>>>/tech/333/ โปรแกรมเมอร์ที่รัก
Last posted
Total of 1000 posts
>>>/tech/333/ โปรแกรมเมอร์ที่รัก
ไอสัสไม่มีใครต่อเลย
เราเป็นโปรแกรมเมอร์เงินเดือนเกินแสน ใครอยากถามอะไรถามมาไกเ
พวกมีง Outsource วันลากี่วันวะ กุ 6 วันต่อปี เยอะหรือน้อยวะ
https://fanboi.ch/game/8282/
ช่วยมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนติดเกมกันแล้วมาฝึกเขียนโปรแกรมกันเถอะ
เบื่ออารมณ์แบบฝ่าย technical กับ business ทะเลาะกันแล้วโปรแกรมเมอร์ต้องทำตัวเป็นนกสองหัวเพื่อความปลอดภัยของตัวเองว่ะ
แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ เดี๋ยวตกงาน
ในไทยบริษัทไหนสัมภาษณ์งานยาก ๆ บ้างครับ อยากไปลองเจอดู
คนทำงานประจำมา เคยเจอโปรแกรมเมอร์ที่เรียนเองกันบ้างปะวะ
กะทำโปรเจกต์เก็บพอร์ตเองไปสมัคร แต่จบไม่ตรงสายบริษัทเดี๋ยวนี้เขารับกันบ้างไหม
คอมติดไวรัส .zobm ทำไงถึงกู้ไฟล์ได้คับ
อยากรู้ว่าอัตราการผ่านโปรของคนอื่น ๆ อยู่ที่กี่ % หรือ เราอยู่ที่ 50%
ถามโม่งโปรแกรมเมอร์หน่อย ตอนนี้กูมีคอมเครื่องเดียวที่ซื้อมาทั้งเล่นเกมและเขียนโปรแกรม ปัญหามีอยู่ว่า SSD ติดเครื่องที่มันน้อย ลงเกมก็แน่นแล้ว
พวก tools โปรแกรมเมอร์ก็กินที่เยอะมาก แต่ไม่มีงบซื้อ SSD เพิ่ม ซื้อ SSHD มาใส่เพิ่มแล้วลง tools ทำงานบนนั้นจะเวิร์คมั้ย
ผมคิดมาตลอดนะว่าจะเขียนโค้ดได้ดี ต้องเข้าใจ Literature และ
Writing communication in general ด้วย ว่า อย่างพื้นฐานสุดก็งานเขียนต่างๆ มันมีผลต่อความคิดของคนอ่านยังไง การแบ่ง Chapter หรือย่อหน้าแบบไหนมีผลยังไง แบบไหนเข้าใจง่ายยาก เวลาอธิบาย Academic ที่ซับซ้อนทำยังไง
ถ้าเข้าใจพวกนี้จะเห็นว่าพวกเทคนิคต่างๆ ในการสเกลโค้ด มันเป็นแค่เครื่องมือนำมาใช้ในการทำ Written communication ที่มีคุณภาพเฉยๆ ไม่ใช่ปลายทาง
อย่างเมื่อกี้เขียนเรื่อง Terminology ถ้าไปอ่านงานเขียนดีๆ เขาจะมีวิธี Introduce term พิเศษในงานเขียนของเขาโดยที่ไม่ Overwhelming คนอ่านเกินไป มันจะมี Sweet spot อยู่นะ
ลองคิดดูว่าถ้า Lord of the ring ซึ่งเป็นนิยายที่มี Technical term เฉพาะโคตรจะเยอะ ดีไม่ดีเยอะกว่า Codebase ที่เราทำหลายๆ ตัวอีก ถ้าโยน Term ทั้งหมดไปให้คนอ่านแล้วบอกว่าเข้าใจพวกนี้หมดก่อนนะค่อยเริ่มอ่านนิยายของผม
แต่ที่เราเข้าใจเพราะ LOTR เลือกใช้ Term ที่ Well-known ในหมู่นักอ่านนิยายแฟนตาซี ช่วยลดปริมาณความสับสน แล้วก็ผสมกับใช้จังหวะในการแนะนำแต่ละคำศัพท์อย่างเหมาะสม ไม่ใช่ทีเดียวจบ
อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้เห็นว่า Literature มันมีเทคนิคหลายอย่างที่เราใช้ได้
ถามโม่งโปรแกรมเมอร์หน่อย ถ้าอยากลองเริ่มเขียนโค้ดมันมีที่ไหนเปิดสอนเป็นคอร์สบ้างมั้ยอ่ะ ราคาประมาณเท่าไหร่
แล้วพื้นฐานที่ควรมีคือไรบ้าง เลข? รึอะไรยังไง
>>42 เรื่องที่เรียนไม่มีแนะนำแฮะ พอดีกูเรียน ป. ตรี มาด้านนี้อยู่แล้ว ไม่ได้เรียนเองทั้งหมด
ความรู้ที่ควรมีก่อนกูว่าสำคัญสุดคือภาษาอังกฤษนะ และอีกอย่างก็รู้จักการใช้ google หาข้อมูลด้วยตัวเอง
เพราะต้องหาข้อมูลเองเยอะ และข้อมูลพวกนี้ส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษหมด
คอมใช้เลขเป็นพื้นฐานก็จริง แต่การเขียนโปรแกรมมันไม่เหมือนแก้โจทย์เลข แค่มีความเข้าใจ concept คร่าวๆ และประยุกต์เป็นก็พอ
มันเป็นการสั่งให้คอมทำสิ่งต่างๆให้ แล้วดูผลลัพธ์การทำงานที่ออกมาว่าถูกรึเปล่า ซึ่งในความรู้สึกกูมันต่างกันเยอะ
ลองใช้กลยุทธ์ ทรัมป์ ก็จะได้เห็น Dark Side ของคนมากขึ้น
ได้ข้อมูลมาเยอะแยะ ดีเลย จะได้เห็นว่าจริงๆแล้วเค้าคิดยังงัยกับเรา
คนที่เห็นประโยชน์เราตอนเราดีก็มีเต็มไปหมด
ตอนเราร้ายก็ด่าเราลับหลัง
ความโกหกตอแหลมันโผล่ออกมาชัดเจน
สิ่งที่อยากได้จาก Community คือความจริงใจเป็นอันดับแรก
มันเป็นวิธีการกรองคนที่ได้ผลดีอย่างที่ตั้งใจไว้
คนที่เขาทำงานด้านมืดนี่ รู้จักจริงๆหลายคน ธรรมมะธรรมโมมาก ดูแลผู้หญิงดีมาก ไม่งั้นผู้หญิงก็ไม่มาทำงานด้วยหรอก
เพราะสังคมบีบคั้นทำงานแล้วโดนกดขี่ เก็บเงินไม่ได้ โดนขูดรีดจากผู้มีอิทธิพล แต่ละคนก็มีทางเลือกต่างกัน ไม่ต้องรีบตัดสินก็ได้ถ้ายังไม่รู้จักกันดีพอ
คนที่ทำด้านสว่างก็ทำเรื่อง Dark ๆ เยอะ ก็เห็นมาเยอะแต่ทำไรไม่ได้ พอยกเรื่อง dark ที่ตัวเองเคยทำขึ้นให้เห็น ก็แสดงตัวเป็นคนดีขึ้นมารับไม่ได้ก็แปลกดี ตัวตนจริงๆตัวเองยังยอมรับไม่ได้เลย
ริเริ่มทำไรใหม่ๆก็ไม่มีคนเข้าใจอยู่ละ ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก เพราะไม่ได้อยากอธิบาย อยากทำให้สำเร็จมากกว่า ยังงัยก็ทำอยู่ละ
ก็ไม่อยากจะโอ้อวดว่าตัวเองทำมาไม่น้อยกว่าใคร เห็นปัญหามากมายที่มันไปต่อไม่ได้ด้วยวิธีการเดิม ก็พิสูจน์กันละกัน เอาตัวเองให้รอดก่อน
ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำมาในอดีตมันคือความดี มันก็เป็นอดีต ที่ไม่ได้มีใครสนใจ ป่วยมายังไม่มีใครเหลียวแหล ทุกอย่างมันก็เป็นแค่อดีต
ผมเจ็บแทนคนใน Community มาเยอะกว่าที่หลายคนรู้ ไม่แฉก็ดีแล้วครับ แต่ละคนแสบๆทั้งนั้น
ก็อยากจะ Filter ให้เหลือน้อยๆ เหลือแต่คนที่ลำบากไปด้วยกันลุยไปด้วย
Set to Zero ถ้าไม่ทิ้งบางอย่าง เราก็ยากจะก้าวผ่าน ใครจะดราม่าก็ดราม่าไปนะครับ มีไรทำเยอะ
เอาเวลาไปทำงานสร้าง Value ให้ Community ที่คุณคิดว่าดี ดีกว่าครับ
ทำไมฝั่ง business เขาชอบมาคุยกับผมมากกว่าคุยกับ Dev และ Community ก็ลองคิดเองว่ามันยังมีปัญหาอะไรอยู่ ทำไมอีกหลายๆที่เขาไม่อยากสนับสนุน
อย่ามาเสียเวลากะผม อีกไม่กี่ปีเราก็ตายจากกันละ แมนๆก็มาคุยกันได้ ไม่ต้องโพสต์หรือนินทาลับหลัง ขี้เกียจตามไปอ่าน
ดราม่า
https://www.youtube.com/watch?v=FMIZEfjYmtM
Programming with Boris 👍👍👍
เขียนโค้ดเป็นทำอาชีพอะไรได้มั่ง ตอนนี้กูกำลัง hello world
"มีใครรู้สึกเหมือนผมไหมว่า โดดดิด่ง มันเร็วขึ้น"
"เช้านี้ผมเปิดฟัง รู้สึกว่า เพลงมันเร็วกว่าเดิม"
https://www.youtube.com/watch?v=Ek8itihPQgE
กูอยากเริ่มเขียนโค้ด เเต่กูต้องเขียนลงในไหน ?
visual studio code
อยากลาออกจังเลยน้า
เคยมีคนบอกอยากสัมภาษณ์ยากๆ น่าลองมาหางานช่วงนี้นะ น่าจะยากสมใจ
Agoda backendเรียกสัมว่ะ แม่งยากป่ะวะ อัลกอกุอย่างกากเลยต้องซ่อมซัมเมอร์ ผลงานก็มีแต่ที่ทำตอนเรียน ทำไงดีวะเหลืออีก3วัน
วันนี้ที่กะจะหัด React ของกูหมดไปกับการตามดูแคสเกมดบดล แม่งเอ๊ย กูทำตัวกูเองนี่แหละ
พน.สัมภาษณ์ ถ้าถามโค้ดละตอบไม่ได้ต้องทำไงดีวะ
>>66 ตอนสัมไม่เคยเจอถามเป็น code จริงๆนะ แต่จะถามประมาณว่า ถ้าต้องการทำแบบนี้ 1 2 3 ควรทำยังไง
ก็บอกเขาไปปากเปล่าหรือใช้กระดานก็ได้ ออกแนวคอนเซ็ป มากกว่า เขาก็จะดูแค่ว่ามึงเข้าใจพวก oop มั๊ย หรือรู้จัก tool อะไรที่เอามาใช้ได้บ้าง ไม่ต้องถึงขนาดแม่น syntax อะไรมาก
ส่วนถ้า code จริงๆ เขาจะถามตอนสอบข้อเขียนมากกว่า
กุไปสัมagodaมาละ พาทโต้ดกุทำไม่ได้แต่ก็พยายามเขียนแต่แม่งก็ไม่เสร็จ พาทสัมกุพอได้อยู่ วันนี้เขาofferละว่ะได้ไงวะ เพื่อนกุทำโค้ดได้หมดไม่เห็นมีใครโทรมาเลย กุทำไม่ได้ไม่เสร็จด้วยเสือกได้เฉย ทำไมวะครับ
ใครที่สนใจเรื่องการออกแบบโค้ด ผมอยากแนะนำให้อ่าน Essay อันนี้ตั้งแต่ปี 1991 ซึ่งผมว่า Classic มากและยังเป็นจริงถึงทุกวันนี้
คือคนเขียนเขาเป็นคนทำ Lisp ซึ่งสมัยนั้นต้องสู้กับภาษา C เพื่อสร้าง Traction แล้วเขาได้นำเสนอสิ่งหนึ่งที่เขาพบระหว่างการสร้าง Traction ให้ Lisp ซึ่งชื่อว่า Worse is better
ซึ่งถ้าสรุปสั้นๆ เขาเคลมว่า ระบบที่ดีไซน์อย่างไม่ถูกต้องมีความสามารถที่จะอยู่รอดและแพร่กระจายมากกว่าระบบที่ดีไซน์อย่างถูกต้อง
แต่ลองไปอ่านดูจะเข้าใจนิยามของคำว่า "ถูกต้อง" ของเขาและทำไมถึงเคลมแบบนี้
ลองเน้นหัวข้อ 2.1 ไม่ต้องมีพื้นฐาน Lisp หรือภาษาเก่าๆ ก็อ่านเข้าใจ
https://www.dreamsongs.com/WIB.html
ถ้าใครสนใจภาคต่อไป เจ้าตัวเขาเขียนบทความมาดีเบตกับตัวเอง โดยใช้นามปากกาอีกอันนึง เขียนลง Magazine อื่นๆ ช่วงปี 199x อีกประมาณ 2-3 บล็อก ก็จะตามได้ที่
https://www.dreamsongs.com/WorseIsBetter.html
ในฐานะคนสนใจเรื่องการออกแบบระบบและโค้ด ผมว่าเป็นงานชิ้นคลาสสิคที่กระตุ้นให้คิดได้มาก
อีกนิดนะถามหน่อย ตอนนี้มีทั้งagoda และ exxonmobil offerมาละอยากถามทุกๆคนหน่อยว่าจะเลือกบ.ไหนกัน backend devทั้งคู่เลย agodaให้เยอะกว่าexxon ~20k แต่สวัสดิการอาจจะไม่เท่า อันนี้คือของจบใหม่นะ รบกวนด้วย
>>84 ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นทำเว็บเหมือนกัน แต่จริงๆ เว็บในความหมายของทั้งสองคอร์สต่างกัน กูยังไม่ได้ดูละเอียดนะ
คอร์สแรก เหมาะกับคนที่มาจากฝั่งดีไซน์ ทำเว็บเล็กๆ นำเสนอข้อมูลเป็นหลัก หน้าบ้านเป็นหลัก
คอร์สสอง ไปทางโปรแกรมมิ่ง ภาษาที่ใช้เขียนเว็บ ทำหลังบ้านด้วย แม่งกว้างจริงแหละ กูก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ใช้ Python
กูว่ามันขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่มึงมี กับความต้องการ ทางที่จะไปด้วยอ่ะ เช่น จะเอาไปสมัครงาน? ทำฟรีแลนซ์? ต่อยอดธุรกิจที่ทำอยู่? งานอดิเรก?
เผลอๆ สิ่งที่มึงต้องการอาจมีคอร์สอื่นตอบโจทย์กว่า เช่น อาจจะเหมาะไปเรียน Wordpress มากกว่าก็ได้
มันจะมีหนังสือสอนเขียนโปรแกรมภาษาจาวาอยู่ จำไม่ได้ว่า เป็นชุดสามเล่มหรือเล่มนึง แต่รวมๆกันน่าจะประมาณ พันหน้าได้มั้ง
ตอนนั้นกูเป็นเด็ก พยายามจะหาแต่ไม่มีปัญหามา ตอนกูเป็นถ้านับจากตอนนี้ยอนหลังไปประมาณ 7 ปีได้ แต่ตอนที่กูหาหนังสือเล่มนั้นมันค่อนข้างเก่าแล้ว แต่ก็ยังมีคนบอกว่ายังสามารถใช้ได้ดีอยู่ และเหมาะสำหรับทำการศึกษา เพื่อนโม่งที่อยู่ในวงการเขียนโปรแกรมมานานพอจะนึกออกไหม หนังสือน่าจะเป็นภาษาไทยมั้งไม่แน่ใจ
กูอยากหามันอีกครั้ง ถ้ามีรูปมาให้กูดู กูพอจะนึกออกนะ ถ้าเป็นสามเล่ม มันจะมีสี ขาว ม่วง เขียว มั้งนะ
>>86 ไม่รู้ชื่อหนังสือ แต่อยากมาแนะนำมึงว่าถ้าจะอ่านหนังสือสอนเขียนโปรแกรมอยากให้อ่านภาษาอังกฤษมากกว่า
อ่านตามเว็บเอาก็ได้ ไม่ต้องหนังสือเป็นเล่มๆหรอก
ปัญหาของการอ่านหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยคือคำศัพท์หลายๆคำพอแปลไทยแล้วมันกลายเป็นเข้าใจยากกว่าเดิม
เวลาเขียนโปรแกรมจริงๆต้องหาข้อมูลเพิ่มแทบตลอดเวลา แม้แต่กับเรื่องพื้นๆ แล้วของพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษหมด โค้ดก็เป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าไปชินกับคำศัพท์/คำอธิบายภาษาไทยแล้วเวลาต้องหาข้อมูลจะลำบาก
เพราะนึก keyword ที่ต้องเอามา search ไม่ออก หาข้อมูลเจอก็ต้องพยายามแปลกลับมาเป็นคำภาษาไทยที่เองชิน
สู้ทำตัวให้ชินกับศัพท์เทคนิค คำอธิบายภาษาอังกฤษ ไปแต่แรกจะดีกว่ามาก
>>88 เออวะเข้าใจที่มึงบอกนะ ขอบคุณมึงมากนะเรื่องนี้ ตอนนั้นกูที่อยากจะเรียนเขียนโปรแกรมตอนนั้นยังเด็ก ขอใครเรียนก็ไม่มีใครเข้าใจ กูเลยหาหนังสือจะอ่านเอาเอง แต่จริงๆแล้วกูแบบอยากเห็นเหื้อหาข้างในไง ก็คือเอาง่ายๆกูอยากเห็นหนังสือที่กูหมายถึงนี้อีกครั้งนึง ถ้ากูจะกลับมาเริ่มเขียนโปรแกรมอีกครั้งกูคงจะเริ่มอะไรแบบใหม่ๆมากกว่าอยู่แล้ว กูแอบเสียดายนะ ตอนนั้นกูเขียนโปรแกรมออกมาเป็น .apk ตั้งหนึ่งตัว แต่เสือกไม่ทำต่อ จนตอนนี้ผ่านมา 7 ปีละ
แต่ก็ลำบากมากด้วยจนถึงตอนนี้เลยเพราะกูไม่มีคอม ไม่มีตัง เพราะตอนนั้นกูมีมือถือ android โง่ๆเครื่องนึงเอง แล้วเสือกไปพยายามหาวิธีเขียนโปรแกรมบนมือถือ ซึ่งแม่งก็มองจากมุมคนมีคอมใช้ คงไร้สาระ
ขอระบาย ย้ายงานมา บ. นึงมาพักใหญ่ พบว่าวิธีการเขียนโค้ดแม่งโคตรโบราณ เช่นใช้ c# แต่ไม่ค่อยจะใช้ lib มาตรฐานๆที่คนใช้กันใน nuget ล่อเขียนเองทั้งหทดทุกโมดูล แล้วการเขียนไม่พัฒนาไปไหนเลย 10-20 ปีที่แล้วเคยทำยังไง ก็ยังคงทำอยู่แต่แบบเดิมๆ
เสนอโซลูชั่นใหม่ๆให้ทำงานได้ง่ายขึ้นก็ไม่เอา ไม่อยากปรับเปลี่ยน
Devops นี่เหี้ยมากตั้งแต่กูเคยเจอเลย มีก็เหมือนไม่มี ทุกคนเขียนใครเขียนมัน git มีก็ไม่ค่อยใช้กัน ตามงานแต่ละที แทนที่จะ push จะ merge ขึ้น แม่งเล่นก็อปใส่แฟล็ชไดร์ฟมาให้ แถมบางฟีเจอร์ใช้งาน service ใช้งาน api เหมือนๆกันก็ไม่รวมใช้ตัวเดียวกันนะ ตั้งแยก ใช้ใครใช้มันไปอีก
ถ้าว่าเป็นโปรเจ็คเก่าๆที่มันปรับการโค้ดยากยังพอเข้าใจ แต่ขึ้นโปรเจ็คใหม่มา แม่งก็เหมือนๆเดิม วนเวียนไปแบบเดิม
อีกอย่างเวลาจะ deploy หัวหน้าก็บอกอยากได้อะไรใหม่ๆทันเทคโนโลยี อยากจะใช้ cloud ใช้ container สุดท้ายก็แป้กเพราะคนในทีมไม่ค่อยอยากเรียนรู้ (ทั้งๆที่มันก็มีเวลา) บอกกูให้สอนนั่นนี่ พอเรียกมาจะเทรนด์ให้พวก CI/CD การ auto deploy การเขียน unit test (เออ มันเขียน unittest กันไม่เป็น) พี่แกก็บอก ยาก ไม่เอาอะ เพิ่มงานเขาเปล่าๆ
สุดท้ายยังไง ก็เป็นกูกับน้องๆในทีมนี่แหละ รับหน้าที่ดูส่วนนี้ ต้องมานั่งเขียน unit test ให้ ดู environment ให้ทั้งหมด สำหรับ production อันไหนไม่ได้ พวกกูก็ต้องแก้ให้เขา ทั้งๆที่ไม่ได้เขียนเอง แล้วโค้ดแม่ง debug ยากสัดๆ 10 คนก็เขียนมา 10 แบบ
บางคนคงสงสัย แล้วทำไมกูไม่วางโครงของโปรเจ็ค แบ่งงานให้คนอื่นดีๆ คือหน้าที่กูไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง มันบังคับใครไม่ได้ ได้แต่เสนอไอเดียเฉยๆ ซึ่งส่วนใหญ่เขาไม่เอากันแหละ
เปรียบเปรยอารมณ์จะคล้ายๆมึงอยากอัพเดตคอมให้ญาติผู้ใหญ่ เป็น window 10 แต่เขาไม่เอา จะใช้แต่ winXP แถมไม่พอ ดันเอา ไอ้ XP มาข่ม win10 ที่มึงจะลงให้เขากลับอีก
>>90 win xp ยังดี เดี๋ยวเจอ 98 โผล่กลางดง 555+
ปัญหาคือ บ.มึงเหมือนไม่ได้ทำเกี่ยวกับด้าาน sw โดยตรงหรือเปล่า ถ้าแบบนั้นก็เรื่องปรกติที่เล่นกันลูกทุ่งแบบนั้น
พนักงานรากงอกเคยใช้วิธีไหนก็วิธีนั้น เพราะมันตอบสนองกับ project ระดับงานที่ไม่ใหญ่มากได้ คือจบ
วิธีที่ดีที่สุดคือ หาที่ใหม่ เจ็บแต่จบ แต่ถ้าเศรษฐกิจยังแย่ ไวรัสยังระบาดก็แล้วแต่
>>91 บอกไปกลัวโม่งแตก ลักษณะงาน ประมาณว่ารับเขียนซอร์ฟแวร์ซับพอร์ต business ให้ลูกค้า เช่นระบบจัดการ user จัดการ workflow ต่างๆ ในหน่วยงานของลูกค้า บางโปรเจ็คถึงขั้น 10k users concurrent ก็มี
กูยังงงมาก ว่าก่อนหน้านี้รอดกันมาได้ยังไง
แล้วที่แย่อย่างนึงคือมันทำงานแบบแบ่งทีมเป็นภาษาที่เขียน ทีมนึง .net ทีมนึง java อีกทีม nodejs อีกทีม python
แล้วแต่ละทีมมันก็จะไม่รู้ภาษาอื่นเลยนะเว้ย แบบสมมติงานที่ dev โดยใช้ java มีปัญหาต้องการคนช่วย จะขอยืมคนจากทีม .net ไม่ได้เลย อ้างว่าไม่เคยทำ เขียนไม่เป็น debug ไม่ได้
นี่ยังไม่นับ SA ที่รู้จักแค่ database ที่ใช้ mssql นะ
พวก noSQL พี่ไม่เอา ไม่สนใจ ไม่อยากทำกันเลย
แล้ว จะให้ dev พี่ก็ไม่ดีไซน์ให้ชัวร์ก่อน คือ dev ก็ทำไป SA ก็แก้ table ไป ข้อมูลที่ไว้ test ก็ไม่มีเตรียมให้ บอกให้ dev ยัดๆไปเลย พอจะขึ้นวง SIT ก็บ่นบอกว่า ข้อมูลที่ใช้ test ไม่สัมพันธ์กับ business
พอมีปัญหาก็โยนมาให้ทีมกูทำอย่างเดียว
ชื่อทีม R&D นะ หน้าที่รับผิดชอบจริงๆไม่ต้อง code หนักด้วย เน้นหาโซลูชั่นมาช่วยให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือทำ poc ให้ sales ไปคุยลูกค้า แต่เอาไปเอามา แม่งโยนมาให้ทำทุกอย่าง ทั้ง dev , deploy, MA แต่ไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียงนะ เพราะไม่ใช่หน้าที่หลักใร JD ไง
สาเหตุคือต้องย้อนกลับไปที่กูบ่นแรกๆ คือคนทีมกูมันเขียนได้แทบทุกภาษา เขาเลยชอบโยนมาให้(ช่วย)ทำ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.