>>>/tech/333/ โปรแกรมเมอร์ที่รัก
Last posted
Total of 1000 posts
>>>/tech/333/ โปรแกรมเมอร์ที่รัก
ไอสัสไม่มีใครต่อเลย
เราเป็นโปรแกรมเมอร์เงินเดือนเกินแสน ใครอยากถามอะไรถามมาไกเ
พวกมีง Outsource วันลากี่วันวะ กุ 6 วันต่อปี เยอะหรือน้อยวะ
https://fanboi.ch/game/8282/
ช่วยมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนติดเกมกันแล้วมาฝึกเขียนโปรแกรมกันเถอะ
เบื่ออารมณ์แบบฝ่าย technical กับ business ทะเลาะกันแล้วโปรแกรมเมอร์ต้องทำตัวเป็นนกสองหัวเพื่อความปลอดภัยของตัวเองว่ะ
แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ เดี๋ยวตกงาน
ในไทยบริษัทไหนสัมภาษณ์งานยาก ๆ บ้างครับ อยากไปลองเจอดู
คนทำงานประจำมา เคยเจอโปรแกรมเมอร์ที่เรียนเองกันบ้างปะวะ
กะทำโปรเจกต์เก็บพอร์ตเองไปสมัคร แต่จบไม่ตรงสายบริษัทเดี๋ยวนี้เขารับกันบ้างไหม
คอมติดไวรัส .zobm ทำไงถึงกู้ไฟล์ได้คับ
อยากรู้ว่าอัตราการผ่านโปรของคนอื่น ๆ อยู่ที่กี่ % หรือ เราอยู่ที่ 50%
ถามโม่งโปรแกรมเมอร์หน่อย ตอนนี้กูมีคอมเครื่องเดียวที่ซื้อมาทั้งเล่นเกมและเขียนโปรแกรม ปัญหามีอยู่ว่า SSD ติดเครื่องที่มันน้อย ลงเกมก็แน่นแล้ว
พวก tools โปรแกรมเมอร์ก็กินที่เยอะมาก แต่ไม่มีงบซื้อ SSD เพิ่ม ซื้อ SSHD มาใส่เพิ่มแล้วลง tools ทำงานบนนั้นจะเวิร์คมั้ย
ผมคิดมาตลอดนะว่าจะเขียนโค้ดได้ดี ต้องเข้าใจ Literature และ
Writing communication in general ด้วย ว่า อย่างพื้นฐานสุดก็งานเขียนต่างๆ มันมีผลต่อความคิดของคนอ่านยังไง การแบ่ง Chapter หรือย่อหน้าแบบไหนมีผลยังไง แบบไหนเข้าใจง่ายยาก เวลาอธิบาย Academic ที่ซับซ้อนทำยังไง
ถ้าเข้าใจพวกนี้จะเห็นว่าพวกเทคนิคต่างๆ ในการสเกลโค้ด มันเป็นแค่เครื่องมือนำมาใช้ในการทำ Written communication ที่มีคุณภาพเฉยๆ ไม่ใช่ปลายทาง
อย่างเมื่อกี้เขียนเรื่อง Terminology ถ้าไปอ่านงานเขียนดีๆ เขาจะมีวิธี Introduce term พิเศษในงานเขียนของเขาโดยที่ไม่ Overwhelming คนอ่านเกินไป มันจะมี Sweet spot อยู่นะ
ลองคิดดูว่าถ้า Lord of the ring ซึ่งเป็นนิยายที่มี Technical term เฉพาะโคตรจะเยอะ ดีไม่ดีเยอะกว่า Codebase ที่เราทำหลายๆ ตัวอีก ถ้าโยน Term ทั้งหมดไปให้คนอ่านแล้วบอกว่าเข้าใจพวกนี้หมดก่อนนะค่อยเริ่มอ่านนิยายของผม
แต่ที่เราเข้าใจเพราะ LOTR เลือกใช้ Term ที่ Well-known ในหมู่นักอ่านนิยายแฟนตาซี ช่วยลดปริมาณความสับสน แล้วก็ผสมกับใช้จังหวะในการแนะนำแต่ละคำศัพท์อย่างเหมาะสม ไม่ใช่ทีเดียวจบ
อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้เห็นว่า Literature มันมีเทคนิคหลายอย่างที่เราใช้ได้
ถามโม่งโปรแกรมเมอร์หน่อย ถ้าอยากลองเริ่มเขียนโค้ดมันมีที่ไหนเปิดสอนเป็นคอร์สบ้างมั้ยอ่ะ ราคาประมาณเท่าไหร่
แล้วพื้นฐานที่ควรมีคือไรบ้าง เลข? รึอะไรยังไง
>>42 เรื่องที่เรียนไม่มีแนะนำแฮะ พอดีกูเรียน ป. ตรี มาด้านนี้อยู่แล้ว ไม่ได้เรียนเองทั้งหมด
ความรู้ที่ควรมีก่อนกูว่าสำคัญสุดคือภาษาอังกฤษนะ และอีกอย่างก็รู้จักการใช้ google หาข้อมูลด้วยตัวเอง
เพราะต้องหาข้อมูลเองเยอะ และข้อมูลพวกนี้ส่วนมากเป็นภาษาอังกฤษหมด
คอมใช้เลขเป็นพื้นฐานก็จริง แต่การเขียนโปรแกรมมันไม่เหมือนแก้โจทย์เลข แค่มีความเข้าใจ concept คร่าวๆ และประยุกต์เป็นก็พอ
มันเป็นการสั่งให้คอมทำสิ่งต่างๆให้ แล้วดูผลลัพธ์การทำงานที่ออกมาว่าถูกรึเปล่า ซึ่งในความรู้สึกกูมันต่างกันเยอะ
ลองใช้กลยุทธ์ ทรัมป์ ก็จะได้เห็น Dark Side ของคนมากขึ้น
ได้ข้อมูลมาเยอะแยะ ดีเลย จะได้เห็นว่าจริงๆแล้วเค้าคิดยังงัยกับเรา
คนที่เห็นประโยชน์เราตอนเราดีก็มีเต็มไปหมด
ตอนเราร้ายก็ด่าเราลับหลัง
ความโกหกตอแหลมันโผล่ออกมาชัดเจน
สิ่งที่อยากได้จาก Community คือความจริงใจเป็นอันดับแรก
มันเป็นวิธีการกรองคนที่ได้ผลดีอย่างที่ตั้งใจไว้
คนที่เขาทำงานด้านมืดนี่ รู้จักจริงๆหลายคน ธรรมมะธรรมโมมาก ดูแลผู้หญิงดีมาก ไม่งั้นผู้หญิงก็ไม่มาทำงานด้วยหรอก
เพราะสังคมบีบคั้นทำงานแล้วโดนกดขี่ เก็บเงินไม่ได้ โดนขูดรีดจากผู้มีอิทธิพล แต่ละคนก็มีทางเลือกต่างกัน ไม่ต้องรีบตัดสินก็ได้ถ้ายังไม่รู้จักกันดีพอ
คนที่ทำด้านสว่างก็ทำเรื่อง Dark ๆ เยอะ ก็เห็นมาเยอะแต่ทำไรไม่ได้ พอยกเรื่อง dark ที่ตัวเองเคยทำขึ้นให้เห็น ก็แสดงตัวเป็นคนดีขึ้นมารับไม่ได้ก็แปลกดี ตัวตนจริงๆตัวเองยังยอมรับไม่ได้เลย
ริเริ่มทำไรใหม่ๆก็ไม่มีคนเข้าใจอยู่ละ ไม่จำเป็นต้องอธิบายมาก เพราะไม่ได้อยากอธิบาย อยากทำให้สำเร็จมากกว่า ยังงัยก็ทำอยู่ละ
ก็ไม่อยากจะโอ้อวดว่าตัวเองทำมาไม่น้อยกว่าใคร เห็นปัญหามากมายที่มันไปต่อไม่ได้ด้วยวิธีการเดิม ก็พิสูจน์กันละกัน เอาตัวเองให้รอดก่อน
ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำมาในอดีตมันคือความดี มันก็เป็นอดีต ที่ไม่ได้มีใครสนใจ ป่วยมายังไม่มีใครเหลียวแหล ทุกอย่างมันก็เป็นแค่อดีต
ผมเจ็บแทนคนใน Community มาเยอะกว่าที่หลายคนรู้ ไม่แฉก็ดีแล้วครับ แต่ละคนแสบๆทั้งนั้น
ก็อยากจะ Filter ให้เหลือน้อยๆ เหลือแต่คนที่ลำบากไปด้วยกันลุยไปด้วย
Set to Zero ถ้าไม่ทิ้งบางอย่าง เราก็ยากจะก้าวผ่าน ใครจะดราม่าก็ดราม่าไปนะครับ มีไรทำเยอะ
เอาเวลาไปทำงานสร้าง Value ให้ Community ที่คุณคิดว่าดี ดีกว่าครับ
ทำไมฝั่ง business เขาชอบมาคุยกับผมมากกว่าคุยกับ Dev และ Community ก็ลองคิดเองว่ามันยังมีปัญหาอะไรอยู่ ทำไมอีกหลายๆที่เขาไม่อยากสนับสนุน
อย่ามาเสียเวลากะผม อีกไม่กี่ปีเราก็ตายจากกันละ แมนๆก็มาคุยกันได้ ไม่ต้องโพสต์หรือนินทาลับหลัง ขี้เกียจตามไปอ่าน
ดราม่า
https://www.youtube.com/watch?v=FMIZEfjYmtM
Programming with Boris 👍👍👍
เขียนโค้ดเป็นทำอาชีพอะไรได้มั่ง ตอนนี้กูกำลัง hello world
"มีใครรู้สึกเหมือนผมไหมว่า โดดดิด่ง มันเร็วขึ้น"
"เช้านี้ผมเปิดฟัง รู้สึกว่า เพลงมันเร็วกว่าเดิม"
https://www.youtube.com/watch?v=Ek8itihPQgE
กูอยากเริ่มเขียนโค้ด เเต่กูต้องเขียนลงในไหน ?
visual studio code
อยากลาออกจังเลยน้า
เคยมีคนบอกอยากสัมภาษณ์ยากๆ น่าลองมาหางานช่วงนี้นะ น่าจะยากสมใจ
Agoda backendเรียกสัมว่ะ แม่งยากป่ะวะ อัลกอกุอย่างกากเลยต้องซ่อมซัมเมอร์ ผลงานก็มีแต่ที่ทำตอนเรียน ทำไงดีวะเหลืออีก3วัน
วันนี้ที่กะจะหัด React ของกูหมดไปกับการตามดูแคสเกมดบดล แม่งเอ๊ย กูทำตัวกูเองนี่แหละ
พน.สัมภาษณ์ ถ้าถามโค้ดละตอบไม่ได้ต้องทำไงดีวะ
>>66 ตอนสัมไม่เคยเจอถามเป็น code จริงๆนะ แต่จะถามประมาณว่า ถ้าต้องการทำแบบนี้ 1 2 3 ควรทำยังไง
ก็บอกเขาไปปากเปล่าหรือใช้กระดานก็ได้ ออกแนวคอนเซ็ป มากกว่า เขาก็จะดูแค่ว่ามึงเข้าใจพวก oop มั๊ย หรือรู้จัก tool อะไรที่เอามาใช้ได้บ้าง ไม่ต้องถึงขนาดแม่น syntax อะไรมาก
ส่วนถ้า code จริงๆ เขาจะถามตอนสอบข้อเขียนมากกว่า
กุไปสัมagodaมาละ พาทโต้ดกุทำไม่ได้แต่ก็พยายามเขียนแต่แม่งก็ไม่เสร็จ พาทสัมกุพอได้อยู่ วันนี้เขาofferละว่ะได้ไงวะ เพื่อนกุทำโค้ดได้หมดไม่เห็นมีใครโทรมาเลย กุทำไม่ได้ไม่เสร็จด้วยเสือกได้เฉย ทำไมวะครับ
ใครที่สนใจเรื่องการออกแบบโค้ด ผมอยากแนะนำให้อ่าน Essay อันนี้ตั้งแต่ปี 1991 ซึ่งผมว่า Classic มากและยังเป็นจริงถึงทุกวันนี้
คือคนเขียนเขาเป็นคนทำ Lisp ซึ่งสมัยนั้นต้องสู้กับภาษา C เพื่อสร้าง Traction แล้วเขาได้นำเสนอสิ่งหนึ่งที่เขาพบระหว่างการสร้าง Traction ให้ Lisp ซึ่งชื่อว่า Worse is better
ซึ่งถ้าสรุปสั้นๆ เขาเคลมว่า ระบบที่ดีไซน์อย่างไม่ถูกต้องมีความสามารถที่จะอยู่รอดและแพร่กระจายมากกว่าระบบที่ดีไซน์อย่างถูกต้อง
แต่ลองไปอ่านดูจะเข้าใจนิยามของคำว่า "ถูกต้อง" ของเขาและทำไมถึงเคลมแบบนี้
ลองเน้นหัวข้อ 2.1 ไม่ต้องมีพื้นฐาน Lisp หรือภาษาเก่าๆ ก็อ่านเข้าใจ
https://www.dreamsongs.com/WIB.html
ถ้าใครสนใจภาคต่อไป เจ้าตัวเขาเขียนบทความมาดีเบตกับตัวเอง โดยใช้นามปากกาอีกอันนึง เขียนลง Magazine อื่นๆ ช่วงปี 199x อีกประมาณ 2-3 บล็อก ก็จะตามได้ที่
https://www.dreamsongs.com/WorseIsBetter.html
ในฐานะคนสนใจเรื่องการออกแบบระบบและโค้ด ผมว่าเป็นงานชิ้นคลาสสิคที่กระตุ้นให้คิดได้มาก
อีกนิดนะถามหน่อย ตอนนี้มีทั้งagoda และ exxonmobil offerมาละอยากถามทุกๆคนหน่อยว่าจะเลือกบ.ไหนกัน backend devทั้งคู่เลย agodaให้เยอะกว่าexxon ~20k แต่สวัสดิการอาจจะไม่เท่า อันนี้คือของจบใหม่นะ รบกวนด้วย
>>84 ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นทำเว็บเหมือนกัน แต่จริงๆ เว็บในความหมายของทั้งสองคอร์สต่างกัน กูยังไม่ได้ดูละเอียดนะ
คอร์สแรก เหมาะกับคนที่มาจากฝั่งดีไซน์ ทำเว็บเล็กๆ นำเสนอข้อมูลเป็นหลัก หน้าบ้านเป็นหลัก
คอร์สสอง ไปทางโปรแกรมมิ่ง ภาษาที่ใช้เขียนเว็บ ทำหลังบ้านด้วย แม่งกว้างจริงแหละ กูก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ใช้ Python
กูว่ามันขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่มึงมี กับความต้องการ ทางที่จะไปด้วยอ่ะ เช่น จะเอาไปสมัครงาน? ทำฟรีแลนซ์? ต่อยอดธุรกิจที่ทำอยู่? งานอดิเรก?
เผลอๆ สิ่งที่มึงต้องการอาจมีคอร์สอื่นตอบโจทย์กว่า เช่น อาจจะเหมาะไปเรียน Wordpress มากกว่าก็ได้
มันจะมีหนังสือสอนเขียนโปรแกรมภาษาจาวาอยู่ จำไม่ได้ว่า เป็นชุดสามเล่มหรือเล่มนึง แต่รวมๆกันน่าจะประมาณ พันหน้าได้มั้ง
ตอนนั้นกูเป็นเด็ก พยายามจะหาแต่ไม่มีปัญหามา ตอนกูเป็นถ้านับจากตอนนี้ยอนหลังไปประมาณ 7 ปีได้ แต่ตอนที่กูหาหนังสือเล่มนั้นมันค่อนข้างเก่าแล้ว แต่ก็ยังมีคนบอกว่ายังสามารถใช้ได้ดีอยู่ และเหมาะสำหรับทำการศึกษา เพื่อนโม่งที่อยู่ในวงการเขียนโปรแกรมมานานพอจะนึกออกไหม หนังสือน่าจะเป็นภาษาไทยมั้งไม่แน่ใจ
กูอยากหามันอีกครั้ง ถ้ามีรูปมาให้กูดู กูพอจะนึกออกนะ ถ้าเป็นสามเล่ม มันจะมีสี ขาว ม่วง เขียว มั้งนะ
>>86 ไม่รู้ชื่อหนังสือ แต่อยากมาแนะนำมึงว่าถ้าจะอ่านหนังสือสอนเขียนโปรแกรมอยากให้อ่านภาษาอังกฤษมากกว่า
อ่านตามเว็บเอาก็ได้ ไม่ต้องหนังสือเป็นเล่มๆหรอก
ปัญหาของการอ่านหนังสือที่แปลเป็นภาษาไทยคือคำศัพท์หลายๆคำพอแปลไทยแล้วมันกลายเป็นเข้าใจยากกว่าเดิม
เวลาเขียนโปรแกรมจริงๆต้องหาข้อมูลเพิ่มแทบตลอดเวลา แม้แต่กับเรื่องพื้นๆ แล้วของพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษหมด โค้ดก็เป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าไปชินกับคำศัพท์/คำอธิบายภาษาไทยแล้วเวลาต้องหาข้อมูลจะลำบาก
เพราะนึก keyword ที่ต้องเอามา search ไม่ออก หาข้อมูลเจอก็ต้องพยายามแปลกลับมาเป็นคำภาษาไทยที่เองชิน
สู้ทำตัวให้ชินกับศัพท์เทคนิค คำอธิบายภาษาอังกฤษ ไปแต่แรกจะดีกว่ามาก
>>88 เออวะเข้าใจที่มึงบอกนะ ขอบคุณมึงมากนะเรื่องนี้ ตอนนั้นกูที่อยากจะเรียนเขียนโปรแกรมตอนนั้นยังเด็ก ขอใครเรียนก็ไม่มีใครเข้าใจ กูเลยหาหนังสือจะอ่านเอาเอง แต่จริงๆแล้วกูแบบอยากเห็นเหื้อหาข้างในไง ก็คือเอาง่ายๆกูอยากเห็นหนังสือที่กูหมายถึงนี้อีกครั้งนึง ถ้ากูจะกลับมาเริ่มเขียนโปรแกรมอีกครั้งกูคงจะเริ่มอะไรแบบใหม่ๆมากกว่าอยู่แล้ว กูแอบเสียดายนะ ตอนนั้นกูเขียนโปรแกรมออกมาเป็น .apk ตั้งหนึ่งตัว แต่เสือกไม่ทำต่อ จนตอนนี้ผ่านมา 7 ปีละ
แต่ก็ลำบากมากด้วยจนถึงตอนนี้เลยเพราะกูไม่มีคอม ไม่มีตัง เพราะตอนนั้นกูมีมือถือ android โง่ๆเครื่องนึงเอง แล้วเสือกไปพยายามหาวิธีเขียนโปรแกรมบนมือถือ ซึ่งแม่งก็มองจากมุมคนมีคอมใช้ คงไร้สาระ
ขอระบาย ย้ายงานมา บ. นึงมาพักใหญ่ พบว่าวิธีการเขียนโค้ดแม่งโคตรโบราณ เช่นใช้ c# แต่ไม่ค่อยจะใช้ lib มาตรฐานๆที่คนใช้กันใน nuget ล่อเขียนเองทั้งหทดทุกโมดูล แล้วการเขียนไม่พัฒนาไปไหนเลย 10-20 ปีที่แล้วเคยทำยังไง ก็ยังคงทำอยู่แต่แบบเดิมๆ
เสนอโซลูชั่นใหม่ๆให้ทำงานได้ง่ายขึ้นก็ไม่เอา ไม่อยากปรับเปลี่ยน
Devops นี่เหี้ยมากตั้งแต่กูเคยเจอเลย มีก็เหมือนไม่มี ทุกคนเขียนใครเขียนมัน git มีก็ไม่ค่อยใช้กัน ตามงานแต่ละที แทนที่จะ push จะ merge ขึ้น แม่งเล่นก็อปใส่แฟล็ชไดร์ฟมาให้ แถมบางฟีเจอร์ใช้งาน service ใช้งาน api เหมือนๆกันก็ไม่รวมใช้ตัวเดียวกันนะ ตั้งแยก ใช้ใครใช้มันไปอีก
ถ้าว่าเป็นโปรเจ็คเก่าๆที่มันปรับการโค้ดยากยังพอเข้าใจ แต่ขึ้นโปรเจ็คใหม่มา แม่งก็เหมือนๆเดิม วนเวียนไปแบบเดิม
อีกอย่างเวลาจะ deploy หัวหน้าก็บอกอยากได้อะไรใหม่ๆทันเทคโนโลยี อยากจะใช้ cloud ใช้ container สุดท้ายก็แป้กเพราะคนในทีมไม่ค่อยอยากเรียนรู้ (ทั้งๆที่มันก็มีเวลา) บอกกูให้สอนนั่นนี่ พอเรียกมาจะเทรนด์ให้พวก CI/CD การ auto deploy การเขียน unit test (เออ มันเขียน unittest กันไม่เป็น) พี่แกก็บอก ยาก ไม่เอาอะ เพิ่มงานเขาเปล่าๆ
สุดท้ายยังไง ก็เป็นกูกับน้องๆในทีมนี่แหละ รับหน้าที่ดูส่วนนี้ ต้องมานั่งเขียน unit test ให้ ดู environment ให้ทั้งหมด สำหรับ production อันไหนไม่ได้ พวกกูก็ต้องแก้ให้เขา ทั้งๆที่ไม่ได้เขียนเอง แล้วโค้ดแม่ง debug ยากสัดๆ 10 คนก็เขียนมา 10 แบบ
บางคนคงสงสัย แล้วทำไมกูไม่วางโครงของโปรเจ็ค แบ่งงานให้คนอื่นดีๆ คือหน้าที่กูไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง มันบังคับใครไม่ได้ ได้แต่เสนอไอเดียเฉยๆ ซึ่งส่วนใหญ่เขาไม่เอากันแหละ
เปรียบเปรยอารมณ์จะคล้ายๆมึงอยากอัพเดตคอมให้ญาติผู้ใหญ่ เป็น window 10 แต่เขาไม่เอา จะใช้แต่ winXP แถมไม่พอ ดันเอา ไอ้ XP มาข่ม win10 ที่มึงจะลงให้เขากลับอีก
>>90 win xp ยังดี เดี๋ยวเจอ 98 โผล่กลางดง 555+
ปัญหาคือ บ.มึงเหมือนไม่ได้ทำเกี่ยวกับด้าาน sw โดยตรงหรือเปล่า ถ้าแบบนั้นก็เรื่องปรกติที่เล่นกันลูกทุ่งแบบนั้น
พนักงานรากงอกเคยใช้วิธีไหนก็วิธีนั้น เพราะมันตอบสนองกับ project ระดับงานที่ไม่ใหญ่มากได้ คือจบ
วิธีที่ดีที่สุดคือ หาที่ใหม่ เจ็บแต่จบ แต่ถ้าเศรษฐกิจยังแย่ ไวรัสยังระบาดก็แล้วแต่
>>91 บอกไปกลัวโม่งแตก ลักษณะงาน ประมาณว่ารับเขียนซอร์ฟแวร์ซับพอร์ต business ให้ลูกค้า เช่นระบบจัดการ user จัดการ workflow ต่างๆ ในหน่วยงานของลูกค้า บางโปรเจ็คถึงขั้น 10k users concurrent ก็มี
กูยังงงมาก ว่าก่อนหน้านี้รอดกันมาได้ยังไง
แล้วที่แย่อย่างนึงคือมันทำงานแบบแบ่งทีมเป็นภาษาที่เขียน ทีมนึง .net ทีมนึง java อีกทีม nodejs อีกทีม python
แล้วแต่ละทีมมันก็จะไม่รู้ภาษาอื่นเลยนะเว้ย แบบสมมติงานที่ dev โดยใช้ java มีปัญหาต้องการคนช่วย จะขอยืมคนจากทีม .net ไม่ได้เลย อ้างว่าไม่เคยทำ เขียนไม่เป็น debug ไม่ได้
นี่ยังไม่นับ SA ที่รู้จักแค่ database ที่ใช้ mssql นะ
พวก noSQL พี่ไม่เอา ไม่สนใจ ไม่อยากทำกันเลย
แล้ว จะให้ dev พี่ก็ไม่ดีไซน์ให้ชัวร์ก่อน คือ dev ก็ทำไป SA ก็แก้ table ไป ข้อมูลที่ไว้ test ก็ไม่มีเตรียมให้ บอกให้ dev ยัดๆไปเลย พอจะขึ้นวง SIT ก็บ่นบอกว่า ข้อมูลที่ใช้ test ไม่สัมพันธ์กับ business
พอมีปัญหาก็โยนมาให้ทีมกูทำอย่างเดียว
ชื่อทีม R&D นะ หน้าที่รับผิดชอบจริงๆไม่ต้อง code หนักด้วย เน้นหาโซลูชั่นมาช่วยให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือทำ poc ให้ sales ไปคุยลูกค้า แต่เอาไปเอามา แม่งโยนมาให้ทำทุกอย่าง ทั้ง dev , deploy, MA แต่ไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียงนะ เพราะไม่ใช่หน้าที่หลักใร JD ไง
สาเหตุคือต้องย้อนกลับไปที่กูบ่นแรกๆ คือคนทีมกูมันเขียนได้แทบทุกภาษา เขาเลยชอบโยนมาให้(ช่วย)ทำ
>>95 30 หมาดๆ คิดว่าคงเปลี่ยนงานได้อีก 2 รอบ
แต่คงไม่ใช่ช่วงนี้อะ ขืนย้ายไป เศรษฐกิจไม่ดี สถานการณ์แบบต้อง work from home แม่งจะเสี่ยงไม่ผ่านโปรมาก
บ.ปัจจุบันกูก็เพิ่งโดนพิษไวรัสไปเหมือนกัน เอางานไปขาย ทำ poc เรียบร้อย เตรียมปิดดีล เตรียมจะเซ็นต์สัญญา โดนบอกว่าขอเลื่อนไปก่อน เพราะ บ. เขาต้องหยุดงานเหมือนกัน
ไวรัสเนี่ย อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มันก็กระทบเหมือนกันนะ เพราะลูกค้าเขารัดเข็มขัดเหมือนกันช่วงนี้ ไม่ค่อยอยากจะลงทุนพัฒนาระบบอะไรเท่าไหร่
กุเริ่มงานมิ.ย. บ.จองรร.ชื่อดังอ่ะนะ เซ็นสัญญาไปละแต่ดูทรงcovidแม่งแย่ลงเรื่อยๆเลยว่ะ กุมีสิทธิ์โดนเขาเทก่อนเริ่มงานป่ะวะ
- test function ไม่มีปัญหา
- automation test ไม่มีปัญหา
- test มือไม่มีปัญหา
- test ในทีมไม่มีปัญหา
- ลูกค้า test ไม่มีปัญหา
-เอาขึ้น production จริง bug มาเลยจ้า wtf
พวกมึง outsource มีปัญหา covid ป่ะวะ กุเป็น outsource เหมือนเขาขอลดเงินว่ะ บอกช่วงนี้ลูกค้าก็แย่
เขาบอกบางที่ทำงานโรงงาน ต้อง hold งาน hold สัมภาษณ์ เลยเหรอวะ เพราะโรงงาน work from home ไม่ได้ อันนี้จริงป่าว
เขาขอลดไปซักระยะนึง พวกมึงเคยโดนกันไหม
ใครมี Api ตัวเเปลภาษาของ Instragram บ้าง อยากได้ มันเเปลรู้เรื่อง
กู >>102 ของกุลูกค้าต่อที่เดิมวะ แต่หัวขอลดกู หัวอ้างว่า(หรือหัวต้องการทำยอดเท่าเดิม ในช่วงไวรัสระบาด? อันนี้กุคิดเองเออเองนะ) ลูกค้าขอลดซึ่งกุก็ไม่รู้ว่าจริงมั้ยเพราะกูไม่ได้คุยเรื่องเงินกับลูกค้า ก็เลยให้เค้าลดไปหน่อยนึง(จริงจะลดเยอะกว่านี้มาก แต่กุไม่ยอม) ช่วงนี้ ขก หางานใหม่ด้วย work from home ยาวๆ ว่ะ อีกเดือนสองเดือน สถานการณ์ดีขึ้นค่อยว่ากัน สู้ๆ พวกมึง
กุขอรุ้เรทเงินเดือนพวกมึงหน่อย ทั้ง os และประจำ(โบนัสกี่เดือนด้วยก็ดี) ประสบการณ์กี่ปี + แนวงานที่ทำ(บริษัททำเกี่ยวกับอะไรด้วย จะดีมาก) กุอยากเปรียบเทียบวะ ขี้เกียจ ไปถามในกลุ่มเฟส เดี๋ยวมีดราม่า
บ.กู พวกอายุ 35+ แม่งไม่ค่อยเอา code ขึ้น git กันว่ะ
บอกให้เอาขึ้นก็บ่ายเบี่ยง ขอเทสก่อน สุดท้าย ส่งเป็นไฟล์ zip มาทางไลน์
ฝั่งคน up มันย้ายสะดวก พวกมักง่ายแอบโยกใส่ github มีประจำ
>>116 เออ ถ้ามันตั้ง local แบบที่ >>114 บอกมันจะรั่วได้ยังไงหว่า เพราะมันเข้าจาก internet ไม่ได้ ต้อง commit จากที่ทำงาน หรือไม่ก็ต้องต่อ vpn
ถ้าจะรั่วคือต้องอัพลง internet เอง ซึ่งปัญหานี้ไม่ว่า git หรือ svn มันก็เกิดได้เหมือนกัน แล้วแบบนี้ svn มัน secure กว่ายังไง หว่า
แล้วพวกส่งโค้ดกันผ่าน line ผ่าน facebook มันซีเคียวกว่าหรอวะ
นี่กูสงสัยจริงๆนะ ขอความรู้ เพราะเหมือนมึงรู้เยอะ มีอ้าง silicon valley ด้วย
นี่กูไม่ได้กวนตีนนะ
>>117 มันมีหรอวะคนที่ทำแบบนั้น ไม่โง่จริงๆ ก็บ้า(หรือมีเจตนาปล่อยความลับ บ.) คือมึงยุ่งยากกว่าเดิมนะ ต้อง clone repo มาจากของ server แล้วก็เอาไปขึ้น github ก่อน แล้วจะทำเพื่ออะไรวะ ? เพื่อสะดวกในการ commit กูว่าไม่น่าใช่ละ ในเมื่อ มึง clone ไปมันก็เป็น local repo ในเครื่องมึง มึงจะเอาโค้ดไปทำงานที่ไหน จะ commit แบบ local แล้ว ค่อยกลับไป push เข้า server ของ บ. ตอนหลังก็ได้
แต่ เอ. . . ไอ้อ้างเรื่องว่า "จะเอางานกลับไปที่บ้านพี่ต้องอัพลง github สิ เพราะพี่ขี้เกียจ vpn" เนี่ย เหมือนกูจะเพิ่งเถียงกับคนๆนึงในที่ทำงานไม่นานมานี้ซะด้วย ตอบคล้ายๆมึงเลย แม่งไม่เข้าใจแล้วก็อ้างเหตุผลปัญญาอ่อนๆ จริงๆ คือไม่อยากให้คน track ว่าวันนี้เขียนโค้ดไปเท่าไหร่
>>111 รั่วได้เหมือนกันหมดนั่นแหละ แุถม svn ยิ่งส่อโค้ดรั่วเลย เคยใช้มาก่อน
เพราะว่ามันทำแบบ offline ไม่ได้เหมือน git มันค่อนข้างจะยุ่งยากในการแชร์โค้ด
ที่ทำงานเมื่อก่อนของกูส่วนใหญ่จะใช้วิธีก็อปทั้งโปรเจ็กมาไว้ในเครื่องตัวเอง แล้วก็โค้ดกัน ตอนโปรดักชั่นก็มารวมโค้ดกันข้างนอกด้วยมือแล้วเข้าเอาขึ้นเซิร์ฟเป็นซับเวอร์ชั่น เพราะไม่อยากไปยุ่งกับโค้ดข้างบนมาก กลัวมันพัง จะก็อปไฟล์กันผ่านแฟรชไดร์ฟก็ไม่ได้ เครื่องในออฟฟิศเขาไม่ให้ก็อปข้อมูลออก ก็แชร์ผ่านพวกแชร์ไดร์ฟไป
ส่วนคนที่ต้องเอาโค้ดไปทำที่บ้าน ใช้โน็ตบุ้คตัวเองไม่อยู่ในโดเมนมันจะก็อปไฟล์ไม่ได้ บ. ไม่ได้ ก็อาศัยส่งเข้าอีเมล์ตัวเอง แล้วสมัยก่อนเมล์มันจำกัดขนาดไฟล์ ก็ต้องแตก rar หลายๆพาร์ท บางคนมักง่ายแบบกูก็อัพลงเว็ปฝากไฟล์ mediafire เลย
โม่งบางคนแม่งเหมือนคนที่เคยใช้แต่โทรศัพท์แบบปุ่มกดอะ ชาวบ้านเขาเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทโฟนกันหมด แต่ตัวเองไม่อยากเปลี่ยน แล้วหาข้ออ้างว่าสมาร์ทโฟนไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ไปคิดเอาเองละกัน
สภาพแวดล้อมแต่บริษัทมันไม่เหมือนกัน เนื้อหางานก็เซนซิทีฟไม่เท่ากัน มึงจะเอามาแซะกันทำไม
>>124 จริงนะ ต่อให้อีกอันมันจะดีกว่าแค่ไหน แต่ user ไม่ยอมใช้ แม่งก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ก็กลายเป็นของไร้ค่าไป
แล้ว git แม่ง ถ้าเริ่มแรกๆมันก็จะงงๆ วุ่นวายกับชีวิตมากด้วย ต้องเรียนรู้นิดนึง เอาจริงๆ ที่ทำงานใหม่กูก็ไม่ได้ใช้ เพราะโปรเจ็คมันเล็กๆ ก็ส่งโค้ดกันทางไลน์นี่แหละ
แต่กูเห็นบางคนบอกข้อเสียเรื่อง security ของ git กูก็เพลียหมือนกัน ดูตอบคอมเม้นท์นี่คือไม่ได้มีความเข้าใจเลย แต่ก็พยายามมาดิสเครดิตในสิ่งที่ตัวเองไม่คุ้นเคย
ไม่ใช่ git = ประหาร
ขอแชร์ของกูต่อ
คือก่อนขึ้นโปรเจ็คก็คุยกันว่าให้ทุกคนเอาโค้ดขึ้นกิต แต่มีคนประมาณเกือบครึ่งไม่ยอมเอาลง หัวหน้าก็พยายามจะตรวจโค้ดในกิต แต่มันไม่มีคนใช้ สุดท้ายก็ล่ม กลับไปใช้งานแฟลชไดฟ์เหมือนเดิม แล้วตอนนี้โดน wfh แม่ง wtf มาก รวมโค้ดแต่ละทีหืดขึ้นคอ ลากยาวมากลางคืนไลน์นี่เด้งจนกูไม่ได้นอน
ส่งไฟล์กันทาง flash drive นี่งานกลุ่มเล็กๆสมัยเรียนตรียังปวดหัวกันแทบตายเลย...
ที่บริษัทเดิมกูยังใช้ source safe อยู่เลย พวกมึงเคยใช้มั้ย เฉพาะโปรเจคเก่านะ มีเยอะด้วย แต่เป็นโปรเจคขายได้เรื่อยๆด้วย แม่งจะ maintain ทีนี่หอบขึ้น(ซึ่งแต่ละไซต์ก็ require ไม่เหมือนกันเลย) นุ้นนี่นั่นไม่รองรับบ้าง เสียเวลาชิบ
มีใครใช้ CPU AMD มั่งป่ะ กูเห็น AMD ออก Zen 2 สำหรับ notebook แล้วน่าจะได้ notebook ดีๆในราคาที่ถูกลงเยอะ
แต่เคยเห็นโม่งในห้อง PC บอกว่า AMD Driver CPU ห่วย กับมีเพื่อนบอกว่างานเขียนโปรแกรมมันสู้ Intel ไม่ได้
ถ้ากูจะใช้จริงนี่ควรระวังอะไรมั่ง
>>134 กูใช้ ryzen5gen2 เท่าที่เขียนมาด้วย dotnet razor js nodejs html python tensorflow แล้วก็ลองใช้เป็นเครื่อง master เทสของ k8s ไม่มีปัญหาอะไร
ที่ยังไม่ลองคือเขียนลง mobile พวก react-native flutter
เห็นมีพี่ที่ทำงานบอกมันมีปัญหาเรื่องใช้งาน emulator ของ android มันจะใช้งานบางฟังชั่นไม่ได้ แต่กูยังไม่ลอง ได้ยินมาเฉยๆ
>>134 เพื่อนกุจัดมา ryzen 5 3500U ที่มันเป็นการ์ดจอแบบแชร์ ไม่รู้เป็นทุกรุ่นที่ใช้ ตัวนี้ หรือ เฉพาะรุ่นที่เพื่อนกูซื้อมา แม่งเว็บบราวเซอร์เล่นวิดีโอ ทั้ง ยูทูป เฟส ฯลฯ แม่งภาพ วิดีโอเขียวบ่อยวะ เอาไปเคลมภายใน 7 วันทางร้านเปลีย่นเคื่องให้ก็ไม่หาย ใครใช้ cpu รุ่นเดียวกัน มาตอบหน่อย เป็นอาการนี้กันไหม
Technical Debt คือไรอ่ะครับ เจอในข่าวบ่อยมาก
>>141 ในก็อนาคตก็... เท่าที่ดูข่าว มันบอกการจะทำ backup ข้ามค่าย ios, android เป็นเรื่องยาก ต้องใช้ทรัพยากร และอื่นๆอีกเยอะ มันเลยไม่ทำ เหตุผลก็น่าจะเป็นอันเดียวกับ tech debt ที่ด้านบนๆ บอก ขนาดตอนนี้รูปที่ส่ง กับ วิดีโอยังมีหมดอายุเลย กุละเซง แล้วก็ใช้กันเยอะอีกไทย
>>141 https://www.blognone.com/node/113349 เอาไปอ่านดู มันบอกขาดตังเลย backup ข้อความไม่ได้ด้วย wtf
ตอนนี้ Work from home กูเปลี่ยนช่องทางคุยงานจาก line เป็น discord ละ ฟังก์ชั่นครบกว่า
แต่คนแก่ๆ เขาก็ถนัดใช้ line กว่าอยู่ดี กูว่าเพราะมันใช้ง่าย ไม่ต้องสมัครเมล์อะไรวุ่นวาย ขอแค่มีเบอร์มือถือ
ส่วนตัวกูชอบ telegram เพราะมันเบาไม่หนักเครื่องดี
ที่ออฟฟิศใช้ Work Chat เป็นหลัก แต่เวลา VDO con ใช้ MS Team อ่ะ
ตอนอยู่ออฟิศใช้ line ตอนนี้ line + skype ว่ะ
พี่ๆ ครับ ในการทำงานจริงปัจจุบันนี้ภาษา JAVA ยังใช้กันอยู่มั้ยครับ หลักสูตรที่ ม.เป็น JAVA แต่เท่าที่ลองดูเนื้อหามันเก่ามากเลย ผมไม่รู้ว่า บ.ทั่วไปเขายังใช้กันอยู่(อย่างที่ อ.บอก)จริงๆ หรอ ผมควรจะทุ่มเทกับ JAVA หรือเรียนแค่ให้พอผ่านรับวุฒิ แล้วเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับภาษาอื่นดีครับ เช่น Python นี่มีอนาคตกว่าหรือเปล่าครับ
>>150 Java ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่จริง แต่เหลือใช้ในองค์กรใหญ่ๆซะมาก บริษัทเล็กๆ startup แทบไม่มี
ในอนาคตองค์กรใหญ่ๆน่าจะยังใช้ไปอีกนานมาก ความนิยมน่าจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆในระยะยาว แต่ก็ไม่ตายสนิท
เรื่องเนื้อหาเรียนในห้องพยายามทำความเข้าใจในแง่ concept ไป อย่าไปยึดติดกับตัวภาษามาก
https://www.blognone.com/node/115919 จริงๆทำออกมาสกุลเดียวก็จะกลายเป็น บิตคอยไปอีก 1 เจ้าเท่านั้นเอง
พวกมึง wfh มีให้ช่วยทำฟรีเสาร์ อาทิต์บ้างป่าววะ กุเป็น outsource แม่ง
หรือพวกพนักงานประจำ มีให้ช่วยทำฟรีมั่งป่าวเสาร์อาทิตย์
>>154 กู พนง.ประจำ wfh ที่ผ่านมาก็โดน ขอให้ทำ ส.-อ. และกูทำ 7 โมงเช้า-ตี 4 เลยด้วย ซึ่งกูก็ไม่บ่ายเบี่ยงอะไร เพรายังไงก็ต้องทำไม่งั้น บ.รายได้หายหลักล้านว่ะ แต่กูเจรจากับหัวหน้าสาขา งานเสร็จขอพักนะ เค้าก็ ok อยู่
แต่ถึงกระนั้นก็ตามถึงวันหยุดตามที่ตกลง ก็ไม่ได้พักอยู่ดี โดนลากไปประชุม แต่กูก็เฉยๆ นะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือเอาเปรียบอะไรหรอก บ.ขายได้เยอะ สุดท้ายก็เพิ่มเงินเดือน สวัสดิการให้กูอยู่ดี ที่ผ่านมาก็ขึ้นเงินเดือนให้กูปีละ 2 รอบ แถมพาไปเที่ยว ตปท.ออกค่าทัวร์ให้หลายอยู่
Futureskill เป็นไงบ้างวะ ใครเคยเรียน
กูต้องย้ายงานแล้วที่ใหม่เริ่มเดือน 7 แล้วที่นี่ต้องเอาคอมมาเอง
อยากได้ Ultrabook Ryzen 4000 (5 หรือ 7 ก็ได้ แต่อยากได้ 7 มากกว่า) มี M2 NVMe RAM 16 GB
จริงๆอยากได้ Acer Swift 5 แต่ไม่รู้จะทำรุ่น AMD ขายรึเปล่า รุ่น Intel Gen 10 ตัวท๊อปก็ราคาแรงไป
มีรุ่นไหนแนะนำบ้างมั้ย
>>162 ถ้าให้กูแนะนำ กูคงแนะนำ Macbook Pro ว่ะ กรณีที่มึงไม่มี software เฉพาะ บน win ที่ต้องใช้เป็นพิเศษนะ
ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะอัตราส่วนจอเป็น 16:10 ดู code ง่ายดี และไอ้พวกปัญหาจุกจิกเวลาใช้น้อย ระบบ backup ง่ายและสะดวก
แต่ก็นะนานาจิตตังว่ะ เลือกซื้อเครื่องรุ่นอะไร OS ไหนก็ตามสะดวกกับมึงเถอะ แต่แนะนำไว้หน่อย ถ้าเครื่องหากินอย่าดูแค่ตัวเลขเสป็คอย่างเดียว ให้ดูพวก keyboard แสงสะท้อนจอ การวางมือด้วย เพราะเป็นเครื่องที่ต้องอยู่กับมันวันละหลายชั่วโมง
พวกมึงใครเคยทำ web dev ที่ easy buy มั่งวะ เป็นไงมั่ง สวัสดิการ เงินเดือน ฯลฯ
Notebook ที่ใช้ทำงาน โค้ดดิ้ง etc+เล่นเกมได้ด้วยซื้อรุ่นไหนดีครับเพื่อนๆ
>>163 Mac ราคามันค่อนข้างเกินงบกูน่ะ เรื่อง software เฉพาะ Win ที่ตัวกูเองใช้ปกติไม่มี
แต่ระบบ authen ของบริษัทมัน support เฉพาะ Win (ตอนสัมเค้าบอกว่างั้น)
เรื่อง keyboard กูไม่ซีเรียสมาก เพราะปกติต่อ keyboard แยกอยู่แล้ว
เวลาที่ใช้โดยไม่ต่อน่าจะไม่บ่อย เช่นหิ้วคอมไปทำงานในห้องประชุม หรือเอาคอมไปทำงานร้านกาแฟนานๆที
>>165 แต๊งมาก ปกติไม่เคยดูตระกูลนี้มาก่อน ดีตรง custom ได้นี่แหละ แต่ต้องเผื่อเวลาสั่งล่วงหน้า
เสียแต่ X1 ไม่มี AMD ถ้ามี AMD มันน่าจะถูกกว่านี้ได้เยอะ ส่วน T495 ดันมีแต่ Ryzen 3000 อีก
ลองไปหาข้อมูลเพิ่มมี T14s, T14 ที่จะมี Ryzen 4000 แต่เห็นว่ากว่าจะขายก็เดือน 6 นู่นเลย ไม่รู้ว่าจะทันมั้ย
Notebookรุ่นใช้devดี+เล่นเกมได้มั่งอ่ะเพื่อนๆ เครื่องเก่าMsiมันจะห้าปีละไม่รู้จะพังวันไหนเลยอยากลองดูตัวใหม่ไว้ก่อน
กูเป็น outsource ทำงานให้บริษัทใหญ่แห่งนึง แล้วทีนี้ลูกค้าเค้าบอกกูว่าบริษัทกูหักค่าหัวคิวเยอะ
เค้าเลยเสนอว่าอยากเปลี่ยนหัวมั้ย แล้วเค้าก็หามาให้ที่นึง ซึ่งจะได้เงินเดือนเพิ่ม 5000 แต่ต้องซื้อคอมมาทำงานเอง
ซึ่งกูก็คิดว่ายอมซื้อใหม่ก็ได้ เพราะคอมบริษัทมันห่วยมาก ถือว่าเพื่อคุณภาพชีวิตเพราะของใช้ทำงานทุกวัน
เท่าที่ลองเอาชื่อบริษัทมา search ไม่เจอข้อมูลเลย เดาว่าน่าจะบริษัทเล็กๆ
แต่กูก็ไม่ติดอะไรนะตราบเท่าที่เค้าจ่ายเงินเดือน เพราะไม่ได้ทำงานด้วยกันโดยตรงอยู่แล้ว
กลายเป็นตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัวๆแล้วว่าควรย้ายดีมั้ยวะ กลัวย้ายไปแล้วมีปัญหา ยิ่งช่วงนี้หางานใหม่ยากด้วย
คำว่าเพิ่ม 5 พัน มันแล้วแต่กรณีด้วย ถ้าฐาน 6-7 หมื่น ย้ายแล้วได้เพิ่ม 5 พัน... อันนี้จะย้ายทำด๋อยอะไร แต่ถ้าฐาน 2 หมื่น ได้เพิ่ม 5 พันอ่าก็ดูเยอะนะ
แต่กูให้คำตอบแบบนี้ดีกว่า
1. มึงควรหางานใหม่นะ
2. แต่บริษัทที่มึงคิดจะย้ายไปทำดูไม่ดีเลยว่ะ ไม่ปั่นประสบการณ์แล้วค่อยหาที่ดีกว่านี้เหรอ ไอ้ที่เสนอมามันดูกระจอกเกินไป กลัวว่าสวัสดิการจะไม่มีอะไรเลยน่ะสิ
ส่วนทำไมกูคิดแบบนั้น เอางี้
ถ้าคิดในแง่เบสิกสุดนะถ้าบริษัทจะอยู่รอดได้ โดยเฉลี่ยเซลล์ 1 คนมันต้องขายงานระดับกลางที่หักกำไรแล้วได้เงิน 3-4 แสนต่อเดือน ถึงจะสามารถ เช่าห้องอาคารสำนักงานระดับเล็กใจกลางเมือง ที่มีคนงาน 20 คนได้ แล้วต้องมีโปรเจคระดับล้านทำกันหลายเดือนหน่อยไว้กินระยะกลาง ดังนั้นคอมตัวนึงไม่กี่หมื่น บริษัทระดับแค่นี้ซื้อแจกได้สบาย แต่นี่ให้ซื้อคอมมาทำงานเองโคตรตลก
>>170 เทียบกับฐานแล้วมันดูไม่เยอะมากก็จริง แต่มันก็คือเงินเพิ่มน่ะ ตอนแรกกูก็คิดซะว่าได้เอาไปเป็นส่วนลดค่าคอมซึ่งอยากซื้ออยู่แล้ว
จริงๆกูเดาเองว่าเพราะมีเรื่องโควิดลูกค้าถึงยื่นข้อเสนอนี้ให้ เค้าน่าจะต้องจ่ายให้เจ้านี้น้อยลง
แต่กูได้เงินเพิ่มเพราะเค้าคิดส่วนต่างน้อยลงมากด้วย
แล้วกูก็ไม่ค่อยกล้าปฏิเสธลูกค้า เพราะกลัวว่าเค้าจะมองว่าค่าตัวกูแพงไปไม่คุ้มสำหรับช่วงต้องประหยัดเลยไม่จ้างต่อ
เรื่องบริษัทใหม่ดูไม่ดีก็ใช่แหละ แต่กูคิดสวัสดิการทั้งที่ใหม่ที่เก่าไม่มีอะไรเลยเหมือนกันทั้งคู่ ดูเผินๆก็น่าจะไม่เสียอะไรนอกจากเรื่องคอม
เนื้องานที่ทำก็งานเดิม ถ้าไม่แจ๊คพอตเจออะไรที่เหี้ยมากๆก็น่าจะโอเค แต่กูก็ยังกลัวๆอยู่
เรื่องคอมบริษัทพวกนี้หากินกับค่าหัวคิวเป็นหลัก ในมุมคนทำงานอาจจะมองว่าเค้างกก็จริง แต่ในมุมบริษัทจะให้เค้ายอมจ่ายนี่ยาก
แล้วบริษัทเก่าที่ยอมให้คอมนี่เครื่องที่ได้ก็สเปคต่ำมากจนใช้งานทั่วไปยังช้า ไม่ต้องพูดถึงรัน tool เขียนโปรแกรมต่างๆ
outsource คนอื่นที่มาจากบริษัทอื่นก็เจอเหมือนๆกันหมด ทุกคนใช้คอมตัวเองกัน มีกูคนเดียวที่ทนใช้คอมบริษัท
นอกเรื่องนะ
แต่จากประสบการณ์ที่กูทำมา กูว่างาน outsource ส่วนมากมันงานกรรมกรยังไงไม่รู้ว่ะ
เพราะคนจ้างเค้าไม่ส่งโปรเจค ใหญ่แบบต้องประเมินคิดเองวางโครงเองตั้งแต่ต้น มันเหมือนงานรับทำส่วนย่อยๆ แบบคำนวณแล้วว่าไม่เกินเท่านี้ๆ แล้วค่อยโยนมาให้ทำเหมือนรูทีนซะมากกว่า
มัน ok ที่ต้องตามเรื่องใหม่ๆ แต่มันก็ได้แค่ตาม ไอ้พวกโปรเจค r&d สร้างนวัตกรรมเอง ประสบการณ์ส่วนนี้มันได้น้อยมาก
ถ้าจะเอาแบบ ประสบการณ์ level + ไว กูว่างานบริษัทพวกเอเจนที่ขาย software แบบพัฒนาตามความต้องการลูกค้าไปไวกว่า อันนี้ความกดดันคนละแบบ คือมึงต้องทำได้ทุกอย่าง รวมถึงขายงานเองด้วย งานด่วน งานบีบเวลา แล้วแต่เจรจาเองเลย ต้องวางแผนตั้งต้นเองเลยว่าซื้อเครื่องมือเท่าไหร่ ยังไง หา supplier เจ้าไหน ทำเองแค่ไหน
กูทำงานประจำ ที่ออฟฟิศมีแมคบุ๊คให้ แต่กูก็มี pc ไว้เล่นเกมทำนู่นนี่ก๊อกๆ แก๊กๆ ฝึกอะไรของตัวเองไปด้วยนะ ไม่รู้ว่ะกูว่าของมันต้องมีติดตัวไว้อ่ะ
ไอ้ซื้อเครื่องส่วนตัวกูเชื่อว่าต้องซื้อกันทุกคนอยู่แล้ว
แต่คำว่าบริษัทมีเครื่องทำงานให้หรือบังคับให้เจ้าตัวซื้อแล้วขนมาเอง อันนี้มันต่างกันว่ะ มันหมายถึงสวัสดิการนะ
แถมการซื้อ software แบบต้องจ่ายรายเดือนหลายตัว ทั้งที่ไม่ได้ต้องการใช้เองเลยก็ไม่ดีนัก
>>174 เหมือนกูโชคดีมั้ง คือเป็น outsource ที่โชคดีได้ทำงานใน Agile Team อยู่ไปยาวๆ ไม่ได้จ้างเป็นโปรเจค
แต่มันก็ค่อนข้างโดนตีกรอบจากการ design ของ SA, standard ขององค์กรลูกค้าที่หลายอย่างก็ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล
แต่ก็ไม่ได้ทำงานในมุม manage project เองหรอก
>>177 กูก็มีคอมของตัวเองนะ แต่เป็น gaming notebook ซึ่งมันโคตรหนัก และไม่อยากทิ้งไว้ออฟฟิซด้วย
จะแบกกลับทุกวันก็หนักไปเลยอยากได้อีกเครื่องต่างหากเบาๆ สำหรับย้ายที่เวลาไปประชุมกับหิ้วกลับบ้านได้ง่ายๆ
อีกอย่างคืออยากแยกเครื่องที่ไว้ทำงานกับเล่นเกมหนักๆเป็นคนละเครื่องด้วย
>>178 outsource บางที่เค้ามองว่ามันก็กึ่งๆเป็น freelance อ่ะมึง คือถ้าบริษัทไม่ค่อยมีพวกนี้ให้แต่เงินเดือนจะเยอะ
คือเค้ามองว่าจ่ายเงินเยอะแล้วจบ ที่เหลือคือจะใช้ทำอะไรคือไปบริหารกันเอง
พวก tool ทำงานเสียตังก็แล้วแต่คน บางคนก็จ่ายเพราะมองว่าเพื่อคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดี บางคนก็ crack เอา
กูโชคดีที่ tool ทำงานใช้ของฟรีได้หมด
พวกมึง outsource เค้า blacklist กันด้วยทำโปรเจคไม่จบเหรอวะ แบบหมดสัญญาแล้ว แต่โปรเจคไม่จบ
และเราไม่ต่อสัญญาไรงี้
บ่นระบายหน่อย ล่าสุดกุทำ project นึง คือ ทั้ง
unit test ก็แล้ว
integrated test ก็แล้ว
ui test ก็แล้ว
function query builder ตรูก็แยกแล้ว test แล้ว test อีก
up ขึ้น production ok เหมือนจะรันได้ไม่มีปัญหา
production ขึ้นของจริง พอผ่านมา 1 เดือน bug โผล่สัด สุดท้ายโดนด่าเสียหมาเลยตรู orz
ไม่จบมหาลัยแต่ถ้าศึกษาเก็บไปภาษาเดียวพอทำงานเรียกเงินได้ถึง15k มั้ยวะ
>>184 ปกติงานโปรแกรมเมอร์มันควรจะได้เงินเกิน 15k อยู่แล้ว
เรื่องได้ภาษาเดียวปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ภาษาเดียว มันขึ้นอยู่กับว่าที่ๆเข้าไปทำงานใช้ภาษาอะไรทำงานมากกว่า
ถ้าตรงกับที่เค้าใช้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร (ถ้าไม่ได้เป็น full stack)
เรื่องจบตรีนี่ขึ้นอยู่กับว่าที่ๆทำงานเค้าใจกว้างรับรึเปล่ามากกว่า ซึ่งในไทยคือหายากหน่อย
>>184 ถ้าถามแบบนี้ตอบเลยว่าไปเรียนให้จบซะ ม.ไก่กา รับนอกเวลาเยอะแยะ
ทำไมน่ะเหรอ ที่ทำงานไม่ได้ต้องการคนเขียนโปรแกรมเป็น แต่ต้องการคนเขียนโปรแกรมแล้วใช้งานได้ คือ ต้องค่อนไปทางเก่ง ระดับชำนาญแล้ว และภาษาก็แค่เครื่องมือที่สำคัญคือ วิธีทำวิธีสร้าง ต่างหาก
ส่วนถ้าเก่งระดับที่ไม่ต้องจบมหาลัย อันนี้คงไม่มาถามแบบนี้ เพราะเก่งจริงขายงานเองได้สบาย ที่วางขาย software มีเยอะแยะ วันไหนเบื่อๆ จะทำงาน freelance ข้ามโลกเลยก็ได้
ถ้าเป็น OS คิดว่าจะได้ทำงานแบบ Agile ตลอดฝันกลางวันชัดๆ
องค์กรในไทยเล็กใหญ่เหมือนกันหมดเปลี่ยน requirement กลางทางตลอดและจะเอาไวๆ บางครั้งแค่จะเขียน unit test ยังไม่มีเวลาเลย ต้องข้ามไป integrated test ไม่ก็ ui test ตลอด ยกเว้นจะได้พัฒนาระบบที่เอาไว้ขายชาวบ้านเองโดยตรงก็ว่าไปอย่าง
ปล. เหี้ยสุดที่กุเคยเจอก็ประเภทงานกุตีไป 2 อาทิตย์ โดนปรับเวลาเหลือ 3 วัน เชี้ยมาก
ถ้าทำงานประเภทบริษัทเอเจนซี่ที่มีโปรแกรมเมอร์ภายใน งานประเภทที่ไปรับจ๊อปไล่ปิดโปรเจคลูกค้า พวกมึงได้จะรู้ว่าคำว่า agile คือตำนานเมือง ประมาณได้ยินชื่อแต่ไม่เคยใช้จริง งานเปลี่ยนได้ตลอดแหละ ประมาณสร้างบ้านเสร็จรื้อเสาออกต้นนึง ต่อไม้กระดานบางๆ แผ่นเดียวออกด่านฟ้า แล้วบนไม้กระดานบางๆ เสือกให้สร้างห้องครัวต่อ unit test เหรอ integrated test เหรอ ui test เหรอ ไม่เคยได้ยิน งานสั่งเย็นวันนี้ก่อนเลิกงาน 5 นาที แต่เอาเช้าพรุ่งนี้ manual test ได้ซัก 3 รอบก็เก่งแล้ว
แล้วทำที่ไหน? บน production จริงเฟ้ย ไม่มีตัว local test แล้วห้ามผิด ผิดเมื่อไหร่โดนด่าประมาณจะไล่ออกเลยทีเดียว เพราะ production จริงมีเงินหลายล้านวิ่งอยู่ต่อวัน transaction update ทุก 10 วิ
ใช่ๆ แม่งทำงานเหมือนคนไม่รู้งาน ถ้ามึงทำพลาดเจอค่าชดใช้ หัวโกร๋นพอดี
ใครเป็นมั่งวะ ตอนเรียนเขียนโปรแกรมแทบไม่รู้เรื่องไรเลย เรียนจบมาแบบงูๆ ปลาๆ สอบเขียนโค้ดบนกระดาษแต่ละวิชาทำแทบไม่ได้ โปรเจคจบคือ มานั่งคิดตอนนี้ มันง่ายมากเลย แทบไม่มีไร ทำไปได้ไง ตอนสัมภาษณ์แทบไม่อยากพูดถึงโปรเจคจบ
...แต่มารู้เรื่องตอนทำงาน (เรียนจบก็อ่านหนังสือ หาข้อมูล ก่อนเริ่มสัมภาษณ์งานที่แรกประมาณนึง) แล้วก็กลับไปคิดว่า ทำไมตอนเรียน เรื่องแค่นี้เราไม่รู้เรื่องว่ะะะะ ??????
โม่ง ป.ตรี สาขา MIS สมัยนี้ถือว่าตกยุคไหมวะ? จบมามันทำงานเขียนโปรแกรมได้ไหม? หรือมันควรไปสายธุรกิจ/การตลาดมากกว่าวะ?
พวกมึง outsource หรือไม่ outsource พอจะรีวิวเงินเดือนตัวเองได้ป่าว ปสก กี่ปี ประเภทงาน เงินเดือน
กุเปิดก่อน .net outsource ปสก 3 ปีนิดๆ เงิน 45000
กำลังจะหมดสัญญาว่าจะเรียกซัก 55000 พวกมึงคิดว่าไงวะ
>>199
- Data Structure กูว่าแล้วแต่ภาษา ถ้าอย่าง Java รู้ในระดับใช้เป็นก็พอ
มากกว่านั้นใช้ของให้เหมาะกับงาน ลักษณะและปริมาณข้อมูลที่ต้อง process ก็ดี แต่ปกติไม่ได้ยุ่งกับข้อมูลเยอะๆมันไม่มีผลมากขนาดนั้น
แต่ไม่จำเป็นต้องรู้ขนาด implement เองได้ หรือรู้ว่าข้างในเป็นยังไงแบบลึกๆหรอก
ส่วน JS เท่าที่กูเคยใช่มารู้แค่ใช้เป็นก็พอ มันไม่ได้มีให้เลือกหลายหลายแบบ Java กูเข้าใจว่า Interpreter มันน่าจะปรับให้เองตามความเหมาะสม
- Database ถ้าทำงานหลังบ้านน่าจะได้แตะเกือบทุกงาน หน้าบ้านบางงานอาจจะไม่ต้องใช้ แต่มันก็ไม่น่าเรียนเองยากนะ
เรียนในห้องมันเน้น concept ก็พอ การทำงานถ้าแบบจริงๆจังๆมันก็ต่างไปตามแต่ละ database อีก
- OS ไม่น่าจะต้องรู้ถ้าไม่ได้ทำงานเฉพาะทาง
>>201 Outsource Java ปสก 7 ปี นิดๆ (มั้งนะ เบลอๆแล้วว่าตัวเองเริ่มทำงานเมื่อไหร่) เงินเดือน 65,000 สวัสดิการไม่มี
กูเปลี่ยนจากประจำมาเป็น Outsource 3-4 ปีก่อน ขอเงินเดือน 50,000 ก็สัมภาษณ์ลูกค้าหลายเจ้าหน่อยกว่าจะได้ที่ๆเค้าโอเค
ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้วถ้านับปัจจัยเงินเฟ้อน่าจะขอได้นะ แต่อาจจะต้องดูปัจจัยเรื่อง ศก. ช่วงนี้ไม่ดีด้วย
>>201 ประจำเงินเดือน 60k กว่าๆ เท่าไหร่ไม่รู้จำไม่ได้ ปสก. 9 ปี ทำในส่วน web อย่างเดียว เลือกเครื่องมือเอง ส่วนมากช่วงหลังใช้ wp เผางานส่งด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำเพิ่มเติมคือต้องทำงานร่วมกับเซล ไม่เชิงไปขายงานโดยตรง แต่ประเมินพวกค่าใช้จ่ายเวลา ความเป็นไปได้ มากกว่า
สวัสดิการ โบนัสอย่างน้อย 1 เดือน พาเที่ยว ตปท.ปีละครั้ง น่าจะงบต่อหัวประมาณ 40-50k พาเลี้ยงบุฟเฟ่หรูประเภทหัวละ 2k เดือนละรอบ ช่วงโควิตเค้าให้ตังค์แทน มีประกันสุขภาพน่าจะเป็นเบี้ยจ่ายทิ้งให้ปีละหมื่นมั้ง ง่ายๆ คือเอาไว้ทำฟันฟรี ตรวจสุขภาพปีละครั้ง ส่วนเข้า office จะเข้าหรือไม่เข้าก็ไม่ไม่ซีเรียสว่าง่ายๆ งานเสร็จพอ แต่ office ก็ไม่ได้ไปลำบากเพราะอยู่ติดรถไฟฟ้านะ
สอบถามหน่อย exxon กับ kbtg เป็นไงมั่ง เงินเดือนประมาณเท่าไหร่
เวลาจะขึ้น พวก framework ใหม่ๆ พวกมึงศึกษากันไงวะ แบบหาเรียน tutorial หรือพวก get started จาก official web แล้วลุยโปรเจคจริงเลยป่าว กุคิดอยุ่ เหมือนต้องอัพสกิลวะ พวกแม่งหาแต่ full stack
แต่พวก framework หรือของใหม่ๆ ไม่เคยทำโปรเจคแบบใหญ่ๆให้ user ใช้งานจริงๆ เลยไม่รุ้จะเริ่มต้นยังไง
>>207 สำหรับกู
1.อ่าน get started จาก official web
2.เปิด udemy คอสกากๆ อะไรก็ได้ในงบ 300 เน้นแบบชั่วโมงน้อยหน่อย เอาแบบรู้คอนเซ็ป
3.อ่าน get started จาก official web แบบละเอียดอีกรอบ เน้นอ่านเรื่องส่วนการรักษาความปลอดภัย
4.ลุย project จริง
อาจจะฟังดูเหมือนมักง่ายไปหน่อยสำหรับ แต่ project หลักล้านกูก็ทำแบบนี้ล่ะ
เวลาสมัครงานโปรแกรมเมอร์เอา portfolio ให้ดุไหม รึแค่ส่ง cv ไป
ถ้ามี portfolio จัดการการยังไง เปิดโปรแกรมโชว์ หรือแคปรูปมาแปะ
ใครเคยทำ outsource เขียนโปรแกรมที่ ปตท. mrt พหลโยธินมั่ง เป็นไง เคยได้ยินคำร่ำลือว่า มีหลายทีม บางทีมอยุ่ดึก บางคนเข้าไปไม่นานก็ออก มันจริงป่าวว่ะ
ถ้าจะหา part time ทำหลังเลิกงานนี่หาจากไหนได้มั่งวะ
ทำงานที่เดิม โปรเจคใหม่ business คล้ายของเดิม tech เดิมๆ + เงินให้มากกว่าที่ใหม่หน่อยนึง อยุ่นี่ก็สบายๆ เพราะอยู่มานาน
ทำงานที่ใหม่ tech ใหม่ แนวโปรเจคใหม่ tech ที่ใช้เป็นที่ต้องการของตลาด(ช่วงนี้และอนาคต) มากกว่า แต่เงินเดือนน้อยกว่าหน่อย
พวกมึงคิดว่าแบบไหน อนาคตดูดีกว่ากัน
ปล outsource ทั้งคู่
ว่าแต่ยุคนี้เวลาโยนข้อมูลในโปรแกรมตัวเองนิยมใช้เป็น Json หมดแล้ว
แต่ทำไมเวลาเขียนโปรแกรมรับข้อมูลจากโปรแกรมอื่น หรือจากระบบอื่นทำไมยังนิยมรับเป็น XML อยู่
กู >>162 สุดท้ายก็ทนยอมซื้อ Swift 5 ตัวท๊อป มาตอนปลายๆเดือน 6 เพราะเวลาไม่เหลือให้เลือกเยอะแล้ว และมีโปรลดราคานิดหน่อยพอดี
มันก็เบามากสมกับที่เป็นจุดขายของรุ่นนี้ กับดีไซน์สวยดี แต่แลกมาด้วยราคาต่อสเปคที่ไม่ค่อยคุ้ม
มาวันนี้เจอ MSI Modern 14 ประกาศรุ่น AMD หนักกว่ากัน 3 ขีด ราคาถูกกว่ากันหมื่นกว่าๆ แรม 8 แต่มี slot ว่าง ซื้อเพิ่มมาใส่เองก็พันนิดๆ
ของอย่างอื่นที่เครื่องกูดีกว่าก็เป็นของไม่ค่อยได้ใช้หรือมีผลต่างน้อยทั้งนั้น อย่าง touch screen, Thunderbolt, WiFi 6, MX350
รู้สึกโคตรเซ็ง ถ้ามันออกเร็วกว่านี้หน่อยกูก็ประหยัดเงินไปตั้งเยอะแล้ว
ปกติต้นสังกัด(recruit) outsource เขาได้เงินเป็นก้อนแล้วไปแบ่งกับ โปรแกรมเมอร์เอง หรือได้ % จากเงินเดือนที่ตกลงกับลูกค้าวะ
สมมติได้จากลูกค้า 100,000 แล้วแบ่งให้โปรแกรมเมอร์ 50k หรือตามตกลง(โปรแกรมเมอร์กับ recruit ตกลงกันเอง)
หรือ โปรแกรมเมอร์เงินเดือน 50k ต้นสังกัดอาจจะได้ซัก 30% ของเงินเดือนโปรแกรมเมอร์จากลูกค้าคือ 15,000 แบบนี้
ส่วนใหญ่เขาเป็นแบบไหนกัน
ใครเคย onsite ที่ ปตท วิภามั่ง บรรยากาศเปงไง
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.