Fanboi Channel

โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 9th quotes

Last posted

Total of 1000 posts

1 Nameless Fanboi Posted ID:.uKFVVDrLy

มู้เก่า
https://fanboi.ch/lounge/1161 โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง
https://fanboi.ch/lounge/2603/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 2nd quotes
https://fanboi.ch/lounge/3016/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 3rd quotes
https://fanboi.ch/lounge/3530/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 4th quotes
https://fanboi.ch/lounge/4357/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 5th quotes
https://fanboi.ch/lounge/5233/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 6th quotes
https://fanboi.ch/lounge/5838/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 7th quotes
https://fanboi.ch/lounge/6311/ โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 8th quotes

2 Nameless Fanboi Posted ID:mu7TkqmbVc

เจิม
#มิตรสหายหัวโล้นท่านหนึ่ง​

3 Nameless Fanboi Posted ID:d9d8tsbgko

อาร์เธอ มิลเลอร์ ยอดนักเขียน และเอเลีย คาซาน ยอดผู้กำกับ เป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน จนกระทั่งคาซานไปเป็นพยานใน "ศาลล่าแม่มด" ขององค์กรต่อต้านคอมมิวนิสต์ -- ชื่อเต็มๆ คือคณะกรรมการสืบสวนพฤติกรรมอันไม่เหมาะกับอเมริกันชน -- และกล่าวป้ายสีนักทำหนังคนอื่นๆ ในฮอลลีวูด

มิลเลอร์ส่งบทละคร The Crucible ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการล่าแม่มดในศตวรรษที่ 17 ให้คาซานอ่าน พออ่านจบผู้กำกับเขียนถึงเพื่อนสนิทว่า

"ละครเรื่องนี้วิเศษมาก ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่คุณจะให้ผมกำกับมัน"

มิลเลอร์เขียนตอบอีกฝ่าย

"เปล่า กูไม่ได้จะให้มึงกำกับ กูส่งให้มึงอ่าน เพื่อให้มึงสำเหนียกว่ากูเกลียดการกระทำของมึงขนาดไหน"

มิตรภาพและความขัดแย้งระหว่างมิลเลอร์และคาซาน ไม่ได้หยุดอยู่แค่ The Crucible หนึ่งปีให้หลังคาซานก็มีผลงานกำกับภาพยนตร์ชิ้นเอกของตัวเอง

On the Waterfront ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ นำแสดงโดยมาลอน แบรนโด
On the Waterfront พูดถึงการต่อสู้ แย่งชิงพื้นที่ทำมาหากินของเหล่ามาเฟียท่าเรือ จุดไคลแมกซ์สำคัญคือฉากที่แบรนโดให้การต่อตำรวจ ปรักปรำเพื่อนของเขาที่เกี่ยวพันกับคดีฆาตกรรม
On the Waterfront ถูกมองว่าเป็นหนัง "แก้ต่าง" ของคาซาน ทำไมตัวเขาถึงให้การกล่าวหาเพื่อนๆ ในฮอลลีวูด ที่อาจเป็นคอมมิวนิสต์

ความซับซ้อนพัวพันคือ On the Waterfront ถูกดัดแปลงมาจาก The Hook บทภาพยนตร์ของอาร์เธอ มิลเลอร์เอง ปี 1951 มิลเลอร์เคยนำเสนอบทภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อสตูดิโอ แต่ผู้บริหารขอให้เขาแก้ไขบท เปลี่ยนผู้ร้ายมาเฟียในเรื่องเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งเจ้าตัวไม่ยอมทำ
สามปีผ่านไป คาซานเอาบทละครเก่าของมิลเลอร์มาปัดฝุ่น ดัดแปลง สร้างเป็นภาพยนตร์แก้ต่างพฤติกรรมตัวเอง พฤติกรรมที่เพื่อนเก่าของเขาแสนจะชิงชัง

#มิตรสหายท่านหนึ่ง​

4 Nameless Fanboi Posted ID:.uKFVVDrLy

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องของคนสามกลุ่ม .. คนหัวสมัยใหม่ที่ต้องการท้าทายทุกสิ่ง , คนที่เก็บความเจ็บช้ำน้ำใจมาสิบกว่าปี และคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนสองกลุ่มแรกเสมอ

.

พวกเขาจะโหวตเลือกสิ่งที่พวกเขาเชื่อ
คนกลุ่มแรกเชื่อในการเปลี่ยนแปลง
คนกลุ่มที่สองเชื่อในพลังของคนที่จะเอาคืนเสียที
คนกลุ่มที่สามเชื่อในทุกสิ่งที่ชี้ว่าฉันดีกว่าคนอื่น

.

ปีนี้ 2562
คนที่เคยทันสมัยกลายเป็นคนที่ต้องวิ่งตามโลก
คนที่ตกโลกก็พยายามหยุดทุกสิ่งไม่ให้หมุนต่อไป
ความคิดไม่ตรงกันไม่ใช่ความขัดแย้ง
การทำงานที่แตกต่างกันไม่ใช่ความขัดแย้ง
ความพยายามหยุดคนอื่นด้วยสารพัดวิธีซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรือด้วยกลไกที่ไม่ยุติธรรมต่างหากที่สร้างความขัดแย้งขึ้นมาทุกครั้ง

5 Nameless Fanboi Posted ID:Iu4z19+JPY

>>4
จูนิเบียว สาดโคลน ดิสเครดิต หาสาระไม่ได้

6 Nameless Fanboi Posted ID:JqpVKSWNmW

แก๊งวัยรุ่นค้ายาคายข้อมูลลับหมดเปลือกหลังแพ้วินนิ่งตำรวจ 0-9

จิตวิทยาคือสิ่งสำคัญในการเค้นความจริงจากผู้ต้องหา หลายครั้งที่เราจะได้เห็นการเค้นความจริงในรูปแบบของความรุนแรงและชิงไหวชิงพริบ ทว่าในปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนไปแล้วและเจ้าหน้าที่ตำรวจยุคใหม่ก็ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น

ชุดปราบปรามยาเสพติด สำโรงเหนือ จับกุมเยาวชนค้ายาบ้า พร้อมของกลางจำนวนหนึ่ง ขณะนำมาส่งภายในซอยหมู่บ้านเฟื่องฟ้า ถ.เทพารักษ์ ซึ่งหลังจากจับตัวได้ทางเจ้าหน้าที่ต้องการจะขอข้อมูลเพิ่มจากผู้ต้องหาเพื่อนำมาขยายผลจับผู้บงการรายใหญ่

ในช่วงแรกนั้นกลุ่มวัยรุ่นที่โดนจับไม่ค่อยให้ความร่วมมือมากนักและได้ข้อมูลน้อยมาก จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ได้จัดการเลี้ยงผัดไทยและต่อเครื่องเล่น เพลย์สเตชั่น 4 และเปิดเกม PES 2019 ภาคล่าสุดของเกม Pro Evolution Soccer หรือที่คนไทยรู้จักกันดีกับชื่อที่ใช้ในอดีตของเกมนี้อย่าง "Winning Eleven" และดวลกับผู้ต้องหาเพื่อลดความกดดันและทำให้ได้รับความร่วมมือมากขึ้น

สถานการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งผลการเเข่งขันคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ผู้กอง) ที่เลือกใช้ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้าน (โรงพัก) เอาชนะ น้องผู้ต้องหาที่เป็นผู้มาเยือนและใช้ทีม บาร์เซโลน่า ไป 9-0 และหลังการเเข่งขันจบลง ทางตำรวจก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากขึ้นเพราะผู้ต้องหาให้ความร่วมมือในการสอบสวนเป็นอย่างดี

ปัจจุบันเกม PES2019 เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย หลังจากที่ตัวเกมนั้นได้ลิขสิทธิ์ไทยลีกไปใช้งาน โดยล่าสุดมีการนำตัวแทนของแต่ละสโมสรในลีกของประเทศไทยตั้งทีมเเละเข้ามาแข่งขัน PES ในชื่อรายการ Thai E-League Pro อีกด้วย

#มิตรสหายท่านหนึ่ง​

7 Nameless Fanboi Posted ID:BKEOpepm46

อนึ่ง การเป็นกะหรี่นั้น เป็นแล้วเป็นเลย เลิกไม่ได้ แม้ขายเพียงครั้งเดียวแต่ความเป็นกะหรี่นั้นก็จะติดตัวน้องไปจนวันตาย พึงคิดให้ดีก่อนผันตัวเป็นกะหรี่ มิเช่นนั้นแล้วจะหาว่าแอดมินไม่เตือน คนเรามีมือมีเท้า ไม่ได้พิการ ไม่ได้แขนขาดขาด้วน เกิดมามีศักดิ์ศรี อย่าเอาไปขายทิ้งแล้วตอแหลว่าจำเป็น.

8 Nameless Fanboi Posted ID:SMEy2Om5JV

>>7 คล้ายๆกะอีกอย่าง เป็นแล้วเลิกไม่ได้

9 Nameless Fanboi Posted ID:BKEOpepm46

อาจารย์มหาลัยคุยกันครับ นี่คือเรื่องจริง .....

มันเป็นมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ราก ตั้งแต่ฐาน .... แล้วการแก้ปัญหาง่ายๆ อย่างการแก้ปลายน้ำ ทุกคนเรียนจบ ก็ไม่มีปัญหาแล้ว นี่ไง เราสามารถผลิตบัณฑิตได้เท่านั้นเท่านี้ต่อปี จบได้หมด 100%

ซึ่งจริงๆ แล้ว ระบบการศึกษาภาคบังคับ ประถม มัธยม ของเราก็ผ่านกระบวนการแบบนี้มาก่อน เช่นเดียวกับมหาลัย ....

ตั้งแต่ไม่ให้เรียนซ้ำชั้น ไปจนถึงการบังคับให้ปล่อยเกรด (ทางอ้อม) ประกอบเข้าไปความต้องการและแรงกดดันจากครอบครัว ผู้ปกครอง ฯลฯ

ผมต้องสอนการศึกษาพื้นฐานให้กับนักศึกษาปริญญาตรีเยอะมาก จนถึงตอนนี้ผมก็ยังต้องสอนให้คนที่เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว อยู่เยอะ (แต่นั่นแหละ หลายคนก็ไม่อยากถูกสอนหรอก ไม่ยอมรับว่าตัวเองทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ มีอีโก้จากใบปริญญาและตำแหน่งหน้าที่การงานเยอะแยะไปหมดแล้ว)

แล้วปัญหามันก็ต่อยอดไประดับ ป.โท ป.เอก เยอะเลย แต่ไม่ขอพูดถึงละกันเนอะ .....

ถ้าดูกันที่ "ตัวเลข" .... ทุกอย่างก็ไม่น่ามีปัญหาเลยนะ

เด็กเข้าเรียนเท่าไหร่ สอบผ่านหมด คะแนนก็ไม่ใช่น้อย คะแนนประเมินสถานศึกษาก็ดี .งงง ปริมาณคนเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาก็สูง แถมเข้าเท่าไหร่ก็เรียนจบหมด ....... หลักสูตรทุกอย่างก็มีคุณภาพ คะแนนประกันคุณภาพสูงทุกที่ ...... คนเรียนก็แฮปปี้ ครอบครัวก็แฮปปี้ ......

ทุกอย่างดูดีหมดเลย .....

แต่นั่นแหละ อะไรก็ตามที่มัน too good to be true .... เราก็รู้กันอยู่ว่ามันหมายถึงอะไร

10 Nameless Fanboi Posted ID:BKEOpepm46

โดนไปซะอีดอก ห้าวนัก
เอาไปก่อนขำๆ 4ข้อหา

-ร่วมกันบุกรุกสถานที่ราชการโดยใช้กำลังประทุษร้าย
-ร่วมกันทำร้ายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่
-ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย
และ
-ร่วมกันทำให้ให้เสียทรัพย์

ส่วน คดีทำอนาจาร ลวนลามเด็กผญ.มึงรอแพรพ รอน้องผญ.มันสอบเสร็จ เค้าจะให้ผู้ปกครองพามาดำเนินคดีมึงอีก 1 เป็น 5คดี

อ้ออออ ลืมๆๆๆ บอกข่าวดีเรื่องเงินๆทองๆ พวกมึงไป
ทางกระทรวงศึกษา และคณะกรรมการสอบ GAT PAT เค้ากำลังคุยกันอยู่เรื่องให้พวกมึงชดใช้

ค่าเสียหายทั้งหมดที่พังการสอบเดิม
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดสอบใหม่
ค่าชดใช้ทรัพย์สินในโรงเรียน ที่เสียหาย
ค่ารักษาพยาบาล ค่าทำขวัญ ครูนักเรียนทุกคนที่ มีผลกระทบ ทั้งกายใจ

และทางผู้ปกครองแต่ละราย อาจจะมีฟ้องเรียกค่าเสียหายมึงเพิ่มอีกนะ

ยังห้าวอยู่มั้ย อีดอก !!!

11 Nameless Fanboi Posted ID:U5HDQLqhdR

>>7 ขอบคุณเม้นนี้มากๆครับ ผมเกือบจะไปขายตูดเปย์กาชาแล้ว พอได้อ่านเม้นนี้ปุ๊ปตาสว่างเลย

12 Nameless Fanboi Posted ID:BKEOpepm46

เจอข้อความนี้แชร์กันอยู่ ดีเฟนด์ให้กลุ่มงานบวชที่บุกโรงเรียน ผมก็อึ้งเพราะเคยนึกว่าตัวเองซ้ายมากแล้ว ยังไม่สามารถมองแบบนี้ได้ เลยเอามาแชร์ให้ดูอีกมุมมองนึง ไม่รู้ว่าจะเห็นด้วยกันมากน้อยแค่ไหน?

ข้อ 1-3 คืออธิบายว่าค่านิยมลำดับความสำคัญต่างกัน งานบวช (ของพวกตัวเอง) สำคัญกว่าสอบ (ของคนอื่น) จริงๆผมว่าไม่ใช่ตรงค่านิยมมั้ง มันสำคัญตรง "ของพวกตัวเอง" มากกว่า ถ้านักเรียนเป็นญาติเขา เขาก็คงมองกลับกัน แล้วโกรธคนที่ไปทำร้ายนักเรียนมากกว่า

ข้อ 3 บ่นถึงความไม่เป็นธรรมในระบบการศึกษาด้วย ประมาณเด็กที่สอบนั้นได้โอกาสมากกว่ากลุ่มงานบวช เหมือนมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นหรือเปล่า (Appeal to poverty) จริงๆผมนึกว่าเขาแค่โกรธที่โดนห้ามใช้เสียงนะ เสียหน้าด้วย อดฉลอง(กินเหล้า)ต่อด้วย

ข้อ 4 บอกว่าการใช้ความรุนแรงละเมิดกฎหมายเป็นเรื่องปกติ ความผิดอยู่ที่โครงสร้าง สังคมเราปล่อยมาจนเป็นแบบนี้เอง อันเนี้ยทำให้แปลกใจ เพราะแม้เราพยายามจะไม่ตัดสินคนดีเลว แต่เราก็ต้องตัดสินพฤติกรรมนี้ของพวกเขาว่าผิดทั้งจริยธรรมและกฎหมายอยู่ดี

ข้อ 5 บอกว่าทั้งผู้ใช้ความรุนแรงและผู้ได้รับความรุนแรงต่างก็เป็นเหยื่อ ไม่ต้องแยกแยะก็ได้ ซึ่งปกติเราจะบอกว่าทั้งสองฝั่งเป็นเหยื่อเพื่อจะสามารถทำความเข้าใจทั้งสองฝั่ง ไม่ได้บอกว่าให้มองทั้งคู่เท่ากันนะ ยังไงก็ต้องดีลกับทั้งสองฝั่งต่างกัน เหยื่อก็ต้องได้รับการเยียวยา (หลายคนจะได้ PTSD แถมไปด้วย) ส่วนผู้ใช้ความรุนแรงก็ต้องติดคุกไป

สรุป
ผมรู้สึกเหมือนคนเขียนจะพยายามวิจารณ์รัฐและสังคมไทย โดยใช้คำฝั่งซ้ายเยอะๆ เพื่อให้น่าสนใจเฉยๆ แต่มันขัดๆ เพราะจริงๆซ้ายจะแอนตี้ความรุนแรง เชื่อมั่นว่าใช้กฎหมายดีกว่าจะตัดสินความขัดแย้งด้วยความรุนแรง ตาต่อตาฟันต่อฟันอย่างที่นิยมกันในวัฒนธรรมเรา

และผมว่ากลุ่มงานบวชก็แค่โกรธที่ถูกห้าม ไม่ได้เกี่ยวกับชนชั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นปาร์ตี้ผู้มีอิทธิพลถูกห้าม ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันเหมือนกัน มันเป็นปัญหาวัฒนธรรมที่ #หน้าสำคัญกว่าชีวิตคน คนไทยเราเอาแต่ใจมาก ใครขัดใจก็โกรธมาก คนที่เชื่อในการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ก็จะใช้ความรุนแรงทันที อย่างที่เห็นกันทุกวัน

โครงสร้างสังคมไทยมีปัญหาหนักมากจริงๆ การเลื่อนขั้นทางสังคมเป็นไปได้ยาก แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคนใช้ความรุนแรงกับเหยื่อจะเท่ากันนะ มันแปลว่าสังคมควรจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไปด้วยต่างหาก

https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/53238318_1316579388482378_6837742420910669824_n.png?_nc_cat=100&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.fna&oh=02aac2a55bf661f1a331bfa710c68aed&oe=5CE53D42

13 Nameless Fanboi Posted ID:1xyYH2q5pg

ไปถ่ายงานมาวันก่อนเจอเด็กพร๊อพคนนึงเท่มาก ชื่อไบรอัน เป็นลูกครึ่งชาวกาน่า อายุ17 พ่อทิ้งไปตั้งแต่เกิด แม่ได้สามีฝรั่งเลยทิ้งไปตอนอายุ 12 สู้ชีวิตตัวคนเดียวมาตลอด ถูกมั่งผิดมั่ง นอกเหนือจากอาชีพเด็กพร๊อพแล้วไบรอัน เป็นครูสอนเต้นที่ป้อมพระสุเมรุ และไปสอนเด็กเต้นตามสถานพินิจ ไบรอันเล่าว่าเค้าไม่มีเวลาท้อ เพราะแค่จะกินอะไรยังไม่มีเวลาคิดเลย ผมกลับมาเปิดเฟสเจอคนที่ชีวิตดีอยู่แล้วเพ้อ ตัดพ้อชีวิต โทษชะตา ด่าเจ้านาย บ่นนั่นนี่ ผมกลับไปโทรหาไบรอัน ให้มาเป็นนายแบบให้งานผมหน่อย นี่แหละนายแบบผม ไม่มีอะไรทำให้ผมอยากถ่ายรูปได้เท่ากับคนที่มีรอยแผลเป็นในชีวิต นี่แหละภาพถ่ายของผม

14 Nameless Fanboi Posted ID:aYZGGfZKaz

>>12 ประมาณLibtardอเมริกาที่บอกว่าคนดำตั้งแก๊ง ปล้น ฆ่า ค้ายา เพราะคนขาวผู้ชั่วร้ายกดขี่ไว้เลยต้องหาทางออกแบบนี้

มีมาไทยแล้วเหรอวะ อีกหน่อยคงมีsocialist/คอมมี่นั่งเต็มสตาร์บัคไทยแน่ๆ

15 Nameless Fanboi Posted ID:Qs.MvPmUJs

ผมเคยตั้งข้อสังเกต และเล่าให้คนใกล้ชิดฟัง
แต่ไม่เคยโพสต์ในที่สาธารณะ

ว่า...

.

ความประหลาดอย่างนึงของประเทศไทยคือ

ในสมัยก่อนนั้น
เด็กที่เรียนเก่งได้คะแนนดี
ส่วนใหญ่..มักจะไปเรียนหมอ
หรือ เรียนวิศวะกันเกือบหมด

นั่นเป็นสาเหตุให้ประเทศไทย มีหมอเก่งมาก
และพร้อมที่จะเป็นฮับด้านการแพทย์

ไม่งั้นก็ ไม่ทำอาชีพหมอเลย
ไปทำอย่างอื่นก็มาก เช่น
เจ้าของอิตาเลียนไทย เจ้าของบางกอกแอร์เวย์ ก็เป็นหมอ

หรือผู้บริหารเก่งๆหลายคนในประเทศ
มักจบวิศวะ แล้วมาต่อ MBA

เพราะระบบ สังคม มีส่วนยัดเยียดให้
เด็กเก่งๆเกือบทั้งหมดของประเทศ
ไปเรียน 2 คณะนี้ โดยไม่สนว่าจะชอบหรือไม่

ซึ่งเหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ

สองอาชีพนี้มีรายได้สูง
สามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ซึ่งจำเป็นมากในประเทศที่ สวัสดิการไม่ดีนัก

..
.

แต่ในขณะเดียวกันในสมัยก่อนนั้น
มักมีคำพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงว่า

“เกเรมาก ไม่ตั้งใจเรียน เดี๋ยวได้ไปเป็นครู”

ซึ่งมีความจริงบางส่วน เพราะในสมัยก่อนนั้น
คะแนนในการสอบเข้าคุรุศาสตร์ ค่อนข้างต่ำ
หากเทียบกับคณะอื่นๆ โดยเฉพาะหมอ หรือ วิศวะ

ซึ่งเหตุผลก็น่าจะมาจาก รายได้ และค่าตอบแทนต่างๆ
ในการเป็นครู ที่น้อย จนมีผลให้
ไม่สามารถดึงดูดหรือรักษาบุคลากรคุณภาพไว้ได้

ซึ่งมันน่าตลกมากสำหรับผม
เพราะครูนั้นสำคัญมาก และควรเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีรายได้สูงสุด

เพราะต้องสอนให้คนรู้จักคิด
เข้าใจเรื่องต่างๆได้อย่างท่องแท้

.

ซึ่งหลังๆ เริ่มดีขึ้น
เพราะมีความพยายามในการปฏิรูปครู
มีโครงการครู 5 ปี มีการเพิ่มค่าตอบแทนให้อาชีพนี้

ทำให้ระยะหลังๆ คะแนนสอบเข้าคุรุศาสตร์มีคะแนนสูงขึ้น

และบางปีใน 5 อันดับแรก
ของคณะที่คนแย่งกันเข้ามากที่สุด
มีคุรุศาสตร์อยู่หลายอันดับ อย่างในปี 59
ที่คุรุศาสตร์เป็นอันดับ 1 และ 5

..
.

แต่

ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย
คือหนึ่งอาชีพ ที่ยากกว่าครู....” พระ “

เพราะ “พระ” ต้องสอนให้คนเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ
ซึ่งซับซ้อน ละเอียดอ่อน ยากจะเข้าถึงกว่าความรู้ทั่วไป

แต่กลับกลายเป็นว่าพระจำนวนไม่น้อย
กลายเป็นคนที่ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร จึงมาบวช

ซึ่งพวกเขาก็ตีความศาสนาพุทธ
ตามมุมมอง ความเคยชิน และความรู้ที่พวกเขามี

จึงไม่แปลกที่จะเห็นศาสนาพุทธ ผสมพราหม ผสานผี
เต็มไปด้วยพิธีกรรม วัตถุมงคล ใบ้หวย ให้รวยง่ายๆ
ไม่ค่อยช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณ
อันเป็นแก่นแท้ของศาสนาเท่าไหร่

ทั้งที่จะว่าไป พระ เป็นอาชีพ ที่มีค่าตอบแทนไม่น้อย

...
..
.

จริงๆอธิบายมายืดยาว คือกลัวจะเข้าใจผิด
เพราะเวลาผมพูดกับคนใกล้ชิด

ผมมักพูดแค่.....

“ประเทศนี้แม่งแปลก
เอาคนที่ไม่ค่อยเก่ง มาเรียนครู
ทั้งๆที่จริงๆควรจะเก่งมาก
เพราะต้องสอนคนอื่นให้เก่ง

และเอาคนที่ไม่มีปัญญาทำห่าอะไร
มาเป็นพระ ที่สอนเรื่องที่ยากกว่า
อย่างจิตวิญญาณ ให้คนเป็นคนดี
ทั้งที่ตัวเองยังอาจจะเอาดีไม่ได้ด้วยซ้ำ”

มันกลับหัวกลับหางสิ้นดี

...
..
.

ปล.

แนวคิดนี้ของผม มีความเอามัน ใส่อารมณ์ขันแบบเหน็บแนม และ Hyper-Generalization สูง

แต่ถ้ามองผ่านไปได้
มันก็พอสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างในสังคม

16 Nameless Fanboi Posted ID:Qs.MvPmUJs

ผมจะเล่าเรื่องหลังจากเหตุกาณ์ในภาพนี้ให้ฟัง ว่ามันพลิกกลับให้น่าตื่นเต้นได้ยังไง

หลังจากชูป้ายนี้ ก็เกิดการดีเบตกันได้มันส์พอดูเลย จนสมแล้วจริงๆ ที่ผมพูดได้ว่า ”ปชป. แม่งเกิดมาเพื่อเป็นฝ่ายค้านจริงๆ “ คือชนิดที่ว่า ค้านได้เก่งเหี้ยๆ แต่มีชั้นเชิง(อันนี้ตูชม) คือหลังจากตรงนี้จะมีพิธีกรจากกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไทออกมาถามว่าทำไมถึงแย้ง ศุภชัย แกเลยถามกลับประมาณว่าเขาไม่เคลียร์ในคำถามว่ามันเป็นการยกเลิกชุด นร. รึเปล่า ถ้าใช่มันจะขัดกับความสมัครใจของ นร. เองรึเปล่า เพราะคนที่เต็มใจใส่เขาไม่ได้มีปัญหากับชุด นร. เขาเลยถามต่อทุกคนว่า “แล้วพวกคุณล่ะรู้สึกยังไงเวลาเห็นเด็กใส่ชุด นร. ?” แล้วก็มีคนหน้าเวทีตะโกนบอกมาว่า “รู้สึกสงสาร” “...เพราะถูกบังคับแต่ง”ศุภชัย เลยขอเชิญ นร. ที่อยู่ในงานออกมาบอกความรู้สึกว่ารู้สึกยังไง

ศุภชัย :น้อง นร. ที่มางานนี้ทำไมถึงใส่ชุด นร. มา มีใครบังคับไหม?
นร. :ไม่มีครับ ใส่มาเอง
ศุภชัย :แล้วใส่ชุด นร. ทำไมทั้งที่เป็นวันหยุด
นร. :ก็รู้สึกแค่ว่ามันดูเรียบร้อยดี
ศุภชัย :แล้วรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารไหม
นร. :ไม่ครับ
คนถามก็ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนกับโดนตบหน้าว่าอย่าเอามุมมองตนเองมาคิดแทนเด็ก

นาทีนั้นผมบอกเลยว่าสุดจริง ไม่คิดว่าฝ่ายค้านคนเดียวกลางวงจะโต้กลับได้เด็ดขนาดนี้ เอาจริงๆ ผมว่าถ้า ปชป. ชูป้ายเห็นด้วยมันก็คงจบแบบเฉยๆ ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่พอมีฝ่ายค้านขึ้นมาปุ๊บ เวทีก็เริ่มแตกประเด็นย่อยขึ้นไปอีก ซึ่งมันจะมีคำตอบมากกว่าหนึ่งหรือสอง ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยวิธีการค้านแบบนักการเมือง กับวิธีค้านแบบแอคทิวิสต์ มันเป็นยังไง

Edit : อันนี้ผมขอตัวแก้ไขข้อความใหม่นินึง ไปฟังมาใหม่ล่ะว่าคนที่พูดว่า”รู้สึกสงสาร” จะไม่ได้มาจากตัวพิธีกร แต่มาจากคนตรงหน้าเวทีเอง ส่วที่เหลือก็ตามนั้นแหล่ะ

ตรงนี้ผมฟังผิดเอง ขอโทษด้วย

17 Nameless Fanboi Posted ID:C3YOJpbUzs

ปั๊ดโธ่เอ๊ย!!!! เอาอีกแล้วครับ คนรุ่นใหม่ในกะลาแลนด์คิดได้แค่นี้แล้วเมื่อไรกัญชาจะเสรีและเป็นทางเลือกของการรักษาโรค / ตลาดเบียร์จะไม่ถูกผูกขาดโดยเจ้าใหญ่ไม่กี่เจ้า / คร้าฟท์เบียรไทยจะปลดล๊อคพันธนาการจากกฎหมายอันคร่ำครึ / นักกีฬาอีสปอร์ตไทยจะได้ไปแสดงความสามารถในเวทีโลกมากขึ้น / และ Uber จะได้ยกระดับอุตสาหกรรมคมนาคมขนส่งไทย เสียทีอ่ะครับเฮ่อออ
http://ruangjringwannee.net/archives/8760

18 Nameless Fanboi Posted ID:SMEy2Om5JV

>>17 เห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณหรือยังครับ

19 Nameless Fanboi Posted ID:C3YOJpbUzs

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองที่เสนอนโยบายพวกตัดงบ ลดงบทหาร เลิกเกณฑ์ทหาร ฯลฯ นี่สงสัยเอาพวกเด็กรัฐศาสตร์ปี 1 ปี 2 มาคิดนโยบายให้อ่ะครับ นโยบายเบสิคพื้นๆ แบบนี้

ซึ่งพรรคสนุ้กเกอร์ไทยเรานั้นจะมีนโยบาย OGOS (One General One Snooker) "1 นายพลเกษียณ 1 โต๊ะสนุ้กเกอร์" พวกท่านจะไม่ได้รับบำนาญจากรัฐบาลใดๆ ทั้งสิ้น แต่สามารถเปิดโต๊ะสนุ้กเกอร์ที่มีคาสิโนพ่วงด้วยอย่างเสรีอ่ะครับ เผลอๆ นายพลทั้งหลายจะเออรี่รีไทร์ออกมาทั้ง 4 เหล่าทัพเลย มาสนองนโยบายตัวเนร้

#ปี2575กาพรรคสนุ้กเกอร์ไทยเบอร์147
#ตบประเทศไทยหมดโต๊ะกับพรรคสนุ้กเกอร์ไทย

20 Nameless Fanboi Posted ID:QITtijg9Zh

จากบทความเรื่อง Rich People Literally See the World Differently ของ Drake Baer อธิบายว่า “social class cultures” มีผลต่อ “social attention” ของคนแต่ละคน จากการศึกษาของนักวิชาการหลายท่านพบว่าคนจนมีความใส่ใจความรู้สึกความคิดความเป็นอยู่ของคนรอบข้างมากกว่าคนรวย เนื่องจากคนจนเติบโตมาจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและไม่ปลอดภัย พวกเขาจึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยคนรอบข้างเพื่อช่วยเหลือให้เขารอดพ้นจากอัตรายต่าง ๆ ที่พวกเขาเผชิญ ด้วยเหตุนี้ทำให้คนรอบข้างพวกเขามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นอย่างมากหรือกล่าวได้ว่าคนจนมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยคนรอบข้างมากกว่าคนรวย ในขณะที่คนรวยส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับเป้าหมายและความต้องการของตัวเองเป็นหลัก เนื่องจากเขามีอำนาจและอยู่ในชนชั้นที่สูงจึงไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น ทำให้ความใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นมีไม่มากเท่ากับกลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ด้วยเหตุนี้เองทำให้มุมมองการมองโลกระหว่าง ‘คนจน’ กับ ‘คนรวย’ แตกต่างกัน

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

21 Nameless Fanboi Posted ID:SqfgQgwwln

ไม่รู้ใครต้นฉบับ แต่ก็พอได้ข้อคิดครับ

เรื่องดราม่า วงการเกษตรไทย​ (พี่ในกลุ่ม1ไร่พอเพียงได้กล่าวไว้)​

คนรุ่นใหม่ๆมีเยอะครับ ที่คิดเรื่องการออกจากงานประจำมาทำเกษตร

ข้อควรจำ (เตือนด้วยความหวังดีนะจ๊ะ)
1) อย่าเอาภาพในเพจต่างๆมาหลอกตัวเอง เพราะคุณไม่รู้ว่า... ที่เขาได้เงินแสนเงินล้านจากการทำเกษตรในที่แปลงนิดเดียว เขาบอกไหมว่าต้นทุนเท่าไหร่? ทำมากี่ปี? เจ๊งมากี่รอบ? แล้วไอ้แสนหรือล้านน่ะใช้เวลากี่วัน ?

2) เพื่อนที่เขาเอามาโชว์ว่า... สบายใจ และประสบความสำเร็จน่ะ เขามีที่กี่ไร่? ผมเห็นส่วนใหญ่มีคนละเกินสิบไร่ทั้งนั้น ถ้าเป็นลูกจ้างกินเงินเดือน แล้วมีที่ขนาดนั้น ก็ไม่ต้องเป็นลูกจ้างแล้วครับ เป็นผม...ผมก็ไม่เป็น

3) คนที่ทำผลผลิตออกมาให้เห็นตามสื่อ ไม่ว่าจะโชว์ต้น หรือลูกอะไรก็แล้วแต่ สังเกตุดีๆมีอายุแล้ว คนรุ่นนี้มีเงินบำเหน็จบำนาณ หรือไม่ก็เอาเงินเออรี่รีไทน์มาทำ ซึ่งเงินจำนวนนั้นคนกินเงินเดือน 1-2 หมื่น อย่าไปคิดให้ปวดหัว

4) สมมุติว่า... ทำงานเก็บเงินซื้อที่ได้แปลงนึงเท่าแมวดิ้นตาย อย่าคิดทำเป็นอาชีพ ลองทำลองปลูกนู่นปลูกนี่ เอาให้มีกินในครอบครัวให้ได้ก่อน ค่อยคิดการใหญ่

5) คนมีหนี้อย่ามาทำการเกษตรครับ ดอกเบี้ยที่มันเพิ่มพูน กับเงินลงทุนมันไม่ทันกันแน่นอน บวกลบคูณหาญดีๆก่อนจะอดตาย

6) หากคุณทนทำงานประจำไม่ได้ คุณก็ทนกับการการเกษตรไม่ได้เช่นกัน ในที่ทำงาน คุณอาจต้องเจอกับความกดดัน เช่น เรื่องผลงาน อาจจะมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ลูกน้อง ลูกค้า ดังนั้น ถ้าคุณมาทำเกษตร ก็ต้องทำใจ และเตรียมรับแรงกดดัน จากหลายๆสิ่งรอบตัวคุณ เช่น เรื่องรายได้-รายจ่าย เรื่องผลผลิต เรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช เรื่องราคาผลผลิต ทั้งจากคนในครอบครัว คนข้างบ้าน คนงาน รวมทั้งใจคุณเอง
(ทำเกษตรต้องอดทน > ทำงานประจำ)

7) ทำงานประจำไม่มีอิสระ ออกมาทำการเกษตรสิอิสระเพียบ แนะนำผูกเปลนอนเลยครับ กลางสวนนั่นแหละเพราะถ้าคุณมีลูกจ้างก็ให้ลูกจ้างทำไป แต่ถ้าคุณไม่มี คุณจะเหมือนติดคุกกับวังวนตื่นตี 4 - ตี 5 แล้วหลับเที่ยงคืน

8) มีทุนสำรองขนาดไหน? คนที่เอาเรื่องเขามาลงในเพจในสื่อต่างๆ ไม่มีใครเลยสักคนที่เริ่มต้นจาก 0 (ศูนย์) ครับ อาจจะบ้านรวยพ่อแม่มีใว้ให้นานแล้ว ตัวเองทำตามฝัน ออกไปหางานทำเบื่อ หรือได้รับมรดก จึงออกมาทำอะไรในที่ดิน ที่ขาดจำนอง หรือมีทุนเก่าเอามาใช้จ่ายได้ ลูกจ้างที่คิดจะออกจากงานล่ะ บ้านรวยมั้ย? มีเงินกินยามผลผลิตไม่ออกมั้ย?

9) การทำเกษตรไม่ใช่เมล็ดหญ้า ที่ไม่ต้องดูแลมันก็งอกงาม ทำการเกษตรต้องดูแลเอาใจใส่ ต้องมีความรู้(อันนี้สำคัญ)ด้วยว่า มันต้องทำไง 1,2,3,4 ตามขั้นตอน ไม่ใช่ออกงานมาแล้วงงว่า... จะทำอะไรยังไงดี คำแนะนำง่ายๆ กลับไปทำงานเหมือนเดิมไม่ต้องคิด

10) ข้อนี้สำคัญ เราควรทำการเกษตรเพื่อเอาเงิน อย่าเอาเงินไปทำการเกษตร สิ่งที่เราลงทุนลงแรงไปต้องได้เงินกลับมา อย่าเอาแค่สบายใจที่ได้เห็นผลผลิต เพราะถ้าคิดแบบนั้น แนะนำให้อยู่บ้าน ปลูกมะม่วงต้นนึง พอออกลูกมาพวงนึง ก็ถิอว่าสำเร็จแล้ว

หมายเหตุ :
- อีกเรื่องที่ขอเตือนไว้ ใครที่ไปโพสท์ถามความเห็นของคนอื่นตามกลุ่มต่างๆ ว่า...ควรทำอะไร ปลูกอะไรดี เวลามีคนมาเมนท์ มาให้กำลังใจ มาแนะนำให้ทำนู่นนี่นั่น รบกวนสักนิด กรุณาเข้าไปดูที่หน้าโปรไฟล์ของ ไอ้คนที่มาเมนท์สักนิด เพราะส่วนใหญ่ที่เจอมา มีแต่ข้าราชการ พนง,ประจำทั้งนั้น ที่เมนท์เสนอแนะ เมนท์ให้กำลังใจ ผักยังปลูกกินเองไม่ได้ ไม่รู้เอาห่าอะไรไปแนะนำ

*** การจะออกจากงานมาทำเกษตร คุณต้องมีที่ดิน ทุนสำรอง(มากพอ) ต้องมีความรู้เรื่องพืชที่จะปลูก และต้องรู้จักตลาด ถ้าที่ผมบอกมา คุณยังไม่มี แนะนำให้ทำงานไปเหมือนเดิม ***

ทำเกษตรในชีวิตจริง ไม่ใช่ไปวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ (วางถุงกาวก่อนทำเกษตร)

อ่านสักนิดนะครับ โปรดทราบว่าเป็นห่วง

กลุ่มปิดแชร์ไม่ได้ แต่ถ้าโดนใจ ก็อปเอาไปโพสท์หน้าเฟสตัวเองได้ครับ ไม่หวง

อ่าน คิด พิจารณา

22 Nameless Fanboi Posted ID:SqfgQgwwln

มีน้องคนหนึ่งในบริษัทผม มี fault logic ที่ว่า "คนหล่อ เจ้าชู้ คนไม่หล่อ ไม่เจ้าชู้" .... เคยเถียงกันประเด็นนี้กับหลายคนในบริษัทผมด้วยนะ

จริงๆ มันมาจาก stereotype หลายต่อหลายอย่าง อาจจะมาจากสิ่งที่เขาเห็น อาจจะมาจากสิ่งที่เขาได้ยิน

จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้มันไม่ได้ขึ้นกับหน้าตาเลยสักนิด คนหล่อเจ้าชู้ก็ได้ ไม่เจ้าชู้ก็ได้ เช่นเดียวกับคนไม่หล่อ มันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย

ที่พีคในพีค คือ น้องเขาสับสนระหว่าง "เจ้าชู้" กับ "มีชู้" อีกตะหาก .... (คือถามว่า "ถ้าคนที่มีแฟนสองคน หรือแต่งงาน แล้วมีเมียน้อย .... อยู่ดีๆ เลิกไปคนนึง ... ถ้าแต่งงานแล้วก็หย่า ไม่ก็เลิกกับเมียน้อย .... เหลือคนเดียว แบบนี้เรียกเจ้าชู้มั้ย" ... น้องตอบว่า "ไม่เรียก เพราะมันมีคนเดียวแล้วไง" ... คือสับสนระหว่าง "นิสัย/สันดาน" กับ "สถานะ" อีก)

เรื่อง logic พื้นฐานนี่ต้องสอนกันดีๆ ครับ

1. อย่าให้เอา anything มา confirm anything ..... ให้วาด set diagram ง่ายๆ จะช่วยได้เยอะครับ (ดูว่าอะไรเป็น subset ของอะไรไหม) ..... ถ้าที่น้องคิดมามันถูก มันต้องเป็นรูปของ subset (ซึ่งรวมกรณีเป็น set เดียวกัน) .... แล้วลองหา counter example ดู ... จะเห็นเลยว่ามันมีกรณีที่ผิดอยู่รอบตัวเลย .... (พิสูจน์โดย counter example น่ะแหละ .... สมมติว่ามันถูก แล้วหาตัวอย่างค้านให้มันผิด)

ตรงนี้มันจะไล่ไปหา logical statement ของ ถ้า-แล้ว (p -> q) ที่เคยเรียนกันมาได้ง่ายๆ ครับ

2. อย่าให้ตีสองประเด็นที่ต่างกัน (เช่นประเด็นนิสัย และสถานะ) เป็นเรื่องเดียวกัน .... เพียงเพราะมันมีคำเชื่อมที่เหมือนกัน หรือเอื้อให้คิดว่าเป็นอย่างเดียวกัน .... ผมชอบ model ตรงนี้โดยการใช้ "bit" ครับ คือเป็น flag 0, 1 (false, true) ง่ายๆ น่ะแหละ .... (สำหรับคนที่ไม่ทราบ bit คือ หน่วยที่เล็กที่สุดของ information ครับ) ... เพราะว่า 1 bit มันจะ represent ข้อมูลได้แค่อย่างเดียว แล้วเอาไปประกอบกับข้อ 1 ..... จะช่วยได้เยอะครับ

นอกจาก "เจ้าชู้ กับ มีชู้" แล้วยังมี "ใจร้อน กับ อารมณ์ร้อน" ที่ผมเคยพูดถึงไปด้วยนะครับ คิดง่ายๆ ได้ด้วยการมองเป็น 2 bit ครับ (และมีอีกหลายอย่างมาก)

รู้หรือยังคิดว่าเราเรียน math กันไปทำไม :P

เรียนอะไรมา ก็เอาไปใช้กันบ้างครับ เราเรียนกันมาแล้วทั้งนั้น อย่าคิดว่าไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ใช้ไม่ได้หรอก (ทีงี้ ดันคิดว่าไม่เกี่ยวหรอก #ยิ้มอ่อน)

ป.ล. ที่ผมแชร์อันนี้ ไม่ได้แปลว่าผมคิดว่า คนหล่อไม่เจ้าชู้ทุกคนนะครับ มันมีทั้งสองอย่างแหละครับ

ป.ล. (2) น้องเคยถามผมด้วย ว่า "พี่เดฟเจ้าชู้มั้ย" .... ตอนนั้นก็งงว่าถามทำไม .... เพราะไม่เข้าใจ model ในหัวน้อง .... ตอนนี้เข้าใจล่ะ .... เออ อย่างน้อยน้องก็เห็นเราหล่อ (จาก logic ของน้องนะ 5555+)

ป.ล. (3) น้องๆ สาวๆ ในออฟฟิศบอกว่า "แท็กเลยพี่" และเจ้าตัวบอกว่าไม่มีปัญหา ดังนั้นขอแท็กน้องคนที่ว่านะครับ ***

23 Nameless Fanboi Posted ID:tKD.GlkXvH

ณ สนามกอล์ฟ แห่งหนึ่ง...เสี่ยกำลังคุยกับมือปืน ผู้ได้ชื่อว่ายิงปืนแม่นที่สุดในโลก
เสี่ย : อั๋วได้ยินว่าลื้อแม่นที่สุดและทำงานไม่เคยพลาด วันนี้อั๋วเลยจ้างลื้อมาเพื่อยิงคน 2 คน ด้วยกระสุน 2 นัด ลื้อทำได้มั้ย?
มือปืน : เสี่ยจะให้ยิงใคร ที่ไหน?
เสี่ย : ลื้อ เห็นตึกที่อยู่ตรงข้ามสนามกอล์ฟนี้มั้ย นั่นแหละบริษัทอั๊ว วันนี้อั๊วได้ข่าวมาว่านังเมียชั่วของอั๊วจะเอาข้อมูลลับของบริษัทไปขายให้ กับ "อาตง" คู่แข่งคนสำคัญของอั๊ว ที่ชั้นบนสุดของตึกนั่น
มือปืน : ครับ (พร้อมหันหน้าไปมองที่ชั้นบนสุดของตึก)
เสี่ย : สำหรับ นังเมียชั่ว เอ็งใช้กระสุน 1 นัด ยิงตัดลิ้นของมันซะ อย่าให้มันได้พูดคุยกับใครอีก นี่แหละผลของการเอาความลับ ของอั๊วไปขาย ส่วนกระสุนอีกนัดให้เอ็งยิงไปที่ไอ้จู๋ของ "อาตง" ให้มันสูญพันธุ์ มันจะได้ไม่มีลูกหลานมาเป็นเสี้ยนหนามอั๊วอีกต่อไป 5555+
มือปืน : ครับ (พร้อมหันกระบอกปืนไรเฟิลเล็งไปที่ยอดตึก)
.
ปั้ง!!!
.
เสี่ย : 555+ ดีๆๆ ว่าแต่เอ็งยิงตัดลิ้นเมียข้าก่อน หรือ ตัดไอ้จู๋ของ "อาตง" ก่อนล่ะ?
มือปืน : ผมทำทั้ง 2 อย่างแล้ว ด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว!

24 Nameless Fanboi Posted ID:ka5T6Qk78x

แนวทางอู๋ม๋งต๊ะเรานั้นจะไม่มีโพสต์โชว์เกรี้ยวกราดด่าว่าอาชญากรในทุกรูปแบบนะครับ เผื่อการโพสต์โชว์เกรี้ยวกราดของเรานั้นอาจจะไปกระตุ้นต่อมฟิวส์ขาดของพวกพี่ๆ อาชญากร แหกคุกมาตามหาเราถึงบ้านก็จะซวยเอา - -"

#ชายผู้ละแล้วซึ่งอารมณ์เกรี้ยวกราดต่อผู้ที่แข็งแรงกว่า
#โปรดละเว้นการใช้อารมณ์ในการกระตุ้นกระบวนการยุติธรรม

25 Nameless Fanboi Posted ID:ddFh9KWjcy

เห็นเคสวัยรุ่นงานบวช บุกกระทืบนักเรียนที่สอบ GAT-PAT อยู่ในมัธยมวัดสิงห์ จนมีคนร้องเรียกให้พี่วัน อยู่บำรุงไปช่วยจัดการ แล้วคิดถึง อ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (ทุกวันนี้แกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

(หลังจากฟังเรื่องซ้ายๆแบบ อ.เกษียร เตชะพิระ มาเยอะแล้ว) เราคุ้นเคยการมองการเมืองแบบอุดมการณ์เป็นแว่นอธิบายการเมือง แต่ อ.นครินทร์ จะเน้นใช้สภาพที่แกเชื่อว่าเป็นอำนาจที่แท้จริงนำ แล้วเข้าใจการเมืองที่เป็นอยู่แบบนั้น

อ.นครินทร์ เสนอว่าประวัติศาสตร์การเมืองแบบผู้แทนไทยเนี่ยเป็นเรื่องของผู้แข็งแกร่ง

กล่าวคือ มันเป็นการนำผู้มีอิธิพลท้องถิ่นเข้ามาอยู่ในระบบ

ตัวอย่างเช่นคุณเป็นกำนัน เป็นนายหัว เป็นพ่อเลี้ยง เป็นนายฮ้อย อะไรสักอย่าง คุณทำไร่ ทำประมงค์ ทำสวนขนาดใหญ่ๆ มีลูกน้องเป็นร้อยเป็นพัน มีปืน ต้องปกครองคน ในสมัยก่อนนี่คือคุณเป็นผู้มีอิธิพลท้องถิ่น

แต่ก่อนอำนาจรัฐมันอยู่แค่ในเมือง ในพระนคร นอกออกไป ก็เป็นผู้มีอิธิพลพวกนี้ที่ปกครองพื้นที่ ใช้กฎนักเลงก่อน ค่อยใช้กฎหมาย เพราะกฎหมายฟังก์ชั่นยากอยู่ไกล ความสงบเรียบร้อยของพื้นที่เลยอยู่ในกฎนักเลง

ย้อนกลับไปช่วง 2500 เมื่องบอเมริกามันลงมาทำให้ไทยเป็นฐานในสงครามเย็น มีถนน มีอุตสาหกรรม มีไร่อ้อย มีประมงค์ มีอุตสาหกรรมยางพารา มีธุรกิจค้าขายกับฐานทัพอเมริกา คนกลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์ตรงนี้ก็รวยขึ้น ขยายขึ้น มีลูกน้องมากขึ้น กลายเป็นผู้มีอิธิพลท้องถิ่น กฎนักเลงก็ทับซ้อนกับกฎหมายในบางพื้นที่

หลังสงครามเย็น เมื่อมีรัฐธรรมนูญกระจายอำนาจ มันก็เปิดที่ทางให้พวกนี้เปลี่ยนจากมีอิธิพลนอกกฎหมาย มาอยู่ในกฎหมาย

สำหรับ อ.นครินทร์ มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ คือทำให้อำนาจที่มีอยู่โดยแท้จริง ได้รับการรับรองและมีช่องทางตามกฎหมาย กฎหมายควรจะเขียนตามสภาพอำนาจที่มีอยู่จริงก็ถูกแล้ว

แล้วความเป็นตัวแทนของพื้นที่คืออะไร มันคือการ "ใจถึง พึ่งได้" "มีปัญหาเคลียร์ได้" "ใครเดือดร้อนช่วยได้" เป็นความสัมพันธ์แบบ "ลูกพี่" ของคนไทย คือดูแลน้องได้

ซึ่งความสัมพันธ์แบบนี้มันดั่งเดิม และจำเป็นในสมัยเดิม ที่แบบไม่มีไฟฟ้า โจรผู้รายชุดชุม ป่วยมาไม่รู้จะไปหาหมอยังไง ติดหนี้จะตั้งตัวไม่รู้จะทำยังไง มาใหม่ต้องไปฝากตัวกับใคร

พอทุกวันนี้ระบบรัฐมันดีขึ้น มีความเป็นชนชั้นกลางขึ้น น้ำไหล ไฟสว่างแล้ว การเมืองแบบนโยบายจึงมีบทบาทมากขึ้น และจนถึงทุกวันนี้ที่การเมืองแบบอุดมการณ์ถูกพูดถึงกันมาก ไม่รู้ว่าการเมืองแบบ "ลูกพี่" จะยังมีพลังขนาดไหน

เหตุการณ์วัยรุ่นงานบวชบุกโรงเรียนมันแสดงให้เห็นสภาวะนิติรัฐล้มเหลว รัฐคุ้มกันประชาชนไม่ได้ สัมผัสถึงความรู้สึกย้อนกลับไปถึงความไม่ปลอดภัยของยุค 2500 คนก็เลยเรียกร้องหาผู้เข้มแข็งมาใช้กฎนักเลง

ถ้านิติรัฐมันเดินหน้าได้ คนจะบอกว่า "ตำรวจไปจัดการมันหน่อย" แต่เหตุการณ์นี้ คนไม่คิดถึงตำรวจก่อนอ่ะ ไปคิดถึง วัน อยู่บำรุง ใจถึงพึ่งได้ เพราะไม่เชื่อว่าตำรวจจะทำอะไรได้

ที่จริงในยุคสมัยที่ทุกคนพูดถึงนโยบายก้าวหน้า ถึงเสรีภาพ มันยังมีฐานเสียงหนึ่งที่ต้องการความขวา ต้องการระเบียบ ต้องการความปลอดภัย

เชื่อผมป่ะว่าถ้าพรุ่งนี้มีคน (สมมุติว่าเสรีพิสุทธิ์) ประกาศว่า จะทำสงครามยาเสพติด อนุญาตให้ตำรวจเอากระสุนยางไล่ยิงแกงค์แข่งรถได้ผมว่าได้คะแนนเสียงมา (เอ้าผม Tag ด้วยเผื่อทำจริง พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส )

เพราะทุกวันนี้สภาวะนิติรัฐมันล้มเหลวมาก ผมก็ไม่เข้าใจว่าเราอยู่ในรัฐบาลที่มี ม.44 แต่ทำไมยาบ้าถึงระบาด วัยรุ่นถล่มโลกเรียนได้แบบนี้

สังคมเราต้องการระเบียบ (order) ในระบบนิติรัฐกลับมา ถึงจะพูดกันในฟากเรื่องเสรีภาพแล้ว ผมว่าตรงนี้ก็เป็นเหรียญอีกด้านที่สำคัญสำหรับระบบประชาธิปไตย รัฐประชาธิปไตยต้องครบถ้วยทั้งเสรีภาพส่วนบุคคล และนิติรัฐที่จะปกป้องเสรีภาพของทุกคนนั้น ต้องเอาตำรวจที่ฟังก์ชั่นกลับมา และความเชื่อมั่นในตำรวจกลับมา

ก็ฝากพรรคการเมืองต่างๆพิจารณาด้วยเหมือนกันครับ

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

26 Nameless Fanboi Posted ID:tKD.GlkXvH

มีแต่คนถามว่าทำไมตัดสินใจย้ายมาอยู่เมกา

มีเหตุผลหลายอย่าง แต่เหตุผลหลัก ๆ คือ "รู้สึกมีความทุกข์ทุกวันตอนอยู่เมืองไทย"

เดินออกไปข้างนอกแล้วเจอแต่ความอึดอัด พาจิตใจให้แย่ลงไปทุกวินาที ไม่เกี่ยวกับความรักครั้งเก่าก่อน แต่เป็นสภาพแวดล้อมและผู้คนล้วน ๆ

บ้านเมืองไทยกำลังผุพังจากแกนกลาง ความยากจนและ Gap ของฐานะกำลังสร้างสังคมของยุคถัดไปแบบที่ไม่ต้องอธิบายมาก ให้ดูนักเลงที่ลุยวัดสิงห์ นั่นแหละตัวอย่าง คนที่มีลูกแบบไม่มีคุณภาพไม่มีความรู้พอจะคุมกำเนิด ส่วนคนที่ลูกมีคุณภาพก็คุมกำเนิดจนถึงขั้นไม่มีลูกเลย

ให้ลองจินตนาการถึงยุคถัดไปดูว่ารุ่นลูกเราจะเจออะไร

ในขณะเดียวกันคนยุคเก่าก็พึ่งพาไม่ได้ ไม่เคยร่วมมือกัน มีแต่จะทำร้ายกันเอง ทิ้งแต่ภาระไว้เบื้องหลัง ให้คนรุ่นใหม่แบกรับ

วันที่ตัดสินใจหยุดผลักดันสิ่งต่าง ๆ ในไทยแล้วย้ายออกมาคือวันที่เห็นแล้วว่า "มันเกินเยียวยาแล้ว" คงไม่มีอะไรพลิกกลับได้อีก กฎของแนวโน้มทำงานตามกลไกของมันแล้ว

ตลอดชีวิตที่อยู่ไทยคิดไว้ตลอดว่าไม่อยากมีลูกเพราะสงสารลูกที่จะต้องโตมาในสังคมแบบยุคถัดไป แต่พอมาอยู่เมกากลับอยากมีแฮะ (เอ๊ะ แต่ต้องมีอะไรก่อนมีลูกนะ จำไม่ได้)

สุดท้ายวันนึงก็คงต้องกลับไทยไปดูแลครอบครัว มานั่งคิดดู คงไม่สุขเท่าไหร่ ตอนนี้ได้แต่เตรียมความพร้อมว่าอย่างน้อยวันนั้นจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ไทยอย่างไม่มีความทุกข์ให้ได้ ... คือต้องรวยสินะ

คงไม่มีวันนั้น ...

จะย้ายมาอยู่เมกายาว ... แม่งก็มีทรัมป์อีก 😒

27 Nameless Fanboi Posted ID:tKD.GlkXvH

มีแต่คนถามว่าทำไมตัดสินใจย้ายมาอยู่เมกา

มีเหตุผลหลายอย่าง แต่เหตุผลหลัก ๆ คือ "รู้สึกมีความทุกข์ทุกวันตอนอยู่เมืองไทย"

เดินออกไปข้างนอกแล้วเจอแต่ความอึดอัด พาจิตใจให้แย่ลงไปทุกวินาที ไม่เกี่ยวกับความรักครั้งเก่าก่อน แต่เป็นสภาพแวดล้อมและผู้คนล้วน ๆ

บ้านเมืองไทยกำลังผุพังจากแกนกลาง ความยากจนและ Gap ของฐานะกำลังสร้างสังคมของยุคถัดไปแบบที่ไม่ต้องอธิบายมาก ให้ดูนักเลงที่ลุยวัดสิงห์ นั่นแหละตัวอย่าง คนที่มีลูกแบบไม่มีคุณภาพไม่มีความรู้พอจะคุมกำเนิด ส่วนคนที่ลูกมีคุณภาพก็คุมกำเนิดจนถึงขั้นไม่มีลูกเลย

ให้ลองจินตนาการถึงยุคถัดไปดูว่ารุ่นลูกเราจะเจออะไร

ในขณะเดียวกันคนยุคเก่าก็พึ่งพาไม่ได้ ไม่เคยร่วมมือกัน มีแต่จะทำร้ายกันเอง ทิ้งแต่ภาระไว้เบื้องหลัง ให้คนรุ่นใหม่แบกรับ

วันที่ตัดสินใจหยุดผลักดันสิ่งต่าง ๆ ในไทยแล้วย้ายออกมาคือวันที่เห็นแล้วว่า "มันเกินเยียวยาแล้ว" คงไม่มีอะไรพลิกกลับได้อีก กฎของแนวโน้มทำงานตามกลไกของมันแล้ว

ตลอดชีวิตที่อยู่ไทยคิดไว้ตลอดว่าไม่อยากมีลูกเพราะสงสารลูกที่จะต้องโตมาในสังคมแบบยุคถัดไป แต่พอมาอยู่เมกากลับอยากมีแฮะ (เอ๊ะ แต่ต้องมีอะไรก่อนมีลูกนะ จำไม่ได้)

สุดท้ายวันนึงก็คงต้องกลับไทยไปดูแลครอบครัว มานั่งคิดดู คงไม่สุขเท่าไหร่ ตอนนี้ได้แต่เตรียมความพร้อมว่าอย่างน้อยวันนั้นจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ไทยอย่างไม่มีความทุกข์ให้ได้ ... คือต้องรวยสินะ

คงไม่มีวันนั้น ...

จะย้ายมาอยู่เมกายาว ... แม่งก็มีทรัมป์อีก 😒

28 Nameless Fanboi Posted ID:vPVs026wdH

ปกป้องครอบครัวจากศาสนา

สังเกตและคิดเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว เกี่ยวกับว่า โดยรวม สังคมได้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าศาสนา(ไม่ใช่แค่คำสอนนะในที่นี้รวมไปถึงองค์กร ศาสนิก และกิจกรรมต่างๆด้วย) มากกว่าเสียประโยชน์รึเปล่า

ถ้ามองแบบเป็นกลางเลย วิธีมองแบบเป็นกลางเลยที่คุณจะทำได้คือ มองตัวเองเหมือนไปอยู่ท่ามกลางผู้คนในศาสนาอื่น เช่น ถ้าเป็น พุทธก็ตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าไปอยู่ในดงคริสต์แบบเข้มข้น หรือดงอิสลาม แล้วสังคมรอบข้างที่คุณไปอยู่รู้ว่าคุณเป็นพุทธจะเกิดอะไรขึ้น หรือในทางกลับกัน ถ้าเป็นคริสต์ก็คิดว่าไปอยู่ในดงพุทธหรือดงอิสลาม อิสลามก็ไปอยู่ในดงคริสต์หรือพุทธ แล้วมอง สังเกต สังเกตผลโดยรวม วิธีนี้อาจจะมองแบบใกล้เคียงความเป็นกลางออกมาได้

คราวนี้คุณมีลูก บรรดานักชวนต่างศาสนาต่างๆก็พากันชักชวนให้ "เข้ารีต" ความเชื่อนั้น ถึงจุดนี้คุณน่าจะอึดอัดใจ อาจด้วยมุมมองว่าศาสนาอื่นนั้น หลอกลวง หรือ แม้แต่แย่ ถึงตอนนี้คุณอาจจะลิสต์มาได้ยาวเป็นหน้ากระดาษว่าทำไมไม่ควรไปนับถือศาสนาอื่น นั่นล่ะข้อเสียศาสนาอื่น และเช่นกัน คนอื่นเขาก็ลิสต์ของศาสนาคุณที่คุณมองข้ามได้

เมื่อเอาตรงข้อเสียมาทาบกัน อาจจะต้องประหลาดใจ ข้อเสียราว 80% อาจจะตรงกัน ซึ่งมันก็มีหลายอย่างที่สังคมต้องเสียประโยชน์ให้ศาสนา เช่น "การทำร้ายสังคมโดยอ้างชุดความดีของศาสนา" ตรงๆเลยคือฆ่าคนเห็นต่าง หรือทำร้ายร่างกาย

ข้อเสียหลักๆของมันอีกคือทำให้คนงมงาย แยกเรื่องจริงจากเรื่องเหลวไหลหรือความเกี่ยวโยงกันของสาเหตุกับผลลัพท์ไม่ได้ แบบชัดๆเลยก็เช่น เรื่องผู้หญิงถูกสร้างจากซี่โครงผู้ชาย, พระเจ้าปั้นผู้ชายจากดิน, จากน้ำ, ตาแก่อาหรับขี่ม้าเหาะได้, ตาแก่อาหรับเอาดาบตัดดวงจันทร์เป็นสองซีก, เด็กดินเดียเกิดมาเดินได้7ก้าว, ปาฏิหารย์กะลาลอยทวนน้ำ, พระเหาะไปเก็บบาตรบนยอดเสา, เหาะขึ้นสวรรค์ลงนรก

หรือเรื่องเหลวไหลแบบคลุมเครือกว่านั้นเช่น เชื่อเรื่อง บุญ กรรม ชาตินี้ชาติหน้า สวรรค์ นรก พระเจ้า เทวดา ผี แบบนี้ เจ้าการเชื่อเรื่องบุญกรรมนี่มีข้อเสียมาก พวกขี้แพ้มักใช้เป็นข้ออ้างเช่น ชาติก่อนทำบุญมาน้อยอะไรแบบนี้ หรือให้องค์กรศาสนาแสวงประโยชน์ได้ เช่น เอาปลานักล่าต่างถิ่นปล่อยไปทำลายระบบนิเวศน์ในแหล่งน้ำแล้วได้บุญ หรือ เผากระดาษเคลือบตะกั่วทำลายสิ่งแวดล้อมแล้วบรรพบุรุษที่ตายไปแล้วจะได้บุญจะสุขสบาย เรื่องไร้สาระทั้งนั้น

ล่าสุดก็เห็นศาสนิกก็อ้างความเชื่อบุกโรงเรียน ไปตีเด็กที่กำลังสอบอยู่ พวกศาสนิกนี่สร้างปัญหามาก ปัญหาเล็กๆอย่างบุกโรงเรียน ปิดเมืองเดิน หรือ ปัญหาใหญ่ๆอย่างสงครามครูเสด,จีฮัดหรือสงครามชาวพุทธ ตามด้วยวาทกรรมเท็จว่า "ศาสนาไม่ผิด คนผิด" ระยำจริงๆ สงครามที่อ้างเนื้อหาในคัมภีร์(คำสอน) โดยองค์กรและผู้นำศาสนา ให้ศาสนิกไปฆ่าคนกลุ่มอื่น(ครบหมด ทั้งคำสอน คนสอน และผู้นับถือ คือ เน่าทั้งองค์รวม)

ศาสนาไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อสังคม มันถูกออกแบบมาให้คนกลุ่มเล็กๆแสวงประโยชน์และชักจูงคนอื่นไปทำงานสกปรกให้ตนหรือสร้างอำนาจทางการเมืองมากกว่า เป็นการโกหกที่ผู้ถูกหลอกไม่ต้องการจะมองออก(เช่น อาจเพราะกลัวบาปจึงไม่กล้าแม้แต่จะคิด หรือเพราะกลัวเสียหน้าที่เชื่อเรื่องเหลวไหลมาตลอด หรือเสียดายกิจกรรมเหลวไหลที่ทำลงไป หรืออายไม่อยากยอมรับว่าตัวเองโดนหลอก หรืออาจแค่...โง่)

แล้วมีวิธีไหนในการปกป้องตัวเองและครอบครัวจากศาสนามั่ง?

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

29 Nameless Fanboi Posted ID:f3mjQpyBY7

>>27 ควย inequality gap เมกาเยอะชิบหาย ถ้ามึงย้ายไปสแกนดิเนเวียก็อีกเรื่อง ไปเมกาแล้วเสือกกระแนะกระแหนทำตัว humble brag บอกว่าไทย gap เยอะ
ขำหวะสัส
ปล. กูไม่ได้ด่าคนก็อปมาแปะที่นี่นะกูด่าเจ้าของข้อความนี้ 5555

30 Nameless Fanboi Posted ID:7URw1yZlIN

ถ้าเอาไปทำหนังนี่ ระดับเรื่องโม้คแบล็คเมาเท่นเลยอ่ะครับ สำหรับชีวิตบุรุษตัวเนร้ https://www.thairath.co.th/content/1505823

31 Nameless Fanboi Posted ID:zkotJcP2CU

>>29 จริง ป่วยขึ้นมามันหนาวแน่ ประเทศเรารักษาถูกเข้าถึงได้กว่าเยอะมาก

32 Nameless Fanboi Posted ID:MhNh4ks6MA

>> ระดับหนูเนย โปรแกรมเมอร์เซเลป เงินไม่ขาดมือหรอก

33 Nameless Fanboi Posted ID:EdBJpYKPdg

>>25 ไทยแลนด์เป็น Fail State ในทางความรู้สึกของคน เพราะมองว่าระบบราชการพึ่งพาไม่ได้ เลยต้องไปหาสิ่งอื่น ไม่ว่านักเลง สื่อ เพจดาร์ค เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม

>>26 >>27 จะว่าโม้ก็ได้ เคยมีเสียงร่ำลือมาเป็นระยะๆ นะว่าคนอเมริกันอิจฉาคนไทยที่มี 30 บาท

34 Nameless Fanboi Posted ID:XO3VyB.hh.

"ไอ้เรื่องงานบวช VS การสอบที่วัดสิงห์เนี่ย เราต้องเข้าใจมันอย่างคู่ขนานกับเคส คอนโด VS ระฆังวัด ที่เกิดขึ้นปีที่แล้ว (หรือก่อนนั้นวะ แต่เอาเหอะ)

คือเคสแรกคนเข้าข้างการสอบชัดเจน ส่วนเคสหลังคนเข้าข้างวัดชัดเจน

ซึ่งแบบนี้ฝรั่งแม่งเข้าใจไม่ได้ เพราะแม่งคือปัญหาเดียวกันคือการใช้เสียงดังในพื้นที่สาธารณะ คนผิดน่าจะเป็น "ฝ่ายที่ใช้เสียงดัง" ทั้งสองเคส แต่ของไทยมัน "แล้วแต่"

อย่างไรก็ดี แม้ว่าฝรั่งจะไม่เข้าใจ แต่เราคนไทยแม่งเก็ทได้ไม่ยาก เพราะเคสระฆังวัด คนใช้เสียงดังคือ "พระ" แต่เคสสอบคนใช้เสียงดังคือ "ชาวบ้านทั่วไป"

เข้าใจในบริบทสังคมไทยคือ คนแม่งไม่เท่ากัน การกระทำแบบเดียวกัน คนนึงทำอาจจะผิด อีกคนทำอาจไม่ผิดก็ได้

ผมว่ามันต้องมองแบบนี้ถึงจะเห็นปัญหาพื้นฐานของ "กรณีทำนองนี้" ซึ่งแม่งเกิดขึ้นตลอด

ในสังคมที่คนไม่เท่ากัน คำถามที่ต้องถามก่อนว่าคุณมีสิทธิ์ทำอะไรมั้ย? คือ คุณเป็นใคร?"

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

35 Nameless Fanboi Posted ID:D6wwLwFTDH

>>34 ที่ตะวันออกกลางจะมีฝรั่งคอนโดบ่นเรื่องรำคาญเสียงเรียกละหมาดมั้ยคับ

36 Nameless Fanboi Posted ID:6/PxHqj4GF

>>33 ไม่ต้องไทยหรอก แคนาดาก็ฟรี

37 Nameless Fanboi Posted ID:EdBJpYKPdg

>>34 ถ้าตัดเรื่องเลวๆ ประเภทเขาขอให้ลดเสียงแล้วกลับบุกเข้าไปทำร้ายร่างกาย ไปพังการสอบ ต้องยอมรับว่ามันมีมิติทางชนชั้นซ่อนอยู่จริงๆ

สมัยสิบกว่าปีก่อนในเว็บบอร์ดบางแห่ง มีคนบ่นว่าไม่อยากมีวัฒนธรรมร่วมกับแว้น - สก๊อย ถึงกับต้องปรับตัวหนี เช่น ตอนแรกๆ ฟังเพลง linkin park , clash , bodyslam , retrospect ใส่กางเกงยีนส์ลีวายส์ รองเท้าผ้าใบคอนเวิร์ตส์ พอต่อมาเห็นพวกแว้นมานิยมบ้างต้องไปฟังเพลง ไปแต่งตัวแนวอื่นทันที เพราะไม่อยากถูกนับรวมว่าเป็นแว้นด้วย

ยุคนั้นประเด็นชนชั้นยังไม่ก่อดราม่ามากเท่าวันนี้ ยังไม่มี Facebook ที่ทำให้เกิดเพจที่ประดิษฐ์คำ "ตลาดล่าง" อันหมายถึงรสนิยม ค่านิยมการใช้ชีวิตของคนกลุ่มหนึ่ง เช่น ต้องเปิดเพลงดังๆ เวลามีเทศกาล ควบคู่ไปกับการเต้นแร้งเต้นกาแบบหลุดโลก รถยนต์แต่งเครื่องเสียงพร้อมเปิดเพลง Remix ฉิ่งฉาบทัวร์สามช่าโจ๊ะๆ หรือมอเตอร์ไซค์แต่งแบบถอดนั่นเอานี่ออกพร้อมบิด 1/4 ไมล์ ซึ่งแม้จะไม่ละเมิดขนบสังคม เช่น ไม่เปิดเสียงดังในเวลาดึกๆ , ไม่ได้ซิ่งบนถนนหลวง แต่ก็ถูกมองเป็นรสนิยมที่ไม่เข้าท่าอยู่ดี

ปลาลิง.ว่าแต่แฟชั่นแนว Mexican Gangster (เสื้อยืดขาว กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ มีรอยสักเต็ม) ในตะวันตกเขามองว่าตลาดล่างเหมือนแฟชั่นแนวแว้นไทยหรือเปล่า?

38 Nameless Fanboi Posted ID:HM7zHiX6El

ฟ้อนต์ชลบุรีฮิตติดลมบนมากๆ อยากให้น้องๆ ออกแบบฟ้อนต์กาฬสินธุ์มาสู้บ้างอ่ะครับ ออกแบบให้เห็นแล้วรู้สึกอยากกินข้าวเหนียวไรทำนองเนร้

#ช่วงไอเดียครีเอด์ทีฟคอมม่อนกับพี่โจว

39 Nameless Fanboi Posted ID:wmsT77flxT

#จ่ามีคาถาแยกเงาพันร่าง
..
อันนี้เป็นสมมติฐานของผมเองนานแล้วว่า เพจจ่ามีแอดมินคอยลงข่าวหลายคน ไม่ใช่จ่าคนเดียว โดนเฉพาะการลงลิงค์ข่าว (ลงแบบได้ตังค์นะครับ ใครคิดว่าลงลิงค์ข่าวในเพจจ่าลงฟรี ๆ ไปคิดใหม่เด้อ เขาทำคอนแท็คเป็นเรื่องเป็นราวกันนาจา ถถถถ) ที่อาจจะให้แอดมินคนอื่นสวมรอยลงไปเลย เพราะเป็นโพสต์ง่าย ๆ แค่พาดหัวให้ดราม่า ๆ แบบจ่าก็พอ คนเข้ามาดราม่า ยอดคนดูในเว็บเพิ่ม จ่ารับเงินแบ่งลูกน้อง จบ.
.
ถามว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น หากยังจำกันได้เรื่องนี้เป็นตำนานเลย สมัยจ่าเปิดเพจแรก ๆ มี แอดมินสองคนคือจ่ากับหัวหน้ายาม (หรืออาจมากกว่านั้น เพราะตอนนั้นเฟสบุ๊คยังไม่เปิดให้เห็นข้อมูลส่วนนี้) ตอนนั้นจ่าแกประกาศเลยว่าเพจแกจะไม่รับเงินค่าโฆษณาเด็ดขาด เพราะแกต้องเป็นกลาง เวลาด่าจะได้ด่าได้เต็มที่ คนก็ปลื้มกันเป็นแถว จ่าแมร่งของจริง จ่าแมร่งคนจริง ถถถถ ดูตอนนี้เถอะรับเงิน ลงโฆษณายิ่งกว่าเพจที่ตัวเองเคยไปแซะเขาไว้ในอดีต
.
โดยเฉพาะเรื่องหนังนี่แหละ ที่แกเคยไปแซะเพจอวยฯ ว่ารับเงินมาโฆษณา และก็ยกยอตัวเองว่า จะไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด สุดท้ายเผลอแป๊บเดียวแกไปรับเงินโฆษณาหนัง "อวสานโลกสวย" หาว่าไปดูมาแล้วหนังดีอย่างโน้นอย่างนี้ โพสต์อวยเวอร์วัง หลายโพสต์ติดกัน จนคนเอะใจ สุดท้ายคนจับได้ว่าแกไม่ได้ไปดูเลยด้วยซ้ำ คนที่ไปดูคือหัวหน้ายาม แต่ตอนโพสต์ก็บอกว่า จ่าไปดูมาอย่างโน้นอย่างนี้
.
คนก็ออกมาถล่มว่า ไหนว่าจะไม่รับเงินไงละ เมื่อจนมุมแกงัดไม้ตายออกมาเฉยเลยว่า อั๊วะม่ายล่ายรับเงินมา แต่เป็นหัวหน้ายามต่างหากล่าววว แกไม่ได้สักบาทเลย หัวหน้ายามเอาไปหมด อะไรประมาณนั้น คนก็รุมด่าหัวหน้ายาม เป็นตำนานเพื่อนรักหักหลังเพื่อนจนมาถึงทุกวันนี้ แล้วหัวหน้ายามก็ออกจากการเป็นแอดมินเพจดราม่า (อันนี้กูรู้มาจากวงใน)
.
หลังจากแยกวงกับเพื่อน ผมก็เริ่มสังเกตุว่า จ่ายังใช้มุกเดิมอยู่เลยเวลารีวิวหนัง โดยเฉพาะช่วงหลายปีมานี้จ่ารับงานรีวิวหนัง ทั้งจาก netflix และเมเจอร์ และเอาจริง ๆ นี่ไม่ใช่งานถนัดแกหรอก หนังบางเรื่องแกยังไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำ แต่ออกมารีวิวเป็นคุ้งเป็นแคว แถมสำนวนยังขัด ๆ กัน ยังกะมีคนเขียนให้ ล่าสุดที่โป๊ะแตกคือเรื่อง sex education นั่นแหละ ที่ตกลงดูหรือไม่ดูกันแน่ 555
.
โชคดีที่เดียวนี้เฟสบุ๊คเปิดเผยให้เราเห็นว่า เพจนี้มีคนดูแลกี่คน และอยู่ประเทศไหนบ้าง เช่น ถ้าพวกมึงไปดูเพจหมอแล๊บแพนด้า พวกมึงอาจร้องเย็ดแหม๋ เพจหมอแล๊บมีแอดมินถึง 63 คนเลยนะโว้ย ส่วนเพจจ่ามีแอดมินเพจอยู่ 5 คน
.
เวลาเราเสพเพจเราเห็นแค่ปลายสุดของภูเขาน้ำแข็งนะ ที่เราไม่เห็นอีกมาก เราไม่เห็นบริษัทเอเจนซี่ที่ทำงานเบื้องหลังเพจเหล่านี้ ที่ต้องวิ่งเต้นรับงานโฆษณามาให้บรรดาเพจเหล่านี้ เราไม่เห็นว่า เอเจนซี่แต่ละคนมีเพจที่ต้องดูแลกี่เพจ ต้องแบ่งงานกัน ต้องทำงานเป็นทีมในการปล่อยโฆษณาแต่ละตัว เพจไหนลงก่อน เพจไหนลงทีหลัง
บางทีที่พวกเราเห็นว่าเพจบางเพจไม่ถูกกัน เบื้องหลังคือเอเจนซี่คนเดียวกันไปอีก
.
เราไม่เห็นว่าเพจพวกนี้ต้องจำกัดตัวเองขนาดไหน ในการพูดหรือเขียนอะไรลงไป เพราะทุกอย่างคือเงินทั้งนั้น ลูกเพจยิ่งด่ากัน พวกเอเจนซี่ยิ่งชอบ การเข้าถึงเพจยิ่งดี เอาไปต่อยอดขอเพิ่มค่าจ้างได้อีกเยอะ ไอ้ประเภทพ่อจ๋าแม่จ๋าที่พวกมึงเห็นนะ รับเละนาจา
.
เราไม่เห็นเครือข่ายเบื้องหลัง เพจแต่ละเพจไม่ได้อยู่แบบโดด ๆ นะ มันมีเครือข่าย ทั้งเครือข่ายแบบเพื่อน หรืออื่น ๆ แต่สุดท้ายเครือข่ายพวกนี้มันคือเครือข่ายผลประโยชน์มหาศาลระดับร้อยล้านเลยนะครับ
.
เราไม่แปลกใจหรอกที่เวลาเพจในเครือข่ายเดียวทำผิด เพจอื่นๆ จะนิ่งเฉย ไม่มาด่ากัน แต่ถ้าคิดจะเล่นเพจอื่น พวกเขาก็พร้อมจับมือกันถล่มให้ราบคาบ บางที บางเพจเกลียดขี้หน้ากันจะตาย แต่ไม่ด่ากัน เพราะเอเจนซี่ขอ ลูกค้าขอ ก็ต้องเป็นไบ้ แบะ ๆ กันต่อไป
.
คือในมุมมองผม มันไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับที่เพจจะมีแอดมินหลายคน มันเป็นเรื่องการจัดการธุรกิจ และเราคงไปเรียกร้องอะไรจากพวกเขาไม่ได้หรอก แม้ในความเป็นจริง เขาควรจะบอกว่าแอดมินคนไหนเป็นคนโพสต์ ใครเป็นคนเขียนคอนเทนต์นั้น ไม่ใช่พออะไรไม่ดีก็โยนให้คนอื่นหมด
.
สิ่งที่น่ากลัวคือ เพื่อเพจต่าง ๆ เหล่านี้ถูกควบคุมจัดการด้วยเครือข่ายผลประโยชน์ ถ้าเป็นพวกกันก็ปกป้อง เฉยนิ่ง ถ้าเป็นพวกอื่นก็ด่าเต็มที่ตรวจสอบเต็มที่ เอาให้ตาย นี่ต่างหากที่น่ากลัว เพราะมันจะกลายเป็นเครือข่ายอำนาจสื่อใหม่ และส่งผลต่อข้อมูลที่เราจะได้รับ พอเราเห็นว่าโหเพจใหญ่ ๆ หมอแล๊บ จ่า หมอเจษ ลงข่าวพวกนี้หมดเลย พูดไปในทางเดียวกันหมดเลย มันก็สามารถสร้างผลกระทบได้ในวงกว้าง
.
คนที่พอรู้ก็สบายไป แต่คนไหนไม่รู้ก็เฮโลตามกันไป
.

40 Nameless Fanboi Posted ID:QrVfd+DVJs

>>39 มีอิทธิพลเท่าสื่อหลัก (วิทยุ โทรทัศน์ นสพ. เว็บข่าวที่มีสำนักองค์กรชัดเจน) เผลอๆ ยิ่งกว่า แถมมีรายได้จากโฆษณา แต่บอกตัวเองไม่ใช่สื่อ ไม่ต้องใช้มาตรฐานเดียวกับสื่อหลัก

การแข่งขันโคตรเป็นธรรมชิบหาย

41 Nameless Fanboi Posted ID:jNMKpQhRzc

>>40 +100

42 Nameless Fanboi Posted ID:yQqH1zMkyU

missionUuid

43 Nameless Fanboi Posted ID:yQqH1zMkyU

🔴โลกหมุนไวเกินกว่าที่คุณคิด…ถ้าไม่รีบปรับตัว…เดือดร้อนหนักแน่ๆ

✔เมื่อก่อน โลกเปลี่ยนทุก 10 ปี……ขณะนี้ โลกเปลี่ยนทุก 1 ปี

✔~ ข้อมูล ความรู้ใหม่ๆ ทุกสาขาวิชาชีพเกิดใหม่ทุกสัปดาห์

✔~ แอปพลิเคชั่น ออกมาวันละหลายร้อยแอปพลิเคชั่น

✔~ ในช่วงชีวิต 20 ปีที่ผ่านมา…เราเห็นวิวัฒนาการมากมายในโลก

✔~ เด็กยุคใหม่…ไม่จบ ป.ตรี ขายของออนไลน์…สร้างรายได้หลักล้าน…ภายในไม่กี่เดือน

✔~ ป.โท จบมามีรายได้เดือนละเพียง 3 หมื่น

✔~ กรอบความรู้…ความคิดเก่าเมื่อ 20 ปีก่อน …แทบจะทำอะไรกับโลกยุคใหม่ไม่ได้เลย !!

✔~ ก๋วยเตี๋ยวเมื่อก่อน 10 บาท ทองคำ 400 บาท…ตอนนี้ก๋วยเตี๋ยว 40 บาท ทองคำ 20,000 บาท

✔~ เงินฝาก จากดอกร้อยละ 8 คนเลยขยันฝากเงินเก็บดอกกิน
แต่...ตอนนี้ฝากธนาคาร ได้ดอกเพียงร้อยละ 1

✔~ อาชีพมากมาย…หลายอาชีพตกงาน ……นับไม่ถ้วน

✔~ พนักงานแบงก์ ถูกแทนที่ด้วย internet banking…ธนาคารต่างๆทยอยปิดสาขา

✔~ พนักงานทางด่วน ถูกแทนที่ด้วย easy pass

✔~ รปภ.ถูกแทนที่ด้วย ระบบป้องกันภัย อัตโนมัติ

✔~ นักข่าว…
นักนิเทศน์
สื่อต่างๆ …
ถูกแทนที่ด้วย Facebook live, YouTube IG ฯลฯ

✔~ การสร้างตึก สร้างสิ่งของ ใช้ 3D printing …การออกแบบจะอยู่ในคอม ทั้งหมด

✔~ โลตัส และ พนักงานขายตามห้างฯ ให้พนักงานออก นับไม่ถ้วน
ตอนนี้เราจ่ายบัตรเครดิตได้เอง …กดที่คอมได้เองแล้ว

✔~ Toys Rus บริษัทของเล่นระดับโลก อยู่มานาน ที่อเมริกา …เป็นหนี้สิน แสนล้าน ปิดสาขา เกือบ 200 แห่งทั่วโลก

✔~ บริษัททิชชู่ Kleenex ที่นุ่มๆ …ให้พนักงานออก 5,000 ตำแหน่ง

✔~เฟสบุ๊ค ปรับ algorythm ทีเดียว…คนขายออนไลน์ สะเทือนทั้งโลก

✔~ บริษัทให้เช่า-ขับ แท็กซี่ เปิดมา 20-30 ปี วินมอไซค์……เจอ grab แอปเดียว สะเทือนวงการ

✔~ CP ปรับตัว disrupt ตัวเองก่อนที่คนอื่นจะมา disrupt …สร้างโรงเรียนปัญญาภิวัฒน์… จัดงบพัฒนาผู้นำ…
✔ฝึกคนให้เป็นผู้ประกอบการ มากกว่าลูกจ้างป้อนตลาด …อนาคตทรัพยากรมนุษย์ มีค่ามากกว่าที่ดิน

✔~ "อายุมากขึ้น 1 ปี สมองต้องลดลง 1 ปี ต้องคิดใหม่ตลอดเวลา"

✔~ เดี๋ยวนี้ สว. ทุกคนที่ตื่นตัว ……
ต้องถามหลานว่า มีอะไรใหม่ๆมาอัพเดทให้ปู่/ตา ฟังบ้าง

✔~ กระเพราไก่ไข่ดาว…สำเร็จรูป …จะถูกกว่าแม่ค้าขายข้างทาง…อีกทั้งได้มาตรฐานกว่า…รสชาติคงที่ …ไม่มีอารมณ์แม่ค้ามาเกี่ยว

✔~ บริษัทใหญ่ๆ เอาคนออก
โดยดูว่าเรา …
เป็น cost
หรือเป็น talent…
ถ้าเป็น cost …โดนโละทิ้ง…อย่างไม่ต้องสงสัย…
แต่ถ้าเป็นtalent ยังพอคุยกันได้

✔~ การพัฒนาตัวเองตลอดเวลา…
จึงเป็นสิ่งสำคัญ

✔~ เกษตรกร ปลูกยางพารา มา 5 ปี กรีดยาง อัดยางโลละ 40 บาท
ต่างชาติซื้อไป คืนเดียว เปลี่ยนเป็นถุงมือยาง… มาขายคนไทย คู่ละ 200 บาทยางรถยนต์เส้นละ 3,000 บาท

✔ ~หุ่นยนต์แพทย์ …ทำข้อสอบเก่งกว่าแพทย์ผู้ชำนาญการ…บันทึกเคสคนไข้กว่า 2 ล้านเคสใน ระบบตรวจโรคได้แม่นยำ…ไม่มีอารมณ์ขึ้นลงมาเกี่ยวข้อง…… รพ.เอกชน เริ่มเอา robot มาช่วยผ่าตัดแล้ว…
ได้ผลดีกว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

✔~ ชนชั้นกลาง และ ชั้นล่าง ต่อไปจะถูกแทนที่ด้วย หุ่นยนต์ และ คอมพิวเตอร์ทั้งหมด
~ ชนชั้นบน ก็มิใช่จะรอด…จะถูกแทนที่ด้วย AI
✔~ หุ่นยนต์รุ่นใหม่ ทั้งสวย หอม นุ่ม และหล่อสมาร์ท จะมาทำงาน 24 ชม ไม่มีเหนื่อย ไม่มีบ่น บริการเต็มที่
⭕~ AI เทรดหุ้น ประมวลผล เก่งกว่าคน ไม่มีอารมณ์ มาเกี่ยวข้องเช่นเดียวกัน

✔~ McKinsey บริษัท consult ระดับโลก คาดว่าในปี 2030 (อีกประมาณ 12 ปี) แรงงานคน…จะตกงานประมาณ 800 ล้านตำแหน่ง ทั่วโลก

✔~ ลูกหลานเรา และ ตัวเราเอง …
จะยืนอยู่ตรงไหน ?ถ้าเราไม่ปรับตัว ในโลกยุคนี้ !
✔~ เราจะมีอะไร…เป็นหลักประกัน ว่าชีวิตเราจะสบายไปตลอด …ไม่เกิดวิกฤติ……ปีนี้อาจจะยังสบายดีอยู่…
แต่ อีก 10 ปีข้างหน้า…
โอกาสแย่…
ความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก…
ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน…
ถ้าไม่เริ่มปรับตัว…
เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอนาคตที่มีความไม่แน่นอน…แต่ มีความเปลี่ยนแปลงสูง และเร็วมาก…
ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย

วันนี้ (!)
คุณเตรียมความพร้อมรับมือ จัดการกับสถานการณ์ที่ว่านี้อย่างไร ?

44 Nameless Fanboi Posted ID:REUN5vvYxv

>>43
"ถ้าในบทความออนไลน์มีการใช้อีโมติคอนพร่ำเพรื่อ เดาไว้ได้เลยว่าไม่มีสาระอะไร"
-มหาตมะ คานธี

45 Nameless Fanboi Posted ID:7qC0g7+uLT

เนื่องจากพรรคสนุ้กเกอร์ไทยเราเห็นว่าสังคมไทยเราการเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องนำคนรุ่นใหม่เข้าสู่การเมือง (เป็นคนรุ่นใหม่เฉยๆ คุณภาพมีไม่มีไม่รู้ แต่วุฒิภาวะทางอารมณ์นี่เห็นมีปัญหากันมากๆ)

เราจึงจะเสนอ 'นโยบายเปิดเสรีนาโนคาสิโน' โดยให้ผู้สูงอายุ (เกิน 60 ปี) 4 คน สามารถรวมตัวกันเล่นการพนันได้โดยไม่ผิดกฎหมาย (ห้ามขาดห้ามเกิน 4 คน) ได้ในทุกสถานที่

ทั้งนี้ก่อนจะร่างนโยบายนี้จริงจัง อาจจะต้องลงไปดูงานที่ชุมชนเข้มแข็งอย่างชุมชนเตาปูนก่อนอ่ะครับ

46 Nameless Fanboi Posted ID:HNo56GHOSI

>>27 ย้ายไปต่างประเทศแล้วดีเสมอไปหรือ? เอาสถิติ​มาให้ชมกันค่ะ

สัดส่วน​ประชากรไทย​ที่อาศัยอยู่ใน​สหรัฐอเมริกา​ที่​มี​สถานะ​ยากจน​ในเกณฑ์​ต่ำกว่า​เส้นแบ่งความยากจนใน​ปี​ พ. ศ​ 2558 (ข้อมูล​จาก​ Pew Research Centre)

คนไทย​ที่​เกิด​ใน​สหรัฐอเมริกา​และอยู่​ใน​สถานะ​ยากจน​

16.2% ของประชากร​ไทย​ใน​สหรัฐอเมริกา

คนไทย​ที่​เกิด​นอก​สหรัฐอเมริกา​และ​อยู่​ใน​สถานะ​ยาก​จน

16.8% ของประชากร​ไทย​ใน​สหรัฐอเมริกา

สัดส่วน​ของประชากร​ไทย​ใน​ประเทศไทย​ที่​อยู่​ต่ำ​กว่า​เส้นแบ่งความยากจนในปี​ พ. ศ​ 2559: 8.6%

47 Nameless Fanboi Posted ID:T9mzvRrV9H

profile ดูดี ดูรวย แต่เบี้ยวค่าที่ ยกบูทหนี เพื่อนๆเซลและออร์จำหน้าไว้นะคะ ใช้วิธีหลอกส่งสลิปปลอมเพื่อโกหกว่าจ่ายเงินแล้ว แล้วขนของหนีค่ะ

48 Nameless Fanboi Posted ID:zXyc8p27vI

ในปัจจุบัน ผมยังคงเชื่อในเรื่องของวรรณะ และฐานะ .... แต่ไม่ใช่วรรณะของชนชั้นตามกำเนิด หรือฐานะตามสถานะการเงินหรือการศึกษา

"วรรณะ" เดียวที่มี ก็คือ วรรณะทางความคิด

"ฐานะ" เดียวที่มี ก็คือ ฐานะทางความคิด

แอสการ์ดไม่ใช่สถานที่ แต่คือผู้คน .... และสิ่งที่ define ผู้คนได้ดีที่สุด ก็คือความคิดของคนเหล่านั้นนั่นแหละ

49 Nameless Fanboi Posted ID:VD+EmL.17+

>>48
แต่ถ้าจะไปเที่ยว ผมขอเลือกทริปไม่ประหยัดเกินไปจะได้ไม่ต้องสุงสิงกับตลาดล่าง

และบ้านโครงการ 10 ล้านขึ้นไปนะครับ

ผมไม่ได้ดูถูกพวกเขานะ แค่ต้องปกป้องตัวเองและคนในครอบครัว

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

50 Nameless Fanboi Posted ID:oIQTtGZaKY

>>46 ตัวเลข 8% นี่จากไหนวะ
http://www.worldometers.info/world-population/thailand-population/ Thailand Population (LIVE) 69,264,724
บัตรคนจน 11.4 M
11.4/69.2 = 16% เลยนะ

51 Nameless Fanboi Posted ID:LCbvETYh.O

>>50 เส้นแบ่งความยากจนมันคนละเรื่องกับบัตรคนจน ของไทยที่บัตรนี้มีเยอะเพราะคนอยู่นอกระบบภาษีดันเยอะ ดูอย่างข่าวคนรวยมีบัตรนี้สิ แม่งจนที่ไหน แค่ไม่มีข้อมูลในระบบแค่นั้นละ

52 Nameless Fanboi Posted ID:Pkz6cCLYaW

>>51 เอาจริงๆ กูสงสัยว่าเส้นแบ่งความยากจนนี่วัดคนจนได้จริงป่าววะ คือถ้ายึดเส้นนี้ (สภาพัฒน์บอกคนมีรายได้เดือนละไม่เกิน 3,000 บาทมั้ง) ประเทศไทยไม่มีคนจนเลยนะมึง แต่ถ้าเอาตามค่าครองชีพกับรายได้ ก็ตามที่มีคนลงทะเเบียนคนจนนั่นละ ตัดพวกเนียนออกกูว่าก็ยังหลายล้าน

53 Nameless Fanboi Posted ID:oIQTtGZaKY

>>52 ตามนั้น
ถ้าจะให้ท้วงต่อ ที่ >>46 เอามาเทียบกัน ของเมกากับไทยมันใช้เกณท์ที่เอามาเทียบเคียงกันได้รึเปล่า สมมติของไทยเกณท์คือไม่พอกินในแต่ละวัน ของเมกาเกณท์คือพอกินแต่คุณภาพชีวิตต่ำ แบบนี้จะเอาตัวเลขมาเทียบกันดื้อๆได้เหรอ ถ้าจะเอามาเทียบมันต้องใช้ตัวเลขจากการวัดของเจ้าเดียวกันดิวะ ซึ่งมันก็คงมี(ซึ่งกูไม่อยากรู้ เลยไม่หา) แต่ทำไม >>46 ถึงใช้จากคนละแหล่งมาเทียบกันล่ะ
moreover ถ้าเหตุผลของ >>46 คือเพื่อแซะ >>27 ล่ะก็ คนแบบ >>27 ไม่ใช่คนที่จะอยู่ในเกณท์ยากจนอยู่แล้วอะนะ น่าจะถึงครึ่งบนด้วยซ้ำ แล้วเจตนาของ >>46 คืออะไรกันแน่

54 Nameless Fanboi Posted ID:LCbvETYh.O

>>52 วัดไม่ได้จริงหรอก แต่ก็ดูเป็นตัวเลขคร่าวๆ เทียบกับประเทศอื่นได้ ส่วนบัตรคนจนก็อย่างที่บอก คนนอกระบบไทยมันเยอะเกิน ตั้ง 50% แนะ ตัดครึ่งนึงก็เท่ากับตัวเลข 8% พอดี

55 Nameless Fanboi Posted ID:LCbvETYh.O

>>53 https://th.m.wikipedia.org/wiki/เส้นแบ่งความยากจน

มันใช้ตัวเลขคนละตัวกันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ

56 Nameless Fanboi Posted ID:N9hsggNsox

กูว่าปัญหาหนักสุดที่ทำให้คน้านเราจนมันไม่ใช่เรื่องหารายได้ไม่เป็นนะแต่ปัญหาน่าจะอยู่ที่การใช้จ่ายอย่างสร้างสรรค์ไม่เป็นมากกว่า อันนี้ไม่ต้องไปดูคนจนหรอกแค่พวกชั้นกลางก็ใช้จ่ายเกินตัวไปกับเรื่องไร้สาระกันเยอะแล้ว

57 Nameless Fanboi Posted ID:zXyc8p27vI

เคยเชื่อว่าการจะแก้ไขปัญหาใด ๆ การอยากให้สังคมเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเรา

แต่วันเวลาผ่านไปก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่จริง

เกิดมาไม่เคยฝ่าไฟแดง แต่ทุกวันนี้คนก็ยังฝ่าไฟแดงเป็นว่าเล่น

ไม่ได้สนับสนุนร้านบนทางเท้านานแล้ว แต่ร้านบนทางเท้าก็ยังอยู่ได้ขายดิบขายดี

สุดท้ายถ้าขาดแรงผลักดันระดับมาโคร ปัญหาก็ไม่มีทางได้รับการแก้ไข ต่อให้เราทำดียังไงก็ไม่ช่วย

ประโยคว่าเริ่มต้นจากตัวเราจะจริงก็ต่อเมื่อปัญหานั้นมีผู้เกี่ยวข้องอยู่ไม่เยอะ เช่น ปัญหาในบริษัท แต่ถ้าเป็นปัญหาวงกว้างในระดับสังคม การที่คนทำดีเป็นคน ๆ ไปนั้นไม่ช่วยเลย

ที่ผ่านมาเคยมีส่วนแก้ปัญหาใหญ่ได้เรื่องนึงคือ การทำให้คนคิดว่าการใช้โปรแกรมแครกเป็นเรื่องผิด ซึ่งสุดท้ายก็เกิดจากความร่วมมือของ Thought Leader ซึ่งคุมสื่อดิจิตอลไว้ก็เลยทำให้เกิดขึ้นได้

พาวเวอร์ของคนมีอำนาจนั้นสำคัญกว่ามาก เป็นตัวกำหนดเลยว่าจะสำเร็จหรือพัง

แต่การเริ่มต้นจากตัวเราก็ควรทำอยู่ดี ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอื่นใด แค่เราเป็นคนดีขึ้น ชีวิตสุขขึ้น นั่นก็ดีมากแล้ว

58 Nameless Fanboi Posted ID:CWCD/N+lPW

ผลการดีเบต
อพิสิด - เหล้าแม่โขงเก่าๆขวดกั๊ก
ทนาทอน - สก๊อตวิสกี้ เหล้านอกร้อนแรง
จาตุรน - บรั่นดีรสนุ่มละมุนลิ้น
มิ่งขวัญ - เบียร์ไทย สัมผัสได้ทุกชนชั้น
เสรีพิสุด - บุหรี่ ยาเส้น
อนุทิน - กัญชา
ไพบูน - กาว เมาเละเทะเลยนะมึงไอ่สัสสสส

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

59 Nameless Fanboi Posted ID:zNPYzdWJlQ

>>58 วลีจากลูกเพจดราม่า

60 Nameless Fanboi Posted ID:zXyc8p27vI

เฉพาะเดือนนี้ค่าใช้จ่าย 400,000+
ยิ่งจ่ายมากขึ้น ก็แปลว่า เราเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ละ

61 Nameless Fanboi Posted ID:zXyc8p27vI

สินค้าที่ถูกมองเป็นหวยมากกว่าชาเขียว พอถึงวันที่ต้องมองเป็นชาเขียวกลับขายไม่ออก ตอนออกเป็นอิชิตันก็ดูเหมือนลอกยี่ห้อเก่าโออิชิ พอออกเย็นเย็นก็เลยโดนสวนกลับด้วยจับใจและด้วยราคาที่ถูกกว่า พอซื้อไบเล่ก็ทำรสชาติไม่อร่อยเหมือนสูตรเดิม พอทำเพจเฟซบุ๊คก็มีตันตัวปลอมหลอกเงินชาวบ้าน

62 Nameless Fanboi Posted ID:zXyc8p27vI

เคยสงสัยว่าตอบจบของไซอิ๋วคืออะไร เพราะสารภาพตามตรงว่าไม่เคยอ่านจริงๆจังสักที เคยฟังแต่เค้าเล่ามากับดูละครช่อง 3 รู้แต่ว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นโดยยืมท่านเสวียนจ้าง ที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดีย แต่แต่งให้มีอภินิหารอ่านสนุก ก็เท่านั้น ....

วันนี้เลยนั่ง google ดู กลายเป็นนั่งอ่านไป 4-5 ชั่วโมง แล้วก็ไปเจอที่เค้าเฉลยว่า ทำไมไซอิ๋วคือนิยายที่ทรงอิทธิพลของจีน ไม่ใช่แค่มันแฟนตาซีเท่านั้น แต่ไซอิ๋วคือการกางพระไตรปิฎกออกมาแล้วเขียนใหม่ในมุมนิทาน

รู้แค่ว่าพระถังคือศรัทธา จะไปชมพูทวีป ต้องมีศรัทธาก่อน พกจิตไปด้วยซึ่งจิตคนเรา ประกอบด้วย โทสะ - หงอคง โกรธ , โลภะ - ตือโป๊ยก่าย โลภ , โมหะ - ซัวเจ๋ง ความไม่รู้

ก็แค่นั้น จน Google เจอที่เค้าอธิบายแต่ละบทแบบละเอียด ทึ่งเลยในความสามารถของคนแต่ง

หงอคงแปลงกายได้ เหาะเหิน เดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะหงอคง คือจิตคนเรา ที่เป็นลิง ไม่อยู่นิ่ง คิดไปเรื่อย แค่คุมให้ตามลมหายใจยังยากเลย ดังนั้น ถ้าเราคุมหงอคงได้ .... การไปชมพูทวีปจะง่ายขึ้น ... เป็นต้น
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราโกรธ - โทสะ เราจะเหมือนหงอคง แผลงฤทธิ์ พังพินาศ ราบเป็นหน้ากลอง

แต่หงอคงแพ้อะไร ? โดนขังไว้ที่อะไร ? ใช่แล้ว แพ้ฝ่ามือยูไล โดนขังไว้ที่เขา 5 นิ้ว

ฝ่ามือยูไล และเขา 5 นิ้ว แทน ขันธ์ 5
ต่อให้จิตแน่แค่ไหนสุดท้ายก็ไม่พ้นขันธ์ 5
ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

นอกจากนี้หงอคงยังมีกระบองวิเศษจัดการปีศาจได้ตลอด กระบองนั้นแทนปัญญา แต่ทว่า มีจิต กับปัญญา แค่นั้นมักเกิดปัญหา พระยูไลจึงประทานมงคล มารัดหัวไว้ ให้พระถังคอยดูแล มงคลนั้นก็แทน "สติ" ซึ่งมงคลเป็นรัดเกล้า 3 ห่วงคล้องกัน แทนไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา

ปีศาจแต่ละตัว แทนกิเลสที่เราต้องค่อยกำจัดออกไป

ตอนเจอกันครั้งแรกเห้งเจียบอกพระถังว่า
จะไปชมพูทวีปผมพา อาจารย์ตีลังกาไปได้ 7 ทีถึง
มามัวเสียเวลาเดินทำไมกัน ไม่เข้าใจ พระถังบอกว่าไม่ได้ต้องเดินไป

ปริศนาธรรมข้อนี้บอกว่า จิต+ปัญหา ฟังเค้าเล่า ฟังเค้าบอก คิดเอาเองก็บอกง่าย แปบเดียวก็ไปถึงนิพพานละ
เช่น เนี่ยคนเล่าให้ฟังอริยสัจ 4 ทางดับทุกข์ ฟังเข้าใจละ แต่จริงๆ แล้วไม่เข้าใจ ธรรมมะต้องลงมือปฎิบัติ เหมือนหงอคงบอกตีลังกาไป 7 ที มันไปไม่ถึง ต้องค่อยๆ เดินไป ศึกษาไป ปฎิบัติไป ถึงจะถึง

โป๊ยก่าย คือศีล 8 , ซัวเจ๊ง คือสมาธิ

ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ จึงจะพ้นทุกข์

แต่บางครั้งปีศาจบางตัวก็เก่งเหลือเกิน
ต้องไปตามเจ้าแม่กวนอิมมาช่วย
เจ้าแม่กวนอิม คือ เมตตา

ปัญญา + เมตตา จะกลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมชั้นสูงซึ่งปราบกิเลสได้เสมอ แต่เจ้าแม่กวนอิม มักให้เห้งเจียลองสู้จนหมดแรงก่อน ถึงมาช่วย เหมือนหากมีกิเลสควรให้ปัญญาลองขจัดดูก่อน เกินกำลังแล้วจึงให้เมตตาปล่อยวาง

ถ้าเกินกำลังเมตตา เจ้าแม่กวนอิมช่วยไม่ไหว
คนสุดท้ายที่มักมาช่วย คือ พระยูไล

พระยูไล แทน พระอริยสงฆ์ ท้ายที่สุดถ้าปฎิบัติไม่ไหวก็ถามผู้รู้เอา .... จบแน่นอน

ลำดับปีศาจแต่ละตัวในเรื่องก็เจ๋งมาก
เช่นเมื่อเริ่มเดินทาง ก็พบโจรทั้งหก ขัดขวางไม่ให้ไป
สุดท้ายเห้งเจียเลยเอากระบองตีจนตาย

โจรทั้งหกคือ อายตนะ 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ต้องเอา ปัญญา (ตะบอง) ฟาดให้ตายก่อนถึงเริ่มออกเดินทางได้

แล้วก็เจอปีศาจไปเรื่อยๆ อ่านยังไม่จบ ท่าทางอีกหลายวัน

อ้อ แต่แอบโกงมาละ เปิดดูตอนจบ
สรุป ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ เดินทาง
กำจัดกิเลสไปจนถึงชมพูทวีป แล้วได้อะไร

ตอนจบพระถังและคณะ มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง
สายน้ำเชี่ยวกรากมาก ไม่รู้จะข้ามไปยังไง
จนเจอเรือไร้ท้องเรือจอดอยู่ พระถังกังวลมาก
เรือไม่มีท้องเรือจะพาข้ามฟากยังไง

แต่สุดท้ายก็ยอมใช้เรือข้ามไป
แม่น้ำเชี่ยวกรากแทนกองกิเลส
เรือนั้นแทน สุญญตา ความไม่ยึดมั่นถือมั่น

เมื่อข้ามมาแล้วก็ถึงชมพูทวีป
และได้คัมภีร์มา เป็นหนังสือเปล่าหนึ่งเล่ม
แทนธรรมมะ ซึ่งคือความว่างเปล่า ...นิพพาน

แต่สุดท้ายเห้งเจียขอให้มีอะไรกลับไปจีนหน่อย
เพราะคนธรรมดาคงไม่เข้าใจ
เลยได้คัมภีร์มาอีกเล่มนึง เต็มไปด้วยอักษร
บันทึกการเดินทาง เรียกว่า พระไตรปิฎก ... จบ

อ่านแล้วคารวะคนแต่งเลย .... โห เก่งจัง

ปล. เข้าใจว่ามีหนังสือแปลที่ละบททีละตัวละคร ชื่อ "เดินทางไกลไปกับไซอิ๋ว" ว่าแล้วต้องไปหามาอ่านก่อน

ถามว่าถ้าพุทธ มีไซอิ๋ว แล้วคริสต์ละมีไหม

ว่ากันว่าของศาสนาคริสต์ คือ นาเนียร์
ใช่แล้วที่ทำเป็นหนัง มี 7 เล่มแทนบาป 7 ประการ

63 Nameless Fanboi Posted ID:CWCD/N+lPW

>>62 คหสต. นาร์เนียไม่ได้ลึกอะไรขนาดนั้น เพราะตั้งใจให้เป็นนิทานเด็ก
อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นนิทานใส่อคติเรื่องศาสนาและการเมืองของคนเขียนมากกว่า
และ 7 เล่มนี่กูว่าไม่ได้เกี่ยวกับบาป 7 ประการด้วย

64 Nameless Fanboi Posted ID:zXyc8p27vI

My annual review was Monday. I was given a raise that was a single penny over inflation, and asked to sign a non-compete for a job that almost anybody can do.

I turned in my notice Monday.

My direct manager, who was a close friend was personally offended. She thinks I should have stayed around and worked twice as hard to prove to upper management I was "worth more."

65 Nameless Fanboi Posted ID:FxOXpp/HgC

"งงใจพวกปกป้องพรบ.ไซเบอร์มากเลย
ทุกวันนี้มึงยังด่าเรื่องตำรวจจับแพะ ยัดยา ทหารมาเฟียเบ่ง ข้าราชการข่ม
เนี่ย เอาแค่ตามปกติ มึงก็ไม่ได้เชื่อมั่นในตัวตนหรือดุลยพินิจเจ้าหน้าที่รัฐกันสักนิด สัมผัสกันได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วพรบ.ที่ออกมามันไปเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่รัฐ abuse ได้ ก็เสือกออกมาปกป้องกันรัวๆ
ควยจริงๆ นี่แดกข้าวเป็นอาหารกันจริงๆรึเปล่าวะ"

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

66 Nameless Fanboi Posted ID:PS2dwOWYx4

>>65 สลิ่มมันโง่แล้วโง่เลยหวะ พูดไงก็กู่พวกมันไม่กลับ

67 Nameless Fanboi Posted ID:0HC7BhFK28

การศึกษาของสแตนฟอร์ด

ผมเพิ่งรู้ว่า อธิการบดีคนใหม่ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดนั้น ไม่เคยเรียนหนังสือที่อเมริกามาก่อน (เดิมท่านเป็นชาวแคนาดา เรียนจบตรีที่แคนาดา และเอกที่อังกฤษ แล้วจึงค่อยย้ายมาสหรัฐฯ)

เมื่อวาน ที่มหาวิทยาลัยมีการจัดงานเสวนากับท่าน เกี่ยวกับประสบการณ์และวิสัยทัศน์เรื่องการศึกษา ผมฟังแล้วก็ได้กลับมาคิดทบทวนหลายอย่าง

มีคนถามท่านว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ท่านอยากได้ข้อคิดอะไรก่อนที่ท่านจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

ท่านตอบว่า อยากให้มีคนบอกท่านว่า #คนเราไม่จำเป็นต้องวางแผนชีวิตทั้งชีวิตในวันแรกที่เข้ามหาวิทยาลัย นอกจากไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า โอกาสใดจะเข้ามาเมื่อไร และตัวเราเองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

สแตนฟอร์ดดูเหมือนจะเป็นมหาวิทยาลัยที่ยืดหยุ่นที่สุด เด็ก ป.ตรีที่นี่เข้าเรียนวันแรกโดยยังไม่ต้องเลือกคณะ แต่ละคนค่อยๆ มาทดลองวิชาและเรียนรู้ว่าตัวเองชอบและสนใจอะไรในช่วงสองปีแรก จากนั้นจึงค่อยเลือกว่าฉันจะจบคณะไหน

ตัวท่านเองเรียนฟิสิกส์ตอน ป.ตรีที่แมคกิล ประเทศแคนาดา และได้ทุนไปเรียนตรีอีกใบที่ออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ซึ่งท่านเลือกเรียนปรัชญาและสรีรวิทยา จากนั้นจึงเรียนต่อ ป.เอก ด้านสรีรวิทยาที่ยูซีแอล แล้วจึงมาทำวิจัยด้านสมองที่สหรัฐฯ จนเป็นนักวิจัยด้านสมองที่มีชื่อเสียง เคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์ที่สแตนฟอร์ดอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจึงย้ายไปบริหารบริษัทไบโอเทคขนาดใหญ่ ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งอธิการบดี

นึกย้อนถึงวัยเด็ก ท่านบอกว่า ตัวท่านโชคดีสองเรื่อง หนึ่งคือ #ท่านได้รับการศึกษาที่กว้าง ไม่ใช่แคบอยู่เฉพาะศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่ง

วิชาที่กลับให้ประโยชน์มากที่สุดกับท่านคือ วิชาปรัชญา เพราะเป็นวิชาที่ค่อนข้างแตกต่างจากวิทยาศาสตร์ (ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญหลักของท่าน) เพราะในวิทยาศาสตร์ จะมีข้อมูลและข้อเท็จจริงชัดเจน แต่ปรัชญาเป็นเรื่องของการให้เหตุผลล้วนๆ ซึ่งช่วยฝึกวิธีคิดในเรื่องต่างๆของท่าน

สแตนฟอร์ดจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาที่กว้าง, เมื่อวันก่อน เพื่อน ป.เอกของผมเพิ่งบอกว่า ไม่น่าจะมีมหาวิทยาลัยไหนอีกแล้วมั๊ง ที่การไปลงเรียนและทำวิจัยข้ามคณะง่ายเท่ากับที่สแตนฟอร์ด

ความโชคดีอีกเรื่องหนึ่งของท่าน คือสมัยที่ท่านเรียนมหาวิทยาลัย ท่านได้เจอ #ครูดีที่ช่วยแนะแนว แนะนำท่านว่า วิชาไหนน่าสนใจ ทุนการศึกษาไหนอาจเปลี่ยนชีวิตท่านได้ ฯลฯ

ท่านบอกว่า ในเรื่องนี้ นักเรียนของสแตนฟอร์ดจะต้องไม่ขึ้นกับโชคชะตาอย่างท่าน สแตนฟอร์ดจัดให้มีระบบครบวงจรที่จะแนะแนวและช่วยเหลือนักเรียน ตั้งแต่เรื่องการเลือกวิชา ทุนการศึกษา การเขียน การนำเสนองาน การหางาน การสร้างสรรค์ธุรกิจ ฯลฯ เด็กอยากทำอะไร อยากพัฒนาตนเองด้านไหน เรามีระบบพร้อมที่จะซัพพอร์ตเด็ก

มีคนถามท่านว่า เมื่อท่านเรียนจบ ทำไมท่านจึงเลือกมาทำวิจัยและทำงานในสหรัฐฯ? (ตอนนี้ท่านได้สัญชาติสหรัฐฯ แล้ว)

ตอนจบ ป.เอก ท่านได้ offer งานทั้งที่ลอนดอนและสหรัฐฯ แต่ท่านเลือกมาที่สหรัฐฯ ความคิดแรกก็แค่อยากทดลองของใหม่ๆ เพราะท่านไม่เคยอยู่ที่สหรัฐฯ มาก่อนเลย

แต่พอมาทำวิจัยและทำงานที่นี่ ท่านก็ติดใจ เพราะรู้สึกได้ถึง #พลังบวก พลังความเป็นไปได้ พลังความมั่นใจของคนที่นี่ และสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้คนใช้ศักยภาพของตนให้เต็มที่ ทุนวิจัยก็มีมาก และไม่ติดกฎระเบียบหยุมหยิม

ท่านบอกว่า ถ้าเป็นที่อื่น เวลาจะทำอะไรใหม่หรือบุกเบิกแนวทางใหม่สักอย่าง จะถูกตั้งคำถามมาก คุณทำอย่างนี้ได้ด้วยหรอ? นี่มันแหวกแนวเกินไป? แต่ถ้าเป็นวัฒนธรรมวิชาการของสหรัฐฯ กลับจะได้ยินว่า เฮ้ย น่าสนใจดี! ลองดูสิ! ถ้าล้มเหลวก็ไม่เป็นไร ก็เริ่มต้นและลองกันใหม่

เมื่อกลับไทยครั้งที่แล้ว ผมเจอน้องคนหนึ่งเพิ่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไทยแห่งหนึ่งได้ พูดคุยกัน เหมือนว่าน้องเขาจะเห็นภาพชีวิตข้างหน้าทั้งชีวิตเรียบร้อยแล้ว ("มีอะไรต้องคิดอีกล่ะครับ สอบเข้าคณะนี้ ก็ประกอบอาชีพนี้") พอคุยเรื่องการเลือกวิชา น้องเขาก็ดูเลือกได้ค่อนข้างจำกัดมาก ในเรื่องทัศนคติ น้องเขาดูเหมือนจะเตรียมไปรับถ่ายทอด "ความรู้" แต่เพียงอย่างเดียว ไม่ใช่เตรียมไปฝึก "วิธีคิด" "วิธีถาม" หรือเอาความรู้ที่ได้มาเป็นฐานคิดเปิดเส้นทางอะไรใหม่ๆ

คนมักรู้กันว่า ตัว ม.สแตนฟอร์ดมีเงินเยอะมากเหลือเกิน เพราะเศรษฐีฝรั่งชอบบริจาคเงินให้กับมหาวิทยาลัย แต่ผมว่าสิ่งที่ทำให้มหาวิทยาลัยยิ่งใหญ่ คือ ทัศนคติต่อการศึกษามากกว่า

สาระของ "การศึกษา" คืออะไรครับ? คือการจำกัดกรอบ หรือการเปิดกะลา?, คือการจำสิ่งที่ถูก หรือพร้อมลองผิดลองถูกเพื่อสร้างสรรค์?, คือการตั้งไมค์กับกระดานให้พร้อม หรือการสร้างสภาพแวดล้อมให้นิสิตมีโอกาสพร้อมที่จะพัฒนาตนเองเต็มที่ตามศักยภาพที่เขาจะเป็นได้?

68 Nameless Fanboi Posted ID:0HC7BhFK28

จากภาพกรรมาธิการศูนย์ไซเบอร์ 5 คนที่แถลงข่าว ชาวเน็ตเอาภาพ 5 คนนี้มาล้ออย่างเมามันส์ ว่าลุคแบบนี้ ไม่น่ารู้เรื่องเน็ตหรือคอมหรอก ใช้เน็ตใช้คอมไม่เป็นหรอก ฯลฯ

ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ ฉันสรุปได้เลยว่า "การแต่งกายด้วยชุดไทย การไว้ทรงผมแบบไทย การมีหน้าแบบไทย การมีสีผิวแบบไทย และอายุที่เกิน 40" ทำให้ประชาชนไม่เชื่อว่าคนเหล่านี้จะมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์

เหมือนเป็นภาพลักษณ์ที่ฝังรากลึกในสมองคนไทยแล้วว่ะ ว่าความเป็นไทย หน้าตาแบบไทยๆ คือความโง่ ไม่ทันสมัย ล้าหลัง ไม่มีความรู้ ยิ่งบวกกับอายุที่เกิน 40 ยิ่งทำให้เชื่อไปกันใหญ่ว่าต้องไม่มีความรู้เรื่องคอมแน่ๆ

โดยที่ไม่มีใครคิดที่จะไปดูโปรไฟล์ของ 5 คนนี้เลย...

69 Nameless Fanboi Posted ID:.VBj5OpuzZ

"เดียร์ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน เดียร์ทำเพื่อช่วยคดีผัว "
มิตรสหายท่านหนึ่งในยูทูป

70 Nameless Fanboi Posted ID:OWzddLHARs

>>67 Eng กับ US มีดรามาประมาณนี้ละ คน Eng มักบอกว่าคน US ไม่มีระเบียบแบบแผน ส่วนคน US ก็ว่าคน Eng อนุรักษ์นิยม

>>68 keyword น่าจะเป็นเรื่องอายุเป็นหลัก คือภาพจำของคนไทยส่วนใหญ่มักคิดว่าคนอายุ 40+ ไม่มีความรู้ด้าน IT อย่างลึกซึ้ง ยิ่ง 50+ ยิ่งแล้วใหญ่

71 Nameless Fanboi Posted ID:6IjuxUFWju

>>68 กูยังไม่ได้ตามข่าว ไม่รู้หรอกว่าไอ้ 5 คนที่ว่านี่โปรไฟล์เป็นไงหรือจบอะไรมา แต่เรื่องของ IT ไม่ใช่แค่มีโปรไฟล์ดีแล้วจบ เดี๋ยวนี้เรื่องในวงการนี้แม่งอัพเดตกันแทบจะวันต่อวัน เพราะงั้นคนที่เก่งในวงการนี้ คือคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับมันตลอด ติดตามอัพเดตข้อมูลใหม่ๆตลอด แน่นอนเสื้อผ้าทรงผมอายุหรือความเป็นไอ้ไทยมันไม่เกี่ยว แต่ถ้าจะยึดติดอยู่แต่โปรไฟล์อย่างเดียวก็ไม่แปลกที่จะโดนคนมองว่าโง่ล้าสมัยไร้ความรู้

72 Nameless Fanboi Posted ID:uIB+zENdS7

พวกเกิน 40-50 แต่เก่งไอที
/มองบิลเกต

73 Nameless Fanboi Posted ID:NIUvWREIB/

>>71 แล้วรู้ได้ไงว่าไม่อัพเดท มึงตัดสินจากอะไร

74 Nameless Fanboi Posted ID:6IjuxUFWju

>>73 มึงอ่านยังไงของมึงวะ กูยังไม่ได้ตัดสินเหี้ยอะไรเหอะ กูบอกไปตั้งแต่ประโยคแรกด้วยซ้ำว่ากูไม่ได้ตามข่าว ไม่รู้จักไอ้ 5 คนนั้น กูบอกแค่ว่าจะดูคนทำงานด้านนี้อย่าเอาแต่ยึดติดกับแค่โปรไฟล์

75 Nameless Fanboi Posted ID:bwV42KlJvD

เมื่อ10กว่าปีก่อน ผมทำงานอยู่แถวสหรัตนคร อยุทธยามีรุ่นพี่คนหนึ่งเงินเดือน15,000บาทไม่รวมโอที มีโอที2ทุ่มทุกวันตกๆเดือนละ2หมื่นกว่า ผมเห็นแกซื้อมาม่า1ห่อข้าวเหนียว10บาท ตอนพักเที่ยงแกจะขยำมาม่าใส่เครื่องปรุง แล้วเอาข้าวเหนียวมาจิ้ม กินเสร็จแกก็เก็บมาม่าส่วนที่เหลือเก็บไว้ พอพักเบรค5โมงเย็น แกก็เอามาม่ากับข้าวที่เหลือมากินต่อ แกทำอย่างนี้ทุกวัน ผมก็อดสงสัยไม่ได้ จึงถามแกไปตรงๆ พี่ทำไมไม่กินอาหารดีๆ เงินเดือนก็สูง แล้วเงินพี่จะเอาไปไว้ใหน พี่เขาบอกเก็บไว้ ผมนี่น้ำตาไหลพราก แสดงว่าทางบ้านพี่เขาต้องยากจน พี่เขาถึงเก็บเงินส่งบ้าน และลูกเมีย ผมยอมรับพี่เขาจริงๆ ผมก็เลยถามต่อไปอีกว่า พี่จะเก็บเงินไว้ทำอะไร ทำไมไม่หาความสุขใส่ตัว แต่คำตอบพี่เขา ทำไห้ผมร้องไห้เป็นครั้งที่2 พี่เขาบอก เก็บเงินไว้ดูดม้า #ก็อบมา

76 Nameless Fanboi Posted ID:Ys2gWnvGWQ

มีอยู่​ 2 ข้อที่เวลาเราไปเยี่ยมคนป่วยแล้วไม่ควรพูด
โดยเฉพาะคนที่ป่วยหนักหรือเป็นโรคระยะยาว
ตัวผมเองนั้นป่วยเป็นโรคร้ายแรงถึงชีวิต
ทั้งจากส่วนตัว​ และที่ได้พูดคุยกับผู้ป่วยท่านอื่นๆ
สรุปได้ว่ามีอยู่​ 2 ข้อความที่คนป่วยได้ฟังแล้ว
จะแอบมองบนอยู่ในใจนะครับ

1. "เดี๋ยวก็หายแล้ว"
ข้อความนี้บั่นทอนความรู้สึกได้ดีมาก
รวมถึงสามารถทำให้คนป่วยที่อารมณ์ดีๆอยู่
รู้สึกเซ็งขึ้นมาได้ในบัดดล

2. "สู้​ สู้"
คำนี้คือแบบว่า​ ...
ไม่บอกดีกว่าครับ​ เดี๋ยวโดนด่าแรง​ 555
แต่เอาเป็นว่าคำนี้​ เอาไว้พูดให้กำลังใจ
กับคนที่กำลังวิ่งตามรถเมล​์ให้ทันดีกว่าครับ
ไม่เหมาะเอามาพูดกับผู้ป่วย

บางคนอาจจะเถียงว่า
เคยถามคนป่วยคนอื่นแล้ว
เค้าบอกไม่เห็นจะเป็นไรเลย

ใช่ครับ​ เขาต้องตอบอย่างนั้นอยู่แล้ว
ตัวผมเองก็ตอบอย่างนั้นเช่นกัน

แต่ให้ลองสังเกตุสีหน้า
และอากัปกิริยาของเขาดูนะครับ
ว่าพูดไปแล้ว​ คนป่วยเค้าชะงัก
หยุดคิดอะไรนิดนึง
แล้วต่อด้วยยิ้มเจื่อนๆ
หรือพยักหน้าเออออตาม
แทนที่จะอารมณ์ดีสดใสขึ้นมาจริงหรือเปล่า
😅😅😅

อันนี้เป็นประสบการณ์จากคนป่วยหนักหลายๆคน
เล่าสู่คนที่ไม่เคยป่วยหนักๆให้ฟังกันนะครับ

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.