวลาไม่เหลือให้เลือกเยอะแล้ว และมีโปรลดราคานิดหน่อยพอดี
มันก็เบามากสมกับที่เป็นจุดขายของรุ่นนี้ กับดีไซน์สวยดี แต่แลกมาด้วยราคาต่อสเปคที่ไม่ค่อยคุ้ม
มาวันนี้เจอ MSI Modern 14 ประกาศรุ่น AMD หนักกว่ากัน 3 ขีด ราคาถูกกว่ากันหมื่นกว่าๆ แรม 8 แต่มี slot ว่าง ซื้อเพิ่มมาใส่เองก็พันนิดๆ
ของอย่างอื่นที่เครื่องกูดีกว่าก็เป็นของไม่ค่อยได้ใช้หรือมีผลต่างน้อยทั้งนั้น อย่าง touch screen, Thunderbolt, WiFi 6, MX350
รู้สึกโคตรเซ็ง ถ้ามันออกเร็วกว่านี้หน่อยกูก็ประหยัดเงินไปตั้งเยอะแล้ว
ปกติต้นสังกัด(recruit) outsource เขาได้เงินเป็นก้อนแล้วไปแบ่งกับ โปรแกรมเมอร์เอง หรือได้ % จากเงินเดือนที่ตกลงกับลูกค้าวะ
สมมติได้จากลูกค้า 100,000 แล้วแบ่งให้โปรแกรมเมอร์ 50k หรือตามตกลง(โปรแกรมเมอร์กับ recruit ตกลงกันเอง)
หรือ โปรแกรมเมอร์เงินเดือน 50k ต้นสังกัดอาจจะได้ซัก 30% ของเงินเดือนโปรแกรมเมอร์จากลูกค้าคือ 15,000 แบบนี้
ส่วนใหญ่เขาเป็นแบบไหนกัน
ใครเคย onsite ที่ ปตท วิภามั่ง บรรยากาศเปงไง
เงืนเดือนเกินแสนกันปกติเลย โปรแกรมเมอร์
มีโปรแกรมเมอร์คนไหนอยากร่วมทีมทำโปรแกรมขายไหมครับ ผมคุยฝั่งธุรกิจ คุณเขียนโปรแกรม ถ้าธุรกิจทำกำไรได้เราแบ่งกันครึ่งนึง ถ้าธุระทำกำไรไม่ได้คุณทำฟรี
>>223 ทำด้วยก็ควายเต็มที่ ฝั่งธุรกิจที่มีความเป็นไปได้ ต้องเผาเงินดึงคนเข้า platform ได้ ไหนจะค่า server รองรับคนเยอะ ค่า ads ซึ่งปรกติแล้วค่าพวกนี้แพงกว่าค่าจ้างทำโปรแกรมอยู่แล้ว. ถ้าทำ platform ขนาดใหญ่ขายฝันแบบพวก shopee คำถามแรกเลยคือ พี่มีเงินให้เผาเล่นเพื่อจัดแคมเปนซัก 9 หลักต่อเดือนไหม
ส่วนประเภทจ้างทำไก่กาเป็น job ไป อันนี้ไม่ต้องมาเป็นนายหน้าหรอก งูๆปลาๆ ไป out source ยังให้เงินเยอะกว่า ส่วนงาน freelance ถ้าจะหลอกเด็กหัดเขียนโปรแกรมทำก็จ่ายให้สมงานจ้างทำให้เป็นกิจจะเถอะ อย่าไปขี้โกงเป็นนายหน้าหักครึ่งเค้าเลย
>>225 เอ่อมองโลกสวยเกินไปแล้วมึง ลูกค้าไม่ใช่เสกขึ้นมานะ แต่ต้องไปหาเอง จ่ายโฆษณา Ads boot เอง และวิธีไม่ให้ลูกค้าหาย มันมี cost ที่ต้องจ่ายทั้งนั้น ปีแรกพวก start up ส่วนมากก็เจ้งกันทั้งนั้นแหละ พอมีลูกค้ามันต้องจ้าง support ด้วย ขนาดเว็ปเทรด เว็ปพนันมันยังยอมเผาเงินเรียกคนก่อนเลย
และกูบอกอะไรอย่างนึง ถ้ามึงจะทำธรุกิจกับพวก sme บอกไว้เลย กากสัดหมา พวกนี้เยอะเรื่องมาก จ่ายยาก ประสาทแดกไม่คุ้มกับเศษเงินหรอก
หาเจ้าใหญ่ง่ายกว่าเยอะ บ.ใหญ่ งาน project 3 ล้าน มันแค่เศษเงินเค้า ไม่เรื่องมากกว่าเงินที่จ้าง แถมคนเดียวปั่น 4-6 เดือนก็เสร็จจบรับเงินแล้ว แถมงานดีก็จ้างเรื่อยๆ อีกนะมึง
พวก recruit IT นี่เงินเดือนดีไหม ส่วนใหญ่ใช้ eng ได้กันทุกคนเลย
ถามจริงๆนะ พวกเว็บshopee , lazada มันเริ่มต้นมาก็ทุนแบบมหาศาล9หลักอยู่แล้วไหมวะ?หรือว่ามูลค่าค่าใช้จ่ายมันค่อยๆโตตามเรื่อยๆ แล้วพวกแบบe-bay , amazonเงี้ย ถ้าห้าหกปีก่อนคือแม่งเริ่มมางบ9หลักเลยเรอะ?
ค่าพัฒนา web เฉยๆ น่าจะ 8 หลัก แถมเป็นบริษัทจาก sg ทั้งคู่
คิดง่ายๆ บริษัท sg ค่าแรงพนักงานตีเลขกลมๆ อย่างน้อยๆ ค่าจ้างก็คนละล้านต่อปีแล้วนา ระบบพวกนี้รวมโน่นนั่นนี ก็ใช้แรงงานอย่างคร่าวๆ น้อยสุดสำหรับบริษัทก็ประมาณ 10 คน
lazada เปิดมาอาจจะไม่ได้ใช้ทุน 9 หลัก แต่ก็เพราะ lazada มันมาในช่วงทะเลเปิดโล่ง คู่แข่งก็มีแต่ปลาซิวปลาสร้อย แค่ทำ web คนก็ใช้แล้ว และก็ฟันกำไรไปเยอะด้วย ทุนมันเพิ่มพรวดตอนขายให้ alibaba
ส่วน shopee เปิดมาถึง 9 หลัก เพราะไอ้ที่ปั่นโฆษณาจัดแคมเปนดึงคนไม่ใช่น้อยนะ แต่ก็นะ shpee เจ้าของมันคือ garena เงินถุงเงินถังอยู่แล้ว
ปล. ช่วงพีคๆ ไม่ใช่ 9 หลักนะ เผาทิ้งกัน 10 หลัก
ขอถามหน่อยนะเพื่อนโม่ง พอดีกูไม่ได้เรียนสายนี้ แต่อยากลองทำแอพใน thunkable x กูอยากรู้ว่าถ้าจะทำแอพจองคิวร้านเสริมสวย ทำใน thunkable x เหมาะไหมวะ หรือมีเครื่องมืออะไรที่มันง่าย ๆ สำหรับมือใหม่ไหม กูไม่เก่งคอม
จองคิว ลูกค้า -> Server -> ร้านค้า
thunkable x ไม่มีส่วน server จะจองได้อิหยัง
ไปใช้ wordpress + ซื้อปลั๊กอิน หรือทีม ที่มีระบบจอง เอาเหอะ ง่ายกว่า
ใครเคย onsite พระราม 3 กรุงศรีบ้าง รถตู้ตรง mrt ศูนย์ศิริกิต ของ กรุงศรีที่รับส่ง ตอนเช้ามันรับคนพอไหม หรือรอนาน หาข้อมูลเก่าๆ เห็นบอกว่ามีบริการ 3 คัน ถ้าคนเยอะต้องรอยาวใช่ไหม
พี่ ๆ ผมกำลังหาที่ฝึกงานในต่างจังหวัด เช่น กรุงเทพ ขอนแก่น ถ้าพอมีพื้นฐาน php+laravel เขาจะรับฝึกงานไหม คือ ยอมรับเลยว่าความรู้ค่อนข้างต่ำอยู่
พี่ๆ คะ ช่วงนี้สายงานไหนน่าทำบ้างคะ ตอนนี้เรียนวิศวะคอมปี 4 ยังไม่ค่อยแน่ใจในตัวเอง
ไม่ได้ถนัด/ชอบอะไรเป็นพิเศษ เป็นเป็ดทำได้ทุกอย่าง
ตอนนี้สาย AI/ML/Data มาแรงมากจนน่ากลัว กลัวจะล้นตลาดไปสู้กับคนอื่นเขาไม่ได้เหมือนกัน ในขณะที่ software dev พอทำได้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากทำไปตลอดชีพขนาดนั้นค่ะ
ตอนนี้เริ่มมีบริษัท offer เข้ามาบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงลังเลไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย อิจฉาคนอื่นที่เขาดูมีแนวทางเป็นของตัวเองแล้วจัง :(
ใครเคยทำ Outsource .net กรุงศรี เงินดีจริงไหม ทำไมบอกว่าพระราม 3 ไกลบ้าน แต่รีครูทเสนอจะให้ค่าเดินทางเพิ่มกันทั้งนั้น จากเงินเดือนที่ขอ
เป็นโปรแกรมเมอร์ อายุ 40+ เงิน ~70k เขียน react เป็นหลัก ประสบการณ์ 7-8 ปีมั๊ง อยู่ในทีม inhouse ที่มีคนอยู่ 4-5 คน ใน บ. ด้านสุขภาพแห่งหนึ่ง
ทำได้ทุกอย่างในโลก ก่อนหน้านี้เป็น vendor เขียน backend ให้ ธ แห่งนึง แต่จริงๆ แม่งทำทุกอย่างตั้งกะ build server ยันเขียน front
จริงๆ ตอนนี้มันก็แฮปปี้น่ะนะ งานเยอะ แต่สบายอยู่ แต่กำลังคิดว่า ถ้าแยกทีมออกมาตั้ง startup เองนี่ มันจะโตไปทางไหนได้อีกมั่งที่ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์วะ
>>243 เรียนจบช้า กว่าจะจบกว่าจะเริ่มทำงานก็ 30-31 แล้วอ่ะ มันเลยไม่ค่อยมี port ถ้าไม่นับทำโน่นนี่นั่นก๊อกแก๊กๆ น่ะนะ เอาจริงๆ ก็มานั่งคิดแหละ แม่งเหมือนเริ่มช้าไปป่าววะ ถ้าไม่เรียนโท ตอนนี้อาจอยู่สูงกว่านี้
>>240 ตอนนี้ inhouse ทำพวก management software แบบครบวงจร (สำหรับธุรกิจด้านนี้) อยู่ ถ้ามัน work มีแผนว่าจะแยกตัวออกมาแล้วทำขายที่อื่นด้วย แต่พอมาติด covid ช่วงนี้แม่งเหมือนความหวังริบหรี่จริงๆ
เอาจริงๆ เรียนโทมา (เมืองนอก) แม่งไม่ได้อะไรเลย แค่เหมือนไปดู trend 2-3 ปีข้างหน้าแค่นั้นเอง พอเกินกว่านั้นแม่งก็หมดละที่เรียนมา แอบเสียดายอยู่
สวัสดีค่ะ ระหว่างคิดจะเปลี่ยนมาสายงาน programmer ได้มาเจอบอร์ดนี้โดยบังเอิญ อ่านแล้วเรียลดีมากเลยค่ะ ชอบ ๆ 5555
ขอคำปรึกษาหน่อยค่ะ ตอนนี้เราทำงานวิศวะไฟฟ้าออกแบบอยู่ที่นึง แต่อยากจะเปลี่ยนมาเป็นสาย programmer นี่เริ่มจากไหนดีคะ
ตอนเซิร์จ เจอทั้ง ยูเดมี่,โค้ดสตาร์ (แต่เหมือนในนี้ไม่ค่อยแนะนำ โค้ดสตาร์เท่าไหร่) สนใจ codecamp thailand แต่ค่าเรียนก็แอบสูงค่ะและเราทำงานเต็มเวลา อาจจะไม่เหมาะ
เคยเรียน java มานิด ๆ ตอนเรียนมหาลัย แต่เอาจริงๆ แทบจะลืมไปหมดละค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้านะคะ และก็อย่าด่าเค้าเยอะนะ หาข้อมูลแล้วมันเยอะจนจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกเลยค่ะ TT
Aws solution architect ของไทยเงินเดือนประมาณเท่าไรอ่ะ
ถามหน่อย
คือตอนนี้มีอีก บ. มาทาบทามให้กูไปทำงานด้วย ซึ่งเงินเดือนดีกว่าที่เดิมเกือบ 2 หมื่น แต่การก้าวหน้าดูดีกว่า
ทีนี้คือกูยังเหลือโปรเจ็คของ บ. ปัจจุบันอยู่ ส่งมอบงานให้ลูกค้า สิ้นปีนี้ แต่ในส่วนของกูทำเกือบเสร็จแล้ว ถ้าไม่มีเปลี่ยน requirement เดือนหน้าก็จะเสร็จ รวม unit test แล้วก็ sit ของ sprint นี้แล้ว
คำถามคือกูควรอยู่จนถึงปิดโปรเจ็คเลย หรือกูควรย้ายงานเลยดีวะ ต่อส่วน module ที่กูทำมันค่อนข้างเฉพาะทาง มีคนทำเป็นอยู่ 2 คน ถ้ากูออกก็จะเหลือเขาคนเดียวที่ต้องดูต่อน่ะ กูเลยลำบากใจ กูอยากไปจากที่นี่เพื่อฟาโอกาสที่ดีกว่า แต่ที่นี่ก็โอเคกับกู ไม่อยากเหมือนทิ้งเขา หรือกูคิดมากไปวะ
node vs golang อันไหนน่าจะไปต่อได้ดีกว่ากัน พอดีได้งาน2ที่
ความรู้สึกเวลามาเขียน go lang เหมือนขี้ไม่สุดว่ะ จากเคยพิมพ์เต็มๆ พอย่อแล้วรู้สึกแปลกๆ
ความเข้าใจผิดที่เห็นบ่อย
"การเลือกใช้ RDBMS แล้วทีมพัฒนาจะคิดเรื่อง Schema ให้ดี วางแผนเรื่องข้อมูลเยอะๆ แล้วเราจะได้ Structure ของข้อมูลที่ดี"
ผมคิดว่าการใช้ RDBMS โดยคาดหวังผลลัพธ์ว่าจะได้บังคับทีมพัฒนาให้คิดเรื่อง Data structure ให้ดีก่อนทำอะไร ไม่เคยได้ผลจริงเลย
อันนี้มักจะเป็นความเข้าใจของคนที่ดูแลฐานข้อมูลหรือ Infrastructure แต่ไม่ได้ร่วมงานกับทีมพัฒนา ที่ว่าพอเสนอ Field Migration แล้วถูกตั้งคำถามจากฉัน เขาจะได้คิดดีๆ ก่อนเสนอ แล้วเราจะได้มี Data schema ที่งดงามไม่ Bloat โอ้ มันช่างดี มันต้องได้ผลแน่ๆ
ในความเป็นจริงผมเห็นมาหลายระบบแล้ว พอคุณทำให้ Field Migration มันยาก คนไม่ได้คิดให้ดีก่อนเสนอ Schema change ครับ คนเขาจะพยายาม Reuse field เก่ามาใช้หลายๆ อย่างแทนครับ เพราะเขามานั่งรอคุณตั้งคำถามไม่ได้ เขามีงานที่ต้อง Deliver
สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะมีฟิลด์ที่มีหลายความหมาย ซึ่งไม่ใช่การออกแบบที่ Data ที่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว
นั่นคือ Actual consequence ไม่ใช่การที่คนคิดให้ดี แต่เป็นการที่คนขี้เกียจทำไปเลย
แต่ถ้าคนที่เสนอสิ่งนี้ ไม่ได้อยู่ในทีมพัฒนา เช่น อยู่ในองค์กรที่มี DBA แยกกันกับทีมพัฒนาอย่างสมบูรณ์จนกระทั่งไม่รู้เลยว่าข้อมูลพวกนี้ไปใช้ในส่วนไหนของซอฟต์แวร์บ้าง จะไม่รู้ไง เห็นว่า Database schema/Structure เหมือนเดิม ก็เข้าใจผิดไปว่านี่คือออกแบบ Data มาดีแล้ว
"ดูสิ ออกแบบครั้งเดียวใช้ได้เป็นปีเลยนะ เห็นป่ะ อยากออกแบบดีๆ ให้ไม่ต้องเปลี่ยนก็ทำได้นี่" เขาจะเข้าใจประมาณนี้ เพราะไม่เห็นว่าเนื้อซอฟต์แวร์เอาฟิลด์ไปใช้อะไรบ้าง
จนกระทั่งต้องเริ่มทำ BI ถึงจะเห็นปัญหาว่าอ้าว ฟิลด์นี้มันหมายถึงหลายอย่างเลยนี่หว่า จะเอาไป Analyze ยังไงล่ะ
RDBMS มีประโยชน์หลายอย่างมากๆ ผมก็ชอบ RDBMS แต่ผมไม่เห็นด้วยกับเคลมที่ว่า พอใช้ RDBMS แล้วจะบีบให้ทีมคิดให้ดีก่อนทำ Database schema ไม่เคยเห็นเกิดขึ้นจริงมาก่อน
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่คนทำงาน Infra ควรจะอยู่ในทีมพัฒนา ไม่ใช่แยกกันทำงาน ฉันดูแลระบบ แกพัฒนา พอมันแยกกัน ความเข้าใจผิดก็เกิดขึ้นได้ง่ายมาก
จำได้ว่าแต่ก่อนมีแต่คนไซโคว่าอายุใกล้ 30 แล้วจะหางาน Programmer ยาก
วันนี้กูมาลองเปิดหาๆดู พวกตำแหน่ง Senior ส่วนมากรับช่วงอายุแถวๆ 28-40 เกือบทั้งนั้นเลย
แปลว่าจริงๆอายุเกิน 30 แล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้หางาน Programmer ยากเสมอไปแล้วรึเปล่านะ
fw ยุคหลังๆ ถ้าจะเอามา customize แม่งเขียนได้ป่วยชิบ บางทีก็อยากจะด่าว่ามึงทำ IDE ลากวางไปเลยเหอะ เวลาจะดัดแปลงอะไรนอกเหนือจากของที่มีหน่อย ล็อกโน่นล็อกนี่เต็มไปหมด สรุปตรูต้องมาเสียเวลาเขียนข้ามกฏมัน และหาวิธีมันมากกว่าเขียนดิบไปเลยสัด
ล่าสุดว่าจะเปลี่ยนระบบเก่าเป็น laravel กลายเป็นว่ายิ่งลุยเข้าไปลึกมักเจอเรื่อง wtf เยอะมาก ครือ แค่จะ authentication โง่ๆ เปลี่ยนเป็นแบบ manual เพื่อจะดัดแปลงหน่อยไม่ยอม ติดโน่นติดนี่เต็มไปหมดอะไรวะเนี่ย คู่มือบอกอย่างนึง ทำจริง error ?? stack overflow ไล่หาก็มีคนถามกันเต็ม ไล่อ่านมาทั้งวัน กลายเป็นว่าไม่มีคำตอบ ไอ้ที่ตอบมาก็มั่วไม่ตรงคำถาม dafuq ช่างแม่งตัดหัวตัดท้ายลบจุดที่ใช้ไม่ได้เขียน bypass เองแม่ง สัดเอ้ย
โม่ง อันนี้รบกวนขอความรู้หน่อย กราบเลย พอดีมีคนในทวิตเตอร์โดนspam hashtag
โดยใช้ ทวิต บอต โปรแกรม ในเว็บนี้ https://www.cubi.so/twitter/tweet_bot/
ไปแสปมHashtag ของคนในทวิตรัวๆ โดยใส่เนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป เพื่อทำให้ hashtag เกิดการปนเปื้อน
ทำให้คนไม่กล้าเข้าไป หวังทำลายธุรกิจ เราจะแก้ทางวิธีการแบบนี้ยังไง?
https://www.facebook.com/829547523/posts/10161118104872524/?extid=0&d=n ทัวร์ลงเฉยเลย
Kamon Treetampinij
โหดสัด สั่งบิ้มทิ้งหมด ประเภทไม่สังเกตคำสั่งเลยก็อปวางแหง
เห็นเม้นนึงบอกว่ามันลบไม่ได้นี่ คนถามมันแกล้งกลับเรียกทัวร์
โม่งโปรแกรมเมอร์มีใครหางานใหม่บ้างมั้ย วันนี้กูอัพ resume ใส่ jobsdb ไป เจอ recruiter โทรมาแบบรัวๆจนกูตกใจเลย
ตอนนี้เค้าบอกว่าส่งไปหลายที่แล้ว ซึ่งก็ดีแหละ แต่กูกลัวสัมภาษณ์ไม่ผ่านชิบหาย
เพราะตอนกูหางานรอบก่อนสัมภาษณ์ไม่ผ่านซะส่วนใหญ่ ไปสิบกว่าที่ เค้ารับแค่สองที่ แต่ที่ๆได้ก็ได้แบบง่ายๆงงๆ
กู >>270 นะ ตอนนี้สัมภาษณ์มา 2 ที่เป็นธนาคารทั้งคู่ รู้สึกไม่ใช่แนวเลย เพราะเคยอยู่บริษัทแนวๆ Software House มาก่อน
เจอต้องเข้างาน 8.30 สายไม่ได้, WFH ไม่ได้เลย, ต้องใส่เสื้อเชิ๊ต อะไรพวกนี้แล้วรู้สึกอีหยังวะมากๆ
ที่ๆนัดสัมอื่นๆเป็นแนวบริษัทประกันซะส่วนมาก หวังว่าจะไม่มาแนวเดียวกันนะ
มีเมลล์ชวนไปทำ test สมัครงานมาจากบริษัทๆนึง เข้าไปเป็นหน้าเว็บทำ test ตอนแรกก็รู้สึกเจ๋งดีอยู่หรอก
พอเจอข้อสอบจริงๆรู้สึกว่าแม่งเหี้ยเกิ๊น ข้อสอบ choice เขียนไม่ค่อยเคลียร์ แถมถามแต่เรื่องของที่แทบไม่ได้ใช้เวลาทำงานจริง
ข้อสอบเขียนโค้ดก็ยากแบบเจอโจทย์แนวๆ Dynamic Programming ซึ่งไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันอีกเหมือนกัน
มีมา 3 ข้อกูทำได้ข้อเดียว แต่ดันเสือกได้ข้อที่เค้าเขียวว่าเป็นข้อยาก ข้อที่เค้าบอกว่าปานกลาง 2 ข้อทำไม่ได้ซะงั้น
จากตอนแรกประทับใจที่ข้อสอบบนเว็บ (ถึงจะไม่ได้ทำเอง) เจอข้อสอบเหี้ยๆแบบนี้แทบจะไม่เหลือความประทับใจเลย
หรือบริษัทเค้าอยากรับแต่พวกสัตว์ประหลาดที่แก้โจทย์พวกนี้ได้กันเป็นปกติก็ไม่รู้นะ
ได้ยินมาจากเพื่อนที่เพิ่งจบเรื่องบ.ท่องเที่ยวดังย่านสยามว่า งานมันน่าเบื่อ tech debtโคตรเยอะ มันกะเข้าไปฝึกสกิลแต่ไม่ค่อยได้ไรเลย อยากออกไปทำบ.อื่นถึงเงินจะน้อยกว่าก็เถอะ
อันนี้จริงป่ะ เห็นเงินก็ดีคนก็อยากเข้ากัน
test test test test test
test test test test test
test test test test test
test test test test test
https://www.facebook.com/groups/1836794843081325/permalink/3431757143585079/
มีคนมาหมิ่นโค้ดสตาของเราครับ
อยากลองเป็นโปรแกรมเมอร์นะ อังกฤษพอได้ พอรู้พวกโค้ด เรียนมาเหมือนกัน แต่เริ่มไม่เป็น แต่แปลงได้ แก้ได้ ต่อยอดได้ โทอิคตก 500กว่าๆ แต่ตอนนี้รู้สึกไม่มั่นใจว่าจะทำอะไรเป็นสักอย่างเลย มี rpi 3 ตัวเดียว
1.ถ้าจะเริ่มต้นสักอาชีพนึงที่เกี่ยวกับด้านนีั้ ต้องเริ่มตรงไหนก่อนดี blackend frontend full stack
2.งานแบบนี้คอมหรือโน้ตบุ๊คดี สเปคต้องครอบคลุมมั้ย
3.ถ้าไปสายนี้จะต้องเกลาตรงไหนให้ชำนาญมั้ง แบบทำงานให้เขาได้
4.โฟกัสโค้ดไหนก่อน C C++ C# javascript python หรือตัวอื่นๆ
>>288
อยากทำ web หรือ app? เลือกมาซักอย่างใดอย่างนึงก่อน
สายเว็ป วิธีลัดสุด cms ง่ายๆ แบบ wordpress ไปหาวิธีติดตั้ง host มาดูก่อน ตาม youtube ก็น่าจะมี ขี้เกียจหาก็ udemy ทำตามที่สอนไปเหอะ ไม่นานก็น่าจะลงได้ จากก็ลองติดตั้ง template , plugin พอคล่องก็ สลับมาหัดเขียน html css ลองดู bad design vs. good design หามาดูประกอบ อ่านกฏพื้นฐานของ material design หน่อย แล้วกลับมาลองเขียน theme wordpress
ถ้าจะไป backend ต่อก็หยิบเครื่องมือ จะหา framework javascript สวยๆ ซักตัว หรือถ้าเคยเรียนภาษา php , c# ก็ลองรื้อฟื้น test กฏพื้นฐาน get post ส่งข้อมูลไปมา ส่ง mail แล้วค่อยกลับไปหา framework javascript ยอดนิยมอีกทีเอาก็ได้ อย่างน้อยก็น่าจะไวกว่าไปเล่น javascript โดดๆ ก่อน แล้วก็ฝึกกฏพื้นฐาน ปรับรูปแบบสไตล์การเขียน code ให้สวยเป็นมาตรฐาน ฝึกใช้งาน version control
จากนั้นก็ได้เวลาลองทำระบบทั่วไป จะเอา blog ง่ายๆ หรือระบบซื้อขายง่ายๆ หรือระบบจอง ลองหัดทำซักตัวแล้วค่อยมา ลองชำแหละ cms ยอดนิยม ดูสไตน์การเขียน code แล้วสร้างเองต่อยอดเอา
สาย App ให้ดู bad design vs. good design , material design เหมือนกัน จากนั้นก็เลือกภาษา platform แล้วลุยได้เลยเริ่มจาก app ตารางง่ายๆ กดหา save เชื่อมต่อกับ database ภายในภายนอก ส่ง mail , save รูป พอคล่องก็มาเล่นกับ notification จากนั้นก็หา UI components มาเล่น วนกลับไปฝึกและปรับรูปแบบสไตล์การเขียน code ให้สวยเป็นมาตรฐาน ฝึกใช้งาน version control จากนั้นลองหาวิธี submit app ที่เขียนเองง่ายๆ ลง store แล้วค่อยมามองตัวเองต่อว่าจะทำ app อะไร เอาชิ้นส่วนที่ผ่านหูผ่านตามาแล้วมาประกอบกัน
ส่วนคอม ให้เริ่มจากเอาเครื่องแบบไหนก็ได้ที่พิมพ์งานได้ สายเว็ปเริ่มแรกคอมดาดๆ ทั่วไปก็ได้ ส่วน app ก็ยัด ram ให้เยอะหน่อย อ่อถ้าจะมา iOS อาจจะต้องใช้ mac อย่างเดียว กรณีนั้นเอาตัวถูกๆ แบบ mac mini มาก็ได้
>>288
ไม่แน่ใจว่ามึงเรียนมาตรงสายมั้ย แล้วเป็นเด็กจบใหม่รึเปล่า
1. เรื่องจะ backend frontend fullstack นี่กูว่าคงต้องลองศึกษาดูทั้ง front และ back อ่ะว่าตัวมึงเองชอบงานแบบไหนมากกว่ากัน
เรื่อง front ส่วนตัวเชียร์ให้ลองสายเว็บก่อน เพราะไม่ต้องใช้เครื่องมือเยอะ พื้นฐาน html, js, css ถึงไม่เป็น front ก็เป็นอะไรที่รู้ไว้ก็ดี
โดยเฉพาะ js มันเอาไปประยุกต์ใช้ได้หลายหลาย
2. สเปคคอมที่ใช้ทำงาน กูเป็นสาย Windows นะ สำหรับกู
- ควรมี SSD ซึ่งโน๊ตบุ๊คยุคนี้ทั่วๆไปน่าจะเป็น SSD แทบหมดแล้ว
- แรมควรมีขั้นต่ำ 16 GB เพราะพวก tool ทำงานส่วนมากกินแรมเยอะ เวลาเขียนโค้ดทำงานจริงต้องหาข้อมูลเยอะ ซึ่ง browser ก็กินแรมอีก
โน๊ตบุ๊คแรม 16 ในไทยราคาอาจจะโดดจากพวกรุ่นแรม 8 เยอะบ้าง ถ้าแพงไปอาจจะลองดูรุ่นแรม 8 ที่ใส่เพิ่มเองได้แทน
- ถ้าไม่รีบรอ commart ปลายปี (ไม่ต้องไปซื้อที่งานก็ได้ แค่รอให้ถึงช่วงนั้น) จะเป็นช่วงที่ของลดราคาเยอะ
และรุ่นใหม่ๆที่ออกปลายปีจะเข้าไทยเกือบครบแล้ว
3. เรื่องทั่วๆไปที่ควรรู้ก่อนนอกจากเขียนโค้ดตรงๆนึกออกแค่ database, version control, web service ซึ่งรู้พื้นฐานไว้ก็ดี
แต่ทำงานจริงมันก็มีรายละเอียด/ข้อตกลงภายในของแต่ละที่ๆต้องไปเรียนรู้หน้างานเอาอีกที
4. เรื่องภาษาโนคอมเม้นแฮะ พอดีทำงาน back ในบริษัทใหญ่ๆเลยเขียน Java อย่างเดียวมาตลอด
และติดภาษานี้ไปแล้ว ลองอย่างอื่นก็ไม่ถนัดมือเท่า ไม่ค่อยได้ตามเทรนด์ภาษาช่วงนี้เท่าไหร่
>>292 กูว่าเริ่มจากหางานเลยดีกว่ามั้ง จบใหม่ยังไงรับเข้าไปก็ต้องมีสอนงานเพิ่มอยู่แล้ว
เค้าไม่ได้เอาขนาดว่าเข้าไปแล้วต้องต่องานได้เลยหรอก
ไม่ใช่ทุกที่จะรับเด็กจบใหม่ แต่ถ้าเค้ารับแปลว่าเค้าต้องคิดเผื่อเรื่องการสอนงานอยู่แล้วแหละ น่าจะเป็นที่ๆให้โอกาสคนพอสมควร
แต่ค้นหาตัวเองในเรื่องสำคัญๆก่อนก็ดี เช่นชอบงาน front และ back, จะเขียนภาษาอะไร (อันนี้อาจจะต้องดูตลาดประกอบด้วย)
ตอนของกูจบใหม่ก็ไม่คิดอะไรมากอ่ะ เพื่อนชวนไปงาน job fair ก็ตามเค้าไป แล้วบู๊ทไหนเค้ารับเด็กจบใหม่ก็กรอกๆไป
แต่ของกูดีตรงชัดเจนเรื่องภาษาเพราะคณะกูเน้นสอน Java เป็นหลัก เลยถนัดจริงๆจังๆแค่ภาษาเดียว แล้วก็เป็นภาษาหากินยาวจนทุกวันนี้
กูสงสัยมานานละ พวกเกมมือถือเวลาแจกไอเท็ม ทำไมต้องแจกด้วยการเอาใส่ mailbox แล้วคนเล่นต้องมากดรับอีกทีนึง
ไม่เอาของใส่ inventory คนเล่นตรงๆ มันเป็นข้อจำกัดทางเทคนิคอะไรรึเปล่า
เห็นคนเริ่มพูดเรื่อง ThoughtWorks เอา Redux กลับมาอยู่ Trial ขอร่วมออกความเห็นบ้าง
คือทำแอพมาก็เยอะ ในชีวิต Career ที่ผ่านมา พบว่ามีแอพ Taskworld แอพเดียวจริงๆ ที่นั่งคิดนอนคิดยังไง ก็ต้องใช้ Redux ในการจัดการ State
แต่แอพที่เหลือที่ทำมาเนี่ย ไม่มีอะไรเลยที่ผม Prefer Redux
คือถามว่าทำไม Taskworld เขียนด้วย State management แบบอื่นได้ยาก
- เราทำให้เวลาที่คนแก้ Task title จาก A เป็น B แล้วตัว Notification bar, Chat message ที่เกี่ยวข้องกับ Task นี้ เช่น John commented on Task A one minute ago ก็จะถูกเปลี่ยนเป็น John commented on Task B โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องมี Full refresh ใดๆ
- เราทำให้เวลา Project เปลี่ยนชื่อ ทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้อง ก็เปลี่ยนตามไปในพริบตาเดียวเหมือนกัน ไม่ต้องมี Refresh
- เวลามี Notification เรามีจุดแดงเตือนว่ามีคนส่งข้อความหา ประมาณ 2-3 ทั่วแอพ เพื่อให้มั่นใจว่า User เห็นโดยไม่ได้เด้งมาเป็น Popupใหญ่ๆ ให้รำคาญ และในเวลาที่คนอ่าน Notification แล้ว จุดแดงพวกนั้นจะหายไปพร้อมกันหมดในพริบตาเดียว
คือถ้าระบบที่สร้างมันมี State มีข้อมูลที่ต้องใช้ร่วมกันหลายที่มากๆ แล้วเราต้องการให้มี Seamless syncronization แบบเนี้ย มันจะเหมาะกับ Redux มาก การทำคุณภาพที่เนียนขนาดนี้ด้วย MobX หรืออื่นๆ จะยากมาก
(และจากที่ลองใช้ Basecamp, Jira มา บอกเลยว่าเรื่อง Seamless Sync เนี่ย Taskworld ทำได้ดีมาก จนทำให้พอใช้อย่างอื่น ผมหงุดหงิดความ Sync ข้อมูลทั่วแอพไม่เนี๊ยบต้องคอย Full refresh เรื่อยๆ ไปเลย)
แต่เนื่องจาก ~95% ของระบบ Web app ในโลกนี้ไม่ได้มี UI ที่ซับซ้อนขนาดนี้ หลายครั้งก็เป็นอารมณ์แอพกรอกฟอร์มข้อมูล ดูข้อมูล ก็จงสงวน Redux ไว้ใช้ในกรณีพิเศษจริงๆ ละกันนะ และผมเข้าใจได้ว่าทำไม Redux ไม่ควรจะเป็น Default choice ในการเขียน React App
เศร้าว่ะ เป็นเด็กจบใหม่ ตรงสาย เกรดสวยมาก ภาษาก็ดี สกิลก็มี แต่เงินเดือนสตาร์ทน้อยกว่าคนเรียนโค้ดสตาร์อีก 😔
https://cryptozombies.io/
เรียน Blockchain
>>304 เรียนตาม >>299 หรือ https://www.skilllane.com/courses/ethereum-developer
ด้วยความเคารพ
Imperative “ไม่เท่ากับ” Loop
Functional “ไม่เท่ากับ” Map, Reduce
โว้ยยยยยยย
#ขอระบายหน่อย
#เจออะไรโง่ๆมา
#แค่เปลี่ยนLoopเป็นMapก็เขียนFPแล้ว
กุรู้พวกมึงแต่ละคนเสียภาษีเยอะ เพราะเงินเดือน เย๊อะะะะ
พวกมึงใช้ลดหย่อน บิดา มารดา คนละ 30,000 ไหม แต่บิดา มารดา มีรายได้เกิน 30,000 ต่อปี(ไม่เข้าเงื่อนไขที่ใช้ในการลดหย่อน)
พวกมึงเคยลักไก่ไหมวะ แบบบิดามารดารายได้เกิน 30,000 ต่อปี แต่พวกมึงก็ยังไปใช้สิทธิ์ลดหย่อนบิดา มารดา
เค้าจะมาตรวจสอบย้อนหลังไหม หรือใครเคยใช้ ใครเคยโดน
>>308 รายได้บิดามารดาอยู่ในระบบไหม ถ้าอยู่ในระบบก็เอามาลดหย่อนไม่ได้
จาก ปสก.ตรง ไม่ต้องรอตรวจสอบย้อนหลังหรอก แค่ลืมจ่ายภาษี freelance ไปซักใบสองใบ ยอดไม่กี่หมื่น มันก็โทรมาทวงถึงที่ล่ะ รู้ขนาดว่าลืมจ่ายไปกี่ใบเลขไหนบ้าง เอาภาษีส่งด้วย
สรรพกรมันไม่โง่หรอก มันแทรกย้อนหลังได้หมดว่าทำอะไรบ้าง รายการไหนมั่วบ้าง เพียงแค่ถ้ายอดน้อยๆ มันอาจจะขี้เกียจทวงแค่นั้น
รู้สึกเซ็งตัวเองว่ะ ทำงานพลาดโง่ๆติดกันรัวๆเลย ยังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่นะว่าถ้างานมันไม่ได้เร่งเอาๆน่าจะทำได้ดีกว่านี้
มีคนถามว่าอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ไปจนแก่เลย ไม่อยากเป็น Manager ต้องเตรียมตัวเตรียมสกิลอะไรบ้าง
.
เป็นคำถามที่ดี ก็อยากแบ่งเป็นสองอย่างนะ
.
1) Faste Learner Skill - การเขียนโปรแกรมนั้นเราไม่สามารถบอกแบบ Fix ได้ว่าต้องเขียนโน่นเป็นนี่เป็นเพราะ "สกิลของงานสายนี้เป็น Dynamic และเปลี่ยนไปตามยุค" ทุกอย่างมันเปลี่ยนทุกวัน มีของใหม่เกิดมาทุกวัน มีของเก่าตายไปทุกวัน
.
สกิลสำคัญของคนที่จะทำสายนี้ยืดคือ "ต้องวิ่งตามเทคโนโลยีให้ทัน" ต้องลองลงมือทำทุกอย่าง มีอะไรใหม่ก็ต้องทำให้เป็นให้หมด ก็คือต้องเรียนรู้เร็วมากนั่นเอง
.
ช่วงแรก ๆ เหนื่อยแหละ แต่ถ้าทำไปเรื่อย ๆ .... ก็เหนื่อยแหละ มันจะไม่เหนื่อยได้ไงอ่ะ ! 5555
.
แต่สิ่งที่หลายคนทำพลาดไปในข้อนี้คือไม่ยอมฝึกสกิลใหม่ ๆ และยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองทำเป็นอยู่แล้วเท่านั้น มันไม่พอนะ บอกเลยว่ามันไม่เคยพอ ตระหนักไว้เสมอว่าสิ่งที่คุณทำเป็นอยู่แล้วอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้
.
ก็ได้ยินอยู่บ่อย ๆ นะว่า "งานประจำหนักอยู่แล้วเลยไม่มีเวลาฝึกสกิลใหม่เลย"
.
แนะนำให้ลองบริหารเวลาใหม่เพราะฟังดูน่าจะมีปัญหาเรื่อง Work Life Balance ที่ทำอยู่มันอาจจะดีกับบริษัท แต่มันไม่ดีกับตัวคุณนะ
.
อยากอยู่สายนี้อย่าหยุดพัฒนาตัวเองและตามให้ทันเทคโนโลยีครับ
.
ไม่ฝากเรื่องว่าต้องเขียนอะไรให้เป็นบ้างเพราะสกิลที่ยั่งยืนของสายงานนี้คือ "ต้องปรับตัวเองตามยุคให้ทันเสมอ" ก็ลองดูว่าตอนนี้โลกไปทางไหนแล้วฝึกสกิลที่ขาดดูนะ
.
2) Teamwork Skill - สำคัญมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ต่อให้อยากจะโค้ดจนแก่ชราแต่การทำงานดี ๆ ขึ้นมาสักชิ้นเราทำคนเดียวไม่ได้หรอกนะ มันต้องทำเป็นทีม
.
และแน่นอน คุณเลยต้องฝึกทุกสกิลที่เกี่ยวข้องให้หมด เช่น การสื่อสาร การ Collab การเขียน Doc ฯลฯ
.
หลายคนมาก ๆ ที่ยังติดกับการทำงานคนเดียวเพราะมันสะดวกว่องไว Doc ก็ไม่ต้องเขียน ไม่ต้อง Co งานกับใคร
.
แต่ถ้ายังทำได้แค่นั้นคุณจะโตไปไหนไม่ได้หรอกนะ
.
ชีวิตจริงมันต้อง Collab กับ PM, PMM, Designer, Customer Supporr ฯลฯ เพราะเราก็ต้องการข้อมูลจากเค้า เค้าก็ต้องการข้อมูลจากเรา หรือก็ต้อง Collab กับโปรแกรมเมอร์คนอื่น จะทำคนเดียวหมดนี่จะ Deliver งานเมื่อไหร่ ?
.
ถ้ายังทำงานเป็นทีมไม่เป็น สุดท้ายคุณก็จะได้ทำแค่งานเล็ก ๆ เพื่อนร่วมงานก็ไม่อยากทำงานด้วย ท้ายที่สุดบริษัทไหนก็คงไม่ต้องการ ทำได้อย่างมากก็รับงาน Freelance เล็ก ๆ
.
เดินคนเดียวมันเดินเร็ว แต่ก็เหงานะ อยากเดินไปได้ไกลต้องเดินไปเป็นทีม จำไว้
.
3) Mentorship - ยิ่งอายุมากขึ้นประสบการณ์ก็มากขึ้น แม้จะยังทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ต่อไปแต่สิ่งที่ทุกคนคาดหวังในตัวคุณจะมีมากกว่ามานั่งเขียนโปรแกรมเสมอ
.
หนึ่งในนั้นคือ คุณต้องสามารถส่งต่อความรู้และปั้นคนได้
.
มันก็คือสกิลการสอนแหละ การที่มีคนที่ทำเป็นอยู่แล้วแต่กลับส่งต่อความรู้ให้คนอื่นไม่ได้นี่มัน Waste มากเลยนะ มันไม่ส่งผลดีกับใครเลย
.
ก็ถือเป็นสกิลที่ยากอยู่เพราะการสอนมันเป็นศิลปะ สอนคนยังไงให้ใช้เวลาน้อยแต่ได้ประสิทธิภาพ รู้ได้ยังไงว่าจะสอนอะไร เรียบเรียงเนื้อหายังไง ฯลฯ ก็ถือเป็นอีกสกิลที่อยากให้ฝึกไว้ครับ
.
ที่เมกาคนอายุ 50-60 แต่ยังเขียนโปรแกรมอยู่มีอยู่ถมไปมาก ต่างจากที่เมืองไทยที่พออายุเกิน 40 ก็เริ่มโดนกีดกันหรือโดนบังคับให้เปลี่ยนสายงานละ เราเสียโปรแกรมเมอร์เก่ง ๆ ไปเพราะสาเหตุนี้กี่พันคนแล้วก็ไม่รู้
.
เป็นอีกสิ่งที่ถ้าสังคมไทยเปลี่ยนได้ก็คงส่งผลดีต่อวงการอย่างมากเลยทีเดียว
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3678729828859859&id=100001686337010&ref=bookmarks
ดราม่าเลย คุ้นๆว่ามีโม่งโปรแกรมเมอร์จบที่นี่หลายคนด้วยหนิ
เพิ่งจบมอหก อยากเป็นสายเกมส์เดฟ เกมส์ที่สร้างต้องระดับไหนอะ เขาถึงจะรับเข้าทำงาน
คือ เขาคาดหวังขั้นต่ำของเด็กจบใหม่ไว้ประมาณไหนอะ
10 คำแนะนำสำหรับการสมัครงานบริษัท tech ในอเมริกา
ในปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสแนะนำน้องๆที่สนใจสมัครงานกับบริษัท tech ในอเมริกาหลายๆบริษัท ก็เลยขอเขียนรวบรวมคำแนะนำต่างๆ และแก้ความเข้าใจผิดของคนไทยในบางเรื่อง หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการเตรียมตัวครับ
(หมายเหตุ 1: ทั้งหมดเป็นคำแนะนำและความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ได้เป็นคำแนะนำหรือความคิดเห็นของบริษัทที่สังกัดอยู่
หมายเหตุ 2: ข้อ 1-5 เฉพาะเจาะจงกับตำแหน่งสาย engineer ส่วนข้อ 6-10 ไม่เจาะจงกับสาย)
1. ควรซ้อมโจทย์ coding interview สไตล์อัลกอริทึมที่บริษัทส่วนใหญ่ในอเมริกาใช้ในการสัมภาษณ์ เว็บที่ใช้ซ้อมกันเยอะคือ leetcode ที่จะรวมโจทย์ที่คนเคยไปเจอมาจากการสัมภาษณ์บริษัทต่างๆ รวมถึงมีระบบตรวจโค้ดอัตโนมัติ แนะนำว่าให้ซ้อมเยอะๆให้คล่องมือกับภาษาอะไรก็ได้ที่ถนัด ควรคล่องประมาณว่าถ้าคิดอัลกอออกแล้วจะไม่ไปเสียเวลาคิดว่าจะ implement ยังไง เช่น ถ้าจะ sort array ของ tuple โดย sort by key หรือ by value ก็ควรเขียนได้เร็วๆ หรือถ้าจำไม่ได้จริงๆ ก็บอกคนสัมภาษณ์ว่าขอสมมติว่ามีฟังก์ชันให้เรียกใช้ (ถ้าฟังก์ชันนั้นไม่ได้เป็นแก่นหลักของการแก้โจทย์)
ส่วนตัวยังไม่เคยเจอคนที่รู้จักที่ไม่ซ้อม coding interview แล้วผ่านการสัมภาษณ์ บางคนเก่งมากระดับคอมพิวเตอร์โอลิมปิก แต่ไม่ได้ซ้อมก็ทำให้ไม่คล่องตอนสัมภาษณ์ และตกสัมภาษณ์ได้ ดังนั้นซ้อมเยอะๆ (มีเพื่อนชาวอินเดียสมัยทำงานที่สิงคโปร์เล่าให้ฟังว่ากลุ่มเพื่อนเค้าซ้อมโจทย์กันทุกๆครึ่งปี เผื่อมีโอกาสในการย้ายงานจะได้พร้อม)
2. ควรซ้อม interview รูปแบบที่เฉพาะเจาะจงกับ role นั้นๆเพิ่ม เช่น ถ้าเป็น SWE (Software Engineer) ก็ควรซ้อม System Design เพื่อออกแบวระบบให้ scalable ถ้าเป็น UIE (User Interface Engineer) ก็ควรซ้อมเขียน JS/HTML/CSS ในการออกแบบเว็บ ถ้าสาย Data Science ก็ควรซ้อมโจทย์ด้านเลขและสถิติ ถ้าเป็น SE (Solutions Engineer) ก็ควรซ้อมการออกแบบระบบโดยคำนึงถึงมุมมองด้านธุรกิจ
3. การ interview นั้นไม่ได้ดูแค่ผลลัพท์ว่าแก้โจทย์ได้หรือไม่ได้ แต่ยังดูผลในมิติอื่นๆประกอบด้วย เช่น สามารถสื่อสารให้คนสัมภาษณ์เข้าใจกระบวนการคิดได้มั้ย สามารถแสดงความเห็นของข้อดีข้อเสียในวิธีต่างๆที่เป็นไปได้ได้มั้ย เป็นต้น
4. บางบริษัทขนาดเล็กหรือกลาง อาจมีการให้การบ้านไปแก้โค้ดจริง หรือลองนั่งทำงานจริงกับ engineer แต่บริษัทใหญ่แทบจะไม่มีแบบนั้น เพราะยากที่จะ scale ได้เทียบกับปริมาณคนที่สมัครเข้ามา
5. ควรซ้อม mock interview กับเพื่อนโดยสลับกันเป็นคนสัมภาษณ์ และคนถูกสัมภาษณ์ เพราะจะได้ฝึกการคิดไปอธิบายไปให้อีกฝ่ายรู้เรื่อง และพอเราเป็นคนสัมภาษณ์ เราจะได้เห็นว่าอะไรที่คนถูกสัมภาษณ์มักจะพลาดและเราควรหลีกเลี่ยง ถ้าไม่มีคู่ซ้อม ลองฝึกกับเว็บ pramp.com ซึ่งจะช่วยจับคู่ซ้อมให้กับเรา
6. ไม่ต้องกลัวหรือคิดว่าตัวเองไม่เก่งถ้าสัมภาษณ์ไม่ผ่าน เป็นที่รู้กันว่านอกจากความสามารถแล้วก็ยังขึ้นกับดวงด้วยว่าได้เจอโจทย์แนวที่เข้าทางมั้ย หลายคนตกสัมภาษณ์บริษัทระดับรอง แต่ผ่านสัมภาษณ์บริษัทระดับท็อป เพราะเจอโจทย์ที่เข้าทางมากกว่า บริษัทหลายที่ยอมที่ว่าให้มีคนเก่งตกสัมภาษณ์ ดีกว่าให้คนไม่เก่งผ่าน ดังนั้นเราอาจเป็นคนเก่งที่ตกก็ได้ พยายามสัมภาษณ์หลายๆที่
7. ถึงจะตกสัมภาษณ์ ส่วนใหญ่รอครึ่งปีหรือปีนึงก็จะสมัครใหม่ได้ หรือบางครั้งถ้าเราตกแบบมีแวว ก็อาจถูกเรียกสัมภาษณ์ใหม่เร็วกว่านั้น หลายๆคนที่รู้จักสามารถผ่านได้ในการสมัครครั้งที่ 2-3 หรือมากกว่านั้น
8. ถ้ารู้จักใครทำงานอยู่ในบริษัทที่สนใจ ไม่ต้องกลัวที่จะขอให้เค้าช่วย refer ให้ มุมมองการ refer ของอเมริกาไม่เหมือนไทย คนไทยมักคิดว่าเป็นการใช้เส้นสายเลยอาจไม่อยากให้คน refer เพราะดูไม่ดีหรืออาจจะกลัวเป็นการรบกวน แต่การ refer ของบริษัทใหญ่ในอเมริกาคือ แค่ช่วยให้ resume ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาเร็วขึ้นแทนที่จะไปต่อคิวยาวเหยียดเพราะคนสมัครกันเยอะมาก ซึ่งสุดท้ายแล้วจะขึ้นกับการพิจารณาของ recruiter อีกทีนึงอยู่ดีว่าจะเรียกสัมภาษณ์มั้ย และทุกคนก็ต้องผ่านการสัมภาษณ์ทุกรอบตามปกติ (เพราะถ้าใช้เส้นสายเข้างานเลย บริษัทอาจถูกฟ้องได้) ในขณะที่คนที่ช่วย refer ให้ส่วนใหญ่จะได้รับโบนัสถ้าคนที่ถูกแนะนำสามารถผ่านสัมภาษณ์และเข้าทำงานในบริษัทได้ ดังนั้นส่วนใหญ่จะเต็มใจช่วย refer อยู่แล้ว ขอแค่เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์
9. ถ้า recruiter ให้เตรียมตัวเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือให้ลิงค์เว็บเพื่อศึกษา ควรทำการศึกษาให้มาก เพราะคนสัมภาษณ์มีสิทธิ์ถามเรื่องที่ให้ไปเตรียมตัวมา แต่บางครั้งถ้าเวลาเตรียมตัวไม่ทันจริงๆ ให้จัดลำดับความสำคัญโดยเตรียมเรื่องที่เราถนัดน้อยสุดก่อน
10. ถ้าสมัครบริษัทสาขาที่อเมริกาโดยตรงจากเมืองไทยโดยไม่มี visa ทำงาน โอกาสสูงมากที่จะโดนปฏิเสธทันทีหรือเงียบหายไป (แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส เพราะมีคนที่ทำสำเร็จมาแล้ว แต่ก็ถือว่าจำนวนน้อยมาก) ซึ่งมีทางเลือกอื่นเช่น ทำงานบริษัทที่มีสาขานอกอเมริกาอย่างน้อย 1-2 ปีก่อน ก็จะได้ visa L-1 ทำให้เข้าไปทำงานที่อเมริกาได้ หรืออีกทางเลือกที่นิยมกันคือไปเรียนต่อที่อเมริกาก่อน ก็จะได้ visa ทำงานต่อหลังเรียนจบ
11. [Bonus] แนะนำให้ search profile ของ Knott Wittawat ด้วยคีย์เวิร์ด "สัมภาษณ์" เค้าได้เขียนประสบการณ์การไปสัมภาษณ์แต่ละที่ไว้อย่างละเอียด และทรงคุณค่ามาก
ก็หวังว่าคำแนะนำนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการเตรียมตัวหรือวางแผนสมัครงานบริษัท tech ในอเมริกาครับ
ถามหน่อยว่าโม่งที่อายุใกล้ 30 หรือเพิ่งเลย 30 ใหม่ๆมีใครเปลี่ยนจากฟรีแลนซ์/พนักงานสัญญาจ้างที่เงินเยอะๆมาเป็นพนักงานประจำกันบ้างมั้ย
ตอนนี้กูเป็นโปรแกรมเมอร์ อายุใกล้ 30 แล้ว เป็นพนักงานสัญญาจ้าง ยังรู้สึกว่าถ้าต้องเปลี่ยนจริงๆทำใจกับเงินที่หายไปไม่ค่อยได้
ตอนเรียนจบใหม่ๆเคยเป็นพนักงานประจำอยู่พักนึง รู้สึกสวัสดิการหลายอย่างจะใช้จริงๆก็เงื่อนไขการขอเบิกก็จุกจิกมาก
แล้วก็ไม่ชอบระบบประเมินพนักงานด้วย กูเลยไม่ชอบการเป็นพนักงานประจำเท่าไหร่
เรื่องความมั่นคงเห็นพ่อแม่หรือเพื่อนที่เป็นประจำชอบพูดเชียร์กันว่าดี แต่ก็เห็นพนักงานประจำโดยเลย์ออฟกันเป็นว่าเล่นอยู่ดี
อาชีพนี้ ศก. ไม่ดีก็หางานประจำยากขึ้นเรื่อยๆด้วย พวกมึงคิดว่าไงกันมั่ง
งานประจำไม่ใช่ทุกที่ต้องประเมินแบบที่มึงว่านะ
บางที่ประเมินเป็นพิธี ส่วนที่เหลือหารจากผลประกอบการแจก
บางที่จะเข้า office หรือทำที่บ้านก็ได้
ค่ารถ ค่ารักษาพยาบาล ก็ไม่ได้เบิกยุ่งยาก ทุกที่
ค่าตอบแทนโบนัส แบบที่ให้เจ๋งๆ กว่าสัญญาจ้างก็มี
สวัสดีพี่โม่ง กำลังจะเรียนจบวิดวะคอม ถ้าต้องเลือกเรียนโทนอกกับทำงานเลย เลือกไหนดี
ตอนนี้ฝึกเขียนโปรแกรมไปก่อนเถอะ โควิดยังระบาดอยู่แบบนี้น่าจะไปนอกยากว่ะ
>>325 ไม่รู้ว่าอันไหนดีกว่า แต่จากประสบการณ์ตัวเอง เลือกทำงานก่อนค่อยเรียน เพราะตอนจบมายังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี งานสายคอมแม่งไปได้โคตรเยอะ เลยไปลองทำงานดูว่าชอบอะไร ช่วงแรกๆก็ลองทำงานไปเรื่อย งานไหนไม่ชอบก็ลาออก(ทำงานได้ 1-2อาทิตย์ลาออก บางที่ทำได้2วันออก) แต่เพิ่งจบใหม่+เก่ง+ชื่อมหาลัยดี เลยหางานไม่ยาก ตอนหลังเจองานที่ชอบก็ทำยาวๆเลย แล้วอยากอัพสกิล+อัพโปรไฟล์เลยต่อโทสายที่เกี่ยวกับงานนี้
เลยออกมาเรียนต่อหลังจากทำงานไปได้ปีนึง
แล้วตั้งใจว่าจะเอาความรู้ไปอุทิศให้กับประเทศด้วยการไปเข้าวงการราชการ (ให้เวลาตัวเองสำหรับการอดทนไอพวกหัวโบราณ 2 ปี) จบเรื่องเล่าแบ่งปันประสบการณ์
คหสต ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร ไปทำงานหาคำตอบให้ตัวเองก่อนน่าจะดีกว่าไปเรียนต่อแบบประสบการณ์เป็นศูนย์
อยากได้คำแนะนำอีกหน่อย จะเรียนจบแล้ว. ML ไปได้ไกลแค่ไหนอะ ชอบคอนเซปมันเลยอยากหากินกับ ML ด้วย กลัวจะเสียเปล่า
>>329 กุ327เอง ตอนนี้ตลาดสาย ML จากที่กุคิด กุแบ่งได้แบบนี้
Low-tier - พวกกากๆที่เห่อ ML, data sci ใช้เป็นแค่ Lib ดังๆ เข้าใจเบสิค ML นิดหน่อย พื้นฐานคอมพอใช้ แก้ปัญหาที่มันตรงไปตรงมาได้ ณ ตอนนี้แม่งคน tier นี้แม่งเริ่มจะเกลื่อนตลาดแรงงาน
Medium/High-tier - ไอพวกนี้จะเก่งกว่าพวกแรก พื้นฐานแน่นปึก ทำงานที่มันซับซ้อนมากๆได้ อ่านเปเปอร์แล้วมาประยุกต์กับงานมึงได้ เริ่มทำ ML มาแก้ปัญหาที่มันไม่ค่อยมีใครทำได้หรือยังทำได้ไม่ดี หลักๆก็จะไปแนว Reseacher ซะมากกว่า ถ้าเก่งมากๆหรือเป็นพวกระดับสูง กุบอกได้เลยว่าพวกนี้มันทำโปรเจคเสร็จทีนึง มันเอาโปรเจคนี้ไปตีพิมพ์เป็นเปเปอร์ต่อ
ประเด็นที่กุจะบอกคือ ถ้ามึงยังไม่หลุดพ้นจากการเป็น Low-tier มึงไปได้ไม่ไกลหรอก เพราะคนเห่อ ML ช่วงนี้แม่งเยอะชิบหาย แถมพวกนี้ไม่มีจุดที่น่าสนใจซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามึงหลุดพ้น Low-tier แล้ว มันมีพื้นที่ให้มึงเสมอ กุเห็นบริษัทใหญ่ๆหลายที่แม่งเปิดหา Data science ไปทำงานด้าน ML กันหลายเดือนแต่ก็ยังไม่ได้คนซักที ซึ่งไอที่มันยังไม่ได้คนเนี่ยมันหมายถึงยังไม่มีคนที่เก่งพอจะมาทำงานด้วย มีแต่แบบกากๆ low-tier ต่อให้เข้ามา 10 คน ก็สู้เอาพวก Medium/High-tier คนเดียวไม่ได้ ที่บริษัทกุก็เป็นงี้ บอกว่ามี ผญ หลายคนมาสมัคร สุดท้ายแม่งไม่ผ่านสัมซักคน เศร้าชิบหาย TT
>>330 อีกมุมนึงนะ
ถ้าจากที่มึงเล่า กู classify ตัวเองว่าน่าจะเป็นพวก mid-tier เกือบๆ high ละ แก้ปัญหาที่ค่อนข้าง specific ไม่มีคนทำได้ เคยจับงานตั้งแต่ visualize , feature analysis, computer vision, nlp มาหมดละ ทำ Architecture หรือ Deployment cloud k8s docker ไรงี้เป็นหมด
เหลือแค่พวก reinforcement ที่ไม่เคยทำ ส่วนเปเปอร์อินเตอร์ก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอะไรมากมาย
ล่าสุดเมื่อกลางปีที่แล้วมี headhunt มาทาบทามให้ไปทำ บ. ด้าน ai ในเครือของบริษัทชั้นนำอันนึงมาเรียกไปสัมภาษณ์ กูก็เออน่าไปทำนะ เงินน่าจะดีกว่าที่เดิม
ตอนสัมภาษณ์แม่งเอาประมาณเด็กจบนอกมาสัมกูว่ะ พูดแต่เรื่องทฤษฎี ดููไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่อะเอาจริง โม้ซะเยอะ แล้วก็ถามเรื่องงานเก่าๆที่กูทำซึ่งกูก็เล่าๆไป แม่งมีเถียงงานกูด้วยบอก ทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งกูก็บอกมันว่าทำไปหมดแล้วมันไม่เวิร์ค เลยต้องทำอีกแบบนึง พร้อมอธิบายเหตุผล
ก็จบไป เหมือนจะรับนะ พอกูรีเควสเงินเดือน แม่งไม่สู้ว่ะ กูเลยไม่ได้ไปทำ
เอาจริงๆกูก็ไม่ได้เรียกแพงว่ะ แต่แม่งให้ได้ในเรตพวกเด็กจบใหม่ ไร้ประสบการณ์อะ แต่ตอนสัมนี่ทำเหมือนหา expert เลยนะ
อาทิตย์ที่แล้ว คนรู้จักกูที่อยู่บริษัทแม่ของบริษัทนั้นก็แชร์หาคนเข้าไอ้ตำแหน่งเดิมที่เรียกกูไปสัมนั่นแหละ ป่านนี้มันยังไม่ได้คนเลย
ความเห็นกูมันก็สมควรนะ บางบริษัทแม่งอยากหาคนเก่ง ทำงานได้ แต่ไม่สู้เงินเดือน สงสัยหวังฟลุคเจอพวกจบใหม่ mid tier มั้ง กูบอกเลยยากมาก
งาน ML ตอนเรียนกับโจทย์จริงแม่งคนละเรื่อง
>>330 งี้ถ้ามีโอกาสไปโทด้าน ML จะดีกว่าเริ่มทำงานเลยไหม ไม่งั้นก็แบบ เป็นพวก Low-tier มีโท น่าจะ stand out ออกมาอีกหน่อย ไรเงี้ย
>>331 เออเนี่ย ผมงงมาก คือยังไม่ได้ทำงานด้านนี้จริงๆเลยนึกไม่ออกว่ามันจะเอาความรู้พวกนี้ไป Adapt กับ real-life problem ยังไง ที่ศึกษาอยู่คือเอา data set มา process หา insight นู่นนี่ แต่คิดว่าของจริงน่าจะยากกว่า แต่ยังไม่เคย เลยไม่รู้จะทำงานด้านนี้แล้วจะชอบจริงไหม
เมื่อคืนไปเห็น RoR มา มี บ นึงทำงานกับ ตปท ด้วย RoR ผมมองเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะว่าผมมีภาษาที่สามด้วย ไม่รู้จะไปทางไหนดีตอนนี้ เวลาน้อยละ
Bitkubเงินเดือนประมาณเท่าไรรู้ป่ะครับ
ระบายหน่อย กูสาย full stack web แต่ตอนนี้กำลังอยากกรีดร้อง งานครึ่งปี กว่าจะได้ข้อมูลว่าจะทำอะไรบ้าง ลากมา 3 เดือนประชุมแล้วประชุมอีก ลูกค้าเอากำหนดเร็วขึ้นอี๊ก แต่เพิ่มตังค์ให้ แล้ว sale รีบคว้าเฉย เพราะโควิตแถมดีไซน์ก็ทำ mock up หลอกลูกค้าไปอย่าง กูก็ทำไปอย่าง ตอนนี้เริ่มเห็นถึงความชิบหายมาลางๆ แล้ว ระบบใหญ่ชิบล็อกอินหลายประเภท แต่แต่ละ log in เซลเสือกโม้ว่าแบ่งสิทธิ์ sub ย่อยไปอี๊ก ไหนจะต้องทำ app มือถือด้วย
ระบบหลักล้าน programmer 1 หน่อ เวลาทำ ณ ตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึง 2 เดือนทำทุกอย่าง เขียนโปรแกรม ดีไซน์ระบบ คุยกับลูกค้า ตั้งเซิร์ฟเวอร์ รวมทั้งดีไซน์ภายนอกเองอีกต่างหาก เวงแท้ ไม่ทำก็ไม่ได้ orz
ถามประสบการณ์ทำงาน Dev. เริ่มงานแรกกันยังไงหรอครับ นี่คิดไม่ออกเพราะแม่งมีหลายภาษา หลายเฟรมเวิร์ก หลายรูปแบบเหลือเกิน นี่เลยนั่งคิดว่าตะเริ่มด้วยทางไหนดี อะไรไปไกลกว่า เงินดีกว่า ช่วยแนะนำหน่อย ตอนนี้ศึกษา AI, ML, Data นู่นนี่อยู่ อีกอย่างที่มองไว้คือพวก Backend Dev. ไม่เอา Mobile Dev. เพราะศึกษาแล้วไม่ชอบ ไม่รู้มีอะไรน่าสนใจอีกไหม รึควรไปทางไหนดี แนะนำหน่อยครับ
>>335 บริษัทอยากทำของใหญ่ๆขายได้แพงๆเอาเร็วๆ แต่ไม่ยอมลงทุนนี่หว่า ถ้าได้งานใหม่มึงรีบชิ่งก็ดีนะ
>>339 แชร์ของตัวเองให้ฟัง แต่มึงอาจจะเอาไปประยุกต์ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้นะ
คณะกูเค้ามีจัดงาน job fair ให้บริษัทมาเปิดบูทชวนเด็กไปทำงานอยู่แล้ว กูก็เลยไปร่อนๆ resume
กูว่าเกรดกูกับ resume กูก็ไม่แย่นะ แต่ไม่รู้ทำไมร่อนไปเยอะมาก ซัก 10 ที่ได้ มีที่เค้าติดต่อมาที่เดียว เป็นบริษัทต่างชาติที่มีสาขาในไทย
ด้วยความที่ไม่มีที่อื่นติดต่อมา แล้วกูเองก็ไม่ได้ขวนขวายไปหางานจากแหล่งอื่น ก็เลยจบที่บริษัทนี้
ส่วนเรื่องภาษากับสายงาน ตอนนี้กูเป็น Backend Java คือคณะกูใช้ Java เป็นภาษาหลักเวลาเรียนอยู่แล้ว
กูเลยถนัดภาษานี้เด่นๆอยู่แค่ภาษาเดียว กูชอบภาษานี้ด้วย แล้วก็เป็นคนปรับตัวเข้ากับภาษาอื่นๆยาก เลยเก่งเด่นๆอยู่แค่ภาษาเดียว
เรื่อง framework สมัยนั้นงาน Java ถ้าเด็กเรียนจบใหม่บริษัทเค้าไม่ซีเรียสอยู่แล้ว ของพวกนี้มาเรียนกันหน้างาน แต่ภาษาอื่นๆไม่รู้นะ
แต่มันมามีปัญหาเอาตอนหางานที่ 2 นี่แหละ หลายที่มากแค่ไม่เคยใช้ Spring ก็สอบตกสัมภาษณ์แล้ว
ส่วนที่เป็น Backend เพราะชอบความตรงไปตรงมาของงาน
มันไม่จุกจิกเหมือนงาน Frontend ที่มีปัญหาเรื่องความสวยงาม ทำงานไม่เหมือนกันเพราะปัญหา environment ของคนใช้ที่เราคุมไม่ได้
แล้วก็เรื่องเทคโนโลยีด้วย สาย web ไม่ชอบ JS เพราะลักษณะภาษาที่เรียกได้ว่าแทบจะตรงข้ามกับ Java ทุกอย่าง
สาย mobile ยุคนั้น dev tool library Android ยังไม่ดีเหมือนทุกวันนี้ แค่ทำแอพในโปรเจควิชาๆนึงก็ไม่อยากกลับไปยุ่งกับมันแล้ว
iOS นี่ไม่เคยแลเลย เพราะไม่ชอบแนวทางของ Apple
>>339 กูยุคแรกเริ่มต้นด้วยงาน support ซ่อมคอม ติดตั้ง server อะไรพวกนี้ ตอนนั้นหัวหน้ากูเค้าบอกถ้าว่างนักก็เขียนโปรแกรม support user บ้างสิ ดูท่าทางน่าจะเขียนเป็นนิ (ในหัวกูจบช่างไฟ) แต่ก็ทำนะ ช่วงนั้นใช้ vb macro excel foxpro access กับฐานข้อมูลโง่ๆ ทำอยู่พักนึง
จากนั้น พอย้ายที่มาเขียน delphi + oracle พวกระบบ ERP ตอนนั้นก็เขียน delphi ซะจนพรุน ทำ component เอง สมัยนั้นยังไม่มี machine learning ใช้ ocr แบบเขียน logic ดิบเอง อ่อที่พีคหน่อยทำระบบ POS โต้รุ่ง 2 อาทิตย์เสร็จ จากนั้นปวกกระบาลไปกับระบบบัญชีซะเต็มคราบเป็นปี จริงๆ ตอนทำระบบ ERP ช่วงนั้นระบบกันบังก็ผ่านมาหมดนะ ส่วนฐานข้อมูล บางทีก็สลับไปมาไม่ได้ oracle อย่างเดียว ms sql บ้าง บางทีก็ไปเขียนโปรแกรมเสริมให้ win รุ่นเก่าเพราะเครื่องจักรมัน update ไม่ได้
ถัดมาเขียนเวป html php mysql ทำระบบจองโรงแรม ร้านค้า อะไรพวกนี้ แล้วระหว่างนี้ก็เขียนพวกเกม flash ช่วงแรก ส่วน php framework ช่วงแรกที่มีให้ใช้มันห่วย เพราะดันใช้กับบาง server ไม่ได้ก็ทำเอง ส่วน flash ก็ทำนะตอนนั้น time frame ไม่ได้สน จับเขียน script ดิบเนี่ยล่ะ ยุคต่อมาก็ย้ายมา html5 อ่อ fw javascript ก็ทำนะ แล้วบางทีก็โดดไปแก้ .net แล้วแต่เซลว่าจะขายอะไรมา เน้นงาน ตปท. ระบบคล้ายๆ พวก วงใน shopee lazada หรือทำเว็ปคล้ายๆ fb พวกนี้เคยทำมาหมดนะ ช่วงทำเว็ปได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเกี่ยวกับเรื่องดีไซน์ ออกแบบ ux มั้ง เจอคนตรวจงานเป็นคนฝรั่งเศส แม่งโคตรเคี่ยวจัด เลยได้พวกการออกแบบช่องไฟ สี ui มาเยอะ ส่วนฝั่งญี่ปุ่นก็ไม่แพ้กันแม่งเอา code ไปอ่านแล้วไล่บี้มาเป็นชุดเลย นอกจากนั้นช่วงนี้สิ่งที่กูพัฒนามาด้วยความขี้เกียจ ก็พวกเขียน scrip automation มั้ง เพราะระบบใหญ่ไม่เขียนก็ลำบาก
ส่วนด้านมือถือ จริงๆ กูเขียนมาตั้งแต่ objective c ช่วงแรกอยู่แล้วเลยไปไวหน่อย ไอ้ที่ต้องมา ล้าง mem เองน่ะ แล้วก็เปลี่ยนผ่านมาเรื่อย จนถึงตัว swift ปวดกระบานหน่อยตอนย้ายเก่ามาใหม่ แถมช่วงแรกเปิลมันเสือกทิ้ง bug ยิ่งพวกจัดการ memory leak แรกๆ ต้องรื้อเองทั้งกะบิเลยคล่องหน่อย แล้วก็มาเล่นด๋อยต่อ พักนึง ช่วงหลังขี้เกียจถ้าไม่ได้ใช้โปรเจคที่ต้องคุม memory ที่พิศดารมากก็จะใช้ react เผา
อ่อเกมกูก็เขียนนะ แต่เป็นเกมแคสช่วล ทำไม่กี่อาทิตย์เสร็จอะไรพวกนี้น่ะ เกมกากๆ ยุคแรกก็ flash script จากนั้นพอลงมือถือก็ก็ใช้ cocos2d พอทำได้ซักพัก ช่วงนึงก็ใช้ fusion เผาเพราะมันทำไวดี แต่ช่วงหลังก็เปลี่ยนมายูนิตี แต่พว sprite พวกนี้ได้ดีไซน์เนอร์ญี่ปุ่นมาทำให้ และเป็นช่วงที่ภาษาอังกฤษกูวิบัติมาก
ส่วนเรื่องอื่น พวก bot เทรดหุ้นกูก็เขียนนะ ลำบากเรื่องคำนวณ rsi mdca wave ผลก็ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง
ที่ทำงานใครใช้ vmware horizon client มั่งวะ กุว่าเหมือนมันกระตุกๆ แล็คๆ ประมาณ response ช้า ดีเลย์ไป 0.2 0.3 วิประมาณนี้อ่ะ ไม่สมูทเหมือนเล่นเครื่องตัวเอง
>>331 เรื่องโดนกดเงินน่าจะเป็นเรื่องปกติของตอนสมัครงาน อันนี้อยู่ที่ศิลปะการเจรจาล่ะ ส่วนเรื่องสัมภาษณ์ที่พูดนั่นพูดนี่ ถามจี้ คิดว่าน่าจะเรื่องปกติ
อารมณ์แบบอยากรู้ว่าเรารู้จริงหรือรู้จำเฉยๆ วัดกึ๋นน่ะแหล่ะ เคยโดนแบบถามเรื่องโปรเจคจบ นั่งถามตอบกับคนสัมภาษณ์อยู่ครึ่งชั่วโมง คุย วิเคราะห์ว่าแบบนั้นทำได้ด้วยเหรอ ทำไมได้ ลองวิธีอื่นเป็นไง บลาๆๆ ก็ตอบไปด้วยหลักการที่ศึกษามา
>>332 ตอบไม่ได้แฮะ เพราะส่วนตัวทำงานก่อนค่อยไปเรียนต่อ แต่ในมุมมองผมนะ คิดว่าดีกรีสูงมันได้เปรียบกว่านิดหน่อยในการหางานสายนี้ หลายบริษัทรับขั้นต่ำ ป.โท อะ ยังไงก็มีโอกาสเยอะกว่าอยู่แล้ว
>>331 กูเป็นเด็กจบใหม่ กูเคยสมัครงานตำแหน่ง Network Admin ที่จังหวัดนึงแถวภาคเหนือ สัมกับหัวหน้าเขา ถามมากูก็ตอบไปปกติ แต่บางทีกูก็รู้สึกว่ามึงถามอะไรที่มันเลยขอบเขตของ Network Admin ไปแล้วป่ะวะ จนกูงงสุดคือเขาถามกูว่าปีนเสาไฟได้ไหม กูก็แบบ "ห๊ะ?" ปกติ Network Admin ต้องปีนเสาไฟไปลากสายด้วยหรอวะ ทีนี้ตอนถึงเรื่องเงินเดือนกูเรียกไปแบบเจียมตัว 18K เขาไม่สู้ กดให้เหลือ 15K กูก็เริ่มใจไม่ดีละ พอเหลือ 15K แม่งถามต่อว่าต่ำลงกว่านี้ได้ไหม กูชิ่งเลย หลังจากนั้นก็เห็นเขายังคงรับอยู่ถึงทุกวันนี้
เข้ามาเก็บความรู้ และชีวิประวัติ 5555
คือเราเป็นนักศึกษาอยู่นะ คือตอนนี้เรากำลังดูวิธีเขียนแบบoopบนjavaอยู่ คือเราก็อ่านตามพวกบทความที่หาจากกูเกิลแล้ว พวกคอนเซ็ปอะไรพวกนี้ก็พอเก็ตๆอยู่ แต่อยากรู้ว่าเวลาเค้าเขียนกันจริงๆเค้าเขียนกันยังไง ใครพอมีตัวอย่างบ้าง หรือควรพิมพ์ในกูเกิลว่าอะไรดี
>>354 ถ้า Java Frontend ยุคนี้น่าจะเหลือเด่นๆแค่ Android
ส่วนมากจะเป็นแนวมี class/interface ของ library สำเร็จรูปมาให้ แล้วต้องมา extends/implements จาก class/interface พวกนั้น
แล้ว override method ต่างๆตามจุดที่ต้องการ custom การทำงาน/การ display เอาเอง
อยากเห็นตัวอย่างก็ต้องเรียนเขียน Android เลยแหละ
ส่วน Backend โค้ดที่เขียนกันเองในบริษัทส่วนมากไม่ค่อยประยุกต์ใช้ประโยชน์จากอะไรพวกนี้มากหรอก
อย่างมากก็แค่แยกโค้ดไปตาม class ต่างๆเพื่อจัดโค้ดให้มันเป็นหมวดหมู่เฉยๆ
แต่ก็มีพวก library / framework หลายตัวที่ใช้ประโยชน์จากอะไรพวกนี้ เพราะงั้นก็ควรรู้ไว้
อยากเห็นโค้ดที่ใกล้เคียงกับกับการใช้ทำงานจริงลองไปดูพวก Spring Framework เอา เพราะเดี๋ยวนี้งาน Backend Java เป็นตัวนี้แทบจะหมดแล้ว
มีใครพอบอกได้มั้ยว่า ไอที่เขาประกาศรับกันในเพจ facebook Job Thai For Programmer
สาย Outsourceสัญญาจ้าง ที่ว่าให้เงินเดือน30,000 - 65,000 (บริษัทไทยนะ ไม่ได้ภาษาอังกฤษ)
สมมติเรียกไป 65,000 ตรง max พอดี ถ้าผ่านไป 1 ปี ต่อสัญญา เงินเดือนมันจะขึ้นมั้ย หรือมันจะตันละ ไม่ขึ้นละ
แล้วถ้าขึ้นเนี่ย อยากรู้ว่ามันจะไปตันที่ประมาณเท่าไหร่อะ
ปล.ลืมบอก สาย C#.NET นะ
Outsource บริษัทเดิม ต่อสัญญาอย่าหวังว่าเงินจะขึ้นเลย ยิ่งบริษัทไทยบอกเลยว่ายากว่ะ
สอบถามหน่อย คือตอนนี้เราเป็นกราฟฟิคดีไซน์ อยากผันตัวไปเป็น Web-dev เราจำเป็นต้องมีทักษะอะไรที่ต้องรู้มากแค่ไหนบ้าง คือเคยเรียนมาบ้างตอนสมัยเรียนแต่ไม่ได้ลงลึก ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปถึงไหนกันแล้ว ขอบคุณล่วงหน้านะ
>>359
หลักสูตรเร่งรัด
Wordpress + Theme สำเร็จรูป จบปิ๊ง
พอคล่องแล้วก็หัด Html CSS PHP jQuery(JavaScript) เอาไว้ทำ Theme เอง ตอนนี้หา plugin มาทำ custom field pos อะไรพวกนี้
แค่นี้ก็ไปสมัครงานรับงานระดับย่อยได้แล้ว เอาจริงๆ กราฟฟิกดีไซน์ส่วนมากจะจบแค่นี้น่ะ อาจจะโดดไปทำทีม E-Commerce สำเร็จรูป ตัวอื่นต่อก็ว่ากันไป
แต่ถ้ามึงไม่สนใจงานดีไซน์ต่อแล้วจะมา Backend , Frontend ทำทั้งระบบใหม่ รูปแบบ Enterprise หรือจะทำ Start Up ของตัวเองอะไรก็ตามแต่ อันดับแรกลองแกะ DB WP ได้ก่อน แล้วค่อยมา ไม่งั้นออกแบบระบบได้ง่อยแดก เจออะไรจำกัดนิดหน่อยไปไม่เป็น
ถ้ามาส่วนนี้ให้เพิ่มความรู้ฐานข้อมูลหน่อย หัดเขียน stored procedure trigger แล้วก็หัดตั้ง host ใช้งานพวก AWS สร้าง EC2 , Firebase อะไรพวกนี้ด้วยถ้าจะลุยเดี่ยว ส่วนงานกลุ่มอาจจะไม่ต้องยุ่งกับ server มากนัก แต่หัดใช้ GIT ด้วยก็ดีใช้ไม่เป็นโดนด่าเสียหมานะมึง
ส่วน Javascript framework หัดใช้ Angular , React , Vue เป็นให้หมดทั้ง 3 ตัวนั่นล่ะ แล้ว PHP , C# ก็อ่านไว้บ้างก็ดี ถ้าเป็นงานบริษัท 3rd party ประเภทขายงานชาวบ้านได้ใช้แน่เพราะงานเก่ามันก็วนๆ กับ PHP , C# นั่นล่ะ
ถามหน่อยพวก webassembly มีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต
สัมภาษณ์งานตำแหน่งพวก AI developer นี่มันต้องเตรียมอะไรไปบ้างวะ คือกูจบใหม่
คำถามเดียวกับปีที่แล้ว (ที่ยังไม่มีคนตอบ)
ที่ไหนดีระหว่าง Agoda กับ ExxonMobil
ใครมีวิธีทำให้เน็ตเปิดเว็บจีนไวๆบ้างวะสาสส เนตบ้านกูออกจีนกากเหี้ยๆเลยจ้า
>>359 ตามรอยแบบที่ >>361 แนะนำเลย เราก็เคยเป็นกราฟิกที่ปัจจุบันเป็น Front-end เราเริ่มจาก HTML/CSS ต่อด้วย jQuery ต่อด้วย Wordpress (modify theme นะไม่ใช่อัพเดทคอนเท้นท์) เลยต้องแตะ PHP ด้วยเพื่อ custom ต่างๆ นาๆ เหล่านี้คือส่ิงที่มีก่อนได้งานปัจจุบัน ตอนนี้อยากศึกษา React อยู่ ทำตามคอร์สใน Udemy ยังใช้ ES6 ไม่คล่องมือเลย
ที่อยากเสริมคือส่วนที่เราคิดว่าเป็นจุดเด่นของคนที่เคยเป็นกราฟิกมาก่อนจับงานฟร้อนท์เอน คือ ทำ ตาม ดีไซน์ เท่าที่รู้มาเดฟจ๋าๆ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดพวกนี้ เขาไม่เข้าใจว่าแพดดิ้งต่างกันนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นไร มีเส้นโผล่มาพิกเซลนึงทำเป็นเรื่องใหญ่ สีเอยฟ้อนต์เอย คนที่ดีไซน์มาก็อยากจะให้ผลสุดท้ายที่ออกมา เหมือน ดีไซน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เราว่าความรู้ CSS และมุมมองแบบดีไซน์เนอร์นี่แหละที่ทำให้เราได้งาน
>>376 ตัดปัจจัยเรื่องงานและเงินออกไป e เป็นบริษัทที่ใฝ่ฝันอยากร่วมงานมานานแล้ว ที่สำคัญคือประทับใจกับบุคลากรของบริษัทนี้มาก ตั้งแต่ hr คนที่สัมภาษณ์ ไปจนเจ้าหน้าที่ ตอนไปที่บ.ทุกครั้งรู้สึกว่าทุกคน nice มาก ทุกๆ คนจริงๆ แบบไปแล้วไม่อึดอัดใจเหมือนที่อื่น มีโอกาสได้ไป open house ก็รู้สึกว่าคนแบบนี้แหละที่กูอยากจะเป็น คิดว่าทำงานที่นี่จะมีความสุข
จริงๆ ต้องเล่าก่อนว่าเมื่อก่อนกูเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเงิน แต่รู้สึกตัวอีกที กูแทบไม่มีเพื่อนเลย ป่วยเป็นโรคเครียดเรื้อรังเพราะการเรียน เพราะแบบนี้มั้ง กูเลยคิดว่า ตอนนี้กูอยากพัฒนาด้านความเป็นมนุษย์บ้าง กูทำทุกอย่างเพื่อเงิน ลืมไปว่าเป้าหมายคือการมีความสุข แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีความสุขเลย :(
จริงๆ ได้เรียกสัมหลายที่มาก ทั้งที่ที่ให้เงินเยอะกว่าสองเท่า บ.ที่กูชอบเนื้องานมาก และบ.ที่เคลมว่าเป็นที่ 1 ที่เลือก e อีกส่วนก็เพราะติดต่อมาไวด้วย ไม่รู้เลือกผิดเลือกถูก แต่เลือกไปแล้ว T_T
เปิดมาดูเล่นๆแล้วเจอ Angular กูตกใจเลย สรุปแพ้ React อย่างเป็นทางการแล้วใช่ป่ะ https://killedbygoogle.com
ปกติเวลาย้ายงาน เรียกเงินเดือนเพิ่มขึ้นกี่%กันอะ 30%นี่เยอะไปปะวะ ปสก4ปี
บ่น ...
แก้เพิ่มช่องนิดนุง แยกช่องก็ดีนะดูง่าย
- อีเหี้ยนิดนุงของมึงนะ รื้อตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไหนจะต้องไปแก้ db ที่เข้ามาแล้วอีก เยอะชิบหาย
อุ้ยเวลาเท่านี้ลูกค้าเข้าไม่เอาหรอก
- ให้เวลาแค่นั้น มีมนุษย์คนไหนก็ทำไม่ทั้นหรอกเว้ย
ลูกค้าส่งข้อมูลมาแล้วทำไม่ทำไม่ทัน
- ก็มุงส่งมาเมื่อวานเนี่ยนะ ทันก็บ้าละ ข้อมูลไรวะขยะชิบ กำหนดไว้อย่าง ส่งมาอีกอย่าง ขยุ้มรวมกันหมดเลย
ทำไม search แบบนี้ๆ ไม่ได้เหรอจ๊ะ
- ก็ข้อมูลมึงมันเหี้ยไง ตอนแรกคุยซะดิบดีจะมีโน่นนี่ไหน จะไปหาเจอได้ไงวะ เล่นเอาทุกอย่างรวมเป็นบรรทัดเดียวกันหมดเลย แถม record ข้อมูลเดียวกันเสือกกรอกไม่เหมือนกัน
ปรับดีไซน์หน่อยนุง
- ดีไซน์เชี่ยไรวะเนี่ย แต่ละหน้าทำไหมหมดเลยนี่หว่า ไหน guide line ไม่ได้ทำตามเลยหรือวะ ขนาดปุ่มหน้านึงกีสีนึง input ก็คนละแบบ คว***ยเถอะ
จะเอา app ด้วย นี่ไงๆ มีเขียนบอกด้วยนะ
- fu*k you มึงมาบอกเมื่อวานเนี่ยนะ
เพิ่งจบใหม่ไปสาย network engineer เพียวๆจะรอดมั๊ยครับในยุคนี้
ไม่รู้เป็นกันบ้างหรือเปล่า
แต่ส่วนตัวยิ่งงานไกล้ deadline แล้วเหลือส่วนที่ต้องทำเยอะ logic จะวินาศสันตะโรมาก code ขยะมันจะเกิดช่วงนี้ คือ สมงสมองไปหมดล่ะแยก class component เหรอ ไม่ย่งไม่แยกมันล่ะ
พอมีเวลาย้อนกลับมาดูก็ตลกตัวเอง ช่วงนั้นกูทำบ้าอะไรไปวะเนี่ย function โง่ๆ ก็เสือกเขียนซ้ำซากไม่รู้ตั้งกี่ตัว อารมณ์หงุดหงิด จะรวมเหรอ test ไม่ผ่านซักทีกูก็ก็อปโง่ๆ แยกมันเอาดื้อๆ เนี่ยล่ะ db query ก็เลือกเขียนใหม่ซ้ำไปซ้ำมา ทั้งที่รวมกัน หรือเขียนเป็น view ให้เรียกใช้งานง่ายๆ ได้ แต่อารมณ์ตอนนั้นมันก็คิดอะไรไม่ออก ได้แต่คิดว่าเอาให้เสร็จไว้ก่อน
Google Analytic Cert. นี่ legit แค่ไหนอะ บ ในไทยมองว่ามันมีค่าไหม สมควรเสียตังเอาไหม ว่าจะทำงานสาย data จบปีหน้า
>>394 สาย data กูว่า cert ไม่ได้จำเป็นเท่าไหร่ มันวัดความเก่งไม่ค่อยได้อะ cert แต่ละตัวมันแค่ดูว่าใช้ tool นั้นๆเป็นรึเปล่าทางทฤษฎีไม่ได้งัดกึ๋นอะไรเท่าไหร่ งาน data จริงๆมันดูแค่ประสบการณ์มากกว่า
เวลาสัมภาษณ์นี่คุยกันปากเปล่าเรื่องโจทย์จริงเลยว่าเจอแบบนี้จะวิเคราะห์ยังไง visualize ยังไง เอา tool ไหนมาจับ ถ้าจะทำ ai ควรใช้ลักษณะไหน เอา model อะไรมาใช้ แบบนี้มากกว่า cert ไม่ค่อยได้ดูอะ
มีไว้ก็ดีแหละ แต่กูไม่ค่อยอยากให้ไปเสียเงินแพงๆ ได้กระดาษมาใบนึงที่วัดอะไรไม่ค่อยได้
>>395 โอเค กูคนละโม่งกับ 394 นะ แต่กูกำลังจะย้ายสายงานไปสาย Data & Information tech ภายในปีหน้านี้แหละ ว่าจะเรียนออนไลน์เก็บใบ Cert เอาเยอะๆ แต่ทีนี้ จะฝึกประสบการณ์ผ่านด้านใหนได้บ้าง เพราะแค่ทำโจทย์ตามคลิปสอนมันคงไม่พออ่ะ แล้วส่วนใหญ่เครื่องมือทำงานต้องใช้ Spec สูงๆระดับมากแค่ไหนวะ คือกูจะลงทุนลงอุปกรณ์เฉพาะไปเลย
>>396 ไม่ต้องถึงกับโจทย์จริงอะ แต่ต้องพอรู้ว่างานแบบนี้จะเอาเครื่องมืออะไรมาจับ soft skill ก็สำคัญ ต้องอธิบายคนอื่นได้ว่าเราทำอะไร แก้ไขปัญหาลักษณะ data ควรเป็นยังไง ข้อจำกัดต่างๆของ data ที่เรามีสามารถเอามาทำอะไรได้ อะไรทำไม่ได้ต้องเก็บเพิ่ม การเทสผลจะเทสยังไง
ส่วนโจทย์ยอดฮิตในไทยก็จะมีพวก data classification เช่น วิเคราะห์การปล่อยเงินกู้, วิเคราะห์การทำธุรกรรมต่างๆ
ถ้าสาย image ก็พวก คัดแยกเอกสาร, ทำ ocr, object detection, image matching and retrieval พวกเนี้ย
สาย nlp ก็แชทบอท, sentimental analysis, dialogue classification
ลองเข้าไปดูใน kaggle ก็ได้ ส่วนนึงเป็นโจทย์จริงนี่แหละ
บางอย่างต้องเริ่มเองทั้งหมดก็ไปใช้บน cloud ได้ ก็ต้องพอรู้เจ้าดังๆ พวก azure, gcp, aws
>>398 ลองลงพวก Hackaton ต่างๆนาๆก็ได้นะ มีทั้งไทยทั้งของนอก เดี๋ยวนี้แข่งออนไลน์กันแหละ ไม่จำเป็นต้องติดอันดับก็ได้ จะมีภาษีกว่าพวกใบ cert ต่างๆ เวลาสัมภาษณ์จะได้มี topic คุยว่าไปแข่งมาทำโจทย์อะไร แก้ปัญหาอะไร
ไม่ก็ทำพวกโจทย์ใน kaggle ก็ได้ ให้มันพอรู้ จะได้มีอะไรคุยตอนสัมภาษณ์
React Native นี่มันอวยเกินจริงไปไหมวะ เขียนจริงอยากจะร้องเชรี่ย ช้ากว่าเขียนบน Xcode , ด๋อยสตู มาก
ถ้าไม่ผ่านตัว Expo ชิวิตบัดซบซิบ เสียเวลา config มากกว่าเขียน code อีกสัด ถ้าจะง่อยขนาดนี้สู้ไปใช้ Ionic ยังจะปิดงานไวกว่า
ขอความช่วยเหลือหน่อย regex บน python
[7zu7] Erosion ~First Night~ (Comic Bavel 2016-07) {incest ahegao anal busty forced creampie tentacles x-ray socks pubic-hair double-penetration squirting lactation milf}.zip
จะแยก
{incest ahegao anal busty forced creampie tentacles x-ray socks pubic-hair double-penetration squirting lactation milf}
ออก ต้องเขียนประมาณไหนอะ
(^\[.+?\])\s*?(.+$)
(^\[.+?\])\s*?(.+)\s*?(\(.+?\))\s*?(\{.+?})(.+$)
ทำเองได้ละ
>>402-403 มาไม่ทัน แต่มาแนะนำเว็บ debug regex เลือกแยกสำหรับแต่ละภาษาได้ + มี quick reference ช่วยเผื่อลืม
https://regex101.com/
มีใครสมัคร 42Bangkok บ้าง
>>407 กูว่าน่าสนใจสำหรับนักศึกษาหรือคนที่อยากเปลี่ยนสายงานนั่นแหละ ถ้าเป็นเดฟอยู่แล้วคงไม่ต้อง หรือแบบเป็นฟรีแลนซ์ก็คงดีมั้งเผื่อได้คอนเนคชั่น แต่น่าจะต้องว่างๆ หน่อย อยากรู้เหมือนกัน แต่มันยังไม่เริ่มนิ ยังรับสมัครกันอยู่ ถ้ามีใครได้ลองแล้วคงมีข้อมูลเพิ่มขึ้น
https://www.pluralsight.com/
โปรคอร์สเรียนฟรีเดือนนี้ทั้งเดือน
ขอความช่วยเหลือหน่อย
Traceback (most recent call last):
File ".\scriptori.py", line 18, in <module>
artists_name = set([re.match(NAME_RE, name).group(1).strip("[] ") for name in list(mangas.keys())])
File ".\scriptori.py", line 18, in <listcomp>
artists_name = set([re.match(NAME_RE, name).group(1).strip("[] ") for name in list(mangas.keys())])
AttributeError: 'NoneType' object has no attribute 'group'
ไฟล์ประมาณ
[7zu7] Erosion ~First Night~ (Comic Bavel 2016-07) {incest ahegao anal busty forced creampie tentacles x-ray socks pubic-hair double-penetration squirting lactation milf}.zip
[Akutenkou] Will You Forgive My Sloppiness? (Comic Shitsurakuten 2020-08) {ahegao chubby booty busty creampie deepthroat osananajimi x-ray pubic-hair squirting}.zip
[Ashiomi Masato] Workout! (Comic Kairakuten 2020-09) {booty busty creampie muscles ponytail}.zip
วันก่อนเราทำได้ละ ไม่รู้ไปแก้อะไรผิด มันเลยพัง...
>>411 เผื่อคนสงสัย
จะเอาไว้จัดเรียงไฟล์ จาก https://sukebei.nyaa.si/view/3090361
เราต้องแก้ regex เป็นแบบไหนอะ
ไฟล์ประมาณนี้
[7zu7] Erosion ~First Night~ (Comic Bavel 2016-07) {incest ahegao anal busty forced creampie tentacles x-ray socks pubic-hair double-penetration squirting lactation milf}.zip
>>416
เราเจอปัญหาละ มันไม่ Match แล้วเราดันไม่ดักไว้ ข้อมูลก้อนมันอยู่ใน List ตามโค้ดนะ เราจะดัก List นี้ก่อนต้องเขียนประมาณไหนอะ
มีโม่งเป็น Java Programmer มั่งป่ะ กูเขียนได้อยู่ภาษาเดียวแล้วก็ทำงานมาพักใหญ่ๆแล้ว เริ่มกลัวอนาคตของภาษานี้
รู้สึกว่าในระยะยาวมันน่าจะค่อยๆตาย จากเดิมเขียนได้หลายอย่างมาก เทคโนโลยีหน้าบ้านเก่าๆสาย Java Applet, Swing ก็เกือบตายสนิทแล้ว
จะเขียน Android ก็โดน Kotlin มาแย่งไปเยอะแล้ว และไม่ได้เป็นภาษาที่ Google แนะนำแล้วด้วย
ตอนนี้เหลือแค่งาน backend ในองค์กรใหญ่ๆที่ก็ค่อยๆถูกภาษาใหม่ๆอย่าง Go เริ่มมาแย่งไปแล้ว ไม่รู้อนาคตจะเป็นยังไงต่อ
ลองไปเรียนภาษาอื่นหลายตัวก็ไม่รู้สึกถูกใจเท่า
>>418 เอ่อมึง ถ้ามึงเป็นภาษานึงแล้ว ย้ายไปเขียนภาษาใหม่มันไม่ได้ใช้เวลาเยอะนะ ถ้ารู้โครงสร้างภาษาเก่าๆ แล้วภาษาใหม่แป๊ปเดียว กุให้อย่างเก่งมึงคงดู udemy แล้วลอกอาทิตย์เดียวคงคลิ๊กในหัวเข้าใจและเขียนได้แล้วมั้ง
ขอให้ลดทิฐิ เปิดใจลองดูมันหน่อยเถอะ ยิ่งภาษาใหม่ยิ่งง่าย แต่คงจะไปหงุดหงิดเรื่องติดตั้งแค่นั้นล่ะ
ไม่รู้จะถามที่ไหนดี แต่ถ้าจะหาแฮกเกอร์นี่หาจากไหนได้บ้างวะ อยากจ้าง กูอยากดูประวัติการแชตว่ะ
เรื่องจริงมั้ย https://youtu.be/fe4WeWuyyhI
ได้ cer Aws solution architect associate มา จะหางานdevopsไรได้มะ พอดีอยากเปลี่ยนสายงานแต่ไม่มีปรัะสบการณ์เลย เลยลองตั้งใจเรียนแบบzero to heroวีคนึงละไปลองสอบดูก็ผ่านเฉย
มีใครพอจะรู้จักเว็บนี้บ้างจำชื่อเว็บไม่ได้อะ อยากเข้าไปดูอีกที หลายปีที่แล้วเคยเห็นเว็บสอนให้รู้จักเขียนโค้ด เข้าหน้าเว็บไปก็เจอหน้าต่างให้ลองพิมพ์เองเลย คู่กับการอธิบาย แบบสอนตั้งแต่เบสิคว่าโค้ดคืออะไร ฟีลแบบเล่นเกม เพราะเว็บจะให้ทำมิชชั่นมันจะยากขึ้นๆตามสิ่งที่มันสอน
พูดแบบนี้เดายากว่ะ มีตั้งหลายภาษา สมมุติ ruby มันก็มี
https://try.ruby-lang.org/
>>426 เว็บแนวนี้มีเยอะอ่ะ ไม่รู้ใช่อันที่มึงตามหามั้ย แต่ 2 อันนี้มีคนรู้จักเคยแนะนำมา แต่กูก็ไม่เคยเล่นนะ
https://checkio.org/
https://www.codingame.com/start
ร้างแล้วเหรอ อยู่บ้าน WFH แอบมาเล่นโม่งกันมั่งดิชาวโปรแกรมเมอร์ทั้งหลาย
>>426 อ่ะเสนออีกชื่อ อันนี้รวมๆ หลายภาษา
https://www.sololearn.com/home
เรียนสายนี้มาแล้วเพิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ว่ะ เนื้อหาที่เรียนหรืองานโอเคอยู่ ให้ทำก็ทำได้ แต่ไลฟ์สไตล์มันไม่ใช่ แต่ย้อนกลับไปคงไม่ทันแล้ว คนสายเทคดูมีแต่คนเก่งๆ ขยัน ตามเทรนด์เทคโนโลยี ทำนู่นทำนี่เก่งกันหมดเลย ส่วนกูเหมือนอิป้าคอนเซอเวทีฟ เห็นข่าวเทคใหม่ๆก็เฉยๆ ไม่มีแพชชั่นเหมือนคนอื่นเขาเลย สมัครทำงานก็แบบ ทำอะไรก็ได้ละกันแล้วแต่เขาจะจ้าง ในขณะที่คนอื่นมีเส้นทางของตัวเองชัดเจนกันดีจัง รู้สึกแปลกแยก T_T
>>434 กูก็เห็นมาทั้งสองแบบนะ คนที่พอใจกับจุดที่ตัวเองอยู่แล้ว ใช้ความรู้เดิมหากินได้เรื่อยๆ กับคนที่ถีบตัวเองอยู่ตลอดเวลา พี่ที่เขาพอใจในจุดที่ตัวเองอยู่แล้วก็คือค่อนข้างมีอายุแล้ว มีลูกมีเมียมีบ้านมีรถ เขาก็มีจุดอื่นๆ ที่ต้องทุ่มเทชีวิตให้อ่ะ ไม่ได้มีเวลามาพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตอนที่กูจะออกจากงานก็คือ เขาก็รู้นะว่าบ.มีปัญหายังไง แต่เขารับได้ แค่ว่าจ่ายเงินให้เขาไม่ขาดไปเรื่อยๆ มีเงินเลี้ยงดูลูกเมียเขาก็โอเคแล้ว แต่ก็สนับสนุนนะถ้ากูจะไปเติบโตต่อที่อื่น
frontend backend อันไหนหางานง่ายสุดอ่ะ กำลังจะเริ่มเรียน ตอนนี้ได้ sql python ชอบงานดีไซน์ แต่เหมือนจะได้ยินว่า frontend หางานง่ายกว่าป้ะ (แต่เงินน้อยกว่า backend)
สมมติว่ากุทำโปรแกรมที่มันสุ่มเสี่ยงศีลธรรม/กฎหมาย เช่น แอพสร้างข่าวปลอมที่เหมือนจริงมากๆที่สามารถโพสลงทวิสเตอร์ได้ทันทีเลยแค่ใส่ข้อมูลนิดๆหน่อยๆลงไป
ตอนนี้ลังเลว่าควรจะแชร์โค้ดของงานนี้ลงบน github ดีมั้ย ใจนึงกุอยากแชร์ให้คนอื่นดู มันน่าจะทำให้โปรไฟล์กุมันดูดีขึ้น อีกใจนึงกุก็กลัวคนเอาไปใช้ในทางที่ผิด
โม่งมีความเห็นว่ายังไงมั่ง
ไหนๆก็มีคนถามละ งั้นกูถามต่อหน่อยว่า profile บน github นี่จำเป็นแค่ไหนอ่ะ
กูมีโปรเจคทำเล่นอยู่หลายอันนะ แต่บางอย่างมันไม่ใช่อะไรที่รู้สึกว่ามันน่าเอามาแชร์ให้คนอื่นดูเท่าไหร่
ย้ายงานแล้วบริษัทให้เครื่อง Mac มาใช้งาน ด้วยความที่กูใช้เครื่อง Windows มาทั้งชีวิตนี่รู้สึกมึนสัสๆ
ในความรู้สึกกูคือ UX UI โคตรหลุดโลก ใช้แล้วรู้สึกอีหยังวะมากๆ เคยใช้พวก Linux Desktop อาจจะมีงงๆบ้างแต่ก็ไม่รู้สึกว่ามันประหลาดขนาดนี้
ที่บ่นไม่ได้ว่ามันไม่ดีนะ แต่คงไม่ใช่อะไรที่เหมาะกับกูจริงๆ
https://www.facebook.com/groups/ThaiPGAssociateSociety/permalink/1794959530715308
เด็กฝึกงาน สมควรได้รับเงินค่าตอบแทนหรือไม่
5555555555555555 อ้างสารพัดเพื่อหาความชอบธรรมให้กับการหลอกใช้ free labor
>>447 ถ้าคนที่เคยใช้ Linux มาก่อนกูว่าชิวกว่าคนใช้ Win นะ terminal มันแทบจะอย่างเดียวกันเลย UX UI ไม่หลุดโลกหรอก
แต่ถ้าถนัดใช้ UI ของ Win มาก่อน แนะนำให้ไปแก้เรื่อง scroll mouse ใน system preferences -> moue ก่อนเพื่อน นอกนั้นพวก short cut ก็ครือๆ กันนั่นล่ะ
>>450 แยกเป็นสองส่วน
ถ้าตามใน fb กล่าวถึงการสอนงาน ถ้าตามนั้นมันก็ใช่ ถ้าสอนงานอย่างเดียวน่ะนะ ซึ่งกรณีนี้ไม่ค่อยมี คือ สู้ไม่รับไปเลยดีกว่า
แต่ในความจริงส่วนมากก็ให้เงินล่ะ แต่เอาไปทำงานประเภทกรอกข้อมูลแบบ Routine แทน
ส่วนเรื่องเขียนโปรแกรมบริษัทสติดีเค้าไม่เอาเด็กฝึกงานไปเขียนโปรแกรมที่จะขายให้ลูกค้าหรอก เสี่ยงเกิน ถ้าจะเสียเวลาตรวจ code สู้ทำเองยังจะดีกว่า
>>452 ตอนแรกกูรู้สึกเหมือนมึนมากๆอยู่พักนึง แต่พอสลับ scroll mouse กับสลับปุ่ม control กับ command แล้วก็ค่อยดีขึ้นหน่อย
แต่ก็ยังมึนอยู่ดี พวกคีย์ลัดคล้ายกันก็จริง แต่สุดท้ายหลายๆอันก็ไม่เหมือน แล้วพอต้องใช้เม้าส์กดแทนมันก็ไม่ชินเท่า
ไหนจะติดๆเรื่อง UI ส่วนอื่นๆที่ไม่เหมือนกันอีกเยอะ โดยเฉพาะ Dock, การจัดการ windows, global menu อะไรพวกนี้กูว่ามันงง
ซึ่ง Linux Desktop ตระกูลที่กูเคยใช้กูว่ามันยังจัดการอะไรง่ายกว่า อาจจะด้วยความที่กูไม่ชินด้วยแหละ
ส่วนพวก command line พอดีสายที่กูทำไม่ค่อยได้ใช้ command มากขนาดนั้น ส่วนมากใช้เวลา remote เข้า server มากกว่า
เลยไม่ได้รู้สึกว่าได้ใช้ประโยชน์จากส่วนนี้มากเท่าไหร่
แต่ไปๆมาๆน่าจะไม่ได้ใช้แล้ว เพราะเครื่อง Mac นี่เหมือนแผนกเบิกซื้อมาใช้กันเอง แล้ว IT บริษัทเค้าไม่ค่อยชอบที่ทำแบบนี้กัน
ในอนาคตอันใกล้ถ้าไม่ใช่เครื่อง Windows ของบริษัทที่มาแบบถูกกฏของ IT จะ VPN ไม่ได้แล้ว สรุปคือต้องไปใช้ Windows กันหมด
>>453 กูไม่เคยทำงาน software house แต่คิดว่าเรื่อง code review สุดท้ายมันแล้วแต่ที่นะว่าจะจริงจังเรื่องคุณภาพงานกันมั้ย หรือจะทำงานเน้นปริมาณกัน
>>453 กูก็ทำ swh แต่บอกเลยว่าที่ทำอยู่ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ แบบเอาเด็กฝึกงานไปเขียนโปรแกรมส่งลูกค้าเด็ดขาด เสียหายไม่คุ้มกันเกิด bug หลุดล่ะชิบหาย โปรแกรมหลักสิบล้าน ลูกค้าก็เอาไปใช้กับงานที่มีเงินหมุนอยู่เป็นพันล้าน งานคุณภาพต่ำ กลาง หรือสูง มันไม่มีหรอกนะ มันมีแต่งานที่ใช้ได้กับใช้ไม่ได้แค่นั้น
เออ แต่ถ้าให้เด็กฝึกงานเขียนโปรแกรมที่ใช้ในแผนกเล็กๆ ประเภทหาเบอร์โทร booking ห้องประชุม หรือจัดการเบิกจ่ายนิดหน่อย ที่ต่อให้เสียหายก็ไม่เป็นอะไรมาก ก็คงได้มั้ง แต่ส่วนมากน่าจะจับยัดแผนก software tester ซะมากกว่า
อยากรู้ว่าบริษัททอปๆ เช่น agoda ktbg exxon ตอนสมัครงาน ในไทยเจอคำถาม data and algorithm กันบ่อยไหม เห็นต่างประเทศเค้าสัมภาษณ์แนวนี้กันด้วย หรือถ้าไม่ถาม แล้วเค้าถามอะไรบ้าง ให้เขียนโค้ดใส่กระดาน หรือคุยเรื่องโปรเจคที่ทำงี้เหรอ
ป.ล. งาน New graduate นะ
>>459 จากที่เคยรวบรวมข้อมูลจากเพื่อนหลายๆคนที่เคยสัมที่ต่างๆ+ประสบการณ์ตัวเอง
-exxon ให้โจทย์แล้วเขียนโค้ดหาคำตอบเหมือนเล่นเว็บแข่ง+สัม ตอนสัมเขาจะมาจี้โค้ดที่เราทำยับๆว่าเขียนแบบนี้ทำไม ประสิทธิภาพห่วยมั้ย โจทย์เหมือน problem solving ตามเว็บแข่ง เพื่อนกุบอกว่ายาก แต่กุว่าค่อนข้างง่าย จำได้ว่ามีแนว greedy ข้อนึง
-kbtg เพื่อนเล่าว่า code interview โจทย์ยากชิบหาย แต่ไม่เคยเห็นโจทย์ เดาว่าน่าจะระดับเดียวกับโจทย์แข่งในงานที่พวก KBTG จัด เช่น TechJam (ถ้าติด top3 ไม่ต้องสัม เขาชวนไปทำงานเลย) ซึ่งก็คือต้องอธิบาย data structure/algo ไรให้เขาได้+เขียนโค้ดได้นะแหล่ะ
-agoda เพื่อนบอกแค่ว่าสัมอังกิด นอกนั้นลืมหมดล่ะ ฟังเพื่อนเล่าตอนกำลังเล่นเกมอยู่
อันนี้เพิ่มเติม ถ้าสัมแนว data science จากที่คุยหลายๆคนมา หลายๆที่ชอบให้โจทย์ไปทำแล้วมาเล่าผลลัพธ์+วิธีการ (อารมณ์เหมือนแข่ง hackathon ระยะเวลาทำแล้วแต่ที่ บางที1-2อาทิตย์ บางที1วัน) มีที่นึงให้ทำ NLP (PoS tagging) กับ Comp. vision (Image Classification) จากที่เคยเห็นโจทย์ ตัวโจทย์ไม่ยากถ้าเคยทำโมเดล NLP หรือ Comp vision มาก่อน แต่บางที่ไม่ได้ให้ทำ hackathon ก็จะให้ทำพวก technical test ทำล่วงหน้าหรือไม่ก็ทำตอนก่อนจะสัม แล้วไปจี้ด้านเทคนิคเพิ่มตอนสัม กุเคยคุยกับคนสัมเรื่อง binomial distribution (เขายื่นกระดาษกับปากกาให้ทำตอนนั้นเลย แต่โจทย์ง่ายไปหน่อย) กับ chaos theory อยู่ แถมเขาเห็นเราเคยทำ deep learning เลยยื่นปากกาไวท์บอร์ดให้ลองอธิบาย neuron network/deep learning ตั้งแต่แรกเลย
>>464
ปัญหาคือมึงไปสมัครส่วนไหนมากกว่า ถ้า front end ประวัติพวกนั้นไม่ได้น่าสนใจเท่าเขียน html ธรรมดา ใช้ scss ได้ถูกต้องตามแบบแผน หรอกนะ
หรือถ้าเป็น backend พื้นฐาน db logic การออกแบบระบบ e-commerce erp resolution สำคัญกว่า
ส่วนพวก data science จะไม่มีค่าอะไรเลย ถ้าตำแหน่งงานมันวนๆ อยู่ในระบบ erp พวกนี้ก็แค่เขียนโปรแกรม + - x % ตามหลักบัญชีตามปรกติ
>>459 จากประสบการณ์ส่วนตัวนะ
- Agoda มีคำถามอัลกอ แต่ไม่ยาก ถามความยากประมาณว่า รู้จัก fibonacci ไหม เขียนยังไง ทำให้ดีขึ้นยังไง ที่เหลือก็ถามเกี่ยวกับการเลือกใช้ tool ทำไมถึงเลือกใช้ ถ้าอังกฤษแข็งก็ง่ายๆ
- KBTG อารมณ์แบบโจทย์ใน leetcode จะให้ลิงค์ codility มา มี 3 ข้อ ให้เวลาทำ 2-3 ชม ภาพรวมโจทย์ค่อนข้างยากกว่าทุกที่ ถ้าทำคะแนนได้ไม่ถึง 60% ก็อดไปต่อ **ถ้าได้ทำพวกซอฟแวร์ของธนาคาร แนะนำว่างานหนักไม่คุ้มเงินเดือน
- Lineman มี assignment ง่ายๆให้เวลาทำ 5 วัน เป็นแนวถามตอบคล้ายๆข้อสอบมหาลัย ค่อนข้างง่าย google หาคำตอบได้ง่าย ถ้าผ่านได้ไปสัมภาษณ์กับ engineer CTO คำถามก็คล้ายๆ agoda ไม่เน้นต้องเขียนโค้ดถูก เอาแค่แนวคิดได้ก็พอ
ที่เหลือที่ดังๆพวก Line, SCB 10X ถ้าไปสัมภาณษณ์เป็น Full-Stack ก็จะได้ assignment มาทำเป็นเว็บ ไม่ยาก แต่ต้องโชว์ทักษะให้ครบ พวก Design pattern, TDD ถ้า assignment ที่ทำส่งไปน่าสนใจก็จะได้ไปสัมภาษณ์ต่อ คำถามก็แนวๆ agoda
>>459 กูเคยสัมทั้ง 3 ที่
- agoda ตำแหน่ง backend ทำไมข้างบนถึงบอกว่าโจทย์ง่ายวะ 55 ของกูสัม 3 รอบ ง่ายแค่รอบแรก อันง่ายก็ง่ายมากจนจำไม่ได้ละ รอบสองเท่าที่จำได้เหมือนจะให้ implement data structure เอง from scratch (แต่ก็อปได้) + เขียนอัลกอ traverse ด้วย รู้สึกกูจะโดน BT มั้งนะ ให้เขียนแบบ recursive ด้วย กดดันจัด (กูกดดันตรงคนสัมนี่แหละ ฮือ) รอบสุดท้ายรู้สึกจะให้เขียน API ให้ยากอันดับ 1 เพราะสัมต่อกัน 3 ชม. ใช้ความรู้หลายแขนงมากจ้า 555 สมองล้า
- KBTG ตำแหน่ง dev รู้สึกจะมี 3 ข้อ สองข้อแรกง่ายจนกูทำไม่ถึงชม.ก็เสร็จ แบบอัลกอพื้นฐานๆ ถ้าเตรียมตัวไปก็ชิล ส่วนข้อสุดท้ายกูงมอยู่นานมาก โจทย์เหมือนวิชา algorithm design ที่เกี่ยวกับพวกกราฟ ก็ส่งไปแบบที่รันเทสเคสถูกไม่หมดแหละ 5555 เออ ดูเรื่อง test case ด้วย ของ codility มันดักแทบจะทุกเคสเลย รันไทม์นานเกินก็ไม่ได้ด้วยมั้งรู้สึก ทำโจทย์เสร็จก็อธิบายโค้ดตัวเอง ให้ยากอันดับ 2
- Exxon ตำแหน่ง dev นี่ชิลกว่าที่อื่น รู้สึกจะมีโจทย์โค้ด 3 ข้อ กับ sql ข้อนึงมั้ง ไม่ค่อยยากมากเท่าไร แนว if else เหมือนจะห้ามก็อป กูทำเสร็จก่อนเวลานานมาก สัมภาษณ์ไม่เจาะเยอะมากเท่าที่อื่น ก็ให้อธิบายแนวคิดตัวเอง อธิบายว่าแต่ละเคสเป็นไง ทำไมเขียนแบบนี้ กูอุตส่าห์เตรียมไปอย่างเยอะ 55 ให้ยากอันดับ 3
ส่วนเรื่องสัม กูรู้สึกว่ามัน depends กับบริษัทที่ไปสัมภาษณ์น่ะ แต่ละบ.ก็จะมีลักษณะคนที่อยากได้ต่างกัน มันแสดงออกผ่านการสัมภาษณ์ชัดเลย บางที่ก็ถามเรื่อง technical อย่างเดียว ให้อธิบายโปรเจคที่เคยทำบ้าง ปสก.ฝึกงานอะไรงี้ ปสก.นี่ถามทุกที่ ขึ้นอยู่กับว่าถามมากถามน้อย ถ้าปสกเกี่ยวกับตำแหน่งที่สมัครก็ถามมากหน่อย บางที่เน้นการพูดคุยโต้ตอบ (ภาษาอังกฤษ) ไม่ก็แบบกิจกรรมสมัยเรียนที่เคยทำ หรือทัศนคติ งานอดิเรก ถ้าจะให้แนะนำก็เป็นตัวของตัวเองนี่แหละดี อย่างน้อยเราก็จะได้องค์กรที่ fit กับตัวเราจริงๆ
ไปละเดะโม่งแตก อิอิ
>>467 ที่กูว่า agoda ง่ายอาจจะเพราะคนสัมภาษณ์เน้นให้อธิบายด้วยมั่ง คิดยังไง มีขั้นตอนยังไง ไม่ได้เน้นว่าต้องเขียนโค้ดมาแล้วรันได้ แค่สามารถอธิบายได้ถูกก็โอละ ส่วน kbtg มันดวงซะเยอะ ถ้ารอบนั้นสุ่มได้โจทย์แปลกๆบางทีก็คิดไม่ออก แถมถ้าทำ hidden case ผ่านน้อย มึงก็อดไปต่อ แม้จะทำมาถูกทางละ
เป็นบัคในใจกูมาหลายปีละ ทำไมคนไทยออกเสียง django ว่า ดีจังโก้กันวะ ดูคลิปพวกฝรั่งมันสอนมาก่อนมันเรียกจังโก้เฉยๆนะ กูก็ติดเรียกจังโก้เฉยๆ
แต่พอกลายเป็นพูดกับคนไทยต้องออกเสียงว่าดีจังโก้ ไม่งั้นเขาจะงงๆกัน ยิ่งช่วงหลังๆเจอเด็กจบใหม่มันก็เรียก ดีจังกัน
สรุปคือกูเรียกผิดใช่มะ
stackoverflow ล่ม อ๊ากกกกก
>>470 คำบางคำถึงจะรู้ว่าที่ถูกออกเสียงยังไง ถ้าคนอื่นที่เราทำงานด้วยออกเสียงผิดกันหมดก็ต้องออกเสียงผิดตามเค้าอ่ะ
มันจะได้คุยกันรู้เรื่อง แล้วไม่เป็นการไปหักหน้าคนที่เค้าอยู่มาก่อนเราด้วย
อย่างเช่น Vault https://www.vaultproject.io/ ออกเสียงว่า วอลท์ แต่ที่ออฟฟิซกูเรียกโวลท์กันหมดกูก็ต้องเรียกโวลท์ตามเค้า
มีน้องหลายที่รู้ว่าออกเสียงยังไงนะ เพราะได้ยินเผลอหลุดเรียกว่าวอลท์กันหลายครั้ง แต่ก็ต้องแก้ว่าหมายถึงโวลท์กันตลอด 555
ถ้าออฟฟิศนานาชาติมึงไม่เป็นหรอก แต่ถ้าออฟฟิศไทยจ๋าๆ ทำงานแต่กับคนไทยด้วยกัน ยังไงก็เจอ
ระบาย เพิ่งเริ่มฝึกงานเป็น dev ได้เดือนนึง ทำไรไม่ค่อยได้เลยอะ ต้องเก็บเวลนานแค่ไหนถึงจะพอใช้งานได้วะ เรียนมาไม่ค่อยได้ใช้เลย กดดันตัวเองมากไม่รู้ว่าทำถูกไหม ทำทันไหม
กูเพิ่งผ่านข้อเขียนทุนป.โทของกพ. อยากรู้ว่าสายนี้ทำงานราชการเวิร์คไหมวะ ตอนนี้กูทำอยู่บ.อินเตอร์ แต่ที่บ้านอยากให้เรียนต่อ+รับราชการมาก ใจจริงอยากทำงานเก็บปสก.สักระยะค่อยหาทุนต่อโท
ตอนเด็กๆ เล่นแร๊คก็เรียก swardman ว่า สะหวอดแมน 555
Golang เป็นภาษาที่ทุเรศชิบหาย มีดีแค่ perf
ลงเรียน Flutter ไปละ เริ่มเรียนจาก 0 เลย กำหนดเรียนจบธันวานี้แล้วว่าจะย้ายสายงานมาทำเลย เป็นกำลังใจให้กูด้วยนะพวกเมิง
ทำไมอยู่ดีๆถึงมาฮิต Flutter กันหว่า
ทำงาน wongnai โอเคมั้ย ใครรู้บ้าง
ระบาย บริษัท tech หรือทำงานด้าน IT ที่ไหน มีการ กึ่งบังคับ ให้พนักงาน เข้ารับฉีดวัคซีนจากภาครัฐบ้างวะ ประมาณว่าให้ฉีดให้เร็ซที่สุดๆ ก็จองๆ ฉีดกันไป ช่วงนี้ WFH
แรกๆ ก็ปฏิเสธได้ หลังๆมา ทั้งบริษัทต้นสังกัด บริษัทลูกค้า ออกแนวบังคับให้จองไปฉีดเข็มแรกทุกคน
กุว่าจะรอ Moderna แต่ได้เดือนตุลานุ้น กุคงไม่พ้นฉีดวัคซีนของรัฐวะ
หรือเป็นแนวทางของบริษัท หรือ โดนภาครัฐบีบมาว่ะ
ความต้องการสายไอทีจะลดลงไหมในอนาคต เท่าที่สังเกต บริษัทเดี๋ยวนี้ชอบจ้างพวกวิศวกรเคมี ไฟฟ้า เครื่องกล ฯลฯ แล้วเอาเข้าไปเรียนด้านไอทีเพิ่มทีหลังกันแล้ว แต่ในทางกลับกัน ไม่มีใครจ้างคนจบคอมไปเทรนเรื่องเทคนิคอลอื่นๆ ซะงั้น เพื่อนกูบ่นกันระงมว่าเข้าไปทำงานโรงงานก็ต้องไปเรียนเขียนโปรแกรม เรียน machine learning data sci เนื้องานใช้ algorithm design ยังกะเด็กจบใหม่สายไอที กูเลยงงๆ ว่าปกติไม่ใช่ว่าให้พวกนี้โยน requirement ให้ไอทีจัดการหรอกหรอ ทำไมต้องมานั่ง implement เอง
+ การมาของ no-code platform นี่น่ากลัวแหะ ทีมบิสเนสทำเองได้เลย อีกหน่อยคงไม่ต้องถึงมือโปรแกรมเมอร์แล้วล่ะ
เอ วศ.ไฟฟ้าเครื่องกล ปรกติมันก็เขียนโปรแกรมได้อยู่แล้วนะ มันมีโปรแกรมใช้กับ PLC อยู่. พวกนี้ภาษาระดับต่ำ ที่ code ยากกว่าภาษาระดับสูงรุ่นหลังๆ เยอะ อุปกรณ์พวกนี้หน่วยความจำ จำกัดจำเขี่ย เขียนมั่วไม่ได้ต้องเขียนเคลียร์ ram อีกต่างหาก
>>491 ไอเขียนโปรแกรมนี่เข้าใจได้ว่ามีทุกสาย แต่หลังๆ มานี่คือจบใหม่ทำงาน tech company เลย หรือแม้แต่บริษัทที่ core ไม่ใช่ tech ก็ดูใช้งานเยอะมากจนกูตกใจเหมือนกันแหะ
ชีวิตช่วงนี้กูเหมือนเป็นที่ปรึกษาด้านไอทีไปโดยปริยาย เพื่อนสายอื่นมาปรึกษาเรื่องเทคเยอะมาก ถือว่าเปิดโลกเหมือนกัน
ฟังเพื่อนโอดครวญว่า เพิ่งรู้เด็กคอมเขาทำอะไรกัน ก่อนหน้านี้คิดว่าเรียนง่าย รู้สึกภูมิใจแปลกๆ ตอนเลือกคณะนี้ยังมีแต่คนถามว่าจะจบไปจะทำอะไรได้อยู่เลย ตอนนี้รู้สึกฮ็อตฮิตสุดๆ เลยย
>>490 สงสัยว่าพวกนี้เค้าให้เรียนพื้นฐานงาน IT แล้วสุดท้ายต้องมาทำงานพวกนี้เองด้วยหรอ
หรือแค่ให้เรียนเพื่อเข้าใจพื้นฐานให้คุยกับคนสาย IT รู้เรื่องมากขึ้นเฉยๆ
ส่วนพวก No-Code Development Platform มันก็ support ได้แค่งานตาม template ที่มีมาให้อ่ะ
สุดท้ายอยากทำอะไร custom มากๆก็ต้องเขียนโปรแกรมเองอยู่ดี พอดีกูทำสาย enterprise ด้วยน่ะ เลยไม่คิดว่าพวกนี้จะกระทบมาก
>>490 ไม่ลดหรอก ยิ่งตอนนี้เป็นยุค digital disruption จะมีแต่คนต้องการ ไอที่เทรนๆกันมันเพราะคนสาย IT แม่งขาดจนไม่รู้จะหาจากไหน หรือไม่ก็แม่งต้องการลด cost ฝั่ง IT เลยหลอกให้มาทำเพิ่ม (เคสนี้มีอยู่จริง)
แต่ถึงยังไงกุว่าหลายๆคนที่เป็นสายตรงรวมถึงกุด้วยก็ไม่กลัวพวกข้ามสายมาแย่งงานหรอก ความรู้หลายอย่างมันยังห่างกันอีกเยอะ งานสาย IT ไม่ใช่แค่เขียนโค้ดได้ก็จะมาแทนกุได้ซักหน่อย (กุเก่ง)
พวกทีม Hackathon เค้ารวมทีมจากที่ไหนกันวะ กูสนใจอยากหาทีมไว้ลงแข่งสร้างเรซูเม่ให้ตัวเอง
wfh ต่อ vpn ของ บ. เค้าจะรู้ไหมว่าเราเข้าดูอะไรบ้าง แบบเข้า youtube ไรเงี้ย
มีใครทำงาน อกด ไหม จบปีหน้า อยากทำที่ อกด มากๆ อยากใช้ภาษา ชอบความหลากหลาย ดูไปได้ไกล มีไรแนะนำไหม
จบ 6 ปี มีงานให้กูมั้ยวะ
เอาจริงกุก็ไม่รู้ว่าที่ไหนแม่งดีบ้างเพราะเคยทำแค่อกด
แอบเผือกพวกมึงคุยกัน อกด นี่คนในอยากออกคนนอกอยากเข้าปะเนี่ย 555 บ.กูคนลาออกไปอกดกันเยอะมาก เพื่อนกูที่อยากเข้าหรือย้ายงานไปก็เยอะมากเช่นกัน
ไม่รู้จะถามมู้ไหนขอถามมู้นี้ละกัน ถ้าเริ่มจาก noc จะไปเป็น network en พอเป็นไปได้มั๊ยหรือว่าอนาคตสายนี้ความต้องการจะน้อยลง ไปเป็น dev ดีกว่า
เพื่อนโม่งคนไหนสมัคร Actkathon บ้าง?
ดูพรีเซ้นต์งานนักเรียนบอมน้อย รำคาญ ceo มันชิบหายเลยว่ะ พูดไปเรื่อย พูดเรื่อยเปื่อย
>>532 บอทน้อยๆ พิมพ์ผิด
คือเขา present project ของนักเรียนรุ่น 3 อยู่
กูก็จะว่าจะดูเผื่อถ้ามันดีจะได้ไปเรียนรุ่น 4 แต่ฟัง ceo พูดแม่งกูก็รำคาญซะละ แล้วดูโปรเจ็คทีมยังไม่ว้าวเท่าไหร่ แนวคิดบางทีมโอเค แต่ยังทำไม่เสร็จซะเยอะ เพราะมันทำจริงไม่ได้ ตันตรงจะหา data มาจากไหน
โจทย์ที่กูอยากรู้จริงๆคือ เทคนิคการ collecting data แบบต้นทุนถูกๆ แต่เหมือนเขาไม่ได้สอนตรงนี้เท่าไหร่ ทั้งๆที่การทำงานจริง ปัญหานี้มันใหญ่สุดในสาย data เลย
>>533 หลายๆกลุ่มก็ดูน่าสนใจนะ แต่กุเห็นด้วยว่า CEO แกชอบพูดเป็นต่อยหอย พูดไปเรื่อย แต่กุแปลกใจ ทำไมหลายกลุ่มสมาชิกแม่งโคตรเยอะเลยวะ
ส่วนเรื่องทำเสร็จไม่เสร็จกุไม่แน่ใจว่าเพราะมันเป็นแค่ pitching เปล่า เลยทำแค่ไอเดีย แต่เห็นบางกลุ่มมี demo อยู่นะ บวกกับเวลาทำโปรเจ็ค ไม่รู้ว่าเยอะแค่ไหน
แต่ตรงหาข้อมูลต้นทุนถูกนี่แล้วแต่เคสว่ะ ถ้าเอาง่ายสุดกุว่าพวก open data ทั้งหลายอะ ถ้าในองค์กรที่มี database ก็พยายามเอาจากใน database มาใช้นั่นแหล่ะ แต่ถ้า database มันไม่มี+ไม่มี open data อันนี้คงต้องคุยยาว เช่น ปรับแก้ database ให้รองรับในระยะยาว ทำ data เอง ไม่ก็จ้างเขาทำ
แต่กุเห็นด้วยเลยว่าการหาข้อมูลนี่แม่งเป็นปัญหาใหญ่ บริษัทแม่งอยากจะ digital transform ก็มีไอเดียจะใช้AIช่วยนู่นนั่นนี่แหล่ะ แต่ database แม่งยังกากๆ บางทีมีข้อมูลแต่เก็บข้อมูลเป็น excel เก็บแบบแผนกใครแผนกมัน ข้อมูลตรงที่อยากได้กันมันไม่มี ทีงี้ก็ต้องไปนั่งทำ data gov+ให้ data eng แปลงข้อมูลมาให้ วางแผน+ทำกันเป็นปี แต่ส่วนใหญ่นานเพราะต้องไปคุยกับคนนี่แหล่ะ เสียเวลาชิบ แต่เงินที่ได้กลับมาแม่งก็คุ้มแหล่ะ คือในมุมมองกุคิดว่าต้นทุนที่เสียไปกับเรื่องการหาข้อมูลคือเรื่องของเวลามากกว่า แล้วแม่งเป็นแนวงานคุยกับคนซะส่วนใหญ่ อันนี้จากประสบการณ์กุนะ
ฉะนั้นการมาดู pitching บอทน้อยก็ไม่น่าจะเจออะไรพวกนี้อยู่แล้ว
มีใครเคยทำงานแบงค์ม่วงบ้าง เห็นประกาศรับสมัครงานให้เงินเดือนเยอะจัง อยากรู้ของจริงให้ขนาดนั้นจริงรึเปล่า
>>533 หมะกูแฉให้ ในฐานะ DSE รุ่นนึง ถ้าเมิงคาดหวังที่จะเรียนเพื่อ know how technique collect data เมิงไปหาคอร์สอื่นดีกว่า เพราะ DSE เน้นหา open dataset มา analytic เลย หรือไม่ก็ให้ไปเก็บ data point ง่อยๆเอง 200 ตัวพอ และแน่นอนตอนเรียนก็มีprojectกลุ่มกะคนต่างวัย ต่างสาขา ซึ่งกูก็ชอบนะตรงนี้นะ แต่ปัญหาก็เหมือนกับ >>534 แหละ ไอเดียดีแต่ไม่มี data หา data ได้ แต่ไม่มีไอเดียพอที่จะวิเคราะห์
อนึ่ง สำหรับกู กูมาเรียนเพื่อหา connection เผื่อฟลุ๊กได้งาน จะได้ย้ายสายเลย สุดท้ายสอบใบเซอร์ สอบ trainee ใน datasci hub อะไรนั้น รู้สึกไม่ต่างจาก recruiter อะไรเลย แค่เน้น data sci data analytic โดยเฉพาะเฉยๆ ซึ่งถ้าหาจากข้างนอก มันก็หายากจริงๆแล้ว รับแต่ senior
อสอง CEO แมร่งเพ้อเจ้อจริงๆแหละ เห็นไปสัญญาอะไรกับ special guess อะไรด้วยเมื่อสองเดือนก่อน แต่ทุกวันนี้ยังไม่เห็นเริ่มอะไรเลย แกคงไม่ว่างจริงๆ 555
>>534 รุ่นนึงมีประมาณ 200-300คน แบ่งกลุ่มทำงาน 10 กลุ่ม ทำจริงๆมีไม่มีคน บางคนอาจมาแค่เรียนเฉยๆ
เรียน Data science / Data engineer ที่ไหนบ้างวะ ที่มีใบเซอร์ออกให้ + หาตำแหน่งสมัครงานให้ด้วย
>>545 ยังเลย แต่ตอนนี้กูลง MOOC ไว้อยู่ และจะลงอย่างอื่นๆเพิ่มอีกให้มี Skill หลายๆแบบหน่อยจะได้ One stop service ในตัวเองเลย เสร็จแล้วระหว่างทำงานเดิมอยู่ กูก็หางานใหม่เรื่อยๆ และระหว่างหางานใหม่ก็คงทำ Project ด้วยตัวเองกิ๊กๆก๊อกๆบ้างเผื่อไว้คุยตอนสัมภาษณ์งานใหม่ได้ เริ่มวุ่นวายแล้วมั้ยล่ะชีวิตกู
ทำงานมาได้ปีนิดๆอยากลาออกมาพักจังเลยว่ะเพื่อน ไม่รู้เป็นความคิดที่ดีไหมแต่กุเริ่มburnountหนักมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วละ....
อยากรู้คนที่ออกจาก อกด ส่วนใหญ่ไปไหนกันวะ ส่วนบ.กูก็ยังคงมีแต่คนอยากย้ายไปเหมือนเดิม 5555
สนใจงานที่แอพส่งข้อความสีเขียวว่ะ มีใครรู้เรื่องตัวเลขเรทจบใหม่บ้างไหม เคยได้ยินว่าเยอะ+สวัสดิการดี แต่ยังไม่เคยเห็นตัวเลขแน่นอน กูเคยไปสัมมาแล้วไม่ติด เผื่อว่าปีหน้าจะไปสมัครใหม่ 5555
เราจะรู้ได้ไงว่าโทรศัพท์เรามีมัลแวร์ หรืออะไรที่ตามดูเราได้ไหมอ่ะ คือคนที่ตามไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันนะ แต่รู้ทุกเรื่องได้ไงไม่รู้ มันมีแแพหรือมัลแวร์ที่แอบดูได้ป่ะ แล้วเช็คไง ไม่อยากคืนค่าโรงงานเพราะเสียดายไฟล์หลายอย่าง
>>560 ดูในอัตราการใช้แบตของมือถือว่ามีโปรแกรมไรที่ไม่ค่อยคุ้นใช้แบตหนักๆไหม
>>561 จริงๆ Data Sci กับ Data Eng ไม่ค่อยเหมือนกันนะ ต้องเลือกก่อน Eng ก็จะเขียนโค้ดนี่แหละ แต่เขียนโค้ดเพื่อจัดระเบียบ data ที่เข้ามาในระบบ เช่นเอาไป transform ต่อหรือเอาไปเก็บไว้ในระบบนี้ๆ ก็อาจต้องดูแล maintain ตัวระบบที่เอาไปเก็บด้วย แต่ถ้า Sci ก็เล่นกับข้อมูล หา insight ทำโมเดล prediction machine learning บลาๆ ชื่อสองงานอาจจะใกล้กันแต่งานคนละแบบเลย
Eng จะหางานง่ายกว่า ก็เป็นงานกรรมกรเหมือนโปรแกรมเมอร์ทั่วไป Sci นี่จากประสบการณ์ในการหางานของกู กูว่าค่อนข้างยากถ้าจะหางานที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน
แต่แม่งก็คนละแบบแหละ เลือกอันที่ชอบๆไป
บ่น ระบบยังไม่เสร็จดีเลย ข้อมูล ยังมี test เพียบ รู้ตัวอีกที sale บอกให้ลูกค้าใช้จริงเฉย อ้าาาก จะบ้าตาย ยังไม่ได้ทำ server production กับ test แยกกันเฟ้ย
ทำงาน consult ดีไหมวะเพื่อนโม่ง
Exxon ใช้คอมไรกันครับ
วงในเงินดีไหม
เบื่อเขียนโค้ดแล้ว ไปทำไรดีเพื่อนโม่ง
ทำไม php ถึงกากวะ?
มีโม่งคนไหนเคยทำ DGA Depa GDBi มั้ย น่าทำงานมั้ยวะ ไปดูเว็บแล้วงงๆว่ามันทำงานอะไรกัน
พอดีกุสนใจงาน data sci/eng เคยทำเอกชนมาปีนึง
กำลังมองหาลู่ทางหลังเรียนจบโทว่าจะไปอุทิศตนเพื่อชาติหรือเข้าสายทุนนิยมดี เอกชนแม่งเงินเยอะเหี้ยๆ
แต่กุก็อยากลองทำราชการวะ เห็นระบบ IT ไทยมันโง่แล้วหงุดหงิดอยากลงไปทำเอง
>>577 กูเคยติดทุนของกพสาย data อ่ะแต่ทิ้งมาทำเอกชน ไม่รู้อันเดียวกันป่าว มีเพื่อนทำอยู่ / เคยคุยกับคนที่ทำงานข้างใน แชร์เท่าที่รู้เพราะกูวงนอก
เท่าที่รู้ผ่านๆเหมือนช่วงนี้ราชการเขายังเน้น data eng กันอยู่เลย ไม่ค่อยได้จับ sci/ทำโมเดลอะไรเพราะหน่วยงานรัฐหลายที่ยังไม่พร้อมตั้งแต่ขั้นเตรียมเดต้า (แหงล่ะ...) เรื่องระบบงานราชการเพื่อนกูก็บ่นๆเหมือนกันว่าห่วยแตก นอกจากเรื่องระบบ ก็เรื่องเงินเดือนราชการที่แม่งน้อยมาก ได้ข่าวมาว่าสตาร์ทแค่หนึ่งหมื่นกับอีกหนึ่งพัน (ป.ตรี/น่าจะแล้วแต่ตำแหน่ง+วุฒิเห็นในเว็บมีตารางอยู่)
ยังไงก็ตาม กูวงนอกมากๆ ถ้ามีโม่งวงในผ่านมาอยากแก้ตรงไหนแก้ได้เลยนะ
มึง กูสงสัย
>>579 เอาใหม่ มือลั่น คือกูสนใจงานที่บริษัทเครื่องหมาย > สีม่วงๆ แต่ทำไมทั้งกูทั้งเพื่อนรอบตัวเหมือนเจอปัญหาสมัครงานเข้าไปแล้วบริษัทไม่ติดต่อกลับมา หรือติดต่อกลับมาช้ามากกันหมดเลยวะ คือบริษัทแคนดิเดตเยอะจนเลือกได้เลยหรอ
ทั้งกูทั้งเพื่อนกูก็โปรไฟล์ถือว่าค่อนข้างดีถึงดีมาก ส่วนตัวกูเคยสมัคร ก็รอเป็นปีถึงจะเรียกสัม กว่าจะติดต่อมากูก็ตกลงทำที่อื่นไปละ ตอนนี้กูคิดๆ ชั่งใจอยู่ว่าจะย้ายงานไปดีไหม เพราะงานที่ทำอยู่มันชิลมากเกินไปจนเบื่อ มีคนจาก > ติดต่อมาแหละ แต่ก็รู้สึกว่าต้องโดนแกงอีกแหงเลย
อ่อ ลืม ของกูที่ recruiter ติดต่อมาคือ ทำ assignment เสร็จ สองวันถัดไปนัดสัมภาษณ์เลย เร็วมาก
>>580 ที่กุเจอมานะ ถ้าสมัครเองบางทีมึงลงตำแหน่งนึงไว้ แต่ตอนนั้นยังไม่มีทีมไหนต้องการมึงก็รอไป แต่ถ้าผ่าน recruiter แม่งก็จะดีลให้เลยไง
>>581 กูไม่ได้ทำที่นี่นะ แต่เพื่อนทำอยู่เยอะ ดีไม่ดีแล้วแต่ทีมที่ได้ไปอยู่ว่ะ แต่ทีมดีๆก็ถือว่า rare นะ โดยเฉลี่ยเพื่อนกูทำประมาณ 6 เดือน - 1 ปีก็ออก เน้นมาอัพเงินเพื่อไปต่อมากกว่า
มีใครทำงานอยู่ ต่างประเทศบ้างวะ แนะนำแนวทางหน่อย ต้องมีสกิลประมาณไหน สิ้นหวังกับประเทศไทยแล้ว
ย้ายไปทำ low code ดีไหมวะ
>>586 กูไม่ใช่ 584 นะ แต่กูก็อยากรุ้แบบมันเหมือนกัน ความอยากย้ายมีมาเป็นพักๆ ก็เลยหาข้อมูลอยู่ซักพักแล้ว เช่น relocate.me หรือ turing.com แต่ข้อมูลที่เป็น "ประสบการณ์" ของคนที่ย้ายประเทศ มึงคิดว่าหาเอาจากกูเกิ้ลได้ง่ายๆ หรอวะ การที่มันมาถามในโม่งมันก็คือหนึ่งในการหาข้อมูลไง ถ้ามึงไม่มีประสบการณ์จะเล่าก็ไม่เห็นต้องด่าเลย(กุที่อยากรุ้บ้างเลยโดนไปด้วยละเนี่ย)
>>588 เพิ่มเติม ปกติในประกาศรับสมัครงานมันจะบอกสกิลที่ต้องการแบบกว้างๆ แต่กุก็ยังประหม่าอยู่ดี เพราะอย่างที่รู้กันว่าการรับคนนอกประเทศแม่งยุ่งยากกว่า บ.เขาคาดหวังขนาดไหนที่ในสกิลเดียวกันนี้ ว่าผู้สมัครจะต้องโดดเด่นแค่ไหนเมื่อเทียบกับคนในประเทศ บ.จึงจะยอมลำบากมากขึ้นเพื่อจ้างมัน หรือจริงๆ กูแค่ป๊อดไป เขาไม่ได้เปรียบเทียบกับคนในประเทศ หรือความแตกต่างระหว่างประเทศนี้ประเทศนั้น มีกำแพงภาษามั้ย อะไรเงี๊ยที่กูอยากรู้เหมือนกัน
หวัดดีโม่ง
https://youtu.be/li8-JuBvtqo เรียนรู้ซะบ้างพวกโม่ง
>>589 มีแค่ไม่กี่ทางหรอก ตปท. ที่รับ งานที่เกี่ยวกับการแปลภาษา อันนี้ต่อให้ไปทำ SG มึงก็ต้องเกี่ยวกับไทยอยู่ดี แต่ส่วนมากเป็นเอเจนซี่มีกำหนดเวลาจ้าง อยู่ไม่นานหรอก แถมเงินก็ไม่ได้มากมาก จะไปเก็บเงินก็พอได้ แต่เงินมันไม่ได้มากมายเทียบกับคนทั่วไปประเทศเค้า ซื้อบ้านไม่ไหวหรอก อ่อ ไอ้งานแปลภาษา การพัฒนาฝีมือเลิกคิด ลูทีนก็อปวาง ส่วนวิธีสมัครอันนี้รู้แต่ส่วนมากไปลากมาจาก ลิงค์อิน
อีกทางเรียนต่อแล้วหางานที่โน่นทำ แต่ละประเทศมันมีคุณสมบัติเบื้องต้นที่จะรับเป็นประชากร เรียนต่อแล้วทำงานได้เปรียบสุดแล้ว ถ้าอายุไม่ถึงเลข 3 ไอ้ทุน work and study ก็มีอยู่นิ ลองไปไล่ๆ สมัครดู
โอนย้ายสาขาไปทำงาน อันนี้บริษัทญี่ปุ่นบางที่ทำได้ คือ ขอไปทำบริษัทแม่ได้เลย แต่บอกเลยว่าถ้าไม่ได้มีเมียยุ่นแล้วจำเป็นต้องไปอยู่นั่นจริงๆ อย่าหาทำ โดนลากไปเป็นเซลที่เกาะแน่
ไปอย่างผู้ประกอบการ อันนี้คงไม่มีมาถามในโม่งหรอกมั้ง ไปถามบริษัทที่ปรึกษาด้านนี้ง่ายกว่า แบบกำปั้นทุบดินก็อสังหา แต่ประเทศพัฒนาทำเงินด้านอสังหายาก มึงต้องไปหาแถวปินส์โน่น
ไปอย่างกรรมกรไม่แนะนำ ถ้ามึงเขียนโปรแกรมในไทย ระดับเงินเดือนถือ เป็นชนชั้นกลางเงินก็มากกว่าอยู่แล้ว จะไปแบบนี้ทำเหี้ยอะไร
ส่วนคำถาม skill ประมาณไหน อันนี้ wtf มาก โดนกวนตีนกลับไม่แปลก ก็ใครจะไปตรัสรู้วะ เล่นถามแบบเคว้งคว้างมาก ก่อนจะถาม อย่างน้อยๆ บอกว่าทำอะไรสายไหนก่อนสิ
Game Web ERP Server ???
เงินเดือนเท่าไหร่กันครับพี่โม่งโปรแกรมเมอร์ในไทย
แสนสอง
สายโปรแกรมเมอกุแนะนำหาเอาใน LinkedIn ฟิลเตอร์ตามประเทศที่ชอบ แล้วอ่านดูเลยว่าเขาอยากได้คนมีอะไร ส่วนใหญ่พวกนี้อยากได้คนมี ปสก เป็นเด็กใหม่ก็ลำบากหน่อย
เจอที่ไหนพอไหวก็ submit ไปเลยเขาว่าดีเด๋วก็มีคนมาสัมเอง
ตอนสัมเมิงก็อย่าลืมถามเรื่องโปรเซสดีๆด้วยว่าน้ายไปไง เงินตัวเอง หรือ บ ออกให้
ดีไซเนอร์บ้านเรามันมีเงินเดือนตันนะ ไอ้บริษัทประเภทที่ว่างานไม่ได้แพงไปจ้างฟรีแลนต์เอาก็ได้มันมีเยอะ อีกอย่างเซลขายงานดีไซน์ราคาแพงยาก
>>580 คือกูเอง ของกูคือแนวๆ คนที่ทำอยู่ในนั้นหาคนเลยติดต่อมา โดนหลายรอบแล้ว แต่ส่งเรซูเม่ไปก็เงียบกริบ ... ส่งไป 3 เวอร์ชั่นแล้วคงไม่ถูกใจสักอันเลยมั้ง 5555
>>581 อิจฉาว่ะ ไม่รู้ว่าดีไหม แต่สำหรับกูเนื้องานเป็นสิ่งที่กูชอบและสนใจเลยอยากไปทำ ได้ยินเพื่อนที่ไปทำก็บอกงานท้าทายดี แต่ขึ้นชื่อเรื่องทำงานหนัก work-life balance พัง แต่กูเป็น workaholic เลยถูกใจใช่เลย 555
พวกมึงมีใครที่เคยเป็น team lead แล้วกลับมาเป็น dev มั่งป่ะ
ถ้าขอกลับมาเป็น dev / หางานใหม่เป็น dev จะโดนลดเงินเดือนมั้ย แล้วมันจะทำให้ profile เราดูแย่รึเปล่า
ตอนนี้ทีมกูคนออกเยอะมาก โดยเฉพาะคนที่เป็น lead แล้วกูก็ค่อนข้างอาวุโสในหมู่ dev กูเลยโดนผู้ใหญ่คะยั้นคะยอให้เป็น team lead แทน
แต่ด้วยนิสัยกูไม่ใช่คนเก่งเรื่องคนเท่าไหร่ อยากทำงานเน้นเรื่อง technical และกูไม่ได้พร้อมรับผิดชอบอะไรใหญ่โตขนาดนั้น
กลัวถ้าไปรับปากเค้าเพราะแค่จะลองดู แล้วถ้าไม่ชอบมันจะกลายเป็นมีปัญหาทีหลัง
>>605 ไม่กล้าบอกเยอะกลัวโม่งแตก 555 เอาเป็นว่าประมาณ academic แข็ง ภาษาอังกฤษดี บุคลิกภาพโอเค กิจกรรมนอกเวลาเรียนมี เปเป้อก็มี มีปสกทำงานที่หาคนเคยทำยาก+ได้ยินว่าบริษัทนี้ก็หาคนทำตำแหน่งนี้อยู่ โปรไฟล์ไม่ได้เพอร์เฟ็คหรอก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นแคนดิเดตที่แย่น่ะ ยัดทุกอย่างในเรซูเม่แล้วกะว่าไม่น่าพลาด แต่ก็พลาด อาจจะไม่มีดวงร่วมกันจริงๆ ละมั้ง 555
>>608 บริษัทใหญ่ที่ทำแต่ in house อาจจะมีแยกเป็นจริงจังบ้าง แต่ถ้าบริษัทเล็กๆ ตำแหน่ง มันก็แค่ตำแหน่งไว้แปะคุยกับลูกค้าแค่นั้นแหละ บางทีก็เอา sale แปะ lead ไม่ก็ลาก dev ที่กำลังปั่นงานแปะป้าย lead ไปคุยกับลูกค้าก็มี ส่วนเงินเดือนมันก็เท่าเดิมนะ
แต่มันมีอีกกรณี คือ ควบตำแหน่ง อันนี้นรกแตกของจริง กูเคยทำแบบนั้นมาแล้วเกือบตาย
ทำงาน 827 837 เคยได้ยินไหม ทำงาน 8 โมงเช้ายัน ตี 2 ตี 3 7 วัน / สัปดาห์ไม่หยุด เป็นปีๆ กลางวันประชุมกับลูกค้า แล้วกลับมาปั่นงานตอนกลางคืน ตอนลาออกไตเกือบพัง เพราะแทบจะกระดกกาแฟต่างน้ำ
>>611 พอดีของกูบริษัทใหญ่น่ะ งานของคนเป็น lead จะเป็นแนวสอนงาน ประเมินผลงานลูกน้อง ประชุมกับคนนอกทีมแทน
แต่ก็ยังต้องทำงาน dev ไปด้วยอยู่ดี งานคงไม่ถึงกับหนักมาก แต่คงเลี่ยงการต้องทำเกินเวลาพอสมควรไม่ได้
เงินเดือนคิดว่าได้เพิ่มซัก 5,000 - 10,000 มั้งนะ
ซึ่งด้วยความที่กูอายุงานเยอะแล้ว เลยรู้สึกว่าเงินเดือนที่เพิ่มเทียบกับความรับผิดชอบที่เพิ่มมาแล้วไม่ค่อยจะคุ้มเท่าไหร่
>>609 บริษัทที่สมัครนี่ใช่ scb 10x เปล่าวะ กุเดาว่าที่ hr โทรช้าเพราะแม่งโทรไปหาคนอื่นก่อน ที่กุเดางี้เพราะในไลน์กลุ่มของภาคกุ (วิศวะ คอม สีชมพู) แม่งมาโพสหาคนทุกเดือนเลย ใครสนใจก็ทักส่วนตัวไป เหมือนแบบเอาคนที่คนใน Refer กันก่อนอะ
แล้วอีกเรื่องนึง กุคิดว่าตำแหน่งงานสาย tech ของแก๊ง scb ทั้งหลายน่าจะชอบสีชมพูพอสมควร ที่เคยเห็น process ก็ประมาณ1-2เดือนนึงมั้งถ้าจำไม่ผิด (โทรคุยhr+ทำ online test+สัม)
มีโม่งหญิงเป็นโปรแกรมเมอร์บ้างป่ะ กูผู้หญิงแล้วในทีมแม่งมีแต่ผู้ชายหมดเลย อยากมีเพื่อนสาวไว้เม้ามอยบ้างไรบ้าง ; ;
>>614 ม่ายช่าย 10x แต่แอบสน เสียใจจังตอนเข้ามหาลัยเลือกสีชมพูได้แต่ไม่เลือก จบมาหางานง่าย+คอนเนคชั่นแน่นกว่ากันเยอะ น้องๆ คนไหนผ่านมาส่องเลือกได้ไปสีชมพูเลยจ้ะ ส่วนกูก็คงต้องพิสูจน์ตัวเอง สร้างโปรไฟล์ต่อไป ยาวยาววว เหนื่อยจัง ~_~
>>615 กูเอง โปรแกรมเมอร์หญิงกูว่าเยอะมากนะ อาจจะแล้วแต่สาย แล้วแต่บริษัท
ของกูก็วิดวะคอมชมพู ไม่เห็นมีใครมาโพสในกรุ๊ปเลยวะ สงสัยแก่แล้ว
ว่าแต่ 10X มันเทพขนาดไหนวะ ได้ยินบ่อยมาก
กูเพิ่งนึกออกลูกศรม่วงที่พวกมึงคุยกันคือบริษัทอะไร กูไม่เคยสัมผัสโดยตรง แต่ฟังจากคนรู้จักที่ออกมาจากตรงนั้นคือแม่งระยำเกิน
ก็ไม่ได้อยากขัดศรัทธานะ แต่กูแค่อยากเตือนคนที่อยากไปเพราะคิดว่ามันเหมาะกับคนชอบงานหนัก ว่ามันไม่น่าจะดี
นอกงานงานหนักแล้วแล้วมันมีวีรกรรมอะไรอื่นๆอีกเยอะมาก
- เอาคนจบ ม. ดังๆ เกรดดีๆ แต่ไม่ใช่สาย IT มาเป็นหัวหน้างานเพื่อเอา profile ดีๆไปอ้างขอตังกับลูกค้าทั้งที่คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องงานอะไรเลย
- ระบบเด็กเส้น พวกข้างบนนี่จะได้ขึ้นเงินได้โปรโมทบ่อย ทั้งที่จริงๆไม่ได้ทำเชี่ยไรเลยนอกจากสั่งอย่างเดียวจริงๆ
- ด้วยสภาพและบรรยากาศการทำงาน มึงจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเท่าไหร่ ทำงานแบบลวกๆสักแต่ว่าให้รันได้ไปเรื่อยๆ
- สวัสดิการจะเบิกทียึกยักมาก อ้างว่าเอกสารไม่ถูกมั่ง โยกโย้ไปเรื่อง สุดท้ายก็ไม่ให้เบิกอย่างที่อ้าง
- เงินเดือนเดือนสุดท้ายไม่ยอมจ่ายหรือจ่ายไม่ครบนี่แหละ หาว่าออกก่อนสัญญาเลยปรับเงินพนักงาน ต้องไปฟ้องศาลแรงงานถึงได้คืน
และอื่นๆอีกเยอะ นึกไม่ออกละ
ถามหน่อยว่าแล้ว ม. สีน้ำเงิน อินเตอร์ จบมาหางานง่าย, คอนเนคชั่น นี่เทียบกับ ม. ชมพูแล้วด้อยกว่ากันเยอะมั้ย
>>619 เอ่อ ในความเป็นจริง มึงจบ ม. อะไรก็ตาม เค้าไม่มาสนใจหรอก ที่สนใจหลักๆ ก็แค่
- มึงคุยกับเค้ารู้เรื่องหรือเปล่า บาง office ต้องทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ
- มึงทำงานได้หรือเปล่า คือ เค้าจ่ายเงินจ้างมาทำงาน ไม่ได้จ้างมาเรียน อย่างน้อยๆ มึงต้องเขียนเป็น ในระดับ อธิบายวิธีเชื่อมต่อ วิธีจัดเก็บ แล้วแจกงาน มึงต้องทำงานได้เลย
ซึ่งสิ่งที่เค้าสนใจและให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องจบจาก ม. ไหน คือ portfolio สมมุติว่า ถ้าเค้ารับมึงมาเขียน app มือถือ กรณีนี้ถ้ามึงเคยวางขาย app ใน store มาก่อน เค้าจะให้ภาษีมึงดีกว่า ก็แค่นั้นเอง
ก็ปฏิเสธไม่ได้แหละว่า ม มีผล
อยู่ที่ hr ล้วนๆ
บ กุเคยรับหมดไม่เลือก
พอเปลี่ยน hr ดันมีเลือกสีเฉย
คนรับเข้าทำงานไม่ใช่ hr นิ hr แค่หายรายชื่อมา คนรับจริงๆ คือหัวหน้าทีม
ถ้าเลือกสีแล้วหาคนไม่ได้ hr ก็ซวยตอนประเมิน kpi เอง
สาย tech เขาชอบดู portfolio ก็จริง แต่ถามว่า มอ มีผลไหม มีแน่ๆ เรื่องนี้มั่นใจพอสมควร
อารมณ์เหมือนเครื่องการันตีคุณภาพอะ เกรดกากๆสีชมพู เบสิคต่างๆยังแน่น หัวไวพอสมควรเทียบกับหลายๆที่ เรื่องพวกนี้จี้ตอนสัมก็พอรู้ล่ะ
แต่อันนี้หมายถึงพวก fresh grad นะ ถ้ามีประสบการณ์การทำงานก็อีกเรื่องนึง
ประสบการณ์ไม่มีก็หางานยากนะชมพู
เออ กูเคยทำสีเขียว แม่งการเมืองเยอะจัดจนมีโปรเจ็คล่มทุกปี คนเก่งๆเลยย้ายไปสีม่วงกันเยอะ
>>618 เป็นบริษัทที่ชื่อเสียงกับชื่อเสียงเยอะพอๆ กันจริงๆ ขอบคุณมากที่มาแชร์ บริษัทที่กูทำอยู่ก็โอเคมาก กูอาจจะแค่หน้ามืดตามัว หลงในสิ่งที่ตัวเองไม่มี TT
หันมองม.ชมพู แล้วหันกลับมาม. ที่กูจบมา ยังกะคนละโลก คนเก่งๆ ก็พอมี แต่ส่วนใหญ่มีแต่เหมือนมาเรียนเล่นๆ เพราะที่บ้านมีตังอยู่แล้ว หาคนทะเยอทะยานยากมาก เอาแค่จะหาข้อมูลว่าบริษัทไหนน่าร่วมงานด้วยนี่ว่ายากแล้ว หารุ่นพี่หรือเพื่อนที่ทำงานบริษัทดังๆ นี่คือนับคนได้เลย ตอนที่ได้ยินว่าม.อื่นมีแบบจับกลุ่มติวสอบเข้าทำงานบลาๆ ม.กูนี่ยังไม่มีคนเริ่มหางานเลย เป็นเศร้า ดูแค่ม.ที่จบก็บอกแนวโน้มได้ว่าจะเป็นคนประมาณไหน อันนี้กูเห็นด้วยมาก เพราะเจอกับตัว
จะซื้อโต๊ะปรับระดับมา มีแบรนด์ไหนแนะนำบ้าง
ปาฎิหาริย์มาก รีพลายกูหาย
เกลียดวงในว่ะ
ช่วงก่อนหน้านี้คนทีมกูลาออกกันไปเกือบหมด แล้วก็มีจะรับ dev team lead เข้ามาใหม่คนนึง
ตอนหัวหน้าแผนกบอกชื่อ ชื่อเค้าเล่นซ้ำกับพี่ในทีมที่กูเคยทำงานในบริษัทเก่าเมื่อนานมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร
วันนี้เห็นชื่อจริงที่มัน register เข้ามาในระบบก่อนเค้าจะเข้ามาทำงาน ปรากฏว่าแม่งเป็นพี่คนนั้นจริงๆ
ซึ่งคนเค้าบอกกันว่าวงการนี้มันแคบนี่ กูทำงานสายนี้มาเกือบๆ 10 ปี เพิ่งเจอคนรู้จักเวียนมาเจอกันเป็นครั้งแรก
แต่ปัญหาคือกูว่าเค้าไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ว่ะ เป็นคนขี้ลืมมาก ทำงานมาตกๆหล่นๆตลอด คุยก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ทักษะด้านคนก็ไม่ดี (ซึ่งกูเองก็ไม่ได้ดีหรอก)
รวมๆคือไม่เหมาะกับงานเป็น lead เลย แต่กูก็ไม่ได้เจอเค้ามา 5 ปีแล้วนะ ไม่รู้มันแฟร์มั้ยที่จะเอาอดีตมาตัดสิน
แต่ด้วยความที่เค้าก็อายุไม่ได้น้อยแล้ว (น่าจะเกิน 45) ส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อว่าเค้าจะเปลี่ยนไปได้มากเท่าไหร่
ตอนนี้แค่นึกถึงอนาคตตอนต้องทำงานกับเค้าก็เครียดแล้วว่ะ ไม่พ้นกูต้องแบกงานเองแล้วต้องนั่งเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งวันแหงๆ OTL
ไม่รู้ว่าใครเป็นเหมือนกูหรือเปล่านะ แบบทำงานถ้าบอกว่านัดประชุมตอน 10 โมง ช่วง 8-9 โมงจะเขียนโปรแกรมไม่ได้เลยจนกว่าจะประชุมเสร็จ
หรือถ้าบอกว่าเดี๋ยวให้ stand by support ช่วงบ่ายแล้วทำงานรอไปด้วย อันนี้สำหรับกูคือ ช่วงบ่ายงานไม่กระเตื้องแล้วหวาดระแวงตลอด อีกประเภททำงานอยู่ดีๆ โทรมาห้องรวม teams หรือ zoom อะไรแล้วพอเข้าไปแล้วบอกไม่เกี่ยวออกไปได้เลย อันนี้สมาธิแตก ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าสติจะฟื้นกลับมาทำงานได้ต่อ
ปกติพวกมึงเขียน return กับแบบไหนวะ สมมติแบบนี้
ResponseModel response = new RepsonseModel();
if(model == null){
status = 501;
success = false;
message = "model is null";
return repsonse;
}
}
if(GetResultById(model.id)){
status = 501;
success = false;
message = "id not found";
return repsonse;
}
}
หรือ
try{
ResponseModel response = new RepsonseModel();
if(model == null){
throw new Exception("model is null");
}
if(GetResultById(model.id) == null){
throw new Exception("id not found");
}
}
catch(Exception ex){
response.status = 501;
response.success = false;
message = ex.message;
return response;
}
หรือแล้วแต่ระบบเราว่าไม่ควรโยนเข้า catch ทุกเคส
แต่เคยอ่านๆมา try..catch ใช้เยอะๆ ก็ช้าเหมือนกัน
>>647 กูว่าถึง try catch จะช้ากว่าการใช้ if else แต่ความต่างมันในการใช้งานจริงมันไม่ได้มากขนาดนั้น
ถ้าใช้แล้วมึงรู้สึกว่ามันทำให้โค้ดเข้าใจง่ายกว่าก็ใช้ๆไปเถอะ แถมเอาไว้ดู stacktrace ทำให้แก้ปัญหาได้ง่ายขึ้นด้วย
สำหรับกูการใช้ try catch เพื่อดักจับ exception ที่ throw มาจากใน method เดียวกันมันไม่ผิดนะ แค่รู้สึกไม่ค่อยจำเป็น
ถ้าอยากใช้ try catch ก็รวบส่วน logic ไปอีก method เลยดีกว่า แล้วใน try ก็ให้มีแค่ไป call อย่างเดียวพอ
จากโค้ดที่ให้มาเดาว่าที่มึงถามนี่คือพวกปลายทางตอนปั้น response ของ service
จะเสริมว่าในการทำงานจริง ถึงจะดูผิดหลักการจากที่เรียนในห้องเรียนไปบ้าง
แต่กูคิดว่าการสร้าง Exception กลางๆขึ้นมาซัก class แล้วเอาข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการปั้น error response เช่น code, message ยัดในนั้นให้หมด
แล้วก็ใช้สำหรับ exception ที่เราตั้งใจดักทุกอย่างไปเลยมันง่ายกว่ามาก
โค้ดส่วนที่เอา exception ไปแปลงเป็น error response จะได้เขียนทีเดียวรียูสได้ทุกที่ด้วย
ภาษาอื่นๆนี่กูไม่แน่ใจ ถ้าเป็น Java Spring นี่แนะนำว่าลองไปดูของที่ framework มันมีให้ดู
มันมีตัวช่วยสามารถเอาโค้ดส่วนแปลง exception เป็น error response แยกไปไว้อีกที่หรือเขียนทีเดียวใช้กับหลายที่ด้วยการ config ได้
https://www.baeldung.com/exception-handling-for-rest-with-spring
java? ถ้าไม่มั่นใจว่า test ครบทุกกระบวนการจะใช้ try catch ก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่ error โดนถีบหลุดมากลางทาง
ว่าแต่ เขียนงงนะ คือ if เงื่อนไขรวมกันแล้วไป switch case code error หรือ regex code error เร็วกว่าเยอะ ทั้งความเร็ว ทั้งเวลาแก้
มันต่างกันแค่ message แค่น้ันเองนิ ฝึกเขียนให้เป็นระเบียบให้ติดเป็นนิสัยไว้ดีกว่า ถ้าเขียน code เปลืองโดยใช้เหตุโปแกรมใหญ่ขึ้นจะอ่าน code ตัวเองลำบากเอา
[แจ้งทราบ]
เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมทีม We Love Bug Biz จำนวน 2 คน โดย
แยกเป็น
Software Tester 1 คน
Programmer 1 คน
-----------
มาทำอะไร?
-----------
1. ซ่อม Automated Tests ทั้ง Functional Tests และ Nonfunctional Tests
2. ซ่อม Automation Works
3. สร้าง Automated Tests ทั้ง Functional Tests และ Nonfunctional Tests
4. สร้าง Automation Works
5. ส่งมอบประสบการณ์ผ่านเวิร์คชอปต่าง ๆ
---------------
เงินเดือนเท่าไร?
---------------
ถ้าเรื่องนี้เป็น เรื่องสำคัญลำดับหนึ่งจะตัดสินใจมาร่วมงาน
ก็ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ครับ
ถ้าไม่ใช่ อ่านต่อด้านล่าง
----------------------------------------
ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ที่มีติดตัวมา
----------------------------------------
น่าจะใช้ไม่ได้กับโจทย์ที่จะเจอ คือ ซ่อม และสร้าง
ดังนั้น
3 เดือน จะถูกฝึก ฝึก และฝึก
------------
ถ้ารับได้กับ
------------
1. อ่านหนังสือ
2. ฝึก ฝึก และฝึก
3. คิด วิเคราะห์ และออกแบบ
4. บอกว่ารู้ และไม่รู้อะไร
5. ไม่กลัวงานยาก
6. จะถูกครอบงำให้ลด ละ เลิก กับการคิดว่าตัวเองไม่เก่ง
7. ทำงานภายใต้สภาวะความกดดัน
8. ต้องบริหารเวลาของตัวเองได้
ส่ง Email มาหาผมที่ prathan@welovebug.biz
เพื่อนัด วัน และเวลา ในการพูดคุยกัน
เห็นชาว Go บ่นการเขียน Go แบบ Java-esque แล้ว จับมือ
ผมนี่ตั้งแต่เขียน JS หลายปีที่แล้ว ก็ไปเถียงกับคนอื่นว่าอย่าพยายามทำ JS เป็น Java-esque, DotNet-esque เลยมันไม่เวิร์คหรอก แล้วก็โดนด่ากลับมาว่าไม่เข้าใจ OOP ไม่เข้าใจ Good software engineering practice มันต้องแบ่งแบบนี้
จนตอนนี้ทำคอร์สสอน OOP ออกไปพูดเรื่อง SOLID กำลังจะหาเวลาสอนพวก MVC, Clean Architecture แล้ว พวกแพทเทิร์นที่มันใช้กันในโลกจาวากับดอทเนทที่เขาบอกว่าเราไม่รู้จักไม่เข้าใจเลยต่อต้านอ่ะ ไม่รู้จักจนจะสอนได้แล้วเนี่ย
ตั้งใจจะสอนโดยที่เข้าใจว่ามันมีไว้ทำไมแล้วเมื่อไหร่ไม่ต้องใช้ไง ไม่ได้สอนแบบเห้ยนี่มันคือสิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่ทุกคนต้องใช้ถึงจะเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ดี
ผมเป็นคนขายคอร์ส OOP ที่กล้าพูดว่าโดยส่วนตัวแบบส่วนตัวจริงๆ แล้วผมเบื่อ OOP Pattern, Practice หลายอย่างมากเลย แล้วอยากเขียนโปรแกรมที่ Main paradigm เป็น Functional มากกว่าเยอะ
แต่สุดท้าย OOP มันมีคุณค่าตรงที่มันเป็น Collaboration scheme & structure ไง ใช้เพื่อทำงานกับเพื่อนได้ ดังนั้นมันมีประโยชน์มากๆ ที่จะรู้จะเข้าใจและจะสอน ซึ่งนั่นอ่ะคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในโลก Software engineering ทำงานเป็นทีมทำยังไง
เพื่อน ๆ เราเริ่มศึกษา web 3 กันดีป่ะ
ไอ้ future skill สอนเขียนโปรแกรมนี่ดีรึเปล่าวะ
เห็นโฆษณาขึ้นบนเฟสบุ้ครัวๆ จนน่ารำคาญ
udemy นี่กูดูกี่ทีก็หลับ สงสัยไม่ใช่ทาง
พวกมึงเคยเจอแบบนี้ปะวะ
ทำโค้ดให้อ่านง่าย แยกเป็นสัดส่วน พยายามทำให้เข้า code standard แล้วก็ duplicate น้อยๆ เขียนเทสแบบเข้าใจง่าย ไม่ใช้ท่าพิศดารที่ชาวบ้านเขาไม่ทำกัน
แต่พอส่ง source code ให้ลูกค้า เสือกโดนฝ่าย it ตรวจรับ แล้วบอกว่า ผมรีวิวโค้ดละ code ง่ายๆแบบนี้ทำไมเก็บแพง แล้วใช้เวลานาน
คือกููต้องเขียนให้มันซับซ้อนๆ อ่านไม่เข้าใจ กูเข้าใจคนเดียวงี้หรอวะ ถึงเรียกว่าเทพ
Sigma male ใช้ Lisp
Chad ใช้ Brainfuck, Whitespace
Lbgtq ใช้อะไร
แนะนำหน่อยพี่โม่ง เด็กจบใหม่ทำ AI/ML/DS เป็นควรเรียก salary เท่าไหรหรอ
>>677 ขึ้นกับที่ทำงาน แล้วพวกบริษัทที่ใช้พวกนี้ทำงานจริงๆ เด็กใหม่ก็ไม่ค่อยสนเท่าไหร่หรอก เพราะถ้าแค่เขียนไปดูตามยูเดมี่ซัก 10-20 ชม. ก็ทำได้แล้ว ปัญหาคือประยุกต์ใช้ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ซะ หาชิ้นส่วนมาต่อให้เหมาะกับการทำงานซะส่วนใหญ่
แล้วอีกอย่าง ML บ้านเราส่วนมากจะเอาไปใช้วิเคราะห์การใช้งานของลูกค้าซะมากกว่า ซึ่งไอ้พวกนี้จริงๆ เอาข้อมูลโยนใส่ google , fb api เดี๋ยวก็ได้รายงานมา ใช้ง่ายและดีกว่าเขียนเองด้วย
ขอถามเพื่อน ๆ โม่งหน่อย ทางนี้เป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย แต่เหมือนแบบมีความรู้สึกว่ากุอยากพัฒนาทักษะตัวเองว่ะ ซึ่งก็ว่าจะมาทางโปรแกรมมิ่ง เพื่อนโม่งช่วยชี้ช่องหน่อยได้ไหมว่าไปเริ่มยังไง (Preferably แบบที่กุนั่งอ่าน ทำตามบทเรียนทางเน็ตได้ฟรี ๆ ภาษาอังกฤษได้) ภาษาอะไรดี? กุรู้สึกว่าโลกแม่งกว้างมากขนาดจะเริ่มกุยังเริ่มไม่ถูก
>>681 แค่ความรู้สึกส่วนตัวนะว่าการเขียนโปรแกรมมันเป็นเรื่องเฉพาะทางมาก ไม่ใช่อะไรแนวๆทักษะที่ควรมีในชีวิตประจำวันทั่วๆไปเท่าไหร่
ถ้าสนใจลองเริ่มจากอะไรที่ไม่ใช่การเขียนโปรแกรมโดยตรงอย่าง html ก่อนดีมั้ยว่าลองน้ำจิ้มแนวนี้แล้วรู้สึกชอบมั้ย ถ้าชอบแล้วอยากจริงจังค่อยต่อยอด
บริษัทที่กูสมัครเขารับงานนอกแล้วรับงานเกี่ยวพวกยิงปลาสล็อต กูควรเข้าไปทำมั้ยวะ
งานที่ทำตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวเองและไม่ค่อยชาเลนจ์ อยากย้ายงาน แต่ไม่รู้ไปไหนดี เพื่อนโม่ง มีที่ไหนแนะนำปะ กูจบเกือบใหม่ เป็นเป็ด ทำอะไรก็ได้แค่ไม่เก่งสักอย่าง และยังหาตัวเองไม่เจอ TT
ตอนนี้แม่งเบื่องานสัสๆ รู้สึกโคตรหมดไฟ งานแม่งมีเรื่องเอกสารกับประชุมเยอะชิบหาย
ไม่ได้รู้สึกว่าเบื่อการเขียนโปรแกรมนะ มีโปรเจคที่เองเล่นๆแล้วยังอยากทำอันนั้นต่ออยู่ แต่มันดันไม่ทำเงินนี่แหละ 555
พวกมึงเคยเป็น contract outsource แล้วไปทำ site ลูกค้า แล้วเค้าสนใจ convert เป็นประจำป่าววะ
อันนี้เกี่ยวกับบริษัท finance พวกบัตร ก็มีชื่ออยู่
แล้วกุเปน outsource ตอนนี้ก็ได้เยอะอยุ่ (สวัสดิการก็ตาม outsource อะนะ)
ถ้าเค้า convert to in house สวัสดิการดีนะ + โบนัสก็โอเค(เท่าที่ฟังพี่ๆ in house)
หัวหน้ากุ(in house) ให้โทรคุยกับ hr แล้วเหมือน hr ดูกดๆ ฐานเงินเดือนจัง ตอนแรกที่กุกะคือ เงินเท่าเดิม หรือ ลดกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ hr พูดประมาณว่า น่าจะต้องลดลงเยอะอยุ่นะ กุเริ่มลังเลนะ นี่พิจารณาอยุ่ พวกมึงว่าไงวะ เคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหม
ซึ่งหัวหน้ากุก็ไม่รุ้เรทเงินเดือนเหมือนกัน เค้าประสานงานให้
>>691 กูเพิ่ง convert เป็นประจำเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องเงินเดือนกูได้เพิ่มนะ แต่เพิ่มไม่ได้เยอะมาก ไม่ถึง 10%
คือของแบบนี้มันขึ้นกับหลายปัจจัยมาก ทั้งหัวหน้ามึงที่ไซต์ลูกค้าเค้าช่วยมั้ย มึงมีอำนาจต่อรองเยอะมั้ย
ของกูโชคดีที่หัวหน้าเค้าตั้งนโยบานทีมเลยว่าคนที่จะ convert ขั้นต่ำต้องไม่โดนลดเงินเดือน
แล้วอำนาจต่อรองกูเยอะ เพราะในทีมคนลาออกเยอะมาก เค้าก็พยายามซื้อใจให้กูเลือกอยู่เต็มที่ ไม่งั้นคนหายหมด
ถ้ามึงบอกตัวเลขแล้วเค้ากด ก็ต้องลองคิดบวกลบดูว่าเลขที่เค้าให้เทียบกับพวกสวัสดิการแล้วคุ้มมั้ย
ส่วนโบนัสส่วนตัวกูไม่เอาเป็นปัจจัยหลัก เพราะของแบบนี้บริษัทชอบหาข้ออ้างจ่ายน้อยอยู่แล้ว ยิ่งสภาพ ศก. แบบนี้ได้เจอข้ออ้างสารพัด
แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจแล้วว่าคิดถูกมั้ยวะที่มาเป็นประจำ เหมือนไม่คุ้มยังไงไม่รู้ กูย้ายปลายปีเลยไม่ได้โบนัสปีนี้
ไหนจะเจองานเอกสารประเมินพนักงาน เทรนนิ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานเป็นกอง ทั้งที่งานก็ยุ่งจะตายห่า
ต้องมานั่งแงะโค้ดเก่าๆของคนที่ออกไปแล้ว แล้วไม่มีคนให้ถาม แบบของเก่าๆที่เขียนแม่งก็อ่านแล้วมีจุดที่แบบอะไรวะเยอะมาก
วันนี้ทำงานส่วนที่เกี่ยวกับ datetime แล้วปวดหัวกับเรื่อง time zone ชิบหาย
จะดีกว่านี้มั้ยวะถ้าไม่ต้องมีระบบ time zone ไม่ต้องมีพวก daylight saving ห่าเหวอะไรพวกนี้ ทั้งโลกอิงเวลาเดียวกันหมด
แต่เวลาที่คนจะทำอะไรต่างๆก็ยังอิงกับฟ้าสว่าง ฟ้ามืด ในแต่ละท้องที่เหมือนเดิม
อย่างประเทศไทย time zone +7 ก็ เคารพธงชาติเช้าเวลา 15.00 พักเที่ยง 19.00 เคารพธงชาติเย็นเวลา 01.00 วันถัดไป
ไปก่อนนะ หมอเรียกละ
มีใครเคยทำ appmxn ป่ะพี่โม่ง รีวิวหน่อย
>>691 กุเอง รุ้เรทมาละ หายไป 25% จากเงินเดือน outsource ตอนนี้เลย บร๊ะเจ้า ตอนคุยกับ hr เค้าแจ้งว่ามีโบนัสเฉลี่ย* ประมาณ 3 เดือนขึ้น กุลองมาคำนวณดูแล้ว เงินเดือนที่เค้า fix มาให้ คือต้องได้โบนัส 4 เดือนอ่ะ ถึงจะเท่าเงินเดือน outsource ตอนนี้
แต่สวัสดิการอื่นๆ ก็โอเคนะ
แต่คิดว่าจะบายก่อนว่ะ บริษัทนี้ เมื่อก่อนก็เคยรุ้เรทเงินเดือนมาบ้าง พี่ที่ทำงานเก่าเล่าว่า รุ่นพี่เคยไปสมัคร ผ่านทุกอย่าง พอเรียกเงิน เค้าก็ fix ให้เท่านั้น คือ 1 ปีผ่านไป เงินเดือนที่รุ่นพี่ในที่ทำงานเก่าเคยบอกกุ ก็ยังเท่ากับที่เค้าเสนอให้กุปัจจุบันอยู่เลย เหมือน Fix cost ไว้แล้ว
สงสัยโครงสร้างองค์กรเค้า fix rate แบบนั้น บวกกับเราก็ไม่ได้เทพมากมาย
แต่ก่อนทำงานแต่พวก API หลังบ้านจ๋าๆ รู้สึกแม่งเอาแต่เขียนโค้ดอย่างเดียว ไม่รู้เรื่องการวางระบบหรืออะไรพวกนี้เลย
พอได้มาทำงานพวกแนวๆ Open API จริงๆแล้วอยากกลับไปทำหลังบ้านจ๋าๆชิบหาย วันๆแม่งมีแต่งานนั่ง config gateway กับรับ issue จากคนใช้งาน
ใครเขียน Java โดนสั่งแก้เรื่อง log4j ด่วนกันบ้างมั้ย
เรื่องมาตอนไหนไม่มา แม่งเสือกมาตอนใกล้ปีใหม่ เลยรอบ deploy ไปแล้วอีก
ได้เงินเดือนเพิ่ม 5% ตอนนี้เงินเดือนกูเกิน 120,000 แล้ว
log4j แม่งเจอช่องโหว่ใหม่อีกละ แล้วทำ spring boot แยกหลายๆตัวต้องมานั่งแก้ version ทีละโปรเจค deploy ทีละโปรเจคอีก สัส
https://thematter.co/brief/163257/163257
อ่านข่าวแล้วสงสัยคือเอาเซลสมองมาเพาะเลี้ยงแล้วใช้กระบวนการอะไรทำให้เซลสิ่งมีชีวิตทำหน้าที่เหมือน CPU วะ
>>704 ประเด็นคือมันไม่ใช่สมองทั้งก้อนอ่ะ(มีแค่แสนกว่าเซล) เหมือนเอาแค่เซลสมองส่วนหนึ่งมาทำ CPU แต่กูงงว่า CPU มันประมวลผลแบบฐานสอง แล้วนักวิทย์ใช้วิธีไหนทำให้เซลสมองทดลองประมวลผลได้ ซึ่งการประมวลผลแบบชีวภาพ มันคือการสื่อสารระหว่างเซลประสาท แต่การประผลแบบกลไกมันคืออ่านค่า 1,0
อ่านของคนอื่นเยอะแล้ว เขียนของตัวเองบ้าง ปี 2021
ด้านงาน
เคยนิยามไว้ว่าเราโตเป็นผู้ใหญ่ต่อเมื่อให้ความสำคัญกับเป้าหมายมากกว่าเรียนรู้ ตามนิยามนี้ ปีนี้จะเป็นปีแรกที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ทำงานในบริษัทใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิต Pace เปลี่ยนไปจากชีวิตสมัยก่อนมากจนรู้สึกประหลาด บางครั้งก็ตื่นตระหนกด้วยซ้ำว่ามันไปเร็วแบบเดิมไม่ได้ นี่ทำอะไรผิดอยู่หรือเปล่า นี่ขนาด ThoughtWorks นี่ค่อนข้างคล่องตัวแล้วนะถ้าเทียบกับบริษัทใหญ่อื่นๆ จนรู้เลยว่าตัวเองทำงานกับบริษัทที่คล่องตัวน้อยๆ Hierarchy เข้มข้นถือยศถืออย่างมีไซโลเยอะๆ นี่อยู่ไม่ไหวชัวร์ ตอนนี้กำลังปรับตัวทำความเข้าใจกับ Pace แบบนี้อยู่
งานราบรื่นดีตาม Pace ของมัน Project แรกที่ทำลูกค้าฟีดแบ็คว่า I think you are already perfect. ซึ่งน่าดีใจแต่เราเองก็ต้องหาจุดที่จะพัฒนาต่อไปเอง
เริ่มมองออกว่า Tech lead ถ้าตัวงานคือทำให้คนทำงานดีขึ้น เป็น Multiplier force เนี่ย มันมีสามธีมหลักที่ต้องดูแลคือ Collaboration, Morale กับ Competency ซึ่งแต่ละทีมที่ไปดูจะมีจุดที่น่าเติมที่สุดคนละแบบกันหมด และไม่ต้องเติม Competency ถ้า Collaboration, Morale พังอยู่ (ซึ่งอันนี้เมื่อก่อนชอบเติมผิด)
งานราบรื่นดี แต่ต้องปรับตัวกับความคาดหวังที่มีต่อตัวเองเยอะ
ครอบครัว
ดี ทะเลาะกันใหญ่ครั้งนึงแต่ใหญ่มาก แต่พอเข้าใจกันแล้วก็ราบรื่น ปีหน้าก็มีภารกิจของครอบครัวใหญ่รออยู่ มีเรื่องส่วนตัวเยอะที่ไม่อยากเขียนลงรายละเอียดมาก ขอบคุณที่ร่วมผ่านกันมาอีกปีนึง
เติบโตอะไรบ้าง
- ค่อยๆ รียนรู้ว่าเราพักผ่อนยังไง
- เห็นมากขึ้นว่าในชีวิต อะไรสำคัญกว่าอะไร ลำดับยังไง อย่างซื่อสัตย์กับตัวเองมากขึ้นด้วย
- เรียนรู้ที่จะรอบ้าง
- เขียนบล็อกภาษาอังกฤษบ่อยขึ้นเยอะเลยทำให้รู้ว่าที่เคยเขียนบล็อกคล่องๆ เนี่ยเพราะเราเชี่ยวชาญภาษา ตอนเขียนบล็อกภาษาไทยเมื่อก่อนเขียนระหว่างนั่งรถไฟฟ้ายังได้เลย ภาษาอังกฤษคือต้องเปิดคอม ค่อยๆ วางเลย์เอาท์ ต่างกันเยอะ
- เริ่มชินกับการทำงานจากบ้านมากขึ้น
- ที่ยังบอกตัวเองไม่ค่อยได้คือ Enjoy moment ปัจจุบัน ยังต้องเตือนตัวเองบ่อยๆ และยังดึงตัวเองออกจากหล่มที่คิดไปข้างหน้าตลอดได้ไม่ดีนัก (การวางแผนไว้ก่อนก็ดี แต่การ Overthinking จนปวดหัวและเครียดทั้งๆ เนี่ยมันไม่ใช่นะ เวลาที่ไม่จำเป็นก็กลับมาอยู่กับปัจจุบันบ้าง)
- และยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่าสิ่งที่บล็อกตัวเองส่วนมากมาจากจิตใจและความยึดติดภายใน วางได้ก็จะได้มีอิสระ (และต้องขอย้ำว่า ปล่อยวางไม่เท่ากับเพิกเฉย ปล่อยวางคือมองตรงๆ เลยว่าเราทุกข์แล้วจับมันเท่าที่ควรต้องจับ ไม่แรงไปกว่านั้น เพิกเฉยคือไม่คิดถึงมัน) แต่การปล่อยวางน่ะมันยาก อย่าไปบอกให้ใครปล่อยวางชุ่ยๆ นะ เสียมากกว่าได้ เขาจะปล่อยวางไม่ได้แล้วยังจะยิ่งขยาย
ขอให้ทุกท่านโชคดีในปีนี้
สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงจะพัดพาโลกทั้งใบไปที่อยู่จุดไหนกันในปี 2022 นี้
tor, vpn เล่นโม่งไม่ได้ กูต้องทำยังไงดีวะ อย่าบอกนะว่าต้องไปร้านเนท
https://www.bleepingcomputer.com/news/security/dev-corrupts-npm-libs-colors-and-faker-breaking-thousands-of-apps/
มีงานโม่งคนไหนโดนบ้างมั้ยเนี่ย
ใครเคยทำ easy buy บ้างวะ ปกติโบนัสกี่เดือน hr โม้ว่าเฉลี่ยน 4-5 เดือน อันนี้จริงป่าว ไปสมัครแต่โดนกดเงินอยู่
ถามหน่อยดิเพื่อนๆถ้าไม่มีความรู้เรื่องทางด้านโค้ดเลยเรียนพวกDataquest,Datacampนี่มันพอจะไปได้ถึงขั้นสมัครงานสายนี้ได้เลยมั้ย?
ปกติกูเป็น backend ถ้าอยากลองเขียน Desktop App เล่นๆเป็นงานอดิเรกนี่ลอง electron ดีมั้ย หรือมีตัวไหนแนะนำบ้าง
อยากได้คอมมูที่เรียนรู้ data sci อะ พอมีแนะนำปะ
ตอนนี้เราเป็น it support อยู่
ทำมา 10 ปีแล้วแต่ดูทรงแล้วน่าจะโดนเอาออกซักวัน ตอนนี้เลยกะว่าจะปัดฝุ่นการเขียนโปรแกรมใหม่ แล้วย้ายสายไปเป็นโปรแกรมเมอร์ จบตรีไอทีสายตรง เคยเรียนเขียน c++ มา
ขอถามว่าตอนนี้ตลาด c++ ยังดีอยู่มั้ย
ถ้าไม่ดีแล้วตอนนี้มีภาษาอะไรดี
ถ้ามีคำแนะนำอะไรเพิ่มก็บอกมาได้เลย
>>719 อืม c++ ตัวไหนหว่า ถ้า c++ จอ dos เลยไปใช้ .NET ก็อ่า... ฝึกหน่อยคงได้มั้ง แต่มันจะได้แต่งาน consult กับพวกโรงงานน่ะ วันๆ ทำแต่เขียนโปรแกรมออก report แต่ช่วงโควิทจะยากนิดนึง เพราะไม่ค่อยเปิด ต้องรอหลังโรคระบาดแล้ว
ส่วนถ้า app web พวกนี้ ช่วงนี้อาจจะหางานง่ายกว่า แต่ภาษาไหนๆ เริ่มใหม่ก็ไม่ยากนักหรอก มันก็แค่ if else for while function class เดิมๆ MVC ก็แค่บังคับเก็บเป็นสัดส่วน ตามโครงที่ framework ที่วางไว้ ส่วนภาษาก็ HTML กับ javascript ล่ะมั้ง แต่ถ้า web เอาทางลัดก็ไปใช้ CMS สำเร็จรูปแบบ wordpress ก็ได้ แต่ขั้นต่ำก็วาง HTML ให้ถูก
java นี่
>>720 >>721 c++ ที่เอาท์พุทเป็นคอนโซลอย่างที่ว่าแหละ
คิดว่าถ้ามีพื้นแล้วมารื้อฟื้นน่าจะไปได้เร็วกว่าเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นน่ะ ตอนนี้อายุเริ่มมากแล้วกลัวตามเด็กจบใหม่ไม่ทัน แต่ถ้าไม่เวิร์คก็จะได้มูฟออนไปเลย
ส่วนพวก web เคยใช้ joomla, wordpress อยู่ แถมเคยพยายามหัด typo3 ด้วยแต่ยากเกินเลยเลิกไป
เอาไปเป็นว่าจะลองศึกษาพวก java ดู แล้วจะลอง python ด้วย ตลาดยังดูมีโอกาสอยู่
ขอบคุณสำหรับคำตอบ
มีใครเป็น front end(html css JavaScript + bootstrap 4) ไหม อยากถามว่าเวลาประกาศ tag หรือใส่คลาสนี้ดูยังไงวะว่าต้องใส่ tag หรือคลาสตังไหน คือกุพยายามอ่าน doc แล้วลองเขียนเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี แต่กุชอบเวลาที่ได้แบบนั่งแก้โค้ดไปเรื่อยๆแล้วจู่ๆก็แก้ได้ว่ะ
>>724 กู full stack จับฉ่าย แต่ขอเผือกตอบให้นะ
bootstrap ไม่ว่า ver ไหนมันก็มีตัวอย่างอยู่ในหน้า doc ในส่วน examples ตรงตัวเลย ตัวอย่างเยอะจนไม่รู้ยังไงแล้ว ถ้าตัวอย่างยังไม่พอก็เปิด google search free boostrap template แล้วลอกมาดิ
แต่ๆ ถ้ายังไม่เข้าใจอีก เท่ากับมึงผิดผี ทะเร่อทะล่าไปอ่าน bootstrap ก่อนเข้าใจพื้นฐานของ html ก็จงหยุดอ่าน bootstrap เดียวนี้
เปิด w3schools แล้วไล่อ่าน ไล่ทำความเข้าใจให้ครบก่อน
https://www.w3schools.com/html/default.asp
ส่วน JavaScript พวก Class นี้ขึ้นอยู่กับ UI ที่ใช้นิ อ่านใน doc ของ UI ที่ใช้โลด ส่วนมากก็อปมาวางได้เลย ถ้าทำงานไม่ได้แสดงว่ามึงโหลด UI มาผิด version แต่ก่อนจะเอามายำกันหลายตัว ให้ลองหัดเขียน Class เอาไว้ใช้เองก่อน
แต่ถ้าไม่เข้าใจอีก Udemy เสียตังค์ซัก 3-4 ร้อย ซื้อคอร์สเลือกคนกด like เยอะๆ มาซั๊กคอร์ส แล้วเสียเวลาดูมันพร่ามซัก 20 ชั่วโมงหน่อย ทฤษดีน้ำก็กดข้ามๆ ไปบ้าง ทำได้ตอนไหนให้หยุดดู แล้วเริ่มเขียนเองโลด เพราะบางคอร์สดูมากกว่านี้ก็เสียเวลาเปล่า
ถ้า Framework ยังไงมึงก็ต้องอ่าน Doc เพื่อให้ใช้ตรงกัน
โม่งมีใครต้องทำ Privacy Policy ใส่แอปหรือเว็บของตัวเองกันบ้าง กูลองหาๆดูเห็นมีพวกระบบ auto gen อยู่หลายเจ้าเลย
ไม่รู้ว่าเจ้าไหนดี-ไม่ดีต่างกันยังไงบ้าง มีใครมีแนะนำมั้ย
ไม่รู้กูมาถูกมู้ไหม แนะนำโปรแกรมป้องกันไวรัสให้กูหน่อยได้ไหม
รู้สึกมีคนคิดว่าโปรแกรมเมอร์คือช่างซ่อมคอมหรือ it support เยอะแฮะ
เมื่อวานหาอะไรไปเรื่อยแล้วไปเจอดราม่าในตำนานเลยเอามาแปะ เผื่อโม่งอยากเข้าไปอ่านรำลึกความหลังกัน
https://www.blognone.com/node/4385
https://deans4j.wordpress.com/2007/04/12/against-idiot/
https://deans4j.wordpress.com/2007/04/14/against-idiot-ii/
https://www.blognone.com/node/4426
http://pphetra.blogspot.com/2010/11/drama-3.html
ก็รู้นะว่าปัญหาเรื่อง format datetime นี่แม่งปัญหาคลาสสิก
แต่เจอต้องไปเรียก service นึง request มี field datetime 3 field แม่งใช้ format ไม่เหมือนกันซัก field
แล้วที่พีคคือมีอันนึงที่ให้ส่ง date กับ time แยกกันคนละ field แต่ field ที่เป็น date แม่งให้ส่งเป็น ISO 8601 แบบเต็มที่มีทั้ง datetime
แล้วหลังบ้านเค้าจะเอา time ไปตัดทิ้ง แล้วดึงเฉพาะส่วน date แล้วเอา time จาก อีก field มาใช้แทน
แถมตอน response มีอันนึงมาเป็น ISO 8601 แบบเต็มที่มีทั้ง datetime timezone มาครบ
แต่ timezone ที่ส่งมากับเนื้อ data จริงๆไม่ตรงกันนะ คนรับต้องรู้เองว่าไอ้ data นี้ timezone ผิดแล้วมาแก้เอาเอง
ตอนแรกที่กูทำแล้วงงว่าทำไมมันออกมาแปลกๆเลยไปถาม dev ทีมนั้นแม่งก็อธิบายหน้าตาเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติ กูล่ะเหนื่อย
>>739 ของกุเจอปัญหา เวลาในเครื่องไม่เท่ากัน ห่างกันหลักวินาที แล้วแนบ token ไป ปรากฏว่าตี Error ทุกวันนี้ยังต้องแก้มือ มันเรียกผ่านหลายเครื่อง ทาง infra ก็บอกให้แก้เฉพาะหน้าไปก่อน เค้าไปหาวิธี นานแล้วนะเนี่ย 55555 เซิฟเวอร์ จอยโดนเมน มีเวลาปิด เปิด อะไรไม่รุ้ของทางฝุ่งนุ่น กุก้อยังไม่ค่อยเข้าใจ ทนๆ ใช้ไปก่อน
สอบถามโม่งหน่อย front end จ้าๆเลย แต่ไม่ปสก. มันยากในการหางานในช่วงนี้ไหม
จบไม่ตรงสาย ไม่มีประสบการณ์ พอร์ตกลางๆ จะหางานยากไหม
โม่งมีใครใช้ Windows แล้วลองอัพ Win 11 กันแล้วบ้าง อยากลองของใหม่ เห็นมันก็ออกมาพักใหญ่ๆแล้ว ปัญหาน่าจะเริ่มเบาๆลง
แต่อีกใจนึงก็กลัวอัพแล้วพังต้องมาเซ็ตใหม่หมดทุกอย่างคงไม่สนุกเท่าไหร่
ffjaafllfa
โม่ง network ถามหน่อย
งงเรื่อง Vlan เราจะแบ่ง vlan ทำไมในเมื่อตอนเซ็ท ip อุปกรณ์ก็เซ็ทให้มันคนล่ะ subnet กันได้อยุ่แล้ว
matlab จะมาแทน javascript ได้ไหมครับ
เรียนไม่จบเพราะเบื่อก่อน ปี 3 ละไม่ได้ลงเรียนต่อ ดรอปไว้ ถ้าอยากทำ fullstack นี่ควรมีงานให้เค้าดูเยอะขนาดไหน
>>761 ไหนๆเรียนมาถึงปี 3 แล้วกูว่ายอมๆกัดฟันไปต่อให้มันจบๆเถอะ
สังคมไทยยังไงใบปริญญาก็ยังสำคัญไปอีกนาน โดยเฉพาะสำหรับการหางานแรก
แต่ถ้าจะเลือกทางทำงานเลย จะไม่เรียนแล้วมึงจะต้องแก้ปัญหาอีก 2 เรื่อง
- มึงคือต้องหาที่ๆเค้าเปิดกว้าง ไม่กีดกันคนไม่มีปริญญา ซึ่งกูไม่รู้จะแนะนำยังไงเหมือนกัน
เพราะส่วนมาก requirement คนสมัคร เค้ามักจะเขียนว่าเรียนจบตรีสาขาที่เกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงไว้ก่อน
ส่วนจริงๆจะซีเรียสกับเรื่องนี้แค่ไหนมันก็แล้วแต่
- เวลาโดนถามว่าทำไมไม่เรียนต่อให้จบ มึงเตรียมคำตอบสวยๆไว้ด้วย บอกไปตรงๆว่าเบื่อนี่มึงจะโดนมองว่าไม่มีความอดทน
เค้าก็จะคิดต่อว่าทำงานไปเกิดเบื่อก็จะทิ้งงานไปดื้อๆ หรือทำไปแป๊ปๆก็ลาออกมั้ยอะไรแบบนี้ แล้วโอกาสรับก็จะน้อยลง
เลือกเรียนgo หรือ typescript อยู่ อันไหนน่าจะหางานได้ง่ายกว่ากัน
justify-content and align-items
ตั้งชื่อห่วยมาก
กุใช้เวลาสืบนานอยุ่ เพราะไม่ค่อยมีข้อมูลพวก โบนัสเลย บริษัทนี้ 555
Backend/frontend/fullstack อันไหนน่าจะหางานง่ายกว่าสำหรับคนจบไม่ตรงสาย+First jobberอ่ะ
>>770 fullstack ยังไงก็ง่ายสุดเพราะมันคือทำได้ทั้ง front และ back แต่เวลาสมัครงานใส่ไปแบบนี้ไม่ได้แปลว่าจะได้ทำงานเป็น fullstack จริงๆ
บางทีอาจจะโดนให้ไปทำ back หรือ front อย่างเดียวไปเลยก็ได้ ก็ต้องไปคุยตอนสัมภาษณ์เอาว่ามึงโอเคมั้ย
แต่เนื้องาน front กับ back มันต่างกันเยอะ ถ้ามึงไม่ใช่คนที่แบบยังไงก็ได้จริงๆก็ควรดูตัวเองด้วยนะว่ามึงชอบแบบไหน
เวลาทำงานจริงมีเรื่องชวนให้ละเหี่ยใจอีกเยอะ ถ้ามาเซ็งกับต้องมาทำส่วนที่ไม่ชอบอีกมันก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
>>773 front/back/fullstack มันไม่ใช่ตำแหน่ง มันคือการบอกว่าทำงานสายไหน
fullstack โดยนิยามมันคือคนที่ทำได้ทั้ง front และ back
การจะเป็น fullstack ถ้าเริ่มจากสมัครงานแรกก็คงต้องรู้พื้นฐานของงานทั้ง front ทั้ง back
และมึงโอเคกับการต้องเรียนรู้งานและทำทั้ง 2 อย่างแหละ
มีใครเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ต่างจังหวัด(ที่ไม่ใช่กรุงเทพ)มั่งวะ back-end ปสก 3-5 ปีนี่ เงินเดือนประมาณเท่าไหร่กัน
ฐานเงินเดือน swe ที่ไทย(กทม)ขึ้นบ้างยังวะ?
2 ปีก่อนกุเห็น base salary new grad อยู่ที่ 25k-50k range จาก no name ไปถึง international ส่วนเพดานอยู่ที่ 150k-200k
ตอนนี้เป็นไงบ้าง ฐานหรือเพดานปรับขึ้นบ้างปะวะ?
>>780 ส่วนตัวกูรู้สึกว่ายังขึ้นอยู่เรื่อยๆนะ ถามเพื่อนๆน้องๆ New grad 40k กลายเป็นตัวเลขมาตรฐานไปแล้ว ต้อง 50++ ถึงจะน่าสนใจ ได้ยินว่าหลายที่ turnover rate สูงด้วย ส่วนคนที่เลือกได้ก็หนีไปเรียนไปทำงานต่างประเทศกันหมด
ส่วนตัวกูเพิ่งทำงานครบ 1 ปีแหละเพื่อนโม่ง รู้สึกสกิลไม่เพิ่มขึ้นเท่าไร อาจจะเป็นเพราะเสียเวลาย้ายงาน แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่ค่อยมีเวลาว่างมาเล่นเลย คิดถึงห้องนี้มาก เคยมาโพสขอคำแนะนำเรื่องหางานอยู่ ตอนนี้กูได้งานที่ค่อนข้างโอเคแล้ว ;-;
>>786 มีเพื่อนกูในคณะคนนึงได้ 40k ทำงานอยู่บริษัท ag**a มันบอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่เข้าได้ ต้องมีผลงานแบบจับต้องได้มาก่อน ทักษะต้องเยี่ยม ภาษาอังกฤษต้องเด่น เขียนอีเมลเป็นภาษาอังกฤษได้ และก็สัมพาษณ์หลายรอบ แต่มันอาศัยคนในชวนเข้าไปก็เลยง่ายหน่อย
ถ้าเป็นบ.ต่างชาติ 40k นี่จิ๊บๆ จ้างคนไทยหรืออินเดียยังไงก็ถูกกว่า ถ้าเป็นบ.ไทยไม่มีทางได้ขนาดนี้ 30-35k ก็หรูแล้วสำหรับ new grad
ลืมบอก สมัยกูจบใหม่กูได้ 32k ว่ะ อยู่บ.ไทยแห่งหนึ่ง ใบ้ให้ว่าสายธนาคารและการเงิน พูดชื่อแล้วใครๆ ก็รู้จัก
>>788 ให้เดาว่าไม่เขียวก็ม่วงหรือไม่งั้นก็ไอที่เพิ่งควบรวบกิจการ รู้สึกว่าสองเจ้านี้พยายามผลักเรื่องเทคมาก กูเคยอยากเข้านะถ้าฝีมือพร้อมแต่สงสัยเลยหว่ะ รายได้แบบนั้น มันให้อะไรมึงอีกบ้าง? แล้วที่เหี้ยๆสัสหมามีอะไรบ้าง? เช่น มันตามงานมึงหลังเลิกงานจนมึงต้องมานอน บ. ตลอด หรือวันๆมันสนแต่โค้ดมึงจัดช่องไฟไม่ถูกใจมันจนงานไม่เดิน, มันให้มึงทำโอ ทำงานแบบสไตล์คาโรชิของยุ่นอะไรทำนองงี้ป้ะ
ไม่โปรแกรมเมอร์แต่ถามหน่อย สาย netsec ในไทยอนาคตดูเป็นไงมั่ง
>>792 เราว่าเหมือนเดิมอยู่ดีน่ะ ปริมาณงานที่จำเป็นที่ต้องใช้ cyber sec ในยุคที่เริ่มย้าย service ไปใช้ cloud แทน มันน้อยลงกว่าแต่ก่อนนะ
ตัวอย่างเช่น แต่เดิมเราใช้ drive กลางที่ตั้งในบริษัทแม่ แต่เปลี่ยนไปใช้ one drive หรือแต่เดิมตั้ง mail server ดูแลความปลอดภัยเอง ตอนนี้ไปใช้ google service แทน เรื่องความปลอดภัยต้องต้องดูแลมันน้อยลงกว่าแต่เดิม เพราะโยนไปให้ผู้บริการดูแลแทน
new gradสมัยนี้ได้เยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ สมัยกูจบวิศวะได้เเค่19kเอง วิศวะโรงงาน ถามเพื่อนๆก็ส่วนใหญ่ได้ประมาณนี้ อย่างหรูเลยก็25kเเบบในฐานะคนความสามารถกลางๆ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนะ
>>795 ปัจจุบันสายงานนี้มันขาดแคลนอย่างรุนแรง บริษัทไม่อยากจ่ายแพงหรอก แต่ทำไงได้ คนเก่งๆมีอยู่นิดเดียว
พูดถึง range เงินเดือนเด็กจบใหม่มันกว้างมาก มีตั้งแต่ 8000 ยังไม่คุ้ม ยัน 60000 ก็ยอมจ่ายก่อนที่บริษัทคู่แข่งจะคว้าตัวไป
ถ้าอยากได้เงินเดือนเยอะๆต้องเลือกบริษัทเกรด A ที่ core business คือเทคโนโลยี พวกนี้สวัสดิการอู้ฟู่มาก
แจก macbook ให้ dev คนละเครื่อง บางที่แจกข้าวฟรี น้ำฟรี เบิกเงินไปซื้อเก้าอี้เพื่อสุขภาพได้ แถมให้ wfh อีกต่างหาก
แต่ตัว dev เองต้องเก่งมากๆ ภาษาอังกฤษเป็น requirement ขั้นต่ำ ต้องอ่านออกเขียนได้ ไม่ใช่ความสามารถพิเศษ
ต้องมีประสบการณ์เขียนโปรแกรมของจริง เช่น รับงาน freelance ไม่ต่ำกว่า 1-2 ปี และต้องทำโจทย์อัลกอริทึมยากๆได้ตอนสัมภาษณ์งาน
จบบัญชีมา แต่ไม่ชอบทำงานสายนี้เลย อยากทำงานเกี่ยวกับ data science มากๆ ควรเริ่มจากไหนดี
ว่าจะไปเรียนป.ตรีเพิ่มอีกใบ comsci หรือ สถิติศาสตร์และวิทยาการจัดการข้อมูล อันไหนดีกว่ากัน
>>795 เอาไปเทียบวิศวะทั่วไปไม่ค่อยได้นะ
>>797 หางานที่ใกล้ๆ data sci ให้ได้ก่อน อาจจะ data analyst
แล้วระหว่างนั้นก็ศึกษาเอง data sci นี่อ่านเองได้ง่ายสุดละถ้าเทียบกับเรื่องอื่นในสายคอม
มีปสกสักปีนึงก็หางาน data sci ตรงๆได้ สายนี้ปสกสำคัญสุด ไม่ต้องเรียนอีกใบก็ได้ มีปสกเอาไว้ให้เวลายื่นสมัครจะได้ไม่โดน reject ตั้งแต่ recruiter
ไหนๆแล้วก็ขอถามด้วยเลย สาย infra นี่ให้แตะ30Kพอเป็นไปได้มั๊ย นี่ new grad ปสก 1 ปี ได้ประมาณ 18k เองถ้าไม่นับค่าอื่นที่บอเพิ่มให้รวมๆ 21-22 รู้แหละว่าเป็นงานรูทีน ดูแลระบบ แก้เคสลูกค้า คิดโซลูชั่นใหม่นานๆที แต่เพิ่มเงินเดือนให้หน่อยเถอะน้อยเกิ๊นนน งานหนักอีก แม่ม
คนจริงต้องเขียน Assembly
คนจริงต้องเขียน wolfram
ก็เว่อไป new grad ได้เกิน 30k นี่นับบ.ได้เลย
เอาจริงๆจะหางานเงินเดือนดีๆมันแล้วแต่จังหวะด้วย ส่วนตัวกูทำอยู่ agoda ก่อนมาทำก็มีประสบการณ์มาประมาณ 8 เดือน คำถามตอนสัมภาษณ์จริงๆก็เรียนในมหาลัยเป็นพื้นฐานมาหมดแหละ พวก design pattern, database ไรงี้ ภาษาอังกฤษก็กลางๆ ถ้าไปสอบ ielts ก็ไม่เกิน 4-4.5 หรอก แต่ก็ยังติดมาได้
เงินเดือนดีๆ ถ้าบริษัทเล็ก กลาง พวกนี้เค้าดูว่าจ้างแล้วบริษัททำกำไรโป๊ะเงินเดือนไหวหรือเปล่า ถ้าดูแล้วเก่งพอที่จะเอามาทำงานปิดงานที่ขายได้สมน้ำสมเนื้อมากกว่ารายจ่ายเงินเดือนบวกค่าโสหุ้ยค่าเช่าบริษัทแล้วได้กำไรซัก 2-3 เท่าตัว แสนนึงก็ถูก แต่ถ้าทำอะไรไม่ได้ไม่เป็นเลย 8 พันก็แพง
แต่กรณีบริษัทใหญ่แล้วมีส่วน r&d จะอีกเรื่องนึง พวกนี้ต่อให้จบใหม่ก็ไม่มีปัญหา (ถ้าไม่โง่เกินไปนะ) เพราะงบมันเหลือที่ต้องจ้างคนให้ครบตามจำนวน แล้วเอามาฝึกอีกที พวกนี้เป้ากดดันมันจะน้อยกว่า
new grad 30k-40k เป็นเรตปกติ ไม่ใช่เงินเดือนพันทิป มีไม่เยอะมากแต่ก็เกินสิบบริษัท ไม่เชื่อไปเปิด linkedin หรือ jobsdb ก็ได้
เด็กจบใหม่ที่ได้เงินเดือนเรตนี้ต้องมีความสามารถมาโชว์ มีผลงานที่จับต้องได้ ซึ่งคนที่ทำแบบนี้ได้ก็เหมือนกับมีประสบการณ์มาแล้ว 0.5-2 ปี
กุจบ 2019 ตอนนั้น แบบค์เขียวtg 29k วงไม่นอก(ยังไม่เป็นแชทแมน) 35k
new grad 30k-40k ยังไงก็ไม่ใช่เรทปกติว่ะ กูก็จบมาจากม.ที่มีชื่อเสียงมากๆนะ แต่คนที่ทำงานที่แรกได้เท่านี้เลยก็ไม่เยอะว่ะ มันจะปกติยังไงวะ
ทำโปรเจคจบเป็นเว็บโม่งแบบที่Sirn ทำหลังจบใหม่ได้นี่ จะเรียกรายได้ได้กี่ตังค์วะ?
>>813 เพราะว่ามึงคิดแบบนี้ไง 30-40k เลยเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่มันเป็นเรื่องโคตรของโคตรปกติของสายงานนี้ ถ้ามึงได้น้อยกว่า 30k แสดงว่ามึง underrated ตัวเองอยู่ เตรียมย้ายงานได้เลย
บริษัทสายไอทีทั้งหมดไม่สนใจว่ามึงเรียนจบอะไรมา มึงจะจบฮาวาร์ดหรือมหาลัยRที่โดนดูถูกบ่อยๆก็ไม่มีผล เขาสนใจแค่ว่ามึงมีปัญญาทำอะไรได้บ้าง มึงต้องมีผลงานที่จับต้องได้มาก่อน เคยทำโปรเจคอะไรไว้ก็ยัดใส่ github ให้หมด อย่าลืมฝึกทำโจทย์ leet code ด้วยเพราะมีถามตอนสัมภาษณ์
ต่อจากเมนต์ข้างบน ลืมบอก มึงต้องเลือกบริษัทที่เป็นเทคโนโลยีเต็มตัวนะ อย่าไปเลือกพวกโรงงานกากๆหรืองานออฟฟิศเกรด C เพราะพวกนั้นเขามองโปรแกรมเมอร์เป็นเหมือนเสมียนหรือพนักงานพิมพ์ดีด เงินเดือนไม่ถึง 15000 แต่ใช้งานหนักกว่าบริษัทที่กล้าให้ new grad 40k
พวกมึง กูไม่เก่งพวกโค้ดเพราะไม่ค่อยตั้งใจเรียน+เคยตั้งใจเรียนแล้วได้เกรดมากสุดแค่ B เรียน nodejs ตอนนี้จบมาเป็น helpdesk ทำมาปีนึงแล้ว เงินเดือน start 19000 กูอยากลองพยายามกับโค้ดอีกครั้งนึง เพราะรู้สึก helpdesk สมองกูแม่งไม่พัฒนาเลย อยากเก่งกว่านี้ ถ้าไปฝึกเขียนในยูทูป ลองทำโจทย์จนคล่อง พอจะสมัครงานใหม่เริ่มใหม่ได้ไหมวะ เพราะประสบการณ์ helpdesk 1 ปี แล้วไปสายโค้ดมันน่าจะไม่มีประโยชน์อะไร
>>825 อ่อมึงบอกไว้ในนี้แล้วนี่ ถ้าเริ่มใหม่กุว่าเลือกสายที่อยากทำก่อน frontend/backend/mobile/data engineer หรืออื่นๆ ยังไม่รู้ หรืออะไรก็ได้ อยากทำบริษัทสตาร์ทอัพหรือบริษัทใหญ่ จะได้มาเลือกภาษากันว่ามึงควรเลือกฝึกตัวไหนเพื่อไปถึงจุดหมาย จริงๆมันก็มีตัวที่ general อยู่แต่บางสายมันมีตัวที่เหมาะเฉพาะอยู่น่ะ จะได้หางานง่ายๆ
ไม่ก็ทำ low code มั้ย อาจจะเหมาะกับมึงนะ
ล่าสุด บ.เทคแบงก์เขียวออกมาเปิดงานรับคนเข้าทำงานละ มีโม่งตัวไหนเคยไปทำงานมาไหมวะ? มันดีหรือไม่ดี?
>>835 ไม่มีคำว่าการเงินและธนาคารนะ https://www.marketingoops.com/media-ads/event/kbtg-set-the-big-goal-top-regional-tech-company/
Best tech company
พวกมึงรุ้ไหม เวลา site ต่างๆ รับ outsource programmer พวกนี้จ่ายให้บริษัทต้นสังกัดเท่าไหร่
แล้วต้นสังกัดเค้ารู้เงินเดือนเราไหม
เช่น เราขอเงินเดือน 50k site ลูกค้า ต้องบวกให้ต้นสังกัดอีก 100% ต้นสังกัดได้รับจากลูกค้ามา 100k
หรือ... ปกติเค้าจ่ายให้ระดับ 100k ++ ตามประสบการณ์ แล้วต้นสังกัดมาเจรจากับเราอีกที ว่าเราจะได้เท่าไหร่
>>841 ปกติที่กูเจอมาคือเงินเดือนเราต้นสังกัดเป็นคนให้ ลูกค้าไม่เกี่ยว
ลูกค้าต้องจ่ายเงินค่าใช้งาน programmer ให้ต้นสังกัดอีกที ซึ่งกว่าจะผ่านประบวนการวางบิลนู่นนี่อาจจะกินเวลานานหลายเดือน
ต้นสังกัดควรจะจ่ายเงินเดือนมึงตามเดือนที่ทำงาน แต่ถ้าเจอที่ๆต้องรอลูกค้าจ่ายก่อนแล้วถึงจ่ายเงินเดือนพนักงานทีหลังนี่ควรเลี่ยง
การเจรจาเงินเดือนคือเราเจรจากับต้นสังกัด แล้วต้นสังกัดเค้าจะไปคิดเองอีกทีว่าคุ้มไม่คุ้มสำหรับเค้า
โดยมีเรื่องเงินที่ได้จากลูกค้าเป็นปัจจัยหลัก แต่อาจจะมีปัจจัยอื่นๆเสริมเช่นต้องมีอุปกรณ์ให้มั้ย อะไรพวกนี้ด้วย
เงียบเลยว่ะ พวกมึงไปคุยกันที่ไหนวะ
>>845 scrum งานไทยทำได้ด้วยเหรอ เหอๆ
ที่ข้าพเจ้าเคยเจอมา แผนงานกำหนด 1 เดือน ลูกค้าส่งของมาช้าสุดท้ายโดนเร่งให้เสร็จภายใน 3 วันนี่เรื่องปรกติมาก
โปรเจ็คราคา 5 ล้าน เนื้องานมีทั้ง web + app ออกแบบระบบจาก 0 ทีมงานมี sale 1 หน่อ พกโปรเกม่อนไป 1 ตัว ปิดงานภายใน 4 เดือน แถมเวลาทำจริง นับดูแล้วเดือนเดียว
Full Stack คือ Full Stack จริงๆ นอกจาก code โปรแกรมได้แทบทุกภาษาที่ลูกค้าอยากได้ set cloud ได้ ดีไซน์ได้ ทำ automation test ได้ แล้วยังคุยต่อรองกับลูกค้า + หา supplier ได้ แถมยังขายงานแทน sale ได้ด้วย อ๋อ ทำบัญชีได้ด้วยนะ lol
https://twitter.com/noeysavitta/status/1566396437977796608
อ่านแล้วถอนหายใจ
>>848 อ่านแล้วเหมือน how to เอาไป cer ไปหลอกสมัครงานกับบริษัท start up อ่ะใส่ไปมั่วยัน cer ของ it support แบบ visual desktop เพื่อ -.-
PM ที่ทำเป็นแค่นั้นไร้ประโยชน์ ฝั่งเอกสาร+แผนงานอะไรพวกนี้ ปรกติบริษัททีมขนาดเล็ก sale มันทำได้หมดอ่ะ หรือถ้าบริษัทใหญ่หน่อยก็โยนให้ AE
อ่อ แล้ว agile ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร ไปใช่ตัวง่ายๆ แบบ monday จัดตารางเอาก็ได้
ส่วนคุยกับลูกค้าไปลากโปรแกรมเมอร์ไปหน้างานก็ได้ งานที่ต้องปรับแต่งพวกนี้ลูกค้ามักเตรียมงานมาระดับหนึ่งอยู่แล้ว ส่งมาประชุมร่างแผนกันเดี๋ยวเดี๋ยวจบ ไม่ต้องเสียเวลามาก
>>833 ตอบตอนนี้ทันมั้ยวะ บ ลูกของแบงเขียว ว่ากันจริงๆ กุว่าระดับบนๆ เก่งอยู่ แต่ถ้ามึงเข้าไปเป็นลูกมือทำงาน internal เนี่ย codebase ก็ไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่ถึงกับดี management ค่อนไปทางแย่ จริงๆ อาจจะขึ้นกับทีมด้วยแหละ แต่กุไม่ดีขนาดนั้น ส่วนตัวไม่เคยทำแบงม่วง (ที่เป็น บ เทคนะ) แต่เท่าที่รู้คือแบงม่วงจ่ายดีกว่าแบงเขียวพอสมควร assume ตำแหน่งเดียวกัน
สรุปคือ ถ้าเลือกได้ ไปแบงม่วงดีกว่า
>>822 Agoda, Accenture, Omise, Big4, KBTG, SCB, SCB10X, SCB Tech, Bitkub, G-Able, Rabbit, Refinitiv, Capco, Finnomena, Line, Wongnai, VMWare และ Startup tech อื่นๆ ที่กุเคยสัมภาษณ์อีก 4-5 ที่ที่กุจำชื่อไม่ได้แล้ว จริงๆ ที่พูดมาทั้งหมดนี่ เกิน 35k หมดเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ 30k อาจจะยกเว้น Rabbit กับ SCB แต่พ้อยคือ บ ที่พร้อมจ่ายให้ new grad เกิน 30k ตอนนี้คือมีเยอะมาก อย่าง Agoda, Accenture, KBTG, SCB นี่เพื่อนที่จบรุ่นเดียวกันกับกุคืออยู่ใน บ พวกนั้นไปละ 30-40% กุค่อนข้างพูดได้เต็มปากว่าเฉลี่ยเงิน dev อยู่ที่ 30k ต้น กุอาจจะ echo chamber ในกลุ่ม elite ของกุเองก็ได้ แต่ถ้าเอา echo chamber ในกลุ่ม elite กุนี่ เงิน start new grad อยู่ที่ 40k+ ด้วยซ้ำมั้ง
เสริมอีกนิดคือข้อมูลกุอาจจะไม่อัพเดทแล้วด้วยซ้ำ เพราะที่ว่ามาทั้งหมดนี่ ข้อมูล 2 ปีก่อน เพราะงั้นยังไงกุก็คิดว่าเงินเดือน new grad swe ในไทยยังไงเฉลี่ยก็อยู่ที่ 30k+ ถ้ามึงมี ปห เรื่องหางานที่ได้เงินดีๆ กุว่ามึงหา agent ให้เขาช่วยหางานให้มึงอะ ตอนที่กุจะย้ายงานก็ใช้ agent เนี่ย ที่กุบอก startup 4-5 ที่ นั่นก็จาก agent หางาน
จะบอกว่ากุเป็น outliner ก็คงไม่ใช่ เพราะกุรู้จักคนที่เป็น outliner จริงๆ พวกนั้นเขาเงินไม่ได้ start หลักหมื่นกันหรอก แฮะๆ
กำลังจะได้ agoda เรียกเท่าไหร่ดีวะ junior ปสก 2 ปี
ปกติทริคคือ ไม่บอกว่าตัวเองอยากได้เท่าไหร่ แต่เป็นถาม hr ว่า range เท่าไหร่ แต่นี่คือเทคนิคที่ใช้ใน ตปท ว่ะ กุไม่รู้ว่าใช้ในไทยได้มั้ย
ที่เก่ากู 32 เองไง คือถ้า 40 45 มันก็ถือว่าอัพเกรดได้ละ แต่กูก็ได้ยินว่าที่นี่จ่าย new grad 50 ตั้งแต่ปี 63 กูก็เลยสงสัยว่าหรือกูควรเรียก 50 เลย
ทำงาน 6 วันต่อวีคในฐานะโปรแกรมเมอร์นี่คือเรื่องปกติไหมวะ?
>>856 ผิดปรกติ ถึงโปรแกรมเมอร์บางคนจะบอกว่าทำงาน 7 วันก็ตาม แต่พวกนั้นมันทำช่วงปิดงาน project ไม่ทันมากกว่า แล้วได้โอที เวลาช่วงหมด project ด่วน ก็กลับไปโหมด 5 วันธรรมดา
ถ้าให้เดางานถ้าทำ 6 วัน อันนี้กึ่งๆ support แล้วล่ะ แล้วก็น่าจะอยู่พวกบริษัทไทย - จีน รุ่นเก่าที่เอาเปรียบพอสมควร อย่าไปทำเลย บริษัทพวกนี้ เงินเดือนปรับขึ้นยากมาก
ผิดปกติมากๆ มาตรฐานที่ถูกต้องคือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เกินนั้นโอทีเท่านั้น ออกเหอะไปอยู่บริษัทเอาเปรียบงั้นอะ ขยันผิดที่เจริญยากนะมึง
ปล. ยังไม่มีใครแนะนำเงินเดือนอโกด้ากูเลย
>>857-859 ขอบคุณพวกมึงมาก ที่ถามอ่ะ ทุกวันนี้อยากทำงานสายนี้มานานหลายปีละแต่ปัญหาคือ
-กูต้องจำใจมาทำสายงานที่ตัวเองไม่ได้อยากมาทำแต่ต้องทำเพื่ออยู่รอด แล้วมีประสบการณ์ก็เถอะ ต่อยอดไปไกลได้แบบสายงานนี้เลยถ้าไปสุดทาง แต่ปัญหามีอยู่ว่ามันบั่นทอนร่างกายมาก แบบว่าใช้แรงงานด้วย ใช้สมองด้วยแบบเป็นเวลา8-9ชม. ไม่ใช่นั่งโต๊ะทำงานนะ
-ปัญหาที่กูมั่นใจละว่าอยู่ในวงการนี้ไม่นานคือ กูมองหน้างานบางจังหวะไม่ออก บางจังหวะก็ต้องรู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้เท่าที่จะทำได้ แล้วมองไม่ออกจริงๆถ้าไม่มีคนมาชี้แนวให้ว่าต้องทำยังไง ต้องพลิกแพลงแบบไหน ซึ่งต้องมองหน้างานให้ออกนี่คือต้องแบบนาทีเดียวก็ต้องปิ้งเลยว่าทำแบบนี้ละคิดถูกแน่ๆ ซึ่งกูก็ทำผิดซ้ำๆซากๆนะ คนในวงการนี้ก็.....ให้โอกาสเป็นหลักหน่วยได้แหละ บางคนกับบางที่คือไม่ให้เลยก็มี กูเลยมั่นใจว่าใครๆไม่ชอบกูก็เพราะข้อเสียกูข้อนี้ ซึ่งลังเลไม่น้อยเลยว่าต่อให้เรียนdata structures เรียน problem solving skillsมาแน่นปั๊ก ฝึกโจทย์มาเยอะๆก็ตามแล้ว มาทำตรงนี้จริงๆมันจะช่วยอะไรได้บ้างไหม ถ้าไม่มี กูคงไม่พยายามมาเส้นทางงานโค้ดดิ้งแล้ว หรือมาก็หวังไว้ว่ามากับพวกที่ใช้เวลาคิดสักระยะได้บ้าง ไม่ใช่งานที่หวังแนวทางภายใน45วินาทีตลอดเว
พี่โม่งกูเรียนวิศวะไฟฟ้ากำลังอยู่ เเต่ไปๆมาๆอยากไปทำงานสายคอม、โปรแกรมมิ่งเเทนว่ะ อยากรู้ว่าสายนี้มันเริ่มต้นเงินเดือนเท่าไร เพดานเท่าไร เเล้วพวกกากๆต่ำกว่าaverageเงินเดือนเท่าไร อยากรู้ทั้งเพดานล่างเพดานบน วิศวะไฟฟ้านี่กูรู้เเค่ว่าเพดานล่างไปทำโรงงานได้เเค่17k-18kเอง
เเล้วพูดถึงโปรเเกรมเมอร์อะ พวกวิศวะคอม ฐานต่างกันเยอะปะหรือเฉลี่ยaverage เพดานส่วนใหญ่รายได้มักเท่าไรกัน
recruit ที่หางานให้กู recruit คนระดับ 200k เป็นว่าเล่นอะ
ในไทยมีแหละถ้ามึงเก่งพอ ถึง 200k มากกว่านั้นไปตปท ดีกว่า เข้า FAANG ให้ได้
ทำยังไงไม่ให้โดนกองprทับตายว่ะโม่ง รีวิวไปเดี๋ยวก็มีอันใหม่เข้ามา เหลือเวลาให้มานั่งเขียนโค้ดของตัวเองไม่กี่%ต่อวันเอง
>>861 เพดานล่างของสายคอมต่ำกว่านะ เพราะเพดานล่างสาวคอม มันคืองาน support ช่อมคอมลงโปรแกรมธรรมดาพวกนี้เงินเดือนพอกับพนักงานทั่วไป เพราะใครก็ทำงานได้
ส่วนสายโปรแกรมมิ่งเพดานล่างไกล้เคียงกับวิดวะโรงงาน อาจจะต่ำกว่าหน่อย แต่มันเรียนเปลี่ยนภาษาเปลี่ยนเครื่องมือ up เงินเดือนง่ายกว่า
ช่วงนี้ขาขึ้นสายเทคฯอ่ะนะ เงินเดือนหลักแสนถ้าเป็นบ.ต่างชาติในไทยนี่ไม่แปลกเลย ยิ่งเป็นระดับ head หรือ cto เงินเดือนสามแสนยังได้
ไม่นะ อันนี้ head แผนกเฉยๆ ไม่ใช่แบบ full stack
อีกที่ ทีกูเจอมา อันนี้ recruit หาให้กูคือ senior middleware บ.เทคที่เป็นซับ บ.ไฟแนนซ์อีกที จากยุโรป นี่ก็ 65-70k แล้ว ขนาดแค่ Senior
>>861 พูดถึงแค่เงินเดือน new grad นะ เพดานล่างเท่าที่กุรู้ของสาย dev น่าจะแถวๆ 17-18k มั้ง เอา dev จริงๆ ไม่ใช่ it support นะ อาจจะมีต่ำกว่านั้น แต่ค่อนข้างน้อย
เพดานบนนี่ สุดแท้แต่ความสามารถมึงอะ ถ้ามึงเข้า agoda ในไทยได้ start น้อยสุดก็ 50k/เดือน หรือถ้ามึงเก่งภาษาแล้วเข้า shopee/faang สคป ได้ ก็ start +-100k sgd/year
>>877 Head of Devops 250k
Several Front/Back upto 100k
Head of Engineering 220k
Devops 170k
Cloud Eng 140k
อันนี้เท่าที่กูเห็นจากโพสเค้าคนเดียว และน่าจะคนละบอ คนละโพสิชั่น
ถามว่าชัวร์มั้ย กูก็ให้สัก 50-50 ละกัน
หลายตำแหน่งมันบอกว่า open for expat และ expat มันหวังเลขนี้เป็นปกติอยู่แล้ว
ถ้าไปดูตามบอร์ดนี่ พวกฝรั่งแม่งนินทากันเลยว่า ได้ offer 120k จาก agoda ให้ relocate มาไทยแล้ว "น้อย"
แปลได้ว่าบอที่หวังจะดึง expat มาไทยนี่กูว่า่น่าจะต้องจ่าย 150 ขึ้น
อยู่ดีๆก็เจอบัคที่มั่นใจว่าเคยแก้ไปแล้วครั้งนึง ลอง reproduce หลายรอบก็เป็นตลอด
แล้วไปดู log แล้ว log debug ที่เคยใส่ไว้มันไม่ออก
ลองไปไล่โค้ด เลยนึกได้ว่า log debug พวกนั้นกูลบไปแล้ว เพราะคิดว่าไม่น่าได้ใช้อีก
พอลองใส่กลับเข้าไปแล้ว build ใหม่ reproduce ไม่ได้แล้ว WTF มาก
200k มันก็น่าจะมีแหละแต่ก็ต้องระดับเฮด หรือ สเปเชียลลิสมากๆนะแหละ
กุซีเนียร์ธรรมดาก็เกิน 100k มาได้พอควรอยู่นะ
ต่อจากโพสที่แล้ว โพสนี้จะพูดถึงว่า Culture ของ Facebook แย่ยังไงถึงทำให้ตัดสินใจลาออก แต่ในทางตรงข้ามทำไมก็ยังเชื่อว่า Facebook ก็ยังจะสามารถจ้าง Engineer เก่งๆได้
หมายเหตุ: บางอันอาจจะเว่อร์ไปหน่อย และไม่จริงในหลายๆทีม แต่อันนี้รวบรวมจากที่ประสบพบเองและที่ฟังมา
สิ่งที่ไม่ชอบ:
1) การตัดสินว่าใครจะได้เลื่อนขั้น ใครจะโดนไล่ออก แทบจะวัดด้วยอย่างเดียวคือ impact
- ซึ่ง impact เนื่องจากมันเป็น OKR ก็คือต้องวัดได้ เพราะฉะนั้นคุณจะแบบไม่ช่วยใครอะไรทั้งสิ้นก็ได้ เขียน code ห่วยยังไงก็ได้ hacky ยังไงก็ได้ (ตราบใดที่ยังมีคนกด code review ผ่านให้) แต่ถ้าคุณทำสิ่งที่วัดได้นั้นให้มันดี improve metrics ได้ ด้วยวิธีใดๆก็ตาม คุณก็จะได้เลื่อนขั้น แต่ในทางตรงข้าม ถ้าคุณเขียน code ได้ดีแต่ไม่มี metrics รองรับ คุณก็จะไม่ได้ promote และอาจจะโดน PIP + ไล่ออกในไม่ช้า
- ได้ข่าวว่าบางคน manager บอกมาเลยว่า "ถ้าทีมอื่นให้ช่วยทำอะไร อย่าไปช่วยเค้า การช่วยทีมอื่นจะไม่ช่วยให้คุณได้เลื่อนขั้น"
2) ไม่มี ownership code ที่ชัดเจน
- ในหลายๆบริษัทเช่น Quora ทุกอย่างจะมี DRI หรือพูดง่ายๆคือเจ้าของ Code ที่คอยดูแล แต่ที่ Facebook แทบทุกอย่างอาจจะมีทีมที่ดูแล แต่ทีมก็อาจจะใหญ่มาก หรือหลายๆส่วนก็คือไม่มีเจ้าของเลย การที่มีเจ้าของร่วมเยอะๆและไม่มีคนต้องรับผิดชอบ ทำให้ทุกคนไม่มีใครแคร์ว่าของมันจะดีมั้ย ยิ่งคุณภาพของ code เป็นสิ่งที่วัดไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งไม่มีคนสนใจ เพราะสนใจไปก็ไม่มี "impact" แม้ว่า Facebook แกนหนึ่งในการพิจารณาก็คือ engineering excellece แต่เอาเข้าจริง อะไรที่วัดไม่ได้ คนก็จะไม่สนใจ เพราะมันไม่มีผลอะไรกับชีวิต
3) ความคาดหวังว่า Senior Engineer จะต้อง lead project ทั้งในทาง technical และ non technical
- สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ได้เลื่อนขั้นโดยเฉพาะจาก Senior -> Staff++ ที่ Facebook คือคุณจะต้อง lead project ขนาดใหญ่ขึ้น scope กว้างขึ้น แต่ถ้าของมันก็มีอยู่เท่าเดิมจะเกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทุกคน ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้า คอยสั่ง คอยกดดันให้คนอื่นทำทุกสิ่งที่ตัวเองสัญญาไว้ใน OKR เพื่อที่ตัวเองจะได้ promote ไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าทุกคนอยากสั่งคนอื่น แต่ไม่มีใครอยากทำอะไร
- "เพราะการทำอะไรหนะ มันเป็นงาน E3-E4 แต่การสั่งชาวบ้านหนะมันเป็นงานของ E5+"
4) manager ไม่มีหน้าที่กันเราจากทีมอื่น
- ในที่อื่นๆที่เคยทำมาปกติถ้ามีคนมาสั่งเราในงานที่ไม่เกี่ยวข้อง manager มักจะช่วยปกป้องเรา หรือไปเคลียกับคนอื่นให้ แต่ที่ Facebook ที่พบมาคือ manager ไม่มีความเข้าใจด้าน technical และไม่มีความคาดหวังที่จะต้องเข้าใจด้วยซ้ำ (เป็น people management ล้วนๆ) เพราะฉะนั้นเค้าก็จะแบบเหมือนเป็นที่ปรึกษาชีวิตแบบได้แต่บอกแบบ "สู้ๆนะ" แต่ช่วยอะไรแทบไม่ได้ พอรวมกับข้อ (3) ก็ยิ่งแย่ไปกันใหญ่
5) code quality นรกมาก
- อาจจะไม่น่าเชื่อ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าบริษัทอื่นๆแม้แต่บริษัทเล็กๆในไทยก็น่าจะ code quality ดีกว่าใน Facebook ซึ่งแย่เพราะไม่มีใครแคร์ ถ้าเปิด code Facebook ดูจะเห็นความก็อปแปะ ทุกอย่างเละแทะมาก
- "แต่จะสนใจไปทำไมหละ ตราบใดที่ยังมี impact เราก็ได้ promote ยิ่ง code ไม่มี ownership ด้วยก็ไม่ใช่หน้าที่เราในการไปทำให้มันดีขึ้น"
6) สิ่งที่เรียนรู้ไม่สามารถนำไปใช้ในงานต่อไปได้
- ข้อนี้จริงๆอาจจะเป็นบริษัทใหญ่ๆแทบทั้งหมด คือ tool/abstraction ต่างๆ ของ Facebook คือมีของตัวเองหมด เพราะฉะนั้นถ้าย้ายงานก็เหมือนที่เรียนรู้ไปแบบศูนย์เปล่า คือคนอาจจะบอกว่า concept ต่างๆมันก็เอาไปใช้ในงานต่อๆไปได้ แต่คือมันก็คงได้สักแบบ 20% อะไรงี้มั้ง ซึ่งแบบการเรียนรู้อะไรก็รู้สึกเสียเวลาเปล่ามากๆ
===
แล้วทำไมยังเชื่อว่า Facebook ก็ยังจะสามารถจ้าง Engineer เก่งๆได้
1) รวย
- ข้อนี้จริงๆสำคัญแทบจะที่สุดในโลกทุนนิยม Facebook จ่ายได้ไม่อั้น จ้างคนเก่งๆได้ไม่จำกัดมาทำงานโง่ขนาดไหนก็ได้ อยากได้อะไรก็เปย์ๆๆ แล้ว benefit perk อื่นๆก็สู้กับทุกคนได้หมดจริงๆ ไม่ใช่แค่เงินเดือน แต่ประกันสุขภาพ ออฟฟิศและอื่นๆ ก็สู้ได้จริงๆ
2) ชื่อเสียง
- เอาจริงๆใน FAANG Facebook ก็น่าจะเป็นอันที่ชื่อเสียงด้าน engineer ดูดีเป็นอันดับต้นๆ การมีชื่อ Facebook แปะก็มีคนสนใจมากมาย ไปทำอะไรต่อในอนาคตก็ง่ายจริงๆ
3) culture fit
- สิ่งที่เป็นข้อเสียที่ว่ามาทั้งหมด ความวุ่นวายแบบนี้ก็คงมีคนชอบแหละ ยิ่งคนที่อยู่ใน Facebook มาตั้งแต่จบใหม่ก็อาจจะไม่รู้สึกว่าที่ว่ามาเป็นปัญหาอะไรด้วยซ้ำ เผลอๆถือว่าเป็น feature ของบริษัท เพราะถ้าแบบ exploit ตรงนี้ได้ก็เจริญก้าวหน้ารัวๆได้เลย E6-E7 ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่ส่วนตัวอยู่แบบนี้ไม่ได้จริงๆ
200k ถ้าเป็นสาย devops นี่ยังไงก็มีถึงว่ะ สายนี้แม่งหาคนเก่งๆได้น้อยชิบหาย ต่อให้มีตังบางทีก็จ้างไม่ได้เพราะไปติดทำกับที่อื่นอยู่แล้ว
devops นี่ด้วยความที่งานมันความรับผิดชอบสูง+ต้องทำนอกเวลา บางคนทำได้ก็ไม่อยากทำด้วย
บ. เก่ากู devops ระดับเทพคนนึงถึงขนาดยอมลาออกแบบลดเงินเดือนไปเป็น dev ธรรมดาที่อื่น
ทำงานวันละ 18 ชมอาทิตย์ละ 7 วัน จะเข้าห้องน้ำหรือนอน มีสะดุ้งจะโทรมาหรือเปล่าวะ แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ
มีใครทำงานwork from homeบ้างปะ กูอยากรู้ว่าถ้าจัดโต๊ะคอมเเล้วปิดไฟรอบข้าง ชอบไฟสลัวๆ เเต่ติดไฟเเค่หน้าโต๊ะคอม,หน้าจอพอ
เเบบนี้มีผลเสียไหมกับสายตา หรือมีโคมไฟ ,การจัดโต๊ะทำงานเเบบไม่ได้เปิดไฟบนเพดานบ้างไหม กูรู้สึกชอบความมืดๆสลัวๆ อยู่เเล้วสมองเเล่นอะ
https://www.blognone.com/node/131247
มีใครรู้อะไรมั่งป่ะ มีแต่คนคอมเม้นว่า อืม ข้างในน่าจะปัญหาเยอะสินะ
who the fuck need jira these day.
ไปช่วยชี้ทางสว่างให้คนในบอร์ดเกมส์เลิกเล่นเกมส์กันเถอะ https://fanboi.ch/game/8282/
มาเขียนโปรแกรมดีกว่าเยอะเลย
คุณอ๊บแกมีเรื่องทุกวันเลยหรอ ทำไมสามารถมีเรื่องมาโพสเรื่องในกลุ่มได้ตลอด ดูเจนโลกดี หรือมันเป็นเรื่องปกติของคนที่เป็น CEO
เห็นมีกระทู้เกี่ยวกับโปรแกรมเมอร์ แต่เราไม่ใช่นะ แต่ตอนนี้เรางงกับโปรแกรมของทางบริษัทนิดหน่อย คือบริษัทจะเป็นการหาข้อมูล การเก็บข้อมูล จากสื่อต่างๆ พวกรายการทีวี เว็บไซต์ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ คือจะตามเก็บข้อมูลจำเพาะบางอย่างทั้งหมดที่ไปลงตามสื่อทุกอย่าง ทีนี่มันมีปัญหาตรง นิตยสาร และ นสพ. คือทางบริษัทจะมีโปรแกรมตัวนึง เอาไว้ใช้ ก๊อปปี้ตัวหนังสือ ตัว text ออกมาจากไฟล์สแกน ไฟล์ภาพ อะไรแบบนั้นอ่ะ สมมติ มีแผ่นป้ายโฆษณานึง หรือพวกแผ่นป้ายโครงการก่อสร้าง ทางบริษัทไปถ่ายมาเป็นภาพ ส่งภาพเข้าโปรแกรม มันก็จะได้ตัวหนังสือที่เห็นทั้งหมดในภาพออกมาจัดเก็บเป็นข้อมูล หรือพวก นสพ. มีข่าวอสังหานึง ก็สแกนจากนสพ.มา เอาภาพที่สแกนเข้าโปรแกรม ก็จะได้เนื้อหาข่าวนั้นมาทั้งหมด ทีนี้จู่ๆ ไม่รู้มันเกิดอะไร โปรแกรมมันอ่าน text ออกมาเพี้ยนบ้าง บางทีอ่านแค่บางบรรทัดบ้าง เลยทำให้มีปัญหาเวลาจัดเก็บ ต้องมานั่งตรวจ ไม่พอ ถ้ามันขาดๆ หรือเนื้อหาผิดเพี้ยน ต้องมานั่งตามพิมพ์ให้มันถูก แต่ก่อนมันเคยเป็นแบบนี้มาบ่อยๆ เหมือนกันนะ แต่ทางโปรแกรมเมอร์บริษัทก็แก้ไขอัปเดต font หรืออะไรนี่ล่ะให้มันไม่มีปัญหามาตลอด แบบ แก้แปปๆ ก็อ่านค่าได้ปกติ ทีนี้ จู่ๆมันก็เกิดแบบนั้นขึ้นอีก เป็นแบบนี้จนมาจะเกือบปีแล้ว คือทางบริษัทต้องรับสมัครคนมานั่งพิมพ์ คีย์ text เพิ่มเลยอ่ะ แล้วตัวโปรแกรมก็ไม่มีแก้ไขอะไรเหมือนแต่ก่อน เพราะโปรแกรมเมอร์ทีมเดิมออกไปแล้ว พวกที่มาใหม่ก็บอกว่า เดี๋ยวแก้ เดี๋ยวแก้ แล้วก็บอกว่าเป็นงานยาก ต้องใช้เวลาเป็นปี คือ หลายคนก็งง เพราะ คนก่อนทำ ก็แปปๆ ใช้งานได้ปกติ
คือ เราซึ่งไม่มีความรู้ด้านโปรแกรมเมอร์อะไรนะ อยากรู้ว่า มันยาก มันใช้เวลานานจริงมั้ย เห็นแผนกนั้นไม่ได้ทำงานอะไรเท่าไรเลย เห็นลงไปนั่งกินกาแฟข้างล่างกันจนหมดเวลางานก็กลับเกือบทุกวัน ก็เลยสงสัย
>>905 ยาวหน่อยแต่อ่านให้จบนะ
เวลาเป็นปี = เอางี้โปรแกรมเมอร์เป็นงานกับไม่เป็นงาน ค่าจ้างแพงกับค่าจ้างถูก มันต่างกันตรงนี้น่ะ ตอบแบบนี้เข้าข่ายไม่อยากทำ หรือทำไม่เป็นเลยมั่วให้นานแล้วจะได้ไม่ต้องทำมากกว่า
ส่วนวิธีต้อง update font ไปเรื่อย อันนี้เดาว่าโปรแกรมทำมานานแล้ว สมัยก่อนยังไม่มี Machine learning มันต้องคอย updage font ตามเรื่อยๆ แต่มันไม่ใช่เอา font ใส่ได้เลยต้องไปยัดโปรแกรมแปลงอีกรอบ คนใหม่หาไม่เจอเลยโบ้ยมั่วซั่ว
ถ้ายังเหลือโค้ดเก่าอยู่ ปรับปรุงระบบใหม่แบบไม่ต้องแก้ซ้ำบ่อยๆ มันทำได้อยู่ อาจจจะมีค่าใช้จ่ายนิดหน่อย ไปใช้ API จาก third party จบไม่ต้องคอย update font ตามเรื่อยๆ ด้วย google ก็ได้ มันมีตัว clound vision api ให้ใช้เพียงแต่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนนิดหน่อย ยังไงก็ถูกกว่าจ้างคนมีคีย์อ่ะ
ส่วนถ้าไม่มีงบ หรืออยากลองทำด้วยตัวเองดูก่อน เอางี้ google drive มันแปลงรูปเป็น text ได้นะ เอารูปใส่ google drive คลิกขวาเปิดด้วย google docs มันก็แปลงรูปเป็น text อัตโนมัติ ไม่ต้องมานั่งคีย์ ถ้าไม่เข้าใจก็ลองดูนี่ https://www.iphonemod.net/change-file-picture-to-text.html
* ปล.แต่ไงต้องตรวจทานเอาหน่อยกันพลาดนะ
>>905 กูไม่เคยทำโปรแกรมแนวๆนั้น แถมไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยโปรแกรมเมอร์คนนั้น ไม่ได้เห็นโค้ดหน้างาน ก็คงตอบได้แค่กลางๆนะ
กูแชร์ความคิดเห็นของกูจากที่อ่านเป็นข้อๆละกัน มันมีประเด็นย่อยๆจุกจิกเยอะ แล้วกูไม่รู้จะเรียงยังไง
- ไอ้ปัญหาคนเก่าออกแล้วคนใหม่เข้ามาแทนแก้ของเดิมไม่ได้เป็นปัญหาคลาสสิคของวงการนี้อยู่แล้ว ซึ่งมันก็เกิดได้จากหลายสาเหตุประกอบกัน
มีทั้งปัญหาที่เกิดจากคนเก่า เช่นวางโครงไว้ไม่ดี ไม่ยืดหยุ่น ไม่ทำอะไรอย่างที่ควรจะทำจนคนมาทีหลังทำความเข้าใจได้ยาก ปัญหาที่การส่งต่อความรู้จากคนเก่าไปให้คนใหม่ไม่ดี ไม่มีเอกสารทิ้งไว้ให้ ปัญหาที่คนใหม่มันไม่มีความรู้หรือไม่เก่งจริงๆ แต่เวลาเกิดปัญหาคนใหม่มักจะซวย เพราะภาพที่คนเห็นมันคือคนใหม่ทำงานไม่ได้
- เรื่องต้องใส่ font เข้าไปเนี่ย กูแค่รู้สึกว่ามันฟังดูแปลกๆ เดาว่ามันอาจจะไม่ใช่การใส่ font เข้าไปจริงๆ แต่เค้าอธิบายแบบง่ายๆให้คนนอกเข้าใจ เนื้องานที่ต้องทำอาจจะมีอะไรมากกว่านั้น แล้วสำหรับรูปที่มันมีปัญหาตอนคนใหม่เข้ามาแล้วมันอาจจะแก้ยากกว่าจริงๆก็ได้
- เป็นไปได้มั้ยว่าปัญหาบางส่วนอาจจะเกิดจากรูปที่ป้อนเข้าไปช่วงหลังๆด้วย เช่นรูปเบลอ สแกนมาความละเอียดไม่ชัดเท่าของเก่า โปรแกรมที่เคยอยู่ของมันดีๆเลยทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิม
- ถ้าแก้ของเก่ามันยาก อาจจะเพราะเทคโนโลยีหรือแนวทางเดิมที่วางไว้มันไม่ดีก็ตาม ลองยอมให้รื้อทิ้งทำใหม่มั้ย บางทีดูเหมือนยากและเปลืองกว่า แต่เป็นผลดีกว่าในระยะยาวก็ได้
- เรื่องที่บอกว่านานแล้วไม่ทำซะทีเนี่ย จากที่อ่านกูเดาว่าโปรแกรมเมอร์ไม่ได้ดูแค่ระบบนี้ แต่น่าจะมีงานอื่นๆด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการลำดับความสำคัญของงานด้วยว่าใครเป็นคนจัด เค้าให้อันนี้อยู่ต่ำเพราะมองว่าไม่แก้มันก็มีทางออกด้วยการกรอกมือไปก่อนรึเปล่า แล้วมีงานอื่นที่มันสำคัญกว่าเข้ามาตลอดจนไม่ได้เอาอันนี้มาทำซักที ถ้ามึงเดือดร้อนก็ต้องไปเจรจากับคนจัดลำดับว่าให้เค้าเลื่อนลำดับงานนี้ขึ้นมาได้มั้ยเอา
- เรื่องไปนั่งร้านกาแฟมันก็เป็นได้ทั้งนั่งในออฟฟิซแล้วมีคนมาถามหรือขอให้ทำนู่นนี่จนไม่มีสมาธิทำต้องหนีไปทำที่อื่น หรือจริงๆไปนั่งอู้งานให้ไกลหูตาไกลตาคนอื่น
เอาเรื่องบ่นไปเมื่อวาน วันนี้อัปเดท ใช้งานได้ปกติแล้ว
https://youtu.be/m8Icp_Cid5o
system design
https://narunc.medium.com/เงินถูกดูดหายหมดบัญชี-จริงๆแล้วเกิดอะไร-ยังไง-a070fee9e1c7
https://www.blognone.com/node/132272
บทความเกี่ยวกับเรื่องแฮคดึงเงินจากแอพธนาคารที่เป็นข่าวบ่อยๆ ที่ตอนแรกกูก็งงว่าในทางเทคนิคมันทำยังไง
เจอ 2 อันนี้อธิบายได้ดี เห็นน่าสนใจเลยมาแชร์
เรื่องเล่าโปรแกรมเมอร์ ตอน "จากติดลบสู่ โปรแกรมเมอร์ 100 ล้าน"
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนครับ วันนี้ขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไป 7 ปีก่อน
วันนั้นเพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ซอฟแวร์เฮ้าส์แห่งนึง
ได้ทักมาหาพูดคุยกันตามปกติ แล้วตบท้ายด้วยเรื่องราวน่าสนใจกับไอเดียใหม่ของเขา นั่นคือ การทำระบบร้านค้าออนไลน์ แบบจัดการออเดอร์จาก woo, magento ในที่เดียว แม้จะมีเป็นสิบเว็บ ก็จัดการแค่จุดเดียวจบ
ตอนนี้ได้เงินจากนักลงทุนมาแล้วก้อนนึงเล็กๆ 2 ล้าน
...
ในนาทีนั้นยอมรับเลยว่าผมมองไม่เห็นว่ามันคืออะไร ก็แค่ระบบจัดการออเดอร์ไปต่อ API ของ Woo, Magento ไม่มีตรงไหนว้าวเลย
...
และแล้ววันเวลาผ่านไป
1 ปีนับจากวันนั้น เขาได้เริ่มสร้างตัวเว็บออกมาเป็นเรื่องเป็นราว ใช้งานได้ระดับนึง แต่มันก็ยังขาดทุนนะ คือยังไม่ทำกำไรนั่นล่ะพูดง่ายๆ งบที่มีก็เผาหมดสิ้นไปแล้วเรียบร้อย
เอาจริงๆ นะเงิน 2 ล้านจ้างคนเขียนโปรแกรมแค่ 1-2 คนกับ SA, Designer 1 คนนี่ก็แทบจะหมดละ ยังต้องมาจ่ายค่าโสหุ้ยต่างๆ อีกสารพัดในออฟฟิศ มันไม่แปลกอะไรเลยที่เงินจะหมดสิ้นไปก่อนทำกำไร
ผมก็หัวเราะในใจ เห็นมะ กรูว่าแล้วไหมล่ะ อีกหน่อยแม่มเจ้งแน่ไอ้โปรเจคนี้ เขาเจ้งกันเยอะแยะพวกสตาทอัพ ไม่ดูข่าวบ้างหรือไง เห้อ
...
เพื่อนผมไปขอเงินนักลงทุนเพิ่มอีก ก็คนเดิมนั่นล่ะเขาลงเงินมาอีกก้อนนึง คราวนี้ได้มา 10 ล้าน คงเพราะเขาเห็นตัวเลข user ที่เข้ามาใช้ระบบ กับได้เห็นตัวงานแล้วว่ามันใช้ได้จริงๆ ทำออกมาได้ ไม่ใช่การเอาเงินไปเผาเล่น
วันเวลาผ่านไปอีก 1 ปี
ก็ยังขาดทุนอยู่อีก (คือไม่มีกำไร) และเงินก็หมดไปพร้อมกองกำลังทีม Dev เต็มออฟฟิศ ผมเคยไปเยี่ยมเยือนที่ออฟฟิศช่วงนั้น เห็นมีกันเยอะนะ น่าจะราว 20-30 คน ทีมการตลาด ทีมเซลด้วย แล้วก็ทีมเทรนนิ่งลูกค้า
...
แต่แล้วผ่านไปอีกปี ถ้าผมจำตัวเลขไม่ผิดนะ โปรเจคนี้ก็ยังคงขาดทุน (ไม่มีกำไร) 3 ปีรวด รู้สึกจะติดลบไปหลายล้านเลยแหละ
ในหัวผมคิดเลยว่าคงมีแต่คนบ้าเท่านั้นล่ะ ที่เล่นเสียแล้วเสียอีกก็ยังจะลงไปเล่น รอให้หมดตัวก่อนหรือไงถึงจะเลิก
...
วันเวลาของเขามาถึงแล้ว
ในปีต่อมาของโปรเจคนี้ฐานลูกค้าแน่นเข้าเรื่อยๆ โปรดักเองก็มีฟังชั่นเยอะมากขึ้น มีทั้งพวก Sale Page, E-Commerce ต่อกับ Lazada, Shoppee ต่อกับ PEAK Account, Flow Account, Zort, และอื่นๆ เรียกว่าเกาะทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโลกการซื้อขายออนไลน์
โยงไปถึง Facebook Page, Live และอะไรอีกเต็มไปหมด
นั่นล่ะฮะท่านผู้ชม กำไรของปีที่ 4 ฟาดไป 20 กว่าล้าน
และในปีต่อๆ มาก็โดดไปเรื่อยๆ 35 ล้าน 50 ล้าน และไปจนหลักร้อยล้าน
...
แต่ก่อนไปกรุงเทพ ผมจะได้แวะหาเพื่อนคนนี้เป็นประจำ
ดื่ม กินเที่ยว ด้วยกันเสมอ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนร้อยล้าน ที่ไม่มีเวลาได้คุยกันอีก และผมเข้าไม่ถึงตัวเขาแล้ว หวังใจว่าสักวันเราจะได้พบกันในบรรยากาศเก่าๆ ที่เคยได้สนุกสนานแบบเป็นกันเอง
เรื่องราวของเพื่อนคนนี้สอนให้ผมรู้ว่า
โลกของการทำธุรกิจ แพ้ 10 ครั้งไม่เป็นไร ขอแค่เพียงชนะหนเดียวก็คุ้มแล้ว
และอีกหนึ่งบทเรียนที่ได้รับ
มันไม่ได้สำคัญหรอกว่าเราหมัดหนักแค่ไหน
แต่สำคัญว่าเรารับหมัดได้หนักและนานแค่ไหนต่างหาก
...
ทิ้งท้าย
ผมขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเพื่อนคนนี้
ถ้าหากเขามาอ่านบทความนี้ ก็จะรู้ว่าผมเขียนเรื่องราวของเขาอยู่
อยากบอกกับนายว่า นายคืออีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้เราต่อสู้ยามท้อ
ความสำเร็จที่นายพิสูจน์ให้เราได้เห็นกับตา
มีค่ากว่าพวกตำราเรียน หรือคำสวยๆ จากไลฟ์โค้ชเป็นร้อยเท่า
ขอบคุณกับเบียร์ทุกขวดที่เคยเลี้ยง
ขอบคุณเรื่องราวที่นายไม่ได้เล่า แต่เราเห็นด้วยตัวเอง
นาทีนี้ ขอยอมรับและคารวะจากใจ อย่างไร้ข้อกังขาทุกประการ
นายไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมเมอร์ที่เก่ง
แต่นายเป็นผู้บริหาร นักการตลาด ที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง
...
กำแพงเมืองจีนไม่ได้สร้างในวันเดียวฉันใด
ความฝันอันยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้สร้างกันในวันเดียวฉันนั้น
เอาบทความดีๆ จากอาจารย์ท่านนึงมาฝากจวั๊ฟ
วันนี้มีประชุมใหญ่ประจำปีของบริษัท แล้วมีพูดเรื่องนวัตกรรม แต่ละเรื่องที่พูดยังวนเวียนอยู่กับเรื่อง เงินคริปโต NFT Metaverse กันอยู่เลย
คืออยากโชว์ว่าตามเทรนด์ก็ช่วยอัพแพทช์กันหน่อยเถอะ ชาวบ้านชาวช่องเค้าถอนสมอหนีเรื่องพวกนี้กันไปถึงไหนแล้ว
ที่หนักสุดคือคนนึงออกมาพูดชื่นชมนวัตกรรมเครื่องตรวจเลือดของ Elizabeth Holmes คือเค้านอนหลับไปหลายปีแล้วเพิ่งถูกปลุกให้ขึ้นมาพูดหรอ
สวัสดีครับ มีพี่ๆเพื่อนๆคนไหนพอจะแนะนำเกี่ยวกับ bootcamp ของ Generation Thailand หน่อยได้ไหมครับ หารีวิวมาหลายที่แล้วก็ไม่เจอ เห็นเปิดมา 4 ครั้งแล้ว มันดีไหมครับ
รู้สึกหมดไฟจริงจังว่ะ จากตอนแรกแค่ขี้เกียจทำงาน ตอนนี้งานอดิเรกเขียนโปรแกรมเล่นๆที่แต่ก่อนทำได้ไม่มีเบื่อก็ขี้เกียจทำซะแล้ว
อัพเดตชีวิตตอนนี้ อายุ 30 แล้ว อยากหางานประจำ อยู่ยาวเกษียณ ตอนนี้ทำ outsource บริษัท finance, banking อยุ่ ได้แค่เกือบๆ 70k เอง (เหมือนที่นี่เงินเดือนที่เค้าให้ได้ใกล้ตันแล้ว แล้วเงินนี้มันน้อยไปไหมถ้าเทียบกับพวกนาย ประสบการณ์ 6 ปีครึ่ง) เอายังไงกับชีวิตดี พี่ พนง ประจำ ที่เคยทำงานด้วยกันที่ลาออกไป ก็แนะนำว่า เรามาสายนี้ก็ไปสาย finance banking ต่อไปเถอะ เงินดี พวกนายคิดว่าไงบ้าง
ไม่ได้มาบอร์ดนี้นาน
>>917 ไหนๆก็มาทางนี้แล้วถ้าไม่รังเกียจก็ทำสายนี้ต่อก็ได้มั้ง
ถ้าไม่ชอบความเรื่องเยอะของแบงค์ เดี๋ยวนี้ก็มีที่ๆเค้าปรับเปลี่ยนแนวทางแล้ว หรือไม่ก็ไปอยู่บริษัทลูกของแบงค์แทนได้
เปลี่ยนเป็นประจำแล้วเรื่องเงินเดือนอย่าดูแค่ตัวเลข อย่าลืมเทียบปัจจัยอื่นๆด้วย
อย่างสวัสดิการ โบนัส (ซึ่งเอาจริงๆแม่งก็เอาแน่นอนไม่ค่อยได้) ความหนักของงาน โอกาสเติบโต ฯลฯ
โม่งกุถามหน่อย
อุปกรณ์ iot ที่กุใช้อยู่มันมีให้เลือกส่งค่าเป็น json โดยใช้ https protocol
ถ้ากุอยากจะอ่านค่าที่ส่งไปต้องทำยังไงบ้าง
เพื่อนโม่ง ในนี้มีใครทำงาน/มีเพื่อนทำงานสาย IT ในบริษัทรถไฟฟ้า B*S,M*T มั่งปะ อยากรู้ว่าเงินเดือนกับสภาพแวดล้อมเป็นไงมั่ง เห็นเขาเปิดรับสมัครอยู่ อยากไปลอง แต่ก็อยากได้ข้อมูลไว้เตรียมตัวด้วย
kbtg ดีไหมพี่โม่ง
ต้องทำงานกับคนแผนกอื่นที่ตำแหน่งและอายุก็ไม่ได้น้อยแล้ว แต่ต้องมาเถียงกับมันเพราะมันไม่เข้าใจว่า empty string กับ null ไม่เหมือนกัน กูจะบ้าตาย
กุอยากรุ้พวกหา โปรแกรมเมอร์ที่ใน กลุ่ม job for thai programmer เช่น salary up to 100k 120k 150k มันเอาโปรแกรมเมอร์ไปทำไมวะ โค้ดเฉยๆ ทำทุกอย่าง เป็น lead, senior หรืออะไร ทำไม
>>927 ลองเข้าไปดูต้นทางสิงาน recruit ทั้งนั้นแหละ หามาหลายคนแล้วกรองๆ จับส่งให้ บริษัทที่ต้องการด่วนอีกที และถ้าเงินเดือนให้สูงผิดปรกติให้เข้าใจไว้ก่อนมักเป็น contract ที่เช็นไว้รัดกุมมาก ถ้าว่ากันง่ายๆ คนมาพัฒนา software มันถูกกว่าจ้างบริษัทข้างนอกทำให้ไง แล้วก็ระวังไว้หน่อยว่าถ้าชื่อโนเนมก็ one for all ไปประชุม แล้วทำทุกอย่างเองเลยจนส่งงาน รวมทั้ง present เองด้วย ไม่ต้องมี lead senior อะไรทั้งนั้น
กุรุ้สึกตันๆกับงานที่ทำอยู่
ทุกวันนี้ทำเกี่ยวกับพวก iot ดูทั้ง hardware พวก sensor gateway router, software ก็พวก database api dashboard
มันพอจะไปต่อทางไหนได้อีกไหมวะ
พี่โม่ง น้องทำงานมาปีครึ่ง ยังไม่มีโบ ไม่มีปรับเงินเดือน ย้ายเลยดีไหม หรืออยู่ต่ออีกหน่อย
ขอ how to ทำงานกับ ux/ui แบบไม่ให้หงุดหงิดหน่อย
อย่าหาว่าโม่งสอน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนหรอกคอร์สเทสเตอร์ไรพวกนี้ ส่งไปกี่บ.เขาก็ไม่เอา คอร์สขายฝันหลอกคนจบไม่ตรงสายย้ายงานไปไอที หมดค่าคอร์สเรียนเป็นหมื่นได้ใบเซอร์มาแต่สมัครงานไปหลายที่เขาก็ไม่เอา โดนตอกกลับมาว่ารับแค่คนจบตรงสายอยู่ดี
>>938 ปกติสัมภาษณ์ไม่ดูผิวเผินแค่จบที่ไหนมาหรอก สายนี้โดยมาก (ย้ำว่าโดยมากนะ) ไม่ได้สนใจเรื่องวุฒิมากมายอะไรด้วย
มันต้องให้ทำข้อสอบ ถามทดสอบความรู้ ความสามารถ ดูทัศนคติก่อนถึงจะเทียบว่าได้จะเลือกคนไหน
แต่ปัญหาคือเด็กจบมหาลัยไม่ดังแล้วเป็นเด็กจบใหม่อีก กับคนย้ายสายที่เอา cer คอร์สขายฝันมาแปะ
มันก็มีสิทธิที่ resume จะโดนเขี่ยออกตั้งแต่ยังไม่สัมภาษณ์สูงทั้งคู่เลย
แล้ววงการนี้มักไม่รับเด็กจบใหม่กันด้วย ส่วนมากเค้าอยากเลือกคนที่มีประสบการณ์ประมาณนึงแล้วมากกว่า
พวกบูชาใบปริญญาหลุดมาจากไหนวะ 🤮
https://twitter.com/remino/status/1702108812873011316?s=20
เรื่องแค่นี้ต้องดราม่าเลยเรอะ กูเห็นแอค htmx ก็ชอบเล่นมุกอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
ไม่แน่ใจว่าฝั่ง bun ไม่เก็ทว่าเป็นแค่มุกเล่นเอาฮาเลยดราม่า หรือจริงๆรู้อยู่แล้วแต่ก็จะดราม่าอยู่ดี
>>944 ไอที มันมีหลายสาขา ถ้าพวก network / system ที่ทำแบบเป๊ะๆ มีรูปแบบตายตาย พวกนี้ใบเซอร์มีค่าในการพิจารณา มากกว่าวุฒิ
คือวุฒิมันจะพิจารณายังไง ในเมื่อวิชาที่เรียนอยู่กับงานที่ใช้มันไม่ตรงกันเลย (ยกเว้นส่วนภาษา)
ส่วนโปรแกรมเมอร์ อันนี้เนื่องจากภาษา กับเครื่องมือ มันเปลี่ยนบ่อย แล้วโปรแกรมมันแตกเป็นหลายรูปแบบ ทำเกม ทำเวป ธรุกิจ โรงงาน โรงแรม บัญชี ทำเครื่องมือ ระบบอัตโนมัต ระบบขนส่ง..... etc ดังนั้นวิธีคัดคนฝั่งโปรแกรมเมอร์ถ้าเคยมีพอร์ทงานอะไรคล้ายๆ กัน ก็รับมาทำแค่นั้นแหละ หรือถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็ทำข้อสอบในส่วนระบบที่คิดว่าต้องใช้เอา
ส่วนซัพพอร์ต อันนี้ฐานต่ำสุด มึงประกอบคอมลง windows ได้ เข้าหัว lan ได้หน่อยก็รับ แถมวุฒิไม่ต้องใช้ด้วย พวกนี้เน้นถูกเป็นหลัก
และส่วนมากพวกนี้ก็ไม่ได้ทำตลอดชีพหรอก ทำได้ซักพักมักหนีไปสอบ network / system เอาทีหลัง
https://twitter.com/java/status/1704127335983644701
Java LTS ใหม่ออกแล้ว ที่ออฟฟิซ service เก่าๆบางตัวยัง Java 8 อยู่เลย 555
งานสาย DevOps มีอนาคตแค่ไหน กูไม่ชอบและพยายามจะหนีแต่ก็หนีไม่รอด ทำงานที่ไหนเขาตำแหน่งอะไรก็ลากกูมาทำอยู่ดี จนตอนนี้ชื่อตำแหน่งกลายเป็น DevOps ไปแล้ว, head hunters ก็ทักมาแต่ตำแหน่ง senior devops engineer เอาดีไปเลยดีไหม
สัมภาษณ์เส้นทางชีวิต ก่อนจะมาเป็น Software Engineer ที่ Google Switzerland (Part 1)
https://www.youtube.com/watch?v=GDjqr8klJOA
WFH ก็ดีอย่างนึง บางวันกุปวดหัว เปื่อยๆ ถ้างานไม่เยอะ หรือไม่รีบเท่าไหร่ก็พอได้พักบ้างแบบไม่ต้องใช้วันลา แต่มา recovery ทีหลัง หลังจากหายป่วยเพื่อให้งานเสร็จทัน
มีใครเคยทำระบบแนวๆที่ต้องมี notification คล้ายๆที่มีในพวก SNS บ้างมั้ย
สงสัยว่าเวลาเก็บข้อมูลลงว่า notification ของ user แต่ละคนใครมี notification อะไรบ้าง อันไหนเห็นไปแล้วหรือยังไม่เห็นนี่มันเก็บกันแบบไหน
ถ้าเก็บลง Database ดื้อๆมันน่าจะเยอะมากจน query ช้าเป็นคอขวดของระบบ
จากที่หลายคนไปเจอมีม ว่ามีเดฟทำรายได้วันละ 100,000 โดยการทำงานละ 100 บาท ทำแค่วันละ 1,000 งาน ก็ได้ละวันละแสน
ถามว่าเป็นไปได้ไหม
ในหลักการปกติ เป็นไปได้ยากเพราะแต่ละงานใช้เวลาเขียนเยอะ
แต่ถ้าเราใช้แนวคิดใหม่ สร้างงานเดียวพอ ขายสัก 100 บาท เหมือนกัน แต่ขายคนได้ 1,000 คนในวันเดียว (ได้นะ เช่น แอพ หรือพวก SAAS) พวกนี้ เพียงแค่ว่ามันก็ไม่มีอะไรการันตีหรอกว่าคุณจะได้แบบนี้ทุกวัน
เรื่องของรายได้มัน dynamic อยู่แล้ว คนทำงานสายนี้เขารู้กันหมด
คำถามก็เลยกลายเป็นว่า ตกลงมันเป็นไปได้ หรือไม่ได้กันแน่
คำตอบคือมันเป็นไปได้ แต่ว่าคุณจะต้องสร้างอะไรบางอย่างให้มีคนอยากโหลด และยอมจ่ายเงินให้สิ่งนั้นวันละ 1,000 คน คนละ 100 บาท
หรืออาจจะปรับใหม่ ขาย 1,000 บาท ให้คน 100 คน (เออ ค่อยดูเหนื่อยน้อยลงหน่อย)
เรามองกันว่าพันบาทแพงไปไหม สำหรับผมนะ ไม่แพง ผมเองเคยซื้อแอพ ซื้อเซอวิส ซื้อโปรแกรมบางอย่างแพงกว่านี้ด้วยซ้ำ เช่น โปรแกรมอัดวีดีโอ ผมซื้อ 4,000 กว่าบาท หรือแอพพวก ToDoList, Mail Service และอื่นๆ ในราคาแพงกว่า 1,000 บาท
ลองดูครับ
ไอเดียเล็กๆ เป็นไปได้เสมอ แค่มองหาจุดขายให้เจอ
วันละ 100,000 ก็เดือนละ 3 ล้าน ปีนึง 36 ล้าน
ไปส่องรายได้ บ. เทคกันใน DBD มีคนทำได้เยอะแยะเลย ถ้านึกไม่ออก ไปดูของ อ. เล็ก แห่ง CodeMobiles ครับ เจ้านั้นเขาก็ทำรายได้อยู่ประมาณนี้
ขออนุญาตินะครับท่านเทพ อ. เล็ก เพราะข้อมูลพวกนี้ไม่ได้เป็นความลับอะไร ก็เลยขออ้างอิงหน่อย
แล้วก็มีอีกเยอะแยะหลายเจ้าเต็มไปหมด บางเจ้าเขาทำรายได้วันละ 1,000,000+ ก็มี อันนั้นเราจะไม่พูดกันละกันเนาะว่าเจ้าไหน
จะไปลงวิทย์คอมของ มสธ เอาวุฒิดีมั้ยพี่โม่งแนะนำหน่อย แต่หนังสือแต่ละเล่มเนื้อหาทำไมมันเยอะนักวะ https://readonline.ebookstou.org/flipbook/22069/mobile/index.html#p=1
>>959 เห็นคำว่าเอาวุฒิเลยไม่แน่ใจว่าอันนี้คือมึงอยู่ ม.6 กำลังจะเข้ามหาลัย
หรือทำงานแล้ว แต่อยู่สายอื่นแล้วอยากย้ายมาทำ IT
หรือเขียนโปรแกรมเป็นอยู่แล้ว แต่อยากได้วุฒิมาเพิ่มความน่าเชื่อถือเวลาหางาน
เรื่องหนังสือเรียนกูว่าจะหนังสือไทยหรือของนอกมันน้ำเยอะเป็นปกติอยู่แล้วอ่ะ
ถ้าเน้นรู้เรื่องแนะนำว่าหาตามเว็บที่มีให้อ่านฟรี / tutorial วีดีโอบน youtube ดีกว่าอ่านหนังสือเรียนพวกนี้เยอะ
และนำแนะว่าอยากให้อ่านภาษาอังกฤษมากกว่า สำหรับคนไม่ได้ภาษาแรกๆมันก็ฝืนหน่อย แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง
เพราะในการทำงานจริงมันต้องหาข้อมูลด้วยภาษาอังกฤษตลอกเวลา เอกสารก็เป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าเรียนด้วยภาษาไทยมันจะงงคำศัพท์ และมีปัญหาอื่นๆตามมา และทำให้การทำงานติดขัดมาก
>>963 วุฒิจำเป็นแค่ไหนนี่กูคิดว่าก็ไม่เท่าไหร่ แต่ของแบบนี้มันก็แล้วแต่ที่ด้วย
มันจะยากเป็นพิเศษตอนหางานแรกที่เค้าจะรับคนไม่มีทั้งใบปริญญาและประสบการณ์การทำงานนี่แหละ
ต้องหาที่ๆใจกว้างประมาณนึง ยินดีสอนงานคน และทำให้คนรับเค้าเชื่อว่ามึงทำงานได้โดยไม่มีทั้ง 2 อย่างนี้ให้ได้
ซึ่งเวลาสมัครงานมีโอกาสที่ไม่ถูกเรียกสัมตั้งแต่แรก เลยจบตั้งแต่ไม่มีโอกาสได้โชว์ความสามารถ
แต่การมีโปรเจคส่วนตัวไปแปะใน resume มันก็ช่วยทำให้ดูดีขึ้นอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาสก็ลองทำอะไรเล่นๆแล้วแปะไปเพิ่มดู
หรือเบื่อๆ ฝึกเขียน malware หรือ trojan ก็สนุก เอาไปปล่อยใน discord
https://www.blackbox.chat/
>>967 จากประสบการณ์ส่วนตัวกูคิดว่ามันน้อยที่ที่จะต้อง design Database ใหญ่ๆ
ถ้าไม่นับพวกงานสาย data ที่ต้องเรียนเรื่องพวกนี้มาเฉพาะอยู่แล้ว
แต่ก็คิดเหมือนกันว่าเรียนจากคอร์สออนไลน์ดีๆนี่ดีกว่าการไปอ่านหนังสือเรียน หรือเรียนมหาลัย โดยเฉพาะถ้าไม่มีปัญหาเรื่องจะเอาวุฒิ
รู้สึก project manager นี่แม่งหาคนพอดีๆยากจังวะ เจอประเภทไม่ใส่ใจ (เสือก) มากเกินไป ก็เป็นประเภทไม่ทำห่าอะไรเลย
มีใครทำบ.ต่างชาติที่ไม่มี hq ในไทยบ้าง ได้ยินว่าภาษีโหดกว่าทำบ.ที่มีสาขาในไทยนี่จริงรึเปล่า
.....
พี่โม่งคนไหนเคยมีประสบการณ์ title ไม่ตรงงานที่ทำไหม กำลังสงสัยว่าตัวเองกำลังถูกลิมิตเงินเดือนด้วย title: developer ทำดา แต่ทุกวันนี้เขียน ai/ml อะ แปลกป่ะ
>>969 เห็นข้อความนี้แล้วกูอยากจะร้องไห้ เพราะตอนนี้กูเจอประเภทหลังอยู่ ไม่เห็นทำห่าไรเลยอ่ะ มีแต่ถามว่าตอนนี้กูทำอะไรอยู่ แต่ถึงรับรู้ไปมันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีกว่ากูทำอะไรอยู่ คือสรุปตำแหน่งนี้มันมีไว้ทำไมวะ ? รู้สึกเหมือนแม่งทำนาบนหลัง dev ยังไงก็ไม่รู้ หรือกูเจอคนเหี้ย
DEV ที่กูเคยเจอไร้ประโยชน์กว่า AI อีก
>>975 หลักๆ เลยตำแหน่งนี้เอาไว้คุยอย่างเดียว ไม่ว่ากับกับลูกค้า คุยกับเซล ทำงานกึ่ง AE หา Supplier ติดต่อปริษัท server / service / license ต่อรองกำหนดส่ง ประสานงานข้ามสาขา จัดคิวงาน
ไอ้ตำแหน่งนี้ไม่ต้องมีก็ได้ถ้า Dev ทำงานพร้อมคุยได้ตลอดวัน
กูเคยทำควบ PM กับ Dev นะ สรุปคือไม่รอดจ้า ประสาทจะแดกเอา ระชุมทั้งวันอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เพราะต้องผ่านลูกค้าประสาทแดก Supplier ห่วยแตกนั่นแหละ ได้มาทำงาน Dev ได้ทำเอาตอนทุ่มนึงตอนนั้นก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว สุดท้ายต้องโอนงาน PM ไปให้คนอื่นแทน
ปล. เวลาทำงานส่วนมากมันก็บ่นว่างานกูหนักสุดทุกคนนั่นแหละ เพราะมันมองเห็นแค่งานตัวเองไง เอาแบบ Sale ก็ได้ถ้าดูผ่านๆ ไอ้นี่งานไม่หนักเลยได้ยอดได้เงินเพิ่มและ บริษัทก็โอ๋มากไม่ต้องเข้างานก็ได้ แต่ถ้าลองไปทำจริงจะรู้ว่าเครียสชิบหาย บุคคลิกบางคนนี่ไม่เหมาะทำไม่ได้
>>977 กูคือคนที่บ่นนะ ขยายความเพื่อความเคลียร์ละกันว่าไอ้งานคุย+ทำเอกสารตาม process ของบริษัท ซึ่งเป็นหน้าที่ของมันโดยตรงมันยังไม่ทำเลย เฉไฉโยนให้คนอื่นคุยแทน/ทำแทน มีคนเหลืออดไปจี้ในที่ประชุมว่าแต่นี่มันหน้าที่มึงนะมันยังหน้าด้านหาข้ออ้างไม่ยอมทำเลย ส่วนถามว่าทำไมไม่ฟ้องผู้ใหญ่ คือนึกภาพบริษัทใหญ่มากๆ แถมในโปรเจคคือคนทีมไหนก็ไม่รู้มีเป็นสิบทีม ไม่รู้จะฟ้องใคร ฟ้องผู้ใหญ่ไปก็ดูเป็นคนขี้ฟ้องเปล่าๆอีก
>>977 PM ที่กูเจอไม่ทำอะไรเลยอ่ะมึง ไม่ต้องติดต่ออะไรด้วย ซึ่งจริง ๆ ต้องทำเอกสารนะแล้วก็ต้องช่วยทีมตัดสินใจในบางเรื่อง แล้วทีมกูก็เล็กมากมันไม่ต้องมีก็ได้อ่ะ เอา dev มาเพิ่มยังทำให้งานออกมาเยอะกว่าอีกอ่ะแต่ไม่เอา เอาคนไม่รู้ห่าอะไรมาเป็น PM ก็ไม่ได้เพิ่ม productivity ทีมอะไรอยู่ดี สรุปคือกูเห็นด้วยกับมึงตรงที่ว่าถ้า dev พร้อมคุยก็ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ถ้าทีมใหญ่ stakeholder เยอะก็ควรมีอ่ะ มันจะทำให้การทำงานราบรื่นขึ้นมาก ๆ แต่ถ้ามีแล้วเหมือนไม่มีไม่ต้องมีดีกว่า
>>978 มึงเจอคนเหมือนกูเลยนะ คนที่กูเจอก็โยนแม่งตลอด เบลมเก่งเป็นที่หนึ่ง งานตัวเองไม่ทำไรเลยดีแต่พูดอย่างเดียว พูดทีก็ถามว่า dev จะเสร็จเมื่อไหร่ ทำไมอันนี้ไม่เสร็จ ทำไมอันนี้บอกเวลาเลยไม่ได้ แต่ไม่เคยคิดจะเข้าใจห่าไรเลย ลอยตัวเหนือทุกอย่าง กูก็อยากถามมากว่าจะมีไว้ทำไม แบบที่ดี ๆ ก็คงมีมั้ง แต่กูโชคร้ายไม่เจอ ดันเจอพวก free rider
Complex System, Emergent
นอกเรื่องหน่อยเพื่อนโม่ง กูจะไปสาย FullStack ยุคนี้เวบมันมีโฮสเจ้าใหนดีๆบ้างสำหรับเวบแอป
แล้ว docker / kuber aws เรียนตัวใหนดี หางานในไทย
แล้วเวบขนาดใหญ่ lazada shopee nocnoc ใช้ตัวใหน
มือใหม่เปิดโลกทำเวบจ้า
คือกูจะทำ demo project webapp + mobile + backend กะทำไว้ต่อยอดเป็น pitching project ด้วยเลย
แต่กูโง่เรื่องเวบมาก เพราะบ้านไม่รวย สมัยเรียนค่าโฮสแพงๆไม่มีจ่าย ทำได้แค่พวกโมบาย ตอนนี้มีตังแล้ว หน้าใหม่หัด FS
กึ่งๆโดนบังคับให้มาเป็น team lead แล้วรู้สึกไม่ค่อยชอบเลยว่ะ อยากทำงานนั่งเขียนโค้ดเงียบๆ ไม่ต้องยุ่งคนอื่นเกินจำเป็น
ไม่อยากมาเข้าประชุม ทำดีไซน์ ทำสไลด์ บรีฟงานน้อง ตรวจงานน้อง คุยกับคนทีมอื่นแล้ว...
>>987 ก่อนจะมางอแง มึงลองสมัครแล้วเข้าไปอ่านก่อนเถอะโยม
ตัวที่ใช้งานมันก็แค่ตัวติดตั้งนะ สมมุติ html / css / javascript มึงก็ไปใช้ codepen เขียนบนเว็ปได้เลย กะอีแค่เปิดเว็ปอะไรก็ได้มือถือ table ได้หมด
ส่วน requirement มันคืกกรณี run บนเครื่อง ส่วนเหตุผลมันก็เขียนบอกว่าไม่อยากยุ่งยากเสียเวลาไล่เพราะแต่ละเครื่องชอบลงเหี้ยอะไรไว้หลากหลายต้องมา support พวกโง่งอแง config มั่วซั่วไป Mac / Linux จบๆ อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรไปป่วนระบบมัน กรณีใช้ Win ก็ลง Virtual Machine รัน Linux ไปดิ
ปล. อยากให้สอนส่วนติดตั้งบน win ตรงๆ เริ่มต้นด้วยพื้นฐาน แล้วถ้ามึงเป็น newbie ด้วย กูแนะนำให้มึงไปซื้อ course udemy เหอะ
hello พี่โม่ง ว่าจะเรียนโทไอที เรียนที่ไหนดีครับ เล็ง ลาดบังกะ มศว ไว้อยู่
เห็นมีคุยกันเรื่อง front end สายเว็บ สงสัยว่าเวลาพวกมึงจะเลือก framework นี่เลือกจากอะไร
แล้วเคยรู้สึกว่าตัวเองเลือกผิด ต้องมาเริ่มเรียนรู้ใหม่หมดจนเสียเวลาเสียโอกาสบ้างมั้ย
คือกูเป็น backend แล้วเวลาฟังคนเป็น front end สายเว็บ คุยกันแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน
ทั้ง framework เลือกผิดชีวิตเปลี่ยน กับเทรนด์ที่แม่งเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่น
>>991 มองแนวกว้างดูไม่ว่าภาษาไหน หรือจะวาดกระดาษ concept responsive ภาษาไหนก็เหมือนกันหมด ส่วนที่เหลือถ้าพวก web / app ยิ่งง่าย ให้ยึดหลัก html css ธรรมดาที่เหลือมันแค่ตัวช่วย (บางที framework เสือกช้ากว่าเขียนดิบ) วางโครงได้ที่เหลือ animation มันแค่แฟชั่น แฟนซี เอาจริง timing ถ้ามึงเคยเขียนเกมนี้หมูเข้าปาก
ส่วน backend web ช่วงหลัง ส่วนตัวแล้วถ้าไม่ใด้ทำอะไรบ้าบอคอแตก กูใช้ wordpress ปิดงานซะส่วนมากว่ะ เพราะถ้าใช้ framework เป็นทางการ รู้สึกเปลือง ในเมื่อส่วนที่จะใช้เดี๋ยวนี้มันมีให้ครบหมดแล้ว ต่อ firebase / cronjob / ap / แบ่งระดับ account มันทำได้หมด เลยใช้อะไรที่ปิดงานไวดีกว่า
Agoda เปนไงบ้างพี่โม่ง รีวิวหน่อย
มีใครเคยสัม lseg/abacus/techx บ้างอ่ะ อยากรู้สัมเป็นไงบ้าง
เราจะวิจารณ์หรือด่า Solution ได้ยังไงถ้าเรายังไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะแก้ปัญหาอะไร
สมัยก่อนคนหลายคนวิจารณ์ Go ว่าห่วยเพราะไม่มี Generic โดยไม่เข้าใจว่า Go มันออกแบบมาเพื่อเน้นแก้ปัญหาอะไร คือเขาต้องการ System programming language ที่มี Dev productivity ที่ดีและ Learning curve ต่ำ เขาก็เลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นจนมันมาหลังๆ
สมัยนี้เห็นคนบ่นว่าเว็บ Complex กว่าทำ UI สมัยก่อน แต่ไม่ได้เข้าใจว่า Web app เดี๋ยวนี้มันมี Brand identity ที่ต้องใส่เข้าไปในแต่ละเว็บไซต์หรือแม้แต่เว็บแอพ ลองทำ ปุ่ม Label Textbox ที่แบบต้องได้สีได้ลุคแอนด์ฟีลที่ใช่ที่เข้ากับ Brand identity ในสมัยที่เรามี Winform ดิ เหนื่อยมากนะ
(นี่ผมยังไม่นับเรื่อง Interactivity นะ เว็บเดี๋ยวนี้กรอกฟอร์มเป็น Wizard แบบสมัยก่อนไม่ได้แล้วนะ)
บางคนอาจจะเถียงกลับว่า UI ที่ดีควรล้อเข้ากับ Native อะไรที่อยู่บนแมคก็ควรมี Look & Feel แบบแมค อะไรบนแอนดรอยด์ต้องเป็นตาม Guideline ของแอนดรอยด์ดิวะ ทำไมคนสมัยนี้ UX ทำตามใจแบรนด์ตัวเองหมดไม่เคารพแพลตฟอร์มเลย
อันนี้คือข้อแตกต่างระหว่างโจทย์ที่ว่า
"เราให้ความสำคัญกับปัญหานี้เยอะไปมั้ยทำไมเราต้องมาบ้าเรื่องทำ Custom UI ที่ตรงกับแบรนด์ Identity ขนาดนี้ มันใช่มั้ยเนี่ยที่จะเอาปัญหานี้มาเป็นจุดโฟกัสของงานแล้วสร้างเฟรมเวิร์คเยอะแยะไปหมด"
กับ
"ปํญหานี้ที่เราเลือกมาแล้วว่าจะแก้ เราจะสร้าง Custom UI ให้ได้แล้วเนี่ย เราได้สร้าง Solution ที่ดีสมเหตุสมผลมั้ย มัน Unnecessary bloat, ไร้ประสิทธิภาพและซับซ้อน complex เกินไปมั้ย"
เนี่ยเป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนมาก คำถามแรกคือ Design question ส่วนคำถามที่สองคือ Problem solving question สองโจทย์นี้เป็นโจทย์คนละระดับกันเลย มันเอามาปนกันแล้วจะงงไปหมด
มันเหมือนคุณวิจารณ์ว่าค้อนแม่งแย่เพราะเอามาใช้ตีลูกปิงปองแล้วมันตีไม่เป็นโดนเลยเงี้ย มันไม่ได้เว้ย เออ คุณไม่สนใจเรื่องตอกตะปูสนใจแต่เรื่องตีปิงปองก็ไม่ผิดอะไรนะ แต่วิจารณ์ค้อนในกรอบที่ราวกับว่าคนสร้างและใช้ค้อนเขาไม่ได้อยากตอกตะปูแต่อยากตีปิงปองเนี่ยมัน..... ผิดที่ผิดทางไปหมด
ในซอฟต์แวร์นี่เจอบ่อยมากที่คนใช้เลนส์แบบฉันอยากจะตีปิงปองเลยวิจารณ์ทุก Design decision ราวกับว่าทุกๆ System ออกแบบมาตีปิงปอง
"Go ไม่มี Generic ไม่มี Type system ที่ดี กาก" โปรแกรมเมอร์ที่คิดว่าโลกนี้ Type safety เท่านั้นคือปัญหาที่สำคัญ
"Ruby on Rails ช้า กาก" โปรแกรมเมอร์ที่คิดว่า Machine performance เท่านั้นคือปัญหาที่สำคัญ
(ซึ่งแปลกไอ้แนวคิดแบบที่ว่าปัญหาที่กูสนใจเท่านั้นคือปัญหาสำคัญของโลกนี้ที่ทุกระบบต้องออกแบบโดยใส่ใจสิ่งนี้เป็นที่สุดนะเว้ย เจอบ่อยในโปรแกรมเมอร์ต่างชาติมากกว่าไทยแฮะ ถ้าจะมีอะไรที่คิดว่าโปรแกรมเมอร์ไทยโดยเฉลี่ยทำได้ดีกว่าก็เรื่องนี้)
"Modern web development สมัยนี้มัน Bloat และซับซ้อนไปหมด" เนี่ยเจอคนที่วิจารณ์อย่างเข้าใจว่า Modern tooling มันมีไว้แก้ปัญหาอะไรน้อยมากๆ คือผมก็คิดว่า Modern tooling มันมีอะไรให้พัฒนาได้เยอะและก็มีข้อให้ติเยอะมากเลยนะ
แต่เจอแบบ "ทุกคนควรกลับมาทำ DOM Manipulation เพราะมันเร็วกว่าเปลืองทรัพยากรน้อยกว่าและไม่ซับซ้อน" อันนี้คือดูไม่เข้าใจไปเลยว่านี่มันค้อนตอกตะปู ไม่ใช่ไม้ปิงปองเว้ย
คือผมคิดว่าเราจำเป็นจะต้องเข้าใจว่า
1. Design กับ Problem solving มันเป็นโจทย์คนละแบบ การเลือกปัญหาที่ใช่ กับการแก้ปัญหาที่เลือกมาแล้ว มันคือโจทย์คนละอย่างกันเลย ถ้าไม่เข้าใจว่ามันคนละเรื่องก็จะมองหรืออ่าน Solution แบบผิดเพี้ยนไปหมด ยังไม่ต้องพูดถึงการวิจารณ์
2. การเลือกปัญหาให้มันทำผ่านการเข้าใจว่ามนุษย์เรามี Unmet need อะไรบ้างที่เป็นไปได้
3. ความสามารถในการเข้าใจ Empathize กับ Unmet need ที่ "ตัวฉัน" รู้สึกเฉยๆ เป็นทักษะสำคัญที่ต้องมีในการทำงาน Design Software, Solution and Architecture มากกกก มากกว่าที่หลายคนอาจจะตระหนักรู้ (อย่างเช่นหลายคนที่ทำงาน low-level ก็มีที่มองว่าไอ้พวกที่มันโอดร้องว่าอยากได้เครื่องมือที่ช่วยทำงานง่ายขึ้น ต้องการ Garbage collector มันก็แค่คนขี้เกียจไม่มีทักษะในการจัดการเมมโมรี่! เราต้องทำของที่ไวสิวะแล้วต้องเข้าใกล้ Machine level ให้มากที่สุดสิวะ! อันนี้ก็คือขาดสามารถในการ Empathize ไปเลย)
เลือกปัญหามาแก้ถูก บางทีทำงานไม่ตรงเป๊ะลูกค้ายังเซ็นผ่านเลย เลือกปัญหาผิดมาแก้ ตรงตามสโคปในสัญญาทุกตัวอักษรยังไฝว้กันได้เลย (ผมไม่ตัดสินละกันว่าอันนี้ดีหรือไม่ดี แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง)
นั่นแหละที่สอน Humanistic architecture ก็คือตั้งใจจะ Address เรืองนี้ เป็นคอร์สที่ผมอยากสอนที่สุด คิดเอาเองว่ามีประโยชน์กับโปรแกรมเมอร์ที่พร้อมรับ อย่างน้อยผมก็พบว่าสำหรับตัวเองมันเป็นแกนกลางการทำงานของผมเลย
บางคนอ่านคอร์สและอ่านรีวิวอาจจะงงว่าเรื่องแบบจิตวิทยา การเข้าใจตัวเอง การเข้าใจคุณค่าและพื้นฐานของความต้องการมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกับ Software architecture design ยังไง งาน Software Architecture มันน่าจะเรียนเรื่องแบบ Distributed system, database, horizontal scaling, idempotency, design pattern อะไรพวกนี้ไม่ใช่เหรอ
ผมคิดว่ามันเกี่ยวอย่างที่สุดแล้ว เกี่ยวแบบคือ Step 0 ในระดับรากฐานที่สุดเลย คุณเลือกปัญหาอะไรมาแก้ก่อนล่ะ ปัญหาระบบล่ม? ปัญหาต้นทุน? ปัญหาฟีเจอร์ออกช้า? หรือไม่เลือกอะไรเลยออกแบบไปเรื่อยเปื่อย? ถัดมา คุณ Trade อะไรทิ้งไป ลดความสำคัญของปัญหาอะไรลงไปบ้าง
นี่อ่ะคือแกนกลางของงานออกแบบ Architecture ชัดๆ
ทั้งทักษะการ Problem solving และทักษะการ Design มันสำคัญทั้งคู่ แต่ที่สำคัญเลย มันเป็นคนละทักษะกันครับ และถ้าไม่เข้าใจ คิดว่าโลกซอฟต์แวร์มีชุดปัญหาชุดเดียวเท่านั้นที่สำคัญ (เช่นระบบไม่ล่มบ้างล่ะ ความมี Resource efficient บ้าง ต้นทุนการรันอินฟรา ความปลอดภัยขั้นเทพบ้าง) คุณจะไม่สามารถเห็นคุณค่าของ Solution หรืองานออกแบบที่ออกแบบมาแก้ปัญหาที่คุณไม่ได้เลือกได้เลย
ในประเทศไทยผมยกและซูฮกให้พี่เดฟไปแล้วเรื่องการสอนทักษะ Problem solving ผมว่าผมสอนได้ทั้งไม่ดีและไม่ลึกเท่าแกหรอก ให้แกดีกว่า
(ถ้าพี่ผ่านมาอ่านแล้วอยากให้ Tag บอกได้ เผื่อให้คนตามไปดูพี่ออกคอร์ส)
ผมอยากเสริมจุดที่ผมว่านักพัฒนาหลายคนมองข้ามคือจุดของงาน Design เวลามีคนความต้องการขมุกขมัวที่อึดอัดไปหมดจนพร้อมจ่างเงินมากมาย เราจะออกแบบว่า Concrete problem ที่ช่วยเยียวยาความต้องการนั้นได้คืออะไรนะ
แล้วจากจุดนั้น จึงทำการ Problem solving ต่อไป
(นี่เริ่มมาจากฟังคลิปใหม่ของ Theo ที่นั่ง Defend web development จากพวก "ปรมาจารย์ด้าน Performance" ต่างๆ ที่นั่งด่าว่าทำเว็บสมัยนี้มัน Bloat มัน Complex ช้าไปหมดมีแต่เครื่องมือไร้สาระแก้ปัญหาไร้สาระ ก็แบบ..... ของขึ้นอ่ะนะ เข้าอกเข้าใจในโจทย์กันก่อนดีมั้ยคะ)
มันมีหลายภาษาและหลาย Solution design ที่ผมกล้าพูดว่ามันออกแบบมาโคตรดีและงดงามจัดๆ แต่ผมไม่ชอบ เพราะมันไม่ได้แก้ชุดของ Problem ที่ผมคิดว่า Matter ในประสบการณ์ส่วนตัว ผมก็สามารถซาบซึ้งในความสวยงามของมันได้ และเลือกใช้มันได้เวลาที่ต้องการอ่ะครับ
1000
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.