มึง อยู่ๆกูก็เอ๊ะขึ้นมาว่า หรือจริงๆ เรื่องมันจะจบแค่ตอนที่ 299 แค่นี้วะ
แบบ จบแค่นี้ ให้ไปมโนต่อกันเองไรเงี้ย ;_;!
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1229747190161014785?s=09
มึ๊งงงงงง ทำไมน่าร๊ากกกกกกกกกกกกกก
น่ารักว่ะะะ แต่ใครวะะะ ถามเพื่อความแน่ใจ5555555
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1228300530939621378
ยังไม่มีใครแปะอันนี้เลยหรอว้า 55555555
วันวาเลนไทน์ของเจ้าแม่ กรี้ดดดดดดดดดด
อ่านครั้งแรกตอนขึ้นม.ปลาย จนตอนนี้กูเรียนจบมัธยมแล้ว นิยายก็ยังไม่จบ ...
Yeah, you got that yummy, yum
That yummy, yum
That yummy, yummy
Yeah, you got that yummy, yum
That yummy, yum
That yummy, yummy
Say the word, on my way
Yeah babe, yeah babe, yeah babe
Any night, any day
Say the word, on my way
Yeah babe, yeah babe, yeah babe
In the morning or late
Say the word, on my way
Bonafide stallion
You ain't in no stable, no, you stay on the run
Ain't on the side, you're number one
Yeah, every time I come around, you get it done
Fifty-fifty, love the way you split it
Hunnid racks, help me spend it, babe
Light a match, get litty, babe
That jet set, watch the sunset kinda, yeah, yeah
Rollin' eyes back in my head, make my toes curl, yeah, yeah
Yeah, you got that yummy, yum
That yummy, yum
That yummy, yummy
Yeah, you got that yummy, yum
That yummy, yum
That yummy, yummy
Say the word, on my way
Yeah babe, yeah babe, yeah babe
Any night, any day
Say the word, on my way
Yeah babe, yeah babe, yeah babe
In the morning or late
Say the word, on my way
Standing up, keep me on the rise
Lost control of myself, I'm compromised
You're incriminated, no disguise
And you ain't never running low on supplies
Fifty-fifty, love the way you split it
Hunnid racks, help me spend it, babe
Light a match, get litty, babe
That jet set, watch the sunset kinda, yeah, yeah
Rollin' eyes back in my head, make my toes curl, yeah, yeah
Yeah, you got that yummy, yum
That yummy, yum
That yummy, yummy (and you stay flexing on me)
Yeah, you got that yummy, yum
That yummy, yum (yeah)
That yummy, yummy
Say the word, on my way
Yeah babe, yeah babe, yeah babe (yeah babe)
Any night, any day
Say the word, on my way
Yeah babe, yeah babe, yeah babe (yeah babe)
In the morning or late
Say the word, on my way
Hop in the Lambo, I'm on my way
Drew House slippers on with a smile on my face
I'm elated that you are my lady
You got the yum, yum, yum, yum
You got the yum, yum, yum, whoa
Whoa-ooh
Yeah, you got that yummy, yum
That yummy, yum
That yummy, yummy
Yeah, you got that yummy, yum
That yummy, yum
That yummy, yummy
Say the word, on my way
Yeah babe, yeah babe, yeah babe (yeah babe)
Any night, any day
Say the word, on my way
Yeah babe, yeah babe, yeah babe (yeah babe)
In the morning or late
Say the word, on my way
มึง กูขอเมาท์หน่อย นี่กูกลับไปอ่านฟิค A-Z แล้วแบบกร๊าวใจมาก
ขอคาราวะโม่งฟิคสามสิบหกที อ่านแล้วทั้งฟินทั้งซึ้ง ครบรสมากมึง
เพื่อนโม่ง ใครก็ได้ใบ้พาสเดอตี้ตอน 1 ให้ที กุงมมานานมากละมันไม่ใช่หนังสือรวมบทกวีเหรอวะ
พาสเวิร์ดมันก็ไม่ได้ยากอะไรนะออกจะตรงตัว แค่ต้องใช้ความจำนิดหน่อยเอง จำไม่ได้ก็หาในสารบัญ มีบอกไว้หมดเลย
กูถามตรงๆเลยนะ คนแต่งเทไปแล้วใช่ไหม
มัวเเต่ซุ่มอ่านเเปลไทยเขาจะรู้ไหมว่าพวกมึงรออยู่
กูจะยังไม่หมดความหวังหรอกนะ;_; นิยายที่อัพล่าสุดตอนปีห้าหกเพราะน้ำท่วมแล้วไฟล์หายหมดกูก็ยังรอ//ไปคอมเม้นสองปีครั้ง ม้างเอ้ย มีคนรอกะกูอีกหลายคนแหล่ะ แต่แบบท่านฮิโยโกะได้ป่ดดดด
เราแต่งฟิคเสร็จแล้วอ่ะโม่ง เราลงในนี้ได้เลยใช่มะ
พึ่งแต่งครั้งแรกอ่ะ ถ้ามันแปลกๆเราขอโทษเน้อ
ฟิค นอบน้อมและหนักแน่น ตอน คาบุอกหักรอบ2
อ่า… ทีแรกใครจะคิดว่าเป็นแบบนี้กันล่ะ ก่อนวันจบการศึกษาของพวกเรา ระหว่างที่คาบุรากิเรียกฉันและเอ็นโจเข้าไปคุยเกี่ยวกับแผนเดทของคาบุรากิกับทาคามิจิ ฉันคิดว่าไหนๆก็ไหนๆ พวกเราก็จะเรียนจบม.ปลายกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะต่อมหาลัยก็เถอะ แต่โอกาสที่คาบุรากิกับทาคามิจิจะได้เจอกันคงน้อยลงกว่าปกติเป็นแน่ ฉันจึงเสนอไปว่าให้คาบุรากิสารภาพรักกับทาคามิจิซะ ทีแรกคาบุรากิก็ปฏิเสธหัวชนฝา ยังคงยืนยันคำเดิม 'คะนึงหาชั่วชีวีไม่เอื้อนเอ่ย…' โอ้ย ฟังจนเบื่อจะแย่ แล้วเมื่อไหร่จะสมหวังกับเขาสักทีถ้าไม่สารภาพออกไปน่ะ สุดท้ายกลายเป็นฉันที่ต้องรับฟังอยู่ดีกลายเป็นปัญหาหนักใจอีกแล้ว ถ้าไม่รีบกำจัดไปละก็ มีหวังได้ฟังจนแก่แหงๆ
"ท่านคาบุรากิคะ ดิฉันได้ยินมาว่า หากสารภาพรักในวันจบการศึกษาจะสมหวังนะคะ เห็นว่าคู่รักหลายๆคู่มักประสบความสำเร็จในการสารภาพรักและได้คบกันอย่างยืนยาวด้วยล่ะค่ะ ดิฉันคิดว่าท่านคาบุรากิน่าจะลองดูนะคะ"
"มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยรึไงคิโชวอิน ความรักมันต้องอาศัยคว…"
"แล้วชาติไหนจะได้สารภาพรักหรือคะท่านคาบุรากิ อีกอย่างหลังจบการศึกษาจะหาโอกาสเจอกันอีกก็ยากแล้วเพราะคุณทาคามิจิคงจะมีธุระส่วนตัวมากขึ้น ถ้าหากยังทำตัวเป็นสาวน้อยแบบนี้ มีหวังแอบรักข้างเดียวไปจนแก่เฒ่าแน่ๆเลยค่ะ"
"ว ว่าไงนะ!"
"… ผมเห็นด้วยกับคุณคิโชวอินนะ ถ้ามาซายะยังมัวรอแบบนี้ แล้วยิ่งไม่ได้เจอกันบ่อยอีกละก็ คุณทาคามิจิอาจจะเจอคนอื่นที่เหมาะกว่าก็ได้"
"……"
"ความสัมพันธ์ของท่านคาบุรากิกับคุณทาคามิจิเองก็ดีอยู่นี่นา บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้นะคะ สารภาพรักเลยค่ะ!"
ฉันกับเอ็นโจช่วยกันกล่อมคาบุรากิจนเจ้าตัวตอบตกลง หลังจากนั้นเราก็มาคุยแผนการสารภาพรักของคาบุรากิซึ่งแต่ละไอเดียที่คาบุรากิเสนอมาทำเอาฉันปวดหัวสุดๆ สุดท้ายแล้วฉันจึงเสนอไอเดียสารภาพรักที่คนปกติทั่วไปเขาทำกันพร้อมประกอบเหตุผลว่าทาคามิจิคงไม่ชอบอะไรที่มันเด่นสะดุดตามากนัก
แต่พอถึงวันจบการศึกษา
ฉันที่หลังจากรับดอกไม้และถ่ายรูปกับรุ่นน้องและเพื่อนๆเสร็จ ก็ขอปลีกตัวมาดูการสารภาพรักของเจ้าลูกศิษย์ไม่ได้เรื่องซักหน่อย เอ๊ะ? นั่นอะไรน่ะ ช่อดอกกุหลาบช่อใหญ่!? ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องเอามาน่ะ โถ่ ไม่ได้เรื่องเลยเจ้าลูกศิษย์โง่นี่ ฉันแอบดูอยู่หลังพุ่มไม้ได้แต่กำหมัดแน่น แต่อยู่ๆซักพักก็มีมือมาแตะไหล่ ฉันสะดุ้งโหย่ง เมื่อหันไปพบว่าเอ็นโจนั่งยิ้มอยู่ข้างหลังฉันตอนไหนไม่รู้
"มาแอบดูหรอครับ คุณคิโชวอิน"
"ไม่หรอกค่ะ ดิฉันแค่บังเอิญเดินผ่านมาเห็นเท่านั้น ก็เลยคิดว่าแวะมาดูหน่อยก็ดี เผื่อมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาฉันคงแย่"
"เป็นแบบนั้นหรอกหรอครับ"
เอ็นโจทำหน้ายิ้มเหมือนไม่เชื่อคำตอบที่ฉันพูดไป ชิ ช่างเถอะ ฉันสนใจแค่ตรงหน้าดีกว่า อ๊ะ!
"คุณทาคามิจิมาแล้ว…"
ทาคามิจิที่พึ่งมาถึงกล่าวทักทายคาบุรากิ ทั้งสองคุยกันเรื่องอะไรไม่รู้ฉันไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่ามันจะเริ่มนานเกินไปแล้วนะ สรุปแล้วนายจะมาสารภาพรักหรือนัดคุยธุรกิจฮะ! แต่สักพัก คาบุรากิเริ่มเอาดอกไม้ที่ซ่อนไว้ข้างหลังแต่ทีแรกยืนให้ทาคามิจิพร้อมกับคุกเข่า! แล้วก็ยื่นกล่องเล็กๆ ออกไป
นั่นนายทำอะไรน่ะคาบุรากิ!!!!! ขอแต่งงานเรอะ!! ยังไม่ทันได้เป็นแฟนรึคู่หมั้นกันเลย มันไม่ข้ามขั้นไปหน่อยรึไงไอ้คนที่บอกว่ารีบเกินไปหน่อยน่ะ มันนายแล้วโว้ย!! ทาคามิจิที่มีสีหน้าตกใจกระวนกระวาย รีบดึงตัวคาบุรากิขึ้นมาหลังจากนั้นก็พูดอะไรสักอย่างแล้วก็ก้มหัวหลายๆรอบแล้วรีบวิ่งออกไป…
เอ... นี่มัน..หมายความว่าไงกัน? ฉันกับเอ็นโจมองหน้ากัน เอ็นโจเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกับฉัน เราเลยออกจากที่ซ่อนไปหาคาบุรากิที่ยังยืนนิ่งอยู่
"เอ่อ… ท่านคาบุรากิคะ ท่านคาบุรากิคะ"
ฮัลโลว ได้ยินมั้ย ฉันเอามือไปปัดๆแกว่งๆ หน้าคาบุรากิดูแต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบมา
"มาซายะ เฮ้ ได้ยินมั้ย เกิดอะไรขึ้นระหว่างนายกับทาคามิจิน่ะ"
"เขา… ฉัน…"
ฮะ. "อะไรนะคะ คือฉันไม่ค่อยได้ยิน…"
"เขาปฏิเสธฉัน…"
อะไรนะ!! นางเอกปฏิเสธพระเอกเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อ! ถึงคาบุรากิในโลกนี้จะดูบ้าๆบอๆ แต่ยังไงเขาก็คือพระเอกจากการ์ตูน ทีแรกฉันก็มั่นใจว่ายังไงซะ พระเอกกับนางเอกก็จะสมหวังกันอยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ฉันที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่นิ่งอึ้ง ส่วนเอ็นโจนิ่งเงียบ นี่นายไม่คิดจะปลอบเพื่อนสนิทของนายหน่อยหรอ?
" ฉันขออยู่คนเดียวสักพักนะ"
คาบุรากิว่าอย่างนั้น แล้วก็ขึ้นรถที่ทางบ้านคาบุรากิมารับกลับบ้านไป…
และแล้วในคืนนั้นจู่ๆก็มีสายมาจากมาดามคาบุรากิโทรมาฟ้องว่าคาบุรากิโดนฉันหักอกจนหนีออกไปเดินทางอีกแล้ว
เดี๋ยวนะ ไอ้คนที่หักอกน่ะไม่ใช่ฉันซักหน่อย วาคาบะจังต่างหาก แล้วท่านแม่ก็รีบเรียกตัวฉันไปคุยการส่วนตัวด่วนฉันปฏิเสธไปว่าฉันไม่ใช่คนที่หักอกคาบุรากิ แต่ท่านแม่บอกว่ามาดามเป็นคนบอกเองว่าถ้าไม่ใช่ฉันใครจะเป็นคนหักอกคาบุรากิได้ …สงสัยว่ามาดามคาบุรากิคงจะรู้แค่ว่าลูกตัวเอกอกหัก แต่ไม่รู้สินะว่าคนที่หักอกลูกชายทูนหัวนั่นคือใคร… ฉันนั่งเถียงกับท่านแม่ซักพักก็มีสายจากบ้านเอ็นโจโทรเข้ามา
"สวัสดีครับคุณคิโชวอิน นี่ผมเองนะ มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย"
"ค่ะ ท่านเอ็นโจ เรื่องท่านคาบุรากิสินะคะ"
"อ่า คงรู้เรื่องทั้งหมดแล้วสินะครับ คือผมมีเรื่องจะให้ช่วยหน่อย"
เอ๋~ อย่าบอกนะว่าจะให้ไปตามคาบุรากิกลับมาน่ะ ให้ตายก็ไม่เอาด้วยหรอกย่ะ
"ถ้าเป็นเรื่องไปตามท่านคาบุรากิกลับมาละก็ฉันคงต้องขอผ่านนะคะ เผอิญว่าติดธุระน่ะค่ะ"
"แต่คุณคิโชวเป็นต้นเหตุเรื่องนี้ไม่ใช่หรอ"
"เอ๊ะ ยังไงหรือคะ"
"เพราะคุณคิโชวอินกับผมเป็นคนยุยงให้มาซายะสารภาพรักกับคุณทาคามิจิ มาซายะเลยต้องเสียใจจนต้องออกเดินทางในครั้งนี้ เห็นแบบนี้แล้วคุณคิโชวอินยังจะปัดความรับผิดชอบอีกหรอครับ คุณคิโชวอิน…"
อึ๋ยย เอาแล้วไง ความรู้สึกผิดมาถาโถมมาเป็นชุด แล้วยิ่งน้ำเสียงที่ผ่านมาจากโทรศัพท์ยิ่งแสดงให้เห็นถึงน่ากลัวเยือกเย็นของเอ็นโจอีก แต่ที่เอ็นโจว่าก็จริง ฉันก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ยังไงก็ต้องรับผิดชอบ ก็ไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนใจจืดใจดำทำจักรพรรดิแห่งซุยรันเสียใจแล้วหนีไปทำตัวลอยชายสบายใจได้หรอกนะ ฉันจึงตอบรับคำของเอ็นโจไป
"พรุ่งนี้ผมจะมารับคุณที่คฤหาสน์นะครับ เตรียมเก็บกระเป๋าเดินทางด้วยนะครับ ผมหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือ"
หลังจากวางสายแล้ว ฉันก็ถอนหายใจเฮือก ให้ตายซิ นี่ก็ใกล้จะสอบเข้ามหาลัยแล้วยังจะต้องไปตามหาคาบุรากิที่ออกเดินทางอีก แล้วนายไม่อ่านหนังสือเตรียมเข้ามหาลัยเลยรึไงถึงได้ออกเดินทางช่วงนี้น่ะ ถึงจะรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คาบุรากิต้องออกเดินทางอีกครั้งก็เถอะ แต่ฉันเองก็เด็กสอบเข้าคนนึงเหมือนกัน รู้งี้แนะนำให้ไปบวชไม่ก็ทำสมาธิใต้น้ำตกซะก็ดี เฮ้อ… เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็มีบุญคุณกับฉันตั้งหลายอย่าง จะไม่ช่วยก็จะดูเป็นคนใจดำไปหน่อย อย่างน้อยครั้งนี้ก็คงต้องไปช่วยละกัน
หลังจากนั้นฉันก็ไปบอกท่านพ่อท่านแม่ว่าจะออกเดินทางไปตามตัวคาบุรากิท่านทั้งสองดูดีใจมากและต่อจากนั้นเตรียมกระเป๋าเดินทางสำหรับทริปนี้… เฮ้อ ขอให้เจอตัวไวๆด้วยเถอะ
ตอนที่ 2
เอ็นโจมารับฉันถึงบ้านอย่างที่เขาได้นัดไว้ เอ็นโจคุยกับท่านพ่อท่านพี่นิดหน่อยหลังจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันไปที่สนามบิน
"ครั้งก่อนที่ท่านคาบุรากิเดินทางเมื่ออกหักจากท่านยูริเอะเนี่ย ท่านเอ็นโจรู้ได้ยังไงคะว่าท่านคาบุรากิอยู่ที่ไหน?"
"อ่า… ก็เดาคร่าวๆน่ะ ว่าไปที่ไหนบ้าง แต่ละที่ก็เป็นแต่สถานที่สุ่มเสี่ยงทั้งนั้น กว่าจะเกลี้ยกล่อมได้ก็ลำบากเอาเรื่องเลยล่ะ ปัญหาหนักสุดก็สภาพอากาศนี่แหละ ดูถูกทะเลในฤดูหนาวไม่ได้เลยนะ…"
ปัญหามันอยู่ตรงนั้นรึไง…
"แล้วครั้งนี้คิดว่าท่านคาบุรากิจะไปที่ไหนต่อหรือคะ?"
"ครั้งนี้น่ะ จะไม่พลาดเหมือนครั้งที่แล้วหรอกนะ ตั้งแต่ที่คุณทาคามิจิปฏิเสธมาซายะไปก็เดาๆว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ไว้บ้าง เลยสั่งให้คนมาติดGPSไว้ที่กระเป๋าเดินทางของมาซายะที่ใช้ประจำแล้วล่ะ ทีนี้ก็เหลือแค่เช็คตำแหน่ง…"
ฉันชะโงกหน้าไปดูหน้าจอที่แสดงตำแหน่งของคาบุรากิและในใจก็พลางคิดว่าไม่ควรไปมีเรื่องกับเอ็นโจเด็ดขาดไม่งั้นละก็ถูกตามล่าชนิดที่ว่าหนีไปไหนก็ไม่พ้นแน่นอน
ตำแหน่งที่คาบุรากิอยู่ตอนนี้คือแถวๆภูเขาไฟฟูจิ… รู้สึกว่าคงจะอยู่ที่โรงแรมในเครือคาบุรากิแถวๆนั้นล่ะมั้ง ถ้าเป็นคาบุรากิจะไปแถวภูเขาไฟฟูจิละก็ คงไม่พ้นป่าอาโอกิงาฮาระสินะ หวา น่ากลัวจัง
รู้สึกว่าความคิดเอ็นโจคงไม่ต่างกับฉัน เอ็นโจรีบร้อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาเพื่อนสนิททันที
"ฮัลโหลมาซายะ … …ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนน่ะ… … …ใจเย็นๆก่อนนะ อย่าพึ่งทำอะไรวู่วาม… …อ่า อืม เป็นความผิดผมเองแหละ ขอโทษนะ… … ใจเย็นๆก่อนนะมาซายะ นายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะ นายยังมีผม ยูริเอะ ไอระอ้อ คุณคิโชวอินด้วยนะ… …อืม คุณคิโชวอินก็เป็นห่วงนายอยู่นะ นายอยู่ที่นั่นก่อนนะ พวกเรากำลังไป … แค่นี้ล่ะ"
"ท่านคาบุรากิว่ายังไงบ้างคะท่านเอ็นโจ"
"เป็นตามที่คิด ตอนนี้อยู่หน้าป่าอาโอกิงาฮาระแล้วล่ะ เราคงต้องรีบแล้ว"
จากนั้นเอ็นโจกับฉันก็รีบเดินทางโดยมีเป้าหมายคือภูเขาฟูจิ จังหวัดชิซุโอกะ
……………………………………………………………………
ตอนนี้เรามาถึงที่หน้าป่าบริเวณที่มีป้ายเตือนขนาดใหญ่พร้อมข้อความเตือนสติของผู้ที่จะมาสังเวยชีวิตแก่ป่านี้… บรรยากาศน่ากลัวจัง ทำไมคาบุรากิถึงกล้ามาที่แบบนี้นะ ฉันเดินตามหลังเอ็นโจมาติดๆ พร้อมกับเอามือกำหัวนิ้วโป้งไว้
"ถ้าคุณคิโชวอินกลัว จับมือผมไว้ก็ได้นะ" เอ็นโจพูดพร้อมกับรอยยิ้มขบขันเล็กๆ หนอย ดูถูกกันนักนะ
ฉันหันหลังเมินเอ็นโจแต่ก็พบกับคนยืนไกลๆ หันหลังให้ เอ๊ะ นั่นคนใช่รึป่าว ฉันเข้าใจถูกใช่มั้ย ฉันสะกิดเอ็นโจให้หันมาดูสิ่งที่ฉันเห็นเพื่อพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้เห็นคนเดียว
"หือ นั่นคนใช่รึป่าวนะ บางทีเราอาจเข้าไปถามได้นะว่าเขาเจอมาซายะมั้ย เดี๋ยวผมไปถามให้นะ"
เดี๋ยวสิ! นายจะเดินไปถามแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวหรอ!? ไม่เอาหรอก! ฉันจับแขนเสื้อเขาไว้แล้วเสนอให้ไปถามด้วยกัน
เราเดินเข้าไปใกล้ๆ ช้าๆ ก็แหงละ ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนจริงรึป่าวนี่นา ก็บรรยากาศรอบตัวเขามันมืดมนขนาดนั้นถ้าเกิดไม่ใช่คนขึ้นมาละก็ซวย
"ขอโทษนะครับ คุณ…"
พรึ่บ! ก่อนเอ็นโจจะพูดจบ ร่างนั้นหันมาให้เห็นใต้ขอบตาที่ดำ หน้าซีดๆดูมืดมน…
…ไม่ใช่ผีที่ไหนหรอก… คาบุรากิต่างหาก…
"ท่านคาบุรากิ!!/มาซายะ!!" เสียงของฉันกับเอ็นโจดังขึ้นพร้อมกัน อะไรกัน บทจะเจอก็เจอง่ายงี้เลยหรอ แต่สภาพนี่อะไรกัน แค่ออกจากบ้านวันเดียวซูบขนาดนี้แล้ว
"มาซายะ เป็นห่วงแทบแย่ นี่นายโอเครึป่าว"
"ไม่…". อุหวา สภาพแบบนี้เป็นใครก็ไม่โอเคทั้งนั้นแหละ ยังกับอดหลับอดนอนเพื่อโต้รุ่งอ่านหนังสือสอบยังไงอย่างงั้น
"ทาคามิจิ… ปฏิเสธฉัน… อ่า… ฉันนี่มันเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการจริงๆด้วยสินะ…"
"มาซายะ…"
"ไม่จริงหรอกค่ะท่านคาบุรากิ"
ฉันทนเห็นสภาพปางตายของคาบุรากิไม่ไหว เห็นทีต้องให้เทพเกศาบันดาลรักออกโรงสินะ
"รอบตัวท่านคาบุรากิยังมีผู้คนอีกมากนะคะ ที่ให้ความสำคัญกับท่านคาบุรากิ ทั้งคุณลุง ทั้งมาดามคาบุรากิ ท่านยูริเอะ ท่านไอระ ไหนจะเพื่อนสนิทของท่านคาบุรากิอีก นี่ยังเรียกว่าไม่มีใครต้องการจริงๆหรือคะ"
"…"
"ท่านคาบุรากิลองมองรอบตัวให้ดีๆนะคะ ยังมีผู้คนอีกมากมายค่ะที่ต้องการตัวท่านและพร้อมที่จะให้ความสำคัญกับท่าน สำหรับความรักครั้งนี้อาจจะไม่สำเร็จ ก็ถือเป็นบทเรียนในครั้งต่อๆไป บางทีคนนี้อาจจะไม่ใช่สำหรับเรา แต่เราก็สามารถลุกขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะออกเดินทางตามหารักแท้ต่อไปได้ไม่ใช่หรือคะ"
"คิโชวอิน…"
"ผมเห็นด้วยกับคุณคิโชวอินนะมาซายะ เริ่มต้นใหม่แล้วลองพยายามดูอีกสักครั้งนะ"
"ชูสึเกะ… อึก ขอบใจพวกนายมากนะ…"
คาบุรากิพยายามซ่อนน้ำตาที่คลออยู่ขอบตา สุดท้ายแล้วน้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลออกมา…
บางครั้งคนเราก็ต้องมีด้านอ่อนแอละนะ ช่วยไม่ได้ ครั้งนี้จะเก็บเป็นความลับให้ละกัน..
.
.
.
.
กว่าคาบุรากิจะหยุดร้องไห้ได้ ก็เริ่มค่ำแล้ว ฉันเห็นว่ามันเริ่มน่ากลัวกว่าเดิมจึงเร่งให้พวกเรากลับที่พัก ก่อนกลับคาบุรากิกำชับว่าห้ามนำเรื่องที่เขาร้องไห้ไปเล่าให้คนอื่นฟัง แน่นอนฉันไม่เล่าหรอก เก็บไว้เป็นไพ่ตายตอนมีเหตุจำเป็นดีกว่าอุเคะเคะเคะ
______________________________________________________________
ตอนที่ 3
ห้องที่พวกเราจองนั้นเป็นห้องสวีท 2 ห้องนอน คาบุรากิกับเอ็นโจนอนด้วยด้วยกันส่วนฉันนอนห้องข้างๆ เมื่อเรามาถึงห้องฉันรีบเอาเกลือมาโรยไว้สี่มุมห้องนอนของฉันก่อนเป็นอันดับแรก ก็พึ่งออกมาจากสถานที่น่ากลัวนี่นา ถ้าสมมติว่ามีอะไรตามมาละก็ แค่คิดก็นอนไม่หลับแล้ว
เมื่อโรยเกลือตามมุมห้องเสร็จฉันก็ไปอาบน้ำให้สบายตัว วันนี้ขี้เกียจม้วนผมจัง ไว้ตอนเช้าค่อยม้วนก็ได้มั้ง พอแต่งตัวออกจากห้องน้ำเสร็จก็พบเอ็นโจมานั่งรออยู่บนเตียง… เอ๊ะ!?
"ท่านเอ็นโจมีธุระอะไรถึงมาเข้าห้องของหญิงสาวโดยไม่ได้รับอนุญาตคะ!?"
รู้มั้ยว่ามันเสียมารยาทต่อสาวน้อยน่ะ สมมติฉันออกมาเอาของแบบโป๊อยู่จะทำไง?
"น่าๆ ผมขอโทษที่เสียมารยาทนะ แต่ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณคิโชวอินหน่อย"
"เรื่องอะไรหรือคะ"
"…พรุ่งนี้จะเอายังไงต่อครับ…"
นั่นสิน้า… จะกลับเลยงั้นหรอ สภาพจิตใจของคาบุรากิก็ยังไม่ดีเท่าไหร่…
"งั้น… ไปเที่ยวที่ไหนซักที่ดีมั้ยคะ"
"เที่ยว? เป็นความคิดที่ดีนะ ว่าแต่จะไปที่ไหนหรอ คุณคิโชวอินคิดว่าไง"
ฉันนั่งลงข้างๆเอ็นโจแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาลองค้นดูว่าแถวๆนี้มีอีเว้นอะไรบ้าง อืม…ไหนๆช่วงนี้ก็เป็นช่วงซากุระผลิบานนี่นะ แต่จะไปดูที่หรูๆมันก็ดูจะทางการไปหน่อย แล้วก็อยากกินอาหารแผงลอยด้วย…
"… ไปชมซากุระที่สวนสาธารณะแถวๆนี้มั้ยคะ…"
ก็อยากกินอาหารแผงลอยนี่นะ ถึงจะมีอยู่ไม่มากเท่างานเทศกาลดอกไม้ไฟ แต่อย่างน้อยก็คงจะมีทาโกยากิ ไม่ก็ยากิโซบะอยู่ล่ะมั้ง
"หืม… ชมซากุระที่สวนสาธารณะแถวๆนี้นะ"
"ใช่ค่ะ ใกล้ๆ ไม่ต้องไปไหนไกล ไม่ต้องมากพิธี"
"มันจัดอยู่ที่ไหนบ้างล่ะ" เอ็นโจยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆเพื่อจะดูโทรศัพท์ได้ชัดขึ้น
"กะ ก็ถัดจากโรงแรมที่เราพักประมาณ 600 เมตรค่ะ เดินไปน่าจะไหว"
"งั้นพรุ่งนี้ไปชมซากุระแถวนี้ละกันนะ"
โอเค ขณะที่ฉันกำลังจะลุก เอ็นโจคว้าแขนฉันแล้วยื่นหน้ามาข้างหู
"ตัวคุณคิโชวอินนี่หอมจังนะครับ…"
เสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหูทำให้ฉันตัวขนลุกตัวสั่น การกระทำจากต่างเพศทำให้ใจของผู้ใหญ่บ้านคานทองสั่นไหว! เจ้าคนหมู่บ้านคาสโนว่านี่น่ากลัวจริงๆ ฉันผลักเอ็นโจออก
"คราวหน้าอย่าให้ผู้ชายมานั่งใกล้ๆ แล้วก็อย่าให้ผู้ชายเข้าห้องนอนง่ายๆนะครับ คุณคิโชวอิน…"
"…"
"ผมเป็นห่วงว่าคุณจะโดนคนไม่ดีหลอกเอาจริงๆนะครับ"เอ็นโจพูดเสร็จก็ยิ้มอย่างมีเลิศนัย
"อะ ออกไปได้แล้วค่ะ ฉันจะพักผ่อน"
"ครับผม… ฝันดีนะคุณคิโชวอิน"
เอ็นโจออกจากห้องไปฉันก็ทรุดลงบนเตียง
…ก็มีแต่นายนั่นแหละที่หลอกฉันอยู่คนเดียว…
ก่อนฉันจะนอนมีเหตุการณ์สุดวุ่นวายเกิดขึ้นฉันค่อนข้างเหนื่อยเมื่อหัวถึงหมอนจึงหลับไปในทันที
.
.
.
.
.
.
.
เอ๊ะ ที่นี่ที่ไหนกัน บนท้องฟ้างั้นหรอ เอ๋ อย่าบอกนะว่าฉันตายแล้ว!? นี่ฉันกลายเป็นนางฟ้างั้นหรอ? นี่แหละนะ ผลของการพยายามทำดีมาตลอดโฮะโฮะโฮะ เอ๋ แต่ก่อนตายฉันยังไม่มีแฟนเลย อะไรกันชาตินี้ฉันก็โสดจนตายอีกแล้วหรอว่าแต่ปีกนางฟ้ามันแปลกๆไปรึป่าว มันเหมือน… ปีกนกพิราบ? เอ๊ะ!? นกพิราบงั้นหรอ!? ทันใดนั้นจู่ๆก็มีกระจกโผล่ขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ! ฉันกลายเป็นนกพิราบ!! กรี้ดดดดด ไม่เอานะ ฉันบินไปที่ใดที่หนึ่ง ที่เต็มไปด้วยคู่รักมากมายมองไปทางไหนก็เจอแต่คู่รัก นี่มันหมู่บ้านมีรักชัดๆ แล้วจู่ๆก็มีนายพรานคนนึง ถือหน้าไม้เล็งมาที่ฉัน…
…ฉันว่าหน้าตาคุ้นๆเหมือนเอ็นโจเลยไม่ใช่รึไง…
ทันใดนั้นเขาก็ยิงปีกฉันจนร่วงลงพื้น!
เอ๋ เอ๋ เอ๋!? จะตกแล้ว!! จะตกแล้ว!!!
โครมมมม!!
.
.
คิกคิกคิก…
.
โอ้ย เจ็บๆ ทำไมมันเจ็บจริงล่ะ ฉันพยายามยันตัวขึ้นและพยายามลืมตาแต่ลืมไม่ไหวเพราะแสงแดดมันแยงตา
แชะๆ! คิกคิก…
ฉันได้ยินเสียงชัตเตอร์กับเสียงหัวเราะมาจากที่ไหนซักที่ในห้อง พอฉันลืมตาได้ก็พบชายสองคนที่
คุ้นเคยอยู่ในห้อง…
คาบุรากิกำลังถือโทรศัพท์เอามือข้างนึงปิดปากกลั้นขำไว้แล้วกำลังถ่ายรูปฉันอย่างเมามัน ส่วนเอ็นโจหันไปข้างหลังกุมท้องไหล่สั่น…
"คิ คิ คิโชว อุ้ป ฮ่าๆๆๆ มะ ไม่ไหวแล้วฮ่าๆๆ"
"คะ คุณ คุณคิโชวอิน อุ้ป ตอนคุณนอน คิกคิก น่ารักดีนะครับ อื้อ"
พวกนาย…
"คิโชวอิน ดูนี่สิ สภาพเธองี้ดูไม่ได้เลยอ่ะฮ่าๆๆ ผมกระเซิงไปหมดฮ่าๆๆ"
เตรียมตัว…
"มาซายะ คิก อย่าพูดแบบนั้นสิ มันเสียมารยาทนะ"
ตาย!!!
ฉันหยิบหมอนที่อยู่ใกล้ตัวมาวิ่งไล่ฟาดคาบุรากิกับเอ็นโจไปรอบห้องแต่สองคนนั้นยังไม่หยุดขำ
ฉันวิ่งไล่สองคนนั้นจนเหนื่อยหมดแรงจะพูด เลยเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำถึงรู้ว่าสภาพฉันตอนนี้มันน่าขำขนาดไหน…
ทำไมผมฉันเป็นแบบนี้ล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับทรงผมอันสูงส่งของฉัน ฉันแค่ไม่ได้ม้วนเมื่อคืนเองนะ หรือนี่จะเป็นสัญญาณแห่งความโชคร้ายกันนะ!? ฉันรีบจัดการตัวเองทันที กว่าจะเสร็จก็ปาไป 1 ชม.
"ช้าจริงนะ”
“...”
“รีบไปก่อนอาหารเช้าจะหมดกันเถอะ”
“...”
ฉันเดินนำสองคนนั้นไปห้องอาหารทันที
อาหารเช้าของโรงแรมที่พักเป็นแบบบุฟเฟ่ ฉันรีบเลือกไปหยิบอาหารเช้าที่ตัวเองอยากทานมา อื้อ ที่พักสไตล์ญี่ปุ่น ก็ต้องอาหารเช้าสไตล์ญี่ปุ่นสินะ ข้างหลังเป็นวิวภูเขาไฟฟูจิ เข้ากันสุดๆ
สองคนนั้นไปหยิบอาหารเช้าแล้วตามมานั่งโต๊ะเดียวกับฉัน ไม่ทราบใครเชิญมาหรือคะ
“คุณคิโชวอิน.. โกรธเรื่องเมื่อเช้าหรอ ขอโทษนะ”
“อ่าว คิโชวอินยังโกรธเรื่องนั้นอยู่หรอ”
“...” ฉันกินข้าวต่อไปเงียบๆ อื้ม อาหารโรงแรมนี่อร่อยดีจัง
“งั้นผมยกของหวานนี่ให้นะ ยกโทษให้ผมได้มั้ย?”
ของแบบนั้นฉันเดินไปหยิบเองได้ย่ะ!
“.... งั้นอันนี้ฉันยกให้”
คาบุรากิเลื่อนของหวานอีกชิ้นมาให้ ฉันบอกแล้วไงว่าของแบบนี้ฉันเดินไปหยิบเองได้
ฉันยังกินต่อไปเงียบๆ เอ็นโจเห็นอย่างนั้น เลือกหยิบของชิ้นเล็กที่อยู่ในกระเป๋าออกมา
“ถ้าผมให้อันนี้ล่ะ”
ห๊ะ! นี่มันช็อกโกแลตรสเฉพาะฤดูกาลนี่นา เอ็นโจไปหาของแบบนี้มาจากไหนเนี่ย!
“..ถ้างั้นครั้งนี้จะยอมยกโทษให้ล่ะกันค่ะ คราวหลังกรุณาอย่าทำแบบนั้นอีกนะคะ”
ฉันรับขนมแล้วยกโทษให้ ไม่ใช่ว่าเพราะสีหน้ารู้สึกผิดของเอ็นโจ กับขนมที่คาบุรากิยกให้หรอกนะ
“ขอบใจนะ”
เรากินข้าวต่อไปอย่างเงียบๆ เก็บขนมไว้กินที่หลังดีกว่า เพราะต้องเก็บท้องไว้เดี๋ยวต้องไปกินอาหารแผงลอยแถวนั้นด้วย ระหว่างทางข้าว ฉันก็จ้องสีหน้าคาบุรากิไปพลางๆ ถึงตอนเช้าจะหัวเราะได้เพราะฉันก็เถอะ แต่พออยู่เงียบๆก็คงคิดเรื่องนั้นอยู่ สีหน้าเลยไม่ค่อยดี ฉันจึงหาเรื่องมาคุยให้อาหารเช้ามื้อนี้ไม่ต้องเสียรสชาติ
พอแค่นี้ก่อน ง่วง
มาต่อละ
special story
เป็นตอนก่อนเรย์กะเข้านอนนะคะ..
เอ็นโจ talk
วันนี้ผมกับคุณคิโชวอินมาตามหามาซายะด้วยกันที่ป่าอาโอกิงาฮาระ หลังจากเกิดเรื่องราวต่างๆวุ่นวาย ผมก็เจอตัวเขาแล้วก็กลับที่พักกัน
ผมกับมาซายะนอนห้องเดียวกัน ผมก็รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องนอนเตียงเดียวกันกับเพื่อนสนิทชาย แต่ก็ไม่อยากให้เขาอยู่ตัวคนเดียว เดี๋ยวเกิดทำอะไรแปลกๆขึ้นมาจะยุ่ง ระหว่างที่ผมรอมาซายะอาบน้ำ ผมก็ไปหาคิโชวอินที่ห้องข้างๆ ปรากฏว่าประตูไม่ได้ล๊อก เมื่อเปิดประตูมาก็พบว่าเธออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เธอค่อนข้างตกใจที่ผมมาหาตอนกลางคืนแบบนี้ เมื่อผมถามธุระของผม เธอก็นั่งลงข้างๆผมพร้อมเสิร์ชหากิจกรรมที่จะไปทำพรุ่งนี้
ตัวเธอที่พึ่งอาบน้ำใหม่ค่อนข้างหอม ผมอยากจะดมมากกว่านี้จึงทำเป็นเข้าไปดูหน้าจอใกล้ๆ กลิ่นของเธอเหมือนกลิ่นของวานิลลาผสมนมสด ผมเองก็อยากลองลิ้มรสสัมผัสนั่น ถ้าลองเลียต้นคอขาวๆ ผิวนุ่มๆนั่น รสชาติจะเป็นยังไงนะ เมื่อเธอบอกถึงกิจกรรมที่เธออยากทำในวันพรุ่งนี้เสร็จ เธอก็ลุกขึ้นแต่ผมคว้าแขนเธอไว้แล้วเข้าไปกระซิบใกล้ๆ
"ตัวคุณคิโชวอินนี่หอมจังนะครับ…"
ผมพูดสิ่งที่ผมคิดออกมาเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ หน้าขาวๆ แดงระรื่อออกมาพร้อมผลักผมออก
"คราวหน้าอย่าให้ผู้ชายมานั่งใกล้ๆ แล้วก็อย่าให้ผู้ชายเข้าห้องนอนง่ายๆนะครับ คุณคิโชวอิน…"
เพราะถ้าเกิดมีแมลงตัวไหนมาดอมดมล่ะก็ คงไม่อดใจที่จะไม่สัมผัสไม่ไหวหรอก
"…"
"ผมเป็นห่วงว่าคุณจะโดนคนไม่ดีหลอกเอาจริงๆนะครับ"
ถ้าเกิดมีแมลงตัวไหนมาดมดอมคุณล่ะก็ ผมเองก็อดใจที่จะทำลายมันไม่ได้เหมือนกัน
"อะ ออกไปได้แล้วค่ะ ฉันจะพักผ่อน"
"ครับผม… ฝันดีนะคุณคิโชวอิน"
ผมที่ถูกคุณคิโชวอินไล่ออกมา มองมือที่จับแขนคุณคิโชวอินจนถึงเมื่อกี้ แขนนุ่มจริงๆ..
.
.
.
หลังจากที่ผมเข้านอนได้สักพัก ผมได้ยินเสียงกุกกักๆ ออกมาตรงห้องนั่งเล่นรวม ผมหันไปข้างๆก็เจอเพื่อนสนิทผมนอนอยู่ที่เดิม อะไรกัน คนร้ายงั้นหรอ เป็นไปไม่ได้ โรงแรมในเครือคาบุรากิไม่น่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยหละหลวมขนาดนี้ หรือจะเป็นวิญญาณรึป่าว.. ไม่หรอกมั้ง อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดมันทำร้ายคุณคิโชวอินที่อยู่ห้องข้างๆล่ะ! ไม่ได้การ ผมลงจากเตียงเงียบๆ แล้วค่อยๆย่องออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์แล้วเปิดไฟฉาย
ผมเดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอเจ้าของที่มาของเสียงปริศนาเมื่อกี้กำลังค้นของในกระเป๋าของคุณคิโชวอินที่วางไว้ของนอก
“นั่นใครน่ะ!” ผมรีบส่องไฟฉายไปที่หัวขโมยที่กำลังรื้อของในกระเป๋าคุณคิโชวอินอยู่ แต่เมื่อเขาหันมาทำให้ผมต้องตกใจจนหงายหลัง
หน้าที่ขาวซีดราวกับกระดาษ รอบปากที่ทีคราบสีแดง ผมที่ยุ่งและกระเซิง มีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากผมในตอนนี้
“ว๊ากกกกก!!//กรี้ดดดดดด!!”
“เกิดอะไรขึ้นชูสุเกะ!”
พรึ่บ! คาบุรากิรีบวิ่งมาเปิดไฟห้องนั่งเล่นทันทีหลังจากได้ยินเสียงร้องของพวกเรา เมื่อไฟสว่างทำให้ผมเห็นหน้าของคนร้ายได้ชัดขึ้น เอ๋..
“คิโชวอิน?//คุณคิโชวอิน?”
ผมกับมาซายะพูดขึ้นพร้อมกัน ตอนนี้ใบหน้าของคุณคิโชวอินถูกปิดด้วยแผ่นมาร์กหน้าสีขาว ส่วนในมือถือขนมที่ผมไม่รู้จักอยู่ ทั้งมือและปากเปื้อนซอสสีแดง…
“อุ้ป!” ผมพยายามกลั้นขำจนตัวสั่น ไม่คิดเลยว่าคุณหนูอย่างเธอจะลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ตอนกลางคืน ตลกเกินไปแล้วนะคุณคิโชวอิน
“นี่เธอ เวลากลางค่ำกลางคืนยังลุกขึ้นมาหาของกินอีกเรอะ ไม่รู้รึไงว่ากินของตอนกลางคืนมันยิ่งอ้วนน่ะ เดี๋ยวก็ได้เดินเข้าสู่หนทางสัตว์เท้ากีบหรอก ตอนนี้เองก็ใกล้เคียงแล้วนะ”
มาซายะบ่นคุณคิโชวอินเรื่องที่เธอมาหาของกินตอนกลางคืน ก็ตอนกลางวันเราแทบไม่ได้แวะซื้อของว่างหรือขนมระหว่างทางเพราะต้องรีบหาตัวมาซายะนี่นา แก้มของคุณคิโชวอินค่อยๆป่องขึ้นอย่างงอนๆ
“เอาน่ามาซายะ หยวนๆหน่อยน่า วันนี้คุณคิโชวอินคงหิวนิดหน่อย ส่วนคุณคิโชวอินเองตอนนี้ก็ผอมขาวน่ารักอยู่แล้ว กินนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกมั้งนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันทานแค่นี้แหละค่ะ ขอตัว!”
หลังจากนั้นคุณคิโชวอินก็เก็บซองขนมไปทิ้งแล้วก็เข้าห้องนอนของตัวเองไป
.
.
วันรุ่งขึ้น ผมตื่นมาล้างหน้าแต่งตัวพร้อมกับบอกกำหนดการวันนี้กับมาซายะ ระหว่างรอมาซายะล้างหน้าแต่งตัว ผมไปเคาะประตูห้องคุณคิโชวอินแต่ไม่มีเสียงตอบรับ.. เมื่อผมลองบิดลูกบิดประตูดูก็พบว่าไม่ได้ล๊อกไว้.. ไม่ระวังตัวเลยนะคุณคิโชวอิน ผมก้าวเข้าห้องไปอย่างถือวิสาสะ ก็พบกับคุณคิโชวอินที่กำลังนอนหลับสนิท
ผมจ้องมองใบหน้ายามหลับของคุณคิโชวอินอย่างเงียบงัน ใบหน้ายามหลับสนิทของเธอนั้นดูน่ารักไร้พิษภัย ราวกับตุ๊กตาฝรั่งเศสที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างปราณีต จะดีแค่ไหนนะถ้าได้ตื่นขึ้นมาดูใบหน้านั้นในเช้าของทุกๆวัน..
“ชูสึเกะ นายอยู่ไหนน่ะ..”
“ชู่วว..”
ผมรีบเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากเพื่อส่งสัญญาณให้มาซายะว่าอย่าส่งเสียงดัง
“อะไรกัน ยัยนี่ยังไม่ตื่นอีกเรอะ”
มาซายะเดินมาแล้วพูดกับผมเสียงเบาๆ
“งืม.. ไม่เอาน้า… ไม่เอา…”
คุณคิโชวอินเริ่มขยับไปมา แล้วเอามือขยุ้มหัว.. เอามือขยุ้มหัว?
คุณคิโชวอินเริ่มเอามือขยุ้มหัวจนผมยุ่ง ทันใดนั้นมาซายะล้วงเอามือถือของเขาออกมาแล้วถ่ายคลิป
“มาซายะ ไม่เอาน่า เสียมารยาทน่ะ”
“มันน่าขำดีนี่นา คิกคิก” มาซายะเริ่มหัวเราะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหัวเราะหลังจากที่เราไปป่านั่น เอาเถอะ งั้นผมจะให้เขาทำตามใจซักวันละกัน
“อย่ายิงน้า…”
คุณคิโชวอินเริ่มดิ้นแรงขึ้นจนตกเตียงดังโครม
ผมรีบหันไปข้างหลังพยายามกลั้นขำสุดชีวิต ไม่ไหวแล้ว ปวดท้อง
"คิ คิ คิโชว อุ้ป ฮ่าๆๆๆ มะ ไม่ไหวแล้วฮ่าๆๆ"
"คะ คุณ คุณคิโชวอิน อุ้ป ตอนคุณนอน คิกคิก น่ารักดีนะครับ อื้อ"
คุณคิโชวอินตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่ดูไม่จืดเลย
"คิโชวอิน ดูนี่สิ สภาพเธองี้ดูไม่ได้เลยอ่ะฮ่าๆๆ ผมกระเซิงไปหมดฮ่าๆๆ"
เตรียมตัว…
"มาซายะ คิก อย่าพูดแบบนั้นสิ มันเสียมารยาทนะ"
ผมพยายามห้ามมาซายะไม่ให้ขำไปมากกว่านี้เพราะดูจากสีหน้าของคุณคิโชวอินเริ่มโมโหแล้ว
“พวกนาย ตาย!!”
คุณคิโชวอินหยิบหมอนที่อยู่ใกล้ตัวมาวิ่งไล่ฟาดพวกเราไปรอบห้อง เช้านี้ทั้งผมและมาซายะได้หัวเราะวิ่งหนีคุณคิโชวอินอย่างสนุกสนาน เช้านี้จึงเป็นเช้าที่สดใสที่สุดสำหรับผมเลยล่ะ
ตอนที่ 4
หลังจากเราทานมื้อเช้าเสร็จ เราก็เดินทางไปชมซากุระบานที่สวนสาธารณะใกล้ๆ ระหว่างทางก็มีซากุระบานอยู่ข้างทางประปราย
“ท่านคาบุรากิ ท่านเอ็นโจดูซากุระสิคะ ดูแล้วชวนให้ใจดูสงบยังไงก็ไม่รู้นะคะ”
“นั่นสินะ ซากุระตอนกลางวันเนี่ยสวยงามน่ามองไปตลอดก็จริง แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืน..”
“พอเลยค่ะท่านเอ็นโจ หยุดพูดแค่นั้นแหละ ท่านคาบุรากิคิดว่ายังไงบ้างคะ”
“... ซากุระบานเหมือนตอนที่..สารภาพรักกับทาคามิจิเลย..”
อุหวา ดันไปกระตุ้นต่อมเศร้าของคาบุรากิเข้าแล้วไง
“ร รีบไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวคนจะเยอะหาที่นั่งดูซากุระดีๆไม่ได้น้า ฮะๆๆ”
ฉันรีบดันหลังคาบุรากิให้ถึงที่หมายไวๆ
ถึงสวนสาธารณะที่เราจะมาดูซากุระกันแล้ว โชคดีที่มาเร็วจึงมีที่ว่างดีๆให้ชมซากุระอยู่เต็มเลย เราเลือกที่นั่งตรงที่จะดูซากุระได้ชัดๆที่นึงแล้วจัดการปูผ้าและนั่งดูซากุระ
อ่าา..ซากุระตอนกลางวันเนี่ยยังไงก็ดูดีกว่าจริงๆด้วย แต่รู้สึกเหมือนขาดอะไรซักอย่างไป
“เดี๋ยวฉันขอตัวไปซื้อชาซักครู่นะคะ ท่านทั้งสองอยากฝากซื้ออะไรมั้ยคะ”
“อ๊ะ ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ท่านเอ็นโจนั่งรอกับท่านคาบุรากินี่แหละ”
อย่าตามมาเลยเหอะ คือฉันจะไปซื้อแผงลอยอ่ะ ไม่อยากให้สองคนนั้นเห็นเลยว่าจะไปซื้อแล้วแอบกินที่ไหนซักที่แล้วค่อยกลับมา
“ไม่ได้หรอก ให้ผู้หญิงไปซื้อคนเดียวในที่ต่างถิ่น ถ้าเกิดอันตรายผมจะได้ช่วยทันไง นะ”
“ไม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเองก็โตแล้ว”
“ฉันจะไปด้วย…”
จู่ๆคาบุรากิก็โผล่งขึ้นมา แล้วลุกขึ้น
“ไหนๆก็ไปแล้วไปด้วยกันสามคนเลยละกัน”
ใครขอให้ตามมาหรอคะ..
หลังจากตกลงกันได้ เราสามคนก็เดินไปตู้ขายน้ำ ระหว่างทางก็มีร้านแผงลอยตั้งบ้างประปราย กลิ่นหอมของอาหารต่างๆโชยเข้าจมูกมา.. น่ากินจัง ฉันอดทนมองไปที่ร้านทาโกะยากิบ้าง ยากิโซบะบ้าง ปลาหมึกย่างก็น่าอร่อย อุ๊ นั่นยากิโทรินี่นา
ฉันมองที่ร้านแผงลอยที่ตั้งขายอยู่ด้วยตาเป็นประกาย เอ็นโจจู่ๆก็พูดขึ้นมา
“หืม.. มีร้านแผงลอยตั้งอยู่ด้วยหรอเนี่ย”
“ใช่แล้วค่ะปกติแล้วเวลามีจัดงานเทศกาลอะไรมักจะมีร้านแผงลอยตั้งขายบ้างน่ะค่ะ”
“คุณคิโชวอินนี่รู้อะไรเยอะจัง เคยมางานอะไรแบบนี้หรอ”
คิดว่าฉันเป็นใครล่ะ ถ้าเป็นชาติที่แล้วก็มาบ่อยนะ แต่คิโชวอินเรย์กะน่ะ..
“ไม่เคยหรอกค่ะ แต่ก็พอรู้มาจากในเน็ตบ้าง..”
“ผมอยากลองกินร้านแผงลอยบ้างจัง คุณคิโชวอินมีอะไรแนะนำบ้างมั้ยนะ”
โอ้ เอ็นโจอยากลองทานอาหารแผงลอยหรอเนี่ย
“งั้นฉันแนะนำเป็นร้านนี้เลยค่ะ!”
ฉันพาเอ็นโจกับคาบุรากิไปร้านนู้นร้านนี้ รู้ตัวอีกทีเราก็มีของกินเต็มทั้งสองมือ เมื่อเรากลับมาที่เดิมก็พบว่ามีคนแย่งที่นั่งเราไปซะแล้ว
“ฉันไม่นั่งเบียดกับคนอื่น”
นิสัยคุณชายของคาบุรากิออกมาอีกแล้ว อืม ทำไงดีที่นั่งแถวนี้ก็เต็มหมดแล้ว
“งั้นไปนั่งตรงม้านั่งตรงนั้นมั้ย”
เอ็นโจเสนอพร้อมกับชี้ไปที่ม้านั่งที่ว่างตัวนึง พวกเราจึงไปนั่งแล้วทานอาหารอย่าง เอร็ดอร่อยพร้อมกันชมซากุระไปด้วย ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้ทานกันอย่างสงบเท่าไหร่ เพราะมีหลายสายตาจับจ้องมาทางเรา เป็นเพราะเอ็นโจกับคาบุรากิเจิดจ้าเกินไปไงล่ะ ทีฉันหันไปมองผู้ชายคนอื่นหันหน้าหนีกันเป็นแถว ความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหนหรอคะพระเจ้า ทำไมต้องส่งความเพอร์เฟ็คไปอยู่กับสองคนนี้ด้วย แบ่งให้หนูบ้างไม่ได้หรอคะ
พวกเรานั่งทานอาหารจนหมดก็กลับที่พักพร้อมเช็คอินและเตรียมเดินทางกลับ คงต้องบอกลาทริปเดินทางสั้นๆแล้วล่ะ ถึงตอนขามาออกจะทุลักทุเลไปบ้าง แต่โดยรวมก็สนุกดีได้กินอาหารอร่อยๆด้วย หลังจากนั้นก็มีรถทางบ้านคาบุรากิมารับพวกเรา
ได้กินทั้งข้าวเช้าและอาหารแผงลอยไปเยอะ พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อนแถมเดินจากโรงแรมไปสวนสาธารณะก็เหนื่อยนิดหน่อย ฉันทนความง่วงไม่ไหวก็ผลอยหลับไป…
คาบุรากิ talk
หลังจากที่ผมถูกทาคามิจิปฏิเสธ ผมก็ได้ออกเดินทางแล้วก็เกิดเรื่องอะไรหลายๆอย่าง บางทีผมคงจะทำเพื่อนสนิทผมเดือดร้อนอีกแล้วล่ะ แต่ครั้งนี้ค่อนข้างต่างจากครั้งที่แล้วที่ผมเดินทางเพราะยูริเอะอยู่บ้าง ตรงที่มีคิโชวอินมาด้วย เพราะคิโชวอิน ทำให้ผมฟื้นตัวเร็วกว่าตอนที่อยู่กับชูสุเกะ ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ แต่ตอนนั้นเราเงียบมากๆเลยล่ะ เวลาผ่านไปแต่ละนาทีก็น่าอึดอัด แต่พอคิโชวอินมาก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ถึงผมจะเศร้าอยู่ แต่เธอก็ยังทำให้ผมสามารถหัวเราะได้ ผมถูกเธอช่วยไว้ครั้งที่สองแล้วสินะ ผมคิดขณะที่นั่งรถกลับบ้าน คิโชวอินนั่งข้างๆผมและกำลังหลับอยู่ คงจะเหนื่อยหน่อยสินะ ที่ต้องมาตามฉันกลับบ้าน ขอบคุณนะ ทั้งชูสึเกะ ทั้งเธอด้วย พวกนายเป็นเพื่อนที่ดีกับฉันจริงๆ.. เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ผมหลับตาลงและหลับตามคิโชวอินไปอีกคน
ทิ้งท้าย!
เอ็นโจ talk
ผมมองวิวข้างกระจกไปเรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกทีก็เจอภาพที่น่าตกใจขึ้นมา..
มาซายะกำลังนอนซบหัวคุณคิโชวอินอยู่
เอ๋ อะไรกันมาซายะ ผมไม่ยอมให้คุณแย่งคุณคิโชวอินไปหรอกนะ หลังจากนั้นผมก็เอนหัวลงบนหัวคุณคิโชวอินที่นั่งตรงกลางแล้วหลับตาลง..
จบล่ะนะ เดี๋ยวจะวาดแฟนอาร์ตมาฝาก แล้วก็มีพลอตสำหรับฟิคอันต่อไปด้วย ช่วงนี้ไฟมันลุกพรึ่บมาก
https://www.pixiv.net/en/artworks/79959204 แฟนอาร์ตในพิกซีฟงานดีมากเลยเพื่อนโม่งงงง ่าดกหซกหส
แท้งกิ้วโม่งฟิก เป็นฟิกที่น่ารักมากเลย
,งงว่ะ
คุณบาริสต้ากับเด็กเสิร์ฟในร้านของเขา ถ้าหลีเด็กเสิร์ฟจะโดนเอากาแฟผสมสลอดให้กินป่ะวะ 5555555
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1240618589486374912?s=19
เอาฟิคสั้นมาฝากค่า ได้ไอเดียตอนกินแฮชบราวน์
_______
<<มุมมองของตัวประกอบในร้านแมคโดนัลด์>>
ผมเป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆคนหนึ่ง ชื่อว่า A ผมกับเพื่อนอีกสองคน B และ C เป็นสมาชิกชมรมฟุตบอล เนื่องจากวันนี้พวกผมไม่มีชมรมหลังเลิกเรียนเพราะสมาชิกในทีมสองคนอาหารเป็นพิษ พวกเราเลยพากันไปร้านแมคโดนัลด์ก่อนกลับบ้าน
ระหว่างที่พวกเรากำลังคุยสัพเพเหระ C ก็สะกิดผมกับ B ให้มองคนหนึ่ง ผมมองข้ามไหล่ของ B ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไป เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูไม่เข้ากับร้านฟาสต์ฟู๊ดแบบนี้เป็นอย่างมาก เธอคนนั้นมีผมม้วนที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูนตาหวานที่น้องสาวของผมชอบอ่านไม่มีผิด ถ้าไปเล่าให้ฟังเธอต้องบอกว่า “นี่พี่คิดว่ายุคนี้จะมีนักเรียนม.ปลายที่ไหนเขาทำผมทรงนั้นอยู่หรอ” แน่ๆเลย
“ ชุดนักเรียนสีขาว..อืมมม “
B ที่หันหลังไปมองพึมพำออกมาและหันหน้ากลับมาคุยกับพวกผมต่อ
“ ถ้าจำไม่ผิดชุดนักเรียนแบบนั้นมีแต่ซุยรันโรงเรียนเดียวเท่านั้นแหละ “
“ โรงเรียนไฮโซนั่นน่ะนะ? “
ผมตอบกลับไป
“ แปลกใช่มั้ยล่ะ ฉันเลยสะกิดให้พวกนายดูเนี่ยแหละ “
C พูดพลางหยิบเฟรนช์ฟรายด์จิ้มซอสมะเขือเทศ
“ ไม่น่าเชื่อเลยนะ แถมยังมากันตั้งสามคน พวกนายดูผู้ชายอีกสองคนนั่นสิ โอโห ผู้หญิงมองกันแทบทั้งร้านแล้วมั้ง “
B พูดตอบ เมื่อผมมองไปที่โต๊ะอื่นๆก็เห็นด้วยตามนั้น สาวๆหลายคนในร้านพากันเหลือบมองไปที่โต๊ะของเด็กซุยรันสามคน ผู้หญิงสองคนโต๊ะข้างๆผมก็เหมือนจะเลือกกันอยู่ว่าคนไหนดีกว่ากัน
“ ฉันว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นก็น่ารักไม่เบาเลยนะ น่าแปลกใจที่ไม่มีผู้ชายคนไหนเหล่มองเธอเลย “
ผมบอกกับเพื่อนทั้งสองออกไปตามความคิดของตัวเอง น่าแปลกใจจริงๆ เพราะเธอคนนั้นทั้งผิวขาว รูปร่าง ท่าทางดูดี แต่กลับไม่ดึงดูดสายตาผู้ชายในร้านสักคน
“ ผมสว่านแบบนั้นน่ะนะ ให้ความรู้สึกโบราณยังไงก็ไม่รู้ นึกถึงรูปของคุณยายสมัยสาวๆเลย “
C พูดออกมาแล้วก็หัวเราะ ในขณะที่ B ก็หัวเราะตามไปด้วย
“ ผมว่าน่ารักดีออก “
เพื่อนของผมได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาอีกชุดใหญ่ พลางเเซวว่าผมรสนิยมแปลก ชอบอะไรที่ดูเก่าแก่แบบนั้นหรอ
หนวกหูน่าพวกนาย
หลังจากนั้นพวกเราก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นต่อจนทานอาหารเสร็จ แต่จู่ๆ B ก็พูดขึ้นมา
“ A ลองไปขอเบอร์เด็กผมม้วนคนนั้นดูสิ “
“ บ้า ใครจะไปทำแบบนั้นกัน เด็กซุยรันมีแต่พวกคุณหนูใช่มั้ย ถ้าเกิดฉันไปจอเบอร์จริงๆ อาจจะเจอบอดี้การ์ดที่แอบเฝ้าคุ้มครองอยู่นอกร้านหิ้วไปซ้อมก็ได้ “
ผมปฏิเสธความคิดบ้าๆของเพื่อน ใครจะไปกล้ากันเล่า อีกแย่าง ถึงผมจะอยู่ชมรมฟุตบอลแต่ก็ไม่ได้ป๊อปแบบในการ์ตูนหรือในหนังสักหน่อย เมื่อเดือนก่อนก็พึ่งถูกหักอกจากเด็กผู้หญิงในห้องมาเอง
“ เพ้อเจ้อน่า คุณหนูตระกูลไฮโซนะ ไม่ใช่ยากูซ่า “
“ ใช่ ลองดูก็ไม่เสียหายนี่ อาจจะโชคดีมีแฟนเป็นสาวซุยรันก็ได้นะ “
B พูดเสริมและเอื้อมมือมาตีไหล่ผมเป็นการกระตุ้น
ด้วยความที่ทนแรงกดดันจากเพื่อนไม่ไหว ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เข้าไปที่หน้าเพิ่มรายชื่อใหม่เตรียมนำไปยื่นให้เธอกดเบอร์โทรศัพท์ หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปทางโต๊ะของเธอพร้อมเพื่อนทั้งสองคนที่เดินอยู่ด้านหลัง แต่ในระหว่างที่ผมเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งหันหลังมาทางผมเหลียวหลังมาพร้อมกับรอยยิ้มอันเยือกเย็นและรังสีที่ดูอันตราย ราวกับจะบอกว่า “อย่ามายุ่งกับเธอ”
เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงหยุดเดินและหันไปหาเพื่อนทั้งสองคน ซึ่งทั้งสองก็มองมาทางผมด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก พลางพยักเพยิดไปทางทางออก
พวกเราจึงเปลี่ยนทิศทาง เดินออกจากร้านไปโดยที่ผมยังไม่ทันได้ไปขอเบอร์โทรเธอ
_______
“ มีอะไรหรอชูสุเกะ เมื่อกี้ฉันเห็นนายหันไปหากลุ่มคนพวกนั้น “
มาซายะถามชูสุเกะด้วยความสงสัยที่เมื่อครู่เพื่อนของเขาหันไปหากลุ่มคนที่เขาไม่รู้จัก
“ เปล่า ไม่มีอะไร “
ชูสุเกะตอบกลับแบบไม่ใส่ใจอะไร และหันหน้าไปยิ้มให้เรย์กะด้วยรอยยิ้มเลียนแบบน้องชาย
“ คุณคิโชวอินทานเฟรนช์ฟรายด์ส่วนของผมด้วยมั้ยครับ “
_______
“ เมื่อกี้พวกนายเห็นใช่มั้ย “
ผมถามเพื่อนและได้การพยักหน้าเป็นคำตอบว่าพวกเขาก็เห็นรอยยิ้มนั่นเหมือนกัน
“ น่ากลัวชะมัด ดูท่าบอดี้การ์ดของเด็กผมม้วนนั่นจะเป็นคนนั้นนะ “
B ตอบ
“ เฮ้อ โชคดีชะมัดที่รอดมาได้ เมื่อกี้ฉันเกร็งสุดๆเลยล่ะ “
C พูดเสริมขึ้นมา
“ ดูท่าฉันจะไม่มีดวงกับผู้หญิงล่ะนะ “
ผมบอกเพื่อนทั้งสองออกไปแบบนั้น
“ จะว่าไป ตอนมองไกลๆยังไม่เห็น แต่เมื่อกี้มีจังหวะที่เธอหันเลยเห็นพอดี ดูเหมือนว่าผมม้วนของเธอจะมีช่อนึงที่ม้วนกลับข้างด้วยแหละ “
เมื่อนึกไปถึงจังหวะเมื่อกี้ ผมเธอม้วนผิดด้านอยู่ช่อนึงจริงๆนะ ทั้งๆที่คิดว่าเป็นคุณหนูที่ทุกอย่างเพอร์เฟคตั้งแต่หัวจรดเท้าแท้ๆ
“ พูดเพ้อเจ้ออะไรของนาย ไป กลับบ้านกัน “
ผมหัวเราะออกมา บางทีอาจจะเป็นเรื่องไร้สาระที่คิดไปเองตามที่ C พูดก็ได้ ว่าแล้วก็เดินกลับบ้านไปพร้อมกับเพื่อนทั้งสองคน
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ผู้จัดการหญิงของชมรมฟุตบอลของผมก็เรียกผมไปคุยที่ห้องแต่งตัวหลังซ้อมเสร็จ
“ A คุง ฉันแอบชอบเธอมานานแล้ว กรุณาคบกับฉันด้วยค่ะ! “
ดูท่าผมก็มีดวงด้านผู้หญิงเหมือนกันเเฮะ
กระทู้นี้จะเต็มตอนไหนวะ...
อยากอ่านฟิกคาบุเรย์กะอีก
จู่ในหัวกูก็มีเรือผี เรย์กะxทาคากิ วะ จากความกลัวสู่ความรัก ฟฟฟฟฟฟฟ
ฟิคชั่นหลายเรื่อง ก็ดีกว่านิยายบางเรื่องอีกหนาาาา ขอบคุณที่แต่งฟิคสนุกๆมาให้อ่านโม่งฟิค
ตามอ่านเรื่องนี้สมัยตอนม.2ถึงม.4 คาดว่าจะรอท่านฮิโยโกะมาอัปเรื่อยๆ จนถึงมหาลัยหรือรอไปเรื่อยๆจนกว่าจะมาอัป เป็นเรื่องนิยายญี่ปุ่นที่ชอบที่สุด และเป็นนิยายที่รออ่านนานมากไม่ว่าจะรออีกกี่ปี เป็นแรงบันดาลให้เราแต่งนิยายเรื่องอื่น มีความสุขจริงๆ //สารภาพความในใจเนื่องจากว่างไม่มีอะไรทำจริงๆแล้ววว
ขอบคุณโม่งฟิก ตามไปอ่านหลายๆเรื่องสนุกมากเลย
อ่านแล้วอ่านอีกเป็นรอบที่ N เฮ้ออออ
อยากเรียนภาษาญี่ปุ่น
บากะรีน่ามีอนิเมะแล้ว คิดถึงท่านเรย์กะจังเลย
คิดถึงฟิคจัง แต่งฟิคเวียนเล่นกันอีกไหมเพื่อนโม่ง ;-;)/
dirty mind ตอน 4 มาแล้วจ้า
https://namelessfiction.food.blog/2020/04/11/dirty-mind4/
hint : วาคาบะเจอเรย์กะตอนกินอะไรอยู่
อ่านเรื่องเรย์โกะซัง แล้วแวบแรกเห็นนิสัยวาคาบะกับเรย์กะซามะฟิวชั่นกันกลายเป็นเรย์โกะ ถ้าเรย์โกะทำขนมได้กับนกขี้ใส่คือใช่แล้วละ 555
ตอนนี้กลับมาอัพต่อยังวะไม่ได้ตามนานเกิน
เพิ่งค้นพบกระทู้เหล่านี้ครั้งแรกเมื่อวานเสพยาวๆเลย555
Quarantine time ปิดทงปิดเทอมนี่ทำให้ไปไล่อ่านใหม่ ก่อนหน้านี้อ่านไปรอบเดียวและไม่เคยจิ้นอะไรได้เลย จนไปเห็นพวกคอมเม้นท์ในช่องนิยายเลยต้องอ่านใหม่ใส่ฟิลต์เตอร์สาวน้อยนี่แหละ จนพอจะเห็นอะไรบ้าง ยาวมาถึงนี่เลย
คือเพิ่งเคยเข้ามาเยือนโลกใบนี้แล้วตื่นเต้นแล้วก็สนุกมากๆ เห็นทุกท่านปล่อยฟิกด้วยความตั้งใจเลยอยากลองทำดูบ้างน่ะค่ะ คือภาษาเรายังไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรแต่ก็ลองพิมพ์จากฟิกที่อ่านแล้วอยากอ่านต่อดูนะคะ //ฟิคเยอะมากๆ จนยังอ่านไม่หมดเลย
ต่อจาก AU Hanahaki Verse
https://fanboi.ch/webnovel/7425/229-232
……………………………………………
Reika’s POV
หลังจากหนีบทสนทนาอันน่าอึดอัดด้วยความช่วยเหลือจากท่านพี่จากคาบุรากิและเอ็นโจวผู้มีสาวงามในอ้อมกอดมาได้ ฉันก็ไปรวมตัวกับท่านไอระและท่านยูริเอะเพื่อเขียนคำอธิษฐานในค่ำคืนวันทานาบาตะ
อืม ว่าแต่จะขออะไรดีน้าาาา
ขอให้บ้านคิโชวอินไม่ล่มสลาย
กรี้ดดด ถ้าเขียนแบบนั้นไปคนอื่นที่มาอ่านต้องนึกรู้แน่ว่าใครเขียน แล้วบางทีก็อาจจะเป็นเหมือนการร้อนตัวก็ได้นะ ว่าไปทำอะไรไม่ดีมาหรือเปล่าทำให้คิดแบบนั้น ไม่ได้ๆ คำขอนี้ต้องเอาไว้ไปเขียนในบ้านตัวเองเท่านั้นคนอื่นจะรู้ไม่ได้เด็ดขาด
กินเท่าไรก็ไม่อ้วน สุดยอดความปรารถนสบองลูกผู้หญิง
เจ้าบ้าคาบุรากิเป็นลูกเจ้าของงานนี้ด้วย ถ้าเจ้าตัวเห็นขึ้นมามีหวังถูกล้อเลียนเรื่องสัตว์เท้ากีบแหงมๆ
ขอให้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนฉันซะที~~
อย่างนี้มันก็จะเป็นการยอมรับถึงโชคชะตาอันเหี่ยวแห้งของตัวเองใช่ไหมมมม ท่านไอระกับท่านยูริเอะต้องเห็นแหงๆ น่าอาย น่าอายไปแล้ว
สุดท้ายไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรก็จบท้ายด้วย
ขอให้ครอบครัวคิโชวอินมีแต่ความสุข
เฮ้อออ คำขอนี้แหละเซฟสุดแล้ว
ก่อนที่จะแขวนคำอธิษฐานท่านไอระกับท่านยูริเอะก็มาขอดูจริงๆ แล้วก็หัวเราะคิกคักแซวฉันใหญ่
“เรย์กะจัง นี่รักครอบครัวจริงๆ เลยน้า~”
หันหลังไปก็เหมือนเห็นท่านพี่ยิ้มที่มุมปากด้วยล่ะค่ะ
ก็เลยหันไปกอดแขนท่านพี่ ขอออดอ้อนท่านพี่สักหน่อย
แหม แน่นอนล่ะค่ะ น้องรักท่านพี่ที่สุดอยู่แล้ววว
ระหว่างนั้นก็มีบริกรยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ท่านพี่ก็เลยเรียกเอาไว้ให้ ก็เลยรับเป็นเครื่องดื่มโนแอลกอฮอล์อะไรสักอย่างสีออกขาวๆ ตรงกับธีมสีเสื้อผ้าตัวเองในวันนี้ ด้านบนก็โรยด้วยกลีบดอกไม้เล็กๆน่ารักน่าประทับใจ พอชิมๆไปก็อร่อยดีเหมือนกันนะ เลยเผลอกระดกเอื้อกคำใหญ่ไปเล็กน้อย
แค่กๆ
อะไรไม่รู้ติดคอฉันค่ะ เลยรีบหยิบผ้าเช่นน่ามาแอบคายวัตถุปริศนาก็พบว่าเป็น...
...กลีบดอกไม้ในเครื่องดื่มนั่นเอง
ฉันรีบซุกผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอย่างว่องไวโชคดีนะที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
…………………………………………………………
คือตอนที่อ่านฉากเรย์กะซามะไอเป็นกลับดอกไม้นี่คือตอนแรกเห็นภาพเป็นอ้าปากหาวแล้วเผลอสำลักกลีบดอกไม้ในงานไม่ก็เผลอกินอะไรเข้าไปแน่ๆ พอไปอ่านย้อน อฟช ซีนนั้นเห็นมีคุณยุยโกะดื่มเครื่องดื่มในอิมเมจตัวเองเลยลองเขียนอันนี้ออกมาค่ะ //เราบ่นมากแต่งเรื่องได้น้อยขอโทษด้วยนะคะ อาจจะอ่านน้อยรอบเลยยังเข้าไม่ถึงตัวละครมาก บทเลยไม่ค่อยไหล
เอาๆๆๆๆ อยากอ่านฟิกเวียนนนน
ห้องนี้สุภาพจังเลย เหมือนกับกลุ่มผู้ดีในดงกุ๊ยอะ ชอบ
อยากลงฟิคด้วยอะ ช่วงโควิดนี่ว่างมาก กลับมาอ่านเจ้าแม่ซ้ำอีกรอบแล้วอยากงอกฟิค 55555 ทุกคนลงกันยังไงง
นี่ลงกี่รอบ ๆ มันก็ขึ้นเตือนว่า must between 5-4000 characters ตลอดเลยอะ ไม่ผ่านซักที ;;;;
ช่วงโควิคก฿ก็อยากแต่งฟิคเหมือนกัน นี่ว่างจนไม่รู้ทำอะไรแล้ว
อยากขายพล๊อตกาวๆ มิซึซากิอยากให้อำนาจ Pivoine กับสภานักเรียนสมดุลกันเลยเป็นแฟนหลอกๆกับเจ้าแม่ที่กำลังหาแฟนปลอมๆอยู่ พอผ่านไปผ่านมาจนครบกำหนดที่จะต้องเรียนจบต้องเลิกกันจริงๆ ท่านประธานดันรู้สึกรักไปแล้วแต่ก็สำนึกได้ว่าตัวเองกำลังหลอกใช้เจ้าแม่อยู่นะ เจ้าแม่ก็เห็นว่าเป็นแค่เพื่อยร่วมคานทองเท่านั้นเอง ชีวิตในช่วงมหาลัยนางเลยขอเลิกแล้วประกาศกับทุกคนว่าจะจีบเจ้าแม่ แบบเดียวกับรุ่นพี่โทโมเอะประกาศคบ นี่ประกาศจีบแทน
ขายกาว ไม่แต่งนะ
ใครจำฟิคที่เจ้าแม่มีลูกแฝดกับจอมมารได้ปะ
AUนั่นโคตรน่ากาวต่อเลย ยูกะมีคนตามจีบเยอะ แต่ยูตะ(แฝดชาย)คิดว่าลูกใครจะมาตามจีบ
พลอตใหม่ช่วงนี้ น่าจะมีเรื่อง COVID แบบจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าแม่และท่านๆทั้งหลาย55
แต่กาวต่ออันเก่าจะดีมากกก ค้างหลายเรื่อง
กูเคยคิดจะแต่งฟิคกาวๆช่วงโควิด ที่ซุยรันจัดโครงการการกุศลบริจาคเงินสู้โควิดให้โรงบาลบลาๆไรงี้ แต่บริจาคอย่างเดียวก็น่าเบื่อ เลยจัดอีเวนท์ประมูล ใครบริจาคเงินสูงสุดจะได้ไปเดทกับหนุ่มป๊อบของโรงเรียน มือวางอันดับหนึ่งก็คือคาบุ ส่วนอันดับสองก็อาริมะอะไรแบบนี้ มีท่านพี่กับอิมาริมาเป็นแขกรับเชิญกิตติมศักดิ์ ส่วนเอ็นโจไหวตัวทันชิ่งหนีไปเป็นพิธีกรแทนเลยไม่มีใครสามารถประมูลไปเดทด้วยได้ แต่เจ้าตัวพร้อมแหกกฎให้เจ้าแม่ไปเดทด้วยได้ตลอดเวลา แต่พอนึกขึันได้ว่าโควิดเขาไม่ให้มาชุมนุมกัน พล็อตก็เลยต้องพับเก็บไปแบบขี้เกียจแต่ง ใครเอาไปแต่งต่อก็ตามสบาย กูขายพล็อตให้ 555555555555555
I'm just a bachelor
I'm looking for a partner
Someone who knows how to ride
Without even falling off
Gotta be compatible
Takes me to my limits
Girl when I break you off
I promise that you won't want to get off
If you're horny lets do it, ride it, my pony
My saddle's waiting, come and jump on it
If you're horny lets do it, ride it, my pony
My saddle's waiting, come and jump on it
Sitting here flossing
Peepin' your steelo
Just once if I have the chance
The things I would do to you
You and your body
Every single portion
Send chills up and down your spine
Juice flowing down your thigh
If you're horny lets do it, ride it, my pony
My saddle's waiting, come and jump on it
If you're horny lets do it, ride it, my pony
My saddle's waiting, come and jump on it
If we're gonna get nasty baby
First we'll show and tell
Till' I reach your pony tail, oh
Lurk all over and through you baby
Until we reach the stream
You'll be on my jockey team, oh
If you're horny lets do it, ride it, my pony
My saddle's waiting, come and jump on it
If you're horny lets do it, ride it, my pony
My saddle's waiting, come and jump on it
If you're horny lets do it, ride it, my pony
My saddle's waiting, come and jump on it
If you're horny lets do it, ride it, my pony
My saddle's waiting, come and jump on it
If you're horny lets do it, ride it, my pony
My saddle's waiting, come and jump on it
Ride it, saddles
Dc (they throw the best damn party)
New York (they throw the best damn party)
Va (they throw the best damn party)
I'm 'bout to wreck your body and say turn the party out
La (they throw the best damn party)
Detroit (they throw the best damn party)
Chi-town (they throw the best damn party)
I'm 'bout to wreck your body and say turn the party out
Get it started, it's the Irvin up in here, a.K.a Magoo
Yo G! Yo, whassup Rob
Whassup Ginuwine? Chillin' dawg
Buncha honeys up in this place
Nah, not like it man. Yo man, whassup witchu boy?
I'on know man, I'm just chillin man, I'on know about all this shit
Ah, I know whassup, boy, you lookin' for that one girl, right
Yup, tryna get that one
Yo man, I just want one, tired of all this, man, I just want one girl, man
Ayo, what's up baby? Yo lemme have, uh, two, two of those
Two of those Heinekens, yeah like that
Alright yo, thanks my man (hi Ginuwine)
So anyways man, waht I'm saying is, man
All these honeys and you can't find you one (hi Ginuwine)
You know what we gon' do, this what we gon' do, we gon' slam these right here
And then I'ma go talk to Tisha Campbell
Where she at? And you gon' go find your wife
I'm finding my wife
Bye dawg, I'm out (they throw the best damn party)
(They throw the best) Damn, I'm sick of being alone
>>565 มือใหม่หัดแต่ง ต่อสั้นๆนะ AU Hanahaki Verse
Enjou’s POV
ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังจะตาย...
ท่านพ่อท่านแม่ต่างสั่งให้ผมรีบไปผ่าตัดเอาดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในใจผมออกไปให้เร็วที่สุด
อย่างช้าที่สุดที่ผมจะรอดตายได้ คือต้องผ่าตัดภายในอีก 1 เดือนหรืออาจจะสั้นกว่านั้นถ้ามีเหตุการณ์อะไรไปกระตุ้นให้ดอกไม้งอกงามเร็วขึ้น แพทย์เลยสั่งให้ผมหลีกเลี่ยงการพบปะกับเจ้าของดอกไม้ของผมเพื่อไม่ให้อาการกำเริบ
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ถ้าหากไม่ได้พบเธอคนนั้น มันก็ไม่ต่างจากความตายอยู่ดี…
“แค่กๆ” กลีบดอกไม้ที่ออกมา ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้องนอนของผม ช่างหอมหวาน ทำให้ผมนึกถึงเธอคนนั้น
ก๊อกๆ
“ท่านพี่ครับ เข้าไปได้ไหมครับ” ยูกิโนะยื่นศีรษะเล็กๆ ผ่านประตูห้องเข้ามา ใบหน้าเล็กๆ แสดงถึงความกังวล จนทำให้ผมต้องระบายรอยยิ้มอ่อนๆ ออกมา
“เข้ามาสิ” ผมเอาทิชชูห่อเศษดอกไม้ที่ปนไปด้วยกิ่งเล็กๆ และดอกอ่อน ลงในถังขยะข้างเตียงที่เต็มไปด้วยดอกไม้เช่นกัน ก่อนที่ยูกิโนะในชุดนอนจะมานั่งจุ่มปุ๊กอยู่เตียงเดียวกับผม
“ท่านพี่ทำไมไม่รีบรับการผ่าตัดให้เร็วที่สุดล่ะครับ” คิ้วเล็กย่นเข้าหากันอย่างน่าเอ็นดู ให้ตายเถอะนี่ผมทำให้เด็กประถมต้องมากังวลเรื่องของตัวเองนี่ไม่ได้เรื่องซะเลยนะ…
“นั่นสิน้า เรื่องบางเรื่องทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ตัดใจง่ายๆ มันก็ทำไม่ได้หรอก”
ทั้งๆที่รู้ว่าเธอคนนั้นมีคนที่รักอยู่แล้ว รักมาก…จนเป็นโรคเดียวกันกับผม รู้ทั้งรู้ว่าคนๆนั้นไม่ใช่ผม แต่ถ้าจะให้ตัดใจ ละทิ้งความรู้สึกและความทรงจำทั้งหมดนี้ไป มันก็เท่ากับผมตายไปจริงๆ ตายไปโลกที่สวยงามที่มีเธอคนนั้น
“งั้นท่านพี่จะเอายังไงต่อหรอครับ” ใบหน้ายู่ยี่เหมือนจะร้องไห้ เมื่อเหลือบสายตาไปยังซากดอกไม้ที่เต็มถัง เฮ้อ เจ้าเด็กนี่ ถึงจะแสบยังไง แต่ก็รักผมมากแหละนะ
“พี่ไม่ยอมตายง่ายๆ หรอกน่า แต่ขอเวลาหน่อยแล้วกัน” ใช่ ในเมื่อเธอรักคนอื่น ผมก็แค่ต้องทำให้เธอรักผมเท่านั้น
ขอโทษนะ คุณคิโชวอิน… ต้นอ่อนของดอกไม้ต้นนั้นในใจเธอ เหมือนว่ามันจะต้องตายแล้วล่ะ…
…………………………………
อุกรี้ดดด ขอโทษนะทุกคน ooc สุดๆ แต่เห็นความดราม่าก่อนหน้าแล้วมากกร๊าวใจมากค่ะ ขอโทษด้วยที่อิฉันไร้ความโชโจว แต่งฉากหวานแหววไม่เป็นด้วยโฮฮฮฮ
กูขอถาม พวกมึงอ่านนิยายท่านเรย์กะกันจากไหนวะะะ อยากจิอ่านใหม่ซักหน่อย เว็บแมวมันมีถึงตอนสามเก้าเอง
มาอัพฟิคจ้า
AU Hanahaki Verse [3]
ความเดิมตอนที่แล้ว >>>/webnovel/7425/229-232
-----------------------------
สิ่งแรกที่รับรู้เมื่อลืมตาตื่นขึ้นคือเพดานสีขาวสะอาด แสงไฟที่นุ่มละมุนไม่บาดตา และกลิ่นยาฆ่าเชื้อจางๆอวลอยู่ในบรรยากาศ แทรกมาด้วยเสียงเครื่องมืออะไรบางอย่างดังขึ้นเป็นระยะๆในความเงียบงัน
ชูสุเกะนอนจ้องเพดานนั่น พยายามทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ ดูจากเครื่องมือและสายระโยงระยางที่โยงมาหาตัวเขา ท่าทางจะเป็นโรงพยาบาลที่ไหนซักแห่ง
ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือความรู้สึกวิงเวียนและอาการแสบร้อนที่ลำคอ เลือดสดๆที่ไหลออกจากปากพร้อมๆกับกลีบดอกไม้ มันหยดลงกับพื้นเมื่อเขาล้มลง ใบหน้ารับรู้ได้ถึงผิวสัมผัสที่เย็นชืดของพื้นกระเบื้องและกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในโพรงจมูกและปาก
อาการอาเจียนเป็นดอกไม้ครั้งนี้คงจะรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆถึงได้ต้องนำมาส่งที่โรงพยาบาลแบบนี้
ชูสุเกะกลอกตามองไปรอบๆ นิ่งไปเมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งกอดอกหลับตาอยู่บนเก้าอี้อาร์มแชร์ที่อยู่ข้างๆเตียงคนป่วย
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือพ่อ
เหมือนพ่อรับรู้ว่าเขาตื่นแล้ว เพราะจากที่นั่งหลับตาอยู่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา สายตาสบประสานกันชั่วครู่หนึ่งก่อนที่พ่อจะลุกขึ้นและเดินมาข้างๆเตียง
“เป็นไงบ้าง”
มือของพ่อวางลงบนหน้าผากเขาเหมือนจะวัดไข้
“...พ่อ”
“ยังไหวรึเปล่า”
เขาผงกหัวเล็กน้อย ซึ่งพ่อเองก็พยักหน้ารับทราบ เดินออกไปสั่งงานกับเลขาที่ยืนรออยู่นอกห้องแล้วกลับเข้ามาข้างใน
“ต้องขอบคุณยูกิโนะที่แอบลุกออกจากเตียงตอนดึกไปหาแกที่ห้อง เราถึงได้พาส่งโรงพยาบาลทัน” พ่อพูดยิ้มๆ แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มตาม “แกหลับไปสองวันเต็มๆเลยนะ ยูกิโนะงอแงใหญ่ กลัวพี่ชายจะเป็นอะไรไป”
“งั้นเหรอครับ”
เลขาของพ่อกลับมาพร้อมกับแพทย์กลุ่มใหญ่ที่มาถึงก็เช็คนั่นเช็คนี่ดูวุ่นวายเล็กน้อย นายแพทย์ที่ดูอาวุโสที่สุดในกลุ่มรายงานอาการของเขาให้พ่อฟังที่ตรงมุมห้องไม่ให้เกะกะการทำงานของแพทย์คนอื่นๆ
ชูสุเกะได้ยินถ้อยคำแว่วๆที่ฟังไม่ได้ศัพท์อย่างเช่น “ผลเอ็กซเรย์” “...เรื่องอันตราย” “ผ่าตัด” แต่แค่นี้ก็เข้าใจได้ง่ายๆว่ากำลังจะเกิดอะไรกับตัวเขาในภายภาคหน้า
พ่อเหลือบมองเขาก่อนจะออกจากห้องไปกับคณะแพทย์พวกนั้น ทิ้งท้ายคำพูดเอาไว้
“พักผ่อนซะ”
ความเงียบสงบกลับมาสู่ห้องผู้ป่วยอีกหน
ชูสุเกะนอนเหม่อมองเพดาน พยายามทบทวนความทรงจำของตัวเองก่อนหน้า
มันเป็นค่ำคืนของงานปาร์ตี้ซัมเมอร์ที่มีมาซายะเป็นคนกำกับและควบคุมงาน ทุกอย่างออกมายิ่งใหญ่และงดงามราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย สมกับเป็นลูกชายของมาดามคาบุรากิผู้ที่นิยมการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ แขกที่มางานล้วนแล้วแต่ออกปากว่างานปาร์ตี้ซัมเมอร์นั้นหรูหราและอลังการยิ่งกว่าทุกครั้ง เอ่ยชมประธานที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงานกันไม่ขาดปาก
และเขาก็ได้เต้นรำกับเรย์กะ ชูสุเกะขอเธอมาตั้งแต่ครั้งที่ไปดูดอกไม้ไฟบนตึกระฟ้าด้วยกันแล้ว อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากซะทีเดียวหรอก แต่เป็นยูกิโนะต่างหากที่เอ่ยปากขอให้ “คุณพี่เรย์กะ” เต้นรำกับพวกเขาสองพี่น้อง และเธอก็ยอมตกลงง่ายๆ
ถ้าเป็นยูกิโนะขอร้องแล้วล่ะก็ เธอไม่เคยปฏิเสธเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ก็ควรจะเป็นค่ำคืนที่มีความสุข ทั้งสถานที่สุดพิเศษ บรรยากาศแสนหวานเต็มไปด้วยความโรแมนติคชวนฝัน งานเต้นรำหน้ากากในคืนพระจันทร์เต็มดวงก็ฟังดูดีมากเกินพอที่จะให้เคลิบเคลิ้มแล้ว
มันคือค่ำคืนของคู่รัก แต่ใจเขาเจ็บปวด หนามจากกิ่งก้านของดอกไม้บีบรัดหัวใจจนเป็นแผลเหวอะหวะเมื่อเห็นภาพที่เรย์กะเอาแต่มองเหม่อไปทางคู่เต้นรำอีกคู่ที่อยู่ในฟลอร์
นั่นคือคู่ของมาซายะและคุณทาคามิจิ
แม้จะมีหน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เกือบครึ่ง แต่เขาก็รู้ว่าเพื่อนเขามีความสุขขนาดไหนที่ได้เต้นรำกับผู้หญิงในดวงใจ
มาซายะได้เซ็ตทุกอย่างนี้ขึ้นเพื่อคนพิเศษเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือคุณทาคามิจิ
ตอนที่มาซายะเอาเรื่องนี้มาปรึกษา เขาคิดว่ามันค่อนข้างบ้าระห่ำและงี่เง่า ยอมจัดงานเต้นรำหน้ากากปิดบังใบหน้าเพียงเพื่อจะให้คุณทาคามิจิได้เข้าร่วมงานได้สะดวก แต่เห็นความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเพื่อนสนิทเขาก็ไม่มีอะไรจะไปทัดทาน เพราะอันที่จริงเขาก็กำลังทำเรื่องงี่เง่าอยู่เหมือนกัน
ชูสุเกะรู้มาว่ามีวิธีรักษาอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้หายขาดจากโรคบ้านี่ นั่นคือการที่คนที่เรารัก ต้องรักตอบ
ถึงตอนนี้เรย์กะอาจจะยังไม่รู้ตัว แต่เขาก็รู้ดีว่าเธอชอบใคร เพราะเขามองเธอมาตลอด
มันเป็นแค่ความต้องการฉวยโอกาสในระหว่างที่เธอยังไม่รู้ตัวถึงความรู้สึกของตัวเอง ถ้าเขาแทรกตัวเข้าไปในความสับสนนั่น เธออาจจะเปลี่ยนใจ ถึงเปอร์เซนต์ความเป็นไปได้จะต่ำกว่า 1 แต่เขาก็อยากจะลองดู
เหมือนกรรมจะตามสนองไวยิ่งกว่าที่คิด เพราะชูสุเกะก็ได้เรียนรู้ว่าใจคนไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ
เรย์กะดูจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก เอาแต่มองมาซายะเต้นรำกับคุณทาคามิจิ ไม่สนใจใยดีเขาที่เป็นคู่เต้นอยู่ตรงหน้า และรีบจากไปอย่างเร่งร้อนเหมือนกับไม่อยากมองเห็นภาพบาดตานั้น
ชูสุเกะรู้สึกว่ากิ่งก้านหนามแหลมได้แผ่ขยายไปทั่วร่าง ทิ่มแทงทุกส่วนจนเจ็บปวด แต่เจ็บที่สุดก็ตรงที่หัวใจ
เขาต้องข่มอาการไอจนกลับมาถึงบ้าน ยูกิโนะเองก็คงจะดูออกว่าเขากำลังแย่ ถึงได้แอบลุกหนีออกจากเตียงมาหาเขากลางดึก ก็ต้องขอบคุณยูกิโนะเพราะไม่อย่างนั้นเขาคงตายในห้องน้ำไปแล้ว
เช้าวันถัดมา ยูกิโนะก็มาถึง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยืนกรานว่าจะอยู่กับเขาจนกว่าจะหมดเวลาเยี่ยม มาซายะเองก็ยกเลิกกำหนดการหรืองานเลี้ยงทั้งหมดเพื่อจะมาอยู่กับเขา จะกลับไปในช่วงดึกของทุกวันและจะมาใหม่ในรุ่งเช้าเสมอ
อาการป่วยที่พยายามปิดบังมาเนิ่นนานก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป แม้มาซายะจะถามว่าใครคือสาเหตุแต่เขาหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถามนั่น
“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” ชูสุเกะยิ้มขื่นๆ “อีกเดี๋ยวก็ต้องผ่าตัดแล้ว...มันจะจบแล้วล่ะ”
มาซายะนั่งกอดอกและขมวดคิ้วใส่แบบไม่ชอบใจ
“จะยอมแพ้แค่นี้รึไง” เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบ มาซายะก็เดาะลิ้น “ทั้งที่ยังไม่เคยพูดออกไปเลยเนี่ยนะ”
ก็เพราะไม่ยอมแพ้แล้วยังไงล่ะ ถึงได้มานอนโรงพยาบาลแบบนี้
ชูสุเกะค่อนขอดอยู่ในใจ แต่เลือกตอบในสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมที่จะพูดที่สุด
“มันถึงจุดที่รู้ว่าต้องพอแล้ว ฝืนไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ มาซายะก็รู้นี่ว่าตอนยูริเอะเป็นยังไง”
“นั่น...มันไม่เหมือนกัน” มาซายะดูฮึดฮัดขึ้นมา “อย่างน้อยฉันก็ยังได้พูดความรู้สึกจริงๆ ถึงผลลัพท์มันจะแย่ แต่ก็ได้พูด ดีกว่ามาเสียใจทีหลังว่าตอนนั้นทำไมถึงไม่ทำแบบนั้น”
“อ้อเหรอ” เขาลากเสียงยานคาง “แล้วตอนนี้ได้ไปพูดกับคุณทาคามิจิรึยังล่ะ”
มาซายะสะดุ้งหน่อยๆ แต่แววตาเริ่มปรากฎรอยขุ่นเคืองเพราะโดนจี้ใจดำ
“ที่ยังดึงเวลามาจนป่านนี้เพราะกลัวซ้ำรอยเดิมกับยูริเอะไม่ใช่รึไง โอกาสก็มีตั้งมากมายแท้ๆแต่ไม่ยอมทำ...รออะไรอยู่ล่ะ”
“ชูสุเกะ แก…”
พอเห็นมาซายะอับจนถ้อยคำได้ ชูสุเกะก็ยิ้มเยาะ
“เรื่องตัวเองไปเอาให้รอดก่อนแล้วค่อยมาสอนคนอื่นเถอะ มาซายะ”
เขาคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวแล้วนอนหันหลังให้เป็นเชิงว่าไม่อยากจะพูดอะไรอีกต่อไป มาซายะก็ทำได้แค่เดินออกจากห้องไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
ชูสุเกะรู้ตัวว่าพูดแรงเกินไปหน่อย เพื่อนเขาแค่หวังดีและอยากให้เขาซื่อสัตย์ตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ มันคือการให้กำลังใจในแบบของมาซายะ แต่เขาก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น มาซายะก็ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขามาลงเอยในที่แบบนี้อีกต่างหาก
ชูสุเกะไม่อยากนับมาซายะเป็นศัตรูหัวใจเลยสักนิด แต่มันก็ทำได้ยากยิ่งเมื่อนึกถึงสิ่งที่กรีดแทงหัวใจเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ภาพเรย์กะที่เอาแต่มองมาซายะทำให้เขารู้สึกโกรธแล้วก็เศร้าในเวลาเดียวกัน มันทำให้รู้สึกหงุดหงิดจนต้องหาที่ระบายออก ซึ่งเป้าหมายนั่นก็คือมาซายะที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
ความกรุ่นโกรธยังสุมอยู่ในใจไปจนถึงเวลาค่ำ ชูสุเกะต้องแกล้งทำเป็นยิ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่และน้อง อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากให้แม่เป็นกังวลมากนัก
พ่อมาถึงในเวลาค่ำเกือบจะดึกอย่างเคย เป็นเวลาที่ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว พ่อจะมาเพื่อฟังรายงานประจำวันจากแพทย์ อยู่เงียบๆในห้องกับเขา ดูเขาทานยาจากพยาบาล และกลับไปในเวลาที่ต้องปิดไฟเข้านอนทุกครั้ง
หลายคนคงคิดว่าเป็นความรักที่พ่อแสดงออกต่อลูก นักธุรกิจที่งานยุ่งแสนยุ่งก็ยังเจียดเวลามาเยี่ยมลูกชายที่ป่วยอยู่ แต่ชูสุเกะคิดว่าเหมือนเป็นการคุมขังและจับตามอง เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างเช่นหนีการผ่าตัดมากกว่า
ตอนนี้อาการเขาคงที่แล้ว คงเพราะไม่มีอะไรมากระตุ้นให้เกิดการไอขึ้นมาอีก พ่อก็ดูจะพอใจเป็นอย่างยิ่ง
การผ่าตัดของเขาถูกเลื่อนให้เร็วขึ้นมาอีกหนึ่งอาทิตย์ พ่อทุ่มเทเงินทองไม่อั้นเพื่อซื้อตัวนายแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านผ่าตัดโรคนี้ มีผลงานการันตีความสำเร็จมานับครั้งไม่ถ้วน และรับประกันว่าเขาจะหายดีก่อนจะเปิดเทอมแน่นอน
เวลาถูกนับถอยหลังไปเรื่อยๆ อีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาที่ต้องผ่าตัด ชูสุเกะนึกอยากอาละวาดกรีดร้องทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าเป็นการขัดขืน แต่ที่ทำจริงๆก็แค่นอนเซื่องซึมอยู่บนเตียงผู้ป่วยและไม่รู้สึกอยากอาหาร เวลาแม่กับน้องมาเยี่ยมก็ต้องฝืนทานเพราะไม่อยากให้ทั้งคู่เป็นห่วง
มาซายะเองถึงจะทะเลาะกันไปเมื่อหลายวันก่อน แต่ก็ยังมาอยู่กับเขาทั้งวัน พวกเขานั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปเรื่อยในเรื่องกีฬา หรือสถานที่เที่ยวหลังจากนี้ ระมัดระวังที่จะไม่ไปแตะต้องประเด็นที่จะทำให้ขุ่นเคืองกันอีก
การที่มาซายะกับยูกิโนะมาขลุกอยู่กับเขาทั้งวันก็มีข้อดีอยู่อย่างคือเขาจะได้ไม่ต้องอยู่ตามลำพังกับยุยโกะที่บางทีก็พ่วงคาซึรางิมาด้วย ถ้าเวลานั้นเขาก็จะหลับหรือไม่ก็แกล้งหลับเพื่อจะหนีความน่ารำคาญใจให้พ้นๆ
ทั้งมาซายะและยูกิโนะก็ให้ความร่วมมือเต็มที่เพราะรู้ว่าเขาไม่อยากคุยกับสองคนนั้น หรือไม่มาซายะก็จะพาเขาไปเดินเล่นตามที่ต่างๆในโรงพยาบาล ออกจากห้องสี่เหลี่ยมของห้องพักผู้ป่วย ดูวิวบนสวนดาดฟ้าของโรงพยาบาลอะไรไปเรื่อย
“จะว่าไป ยัยคิโชวอินไม่เห็นมาเยี่ยมเลย”
ชื่อของเรย์กะที่หลุดออกมาจากปากของมาซายะทำเอาเขาหัวใจกระตุกไปเล็กน้อย หนามจากกิ่งก้านดอกไม้กระทุ้งไม่ให้เขาลืมว่าเธอมีอิทธิพลต่อเขาแค่ไหน
“เพื่อนเข้าโรงบาลแบบนี้ไม่มาเยี่ยม ใช้ได้ซะที่ไหน” มาซายะควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดหน้าจอเมล์เหมือนกำลังจะพิมพ์ส่งไปหาใครซักคน
“จะพิมพ์เมล์ไปหาคุณคิโชวอินเหรอ”
“ก็ใช่นะสิ” เพื่อนของเขาพยักหน้าหงึกหงัก นิ้วก็ขยับจิ้มแป้นพิมพ์ไม่หยุด “จะให้ส่งเมนูอาหารประจำวัน แล้วก็จะบอกให้มาเยี่ยมนายพรุ่งนี้ด้วย ….เฮ้ย!”
มาซายะโวยวายเสียงดังเมื่อถูกดึงโทรศัพท์ออกจากมือ ชูสุเกะกดลบข้อความที่บอกให้มาเยี่ยมเขาด้วย ให้เหลือแต่ข้อความที่ทวงถึงเมนูอาหารที่ทานตอนไดเอทแล้วกดส่งไปทั้งอย่างนั้น
“ทำบ้าอะไรของนายห๊ะ”
“ไม่ต้องหรอก” เขาส่งมือถือคืนเจ้าของ “บอกไปก็รบกวนกันเปล่าๆ”
“มันจะไปรบกวนอะไร ก็แค่มาเยี่ยมเพื่อน” มาซายะนิ่วหน้าใส่ข้อความป็อบอัพที่ขึ้นมาบนหน้าจอว่าเมล์ถูกส่งออกไปเรียบร้อย กดดูข้อความที่ถูกส่งให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ส่งอะไรแปลกๆออกไปให้ต้องมาแก้ตัวในภายหลัง
“ขอร้องล่ะ”
มาซายะละสายตาออกจากโทรศัพท์แล้วหันมามองเขา ท่าทางอึ้งๆ
“ชูสุเกะ …..หรือว่านาย”
เมื่อเขาไม่ตอบอะไรอีก มาซายะก็พ่นลมหายใจออกมา ดูท่าทางสับสนแบบเห็นได้ชัด
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ”
“ไม่รู้สิ” ชูสุเกะส่ายหน้า “อาจจะตั้งแต่ประถมเลยก็ได้มั้ง”
พวกเขานั่งคุยกันบนสวนดาดฟ้าจนถึงตอนค่ำ มาซายะถามเขาละเอียดยิบในเรื่องนี้ คุยกันถึงสาเหตุว่าทำไมเขาถึงได้ชอบเรย์กะ มันเหมือนได้ฉายภาพย้อนวันคืนเก่าๆเกี่ยวกับคิโชวอิน เรย์กะที่เขาจำได้
เขายังจำเด็กผู้หญิงผมม้วนในชุดนักเรียนประถมซุยรันได้ดี มันกระจ่างชัดเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ เธอเหมือนตุ๊กตาเจ้าหญิงที่เขาเคยเห็นในร้านขายของเล่น จำเด็กผู้หญิงผมม้วนที่เต้นรำกับพี่ชายในงานปาร์ตี้ซัมเมอร์ จำเรื่องที่มาซายะบังคับให้เธอช่วยง้อยูริเอะ จะเป็นยังไงนะถ้าวันนั้นเธอตามพวกเรามาซื้อกระดาษเขียนจดหมายด้วยกัน เราอาจจะสนิทกันเร็วกว่านั้นรึเปล่า จำภาพที่เธออุ้มกระต่ายเล่นตอนไปทัศนศึกษาได้ หลังจากนั้นเขาก็เรียกเธออยู่ในใจว่ากระต่ายขาวตลอด จำเรื่องที่เธอเป็นคณะกรรมการจัดงานกีฬาสีคู่กันกับเขา ภาพที่เธอทำงานธุรการจิปาถะอย่างขยันขันแข็งช่างน่าเอ็นดูในสายตาเขาเหลือเกิน จำภาพที่เธอเหยียบอึกวางที่นารา มาซายะขำก๊ากเลยล่ะเรื่องนี้ จำเหตุการณ์ที่เขาทวงบุญคุณกับเธอและจบลงด้วยการที่เธอต่อยท้องเขา หมัดนั่นหนักน่าดู ไม่สมกับเป็นมือเล็กๆของกระต่ายเลย จำได้ว่าซื้อเทียนที่เธอทำมาเก็บไว้ในตู้ด้วย มันเหมือนเป็นสมบัติอีกชิ้นของเขาเลยก็ว่าได้
ยิ่งไปกว่านั้นชูสุเกะก็ยังจำได้ว่าเขาโกรธแค่ไหนที่ได้รู้ว่าเธอชอบโทโมเอะคนนั้น เขายังไม่ยอมรับกับตัวเองด้วยซ้ำว่าชอบเธอ แต่เขาก็โกรธ จำได้ว่าเขาพยายามวิ่งแซงมาซายะตอนที่รู้ว่าสายตาเธอจับจ้องพวกเขาอยู่ ถึงจะเป็นแค่การซ้อมวิ่งแข่งแต่เขาก็อยากให้เธอได้เห็นภาพเท่ๆที่ได้รับชัยชนะไม่ใช่แค่คนที่ได้อันดับสองตลอดเวลา จำได้ว่าตอนเห็นเธอใส่ชุดหนูครั้งแรกเขาตะลึงแค่ไหน พอมาตอนพ่อบ้านแกะก็เกือบจะท้วงออกไปว่าเธอต้องใส่ชุดกระต่ายสิ และเขาก็หายใจไม่ทั่วท้องที่ได้เห็นเธอใส่ชุดกิโมโนที่รวบผมให้เห็นต้นคอขาวๆ ชูสุเกะต้องห้ามตัวเองอย่างยิ่งยวดในการไม่ให้คิดว่าอยากทำรอยจูบลงบนนั้น พอรู้ว่าเธออยากดูหิ่งห้อยใกล้ๆเขาก็ลงทุนไปจับให้ด้วยตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยทำแบบนี้เพื่อใครมาก่อน เรย์กะคงไม่รู้หรอกว่าเขามีความสุขขนาดไหนที่ได้เห็นว่าเธอใช้ผ้าขนหนูแบบเดียวกับเขาเป็นของเข้าคู่กัน มันเหมือนเป็นไอเท็มคู่รัก แม้ว่าความสุขนั้นจะไม่ยั่งยืนเพราะมาซายะซื้อมาใช้ตาม แถมเธอก็ไม่ยอมเอาผ้าผืนนั้นออกมาใช้อีกเลย
ชูสุเกะจำเรื่องที่ตัวเองยืนหลังขดหลังแข็งในครัวเพื่อฝึกซ้อมเทลาเต้อาร์ตรูปกระต่ายเพราะอยากให้เธอได้ทานฝีมือเขาเองในงานโรงเรียน และช็อคไปเลยตอนเห็นเธอคนลาเต้อาร์ตทิ้งแบบไม่ไยดีเลยสักนิด เมื่อได้ทานอาหารฝีมือเธอครั้งแรกในงานวันเกิดยูกิโนะ เขาแอบจินตนาการไปไกลถึงเธอใส่ชุดผ้ากันเปื้อนอยู่หน้าเตา เป็นภรรยาที่ทำอาหารให้เขาทาน ตอนที่เธอเอาช็อคโกแลตมาให้ยูกิโนะ เขาก็ตั้งความหวังว่าซักวันเขาอาจจะได้จากมือเธอบ้าง เรย์กะคงจินตนาการความโกรธของเขาไม่ออกตอนที่เธอถูกใส่ร้ายในคดีล็อกเกอร์ และเขาสาบานกับตัวเองว่าจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอ อย่างเช่นการกำจัดซึรุฮานะที่คอยพูดจาให้ร้ายเธอไม่หยุดหย่อน
ความรักทำให้เขาดูเหมือนไอ้โง่ที่ใช้แต่อารมณ์นำหน้าเหตุผล ชูสุเกะไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้โกรธได้เวลาที่เธอไปใกล้ชิดผู้ชายคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นมาซายะ คุณอิมาริ หรือมิซึซากิ ในหัวเขามีแต่คำถามว่าทำไม ทำไมเธอต้องซื้อของฝากให้ผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ชายด้วยล่ะ ทำไมเธอกับมาซายะต้องนั่งใกล้ชิดกันขนาดนั้นในการอ่านนิตยสารหนึ่งเล่ม ทำไมเธอจะต้องไปอยู่กับเจ้าประธานนักเรียนนั่นในทุกๆเช้าเพื่อจะหาคนร้ายที่กลั่นแกล้งคุณทาคามิจิ และเขาก็เกลียดตัวเองมากด้วยที่ทำแต่เรื่องงี่เง่า พูดจาโหดร้ายประชดประชันที่น่าจะทำให้เธอเกลียดขี้หน้าเขาเพิ่มขึ้นอีก เธอคงไม่รู้ว่าหลังจากเขาพูดจางี่เง่ากับเธอ เขาไอเป็นกลีบดอกไม้หนักแค่ไหน
ถึงจะต้องเจ็บปวดแต่เขาก็ยังเอาตัวเองไปใกล้ชิดเธออยู่ดี เขาชอบที่จะเห็นเธอทานอาหารอย่างมีความสุข มาการองกลิ่นเชอร์รี่ที่เขาไม่ค่อยชอบ แต่พอเห็นเธอทานดูน่าเอร็ดอร่อยในห้องสโมสรแล้วเขาก็อยากจะทานมันบ้าง เขามองเธอทานอย่างตั้งใจจนรู้ว่าเธอไม่เคยทิ้งขว้างอาหารแม้แต่ครั้งเดียว ก็เลยต้องแก้ต่างให้มาซายะที่กล่าวหาเธออย่างไม่เป็นธรรมสักหน่อย โอโคโนมิยากิที่ไปทานด้วยกันสามคนก็อร่อยเป็นพิเศษ ชูสุเกะชอบเวลาที่เธอมองมาอย่างชื่นชมตอนที่เขาสอนการบ้านให้ ทั้งในสโมสรและในร้านกาแฟ มันทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองว่าเป็นที่พึ่งให้เธอได้ อยากให้เธอพึ่งพาเขามากกว่านี้ อยากให้มีปัญหาอะไรก็บอกกล่าวเพราะเขายินดีจะช่วยจนสุดความสามารถ
เพราะเขาชอบเธอ ทั้งเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ความสุขกับความเศร้าที่เกิดขึ้นและอยู่ในความทรงจำล้วนแต่มีความหมาย เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเขา
แต่ทั้งหมดนี้กำลังจะหายไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังการผ่าตัดเขาคงจะจำอะไรพวกนี้ไม่ได้อีกแล้ว และเรย์กะก็จะเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นปี เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความหมายใดๆกับเขาอีกต่อไป และเขาก็สามารถที่จะมองดูเธอแต่งงานไปกับคนที่เธอรักโดยที่ไม่ต้องมีอาการไออย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้
เขาอาจจะไปงานแต่งของเธอเป็นมารยาททางสังคมแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะเธอไม่ได้มีความสำคัญกับเขานัก อีกทั้งเขาคงแต่งกับยุยโกะตามที่ทางบ้านกำหนดให้ ตอนแรกชูสุเกะอาจจะไม่ได้รักเธอ แต่อยู่ๆกันไปเขาก็คงรักขึ้นมาเอง
ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สิ่งที่ควรจะเป็นโดยที่ไม่ต้องมีใครเจ็บปวดและได้ผลประโยชน์กันทุกฝ่าย
“นายไม่คิดจะบอกยัยนั่น...”
“ไม่มีประโยชน์หรอก”
ชูสุเกะยิ้มอย่างเคย พอเห็นเพื่อนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่อย่างไม่เห็นด้วยก็อธิบายต่อ
“คุณคิโชวอินน่ะ เธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ผมพูดไปก็มีแต่จะสร้างความอึดอัดให้เปล่าๆ พอผ่าตัดเสร็จผมก็จะลืมเรื่องนี้ แต่เธอต้องอยู่กับคำสารภาพรักจากคนที่เธอไม่ได้ชอบ มันคงกระอักกระอ่วนน่าดู”
เขาไม่ได้บอกว่าคนที่เรย์กะชอบคือใคร แต่อีกไม่นานมาซายะก็คงจะรู้เอง
“...ปล่อยไปแบบนี้จะดีเหรอ”
“ดีสิ” เขาพยักหน้า เมื่อไอออกมาอีกหน กลีบดอกไม้สีขาวก็พรั่งพรูออกจากปาก “แบบนี้ล่ะ ดีที่สุดแล้ว”
ใช่แล้ว นั่นคือทางที่ดีที่สุด เป็นทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเรื่องทั้งหมดนี่ได้ เขาต้องยุติเรื่องบ้าๆนี่ได้แล้ว
มาซายะเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็เรียกชื่อเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
“นายร้องไห้...”
“มาซายะ”
เขาตอบกลับด้วยเสียงที่แผ่วเบายิ่งกว่า
“บอกหน่อยสิ ผมควรจะทำยังไงดี”
มาซายะเองก็ไม่มีคำตอบ ได้แต่มองเขาด้วยสายตาที่หลากหลายความรู้สึกและนั่งเงียบๆอยู่อย่างนั้น
ชูสุเกะพร่ำบอกกับตัวเองว่านี่คือทางที่ดีที่สุด ถ้าเขาเป็นฝ่ายลืมเรื่องนี้เองมันก็จะจบที่ไม่มีใครต้องเจ็บทั้งนั้น แต่ดอกไม้ที่เบ่งบานในร่างกายกลับคอยทิ่มแทงหนามใส่ ราวกับจะสั่งให้เขาจดจำความเจ็บนี้ให้ฝังลึกลงไปถึงกระดูก และบังคับไม่ให้ลืมความทรงจำพวกนั้นไปได้ง่ายๆ
เขาไม่อยากลืมเรย์กะ ไม่อยากเข้ารับการผ่าตัด แต่ก็ไม่เห็นหนทางอื่นที่จะแก้ไขสิ่งที่เป็นอยู่ได้เลยสักนิด
-------------------------
ทีแรกว่าจะให้จบพาร์ทนี้ แต่กูติดนิสัยบรรยายยืดๆยาวๆเลยจบไม่ลงซักที ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง
แต่ตอนหน้าก็จบแล้วจริงๆจ้า
ฟิคดีมากกก เเต่ก็เศร้ามากก ฮือออออออ สู้ๆค่ะโม่งฟิค ;;-;;)<3
กูขอโทษโม่งฟิคไว้ก่อนเลย แต่กูซึ่งถึงตอนที่เอ็นโจนึกถึงเจ้าแม่ใส่ผ้ากันเปื้อนทำอาหาร กูแบบหลุดขำ ไม่ไหวว่ะ แน่ใจแล้วเหรอนาย55555555 คนที่จะทำอาหารจริง ๆ น่าจะเป็นเอ็นโจ ฟฟฟ
แตความจริงมันเศร้ามาก ;_; ท่านเอ็นโจจจ เป็นกำลังใจให้นะคะ หวังว่าจะจบดี
ขอนุญาตลงกาวช่วงเก็บตัวนะคะ ;---; เพิ่งแต่งฟิคเรื่องนี้ครั้งแรก น่าจะOOC แน่นอน555555555555
เมื่อคิมิดอลเป็นการ์ตูนติดเรท
-----------------
ตอนที่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคิโชวอิน เรย์กะ--นางร้ายในการ์ตูนผู้หญิงที่มีตอนจบไม่สวย ฉันก็แทบจะร้องไห้
ยังไม่พอแค่นั้น ฉันยังจำได้อย่างแม่นยำว่านี่เป็นการ์ตูน 18+
ฉากที่ครอบครัวคิโชวอินตกต่ำจนเรย์กะต้องไปขายตัวเองเลี้ยงชีพยังคงติดตาฉันอยู่เลยค่ะ ขนาดพยายามลืม ๆ ไปแล้วก็ยังตามมาหลอกหลอนยัน
ตอนล้มป่วย แค่คิดว่าสักวันตัวเองจะกลายเป็นแบบนั้นก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาแล้ว
ดังนั้นฉันจึงเตรียมแผนการเพื่อหนีหายนะ
และโชคดีที่ครอบครัวคิโชวอินก็ อืม ดีอยู่นะคะ
แม้ทานูกิจะขี้โม้แต่ก็ชอบซื้อขนมมาฝากฉันบ่อยๆ(ถึงเวลาฉันบอกว่าจะทำอาหารตอบแทนให้บ้างจะชอบทำสีหน้าแปลก ๆ ก็เถอะ) ท่านแม่ผู้งดงามถึงจะเข้มงวดไปบ้างแต่ก็มีบางครั้งที่แพ้ลูกอ้อนยอมตามใจ ส่วนท่านพี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ คนอะไรกันช่างดีเลิศไปหมดทุกอย่าง หล่อเหลาสง่างามไม่พอ ยังหัวดีทำงานเก่งอีกต่างหาก
ถึงตอนแรกฉันจะแอบกังวลเรื่องจะได้พี่สะใภ้ก่อนวัยอันควรอยู่บ้าง แต่ข้างท่านพี่ยังมีท่านอิมาริคอยประกบติดไม่ห่าง เพราะงั้นน่าจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้งคะ อีกอย่างท่านพี่ของฉันแสนดีขนาดนี้ ถึงนี่จะเป็นการ์ตูนติดเรทแค่ไหนก็ฝ่าศีลธรรมเข้ามาไม่ได้หรอก ให้พูดตรง ๆ แล้วท่านอิมาริยังพอจะมีแววมากกว่าเหล่าหญิงสาวรอบตัวท่านพี่อีก
…
...เหมือนจะทะแม่ง ๆ นะคะ?
อย่างไรก็ตาม เอาเป็นว่าโดยรวมครอบครัวคิโชวอินไม่มีปัญหา(ถึงจะต้องคอยให้คำแนะนำสู่หนทางสุจริตแก่ทานูกิอยู่เนือง ๆ ก็ตาม) ฉันเองก็หมั่นเก็บหอมรอมริบ ทำตามแผนหนีหายนะอย่างเคร่งครัด เรื่องเรียนก็...อืม พยายามสุดความสามารถ ชีวิตต่อจากนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แต่ฉันดูถูกไอ้ตัวเลข18 มากเกินไป
(1)
ข้อแรกไม่สร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น, ข้อสองหมั่นออมเงิน, ข้อสามไม่ยุ่งเกี่ยวกับจักรพรรดิและคุณนางเอก, ข้อสี่สนับสนุนในความสัมพันธ์ของทั้งสองคน และข้อห้า หาเลี้ยงตัวเองให้ได้
ข้อหนึ่ง สอง สี่ ห้า ฉันก็ทำได้ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ---แต่มันดันมามีปัญหาในข้อที่สาม เพราะฉันเริ่มเกี่ยวข้องกับบากะรากิและเอ็นโจ ชูสุเกะครั้งแรกด้วยเรื่องท่านยูริเอะ
จะว่ากลัวก็กลัว จะว่าหงุดหงิดก็หงุดหงิด สมเป็นบากะรากิเลยนะคะ ตามติดทุกฝีก้าวเหมือนสตอล์กเกอร์แบบนี้ใครที่ไหนจะไม่อึดอัดเล่า
แม้ในการ์ตูนจะมีหลายฉากที่ตัดเข้าเรื่อง...อย่างว่าด้วยเหตุผลที่ทำให้ต้องขมวดคิ้ว แต่ก็พอหักล้างได้ด้วยมุมเท่ ๆ ของจักรพรรดิและฉากรักหวานซึ้ง ทำให้ฉันไม่ค่อยรู้สึกตะหงิดในเท่าไหร่
จนมาเจอกับคาบุรากิและเอ็นโจในชีวิตจริง ความคิดต่อคิมิดอลที่ผ่านมาก็พลิกตลบไปหะมด
ไม่เพียงแต่มีความสนใจเรื่องอย่างว่า---อะไรคือการที่บังเอิญไปได้ยินเสียงคนพลอดรักกันในซุยรัน? อะไรคือเด็กตัวเท่านี้เริ่มสนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ? อะไรคือมีชายสวมสูทดำถูกทำร้ายสะบักสะบอมนอนซมข้างถังขยะ เปล่งออร่าเหมือนกำลังรอให้ใครมาเก็บไป?….ที่ทำฉันอึ้งกว่านั้นคือถูกเก็บไปจริง ๆ ด้วยล่ะค่ะ ยังไม่นับเสียงแปลก ๆ ข้างพุ่มไม้ในสวนสาธารณะอีกนะคะ
ฉากที่ไม่ได้ปรากฏในการ์ตูนเห็นเต็มไปหมด เหมือนเอาหลายเรื่องมายำรวมกันอย่างไรอย่างนั้น
โอ๊ย ไม่ใช่ว่าที่โรงเรียนติดกล้องวงจรปิดหรือคะ ทำไมถึงกล้า...อืม กลางวันแสก ๆ พวกเธออายุเท่าไหร่กัน โรงเรียนคุณหนูไม่น่าจะมีใครกล้าทำเรื่องงามหน้าแบบนี้ไม่ใช่เหรอ
ฉันพยายามคิดในแง่ดีว่าอาจจะไม่ใช่เสียงนักเรียนแต่เป็นพวกอาจารย์แทนก็ได้---แต่ดีที่สุดที่คิดได้ก็ยังออกมาเลวร้ายอยู่ดี
ถ้าที่บ้านไม่มีท่านพี่แสนดีรออยู่ ฉันก็คงสติแตกแน่นอน
“คิโชวอิน เธอรู้หรือเปล่าว่าจูบแรกรสอะไร”
...หรืออาจจะสติแตกไปแล้ว
ดีที่เมื่อกี้ฉันกลืนน้ำชาลงคอทัน ไม่งั้นใบหน้าของจักรพรรดิวัยมัธยมคงเปียกไปหมดแน่นอน
“ทำไมถึงถามอย่างนั้นล่ะคะท่านคาบุรากิ”
อุตส่าห์หลบเลี่ยงเรื่องพวกนี้มาได้ตลอดแท้ ๆ โธ่เอ๊ย ไม่น่าวางใจเพราะเห็นคาบุรากิเงียบ ๆ เลย ถ้าในหัวไม่มีอะไรความคิดอะไรแปลก ๆ ก็คงไม่ได้ชื่อบากะรากิหรอก
ไม่ใช่สิ
...พวกเราเพิ่งจะอยู่ชั้นมัธยมเองนะ?
มาสนใจเรื่องแบบนี้ทำไมกันเล่า!
“ฉันได้ยินเพื่อนของยูริเอะถาม...แล้วยูริเอะก็ตอบยิ้ม ๆ บอกว่าน่าจะรสหวาน”
คาบุรากิทำหน้าหม่นเศร้า แต่ฉันสงสารไม่ลง นี่ยังไม่เลิกนิสัยสตอล์กเกอร์อีกหรือคะ แค่โดนหลบหน้ายังไม่เข็ดอีกหรือไง
ฉันมองซ้ายมองขวาเผื่อว่าจะมีใครมาได้ยินบทสนทนาชวนให้เข้าใจผิด แต่โชคดีที่ในสโมสรวันนี้คนน้อย พวกท่านยูริเอะก็ไม่อยู่ เอ็นโจเองก็ถูกวานไปช่วยงานอะไรก็ไม่รู้ ถือว่าปลอดภัยในระดับหนึ่ง
“เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันก็เห็นยูริเอะไปเที่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง...แต่ไม่ต้องห่วง! ฉันจัดการแทรกกลางเรียบร้อยแล้ว เจ้านั่นไม่มีทางได้อยู่กับยูริเอะสองต่อสองแน่นอน”
อา ตานี่เอาอีกแล้ว
“หลังจากนั้นฉันก็นึกถึงเรื่องจูบขึ้นมาได้เลยไปหาข้อมูลมา นี่คิโชวอิน รู้ไหมว่าลิ้นของคนเราเต็มไปด้วยประสาทมากมาย ในการจูบลิ้นจึงเป็นตัวกำหนดความเร่าร้อนของร่างกาย ยิ่งเมื่อเกิดการพัวพันของลิ้นที่...”
ฉันฟังเรื่องที่คาบุรากิเล่าด้วยสีหน้าจริงจังแล้วก็รู้สึกว่าขนมในมือพลันจืดชืดไร้รสชาติขึ้นมา รอยยิ้มสุภาพในตอนแรกแทบจะกลายเป็นรอยยิ้มแหยะ ๆ
ไม่น่าเลยค่ะ...ไม่น่าฝืนกลืนน้ำชาเลยจริง ๆ ถ้าพ่นใส่หน้าเขาตอนนี้จะยังทันไหมคะ
แล้วทำไมตาเอ็นโจหายหัวไปนานจัง
ฉันมองซ้ายมองขวาหาทางหนี คิดว่าหลังจากนี้จะหาทางหลบเลี่ยงไม่เจอหน้าบากะรากิอีกสักพักใหญ่
ในการ์ตูนจะมีฉากที่เรย์กะตามตื๊อเอาตัวเข้าล่อ ถึงขั้นวาดฝันจูบแรกกับจักรพรรดิ---แล้วก็ชิงจูบอันนั่นได้จริง ๆ ตอนแรกคาบุรากิเห็นว่าไม่สำคัญอะไรจึงเป็นแค่ความโกรธธรรมดาเท่านั้น แต่หลังจากเจอคุณนางเอกและได้จูบกัน ความโกรธนั้นก็กลายเป็นไฟนรกเมื่อรู้ว่าเรย์กะทำอะไรลงไป กลายเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คิโชวอินมุ่งสู่หายนะ
แค่คิดก็ปวดท้องขึ้นมาแล้ว
ในขณะที่กำลังหาทางหลบเลี่ยงสารพัดและกำลังจะลุกหนี คาบุรากิก็ดึงแขนเสื้อฉันเอาไว้ก่อน
“...คิโชวอิน”
ทำไมทำเสียงแปลก ๆ อย่างนั้นคะ แล้วจะหน้าแดงทำไม แสงอาทิตย์ข้างหลังที่ชวนตาพร่านั่นอีก อย่าบอกนะคะว่าสกิลพระเอกทำงาน??
โอ๊ย ปวดท้องๆๆๆๆ
“ถ้าฉันรู้อาจจะมีเรื่องคุยกับยูริเอะก็ได้ เพราะงั้น...”
ใครเขาชวนคุยเรื่องพรรค์นั้นกัน!
ฉันปวดท้องจนอยากจะร้องไห้ กำลังจะพูดปฏิเสธ แต่เสียงกลับไม่ออกสักคำ ยิ่งกว่านั้นในหัวยังมีเสียงสัญญาณเตือนร้องดังไม่หยุด ยิ่งอยากพูดหรือคิดหาทางปฏิเสธมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดังเหมือนเปิดลำโพงใส่ข้างหู
…เสียง?
ฉันชักจะรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เมื่อคำปฏิเสธไม่ได้ คำพูดกลาง ๆ กำกวม ๆ ก็ใช้ไม่ได้ คราวนี้ฉันจึงลองพูดคำว่าตกลงในใจดู
“ตก---”
คาบุรากิขมวดคิ้ว “ตกอะไรคิโชวอิน พูดให้จบสิ”
…
ฉันแทบจะน้ำตาร่วง
เมื่อกี้ฉันแค่คิดคำว่าตกลง แต่ปากกลับขยับไปเอง เสียงเตือนก็หายไปแล้ว ถึงหัวจะไม่ดีแค่ไหน แต่ใบ้ชัดเจนขนาดนี้ไม่รู้ก็คงแปลกแล้วล่ะค่ะ
ฉันเห็นเอ็นโจเดินเข้ามาในสโมสร พอได้จังหวะจึงกระชากแขนเสื้อที่คาบุรากิจับไว้แล้วรีบวิ่งหนีออกมาทันที
เสียงเตือนในหัวเริ่มร้องดังอีกครั้ง
ฉันคิดว่าไม่เป็นอะไรหรอก...ถึงจะต้องทนรำคาญนิดหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไปทำเรื่องบ้า ๆ มุ่งสู่เส้นทางหายนะนั่น ถ้าโชคดีเสียงนี้ฉันอาจจะหลอนไปเอง อีกไม่กี่วันคงจะหายไปแน่นอน
ฉันพยายามทำตัวปรกติ พยายามควบคุมไม่ให้สติแตก พยายามใช้ชีวิตโดยมีเสียงเตือนดังตามติดตลอดทั้งวัน
แต่แล้วความพยายามทุกอย่างก็พังลง
เมื่อเย็นวันนั้นท่านแม่ของฉันตกบันได
(2)
ท่านแม่ต้องยิ้มเพื่อไม่ให้ท่านพ่อเป็นกังวล ท่านพี่เองก็รีบกลับมาดูอาการ
และแม้คุณหมอจะบอกว่าโชคดีที่เป็นบันไดไม่กี่ขั้น อาการข้อเท้าแพลงจึงไม่ได้รุนแรงนัก พักเท้าอีกสักเดือนสองเดือนก็คงหายดี แต่ก็ไม่มีใครยิ้มออกสักคน
ฉันตัวชา หายใจไม่ออก ท้องก็บีบรัดจนรู้สึกทรมาน แต่เพราะท่านแม่บอกว่าเวลายิ้มฉันดูน่ารักมากกว่า ต่อหน้าจึงต้องฝืนยิ้มให้เห็น แต่พอกลับเข้าห้องนอนได้ฉันก็กรีดร้องอัดหมอนแข่งกับเสียงในหัว
ฉันเอาแต่กอดตัวเองเป็นดักแด้อยู่อย่างนั้น นอนร้องไห้จนเลยมื้อค่ำ ร้องจนแทบจะไม่มีน้ำตา แต่เสียงในหัวก็ไม่มีวี่แววจะหายไปสักนิด
“เรย์กะ หิวหรือเปล่า ออกมากินอะไรก่อนดีไหม พี่ซื้อขนมมาด้วยนะ” ท่านพี่เคาะประตูห้องฉัน “พี่ไม่รู้ว่าน้องคิดหรือได้ยินอะไรมา แต่มันไม่ใช่ความผิดของน้องนะ”
ท่านพี่ยังยืนรออยู่หน้าห้องอย่างนั้นจนฉันต้องยอมโผล่หน้าออกไปให้โดนลากลงไปกินข้าว
อืม ซุปนี่ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะอร่อยนะคะ ช็อกโกแลตก็ด้วย ขอบคุณมากเลยค่ะท่านพี่ แม้ตอนนี้น้องจะไม่รับรู้รสอะไรเลยก็เถอะ
ท่านพ่อกับท่านแม่ลงมาเจอฉันพอดี และ---อา อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ หนูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แค่วันนี้รู้สึกไม่อยากอาหารเอง
“ลูกเหมือนจะเป็นไข้ เพราะงั้นพรุ่งนี้ก็หยุดพักสักวันเถอะนะ”
ฉันพยักหน้าทื่อ ๆ คิดว่าดีเหมือนกัน พรุ่งนี้ท่านแม่ก็ไม่ได้ไปไหน จะได้อยู่เป็นเพื่อนคุยด้วย
เสียงในหัวน่ารำคาญจริง ๆ เลยค่ะ
(3)
รถที่ท่านพี่นั่งไปตอนเช้าหลบรถอีกคันที่พุ่งเข้ามาจนเสียหลักชนกับเสาไฟฟ้า
โชคดีที่มีถุงลมนิรภัยอาการจึงไม่สาหัส แต่ก็ต้องพักรอดูอาการ ท่านแม่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลาที่คุยกับท่านพ่อที่วันนี้ติดประชุม มีท่านอิมาริคอยปลอบอยู่ข้าง ๆ อีกที
และทั้งที่ฉันคิดว่าตัวเองร้องไห้เมื่อวานจนหมดน้ำตาไปแล้ว แต่ก็คิดผิด...คิดผิดพอ ๆ กับเรื่องเสียงในหัว
มันไม่ใช่ประสาทหลอน และไม่มีทางหายไป...ไม่หายไปถ้าฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง
ท่านแม่บอกให้ฉันไม่ต้องกังวล รีบกลับบ้านแล้วเข้านอนเพราะต้องตื่นไปโรงเรียน ท่านแม่จะเป็นคนจัดการที่เหลือเอง ท่านพี่จะต้องไม่เป็นอะไรเด็ดขาด และ---เหมือนจะพูดอีกหลายอย่าง
คนขับรถพาฉันมาส่งที่บ้าน
ฉันนั่งเหม่อลอยบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอยู่นาน ก่อนจะจำได้ว่าก่อนหน้านี้ท่านแม่คุยกับท่านพ่อถึงเรื่องไฟล์ทบิน
เสียงเตือนในหัวทำให้ฉันคิดได้แต่เรื่องไม่ดีเท่าไหร่
ฉันหยิบมือถือขึ้นมา กดข้อความหาใครบางคน---อา แย่จังเลยค่ะ พิมพ์ผิดพิมพ์ถูกไปหมดแล้ว ทำไมตาเบลอขนาดนี้เนี่ย หน้าจอก็ยังลื่นน้ำอีก แบบนี้จะสื่อสารกันรู้เรื่องไหมคะ
ฉันกดส่งข้อความ
จากนั้นก็ขึ้นห้อง ล้มตัวนอนบนเตียงด้วยความรู้สึกเหนื่อยไปหมด คราวนี้ไม่ต้องพยายามข่มตาหลับเหมือนเมื่อวานเปลือกตาก็หนังอึ้ง
------
ฉันงัวเงียตื่นเพราะเสียงเคาะประตู
ฉันอยากจะตะโกนบอกให้เงียบจะได้นอนต่อ แต่ลำคอก็แห้งผากจนเปล่งเสียงไม่ออกสักคำ แถมเสียงร้องในหัวก็ดังจนทำฉันเริ่มตาสว่าง
เหมือนคนที่อยู่หน้าห้องจะคุยอะไรกันสักอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้ามา
“คิโชวอิน เธอพิมพ์ภาษาบ้าอะไร”
ฉันมองใบหน้าอันคุ้นเคยสักพัก ก่อนสมองจะเริ่มประมวลได้ว่านี่คือคาบุรากิ มาซายะ--พระเอกของโลกบ้า ๆ นี่ ส่วนฉันคือคิโชวอิน เรย์กะ นางร้ายที่ทำยังไงก็หนีหายนะไม่พ้น
คุณแม่บ้านปิดประตูให้อย่างรู้งาน ส่วนคาบุรากิก็บ่นเรื่องที่ฉันไม่ลงไปรับ ไม่ไปเรียน พูดถึงท่านยูริเอะ ถามถึงท่านพี่ จับใจความได้คร่าว ๆ ว่าเขากับเอ็นโจตั้งใจจะไปเยี่ยมพรุ่งนี้ แต่ฉันก็ส่งข้อความมาเสียก่อน ทำไมส่งข้อความมาตอนดึก ๆ ดื่น ๆ แถมยังเป็นภาษาอ่านไม่ออก อย่าบอกนะว่าป่วยจนทำสมองหล่นหายไปแล้ว----เขาบ่น บ่น บ่น แล้วก็บ่น
ฉันจับใจความได้แค่นิดเดียว ก่อนจะถูกเสียงในหัวรบกวนจนรู้สึกเหมือนประสาทจะกิน
ฉันลุกขึ้นจากกองผ้าห่ม
“ห้องมืดชะมัด คิโชวอิน ทำไมเธอไม่เปิดไฟ---”
ด้วยความอัจฉริยะ คาบุรากิก็คลำหาจนเจอสวิตซ์ไฟจนได้
ไฟในห้องเปิดพรึ่บ คาบุรากิดูจะอึ้งไปเมื่อได้เห็นใบหน้าของฉันชัด ๆ หรืออาจจะอึ้งเพราะตอนนี้ผมฉันคลายออกจนไม่ได้เป็นเกลียวแล้วก็ได้
“ท่านคาบุรากิยังสงสัยเรื่องจูบอยู่หรือเปล่าคะ”
“ก็สงสัย แล้วทำไมเธอถึง…”
ฉันพยายามยิ้ม แต่ก็คงไม่ได้ดูดีเท่าไหร่
“ฉันก็กำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นถ้าท่านคาบุรากิไม่รังเกียจก็มาลองกันเถอะค่ะ”
“ฉันไม่ได้อยากบังคับเธอ” คาบุรากิทำหน้ายุ่ง “แล้วฉันก็อ่านเจอมาว่าจูบแรกมันสำคัญ...ขอโทษด้วยที่พูดอะไรอย่างนั้นไป เธอคงจะลำบากใจสินะ”
ฉันพยามยามเค้นสมองหาเหตุผลที่พอฟังขึ้น เสียงในหัวยังไม่หยุดร้องดัง ยิ่งคิดถึงเรื่องเที่ยวบินฉันก็ยิ่งอัดอั้นจนอยากจะร้องไห้ ช่องท้องบีบรัดจนเริ่มรู้สึกทรมาน
“สักวันฉันก็ต้องถูกจับหมั้นและแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักอยู่ดี” ฉันเกาะเสื้อเขา พยายามยิ้มแต่น้ำตาก็ไม่หยุดร่วงลงมาสักที “ก่อนจะถึงวันนั้นสู้มอบให้คนสำคัญไม่ดีกว่าหรือคะ...ได้โปรดเถอะค่ะ ท่านคาบุรากิ”
ฉันพยายามกลั้นสะอื้นแต่ไม่ได้ผล
คาบุรากินิ่งไปสักพักเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ก่อนจะโน้มใบหน้าใกล้เข้ามาจนริมฝีปากประกบกัน---ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว ฉันได้กลิ่นมิ้นต์จางๆ คาบุรากิขยับใบหน้าเปลี่ยนองศาอย่างเงอะงะ เลียกลีบปากล่างสลับกับขบกัดอย่างนั้นจนทำให้ฉันนึกถึง...หมา
คาบุรากิผละใบหน้าออกก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่---ฉันเหลือบเห็นว่าใบหูของเขาเป็นสีแดงจัด
“คิโชวอิน จูบแรกของฉันรสชาติเหมือนน้ำตาเลย”
เสียงเตือนในหัวหายไปแล้ว
“...หวานๆ แต่ก็เหมือนน้ำตามากกว่า” คาบุรากิพึมพำเสียงแผ่ว “คราวหน้าฉันจะไปลองศึกษามาให้มากกว่านี้...มันไม่ได้แย่ใช่ไหมคิโชวอิน...”
ฉันหัวเราะ แต่น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้มากกว่า “ค่ะ”
ขอบคุณโม่งฟิคทั้งหลายนะ สนุกมากๆ
เห็นมู้วิ่ง นึกว่าตอนใหม่จะมา...
คิดถึงท่านเรย์กะเหลือเกิน ตามแอคทวิตนึงที่เขายังคงวาดแฟนอาตท่านเรย์กะอยู่แล้วเศร้าใจ จะดองตรงไหนไม่ดอง ต้องมาดองตอนเอ็นโจเนียนชวนท่านเรย์กะไปเดทสำเร็จ
>>572 กู >>581 นะ กาวไม่เหมือนซะทีเดียวแต่ก็ประมาณนั้น
(1)
“คิโชวอิน เรย์กะ” นายตัวสำร- อะแฮ่ม ก็คืออาริมะคุงที่ฉันต้องพยายามคิดให้ชินสมอง เรียกชื่อฉันเสียงหนักแน่น แถมยังพูดออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด ต่างกับเสียงพูดสุนทรพจน์เรียบเรื่อยที่ยาวยืดจนฉันเกือบจะสัปหงกไปอยู่แล้ว
แต่หมอนั่นพึ่งจะพูดชื่อฉันออกไมค์ไป
ฉันที่ตื่นเต็มตาจ้องมองขึ้นไปสบตาเขาบนเวทีอย่างงุนงง
Pivoine ที่ได้รับสิทธิ์นั่งตรงด้านหน้าสุด เหมือนได้ดูคอนเสิร์ตกับบัตรระดับเฟิร์สตคลาส ถึงจะไม่เหมือนคาบุรากิที่นั่งตรงกลางพอดีเป๊ะแต่เก้าอี้ของฉันก็ถัดมาเพียงแค่เก้าอี้เดียวเท่านั้น ก็เห็นหน้าอาริมะคุงชัดไม่ต่างกันเท่าไหร่
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาไหวระริก เฮ้ คนที่จะต้องอายหรือกลัวอะไรมันคือทางนี้มากกว่าหรือเปล่า ฉันน่ะคือคนที่พึ่งจะถูกประธานนักเรียนเรียกชื่อเต็มออกไมค์ในวันจบนะคะ ส่วนนายคือคนที่พึ่งจะพูดชื่อฉันใส่ไมค์โดยเจตนา
แล้วนี่จะเรียกฉันเพื่อประจานหรือเปล่าเนี่ย อาริมะคุง ฉันน่ะยังไม่ทันจะหลับเลยนะคะ หรือต่อให้ฉันหลับไปจริง ๆ ก็น่าจะเห็นแก่ที่เราร่วมมือกันมาอย่างดีเกือบตลอดสองเทอมหน่อยสิคะ
หรือประเด็นที่สำคัญมากกว่านั้นคือ อาริมะคุง นายกำลังพูดในฐานะประธานนักเรียนนะคะ เขาให้ประธานนักเรียนมาพูดสุนทรพจน์จบ ไม่ได้ให้ใช้ไมค์เพื่อเรียกชื่อประจานพร่ำเพรื่อนะค๊า
ฉันสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาทางนี้ คาบุรากิที่นั่งติดกันก็ยังจะหันหน้ามาเลิกคิ้วใส่
อย่ามองฉันเลยค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาริมะคุงเรียกฉันทำไม ถ้าอยากรู้หันไปมองทางอาริมะคุงดีกว่านะคะ
“คิโชวอิน เรย์กะ” อาริมะคุงเรียกชื่อของฉันอีกครั้ง คราวนี้มันออกมาสั่น ๆ อย่างบอกไม่ถูก “ตลอดหลายปีที่เข้าซุยรันมา ผมเคยคิดมาตลอดว่า Pivoine น่ะมีแต่พวกหัวสูง หยิ่งยะโสและเห็นแก่ตัว”
เสียงหึ่ง ๆ ดังขึ้นมาทั่วฮอลล์ทันที แม้แต่คาบุรากิก็เบนหน้ากลับไปขมวดคิ้วจ้องอาริมะคุงแล้ว ฉันหวังว่านายจะรู้ตัวนะคะว่ากำลังทำอะไรอยู่ อย่าทำอะไรให้ความปรองดองประหลาด ๆ ที่ช่วยกันทำมาอย่างยากเย็นแตกหักลงเชียวนะคะ
หัวข้อเรื่องนี้มันยังคงเปราะบางอยู่
แต่หมอนั่นยังคงไม่สนใจ สองตาจ้องตรงมาที่ฉันแล้วก็ค่อย ๆ พูดต่อ “รุ่นพี่โทโมเอะบอกว่าผมน่ะใจแคบ” เหมือนเขาจะไม่สนใจว่าจะมีรุ่นน้องปีหนึ่งอีกหลายคนไม่รู้จักรุ่นพี่โทโมเอะ “บอกผมว่าไม่ใช่ทุกคนที่เป็นอย่างนั้นหรอกนะ อย่างเช่นคุณคิโชวอินที่อยู่ในปีผมน่ะก็ไม่ใช่คนอย่างนั้นเลย”
ขอบคุณนะคะรุ่นพี่โทโมเอะ ไม่เสียแรงที่เป็นรักแรกของฉัน
“ตอนนั้นผมก็ยังคงไม่เชื่อ จริงอยู่ที่คิโชวอินจะเป็นกรรมการห้องมาหลายครั้ง แต่ผมก็ยังคิดว่านั่นน่ะก็เพราะบ้าอำนาจไม่ใช่รึไงกัน” แม้ฉันจะรู้สึกแปลก ๆ ที่อาริมะคุงจะเรียกฉันว่าคิโชวอินที่ไม่ได้เรียกมานาน แต่คำพูดนั่นน่ะทำร้ายฉันกว่าหลายเท่าตัว บ้าอำน-บ้าอำนาจ? ฉันคนนี้นี่น่ะหรือคะ
“แต่คิโชวอินก็พิสูจน์ให้ผมเห็นว่าผมคิดผิด เธอเกือบถูกใส่ร้ายในเหตุการณ์ล็อกเกอร์ที่หลายคนคงจะจำได้ ผมขอประกาศความบริสุทธิ์ของคิโชวอินในตอนนี้ว่าไม่มีการบังคับหาแพะมาสารภาพอะไรทั้งสิ้น ความเชื่อของผมในตอนนั้นก็เริ่มสั่นคลอนแล้ว และต่อมาผมก็ยังได้อยู่ในเหตุการณ์พิเศษ...” อาริมะคุงลากเสียงยาว
หมายถึงเหตุการณ์สมาคมนิยมทีวีไดเรกต์สินะคะ แหม อย่างน้อยก็ทราบสินะคะว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะพูดในที่สาธารณะสุด ๆ ไปเลย “ตอนนั้นทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเธอไปจริง ๆ และก็ถือว่าอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างเป็นมิตร แม้ว่า Pivoine กับสภานักเรียนในตอนนั้นไม่เหมาะสมจะใช้คำว่าความสัมพันธ์อันดีมาบรรยายเท่าไหร่นัก”
“และต่อมาก็เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กัน จากคิโชวอินก็กลายเป็นเรย์กะสำหรับผม” อาริมะคุงชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ก็นับว่าเขามีทักษะการใช้คำพูดที่ยอดเยี่ยมไปเลย ใครฟังเข้าคงจะนึกว่าฉันกับอาริมะคุงคบกันจริง ๆ ใครจะรู้ว่าเขาไม่ได้โกหกและพวกเราก็ไม่ได้คบกัน
ก็แค่ความร่วมมือนิดหน่อยเท่านั้นเองน่า
ความสัมพันธ์อันมั่นคงระหว่างผู้ใหญ่บ้านคานทองกับลูกบ้านที่ดูเหมือนจะจองที่ดินไว้ตั้งแต่เกิดมาเป็นนายตัวสำรองยังไงล่ะ
“แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งมันช่างเปราะบางในตอนนั้น ทำให้ผมกับเรย์กะ...” เป็นการหยุดจังหวะที่ดราม่าสุด ๆ ไปเลย ฉันโห่ร้องพร้อมกับแอบชูนิ้วโป้งให้ในใจ “เอาเป็นว่าผมดีใจที่ในที่สุดในวันที่ผมจบวันนี้ความสัมพันธ์ของทุกฝ่ายดีขึ้นมากจริง ๆ เรย์กะ ในที่สุดพวกเราก็ทำได้แล้วนะ”
อาริมะคุงยิ้มกว้างสุด ๆ ส่งมาให้ ความเงียบโรยตัวลงมาชั่วขณะ แต่ก็มีใครไม่รู้ตะโกนว่าโรมิโอกับจูเลียตขึ้นมา มุมปากที่ส่งยิ้มกลับไปของฉันแข็งทื่อทันที ในมุมมองของคนอื่นก็คงเหมือนจะใช่อยู่นะคะ แต่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมความรักหว่างประธานนักเรียนกับ Pivoine ที่ทุกคนคิดน่ะความจริงมันคือการฮึดสู้ต่อโชคชะตาของนางร้ายกับตัวสำรองต่างหากเล่า
ใบหน้าของฉันของคงจะว่างเปล่าจนดูไม่ได้ นายตัวสำรองถึงได้หลุดหัวเราะขึ้นมาหนึ่งครั้งก่อนจะทำหน้าจริงจังขึ้นมา ทำเอาทุกคนพลอยเงียบตามไปด้วย
“แต่ว่าผมกำลังจะจบไปแล้ว พวกเราถึงจะติดมหาวิทยาลัยที่เดียวกันแต่ก็ต่างคณะ ผมถึงคิดได้ว่าบางทีต่อไปอาจจะไม่ได้เจอทุกคนในเกือบทุกวันอย่างนี้อีก ผมกับเรย์กะก็เหมือนกัน ผมกลัวจะไม่ได้เจอเธอในแบบตอนนี้”
อาริมะคุงนี่สมควรได้รางวัลตุ๊กตาทองจริง ๆ เลยนะ ตั้งแต่ต้นจนจบหมอนี่ยังคีพคาแรกเตอร์ไม่เปลี่ยนจริง ๆ
“เพราะงั้นเรย์กะ ผมไม่อยากให้คุณเป็นแค่เรย์กะของผมในโรงเรียนนี้”
...ฮะ ฉันได้ยินอะไรไปผิดรึเปล่า
“เรย์กะ ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนนี้ แต่ได้โปรดเป็นเรย์กะของผมตลอดไปเลยได้หรือเปล่า” นายตัวสำรองที่สบตาฉันมาพลันตลอดหลุบสายตาลงแล้วเบือนไปมองที่อื่น
“ผมขอโทษที่ผมทำอะไรไร้มารยาทแบบนี้โดยไม่ได้บอกคุณก่อน ผมรู้ว่าการเค้นคำตอบของคุณในที่สาธารณะมันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด เพราะงั้นผมจะรอเรย์กะที่เดิม ให้คำตอบกับผมในตอนนั้นก็แล้วกัน”
“เพื่อนนักเรียนทุกคน ผมขออภัยที่ใช้เวลาของทุกคนไป แต่ผมคงต้องใช้โอกาสนี้ก่อนจะไม่มีโอกาสอีก” อาริมะคุงยิ้มเศร้า ๆ “ทุกคนได้ให้ประสบการณ์อันมีค่ากับผม เปลี่ยนผมเป็นคนที่ดีขึ้น ใจกว้างยิ่งขึ้น ขอบคุณมากครับ”
อาริมะคุงยังคงพูดอะไรต่อท้ายอีกนิดหน่อย แต่สมองฉันขาวโพลนไปทั้งหมด ไม่รับรู้เสียงของหมอนั่นโดยสิ้นเชิง
“เมื่อกี้...คืออะไรน่ะ” แว่วเสียงนักเรียนผู้หญิงที่นั่งด้านหลังฉันดังขึ้น “ประธานนักเรียนขอท่านเรย์กะคบเหรอ ไม่ใช่สิ! พวกเขาคบกันอยู่แล้วนี่นา”
“ก็ขอหมั้นไว้ก่อนยังไงเล่า เธอไม่ได้ยินเหรอ เรย์กะของผมตลอดไปน่ะ”
“อ๊ะ นั่นสินะ นี่...”
แต่ยังไม่ทันจะได้ยินอะไรอีก คาบุรากิก็กระแอมออกมาเสียงดังลั่น แบบที่สองคนที่ซุบซิบกันอยู่นั่นคงจะสะดุ้งโหยง ขอบใจที่เป็นห่วงนะยะ แต่ฉันหวังว่าทีนี้นายก็จะรู้แล้วนะว่าเวลาทำอะไรโอเวอร์ไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องน่ะทำเอาอีกฝ่ายกระอักกระอ่วนได้ขนาดไหน
ทั้ง ๆ ที่ฉันด่านิสัยคาบุรากิแบบนั้นมาตลอดแท้ ๆ แต่หัวใจฉันดันมาโดขิโดขิกับละครที่อาริมะยังแสดงไม่เลิกอยู่บนเวทีนั่นจนได้ ฉันว่าถ้าจบไปแล้วนายนั่นเกิดทำธุรกิจล้มละลายหรือเกิดเบื่ออะไรขึ้นมา จะผันตัวไปเป็นนักแสดงก็น่าจะรุ่งแบบฉุดไม่อยู่แหง ๆ
คิโชวอินกรุ้ป (ถ้ายังไม่ล้มละลาย) จะเป็นนายทุนทำหนังทำละครให้เลยเอ้า
ไม่รู้ว่าสุดท้ายที่อาริมะคุงเรียกไปคุยจะมีเรื่องอะไรอีกก็เถอะ ในเมื่ออย่างที่หมอนั่นพูด Pivoine กับสภาก็ดีกันแล้ว พวกเรากำลังจะเรียนจบแล้ว จะยังมีเรื่องอะไรให้ปรึกษาอีกนะ หรืออยากจะฝากฝังให้ฉันอบรมยัยรินะอีกซักหน่อย?
แต่ความร้อนแรงของนักเรียนมอปลายเนี่ย…จั๊กจี้หัวใจผู้ใหญ่บ้านคานทองของฉันดีจริง ๆ
ฉันปล่อยสมองให้ล่องลอยไปถึงจุดเริ่มต้นที่ฉันไม่คิดว่ามันจะทำให้เหตุการณ์มันบานปลายมาถึงจุดนี้
(2)
เรื่องมันเริ่มในวันแรกของการเปิดเทอมสอง หลังจากปิดเทอมฤดูร้อนที่ข่าวเรื่องคาบุรากิคบกับวาคาบะจังได้เผยแพร่ไปในวงกว้าง เอ๋ ถามว่าทำไมเรื่องมันถึงได้แดงออกมางั้นหรือคะ นั่นน่ะต้องโทษความไม่มีหัวคิดของอีตานั่น แหม เล่นควงไปเปิดตัวในงานเลี้ยงตั้งหลายงาน ทั้งที่ปกติเจ้าตัวออกจะเซ็ง ๆ ไม่แยแส แถมยังพาไปเต้นกลางฟลอร์ซะด้วย
ควงเหมือนกลัวคนจะไม่รู้เลยนะคะว่าคบกัน ทั้งที่เป็นปิดเทอมฤดูร้อนอันแสนล้ำค่าของนักเรียนมัธยมปลายปีสาม เจ้าลูกบ้านหมู่บ้านมีรักก็ยังจะทำตัวเรื่อยเฉื่อย แต่ละวันส่งเมล์มาเล่าเดทให้ฟังแล้วถามสถานที่เดทของเดทครั้งต่อไป
“วันนี้ฉันไปอควาเรียม xxx กับวาคาบะ ได้ดูโชว์เพนกวิน...แล้วก็นะ พึ่งรู้ว่า ค่าอาหารในโชว์แมวน้ำมันราคาถูกขนาดนี้...หลังจากนั้น...แล้วก็...ได้ไปลองให้อาหารฉลามด้วยล่ะ ชุดนั่นอึดอัดเป็นบ้า ผู้จัดการยังให้ตุ๊กตากับพวงกุญแจปลาฉลามมาเป็นที่ระลึกด้วย โดยรวมแล้วก็ถือว่าไม่เลวเลย แต่ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง อย่างเช่นมัคคุเทศน์ที่ให้ความรู้นั่นยังไม่ลึกมากพอ...เทียบกับครั้งก่อนแล้ว... แนะนำสถานที่ของสามัญชนมาอีกซิ”
เมล์ของฉันไม่ใช่ล็อกเก็บไดอารี่เดทของนายนะเฮ้ย แต่ที่มากกว่านั้นคือคำวิจารณ์เดทห่วย ๆ ข้อดีข้อเสียของนายนั่นมันอะไรกันยะ นี่นายไปเดทหรือไปตรวจกิจการของที่บ้าน แล้วผู้จัดการ...ความจริงคือนายพาวาคาบะจังไปทัศนศึกษาที่อควาเรียมมากกว่ามั้ง เด็กอนุบาลอย่างยูกิโนะคุงก็คงจะพาไปเดทได้ดีกว่า ฮึ่ม แข็งทื่อขนาดนี้ยังมีหน้าส่งเมล์มาอวดอีก
อีกอย่างก็คือนายน่ะลากวาคาบะจังไปลำบากด้วยชัด ๆ ไหนจะต้องไปเดทด้วย ไหนจะไปงานเลี้ยงราตรียามค่ำคืน ระดับงานเลี้ยงที่คาบุรากิจะไปร่วมน่ะ ดีไม่ดีก็ทั้งแต่งหน้า ฟิตติ้งชุด เพราะความจู้จี้จุกจิกของหมอนั่นไปแค่งานเดียวเหมือนเสียเวลาไปทั้งวัน เช้าวันต่อมาของวาคาบะจังน่ะยังต้องตื่นมาช่วยคุณป้าคุณลุงเปิดร้าน
ถึงนายจะขี้เหงา ขี้อวดขนาดไหนก็ต้องสนใจคนอื่นบ้าง ตัวเองว่างมากก็แค่ควงเอ็นโจไปซะ รับรองว่าคนสนใจกว่านายลากวาคาบะจังไปไหนมาไหนอีก หมอนี่ช่างไม่มีความเป็นมนุษย์เอาซะเลย
แต่แน่นอนว่าฉันไม่กล้าพิมพ์อย่างนี้ตอบเมล์ไปหรอกค่า หลังจากไดอารี่เดทครั้งที่สามถูกส่งมาฉันก็พิมพ์บอกอ้อม ๆ ว่าช่วงเวลาปิดเทอมของนักเรียนปีสามน่ะเอาไว้อ่านหนังสือเตรียมสอบนะคะ ใครจะรู้ว่าอีตานั่นดันเข้าใจว่าฉันอยากได้โจทย์ฝึกเพิ่มเติม ส่งลิสต์หนังสือมาให้เป็นสิบเล่ม แถมยังมีหน้ามาตบท้ายว่านัดครั้งหน้าที่ฟิตเนสจะควิซไปด้วย ถ้าฉันตอบไม่ได้ละก็จะเพิ่มเวลาวิ่งขึ้นไปอีก
ไม่มีมนุษยธรรมอะไรหลงเหลืออยู่แล้วจริง ๆ ด้วย
ฉันแบกร่างที่ระโหยโรยแรงของตัวเองไปฟิตเนสอย่างยากลำบากด้วยขอบตาดำคล้ำ คาบุรากิที่หน้าตาเปล่งปลั่งส่งยิ้มสาวน้อยในห้วงรักให้กับฉัน แล้วทารุณกรรมฉันไปพลางเล่าประสบการณ์ห่วย ๆ ของตัวเองไปพลาง
หนวกหูจนเกือบจะหันไปบอกให้หุบปากเชียวล่ะค่ะ แต่ทำยังไงได้ตอนนั้นน่ะแค่หายใจอย่างเดียวฉันก็หอบเหมือนจะตายแล้ว
เมื่อช่วงเวลาปิดเทอมอันแสนดำมืดได้ผ่านพ้นไปก็ถึงเวลาของวันเปิดเทอมอันแสนสดใส ไม่มีข้อความน่ารำคาญที่คอยต้องตอบ ไม่มีป๊อปอัพควิซระหว่างฟิตเนสทุกสามวัน ฉันที่เมื่อคืนตั้งใจบำรุงหน้ามาอย่างดีเฝ้ารอเช้าวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ
แต่พอก้าวเท้าลงจากรถ ก็ปะทะสายตากับนายตัวสำรองที่ยืนจังก้าทำหน้าที่อยู่หน้าประตูโรงเรียน หมอนี่หน้าดำคร่ำเครียดตั้งแต่วันแรกของเปิดเทอมเลยแฮะ
“คิโชวอิน” นายตัวสำรองเรียกขึ้น อา ฉันเข้าใจแล้ว ท่าทางอ่อนแรงแบบนี้ ขอบตาหมีแพนด้าแบบนี้ เมื่อคืนนายวินโดว์ช้อปปิ้งระบายความเครียดหลังอ่านหนังสือจนเช้าล่ะสิท่า
ฉันน่ะเข้าใจสหายร่วมรบผู้นี้เป็นอย่างดีเลยล่ะ หลังการอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าอย่างคร่ำเคร่ง ไฟลุกโชนที่เริ่มมอดดับในเวลารุ่งสางก็ต้องการเติมเชื้อฟืนเหมือนกัน ฉันเองวันก่อนหน้าจะไปฟิตเนสน่ะทั้งต้องอ่านหนังสือเตรียมโดนคาบุรากิควิซทั้งต้องเตรียมตัวเตรียมใจไปถูกเคี่ยวเข็ญจนหมดแรง ก็เลยต้องซัดของหวานไปเตรียมเป็นพลังงานและช้อปปิ้งไล่ความเครียดที่ตึงแน่นสะสมในกล้ามเนื้อยังไงล่ะ
คนเราจะต้องมีบาลานซ์อย่างนี้แหล่ะค่ะ จะได้ไม่เสียทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
“มิซึซากิคุง” ฉันพยักหน้าตอบรับนายตัวสำรองอย่างเข้าใจ แต่หมอนั่นดันทำหน้าอิหลั่กอิเหลื่อกลับมา คงไม่ใช่ว่าฉันแปลสารผิด ความจริงขอบตาดำคล้ำของนายมาจากการกินของผิดสำแดงแล้วต้องวิ่งเข้าห้องน้ำตลอดคืน? จากประสบการณ์ของว่าที่นักกรูเม่ต์อย่างฉัน อาหารน่ะยังไงก็กินสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หรอกนะคะ โดยเฉพาะอาหารที่มาจากโฆษณาออนไลน์เนี่ย โดนหลอกลวงกันมานักต่อนักแล้ว
แหม แต่จะมาขอร้องให้ Pivoine ทำหน้าที่แทนมันก็ยังไงอยู่นะคะ ดังนั้นฉันจึงทำเพียงแค่ส่งสายตาเห็นอกเห็นใจให้แล้วเดินผ่านไป แต่คราวนี้นายตัวสำรองถึงขั้นคว้าแขนฉันไว้
“คิโชวอิน เดี๋ยวก่อน” นายตัวสำรองที่เห็นฉันชะงักรีบปล่อยมือทันที ถูกต้องแล้วล่ะค่ะ อยู่ ๆ จะมาจับมือถือแขนกันสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไงล่ะคะ
“ขอโทษครับ มันเป็นความเคยชิน...ปกติเด็กนักเรียนที่ไม่ฟังจะรีบหนีน่ะ ก็เลยต้องคว้าไว้” นายตัวสำรองพูดไปก็ก้มหัวไปด้วย สีหน้านั่นดูรู้สึกผิดปนละอายใจ “ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจนะ ขอโทษจริง ๆ ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่มิซึซากิคุงมีเรื่องอะไรกับดิฉันหรือคะ” ฉันรีบตอบกลับ นายตัวสำรองที่แต่ไหนแต่ไรก็มองว่าเด็กซุยรันเหมือนคุณหนูที่ถูกประคบประหงมเป็นไข่ในหินน่ะคงจะรู้สึกเหมือนล่วงเกินอะไรเข้า แบบเดียวตอนที่ช่วยเข้ามากันนายบ้าหมาในงานโรงเรียนนั่น มาดก็สุภาพผิดปกติ สงสัยจะมีเรื่องอะไรจะขอให้ Pivoine ให้ความร่วมมือแน่เลย
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย เกี่ยวกับทาคามิจิ” นายตัวสำรองมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกระเถิบมาใกล้แล้วพูดเบา ๆ “หลังเลิกเรียนเจอกันที่เดิมล่ะ”
เสียงไม่ดังไม่เบา ไม่เรียกว่าเป็นการกระซิบ แต่พอเสร็จแล้วหมอนั่นก็รีบส่งสายตาไล่ให้ฉันรีบเดินไป ...นายตัวสำรอง ท่าทางเหมือนใช้เสร็จแล้วเฉดหัวทิ้งนั่นดูไร้มารยาทกว่าที่นายมาจับแขนฉันอีก แล้วอะไรคือเจอกันที่เดิม กรุณาอย่ามาทำเหมือนกับว่าพกเรานัดเจอกันตลอดได้ไหมคะ ถ้าใครได้ยินจะคิดว่าฉันเป็นยังไง
ฉันมองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง แต่โชคดีที่วันนี้ฉันตัดสินใจมาเช้าคนเลยไม่ค่อยเยอะมากนัก จะมีพวกปีหนึ่งปีสองตัวจ้อยที่หลบตากันเป็นพัลวันตอนที่ฉันจ้องกลับ
หวังว่าคงจะไม่มีใครกล้าเผยแพร่ข่าวลือบ้า ๆ หรอกนะคะ ดิฉันจำหน้าไว้หมดแล้ว
———To be continued
ก็ตอนสั้นๆสองตอนนน ประมาณนี้ กูวางไว้ ถ้าไม่ออกทะเลไม่น่าเกินหกตอน? ฮื่ออ แต่เอาจริงกูคิดตรงกลางไม่ออกว่าจะมีอีเว้นท์อะไรบ้างดี ด้านหลังเลยจะรวบๆละตัดจบ
นี่เพิ่งเจอการ์ตูนเรื่องนี้มา.... เห็นชื่อตัวเอกแล้วสะดุ้งเลย เซ็ตติ้งโรงเรียนหรูด้วยถถถถ
https://imgur.com/a/i36MV13
ขอบคุณมากโม่งฟิก รออ่านอยู่น้า~
อาจจะเป็นคนที่รอตอนที่300มานานจนทนไม่ไหวเลยกาวจนเป็นมังงะรึเปล่า
>>631 เป็นไปได้ 5555555555555 คิดถึงท่านเรย์กะมากไปจนออกพาโรดี้กาวๆมา เพราะเเต่ละอย่างในเรื่องคล้ายมากกก ตัวนางเอกคุโจอิน เรย์โกะ ชื่อคล้ายเจ้าแม่ แต่นิสัยแบบเจ้าแม่+วาคาบะจัง ตัวคาซึรากิที่เป็นโอเระซามะสุดป็อปปูล่าเหมือนเจ้าลัทธิเเบบบากะรากิ เพื่อนนางเอกคนพี่คาแรกเตอร์คล้ายกับริรินะ ส่วนคนน้องคาแรคเตอร์ที่บรรยายจากคนอื่นคล้ายๆกับเอ็นโจ หรือว่าคนที่คิดถึงเจ้าแม่มากไปคือกูวะ.. โยงไปได้หม๊ด 555555555
โม่ง วันนี้เราฝันถึงเจ้าแม่เว้ย ฝันว่าเอ็นโจชวนเจ้าแม่ไปว่ายน้ำแล้วจะอาสาสอนว่ายน้ำให้ แล้วทีนี้ก็ไปกันสองคนวันแรกก็ว่ายปกติ แต่พอมาวันที่สองคาบุรากิก็โผล่มาว่ายด้วย แล้วทีนี้เจ้าแม่จมน้ำพอดี คาบุรากิอยู่ใกล้ๆก็เลยไปช่วยไว้ทัน สรุปแล้ว เจ้าแม่ว่ายน้ำเป็นปะวะ อ่านตอนเด็กๆจำได้ว่าเรียนว่ายน้ำอยู่แต่พอไปทะเลกับท่านพี่ก็จมนี่นา
ว่าแต่… อยากอ่านฟิคเรย์กะคาบุเอ็นโจไปทะเลจัง ;-;
ต่อจาก >>617-620
(3)
แต่พอถึงตอนพักกลางวัน ฉันก็เข้าใจในที่สุดว่านายตัวสำรองน่าจะอยากคุยกับฉันเรื่องอะไร
ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเด็กทุนและกลุ่มสนับสนุน Pivoine พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด เมื่อข่าวของคาบุรากิกับวาคาบะจังเผยแพร่ออกไป โดยเฉพาะกลุ่มที่บูชาคาบุรากิ อา พวกนั้นเรียกได้ว่าเป็นบ้าไปเลยจะดีกว่า
พวกผู้ชายรู้สึกว่าจักรพรรดิสามารถมีสนมนับร้อยนับพันแต่ในใจต้องเป็นบ้านเมือง ส่วนเหล่าผู้หญิงรู้สึกว่านางจิ้งจอกสามัญชนน่าไม่อายนี่ยั่วยวนจักรพรรดิ พอถึงช่วงเปลี่ยนผ่านคาบเรียนก็เต็มไปด้วยเสียงโวยวายคู่ไปกับเสียงกระซิบซาบที่ดังไม่หยุด บอร์ดตามทางเดินของโรงเรียนมีแต่ถ้อยคำปลุกระดมกำลังต่อต้าน
เจ้าเด็กพวกนี้ยังไม่พ้นวัยโรคมัธยมต้นหรือยังไงกันนะ ฉันกุมหัวที่เริ่มจะปวดตุบ ๆ ยังจำได้หรือเปล่าน่ะหาว่าฉายาจักรพรรดิมันมาจากอะไร การแข่งขี่ม้าส่งเมืองนะ ที่มาของฉายามันน่าอับอายขนาดนี้แต่กลับถูกยึดถือเคารพอย่างจริงจัง
แต่สำคัญที่สุดคือสายตาเวทนาที่ส่งมาให้ฉันนี่มันอะไรกัน
ฉัน-ไม่-ได้-เป็น-อะ-ไร
ฉันมองกลับทุกสายตาที่ส่งมาด้วยความคับแค้นที่สุมอยู่ในอกจนอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีไป ความในใจของฉันถูกส่งไปถึงใช่ไหมคะ ฉันน่ะไม่เคยชอบคาบุรากิมาก่อนเลยและไม่มีวันด้วย คนนิสัยแบบนั้นจะมีใครมาชอบหรือไปชอบใครก็จะเหนื่อยมาก ๆ เลยนะคะ ฉันไม่เอาด้วยหรอกค่ะ
“ท่านเรย์กะคะ” คิคุโนะจังเดินมาตบบ่าฉันเบา ๆ อย่างปลอบประโลม “อย่าเศร้าโศกไปเลยนะคะ”
แต่ตอนที่กำลังจะบอกว่าไม่เป็นไรนั้น เซริกะจังและคนอื่น ๆ ก็เดินมาอยู่ใกล้ ๆ ด้วยกัน
“ท่านเรย์กะอย่าไปสนใจพวกเศษเล็กเศษน้อยไปเลยนะคะ”
“ท่านเรย์กะ ผู้ชายก็อย่างนี้ล่ะค่ะ สุดท้ายแล้วท่านคาบุรากิก็จะทราบดีว่าใครที่เหมาะสม”
“พูดได้ดีเลยเซริกะจัง ท่านเรย์กะคะถึงท่านคาบุรากิจะยังไม่ทราบว่าอะไรน่ะไม่ดี แต่พวกเราสามารถ...”
และอีกมากมาย ยิ่งพวกเธอพูด เนื้อหาของมันก็ยิ่งไปสู่ทางที่อันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ อะ เอ่อ นี่อีกนิดนึงมันจะผิดกฎหมายแล้วนะคะ...นี่
ฉันรีบห้ามขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดขาว “ทุกคนห้ามทำอะไรเด็ดขาดเลยนะคะ” อย่าให้มีใครในกลุ่มฉันไปรังแกวาคาบะจังเลยนะคะ ทั้งสองฝั่งต่างก็เป็นเพื่อนฉันเหมือนกัน ฉัน... อีกอย่างคือถ้ากลุ่มของฉันทำจริง ๆ ล่ะก็ความพยายามที่ผ่านมาของฉันก็จะสูญเปล่าน่ะสิคะ สุดท้ายสองหน่อนั่นจะลากไส้ความชั่วร้ายของฉันออกมาประจานให้เป็นที่โจษจัน ถึงจะไม่รู้ว่าท่านพี่อาจจะห้ามทานุกิไม่ให้โกงได้แต่ว่า...
ไม่ได้
ยังไงก็ห้ามไปรังแกวาคาบะจังเด็ดขาด
โชคดีที่ทุกคนเหมือนจะเข้าใจก็เลยรับปากจะไม่ไปทำอะไรทั้งนั้นรวมทั้งจะดูแลให้พวกผู้หญิงอยู่กันอย่างเรียบร้อยด้วย แต่ถึงกลุ่มฉันที่จะไม่ทำอะไร นั่นน่ะก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดีนะคะว่าจะไม่มีใครไปหาเรื่องวาคาบะจัง ก็เลยอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ที่จริงจะหลบทุกคนไปแอบสังเกตสถานการณ์ทางฝั่งนู้นซักหน่อย
ที่จริงก็แอบส่งเมล์ไปแล้วตั้งแต่เปลี่ยนผ่านคาบแรกน่ะนะ วาคาบะจังก็ตอบกลับมาแล้วด้วยว่ายังพอรับมือได้อยู่ แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีแหละน้า ก็อีเว้นท์ตอนเที่ยงน่ะเจออะไรแย่ ๆ ได้บ่อยไปนะคะ
ฉันเดินอ้อมหลายตลบเพื่อผ่านไปห้องวาคาบะจัง และก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนชี้หน้าวาคาบะจังอยู่ ไม่นับเด็กผู้หญิงเด็กผู้ชายอีกเจ็ดแปดคนที่ยืนคุมเชิงอยู่รอบโต๊ะ
เป็นแค่เด็กปีหนึ่งแต่ใจกล้าบุกมาหาเรื่องพี่ปีสามถึงห้อง บ้าดีเดือดกันจริง ๆ
แต่วาคาบะจังยังยิ้มอยู่เลย แถมยังค่อย ๆ แกะผ้าห่อข้าวกล่องตัวเองอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว นี่มันสถานการณ์อันตรายนะคะวาคาบะจัง ถึงจะซื่อ ๆ ไปบ้างก็ไม่น่าจะสัมผัสรังสีสังหารของอีกฝ่ายไม่ได้นี่นา
หรือวาคาบะจังจะไม่สนใจเด็ก ๆ พวกนี้? แต่กลุ่มหลายคนก็น่ากลัวอยู่นะคะ ถ้าเป็นฉันล่ะก็ป่านนี้เครียดจนปวดท้องหน้าซีดปากสั่นไปแล้ว สมกับเป็นนางเอกผู้แข็งแกร่งจริง ๆ เลยค่า
แต่เพื่อนร่วมห้องที่มองวาคาบะจังอย่างเย็นชาเนี่ย...
ระหว่างที่ฉันชั่งใจว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรเข้าไปห้ามดี นายตัวสำรองที่วิ่งกระหืดหระหอบมาจากอีกฝั่งก็สบตากับฉันที่ยืนนิ่งค้างแวบหนึ่งเป็นเชิงห้าม แล้วพุ่งตัวเข้าไปในห้องทันที
อา เกือบผิดคิวไปซะแล้วนะคะตัวฉัน สถานการณ์อย่างนี้ของวาคาบะจังมันก็ต้องมีพระเอกกับพระรองมาปกป้องไม่ให้นางเอกถูกทำร้ายอยู่แล้วสินะ
ฉันทอดถอนใจให้กับตัวเอง พอหันไปอีกทีนายตัวสำรองก็เคลียร์เด็กกลุ่มนั้นออกไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังสนทนากับวาคาบะจังอยู่ หมอนี่จัดการเรื่องวุ่นวายได้เร็วมากสมกับที่เป็นประธานนักเรียน เฮ้อ เสียใจกับวาคาบะจังจริง ๆ นะคะที่ดันไปตกล่องปล่องชิ้นกับผู้ชายไม่ได้ความอย่างคาบุรากิ
แต่นายตัวสำรองก็สมกับที่เกิดมาเป็นพระรอง ซีนเท่ แบบนี้สมควรจะได้นับเป็นโมเม้นโดขิ โดขิ แต่หมอนั่นก็รีบขนาดเศษข้าวยังติดอยู่ที่มุมปาก น่าขายหน้าแทนจริง ๆ
ฉันกางพัดในมือออกมาปิดปากแล้วเดินผ่านห้องเรียนไปช้า ๆ หัวเราะแทนพวกในห้องเรียนที่คงจะไม่กล้าหัวเราะหน้าประธานนักเรียนที่กำลังเลคเชอร์อย่างเคร่งเครียด
แน่นอนว่าคิวต่อมาก็ถึงเวลาของคาบุรากิมาปรากฎตัว เขาทำหน้ายุ่งพลางสาวท้าวยาว ๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างเร่งรีบ แต่พอหมอนั่นมาถึงตรงหน้าฉันก็ชะงักไปหนึ่งจังหวะ “คิโชวอิน ทำหน้าน่าเกลียดอะไรของเธอ เลิกซะนะ”
พูดจบแล้วก็ก้าวต่อไปทางห้องเรียนของวาคาบะจังต่อ
หยาบคายที่สุด! สมน้ำหน้านายแล้วที่มาไม่ทัน ข่าวคงจะพึ่งจะไปถึงนายสินะคะ แต่นายตัวสำรองจัดการเสร็จไปแล้วล่ะค่ะ ท่านคาบุรากิจะทำยังไงดีล่ะคะ บทฮีโร่ที่อยากเล่นน่ะดันมีคนเป็นแทนไปแล้ว หึ ๆ เสียใจด้วยนะคะ
ฉันยิ้มเย็น แต่ดันเห็นเอ็นโจที่เดินตามมาอย่างช้า ๆ เข้า ทำเอาเกือบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มและค้อมหัวทักทายแทบไม่ทัน “ท่านเอ็นโจ สวัสดีค่ะ”
“คุณคิโชวอิน” เอ็นโจยิ้มตอบมา “แบบนี้มาซายะคงจะมาไม่ทันสินะครับ”
“ดิฉันไม่ทราบว่าท่านเอ็นโจพูดถึงเรื่องอะไรนะคะ” ฉันยิ้มสู้ทั้งที่ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้วด้วซ้ำ ถ้าเจอคาบุรากิก็ต้องมีเอ็นโจอยู่แล้ว ทำไมเมื่อกี้ฉันไม่รีบ ๆ เดินไปนะ
“ครับ ไม่ทราบก็ไม่ทราบ” เอ็นโจยิ้มจนตาหยี แต่ยังไม่มีท่าทีจะเดินตามคาบุรากิต่อเลยซักนิด แถมยังจ้องหน้าฉันไปยิ้มไป แบบที่ชวนให้รู้สึกร้อนตัวจนขนลุกซู่
“ท่านเอ็นโจไม่รีบไปหาท่านคาบุรากิเหรอคะ” ฉันเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามขึ้นมา จะจ้องหน้ากันนานเกินไปแล้วนะคะ มีอะไรก็พูดมาสิยะ
“คุณคิโชวอินอยากให้ผมรีบไปเหรอครับ” เอ็นโจที่ยังคงยิ้มอยู่ก็ถามกลับมาบ้าง นะ น่ากลัวที่สุด
“แหม จะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะ ดิฉันแค่เห็นท่านคาบุรากิจากไปอย่างรีบร้อนแบบนั้น ทางโน้นน่ะน่าจะมีเรื่องร้ายแรง บางทีอาจจะต้องการความช่วยเหลือของท่านเอ็นโจ...” ฉันพูดไปเหลือบตามองสีหน้าเอ็นโจที่รอยยิ้มค่อย ๆ จางลงไปจนเหลือแต่รอยยิ้มตามมารยาทของอีกฝ่าย น่ากลัวกว่าเดิมอีก! ฉันเลยหยุดพูดไปโดยสิ้นเชิง
ความเงียบโรยตัวปกคลุมเราสองคนอยู่ครู่หนึ่ง
ฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษที่รอคำตัดสินประหารท่ามกลางอากาศหนาวเย็น แต่ ฉะ ฉันว่าฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ
“ความจริงแล้วผมมีเรื่องจะคุยกับคุณคิโชวอินน่ะครับ” เอ็นโจพูดเบา ๆ เสียงกริ่งพร้อมกับไฟหวอสีแดงที่เตือนว่าฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องนี้แผดเสียงดังลั่นในหัว อันตราย! เรื่องยุ่งแน่ ๆ ด้วย
ฉันพยายามเหลือบมองซ้ายมองขวาหาทางหนี แต่เอ็นโจที่ตอนนี้หยุดยิ้มไปแล้วโดยสิ้นเชิงมีสีหน้าหมองหม่น “เรื่องเมื่อวันก่อนน่ะ...”
วันก่อน...
ฉันชะงักค้าง เอ็นโจคงไม่ได้จะยกเรื่องในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนมาพูดหรอกนะคะ
-----
การแบ่งโพสต์มันยากจริงโว้ยยย แต่นายตวสำรองน่าจะโผล่มาเต็มตอนหน้าหรือหน้า ๆ จริง ๆนะคะ แง ขอเวลาเผาธงท่านเอ็นโจก่อน ในใจชิปแต่ฟิคนี่ท่านเอ็นโจเป็นตัวร้ายไปนะคะ//โบกมือ
ขอบคุณโม่งฟิคทุกคนเลยนะ!♡♡♡
มึง ฟิค again &again นี่มีตอนต่อกลังจากท่านราชาpov ปะ
ช่วงนี้ฝันถึงท่านเรย์กะบ่อยจังวะ วันนี้ฝันว่าตัวเองเป็นท่านเรย์กะแล้วได้อยู่ห้องเดียวกับคาบุ ทีนี้เพื่อนในห้องแซวเชิงว่าแอบคบกันอยู่ แรกๆก็ไม่เขินก็พยายามปฏิเสธก็มีคนบอกว่าเห็นไปเดทกับคาบุหลังเลิกเรียนตลอด พอหันไปหาคาบุมันเขินหน้าแดงเฉย แล้วก็เขินตาม อะไรวะ จั๊กจี้หัวใจชิปหาย55
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1258035601330147329?s=19
พบคนหึงหนึ่งอัตรา 55555555
น้องตายเเล้วนะคะ เห็นว่าคอมเปิดเว็บนี้ทิ้งไว้ กำลังพิมพ์นิยายอยู่มั้ง
ฟิคนายตัวสำรองที่รัก มาต่อหรือพิมพ์บอกว่ายังอยู่หน่อย ทำไมกูสังหรณ์ใจไม่ดี ToT
รอฟิคนายตัวสำรองด้วยคน
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1259460677854302208?s=19
เจ้าแม่กับชุดกี่เพ้าว่ะ
แจกความฝลดใฝล(?)ก่อนนอน
KimiDolce ~after story (เกอิชา) >>>/webnovel/6114/947-952
-----------------
วันเวลาผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือนอีกหนจนได้ ผม มาซายะและคุณวาคาบะก้าวขึ้นสู่ปีสองในรั้วมหาวิทยาลัย นั่นหมายถึงตารางเรียนและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบก็มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถึงจะยุ่งแค่ไหนพวกรุ่นพี่ก็พยายามจับผมและมาซายะไปเป็นหน่วยต้อนรับเด็กปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ และมาซายะก็ต้องเป็นคนกล่าวต้อนรับทุกคนแทนที่รุ่นพี่คนอื่นๆอีกครั้ง
ในคณะมีแต่คนคุ้นๆหน้าจากซุยรันเต็มไปหมด ดูๆไปก็เกือบคล้ายงานคืนสู่เหย้าเหมือนกัน
มาซายะส่งยิ้มให้ทุกคนตามมารยาท แต่ท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ตอนที่ถูกพวกรุ่นพี่พยายามดึงตัวไว้ให้อยู่ในงานเลี้ยงนานๆ แล้วก็มีพวกคนที่เข้ามารุมล้อมอีก ผมรู้ว่าเขาน่ะอยากจะไปหาแฟนที่คณะจะแย่อยู่แล้ว ยิ่งขึ้นปีสอง เวลาที่ใช้อยู่ด้วยกันก็น้อยเต็มที
คุณวาคาบะก็ต้องไปออกทริปกับทางคณะไม่ค่อยมีเวลาว่าง แถมยังต้องเข้าเรียนพิเศษกับมาดามคาบุรากิอีก ส่วนมาซายะก็ต้องเข้าประชุมกับบอร์ดบริหารบ่อยกว่าเก่า ถึงจะยังไม่มีอำนาจตัดสินใจแต่ก็ต้องนั่งฟังและวิเคราะห์ไปด้วย ผมเองก็คล้ายๆกันกับมาซายะนั่นล่ะ
วันที่ไม่มีเรียน พวกเราก็เลยนัดทานข้าวกลางวันกันสามคน มาซายะเลือกร้านอาหารฝรั่งเศสแบบออร์แกนิคที่ไม่เป็นทางการเกินไปนัก พวกเราทานไปคุยไปเกี่ยวกับเรื่องเปิดเทอมและรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“ที่คณะก็มีเด็กซุยรันเข้ามาเยอะเหมือนกันนะ” คุณวาคาบะเล่าถึงงานต้อนรับเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไป “เจอรุ่นน้องในคณะกรรมการนักเรียนที่สนิทๆกับมิซึซากิคุงด้วยล่ะ มาเล่าให้ฟังว่าไปเจอมิซึซากิคุงที่ฝรั่งเศสตอนไปเที่ยวกับครอบครัวพอดี”
“อื๋อ มิซึซากิ…” มาซายะเลิกคิ้วขึ้น มือก็ยังคงหั่นเนื้อบนจาน “เห็นว่าหมอนั่นไปเรียนที่นั่นใช่มั้ยนะ”
“ใช่แล้ว เรียนกฎหมายน่ะ”
“ก็ดูเป็นอะไรที่เหมาะสมกับเขาดีนะ”
มิซึซากิที่ว่าเป็นประธานนักเรียนที่คอยขับเคี่ยวกับมาซายะมาในทุกๆด้านมาตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น ทั้งเรื่องการเรียน กีฬา ถึงมาซายะไม่ได้คิดจะแข่งขันอะไร แต่ก็สามารถเอาชนะเขาไปได้ในทุกๆครั้ง รวมถึงเรื่องความรักด้วย
เขาก็เป็นอีกคนที่ชอบคุณวาคาบะ เลือกใช้วิธีขาวสะอาดตรงไปตรงมาในการแข่งขันในทุกๆด้าน และเมื่อคุณวาคาบะเลือกมาซายะ เขาก็ยินดีที่จะหลีกทางให้พร้อมกับอวยพรให้คนที่รักมีความสุข ช่างเป็นคนดีและซื่อตรงอะไรอย่างนี้
ผมอดที่จะเปรียบเทียบกับใครบางคนในใจไม่ได้
บางทีถ้าผู้หญิงคนนั้นยอมรับความพ่ายแพ้เหมือนมิซึซากิ ไม่ดึงดันหรือใช้วิธีสกปรกในการกำจัดคู่แข่ง เรื่องมันคงไม่บานปลายจนมีจุดจบแย่ๆแบบนั้น
นี่ก็ผ่านมานานแล้วจากครั้งล่าสุดที่ได้เจอ ผมไม่รู้ว่าคุณคิโชวอินจะจับผู้ชายรวยๆได้สักคนแบบที่เธอตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ แต่คุณอิมาริที่ได้เจอตามงานเลี้ยงก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ เขาดูเหมือนจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องคุณคิโชวอินด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเธอพลาดจากคุณอิมาริ เธอจะเที่ยวไปหว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชายคนไหนอีกผมก็ไม่รู้
และป่านนี้เธอจะทำอะไรอยู่กันนะ
.
.
.
.
.
เหมือนพระเจ้าจะได้ยินสิ่งที่ผมบ่นในใจไปเมื่อวันก่อน เพราะวันนี้พ่อก็ได้แจ้งให้ทราบว่าคู่ค้าจากอังกฤษจะมาเยี่ยมชมการผลิตที่ญี่ปุ่นอีกหนในต้นสัปดาห์หน้า และพ่อก็มอบหมายหน้าที่ให้ผมเป็นผู้รับรองแขกอีกเหมือนเดิม
เขารีเควสต์สถานที่ที่อยากไป แน่นอนว่าต้องมีร้านที่คุณคิโชวอินทำงานอยู่ เดาไม่ผิดเลยสักนิด ผมจึงบอกให้เลขาของพ่อจองสถานที่นั้นเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
วันนัดหมายมาถึง เขาก็ดูกระตือรือร้นที่จะไปที่นั่น คงอยากจะพบไมโกะสาวน้อยที่ไม่ได้เจอมาเนิ่นนานใจจะขาดแล้ว ชวนผมคุยเรื่องศิลปะวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ไปศึกษามาไม่ขาดปาก แถมยังมีของขวัญมามอบให้เธอด้วย
แต่เมื่อลงจากรถและกำลังจะเข้าไปด้านใน ก็มีเสียงทักขึ้นเสียก่อน
“อ้าว ท่านเอ็นโจใช่มั้ยน่ะครับ”
ผมหันไปตามเสียงเรียกชื่อ เห็นคนที่คุ้นเคยหน้ายืนอยู่ตรงทางเข้าสวนญี่ปุ่นในร้าน หมอนี่คือรุ่นน้องใน Pivoine ที่อยู่ซุยรัน ปกติเราแทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ
“สวัสดีครับ” ผมทักทายตอบกลับไป ขอตัวกับแขกอย่างสุภาพให้พวกเขาล่วงหน้าเข้าไปก่อน
“ท่านเอ็นโจมาทำอะไรที่นี่น่ะครับ”
“พาลูกค้ามาเลี้ยงรับรองน่ะ ลูกค้าอยากมาก็เลยต้องพามา” รอยยิ้มการค้าผุดขึ้นมาบนใบหน้าของผมอย่างเคย “แล้วนี่เพิ่งมาถึงเหรอ”
“ผมมากับพวกท่านพ่อ และกำลังจะกลับแล้วน่ะครับ” เขายิ้มตอบกลับมา มองไปยังกลุ่มคนที่กำลังขึ้นรถที่มีคนเปิดประตูให้จากนอกร้าน “ท่านเอ็นโจเพิ่งเคยมาที่แบบนี้หรือครับ”
“ก็ประมาณนั้นล่ะ” ผมตอบกลางๆไว้ก่อนเพราะยังไม่รู้จุดประสงค์แน่ชัดของหมอนี่ “เพิ่งเคยมาเหมือนกันเหรอ”
“ใช่ครับ วันนี้ท่านพ่อให้ผมมาพบลูกค้าด้วย” เขายิ้ม สายตาก็ดูมีลับลมคมใน “ ก็เป็นสถานที่ดีอีกที่หนึ่งนะครับ”
เลขาที่พ่อส่งมาเป็นผู้ช่วยยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ไกล ผมเลยบอกให้เธอล่วงหน้าไปรับรองแขกก่อน เดี๋ยวผมจะตามไปทีหลัง พอหันกลับมาก็เห็นว่าเจ้าเด็กรุ่นน้องยังจ้องมองผมเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
“มีอะไรอย่างนั้นเหรอ”
เหมือนจะรอให้ผมถามคำถามนี้ เพราะเขาก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ ทำเหมือนกำลังจะพูดความลับ
“ทายสิครับว่าผมเจอใครในที่แบบนี้…” เขาหัวเราะ หน้าตาในตอนนี้ดูเจ้าเล่ห์ “...ก็รุ่นพี่คิโชวอิน เรย์กะของเรายังไงล่ะครับ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะ หลังจากโดนกระชากหน้ากากก็หายไปจากสังคมเลยนี่ครับ ทีแรกนึกว่าฆ่าตัวตายหนีความอับอายไปแล้วซะอีก แต่ได้มาเจอกันอีกทีในที่แบบนี้ ผมล่ะตกใจจริงๆ ทำเรื่องเลวร้ายไว้ขนาดนั้นยังกล้าสู้หน้าคนได้ยังไงกันนะ”
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนกำลังหยั่งเชิงดูปฏิกริยาของผม
“ว่าแต่ท่านเอ็นโจทราบรึเปล่าครับว่าเธอทำงานที่นี่”
“เอ...ไม่รู้สิ ผมให้เลขาจองน่ะ” ผมยิ้มการค้าอย่างเคย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน “เธอทำงานอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะครับ ตอนที่เจอ เธอก็ขอร้องไม่ให้ผมบอกใครด้วยนะครับ…แต่ผมเห็นว่าถ้าท่านเอ็นโจมารู้ทีหลังคงลำบากใจไม่น้อยที่ต้องพบผู้หญิงคนนั้น ก็เลยจำเป็นที่จะต้องบอก”
เขาทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจที่ดูเสแสร้งจนน่าขำ ผมเลยเออออไปตามเรื่องตามราว จากนั้นก็ส่งยิ้มและตัดบทสนทนาโดยอ้างว่าปล่อยให้ลูกค้ารอนานๆจะไม่ดี
“ขอบใจที่มาบอกนะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
เขาโค้งให้ผมเล็กน้อยแล้วเดินไปที่ประตูทางออก ส่วนผมเดินเข้าไปในร้านที่มีผู้หญิงในชุดกิโมโนยืนประสานมือรอต้อนรับ ระหว่างที่ไปยังห้องที่จองไว้ก็ครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ไปด้วย
หมอนั่นต้องการอะไร
ผมลองคาดเดาถึงจุดประสงค์จากภาษากายและสีหน้าของเขาเวลาที่พูดถึงเรื่องนี้ ย้อนเดาถึงพฤติกรรมที่เคยพบเห็นในโรงเรียน
เขาก็เป็นคนแบบเดียวกับผู้หญิงคนนั้น ชอบใช้อำนาจข่มเหงรังแกคนอื่น แถมยังคอยช่วยเธอกลั่นแกล้งเด็กนักเรียนกลุ่มนอกเป็นบางครั้ง เป็นประเภทที่มาซายะและผมเกลียดก็เลยเลี่ยงที่จะคบค้าสมาคมด้วย
แต่พอเธอตกต่ำ เขาก็เป็นคนแรกๆที่ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่นิด คงขยาดเพลิงพิโรธของมาซายะที่แสดงให้เห็นในงานหมั้นนั่นล่ะ
ผมพอจะเข้าใจจุดประสงค์ของเขาแล้ว ...คิดจะยืมมือผมในการกำจัดคุณคิโชวอินสินะ
เขาคงคิดว่าถ้าผมได้เห็นเธอที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตในที่แบบนี้คงจะไม่พอใจและหาทางบีบให้โอชะยะไล่เธอออก ที่คาบข่าวมาบอกคงเพราะต้องการประจบประแจง ผูกสัมพันธ์กับผมและมาซายะไปด้วยในตัว
ไอ้หมอนี่ทุเรศชะมัด
เดินมาจนถึงห้องที่จองไว้ ผู้นำทางก็เลื่อนบานประตูให้ผมเข้าไปข้างใน เสียงดนตรีจากซามิเซ็งก็ดังขึ้นในโน้ตแรกพอดี และตามมาด้วยเสียงร้องเพลงจากนักดนตรีที่กำลังบรรเลงท่วงทำนอง
เพลงนี้มัน ...เจ้าหิ่งห้อยฤดูร้อน
คุณคิโชวอินร่ายรำอยู่กลางห้อง ใส่กิโมโนสีชมพูอ่อนคาดโอบิสีน้ำเงินเข้มปักลวดลายดอกไม้ โบกพัดไปมาดูท่าทางเศร้าสร้อย ทำท่าเหมือนไล่จับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงด้วยท่าทีอ่อนช้อย เมื่อเพลงจบก็หมอบคำนับลงบนพื้น และมีคู่ค้าของผมปรบมือให้อย่างเสียงดังออกนอกหน้ากว่าคนอื่นๆ
เธอยิ้มแย้มสลัดท่าทีเศร้าหมองเมื่อครู่นี้ ตรงเข้ามารินเหล้าใส่จอกให้กลุ่มพวกผมทุกคน ข้ามผมไปด้วยท่าทีที่เหมือนจะจงใจ แต่โอก้าซังนั่งอยู่ข้างผมและรินเหล้าให้แทน เลยไม่มีใครสังเกตถึงความผิดปกตินี้
“ฮิเมะจัง เมื่อกี้ผมเห็นคุณเศร้ามากเลย” คู่ค้าของผมเอ่ยขึ้นเมื่อเธอนั่งลงข้างๆเพื่อจะปรนนิบัติ “เป็นอะไรรึเปล่า”
“ได้พบกับคุณแล้วฉันจะเศร้าได้ยังไงกันคะ” คุณคิโชวอินส่งยิ้มหวาน “ฉันแค่เข้าถึงอารมณ์ของบทเพลงต่างหากล่ะ”
เขามีท่าทีสนอกสนใจ เธอจึงอธิบายด้วยการแปลความหมายของเพลงให้ฟัง ท่าทางที่เหมือนการไล่จับหิ่งห้อยที่สื่ออกมาในเพลงล้วนแล้วแต่มีความหมาย
“ถ้าอย่างนั้น ที่เศร้าคือไม่สามารถไล่จับหิ่งห้อยได้สินะ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ความหมายที่แท้จริงของหิ่งห้อยน่ะ คือการมอดไหม้ในความรักที่ไม่สามารถเอ่ยคำพูดออกไปได้ค่ะ”
“ฮิเมะของเราเก่งใช่มั้ยล่ะคะ”
โอก้าซังเองก็ยิ้มไปกับทุกคนที่ดูจะทึ่งในความหมายอันลึกล้ำนี้ แต่ละคนก็ดูจะชอบเสพสื่อหรือรสนิยมทางศิลปะที่ละเมียดละไมอยู่แล้ว คุณคิโชวอินก็สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก ผมรู้ทันทีว่าเธอผูกสัมพันธ์คนกลุ่มนี้เป็นลูกค้าประจำได้แล้ว ถ้าพวกเขามาที่โตเกียวอีกก็คงจะมาหาเธอด้วยทุกครั้งอย่างแน่นอน
ผมจิบเหล้ามองดูเธอเงียบๆ นึกถึงบทสนทนากับเด็กรุ่นน้องใน Pivoine เมื่อครู่ไปด้วย
รู้สึกว่าตอนนั้น หมอนี่ก็พยายามเทียวไล้เทียวขื่อคิโชวอิน เรย์กะอยู่เหมือนกัน ที่คอยกลั่นแกล้งนักเรียนกลุ่มนอกหรือเด็กผู้หญิงที่พยายามเข้าหามาซายะ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะเอาใจเธอด้วย
ถึงจะนิสัยแย่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอเป็นคนที่สวยมากคนหนึ่ง คุณสมบัติก็เพียบพร้อม ทุกอย่างรวมกันก็มากเกินพอที่จะดึงดูดให้ผู้ชายเข้าหาแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ท่านคิโชวอินผู้สูงส่งไม่ได้มีสายตามองใครนอกจากมาซายะเพื่อนของผมอีก คนที่คิดจะจีบเธอก็ต้องผิดหวังกลับไปทั้งนั้น
ผมไม่รู้ว่าเขาจะยังหลงใหลผู้หญิงคนนี้เหมือนตอนอยู่ซุยรันรึเปล่า แต่คิดว่าเขาคงจะมาอีกหลายๆหนเพื่อมาหาเธออย่างแน่นอน ยิ่งเธอทำงานบริการแบบนี้ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้และคงต้องทำตามคำสั่งเพื่อจะเอาใจลูกค้า
สถานะเธอในตอนนี้คงปฏิเสธอะไรได้ยากหน่อย ไม่เหมือนตอนที่เป็นราชินีอยู่ที่ซุยรัน ผมจำได้ว่าเธอน่ะไม่เคยเหลือบแลมองหมอนั่นด้วยซ้ำ
สายตาเราสบประสานกันโดยบังเอิญ และคุณคิโชวอินก็เชิดหน้ามองผ่านไป ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอีกหน การกระทำแบบนี้เรียกความหงุดหงิดขึ้นมาได้นิดหน่อย ผมเลยบอกตัวเองให้หยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
เธอจะเป็นยังไงก็ช่างหัวเธอสิ ไม่เห็นต้องไปคิดอะไรให้มันมากมายเลยนี่
.
.
.
.
.
สุดสัปดาห์หลังเลิกเรียน พวกเพื่อนในคลาสนัดกันไปผับเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนที่หนักหน่วง ถึงที่แบบนี้ผมไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่ แต่ก็จำเป็นต้องมาเพื่อการสังสรรค์บ้าง พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องมีสังคมกับคนภายนอก จะคบกันอยู่แค่สองคนกับมาซายะก็ใช่ที่
ข้างในผับมีแต่กลิ่นบุหรี่และเสียงดนตรีที่สุดแสนจะหนวกหู ผู้คนแออัดเต้นในฟลอร์แคบๆ บนเวทีก็มีดีเจคอยเปิดเพลงแนว EDM และอิเล็คโทรนิคที่ไม่ค่อยจะตรงกับรสนิยมผมนัก ผมชอบแนวนั่งดื่มในบรรยากาศที่ดีๆมีดนตรีคลอเบาๆมากกว่า
นั่งได้ไม่ถึงชั่วโมง ผมก็ได้กระดาษเบอร์โทรจากผู้หญิงโต๊ะอื่นๆมาห้าหกใบแล้ว บางคนก็เลี้ยงเหล้าหรือใจกล้าหน่อยก็ตรงเข้ามาชวนไปนั่งที่โต๊ะ แต่ก็มีบางคนมาขอร่วมโต๊ะด้วย เหล่าเพื่อนๆในคลาสของผมก็คะยั้นคะยอให้ผมตอบตกลง จุดประสงค์ก็น่าจะเล็งเห็นกลุ่มเพื่อนผู้หญิงของเธอคนนี้ที่จะตามมาร่วมโต๊ะในภายหลัง
ถ้าผมตกลง พวกนี้ก็น่าจะได้ผู้หญิงเพื่อหิ้วออกไปจากผับในคืนนี้แบบง่ายๆแบบไม่ต้องไปลงทุนจีบเอง
เพื่อเป็นการเพิ่มสายสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนร่วมคลาส ผมเลยตอบตกลงไป และเธอก็เรียกเพื่อนๆให้ตามมาที่โต๊ะของพวกเรา นั่งประกบคู่ใครคู่มันเป็นที่เรียบร้อย
คุยกันอยู่ครู่หนึ่งด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป เธอก็เข้ามากอดแขนผม ใช้หน้าอกเบียดด้วยท่าทีจงใจ
“ไปเต้นกันมั้ยคะ ชู”
….ทำตัวสนิทสนมเร็วจังเลยนะ
แต่ในที่แบบนี้จะมาคิดเล็กคิดน้อยก็ใช่ที่ ผมส่งยิ้มให้ตามมารยาทในขณะที่เธอพาไปที่กลางฟลอร์เพื่อจะเบียดเสียดยัดเยียดกับผู้คนเป็นจำนวนมาก
ในขณะที่เธอเอาแขนคล้องคอและเลื้อยไปเลื้อยมาบนตัวผม ผมก็นึกอยากจะกลับไปนั่งที่มากกว่า แถมกลิ่นน้ำหอมของเธอก็ทำให้ผมรู้สึกฉุนจมูกมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วด้วย คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะไปต่อกันภายหลัง
ผมเลยขอตัวออกมา อ้างว่าหิวน้ำเลยอยากจะหาเบียร์ดื่มซักขวด ผมตรงดิ่งไปที่บาร์เหล้า สั่งเบียร์ขวดมายืนจิบแล้วมองไปรอบๆ และสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล
ถึงในผับจะมืดและมีแสงไฟสีฉูดฉาดจากเลเซอร์ที่คอยส่องให้บรรยากาศ แต่ผมจำได้ว่าหมอนั่นคือเด็กรุ่นน้องใน Pivoine อย่างแน่นอน หมอนั่นกำลังจูบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่มีใครสนใจเพราะก็มีอะไรทำนองนี้อยู่บ่อยๆให้เห็นจนเบื่อ และผมก็คงจะมองผ่านไป ถ้าไม่ได้มีเหตุการณ์หนึ่งมาดึงความสนใจเสียก่อน
เหตุการณ์ที่ว่านี่ก็คือมีผู้หญิงคนหนึ่งตรงดิ่งเข้ามาหาสองคนนั้น พูดคุยอะไรซักอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นการทะเลาะด่าทอ แต่ซักพักเจ้าเด็กรุ่นน้องของผมก็ตบเธอคนนั้นลงไปนอนกองบนพื้น ก่อนจะโอบเอวผู้หญิงคนที่เพิ่งจูบและเดินจากไปแบบไม่ไยดี
ไม่มีใครเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ทุกคนมองผ่านและเห็นเป็นเรื่องสนุก ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปช่วยเธอเหมือนกัน สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้นมาเองแล้วเดินโซเซออกไปจากที่ตรงนั้น และความคึกคักก็กลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลย
“ชูคะ มาอยู่ตรงนี้เองเหรอคะ” ผู้หญิงที่ผมเต้นด้วยเมื่อครู่เข้ามาควงแขน ทำเสียงกระเง้ากระงอด “ตามหาแทบแย่แน่ะ นึกว่าชูหลงทางซะแล้ว”
ผมยิ้มให้เธอแทนคำตอบ และกระดกขวดเบียร์ขึ้นจิบไม่พูดอะไร
“อื๋อ มีอะไรรึเปล่าคะ” เธอมองตามสายตาของผมที่ไปหยุดที่เจ้าเด็กรุ่นน้องในฟลอร์ “อ๊า เจ้าหมอนั่นมัน….”
“รู้จักผู้ชายคนนั้นเหรอ”
“ก็เคยๆคุยกันบ้างน่ะค่ะ” เธอซบลงบนแขนของผม ช้อนสายตาแบบออดอ้อน “แต่ชูไม่ต้องหึงนะคะ อดีตมันผ่านไปแล้วไม่มีรีเทิร์นแน่นอนค่ะ”
ผมมองตอบกลับไปแบบยิ้มๆ
“เล่าเรื่องคุณกับเขาให้ผมฟังหน่อยสิ”
ผมพาเธอกลับมานั่งที่โต๊ะ เพื่อนๆในคลาสลุกไปจากที่นั่นหมดแล้ว จะไปไหนหรือทำอะไรผมก็ไม่สนใจ ดีซะอีกที่ไม่มีตัวเกะกะมานั่งฟังเรื่องที่กำลังจะได้ยิน และผมก็สั่งเหล้าหรืออะไรที่เธออยากดื่มมาให้ด้วย
เมื่อเหล้าเข้าปาก อะไรก็ง่ายขึ้น เรื่องราวของเจ้าเด็กรุ่นน้องไหลออกมาอย่างกับเขื่อนแตก ทั้งเรื่องเจ้าชู้หรือใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้หญิงที่ขัดใจเขา ผู้หญิงบางคนที่มีอะไรด้วยถ้าถูกใจก็จะอัดคลิปเก็บไว้เพื่อจะส่งต่อกันในกลุ่มเพื่อน สรุปได้ง่ายๆว่าเขาเลวร้ายยิ่งกว่าคุณอิมาริอีก
คุณอิมาริเป็นคาสโนว่าที่ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าก็จริง แต่ก็ให้เกียรติผู้หญิงและสุภาพน่ารักกับพวกเธอเสมอ อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยมีประวัติทำร้ายร่างกายคู่นอนหรือเอามาพูดลับหลัง ไม่เหมือนเจ้าเด็กรุ่นน้องของผม จากการกระทำเมื่อครู่นี้ก็เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีแล้ว
“อ๊ะ แต่เขารวยจริงนะ เคยพาฉันไปที่ห้องหรูๆด้วยล่ะ ที่นั่นจัดปาร์ตี้เป็นประจำเลย”
“ปาร์ตี้”
“แหม ถึงจะบอกว่าเป็นปาร์ตี้ แต่เอาจริงๆมันก็ห้องมืดๆเปิดเพลงให้เต้นกับให้ดื่มเหล้า แล้วก็มีแจกบุหรี่ให้สูบ มันฟรีทุกอย่างเลย ว่าแล้วก็เสียดายจัง”
ผมฟังแล้วก็รู้ทันที ….บุหรี่ที่ว่านั่นคือกัญชาสินะ
แถมในงานแบบนั้นไม่น่าจะมีแค่กัญชาอย่างเดียวหรอก อาจจะมียาเสพติดหลายๆอย่างอยู่ด้วย
ดูท่ารุ่นน้องของผมจะอันตรายยิ่งกว่าที่คิดไว้ซะอีก เขาเข้าไปพัวพันกับอาชญากรรมหลายอย่างมาก ถ้าคุณคิโชวอินยังยุ่งเกี่ยวกับเขาต่อไปนี่ไม่ดีแน่
คนที่ให้ข้อมูลผมพอดื่มมากๆก็หลับคาโซฟาไป เป็นเวลาเดียวกับที่เพื่อนในกลุ่มของเธอกลับมาพอดี ผมเลยจ่ายค่าเหล้าทั้งหมดให้แล้วปล่อยเธอไว้แบบนั้น เดี๋ยวเพื่อนๆของเธอก็หามกลับบ้านไปเอง
ผมเดินผ่านบาร์เหล้าเพื่อจะออกไปจากที่นี่ ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเจ้าเด็กรุ่นน้องกับเพื่อนของเขาจับกลุ่มสูบบุหรี่กันอยู่ โชคดีที่บริเวณนี้มีคนอยู่เยอะและแสงไฟก็มีไม่มาก ผมเลยพอจะกลมกลืนไปกับผู้คนได้
“มีเด็ดๆมาบ้างป่ะวะ”
“ตอนนี้ยัง แต่เดี๋ยวก็มี” หมอนั่นพ่นควันออกจากปาก จิ้มตอบข้อความในมือถือกับใครซักคนอย่างรวดเร็วไปด้วย “นี่ก็เล็งๆไว้คนหนึ่ง แต่แม่งเล่นตัวชิบหาย…”
“ใครวะ”
“อดีตรุ่นพี่ที่โรงเรียนน่ะ สวยโคตร นมเล็กไปหน่อยแต่หุ่นเช้งกะเด๊ะ” เจ้านั่นทำมือประกอบท่าทางการพูดไปด้วย “ปกติชอบทำตัวสูงส่ง แต่ตอนนี้ตกอับแล้วยังจะเสือกหยิ่งไม่เข้าท่า”
อดีตรุ่นพี่ที่โรงเรียน ….คุณคิโชวอินสินะ
“อยากเห็นหน้าขึ้นมาเลยว่ะ”
“เออ รอให้พามาที่ห้องก่อน เดี๋ยวก็ได้เห็น”
ผมยืนฟังบทสนทนาที่น่าเลาะฟันคนพูดออกมาด้วยหมัดไปเรื่อยๆ พวกนั้นคุยกันว่าจะจัดการเธออย่างไรบ้าง จะซ่อนกล้องแอบถ่ายไว้ตรงไหน และอีกสารพัดความเลวร้ายที่พูดกันอย่างสนุกปาก
สิ่งที่ยากที่สุดในตอนนี้ก็คือห้ามตัวเองไม่ให้ตรงเข้าไปทำอย่างใจคิดนั่นคือส่งพวกมันไปลงนรก จนพวกนั้นพากันแยกย้ายจากไปผมค่อยเดินออกมาจากตรงที่ยืนอยู่ ในหัวครุ่นคิดคิดหาวิธีที่เหมาะสมในการจัดการกับขยะสังคมแบบนั้น
ที่ที่พวกแกจะอยู่ได้ก็มีแต่ในคุกเท่านั้นล่ะ
.
.
.
.
.
การจัดการปัญหาขั้นแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือต้องเตือนให้เป้าหมายรู้ตัวก่อน
ไม่ใช่ว่าผมกระหายอยากจะเป็นคนดีพิทักษ์คุณธรรมอะไร แต่จะให้ฟังว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังถูกผู้ชายหนึ่งกลุ่มวางแผนที่จะข่มขืนแล้วปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปให้เธอเผชิญชะตากรรมเอง มันคงทุเรศน่าดู
การสืบหาเบอร์โทรศัพท์ของเธอไม่ใช่เรื่องยากเย็น ไม่ทันข้ามวันผมก็ได้เบอร์ของเธอมาจากนักสืบที่จ้างไป นอกจากนั้นก็ยังมีรายงานพฤติกรรมเบื้องต้นของเธอด้วย แต่ยังเป็นเรื่องทั่วไป ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วนมากนัก
ผมโทรไปยังเบอร์ที่ว่านั่น เสียงเมื่อเธอรับสายดูงุนงงในทีแรก แต่พอผมพูดออกไปเธอก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะที่ดูเหมือนจะรำคาญ
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”
“แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณนี่นา” เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท “นี่มันวันหยุดของฉันนะ จะให้ฉันเอาเวลาพักผ่อนที่แสนมีค่ามาทิ้งไว้กับคุณเนี่ยนะ ไม่เอาด้วยหรอก”
“คุณคิโชวอิน….นี่เรื่องสำคัญ”
“แต่ถ้าจ่ายเงินมาล่ะก็ จะลองคิดดูก็ได้”
“เท่าไหร่”
“แหมๆ พูดกันรู้เรื่องแบบนี้ค่อยน่าคุยด้วยหน่อย”
เธอบอกจำนวนที่ต้องการมา เป็นจำนวนสูงเลยล่ะ แต่ผมก็จ่ายเพราะขี้เกียจจะมาต่อล้อต่อเถียงเรื่องไร้สาระแบบนี้
ผมขับรถไปรับเธอจากหน้าที่พักตามที่ตกลงกันไว้ทางโทรศัพท์ เธอใส่ชุดเดรสลูกไม้สีขาวตกแต่งด้วยริบบิ้นดูเป็นคุณหนูผู้เรียบร้อยอ่อนหวาน แต่ปากนั้นพ่นวาจาไม่น่าฟังออกมาตั้งแต่ประโยคแรกที่ทักทาย
“จะทำอะไรก็รีบๆหน่อยนะคะ ฉันไม่ค่อยว่างซะด้วยสิ นี่ก็นัดท่านอิมาริเอาไว้ช่วงเย็นต้องรีบกลับไปแต่งตัวสวยๆไว้รอ”
ผมพยายามสงบสติอารมณ์และห้ามตัวเองไม่ให้ทำอะไรรุนแรงอย่างเช่น จับหัวเธอโขกกับคอนโซลรถเป็นต้น
“ผมเจอรุ่นน้อง Pivoine มาร้านที่คุณทำงาน ….เขาเป็นหนึ่งในลูกค้าของคุณด้วยรึเปล่า”
“เอ รุ่นน้องใน Pivoine ก็มีหลายคนซะด้วยสิ คนไหนกันเหรอคะ”
“คุณรู้ว่าผมพูดอะไรอยู่”
เธอเลิกคิ้ว แต่สักพักก็แสยะยิ้มที่ดูน่าเกลียดออกมา
“คุณนี่ยังไงนะ เจอหน้ากันทีไรก็ถามถึงแต่ผู้ชายที่เข้าหาฉันตลอด หึงฉันเหรอค้า”
“คุณคิโชวอิน”
“ก็ได้ๆ เขาเป็นหนึ่งในลูกค้าของฉัน แล้วจะทำไมล่ะ” คุณคิโชวอินถอนหายใจด้วยท่าทีเซ็งๆ “ฉันก็ปรนนิบัติเขาเหมือนที่ทำกับกลุ่มของพวกคุณนั่นล่ะ พอใจรึยัง”
“แล้วคุณได้ออกไปไหนมาไหนกับเขารึเปล่า เขาพาคุณไปที่แปลกๆบ้างมั้ย”
“นี่คุณพูดเรื่องอะไรเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้วนะ”
“กรุณาตอบคำถามผมด้วย คุณคิโชวอิน”
“หยาบคายมากเลยนะคะที่ถามกันแบบนี้” เธอมองผมด้วยท่าทีขุ่นเคือง “ฉันไปแค่กับท่านอิมาริเท่านั้นล่ะค่ะ”
เธอนิ่งไปอีกพักหนึ่งก็แสยะยิ้ม ปลายนิ้วเล่นผมม้วนๆของตัวเองไปมา เป็นท่าทางที่เธอชอบใช้เสมอเวลาที่อยากจะกวนประสาทผม
“แต่ถ้าเขามาขอให้ฉันไปด้วยแบบท่านอิมาริ ฉันจะปฏิเสธได้ยังไงกันน้า ฉันก็ต้องการผู้ชายรวยๆอยู่ด้วยสิ เจ้าเด็กนั่นก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย...”
“คุณคิโชวอิน….”
“.....ตอนอยู่ซุยรันเขาก็เทิดทูนฉันเป็นเจ้าหญิงด้วยนี่นะ น่าจะยอมจ่ายได้ไม่อั้นเพื่อฉันเหมือนกัน หนักใจจัง จะเลือกใครดีน้า”
“อย่าไปยุ่งกับเขา”
“คิดว่าตัวเองเป็นใครคะ ทำไมฉันต้องฟังคำสั่งคุณด้วย” เธอมองผมด้วยหางตาแบบเดียวกับทุกๆครั้ง “อีกอย่างฉันไม่ได้มีสิทธิ์เลือกลูกค้านะคะ ถ้าเขาเลือกฉันเองฉันจะปฏิเสธได้ยังไงกัน”
“ผู้ชายคนนั้นมีข่าวแย่ๆเรื่องผู้หญิงและการใช้กำลัง ผมถึงไม่อยากให้คุณไปยุ่ง”
ผมเกือบจะหลุดคำว่า แค่คุณอิมาริคนเดียวยังไม่พอรึไง แต่ก็ต้องยั้งปากไว้ มันฟังดูเหมือนคำพูดในลักษณะที่หึงหวงตัดพ้อมากเกินไปหน่อย
คุณคิโชวอินทำตาโต
“นี่คุณตามสืบเรื่องเขาเหรอ”
“เปล่า” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ “แค่บังเอิญไปได้ยิน”
เธอพ่นลมหายใจแล้วมองกลับมาด้วยสายตาดูถูก
“แค่นี้ก็ต้องเอามาเตือนกันด้วยเหรอคะ นึกว่าจะมีอะไรซะอีก เสียเวลามานั่งฟังจริงๆ”
“....”
“อ๊ะ แต่คุณก็จ่ายเงินให้ฉันแล้วนี่เนอะ งั้นฉันจะไม่หงุดหงิดกับเรื่องไร้สาระนี่ก็แล้วกัน” เธอหัวเราะด้วยเสียงแหลมสูง “มีอะไรจะพูดอีกมั้ยคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะได้ไปซักที นี่ก็จะครบชั่วโมงแล้วด้วย”
ผมกัดฟันอย่างรู้สึกแค้นเคืองในความโง่ของตัวเองที่มายุ่งกับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว ทำไมผมต้องลำบากขนาดนี้เพื่อจะเตือนเธอด้วย ให้เธอไปเจอด้วยตัวเองแล้วรอสมน้ำหน้าไม่ดีกว่ารึไง
คุณคิโชวอินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี คอยบอกทางให้ผมขับไปยังสถานที่ที่เธอกำลังจะไป เมื่อใกล้ๆถึงสถานีรถไฟเธอก็บอกให้จอดเพราะเธอจะเดินไปเอง น่าจะไม่อยากให้ผมรู้ว่ากำลังจะไปที่ไหนแบบแน่ชัด
ก่อนลงจากรถ อยู่ๆเธอก็หันมามองผมครู่หนึ่งแล้วส่งยิ้มแปลกๆ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีนัก
“ถ้าไม่อยากให้ฉันไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นนักล่ะก็ คุณก็มาเป็นผู้อุปถัมภ์ของฉันสิคะ”
คุณคิโชวอินเบียดเนื้อตัวเข้ามาชิด ซบหน้าลงบนไหล่ของผมแล้วช้อนสายตาขึ้นมองอย่างออดอ้อน
“ถ้าฉันมีผู้อุปถัมภ์แล้วล่ะก็ คงไม่ต้องไปหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายแบบนี้อีก”
“คุณคิโชวอิน อย่ามาล้อกันเล่นแบบนี้”
“ใครบอกฉันล้อเล่นล่ะ” เธอวางมือลงบนหน้าของผมแล้วลูบไล้ “ฉันน่ะ ...อยากได้ผู้ชายรวยๆมาเลี้ยงจะตายไป ใครก็ได้ฉันไม่เกี่ยงหรอก ต่อให้เป็นคุณฉันก็ยินดี”
“.....”
“ค่าตัวฉันไม่แพงหรอกนะ น่าจะน้อยกว่าเงินใช้จ่ายรายเดือนของคุณด้วยซ้ำ แล้วคุณจะทำอะไรกับฉันก็ทำได้หลายอย่างเลยนะ อย่างเช่นแบบนี้...”
เธอยันตัวข้ามเบาะ ปีนขึ้นมานั่งตักผมในลักษณะนั่งคร่อม เอาแขนคล้องเข้ากับคอ ส่งเสียงกระซิบที่ฟังดูหวานหยาดเยิ้ม
“ไม่สนใจหน่อยเหรอคะ ท่าน...เอ็น...โจ”
ที่แคบๆแบบนี้จะขยับไปทางไหนก็ไม่ได้ ผมขืนตัวเองไว้เพราะเกรงว่าจะไปโดนยังจุดที่ไม่เหมาะไม่ควรเข้า แต่กลายเป็นว่าเธอเอาตัวเข้ามาชิดมากขึ้นกว่าเดิมอีก ความอ่อนนุ่มที่บดเบียดอยู่กับแผงอกและกลิ่นหอมที่รวยรินมาจากตัวเธอทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“อ๋อ ใช่แล้ว วันนี้คุณซื้อตัวฉันไว้นี่นะ” เธอปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดบนของผม ให้ฝ่ามือเข้ามาสัมผัสกับผิวเนื้อโดยตรง “งั้นให้ฉันบริการให้มั้ย ถือว่าทดลองงานก่อนตัดสินใจซื้อจริงก็ได้”
“อย่าทำแบบนี้ คุณคิโชวอิน” ผมกดเสียงลงต่ำ “ผมเตือนแล้วนะ”
“แล้วจะทำอะไรเหรอคะ จะตบฉันเหรอ ใช้กำลังมันไม่ดีนะ” เธอทำเป็นไร้เดียงสา แต่มือยังคงลูบไล้ผมไปเรื่อยๆ “ว่าแต่ผู้ชายชอบให้ทำแบบนี้นี่นา คุณไม่ชอบเหรอ”
คุณคิโชวอินมองผมขึ้นๆลงๆอยู่ครู่หนึ่งก็เหยียดยิ้ม
“ตายจริง ท่านเอ็นโจที่สาวๆหลงใหลใฝ่ฝันกันครึ่งโรงเรียนไม่มีรสนิยมชอบผู้หญิงหรือคะเนี่ย แหมๆ”
ผมเข้าใจแล้วว่าคนเราจะหน้ามืดฆ่าคนเพราะโมโหจนขาดสติได้อย่างไร ผู้หญิงคนนี้ยังคงยั่วโทสะผมได้เก่งเสมอต้นเสมอปลายไม่เคยเปลี่ยน ความโกรธจากเดิมที่คุกรุ่นอยู่แล้ว คำพูดของเธอก็เหมือนสาดน้ำมันเข้ากองไฟให้ไฟนั้นโหมกระพือมากขึ้นไปอีก
แต่เธอคงไม่ได้สังเกตอะไร เพราะกำลังแกล้งทำเป็นถอนหายใจและดึงมือออกจากเสื้อ
“ที่ฉันลงทุนเปลืองตัวขนาดนี้ก็เสียแรงเปล่าสินะคะ”
“ไม่หรอก” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ รั้งตัวเธอไว้ไม่ให้ลุกขึ้นไป “มันได้ผลดีมากๆเลยล่ะ”
คุณคิโชวอินเลิกคิ้วขึ้น และผมก็ไม่เห็นอะไรอีกนอกจากดวงตาของเธอที่อยู่ใกล้มาก ใกล้กว่าครั้งไหนๆ
ความอ่อนนุ่มคือสิ่งแรกที่รู้สึก ตามมาด้วยความเจ็บเพราะผมกดริมฝีปากเข้ากับปากของเธอ มันแทบไม่ใช่การจูบด้วยซ้ำ เหมือนกับการเอาชนะอะไรซักอย่างมากกว่า
การกระทำแบบนี้มันหยาบช้า แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องสุภาพกับคนแบบนี้ เธอล้ำเส้นมากเกินไปและไม่ได้แคร์ความรู้สึกของผม ผมก็ไม่ต้องแคร์ความรู้สึกของเธอเหมือนกัน
เธอพยายามขืนตัวหนี แต่ผมประคองใบหน้านั้นไว้ไม่ให้หนี รวบข้อมือเล็กๆที่พยายามทุบตีไว้ได้ด้วยมือข้างเดียว ผละออกเล็กน้อยก็ตอนที่เอียงหน้าเพื่อจะหามุมที่จูบได้ถนัดกว่าเก่า ไม่ได้กระแทกกระทั้นแบบเมื่อครู่ ไม่ใช่ว่าผมเห็นใจหรือนึกสงสารขึ้นมา แต่เป็นเพราะผมเจ็บปากต่างหาก
เมื่อไม่ได้รุนแรง ความนุ่มนวลก็เข้ามาแทนที่ ผมบดคลึงริมฝีปากลงบนกลีบปากนั่นเบาๆ ความร้อนวาบแผ่จากอกไปจนถึงบริเวณท้องน้อย เป็นความรู้สึกประหลาดบอกไม่ถูก
นี่เป็นครั้งแรกที่ทำแบบนี้มันเลยออกจะดูเก้ๆกังๆไปบ้าง ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร แต่ฟังจากเสียงครางเบาๆในลำคอของเธอก็รู้สึกได้ว่ากำลังมาถูกทาง
เมื่อฝั่งนั้นเผยอปากขึ้น ผมก็สอดลิ้นเข้าไปด้านในแตะสัมผัสกับลิ้นของเธอ ปฏิกริยาทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติแบบที่ผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน
ความอ่อนนุ่มที่อยู่ในมือทำให้หัวใจผมเต้นสั่น กลิ่นหอมที่คลอเคลียอยู่บริเวณจมูกและรสสัมผัสที่ปากเหมือนจะมอมเมาสติ ทั้งหวานและหอมจนบางอย่างในตัวผมมันบอกให้กินเธอซะเดี๋ยวนี้
...ไม่ได้!!
ผมต่อสู้กับความรู้สึกภายในใจ แต่จิตสำนึกในด้านดีก็ยังเป็นฝ่ายชนะ ไม่ใช่ว่าผมเกิดอยากจะมีศีลธรรมขึ้นมา แต่เป็นเพราะกลางวันแสกๆแบบนี้แถมเป็นที่จอดรถที่ใครจะผ่านไปผ่านมาตอนไหนก็ไม่รู้ คงจะไม่เหมาะกับการทำเรื่องอย่างว่านัก
เมื่อผมผละริมฝีปากออก ลึกๆแล้วรู้สึกเสียดายความหวานที่เพิ่งได้ลิ้มรส
คุณคิโชวอินดูมึนงงและกำแขนเสื้อผมไว้แน่น กระพริบตาปริบๆเหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ สองข้างแก้มแดงก่ำและหอบหายใจเหมือนเพิ่งไปออกแรงวิ่ง
ริมฝีปากเธอยังคงเผยอในลักษณะเดิมเหมือนที่ถูกจูบ มันฉ่ำวาวและเป็นสีแดงระเรื่อเหมือนเชิญชวนให้ผมกระทำความผิดอีกหน
“ทีนี้รู้รึยังว่าผมจะทำอะไรคุณได้” ผมคลายอ้อมแขนออก เธอรีบถอยกรูดไปชิดประตูฝั่งตรงข้ามคนขับให้ได้มากที่สุด “ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก”
คุณคิโชวอินเอาหลังมือถูริมฝีปากตัวเอง ถลึงตามองจ้องผมด้วยสายตาเคืองแค้น
“แล้วก็ฟังนะ เจ้าเด็กนั่นก็วางแผนกับเพื่อนที่จะจัดการคุณ ถ้าไม่อยากเป็นนางเอกหนังโป๊แนวรุมข่มขืนมีคลิปว่อนเน็ตก็อย่าไปยุ่งกับเขา แล้วก็อย่ากินอะไรที่หมอนั่นเสนอให้ด้วย”
เมื่อผมจอดส่งที่สถานีรถไฟตามที่บอกไว้ เธอก็วิ่งจ้ำอ้าวหนีไปเลย ดูไปแล้วก็คล้ายๆกระต่ายกระโดดหนีเวลาถูกไล่ล่าเหมือนกัน แถมวันนี้ชุดที่ใส่ก็ยังเป็นสีขาวซะด้วย
...กระต่ายขาว
ภาพเจ้าสัตว์ตัวเล็กๆหูยาวขนฟูนิสัยขี้กลัวปรากฎอยู่ในหัว เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนนั้น ผมก็ต้องหัวเราะออกมา เพราะไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย
แต่จากจินตนาการไม่เข้าท่านั่นก็ทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาหลายเท่าจากเมื่อครู่ แม้จะต้องส่ายหน้าแบบอ่อนใจเล็กน้อยเพราะเรื่องนั้นก็ตาม
“ไม่เห็นจะเหมาะตรงไหนเลย”
---------------------------
ไม่ได้เขียนฟิคนี้ซะนาน รู้สึกว่ามันยาวจังเว้ย แถมยังมีแต่น้ำอีก
โม่งเกอิชา🥺🥺🥺รักฟิคนี้~~// จะว่าไปกูรู้สึกเหมือนอ่านฟิคนี้มานานเหมือนกันนะ55555555555
โม่งเกอิชา คิดถึงงงงงง ขอบคุณสำหรับฟิค แงงงง
โม่งเกอิชา ขอบใจสำหรับฟิคมาก งานดีเหมือนเดิมเลยยยยย
ฟิคนายตัวสำรอง
(4)
“ผมยังไม่ได้ขอโทษคุณคิโชวอินเลยที่เบี้ยวนัดไปครั้งก่อน” เอ็นโจพูดด้วยท่าทางจริงจัง
“วันนั้นที่ผมกับยูกิโนะไม่ได้ไป ผมไม่มีข้ออ้างอื่นเลยจริง ๆ ” เอ็นโจเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานะครับคุณคิโชวอิน” พูดจบแล้วเขาก็โค้งตัวลงขอโทษ
เป็นจริงเป็นจังจนฉันตัวสั่นไปหมด ใครมันจะไปกล้ารับการโค้งขอโทษของท่านเอ็นโจละค๊า
“ไม่เป็นหรอกค่ะท่านเอ็นโจ” ฉันพูดขึ้นมาอย่างรีบร้อน อ่า เสียกริยาจนเอ็นโจที่ตัวตรงกลับมาแล้วมุ่นหัวคิ้วขึ้นนิดหน่อย แต่ถ้าไม่รีบแล้วมีคนมาได้ยินเข้ามากกว่านี้ก็น่ากลัวว่าจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่น่ะซี่ นี่มันระเบียงทางเดินตอนพักเที่ยงนะ หมอนี่ทำอะไรไม่คิดเลยจริง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนุ่มน้อยคาซึรางิเจ้าปัญหาที่ถ้าเห็นคงจะไม่พ้นพรวดเข้ามาจิกฉันไม่ปล่อย
“ก็วันนั้นท่านเอ็นโจติดธุระนี่คะ” ฉันฝืนอมยิ้มให้ไปหนึ่งครั้งเร็ว ๆ “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” หมอนี่ล้อกันเล่นรึเปล่า ขอโทษในที่สาธารณะขนาดนี้ คิดมาแล้วสินะว่าฉันจะไม่กล้าปฏิเสธนาย
เอ็นโจ นายคิดถูกแล้วล่ะ คิโชวอิน เรย์กะ, ฉันจะไปกล้าบอกว่าฉันโมโหนายได้ยังไง ถึงแม้ว่าแค่พูดถึงวันนั้น ความอับอายที่ได้รับจะทำให้ฉันแข้งขาอ่อนแรง แต่ใครมันจะกล้ากับ ‘เจ้าชาย’ ของโรงเรียน
ทั้งที่ฉันยังจำได้ดีว่าน้ำเสียงเรียบนิ่งของเอ็นโจที่โทรมาบอกว่าติดธุระ คงไปไม่ได้แล้วมันเป็นยังไง ซึ่งมันคงจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าเอ็นโจจะโทรมาบอกก่อนวันนัด-แม้แต่วันเดียวก็ยังดี แต่เอ็นโจดันโทรมาบอกในวันนั้นเลย และก่อนถึงเวลานัดเพียงแค่ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
ฉันที่แต่งตัวยืนอยู่หน้าภัตตาคารแล้วพูดกับโทรศัพท์ว่าไม่เป็นไรยังไม่ทันจบก็โดนตัดสายทิ้ง
ตอนนั้นฉันพลันรู้ขึ้นมาว่าการที่สัมผัสได้ถึงความเหน็บหนาวของความอ้างว้างและหิมะที่พรั่งพรูในใจทั้งที่อยู่ในหน้าร้อนน่ะมันเป็นอย่างไร
มันเย็นเฉียบไปตั้งแต่หัวจรดเท้าเชียวล่ะค่ะ
ถึงจะจำไม่ได้จริง ๆ ว่าในโลก [เธอคือdolceของฉัน] เรย์กะจะเคยถูกยกเลิกนัดกะทันหันขนาดนี้รึเปล่า แต่ฉันในวันนั้นนอกจากที่จะไม่ได้เจอเทวดาน้อยแล้ว ยังตกเป็นเป้าให้คนซุบซิบว่าคุณหนูคิโชวอินถูกคนเทนัดหน้าภัตตาคาร
ฉันเกือบจะโกรธจนไม่มีวันให้อภัยหมอนั่นอยู่แล้ว
แต่การที่เขาไม่มาทำให้ฉันฉุกคิดได้ว่า นี่ฉันทำอะไรอยู่ ฉันเข้ามาเป็นคิโชวอิน เรย์กะจนเกือบจะคิดว่าฉันเป็นคิโชวอิน เรย์กะไปจริง ๆ ซะแล้ว เอ็นโจเองก็เป็นแค่ตัวละครหนึ่งตัว ฉันจะไร้สาระไปโกรธหมอนั่นทำไมกัน บางทีการที่เขาไม่ไว้หน้าคิโชวอิน เรย์กะอาจจะเป็นสัญญาณเตือนถึงหายนะของบริษัทที่กำลังคืบคลานเข้ามา ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่สู้ฉันไปใส่ใจกับเป้าหมายที่ฉันตั้งไว้ดั้งเดิมยังจะดีกว่า
ข้อแรกคือการหลีกเลี่ยงการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น โกรธเอ็นโจเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้โดยเด็ดขาด ข้อสองมัธยัสถ์อดออมฉันก็ยังคงยึดถือทำอยู่เสมอมา ส่วนข้อสามกับข้อสี่...ดูเหมือนว่าฉันจะถอนตัวไม่ทันแล้ว แต่อย่างน้อยที่ฉันทำไปคือการสนับสนุนอ้อม ๆ ให้ทั้งคู่นั่นแหล่ะนะ
เหลือข้อห้าที่ฉันยังพยายามอย่างเต็มที่ให้ถึงเป้าหมาย
ก็คือโดยสรุปแล้วก็คือห้ามโกรธเอ็นโจเด็ดขาด ดีไม่ดีฉันควรต้องขอบคุณที่ทำให้ตัวฉันตาสว่างด้วยซ้ำไป
ถึงน้ำเสียงนั่นจะยังคงบาดหูฉันมาถึงทุกวันนี้ก็เถอะ
“คุณคิโชวอินไม่โกรธผมจริง ๆ น่ะเหรอ” เอ็นโจขยับเข้ามาใกล้ แต่แหมกุลสตรีกับสุภาพบุรุษน่ะจะต้องมีระยะห่างที่เหมาะสมต่อกันนะคะ ฉันเลยเดินขยับออกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานที่สุดในชีวิต
“ท่านเอ็นโจมีธุระนี่คะ”
แต่เอ็นโจก็ยังขมวดคิ้วอยู่ดี “คุณคิโชวอินยังไม่ได้ตอบผม” เขาว่าแล้วเดินเข้ามาหาอีกรอบ อ๋า ไอ้หมอนี่ จริง ๆ เลยนะ ฉันไม่ได้อยากเป็นข่าวซุบซิบกับนาย เลิกเดินเข้ามาซักทีได้แล้ว
ฉันเหลือบตาไปมองเงาคนที่กล้าเดินผ่านการประจันหน้าของฉันกับอีตาเอ็นโจ
นายตัวสำรอง!
ขอบคุณอะไรก็ตามที่ดลใจให้นายตัวสำรองเดินมาได้ถูกจังหวะ หมอนั่นเดินเฉียดผ่านฉันกับเอ็นโจไปแบบไม่ทักทาย แต่นั่นไม่เป็นไร สหาย! นายคือคนที่จะช่วยฉันจากเงื้อมมือจอมมาร นายก็เป็นตัวละครหนึ่งตัวเหมือนกัน แต่นายเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อของวาคาบะจังที่เป็นคนดี ไม่เหมือนเจ้าคนหน้ายิ้มที่นอกจากบทบาทเป็นเพื่อนสนิทของคาบุรากิแล้วฉันก็ไม่เข้าใจตรงนั้น “อ้ะ มิซึซากิคุง มิซึซากิคุง เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป”
นายตัวสำรองหมุนตัวกลับมาแบบทื่อ ๆ ด้วยหน้าตามึนงงแบบสุด ๆ หมอนี่คงไม่คิดเด็ดขาดว่าฉันจะรั้งไว้
“เมื่อเช้ามิซึซากิคุงบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับฉันใช่ไหม” ฉันส่งรอยยิ้มเอสโอเอสไปให้ “ทำไมเราไม่คุยกันตอนนี้เลยล่ะ”
ช่วงเวลาแห่งการรอคอยมันช่างทรมาน ฉันภาวนาให้นายตัวสำรองเข้าใจสิ่งที่ฉันจะสื่อ เห็นหมอนั่นเหลือบตาไปมองเอ็นโจแวบหนึ่งก่อนจะตอบรับ
“ได้” นายตัวสำรองพยักหน้า “ถ้างั้นก็ไปกันเลยแล้วกัน ไปก่อนนะ เอ็นโจคุง”
เข้าใจสัญญาณขอความช่วยเหลือของฉันจริง ๆ ด้วย ฉันมองตามหลังของนายตัวสำรองที่เดินนำไปก่อนด้วยสายตาวิ้งวับแบบออกนอกหน้า สมแล้วที่เป็นประธานนักเรียนที่ได้คะแนนโหวตท่วมท้น
“ลาก่อนนะคะท่านเอ็นโจ” ฉันยิ้มแล้วบอกลา พยายามเก็บความดี๊ด๊าของตัวเองลงไปให้ลึกที่สุด
“อื้ม” เอ็นโจที่กลับมายิ้มแล้วพยักหน้าเบา ๆ “ไว้เจอกันที่สโมสรนะ คุณคิโชวอิน”
นะ นั่นมันคำขู่...ขู่ฆ่ากันกลางวันแสก ๆ อย่างนี้เลยรึคะ
อา ท้องของฉัน เหมือนจะปวดขึ้นมาจริง ๆ แล้วล่ะค่ะ
กูมี Short fic กาวๆมาให้พวกมึงอ่านกัน คู่คาบุเรย์กะ ได้มาเพราะอยู่ดีๆกูก็อยากเห็นท่านเรย์กะยืนกลางสายฝนเหงาๆขึ้นมา ขอตั้งชื่อว่า "คิโชวอิน เรย์กะกลางสายฝน" แล้วกัน
มันเป็นฟิคแรกของกู อาจมีตอนต่อถ้าพวกมึงชอบ แต่กูหวังอย่างเดียวว่าพวกมึงจะอ่านแบบไม่ติดขัดนะ
----
Kaburagi's OPV
ระหว่างตอนที่ออกมาข้างนอก อยู่ดีๆก็เห็นคนคุ้นตาผ่านกระจกรถ
เดี๋ยว นั่นมัน…คิโชวอินนี่?
พอรู้สึกตัวอีกทีก็เผลอบอกให้คนขับรถหยุดแบบกะทันหันซะแล้ว ไว้จะขอโทษทีหลังละกัน แต่ตอนนี้ต้องไปจัดการยัยลูกคุณหนูตรงนั้นก่อน
นี่เธอยืนกลางพายุฝนไม่อายใครเลยเรอะ แอบคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงสายฝนรึยังไงหา ร่มก็ไม่มีอีกต่างหาก ช่างไม่เตรียมพร้อมเอาซะเลย
แล้วอีกอย่างไอ้เดรสบางๆนั่นแนบเนื้อหมดแล้ว เธอไม่รู้สึกหนาวบ้างรึไง
ให้ตายสิ ลำบากฉันอีกแล้วสินะ ระหว่างที่คิดแบบนั้นก็ดันเปิดประตูรถออกมาซะแล้ว ร่มที่มีในรถจะขนาดใหญ่พอให้สองคนยืนไม่เปียกไหมนะ เอาเหอะ ค่อยคิดอีกทีแล้วกัน
ช่วยสำนึกชื่อ คาบุรากิ มาซายะ ผู้นี้เข้ากะโหลกด้วยล่ะ แค่วันนี้เท่านั้นนะที่ฉันจะมีน้ำใจให้ยืมร่มไปใช้ก่อนอย่างสุภาพบุรุษน่ะ!
“จะยืนตากฝนก็ไม่อยากขัดหรอก แต่ถ้าเธอป่วยขึ้นมาเพราะทำแบบนั้นล่ะก็คงน่าเวทนาน่าดู”
ฉันยื่นร่มเข้าไปบังตัวคิโชวอิอย่างรวดเร็ว ร่มใหญ่ไม่พอเลยต้องแอบขยับเอนไปให้คิโชวอินมากกว่านิดหน่อย ท่าทีของเธอสับสนไม่ใช่น้อย เอาเถอะ ก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอก
“ท่านคาบุรากิ?” สายตาของคิโชอินไม่เหมือนเดิมจนตัวฉันถึงกับชะงักตอนมองเข้าไป มันทิ้งสิ้นหวัง หม่นหมอง เศร้าสร้อย น้ำที่ไหลผ่านแก้มซีดๆนั่นทำเอาฉันแยกไม่ออกเลยว่าเป็นน้ำตาหรือฝนกันแน่
อะไรน่ะ นี่ยัยคิโชอินเป็นอะไรไป
มีใครแย่งเธอเก็บนักษัตรหรอ?
“ท่านคาบุรากิมาทำอะไรที่นี่หรอคะ” เธอพยายามแค่นเสียงตอบให้ดูเหมือนปกติที่สุด แต่นั่นมันโง่มาก เสียงแหบๆแบบนั้นน่ะต่อให้เอาไปหลอกเด็กอนุบาลยังไม่น่าเชื่อเลย แล้วอีกอย่างนะ…..จากที่ดูแล้วคนที่ต้องถามมันควรเป็นฉันสิ
“แค่ผ่านทางมาเท่านั้นแหละ เธอต่างหากที่มาทำอะไร คนบ้านคิโชวอินหายไปไหนหมด” ฉันถามด้วยความเป็นห่วงออกไปทันที ไม่ว่ายังไงสถานการณ์ตอนนี้มันก็จะน่าสงสัยเกินไปแล้ว
รอยยิ้มของคิโชวอินดูฝืดเคืองอย่างประหลาด และในท้ายที่สุดเธอก็ยอมรับเสียงแผ่วว่าออกมาลำพังโดยที่ไม่ได้บอกใคร
นี่เธอ ช่วยตระหนักความสำคัญของตัวเองในฐานะคุณหนูบ้านคิโชวอินให้มากกว่านี้หน่อยได้ไหมเนี่ย ทำเรื่องเสี่ยงๆแบบนี้ได้ไงกันน่ะ ฉันขอยอมรับในตัวเธอจริงๆ มีไม่กี่คนนะที่ทำฉันตกตะลึงได้ถึงขนาดนี้ คิโชวอิน เธอมันเกินความเข้าใจของฉันไปแล้วสินะ
“คิโชวอิน ผู้หญิงตัวคนเดียวมายืนท้าฝนกลางพายุแบบนี้มันอันตรายนะ” แถมตอนแรกยังแอบนึกอีกว่าเป็นผีแน่ะ ถ้าไม่เห็นผมม้วนหลอดของเธอฉันคงจะผ่านไปแล้ว
ขอบคุณทรงผมที่อย่างกับหลุดมาจากตุ๊กตาของตัวเองซะเถอะนะ ที่เด่นมากๆจนเห็นทะลุฟิล์มกระจกรถฉันได้น่ะ
“….นั่นสินะคะ” คิโชวอินยิ้มออกมาบางๆตอบกลับมาเป็นมารยาท เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกฝืนทนสิ้นดี รอยยิ้มแบบที่ใครเห็นก็ต้องอยากจะร้องไห้ออกมา และนั่นทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย
คิโชวอินเหม่อมองออกไปไกล สายตาเธอหยุดลงที่ใดก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ เธอที่หลบซ่อนสายฝนใต้ร่มคันเดียวกับฉันชวนให้คิดถึงอะไรแปลกๆอยู่เหมือนกัน แต่จากที่ดู คิโชวอินคงยังไม่อยากจะกลับบ้านเร็วๆนี้แน่
ฉันถอนหายใจ จะปล่อยให้เพื่อนอยู่คนเดียวในสภาพนี้ มันก็คงไม่ใช่ทีหรอกมั้ง?
“คิโชวอิน ขึ้นรถ!” ฉันออกคำสั่ง กึ่งลากกึ่งจูงเธอออกมาจากลานกว้างตรงนั้นในระหว่างที่ยัดเยียดให้เธอถือร่มไปด้วย
“ เอ๋! คะ?? ท่านคาบุรากิ! จะทำอะไรน่ะคะ!!!”
คิโชวอินที่เพิ่งหลุดออกมาจากภวังค์โลกส่วนตัวหวีดร้องเบาๆเมื่อฉันใช้แขนโอบร่างเปียกๆของเธอให้เข้ามาด้านในของร่ม และเสียสละตัวเองยืนด้านนอกของร่มเพื่อกันละอองฝน ให้ตาย ยัยนี้ตัวเย็นเฉียบเลย ยิ่งกว่าน้ำแข็งซะอีก ถ้าปล่อยให้ยืนอย่างนั้นต่อไปคงไม่พ้นเป็นลมสลบเพราะอากาศหนาวแน่
เอาเถอะ ไว้ค่อยคิดก็แล้วกัน ฉันก้าวเท้า พยามกระชับคิโชวอินให้แนบติดกับตัวฉันเองให้ได้มากที่สุด ถึงจะเปียกก็ช่างมันปะไร อย่างน้อยถ้ามันช่วยให้เธออุ่นขึ้นได้สักหน่อยก็คงดี
เมื่อมาถึงรถ ฉันก็ดันร่างเธอเข้าไปโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
“ท่านมายาซะ เธอคนนี้….” คนขับรถทำหน้าแปลกใจและออกจะผวาไม่น้อยยามที่ฉันขึ้นรถมาได้สำเร็จ อะไรกัน คนที่บ้านน่าจะคุ้นเคยกับคิโชวอินในระดับนึงแล้วไม่ใช่เรอะ
“กลับคฤหาสน์” เพราะขี้เกียจอธิบายเลยสั่งไปเรียบๆ และยังดีที่คนขับรถไม่คิดจะถามอะไรอีก ระหว่างที่เอื้อมมือไปเพิ่มอุณหภูมิในรถก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเบลเซอร์ที่ถอดทิ้งไว้วางข้างๆผ้าขนหนูสะอาดที่ยังไม่ได้ใช้อยู่ด้วย โชคดีจริงๆ ให้คิโชวอินเปียกโชกเหมือนลูกหมาแบบนี้ไม่ได้ด้วย เลยถือโอกาสใส่คลุมให้เสียเลย แน่นอนว่าผ้าขนหนูนั่นก็ต้องเช็ดตัวเธอให้ด้วย ท่าทีเงอะงะแบบนั้นกว่าจะจัดการเองเสร็จก็คงถึงบ้านก่อนแน่
รีบทำให้ร่างกายอบอุ่นซะ อ่อนแอแบบนี้ถ้าป่วยขึ้นมาคงหายยากน่าดู
คิโชวอินบ่นอุบอิบพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเบาๆในระหว่างที่ฉันใช้ผ้าขนหนูซับน้ำออกไปจากผมเกลียวที่คลายแล้วของเธออย่างเบามือ พอแอบเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงสะอื้นคลอมากับศัพท์ที่จับใจความไม่ค่อยได้ ‘ใจดี’บ้างล่ะ ‘ใกล้ไป’บ้างล่ะ ‘ไม่เห็นต้องมาช่วยเลย’บ้างล่ะ อะไรกันล่ะนั่น ไม่เห็นเข้าใจเลย
“……..ขอบคุณนะคะ”
แต่อย่างน้อยเสียงกระซิบอ้อมแอ้มนั่นน่ะได้ยินชัดเจนนะ
ฉันผุดยิ้มออกมา วินาทีนึงก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่มันคงเป็นเพราะแววตาสิ้นหวังแบบนั้นของคิโชวอินไม่มีอีกแล้ว อื้ม อื้ม ถึงตาจะคลอด้วยน้ำตาแถมทำหน้าน่าเกลียดไปบ้าง แต่ในที่สุดยัยนี่ก็กลับมาเป็นคิโชวอินแบบปกติสักที
เธอไม่เหมาะกับหน้าว่างเปล่าเหมือนไม่มีชีวิตหรอก ไม่ว่าใครก็ต้องยืนยันเป็นเสียงเดียวกับฉันอย่างแน่นอน!
แต่ตอนนี้เริ่มเครียดซะแล้วสิ….ถ้าท่านแม่รู้ว่าพาคิโชวอินสภาพนี้เข้าบ้าน จะโดนพูดว่าอะไรบ้างล่ะเนี่ย…..
-----------------
จบละมึง ทำไมแลดูไม่เหมือนคาบุรากิเลยวะ กุเผลอใส่ฟิลเต้อให้นางหล่อขึ้นรึเปล่าวะเนี่ย 55555555555555555
>>678-681 คาบุหล่อมาก เพื่อนโม่ง//กุมจัย ลืมไปเลยว่านายเคยได้ฉายาไซซายะ ;_; ฟิวเต้อดีมาก แต่มุมคาบุ คาบุก็ต้องหล่องี้แหล่ะ จะเอาเสื้อคลุมให้จะทำอะไรเกินๆล้นๆไปคือไม่คิดอะไรทั้งนั้น ทำมะชาดสุด ๆ สมกับพระเอกคิมิดอล/ชูนิ้วโป้ง
จริง ๆ กูชอบคู่นี้อยู่ เคมีเข้ากั๊นเข้ากัน ถ้าไม่ติดว่าในเรื่องคาบุจีบวาคาบะจังแบบซีเรียสลี่จริง ๆ กูคงคิดว่ามันต้องเป็นเรือรบที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เรือดำน้ำที่โดนระเบิดกี่ครั้งก็ไม่ตายของท่านเอ็นโจอย่างแน่นอน
ขอบคุณโม่งฟิค
ในเรื่องกุอยากให้คู่นี้ลงเอยกัน กุชอบคู่นี้
พูดถึงเรือกูมีเรื่องมาชวนคุย ก่อนกุอ่านเจ้าแม่ใหม่ๆกุเรือคาบุนะ แต่พอกูมาเจอโม่ง(น่าจะช่วงมู้ที่ 3)กูก็เปลี่ยนไปลงเรือเอ็นโจ โม่งแม่งหลอมกูตั้งแต่มู้แรกเลย
ส่วนกูตอนแรกไม่ชิบกะใครเลยกะว่าอ่านเอาชิว แต่แบบมาเริ่มอ่านโม่งมู้ไม่เกินสามสี่ห้าแถวนี้ เนี่ยเหมือนจะมีคนสปอยโมเม้นเอ็นโจว่าหุยเยอะมากๆๆๆ ลาเต้อาร์ตไรงี้ กูหลงเชื่อ ต่อมาที่ยังไม่เจอก็แบบ หูย กอล์ฟมาร์กเกอร์หยามหน้าท่านอิมาริ ชวนไปเดตฤดูร้อน กูแบบโดนหลอกล่อให้ขึ้นเรือ ซึ่ง55555555โมเม้นเจ้าแม่กะวาคาบะจังยังเยอะกว่าอีกจริงๆ แล้วโมเม้นไปเที่ยวตามที่สามัญชนกับคาบุก็น่ารักด้วย แบบคาบุดูไม่ใช่จักรพรรดิจอมหยิ่งอะไรงี้ที่เรย์กะวาดไว้ ก็ยังเป็นคน ที่แค่บังเอิญเป็นคุณชายหล่อ บ้านรวย ต่อให้อยากแข็งแกร่งก็ต้องฝึกขี่ม้าส่งเมืองงี้ ต้องเข้าฟิตเนส จะไปเดตก็แบบเอ่อ คุณชายค๊า
ตอนนี้กูก็เลยแบบ embrace all the possibilities เรือไหนก็มาเถอะค่ะ ฤดูใบไม้ผลิของท่านเรย์กะมาซักที เหยียบมันไปทุกเรือ แค่ได้โปรดมากะพอแน้วว
ตอนนี้กูไม่หวังอะไรไปมากกว่ามาต่อซักทีเหอะ ไม่เขียนต่อก็บอกกันหน่อยจะได้ไม่รอเก้อแบบนี้ ถ้าหายไปสิบปีกูคงไม่อินและไม่ตามต่อแล้วอะ แบบเมื่อก่อนที่กูชอบดีเกรย์แมนมากๆ ทั้งแต่งฟิค แต่งคอส แต่พอคนเขียนหายไปนาน แถมเนื้อเรื่องก็เริ่มงงจนกูอ่านไม่รู้เรื่องแล้ว กูเลยเลิกตามเลิกอินไปโดยปริยาย
เออ สมมติว่าถ้าคนแต่งเขากลับมาในอีกสิบกว่าปีให้หลังนี่ พวกมึงยังจะตามกันอยู่ป่ะวะ แบบเมื่อวันก่อนกูเห็นข่าวในทวิตว่าดีเกรย์แมนกลับมาเขียน แต่กูเฉยๆไปแล้วอะ มันให้ฟีลแบบ มาต่อแล้วเหรอ เอาไว้มีอารมณ์จะกลับไปอ่านนะ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่กูรออ่านรายสัปดาห์แบบใจจดใจจ่อเลย
>>689 กูเก็ตฟีลลิ่งมึงนะ เป็นกูก็คงเฉยๆเหมือนกันอะ นี่ขนาดกูออกไปพักนึงแล้วค่อยกลับมาใหม่นางยังไม่อัพเลย ಥ‿ಥ แบบ...ก็รอมานานจริง รอจนไม่รู้สึกอะไรละเนี่ย แต่ก็คงมีโมเม้นที่ไปตามอ่านจนกลับมาฟินกับตอนใหม่ได้อีกรอบอยู่ดีเหมือนกันอะ ตราบใดที่นางจะกลับมากูก็จะรอ และถ้าทุกคนในโม่งยังคุยกันเรื่อยๆ+ขยันผลิตกาวแบบนี้กูว่าอนาคตยังพอถูไถนะ
https://twitter.com/damnn_Emma/status/1262239917251284992?s=19
เอาใจสาวกจอมมารเจ้าแม่กันหน่อยโว้ยพวกมึง กูน้ำตาจะไหล ถ้าเกิดสักวันนึงมีโมเม้นงี้จริงๆในเรื่องกูคงตายตาหลับ ไม่ต้องหวั่นว่าเทพเกศาบันดาลรักของกูจะได้กับคานหรือฟู้ดซัง......
AU Hanahaki Verse [4]
ความเดิมตอนที่แล้ว >>>/webnovel/7425/600-604
-------------------------------------
“นายควรไปบอกยัยนั่น”
มาซายะเอ่ยขึ้นระหว่างมื้อค่ำของเราสองคนในห้องพักผู้ป่วย
“ผมจะผ่าตัดอีกสามวันข้างหน้าอยู่แล้วนะ” ชูสุเกะส่ายหน้า ตักข้าวต้มในชามขึ้นมาแล้วกลืนลงคอ
อาหารของเขาเป็นของเหลวแบบพวกข้าวต้มกับพวกสิ่งอ่อนนุ่มอย่างพวกเต้าหู้เพราะแผลในลำคอจากการถูกหนามเกี่ยว แม้รสชาติจะดีกว่าอาหารโรงพยาบาลทั่วๆไปเพราะแม่ให้พ่อบ้านไปซื้อมาจากร้านโปรดของเขา แต่ชูสุเกะก็ทานไม่ค่อยลงอยู่ดี
“ฉันอ่านเจอวิธีรักษาโรคมา เขาบอกให้ไปสารภาพรักกับคนที่ชอบ...ถ้าใจตรงกันมันก็จะหายไปเอง”
“ไม่มีทางหรอก เธอชอบคนอื่น”
“ใคร”
เขายิ้มบางเบาแล้วหันไปสนใจข้าวต้มต่อ หลีกเลี่ยงการตอบคำถาม
มาซายะขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วเริ่มไล่รายชื่อเพื่อนผู้ชายที่ใกล้ชิดกับเรย์กะออกมาทีละคน จำนวนนั้นมีน้อยมาก แต่แน่นอนว่าไม่มีชื่อคาบุรากิ มาซายะหลุดออกมาจากปาก คงไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่เธอแอบชอบ
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เดี๋ยวปวดใจมากๆผมก็ไอเป็นดอกไม้อีกหรอก”
“ก็ได้” มาซายะพยักหน้าเนิบๆ ทานข้าวของตัวเองจนหมดแล้วก็นั่งดูเขาทานเหมือนจะคุมความประพฤติ
คณะแพทย์มาตรงเวลาเหมือนเคย เอายามาให้พร้อมกับส่องลำคอของเขาไปด้วยเพื่อดูอาการและจดบันทึกประจำวัน และมาซายะก็จะกลับไปในช่วงนี้เพื่อปล่อยให้เขาพักผ่อน
“ฉันไปก่อนนะ”
เขาพยักหน้าให้กับคำอำลาของมาซายะแล้วก้มหน้าลงไปอ่านหนังสือต่อ แต่ก่อนจะออกจากห้อง มาซายะก็หันกลับมามอง จนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
“มีอะไรเหรอ”
“ฉันยังยืนยันคำเดิมนะว่าให้บอก”
“....แต่”
“ถึงจะมีความเป็นไปได้ต่ำแต่ก็ต้องลองดูก่อนไม่ใช่เหรอ” มาซายะยิ้มกว้างให้เขา “ยังดีกว่ามาเสียใจทีหลังว่าทำไมตอนนั้นถึงไม่ทำแบบนั้น”
“.....”
“เป็นฉัน ฉันก็จะทำแบบนั้นล่ะ”
มาซายะกลับไปนานแล้ว แต่เขายังนอนลืมตาอยู่ในความเงียบสงบและความมืดของห้องพัก จิตใจยังวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เพื่อนพูด
….ให้พูดออกไปอย่างนั้นเหรอ
แม้ใจชูสุเกะจะคล้อยตามมาซายะอยู่บ้าง แต่สมองในส่วนคิดวิเคราะห์เหตุและผลก็ยังคงทำงานได้ดีเยี่ยม มันคอยกระซิบข้างหูให้เลิกคิดเรื่องโง่เง่าแบบนั้น
พูดไปแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ ยังไงเขาก็ต้องผ่าตัดอยู่อีกไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้นจึงไม่ควรทำให้เรื่องยุ่งยากมากไปกว่านี้แล้ว
ก็แค่ปล่อยให้ลมพัดไป เหมือนที่พัดเอากลีบดอกไม้และหยดน้ำตาของเขาให้หลุดลอยออกไป แบบเมื่อตอนที่อยู่บนดาดฟ้ากับมาซายะก็เท่านั้น
ชูสุเกะมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงกลีบดอกไม้พวกนั้น
กลีบดอกไม้ที่ปลิวไปตามลม จะลอยออกไปไกล และจะไม่มีวันกลับมาที่เดิมอีก
.
.
.
.
กำหนดการไปต่างประเทศของพ่อทำให้ไม่สามารถอยู่กับเขาและแม่ในวันผ่าตัดได้ เขาฟังแล้วก็พยักหน้าเนิบๆถือว่ารับทราบไปตามนั้น อันที่จริงพ่อจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับการผ่าตัดของแพทย์นักหรอก
พ่อมาเยี่ยมเขาก่อนขึ้นเครื่องตอนบ่าย ครอบครัวอยู่กันชื่นมื่นพร้อมหน้า แต่สำหรับชูสุเกะแล้วเหมือนเวลากำลังนับถอยหลังในการขึ้นสู่ตะแลงแกงอย่างไรชอบกล
แม่กับยูกิโนะจะไปส่งพ่อที่สนามบินแล้วก็จะตรงกลับบ้านเลย ส่วนมาซายะก็มาไม่ได้ รู้สึกว่าจะติดธุระทางบ้าน เท่ากับว่าวันนี้เขาจะได้อยู่สงบๆคนเดียวเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว
น้องชายของเขาอ้อนพ่ออย่างเคย ชูสุเกะชอบเวลาที่มียูกิโนะอยู่ด้วยในห้อง เขาเป็นเด็กดีและน่ารัก ถึงจะเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็ทำให้บรรยากาศดูสดใสขึ้นมาจากความช่างพูดช่างเจรจา
จนได้เวลาที่จะต้องไป ยูกิโนะเดินลงไปรอที่รถกับแม่ ส่วนพ่ออยู่คุยกับคณะแพทย์เกี่ยวกับเรื่องเอกสารผ่าตัดในห้องอีกสักหน่อยแล้วจะตามไปทีหลัง
พ่อเซ็นลายเซ็นลงบนเอกสารยินยอมให้ผ่าตัดเรียบร้อยก็คว้าเสื้อสูทขึ้นมาถือ วางมือลงบนหัวเขาเหมือนพ่อที่หยอกล้อกับลูกชายทั่วๆไป แต่ชูสุเกะกลับรู้สึกหนักอึ้งเหมือนถูกตรวนล่ามกดทับ
เขาอยากจะกรีดร้องหรือขัดขืนอาละวาด แต่ที่ทำได้ตอนนี้ก็แค่พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นเพื่อถามในสิ่งที่อัดอั้นตันใจ
“เพราะผมเป็นผู้สืบทอดตระกูลอย่างนั้นสินะ พ่อถึงบังคับให้ผมเข้ารับการผ่าตัดนัก”
พ่อหันหลังกลับมา ก่อนจะตอบคำถามเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นั่นก็มีส่วน”
ชูสุเกะยิ้มขื่นๆกับคำตอบที่ได้รับ
“แกคงคิดมาตลอดว่าฉันเป็นพ่อที่ใจร้ายใจดำ คอยบังคับให้แกทำแต่สิ่งที่ไม่อยากทำสินะ”
พ่อสบตากับเขา ในตอนนี้ รอยยิ้มบางเบาที่พ่อชอบทำได้หายไปจากใบหน้าแล้ว
“แต่ฉันจะบอกให้รู้ไว้ ที่ฉันบังคับให้แกเข้ารับการผ่าตัดนั่นเพราะแกคือลูกของฉัน”
“......”
“ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้ลูกฉันตายไปต่อหน้า ถ้ามีหนทางให้รอด ไม่ว่าวิธีไหนฉันก็จะทำ”
เมื่อเขานิ่งเงียบ พ่อก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนปกติ
“ตอนนี้แกอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าโตแล้วก็จะรู้เองว่าความรักไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต ไม่ต้องไปยึดติดกับมันให้มากนักหรอก”
พ่อมองเขาด้วยสายตาที่อ่านอารมณ์ไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งก็เป็นฝ่ายละสายตาออกไปเอง
“ทานยาแล้วก็พักผ่อนซะ”
เสียงปิดประตูตามหลังนั้นแผ่วเบาและเงียบสงบ แต่ดังก้องในหูของเขาเสียเหลือเกิน
ชูสุเกะวางมือก่ายหน้าผาก จ้องมองเพดานและหลอดไฟของห้องพัก ครุ่นคิดถึงเรื่องที่พ่อพูดเมื่อสักครู่
เพราะเขาเป็นลูก อย่างนั้นเหรอ
ชูสุเกะไม่เคยคาดคิดกับคำตอบอะไรแบบนี้เลย ยิ่งออกมาจากปากของพ่อด้วยแล้วก็ยิ่งดูเหลือเชื่อไปกันใหญ่
สิ่งที่พ่อพร่ำสอนมาตลอดก็คือหน้าที่และผลประโยชน์ของตระกูลเอ็นโจต้องมาก่อนความรู้สึกของตัวเองเสมอ บางเรื่องที่ไม่อยากทำแค่ไหนแต่ถ้าเพื่อผลประโยชน์ก็จำเป็นต้องทำ เขาคิดว่าถ้าตัวเองออกนอกลู่นอกรอยที่วางไว้ พ่อก็พร้อมจะตัดเขาทิ้งจากตระกูลเช่นกัน
พ่อที่เขาเห็นว่าเลือดเย็นมาตลอด ในตอนนี้กลับพูดว่าพร้อมจะรักษาชีวิตลูกทุกทาง ชูสุเกะไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่พูดนั้นออกมาจากใจจริงหรือไม่
เขาก็เหมือนพ่อ เก็บซ่อนใจจริงเอาไว้ด้วยรอยยิ้มบางเบาเหมือนไม่มีอะไร และเป็นสิ่งที่เรียนรู้มาตลอด
แต่จากคำพูดเมื่อครู่นี้ก็บ่งบอกว่าพ่อเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อคนหนึ่ง มีความเจ็บปวด มีความกลัวที่จะสูญเสีย ไม่ใช่ไร้หัวใจไปซะหมดทุกอย่างแบบที่เขาเข้าใจ
หรือบางที... พ่ออาจจะเคยเจอกับรักที่ไม่สมหวังแบบเขาในอดีต ก็เลยไม่อยากที่จะให้เจ็บปวดเหมือนตัวเอง อาจจะถึงขั้นต้องผ่าตัดแบบนี้ก็เป็นได้
ถ้าเขามีเวลาเขาอาจจะถามพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู
นั่นคือความคิดสุดท้ายก่อนที่เปลือกตาเขาจะปิดสนิทไปเพราะฤทธิ์ยาอีกหน
เขาตื่นมาอีกทีก็ช่วงเกือบบ่ายสาม เป็นเวลาที่คิดว่าสมควรจะออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายรอบๆสวนเหมือนทุกวันสักหน่อย
แต่ยังไม่ทันที่จะได้หยิบเสื้อคาดิแกนที่อยู่บนเก้าอี้ มือถือก็ส่งเสียงร้องเตือนว่ามีคนโทรเข้ามา เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในที่พ่อเขาเคยมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลสอดส่องเรื่องทั่วๆไปในโรงพยาบาลนี้ เขาขมวดคิ้วพลางรับสายแบบนึกสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกันแน่
ปลายสายทักทายมาเล็กน้อยแล้วเข้าเรื่อง ซึ่งเรื่องที่ว่าก็คือวันนี้ผู้มารับบริการกับทางโรงพยาบาลในชื่อ “คิโชวอิน เรย์กะ”
รายละเอียดของการรับบริการในครั้งนี้คือ เธอมาพบแพทย์ในช่วงเวลาบ่ายโมงเพื่อรับคำปรึกษาจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญในโรคอาเจียนเป็นดอกไม้และจะมีการตรวจในเบื้องต้นเพื่อหาวิธีผ่าตัดต่อไปด้วย
“ผมเห็นข้อมูลถูกคีย์มาในระบบตอนบ่ายโมงของวันนี้” ปลายสายมีเสียงดังต๊อกแต๊กเหมือนกำลังง่วนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ “เวลาให้คำปรึกษาและการตรวจรักษาเบื้องต้นเพิ่งจะสิ้นสุดลงไปเมื่อห้านาทีที่แล้วเองครับ ผมคิดว่าคุณอาจจะอยากรู้ก็เลยโทรมาแจ้งก่อน”
“ขอบคุณมากเลยนะ”
ชูสุเกะมองหน้าจอโทรศัพท์หลังวางสายแล้วเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง นี่ก็ผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้ว ไม่รู้ว่าเธอจะออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปรึยัง
เขาคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับแบบลวกๆ เดินออกจากห้องพักผู้ป่วย ข้างนอกค่อนข้างเงียบสงบเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง หมอและพยาบาลจะมาในช่วงเวลาตรวจเยี่ยมหรือไม่ก็มีการกดเรียกเท่านั้น
ชูสุเกะกดลิฟท์ลงไปชั้นล่าง เขารู้ว่าแผนกตรวจโรคอาเจียนเป็นดอกไม้อยู่ที่ไหน บางทีถ้าเขาเดินไปที่นั่น เขาอาจจะได้พบกับเธอก็เป็นได้
เขาไม่ควรไปพบเธอเพราะมีแต่จะทำให้อาการแย่ลง
สัญญาณไฟจากลิฟท์บ่งบอกว่ากำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาจากชั้นล่าง แค่ไม่กี่ชั้นเท่านั้น แต่ให้ความรู้สึกนานเป็นพิเศษในความคิดเขา
ระหว่างรอลิฟท์ ชูสุเกะได้คิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้
การที่เธอมาปรึกษาหมอแบบนี้ อาจจะต้องการที่จะผ่าตัดก็เป็นได้
โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลในเครือตระกูลเอ็นโจ รวบรวมเอาแพทย์ที่เก่งในแต่ละด้านแบบเฉพาะทางเอาไว้ ซึ่งโรคนี้เองก็เช่นกัน คิดว่าเรย์กะคงค้นหาข้อมูลการรักษาในอินเตอร์เน็ตถึงได้เจอโรงพยาบาลนี้
อันที่จริง ข้อมูลการรักษาของคนไข้จะเป็นความลับอย่างยิ่งยวด แต่เขาก็ได้รับรู้เพราะเป็นนายน้อยของตระกูลผู้บริหารโรงพยาบาลนี้
เขาเคยรับรู้ข้อมูลเรื่องประวัติการรักษาของคิโชวอิน เรย์กะมาแบบไม่ได้ตั้งใจมาก่อนก็ตอนที่เธอมารักษาโรคคิ้วแหว่งจากความเครียด เขาไม่ได้ไปแทรกแซงการรักษาของหมอหรอก แค่กำชับให้ดูแลเธอให้ดีเป็นพิเศษ แต่หลังจากนั้นเขาก็บอกให้พนักงานช่วยรายงานข้อมูลเกี่ยวกับเธอมาเป็นระยะๆหากมีการเคลื่อนไหว
ชูสุเกะแค่นหัวเราะแบบสมเพชเวทนาให้กับตัวเอง
เหมือนสตอล์กเกอร์ไม่มีผิด ถ้าเธอรู้คงยิ่งเกลียดเขาหนักกว่าเดิมแน่ๆ
ลิฟท์เปิดออกพอดี เขาเตรียมที่จะก้าวเข้าไปข้างใน แต่ก็หยุดนิ่งไปเมื่อเห็นคนที่อยู่ภายในลิฟท์ จ้องมองร่างตรงหน้าด้วยความพิศวง
คิโชวอิน เรย์กะยืนอยู่ข้างในนั้น
“สวัสดีค่ะ ท่านเอ็นโจ”
เธอเองก็เลิกคิ้วขึ้นพร้อมมองตอบมาเช่นกัน
----------------------------------------------
ตอนจบที่เขียนไว้มันยาวมากเลยตัดตอนไปจบพาร์ทหน้าละกัน ตัดจบแบบละครไทยให้ค้างเล่นๆ อิอิ
>>698 กรี๊ดดด ก็อปข้อความมาไม่ครบ ซอรี่นาจา
"ชูสุเกะกดลิฟท์ลงไปชั้นล่าง เขารู้ว่าแผนกตรวจโรคอาเจียนเป็นดอกไม้อยู่ที่ไหน บางทีถ้าเขาเดินไปที่นั่น เขาอาจจะได้พบกับเธอก็เป็นได้
เขาไม่ควรไปพบเธอเพราะมีแต่จะทำให้อาการแย่ลง แต่ขาทั้งสองข้างก็พาเขาออกไปที่หน้าลิฟท์อยู่ดี ไม่ฟังคำสั่งของสมองในส่วนวิเคราะห์เหตุผลอย่างที่ควรเป็น
สัญญาณไฟจากลิฟท์บ่งบอกว่ากำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาจากชั้นล่าง แค่ไม่กี่ชั้นเท่านั้น แต่ให้ความรู้สึกนานเป็นพิเศษในความคิดเขา"
โอยย ฟิคดีมากฮือ ลุ้นจังงงงง
ขอบคุณโม่ลฟิคทุกคนที่กวนกาวมาให้นะ กูแฮปปี้มากเลย แงง <3
โม่งฮานะฮาคิ ฮือออ ขอบคุณมากกกก กูอ่านละเกือบร้องไห้ ใจมันเจ่บ แต่ขอบคุณมากจริง ๆ ร้ากกกกกกก
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1263096361282502656
ซุยรันฮอกวอตส์ว่ะ 5555
>>706 กูนึกถึงกระทู้นี้เลยว่ะ 555555555
https://m.pantip.com/topic/36673789?
อยากอ่านตอนที่300แล้วอ่า ท่านฮิโยโกะไปหาข้อมูลของมหาลัยอยู่เหรอคะะะะะะ
หรือท่านฮิลงทุนมากถึงกับเข้าไปเรียนในมหาลัยเองเพื่อเก็บประสบการณ์!?
ตอนนี้ท่านฮิอาจจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของงานเทศกาลดอกไม้ไฟก็ได้นะะ! กำลังตะลอนไปงานเทศกาลทั่วญี่ปุ่นเพื่อหาเรฟงี้
หรือฮิโยโกะซามะติดโควิดวะ...
คือไม่มีช่องทางติดตามข่าวท่านฮิโยโกะเลยใช่ปะ? นี่แบบคิดถึงท่านเอ็นโจ ท่านเรย์กะแล้ว ใจจะขาดรอนๆ จะว่าไปแล้วท่านฮิโยโกะนี่หายไปสามปีเลยใช่ปะ? หรือสองปี?
นึกถึงท่านเรย์กะ55555555555
https://twitter.com/japanesebaobao/status/1267046043771785217?s=21
จะกลับไป่านท่านเรย์กะ เว็บแมวล่มเหรอ
รอมาหลายปีและจะรอต่อไปนะคะ ฮือ
วนมาอ่านฟิคให้หายคิดถึง
หลายๆ เรื่องนี่ภาษาดีมากนะ บรรยายลื่น พล็อตก็ดีงามจนอยากอ่านนิยายเรื่องอื่นๆ ของคนเขียนเลยล่ะ
เสียดายที่เป็นโม่งเลยหาช่องทางติดตามไม่ได้ งานดีเกินกว่าจะอยู่แค่ในเว็บโม่งนะ
ถ้าโม่งฟิคแวะมาอ่านก็อยากให้รู้นะคะว่ามีคนชอบงานเขียนของคุณมากๆ ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะ!
ฟิกหลายๆเรื่องเขียนดีมากจริงๆ กราบโม่งฟิก
โอ้มี #saveวันเฉลิมด้วย👍
แวะมาดันเพราะเมาท์ในฟุแล้วเจอโม่งซุยรันเลยคิดถึง
ช่วงนี้ไม่ได้เมาท์ท่านเรย์กะเลย ในใจลึก ๆ กูคิดว่าท่านฮิคงไม่มาลงแล้ว แต่กูก็ไม่อยากลืมท่านเรย์กะไปเลย
กูชอบเล่นเว็บแต่งอวาตาร์มาก และทุกอันที่กูเล่นกูจะแต่งเด็กผู้หญิงเป็นท่านเรย์กะเสมอ ฮือออออ คิดถึงว่ะ
ใครบอกวงน้ำชาหาย ยังไม่หายสักหน่อย ตีปากตามปริมาณการขออีกคำของเจ้าแม่เดี๋ยวนี้!
รออย่างใจจดใจจ่อ และเรายังมีหวังใช่ไหมทุกคน /บีบมือ
คือกูเพิ่งเริ่มอ่าน อ่านแบบไม่ได้ไปอ่านสปอยที่ไหน อ่านแค่เนื้อเรื่องย่อแล้วลุบเลย ตอนนี้อยู่ที่ตอน 194
อยากถามว่า ทำไมเจ้าแม่เรย์กะมีออร่าตัวประกอบหนาขนาดนี้วะ ...
คือพล็อตฝั่งวาคาบะจังมันนางเอกนิยายผู้หญิงจ๋ามาก หญิงสามัญชนที่มีแต่คนดังของโรงเรียนให้ความสนใจ พระเอกชนชั้นสูง เพื่อนพระเอกนิสัยดี พระรองประธานนักเรียนมาดเท่ กับเพื่อนหญิงคุณหนูแสน op
อ่านไปเรื่อยๆแล้วรู้สึกเหมือนกำลังอ่านมุมมองของ side character ตัวนึงอยู่เลยอ่ะ 55555
นางจะมีใครมาปักธงมั่งมะ หรือจะครองคานทองต่อไป ตัวละครผช.ดูไม่ได้มีใครสนใจนางเท่าไหร ตัวละครหญิงก็ดูจะมีคู่ของตัวไปหมด เหลือนางอยู่บนคานอย่างโดดเดี่ยว
>>742 ก็เดิมทีวาคาบะเป็นนางเอกจริงๆของเรื่องอะ มึงดูฉากบรรยายถึงสายตาคนนอกแบบคันตะที่มองวาคาบะกับคาบุอยู่ด้วยกันนี่โคตรมังงะโชโจ หนุ่มหล่อลงทุนมายืนรอหน้าบ้าน เอาตุ๊กตาหมีมาให้ในคืนอากาศหนาวๆ เจ้าตัวก็เอาไปไว้ในห้องนอน เทียวมาหาอยู่เรื่อยๆ บรรยายถึงพระเอกกับนางเอกสุดๆ เจ้าแม่ก็คือนางร้ายที่ออกมาแกล้งนางเอกเพื่อให้พระเอกมีอีเวนท์เข้าไปช่วย จะว่าเป็นตัวประกอบดีๆก็ได้นะ
>>744 ก็นางเอกเขาต้องไปมีบทเด่นๆ มีอีเวนท์มากมายกับหนุ่มๆหรือคนอื่นๆในเรื่อง แต่เจ้าแม่ดันเก็บตัว เอาแต่กินอย่างเดียวไม่มาทำอีเวนท์อะไรเลย ใครมาจีบก็ไม่มีเพราะโดนลูกสมุนสกัดดาวรุ่งหมด หรือไม่เขาก็มีแฟนกันไปแล้ว แถมนางพยายามไม่ทำตัวเด่นหรือไปยุ่งกับคนอื่นๆ ใช้ชีวิตสงบๆไปวันๆ มีแต่เรื่องแหล่ะชอบวิ่งมาหานางเอง 55555
มีคำถามอ่ะ นี่ไปย้อนอ่านมาตอนที่273 ที่สามหน่อกับเทวดาน้อยพากันไปกินคีช ที่เรย์กะให้ลูกพีชเอ็นโจแล้วเอ็นโจถามว่าไม่ได้แฝงความหมายประชดไว้ใช่ไหม ไอ้ลูกพีชนั้นมีความแฝงหมายอะไร?? ไม่รู้จริงๆ
แล้วสรุปตอนหลังๆมีใครมาปักธงเจ้าแม่มั่งมั้ยอ่ะ(ไม่ต้องบอกก็ได้นะว่าใคร) หรือยังอยู่บนคานทองอยู่
เพิ่งอ่านจบ พออ่านจบปุ๊ปไปดูต้นฉบับไม่ได้อัพมาตั้งแต่ 2017 เลยหรอวะ ชิบหาย ตอนเริ่มอ่านไม่ได้ดูเลย 55555
แต่ตอนหลังๆถึงเจ้าแม่จะคานแต่ดูเอ็นโจจะไปวอแวกับเจ้าแม่บ่อยมากนะ ตอนแรกๆถึงจะมีอิมเมจรู้ทุกเรื่องอย่างกับเป็นสตอกเกอร์ แต่ดูไม่ได้รุกหาหรือสนใจเจ้าแม่เท่าไหร แต่ตอนหลังๆนี่โผล่มาถี่ๆเลย แถมเข้าหาผ่านน้องด้วยตอนสุดท้าย กูไม่รู้ละ ถึงนายตัวสำรองจะเมนกูแต่กูลงเรือเอ็นโจ/เจ้าแม่ 5555
ยังรออยู่ ยังไม่หมดหวัง
จริงๆเข้ามาส่องบ่อยมาก เผื่อโม่งจะลงฟิก
เห็นมีคนพูดถึงเอาพล๊อตท่านเรย์กะมาทำแบบไทยๆ จะมีโม่งสนใจไหม อยากอ่าน
หวัดดีทุกคน กูคือโม่ง FA ที่ซุ่มตัวมานานแล้ว เห็นพักหลังในกระทู้เริ่มแห้งกูเลยมาแปะรูปท่านเรย์กะให้
https://twitter.com/minizeal/status/1282894976595054592?s=19
คิดถึงเจ้าแม่ว่ะ กี่ปีแล้ววะ...
ตุลานี้ก็จะเข้าปีที่สามแล้วมึง...
มีใครเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองบ้างวะ มันเวิร์คมั้ย
มึงงงงง กูมีฟิคมาฝาก คู่มิซึซากิ+ท่านเรย์กะ : ทำความสะอาดหลังเลิกเรียน อาจจะไม่โดกิๆเท่าไหร่ แต่กูก็แต่งไว้นานแล้วแหละ ตามที่มีคนขอกุมาจากในทวิต กูหวังว่าชาวโม่งทกคนจะเอนจอยนะ 5555555555
===
มิซึซากิเดินตรวจตราโถงทางเดินในอาคารเรียนของซุยรันยามเย็นตามหน้าที่ประธานนักเรียนอย่างเช่นทุกวัน ในระหว่างที่กำลังผ่านหน้าห้องเรียนลึกลับไม่คุ้นตานั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงโครมครามพร้อมกับเสียงกรี๊ดดังขึ้นมาจากในห้อง
ขาทั้งสองข้างของประธานนักเรียนคนปัจจุบันรีบวิ่งไปหาต้นเสียงทันที ยังดีที่ประตูไม่ได้ถูกล็อกไว้ เขาจึงสามารถเปิดมันเพื่อไปช่วยนักเรียนอีกคนได้อย่างง่ายดาย
"เป็นอะไรรึเปล่า.....!? " เขาตะโกนถามก่อนจะต้องหรี่ตาลงเมื่อเห็นฝุ่นลอยฟุ้งทั่วห้อง ทั้งเขาและเธอสำลักเสียจนน้ำหูน้ำตาไหลไปชั่วครู่จนในที่สุดเธอก็ตอบกลับมา
"อ๊ะ! ไม่เป็นไรค่ะ! ดิฉันแค่พลาดตอนหยิบของไปวางข้างบนนิดหน่อย ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงด้วยนะคะ! " เสียงผู้หญิงที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยดังขึ้นเป็นคำตอบ เมื่อฝุ่นจางลง มิซึซากิจึงพบกับเงาเลือนรางในชุดนักเรียนซุยรันคุ้นตา
เดี๋ยวนะ....เธอคนนี้
"คิโชวอินเหรอ? "
"เอ๋? มิซึซากิคุงนี่นา! "
มิซึซากิจดจ้องร่างของจักรพรรดินีแห่งซุยรันด้วยความตกตะลึง และขอบอกเลยนะ ต่อให้ไม่ใช่เขาที่มาเจอเธอตอนนี้ ทุกคนควรจะเป็นแบบนั้นแน่อยู่แล้ว
คิโชวอิน เรย์กะที่ปกติจะเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าคนนั้นกลับกำลังอยู่ในสภาพขำไม่ออก มีฝุ่นเปื้อนเต็มตัวแบบนี้ พูดที่ไหนใครมันจะไปเชื่อกันล่ะ....
+
หลังจากที่ช่วยปัดฝุ่นให้จนไอไปโขลกใหญ่อีกรอบ จักรพรรดินีคนนั้นก็เอ่ยขอบคุณก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดถึงสาเหตุที่ทำไมตัวเองถึงได้มาอยู่เพียงลำพังโดยไร้เด็กสาว (คนคุ้มกัน?) คนอื่นข้างกาย
ช่วงก่อนเริ่มคาบแรก คิโชวอินโดนอาจารย์เรียกมายกของในห้องที่ไม่ได้ใช้ (ซึ่งก็คือที่นี่ แต่เดี๋ยวก่อน มีอาจารย์คนไหนกล้าใช้แรงงาน Piovine อย่างเธอด้วยงั้นเหรอ?) เมื่อคิโชวอินมาถึงเธอก็ได้พบกับห้องที่สุดแสนจะสกปรกจนเธอแทบจะลมจับ น่าเสียดายที่เธอทิ้งหน้าที่เบ๊จำเป็นของอาจารย์มาทำความสะอาดแบบทันทีไม่ได้ เลยจำต้องรอให้ถึงตอนหลังเลิกเรียนแทน
และพอนึกภาพคุณหนูแบบตุ๊กตาฝรั่งเศสที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นไปหมดทั้งตัวแล้ว มิซึซากิก็คิดว่าห้องนี้มันคงจะสกปรกมากจริงๆ นั่นแหละ....
"แต่ตอนนี้เหลืออีกหน่อยเดียวค่ะ เดี๋ยวพอจัดการเสร็จฉันก็จะกลับแล้ว" คิโชวอินพูดด้วยท่าทีมั่นใจ เส้นผมเกลียวของเธอสะบัดพลิ้วส่งเสริมให้คำพูดนั้นดูทรงพลังขึ้นไปอีก
"แต่ของที่หล่นลงมามันเยอะไม่ใช่เหรอ แถมอยู่ตั้งสูงอีก ให้ฉันอยู่ช่วยเถอะ" มิซึซากิเสนอตัวช่วยอย่างจริงจัง แน่นอน จะให้ทนดูเฉยๆ มันก็ไม่ใช่นิสัยเขาด้วยเนี่ยสิ
"แต่ว่า..."
"ถ้าทำเสร็จช้าจนได้กลับบ้านมืดค่ำคนเดียว แบบนั้นอาจจะเจอเรื่องน่ากลัวๆ ก็ได้นี่ ไม่คิดแบบนั้นเหรอ? "
และด้วยเหตุผลสุดท้าย เขาจึงได้รับอนุญาตให้ช่วยเธอได้พร้อมกับสายตาที่สาปส่งมาอย่างเร่าร้อนเลยทีเดียว
>>768
การทำความสะอาดเหลือเพียงนิดเดียวตามที่คิโชวอินบอก ซึ่งภาระที่ว่าก็คือกล่องขนาดใหญ่ที่ต้องขนขึ้นด้านบนตู้ นอกจากส่วนนั้นคุณหนูคิโชวอินก็จัดการมันไปหมดด้วยฝีมือที่น่าประทับใจ
ความชำนาญในการถูพื้นจนเงาวับนั่น สะอาดในระดับที่ชวนให้รู้สึกน่าเกรงขามแปลกๆ เลยแฮะ....
หลังจากขนของทุกอย่างเสร็จหมด เขาจึงย้ายร่างตัวเองไปยืนเคียงข้างคุณหนูที่กำลังอมยิ้มด้วยความภูมิใจที่ปิดไม่มิดแบบเงียบๆ ดวงตากลมโตของเธอเปล่งประกาย แม้ใบหน้างามนั่นจะมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดตรงหน้าผากบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอดูดีน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว
น่าแปลกจัง ทำไมใจเขาถึงเต้นแรงตอนได้แอบมองเธอกันนะ?
"ขอบคุณมิซึซากิคุงมากเลยนะคะที่ช่วย ทั้งๆ ที่นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลยแท้ๆ"
"ฉันสิควรพูด ขอบใจที่อุตส่าห์สละเวลามาทำความสะอาดที่นี่ให้นะ" อันที่จริง เขาควรถามไปด้วยรึเปล่าว่า 'ลูกคุณหนูแบบเธอมีเวลาว่างมาทำจิตอาสาด้วยอย่างงั้นเหรอ' น่ะ?
"เรื่องเล็กน้อยค่ะ" เด็กสาวปฏิเสธอีกครั้งก่อนจะรวบมือของตัวเองมากุมด้านหน้า อยู่ในท่าทีเรียบร้อยสมกับเป็นกิริยาของคุณหนูอย่างเต็มที่
เขาพยักหน้าให้เป็นเชิงเห็นด้วย ก่อนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแปลกๆ
"อะ เดี๋ยวก่อน คิโชวอิน"
"คะ? "
"มีอะไรติดผมเธออยู่ด้วย อยู่นิ่งๆ นะ"
มิซึซากิยื่นมือของตัวเองไปปัดเศษฝุ่นออกจากผมของคิโชวอินด้วยความระมัดระวัง เมื่อลองดูแล้วพบว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกแล้วเด็กหนุ่มจึงยิ้มออกมา
"ไม่ระวังเลยนะเธอเนี่ย ถึงตอนนี้จะไม่ค่อยมีคนแล้วก็เถอะ แต่ถ้ามีข่าวลือแปลกๆอย่างจักรพรรดินีซุยรันออกไปจากโรงเรียนทั้งๆ ที่มีฝุ่นเกาะหัวจะทำยังไงกันน่ะหือ? "
"...."
ดวงตากลมโตนั้นกะพริบถี่รัว สบตอบกับเขาด้วยความตกตะลึง มิซึซากิเอียงคอก่อนจะย่นหัวคิ้วเมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติอีกอย่าง
เดี๋ยว นี่เขาเผลอขยับตัวเข้ามาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
คุณหนูคิโชวอินก้าวถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ แกะมือเขาออกจากผมเธออย่างแผ่วเบาในระหว่างที่พึมพำบางอย่างไปด้วย
มิซึซากิตะลึงจนตาโตกว่าเก่าเมื่อพวงแก้มของเธอนั้นเริ่มมีสีแดงประทับมากขึ้นเรื่อยๆ
".....ต-ตายจริง เวลาผ่านมาขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย! " คิโชวอินลนลานมองเวลาในโทรศัพท์พลางเอ่ยเช่นนั้นออกมา เธอรีบร้อนจัดการเสื้อผ้าและเก็บของลงกระเป๋า
"มิซึซากิคุง ฉันคงต้องขอตัวก่อนแล้วล่ะค่ะ ลาก่อนนะคะ! " คุณหนูบ้านคิโชวอินคนนั้นทิ้งท้ายด้วยการโค้งตัวคำนับโดยที่ไม่สนใจความถูกต้องหรือเหมาะสม ก่อนจะทิ้งให้มิซึซากิยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้นลำพัง
ให้ตายเถอะ
"ทำตัวอย่างกับกระต่ายเลยนะ ยัยคนนั้นน่ะ" ประธานนักเรียนบ่นคนที่หนีเขาไปก่อนจะหัวเราะ
แต่ก็นะ
ใช่ว่าจะไม่ชอบหรอก....
มิซึซากิจะขอขอบคุณพระเจ้าสักครั้ง ที่พระองค์ยอมส่งให้เขามาทำความสะอาดร่วมกับคิโชวอินก็แล้วกัน
FIN.
====
ถ้าสมมตินี่ถุกเขียนในมุมมองเจ้าแม่ หมดความโรแมนติกแน่นอนเลยมึง 555555555555555555555555555555555555555555
ขอบคุณนะโมงฟิก
จริงๆนายตัวสำรองกะเจ้าแม่นี่ก็ไม่เลวน้า~
ตอนอ่านลำดับความชอบตัวละครชายคือ คาบุ>นายตัวสำรอง>เอนโจ
ไม่ค่อยชอบพระเอกแนวคิดเยอะ
กูนับถือด้อมนี้หน่อยๆนะเนี่ย
(กูคือคนที่เพิ่งอ่านจบไปไม่กี่วันก่อนแหละ เม้นบนนี้ไปไม่กี่เม้น)
คือนิยายมันเงียบไปสามปี แต่มู้ยังไม่ตก แถมมีคนเข้ามาคุยเป็นระยะ เม้นไปก็มีคนตอบ สายผลิตยังปล่อยของออกมาได้ ทำได้ไงน่ะ 555
ไม่ได้เข้ามาโม่งนานดีใจนะที่ยังเห็นมู้เจ้าแม่ คิดถึงท่านเรย์กะมว้ากกก
+1 กุรอจนเลิกกดเข้าไปดูในเว็บนิยายแล้วแต่ยังโฉบไปมาในมู้นี้อยู่เรื่อยๆ
แต่มู้ท่านซาร์หายไปแล้ว...
คิดถึงท่านเรย์กะ โม่งฟิกมาแต่งต่อที่ค้างไว้ที
คิดถึงท่านเรย์กะเซมๆ อยากอ่านตอนใหม่จังน้า และแน่นอนว่ากูจะนอนอยู่ในเรือเอนโจไปชั่วนิรันดร์ ต่อให้เรือมันรั่ว เรือมันจมกูก็จะจมไปพร้อมกับเรือ! คือไม่ใช่กูไม่ชอบคาบุรากิหรอก กูว่านางน่ารักดี แต่กูอวยคาบุรากิxวาคาบะ อยากให้นางได้สมหวังบ้าง อีกอย่างกูรู้สึกว่าเขาดูรักดูชอบวาคาบะขนาดนั้น จะให้เปลี่ยนมาชอบท่านเรย์กะกูก็ไม่อิน รู้สึกความรักไม่หนักแน่นเท่าที่ควร อีกอย่างคาบุรากิไม่เคยมีเรย์กะในสมองเลยด้วย 98% ในความคิดคือวาคาบะ ไม่ได้หมายถึงไม่เห็นค่านะ กูคิดว่าลำดับความสำคัญของเรย์กะน่าจะอยู่ตำแหน่งเดียวกับเอนโจอ่ะ คือเป็นเพื่อน ถ้ามีอะไรก็พุ่งไปช่วยแน่นอน แต่ถ้าไม่มีอะไรจะไม่ได้เอาเก็บมาคิดจนเป็นสาเหตุของพฤติกรรมต่างๆ แบบที่คิดกับวาคาบะจัง
ใจจริงรอคอยว่าเมื่อไหร่เอนโจจะทำให้มันชัดๆไปเลยน้าาาา หิงห้อยที่เป็นสัญลักษณ์ความรักที่ผู้ชายให้ผู้หญิงในยุคเฮอันก็จริง คิดว่าท่านเรย์กะที่รู้ความหมายของลูกท้อปราบมารก็คงจะรู้ความหมายนี้เหมือนกันแต่ไม่คิดอะไรเพราะคิดว่าคนอย่างเอนโจต้องให้เพราะเวทนาแน่ๆมากกว่า อีกอย่างเอนโจก็คอยทักเรย์กะในงานเลี้ยงเสมอมาตั้งแต่สมัยเดะๆแล้ว ยิ่งหลักๆยิ่งชัดเจนอ่ะ ราว 80-90% เอนโจจะเป็นคนทักเรย์กะในงานเลี้ยงคนแรกเสมอ(ไม่นับตัวประกอบ) ค่อนข้างชัดเจนว่าถ้าไม่ชอบจะคอยมองหาคนคนหนึ่งในงานที่เต็มไปด้วยผู้คนหรอกแถมตัวเองยังเป็นพวกที่มีคนมากมายรุมร้อมพูดคุยด้วยอีกต้องคอยมองหาคนคนหนึ่งตลอดไม่ง่ายเลยนะนั่น แถมหลายครั้งที่เรย์กะเพิ่งเข้างานมาเอนโจก็จะโผล่มาทักทายทันที มีแค่ตอนที่ยุยโกะโผล่มาเท่านั้นที่ไม่ได้มา(เอนโจดูเหมือนไม่ค่อยอยากให้เรย์กะเจอยุยโกะเท่าไหร่ ไม่ได้กลัวยุยโกะไปทำอะไรหรอก คงเพราะอ่านความคิดของเรย์กะได้ก็คงรู้ดีอยู่แล้วว่าแม่นี้จินตนาการกว้างไกล300%)
อีกอย่างกระต่ายมันโผล่มาครั้งแรกตั้งแต่ตอน27แล้วมั้ง ตอนนั้นบทมันคือเรย์กะและสาวๆเล่นกับกระต่ายในคอก คาบุรากิกับเอนโจไปขี่ม้า สาวๆในกลุ่มวี๊ดว๊าย ท่านเอนโจมองมาทางนี้ด้วย(น่าจะมองเรย์กะ) เพราะงั้นขอมโนไปเองว่าเอนโจคิดว่าเรย์กะเหมือนกระต่ายตั้งแต่ตอนนี้ละกันและกระต่ายหิมะที่ปั้นให้ยูกิโนะก็คงหมายถึงเรย์กะเหมือนกัน
ส่วนเรื่อยยุยโกะนี่เฉยๆ แหละ เอนโจเป็นคนความคิดซับซ้อน คิดว่าคงคำนึงถึงผลได้ผลเสียเอาไว้แล้ว ถ้าไม่ถึงจุดแตกหัก หรือจุดที่ทนไม่ไหวแล้วเขาจะยังคงรักษาสถานภาพความสงบเอาไว้ แต่ถ้ามาถึงจุดที่ต้องเคลื่อนไหวก็จะเคลื่อนไหว อย่างตอนที่เตือนพวกซึรุฮานะทั้งกบฎภาคแรกและภาคหลัง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าทุกการกระทำเอนโจจะคำนึงถึงผลประโยชน์และข้อได้เปรียบเสมอหรอก อย่างตอนไปตามคาบุรากิทั้งๆที่มันลำบากแหละหนาวขนาดนั้น ตอนที่สอดส่องเรื่องวาคาบะช่วยเหลือลับๆ ในภาคต้นฉบับก็ทำไปเพราะว่าเป็นเพื่อนแหละ อีกอย่างคาบุรากิที่เป็นเพื่อนสนิทยังไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ คิดว่าสถานะการณ์มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดอย่างน้อยก็ยังอยู่ในการควบคุมของเอนโจ ไม่งั้นตาบ้ารักเพื่อนเลือดร้อนนี่ไม่มีทางอยู่เฉยๆอย่างแน่นอนอ่ะ
แน่นอนว่าไอ้จุดที่ต้องเคลื่อนไหวเนี่ยคงอีกนานกว่าจะมาถึง และไม่รู้ว่าจะมาถึงไหม เอาเป็นว่าให้คิดง่ายๆว่าตอนนี้เอนโจกับเรย์กะนั้นไม่ได้เป็นอะไรกัน จะให้ออกตัวกับที่บ้านชัดเจนไปเลยก็ทำไม่ได้(มากสุดก็คงได้แค่บอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว แต่เชื่อเลยว่าต้องโดนถามว่าใคร พอบ่ายเบี่ยงไม่ตอบที่บ้านก็จะไม่เชื่อ แต่พอตอบก็กลายเป็นว่าที่บ้านต้องเคลื่อนไหวแน่ อาจจะพยายามช่วยเหลือแต่ดันกลายเป็นว่าทำให้ท่านเรย์กะระแวงหนักกว่าเดิม คิดว่าอันนี้แหละหนึ่งในเหตุผลที่เอนโจยังต้องนิ่งอยู่)
ชัดเจนก็จริงว่าเอนโจชอบเรย์กะ แต่เรย์กะนี่สิโครตจะไม่ชอบเอนโจ+โครตระแวงแบบเจอหน้าปุ๊บตั้งป้อมปั๊บ กับคาบุรากิเรย์กะยังดูสบายใจกว่าซะอีก เพราะคาบุรากิถึงเรย์กะจะมองว่าตัวปัญหาเหมือนกันแต่ก็เป็นคนที่จัดการง่ายกว่าเอนโจมาก แค่ต้องรู้ว่าจะพูดยังไงเท่านั้น ไม่เหมือนเอนโจที่เรย์กะจะทำอะไรก็ดูจะรู้ทันไปหมด
ตัวอย่างการรุกที่เกือบๆจะชัดเจนของเอนโจแต่เรย์กะตั้งป้อมสุดกำลังทำให้ล้มเหลวไม่เป็นท่าก็คือตอนที่เรย์กะอยากไปเที่ยวงานที่ตลาด เอนโจที่เดาได้ก็อยากไปด้วย(น่าจะอยากชดเชย เรย์กะเคยไปเที่ยวกับคาบุรากิสองต่อสอง แต่ตัวเองกลับไม่เคยมีโอกาสนั้น) แต่ไม่ว่าจะตามติดตื้อยังไง ถึงขั้นลงมือเซิร์ทหาข้อมูลเรย์กะก็ยังบ่ายเบี่ยงอ่ะ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าสำหรับเอนโจ ถ้าทำอะไรตรงๆ ยังไงเรย์กะก็ไม่เปิดรับแน่ๆ มีแต่ต้องอ้อมโลก หาโอกาสใกล้ชิดและสร้างความคุ้นเคยเท่านั้น
>>779 อ่านแล้วสงสารเอ็นโจเล็กๆ ส่วนกุนี่เรือคาบุเรย์กะก็จริง แต่กุก็แอบคิดนะว่าเจ้าแม่ตั้งป้อมนอยใส่คุณยุยโกะนี่เพราะชอบเอ็นโจรึเปล่า ในขนะที่สาวๆของคาบุเจ้าแม่ไม่ได้รู้สึกเป็นคู่แข่งอะไร
อีกอย่างกุว่าเจ้าแม่เป็นเพื่อนกับวาคาบะจังแล้ว ถ้าวาคาบะไม่เป็นฝ่ายปฏิเสธคาบุ ถึงให้คาบุหันมาชอบเจ้าแม่ เชื่อว่าเจ้าแม่ยังไงก็ไม่เอาคาบุแน่ๆ สรุปเรือกุแววล่มว่ะ
แต่ก็นะ กุชอบตอนที่คาบุปกป้องเจ้าแม่ ทั้งที่ปกติก็นิ่งๆวางตัวเฉยๆ แต่พอเห็นเจ้าแม่อยู่กับนายตัวสำรองก็เข้ามากันเจ้าแม่ทันที กุกาวซีนนั้นว่าฮีแบบหวงเจ้าแม่โดยไม่รู้ตัว. แล้วก็แสดงออกชัดแบบที่หวงคุณยูคาริ
เอ็นโจเที่ยวข่มขู่คนนู้คนนี้ไม่ให้สร้างปัญหาให้เจ้าแม่ก็จริง แต่กุไม่ฟินเท่าไหร่
>>780 จริงๆ มันมีเรื่องลาเต้อาร์ตด้วยนะ คือลาเต้อาร์ตโผล่มาครั้งแรกตอนที่103 ที่ท่านไอระเรียกเรย์กะไปเรื่องคาบุรากิ แล้วเรย์กะก็สั่งลาเต้อาร์ตรูปแกะ ซึ่งเรย์กะก็ดูจะปลื้มๆลาเต้อาร์ตมาก วันถัดมาเอนโจก็มาย้ำเรื่องช่วยคาบุรากิซ้ำต่อจากท่านไอระ เมื่อรวมกับการเรียกชื่อตรงๆ ก็ชัดเจนว่าไอระกับเอนโจเนี่ยสนิทกันแน่นอน กูคิดว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่เรื่องเอนโจทำลาเต้อาร์ตในงานโรงเรียนรอบถัดไปจะเป็นเพราะท่านไอระเอาไปบอก เนื่องจากตอนร้อยหกสิบกว่าที่ท่านไอระนัดเรย์กะไปเจอเพื่อสอบถามเรื่องคาบุรากิแอบชอบใคร เธอบอกชัดเจนว่าตัวเองสนับสนุนเรย์กะอยู่นะ ซึ่งตัวบทเนี่ยทำให้คิดว่าสนับสนุนให้เรย์กะคู่กับคาบุรากิ แต่จริงๆ กูว่าท่านไอระหมายถึงทั้งสองคนนั่นแหละ ไม่ได้เจาะจงไปที่ใครเป็นพิเศษ ขอแค่เรย์กะชอบหนึ่งในสองคนนี้เธอก็ยินดีจะสนับสนุนแต่เรย์กะดันไม่ชอบใครเลยแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
>>781 เอนโจมันบทพระรองอ่ะ...บทมันพระรองปิดทองหลังพระมาตั้งแต่ในต้นฉบับแล้ว(แค่ไม่ได้ชอบวาคาบะ เลยไม่นับว่าเป็นพระรองเต็มตัว) กูคาดหวังเหมือนกันว่าเอนโจจะมีบทเท่ๆแบบคาบุรากิบ้าง(อย่างน้อยก็ขอชัดๆ ซัดเจ้าไก่โง่กับพูดกับคุณยุยโกะให้ชัดเจนไปเลยยยย...แต่มันก็ต้องหลับจากพัฒนาความสัมพันธุ์กะเรย์กะได้ก่อนนะ ยังไม่ได้เป็นไรกันแค่แอบชอบเขาคงทำไรไม่ได้อ่ะ ไม่มีสิทธิ์นั้น) ฉากข่มขู่(คนอื่น)กูก็ไม่ฟินเท่าไหร่เหมือนกัน เทียบกับฉากแกล้งเรย์กะอ่ะนะ ไม่ได้มองว่าป๊อดหรอก เพราะถ้าตามหลักความเป็นจริงนี่คือวิธีนี้ถือว่าสันติที่สุดแล้ว เป็นวิธีที่ทำให้เรื่องไม่วุ่นวายและยากที่จะหลุดการควบคุม ไม่เหมือนกับคาบุรากิที่แสดงออกว่าปกป้องวาคาบะตรงๆ แต่ดันได้ผลตรงกันข้าม ถึงอย่างนั้นบางทีคนเราก็ต้องการความเท่ไม่เน้นใช้งานบ้าง คุณค่าทางจิตใจอ่ะจิตใจจจจ อีกอย่างงง ไปขู่ลับหลังท่านเรย์กะเขาไม่รับรู้ด้วย แต้มในใจมันไม่ขึ้นเฟ้ยยยย
ส่วนเรื่องวาคาบะปฏิเสธ กูว่ายากอ่ะ...บทตอนนี้วาคาบะค่อนข้างเอนเอียงไปที่คาบุรากินิดหน่อยแล้ว เพราะคาบุรากิมันแสดงออกชัดเจนมากกกก วาคาบะถึงจะทำเฉยๆ แต่กูเชื่อว่าไม่ใช่ไม่รู้ รู้แต่ยังไม่กล้าฟันเฟิร์ม ต้องดูๆไปก่อน ดูให้แน่ใจว่าคาบุรากิจริงจังแค่ไหน แล้วตัวเองคิดยังไงกับเขา ไม่งั้นความรักมันก็จะไม่ยืด... ส่วนนายตัวสำรอง กูว่าหมอนี่มันเนียนเกินไป เผลอๆวาคาบะจะคิดว่าเพื่อนชวนเพื่อนไปเที่ยว เพราะเวลาไปไหนก็คือมีคนในสภาไปด้วย กับ เกี่ยวกับเรื่องเรียนตลอด (คาบุรากินี่ต่อให้คนโง่มาดูยังรู้เลยว่าชอบเขา) อีกอย่างเวลาวาคาบะจังโทร.คุยกับเรย์กะก็มักจะรายงานเรื่องคาบุรากิมากกว่านายตัวสำรองด้วย
>>779 แฮ่ๆ กูมายกมือค้านค่ะว่าเจ้าแม่ไม่ชอบเอ็นโจ อันนี้กูมองว่าชอบแต่นางซึนมากกว่า เหตุผลแรกคือเอ็นโจนี่น่าจะเป็นตัวละครโปรดของนางมาตั้งแต่สมัยนางอ่านมังงะแล้ว เพราะนางก็บอกว่าหน้าตาเอ็นโจเข้ารสนิยมนางมากกว่า แถมนางก็มองหาเจ้าชายผมสีน้ำผึ้งอยู่ตลอดเวลาด้วย
สองคือถึงนางจะไม่ค่อยพูดถึงเอ็นโจมาก แต่ถ้าเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับเอ็นโจนางรู้หมดเลย แบบที่ไม่เคยเห็นทานของหวาน คือถ้าไม่มองหรือไม่สนใจก็ไม่รู้หรอกว่าเขากินหรือไม่กิน อารมณ์แบบจะกินหรือไม่กินก็เรื่องมึงสิ คงไม่เก็บมาสงสัยหรอกว่าทำไมไม่กิน หรือเรื่องที่ยูกิโนะยกถาดขนมมาให้ นางก็บอกว่าไม่เคยเห็นเอ็นโจทำแบบนี้ให้ใครเลย ก็แปลว่าสังเกตอยู่เหมือนกันแหล่ะ
สามคือ นางชอบตัดฉับความคิดตัวเองทุกครั้งที่เกี่ยวกับเอ็นโจ เหมือนพอนึกๆไปแล้วนางจะหยุดคิดเอาดื้อๆแล้วก็ไม่ยอมพูดถึงอีกเลย แต่พอเขามาชวนหรือทำนั่นทำนี่ให้นางก็ดูดีใจนะ แบบที่ชวนไปดูดอกไม้ไฟอะ รีบวิ่งไปหาเสื้อผ้าใส่เลย
สี่คือ นางชอบลนลานเวลาเจอหน้ายุยโกะ ดูจากเวลาที่มีสาวมาเกาะแกะคาบุรากิแบบเคสไมฮามะ นางก็โนสนโนแคร์ แต่พอเป็นยุยโกะที่สวยหวานเพียบพร้อม นางจะรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าทุกครั้งเลย แล้วก็ชอบคิดแย่ๆลบๆเกี่ยวกับตัวเองตลอด เคสที่เห็นชัดๆคือ ตอนงานหิ่งห้อยที่ไมฮามะใส่ชุดสีฟ้าเหมือนกัน เจ้าแม่ก็ไม่ได้สนใจ แต่พอเป็นยุยโกะที่ใส่ชุดสีขาวคล้ายๆกัน นางกลับมาคิดว่าตัวเองใส่แล้วไม่สวย อ้วน ไม่เหมาะ นางไม่เคยเสียความมั่นใจในตัวเองเวลาอยู่ต่อหน้าคนสวยๆเลย เพราะชีวิตนางก็ใกล้ชิดคนสวยตั้งเยอะ แบบยูริเอะ ไอระ ซากุระ หรือคนอื่นๆในเรื่อง แต่พอมาเป็นยุยโกะโผล่มาทีไรนางจะนอย หดหู่ หมดอาลัยตายอยาก ตอนงานชมซากุระก็โกรธอีกต่างหาก
>>782 เอ็นโจจริงๆไม่ใช่พระรองด้วย แค่เพื่อนพระเอกก็นับว่าตัวประกอบดีๆนี่ล่ะ มีหน้าที่แก้ปัญหาให้เวลาพระเอกนางเอกเขาทะเลาะกัน หรือโผล่มาช่วยนางเอกตอนนางร้ายมาราวี กูคิดว่าบทคงน้อยกว่าคาบุหรืออาริมะด้วยซ้ำ แต่ในเรื่องบอกว่าดันได้ความนิยมอันดับหนึ่ง ทั้งที่ตำแหน่งความนิยมพวกนี้น่าจะเป็นพระรองหรือไม่ก็พระเอกมากกว่า แปลว่าบทต้องดีหรือโดนใจสาวๆชัวร์
เรื่องวาคาบะกูคิดว่าวาคาบะมีใจให้ว่ะ ไม่งั้นไม่ลงทุนออกปากว่าจะทำข้าวกล่องแล้วแบกไปให้กินหรอก คาบุบ้านรวยจะตายไป แค่ข้าวกล่องบอกแม่บ้านนิดนึงเขาก็ทำเบนโตะสุดหรูมาให้แล้ว แบบเรย์กะที่ทางบ้านทำข้าวซูชิห่อไข่อะไรซักอย่างมากินที่โรงเรียนกวดวิชาอะ ไม่ต้องมารอกินข้าวบ้านๆแบบข้าวกล่องนางหรอก อีกอย่างเขาชวนไปไหนถ้าว่างก็ไป นี่พัฒนาขนาดไปด้วยกันตอนกลางคืนได้แล้วด้วย บนเรือก็สถานที่ปิด แทบจะอยู่ด้วยกันสองต่อสอง คงไว้ใจและบวกกับมีใจด้วย ถึงได้ยอมตกลงนั่นล่ะ
>>783 เรื่องชอบไม่ชอบกูไม่แน่ใจหรอก เอาเป็นว่ากูใช้คำผิดเอง เปลี่ยนเป็นไม่อยากเข้าใกล้ละกัน(คาบุรากิคือไม่อยากเข้าใกล้เพราะกลัวซวยกลัวความวุ่นวาย เอนโจไม่อยากเข้าใกล้เพราะรับมือไม่ได้ กลัวโดนแกล้ง) เพราะจริงๆ เรย์กะทั้งชอบจักพรรดิและเจ้าชายในคิมิดอล(แต่ชอบเจ้าชายมากกว่าเพราะตรงกับรสนิยมนาง >>> ไม่แปลกใจที่ติดท่านพี่ทาเคนะ เพราะเป็นคนประเภทเดียวกัน แทบจะมีอิมเมจคล้ายๆกันเลยด้วย) เรื่องสังเกตคือกูกองอวยเอนโจเช่นกันแต่กูไม่มองงั้น เพราะแฟคก็คือเรย์กะไม่ได้สังเกตแค่เอนโจ นางสังเกตคาบุรากิด้วย(คาบุรากิวันนี้กินอะไรในห้องซาลอนคือรู้หมด) เพราะงั้นตรงนี้กูเลยมองว่าไม่ได้สังเกตเพราะความรัก แอบชอบ โดคิโดคิ แต่มันเป็นอารมณ์ของคนเกิดใหม่ในโลกนิยายที่พยายามทำตัวเป็นตัวประกอบ อยู่วงนอก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเสตาไปมองพวกตัวเอกไม่ได้ว่าทำอะไรกันอยู่
ส่วนเรื่องยุยโกะอันนี้ก็อาจจะเป็นจริงๆอย่างที่มึงว่าก็ได้ แต่ก็มีโอกาสจะไม่ เพราะจริงๆ เรย์กะมีพฤติกรรมออกห่าง หรือพยายามแก้ความเข้าใจผิดหากคิดว่ากำลังไปขัดขวางเส้นทางรักของใครอยู่ อย่าง ซากุระจัง ตอนแรกนางก็ตีตัวขอนั่งแยกคนเดียวจนโดดเดี่ยวไปเลย ผมสั้นคนที่ชอบนายคลั้งหมาเรย์กะก็พยายามแก้ความเข้าใจผิด ยุยโกะที่มองเรย์กะด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก>>คนประเภทที่เรย์กะรับมือไม่ได้มากที่สุด ไม่แปลกใจที่เธอจะพยายามหนี (ผิดกับตาไก่โง่ที่นอกจากจะไม่หนีแล้วเรย์กะยังตีกลับทั้งๆที่เป้าหมายคือกันท่าเอนโจเหมือนกัน ไมฮามะก็เช่นกัน เป็นคนประเภทที่ทำให้เรย์กะหมั่นไส้เหมือนกับตาไก่โง่ เรย์กะก็เลยไม่แคร์)
แต่เรื่องไม่มั่นใจในตัวเองนี่เห็นด้วยเลย แทบไม่เคยเห็นเรย์กะขาดความมั่นใจในตัวเอง ขนาดนางรู้ตัวว่าอ้วนยังไม่คิดหดหู่เลยด้วยซ้ำ แต่เจอยุยโกะคือคิดเต็มไปหมด ทั้งๆที่ยุยโกะกับซากุระน่าจะเป็นคนประเภทเดียวกันนะ(แบบคล้ายๆ แต่ซากุระไม่เท่ายุยโกะเพราะเก็บสายตาไม่มิด)แต่นางก็ไม่ได้คิดเปรียบเทียบตัวเองกับซากุระ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ว่าเรย์กะจะคิดเปรียบเทียบจริงๆ แถมเรื่องชอบตัดบทตอนคิดถึงเอนโจดื้อๆ ก็เรื่องจริงด้วย นางตัดไปเฉยๆเลย กับคาบุรากิดูจะยืดยาวและชัดเจนกว่าเลยไม่คิดว่านางจะชอบคาบุรากิ ดูมองเป็นเพื่อน(ตัวปัญหา)มากกว่า
เรื่องพระรองกูหมายถึงบทน่ะ แบบถ้าเอนโจชอบวาคาบะ บทเอนโจมันก็คือพระรองดีๆนี่เอง แต่เอนโจไม่ได้ชอบก็เลยไม่นับว่าเป็นพระรอง(เป็นเพื่อนพระเอกแทน) ขอโทษที่ใช้คำผิดนะเพื่อนโม่ง แหะๆ
>>784 เปล่าหรอกมึง กูคิดแค่ว่าตามตรรกะพวกการ์ตูนโชโจทั่วไปแบบที่พระเอกกับพระรองยังไงก็ต้องเด่น บทกับโมเมนต์ต้องเยอะ เพราะยังไงก็ต้องไปชิงชัยความรักกับหัวใจของนางเอก ส่วนเพื่อนพระเอกจะมาเป็นจ็อบๆไปแค่นั้นเฉยๆ ไม่ได้บอกว่ามึงใช้คำผิดอะไรหรอก ถ้ามองตามตรรกะการ์ตูนโชโจ บทเพื่อนพระเอกอย่างเอ็นโจก็คือตัวประกอบนั่นล่ะ แต่เป็นตัวประกอบที่บทเยอะเพราะตัวติดกับพระเอก 5555555555555
แต่เรื่องสังเกตเอ็นโจก็คงตามที่มึงบอกนั่นล่ะ มองคาบุรากิก็เลยมองเอ็นโจไปด้วย เพียงแต่นางไม่ได้พูดถึงเอ็นโจแต่พูดถึงคาบุรากิซะ 90% ใส่ใจขนาดนั้น ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็เป็นพระเอกไปแล้ว แต่พอเป็นเรื่องเจ้าแม่ก็......พระเอกก็ฟู้ดซังกับคานซังนั่นล่ะ //ยักไหล่
>>783 กุก็คิดว่าวาคาบะมีใจให้คาบุ ไม่งั้นคาบุแสดงออกชัดขนาดนี้ยังจะไปด้วยเหรอ แถมทำข้าวกล่องให้อีก แต่กุอยากให้วาคาบะลงเอยกับนายตัวสำรองมากกว่า เพราะกุเชียร์คาบุกับเจ้าแม่ ตอนนี้กุก็หวังว่านายตัวสำรองจะเป็นม้ามืด ทำคะแนนชิงหัวใจวาคาบะจังมาได้ สู้ๆนะนายตัวสำรอง
>>787 ความคืบหน้าของอาริมะนี่ดูยากว่ะ เพราะวาคาบะไม่เล่าเลย เล่าแต่ฝั่งที่ตัวเองไปเดทกับคาบุ แต่ก็เห็นว่าสนิทกันดีมีตบมุกกันไปมา แต่กูคิดว่าตอนอยู่กับคาบุ วาคาบะก็คงตบมุกโบ๊ะบ๊ะแบบนี้เหมือนกันมั้ง เพราะคาบุก็บอกยูริเอะกับไอระว่าวาคาบะก็ตลกดีด้วย ก็คงคุยฮาๆเหมือนกันกับอาริมะนั่นล่ะ คาบุถึงได้ชอบ
สำหรับกูนะ เอ็นโจคนพี่น่าจะชอบเรย์กะแหละ แต่มันดันมีหลายอย่างยังไม่ลงล็อกซักที แล้วยังชอบไปแกล้งทวงบุญคุณตั่งต่าง สมควรที่จะโดนต่อยท้องละ.... แต่ถามว่ากูลงเรือมั้ย ลงจ้าาาาา แง
มิซึซากิคุงก็คือเป็นเพื่อนช้อปปิ้งทีวีไดเรกกับท่านเรย์กะ😢 แต่ความสัมพันธ์แบบโรมิโอกับจูเลียตที่ทั้งสองฝั่งไม่ถูกกันมันก็สุดแสนจะดีต่อใจ(อกหักจากอดีตท่านประธานแล้วลองมองท่านประธานคนปัจจุบันก็ดีนะ🥺) แล้วที่แน่ใจคือน่าจะติดเฟรนโซนยาว ๆ กับวาคาบะจังเพราะเนียนเกิน55555 ไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มงี้ ถ้าเทียบกับคาบุที่ชัดเจนชิบหายแบบ 300% ก็ค่อนข้างจะจืดจางในฐานะคนที่แอบชอบ
คันตะคุงก็ดูดี เด็กกรุบกริบ โคโรเน่เพื่อนของพี่สาวชอบบอกว่าขออีกคำเดียวแต่ก็กินไปครึ่งชาม คันตะก็บ่น ๆ แต่มือก็ทำอาหารให้ต่อ ตอนที่โคโรเน่กินอาหารของเขาแล้วมีความสุขก็คือความสุขของเขาแหละ
คาบุ กูชอบโมเม้นที่อยู่กับเรย์กะมากๆๆๆๆ ถึงจะชอบโดนกูมองผ่านฟิลเต้อไซซายะก็ตาม555555 ตอนไปกินของสามัญชนด้วยกันแม่งเป็นโมเม้นที่โคตรจะโชโจหวานแหวว แต่พอมุมมองเจ้าแม่ที่รักยิ่งของกูก็.... ไร้ซึ่งโดกิโดกิ อีกอันที่ชอบมาก ๆ คือตอนที่เล่นเปียโน นุน่ะนะ ใจนุน่ะ ;-; โดกิโดกิไม่เหลือ ยิ่งฟิคA-Zลงใหม่ ๆ นะ หือ ดีมากกก
ท่านอิมาริ ถึงแม้จะโดนชงกับท่านพี่ตลอด55555555 (แน่นอนว่ากูด้วย) แต่ซักมู้นึงอะ มีคนแต่งมุมท่านอิมาริตอนที่ท่านเรย์กะไปปรึกษาเรื่องของขวัญซัมติง มันแบบ อุ่ก ยัยน้องสาวของเพื่อนในวันนั้นโตขนาดนี้แล้ว แล้วกูก็นึกถึงฟิลเต้อนี้บ่อยมาก555555555
ตัวละครที่กูรอคือน้องชายท่านอิมาริว่ะ คนนี้แหละอาจจะม้ามืดของจริง
มาถึงเรือสุดท้ายของกู อุเมวากะคุง กูชอบมาก ชอบชิบหายทั้ง ๆ ที่โมเม้นก็คือเหมือนเพื่อนของลูกสาว(หมา)มัน แต่ตอนที่นัดกันข้างนอกแล้วเอาของมาให้กันมันแบบ มุแง ตอนที่รู้จักกันแรก ๆ ;-; ตอนที่ไปที่ซุยรัน ;-; ตอนอวดต่างหู ;-; เพราะใจมันชิบแน่ ๆ อ่านอะไรก็เป็นโมเม้น
สรุปคือ กูลงหมดน่ะ.. เศษชิ้นส่วนร่างกายของกูกระจายไปทุกเรือ
>>791 คาบุกับเรย์กะนี่เวลาอยู่กันสองคนในบรรยากาศดีๆที่เป็นใจแม่งชอบเตะขัดขาสกัดดาวรุ่งกันเองว่ะ เหมือนต่างฝ่ายต่างจะไม่ยอมสร้างความโรแมนซ์ใดๆให้เกิดขึ้น แบบตอนเจ้าแม่บอกจะทำข้าวมาให้แล้วคาบุชิงพูดว่าเป็นวีแกน ถ้าเป็นเรื่องอื่นคงโดขิๆเขินม้วนไปแล้ว โอ้ว เธอคิดไรกับฉันป่ะเนี่ย แต่พอเป็นเรื่องนี้ดันมาใจเต้นเพราะกลัวตายคาข้าวกล่องแทน หรือตอนงานทานาบาตะที่โคตรรวมทุกอย่างของความโรแมนติค แบบสวนดอกไม้ประดับไฟแสนสวย ท้องฟ้ามีแต่ดาวพร่างพราว แต่บทสนทนาดันแห้งซะยิ่งกว่าแห้ง เพราะไม่ได้มีใจให้กัน ความโรแมนติคก็ไม่บังเกิด แต่มองจากมุมมองคนนอกที่เห็นสองคนนี้ไปเดินด้วยกันก็คงว่าเหมาะสมกันดี
ส่วนเอ็นโจเนี่ย โมเมนต์ที่ดีที่สุดในเรื่องกูยกให้ตอนที่นั่งคุยกันในสโมสรที่ไม่มีคนเลย เอ็นโจดูอ่อนแอ(มั้ง) อยากอยู่เงียบๆ แต่พอเรย์กะมาก็คุยด้วย ถ้าไม่ใช่เจ้าแม่ฮีคงลุกหนีไปที่อื่นแล้ว แต่ยังยอมให้อยู่ข้างๆก็ต้องเห็นเป็นคนสำคัญ และกูชอบที่เขาสองคนหัวเราะกันว่ะ ปกติเอ็นโจกับเรย์กะจะวางมาดกัน แต่นี่หัวเราะลั่นห้อง คือต้องมีความสุขและสนุกขนาดไหนถึงจะหัวเราะกันได้ขนาดนี้ รู้สึกได้รับการฮีลลิ่งจากที่อึมครึมกันมาก่อนหน้านั้น และกูคิดว่าในตอนนี้ความรู้สึกของเอ็นโจมันเหมือนได้รับการตกผลึกว่ะ ตอนแรกคงอยู่ในขอบเขตคำว่าชอบ แต่หลังจากตอนนี้กูว่ามันก้าวข้ามไปเป็นรักแล้ว
อาริมะกูเห็นเป็นเพื่อนตบมุกของเรย์กะ โมเมนต์น้อยไปหน่อย ออกแนวสหายร่วมรบในการพิทักษ์วาคาบะมากกว่า
โมเม้นโดขิของคาบุมันจะเป็นแบบ ต้องต่อจุดเติมจินตนาการเอาเอง คาบุเห็นสนใจเรย์กะมากเลย เรื่องคะแนน เรื่องน้ำหนัก สนใจรายละเอียดต่างๆของเรย์กะ ซึ่งตรงนี้กุว่าเกินกว่าเพื่อนปกติว่ะ
มีหลายโมเม้นให้โดกิเหมือนกันนะ
ตอนที่รู้ว่าเรย์กะกำลังทานเค้กอยู่กับเอ็นโจ ก็รีบมาแจม
ตอนเห็นเรย์กะเหมือนถูกอาริมะ
ตอนที่เห็นเรย์กะคุยกับมิซึซากิ ฮีก็เข้ามาปกป้องเรย์กะทันที
อย่างตอนวาคาบะจังโดยกลุ่มป้าแถวบ้านดึงไปเม้า ฮีก็โทรหาเรย์กะ
กุมีความรู้สึกว่าการจีบวาคาบะจังเป็นมิชชั่นอย่างนึงของคาบุ ซึ่งฮีเอ็นจอยกับมันเพราะฮีสามารถเอามาเป็นเรื่องคุยกับเรย์กะได้ แล้วกุว่าคาบุอาจจะไม่ได้ถึงขั้นชอบวาคาบะอย่างในมังงะ
ในมังงะวาคาบะจังโดนเรย์กะรังแก คาบุปกป้อง วาคาบะต้องพึ่งพาคาบุ ส่วนคาบุก็รู้สึกว่าวาคาบะเป็นผู้หญิงของเขาที่ต้องดูแล ทำให้ความสัมพันธ์พัฒนาเป็นความรัก
ในขนะที่ในเรื่องวาคาบะจังมีเรย์กะช่วยเหลืออย่างลับๆ ทำให้วาคาบะยืนด้วยตัวเองในซุยรันได้โดยไม่ต้องได้รับความคุ้มครองจากคาบุ ตรงนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของคาบุและวาคาบะต่างออกไป
ถ้ามองว่าการที่ความสัมพันธ์ของคาบุกับวาคาบะในมังงะพัฒนาเป็นความรักได้เป็นเพราะการที่คาบุรู้สึกว่ามีเด็กผู้หญิงคนนึงที่เขาต้องรับผิดชอบดูแล
ตอนนี้กุว่าเด็กผู้หญิงที่ไซซายะใช้เวลารับผิดชอบดูแลมากที่สุดก็ท่านเรย์กะนี่แหละ ฮีดูแลทั้งเรื่องเรียน เรื่องน้ำหนัก อกหักฮีก็ปลอบใจ
กุว่าคาบุชอบเรย์กะ แต่ไม่ยอมรับ เพราะเรย์กะคือคนใกล้ตัวที่สังคมรอบข้าง ทั้งที่ซุยรัน ทั้งที่บ้าน ชี้ว่าเหมาะสมกัน ตั้งแต่เด็ก แต่เรย์กะแสดงออกชัดว่าไม่ค่อยสนใจตัวเองเท่าไหร่ หลบได้เป็นหลบ ถ้ายอมรับว่าชอบเรย์กะก็คือแพ้
โอเค กุกาวได้ประมาณนี้
>>794 กูว่าที่จีบวาคาบะนี่ไม่ใช่มิชชั่นนะ คาบุคงชอบของมันจริงๆนั่นล่ะ ไม่งั้นไม่ลงทุนทำอะไรหลายๆอย่างให้หรอก เป็นประธาน pivoine ก็เพื่อวาคาบะ ถึงความรู้สึกจะช้าแต่พอมีคนเตือน(เจ้าแม่) ว่ามีคนรังแกวาคาบะอยู่ก็ลงมือทำเลย ไปทำสร้อยแฮนด์เมดด้วยตัวเอง ปะฉะดะกับเจ๊ประธานคนก่อนก็เพื่อปกป้องวาคาบะ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องก่อนหน้านั้นที่จะได้มาปรึกษาเรื่องความรักกับเจ้าแม่แบบจริงๆจังๆด้วย ทุ่มเทขนาดนี้บอกว่าไม่ชอบแบบจริงจังก็ไม่รู้จะว่ายังไงละ ความรู้สึกคาบุมันมั่นคงนะมึง ชอบยูริเอะมาตั้งหลายปีพอโดนปฏิเสธแบบจริงจังถึงตัดใจ ก่อนหน้านั้นก็ไม่สนใจหรือมองใครนอกจากยูริเอะ เพราะอยากคืบหน้าก็เลยหาที่ปรึกษา ซึ่งหวยก็มาลงที่เจ้าแม่เพราะได้รับการแนะนำมาจากคนอื่นอีกต่อด้วย ไม่ใช่คิดได้เองว่าต้องมาปรึกษา
อีกอย่างคาบุทรีตวาคาบะกับเรย์กะต่างกันมาก คาบุไม่ได้พยายามทำความเข้าใจเรย์กะ โดนเรย์กะด่าไปหลายครั้งเรื่องไร้ความละเอียดอ่อน แล้วก็เรื่องเอาแต่ธุระของตัวเองมาก่อน แต่ก็หาสนใจไม่ ได้แต่ผ่านหูซ้ายย้ายไปหูขวา พูดแบบใจดำคือไม่ได้พยายามปรับตัวเข้าหาเรย์กะ ไม่ได้แคร์ว่าเจ้าแม่จะมีธุระอื่นมั้ย ตามจิกมาให้ฟังเรื่องของตัวเองซึ่งมันคือความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง ถ้าเจ้าแม่โบกกบาลได้คงทำไปละ แต่กับวาคาบะคือ....ยอมเพื่อเธอหมด อะไรที่ไม่เคยไปหรือไม่เคยทำ แต่เพื่อเข้าใจเธอ ฉันทำได้
>>794 กูไม่ได้ไม่ชอบเรือคาบุรากินะ แต่ของมึงนี่ฟิตเตอร์กาวเยอะไปเปล่าเพื่อน เล่นซะคาร์เปลี่ยนเลย สำหรับกูคาบุรากิไม่ได้ใส่ใจเรย์กะเลยสักนิด คือถ้าจะใส่ใจก็แค่ระดับเพื่อนหรือลูกน้องอ่ะ ความสำคัญไม่เท่าวาคาบะจังที่คาบุรากิพยายามทำความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากัน ต่อเรย์กะมันระดับเดียวกับพวกนักเรียนรุ่นน้อง ที่โดนติวสอบวิถีสปาตันเหมือนกันอ่ะ คือต้องเข้าใจก่อน คาบุรากิเป็นคนประเภท กับคนที่ไม่รู้จักจะดูเย็นชา แต่ถ้ามองว่าเป็นพวกพ้องหรือความรับผิดชอบฮีก็จะดูแลได้ดีระดับหนึ่ง แต่เป็นดูแลในแบบของตัวเอง โดยไม่สนว่าฝ่ายตรงข้ามจะรับได้แค่ไหน เพราะคาบุรากิใช้แนวคิดทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ ...และอย่าบอกด้วยว่านางสอนเรย์กะ นางแค่สรุปบทเรียนมาแล้วให้เรย์กะนั่งอ่านเองระหว่างทำแบบฝึกหัด(เหมือนกับที่ทำให้เจ้าพวกรุ่นน้อง) คนที่สอนเรย์กะจริงๆคือท่านพี่กับเอนโจ
คาบุเดินชมดาวกับเจ้าแม่ในบรรยากาศโรแมนติคสุดโคตรยังคิดถึงแต่วาคาบะเลย จะบอกว่าที่จีบวาคาบะเพื่อหาทางใกล้ชิดเรย์กะมันก็ยังไงอยู่นะมึง
จนมู้ที่31แล้วเรือคาบุเรย์กะมันก็ยังโดนด่าโดนตีกระทบเรือไม่เลิกอีกหรอเพื่อนโม่ง ฟิวเต้อใครฟิลเต้อมันปะ กูขอโทษถ้าทำบรรยากาศมู้เสียนะ เพราะกูชอบมากๆที่ทุกคนยังดิสคัสกันอยู่ ถ้าเขาจะมองว่าคาบุใส่ใจเรย์กะเกินกว่าเพื่อนเรื่องน้ำหนักต่าง ๆ เรื่องเอาวาคาบะเป็นข้ออ้างชวนไปเที่ยวก็ฟิลเต้อเขาปะ กูถามจริง ที่เดาๆกันว่าวาคาบะชอบคาบุแล้ว ทำข้าวกล่องคือมีใจ ถ้ากูมองว่าเห้ยถ้าท่านเรย์กะอ้อนงี้ก็คงได้กินเหมือนกัน เพื่อนกันหมดแหล่ะ อันนี้จะมีคนตีกูเหมือนกันปะว่าชงผิดคาร์ละจ่ะ เรือคาบุเรย์กะโดนอย่างนี้บ่อยมาก ๆ ตั้งแต่มู้ต้น ๆ จนโม่งคาบุเรย์กะบางคนไม่มาหวีดเรือหวีดโมเม้นเพราะมึงไม่ได้คิดอะไรแต่ไปตีเรือชาวบ้านอะ ท่านเรย์กะยังไม่มีอะไรอฟช.เว้ย มีตั้งหลายเรื่องที่ดริฟท์คู่กลางทาง เพราะงั้นขอเหอะ อย่าตีเรือคนอื่นได้ปะ
^อันนี้หมายถึงว่า คือถ้าความเห็นต่างมันก็ดิสคัสกันได้นะ แต่แบบมาชี้ว่าเห้ยมึงตีความผิดป้ะอันนี้คือไม่ได้อะ เพราะทุกคนก็แค่ตีความ ไม่ใช่ท่านฮิซะหน่อยถึงจะได้รู้ทุกตลค
จบที่กูบ่น แงแอ เห้ยกูชอบมาก ๆ ที่พวกมึงกลับมาเม้นกันยาว ๆ รู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่าสมัยมอต้นที่ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึงอะ พวกมึงดิสคัสกันยาว ๆ ละก็กูอยากอ่านใหม่อีกรอบเลย คิดถึงท่านฮิ;-; รอลุ้นเดทกับบ้านเอ็นโจของท่านเรย์กะ กลจครบหลักร้อยที่ชอบเป็นไรพีคๆพอดีด้วย;_;
.......บรรยากาศร้อนอยู่ป่ะวะ กูจะถามเรื่องการลงฟิคนี่ไม่กล้าถามเลย Orz
ณ จุดนี้กูคิดว่าจะจิ้นใคร ใครคู่ใครนี่ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคลว่ะ แต่ก็ต้องทำใจว่าเรือคาบุนี่เรือฟางมาก โดนระเบิดกลางน่านน้ำโหดกว่าเรือเอ็นโจอีก สาวกเรือคาบุเรย์กะอย่างกูก็ต้องอาศัยกาวไปวัน ๆ เหมือนกัน แต่ถ้าไม่ใช่ท่านฮิ ทุกเรือก็กาวป่ะวะ
>>801 ถามหรือลงเลย ที่นี่เปิดอิสระ ไม่ได้ต้องดูบรรยากาศก่อน
นั่นสิ ก็กาวทุกเรือแหละ ออฟฟิสเชียลมีแต่ฟูดซัง กับคานซังเท่านั้น ที่นี่ใครจะกาวยกเหตุผลมาหนุนเรือคาบุเรย์กะ เรืออาริมะเรย์กะ เรือเอ็นโจเรย์กะ ก็ตามสบาย ถ้าอยากกาวเรือไหนก็กาวไป อย่าเจาะเรือกันดีกว่า เพราะทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น นิยายยังไม่จบเว้ย
อย่างนึงคือ เจ้าแม่เป็น unreliable narrator ซึ่งในมุมมองของเจ้าแม่ซึ่งรู้จากเนื้อเรื่องเดิมว่า คาบุรากิ หลงรัก วาคาบะจัง แน่นอนว่าเจ้าแม่ไม่มีทางไม่คิดว่าคาบุรากิจะชอบเรย์กะ เพราะงั้นเวลาอยู่ด้วยกัน สมมุติว่าคาบุมีท่าทีพิเศษยังไง เจ้าแม่คงไม่สังเกตุเห็นหรอก
ในแมวดุ้นเหลือ 39 ตอนเหรอวะ
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1288450748708085760?s=21
กุนับถือใจนักวาดคนนี้เลยมึงง เขายังวาดอยู่เรื่อยๆอะ ฮืออออออ
หลังจาก 299(จำไม่ได้ละไปดำมานานเกิน) มีลงเพิ่มไหม
เมื่อเจ้าแม่บอกว่าอีกแค่คำเดียว
https://twitter.com/Hypychie/status/1288687834560204800?s=09
กุยังเฝ้ารอคอยว่าปีหน้าท่านฮิจะมาลงนะ (กุกาวเองว่าท่านฮิรอลูกเข้าอนุบาล แต่ปีนี้มีโควิดเลยไม่ได้ไปร.ร.)
กูมาส่องมู้หลังจากที่ไม่ได้เข้ามานาน ดีใจมากที่เห็นคนมาเต็มมู้เลย อย่างน้อยก็มีอะไรอ่านแก้เหงา เหมือนตัวเองไม่ได้รอเรื่องนี้อยู่คนเดียว ;-;
ใดๆคือกูก็รอน้องชายท่านอิมาริเหมือนกัน มันจะต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกรให้สมกับที่รอคอย ม้ามืดแหวกมาประมาณแอบปลื้มท่านเรกะหรือไม่ก็รู้สึกสนใจเพราะพี่ชายเล่าเรื่องน้องสาวของเพื่อนสนิทให้ฟัง //อุก กูเริ่มกาวแล้ว ถึงเรือหลักจะเป็นท่านเอ็นโจแต่กูก็อยากให้ท่านรู้สึกถึงการมีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกัน (น้องชายของเพื่อนสนิทท่านพี่ แค่คิดก็อยากอ่านแล้ว)
กูชอบทุกคน กูรอแค่วันที่เจ้าแม่จะหลุดออกจากคานซังซักที กาวของ >>794 เรื่องคาบุกับเจ้าแม่กูชอบมากกก อยากอ่านเลย โม่งฟิคคนไหนใจดีจะแต่งให้อ่านหน่อยได้มั้ย (⊃。•́‿•̀。)⊃ กาวคุณน้องชายท่านอิมาริด้วยก็จะดีใจมากๆ
คิดถึงฟิคเก่าๆหลายเรื่องเลย ฟิคหลังเรียนจบที่เป็นตำนานก็คือรออย่างมีความหวังตลอด
ขออนุญาตถามหน่อย พอดีเพิ่งไล่อ่านใหม่อีกรอบ (อุ คิดถึงนะคะ อยากได้ตอนใหม่แล้ว TT) หัวหน้าห้องสาวน้อยนี่ใช่คนเดียวกับซาโตมิไหมนะ 5555 พอมาอ่านอีกรอบก็รู้สึกจะไม่ค่อยแน่ใจ คนที่เคยเป็นกรรมการห้องคู่กับเรย์กะที่เด่นๆ ก็จะมีหัวหน้าห้องสาวน้อยกับเณรน้อยใช่ไหม?
มึง กูแอบคิด ยูกิโนะชอบท่านเรย์กะเหมือนที่คาบุรากิเคยชอบท่านยูริเอะป้ะวะ แบบนี้สมมติท่านเรย์กะลงเอยกับท่านเอ็นโจจริง มึงว่ายูกิโนะจะเป็นไงอ่ะ ต้องดราม่าแน่เลยว่ะ โอ้ย
มึงว่ายูกิโนะนี่แองเจิ้ลจริงหรือว่าไม่ใช่
>>823 อาจจะชอบแนวพี่สาวคนสวยที่ใจดีอ่อนโยนกับตัวเอง แต่คงไม่ถึงขั้นคาบุที่ไปตื๊อๆยูริเอะ แล้วน้องเขาก็ดูเชียร์พี่ชายมากกว่าจะจีบเองด้วย
>>826 ไม่หรอก พอเวลาเรย์กะนางชมว่ายูกิโนะเป็นเด็กดี อ่อนโยน น่ารัก ทุกคนเลิกคิ้วกันทั้งนั้น ทั้งเอ็นโจ คาบุ หรือคุณแม่ของน้อง ที่แสดงออกว่าเป็นเด็กดีน่ารักน่าจะแค่ต่อหน้าเรย์กะคนเดียวมั้ง แต่พออยู่กับพี่ๆคงดื้อและเอาแต่ใจตามประสาเด็กโดนสปอยนั่นล่ะ
>>829 ไม่รู้สิ อาจจะผสมๆกันมั้ง
แต่ยุยโกะนี่เหมือนถูกสร้างมาให้เป็นขั้วตรงข้ามเรย์กะทุกอย่างเลยว่ะ ตั้งแต่รูปร่าง ทรงผม ตัวอย่างความตรงกันข้ามก็เช่น
-เจ้าแม่ผมยาว(ผมม้วน) ยุยโกะผมสั้น
-เรย์กะได้ฉายาเจ้าแม่กาลี ยุยโกะได้เป็นเทพธิดานางฟ้า
-เรย์กะโดนด่าว่าอีอ้วน ยุยโกะสวยบอบบางเหมือนจะปลิวลม
-เจ้าแม่รายล้อมไปด้วยลูกสมุนสาวๆ ยุยโกะมีแต่ผช.ห้อมล้อมตามจีบ
-ยูกิโนะชอบเรย์กะมาก และยี้ยุยโกะมากเช่นกัน
จากการสร้างตัวละครในด้านต้นก็คงอนุมานเอาได้มั้งว่านิสัยคงตรงข้ามกันด้วย เจ้าแม่ดูร้ายๆเป็นนางร้ายแต่นิสัยดีขี้สงสารชอบช่วยเหลือคนอื่น ยุยโกะนี่น่าจะร่างอวตารของเอ็นโจร่างผญ.ที่เพิ่มความมารยาสาไถเข้าไปมั้ง 55555555
นึกออกอีกอย่างคือเวลายุยโกะเรียกผช.นางจะเรียกด้วยชื่อเล่น ดูสนิทสนมกันมาก แบบชู ฮารุ แต่เจ้าแม่ไม่เคยได้เรียกผช.คนไหนด้วยชื่อเลยซักแอะ ยกเว้นพวกเด็กๆแบบยูกิโนะหรือยูริคุงอะนะ 55555555
คิดในแง่ดี ท่านฮิอาจจะเป็นชนชั้นอีลิท แบบเดียวกับท่านเรย์กะหรือเปล่า จากการที่เนื้อหาในเรื่องดูสมจริงแบบดูรวยมาก อาจจะโดนคนที่บ้านมองว่านิยายไร้สาระ ให้ไปช่วยงานทางบ้านแทน อะไรงี้มั้ย ก็เลยต้องหยุดอัพ หายไปดื้อๆ อันนี้กุคิดแง่ดี อาจจะติดงานน่ะแหละ ฮือ
สำหรับกูว่ากูว่ายุยโกะนี่เป็นสไตล์ที่เจ้าแม่จะแพ้ทางแบบจริงจัง สังเกตว่าเจ้าแม่ไม่ถนัดที่จะรับมือกับคุณหนูผู้ดีญี่ปุ่นจ๋าๆ ตอนบรรยายแต่ละทีคือแบบนางฟ้าบอบบางปลิวลมรอยยิ้มแบบเลือนราง ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม น่าจะเป็นคนประเภทที่รับมือไม่ถูกอะ เพราะเจ้าแม่ชอบมองว่าตัวเองเป็นคุณหนูของเก๊ด้วย พอเจอต้นตำหรับ(ในสายตาตัวเอง)ในใจก็จะมีความเกร็งๆ เอาตัวเองเทียบนู่นนี่อยู่หน่อยๆ
ว่าแล้วก็อยากอ่านฟิค คุ้นๆว่าเคยมีคนกาวเรือผีคู่นี้ ใครอแต่งๆกาวๆก็ปามาได้นะคะ
>>834 กูว่านางไม่ถนัดรับมือกับพวกอ่านทางยากมากกว่าว่ะ เช่นเอ็นโจที่ยิ้มตลอดแต่คิดไรอยู่ก็ไม่รู้ คาบุนี่ตรงไปตรงมาเกิน จะมาไม้ไหนนางก็เอาอยู่แถมรู้ทันตลอด แต่กับเอ็นโจนางดูรับมือไม่ถูก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่ ยิ้มๆอยู่แบบนั้นๆไม่รู้มีแผนอะไรอยู่ แล้วไอ้แผนที่ว่านั่นคือนางจะซวยไปด้วยไง แต่บางทีนางก็ระแวงเกิน
>>835 จริงๆ เจ้าแม่ระแวงว่าเอ็นโจจะมาไม้ไหน เพราะเอ็นโจหางานให้เจ้าแม่บ่อย แถมพูดจาทวงบุญคุณ กดดันเจ้าแม่อีก คุณยูโกะจริงๆกับเจ้าแม่ก็รักษามารยาท ไม่ได้แซะ เปิดศึกเหมือไมฮามะ แถมเป็นตัวละครลับที่น่าจะไม่ได้กล่าวถึงในมังงะ เจ้าแม่เลยไปไม่เป็น ส่วนคาบุเจ้าแม่รู้อยู่แล้วว่าตามเนื้อเรื่องชอบวาคาบะ นางก็เลยพอจะรู้บ้างว่าต้องวางตัวยังไง เลยรับมือได้สบาย
>>836 แต่นางดูขยาดๆเอ็นโจตั้งแต่เด็กๆเลยรึเปล่าหว่า ทั้งที่จริงทะลุมิติมาในการ์ตูนเรื่องโปรดก็น่าจะมีแอบกรี๊ดตัวละครมั่งอะไรมั่งนะ นี่ดูเหมือนนางจะกลัวตายในร่างเรย์กะอย่างเดียว พอตัวเอกเข้าใกล้เลยระแวงสุดชีวิต ไม่ได้หลงเหลือความติ่งในหัวใจเลย มันผิดวิสัยติ่งยังไงก็ไม่รู้ดิ 55555555555555
เจ้าแม่ตอนแรกๆก็ติ่งอยู่นะ แต่ติ่งแบบกลัวๆเพราะออร่าเด็กหกขวบแต่ชั้นโตแล้วพวกเทอมันเด็กชั้นไม่เล่นด้วยของคาบุรากิ ยังมีเม้าช็อคโกแลตที่คาบุชอบกับสาวๆอยู่เลย กูว่าติ่งแหล่ะแต่ก็ไม่เข้าหาติ่งแบบแอบมองหลบๆ แต่พอเจอเรื่องจดหมายรักเข้าไปก็ขยาดเลย ลาก่อน5555555
แต่ความจริงถ้ากูแก่ๆแล้วไปเจอเด็กแบบคาบุคงจะไม่กลัวหรอก น่าจะหมั่นไส้แบบน่าบีบเข้าให้ แต่ก็คงจะหลบแบบท่านเรย์กะอยู่ดี
มึงๆ กุพึ่งไปส่องคุณนักวาด มีโม่งคนไหนแปลทวิตนี้ไปยังง่ะ แปลให้หน่อยๆๆ อยากรู้สตอรี่ว่ะ เจ้าแม่โดนสาปเป็นกระต่ายเหรอ https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1263096361282502656
>>841
กริฟฟินดอร์
- คาบุรากิ: เลือดแท้ เล่นควิดดิชตำแหน่งบีตเตอร์
สลิธีริน
- เจ้าแม่: เลือดแท้ จริงๆอยากเข้าฮัฟเฟิลพัฟ อนิเมกัสกระต่าย เล่นควิดดิชไม่เป็น ผู้นำกลุ่มเลือดแท้
ฮัฟเฟิลพัฟ
- เอนโจ เลือดแท้ เล่นควิดดิชตำแหน่งเชสเซอร์ จริงๆควรเข้าบ้านสลิธีริน(น่าจะเลือกเข้าบ้านฮัฟเองเพราะเจ้าแม่น่าจะเข้า แต่เจ้าแม่หนีไปสลิธีรินซะงั้น)
เรเวนคลอ
- วาคาบะ ลูกมักเกิล เล่นควิดดิชเป็นซีกเกอร์ ชอบช็อกโกแลตกบ
- มิซึซากิ เลือดผสม เล่นควิดดิชเป็นบีตเตอร์ ไม่ถูกกับหัวหน้ากลุ่มเลือดแท้
เจ้าแม่ร่างกระต่ายโดนต้นวิลโลวไล่หวด ขาหน้าขวาบาดเจ็บ เอนโจช่วยรักษาให้ คาบุมาทักว่าเป็นสัตว์เลี้ยงเหรอ วันต่อมาเอนโจก็ทักเจ้าแม่ว่าแขนขวาเป็นไงมั่ง
คือเจ้าแม่กะเอนโจนี่ถ้าไม่วาดตอนแฟนกันไปแล้วเลยคือเจ้าแม่สั่นกลัวตลอด55555
>>842 ขอบคุณสำหรับคำแปลค้าบ
แต่เอาจริงๆแอบคิดว่าสามหน่อคาบุ เรย์กะ เอ็นโจวนี่น่าจะอยู่สลิให้หมดนะ เห็นเป็นพวกเลือดบริสุทธิ์ คาบุอาจจะเถรตรงจนนิสัยเหมือนชาวกริฟแต่ก็ยังมีอำนาจที่เหมือนพวกสลิอยู่ง่ะ ส่วนวาคาบะจังกับนายตัวสำรองก็น่าจะกริฟ นายตัวสำรองกล้าลุกมาปะทะกับอดีตประธานสโมสรตั้งหลายครั้งอ่า นิสัยชาวกริฟมากๆ วาคาบะจังเองก็จิตใจแข็งแกร่งสุดๆ
กูก็ว่าวาคาบะอยู่เรเวนคลอ คนที่วิ่งตามผีเสื้อข้ามเมืองได้เนี่ย กูเชื่อมั่นในความใฝ่หาความรู้ของนางว่ะ5555
ท่านเรย์กะก็นี่กูว่ายังไง ๆ ก็ไม่น่าไปสลิที่เด่นเรื่องทะเยอทะยาน แต่คงแบบชั้นต้องสลิธๆ ไม่งั้นจะผิดบท/ผิดต่อตระกูลเลือดแท้
แต่เอาจริงสามหน่อนี่เอาคอร์หลักไม่มีใครดูน่าจะไปอยู่สลิธซักคน ถ้าจะเป็นใครคงเป็นคุณพี่ประธานสโมปีที่แล้ว(จำชื่อไม่ได้) ไมฮามะ ซากุระโกะคนนี้บวกลบกะกริฟ ทำนองนี้ //อยากใส่ยุยโกะไปด้วยเหมือนกัน สวยๆลอยละล่องปลิวลมกูนึกถึงงู5555 แต่อาจจะเพราะได้อิทธิพลมาจากเมราลในเซรีญา
>>845 กริฟมันบ้านพระเอก เลือดร้อน เถรตรง กล้าหาญ รักความยุติธรรม ลักษณะเด่นของกริฟเข้าแก็ปคาบุหมดทุกอย่าง ส่วนอาริมะใจกูเอียงให้ไปทางเรเวนมากกว่ากริฟนิดหน่อย ตรงที่อาริมะดูใจเย็นและรอบคอบกว่า วาคาบะนี่ก็เรเวนเพราะนางก็ดูเนิร์ดๆ เวลาค้นคว้าวิชาการหรืออะไรก็สนใจจนลืมอีกเรื่องไปเลย เหมาะกับบ้านเด็กเนิร์ดอย่างเรเวน เจ้าแม่ถึงจะให้ความรู้สึกแบบสลิแต่เนื้อในกูว่าเหมาะกับฮัฟ เพราะนางอ่อนโยน คิดถึงความรู้สึกคนอื่น ส่วนเอ็นโจนี่จับโยนเข้าสลิไปได้ไม่ต้องคิดเยอะ 55555
กุว่าคาบุก็ไม่ได้รักความยุติธรรมอะไรมากมายนะ คือความเถตรง เลือดร้อน นี่มาจากความรักล้วนๆ ส่วนความกล้าหาญ นี่คิดว่ามากจากความมั่นใจในแบคของตระกูลตัวเองด้วย เอ็นโจนี่สลิทแน่นอนจริงๆ ท่านเรย์กะใจเป็นฮัฟ แต่กายเป็นสลิท
โยนท่านพี่เข้าบ้านสลิอย่างไม่ลังเล 555
ท่านเรย์กะผู้เคยเป็นมักเกิ้ลกลับมาเกิดใหม่ในนิยายคิมิดอล AU โลกฮอกวอต
เวลาที่ท่านเรย์กะอยู่คฤหาสน์คิโชวอินท่านพี่ก็อาจจะตกใจที่น้องซื้อของจากทีวีไดเรคโลกมักเกิ้ลมาแล้วเล่นตอนกลางคืนงี้ แต่ก็ช่วยๆปิดไม่บอกพ่อกับแม่
หรือไม่นางก็น่าจะบ่นๆคิดถึงขนมมักเกิ้ลจังเลย ช็อกโกแลตกบก็ดีอยู่หรอก แต่อยากกินขนมมักเกิ้ลอ่า วาคาบะจังที่เป็นลูกมักเกิ้ล(ประมาณเลือดสีโคลน)ก็น่าจะอบเค้กแบบมักเกิ้ลๆมาให้
"อาจจะไม่ถูกปากแม่มดเลือดบริสุทธิ์แบบคุณคิโชวอินก็ได้นะคะ"
แต่ท่านเรย์กะคงแบบ ไม่เลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ฉันชอบมากเลยค่ะ แน่ๆเลยอ่ะ 555555555555 พูดแล้วน่าสนุกแฮะ
กูคิดถึงท่านเรย์กะจะตายอยู่แล้ว!!!! ฮือๆๆๆ กูขออย่างเดียว ขอให้นักเขียนยังมีชีวิตอย่างดีงามอยู่ ฮือๆๆๆๆๆๆๆ
ฟิคนายตัวสำรอง
(5)
นายตัวสำรองเดินนำฉันจนมาถึงหน้าห้องเรียน
“ไม่รู้ว่าเธอกับเอ็นโจมีปัญหาอะไรกันหรอกนะ แต่ถ้าโดนข่มขู่…” พูดถึงตรงนี้นายตัวสำรองก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อะแฮ่ม หรือ…หรือ อืม เอาเป็นว่าฉันก็อยู่ห้องสภาล่ะนะ”
พูดจบแล้วหมอนั่นก็หมุนตัวกลับไปด้วยหูแดง ๆ
อ่า ที่แท้ประธานนักเรียนที่เคร่งขรึมก็มีด้านน่ารักกับเขาเหมือนกันนี่! หูแดง ๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกขยุกขยิกในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
ฉันยืนซาบซึ้งกับมิตรภาพของสองเราอยู่ซักพัก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหน้าห้องเรียนของฉันนี่…มีหูตาสับปะรดของนักเรียนซุยรันจำนวนมาก ก็เลยสะบัดพัดที่ซุกไว้ในกระเป๋ากระโปรงออกมาดังพรึ่บ แล้วเดินเข้าห้องไป
“แหม อากาศในห้องเรียนที่ร้อนจริง ๆ นะคะ” ฉันส่งยิ้มไปให้เซริกะจังพลางโบกพัดในมือไปมาช้า ๆ เอาล่ะ ข้ออ้างเรียบร้อย เมื่อกี้ฉันแค่ออกไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์แทนอากาศที่ร้อนอบอ้าวในห้องเรียนเองน้า ไม่มีอะไรเลยจริงจริ๊ง~ เก่งมาก เรย์กะ!
“ค…ค่ะ ท่านเรย์กะ” เซริกะจังที่เหม่อไปชั่วครู่ ตอบรับฉันอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับคิคุโนะจังและสาว ๆ คนอื่น ๆ ที่ทยอยตอบกลับมาว่า “นั่นสินะคะ” “ร้อนจริงๆด้วยค่ะ”
และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ฉันก็นึกเสียใจที่พูดออกไป เพราะในระหว่างชั่วโมงเรียน อยู่ ๆ ห้องเรียนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะหนาวไปหรือร้อนไป วันนี้กลับรู้สึกร้อนขึ้นมาซะเฉย ๆ แถมยังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนจบคาบพักเที่ยง
ฉันแบกร่างอ่อนระโหยโรยแรงของตัวเองไปที่โรงอาหาร
แม้แต่โรงเรียนหรูหราอย่างซุยรันก็มีวันที่ห้องเรียนแอร์เสียสินะคะ แล้วนี่คาบบ่ายยังจะเสียอีกรึเปล่า แบบนั้นน่ะไม่ไหวนะคะ
แต่วันซวย ๆ ของฉันยังไม่จบแค่นั้น เมนูของหวานวันนี้ที่เป็นลิมิตเต็ด52837390394ก็หมดไปด้วย
ฉันใช้สายตาอาฆาตส่งไปที่แผ่นหลังของนายคนที่อยู่หน้าฉันที่หยิบของชิ้นสุดท้ายไป
ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก
ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก ขอให้ตก
“คุณคิโชวอิน”
การคิดอะไรร้าย ๆ ทำให้โชคไม่ดีจริงด้วย
ฉันหันไปมองเอ็นโจที่ยืนส่งยิ้มบาดตามาให้ฉันจากทางขวามือ แต่ที่บาดตาฉันมากกว่านั้นคือขนม-ลิ-มิต-เต็ด-อยู่ในถาดของหมอนั่นสองถ้วย!
สองถ้วย! สองถ้วยแปลว่าอะไร
สองถ้วยแปลว่าขนมลิมิตเต็ดที่ให้ได้มากที่สุดคนละชิ้น แม้แต่คุณป้าปาติซิเยร์ที่ยืนหลังเคาน์เตอร์ก็ถูกนายนี่ล่อลวง
นี่มันไม่ยุติธรรมที่สุด ฉันจะฟ้อ-
“คุณคิโชวอิน” เอ็นโจเรียกอีกครั้ง “วันนี้ผมกินข้าวเที่ยงด้วยนะ” ว่าแล้วก็เดินไปนั่งตรงที่ฉันมักจะนั่งกับสาว ๆ เป็นประจำ
“แหม อยู่ ๆ ดิฉันก็นึกได้ว่าลืมของไว้ที่ห้องเรียน ท่านเรย์กะไปนั่งก่อนเลยนะคะ” เซริกะจังที่ต่อจากฉันวางถาดอาหารที่หยิบมาแล้วอย่างไม่ใยดี คิคุโนะจังกับคนอื่น ๆ ก็พยักหน้า ปิดปากยิ้มบอกว่าไปเข้าห้องน้ำบ้าง วันนี้จะไปนั่งกับเพื่อนคนอื่นบ้าง
…ทุกคนคิดว่าดิฉันไม่รู้หรอคะว่ากำลังทำอะไรอยู่
แต่ยังไงก็ไม่อาจปฏิเสธคุณเจ้าชายในที่ ๆ มีพยานมากขนาดนี้ได้อยู่ดี ฉันที่หลบเลี่ยงไม่ได้เพราะโดนเจาะจงชื่อก็ต้องเดินไปนั่งตรงข้ามกับเอ็นโจอย่างจำยอม
“ท่านเอ็นโจมีธุระอะไรกับดิฉันเหรอคะ”
“ต้องมีธุระอะไรถึงจะมานั่งกินข้าวกับคุณคิโชวอินได้เหรอ” เอ็นโจเลิกคิ้วถาม วิธีการพูดนี่ช่างเหมาะกับการเป็นลูกบ้านหมู่บ้านคาสโนว่าจริง ๆ แต่ฉันที่มีภูมิต้านทานจากท่านอิมาริจะไม่ยอมแพ้หรอกย่ะ ฉันใช้สายตาปลาตายจ้องตอบจนเอ็นโจหัวเราะขึ้นมา
“ล้อเล่นน่ะครับ” เอ็นโจยกยิ้ม “ความจริงคือมาซายะไปกินข้าวกับ อื้อ คุณคิโชวอินก็รู้”
ฉันพยักหน้าตอบรับแต่ในใจด่าอีตาคาบุรากิเอาแต่ใจ หมอนี่น่ะ บ้านก็ออกจะรวย ยังจะต้องให้วาคาบะจังตื่นเช้ามาเตรียมข้าวเที่ยงให้สำหรับสองคนแม้แต่วันเปิดเทอมเนี่ยนะ หมอนี่ไม่คิดถึงคนอื่นอีกแล้ว
“ก็เป็นคู่รักกันแล้วนี่ครับ” เอ็นโจเสริมยิ้ม ๆ เหมือนรู้ทันว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะทำหน้าประหลาดตอนพูดต่อ “มาซายะ…ไปศึกษาข้อมูลมาจาก…หนังสือน่ะครับ”
ฉันที่เดาได้ลาง ๆ ว่าถ้าพูดชื่อประเภทหนังสือที่ว่าออกมาในที่สาธารณะคาบุรากิอาจจะไม่มีทางรักษาภาพพจน์ได้อีกเลยก็พยักหน้าตอบรับอย่างเข้าใจ หมอนี่ถ้าไม่อ่านนิตยสารกอซซิปพวกดูดวงทำนายรักฮาวทูก็ต้องอ่านนิยายโรแมนซ์ การ์ตูนตาหวานแหง ๆ
แต่พอหมดเรื่องว่าทำไมวันนี้เอ็นโจถึงมานั่งกับฉัน พวกเราก็ทยอยกินอาหารกัน ความเงียบที่โรยตัวลงมาชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วน ฉันภาวนาให้มีซักคนเดินกลับมาจากการทำ”ธุระ”ของพวกหล่อน
แต่ความจริงก็รู้ดีว่าพอเป็นอีตานี่ พวกนั้นก็ตัดหางฉันปล่อยวัดอย่างแน่นอนที่สุด
“คุณคิโชวอิน/คิโชวอิน” เอ็นโจเรียกพร้อมกับอีกเสียงหนึ่งที่ ฉันเงยหน้ามาก็เห็นนายตัวสำรองที่ยืนอยู่เยื้องไปทางข้างหลังเอ็นโจมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง
นายตัวสำรองหันไปพูดกับเพื่อนในสภานักเรียนที่มาด้วยสองสามประโยค ก่อนจะก้าวมาอ้อมหลังเก้าอี้ฉันไป วางถาดอาหารข้าง ๆ แล้วก็เลื่อนเก้าอี้นั่งข้างฉันด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
เพื่อนนายยังทำตาโตอ้าปากค้าง ชี้นิ้วอย่างไร้มารยาทมาทางนี้อยู่เลยนะเฮ้ย
“เอ็นโจ” นายตัวสำรองเอ่ยทัก ก่อนจะก้มหน้าเพื่อเริ่มกินอาหารโดยไม่พูดอะไรเพิ่มอีก นายเอ็นโจทำหน้าแปลกใจมองเขาอยู่ซักพักก็เลื่อนมาสบสายตาของฉัน
“ผมนึกขึ้นได้ คุณคิโชวอินมาไม่ทันของหวานใช่ไหม พอดีปกติผมหยิบเผื่อมาซายะด้วยเลยติดเกินมาอันหนึ่ง” นายเอ็นโจเลื่อนถ้วยของหวานมาตรงหน้าฉัน “กำลังจะเอาไปคืน แต่เจอคุณคิโชวอินพอดี”
ฉันเห็นภาพหลอนเป็นปีกสีขาวเจิดจ้าอยู่ข้างหลังนายเอ็นโจ รอยยิ้มบนหน้าหมอนั่นซ้อนกับเทวดาน้อยยูกิโนะชั่วขณะหนึ่ง
ไม่ได้! ฉันเรียกสติตัวเอง หมอนี่มันสองหน้า! เป็นซาตาน! ฉันเป็นอีฟที่กำลังถูกล่อลวง
ฉันมองรอยยิ้มอ่อนโยนบริสุทธิ์บนหน้าเอ็นโจ แล้วเลื่อนมามองของหวาน รับรู้ได้ถึงสายตาอันร้อนแรงของคนทั้งโรงอาหารที่กำลังกดดันอยู่บนแผ่นหลัง
เอ็นโจทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ยังคงส่งยิ้มมาแบบไม่สะทกสะท้าน ส่วนนายตัวสำรองก็ยังคงก้มหน้าก้มตากิน
ฉันที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เพื่อความสงบสุขในชีวิต ระหว่างข่าวลือเรื่องเอ็นโจหยิบขนมหวานมาเป็นพิเศษให้ฉันกับข่าวลือปฏิเสธเอ็นโจ ฉันตัดสินใจเลือกอย่างยากลำบากว่าจะส่ายหัวปฏิเสธด้วยความสุภาพ เสียงของนายตัวสำรองก็แทรกขึ้นมา “ถ้าเธอไม่กินเดี๋ยวฉันกินเอง”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าฉันแข็งทื่อ ไม่รู้ทำไมกล้ามเนื้อคอของดิฉันกลับเปลี่ยนเป็นขยับขึ้นลง กล้ามเนื้อแขนยื่นออกคว้าจับขอบจานรอง
“ขอบคุณค่ะ ท่านเอ็นโจ” เสียงที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยออกมาจากลำคอของฉัน
เอ๋ ทั้ง ๆ ที่ฉันอยากจะปฏิเสธแท้ ๆ เลยนะคะ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ก็ไม่ทราบ
ได้ยินเสียงหัวเราะหึมาจากนายตัวสำรองที่นั่งข้าง ๆ แต่พอหันไปมองหมอนั่นก็นั่งกินข้าวด้วยหน้านิ่ง ๆ อยู่
————
หลังม่าน
ห้องเรียนตอนเช้า
เมื่อท่านเรย์กะบอกว่าอากาศร้อนอบอ้าวในห้องแอร์
คิคุโนะที่สบตากับเซริกะ :ไปสับสวิตช์แอร์ลงเดี๋ยวนี้! จะให้ท่านเรย์กะขายหน้าไม่ได้เด็ดขาด
นักเรียนซุยรันไม่ทราบชื่อ: อ่า คำสาปเจ้าแม่กาลีทำงาน! เมื่อกี้ยังปกติอยู่เลยแท้ ๆ พอยัยนั่นโบกพัดอยู่ ๆ แอร์ก็ร้อนขึ้นมา
นักเรียนซุยรันไม่ทราบชื่อสอง: ลมพัดจากนรกทำลายแอร์! พัดนั่นไม่ใช่ของดีจริง ๆ ด้วย เอาออกมาแล้วถือว่าเป็นวันมหาวิปโยค! ข่าวลือเรื่องนั่นเป็นจริงสินะ
ผลลัพธ์: โดนเรียกไปปรับทัศนคติจากคณะสังคีต
มาแบบไม่ยาวมาก ;_; ไม่รู้อันนี้เป็นเรื่องที่โม่งบนๆแบบซักพักแล้ว ถามไหมแต่กูก็ไม่ได้เอาลงสารบัญเอง อีกเดี๋ยวจะทำละ
อ่า อับอายขายหน้า ยังไม่ได้แทนชื่อของหวานลิมิตเต็ดที่ใส่ตัวเลขมั่วๆลงไปก่อน… กูไม่ถนัดของหวานจริงๆ กำลังหาข้อมูลว่าจะมาใส่วันหลัง555555 แต่ลืมแก้ละก็ สู้ท่านฮิโยโกะไม่ได้ด้วย เชิญเติมคำในช่องว่างเองในใจได้เลย5555555555
กรี้ดดด ฟิกที่รอคอย ขอบคุณโม่งมากๆเลย
ฟิกน่ารักมาก ขอบคุณนะ
เราจะมโนว่าของหวานเป็นเครมบรูเล่นำเข้าจากฝรั่งเศสละกัน5555
ฮือออ ขอบคุณมากโม่งฟิค ตอนนี้โครตขาดของ ได้กาวมาต่อชีวิตไปอีก1วัน
คิดถึงท่านเรย์กะ ;-;
พระเอกเว็บตูนเรื่อง CEO's top secret ทำกูนึกบากะรากิยังไม่รู้ว่ะ
วันก่อนไปกินชาดอกไม้ที่เยาวราช รินไปก็คิดถึงท่านเรย์กะไป (แม้ว่าจะไปกินชาจีน) แง ท่านฮิ ลูกโตเมื่อไรห่รีบกลับมานะคะ
นักเขียนเทหรือว่าแค่ดรอปวะ
Dirty mind 5 มาแล้วจ้า
https://namelessfiction.food.blog/dirty-mind5/
Password hint : สามผู้ยิ่งใหญ่ไปกินอะไรกันในตอนที่ 262
สงสัยอะ กูเห็นมู้มึงเจริญๆ กันมานานละ คนอ่านเยอะขนาดนี้ ทำไม สนพ.ไม่ LC อะ
อาาา กุไม่ได้เข้ามาตั้งแต่นข.ไม่ได้อัพ ดีใจที่พวกมึงก็ยังคงคึกคักกันอยู่ ว่าแต่มันผ่านมานานเท่าไหร่แล้วนะ
3 ปี+ ได้
มึงงง นักวาดคนนี้คือไม่ทิ้งกันไปไหนจริงๆ โฮ มาเป็นคอมมิคเลยอ่ะะะ (ต แต่มีใครแปลให้ได้บ้างมั้ยคับ)
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1305141267572031489?s=19
ท่านเรย์กะถูกคนพามาที่ลับตาคน
เอ็นโจมาบอกว่าพี่ชายตามหาอยู่ และเป็นกังวลมากรีบกลับดีกว่ามั้ง หรือว่า ยังอยากอยู่ตรงนี้ต่อ
เรย์กะเลยได้บอกว่า กะจะขอตัวอยู่พอดี แล้วก็บอกขอบคุณเอ็นโจที่อุตส่าห์มาช่วยตามหา (ในใจคิดว่า ท่านพี่ช่างเก่งกาจ มองออกว่าเรย์กะกำลังอยู่ในสถานการณ์ละบากพอดี) พลางถามเอ็นโจว่าท่านพี่วานมาเหรอ เอ็นโจบอกว่า ที่บอกพี่ชายตามหานั่นเรื่องโกหก เพราะเห็นเรย์กะถูกผู้ชายพามาในที่ลับตาคนสองต่อสองเลยตามมา เรย์กะถามว่าทำไม เอ็นโจบอกว่า ไม่รู้เหรอว่าทำไม ผู้ชายพาผู้หญิงมาที่ลับตาคนเขาตั้งใจทำอะไรก็น่าจะพอคิดได้ และคืดว่าเรย์กะน่าจะลำบากใจอยู่
เปลี่ยนเป็นพาร์ท 2
เอ็นโจบอกว่า ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยใช่ไหม ท่านเรย์กะเขิน บอกว่า รู้แล้ว ช่วยปล่อยมือด้วย ฉันจะกลับแล้ว
เอ็นโจคิดในใจว่า อืมมม หรือว่า(ครั้งนี้ก็)ไม่ได้ผลอีกแล้ว (ทำพลาดไปอีกแล้ว)
กุไม่ได้มาเยือนบอร์ดนี้กี่ปีแล้วเนี่ย.. ท่านเรย์กะยังไม่อัพตอนใหม่อีกหรอ แต่ๆๆ นั่นไม่ใช่เหตุผลที่กุมาเยือนอีกครั้ง คือกุน่ะ เจอฟิคที่เคยแต่งสมัยหายใจเข้าออกก้เปนเรื่องนอบน้อมฯ แต่กุแต่งไม่จบและจำไม่ได้ว่าพล็อตเป็นยังไง .___. (กุคนเดียวกะโม่งอินสตาแกรม) เอาเป็นว่ากุจะถูๆไถๆแต่งต่อ ถ้าจบแล้วเด่วกุมาอัพนะจ๊ะ
รักและคิดถึงเหล่าโม่งวงน้ำชาซุยรันเสมอ
กูเขียนฟิคอยู่แล้วแอบสงสัยนิดนึงว่าอาริมะนี่รวยขนาดไหนวะ ถึงจะไม่รวยเท่าพวก pivoine แต่ก็นั่งรถมีคนขับให้มาโรงเรียนเหมือนกันรึเปล่า เพราะดูเหมือนวาคาบะจะเป็นคนเดียวในโรงเรียนป่ะที่นั่งรถไฟมา แต่กูก็นึกภาพอาริมะในแบบคนรวยไม่ค่อยออกว่ะ นึกออกแต่ฐานะพอๆกับวาคาบะหรือดีกว่านิดนึง
ไม่ใช่นักเรียนทุน ก็คงมีฐานะพอประมาณ พ่อแม่เลยมีตังส่งมาให้เข้าโรงเรียนนี้ได้ตั้งแต่มอต้น
กุก็นึกภาพความรวยฮีไม่ออก แบบว่าติดภาพซื้อของจากทีวีไดเรคไปแล้ว ฮีดูบ้านๆมากๆ
คิดว่าอาริมะคงรวยประมาณนึง เป็นคุณชายมีคนขับรถรับส่งไปนั่นไปนี่เหมือนกัน ฟีลประมาณพวกเศรษฐีแบบชั้นกลางๆในไทยที่ฐานะดี ส่งลูกเรียนนานาชาติค่าเทอมหลายแสนได้สบายๆ แต่ก็ยังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวส้มตำข้างทางได้ไม่มีปัญหา
กุชอบอาริมะ โม่งฟิกอาริมามาต่อที
กูก็ติดภาพลักษณ์อาริมะเป็นหนุ่มบ้านๆจนๆเหมือนกันว่ะ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วฮีก็คุณชายคนนึงอะ อาจจะไม่รวยเท่าพวกอีลีทแบบเจ้าแม่ แต่ไม่ใช่ชนชั้นกลางแบบวาคาบะแน่นอน ถึงชนชั้นกลางก็คงออกแนว upper middle class น่ะ
คิดถึงนิยายเรื่องนี้//รอแบบเกือบหมดหวังแล้ว ฮือ
AU Hanahaki Verse [End]
ความเดิมตอนที่แล้ว >>>/webnovel/7425/696-699
-------------------
หลังจบการทักทายที่ดูอิหลักอิเหลื่อที่หน้าลิฟท์ เขาและเรย์กะก็มานั่งอยู่บนม้านั่งที่สวนของโรงพยาบาล มองดูวิวทิวทัศน์ในช่วงที่แดดร่มและอากาศกำลังเย็นสบายใต้ร่มไม้ใหญ่ของสวน
และตอนนี้พวกเขาก็นั่งเงียบๆกันมาเกือบห้านาทีแล้ว
ชูสุเกะคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไรสักอย่างไม่ให้มันเงียบจนน่าอึดอัดขนาดนี้ แต่จะพูดอะไรดีล่ะ...
น่าแปลกที่ปกติที่เขาก็เป็นคนที่เข้ากับทุกคนได้ง่าย เรื่องอะไรก็สามารถตามน้ำได้ลื่นไหล แต่พอเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันมาก่อนแบบเรื่องนี้ เขากลับไม่รู้จะทำอะไรต่อไป
“สะ สวนที่นี่สวยดีจังเลยนะคะ” เรย์กะเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน มองไปรอบๆเหมือนพยายามจะหาเรื่องคุย
มันเหมือนตอนที่พบกันในห้องสโมสรเหลือเกิน ตอนนั้นพวกเขาก็พบกันโดยบังเอิญแบบไม่คาดคิดเหมือนกัน
“นั่นสินะ” ชูสุเกะพยักหน้า ชี้มือไปยังทิศทางฝั่งตรงข้าม “ตรงนั้นมีซุ้มดอกกุหลาบเลื้อยด้วยนะ ปลูกไว้ได้สวยเลยล่ะ”
“งะ งั้นเหรอคะ”
“คุณคิโชวอินอยากไปดูมั้ย” เขาลุกขึ้นจากม้านั่ง เรย์กะเดินตามมาอย่างว่าง่าย ระหว่างทางก็ชี้ชวนให้เธอดูดอกไม้อื่นๆที่บานริมทางไปด้วย
มันช่างเหมือนความฝัน ..ชูสุเกะคิดในใจ เขานึกถึงค่ำคืนงานทานาบาตะที่เคยแอบจินตนาการว่าอยากเป็นคนพาเธอเดินชมสวนแทนที่มาซายะ แตกต่างตรงที่สวนนี้คงทำให้เกิดความโรแมนติคได้ยากหน่อย เพราะเป็นช่วงเวลากลางวัน และเป็นสวนในโรงพยาบาลไม่ใช่สวนจัดงานเลี้ยงหรูหราประดับไฟสวยงามแต่อย่างใด
ชูสุเกะมองเธอที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับซุ้มดอกกุหลาบเลื้อย ถึงจะไม่ได้งดงามเท่าซุ้มกุหลาบในสถานที่จัดงานปาร์ตี้ซัมเมอร์ แต่ก็บานได้สวยไม่เลวเลยทีเดียว
“ว่าแต่คุณคิโชวอินมาโรงพยาบาลทำไมเหรอ”
เขาจ้องหน้าเรย์กะ นึกวิธีตะล่อมถามหาเหตุผล
“....หรือจะไม่สบายตรงไหน”
“เอ่อ คือ…” เรย์กะดูกระอักกระอ่วนใจที่จะตอบ ก็คงแน่นอนอยู่แล้วว่าคงไม่อยากให้ใครรู้อาการป่วยของตัวเอง “พอดีมาตรวจเช็คร่างกายประจำปีน่ะค่ะ”
คำตอบโกหกแบบเห็นได้ชัด แถมท่าทางเวลาพูดโกหกของเธอก็ไม่เคยแนบเนียนเลยสักนิด แต่เขาก็เออออตามน้ำไปเพราะไม่อยากให้เธอรู้เหมือนกันว่าเขารู้หมดแล้ว
“แล้วท่านเอ็นโจล่ะคะ”
“ผมน่ะเหรอ...ก็ไม่สบายนิดหน่อย แต่เดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอคะ”
อาการแสบในลำคอและช่วงอกที่หายไปหลายวันเหมือนจะกลับมาอีกหน ชูสุเกะจิกเล็บเข้ากับฝ่ามือเพื่อข่มอาการ เขาจะไอต่อหน้าเรย์กะไม่ได้เป็นอันขาด
แต่การที่เธอขึ้นลิฟท์มาถึงชั้นที่เขาอยู่ได้แบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก
“ว่าแต่คุณคิโชวอินมาเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลเหรอ”
“มะ ไม่ใช่เพื่อนคนไหนหรอกค่ะ” เรย์กะตอบโดยไม่มองหน้าเขา “พอดียูกิโนะคุงโทรไปบอกว่าท่านเอ็นโจเข้าโรงพยาบาล…”
“อื๋อ ยูกิโนะน่ะเหรอ” เขาเลิกคิ้วขึ้น หัวใจเต้นโครมครามแทบจะควบคุมไม่ได้
เรย์กะตั้งใจมาเยี่ยมเขา
ความยินดีแผ่ไปทั่วร่างแทบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่ มันเต้นพล่านไปทั่วร่างเหมือนน้ำเดือดๆ สูบฉีดแล่นโลดไปตามกระแสเลือด ปลุกชีวิตชีวาที่แห้งผากให้กลับมาอีกหน
“ค่ะ” เธอพยักหน้า “แล้วท่านคาบุรากิก็ส่งเมล์มากำชับอีกที ฉันก็เลย…”
อะไรที่เขาเรียกว่าความหวังเมื่อครู่นี้ มอดดับลงเหมือนมีใครเอาน้ำสาดใส่ เป็นความจริงอันเยียบเย็นที่เหมือนปลุกให้ตื่นจากความฝัน
เขาไม่ควรคิดไกลไปเลย เธอมาตามคำชวนของมาซายะต่างหาก ที่มาก็คงเพราะจะได้พบมาซายะ เขาไม่ได้สำคัญอะไรกับเธอขนาดนั้นหรอก
“แต่วันนี้มาซายะไม่ได้มาหรอก” เขาพูดห้วนๆ ในลำคอเริ่มคันขึ้นมาแล้ว
“เอ๋!!”
“ผิดหวังเหรอ” ชูสุเกะถาม รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเริ่มอารมณ์เสียและกำลังจะทำเรื่องโง่ๆอย่างการหึงหวงจนพาลใส่คนอื่นเหมือนอย่างตอนนั้น
“เปล่านี่คะ” เธอขมวดคิ้วใส่ “แค่สงสัยว่าทำไม…”
ชูสุเกะไอออกมาครั้งหนึ่ง กลีบดอกไม้เล็กๆร่วงหลุดจากปาก เขาเก็บซ่อนมันไว้ในฝ่ามือแล้วแอบโยนทิ้งไปในจังหวะที่เรย์กะไม่ได้มอง
เถาหนามของดอกไม้เริ่มทิ่มแทงหัวใจเขาอีกหน ครั้งนี้คงเป็นเพราะความริษยา
“ถ้าอยากจะเจอมาซายะก็มาพรุ่งนี้สิ หมอนั่นมาช่วงสิบโมงทุกวันนั่นล่ะ” ชูสุเกะยกมือขึ้นมากุมบริเวณอก มันยากมากที่จะพูดออกไปโดยที่ต้องห้ามตัวเองไม่ให้ไอไปด้วย
คราวนี้คงแย่แล้วจริงๆ เมื่อก่อนเขายังสามารถข่มอาการไม่ให้ไอออกมาต่อหน้าเธอได้ แต่ตอนนี้แค่จะหายใจยังทำได้ยากเย็นเต็มทน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอาไว้ค่อยเจอกันตอนเปิดเทอมก็ได้”
“งั้นเหรอ” ชูสุเกะตอบรับด้วยรอยยิ้มขื่นๆ รู้สึกคันคอจนต้องไอออกมาอีกหน แต่คราวนี้เขาไอจนตัวโยน
เขาเริ่มจะปิดบังอาการจากเธอไม่ได้แล้ว ตอนนี้ต้องรีบกลับไปที่ห้องโดยด่วน แล้วก็ขังตัวเองไว้ไม่ให้ออกมาเจอเธออีก การได้พบเรย์กะเหมือนเป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้โรคนี้ทรุดหนักเร็วขึ้น นี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่พลาดที่สุดในชีวิตก็ได้ เขาไม่น่าทำเรื่องโง่ๆแบบนี้เลย
“ว่าแต่ท่านเอ็นโจเป็นอะไรมั้ยคะ เห็นไอหนักมากเลย”
น้ำเสียงที่ถามมาดูเป็นห่วงเป็นใย ถึงแม้จะเป็นแค่การถามตามมารยาท แต่ชูสุเกะอดรู้สึกปลาบปลื้มไม่ได้
“เดี๋ยวก็หายน่ะ”
“งั้นเหรอคะ” เรย์กะทำหน้าแปลกๆ “แต่สีหน้าท่านเอ็นโจดูเจ็บปวดมากเลยนะคะ”
เขาอยากจะตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร แต่ร่างกายกลับทรยศไม่เชื่อฟังเขาอีกต่อไปแล้ว มันเหมือนมีคลื่นโหมกระหน่ำอยู่ในช่องท้องและลำคอ ผลักดันให้เขาต้องเปิดปากออก
และกลีบดอกไม้จำนวนมากก็พรั่งพรูออกมา
ตอนนี้ชูสุเกะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขาทรุดฮวบลงบนพื้น อาเจียนเอาดอกไม้และกิ่งก้านของมันออกมาราวกับมันไม่มีที่สิ้นสุด เพียงเท่านี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้เรย์กะหวีดร้องออกมาแล้ว
“ฉะ ฉันจะไปตามหมอ รอตรงนี้นะคะ”
ชูสุเกะเอื้อมคว้าข้อมือเธอไว้ พูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น รู้สึกเหนื่อยหอบจากการอาเจียนเป็นดอกไม้
“อย่าไป”
“แต่ว่า…”
“ขอร้องล่ะ…”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ” เรย์กะหน้าเสียเมื่อเห็นเลือดสดๆที่ติดอยู่ตามหนามพวกนั้น ทำท่าเหมือนกำลังจะร้องไห้ “นะ นี่มันเลือดไม่ใช่เหรอคะ ฉันจะไปตามหมอ”
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
ชูสุเกะกระแอมคอให้โล่ง เพื่อสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปนี้ เขาจะหมดสติไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอาจจะพบว่าการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว และเขาก็จำเธอไม่ได้อีกต่อไป หรือไม่ก็อาจจะตายเพราะการอาเจียนเป็นดอกไม้ในครั้งนี้ เขารู้ว่ามันรุนแรงกว่าทุกๆครั้ง
...ก็แค่พูดออกไป แบบที่มาซายะบอกก็เท่านั้น
“คุณคิโชวอินรู้ใช่มั้ยว่าโรคนี้น่ะ เกิดขึ้นกับคนที่รักคนอื่นข้างเดียวเท่านั้น” ชูสุเกะส่งยิ้มอ่อนโยน พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สำลักกลีบดอกไม้ “เหมือนกับที่คุณเป็นอยู่ในเวลานี้”
เรย์กะดูสะดุ้งหน่อยๆ สีหน้าเธอยังบ่งบอกทุกอย่างได้หมดเสมอ มันฉายคำว่า “รู้ได้ยังไง” ออกมาแบบเห็นได้ชัด
“อันที่จริง ผมรู้ว่าคุณมาโรงพยาบาลทำไม…” เขามองสบตากับเธอ ความหวาดหวั่นและสับสนปรากฎชัด “..คุณคิโชวอินกำลังคิดจะผ่าตัดโรคนี้อยู่สินะ”
“......”
“แต่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก” เขาไอออกมาอีกเล็กน้อย กลีบดอกไม้ก็หลุดร่วงออกจากปาก “มาซายะน่ะ... เขาแสดงออกว่าชอบคุณทาคามิจิก็จริง แต่เดี๋ยวซักพักเขาก็จะเจอความเป็นจริงเองว่าเขาไม่สามารถครองคู่กับคุณทาคามิจิได้”
“.....”
“มาดามคาบุรากิชอบคุณคิโชวอินมากนะ...อีกไม่นานคงมาทาบทามคุณไปเป็นคู่หมั้นของมาซายะ” เรย์กะสะดุ้งโหยง แววตาดูหวาดหวั่นแบบเห็นได้ชัด “ถึงเวลานั้น มาซายะก็จะเป็นของคุณเอง”
“ท่านเอ็นโจพูดอะไรน่ะคะ ฉันงงไปหมดแล้ว” เสียงของเรย์กะสั่นเครือเหมือนกำลังจะร้องไห้ มือเล็กๆนั่นดูลนลานในการควานหาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋า “ชะ...เช็ดเลือดก่อนเถอะ”
“คุณเป็นคนน่ารัก คุณคิโชวอิน….มาซายะคงชอบคุณได้ไม่ยาก” ชูสุเกะยิ้มฝืดๆให้ รู้สึกปวดใจที่ต้องพูดความจริงในเรื่องนี้ “และถ้ามาซายะหันมารักคุณได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปผ่าตัด ก็อย่างที่ผมบอก คุณแค่ต้องรอเวลาเท่านั้น”
“ฉันไม่เข้าใจ ท่านคาบุรากิเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
“ก็ผมรู้น่ะสิว่าคุณ...ชอบใคร”
ชูสุเกะสบตากับเธอ แล้วก็ต้องหลุบสายตาลงมองพื้น เขาไม่อยากเปิดเผยความอ่อนแอและน่าสมเพชของตัวเองมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“.....ผมรู้เพราะว่าผมมองคุณ มองแต่คุณมาตลอด”
อย่าพูดนะ อย่าพูดออกไปนะ ให้จบแค่ตรงนี้…..
เขาจิกเล็บเข้ากับฝ่ามือเพื่อห้ามตัวเอง แต่เหมือนสมองกับปากจะทำงานไม่สัมพันธ์กันอีกต่อไปแล้ว มันกำลังพรั่งพรูคำพูดที่เขาต้องปิดบังเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ผมรู้เพราะว่าผม...ชอบคุณครับ”
ตลอดเวลาที่พูดเรื่องนี้เขาได้แต่ก้มหน้าลงมองพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเพราะกลัวที่จะเห็นความรังเกียจในแววตาของอีกฝ่าย อีกทั้งสภาพของเขาในตอนนี้ก็น่าสมเพชอย่างถึงที่สุด
นายน้อยผู้สืบทอดตระกูลเอ็นโจอันยิ่งใหญ่ ก้มหน้าคุกเข่าสารภาพรักกับคนที่เขาไม่ได้รักตอบ รู้ว่าพูดแบบนี้ก็มีแต่จะสร้างความหนักใจและลำบากใจให้อีกฝั่งเปล่าๆ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะพูดก่อนที่ความทรงจำเกี่ยวกับเธอจะหายไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เป็นคนที่เห็นแก่ตัวแท้ๆ
เขาได้แต่ก้มหน้าจ้องพื้น รอคอยคำพูดปฏิเสธที่เหมือนสายฟ้าฟาดใส่
เรย์กะไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เอาแต่เงียบอยู่แบบนั้นมาหลายนาทีแล้ว แต่ก็เข้าใจได้ว่าทำไม อยู่ๆมาโดนสารภาพรักแบบนี้มันก็น่ากระอักกระอ่วนอยู่นั่นล่ะนะ
แต่เงียบไปนานขนาดนี้ก็น่าเป็นห่วงอยู่ ชูสุเกะเลยรวบรวมความกล้าอีกหนเพื่อเงยหน้ามองเธอ
“คุณคิโชวอิน…”
ภาพที่เห็นคือเรย์กะที่ทำหน้าเหมือนสติหลุดลอยไปไกลแล้ว
“คุณคิโชวอิน”
เขาเรียกซ้ำอีกหนและลุกขึ้นยืน คราวนี้เรย์กะกระพริบตาปริบๆคล้ายกับจะดึงสติกลับมาได้แล้ว
“เมื่อกี้ท่านเอ็นโจพูดอะไรนะคะ”
“เอ๋ เอ่อ...ก็เรื่องที่ผมรู้ว่าคุณคิโชวอินชอบใคร”
“ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เรื่องนั้น….” สองข้างแก้มเธอขึ้นสีแดงก่ำ “เรื่องที่ท่านเอ็นโจ...เอ่อ….”
“อ๋อ…” ชูสุเกะรู้สึกว่าแก้มตัวเองก็ร้อนซู่ “เรื่องนั้นน่ะเหรอ”
เขาสบตากับเรย์กะตรงๆ เห็นความหวาดหวั่นและเคลือบแคลงอยู่ในนั้นก็รู้ได้ทันที เธอไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด
ถึงแม้จะแสบร้อนทรมานในอกขนาดไหนก็ตาม แต่เพื่อเป็นการพิสูจน์ ชูสุเกะเลยไอให้เธอดูอีกหน ดอกไม้สีขาวก็ร่วงหลุดจากปาก เขาถือมันไว้ด้วยสองมือและยื่นไปให้เธอดู
“ถ้าแบบนี้จะพอยืนยันในสิ่งที่ผมพูดได้มั้ยว่านั่นคือความจริง”
เมื่อเรย์กะนิ่งเงียบ เขาก็ปล่อยให้ดอกไม้ในมือร่วงลงกับพื้น
“.....”
“แต่ผมกำลังจะผ่าตัดเอามันออกแล้ว”
เรย์กะจ้องไปที่กลีบดอกไม้พวกนั้น แล้วเงยหน้ามองเขา
“คุณคิโชวอินก็รู้วิธีรักษาโรคใช่มั้ย”
เป็นคำตอบที่แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อผู้ป่วยโรคนี้มาพบแพทย์ ก็จะได้รับคำแนะนำและเสนอแนะวิธีการให้ ซึ่งการผ่าตัดก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษา
นอกจากจะเสนอแนะวิธีการรักษาแล้ว ยังต้องบอกถึงผลข้างเคียงที่จะได้รับหลังการผ่าตัด ถ้าเลือกที่จะทำแบบนี้ก็ต้องยอมรับเรื่องนี้ด้วย
“ที่ว่าผ่าตัดเอาดอกไม้ออกแล้วจะลืมทุกอย่างเกี่ยวกับคนคนนั้น….ใช่มั้ย”
“ใช่ ผมจะลืมคุณ...ลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ” เขายิ้ม แล้วก็เสมองไปทางอื่น “อันที่จริงผมไม่ควรรักคุณด้วย คุณเป็นของมาซายะ...ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แล้ว”
“.....”
“มาดามคาบุรากิชอบคุณมากนะ ในบรรดาเด็กผู้หญิงในวงสังคม เธอถูกใจคุณที่สุดเลย” ดูจากปฏิกริยานั่นแล้ว ชูสุเกะคิดว่าเธอเองก็พอจะรู้ตัวอยู่เหมือนกัน “ผมคิดว่าทางบ้านคาบุรากิคงจะมาทาบทามคุณคิโชวอินมาเป็นคู่หมั้นให้มาซายะเร็วๆนี้ล่ะ”
“ท่านคาบุรากิก็ชอบคุณทาคามิจิอยู่ไม่ใช่รึคะ”
“คุณคิดว่าความรักของมาซายะจะเป็นไปได้เหรอ”
หนามแหลมจากกิ่งก้านดอกไม้กระทุ้งหัวใจเขาอีกหน การพูดความจริงมันทำให้รู้สึกเจ็บปวด ชูสุเกะไอออกมาอีกหลายๆครั้ง และพยายามพูดต่อแม้จะรู้สึกว่าหนามกำลังเกี่ยวคอเขาอยู่ก็ตาม
“ก็อย่างที่บอก คุณก็แค่ต้องรอเวลาที่มาซายะจะเป็นของคุณ” เขายิ้มฝืดๆ “คุณเป็นคนน่ารัก ใครอยู่ใกล้ๆก็ต้องชอบ และถ้ามาซายะจะหันมาชอบคุณอีกคนก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
“แล้วท่านเอ็นโจล่ะคะ”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกแล้วล่ะ” ชูสุเกะส่ายหน้า “พอผมผ่าตัด คุณคิโชวอินก็จะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผม และต่อจากนี้คงไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับคุณอีก….”
“......”
“....คุณคิโชวอินคงดีใจ”
“.........”
“ที่ผ่านมาก็ต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้คุณวุ่นวายขนาดนั้น แต่มันจะจบแล้วล่ะ”
เขาก้มหัวให้เธอ และส่งยิ้มที่คิดว่าดูร่าเริงที่สุดให้ แม้ข้างในใจจะกำลังเจ็บปวดจากหนามแหลมที่ทิ่มแทงอยู่ก็ตาม
ชูสุเกะได้แต่กัดฟันทนความเจ็บนั้นและบอกตัวเองให้อดทน เพราะว่ามันกำลังจะจบลงแล้ว
“อาจจะต้องบอกลากันตรงนี้ ที่ผ่านมาตอนที่ได้อยู่กับคุณ ผมสนุกมากเลยนะ”
“...........”
“ลาก่อนครับ คุณคิโชวอิน”
เรย์กะก้มหน้าอยู่เขาเลยมองไม่เห็นสีหน้าในตอนนี้ แต่เมื่อเขาพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้น ถลึงตาจ้องดูโกรธแค้นทำเอาเขาผงะไปเล็กน้อย
“โธ่เอ้ย! ทนไม่ไหวแล้วนะ!!”
ความกราดเกรี้ยวอย่างรุนแรงของเรย์กะเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ถึงเธอจะโกรธพวกเขาบ้างแต่ก็เป็นแค่ความโกรธเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
ครั้งสุดท้ายที่เธอดูโกรธจัดๆขนาดนี้คงน่าจะประมาณม.ต้น ที่เธอโกรธซึรุฮานะ แต่ครั้งนี้มันรุนแรงกว่ามาก เขาไม่เคยเห็นเรย์กะตะโกนใส่ใครแบบนี้มาก่อนเลย
“พูดเองเออเองอยู่ได้ ทนฟังมานานแล้วนะ หัดฟังคนอื่นเขาบ้างสิยะ”
เมื่อราชินีทรงพิโรธ เจ้าชายอย่างเขาก็ได้แต่นิ่งเงียบ เธอคงโมโหมากจริงๆถึงกับกระชากคอเสื้อเขา โน้มใบหน้ามาอยู่ใกล้ๆ เหมือนว่าจะให้ตั้งใจฟัง
“ฉันบอกตอนไหนยะว่าฉันชอบอีตาคาบุรากิ อย่ามาคิดเองเออเองแล้วยัดเยียดกันได้ป่ะ” เสียงของเธอไม่ได้ลดความดังลงเลยสักนิด “ทุกอย่างกำหนดไว้แล้วงั้นเหรอ ใครกำหนดกันยะ ชีวิตฉัน...ฉันกำหนดเองได้ย่ะ”
“....คุณไม่ได้...ชอบมาซายะเหรอ” เขากระพริบตาปริบๆ รู้สึกงุนงงเหมือนเพิ่งจะโดนต่อย
“ห๊า!! หูตึงเรอะ ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเมื่อกี้รึยังไงคะ”
“งั้นก็ คุณอิมาริ”
เรย์กะกลอกตามองข้างบน แล้วมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกว่า ‘หยุดพูดทีเถอะเจ้างั่ง’ เขาก็เลยต้องเงียบ
“ฟังให้ดีนะคะ นี่ล่ะสิ่งที่ฉันอยากจะบอก”
ชูสุเกะเตรียมใจถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิด เธอคงไม่ตบเขาหรือต่อยท้องแบบในตอนนั้นหรอก แต่อาจจะเป็นคำพูดที่ทำให้อาการเขากำเริบขึ้นมาอีก
แต่ผิดคาดที่ไม่ได้มีคำพูดใดๆหลุดรอดออกมาจากปากของเรย์กะ อันที่จริง...ปากเล็กๆนั่นกำลังปิดปากเขาอยู่ ถึงจะเป็นแค่การแตะๆริมฝีปากก็ตาม แต่ก็อ่อนนุ่มและอบอุ่นจนรู้สึกร้อนวาบ
ชูสุเกะรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ
จนกระทั่งเรย์กะถอยออกไป เหมือนประสาทการได้ยินเขาจะกลับมาทำงานอีกหน แต่สมองเขาก็ยังเบลอและไปต่อไม่ถูกอยู่ดี ได้แต่ยืนเซ่ออยู่อย่างนั้น
“ผมจะลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ….พูดพล่อยๆแบบนั้นออกมาได้ไงยะ แก้ปัญหาได้มักง่ายดีนี่ แค่ผ่าตัดเอาดอกไม้บ้าๆนี่ออกก็ลืมแล้ว” เธอแผดเสียงใส่เขา “จะลืมกันอย่างงั้นเหรอ แล้วคนที่จำได้จะทำยังไงล่ะยะ จะให้แกล้งทำเป็นว่าที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอ ง่ายไปหน่อยป่ะ”
“.....”
“มาขอโทษที่ทำให้ชีวิตวุ่นวายงั้นเหรอ คิดว่าแค่ขอโทษแล้วมันจะจบงั้นสิ ถ้าขอโทษแล้วจบโลกนี้ก็ไม่ต้องมีตำรวจแล้วย่ะ” มือของเรย์กะตบลงที่อกซ้ายของตัวเอง “ไอ้โรคดอกไม้บ้าๆนี่มันก็โตในหัวใจฉันทุกวัน ไอนิดหน่อยก็เจ็บคอแล้ว แถมยังมีดอกไม้ออกมาจากปากอีก น่ากลัวจะตาย จะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไงห๊า!!”
น้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตากลมโตคู่นั้น ชูสุเกะเห็นแล้วก็ทำตัวไม่ถูก เขาควรจะมีผ้าเช็ดหน้าติดตัว แต่อยู่ในชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลแบบนี้ไม่สามารถพกพาอะไรได้เลยสักอย่าง
“ท่านเอ็นโจจะลืมฉันเหรอ แล้วฉันจะทำยังไงล่ะ จะมาทิ้งให้ฉันเป็นโรคนี้ไว้คนเดียวไม่ได้นะ ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบด้วยสิ”
เรย์กะปล่อยมือออกจากคอเสื้อของเขา ใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตา ชูสุเกะได้แต่ก้มมองเธออยู่อย่างนั้น หัวใจในอกเต้นระรัวแทบจะหลุดออกมาข้างนอก เขากุมหน้าอกตัวเอง มันไม่ได้เจ็บแปลบเหมือนโดนหนามทิ่มแทงเหมือนอย่างในทุกครั้งที่ได้คุยกับเธอ อาการแสบร้อนในลำคอก็เหมือนจะหายไปด้วย
มันเป็นความฝันรึเปล่าที่อยู่ๆเรย์กะจะมาจูบเขาและร้องไห้อยู่ตรงหน้าแบบนี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้จริงๆแล้วเขาอาจจะกำลังหลับฝันจากฤทธิ์ยานอนหลับในห้องผ่าตัดอยู่ก็ได้
“คุณคิโชวอิน”
“คะ”
“คุณกำลังจะบอกว่าคุณ….ชอบผมอย่างนั้นเหรอ”
เรย์กะสะดุ้งเฮือก ท่าทางเหมือนเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป สองข้างแก้มขึ้นสีแดงจัดลามไปถึงใบหู ทำปากพะงาบๆเหมือนนึกหาคำพูดไม่ออก
“ชะ ชอบอะไรคะ ไม่ได้พูดซะหน่อย ทะ...ท่านเอ็นโจอย่ามาสำคัญตัวผิดเลยค่ะ”
“แต่เมื่อกี้คุณจูบผม”
“!!”
แม่สาวกระต่ายดูลนลานและมองไปรอบๆเหมือนกับว่าพยายามจะหาทางหนี แต่ชูสุเกะไม่ปล่อยโอกาสนั้น สาวเท้าเข้าไปหาตัวเธอใกล้ๆแบบที่จะปิดทางหนี
“แล้วคุณก็บอกว่า…”
“อย่าพูดน้า!!”
เธอหวีดร้องและเขย่งเท้าขึ้น ใช้สองมือปิดปากเขาไว้
ชูสุเกะจับข้อมือนั่นและดึงมันออกอย่างนุ่มนวล มองคนที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขาเลย หูและหลังคอที่เป็นสีแดงจัดแลบออกมาให้เห็นจากกลุ่มผมม้วน
เขาเดาออกเลยว่าหน้าตาของเรย์กะในยามนี้ต้องแดงก่ำไปทุกส่วนแน่ ไม่ใช่แค่แก้มหรอก
“งั้นพูดในส่วนของผมก็ได้” เขาก้มลงไปกระซิบข้างๆหูเธอ “ผมชอบคุณ”
เรย์กะสะดุ้งเฮือก เงยหน้ามองเขาดูตกอกตกใจ ...หน้าแดงไปทั้งหน้าจริงๆด้วย
“ทีแรกผมคิดว่าคุณชอบมาซายะ และผมก็ไม่มีวันสมหวัง เลยจะผ่าตัดออก” ชูสุเกะยิ้มบางๆ “แต่นึกไม่ถึงเลยว่าต้นเหตุที่ทำให้คุณป่วยเป็นโรคก็คือผม”
เรย์กะมองค้อนใส่แล้วสะบัดหน้าหนี ทั้งๆที่หน้ายังแดงก่ำอยู่อย่างนั้น
“ผมดีใจมากเลยนะ”
“กะ ใกล้เกินไปแล้วนะคะ”
“งั้นเหรอ” เขายกมือนั้นขึ้นมาแล้วจูบที่ปลายนิ้วเบาๆ ช้อนสายตามองแบบออดอ้อนเล็กๆ
“....”
“คุณคิโชวอิน”
“คะ”
“ชอบเทพนิยายมั้ย”
“เอ๋ เอ่อ...ก็….”
“คุณคิโชวอินคงเคยได้ยินเรื่องแก้คำสาปใช่มั้ย” เขายิ้มบางเบา “ไม่แน่ว่าโรคดอกไม้ของพวกเรานี่อาจจะเป็นคำสาปก็ได้นะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเทพนิยายล่ะคะ”
“ขอผมจูบคุณหน่อยได้มั้ย”
เธอหน้าแดง ทำปากพะงาบๆเหมือนจะปฏิเสธ แต่ไม่มีคำพูดอะไรเล็ดรอดออกจากปากนั้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายสิบวินาที
“พะ พูดอะไรออกมาน่ะคะ ท่านเอ็นโจ”
“ก็แก้คำสาปไง เจ้าหญิงนิทราหรือสโนวไวท์ยังคลายคำสาปได้เพราะจูบจากรักแท้เลยนี่นา”
“!!!”
“เราลองมาทดสอบดูหน่อยมั้ย”
ชูสุเกะยิ้มบางเบา สายตาจ้องตากันในระยะที่ใกล้กว่าครั้งไหนๆ ใกล้จนเห็นแพขนตางอนยาวคู่นั้น ใกล้จนเขาคิดว่าเธอน่าจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นถี่รัวอยู่ในเวลานี้
เรย์กะเป็นฝ่ายหลับตาก่อน เธออาจจะเขินอายจนไม่กล้าสบตา แต่ก็ไม่ได้เบี่ยงตัวหนีหรือทำกริยาที่แสดงอาการขัดขืนทำให้รู้สึกใจชื้น
เขาถือว่านั่นคือคำอนุญาต ประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากอ่อนนุ่มที่เคลือบด้วยลิปกลอสสีชมพูอ่อน จูบเบาๆอย่างละเมียดละไมไม่เร่งร้อน
ชูสุเกะเคยจินตนาการถึงจูบแรกที่เขาหวังไว้ว่าจะได้ทำกับเธอ มันจะรสชาติเป็นอย่างไร จะหวานอมเปรี้ยวแบบในหนังสือว่าหรือไม่ แต่พอได้ทำจริงๆ คำบรรยายจากในหนังสือหรือนิยายที่เคยอ่านมันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เป็นอยู่ มันหวานกว่าเป็นร้อยๆเท่า ทั้งปลอดโปร่งและเบาสบายเหมือนแตะลงบนปุยเมฆ นุ่มนวลและอ่อนหวานคล้ายกับขนมสายไหม ความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อกระพือปีกในท้องนับพันเป็นอย่างไรก็ได้รู้ในตอนนี้
ถ้าหากเป็นความฝันจากการผ่าตัดในการเอากลีบดอกไม้ออก เขาก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย
แต่นี่คือความจริง แม้เขาจะผละริมฝีปากออกมาแล้ว คนตรงหน้าก็ยังมีตัวตนอยู่จริงๆให้จับต้อง ชูสุเกะไม่รู้ว่าตัวเองทำสายตาแบบไหนในการจ้องมองเธออยู่ในเวลานี้ เขารู้แค่ริมฝีปากตัวเองยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ประคองใบหน้านั้นด้วยสองมือ แตะต้องอย่างทนุถนอม
และเรย์กะก็ยิ้มตอบกลับมา เอียงหน้าเล็กน้อยให้แก้มแนบกับฝ่ามือเขามากยิ่งขึ้น
ความสุขแผ่ซ่านไปตามที่ต่างๆในร่างกาย เหมือนอาบไล้แสงอาทิตย์ที่อบอุ่น มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่อยู่ในห้องสโมสรที่เธอและเขาหัวเราะด้วยกัน แต่ปลอดโปร่งกว่ามาก คงเพราะความหนักอึ้งและความไม่แน่นอนที่เคยรู้สึกได้หายไปแล้ว
ชูสุเกะรู้สึกว่าหนามแหลมที่แผ่ขยายไปทั่วร่างของเขาก็ได้หายไปเช่นกัน มันพาเอาอาการหายใจไม่ออกและเจ็บช่วงอกกับลำคอหายไปด้วย แต่มันจะหายไปจริงหรือไม่ คงต้องลองตรวจดูในวันพรุ่งนี้
หน้าผากเขาแนบลงกับหน้าผากของเธอ จ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง และไม่มีสัญญาณใดๆนัดหมาย ทั้งเขาและเรย์กะก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
นี่อาจจะเป็นฉากจบในเทพนิยายที่มีความสุข เจ้าหญิงและเจ้าชายได้ฝ่าฟันอุปสรรคและครองรักกันอย่างมีความสุข แต่นี่คือชีวิตจริงไม่ใช่เทพนิยาย และเขารู้ว่านี่มันคือจุดเริ่มต้นเท่านั้น
หลังจากนี้คงจะมีเรื่องราวตามมาอีกเยอะ ไหนจะเรื่องการคุยกับพ่อให้เข้าใจ ไหนจะเรื่องทางบ้านที่ยุ่งยากซับซ้อนปวดหัวอีก เขาจะจับมือคู่นี้เดินไปจนถึงปลายทางได้หรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้ อาการเขาอาจจะกลับมากำเริบจนต้องผ่าตัดอีกหน ….แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ก่อน
ชูสุเกะยิ้ม และก้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากอันอ่อนนุ่มนั่นอีกหน รสหวานของลิปกลอสติดมาที่ปลายลิ้น หวานจนคิดว่าอยากกินบ่อยๆ
ต่อจากนี้ เขาต้องวางแผนการณ์มากมายที่จะได้อยู่กับเธอ อาจจะถึงขั้นเตรียมใจที่จะแตกหักกับทางบ้าน แต่นั่นมันเรื่องของอนาคต ในเมื่อปัจจุบันตรงหน้านั้นสำคัญที่สุด เขาก็ต้องให้ความสำคัญก่อนตามนั้น
ในตอนนี้ขอดื่มด่ำและมัวเมาไปกับรสจูบที่เฝ้ารอมาเนิ่นนาน จนกว่าจะสาแก่ใจ
.
.
.
.
END
จะ จบแล้ว จบแล้วค่าาาาาาาาาาาาาา เขียนๆลบๆอยู่หลายหน แต่ในที่สุดมันก็จบจนได้ //ดึงพลุฉลองให้ตัวเอง ในที่สุดกูก็มีฟิคที่ลงจนจบจนได้
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ ขอให้อ่านให้สนุกกันนะเคอะ เป็นกำลังใจให้เหล่าโม่งทุกคนที่รอคอยการกลับมาของเจ้าแม่ กูขอถวายฟิคนี้เป็นเครื่องบูชาค่ะ
>>896 กีสส มึงง น่ารักมุ้งมิ้งมาก กูเชียมาทั้งเรื่อง🥺🥺 ตะแต่แบบด่วยความที่มึงปูมางี้ทั้งเรื่องละก็เอ็นโจดันคิดว่าเป็นความฝันของการผ่าตัด กะ กูก็เลย อาเระ หรือว่าจริงๆนี่คือการบอกลาครั้งสุดท้าย แบบว่าโดนฉีดยาสลบกะลังจะผ่าเอาออก ความฝันคือแบบทำให้ดอกไม้ในอกเอ็นโจพอใจ ที่เห็นภาพคือความพอใจสุดท้ายก่อนจะลืมไปตลอดกาลน่ะ//ตีตัวเอง แง แต่มุ้งมิ้งมาก ท่านเรย์กะขี้เขินที่สุดด
จุ๊บจุ๊บ ขอบคุณโม่งฟิค
มู้ยังอยู่เรื่อยๆ สินะ ไม่ได้เข้ามานาน
วันนี้เป็นวันครบรอบสามปีที่นิยายไม่อัพว่ะเพื่อนโม่ง เมื่อไหร่อ.ฮิจะกลับมาสักทีวะ;-;;
สามปีแล้วหรอวะเนี่ย คิดถึงเจ้าแม่ ;-; คิดถึงท่านฮิ TT
สามปีแล้วววววววว
ท่าฮิเมื่อไหร่จะกลับมา
คิดถึง
กูอยากเห็นคำว่า เย่ ท่านฮิมาแล้วว่ะ 300มาแล้ววว กรี้ดดดดด บ้างอะ เป็นงี้นานๆละก็ปวดใจ
รอคอย~ เธอมาแสนนานนน~
3ปีแล้วนะ ฮืออออ
แง้ กุเข้ามาส่องบ่อยๆนะ โม่งฟิกว่างๆก็มาต่อกันนะจ๊ะ จุ๊บจุ๊บ
กูทำสารบัญอาหารเองนะ เมื่อกี้เข้าไปส่องโฟลเดอร์เรย์กะซามะ เห็นไฟล์สารบัญวาคาบะกับคาบุหายไป ใครกินไฟล์เข้าไปเอามาคืนด้วยจ้า
กูแวะเข้ามาดู แง คิดถึงท่านเรย์ก่า
คิดถึงท่านเรย์กะจังเลย~
ถ้าท่านฮิโยโกะมาอัพในปีนี้จะแต่งคาบุเรย์กะเซ่น บนนานไปปะวะ ถถถถถถถถ
กูบนด้วย ถ้าอ.มาอัพ กูแต่งฟิคเซ่นสิบตอนรวดเลยค่ะ
ท่านฮิโยโกะ ข้าน้อยรอด้วย
มาขุดมู้ ฮื่อ รักท่านเรย์กะตลอดปัย มาพยุงด้อมให้มันอยู่รอท่านฮิโยโกะกลับมากันเถอะะะ
มู้จะอยู่รอท่านเรย์กะะะ มาคิดชื่อมู้ต่อไปรอเลยดีมะ
คิดถึงท่านเรย์กะ โม่งฟิดมาแต่งต่อเล่นๆที
โม่งว่ายูกิโนะเริ่มชงเอ็นโจกับเรย์กะตอนไหน ตรงบทที่ส่งผ้าขนหนูแบบเดียวกับเอ็นโจมาให้แทนคำขอบคุณที่ช่วยอุ้มไปห้องพยาบาลอะ ตอนแรกกูอ่านผ่านๆเพราะเห็นยูกิโนะยังเด็กมาก คงบังเอิญมั้งที่มันเป็นของคู่พอดี แต่นึกว่าคาราบุกิก็เคยพูดทำนองว่ายูกิโนะไม่ใช่เด็กซื่อๆอ่อนโยนแน่ๆล่ะ กูแอบเอ๊ะ บ้านนี้จะร้ายกาจตั้งแต่ประถมเลยหรอ 55555
>>922 กูว่าตั้งแต่ที่เจอหน้ากันครั้งแรกในห้องเปอติต์แล้ว เดินมาเปิดประตูให้เองเลย แล้วก็ดูพยายามอวยด้านดีๆของพี่ชายให้ฟัง แต่ครั้งแรกๆแค่อาจจะหยั่งเชิงก่อนว่าพี่สาวคนนี้เป็นคนยังไง ดีจริงมั้ย ทำไมท่านพี่ถึงชอบ พอพิสูจน์ได้ก็เดินหน้าลุยเต็มที่ อยากให้มาเป็นพี่สาว(?) ส่วนพี่กับน้องนี่มีการแท็คทีมกันชัวร์ๆ
>>923 กูตั้งทฤษเดาเอาเองว่ายูกิโนะไม่ชอบบ้านยุย เพราะปกติแล้วคนระดับเอ็นโจอย่างน้อยก็น่าจะเลือกคู่หมั้นเองได้ แต่ในเรื่องมันบรรยายแนวๆเอ็นโจก็ไม่ได้เต็มใจหมั้นกับยุย แต่มีคนสั่งให้ต้องคอยไปเอสคอร์ทไปนู่นไปนี่ตลอด ภายในเครือญาติตระกูลยุยอาจจะใหญ่กว่าตระกูลเอ็นโจปะ ยูกิโนะที่ร่างกายไม่แข็งแรงอาจจะเป็นกำลังให้พี่ชายไม่ได้เลยพยายามหาคนที่เป็นคู่แข่งกับยุย (เพราะถ้าแต่งกับคนนอกก็ช่วยคานอำนาจบ้านยุยได้) หวยมาตกที่เรย์โกะที่มาจากตระกูลใหญ่คุณสมบัติผ่าน ตอนแรกๆอาจจะแค่ให้มาเป็นคู่แข่ง แต่ไปๆมาๆรู้สึกว่าเคมีได้นี่ก็เลยชงจริงๆ
>>924 อันนี้กูเดาเอานะ เพราะท่านฮิทิ้งปมกับเอ็นโจไว้หลายเรื่อง แต่ที่ย้ำหนักมากคือเรื่องบุญคุณและต้องตอบแทน จะเห็นได้ชัดมากคือเอ็นโจมักพูดเรื่องบุญคุณเสมอ ตัวละครอื่นจะไม่พูดอะไรแนวๆนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นคาบุ วาคาบะหรือเจ้าแม่ ตรงนี้อาจจะเป็นปมที่ทำให้ต้องหมั้น ส่วนเอ็นโจติดหนี้บุญคุณยุยโกะหรือต้องตอบแทนมาตั้งแต่รุ่นพ่อคงต้องรอเฉลยว่ะ
ส่วนตระกูลของยุยโกะใหญ่มั้ย คิดว่าอาจจะเข้าซุยรันแล้วเป็น pivoine ได้ แต่กูว่าไม่น่าใหญ่ไปกว่าบ้านริรินะ เพราะดูจากที่ปูๆมา มีแค่สามบ้านที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็คือบ้านสามหน่อนั่น ใหญ่แบบที่คนใน pivoine ยังต้องเกรงใจ ส่วนที่ดูยอมๆขนาดนั้นน่าจะเพราะเป็นญาติด้วย ความสัมพันธ์แบบเรือล่มในหนอง แล้วคงมีเรื่องบุญคุณอะไรเข้ามาเสริมด้วยมั้งนั่น
>>925 พูดแล้วกูอยากเขย่าท่านฮิ ฮือ ทิ้งปมไว้ขนาดนี้แล้วก็หายจ้อยไป TT เออ อาจจะเป็นเรื่องบุญคุณของทางครอบครัว กูยังคิดอยู่เลยว่ายูกิโนะกับเอ็นโจฉลาดเกินเด็กมากๆเพราะไปเจออะไรมานะ ตัวนิยายออริจินัลก็ไม่ได้พูดถึงบทบาทของบ้านนี้เท่าไหร่เลย
แล้วมึงว่าถ้าไม่มีเรื่องยุย เอ็นโจจะกล้ารุกจีบเรย์กะปะ หรือจะยั้งใจไว้ (แบบตามเนื้อเรื่องออริที่บ้านคาบุกับบ้านเรย์กะดีลกัน) // หรือจะช่วยให้คาบุกับวาคาบะสมหวังไปซะจะได้ทางโล่ง 5555
>>926 กูว่ากล้า ขนาดมีเรื่องยุยโกะพี่แกยังแสดงออกขนาดนี้ ส่งน้องมาเป็นสะพานเข้าหาสาว ตีสนิทไปทีละสเต็ป มีแต่เจ้าแม่คนเดียวที่ไม่รู้อะไรบ้างเลย แต่รอบข้างเขารู้กันหมดแล้ว แบบพวกกลุ่มเรย์กะหรือหัวหน้าห้อง
ไม่รู้คาบุรู้มั้ยว่าเพื่อนมันชอบสาวคนนี้ แต่ถ้าไม่รู้มันจะผิดวิสัยเพื่อนสนิทอะ แบบเพื่อนเรามีปฏิกริยาแปลกๆกับคนคนนึง เทคแคร์ดีกว่าคนอื่นๆ เห็นหน้าก็ทัก หาโอกาสคุยด้วยตลอดแบบที่ไม่ทำกับใคร มันก็ต้องฉุกคิดได้ดิว่าไอ้นี่ทำตัวแปลกๆใส่ผู้หญิงคนนี้วุ้ย แอบชอบอีนี่ป่ะวะ หรือจะคิดว่าที่ชูสุเกะทำไปเพราะเห็นเรย์กะเป็นเพื่อน??????
อยากอ่านต่อแล้ว คิดถึงท่านเรย์กะ
กูก็คิดว่ายูกิโนะเหมือนรู้ว่าท่านเรย์กะคือใครมาตั้งแต่ต้น อาจจะเคยเห็นพี่สาวหัวหลอดคนนี้จากอัลบั้มรูปของพี่ชาย ส่วนคุณยุยโกะกูว่าที่บ้านอาจจะมองไว้จริงๆ ในเรื่องเหมือนตระกูลคาบุดูแล้วจะใหญ่สุด ถ้ามาดามคาบุรากิเปรยๆในกลุ่มมาดามว่าอยากได้คุณหนูคิโชอินเป็นสะใภ้ บ้านเอ็นโจคงไม่เข้าไปขวาง ช่วงต้นๆเอ็นโจยังเหมือนชวนให้เรย์กะคาบุได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยซ้ำ พอช่วง ม.ปลาย เห็นว่าคาบุสนใจวาคาบะ ถึงจะกล้ารุกจีบ เช่นทำลาเต้ให้เป็นพิเศษ etc.
>>929 อันนี้กูสันนิษฐานนะ ช่วงต้นๆที่พี่แกช่วยให้คาบุกับเรย์กะใกล้ชิดกัน น่าจะมาจากการคิดเองเออเองว่าเรย์กะชอบคาบุ เพราะเห็นเรย์กะมองแต่คาบุตลอด แล้วเป็นช่วงวัยรุ่นฮอร์โมนพุ่งพล่านสับสนตัวเอง ไม่รู้คิดยังไง น่าจะมีอาการปฏิเสธตัวเองด้วยล่ะว่าชอบเขาเลยพยายามผลักไสเขาไปให้คนอื่น แต่ก็ดันมองแต่เขา มีเรื่องเขาอยู่เต็มหัว จนต้องยอมรับว่าเออ ชอบเขาจริงๆ แต่เกิดมาก็ไม่เคยจีบใครแถมยังทำตัวแย่ๆจนติดลบจนเขาไม่ไว้ใจไปละ พอมีน้องก็ใช้น้องให้เกิดประโยชน์ แล้วก็ไปตามสไตล์พี่แกนั่นล่ะ
ถามเล่นๆนะว่าคาบุนี่ตกลงชอบวาคาบะจริงมั้ย เพราะดูมูฟออนจากยูริเอะได้ไวพอตัว ถึงจะผ่านช่วงอกหักจนหนีไปผาโทจิมโบก็เถอะ แต่เหมือนเปิดเทอมมาไม่กี่เดือนก็มาสนิทสนมกับวาคาบะถึงขั้นจีบซะแล้ว ดูสปาร์คกับวาคาบะไวเหลือเกิน ในต้นฉบับเดิมนี่เหมือนต้องผ่านเรื่องราวร้ายๆมาด้วยกันถึงมาก่อเกิดเป็นความรักได้ แต่อันนี้เหมือนผช.คุยถูกคอกับผญ.มาเดือนนึงเลยลองจีบดู แถมจริงจังแบบขั้นทำสร้อยให้ด้วย อะไรมันจะพัฒนาเร็วขนาดนั้น
>>930 เพราะตามเนื้อเรื่งออริก็ไม่ค่อยมีบทเอ็นโจปะ ที่เรย์กะกลัวคาบุมากเพราะบทว่าคาบุเป็นคนทำให้บ้านล่มสลาย (ด้วยการกว้านซื้อหุ้น+เปิดโปงเรื่องทุจริต) ซึ่งพอคิดละประหลาดมากว่าคาบุจะทำงั้นคนเดียวได้ไง 5555 บ้านคิโชวอินยิ่งใหญ่มีคนเก่งๆเยอะ ไหนจะทั้งพ่อทั้งพี่ก็ยังอยู่ คาบุคนเดียวจะไปล้มได้ไง๊ /มองหน้าจอมมาร
>>931 คาบุเคยพูดว่าวาคาบะมีส่วนนึงคล้ายยูริเอะ อาจจะเริ่มสนใจตั้งแต่ตอนแรก+สอบได้คะแนนดีกว่า เลยสนใจมากขึ้น กอปรกับไม่มีเพื่อนผู้หญิง (นอกจากเรย์กะ) เลยไม่มีคอมมอนเซนส์ว่าควรจะจีบยังไง เหมือนตอนยูริเอะก็ตามสตอล์กไปเรื่อย 55555 ไอ้หมอนั่นมันพวกคลั่งรัก
>>931 คิดว่าคาบุชอบวาคาบะ แต่ก็รู้สึกว่าจู่ๆ บทจะชอบก็ชอบก็ชอบขึ้นมาเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะคาบุเคยช้ำหนักจากยูริเอะ โดนยูริเอะเฟรนโซน คราวนี้พอรู้ว่าตัวเองสนใจใครขึ้นมานิดหน่อยเลยไม่อยากพลาดอีก พยายามเดินหน้าเต็มที่ แต่กูมีความคิดว่าคาบุในช่วงแรกๆ ตอนให้เครื่องประดับวาคาบะ ยังมองวาคาบะจังในฐานะผุ้หญิงที่ชอบ โดยยังมีภาพทับซ้อนกับยูริเอะอยุ่นิดๆ คือเคยทำอะไรให้ยูริเอะแล้วเค้าชอบก็พยายามเอามาใช้กับวาคาบะ จนเรย์กะต้องเตือน ตอนหลังเลยพยายามเรียนรู้ตัวตนของวาคาบะมากขึ้น ตามไปเรียนติว พยายามใช้ชีวิตสามัญชน กูว่าถึงตอนล่าสุด คาบุก็ชัดเจนนะว่าชอบวาคาบะ ไม่มีอะไรในตัววาคาบะที่ไม่ถูกใจคาบุเลย
กูว่าคาบุชอบจริง ที่เห็นเล่นใหญ่ทำสร้อยให้ขนาดนั้นเพราะพื้นฐานนิสัยเป็นคนจริงจังอยู่แล้ว เล็กๆไม่ใหญ่ๆทำ ตัวเองเคยจีบหญิงมาคนนึงก็เอาวิธีที่เคยทำมาใช้ตามความเคยชิน และคงคิดว่าผู้หญิงคงชอบแบบนี้มั้ง ให้ดอกไม้ ทำของขวัญ พาไปเดท แต่พอโดนเตือนสติว่าผู้หญิงแต่ละคนชอบไม่เหมือนกันก็พยายามปรับวิธีการไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ชอบคงไม่ลงทุนขนาดนี้
อีกอย่างวาคาบะนี่มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ตอบสนองความเพ้อฝันในเรื่องความชอบหนังรักโรแมนติคของฮีได้ เช่นฐานะชนชั้นต่างกัน การพบเจอกันในแบบแปลกๆไม่คาดคิดจนเหมือนพรหมลิขิต เป็นผู้หญิงที่ขึ้นมาทาบรัศมีฮีได้แถมเอาชนะได้ด้วย และวาคาบะไม่ได้มีท่าทีจะสนใจคาบุมาตั้งแต่ต้นเหมือนสาวอื่นที่พยายามเข้าหา รวมๆแล้วก็เหมือนดึงดูดให้คาบุสนใจในระดับหนึ่งอยู่ละ อย่างน้อยก็จำชื่อว่ายัยนี่เป็นใครได้ละกัน พอได้ใกล้ชิดและเห็นว่าเขาน่ารักและตลกดีก็เลยชอบ แถมตัวเองก็มีดีในทุกๆด้าน ทำไมถึงจะไม่ลองจีบดูล่ะ จะป๊อดไปไย เข้าแก๊ปหนังรักแนวจับมือกันฝ่าฟันอุปสรรคแบบที่ฮีชอบซะด้วยสิ
เจ้าแม่กับจอมมารคุยไรกัน ดูหวานแหวว???
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1338511001772195840
เห็นเพื่อนโม่งมาตอบกูเยอะๆยาวๆกูก็ปลื้มปริ่ม กูชอบอ่านพวกวิเคราะห์อะไรแบบนี้มากเลย สนุกดี
งั้นถามเพิ่มอีกนิดว่าถ้าคาบุอกหักจากวาคาบะ มีสิทธิ์จะเทิร์นมาหาเจ้าแม่ได้มะ แล้วเรย์กะนี่พอจะมีใจให้คาบุบ้างรึเปล่า หรือนางเข็ดขยาดกับพวกตัวปัญหาพวกนี้แล้วไปหาคนนอกที่อยู่ๆอาจจะโผล่มาเป็นม้ามืดในอนาคต
>>939 เอาจริงมะ ซีนที่เรย์กะเขินคาบุเยอะกว่าเขินเอ็นโจอีก (หรือเจ้าแม่ซึนนะ 5555555) เพราะจริงๆเจ้าแม่ชาติก่อนก็ชอบคาบุในนิยายอยู่แล้ว เวลาที่คาบุคีพคาร์เหมือนในนิยาย (นิ่งๆ ไม่พูด มองหน้าเฉยๆ) เจ้าแม่ใจเต้นตลอด แหม่ เมนที่เราติ่งมาอยู่ตรงหน้าอะเนาะ 55555 ละยิ่งสำหรับเจ้าแม่ที่สเปคคือเจ้าชายขี่ม้าขาวเนี่ย /มองจักรพรรดินโปเลียนขี่ม้าส่งเมืองในตำนาน ก็...พอได้มั้ง 555
กูเคยวิแคะไว้ในมู้ก่อนๆว่านิยายลักษณะนี้ ถ้าเป็นเรื่องอื่นคาบุคือพระเอกว่ะ เพราะกินพื้นที่เรื่องไปเกือบครึ่งเลย เวลาเจ้าแม่จะทำอะไรจะคิดถึงคาบุอยู่เป็นประจำ ถีงไม่ใช่แนวๆความโรแมนซ์แต่ก็คิดอยู่ตลอด เช่นตานั่นกำลังทำอะไรอยู่ ถ้ารู้เรื่องนี้จะเป็นยังไง บลาๆ ความสำคัญต่อเรื่องคือสำคัญมากกกกกกก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางในการดำเนินชีวิตของเจ้าแม่ในทุกๆด้านเลยก็ว่าได้ เจ้าแม่จะทำอะไรก็ต้องคิดก่อนว่าคาบุจะมองว่ายังไง กลัวตัวเองจะดูไม่ดีในสายตาเขา คอยสังเกตคอยมองตลอดจนไม่แปลกที่ชาวบ้านเขาจะเข้าใจว่าแอบชอบท่านจักรพรรดิ แถมยังมีใจเต้น เขินเวลาที่คาบุมันทำตัวหล่อๆสมเป็นพระเอกโชโจด้วย
ถ้าคาบุมันไม่ได้เผยด้านรั่วออกมาซะก่อน กูว่าเจ้าแม่มีสิทธิ์ตกหลุมรักสูงมาก เมนในอดีตชาติมาอยู่ตรงหน้า เจ้าแม่ก็โดขิโดขิมาตั้งแต่ชาติก่อนละ ถ้านางมาเกิดเป็นตัวประกอบทั่วไปที่ไม่ใช่เรย์กะนางร้าย ไม่ได้ใกล้ชิดมากแบบนี้ คงตามกรี๊ดท่านจักรพรรดิขาไปละ แต่ความชอบหดหายไปเพราะตัวเองต้องมาเป็นนางร้ายที่โดนพระเอกกำจัด คงไม่เหลือจิตมาพิศวาสมากเพราะต้องเอาตัวรอดก่อน แถมคาบุไปทำตัวงี่เง่าปากไม่ดีใส่ตั้งแต่เด็กๆ ความชอบคงหายไปเกือบหมดว่าไอ้นี่แม่งเด็กกะโปกน่ารำคาญ เหลือทิ้งไว้มั่งนิดๆตอนนึกถึงความเท่ของจักรพรรดิในการ์ตูนที่นางเคยชอบน่ะ
ก็ชอบตอนเจ้าแม่ก็มีเคลิบเคลิ้มไปกับคาบุ แล้วก็ถูกดึงกลับมาสู่โลกแห่งความจริงว่าไอ้นี่มันหล่อเสียของ
ส่วนคาบุจะเทิร์นมาชอบเจ้าแม่หลังอกหักจากวาคาบะได้มั้ย คิดว่าเป็นไปได้สูงเหมือนกัน เพราะเจ้าแม่ก็เป็นผู้หญิงไม่กี่คนที่อยู่ใกล้ชิดขนาดนั้น อยู่ขั้นเพื่อนสนิทที่สามารถโทรเม้ามอยกลางดึก ปรับทุกข์ ให้คำปรึกษา ไปเที่ยวด้วยกันได้ รู้ความลับและนิสัยแบบหมดไส้หมดพุง เห็นทั้งด้านดีและด้านแย่ ถ้าคาบุยังไม่มีใครคงหันมองเจ้าแม่ได้ไม่ยาก เพราะเรย์กะก็สำคัญสำหรับคาบุเหมือนกัน แต่ตอนนี้วาคาบะสำคัญที่สุด ฮีเลยไม่คิดจะมองเจ้าแม่ไปไกลกว่าเพื่อน ขนาดอยู่งานทานาบาตะที่บรรยากาศสุดโรแมนซ์ก็ยังคิดถึงแต่วาคาบะ ไม่ได้สนใจเรย์กะที่เดินข้างๆกันเลยซักแอะ
>>928 เอนโจขาเจ็บตอนงานกีฬาป.3 ยูกิโนะก็น่าจะคลอดช่วงท่านเรย์กะอยู่ป.3กัน เผลอๆอัเวนท์จะเกี่ยวกับตอนคุณแม่เอนโจท้องเลยนา
ถ้าดูจากที่ไก่โง่บอกว่าคุณยุยโกะมาก่อนท่านเรย์กะ ก็เป็นไปได้ที่เรื่องวางตัวเป็นคู่หมั้นน่าจะเกิดก่อนป.5 นายไก่คงรู้สึกว่าตั้งแต่จำความได้เอนโจกับยุยโกะก็คู่กันแล้ว ท่านเรย์กะมาทีหลัง (หารู้ไม่ว่าเอนโจเริ่มมองท่านเรย์กะตั้งแต่ป.1แล้ว)
คาบุจัดเจ้าแม่เป็นพรรคพวกไปแล้วป่าววะ เหมือนกับเอ็นโจ เจ้าแม่คือพรรคพวกที่โตมาด้วยกัน ไว้ใจได้ มีอะไรปรึกษากันได้ คาบุไม่ได้มองเจ้าแม่แบบผู้ชายมองผู้หญิง ส่วนเจ้าแม่ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ด้วยความที่รู้เรื่องออริจินอล เลยมั่นใจว่าคาบุชอบวาคาบะมากๆแน่นอน ขืนไปขวางทางรักเข้าจะซวย เพราะงั้นความคิดว่าคาบุจะมาชอบตัวเองนี่ไม่มีอยู่ในหัวเจ้าแม่เลย
>>944 แต่ไอ้เจ้าไก่โง่นี่ก็เอามาหย่อนไว้นานเหมือนกันนะกว่าจะมีบท ทีแรกนึกว่าเป็นรุ่นน้องตัวประกอบที่เอ็นโจรู้จักเฉยๆแล้วก็ปล่อยเลยไป ดันเอามาใช้ซะงั้น ไม่มีตัวละครไหนเสียเปล่าเลย คาซึรางิดูจากความสัมพันธ์แล้วน่าจะเข้านอกออกในบ้านเอ็นโจได้ แถมดูเซ้าซี้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องเกี่ยวกับยุยโกะเอามากๆด้วย อาจจะเป็นคนมาจากทางฝั่งยุยโกะก็ได้มั้งนั่น
>>947 ชัวร์มาจากฝั่งยุยแน่ๆ พ่อแม่อาจจะเป็นบ้านรองหรือลูกน้องคนสนิทของบ้านยุย แต่ก็น่าจะมีตำแหน่งประมาณนึงตาไก่ถึงกล้าเซ้าซี้/โทรตามเอ็นโจให้ไปหายุย
นอกเรื่อง กูอยากอ่านตอนพิเศษช่วงที่เอ็นโจไปตามคาบุที่เตลิดไปตอนอกหักจากยูริเอะอะ อยากรู้ว่าวันคริสมาสต์สองหนุ่มโสดกลางทะเลหนาวนั้นคุยอะไรกันบ้าง 555555
ยิ่งอ่านที่โม่งวิเคราะห์กันแล้วยิ่งอยากอ่านต่อ งือออออ
>>950 ตอนนี้ที่เล่ามาเนี่ยมันถึงครึ่งเรื่องยังนะ ยังเหลือก้อนใหญ่ๆคือคาบุตีกับที่บ้านเพื่อคบวาคาบะ เอ็นโจxเจ้าแม่จะเป็นยังไง แล้วก็ประเด็นเรื่องเพื่อนๆไฮโซ ถ้าทุกคนรู้ว่าวาคาบะกับเจ้าแม่เป็นเพื่อนกันจะเป็นไง แล้วเราจะได้เห็นเจ้าแม่ในชีวิตทำงานไหมนะ ว่าแต่จะทำอาชีพอะไรฟระเจ้าแม่เนี่ย 55555
>>951 กูว่ายังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยมั้งนั่น สมมติเรื่องนี้มีไคลแมกซ์อยู่งานหมั้น แต่เรื่องราวมันก็ยังไปไม่ถึง ยังไม่มีอะไรผลักดันให้มาดามรีบมาจับลูกชายหมั้นกับเรย์กะ เพราะในมังงะคือวาคาบะกับคาบุคบกันแล้ว มาดามเลยต้องจับแยก แต่นี่ก็ยังเอื่อยๆอืดๆกันทั้งสองคู่อะ ยิ่งคาบุสงสัยเรื่องเจ้าแม่คือโคโระจัง ยังไม่น่าจะเอ่ยปากสารภาพรักในเร็วๆนี้หรอก และมันเป็นเรื่องวันๆของเจ้าแม่ก็แบบนี้ล่ะ มันก็เอื่อยๆตามเจ้าของเรื่องนั่นล่ะน้า
กูว่าย้งไงวาคาบะกับคาบุก็คงได้คบกันตามเส้นเรื่องเดิม แต่จะเลิกกันทีหลังมั้ยอันนี้ก็ไม่รู้ ตัวแปรมันเปลี่ยนเยอะ นางร้ายที่คอยขัดขวางดันลงมาแย่งชิงหัวใจนางเอกจากพระเอกไปแล้ว นางเอกก็ดันไม่เห็นพระเอกสำคัญเท่ากับนางร้ายที่เป็น"เพื่อนคนสำคัญ"อีก กลายเป็นยูริเถอะเรื่องนี้
>>952 ในเรื่องเดิมประกาศหมั้นตอนไหนเหรอ ตอน high school ปีสุดท้าย หรือเรียนจบซุยรันแล้ว
กุว่าคาบุมันไม่ได้สนใจมากหรอกว่าโคโระจังคือเจ้าแม่หรือเปล่า มันแค่กังวลว่าโคโรจังจะเป็นผู้ชาย ยิ่งมีคู่แข่งต้องยิ่งเร่งทำคะแนน เร่งสารภาพรักป่าววะ แต่กูรู้สึกว่าถ้ารีบสารภาพรักเกินไปโอกาสคาบุโดนวาคาบะเฟรนโซนคงสูง เหมือนวาคาบะจังก็อยู่ซุยรันสบายๆ อุ่นใจมีเจ้าแม่คอยช่วยเหลืออยู่ลับๆ ไม่ได้ต้องพึ่งพาคาบุเหมือนในออริ วาคาบะคงไม่ได้ซาบซึ้ง มองคาบุเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเหมือนในออริ กุว่าเด็กเนิร์ดอย่างวาคาบะจังไม่น่าจะอยากคบใครจริงจังตอนนี้
>>953 ไม่รู้ว่ะ ตอนที่ 1 บอกแค่มาดามจับหมั้นแล้วคาบุก็มาเล่นงานเรย์กะในงานหมั้นแค่นั้นเอง ถ้าเอาตามขนบโชโจในรั้วโรงเรียน งานหมั้นคงมีก่อนเข้ามหาลัยนี่ล่ะว่ะ เพราะการ์ตูนโชโจวัยมัธยมส่วนใหญ่มักเคลียร์เรื่องให้จบลงตรงที่ตัวละครทั้งหลายเรียนจบม.ปลายไปด้วยกัน อาจจะมีชีวิตมหาลัยหรือหลังจากนั้นโผล่มาแว้บๆให้ดูว่าตัวละครเป็นยังไง
ตอน 299 คาบุมันก็มาจับผิดอยู่นี่ว่าโคโระกับคิโชวอินเป็นคนคนเดียวกันป่ะ เจ้าแม่แถไปเรื่องอื่นเลยรอดตัวไปแค่หนนี้ แต่กูว่าคาบุมันก็ยังสงสัยอยู่นะ ส่วนเรื่องสารภาพรักเหมือนเจ้าแม่จะสปอยมาเป็นนัยๆว่าในมังงะคาบุมันไปสารภาพรักกลางสี่แยกที่คนเยอะๆกับมีอีเวนท์บุกบ้าน ถึงเจ้าแม่จะเปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อยไปเยอะ แต่ทุกอย่างมันก็ยังเดินไปตามโครงเรื่องเดิมอยู่ เช่นวาคาบะเข้าซุยรัน คาบุอกหัก พระเอกนางเอกได้รู้จักกัน ดังนั้นกูว่าตอนขึ้นเรือไปชมดอกไม้ไฟกัน คาบุมันยังไม่สารภาพรักหรอก
ส่วนวาคาบะกูว่ามีใจให้ว่ะ แค่รอคาบุมาสารภาพรักแค่นั้นล่ะ เพราะว่าถ้าไม่คิดเกินเพื่อนนี่คงไม่ลงทุนทำกับข้าวแล้วแบกไปให้กินทุกวันหรือไปไหนต่อไหนด้วยกันแบบสองต่อสองอะ ยิ่งเป็นสถานที่ปิดแบบเรือด้วยแล้ว ถ้าไม่ไว้ใจสุดๆคงไม่ยอมไป ไม่รู้ว่าอีเวนท์ฝั่งอาริมะเป็นไง แต่จะมองว่าวาคาบะก็ทำขนมมาให้พวกสภานักเรียนกินกันประจำก็เลยทำให้คาบุด้วยตามนิสัยก็ได้มั้ง
>>952 >>953 >>954 วาคาบะมีใจให้คาบุแน่ๆล่ะ แต่ไม่รู้มากถึงขั้นรับรักคาบุไหม กูว่าวาคาบะนี่ค่อนข้างมีคอมม่อนเซ้นส์ การรับรักลูกชายมหาเศรษฐีนี่ก็เห็นอนาคตว่าหนักแน่ วาคาบะจะพร้อมแลกรึเปล่า เพราะไม่ได้โดนแค่ตัวเองแน่ๆ ไหนจะน้องๆ ครอบครัว ตกเป็นเป้าสังคมนินทาแน่นอน
นั่นดิ ในต้นฉบับที่วาคาบะรักคาบุไว เหตุผลหนึ่งก็เพราะเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในรร.ด้วย (แต่เจ้าแม่ดันมาแย่งหน้าที่ซะแล้ว 55555)
พอไม่มีออริเรย์กะคอยกลั่นแกล้ง ไม่มีอีเว้นส่งเสริมให้คาบุเป็นพระเอกขี่ม้าขาว ทางฝั่งวาคาบะอาจแค่ชอบๆ แต่ก็ยังอยากดูๆไปก่อนละมั้ง
อยากอ่านต่อจัง
ยอมเพื่อนโม่งมากก ไม่ได้เข้ามานานตั้งแต่ ปารตี้ 15 นี่ 30 แล้ว ยังรอท่านฮิโยโกะอยู๋ทุกวันเดียวจะค่อยย้อนกลับไปอ่านมู้กับฟิคเพื่อนโม่งแก้คิดถึงดีกว่า
ตอน300เมื่อไหร่จะมา
กระทู้จะเต็มแล้ว เสนอชื่อโหวตกระทู้ใหม่กันเถอะ
ปาร์ตี้น้ำกัญชาซุยรันกับกับแกล้มของหมักของดอง 32 อย่าง
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับปีใหม่ที่ไร้ตอนต่อ ขอของขวัญเป็นตอนใหม่ด้วยเถิด สาธุ [คำอธิษฐานครั้งที่ 32]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับตอนต่อไปที่ไม่มีวันมาถึง [เช่นเดียวกับวันที่ 32 ในปฏิทิน]
>>938 แปลล่ะนะ หน้าแรก
เอ็นโจเริ่มเรื่องมาว่าถูกดาวมหาลัยสารภาพรัก
ท่านเรย์กะ บอกคนที่เป็นดาราน่ะเหรอ
ท่านเอ็นโจ : อืม แต่ก็ปฏิเสธไปแล้วล่ะ
ท่านเรย์กะ : อืมเหรอคะ
ท่านเอ็นโจ. : หึงซะแล้วเหรอ
ท่านเรย์กะ :ไม่ได้หึงสักนิดเลยนะคะ อืม เพียงแต่ก็มีบางครั้งที่คิดอยู่นะ
หน้าสอง
ท่านเรย์กะ : ที่ท่านเอ็นโจมาชอบฉัน ฉันก็ดีใจอยู่นะคะ เพียงแต่คิดว่าทำไมถึงชอบฉันกันน้า ถ้าเป็นท่านเอ็นโจ อยากจะคบผุ้หญิงสวยขนาดไหนก็ได้ และฉันก็จำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรให้ท่านเอ็นโจรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษด้วย (คิดในใจ จะพูดให้ถูกคือหลีกเลี่ยงท่านเอ็นโจมาตลอดมากว่า)
ท่านเอ็นโจ (เปล่งประกาย) :คุณคิโชวอิน คนที่อยากทำอะไรเพื่อผมน่ะ มีอยู่มามากมายเลยนะ
ท่านเรย์กะ : นั่นก็ใช่ แต่พุดออกมาเองนี่มันก็...(พึ
มพำ)
ท่านเอ็นโจ :(หัวเราะ) แต่จะให้ชอบเขาเพราะเเค่เหตุผลนั้น มันเป็นคนละเรื่องกันนะ
ท่านเรย์กะ :( คิด)อืมจะว่าไปมันก็ใช่นะ
หน้าสาม
ท่านเอ็นโจ : คุณคิโชวอินน่ะ ดูภายนอกดูเป็นคนที่เพอร์เฟคมาก แต่ถ้าสนิทด้วยแล้วก็จะเห็นสีหน้าที่หลากหลาย ดูแล้วไม่เบื่อเลยน่ะ
แต่เมื่อก่อน คุณคิโชวอืนเอาแต่ทำหน้าเฉยเมยต่อหน้าผมกับมาซายะ ผมเลยตั้งใจมาตลอดเลยว่า สักวันนึง ผมอยากจะทำให้คุณหัวเราะ โกรธ หรือร้องไห้ ให้ได้น่ะ(ซบไหล่)
ท่านเรย์กะ : เดี๋ยวก่อนนะ ที่อยากทำสองอย่างหลังน่ะ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอคะ
ท่านเอ็นโจ : ก็นะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตอนโกรธหรือตอนร้องไห้ ก็น่ารักไปหมดนี่นา
ท่านเรย์กะ : เอิ่ม พูดอย่างนี้มันน่ากลัวนะคะ เลิกพูดเถอะค่ะ
ท่านเอ็นโจ: (หัวเราะ) พอเห็นคุณคิโชวอินแล้ว คิดว่าอยากจะทำอะไรเพื่อคุณบ้างน่ะ (ทำตาออดอ้อน)
ท่านเรย์กะ : (เขิน) แล้วอยากจะทำอะไรให้หรือคะ
ท่านเอ็นโจ : อย่าง.. จุ๊บ?
ท่านเรย์กะ : อันนั้นก็แค่ท่านเอ็นโจอยากทำเองไม่ใช่เหรอคะ
ท่านเอ็นโจ : เอ้ โกหกน่า
(คุณคิโชวอิน) ไม่อยากทำ(จุ๊บ) จริงๆเหรอ
จบแล้วจ้า
/แปะแฟนอาร์ตท่านเรย์กะกับท่านพี่
https://twitter.com/nata__coco/status/1345389980437213184?s=19
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดปีที่ 20 ของ คิโชวอิน เรย์กะ
_______
วันนี้เป็นวันที่ฉันอายุครบ 20 ปี เป็นสาวมหาวิทยาลัยที่บรรลุนิติภาวะแล้วค่ะ! หลังจากนี้ก็จะสามารถดื่มได้อย่างเต็มที่แล้ว อุฮุฮุ~ อ๊ะ ไม่ได้สิ ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดที่ที่บ้านจัดขึ้นอย่างอลังการอยู่ ถ้าเผลอหลุดสีหน้าแปลก ๆ ออกไปต้องเรื่องใหญ่แน่เลย
งานเลี้ยงวันเกิดของฉันจัดขึ้นที่โรงแรมในเครือคาบุรากิ ได้รับการสนับสนุนจากมาดามคาบุรากิอย่างล้นเหลือ ไม่ว่าจะในด้านสถานที่และอาหาร ทั้ง ๆ ที่บอกไปแล้วว่าไม่ต้องการจะจัดงานใหญ่โตอะไร แต่ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ไม่ยอมฟังกันเลย ไปปรึกษามาดามคาบุรากิเรื่องการจัดงานเลี้ยงจนเสร็จสรรพ พอไปเล่าให้ท่านพี่ฟังก็ได้คำตอบมาว่า
“วันเกิดของเรย์กะทั้งที พี่คิดว่ามีหลายคนที่อยากมาแสดงความยินดีให้น้องนะ ทำตามที่พวกท่านพ่อกับท่านแม่จัดการไว้น่าสนุกดีออก”
ท่านพี่.. ที่พึ่งสุดท้ายของน้องก็เห็นดีเห็นงามด้วยหรอคะ...
เพราะท่านพี่เองก็คิดแบบเดียวกันนั้น ฉันจึงหมดหวังและต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดอลังการของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
ในช่วงหนึ่งเดือนก่อนงานเลี้ยง คาบุรากิที่ทราบเรื่องมาจากมาดามจึงบังคับให้ฉันออกกำลังกายเป็นบ้าเป็นหลัง บังคับให้ฉันทานอาหารเพื่อสุขภาพ แถมยังสั่งงดขนมอีกต่างหาก
“ถ้าเธอไม่ทำตามที่ฉันบอกต้องเสียใจแน่คิโชวอิน วิ่งเข้าไปเจ้าสัตว์กีบคู่!”
นั่นเขาเรียกว่าให้กำลังใจหรอคะ? แต่ว่าฉันคงไม่งดขนมตามที่บอกหรอก เอ เรียกว่างดไม่ได้มากกว่า ร่างกายของหญิงสาววัยกำลังโตต้องการเค้กอย่างน้อยวันละชิ้นนะคะ
“มาซายะโหดไปหรือเปล่า ถ้าคุณคิโชวอินทำตามตารางฝึกของนายร่างกายต้องไม่ไหวแน่ ๆ”
เอ็นโจที่มาเป็นแพ็คคู่กับคาบุรากิเอ่ยขึ้นมาจากม้านั่งใกล้ ๆ อุส่าแต่งชุดออกกำลังกายเต็มยศแต่กลับมานั่งอยู่เฉย ๆ อย่างน้อยก็ทำตัวมีประโยชน์แหละเนอะ ใช่แล้วย่ะ คาบุรากิ ให้สาวน้อยมาฝึกสปาตันแบบนี้ใครจะไปทำได้กัน!
“ถ้าหยวนให้ทานขนมได้สักหน่อยน่าจะดีกว่านะ คุณคิโชวอินก็เป็นพวกชอบขนมหวานเหมือนมาซายะ ถ้าหักดิบเลยอาจจะหมดกำลังใจก็ได้ จริงสิ ขนมที่บ้านคุณทาคามิจิก็มีเมนูแคลอรี่น้อยด้วยไม่ใช่หรอ”
กู๊ดจ๊อบเอ็นโจ ขนมบ้านวาคาบะจังงั้นหรอ อยากทานจังเลยนะ~ ถ้าไปแล้วได้ทานอาหารฝีมือคันตะคุงด้วยก็คงไม่เลวเลย
อาร๊ะ ดูตาคาบุรากิสิ พอพูดถึงวาคาบะจังก็หลุดเข้าไปในโลกของตัวเองเสียแล้ว หนุ่มน้อยในห้วงรักน่าหมั่นไส้ชะมัด คาบุรากิกับวาคาบะจังคบกันในช่วงเทอมสุดท้ายของม.ปลายปี 3 และเปิดตัวกับทุกคนในโรงเรียนตอนวันจบการศึกษา มีรุ่นพี่โทโมเอะเป็นไอดอลหรอคะ แต่ว่าน่าอิจฉาจังเลยนะ เดทในชุดนักเรียนที่ฉันใฝ่ฝัน ในขณะที่จนกระทั่งตอนนี้ฤดูใบไม้ผลิของคิโชวอิน เรย์กะก็ยังไม่มาสักที.. ฮึก
“หลุดเข้าไปในความคิดของตัวเองทั้งสองคนเลยนะ”
หนวกหูน่า เอ็นโจ
ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัส แต่ก็ต้องขอบคุณการฝึกของคาบุรากิที่ทำให้ฉันสามารถใส่ชุดเผยต้นแขนได้อย่างมั่นใจ ประกอบกับคอร์สบำรุงผิวที่ท่านแม่บังคับให้ฉันไปทำให้ผิวฉันเนียนนุ่มมากกว่าทุกที เมื่อใส่ชุดเดรสผ้าชีฟองเปิดไหล่สีพิงค์แชมเปญก็อยู่กึ่งกลางระหว่างน่ารักกับดึงดูดสายตาพอดี เครื่องประดับบนผมสีดำขลับที่ถักเปียรวบผมครึ่งหัวไว้ด้านหลังเองก็เล่นแสงเด่นเป็นประกาย เครื่องประดับผมชิ้นนี้มาพร้อมกับสร้อยคอ สร้อยข้อมือ และต่างหูที่ฉันใส่อยู่ ทั้งหมดเป็นของขวัญจากท่านพี่ที่วางอยู่หน้าห้องฉันเมื่อเช้า สมกับเป็นท่านพี่! เข้ากับชุดที่ฉันใส่พอดีเลย
หลังจากเช็คเครื่องแต่งกาย เครื่องสำอางและจัดปอยผมเรียบร้อย คิโชวอิน เรย์กะ ก็พร้อมออกจากห้องแต่งตัวไปทักทายคนในงานแล้วค่ะ!
แขกในงานมีทั้งเพื่อนของฉัน ญาติ คนรู้จักของครอบครัว และแน่นอนผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจ เนื่องจากฉันไม่อยากให้งานเป็นทางการมากไปจึงกล่าวทักทายสั้น ๆ บนเวทีและขอบคุณผู้มาร่วมงานทุกท่านก่อนจะปลีกตัวไปทักทายเพื่อน ๆ ของฉันที่มาร่วมงาน แน่นอนว่าต้องไปหาพวกคิคุโนะจังกับเซริกะจังก่อนยังไงล่ะ~
..ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีเพื่อนกลุ่มอื่นนะ!
หลังจากจบจากซุยรัน ฉัน คิคุโนะจัง เซริกะจัง พวกเราสามคนเข้าเรียนมหาลัยในคณะเดียวกัน ทำให้พวกเรายังคงไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนสมัยเด็ก แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป คือ บางวันเวลาไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน มักจะมีใครสักคนแยกไปทานกับแฟนของตัวเอง ไม่คิดว่าจะโดนทรยศแบบนี้เลยนะคะ ทำไมทุกคนถึง...
ช่างเรื่องนั้นไปก่อนเถอะ นอกจากพวกคิคุโนะจังกับเซริกะจัง เพื่อน ๆ ที่ซุยรัน พวกมาโอะจัง ซากุระจัง สมาชิกสโมสร Pivoine ฉันยังชวนพวกอุเมวากะคุงมาอีกด้วยค่ะ! เอาเข้าจริงหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันแล้วอะนะ ถ้าไม่นับเมลจากเบียทันถึงเรย์ทัน
“สุขสันต์วันเกิดนะเรย์ทันน อันนี้ของขวัญวันเกิดจากเบียทัน”
ใช่ค่ะ เมื่อเข้าไปหาสิ่งแรกที่ได้ยินก็คือ เสียงของนายบ้าหมาที่กำลังดัดเสียงพูดแทนเบียทริซ วันนี้อุเมวากะคุงอยู่ในชุดทางการ คนอื่นคงไม่มองว่าเขาเป็นพวกแยงกี้หรอก แต่ดัดเสียงสอง พูดด้วยคำศัพท์แปลก ๆ มันมีแก๊บมากเกินไปหรือเปล่าคะ? คนรอบข้างต้องคิดว่าหมอนี่เมาแน่เลย
ปกติแล้วของขวัญจากทุกคนจะมีจุดให้วางเอาไว้ตรงทางเข้างาน แต่สำหรับชิ้นนี้อุเมวากะคุงบอกว่าเบียทันอยากให้เรย์ทันรับกับมือก็เลยเอามายื่นให้ตอนนี้ ส่วนอีกชิ้นจากตัวเองวางรวมไว้กันคนอื่น พอได้ฟังแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้
'ขอบคุณสำหรับของขวัญนะจ๊ะ มีความสุขมาก ๆ เลย' ฉันส่งเมลไปหาเบียทริซแล้วก็ได้รับเมลตอบกลับมาทันที 'สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะเรย์ทัน จาก เบียทัน' เมื่อฉันละสายตาจากหน้าจอก็เห็นอุเมวากะคุงส่งยิ้มมาให้ หมอนี่มีแต่เบียทันทั้งตัวและหัวใจใช่มั้ยเนี่ย
หลังจากพูดคุยกับพวกอุเมวากะคุงเสร็จ ฉันก็เดินกลับไปยังห้องพักเพื่อเก็บของขวัญจากเบียทริซ(?) และแอบพักเหนื่อยจากการพูดคุยกับแขกผู้ร่วมงานท่านอื่น ๆ ที่ชวนคุยระหว่างฉันกำลังเดินตามหาเพื่อนแต่ละคน แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงเรียกมาจากด้านหลัง
“คิโชวอิน”
นายตัวสำรองนั่นเอง
“สวัสดีค่ะมิซึซากิคุง ขอบคุณที่มาร่วมงานนะคะ”
ถึงพวกเราจะเรียนมหาลัยเดียวกันแต่ก็ไม่ได้เจอกันเลย ดูเหมือนนายตัวสำรองจะเปลี่ยนไปจากสมัยมัธยมนิดหน่อยนะ ส่วนสูงก็ดูจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย
“สุขสันต์วันเกิดนะ คิโชวอิน”
มิซึซากิคุงพูด หลังจากนั้นเราก็ถามไถ่เรื่องชีวิตทั่วไปของกันและกัน จนกระทั่งเขามองเห็นกล่องของขวัญจากอุเมวากะคุงที่ฉันถืออยู่
“เมื่อกี้กำลังจะเอานี่ไปเก็บหรอ ขอโทษที่เรียกเธอเอาไว้ ถ้างั้นเราเดินไปคุยไปดีมั้ย จะได้ไม่มีใครมาเรียกเธอเอาไว้ด้วยอีก”
ฉันพยักหน้าตกลง แล้วเราก็เดินคุยกันจนถึงห้องพักมิซึซากิคุงถึงแยกจากไป หลังจากเข้ามหาลัยเขาก็ยังสั่งชอบของจากทีวีไดเร็กอยู่เหมือนเดิม สมกับที่เป็นสหายทีวีไดเร็ก! ที่คุยกันเมื่อกี้เขาบอกว่ามีของชิ้นนึงฉันน่าจะสนใจ เดี๋ยวจะเมลรายละเอียดมาให้ดู น่าตื่นเต้นจัง!
เมื่อเข้าไปในห้องพักฉันวางกล่องของขวัญจากอุเมวากะคุงไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งและทิ้งตัวลงกับโซฟา ยังไม่ได้ไปหายูกิโนะคุงเลยนี่นา เทวดาน้อยบอกว่าขอร้องท่านแม่ว่าจะมางานเลี้ยงวันเกิดฉันให้ได้ถึงแม้จะเลิกงานดึกก็ตาม แหม~ น่ารักชะมัดเลย แต่เด็ก ๆ ไม่ควรนอนดึกนะยูกิโนะคุง
หลังจากพักจนหายเมื่อยฉันจึงลุกไปเติมเครื่องสำอางที่เลือนไปและน้ำหอมเพื่อออกไปตามหายูกิโนะคุงในงานเลี้ยง ซึ่งแปปเดียวก็หาเจอ จะเรียกว่าหาเจอหรือถูกหาเจอดีล่ะคะ? ยูกิโนะคุงเป็นคนเรียกฉันก่อนนี่นา
“คุณพี่เรย์กะ!”
ยูกิโนะคุงตะโกนเรียกและวิ่งเข้ามาหา ยิ่งเวลาผ่านไปยูกิโนะคุงยิ่งเหมือนเอ็นโจ แต่นิสัยเป็นเหมือนเทวดากับจอมมาร ต่างกันคนละขั้วเลย ระหว่างที่ฉันกำลังคิดเปรียบเทียบสองพี่น้องเอ็นโจ ยูกิโนะคุงก็มองหน้าฉันแบบงง ๆ อ๊ะ เทวดาน้อยอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ จะไปคิดเกี่ยวกับเอ็นโจคนพี่ให้เสียอารมณ์ทำไมล่ะเรย์กะ!
ฉันจับมือยูกิโนะคุงไปนั่งคุยเล่นกันที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ ห่างออกมาจากในงานเล็กน้อยเพื่อที่จะได้พูดคุยกันได้สะดวก เพราะเมื่อกี้ตอนที่ฉันคุยกับยูกิโนะคุงที่โต๊ะอาหารมักจะมีคนเข้ามาทักทายฉันจนยูกิโนะคุงงอนแก้มป่องไปเลย น่ารักจริง ๆ นะ~
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน สายตาฉันก็เหลือบไปเห็นเอ็นโจกำลังเดินแยกตัวออกมาจากกลุ่มคนในงานเลี้ยง กำลังจะไปไหนกันนะ? เมื่อลองมองไปยังทางที่เขากำลังเดินไปก็พบว่าเขากำลังแยกตัวไปหาคุณยุยโกะ.. งานเลี้ยงวันเกิดของฉัน แต่ไม่มาหาเจ้าภาพ ดันไปสวีทหวานสองต่อสองกับคุณยุยโกะเนี่ยนะ..? ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านคานทองขอสาปอิตาเอ็นโจค่ะ! น่าหงุดหงิดชะมัด
“..คุณพี่เรย์กะ”
ยูกิโนะคุงสะกิดเรียกสติฉัน ลืมตัวไปเลยว่าตอนนี้เรากำลังนั่งคุยกันอยู่ เมื่อกี้คงไม่ได้ทำสีหน้าแปลก ๆ ใช่มั้ย
“ยูกิโนะคุง พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย เดี๋ยวขอกลับไปห้องพักสักแปปนะจ๊ะ”
ฉันบอกและพายูกิโนะคุงไปหาพวกมาโอะจังก่อนจะแยกตัวไปยังห้องพัก ยูกิโนะคุงคอยถามตลอดว่าเป็นอะไรมากมั้ย? ให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย? แต่ฉันก็ปฎิเสธไป ขอโทษที่ทำให้เทวดาต้องเป็นกังวลนะคะ แต่พี่ไม่เป็นอะไรหรอก แค่อยู่ ๆ รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาแค่นั้นเอง สงสัยเป็นผลจากการสาปแช่งเอ็นโจ ขอไปพักให้ใจเย็นก่อนเดี๋ยวกลับมาหานะจ๊ะ
ระหว่างทางไปห้องพักฉันพบบริกร จึงขอให้นำไวน์มาให้ฉันขวดหนึ่ง เป็นไวน์ที่ท่านพี่บอกว่าอร่อยและฉันน่าจะชอบ วันนี้อายุครบยี่สิบปีทั้งทีก็อยากลองชิมดูสักนิด ระหว่างนั่งพักในห้องเป็นโอกาสดีเลย
“ท่านนนน พี่~~~~”
เมื่อผมเข้ามาในห้องพักของน้องสาวเพราะหาตัวเธอในงานไม่เจอก็พบกับสภาพที่ เอ่อ.. แย่เอามาก ๆ ดื่มไปเท่าไหร่กันเนี่ยยัยน้องตัวดี ไม่ต้องพุ่งมากอดเลยนะ สภาพของเรย์กะตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้เธอไปดื่มกับใครเลย
“มันหนักนะ”
ผมพูดออกไปเมื่อเธอกอดผมและโถมตัวเองเข้ามาหาเต็มที่พร้อมกับหัวเราะเอะเฮะเฮะ จากนั้นจึงจัดการอุ้มยัยน้องสาวตัวดีไปนั่งบนโซฟา ในขณะที่เจ้าตัวโวยวายแบบฟังไม่ได้ศัพท์ว่า สปาตัน อะไรก็ไม่รู้
“ทำไมถึงได้เมาขนาดนี้ล่ะ หืม?”
จากที่กวาดสายตามองบนโต๊ะ ถึงจะมีขวดไวน์อยู่หลายขวดแต่ก็ผ่านการชิมไปขวดละนิดหน่อย คออ่อนเกินไปหรือเปล่าเนี่ย ผมคิดและหยิบแก้วที่เรย์กะรินค้างไว้ขึ้นมาแกว่งดู
“เอ๋~ เมาอะไรกันคะท่านพี่~~ ยังไม่เมาสักหน่อย ยังอยากลองชิมไวน์อีกหลาย ๆ ตัวอยู่เลย เอาแก้วคืนมาน้าาาาาา”
ในขณะที่ตีกับเรย์กะที่กำลังเมาจนไม่เหลือมาดของคุณหนูตระกูลคิโชวอิน อิมาริก็โทรเข้ามาหาผม เพราะวันนี้ยังไม่ได้เจอเรย์กะเลย จะปล่อยให้มาเจอสภาพนี้ก็ไม่ได้ด้วย แต่จะบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวดื่มไวน์ไปแล้วกำลังเมาไม่รู้เรื่องก็กลัวว่าจะเป็นปัญหาในอนาคตอีก คงต้องทิ้งยัยน้องสาวเอาไว้คนเดียวก่อน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก เพราะยังไงที่นี่ก็โรงแรมเครือคาบุรากิ
“เรย์กะ เดี๋ยวพี่กลับมานะ”
ท่านพี่บอกไว้แบบนั้นแต่ยังไม่กลับมาสักที ผ่านไปตั้งนานแล้วนะ อ๊ะ เข็มนาฬิกากำลังเต้นระบำอยู่ด้วย ว้าวว~
ด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์จากไวน์ หนึ่ง.. เก้า.. สี่.. เจ็ด.. เอ่อ แปดแก้วมั้ง ที่ฉันดื่มเข้าไป ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะรู้เรื่องแต่ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ท่านพี่~ เมื่อไหร่จะกลับมาอ่าาาา
แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ฉันรีบวิ่งไปเปิดประตูแล้วโผกอดผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว อ้าว ท่านพี่ไปฉีดน้ำหอมมาใหม่หรอค้า เมื่อกี้เป็นคนละกลิ่นนี่นา ฉันซุกหน้าไปที่แผงอกของอีกฝ่ายเพื่อดมกลิ่นน้ำหอม แต่กลิ่นนี้คุ้นจัง เหมือนเทียนที่ห้องเลย อ๋าา ท่านพี่ซื้อน้ำหอมกลิ่นเดียวกับเทียนที่ห้องของน้องหรอ~~
“ค..คุณคิโชวอิน...? ปล่อยผมก่อนเถอะครับ”
ผม เอ็นโจ ชูสุเกะ ผู้ที่ถูกกอดกระทันหันรู้สึกทำตัวไม่ถูก ผมมาที่ห้องพักของเรย์กะเพราะได้ยินมาจากน้องชายว่าเรย์กะเห็นตัวผมไปหายุยโกะระหว่างงานเลี้ยงเลยกลับมาที่ห้องพัก ด้วยความที่ไม่อยากถูกเข้าใจผิดจึงได้มาหาเธอที่นี่ แต่กลับพบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด
“ไม่ปล่อย! เดี๋ยวก็หายไปไหนอีกนี่นาา”
หายไปไหนอีก..? เธอหมายถึงที่หายไปหายุยโกะหรอ?
“ผมไม่หายไปไหนหรอกครับคุณคิโชวอิน”
ผมบอกพลางเหลียวมองซ้ายมองขวา หากมีคนมาเห็นตอนนี้ต้องเกิดข่าวลือแปลก ๆ แน่เลย สำหรับผมไม่เป็นอะไรหรอก แต่สำหรับเรย์กะคงไม่ดีแน่
“เรย์กะ เรียกเรย์กะสิค้า ทำไมถึงเรียกห่างเหินแบบนั้นกันอ่าา”
แย่แล้วสิ ดูเหมือนกำลังถูกเรย์กะเข้าใจผิดว่าเป็นคุณทาคาเทรุอยู่เลย จะให้เรียกชื่อตัวมันก็ออกจะลำบากอยู่นะ ถึงแม้จะอยากลองเรียกกับเจ้าตัวมาตั้งนานแล้วก็ตาม
“คุณคิโชวอิน ตอนนี้คุณเมาอยู่ใช่มั้ย”
คงเป็นคำถามที่โง่ไปสักนิด ถ้าเป็นปกติเรย์กะไม่มีทางเข้ามากอดผมอยู่แล้ว เธอคนนี้มีแต่ถอยหนีผมตลอดเวลา ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ และผมเองก็ไม่สามารถเข้าใกล้เธอได้เพราะเรื่องของยุยโกะ.. แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว
“เรย์กะ”
เธอพูดขึ้นมาโดยไม่ตอบคำถามของผม เมื่อไม่มีทางเลือกจึงต้องทำตามสิ่งที่คุณกระต่ายน้อยผู้ที่ตอนนี้ไม่ขดกลัวแต่กลับมาขัดผมต้องการ
“ก็ได้ เรย์กะ ปล่อยผมก่อนนะ”
ว่าแล้วเรย์กะก็ผละออกแต่โดยดี แต่หลังจากปล่อยอ้อมกอดออกเธอก็ยืนเซพิงประตู อย่าว่าแต่ให้เธอเดินไปที่โซฟากลางห้องเลย แค่ทรงตัวให้อยู่เธอยังทำไม่ได้ ผมจึงถอดเสื้อสูทของตัวเองออกเพื่อห่อตัวเธอเอาไว้ และช้อนตัวเธอขึ้นในท่าอุ้มเจ้าสาว เพื่อจะพาไปนอนพักบนโซฟาภายในห้อง
“เหมือนในโชโจมังงะเลย อุฮุฮุ~”
เรย์กะในอ้อมอกของผมพูดขึ้นและหัวเราะเสียงแปลก ๆ สร้างความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อกว่าร้อยตัวบินอยู่ภายในท้องของผม อันตรายเกินไปแล้ว..
หลังจากฉันถูกวางลงบนโซฟา และอีกฝ่ายบ่นพึมพำเกี่ยวกับไวน์บนโต๊ะ ฉันก็ชี้ไปที่ไวน์ขวดหนึ่งบนโต๊ะที่คิดว่าชิมแล้วชอบมากที่สุด
“อันนั้นอันดับหนึ่ง~”
“วันนี้วันเกิดทั้งทีก็เลยอยากลองดื่มไวน์ที่ท่านพี่แนะนำนี่นา แล้วก็..”
ฉันพูดตามที่คิดไปเรื่อย แต่เมื่อนึกถึงภาพแผ่นหลังของเอ็นโจที่เดินไปหาคุณยุยโกะ น้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาจากตา
“...วันนี้วันเกิดของฉันแท้ ๆ...”
ผมปลอบเรย์กะที่อยู่ ๆ ก็ร้องไห้ออกมาจนเธอหลับไป ดูเหมือนจะคิดมากกับอะไรไม่เข้าท่าอยู่จริง ๆ ด้วยสินะคุณกระต่ายน้อย ผมนั่งยอง ๆ อยู่ข้างโซฟามองใบหน้าของหญิงสาวที่ตัวเองรู้จักมาตั้งแต่สมัยเด็ก นี่เป็นครั้งแรกที่สามารถเข้าถึงตัวเธอได้มากขนาดนี้ ถือว่าเป็นการฉวยโอกาสกับคนเมาหรือเปล่านะ
ใบหน้าของเธอในยามหลับสงบนิ่ง ช่างน่ารักเหลือเกิน ถึงแม้ตาจะบวมแดงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ารักของเธอน้อยลง ระหว่างที่ปาดคราบน้ำตาที่หางตาของเธอออกอย่างแผ่วเบา เรย์กะก็พึมพำชื่อผมออกมาเบา ๆ
“เอ็นโจ...”
ใจผมเต้นโครมคราม ตอนนี้เธอกำลังฝันถึงผมอยู่หรอ ความรู้สึกตื่นเต้นที่มาแบบไม่คาดคิดทำให้ผมผละมือออกจากใบหน้าของเธอ และหยุดนิ่ง เพื่อรอฟังว่าเธอจะพูดอะไรออกมาอีก
“............แย่ที่สุด”
เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็หัวเราะออกมา น่ารักจริง ๆ เลยนะเรย์กะ ผมเอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มจากใจจริง
“สุขสันต์วันเกิด เรย์กะ”
เมื่อฉันตื่นมาอีกทีก็พบว่างานเลี้ยงเลิกไปแล้วค่ะ ท่านพี่ที่นั่งเฝ้าฉันอยู่ในห้องบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็ดุเรื่องที่ฉันดื่มจนเมาไม่รู้เรื่อง ขอโทษค่า.. เมื่อท่านพี่เห็นว่าฉันมีสติครบสมบูรณ์ดีจึงขอตัวไปนอนพักที่อีกห้องนึง เพราะตอนนี้เป็นเวลากว่าตีสองแล้ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฉันสงสัยคือเสื้อสูทที่คลุมตัวฉันอยู่มาจากไหน เพราะเสื้อตัวนี้ไม่ใช่ของท่านพี่ พอถามท่านพี่ไปก็ทำหน้ายักษ์บอกว่าให้รีบเอาไปทิ้งเลย แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าหงุดหงิด
หลังจากท่านพี่ออกไปฉันคลี่เสื้อสูทขึ้นมาดูอีกทีก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคย และเรื่องราวก่อนที่ฉันจะหลับไปก็ลอยขึ้นมาเป็นฉาก ๆ.. เหมือนกับตอนระลึกชาติว่าตัวเองมาเกิดในโลกคิมิดอลเลยนะ ฉันใช้ชีวิตอย่างดีทำให้ตระกูลไม่ต้องล่มสลาย คาบุรากิก็เลิฟ ๆ กับวาคาบะจัง ถึงจะผิดแผนไปบ้างที่ฉันดันสนิทกับเจ้าชายและจักรพรรดิทั้งที่อยากหลีกเลี่ยงแท้ ๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น คิโชวอิน เรย์กะ เมาแล้วก่อเรื่องค่ะ!
ฉัน-ไป-กอด-เอ็นโจ! เพราะคิดว่าเป็นท่านพี่! แล้วไหนจะ.. อ้ากกกกกกกกกกกกกก!!
น่าอับอายที่สุด! น่าอับอายที่สุด! น่าอับอายที่สุด!!
เมื่อโวยวายกับตัวเองและหมอนภายในห้องพักเสร็จฉันก็ออกไปด้านนอกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ และม้วนเสื้อสูทกอดเอาไว้เพื่อจะได้นำไปส่งซักก่อนนำไปคืนเจ้าของอีกด้วย โรงแรมตอนกลางคืนค่อนข้างเงียบสงบ สวนที่ประดับไฟสวยงามชวนให้ผ่อนคลาย ฉันจึงเดินหามุมดี ๆ เพื่อนั่งรับลมก่อนนำเสื้อไปส่งซัก
สายลมเอื่อย ๆ และเย็นสบายพัดเข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้ฉันลืมเรื่องวุ่นวายที่ตัวเองก่อนไว้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น ขณะเงยหน้ามองหาดวงดาวที่ลอยอยู่บนฟ้าสายลมก็พัดแรงขึ้นจนผมปรกหน้าฉันไปหมด
“หนาวจัง..”
ฉันพูดแล้วจัดผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง ทันใดนั้นก็มีคนเรียกชื่อฉันขึ้นมา
“เรย์กะ?”
แล้วดันเป็นคนที่ฉันไม่อยากเจอมากที่สุดตอนนี้อีกด้วย เอ็นโจนั่นเอง
“มาอยู่ตรงนี้ไม่หนาวหรอ”
เอ็นโจพูดพลางมองไหล่ที่เปล่าเปลือยของฉัน และเข้ามาหยิบเสื้อของตัวเองขึ้นมาคลุมไหล่ให้ ทำเอาฉันเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่งเพราะระยะห่างที่สั้นมาก กลิ่นที่คุ้นเคยจากตัวเขายิ่งตอกย้ำภาพความทรงจำน่าอายว่าฉันพุ่งไปกอดเขาอย่างแนบแน่นแบบไหน
“อ..เอ่อ.. แล้วท่านเอ็นโจมาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรอคะ”
เสียงฉันสั่นเครือเล็กน้อยจากความเขินอาย เขาไม่ตอบ แต่กลับยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เรย์กะไม่เรียกผมว่าชูสุเกะแล้วหรอครับ”
หา....? ฉันถึงขนาดเรียกเขาด้วยชื่อตัวเลยหรอ ไม่ใช่ว่า เอ๊ะ แล้วทำไมถึง เอ๊ะ..?
ระหว่างที่ฉันกำลังสับสนอยู่ เอ็นโจก็นั่งลงข้าง ๆ และจ้องมองฉันอย่างรื่นเริง
“ยังไงกันนะ~”
ไอหมอนี่
“แล้วไม่ต้องไปคอยดูแลคุณยุยโกะหรอคะ”
ฉันเปลี่ยนประเด็น ปล่อยผู้หญิงบอบบางปลิวลมของนายไปไหนแล้วล่ะ ถึงได้เที่ยวมาเดินเล่นในโรงแรมดึก ๆ ดื่น ๆ คนเดียวแบบนี้
“เรย์กะตรงเข้าประเด็นเลยหรอ ยุยโกะกลับบ้านใหญ่ไปตั้งแต่สามทุ่มแล้ว”
เอ็นโจตอบกลับมาแบบสบาย ๆ แถมยังเรียกชื่อตัวฉันอย่างสบาย ๆ อีกด้วย
“ท่านเอ็นโจไม่กลับไปด้วยหรอคะ”
ฉันถามกลับไป
“ฟังดูห่างเหินจังเลยนะ ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องคอยดูแลเขาแล้วครับ”
....นายต่างหากที่ทำตัวใกล้ชิดเกิน แต่หมายความว่ายังไงกันนะที่ว่าไม่ต้องคอยดูแลแล้ว ก็ไหนเป็นว่าที่คู่หมั้น..
“ออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว เรย์กะ”
เอ็นโจหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดไม่เบา แต่เพราะตอบกลับไม่ได้ฉันจึงได้แต่มองเขาหัวเราะอยู่แบบนั้น จนกระทั่งเขาหยุดหัวเราะไปเองและเงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้า
“ก็แค่.. กระต่ายนำโชคล่ะมั้ง...”
เขาพึมพำออกมาเบา ๆ ตานี่พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง ฉันขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเอ็นโจจึงเงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นเดียวกันกับเขา
“พระจันทร์สวยจังเลยเนอะ”
ผมเอ่ยขึ้นหลังจากก้อนเมฆที่เมื่อครู่บดบังดวงจันทร์อยู่ค่อย ๆ เคลื่อนออกเผยให้เห็นพระจันทร์เต็มดวง
“อือ”
เรย์กะส่งเสียงในลำคอกลับมาเป็นเชิงเห็นด้วย บนพระจันทร์เต็มดวงสีเหลืองนวลก็มีลายคล้ายกับกระต่าย.. ดูท่าว่าวันนี้ผมจะมีโชคดีสูงล่ะ
“เรย์กะ”
ผมหันไปและเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงจริงจังหลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่
“คะ?”
เมื่อเรย์กะหันหน้ามา แววตาของเธอแสดงความสงสัยออกมาเต็มที่ เป็นคนที่อ่านออกง่ายเหมือนเคยเลยนะครับ คุณกระต่ายน้อย
ไม่รู้ว่าผมเผลอจ้องตาเธอนานไปหรือเปล่า แต่ตอนนี้ความมั่นใจของผมเริ่มจะสั่นคลอนแล้ว หัวใจก็เต้นแรงขึ้น หวังว่าเรย์กะจะไม่ทันรู้สึกตัวนะ
ผม เอ็นโจ ชูสุเกะ ไม่ว่าอะไรก็เฝ้าสังเกตและทำอย่างรอบคอบเสมอ ซึ่งผลลัพธ์ก็มักจะเป็นไปตามที่ต้องการ แต่บางครั้งก็ไม่ใช่กับผู้หญิงคนนี้ ในทีแรกผมคิดว่า คิโชวอิน เรย์กะ ก็เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป แต่เธอเป็นคนที่มีเรื่องคาดไม่ถึงอยู่เสมอ และเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกเมื่อเฝ้ามอง รู้ตัวอีกทีก็หลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว แต่การพยายามเข้าใกล้เธอไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะทุกครั้งที่ผมก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว เธอก็จะถอยหลังไปสามก้าว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมาป่าที่กำลังเข้าหากระต่ายเลย เธอรู้ตัวมั้ย ว่าตัวเองเหมือนกระต่ายน้อยขนาดไหน ทั้งความน่ารักและความขี้ระแวง
ในที่สุดวันนี้โอกาสก็มาถึงแล้ว ผมจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปแน่นอน เพราะไม่รู้ว่าช่วงเวลาและบรรยากาศที่เป็นใจแบบนี้จะมาถึงอีกทีเมื่อไหร่ และผมไม่อยากรอนานกว่านี้อีกแล้ว ต้องพูดออกไปให้ได้ ถ้อยคำที่เก็บเอาไว้ในใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงคนสำคัญของผม.. ถึงคุณกระต่ายน้อยของผม...
เมื่อรวบรวมความกล้าของตัวเองเสร็จ ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดและเปล่งเสียงดังชัดเจนออกไป
“ผมชอบคุณ”
..และปฏิกิริยาของเธอช่างน่ารักจริง ๆ
_______
>>972-976 ขอบคุณสำหรับฟิคค่ะ น่ารักมาก นุ้งต่ายกับหมาป่า แต่จริงๆกูว่าเอ็นโจน่าจะเป็นจิ้งจอกมากกว่า เพราะสีผม(?) 5555555555
จะว่าไปเรื่องนี้ไม่เคยมีวันเกิดตัวละครหลักเลยนี่หว่า มีแต่วันเกิดของตัวละครรองๆแบบน้องมาโอะกับยูกิโนะ ส่วนแก๊งค์สามช่านี่ลึกลับจริงๆ วันเกิดยังไม่หลุดมาซักแอะ
ขอบคุณสำหรับฟิคมากๆเลยค่ะะะ //ไหว้
แปะฟิคอวยพรปีใหม่ให้ชาวโม่งค่ะ ถึงจะเลทๆไปบ้าง(?) แต่ก็อยากอวยพรค่ะ
กาลครั้งหนึ่งในฝัน ตอนพิเศษ 2.2
ความเดิมตอนที่แล้ว >>>/webnovel/6114/507-511
---------------------------
รู้สึกอึดอัดจัง จะคุยอะไรดีนะ…
ฉันลอบมองใบหน้าด้านข้างของเอ็นโจที่ขึ้นสีแดงระเรื่อจากเรื่องเมื่อครู่นี้ ก็เข้าใจอยู่นะว่ามันน่าอาย แต่เป็นแฟนกันมาตั้งหลายปีมันก็ต้องมีคุยๆเรื่องแบบนั้นกันบ้างล่ะเนอะ
“...ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ”
“อื๋อ”
“ฉันหมายถึง...เอ่อ…”
“อ๋อ” เอ็นโจไม่สบตาฉัน เอาแต่มองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ก็ขับรถอยู่นี่นะ “ก็ตั้งแต่ได้กลิ่นน้ำหอมของคุณตอนมาควงแขนผมที่บ้านคิโชวอิน แล้วพอคุณถอดเสื้อคลุมในร้านอาหาร ผมก็…”
“เอ๋”
การแต่งตัวแบบเซ็กซี่แล้วยั่วยวนนี่ได้ผลจริงๆด้วยแฮะ นึกว่าไม่มีปฏิกริยาอะไรเลยซะอีก ที่ไหนได้...ดันเป็นเอามากสุดๆ แบบนี้ถือว่าไม่เสียแรงเปล่านะเนี่ย
แต่ฉันได้ยินมาว่าผู้ชายถ้ามีอารมณ์แต่ไม่ได้ทำมันจะทรมานมากๆเลยนี่นะ จะไหวแน่เหรอ
เหมือนเอ็นโจจะรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่เพราะหันมายิ้มให้
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวมันก็หาย”
พอฉันมองจ้องแบบจะหาคำตอบที่แท้จริง เอ็นโจก็หัวเราะ
“ก็ใช่ว่าไม่อยากจะทำนะ แต่ผมสัญญาไว้กับคุณแล้วว่าให้มีตอนหลังแต่งงาน ก็ไม่อยากจะผิดสัญญาน่ะ”
เอาจริงดิ เคร่งครัดขนาดนั้นเลยเหรอ
ก็ปลื้มอยู่เหมือนกันอะนะที่เอ็นโจรักษาสัญญา แต่ก็กลัวด้วยว่าถ้าเกิดวันหนึ่งหมอนี่ทนไม่ไหว เลี้ยวลงข้างทางไปกับผู้หญิงอื่นจะทำยังไงดีล่ะ ยิ่งเนื้อหอมอยู่ด้วย
หรือจะขอแต่งงานตอนนี้เลยดีมั้ยนะ ถ้าเอ็นโจไม่ขอ ฉันขอเองก็ได้ วัดใจกันไปเลยว่าจะหน้าแตกกลับมามั้ย
ฉันรวบรวมความกล้าได้ในที่สุด
“แล้ว...ท่านเอ็นโจจะแต่งงานกับฉันมั้ยคะ”
“อื๋อ อะไรนะ” เอ็นโจหันหน้ามามอง ท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อหู
“ฉันถามว่าท่านเอ็นโจจะแต่งงานกับฉันมั้ยคะ”
“นี่กำลังขอผมแต่งงานเหรอ”
“ใช่ค่ะ” ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ก็ต้องไปต่อให้สุดทางกันล่ะ “หรือไม่ตกลงเพราะอยากจะแต่งกับคนอื่นแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมแค่...เอ่อ ตั้งตัวไม่ทันน่ะ” เอ็นโจยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง “อีกอย่าง...มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ”
“ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ที่ว่านี่คือยังไงคะ”
“ผมควรจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่า”
ฉันจ้องหน้าเอ็นโจเป็นเชิงประมาณว่า แล้วทำไมไม่พูดล่ะยะ หมอนั่นก็ส่งยิ้มแปลกๆให้ จอดรถเข้ากับข้างทางอีกหนเพื่อจะคุยกัน
“ผมไม่อยากจะขอคุณแต่งงานทั้งๆที่ผม....เอ่อ…อยู่อย่างนี้” เอ็นโจเสยผมขึ้น ยิ้มขื่นๆ “มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเลวที่เอาแต่คิดเรื่องสกปรกโสมมกับนางฟ้าแบบคุณ ผมพยายามห้ามตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้”
ว้าย ตายแล้ว นี่มองฉันสูงส่งขนาดนั้นเชียวเรอะ โฮ่โฮ่
แต่เห็นเอ็นโจมาสารภาพความผิดด้วยท่าทางจ๋อยๆหมดท่า หูเหอนี่แดงก่ำไปหมด ก็รู้สึกว่าอีตานี่ก็น่ารักไม่หยอกแฮะ
แล้วน่ารักแบบนี้ ฉันจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไงกันล่ะ
“อีกอย่าง การขอแต่งงานมันควรจะบริสุทธิ์ โรแมนติคและเป็นความทรงจำที่ดีกว่านี้สิ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนที่ผมกำลัง...”
คำพูดนั้นขาดหายไปเมื่อฉันจับประคองใบหน้าเอ็นโจไว้แล้วกดริมฝีปากลงไปบนปาก ฉันกดจูบค้างไว้พักหนึ่งแล้วค่อยๆเลื่อนใบหน้าออก ส่งยิ้มให้เอ็นโจที่ตัวแข็งทื่อเหมือนจะจับต้นชนปลายไม่ถูก
“แค่ตอบได้หรือไม่ก็พอแล้วล่ะค่ะ” มือฉันยังคงจับใบหน้าเอ็นโจไว้อยู่ “แต่งงานกับฉันนะคะ”
“คุณคิโชวอิน…” แววตาของเอ็นโจที่ฉันมองเห็นดูสั่นไหว น้ำเสียงแหบพร่า “...ถ้ายังอยากให้ผมรักษาสัญญาอยู่ก็อย่าทำแบบนี้”
ฉันไม่ได้ฟังคำพูดนั้น แต่จูบไปตามแนวกรามไปจนถึงต้นคอ ขบกัดเบาๆทิ้งรอยฟันจางๆเอาไว้ ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพุ่งขึ้นรุนแรงจนฉันระงับไว้ไม่อยู่
อยากได้ อยากได้ทั้งหมด แค่นี้มันไม่พอ
“เป็นของฉันนะคะ”
เพราะไวน์รึเปล่านะฉันถึงใจกล้าได้ขนาดนี้
จ้องตากันไปพักหนึ่ง เอ็นโจก็โน้มตัวเข้าหา จูบหนักหน่วงเหมือนจะตอบรับคำขอ ฉันหลับตาลงปล่อยใจให้เคลิ้มไปกับสัมผัสที่วาบหวาม
“ไม่เห็นต้องถามเลย”
เสียงกระซิบของเอ็นโจอยู่แนบชิดกับริมฝีปากฉัน
“ผมก็เป็นของคุณตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”
.
.
.
.
พอเข้ามาในห้องและปิดประตูล็อคเรียบร้อย คนที่จูงมือฉันอย่างสงบเสงี่ยมมาตลอดทางก็แปลงร่างเป็นหมาป่าในทันควัน จับฉันกินแบบที่ยังไม่ทันจะถอดรองเท้าออกด้วยซ้ำ
ฉันถูกจับติดตรึงกับผนัง เสื้อคลุมขนเฟอร์หล่นลงไปกองที่พื้นแบบไม่สนมูลค่าแสนแพงของมัน ปากของเอ็นโจจูบไปทั่วเท่าที่จะสัมผัสได้ อ้อยอิ่งอยู่บริเวณต้นคอ ขบกัดเบาๆทิ้งรอยฟันจางๆเอาไว้เหมือนตอนที่ฉันทำบนรถ
“อย่าทิ้งรอยสิคะ” ฉันทำปากยื่น “ชุดนี้มันไม่ได้ปิดมิดชิดนักหรอกนะ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมซื้อชุดใหม่ให้”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นซักหน่อยนะคะ”
“ปัญหาอยู่ตรงชุดนี่ล่ะ”
“ชุดนี้ไม่ดีตรงไหนคะ” ฉันเลียนแบบรอยยิ้มดำมืดของเจ้าตัว จงใจลากฝ่ามือจากบริเวณหน้าอกไปถึงท้องน้อยของเอ็นโจแล้วหยุดแค่นั้น “ออกจะทำให้ท่านเอ็นโจเป็นได้ถึงขนาดนี้”
“....”
เอ็นโจนิ่งค้างไป ฉันเลยถือโอกาสผละตัวออก เดินนวยนาดเข้าไปด้านในแบบไม่ต้องใช้คนนำทางเพราะเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว
อึก...ขาเอ๋ย อย่าสั่นนะ
ถึงจะวางท่าเป็นสาวเซ็กซี่ขี้เล่นขนาดไหน แต่ใจฉันก็ยังเป็นสามัญชนกระจิบกระจ้อยอยู่ดี อายจะแย่อยู่แล้ว ฮึ่ย!! ห้ามสบตาตอนนี้เด็ดขาดเลยนะ เดี๋ยวโดนมองออกว่าดีแต่ท่า
เอ็นโจเดินตามหลังฉันมา ช้อนตัวฉันขึ้นอุ้มไปที่โซฟาแล้ววางลงอย่างนุ่มนวล ส่วนตัวเองก็ถอดเสื้อสูทตัวนอก โยนไปไว้ที่โซฟาตัวอื่นพร้อมกับปลดเนคไทไปด้วย
โอ้ว!? คุณพระคุณเจ้า...จะเริ่มกันตรงนี้เลยเหรอ
ฉันเคยอ่านประสบการณ์อะไรทำนองนี้ในอินเตอร์เนต ครั้งแรกของใครหลายคนก็เริ่มที่โซฟาเหมือนกัน
ตัวฉันที่มีประสบการณ์แบบผู้ใหญ่ในระดับเบสิค ถึงแม้จะเคยมีจูบที่วาบหวามร้อนแรงขนาดไหน แต่ก็ยังไม่เคยข้ามขั้นไประดับแอดวานซ์เลยซักครั้ง เมื่อกี้ก็ทำเอาหัวใจจะหลุดออกมาข้างนอกอยู่แล้ว
เอาไงดี จะวางท่าเป็นนางพญาคุมเกมต่อไปหรือจะยอมๆให้ผู้เชี่ยวชาญแนะแนวไปเลยดีกว่ากันนะ
ขณะที่กำลังคิดสะระตะอยู่นั้น ก็รู้สึกถึงวงแขนที่กอดรัดจากทางด้านหลัง เอ็นโจเอาคางเกยบ่าฉัน
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“งั้นเหรอ” เสียงนุ่มทุ้มชวนให้ละลายดังอยู่ข้างหูพาเอาใจสั่นไปหมด “แต่ผมคิดนะ”
“อื๋อ…”
“คิดว่าจะทำยังไงถึงจะถอดชุดนี่ออกจากตัวคุณให้เร็วที่สุดดี คิดมาตั้งแต่อยู่ที่ร้านอาหารเลยล่ะ”
ฉันสะดุ้งเฮือก สองข้างแก้มรู้สึกร้อนผ่าว พอหันไปสบตากับเอ็นโจก็ต้องรีบเบนสายตาหนีออกไปมองอย่างอื่นทันควัน
ฮึก...อย่ามองกันด้วยสายตาแบบนั้นสิ ฉันทำอะไรไม่ถูกแล้ว
แล้วรู้สึกว่าจะเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนนี่นะ
จำได้ว่ามันเป็นคืนปีใหม่ของปีที่แล้ว ฉันกับเอ็นโจนั่งดื่มไวน์กันบนเตียง Day Bed อันหนานุ่มที่ระเบียงของเพนเฮาส์ ดูดอกไม้ไฟฉลองข้ามปีด้วยกันสองคน ฉันกำลังเคลิ้มๆกับบรรยากาศไม่ทันรู้ตัวเลยว่าถูกมองอยู่ พอหันไปก็เจอสายตาที่มองมาเหมือนจะกลืนกินกันทั้งตัว
ยังไม่ทันจะพูดอะไร เอ็นโจก็ยิ้มหวานหยดก่อนจะประทับริมฝีปากลงมา
มันก็เหมือนการจูบกันในทุกๆครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่ามันต่างออกไป มันร้อนแรงกว่า ดูเต็มไปด้วยความปรารถนา กึ่งบังคับแต่ก็เว้าวอนในคราวเดียวกัน ปลายลิ้นที่สอดเข้ามาแตะกับลิ้นของฉันเหมือนจะสูบกลืนเอาเรี่ยวแรงกับสติสัมปะชัญญะไปจนหมด
กว่าที่ริมฝีปากนั่นจะผละออกไปได้ ฉันก็ได้แต่นั่งซุกอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย อาจจะเป็นเพราะแอลกอฮอลล์ที่อยู่ในไวน์แดงหรืออะไรก็ตาม ฉันนึกไม่ออกเลยสักนิดว่าควรจะทำอะไรต่อไป
เอ็นโจยกร่างฉันให้นั่งลงบนตักแล้วเริ่มลูบไล้ไปตามร่างกาย ใบหน้าซุกไซ้ไปตามต้นคอ พรมจูบลงมาเรื่อยๆตามแนวกระดูกไหปลาร้า ฝ่ามือขยับยุกยิกแถวๆหลัง สอดมือเข้ามาในเสื้อแล้วปลดตะขอบราฉันออกแบบง่ายดาย
ฉันเพิ่งจะรู้ตัวว่ามือของหมอนั่นอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่ มันกำลังสอดเข้ามาใต้กระโปรง ฝ่ามือที่ร้อนผ่าวสัมผัสบริเวณต้นขาออกจะทำให้ร่างกายรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด
แต่เมื่อปลายนิ้วนั่นกำลังเกี่ยวกางเกงในฉันลงมา ฉันก็หวีดร้องเบาๆแล้วผลักเอ็นโจออกไป
“เอ่อ...คือ…”
“ผมทำตัวรุ่มร่ามไปหน่อย” เอ็นโจยิ้มฝืดๆให้ฉัน “ขอโทษด้วยนะ”
“คือ...ฉันไม่ได้…”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ”
ทุกอย่างเข้าสู่ความเงียบสงัด ดอกไม้ไฟเองก็จุดเสร็จไปเรียบร้อย และก้าวเข้าสู่วันปีใหม่มาได้หลายสิบนาทีแล้ว เอ็นโจเงียบไปตลอดทางที่พาฉันกลับไปส่งที่บ้าน ดูซึมไปอย่างเห็นได้ชัด
แล้วสองวันต่อมา เอ็นโจก็บินไปอังกฤษทันทีเลยนี่นะ ...โดนงอนเข้าเต็มๆเลยล่ะ กว่าจะง้อได้สำเร็จก็แทบแย่
ถ้าเกิดฉันผลักตานี่ออกไปแบบวันนั้นอีกล่ะก็ ต้องได้ทะเลาะกันแหงๆ บรรยากาศดีๆก็ไม่ควรจะรื้อฟื้นเรื่องแย่ๆใช่มั้ยนะ
“จะว่าไป ผมสงสัยมานานแล้ว” เอ็นโจพูดงึมงำอยู่กับแผ่นหลังของฉัน “ชุดแบบนี้เขาใส่บรากันยังไงน่ะ”
“แหม มันก็มีบราหลายแบบนะคะ”
ว่าแล้วฉันก็เลคเชอร์นิดหน่อยเกี่ยวกับชุดชั้นในของผู้หญิงเวลาที่ต้องใส่ชุดเปิดหลัง คำพูดฉันจะเข้าหูหมอนี่รึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะมือที่ลูบขาฉันอยู่เริ่มดีดสายรั้งถุงน่องฉันเล่นเข้าให้แบบเบาๆ
“อื๋อ แล้ว...คุณใส่แบบไหนอยู่เหรอ” เอ็นโจถามด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะใสซื่อ “ขอผมดูหน่อยได้มั้ย”
“คงให้ดูไม่ได้ เพราะไม่ได้ใส่ค่ะ”
ฉันแกล้งทำเป็นเล่นลิ้น รู้สึกได้ว่าร่างที่อยู่ด้านหลังเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย
“นี่คุณออกไปข้างนอกโดยที่ไม่ได้ใส่บราอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงของเอ็นโจเข้มขึ้นมากระทันหัน
ฉันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าด้วยรอยยิ้มสบายๆ
“โอ๊ะ ขอโทษที ฉันลืมบอกไปว่ามันมีชุดที่บุฟองน้ำเป็นบราในตัวด้วย ชุดนี้ก็เป็นแบบนั้นล่ะค่ะ”
เอ็นโจนิ่งอึ้งไปเป็นรอบที่สอง
เป็นไงล่ะ บอกแล้วว่าคืนนี้ฉันเป็นฝ่ายคุมเกม นายน่ะอยู่นิ่งๆคอยฟังคำสั่งราชินีไปเถอะ
“คุณปั่นหัวผมเก่งขึ้นนะ”
“เอาคืนจากสมัยเรียนที่ท่านเอ็นโจปั่นหัวฉันยังไงล่ะคะ”
โหมดสาวเซ็กซี่ขี้เล่นยังคงทำงานอยู่ ฉันเลยตอบกลับไปแบบนั้น ทั้งที่ในใจตื่นเต้นจนมือไม้เย็นเฉียบไปหมดแล้ว อ๊ะ!! มีเหงื่อออกฝ่ามือด้วย
ฉันแอบเช็ดเหงื่อที่มือเข้ากับกระโปรงแบบเนียนๆ
“ผมไม่เคยทำแบบนั้นซักหน่อย” เอ็นโจทำเสียงงุ้งงิ้ง ...คิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่แล้วยะ ไม่ได้น่ารักเลยซักนิด “ผมออกจะเป็นเด็กดีกับคุณ”
“ไม่จริงเลยซักนิดค่ะ”
“เหรอ” เอ็นโจยิ้มหวานให้ตอนจับฉันเอนลงกับเบาะโซฟา อ๊ะ!! เผลอไม่ได้เลยนะยะ
เราจูบกันอีกหน และฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะหลอมละลายกับรสจูบและอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆของเราทั้งคู่ เสื้อผ้าหลุดรุ่ยและมีบางชิ้นถูกถอดกองไว้กับพื้น
“ตรงนี้...หรือที่เตียงดี”
เอ็นโจกระซิบถามฉันข้างหู เรียกสติฉันให้กลับมาและพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพล่อแหลมได้ขนาดไหน ชุดเดรสแสนสวยอยู่ในสภาพกึ่งถอด พร้อมจะทำเรื่องแบบนั้นได้ทุกเมื่อ
อะ เอายังไงดีนะ ถ้าจะขอให้หยุดแค่นี้ต้องได้ทะเลาะกันแหงๆ แต่จะให้ไปต่อมันก็….
“เอ่อ คือ…” ฉันสอดส่ายสายตาหาตัวช่วยไปรอบๆห้อง “ฉันอยากอาบน้ำก่อนน่ะค่ะ”
“คุณยังตัวหอมอยู่เลย” เอ็นโจซุกๆหน้าไปตามต้นคอของฉัน มือยังคงลูบไล้อยู่แถวๆขา “แล้วผมก็ชอบกลิ่นคุณนะ”
“มะ ไม่ได้หรอกค่ะ…” ครั้งแรกน่ะมันสำคัญนะยะ อย่างน้อยก็อยากอาบน้ำเตรียมพร้อมก่อนมากกว่าน่ะ
เอ็นโจนิ่งไปครู่หนึ่งก็ยิ้ม ปล่อยมือออกจากตัวฉัน
“ได้สิ” หมอนั่นลุกขึ้นจากโซฟา “คุณจะใช้ห้องน้ำในห้องนอนก็ได้ เดี๋ยวผมไปอาบห้องเล็กเอง”
เอ็นโจมองฉันยิ้มๆ สายตาก็ดูกรุ้มกริ่มมีเลศนัย
“หรือจะอาบด้วยกันก็ได้นะ”
“ฉันอาบห้องเล็กดีกว่าค่ะ”
ฉันไม่รอฟังคำตอบแต่รีบเดินเข้าห้องน้ำห้องเล็กไป ไม่ต้องอาศัยใครมานำทางเพราะฉันก็มาที่นี่หลายครั้งแล้ว ในตู้เสื้อผ้าก็มีชุดเดรสของฉันอยู่ด้วยซ้ำ แล้วก็มีพวกคลีนซิ่งกับเครื่องสำอางกระจุกกระจิกที่ฉันเอามาทิ้งไว้ที่นี่อีก
จะถ่วงเวลาอาบนานๆดีมั้ยนะ….แต่ขืนทำแบบนั้นก็น่าเกลียดแย่
ฉันคิดในใจขณะเช็คหน้าสดตัวเองหลังใช้คลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางออก อืม...สมกับที่บำรุงผิวมาหลายวันแถมก่อนไปเดทก็ยังไปเข้าคอร์สนวดหน้าสปาผิว ก็เลยยังไม่ต้องใช้ท่าไม้ตายในการแต่งหน้าให้ผิวสวยเด้งเป็นธรรมชาติเหมือนไม่ได้แต่ง
ถ้าเกิดว่าหมอนั่นจูบแก้มฉันแล้วพวกคอนซีลเลอร์หรือแป้งติดปากไปจนเป็นคราบแล้วล่ะก็ ได้อับอายไปชั่วชีวิตแหงๆ
….แต่บำรุงผิวไว้หน่อยก็ดีเหมือนกัน
ในห้องน้ำมีอโรม่าออยล์กลิ่นที่ฉันชอบอยู่หลายขวด ที่จริงวันนี้ก็อยากนวดขัดผิวอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนออกจากบ้านฉันก็อาบน้ำอย่างพิถีพิถันมาแล้ว แถมตอนนี้เอ็นโจก็รออยู่ข้างนอกอีก จะปล่อยให้รอนานๆก็คงไม่ดี
เมื่อเช็ดผมด้วยผ้าขนหนูอีกผืน ฉันก็พบว่าลืมหยิบเอาชุดนอนมาด้วย ตอนนี้มีแค่เสื้อคลุมอาบน้ำเท่านั้น ถ้าใส่แค่เสื้อคลุมออกไปแต่ข้างใต้ไม่มีอะไรใส่อยู่ จะถูกมองว่าอีนี่เตรียมพร้อมเต็มที่เลยรึเปล่าน่ะ
แต่จะยัดตัวเองใส่ชุดเดิมออกไปก็ใช่ที่ แถมชุดบ้านี่ก็ใส่ยากซะด้วยสิ
โอ๊ย ไม่รู้ด้วยแล้ว
ฉันบ่นปอดแปดในใจตอนสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ มัดเชือกผูกเอวให้แน่นหนาเพราะกลัวจะไปหลุดกลางทาง ไดร์ผมเปียกๆจากการสระผมต่อ
กว่าจะเสร็จขั้นตอนก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานพอดู ฉันแอบหวังว่าเอ็นโจจะเหนื่อยจนหลับไปแล้ว แต่พอชะโงกหน้าไปดูในห้องนอนก็เห็นหมอนั่นนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง เอาหลังพิงพนักไว้
พอเอ็นโจเหลือบมาเห็นฉันก็ปิดหนังสือลง วางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ฉันไม่มีทางเลือกเลยต้องเดินเข้าไปหา พอไปถึงเอ็นโจก็จับข้อมือฉันไว้ให้นั่งข้างๆกัน
“สระผมมาเหรอ”
สมกับเป็นเอ็นโจที่สังเกตสิ่งที่เปลี่ยนแปลงบนตัวฉันได้รวดเร็วขนาดนี้ จะเป็นเพราะผมม้วนๆที่คลายตัวออกเพราะไม่ได้ม้วนโรลหลังสระ หรือจะเป็นเพราะกลิ่นแชมพูหอมๆที่ติดเส้นผมกันแน่นะ
“เอ่อ...พอดีตอนที่ฉันเอ่อ...อาเจียน แล้วกลัวว่ามันจะเลอะ ก็เลย….” ฉันรู้สึกกระดากนิดหน่อยที่ต้องพูดถึงเหตุการณ์อันน่าอับอายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า “ขอโทษที่ช้านะคะ”
แต่เอ็นโจกลับยิ้มบางๆ ปัดปอยผมที่ลงมาปรกแก้มฉันให้ทัดหู
“ผมรอได้”
ฉันสะดุ้งหน่อยๆกับแววตาที่เอ็นโจมองมาในตอนนี้ รู้สึกหน้าเห่อร้อนชอบกล กลิ่นหอมสบู่ที่เป็นกลิ่นเดียวกันก็ทำใจฉันหวิวๆ มือไม้เกะกะทำตัวไม่ถูกไปหมด
ตอนที่ฉันหลุบตามองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบตาก็ถูกดึงเข้าไปกอด
….โอ้ว จะเริ่มกันเลยเหรอ เดี๋ยวก่อนซี่ ฉันยังไม่พร้อมนะ
----------------------
ตัดฉับแบบละครไทย ต่อพาร์ทหน้า
ไหว้ล่ะจ้ะ ตัดได้ แต่ห้ามหายข้ามเดือนข้ามปีนะโม่งฟิคคคคคคค
เลิฟยู แต่งได้น่ารักชวนใจเต้น กรี๊ดดดดด
ลงแดงจากนิยายแล้วก็มาลงแดงกับฟิคต่อ ฮืออออ ได้โปรดอย่าดองนะโม่งฟิค
ยังรอตอนที่300อยู่นะค้าาาา เอื่ออออออออออออ
https://twitter.com/marudori_kenkyo/status/1349681482982309892
สมเป็นพระเอกมังงะโชโจ หล่อชิบหาย 555555555555555555555
ไหนๆก็ไหนๆ ตั้งกระทู้ใหม่เลยละกัน
ใช้ชื่อนี้นะ "ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับปีใหม่ที่ไร้ตอนต่อ ขอของขวัญเป็นตอนใหม่ด้วยเถิด สาธุ [คำอธิษฐานครั้งที่ 32]"
จากผลโหวต
เปิดวาร์ปไปกระทู้ใหม่ >>>/webnovel/12292
จากนี้เชิญวิ่งควายตามสะดวกจ้า
>>989 เออ หล่อจริง สมเป็นพระเอกการ์ตูนโชโจที่ยังไงพระเอกก็ต้องหล่อไว้ก่อน 555555555555555555
พูดถึงหน้าตา จริงๆกูแอบจิ้นเจ้าแม่ทีแรกว่านางสวยแบบร้ายๆนะ แบบเห็นหน้าก็รู้ว่าอีนี่มันตัวร้าย หน้าจิกๆเหวี่ยงๆเชิดๆ แต่พอในเรื่องบอกว่านางหน้าตาน่ารักแบบตุ๊กตาฝรั่ง ก็ดูไม่ค่อยเป็นอิมเมจนางร้ายเท่าไหร่เลยวุ้ย ส่วนเอ็นโจกูจิ้นหน้าตาแบบตัวรองที่หล่อๆหางตาตกๆหน่อย เวลาปกติออร่าจะไม่เด่นเท่าตัวหลัก แต่พอถึงคิวตัวเองมีบทก็รังสีเฉิดฉายจนรู้สึกว่าไอ้นี่มันหล่อจัง วาคาบะกูจิ้นหน้าตาน่ารักตามมาตรฐานนางเอกการ์ตูนโชโจ ส่วนอาริมะกูจิ้นหน้าตาเหมือนคาบุแค่หัวขาวเพราะไม่ติดสกรีนโทน 555555555555555555
อะ ช่วยวิ่งควาย
กุนึกว่าห้องนี้เต็มแล้วเลยไปเจิมห้องนู้นกุขอโทษ
ขอให้ท่านฮิมาต่อก่อนกูเรียนจบด้วยเถอะ สาธุ
ขอตอนใหม่ด้วยค่ะท่านฮิ
ปิดท้ายด้วยขอตอนใหม่ในปีนี้ด้วยเถอะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.