Last posted
Total of 780 posts
ในวันที่ DD เดือน XX วันนี้คนผู้หนึ่งก็ยังคงเปิดคอมเข้าอินเทอร์เน็ต ในช่องค้นหาของเขาขึ้นคำประจำที่เขามักกดเข้าไป เพียงแค่เขาเลื่อนนิ้วไปที่แถวกลางของคีย์บอร์ด นิ้วจิ้มลงที่ตัว F
'Fanboi' ชื่อของเว็บที่คนผู้นี้มักกดเข้าไปเป็นประจำ
บนโต๊ะของเขาที่นอกจากมีเครื่องคอม คีย์บอร์ด และเมาส์วางอยู่ บนนั้นก็ยังเต็มไปด้วยซองขนมมันฝรั่งทอด น้ำหวานมากมาย เขาหยิบแผ่นมันฝรั่งขึ้นมาเข้าปากหนึ่งชิ้น นิ้วเลื่อนหากระทู้ที่เขาคิดว่าจะเข้าไปอ่านได้
ครั้นพอเจอกระทู้ที่กำลังดุเดือด เขาคลิกเมาส์เข้าไปในกระทู้นั้น ตั้งหน้าตั้งตาอ่านจนตาแทบจะชิดหน้าจอคอม ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
"ได้เวลาสนุกแล้วสิ"
ในวันที่ DD เดือน XX ใครคนหนึ่งเปิดบราวเซอร์โครมขึ้นมาด้วยความเคยชิน บุ๊กมาร์กหน้าหลักของเขาปรากฏไอคอน F สีส้ม เขาเลื่อนเม้าส์คลิกทันที
'Fanboi' คือเว็บที่เขาเข้าไปส่องประจำ
บนโต๊ะของเขานอกจากมีคอมพิวเตอร์พกพา ยังมีจานใส่ส้มโอกับขวดน้ำเปล่าวางไว้หลายขวด เขาหยิบส้มโอครึ่งชิ้นใส่ปาก ดวงตาหยีลงเพราะแม่งเสือกเปรี้ยวฉิบหาย นิ้วมือเลื่อนลูกกลิ้งเมาส์ไปเรื่อยๆ
กระทั่งเจอกระทู้ที่คุ้นเคย เขาจึงกดเข้าไปในนั้น แผ่นหลังเอนหลังพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆ กวาดสายตาอ่านไปได้ไม่นานก็ถอนหายใจออกมา
“วันนี้ไม่มีดราม่ามันๆ เบย”
ขุดดดดดด
“มาอ่านไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็นที่ห้องเราไหม?” เขาเอ่ยปากชวน
“โอ้โห เดี๋ยวนี้เขาเลิกชวนไปอ่านฟ้าเดียวกัน แล้วใช้มุขนี้กันแล้วหรอ? ถ้าไปถึงแล้วมีพุทธธรรมกับอิทัปปัจจยตาเรากลับนะ” ฉันกระเซ้ากลับทีเล่นทีจริง
.
“ประเมินผมต่ำไปไหม ผมท็อปแฟนนะคุณ มีตั้งแต่สมองแห่งพุทธะ สัจธรรมแห่งจักรวาล ความลับของจักรวาลทางแห่งนิพพาน...”
ไม่ทันรอให้เขาไล่หมด ร่างกายไวกว่าความคิดเสมอ เรียวนิ้วชี้ประกบนิ้วชี้ เรียวนิ้วนางประกบนิ้วนาง ห้านิ้วประกบกันวางระหว่างคิ้ว
ยกขึ้นเหนือหัวหนึ่งทีหนึ่งที
จึงกลับมาอยู่หว่างคิ้ว
แล้วก็
สาธุ
พ่นลมหายใจเย็นในธรรม
จงใจอนุโมทนาใกล้ใบหู
ถือเป็นการบอกโดยไม่ต้องบอกว่า
ยินดียิ่งแล้ว ที่ได้พบสหายธรรมชาวสวรรค์
.
จ้องตาเขาหนึ่งหน ลึกลงไป ภาวนาให้รัฐบาลล้มภารกิจไปดวงจันทร์ แล้วส่งเสริมพุทธศาสนาที่สามารถถอดจิตไปดาวอังคารแทน ยากฉิบหาย หนังสือไอน์สไตน์พบพุทธเจ้าเห็นคงยังบอกไม่ได้ว่าเขาเป็นคนพุทธแท้หรือไม่ แต่ถ้าคนเรามันจะลงทุนมีหนังสือทันตแพทย์สม สุจีรา เพื่อชวนสหายบุญที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาไปห้อง ก็ถือว่าแมสแล้วล่ะวะ
.
“นิ่งนานเลย จิตใจคงสงบล่ะสิ ถ้าไม่อยากไปปฏิเสธได้นะ เราไม่ใช่สายตื๊อ ไม่คือไม่ ถ้าไม่คอนเซ้นท์จะนั่งทำสมาธิกันตรงนี้ก็ได้”
แม่งเอ๊ย อนุโมทนาสิวะแบบนี้
จบที่พยักหน้าหนึ่งหน
รู้ตัวอีกทีก็โผล่มาที่ห้องเขาแล้ว
.
“ชอบไหมเล่มนี้” ฉันถามเพยิดหน้าไปทาง คิดแบบอัจฉริยะ ของทันตแพทย์สม สุจีรา เล่มที่ปกดูไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา วางอยู่อยู่ท่ามกลางห้องโล่งๆ ของเขา “อ่านไม่ยากนะ จารย์เขียนอ่านง่าย หลักคิดแบบจิตวิทยานี่ก็ตั้งอยู่บนพุทธศาสนาทั้งนั้นนะ เพราะว่าพุทธองค์ท่านทรงใช้ปัญญาญาณส่องดูจิตตลอดเวลา เราเลยประยุกต์ใช้กับจิตวิทยาได้”
.
“แล้วมีเล่มไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็นเล่มสองหรือยัง?” ฉันกวาดตามองทั่ว ๆ แล้วไม่เห็น เลยอดถามไม่ได้ เล่มนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง
“ตังค์หมดก่อนน่ะสิ เงินส่วนทำบุญของเดือนก่อนก็เอาไปถวายอาจารย์แดงหมดแล้ว” เขาตอบด้วยสีหน้ายินดี เหมือนพร้อมจะขายห้องสมุดเอาเงินไปถวายเพิ่ม
“เรามีไอน์สไตน์เล่มสอง เอาไหม?” ฉันเสนอ
“เอา” เขาสนอง
“เอาอะไร?
เอาหนังสือ?
หรือ เอาเรา?”
.
เขายกมือขึ้นพนมเหนือหัว
เอียงหัวไปทางพระพุทธรูปแก้วใสที่วางอยู่บนชั้นบูชา
.
"เอามรรคผล"
เขาตอบ
ฉันน้ำตาไหลด้วยความปีติ
Santa's Boys (1)
.
“หา ไอ้ลุงอ้วนติดโควิด” ผมร้องออกมาอย่างตกใจ “แล้วแกเป็นไงบ้างตอนนี้”
.
“ก็นอนต่อท่ออยู่ที่ขั้วโลกเหนือนั่นแหละ” ไลก้า เพื่อนสนิทของผมตอบ “อย่าห่วงไปเลย ไอ้แก่หนังเหนียวนั่นคงไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
.
ผมหลุดหัวเราะออกมา และยิ่งรู้สึกตลกมากขึ้นไปอีกที่ได้เห็นไอ้ไลก้าเพื่อนผมต้องมาแต่งชุดแดงติดหนวดปลอมรับบทเป็นซานตาคลอสจำเป็นในคืนนี้
.
“ตลกเหี้ยอะไรวะไอ้แจ๊ค” มันด่าผม “สรุปว่ามึงจะช่วยกูไหม นี่จะเที่ยงคืนแล้วนะเว้ย ชักช้าเดี๋ยวก็แจกของขวัญไม่ทันกันพอดี”
.
ผมยังคงหัวเราะอยู่ แต่ก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธคำขอนั้น ไลก้าหยิบชุดแดงกับหนวดปลอมออกมาจากกระเป๋าให้ผมสวมใส่ พอแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ มันก็เดินนำผมไปยังรถตู้ที่จอดอยู่ริมฟุตบาท
.
“รถเลื่อนกับกวางไปไหนเสียล่ะ” ผมถาม “อย่าบอกนะว่าไอ้ลุงอ้วนแม่งจับไปต้มแดกหมดแล้ว”
.
เป็นคราวไลก้าได้หัวเราะบ้าง “อยากลองแดกดูเหมือนกัน” มันพูด “แต่ไม่ใช่หรอก เรื่องของเรื่องก็คือไอ้พวกเหี้ยพีต้าแม่งส่งจดหมายขอให้เลิกใช้กวางลากเลื่อนน่ะสิ ลุงอ้วนแม่งก็บ้าจี้ไปตามมัน ทุเรศฉิบหาย ไม่รู้จักอนุรักษ์วัฒนธรรมไว้บ้างเลย”
.
ไลก้าขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ ติดเครื่องยนต์แล้วก็ขับรถออกไป ในขณะที่ผมกางแผนที่ออกดู แล้วบอกเส้นทางกับมันว่า “เดี๋ยวเลี้ยวขวาเข้าถนน 34 ขับไปกิโลนึงแล้วเลี้ยวซ้าย แถวนั้นมีหมู่บ้านเยอะ”
.
ไลก้าพยักหน้ารับ ขับรถไปตามที่ผมบอก ครู่หนึ่งก็มาถึงบ้านหลังแรก พวกผมจอดรถไว้ที่หัวมุมถนน เดินตรงไปยังประตูหน้าบ้านหลังนั้น ก่อนที่ไลก้าจะใช้กุญแจวิเศษแตะเข้าที่ประตูบ้าน บานประตูแง้มเปิดออกในทันที
.
ไลก้าเดินตรงไปที่โต๊ะกาแฟในห้องนั่งเล่น เขาจิบนมและกัดคุกกี้ช็อคโกแลตชิพที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้ซานตาคลอสตามวัฒนธรรมอย่างพอเป็นพิธี ก่อนที่จะหันมาพูดกับผมว่า “เอาของขวัญวางแล้วรีบไป เดี๋ยวไม่ทัน”
.
ผมกระพริบตา ถามว่า “ของขวัญอยู่ไหนล่ะ”
.
ไอ้ไลก้าได้ฟังคำนั้นก็ดูหงุดหงิดใจเต็มทน “ของก็อยู่หลังรถสิไอ้ควาย นี่มึงไม่ได้หยิบออกมาเหรอ”
.
ผมชักฉุน “อ้าว ก็มึงไม่บอกกูอะ แล้วกูจะไปรู้ไหม” ผมสวน “เปิดหลังรถยังไงกูยังไม่รู้เลย”
.
ไอ้ไลก้าดูไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ด่าอะไรเพิ่ม ผมคิดว่ามันก็คงเข้าใจว่ามันพลาดเองที่ไม่ได้พูดแต่แรก มันเดินนำผมไปที่รถ ชี้ชวนเป็นเชิงสอนให้ผมรู้ว่าต้องดูชื่อเจ้าของของขวัญที่ตรงไหนก่อนที่จะหยิบเอากีต้าร์ไฟฟ้าตัวหนึ่งขึ้นมา แล้วจึงเดินกลับมาที่บ้านหลังนั้น
.
ประตูมันล็อกไปแล้ว
Santa's Boys (2)
.
ไอ้ไลก้าหันกลับมาหาผม “มึงปิดประตูทำไม”
.
ผมกระพริบตาปริบ ๆ “แล้วมึงจะเปิดประตูค้างไว้ให้พ่อมึงเดินเข้าออกเหรอ ประตูมันล็อกมึงก็ใช้กุญแจวิเศษไขสิ”
.
ไลก้าตอบเสียงเรียบ “กูวางกุญแจไว้บนโต๊ะตอนที่จิบนม”
.
“ไอ้ฉิบหาย” ผมสบถ “แล้วแบบนี้จะเข้าบ้านยังไง”
.
ไลก้าดูฉุน “อย่ามาด่ากู ถ้ามึงไม่ลืมเอาของขวัญมาแต่แรก งานนี้คงจบไปแล้ว”
.
ไลก้าส่งกีตาร์ไฟฟ้าในมือมันให้ผมเอามาถือไว้ ก่อนที่จะเดินไปหยิบเอาก้อนหินขนาดเท่าหัวคนก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น ทุ่มมันใส่กระจก แล้วเอื้อมมือสุดแรงเอี้ยวไปกดปุ่มปลดล็อกประตูบ้านจากทางด้านใน
.
ประตูเปิดออก ไลก้าสั่งเสียงเรียบว่า “มึงรีบเอาของขวัญไปวางใต้ต้นคริสต์มาส เดี๋ยวกูจะไปหยิบกุญแจ”
.
ผมพยักหน้ารับ รีบเดินเอากีตาร์ไปวางไว้ที่ต้นคริสต์มาสข้างบันไดโดยไม่โต้เถียง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หันกลับออกมา ก็พลันเกิดเสียงดัง ‘แกร๊ก’ เหมือนเสียงขึ้นลำกล้องปืน ก่อนที่จะมีเสียงผู้ชายตวาดว่า “มึงเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในบ้านกู”
.
ดูเหมือนว่าไอ้หมอนั่นจะเป็นเจ้าของบ้าน เขายืนอยู่บนบันได ในมือถือปืนพกที่ขึ้นลำแล้วชี้ตรงไปที่ไอ้ไลก้าที่ยืนทำหน้าเหวออยู่กลางบ้าน “มึงเป็นใคร” เจ้าของบ้านถามย้ำ ขณะค่อย ๆ ก้าวตรงเข้ามา “ถ้าไม่ตอบกูยิงแน่”
.
“ผม... ผมมาทำงานแทนซานตาคลอส” ไอ้ไลก้าตอบเสียงสั่น ดูเหมือนว่ามันจะกลัวลูกปืนเหมือนกัน “มาส่งของขวัญ ส่งเสร็จแล้วกำลังจะกลับครับ”
.
“พูดเหี้ยอะไรของมึงวะ” เจ้าของบ้านตวาด ย่างสามขุมเข้ามาใกล้ขึ้นพร้อมตะโกนขึ้นไปบนบ้าน “ที่รัก โทรเรียกตำรวจเลย มีขโมยขึ้นบ้าน”
.
ไอ้ไลก้าหน้าซีด “อย่าแจ้งตำรวจ ผมไม่ใช่ขโมย ผมมาทำงานแทนซานตา”
.
เจ้าของบ้านหลุดหัวเราะออกมา เขาคงเห็นว่าเรื่องนี้ดูน่าขันพอควร “แล้วทำไมซานตาถึงทุบกระจกบ้านเข้ามา ทำไมไม่เข้ามาทางปล่องไฟวะ”
.
เจ้าของบ้านเดินเข้ามาหยุดอยู่ห่างจากไอ้ไลก้าประมาณห้าเมตร แต่เขาไม่เห็นผม เพราะผมยืนตัวลีบอยู่ข้างบันไดด้านหลังของเขา
.
แต่ถ้าตำรวจมา ตำรวจต้องเห็นผมแน่ และไอ้ข้ออ้างเรื่องซานตาคลอสป่วยโควิดคงไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ ไวเท่าความคิด ผมกระโจนพรวดเดียวเข้าไปเกือบถึงตัวเจ้าของบ้าน ยกกีตาร์ไฟฟ้าในมือขึ้นฟาดเขาที่ท้ายทอยของเขาจนล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น
.
เกิดเสียงผู้หญิงกรีดร้องขึ้นที่ด้านบน ไอ้ไลก้าสบถ รีบวิ่งเข้าไปในครัว หยิบมีดปลายแหลมออกมาแล้ววิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบน ที่ด้านนอกเริ่มมีเสียงไซเรนรถตำรวจใกล้เข้ามา ผมมองซ้ายมองขวา ก่อนที่จะลากเอาร่างไร้สติของชายเจ้าของบ้านไปซุกไว้ใกล้ ๆ กับกองของขวัญใต้ต้นคริสต์มาสข้างบันได
Santa's Boys (3-จบ)
.
รถตำรวจมาจอดที่หน้าบ้าน พอดีกับที่เจ้าของบ้านสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะต้องใช้กีตาร์ไฟฟ้าในมือทุบซ้ำอีกสองสามรอบจนเขาแน่นิ่งไป ก่อนที่จะตรงไปหยิบปืนพกที่ตกอยู่บนพื้นมาเก็บไว้ในอกเสื้อ แล้วเปิดประตูออกมาหาตำรวจ
.
ตำรวจมากันสองนาย ทั้งคู่ยกปืนขึ้นประทับเล็งมายังผม เห็นดังนั้นผมก็ยกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ พูดว่า “ผมเป็นเจ้าของบ้านครับ ขโมยมันหนีออกไปแล้ว”
.
ตำรวจออกจะประหลาดใจที่ได้เห็นชายในชุดซานตาคลอสเดินออกมา แต่ก็คงเป็นเพราะชุดซานตาคลอสนี้ด้วยที่ทำให้ดูไม่มีพิษภัย เพราะตำรวจทั้งสองลดปืนในมือลงทันที ก่อนที่คนหนึ่งจะพูดกับผมว่า “ขโมยไปทางไหนแล้วครับ”
.
ผมตอบไปว่าไม่แน่ใจ โม้ต่อไปว่าพอขโมยเห็นผมในชุดซานตาคลอสก็ตกใจ รีบหนีออกไปทันที เมื่อตำรวจถามผมว่าทำไมผมถึงแต่งชุดนี้ ผมก็ทำเป็นเหนียมอาย แสร้งบอกไปว่าวันนี้มีนัดแต่งชุดคอสเพลย์คริสต์มาสร่วมรักกับภรรยา
.
ตำรวจหัวเราะชอบใจ ถ่ายรูปกระจกที่แตกแบบพอเป็นพิธีแล้วแจ้งว่าจะส่งหน่วยพิสูจน์หลักฐานมาในตอนเช้า จากนั้นก็หันหลังกลับไปขึ้นรถ
.
แต่ในขณะที่ตำรวจทั้งสองกำลังจะเปิดประตูรถ ก็เกิดเสียงกรีดร้องขอให้ช่วยดังมาจากด้านบนบ้าน ไวกว่าความคิดอีกครั้ง ผมชักปืนออกมาจากอกเสื้อ เหนี่ยวไกส่งกระสุนเข้าสู่สมองของตำรวจทั้งสองจนล้มหงายหลัง เลือดไหลออกจากรอยกระสุนอาบพื้นหิมะจนเป็นสีแดงฉาน
.
เพื่อนบ้านที่ได้ยินเสียงปืนเริ่มเปิดไฟ ก่อนที่ในอีกเสี้ยวอึดใจต่อมาไลก้าจะวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากบ้าน หน้าและมือเปื้อนเลือด ไม่มีใครพูดอะไร เราทั้งสองคนรีบวิ่งตรงไปขึ้นรถที่จอดทิ้งไว้ ไลก้าติดเครื่องยนต์แล้วรีบบึ่งออกจากที่นั่นทันที
.
เพลง ‘Santa Claus is Comin to Town’ แผดดังออกมาจากวิทยุ พอถึงท่อนที่ว่า “You better not cry” ไลก้าก็สบถออกมาว่า “กูบอกแล้วว่าอย่าร้อง ๆ ความผิดมึงเองนะ กูไม่ได้ตั้งใจ”
.
ผมทำหน้านิ่ง ในใจก็ช็อกไปไม่น้อยเหมือนกัน “แล้วเราจะทำยังไงต่อ” ในที่สุดผมก็ถามออกมา “ยังต้องไปแจกของขวัญต่ออีกไหม”
.
ไลก้าส่ายหัว “เรื่องนั้นคงต้องช่างมันแล้ว” มันพูด “เดี๋ยวกูขับรถไปทิ้งแม่น้ำ แล้วพวกเราก็ตัวใครตัวมัน กบดานสักพัก ไว้ช่วงตรุษจีนค่อยมาเจอกันที่เดิม”
.
ผมพยักหน้ารับ ในขณะที่ไลก้าหัวเราะหึออกมา “เออ มึงรู้อะไรไหม” มันหันหน้ามายิ้มกับผม “คือเมื่อกี้กูหยิบของผิดว่ะ ไอ้กีตาร์ไฟฟ้านั่นมันเป็นของบ้านตรงข้าม”
เราขอลง plot เรื่องนะ ขอโทษด้วยถ้ามันไม่ดีเพราะเพิ่งแต่ง
เรื่องราวของห้องเรียนม.4ห้องหนึ่งที่มีนกเรียนชายคนหนึ่งชื่อว่า นก เป็นแค่เด็กธรรมดาเลยไม่ค่อยมีไครสนใจวันหนึ่งมีแสงประหลาดเกิดขึ้นใรห้องทำให้ทุกคนไปเจอคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าและมอบพลังให้แต่นกนั้นได้เพียงแค่พลังความรู้สึกที่ไวอย่างเดียวทำให้ทุกคนพากันออกห่างจากนกเพราะทุกคนมีพลังในการใช้เวทมนต์และต่อสู้กันหมดเลยยกเว้นนกเลยทำให้คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้ามาตรวจนกและบอกว่านกเป็นเพียงแค่ส่วนเกินของกลุ่มทำให้ทุกคนต่างเหยียดหยามและหัวเราะเยาะนกพร้อมกับบอกว่าเอานกไปขายเป็นทาสพ่อค้าทาสยังไม่เอาเลยและถุยน้ำลายใส่พร้อมกับเดินจากไปนกแต่คุณครูผู้หญิงที่ชื่อคุณครูบุบผาและเด็กผู้หญิงใส่แว่นผมสั้นที่ชื่อเข็มดีพยามยามบอกให้ทุกคนรับนกไปด้วยแต่ไม่มีไครฟังพร้อมกับถูกบอกให้หุบปาก แล้วคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าก็ร่ายมนต์บางอย่างทำให้นกสลบก่อนนกสลบนกก็แอบสาปในใจว่าขอให้เพื่อนๆทุกคนที่เหยียดฉันกลายเป็นทาสและต้องทำงานจนวันตายเมื่อนกฟื้นมาก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องเรียนเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือทุกคนหายไปทำให้้นกถูกสอบสวนเรื่องเด็กหายแล้วก็ไปนอนหลังจากที่นกนอน นกก็ได้ไปเจอกับคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า มาขอโทษนกที่ทำให้ชีวิตนกต้องวุ่นวายพร้อมกับให้ cd ที่เล่าเรื่องราวการผจญภัยของเพื่อนร่วมชั้นเป็นของขวัญขอโทษ
คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าก็หาไปพร้อมกับนกได้ต่นขึ้นแล้วคิดว่าตัวเองฝันประหลาดจังแต่นกก็เห็น cd ทำให้นกจำสิ่งที่คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าบอกไว้ได้เลยรีบไปกินข้าวแล้วเอาไปเปิดดู(พอดีเป็นวันเสาร์)แล้วาห็นว่าใน cd มี10 ตอนเลยนกก็ดูตอนแรก
ก็เห็นเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้ชายสามคนชื่อว่า ขัน กาน และดวงถูกเด็กผู้หญิงผมดำตัวเล็กที่มีเขากวางจับฉีกแขนฉีกขา, ถูกควักใส้ควักลูดตาออกมาและพูดว่าถ้ายอมรับส่วนแบ่งของหมูป่าตั้งแต่แรกก็จบแต่ก็ดีเพราะตอนนี้มีอาหารเพิ่ม
สิ่งนี้ทำให้นกตกใจแทบตายพร้อมกับบ่นว่าคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้าเอาอะไรมาให้ดูฟะแต่ก็สะใจดี
หลวงปู่คำพบพญางูถ้ำภูสี่นาค
.
เรื่องราวต่อไปนี้เรื่องจริงที่ผมได้ยินมาจากปากของหลวงปู่คำ กามวุฑฺโฒ ท่านเล่าให้ผมฟังเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ผมมีโอกาสไปเจริญวิปัสสนาที่วัดบ้านสวิง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน หลวงปู่คำท่านเป็นศิษย์รูปหนึ่งของพระอาจารย์มุ่น ราคฺวฑฺฒโน ที่มีผู้เคารพเลื่อมใสจำนวนมาก และมีเรื่องเล่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมายไม่แพ้กัน
.
หลวงปู่คำเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งเมื่อท่านธุดงค์ตามสันเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างชายแดนไทย-ลาว จนมาปลักกลดที่ป่าแห่งหนึ่งใกล้ๆ ถ้ำภูสี่นาคอำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี (ในสมัยนั้น) คืนหนึ่งในขณะที่หลวงปู่คำนั่งสมาธิภาวนา ท่านก็ได้เห็นนิมิตเป็นพญางูใหญ่ เกล็ดแผ่นหนาสีดำ มีหงอนสีแดงสด เลื้อยคดเคี้ยวออกมาจากธารน้ำไหลถ้ำภูสี่นาค ผ่านออกมาทางปากถ้ำเห็นเป็นภาพน่าสะพรึงนัก
.
ในนิมิตของหลวงปู่คำนั้น พญางูได้เลื้อยรอบกลดของท่านเวียนเป็นทักษิณาวัตรสามหนแล้วจึงหยุดอยู่เบื้องหน้าหลวงปู่ ชั่วอึดใจเดียวก็จำแลงเป็นมนุษย์เพศชาย กายกำยำ แต่งตัวเหมือนเจ้านายเมืองลาวสมัยโบราณ พญานาคตนนั้นได้คุกเข่ากราบบูชาหลวงปู่แล้วจึงกล่าวเชิญหลวงปู่ลงไปที่เมืองบาดาล
.
ครั้นออกจากฌานแล้ว ในคืนเดียวกันหลวงปู่คำก็ได้เตรียมกัณฑ์เทศน์สำหรับสอนธรรมพร้อมด้วยอัฐบริขารที่จำเป็น เดินฝ่าความมืดตรงไปที่ถ้ำภูสี่นาคตามเส้นทางที่ปรากฎในภาพนิมิต หลวงปู่เดินเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษท่านก็ได้ยินเสียงธารน้ำไหลและเห็นผิวน้ำสะท้อนแสงจันทร์ ท่านเดินเลียบเงื้อมหินอีกเพียงชั่วครูก็ได้มาถึงปากทางเข้าถ้ำภูสี่นาคในที่สุด
.
หลวงปู่คำเล่าว่า ทันทีที่ท่านก้าวเท้าเข้าไปในถ้ำท่านก็รู้สึกวังเวงทันที เพราะโดยปกติแล้วถ้ำที่เย็นตามธรรมชาติเช่นนี้มักจะมีสัตว์ป่าหรือค้างคาวพักอยู่ยามค่ำมืด แต่ถ้ำภูสี่นาคนี้ไม่มีเสียงสัตว์ แมลง หรือแม้กระทั่งกลิ่นมูลค้างคาวเลย มีเพียงเสียงธารน้ำไหล ผิดวิสัยถ้ำสามัญนัก
.
หลวงปู่เดินลัดหินงอกในถ้ำเพียงครู่เดียวก็มาถึงทางตัน ท่านเล่าว่าครั้งนั้นภายในถ้ำมืดสนิทไม่มีแสงใดเล็ดลอด มีเพียงตะเกียงน้ำมันริบหรี่ในมือท่านส่องนำทางเท่านั้น หลวงปู่คำเกือบถอดใจมุ่งหน้ากลับที่ปักกลด แต่ท่านก็นึกถึงคำบอกเล่าของหลวงปู่มุ่นเสียก่อน ท่านว่าเมืองบาดาลของเหล่าพญานาคนี้มักจะมีคาถาอาคมบังตา ต้องเป็นผู้ได้รับคำเชิญเท่านั้นจึงจะผ่านเข้าไปได้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลวงปู่คำก็ตั้งจิตอธิษฐาน สำคัญว่าตนนี้ต้องการเผยแพร่ธรรมะ สั่งสอนนาคและบริวารให้มีบุญกุศล ไม่ได้ตั้งใจเบียดเบียนเลย ทันใดนั้นธารน้ำในถ้ำก็หยุดไหลเป็นอัศจรรย์ ตาน้ำค่อยๆ แห้งเหือด เห็นเป็นช่องหินที่ผนังถ้ำด้านหนึ่งขนาดพอคนลอดได้ ท่านจึงสวดพุทธคุณแล้วปีนลงไปในรูตาน้ำนั้น
.
หลวงปู่ท่านว่าภายในช่องตาน้ำแคบและอึดอัด หายใจแทบไม่ออก ยิ่งคลานเข้าไปก็ยิ่งเงียบและมืด ท่านได้แต่นึกในใจว่าขออย่าให้เป็นพญานาคฝ่ายร้ายเลย ในใจทั้งกลัวทั้งสงสาร เพราะการทำร้ายพระสงฆ์นั้นเป็นบาปอย่างยิ่ง ยังไม่ทันหมดความคิดหลวงปู่คำก็รู้สึกว่ามีน้ำเย็นๆ มาสัมผัสมือและเท้า ช่องแคบๆ ที่ท่านคลานอยู่เริ่มมีน้ำท่วมขึ้นมาจนหายใจไม่ออก ครั้นจะหันหลังถอยกลับก็ทำไม่ได้ จนในที่สุดน้ำก็ขึ้นมาท่วมจนเต็มช่อง ทำให้หลวงปู่คำหมดสติไป
.
หลวงปู่คำได้สติขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวท่านกำลังนอนอยู่บนเตียงฟูก มีกลิ่นน้ำอบ กำยาน หอมอบอวล รอบตัวเห็นเป็นตำหนักโบราณคล้ายว่าจะเป็นแบบอาณาจักรล้านช้าง เมื่อมองไปเบื้องหน้าหลวงปู่ท่านก็เห็นพญานาคในนิมิต แต่หนนี้ท่านสำคัญว่าท่านเห็นด้วยตาเนื้อ
.
“ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ารอคอยท่านมากี่ร้อยกี่พันปี” พญางูตนนั้นพูดกับหลวงปู่ กายท่อนบนของเขาจำแลงเป็นมนุษย์หนุ่มรูปงามผิวขาวอมเหลือง กายกำยำ ห้อยสังวาลเป็นรูปนาค แต่ท่อนล่างนั้นเห็นเป็นงูใหญ่เกล็ดดำมะเมื่อม “เจ้าเป็นใคร เราไม่เคยรู้จัก” หลวงปู่คำท่านตอบอย่างสนเท่ห์
.
“ชาติก่อนท่านคือท้าวสุวรรณชาตินาคราช ปกครองหมู่บริวารนาคอยู่ริมฝั่งเมืองสุวรรณโคมคำ” พญานาคตนนั้นกล่าว พลางเคลื่อนตัวเข้าโอบรัดหลวงปู่คำ “เราคือท้าวคำเกิดนาคราช เป็นพญานาคอยู่ที่นี่” พญานาคตนนั้นใช้มือล้วงเข้าไปในสบงของหลวงปู่ หลวงปู่ส่งเสียงครางลอดออกมาเบาๆ
.
ภาพนิมิตปรากฏให้เห็นเป็นชาติปางก่อน หลวงปู่คำจำได้ว่าตนเคยเกิดเป็นพญานาคนามสุวรรณชาตินาคราช แอบเสพสังวาสกับท้าวคำเกิดนาคราชอยู่ลับๆ นานหลายปี ครั้นเมื่อราชวงศ์พญานาคเก้าแม่น้ำทราบข่าวว่านาคเพศผู้สองตนสมสู่กันก็ไม่ยอมรับ จึงกีดกัน กดดันให้ทั้งคู่เลิกไปมาหาสู่จนท้าวสุวรรณชาตินาคราชตรอมใจตายในที่สุด ก่อนตายนั้นท่านได้ตั้งจิตว่าขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์และอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับความรักอีกเลย
>>724 ต่อ
เมื่อได้สติหลวงปู่ก็พบว่ามีน้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้ม ท่านรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน “ทำไมท่านถึงใจร้ายเช่นนี้ ท่านตัดใจจากความรักเพียงเพราะความเจ็บปวด แต่ข้ายอมทนความเจ็บปวดนานนับพันปีเพื่อรอให้ท่านนำความรักกลับมา” ท้าวคำตัดพ้อ ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงค่อยๆ โน้มตัวเข้าใกล้ ลิ้นสองแฉกของเขาตวัดเลียที่หัวนมของหลวงปู่
.
“ผ่านมากี่ภพกี่ชาติ ท่านก็ยังมีจุดเสียวที่หัวนมสินะ” ท้าวคำเกิดกระเซ้า สองมือเลื่อนลงไปคลึงที่ปลายลึงค์หลวงปู่
.
“อาตมาว่าแบบนี้ไม่ควร อาตมาครองเพศบรรพชิต จีวรเหลืองยังคลุมร่างกาย แบบนี้เป็นบาป” หลวงปู่คำพยายามต้านทานความรู้สึกในจิตใจ
.
“ก็ถอดจีวรออกสิ ข้ารู้ว่าท่านก็ต้องการข้า ข้าเห็นสายตาที่ท่านมองมาตอนนั่งกรรมฐาน” คำเกิดนาคราชใช้มือปลดเปลื้องจีวรของหลวงปู่ ส่วนหางที่เป็นงูก็ค่อยๆ ถอดสบงออกจนหลวงปู่เปลือยเปล่า อ้อมแขนรัดอ้อมแขน หางงูรัดพันขา ชิวหาแลกลิ้น หลวงปู่คำไม่สนใจอีกต่อไปว่าสิ่งใดผิดศีลสิ่งใดปาราชิก ความรู้สึกที่สะสมมานานแม้พระธรรมก็ไม่อาจฉุดรั้ง
.
“อาตมาบวชเณรมาตั้งแต่เด็ก สำคัญตนว่ากำลังหนีทุกข์ แต่จริงๆ อาตมากำลังหนีความผิดหวังจากความรัก” ท่อนเนื้อของหลวงปู่ทะลวงเข้าไปในช่องส่วนหลังของท้าวคำเกิด หางงูคำเกิดที่โอบรัดก็กระทุ้งเข้าไปส่วนหลังของหลวงปู่คำ ทั้งคู่ส่งเสียงอืออาสะท้อนผนังถ้ำจนระงม การตีระฆังเพลดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาเจ็ดวันกระทั่งหลวงปู่หมดสติไป
.
หลวงปู่เล่าว่ารุ่งขึ้นชาวบ้านพบหลวงปู่ในสภาพที่อิดโรย ชาวบ้านว่าถ้ำภูสี่นาคนั้นมีพญางูฤทธิ์กำแหงนัก ที่ผ่านมาผู้มีอาคมมากมายพยายามกำราบแต่ก็กลายเป็นศพเสียหมด แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้เจอพญานาคอีกเลย ชาวบ้านจึงว่ากันว่าหลวงปู่คำเป็นผู้ปราบพญางูถ้ำสี่นาค หลังจากนั้นหลวงปู่คำก็ยังแวะเวียนไปถ้ำภูสี่นาคทุกพรรษาเพื่อสะกดฤทธิ์พญานาค ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเสียงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่คำ กามวุฑฺโฒ ก็เป็นที่รู้จักไปทั่ว
‘เราไม่เลิกกันได้ไหม ทำไมคุณไม่บอกให้ฉันแก้ไข ทำไมเราไม่ปรับเปลี่ยนให้อะไรๆมันดีขึ้นมา’ ฉันถาม
.
คุณเงียบไป คล้ายครุ่นคิด คล้ายลำบากใจ
‘ผมว่ามันไม่สำคัญว่าเราจะใช้คำว่าเลิกกันอย่างเด็ดขาดหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว’ เขากล่าวตอบ พลางหลบสายตา
.
‘ถ้าความรู้สึกของคุณมันหายไปง่ายดายขนาดนั้น ฉันจะเชื่อคุณได้อย่างไรอีก ฉันจะเชื่อใครได้อีก’
.
‘ที่ผมเคยรักคุณมันเป็นเรื่องจริง แต่ในตอนนี้ที่ผมไม่รักคุณ—มันก็เป็นความจริง
.
ผมผิดเองที่ความรู้สึกมันหายไปง่ายดายขนาดนั้น หายไปก่อนคุณ แต่ผมอยากซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง’
.
‘ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันหายไป’
.
‘ผมไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ที่มองหน้าคุณ ผมไม่เห็นอะไรเลยนอกจากใบหน้าที่ผมไม่ได้อยากจูบหรือหอมอีกแล้ว หลงเหลือแค่ความเป็นห่วง ผมยังหวังสิ่งดีๆสำหรับคุณเสมอ แต่ผมไม่ใช่สิ่งดีๆในชีวิตคุณแล้ว ผมเป็นให้ไม่ได้’
.
เขาร้ายกาจนัก แต่มันเป็นความจริงที่ร้ายกาจ จะตะบี้ตะบันยื้อให้ยังอยู่ก็คงไม่มีอะไรดี ฉันทำได้เพียงเก็บเศษความรักที่เขาไม่ต้องการออกมา เก็บมันใส่กระเป๋าเดินทาง
.
คนที่หยุดรักก่อนไม่ได้ผิดอะไร แต่คนที่ยังรักอยู่เท่านั้นที่ต้องจัดการหัวใจตัวเอง
.
ฉันอยากกอดเพื่อบอกลา แต่จะกอดลงได้อย่างไร กับคนตรงหน้าที่ไม่ปรารถนาในกายและใจของฉันอีกต่อไปแล้ว
ถามหน่อย นิยายจีนโบราณที่ตัวละครชายเป็นลูกคนรวยแต่ทำอาหารเป็นเข้าครัวได้ ถ้าเป็นในสมัยก่อนพ่อแม่คนจีนๆจะมองเป็นเรื่องดีรืเปล่า เหมือนที่ผู้หญิงต้องเป็นกุลสตรีจ๋า แล้วผู้ชายที่ต้องเป็นเสาหลักในสมัยนั้น ทำงานบ้านที่เป็นหน้าที่ของผญในตอนนั้น จะถูกว่าไหมอะ
>>727 ขนาดผู้หญิงอะ ถ้าเป็นฮูหยินเข้าไปครัว พวกคนใช้ก็แตกตื่นแล้วว่าจะมาทำไม ไม่ให้หยิบจับอะไรเลย ทั้งที่นางเอกอยากทำ ทำได้แค่ยืนชี้ ยืนสั่งอะ แล้วถ้าเป็นผู้ชายนี่ไม่ต้องพูดถึงเลยคับปม แต่ถ้าเออมันอยาก มึงก็คงต้องเขียนพล็อตหนีออกจากบ้านหรือไม่ก็ตกระกำลำบาก แล้วกลายเป็นพ่อครัว ตอนหลังถึงกลับมาคืนตำแหน่งเป็นคุณชายละ ยังชอบทำอาหารก็ว่าไป พอๆ กูเพ้อมากไปละ 5555
สาวปากร้าย-กะ-นายถุงไข่
"จะพาไปดูเน็ตฟลิกซ์ก็คือดูเน็ตฟลิกซ์ ไม่ได้แปลว่าจะพากันไปเ ย็ด"
.
"งั้นเราไปเ ย็ดกันเถอะ เน็ตฟลิกซ์น่ะช่างแม่มัน"
.
"เฮ้ย ไม่ได้ฟังที่พูดเหรอวะ ฉันบอกว่าเน็ตฟลิกซ์ก็คือเน็ตฟลิกซ์ คนรณรงค์เรื่องความยินยอมกับทั้งบ้านทั้งเมือง คุณแม่งยังมาชวนเ ย็ด เป็นเหี้ยอะไร"
.
"ดูคุณโกรธนะ"
.
"ก็ใช่ไง ฉันโกรธ โกรธที่คุณชวนไปดูเน็ตฟลิกซ์แล้วสุดท้ายคุณชวนไปเ ย็ด"
.
"ก็นี่ไง ผมก็พึ่งเผยจุดประสงค์ ช่างแม่งเน็ตฟลิกซ์ ไปเ ย็ดกันเถอะ"
.
"ไอ้เหี้ย คุณเลิกทำตัวแบบนี้ได้ป่ะ ทำไมไม่ถามความยินยอมกันก่อน สรุปคุณใช้หัวหรือใช้ควยคิด"
.
"ผมก็ชวนอยู่ ถ้าคุณจะไปก็ไปกับผม ถ้าไม่ไปก็ไม่ต้องไป ผมให้คุณเลือกได้เลย แล้วทำไมคุณถึงยังโกรธ"
.
"คุณมันไร้สมอง คุณมัวแต่คิดว่าผู้หญิงจะเป็นได้แค่เครื่องมือระบายความใคร่ นี่คือสิ่งที่ฉันเกลียดคุณชิบหาย"
.
"แล้วสรุปคือคุณต้องการอะไร"
.
"ฉันต้องการให้คุณให้เกียรติฉันในฐานะมนุษย์คนนึง ไม่ใช่วัตถุทางเพศที่ถ้าคุณอยากได้คุณก็ต้องได้"
.
"ผมถึงได้ชวนคุณดีๆนี่ไง แล้วทำไมคุณยังโกรธอยู่ล่ะ"
.
"เพราะคุณมันไม่มีหัวคิด แล้วเอาแต่คิดว่าจะเ ย็ดอย่างเดียวไง"
.
"แล้วผมก็ชวนคุณดูเน็ตฟลิกซ์เพราะมันจะได้มีเวลาในการเรียนรู้สัมผัสทางกายแล้วก็รสนิยมซึ่งกันและกันไง คือเซ็กส์เป็นเรื่องของการปรับจูนตัวตนของคน 2 คนไม่ใช่เหรอ"
.
"เนี่ยเห็นมั้ย คุณแม่งโง่บรมเลย สุดท้ายคุณก็วกกลับไปหาเน็ตฟลิกซ์ เอาเน็ตฟลิกซ์มาเป็นข้ออ้างหาเรื่องเ ย็ดฉัน"
.
"สรุปคือ?"
.
"คือ?"
.
"อ้าวแล้วคืออะไรล่ะ?"
.
"ก็.. ก็คืออะไร"
.
"เอางี้นะ ผมชวนคุณไปดูเน็ตฟลิกซ์ เพื่อที่เราสองคนจะได้เรียนรู้สัมผัสรสนิยมกันและกันหน่อย ไม่ใช่ชวนปุ๊บไปเ ย็ดปั๊บ แม่งโคตรไร้รสนิยม แล้วคุณก็แม่งบอกว่าถ้าอยากเ ย็ดก็ชวนเ ย็ด คุณรู้มั้ย ไอ้เหี้ย Tasteless ชิบหาย คุณแม่งไร้ซึ่งวาทศิลป์ใดๆในการจูงใจคน คุณแม่งยังไม่สามารถ convince ผมให้เข้าใจจุดประสงค์ในการแสดงอาการโกรธของคุณได้เลยด้วยซ้ำ ทั้งไม่ว่าผมจะชักชวนคุณด้วยวิธีไหนก็ตาม ไม่ว่าจะทางอ้อม ทางตรง คุณล้วนปฏิเสธสัมพันธ์ในฐานะมนุษย์ เราอาจจะแค่เ ย็ดกันแล้วจบไปตามที่คุณคิด แต่อย่างน้อยผมมองว่าการได้เรียนรู้สร้างความประทับใจก็เป็นอีกหนึ่งทางที่เราจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ผ่านอารมณ์และความรู้สึก ไม่ใช่แค่การเ ย็ดกันแล้วจากไปโดยไม่มีอะไรทิ้งท้ายไว้ให้จดจำ ทีนี้ คุณบอกผมที ยังโกรธผมอยู่มั้ย"
.
"โกรธ และฉันเริ่มจะเกลียดคุณแล้วด้วย"
.
"นี่อธิบายเป็นฉากๆเผื่อว่าคุณจะเข้าใจแล้วนะ"
.
"คุณแม่ง mansplain ชิบหาย หลักคิดโลกวนอยู่รอบควย"
.
"โอเค แม่หีหลุมดำ"
.
"หมายความว่ายังไง"
.
"โลกไม่ได้วนรอบควยผมหรอก แต่จักรวาลถูกดูดเข้าหีคุณ แค่นี้นะ"
เธอทเวิร์ค ผมทเวิร์ค เราทเวิร์คด้วยกันทั้งคืน จนกระทั่งตำรวจเข้ามาตรวจสอบจุดเกิดเหตุฆ่าหั่นศพในห้องของเรา ศพของพวกเราเองแหละ เราทเวิร์คใส่ยมทูตด้วยสองกรุบ
เท้าลืมรอยของมันเองไปแล้ว ตัวฉันก็ลืมเช่นกัน
ชีวิตวัยเด็กเกือบยี่สิบปีในบ้านทึมทึบหลังนี้ ทำให้ฉันคิดแต่จะจากไป ระหว่างจำเป็นต้องพึ่งพิงค่าใช้จ่าย ฉันเข้าเรียนมัธยมปลายในอำเภอที่อยู่ห่างไปกว่าห้าสิบกิโลเมตร กลับบ้านอย่างมากสัปดาห์ละครั้ง พอขึ้นมหาวิทยาลัย นิ้วมือข้างเดียวนับแล้วก็ยังเหลือ
ครั้นยืนด้วยขาตัวเองได้มั่นคง ฉันก็ถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างบ้านกับฉันจบสิ้น
ฉันคิดเช่นนั้น ทว่าความจริงมันไม่ใช่
มนุษย์ไม่สามารถตัดเส้นเลือดตัวเองขาด ช่างเป็นกฎธรรมชาติที่น่าเศร้าและโหดร้าย
ทั้งที่ความทรงจำรางเลือน ใบหน้าญาติ ๆ ก็จำไม่ได้ เสียงเรียกนั้นก็ยังกวนใจฉันเสมอ
“ย่าถูกสาป”
เสียงสั่นเครือของย่าแว่วขึ้นมาในหูทุกครั้งที่หัวฉันว่างโล่ง และก็เป็นต้องรู้สึกคล้อยตามเสียทุกทีด้วยว่า “ฉันถูกสาป” ฉันต่างหากที่ถูกสาปโดยย่าผู้เคียดแค้นหลานสาวที่พยายามลืมรากเหง้าของท่าน
รากเหง้าของแม่มด
สมัยยังอยู่บ้านหลังนี้ ฉันมักถูกใช้ให้อยู่เป็นเพื่อนย่าผู้เดินเหินไม่ได้ คอยเปลี่ยนผ้าอ้อม ซับน้ำลาย และฟังท่านพึมพำบทสวดในภาษาที่ไม่น่าจะมีอยู่บนโลกนี้ “เป็นบ้า” ทุกคนลงความเห็น ฉันก็เช่นกัน มันช่วยไม่ได้ที่คนหนึ่งจะเป็นบ้า แต่พระเจ้าก็โปรดช่วยฉันด้วยเถอะ การดูแลยายแก่ที่พร่ำเพ้อว่าตนคือแม่มดอยู่ตลอดวันก็ทำให้ฉันใกล้จะเป็นบ้าเหมือนกัน !
นกมักตกมาตายตรงหน้าต่าง มดไม่เคยไต่มาเก็บเศษน้ำตาลบนตัวย่า ต้นพลูด่างข้างเตียงไม่เคยเหี่ยวเฉา ฉันเริ่มสังเกตเห็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัวย่า ฉันสงสัยและหวาดระแวงว่าการได้ยินภาษาแปลก ๆ นานวันเข้าคงทำให้เริ่มเชื่อว่าแม่มดมีตัวตนจริง ๆ
เมื่อฉันบ่นเรื่องนี้กับพ่อ ท่านปลอบใจ “ย่าก็แค่เลอะเลือน” ฉันพยายามคิดเช่นนั้น แต่มันไม่ได้ผล จริงอยู่ ย่าเลอะเลือน ย่าเป็นบ้า แถมยังเป็นแม่มดอีกด้วย !
ฉันอดทนอยู่เป็นเพื่อนย่าต่ออย่างยากลำบาก ถ้าแค่ละเมอว่าเป็นแม่มด ฉันอาจจะอยู่บ้านหลังนั้นได้นานอีกหน่อย ถ้าเพียงแต่ย่าจะไม่เอ่ยถึง ‘คำสาป’
“ย่ากำลังจะตาย เมื่อคืนมันมาหาย่า มันหาย่าเจอแล้ว โอ ย่ากำลังจะตาย”
ฉันแทบขว้างหนังสือเกี่ยวกับโครงการอวกาศที่กำลังอ่านทิ้ง พยายามกัดฟันข่มเสียงกรีดร้อง ลุกขึ้นเดินลงส้นเท้าตึง ๆ ลงเรือน โรงเรียนเปิดเทอมเมื่อไหร่ฉันจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้ ทิ้งความป่วยไข้ของย่าให้น้องสาวรับผิดชอบแทน
อาจดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ถ้าอยู่กับย่าต่อ ฉันคงไม่พ้นกลายเป็น ‘แม่มด’ เหมือนย่า
พ่อกับน้องดูแลแม่มดสองตนไม่ไหวแน่
“จิวาน จิวาน จิวาน...”
ย่าร้องเรียกซ้ำไปซ้ำมา ฉันไม่หันกลับ สวนอึมครึมรกทึบบดบังฉันจากประสาทสัมผัสของย่า ทว่าเสียงเรียกยังดังอยู่ ไม่แผ่วลงแม้แต่น้อย หรือมันดังอยู่ในหูฉัน หรือฉันกลายเป็นแม่มดเสียแล้ว
ฉันอุดหู ปิดตา คู้ตัวราวกับจะช่วยให้หลบพ้น ทว่านอกจากหนีไม่พ้น มันยิ่งทำให้ฉันเหมือนคนบ้า ไม่รู้ตัวว่ากำลังกรีดร้องสะอึกสะอื้นก่นด่าย่าอยู่จนกระทั่งพ่อซึ่งได้ยินเสียงตามมาเขย่าตัวเรียกสติ
ฉันร้องไห้น้ำตานอง อยากกอดพ่อ ทว่ายกแขนไม่ขึ้น สีหน้าเศร้าโศกของพ่อทิ่มแทง ทั้งที่สงสารเห็นใจฉันแท้ ๆ แต่ทำไมถึงยังผลักฉันลงไปในบ่อแห่งความเพ้อคลั่งของย่าอยู่อีก ยอมให้ฉันผุดขึ้นมาสูดอากาศเพียงครู่ แล้วก็กดหัวฉันลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หนูไม่ไหว ! หนูทนไม่ได้ ! หนูเกลียดย่า ! หนูเกลียดพ่อ ! เกลียด ๆ ๆ ๆ ๆ !!!”
- - - -
“ซักวันแกจะเป็นเหมือนฉัน”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันทนฟังได้ ฉันคิดว่าย่าจะตายหลังจากฉันขึ้นมหาวิทยาลัย แต่ผิดคาด ท่านยังมีชีวิตอยู่อีกหลายปี ‘มัน’ ไม่ได้เร่งรีบเก็บเกี่ยวชีวิตท่านไป แม่มดอาจเป็นเพียงภาพหลอน กระนั้นฉันก็ทำใจกลับมานั่งข้างท่านไม่ได้จริง ๆ แม้ขณะกลับมาบ้านช่วงวันหยุด ฉันก็ไม่คิดจะเฉียดใกล้ห้องทึมเทานั้น
กระทั่งวันนี้
แม่มดตายไป ร่างถูกเผาเป็นเถ้าถ่านคืนผืนดิน ฉันก็ยังไม่กล้าเชื่อว่าย่าตายแล้วจริง ๆ ประตูที่ฉันหวาดหวั่นแง้มออกอย่างเชื่องช้า ลมสายหนึ่งพัดกลิ่นอับน่าสะอิดสะเอียนปะทะใบหน้า ฉันชะงัก มือสั่นระริก อยากกระแทกประตูกลับ แล้ววิ่งหนีไปให้ไกล ทว่าเสียงฝีเท้าแผ่วเบาด้านหลังทำให้ฉันตามใจตัวเองไม่ได้
“พี่ใจร้ายมากกนะ” น้องสาวต่อว่าด้วยเสียงสะอื้น
เธอเกลียดฉัน หรือย่า
ฉันไม่รู้
“เข้าไปสิ เข้าไปดูว่าพี่ทิ้งฉันไว้กับอะไร”
แต่มันไม่มีอะไร
ทุกสิ่งเปลี่ยนไป ทว่าเวลายังคงอยู่
พยานโศกนาฏกรรมของแม่มดมีเพียงฟูกนอนที่พับไว้อย่างเรียบร้อย กับกระถางต้นไม้ตรงมุมห้อง ย่าตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครโศกเศร้าเสียใจ ไม่มีใครหลั่งน้ำตายื้อเรียก งานศพเรียบง่าย เชิญแขกพอให้ไม่ถูกพูดได้ว่าลูกหลานเย็นชาเกินไป
“ย่ารักพี่มาก” น้องสาวบอก
ฉันส่ายหน้า ไม่ใช่หรอก ไม่มีใครสาปแช่งคนที่ตัวเองรัก
“ย่าพูดถึงแต่พี่”
เธอชี้ไปยังตู้ไม้ตรงมุมห้อง หลังตู้มีกล่องเหล็กเก่า ๆ วางอยู่ สนิมขึ้น แต่ก็ยังพอดูสีเดิมออก
สีฟ้า สีของท้องฟ้า สีของทะเล
ทะเล
จำได้ว่าย่าชอบทะเลมาก แต่ฉันเกลียด มันเคยเกือบกลืนฉันลงไป ย่าเล่าว่าวิญญาณที่ถูกทิ้งไว้ในทะเลจะล่องลอยอยู่ตรงนั้น หาทางกลับบ้านไม่ได้ ทั้งที่นั่นเป็นสิ่งที่ฉันต้องการแท้ ๆ แต่ฉันกลับเกลียด
ย่าชอบทะเล
ท่านอยากตายอยู่กลางทะเลหรือเปล่า
ฉันไม่แน่ใจ
ในกลองเต็มไปด้วยเศษรากไม้ กิ่งไม้ และใบไม้เก่าผุ ๆ ฉันไม่รู้ว่ามันมีไว้เพื่ออะไร หรือสำคัญยังไงกับตัวเอง ฉันปิดฝา วางมันไว้ที่เดิม แล้วออกจากห้อง
กลิ่นอับตามฉันออกมา
ทุกสิ่งทุกอย่างของย่าห้อยติดตัวฉันมาตั้งแต่วันนั้น แม้จะหนี ทำเป็นลืม กลิ่นเหม็นอับ เสียงสวดพึมพำ นกตาย ต้นพลูด่าง รวมถึงความรัก และความเกลียดชัง
จิตแพทย์ที่ฉันพบประจำบอกว่าแม่มดไม่มีจริง มันเป็นเพียงความเครียด มลพิษของเมือง และงานหนักทำให้ฉันเครียดโดยไม่รู้ตัว
เสียงรถราแว่วเหมือนเสียงคนท่องมนต์ กลิ่นท่อระบายน้ำแค่บังเอิญคล้ายห้องของย่า ฝุ่นเกาะกลุ่มกันเป็นรูปกา พลูด่างเป็นพืชเลี้ยงง่าย ไม่ใช่ต้นไม้ที่มีชีวิตนิรันดร์แต่อย่างใด
บาดแผลบนตัวฉันอาจจะเกิดจากการนอนละเมอ
ไม่ใช่คำสาปแช่ง
ไม่ใช่เพราะย่าหรือฉันเป็นแม่มด
--- (1)
ว่างเปล่าจังเลย
ความคิดนี้วนกลับมาอีกครั้งเมื่อฉันได้ตื่นขึ้นมา ก่อนจะมองไปที่มือถือแล้วเห็นว่าไม่มีข้อความจากคนที่รอคอย
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่มือถือของฉันไม่มีแจ้งเตือนจากคนๆนั้น?
จากที่เคยรอคอยเพียงแค่ไม่กี่ชม. กลายเป็น 3 วัน กลายเป็น 1 อาทิตย์ จนตอนนี้ก็จะ 1 เดือนเข้าแล้ว
ปกติถ้าผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่มีการตอบกลับมาก็ควรจะลืม ๆ แล้วคุยกับคนใหม่ไปได้แล้วแท้ ๆ
ฉันมองไปที่มือถืออีกครั้ง ทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าควรจะทักเขาไปดีไหมนะ
แต่ว่าไม่อยากถูกปฏิเสธเลย...
ถ้าเขาไม่ตอบละ? ถ้าเขาส่งเพียงแค่สติกเกอร์กลับมาละ?
แค่คิดรู้สึกพ่ายแพ้แล้ว เพราะงั้นเลยไม่มีความกล้าขึ้นมาสักที
ในความคิดตอนนี้เรื่องที่พอจะทักไปได้ก็มีแต่เรื่องโง่ ๆ ที่สามารถหาคำตอบได้เองทั้งนั้น
อยากได้ยินเสียงนายจัง มันผ่านมานานเกินไปแล้วนะ
เมื่อก่อนเราคุยกันบ่อยมากเลยนะ นานเป็น 10 ชม.ทุกวันเลย แม้จะมีแต่เรื่องเกมที่เล่นด้วยกัน กับมุกแป้กกาก ๆ ที่ถ้านายไปเล่นกับคนอื่นที่ไม่ใช่เราคงไม่มีใครขำแน่ ๆ
ทำไมความสัมพันธ์ของเราถึงห่างเหินขึ้นแบบนี้เหรอ ฉันทำอะไรพลาดไปรึเปล่า
ถ้าฉันบอกนายว่าคิดถึงจัง ไม่ได้คุยกันตั้งนานนายจะตอบฉันไหมนะ?
>>736
---(2)
แน่นอน มันเป็นเพียงแค่ความคิดที่ฉันไม่คิดจะทำ
เพราะลึก ๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้คิดอะไรมากเกินไปกว่าเพื่อนคนหนึ่ง
ขืนบอกไปแบบนั้นอาจจะโดนบล็อคกลับมาก็ได้
รอเขาชวนคุยดีกว่า
แต่ว่าเมื่อไรกันละ...
อากาศเริ่มร้อนขึ้นจนฉันเลือกที่จะไปอาบน้ำแทนที่จะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาคิดเรื่องของเขา
แต่สุดท้ายฉันก็ยังคิดถึงเขาตอนที่อาบน้ำอยู่ดี
นายเบื่อกันรึเปล่านะ? หรือว่ารอฉันทักไปรึเปล่านะ?
ทั้งเราและนายต่างก็เกิดเดือนเดียวกัน ถ้าจะคิดว่านายเองก็รอฉันทักไปเหมือนกันจะเป็นการเข้าข้างตัวเองรึเปล่านะ?
ถ้าเขาอยากคุยคงทักมาแล้วละน่า...
นายคงไม่ได้คิดแบบเดียวกันและก็รอฉันทักไปใช่ไหม?
แต่มันไม่เหมือนกันเลยนี่ พอฉันทักนายไปทีไรนายก็ตอบมาแค่สั้น ๆ ทุกทีเลยนะ ถึงจะตอบทันทีทุกครั้งก็เถอะ แต่นายก็คงเป็นแบบนั้นกับทุกคนอยู่แล้วใช่ไหมละ
ทั้งที่ตอนที่นายทักมา ฉันตอบนายทันทีและก็ตอบตั้งเยอะด้วย
นายคงรู้ใช่ไหมว่าฉันรอคุยกับนายตลอดเลย
ท่ามกลางกลุ่มคน ฉันได้ยินแต่เสียงนาย คุยแค่กับนาย และตอบแค่นายคนเดียว
ชัดเจนขนาดนั้นไม่มีทางที่นายจะไม่รู้
รู้ใช่ไหมว่าฉันชอบนาย
นายรู้ใช่ไหม?
ถ้าอย่างงั้นทำไมถึงได้หายไปกันละ?
ความคิดหลาย ๆ อย่างเริ่มหลั่งไหลเข้ามาทำให้หงุดหงิดจนจะร้องไห้
คงมีแค่ฉันแหละที่บ้าไปเอง
ฉันควรจะเลิกคิดเรื่องของคน ๆ นี้สักที
>>737
---(3)
โกหกแหละ ถ้าทำได้คงไม่เก็บมาคิดทั้ง ๆ ที่ผ่านมาตั้ง 1 เดือนหรอก
กลับมาย้อนอ่านประวัติข้อความที่เคยคุยกันอีกครั้ง
นายก็ชวนเราคอลคุยตั้งหลายครั้งเลยนะ ทักมาก็บ่อยพอ ๆ กับที่เราทักไปเลย
แสดงว่านายคงไม่ได้รำคาญกันหรอกใช่ไหม?
แล้วมันเป็นเพราะอะไรกัน...
นี่เป็นคำถามที่ฉันสงสัยทุกวันมาเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม
และฉันตั้งใจว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย
>>738
---(4)
ผ่านมานานแค่ไหนไม่รู้ที่ไม่ได้ติดต่อกับคน ๆ นั้น สุดท้ายก็ยังคิดถึงอยู่แต่ก็ได้หันไปทำอะไรต่าง ๆ มากขึ้น
กลับกลายเป็นรู้สึกอยากขอบคุณที่เขาหายไปซะแทน เพราะในที่สุดฉันก็ได้ฝึกฝนตัวเองจนกลับมาทำงานได้อีกครั้งสักที
ในช่วงเวลาโควิดที่ออกจากบ้านไม่ได้ เพื่อที่จะไม่ฟุ้งซ่านฉันจึงตั้งใจอ่านหนังสือสอบอย่างบ้าคลั่ง และฝึกภาษาเพื่อไปทำงานต่างประเทศได้สำเร็จ
จนตอนนี้ก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากแม้จะแอบโหวงเพราะในใจยังคิดถึงเขาอยู่ค่อนข้างมากก็ตาม
ปกติคนเราไม่ควรหมกหมุ่นกับใครสักคนเป็นปีแท้ ๆ เลยนะ
แต่ว่าในวันนี้ความรู้สึกพวกนั้นมันหายไปแล้วหมดละ
ไม่ใช่เพราะตัดใจได้...
แต่เป็นเพราะคน ๆ นั้นกลายเป็นเพื่อนร่วมงานในบริษัท
อา ควรจะแสดงสีหน้ายังไงดีนะ?
"Realm of Fantasy" เกมออนไลน์เกมใหม่ที่เพิ่งเปิดโอเพ่นเบต้าเมื่อตอนบ่ายสอง ผมรอเวลานี้มานานร่วมปี หลังจากที่มีข่าวเปิดตัว ในที่สุดผมก็ได้เล่นเกมนี้ซักที พอเลิกเรียนเสร็จผมก็รีบวิ่งกลับไปที่บ้าน ตรงดิ่งไปที่คอมพิวเตอร์แสนรักของผม ล็อคอินเข้าเกมด้วยบัญชีที่สมัครเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อพบกับดินแดนแห่งความแฟนตาซีที่รอผมอยู่
"ขณะนี้มีผู้เล่นในเซิฟเวอร์เต็มจำนวนค่ะ กรุณาเข้าคิวรอ
จำนวนผู้เล่นเข้าคิว : 420"
"นี่ก็รอมาสามชั่วโมงแล้วนะ เมื่อไหร่จะได้เข้าเกมล่ะเนี่ย เบื่อโว้ย เบื่อ เบื่อจริงจริ๊งงง" ผมได้แต่บ่นไปเรื่อยระหว่างที่ตาก็คอยนับถอยหลังว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวของผมซักที นี่ขนาดผมทำการบ้าน อาบน้ำ กินข้าว ฟังเพลงวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ผมชอบจนจบอัลบั้ม ผมยังไม่ได้เข้าเกมเลย ได้แต่นั่งถอนใจว่าเมื่อไหร่จะได้เล่นเกมที่ผมรอคอยมานานซักที ทันใดนั้นเอง
"จำนวนผู้เข้าคิว : 250"
"จำนวนผู้เข้าคิว : 125"
"จำนวนผู้เข้าคิว : 20"
ผมถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้เห็นคิวผู้เล่นลดลงไปเรื่อยๆในไม่กี่วินาที อีกไม่กี่วินาทีสินะที่ผมจะได้เพลิดเพลินไปกับดินแดนแห่งความแฟนตาซีที่รอผมอยู่
"ขออภัยด้วยค่ะ ขณะนี้เรากำลังทำการปิดปรับปรุงเซิฟเวอร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 23 สิงหาคม เวลา 12.00 AM ตามเวลา UTC ค่ะ"
ผมได้แต่มองข้อความนี้ซ้ำไปซ้ำมาแล้วได้แต่ถามในใจว่า "12.00 AM ตามเวลา UTC นี่มันกี่โมงวะ" ผมจึงนั่งค้นหาในเว็บไซต์เซิร์จเอ็นจิ้นแล้วผมก็ได้รู้ว่า มันคือเวลาห้าโมงในไทย หรือก็คือตอนนี้นี่เอง
"ถ้าเกมมันไม่พร้อมแล้วคุณพี่จะเปิดทำซากอะไรคร้าบบ! ถามจริ๊งงง!" ผมตะโกนออกไปด้วยความหัวเสียที่นอกจากเซิฟเวอร์จะไม่เพียงพอต่อผู้เล่นแล้ว ยังนับเวลาสากลไม่เป็นอีก หลังจากที่หัวเสียได้ซักพัก ผมก็ลองล็อคอินเข้าเกมใหม่อีกรอบ แต่คราวนี้ได้ผล ตัวเกมขึ้นหน้าต่างให้เลือกเซิฟเวอร์ได้ตั้งมากมาย แต่แทบทุกเซิฟเวอร์มีผู้เล่นเต็มไปหมดจนไม่สามารถเข้าไปเล่นได้ ผมพยายามเลือกเซิฟเวอร์ SEA อย่างสุดชีวิต เพราะอินเตอร์เน็ตของผมไม่สามารถไปเล่นในเซิฟเวอร์อื่นได้ จนในที่สุด ผมก็สามารถเข้าไปเล่นในตัวเกมได้ซักที
"นี่คือโลกแห่งอูราเซีย โลกที่เต็มไปด้วยเวทย์มนต์และสัตว์วิเศษ ที่กำลังถูกจอมมารผู้ชั่วร้ายหมายจะครอบครองดินแดนแห่งนี้ ท่านผู้กล้ามีนามเช่นไรกัน" เสียงผู้หญิงอันหวานซึ้งชวนหลงไหลได้ดังขึ้น พร้อมหน้าต่างให้กรอกชื่อตัวละครที่ผมจะสร้าง ผมมีชื่อหนึ่งอยู่ในในมานานจึงไม่รอช้าที่จะกรอกชื่อและนามสกุลของตัวละครลงไป
"รับรองว่าชื่อนี้ไม่มีใครเหมือนแน่" ผมกระหยิ่มยิ้มย่องในการตั้งชื่อของตน แต่ทว่า...
"ขออภัยค่ะ ชื่อนี้มีคนใช้ซ้ำไปแล้วค่ะ"
"นี่มันยังมีคนคิดชื่อเห่ยเหมือนตูอีกเหรอวะเนี่ย!!! สมหมาย ชายทุ่ง มีคนใช้ซ้ำไปแล้วเนี่ยนะ" ผมตะโกนออกมาด้วยความหัวเสียที่อุตส่าห์คิดชื่อที่ไม่น่าจะมีใครกล้าใช้ แต่ดันมีคนมาใช้ตัดหน้าไปซะก่อน ผมที่ไม่ได้เตรียมชื่ออื่นจึงลองสุ่มชื่อใหม่จากระบบสุ่มชื่อตามความสนใจ ผมจึงกรอกลงไป ทั้งนักร้องในวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ชอบฟัง ตัวละครเอกในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ชอบ และอย่างอื่นอีกมาก แล้วระบบก็สุ่มชื่อว่า...
"มิยาวากิ มัสแตง สตราโตคอฟสกี้ที่ 48"
ผมได้แต่นั่งกุมขมับกับระบบที่สุ่มชื่อออกมาให้ผม ผมนึกว่าจะมีการอนาแกรมชื่อให้ดูเป็นผู้เป็นคนกว่านี้ ระบบดันยัดชื่อกับนามสกุลมาทั้งดุ้น แล้วไอ้สตราโตคอฟสกี้ที่ 48 มันมาจากไหนอีก ผมพยายามจะสุ่มชื่อใหม่ แต่แล้วก็มีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมา
"นามนี้เป็นนามที่ดียิ่ง เทพธิดาโอฟิเลียจึงได้ประทานพรให้ท่านด้วยการมอบกล่องสุ่มอาวุธระดับ SSR จำนวน 1 กล่อง
เงื่อนไข : หากท่านทำการสุ่มชื่อใหม่หรืออกไปสร้างตัวละครใหม่ จะไมมีการมอบไอเทมดังกล่าวอีก"
"เอายังไงดีวะตู ของก็อยากได้ แต่ชื่อนี่ไม่ไหวเลยว่ะ" ผมบ่นรำพึงพลางครุ่นคิดไปด้วย ในขณะนั้นผมก็สังเกตข้อความที่เพิ่มเติมตัวเล็กๆในบรรทัดล่างสุด
"เวลาในการตัดสินใจจะหมดลงใน 5...4....3...2..."
ผมกดยืนยันเลือกชื่อนี้แบบไม่ลังเล
ความรู้สึกโหยหาที่พยายามกดไว้เกือบสามสิบปีปะทุขึ้นระหว่างดูข่าวต่างประเทศในเช้าวันหนึ่ง น้ำตาพริมารื้นอย่างไร้เหตุผล สามีรีบเปลี่ยนช่อง ทว่าไม่ทัน เธอซบลงสะอึกสะอื้นหลั่งน้ำตาไร้สุ้มเสียง คำปลอบโยนไม่ช่วยคลายความคิดถึง เธอนอนไม่หลับทั้งคืน รุ่งเช้าเธอบอกเขาว่าอยากไปเตหะราน
ธิติไม่พูดอะไร เพียงยิ้มเศร้า เธอเองก็หมองหม่น อดีตไม่จางไปพร้อมเวลา เธอสัญญาว่าจะรักษาตัว และรีบกลับมาทันทีที่เสร็จธุระ
ไม่มีกระทั่งเบอร์ติดต่อคนรู้จัก ในสมุดบันทึกที่เก็บไว้อย่างดีมีเพียงที่อยู่ เธอเตรียมตัวเดินทางหลายอาทิตย์ ธิติถามไถ่ตลอดเวลาว่าต้องการให้ไปเป็นเพื่อนไหม เธอปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
อกพริมาเต้นแรงเมื่อเข้าน่านฟ้าต่างแดน ความสุขเศร้าหนหลังหวนสู่ปัจจุบัน เธอรู้ดีว่าไม่ควรมา ทุกคนอาจลืมเธอไปแล้ว
แต่เธอไม่ลืม
สภาพบ้านเมืองแตกต่างจากในความทรงจำ แท็กซี่แล่นผ่านถนนที่เธอจำชื่อไม่ได้ แต่ไม่เคยลืมว่าเธอกับเขาเคยเดินเที่ยวกันอย่างมีความสุขขนาดไหน ร้านกาแฟบรรยากาศอึมครึมตรงหัวมุมไม่มีอยู่อีกแล้ว หายไปพร้อมกับเขา เปลี่ยนกลายเป็นบางสิ่งที่ไม่อาจย้อนคืน
อดีตไม่หมุนย้อน คนรักไม่คืนกลับ ความรักแหลกสลาย
“คุณต้องเชื่อมั่น พิมา เชื่อว่าเราจะมีวันที่ดีกว่านี้” อาลีย้ำกับเธอทุกครั้งที่เขาออกไปบนถนน แจกใบปลิวต่อต้านชาห์ สับสนกลางเปลวเพลิงและเสียงกรีดร้องก่นด่า เขาเชื่อมั่นในโมซาเดก เชื่อในระบอบใหม่ ขณะที่เธอไม่เชื่อในสิ่งใดเลย นอกจากตัวเขา
เธอเป็นผู้หญิงที่วิ่งตามความรัก ส่วนคนรักของเธอวิ่งตามอุดมการณ์เลือนราง
เขาไม่เคยหยุดรอ
พริมาส่ายหน้าสิ้นหวัง อยากรั้งเขาไว้
วันที่ดีจะมีความหมายอะไรถ้าคุณเป็นอะไรไป คำตัดพ้อติดอยู่ในลำคอ คำอ้อนวอนไม่เคยส่งไปถึง น้องสาวเขาบอกว่าเธอรักคนผิด อาลีไม่ใช่ผู้ชายที่จะมองเห็นความรักของใคร พริมาวิ่งตามเขา เพราะเขาเป็นคนเช่นนั้น ความขึ้งแค้นในดวงตาคมรีดึงดูดเธอ เมื่อสังหรณ์ว่าอาจไม่ได้เจอกันอีก ในท้ายชั่วโมงประวัติศาสตร์ตะวันออก เธอรวบรวมความกล้าเข้าหา เกราะของเขาแข็งแกร่ง แต่ใช่ไร้ช่องว่าง
อาลีเกลียดอเมริกาทั้งที่อยู่บนแผ่นดินอเมริกา เธออ่านทุกอย่างในแววตาเขาได้ และโดยไม่รู้ตัวก็ถูกเขาดึงความสนใจ เธอเป็นคนขอคบ เขาลังเล แต่ไม่ปฏิเสธ รักแบบวัยรุ่นคงจะไม่ร้อนแรงเท่าไหร่ เธอคิด ไม่คาดหวังรักยืนยาว ทว่าสุดท้ายกลับลงเอยที่เธอตามเขากลับมาอิ ห ร่ า น
ในช่วงที่บ้านเมืองตึงเครียดที่สุด ความรักของเธอเข้มข้นลึกซึ้ง ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้แม้แต่คำคัดค้านอย่างห่วงใยของพ่อแม่ ไม่ผิดถ้าเธอจะมีรัก ไม่เป็นอะไรถ้าจะลงหลักปักฐานอยู่ไหนที่ไม่ใช่ประเทศไทย
ขอแค่เธอมีความสุข
พริมามีความสุข
น่าเศร้าที่ความสุขนั้นไม่คงอยู่ตลอดไป
เธอเข้ากับครอบครัวของอาลีได้ดี แม่เขาเปิดใจยอมรับเธอเป็นสะใภ้อย่างไม่ขัดเขิน เธอหัดทำหลายอย่างเพื่อเตรียมพร้อมเป็นภรรยาเขา อาลีไม่ปฏิเสธความรัก และเขาตอบแทนเธอด้วยความอ่อนหวานเทียมกัน การแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเรื่องยาก เธอพอใจเพียงพิธีตามธรรมเนียมเปอร์เซียเล็กๆ
ขณะที่ภายในบ้านสงบอบอุ่น ข้างนอกกลับวุ่นวายราวกับสงคราม อาลีใช้ชีวิตอยู่ระหว่างสองโลกนี้ ไม่นำสิ่งใดมากล้ำกลายกัน เหมือนว่าเขาจัดการทุกอย่างได้ไม่ติดขัด ทว่าพวกผู้หญิงในบ้านไม่คิดเช่นนั้น
>>743
พริมาไม่สามารถคิดถึงแค่ความสุขของตัวเอง เธอคิดถึงเขา สิ่งที่เขากำลังเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน บางวันเธอเห็นภาพหลอน ตำรวจซาวักวนเวียนอยู่แถวบ้าน พวกผู้ชายไว้หนวดเคราสวมแจ็คเก็ตหนังเดินผ่านไปมา อาลีบอกว่าเธอคิดมาก เธอต้องทำใจให้สบายเพื่อสุขภาพของลูกในท้อง เธอพยักหน้าเออออ ซึมซับสัมผัสมือเขาบนหน้าท้องโป่งนูน เลือดเนื้อของเธอและเขาจะลืมตาขึ้นมาในประเทศที่ดีกว่า
ทุกคนเป็นซาวัก
หูตาของชาห์มีอยู่ทุกที่ ไม่สามารถแยกออกจากคนทั่วไป อาจบางทีคนทั่วไปนั้นเองที่เป็นตำรวจลับของชาห์ อาลีไม่ไว้ใจใคร เขาเปิดรับเพื่อนบ้านน้อยลง หลังเสียงทุบประตูระรัวกลางดึกคืนหนึ่ง เขาพาเธอกับแม่ไปหลบอยู่กับญาติในกะรัจ พริมาทุ่มเถียง งานของเธอจะเป็นยังไง เธอจะทิ้งร้านกับน้องสาวเขาไปได้ยังไง
“ความปลอดภัยต้องมาก่อน จูนัม ขอร้อง”
เขาห่วงพวกเธอ แต่ไม่ห่วงตัวเอง ทิ้งเธอไว้ในบ้านทุ่งห่างไกลหูตาทางการ ส่วนตัวเองหันกลับสู่ดงกระสุน พริมาใช้เสียงกรีดร้องหยุดเขา น้ำตาของเธอไม่ทำให้เขาลังเล
“ฉันขอให้คุณหยุด ฉันรักคุณนะอาลี คุณได้ยินมั้ยว่าฉันรักคุณ แค่นี้เราก็มีความสุขดีอยู่แล้ว”
ฉันไม่ได้ตามคุณมาเพื่อให้คุณทิ้งไป
เขาเม้มริมฝีปากบางเฉียบ กอดเธอแนบแน่น พริมาทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้ วอนให้เขาทิ้งอนาคตของประเทศสิ้นหวังนี้ ขอร้องให้เขาทิ้งเพื่อน
เพื่อเธอกับลูก
“แต่ผมไม่มีความสุข!” เขาร้องใส่หน้าเธอ ผายมือออกไปยังโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวการจลาจล เส้นเลือดฝอยแผ่เต็มหน่วยตา พริมาตัวสั่น ถอยห่าง ไม่เคยเห็นเขาขึ้นเสียงแบบนี้มาก่อน “ประเทศนี้ไม่ใช่ของพวกตะวันตก พิมา มันเป็นของเรา มันควรจะเป็นของเรา”
“มันก็เป็นของเราไงคะ”
“แล้วทำไมพวกเราถึงมีชีวิตอยู่กันแค่นี้ ไม่ว่าจะทำงานหนักขนาดไหน ไม่ว่าพยายามเท่าไหร่ ประเทศนี้มีทรัพยากรมากมาย แต่มันกลับมาไม่ถึงเราเลย คุณบอกผมสิจูนัม ไม่ใช่เพราะพวกนั้นเหรอที่ขายประเทศ สูบเลือดสูบเนื้อจนอ้วนพี ขณะที่ประชาชนอดตายไม่เว้นแต่ละวัน!”
พริมาส่ายหน้า เธอจะอธิบายได้ยังไงในเมื่อเธอไม่ได้สนใจอะไรแบบนั้นเลย
ต่อให้อธิบายได้เขาก็คงไม่ฟัง
อาลีอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
เธอเองก็อยากเห็น ถ้าเพียงแต่มันจะไม่ต้องแลกกับความสุขน้อยนิดในมือเธอ
>>744
เธอกลัวอยู่ทุกวันคืน กลัวทุกคราวที่เขาออกจากบ้าน กลัวทุกครั้งที่มีขบวนผ่านหน้าบ้าน เสียงก่นด่าขับไล่ชาห์ สลับขับไล่โมซาเดกกัดกร่อนประสาทเธอไม่เว้นแต่ละวัน
วันนี้ นำความตายสู่ชาห์! วันต่อมา นำความตายสู่โมซาเดก!
ใครจะตายก็ช่าง ใครจะปกครองประเทศก็ไม่สำคัญ
ขอแค่อาลีปลอดภัย เธอไม่ต้องการสิ่งยิ่งใหญ่อย่างประชาธิปไตย หรือระบอบใหม่เลย
เธอไม่ได้มองไปไกลเหมือนเขา
เขาออกจากบ้านหลังการทะเลาะรุนแรงคืนหนึ่ง เธอนั่งกอดเข่าสะอื้น ลางสังหรณ์บอกว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะไม่กลับมา เธอเฝ้ารอด้วยความอกสั่นขวัญแขวน จะทำอย่างไรหากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น รายการทีวีมีแต่เนื้อหาปลุกระดม สั่งสมความหวัง และคนรักของเธอคือหนึ่งในพลังนั้น
อาลีกำลังมุ่งไปสู่ความฝัน ขณะที่เธอสวดมนต์ต่อพระเจ้าทุกองค์ ขอให้เขาปลอดภัย ขอให้เขาได้เห็นโลกที่ใฝ่ฝันในเร็ววัน
และแล้วเขาก็กลับมา ทันเห็นหน้าลูกสาวอ้วนพีที่หน้าตาเหมือนย่า พริมาคิดว่าสถานการณ์กำลังดีขึ้น ระหว่างที่เธอเศร้าโศก กังวล และตื่นเต้นกับการเป็นแม่ ชาห์ลี้ภัย ราชวงศ์ปาห์ลาวีล้มโค่น อยาตอลลาห์ กลับจากฝรั่งเศส เปลี่ยนอิ ห ร่ า น สู่ระบอบใหม่
ทุกอย่างจบลงแล้ว เธอคิด กอดลูกสาวอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของสามี
แต่มันไม่ได้จบลง การเมืองเป็นเช่นนี้ หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่ง ศัตรูคือมิตร มิตรกลายเป็นศัตรู ขบวนการประชาชนที่เคยร่วมขับไล่ราชวงศ์ กลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลเคร่งศาสนาต้องกำจัด
อุดมการณ์แตกต่าง แต่จุดหมายเดียวกัน ตอนนี้เป้าหมายบรรลุแล้ว เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ให้เวลาหนีหรือหลบซ่อน อาลีถูกลากออกไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องอ้อนวอนของแม่และเธอ เสียงร้องไร้เหตุผลของทารกทำให้ใจเธอยิ่งแตกสลาย น้องสาวเขารุดมาหา จนคำพูด มีเพียงน้ำตา
ไม่ว่าซาวักหรือกองกำลังปฏิวัติ เมื่อถูกจับไปก็น้อยคนนักจะได้กลับมา
“ฉันมีคนรู้จักในเอวิน จะลองถามดูว่าอาลีอยู่ที่นั่นไหม” ทาร่าบอกเสียงเรียบ หญิงสาวเข้มแข็งเกินวัย พยายามเป็นหลักให้พวกเธอพึ่งพา
เขาอยู่ แต่เข้าเยี่ยมไม่ได้ แม่ของเขาอ้อนวอนเจ้าหน้าที่ ยอมทำทุกอย่าง จ่ายเท่าไหร่ก็ได้เพื่อประกันตัวลูกชาย แต่เงินไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ พริมานอนน้ำตาไหลทุกคืน นี่น่ะหรือประเทศที่อาลีอยากเห็น นี่น่ะหรือประเทศที่อาลีรัก ทุกอย่างพลิกกลับ ความสุขของเขาสั้นเหลือเกิน สั้นเกินกว่าของเธอนัก
ลูกสาวทำให้พอจะคลายความคิดถึงลงได้บ้าง เด็กน้อยเริ่มมีเค้าหน้าพ่อ พริมาเศร้าสร้อย เธอเห็นสามีซ้อนทับลูก วันคืนเคลื่อนผ่าน ไร้วี่แววเขากลับมา ไร้ความหวัง ข่าวเกี่ยวกับเอวินมีแต่ว่าวันนี้ถูกจับเข้าไปเพิ่มกี่คน กี่ชีวิตถูกปลิดประหาร
เมื่อตัดสินใจมอบใจแก่เขาไป พริมาไม่คิดเลยว่าจะต้องเสียไปมากกว่าหัวใจ เธอเสียทุกอย่าง อนาคตพังทลายในกองไฟแห่งการปฏิวัติ
>>745
เธอกับครอบครัวเขารอคอยด้วยความหวัง สองปีเชื่องช้า แต่รุนแรงเกินรับไหว เมื่อเจ้าหน้าที่นำข้าวของของเขามาส่งอย่างสั่วๆ พร้อมเรียกเก็บค่ากระสุน พริมาแทบล้มทั้งยืน แม่เขาตรอมใจ ก่อนฆ่าตัวตายวันที่สี่สิบหลังจากนั้น
ลูกสาวถูกทอดทิ้ง พริมาไร้จิตใจจะดูแล เธอไม่มีแรงแม้แต่จะใช้ชีวิต พ่อแม่ขอร้องให้กลับบ้านไปตั้งต้นใหม่ เตหะรานมีแต่ความเศร้าโศก เธอสะอื้นไห้ กอดทาร่าหลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บร้าวเจียนตาย
ทาร่าบอกให้เธอกลับบ้าน เธอไม่เหลืออะไรที่นี่แล้ว
พริมายอมกลับ โดยทิ้งสิ่งหนึ่งไว้ให้เธอช่วยดูแล
มันอาจเป็นประเทศที่แตกต่างจากที่อาลีวาดฝัน แต่ก็เป็นประเทศที่เขามีส่วนร่วมปลุกปั้นมาเป็นรูปร่างนี้ เลือดเนื้อเขาซึมผืนดินรองรับรอยเท้าลูกสาว
‘โกลิ’ ดอกไม้งามของเธอกับอาลี
โกลิควรจะได้เติบโตในประเทศที่พ่อของเธอรัก อยู่กับเขาแทนเธอที่อ่อนแอเกินกว่าจะทนอยู่ได้
พริมาเดินเข้าซอยเล็กๆ ผ่านฉากทรงจำมากมาย กว่าจะถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง ตาเธอก็แดงรื้นด้วยความคะนึงหา เธอซับหัวตาแล้วเคาะประตู เสียงความเคลื่อนไหวค่อยๆ ดังขึ้นจากหลังรั้ว หัวใจเต้นโครม ฝ่ามือเย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง
เมื่อประตูเปิดออกโดยเด็กผู้หญิงวัยประมาณสี่ขวบ พริมาก็แทบทรุดลงร้องไห้ เด็กหญิงตื่นตะลึง ตะโกนเรียกแม่แล้ววิ่งกลับเข้าบ้าน หญิงสาวคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นตามลูกสาวออกมา ไถ่ถามเธอด้วยภาษาฟาร์ซี แต่พอเห็นว่าพริมาไม่น่าจะฟังออกก็เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแปลกแปร่ง
“เกิดอะไรขึ้นคะ มีอะไรให้ช่วยไหม” เธอถามด้วยความเป็นห่วง มองหาร่องรอยบาดเจ็บ
พริมามองหญิงสาวผ่านม่านน้ำตา คิ้วเข้ม ริมฝีปากบางอย่างผู้เป็นพ่อ
“คานูมคะ” หญิงสาวยังร้อนใจ
“โกลิ” พริมากระซิบเรียก
เธอยิ้มพยักหน้าน้อยๆ สงสัยว่าอาจเป็นเพื่อนมารดา “มาหาแม่เหรอคะ เข้ามานั่งรอในบ้านก่อนดีกว่าค่ะ อีกเดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้ว”
โกลิช่วยพยุงเธอขึ้น มือหนึ่งประคองอย่างระมัดระวัง มือหนึ่งทำท่าไล่ลูกสาวตัวน้อยเข้าบ้าน ดวงตาพริมาพร่ามัว เหมือนว่าดอกไม้ของเธอกับอาลีจะเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง
ต่อให้ลืมเธอก็ไม่เป็นไร
ขอแค่มีความสุข
พี่หมี มองมนุษย์ทุกคน
ย้อนเวลากลับไป เห็นเป็น sperm x ไข่
มนุษย์ทุกคน เกิดจากการปฏิสนธิกัน
ของแรงกระตุ้นตามธรรมชาติ
สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต
ที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของพวกเราอยู่รอด
.
มนุษย์ทุกคนที่เดินบนท้องถนน
ที่เห็นใน social network
ที่เจอขับรถ ขี่มอเตอร์ไซต์ ขี่ grab
รปภ. พนักงานร้านอาหาร
ตัวท๊อป ผัวตัวท๊อปที่มีรอยสัก
นักการเมือง พระ ผู้พิพากษา
คนต่างชาติ คนพิการ
CEO นักลงทุน แอร์
คนอ้วน คนผอม คนดำ คนขาว
ทำหน้าอก ทำจมูก ศัลยกรรม
.
ทุกคนล้วนมีที่มาจากที่ๆเดียวกัน
มนุษย์เกือบทั้งหมด เกิดจากอดีต
ข้อมูลจากพ่อแม่ที่ปฏิสนธิกัน
เพื่อสร้างมนุษย์คนใหม่ขึ้นมา
.
DNA ของมนุษย์ยุคก่อน ยังอยู่ในร่างกาย
แล้วก็ DNA ของมนุษย์ยุคก่อน
ก็ได้รับการถ่ายทอดมาต่อจากอดีตอีกที
ย้อนกลับไปหลายหมื่น generation
เป็นเวลาที่ยาวนานมากๆ
จนพี่หมีจินตนาการไม่ออกเลย
.
ช่วงเวลานี้ ที่พี่หมีพิมพ์
มันเป็นแค่เสี้ยวเวลาเดียว
ของชีวิตพี่หมี
และชีวิตพี่หมี
ก็เป็นแค่เสี้ยวเวลาสั้นๆ
ของเผ่าพันธุ์พวกเรา
.
เผ่าพันธุ์ของพวกเรา
ก็เป็นแค่ช่วงเวลาแสนสั้น
ของอายุของดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลก
.
ดาวเคราะห์สีฟ้าที่เรียกว่าโลก
ก็อายุน้อยมาก ถ้าเทียบกับระบบสุริยะ
.
ระบบสุริยะ ก็อายุน้อยมาก
ถ้าเทียบกับอายุของทางช้างเผือก
.
อายุของทางช้างเผือก
ก็ยังเทียบไม่ได้กับ
Big Bang
.
ย้อนกลับมาที่ปัจจุบัน
พี่หมีเหมือนมนุษย์ต่างดาว
ที่ได้เกิดมาในโลกใบนี้
พี่หมีเลยอยากจะทำวิจัยมนุษย์ไปเรื่อยๆ
.
X'mas มันคือ เทศกาลที่มาจากซีกโลกเหนือ
ผ่านการนับวัน เดือน ปี จนได้เป็น pattern
ว่าช่วงก่อนปีใหม่ จะต้องมีเทศกาลแบบนี้
.
แซนตี้ ที่มาอยู่กับพี่หมี ตาม request เมื่อคืน
ก็มาจาก culture ตรงนี้ ที่เกิดขึ้นเฉพาะโลกนี้
.
ตอนที่พี่หมี กระแทกอยู่ ก็มองหน้าแซนตี้
เหมือนพี่หมี ไม่ใช่มนุษย์ยังไงก็ไม่รู้
หลังจากที่น้ำที่ 3 ออกไปแล้ว
มันเหมือนกับการเล่น cardio + weight training
ออกกำลังกายตอนเกือบเช้า
.
พี่หมี มองทะลุเนื้อหนังมังสาเข้าไปที่โครงกระดูก
การหายใจ การแลกเปลี่ยน oxygen ที่ปอด
ได้ยินเสียงหอบ สัมผัสได้ถึงลมหายใจ
ของมนุษย์เพศเมีย ที่กำลังถูกผสมพันธุ์
เพื่อแลกกับสิ่งปลอมๆ ที่เรียกว่าเงินตรา
ที่ตอนนี้ กลายเป็นตัวเลข digital
เปลี่ยนตัวเลขทางมือถือ จากเครื่องนึง
ไปอีกเครื่องนึง
.
พี่หมี เลยคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร
อาจจะตีเหมารวมไปสัก 99% ได้เลย
ว่ามนุษย์เราเกิดจากเหตุการณ์แบบนี้
เกิดขึ้นจากการกระแทกกันแบบนี้
เกิดขึ้นจากความรัก ความปรารถนา
ใน moment แบบนี้
.
มันทำให้พี่หมี มองโลกเปลี่ยนไป
.
มนุษย์ทุกคนช่างสวยงาม
มีความแตกต่างเป็นของตัวเอง
โลกนี้ช่างงดงามเหลือเกิน
ขอบคุณที่พี่หมีได้ถือกำเนิดมา
ในดาวเคราะห์สีฟ้าแห่งนี้
ขอบคุณที่เป็นช่วงปลายปี 2021
.
ไม่รู้จะขอบคุณอะไรไปมากกว่านี้
พี่หมีอยากขอบคุณทุกคนเลย
ไม่ว่าจะเป็นใคร
.
จากัวร์ตัวนั้นเป็นตัวสุดท้ายที่เขาฆ่า ความตายของมันนำมาซึ่งจุดเริ่มต้นของการชดใช้บาปนิรันดร์กาล เลือดแดงคล้ำหลากหลั่งจากหลอดเลือดดำของสัตว์ร้าย ขณะรอยตะปปที่ลำคอของซูกำลังผดฟองฟอด ลมหายใจและชีวิตค่อยๆ หลั่งไหลจากร่างกำยำคืนสู่ผืนดิน ดวงตาหม่นแสงเบิกโพลงสะท้อนทะเลดาวดาดาษ
จบสิ้นแล้ว ซูไม่อาจขัดขืนครรลองชีวิต น่าอดสูที่ผู้ล่าพลาดท่าให้เหยื่อ คมหินเสียบหัวใจเสือ แลกกับเนื้อต้นคอถูกกรงเล็บคมกริบกรีดกระชาก
การตายระหว่างล่าเป็นเรื่องปกติ การออกล่าแต่ละครั้งหมายความว่าตนเองก็อาจถูกล่าเช่นกัน
จากสัตว์
จากเผ่าอื่น
จากผู้บุกรุก
ซูไม่เคยเผชิญหน้ากับผู้บุกรุก ได้ยินเพียงผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง ท่อนไม้ยิงลูกไฟได้ของพวกมันน่าครั่นคร้าม เข่นคร่าทุกชีวิตที่ขัดขืนขวางทาง
ไม่ต่างกัน
ซูก็เหมือนพวกมัน ต่างเพียงเขาฆ่าแค่สัตว์เท่านั้น เลือดกระตุ้นเลือดในกายให้สูบฉีด จากสัตว์เล็กอย่างกิ้งก่า ค่าง งู ซูก็เริ่มล่าวัวป่า ยิ่งเลือดหลั่งก็รินยิ่งนำมาซึ่งความพึงใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาฆ่าเพื่อสนองสัญชาตญาณดิบ หาใช่เพื่อยังชีพ
‘ซักวันจ้าวภูเขาจะลงโทษเจ้า’ ผู้เฒ่าเดือดดาลที่สัตว์น้อยใหญ่ซึ่งถูกเข่นฆ่าโดยไร้ความจำเป็น
คำสาปแช่งรออยู่ภาคหน้า ซูไม่ยี่หระอำนาจผีสาง แม้กระทั่งคืนที่ผีสางแห่งป่าเขามาเหนี่ยววิญญาณเขาออกจากร่างเนื้อ ชายหนุ่มก็คิดเพียงว่า นั่นสินะ
เสียงแมลงกรีดปีกเฉลิมฉลองการตายของนักล่า บทลงโทษที่รออยู่หลังความตายคือไม่อาจตายได้ ไม่มีเชือกจูงสู่นรกหรือสวรรค์ ไม่มีดินแดนส่องสว่างหรือมืดมิดชั่วนิรันดร์ มีเพียงยักษ์เร่ร่อนเดียวดายที่ไม่อาจดำรงถาวร ณ ถิ่นที่ใด กรีดร้องคร่ำครวญด้วยเสียงของสัตว์ทุกตัวที่ถูกชำแหละเป็นๆ เขย่าขวัญมนุษย์เลือดเย็นที่ครั้งหนึ่งซูเคยเป็นให้หลีกพ้นจากสรรพสัตว์ที่อาจถูกเขาฆ่าหากว่ายังมีชีวิตอยู่
ผู้พรากกลายเป็นผู้ปกปักษ์
วิญญาณต้องสาประหกระเหินผ่านกาลเวลาเชื่องช้า เผ่านั้นถูกสังหารสิ้น เผ่านี้ก่อเกิดขึ้นมา แยกแยะจากกันด้วยรอยสักและภาษา สิ่งที่เคยรู้จักค่อยๆ สูญหาย ภาษาเดียวที่วิญญาณโบราณเข้าใจคือภาษาของสัตว์
มนุษย์ทุกผู้เป็นศัตรู
สัตว์ทุกตัวก็เป็นศัตรู
เสียงกรีดร้องที่ควบคุมไม่ได้ยังผลให้สัตว์คลุ้มคลั่ง เหยียบย่ำทำร้ายทุกชีวิตที่ขวางหน้า เลือดที่หลั่งรินไม่ใช่แค่ของสัตว์อีกต่อไป
แม้ไม่อาจหยุดพเนจรเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง ซูก็รู้สึกได้ว่าการวนกลับมาแห่งเดิมใช้เวลาสั้นลง ผืนป่ากำลังหด เสือถูกยิงล้มก่อนคลั่ง เขาสงสัยว่าคำสาปใกล้จะเสื่อมลง แต่เมื่อเห็นคนผิวสีขาวกับดำ เขาก็ตระหนักทันทีว่ามันคงไม่สลายไวดังใจหวัง
ชีวิตบนเกาะเปลี่ยนแปลง ทว่าคำสาปนานนับกัลป์ยังคงอยู่ ซูได้ประจักษ์ว่ามนุษย์โหดร้ายต่อเผ่าพันธุ์อื่นเพียงใด กับเผ่าพันธุ์เดียวกันยิ่งทารุนกว่า
ขาถูกล่ามนำมา แผ่นหลังถูกเฆี่ยนโบย เหงื่อและเลือดรินรดไร่กาแฟและโกโก้ ผลิดอกงอกเงยด้วยวิญญาณและหยาดน้ำตา ความเศร้าโศกคับแค้นฝังกลบใต้ก้อนดิน ทะนุถนอมพืชพรรณและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าชีวิต
ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิต อิสรเสรีคือสิทธิโดยกำเนิดจากพระเจ้า แต่เมื่อมีผู้คิดว่ามนุษย์บางเผ่าพันธุ์ไร้ศักยภาพเกินกว่าจะถือครองชีวิตตน ประวัติศาสตร์บทใหม่ก็จารขึ้น
ซูติดอยู่ในฉากใหม่นี้ เป็นตัวละครพื้นหลังโดยไม่มีผู้ใดรับรู้ถึง เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยโดดเดี่ยวทรมานเปลี่ยนที่มาเป็นความเวทนาต่อชะตาของคนผิวดำ
อิสรภาพถูกพรากชิง ศักดิ์ศรีถูกบดขยี้ ครอบครัวแตกสลาย แม้หัวใจที่เปี่ยมรักก็ไม่อาจเอาชนะโชคชะตา
รักชนะทุกอุปสรรค ประโยคนี้มีมาตั้งแต่ซูยังพูดภาษาตนเองได้ และมันเลื่อนไหลแทรกซึมอยู่เกือบในทุกภาษาบนโลกนี้
ทว่ารักทำอะไรอยู่ระหว่างที่พวกเขาถูกลำเลียงจากบ้านสู่แผ่นดินอื่น รักไม่ช่วยสมานรอยแผลบนแผ่นหลัง รักไม่ช่วยชะล้างความอ่อนล้าโรยแรง รักอาจให้ความหวัง เพียงเพื่อจะพบว่ามันหาได้มีอยู่จริง
ประวัติศาสตร์ไม่เปลี่ยนหน้าเร็วขนาดนั้น
จนกว่าจะเปียกชุ่มด้วยเลือด จนกว่าน้ำตาจะทำให้มันเปื่อยยุ่ย จนกว่าจะถูกไฟแค้นเผาเป็นจุณ
ซูภาวนาให้มันจบลง
นางก็ภาวนาให้มันจบลง
Writing prompt : Love Craft Magic
“นี่คือ Love potion ทำให้ผู้หญิงรักตามที่คุณขอไว้ แล้วอย่าลืมสัญญาของเรา ลูกคนแรกของคุณจะต้องเป็นของฉัน” แม่มดสาวยื่น Love Potion ที่เพิ่งปรุงเสร็จให้กับท่านประธานหนุ่มแห่งเครือเดลต้ากรุ๊ป
“ผมตกลง ลูกคนแรกของผมจะเป็นของคุณ”
ชายหนุ่มรับเอา Love potion ไปถือไว้ เปิดฝา แล้วสาดใส่แม่มดสาว
“แต่เราสองคนจะเป็นของกันและกัน”
ท่านประธานพูดจบแล้วก็ดึงมือแม่มดสาวออกจากบ้าน แม่มดที่เดินตามมาด้วยสีหน้างุนงง
เธอไม่ทันบอกเขา ว่าน้ำยานี้ใช้กินไม่ใช่สาด
ว่าแต่
จะบอกดีไหม
"มาหาตอนตีสองแบบนี้ ไม่เมาก็เงี่ยนถูกไหม?"เขาดักคอ
"ดูพูดเข้า อุตส่าห์หนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ"ฉันออดอ้อน
"หนีร้อนจากคนที่หักอกคุณมารอบที่ร้อยอ่ะนะ?"เขารู้ทัน
"หนีไม่พ้นหรอก คุณชอบแบบนั้นล่ะ ผมดูออก"
"ชอบแบบไหนไม่ทราบ"
"แบบเจ็บแล้วเจ็บอีก เจ็บซ้ำซากเหมือนพวกที่เชื่อในความรัก"
.
หมดคำจะโต้
ไร้คำจะตอบ
ก้อนสะอื้นขวางทุกประโยคที่มี
.
"เห็นหรอกนะ ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ฉอดร้าบาลแล้ว รับบทคนคลั่งรัก เวิ่นเว้อคำคมรัว ๆ ผมคิดว่าแอคไลฟ์โค้ช" เขาแซะ
"พูดซะดูเราเป็นสลิ่มเลย" ฉันจ๋อย
ส่วนเขาหัวเราะเอ็นดู
.
"เรื่องการเมืองคุณคงไม่สลิ่มหรอก
แต่ถ้าความรักผมว่าคุณใกล้ละ"
"ใกล้สลิ่ม?"
"อื้อ ใช่"
ไอ้นี่กวนตีนซะแล้ว คิดว่าจะหักมุม
เสือกตอบตามจริงอีก
.
"โห จะไม่หักมุมโบ๊ะบ๊ะให้หัวเราะหน่อยเลยหรอ ชงไปเต็มที่เลย นี่คนเศร้านะะะ"
ฉันไม่วายอ้อนต่อ
พลางกระเถิบตัวเข้าใกล้
.
"ก็คุณคลั่งรักเหมือนพวกคลั่งเจ้า งมงายกับเขาเหมือนคนที่งมงายว่าเผด็จการเป็นประชาธิปไตย อ้อ
หลงเขายิ่งกว่าคนที่ศรัทธาประชาธิปัตย์ด้วยนะ"
"เจ็บอ่ะคุณ"
ฉันตีหน้าเศร้ากว่าเดิมสามเท่าหลังจากเขากระหน่ำความจริงชุดใหญ่ใส่
ถ้าไม่ตาสว่างก็คงเป็นพวกคลั่งรักยิ่งกว่าลัทธิคลั่งเจ้าจริงอย่างเขาว่า ต่างตรงที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ฉันรัก ฉันเต็มใจเป็นทาสปล่อยไม่ไปของแท้
.
"เป่าหน่อยสิ เจ็บตรงนี้"
ฉันกระเง้ากระงอด แล้วชี้ไปตรงตำแหน่งของหัวใจ ประหนึ่งว่ามีแผลสดเลือดซิบแสบเจียนตายอยู่ตรงนั้น
แล้วฉันก็ถอดชุดคลุมเบาแผ่ว เหมือนแมวตัวน้อย ๆ ที่บาดเจ็บแล้วสำออยเพื่ออ้อนใครสักคน
แล้วชุดนอนลายดอกไม้ที่ใส่มาจากบ้านก็แบ่งบานต่อหน้าเขา
.
กลีบดอกแดงฉ่ำ
ลำก้านแข็งตระหง่านชูเด่น
หยาดฉ่ำเยิ้มแฉะ
และเมล็ดพันธุ์สั่นระริก
.
"ผมไม่เป่าให้ ไม่ต้องมาอ้อน"
ถ้อยความปฏิเสธชัดแจ้ง
แต่ปฏิกิริยาเขาแพ้พ่ายชัดกว่า
ลมหายใจพ่นไออุ่นเจียนร้อนราวจะเผาไหม้
เป็นสัญญาณว่าร่างกายเราต้องการกันแทบบ้า
.
"เจ็บไม่จำแบบคุณต้องโดนทำโทษนะ รู้ใช่ไหม"
"หรอ กลัวจัง"
ความหมายว่ากลัว
แต่สีหน้าไม่บอกอย่างนั้น
ฉันมองลึกลงไปในดวงตาเขาอย่างท้าทาย
ลึกเท่าลึก
ริมฝีปากฉันแนบริมฝีปากเขา
แน่นเท่าแน่น
นานเท่านาน
เราโผเข้าหากัน
ไวเท่าไว
อย่างโหยหา
อย่างกระหายหิว
อย่างตะกรุมตะกราม
.
ไม่มีคำพูดอื่นใดอีก
เรือนร่างฉันคุยกับเรือนร่างเขา
ผลุบเข้า
ช้า
ผลุบออก
เร็ว
ร้อนเร่ง
กระตุกเร้า
ร่ายรำไปในจังหวะของบทสนทนา
บางจังหวะเราแทบกระซิบแผ่ว
แล้วสลับเป็นเน้นหนัก
สะเทือนเลื่อนลั่นในวินาทีหนึ่ง
และเบาหวิวลอยล่องในอีกวินาทีหนึ่ง
.
"อยากรักเขาก็รักไปเถอะ
ใครจะห้ามคุณได้ รักเองก็เจ็บเอง"
"เอ้า ไม่ดุเราแล้วหรอ"
"อื้อ ไม่ดุแล้ว วันไหนทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็มาให้ผมเป่าแผลนะ"
.
อบอุ่นเป็นบ้า
มิน่าฉันต้องซมซานมาให้เขาเลียแผลใจทุกรอบ
.
"ผมมาคิด ๆ ดูแล้ว กว่าสลิ่มจะเปลี่ยนใจยังต้องใช้เวลา กว่าคนจะตาสว่างยังต้องค่อยเป็นค่อยไป จะให้คนใต้เลิกศรัทธาประชาธิปัตย์ยังต้องใช้เป็นชั่วอายุคนเลยนี่ จริงไหม?"
เหมือนเขาจะใจดีใส่
แต่...
เดี๋ยวนะ
ไอ้เวรเอ๊ย!
.
ไม่เสียเวลาคุยด้วยต่อแม้แต่คำเดียว กระโจนเข้าใส่เขาอีกหนให้สมกับความโกรธที่ถูกตราหน้าว่างมงายในรักเหมือนคนที่ยังดันทุรังเชียร์ประชาธิปัตย์ ทั้งที่มีสารพัดเรื่องเหม็นเน่า ขัดกับภาพลักษณ์ไอ้ต้าวคนดีถึงเพียงนั้น...
"มาหาตอนตีสองแบบนี้ ไม่เมาก็เงี่ยนถูกไหม?"เขาดักคอ
"ดูพูดเข้า อุตส่าห์หนีร้อนมาพึ่งเย็นนะ"ฉันออดอ้อน
"หนีร้อนจากคนที่หักอกคุณมารอบที่ร้อยอ่ะนะ?"เขารู้ทัน
"หนีไม่พ้นหรอก คุณชอบแบบนั้นล่ะ ผมดูออก"
"ชอบแบบไหนไม่ทราบ"
"แบบเจ็บแล้วเจ็บอีก เจ็บซ้ำซากเหมือนพวกที่เชื่อในความรัก"
.
หมดคำจะโต้
ไร้คำจะตอบ
ก้อนสะอื้นขวางทุกประโยคที่มี
.
"เห็นหรอกนะ ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ฉอดร้าบาลแล้ว รับบทคนคลั่งรัก เวิ่นเว้อคำคมรัว ๆ ผมคิดว่าแอคไลฟ์โค้ช" เขาแซะ
"พูดซะดูเราเป็นสลิ่มเลย" ฉันจ๋อย
ส่วนเขาหัวเราะเอ็นดู
.
"เรื่องการเมืองคุณคงไม่สลิ่มหรอก
แต่ถ้าความรักผมว่าคุณใกล้ละ"
"ใกล้สลิ่ม?"
"อื้อ ใช่"
ไอ้นี่กวนตีนซะแล้ว คิดว่าจะหักมุม
เสือกตอบตามจริงอีก
.
"โห จะไม่หักมุมโบ๊ะบ๊ะให้หัวเราะหน่อยเลยหรอ ชงไปเต็มที่เลย นี่คนเศร้านะะะ"
ฉันไม่วายอ้อนต่อ
พลางกระเถิบตัวเข้าใกล้
.
"ก็คุณคลั่งรักเหมือนพวกคลั่งเจ้า งมงายกับเขาเหมือนคนที่งมงายว่าเผด็จการเป็นประชาธิปไตย อ้อ
หลงเขายิ่งกว่าคนที่ศรัทธาประชาธิปัตย์ด้วยนะ"
"เจ็บอ่ะคุณ"
ฉันตีหน้าเศร้ากว่าเดิมสามเท่าหลังจากเขากระหน่ำความจริงชุดใหญ่ใส่
ถ้าไม่ตาสว่างก็คงเป็นพวกคลั่งรักยิ่งกว่าลัทธิคลั่งเจ้าจริงอย่างเขาว่า ต่างตรงที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ฉันรัก ฉันเต็มใจเป็นทาสปล่อยไม่ไปของแท้
.
"เป่าหน่อยสิ เจ็บตรงนี้"
ฉันกระเง้ากระงอด แล้วชี้ไปตรงตำแหน่งของหัวใจ ประหนึ่งว่ามีแผลสดเลือดซิบแสบเจียนตายอยู่ตรงนั้น
แล้วฉันก็ถอดชุดคลุมเบาแผ่ว เหมือนแมวตัวน้อย ๆ ที่บาดเจ็บแล้วสำออยเพื่ออ้อนใครสักคน
แล้วชุดนอนลายดอกไม้ที่ใส่มาจากบ้านก็แบ่งบานต่อหน้าเขา
.
กลีบดอกแดงฉ่ำ
ลำก้านแข็งตระหง่านชูเด่น
หยาดฉ่ำเยิ้มแฉะ
และเมล็ดพันธุ์สั่นระริก
.
"ผมไม่เป่าให้ ไม่ต้องมาอ้อน"
ถ้อยความปฏิเสธชัดแจ้ง
แต่ปฏิกิริยาเขาแพ้พ่ายชัดกว่า
ลมหายใจพ่นไออุ่นเจียนร้อนราวจะเผาไหม้
เป็นสัญญาณว่าร่างกายเราต้องการกันแทบบ้า
.
"เจ็บไม่จำแบบคุณต้องโดนทำโทษนะ รู้ใช่ไหม"
"หรอ กลัวจัง"
ความหมายว่ากลัว
แต่สีหน้าไม่บอกอย่างนั้น
ฉันมองลึกลงไปในดวงตาเขาอย่างท้าทาย
ลึกเท่าลึก
ริมฝีปากฉันแนบริมฝีปากเขา
แน่นเท่าแน่น
นานเท่านาน
เราโผเข้าหากัน
ไวเท่าไว
อย่างโหยหา
อย่างกระหายหิว
อย่างตะกรุมตะกราม
.
ไม่มีคำพูดอื่นใดอีก
เรือนร่างฉันคุยกับเรือนร่างเขา
ผลุบเข้า
ช้า
ผลุบออก
เร็ว
ร้อนเร่ง
กระตุกเร้า
ร่ายรำไปในจังหวะของบทสนทนา
บางจังหวะเราแทบกระซิบแผ่ว
แล้วสลับเป็นเน้นหนัก
สะเทือนเลื่อนลั่นในวินาทีหนึ่ง
และเบาหวิวลอยล่องในอีกวินาทีหนึ่ง
.
"อยากรักเขาก็รักไปเถอะ
ใครจะห้ามคุณได้ รักเองก็เจ็บเอง"
"เอ้า ไม่ดุเราแล้วหรอ"
"อื้อ ไม่ดุแล้ว วันไหนทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็มาให้ผมเป่าแผลนะ"
.
อบอุ่นเป็นบ้า
มิน่าฉันต้องซมซานมาให้เขาเลียแผลใจทุกรอบ
.
"ผมมาคิด ๆ ดูแล้ว กว่าสลิ่มจะเปลี่ยนใจยังต้องใช้เวลา กว่าคนจะตาสว่างยังต้องค่อยเป็นค่อยไป จะให้คนใต้เลิกศรัทธาประชาธิปัตย์ยังต้องใช้เป็นชั่วอายุคนเลยนี่ จริงไหม?"
เหมือนเขาจะใจดีใส่
แต่...
เดี๋ยวนะ
ไอ้เวรเอ๊ย!
.
ไม่เสียเวลาคุยด้วยต่อแม้แต่คำเดียว กระโจนเข้าใส่เขาอีกหนให้สมกับความโกรธที่ถูกตราหน้าว่างมงายในรักเหมือนคนที่ยังดันทุรังเชียร์ประชาธิปัตย์ ทั้งที่มีสารพัดเรื่องเหม็นเน่า ขัดกับภาพลักษณ์ไอ้ต้าวคนดีถึงเพียงนั้น...
ชายคนหนึ่งกำลังนอนหงายบนเตียงนอนพุๆพัง เขามองจอโทรศัพท์มือถือจีนยี่ห้อดัง หัวเว่ย gr5 2017 ภายในหน้าจอมันเป็นหน้าเว็บไซต์สำหรับวัยรุ่น นามเด็กดี ที่มีหมวดการใช้งานต่างๆมากมาย หมวดที่ชายคนนั้นมองดูคือหมวดนิยาย เขามองไปที่ขวาบนของเว็บ กดที่หน้าโปรไฟล์ เลื่อนหาหัวข้อหมวดนิยายของฉัน เขาจ้องมองมันอยู่นาน ทำใจเพื่อรับ'บางสิ่ง' ที่จะตามมา ในท้ายที่สุดเขาก็กดมันไปที่หน้าแต่งนิยาย ชายคนนี้แต่งนิยายเพียงเรื่องเดียว มันเป็นเรื่องที่เขาแต่งเพื่อจะเอายอดคนอ่าน และ ยอดคอนเม้นล้วนๆ 'เมื่อพระเจ้าจุติมาต่างโลก' นั่นคือนิยายของเขา ชื่อเรื่องสุดเชยนี้ ปรากฎในหัวเขาตอนดูสตรีมเมอร์นักรีวิวอนิเมะชื่อดัง กำลังอ่านนิยายสุดคริ้นของตัวเองอยู่ นั่นทำให้ชายที่นอนอยู่ อยากเริ่มแต่งนิยายของตัวเอง แต่ทว่าตัวเขาเป็นพวกเกลียดเรื่องพระเอกเทพ แต่เขาก็อยากได้ยอดอ่าน นั่นทำให้เนื้อเรื่องในนิยายพระเอกมักจะทำตัวดูกระจอกและโชว์เก่งบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งขัดกับชื่อนิยาย เหล่าๆนักอ่านคุณภาพที่หลงมาด้วยชื่อเรื่องสุดดึงดูด 'พระเจ้า' แค่คำนี้คำเดียว สมองของคนเหล่านั้นก็คาดหวังที่จะได้เห็นพระเอกโชว์เทพ ตบจอมมารให้เกรียนแตก แล้วจับมันแปลงเพศเป็นหญิงสาวนมโต และให้พระเอกจับข่มขืนต่อกรรมที่นางได้ทำมา แต่พวกเขากับพบว่าพระเอกของนั้นดูกลางๆจืดๆ ไม่กาก ไม่เก่ง สมองที่เต็มไปด้วยความเบียว และคลั่งไคล้อยากเห็นพระเอกเทพ จึงสั่งให้มือเลื่อนลงช่องความคิดเห็น พร้อมกับให้มันพิมพ์สั่งไรท์เตอร์ถึงความไม่พอใจพวกเขา 'พระเอกไม่เห็นเทพเหมือนชื่อเรื่องเลย' 'ตั้งชื่อมาหรอกคนดูหรอครับ ผมเสียความรู้สึกนะ' 'ไรท์น่าจะให้พระเอกโชว์เทพมากกว่านี้นะ ขอฮาเร็มเยอะๆด้วย' ชายที่นั่งมองจอโทรศัพท์ ได้มองลงไปที่ช่องความคิดเห็น เขาอ่านมันทุกระเบียบนิ้ว ความรู้สึกของเขาตอนนี้มันช่างปั่นป่วน นิ้วมือของเขากดลงข้างที่ปุ่มขวาล่าง การกดปกติจะเป็นโหมดหน้าต่างแอปพลิเคชันต่างๆ แต่เมื่อกดข้างมันคือโหมดสองหน้าจอ เขามองหาไอคอนแอพสีแดงขาว ซึ่งนั่นก็คือยูทูป เขากดมันพร้อมไปที่หน้าค้นหาอย่างเร็วไว มือของเขาพิมพ์ชื่อเพลง 'Nuclear Mike Oldfield' ในตอนที่เขากดค้นหา มืออีกข้างก็คว้าหูฟังคู่ใจที่อยู่บนเตียง เขาจัดแจงสวมใส่มัน และต่อเข้ากับโทรศัพท์มือถือ เมื่อการค้นหาเสร็จสิ้น ชายคนดังกล่าวกดฟังมันอย่างนุ่มนวล จากท่านอน เขาลุกขึ้นนั่ง และมองไปที่อีกหน้าต่างด้านบน เขากดที่ชื่อนิยาย มันพาเข้าไปที่หน้าการปรับแต่งนิยาย ชายที่นั่งอยู่กดที่ 'เพิ่มตอน' หน้าเว็บได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง หน้าสีขาว พร้อมกับหน้านิยายตอนใหม่ที่ยังว่างเปล่า เขาพิมพ์ชื่อตอนอย่างบรรจง 'สมชื่อเทพเจ้า' นั่นคือชื่อตอนที่จะเปลี่ยนแนวเรื่องที่พระเอกเก่งกลางๆไปทั้งสิ้น เสียงเพลงในหูฟังเริ่มใกล้ถึงท่อนฮุค เขาสูดลมหายใจเข้า 'Gladiators draw their swords
Form their ranks for armageddon
I'm nuclear-'
เมื่อท่อนฮุคมาถึงเขาปล่อยลมหายใจออก มือเริ่มพิมพ์ถึงเนื้อหาใหม่ ที่จะเต็มไปด้วยความเบียวแดก พระเอกเทพ ฮาเร็ม ตัวของเขาตอนนี้เปรียบดั่งนิวเคลียร์ที่อัดอั้นจะระเบิดมานาน ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งแตกสลายภายใน ดวงใจที่เปรียบดั่งเศษกระจกที่พังทลาย ตัวเขาม่นหมอง ลึกๆลงไปในใจ เขาเปรียบเหมือนเด็กกำพร้า ที่จินตนาการถึงความฝันอันเป็นไปไม่ได้
'การทำตามใจคนอ่าน จะทำให้เรารวย !'
ความจริงก็คือความจริง เราเจาะกลุ่มแนวไหน เราก็ต้องทำแนวนั้น
ผมมีเรื่องจะเล่าครับ คือผมแค่เล่นเกม Genshin impact แต่เพื่อนในโรงเรียนของผมคนนึงเขากลับบอกผมว่า
"เลิกเล่นไอ้เกมJ3kเหี้ยนั่นเถอะ แม่งหลอกแดกตังค์ทั้งนั้น มีแต่พวกเหม็นเปรี้ยวเท่านั้นแหละที่เล่น"
วินาทีนั้นผมบอกตรง ๆผมหงุดหงิดมาก ผมเลยเผลอตะคอกใส่มันไปว่า
"ไม่เล่นก็อย่ามาพาลดิวะ!!"
เพื่อนผมตอบ
"แค่นี้ก็โกรธแล้วเหรอวะไอ้เบาหวาน หูเถ๋าของมึงไม่เห็นน่ารักตรงไหนเลย"
คำพูดสุดท้ายของมัน ทำให้ผมโกรธถึงขีดสุด จนหายใจไม่เป็นจังหวะ มือทั้งสองกำแน่น ดวงตาของผมมองขวางไปที่เพื่อนคนนั้น และเหมือนมันจะเริ่มกลัวผม ผมเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ และปล่อยหมัดฮุคขวาหวังจะเข้าหน้ามัน จนมันล้มพับลงไปกองกับพื้น
ผมไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด เพราะมันบังอาจมาดูถูกหูเถ๋าของผม ผมกะจะลงไปซ้ำแต่เพื่อนคนอื่นดันมาห้ามไว้ก่อน
ผมต้องนั่งเฉย ๆสักพักใหญ่ ถึงจะสงบอารมณ์ที่เดือดพล่านของผมได้
หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนคนนั้น แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก เพราะว่าการมีเพื่อนไม่ใช่สิ่งจำต่อชีวิตของผม อยู่แบบหมาป่าเดียวดายนี่แหละดีที่สุด
ณ ห้องๆหนึ่งในโรงเรียน
จองกุก : " อย่านะครับครู อย่าทำตรงนั้น ปล่อยผมนะ " //ดิ้น
ไพบูลย์ : " อยู่นิ่งๆสิ ยิ่งนายดิ้นมันยิ่งทำให้ฉันมีอารมณ์นะจองกุก "
ร่างหนาค่อยๆขึ้นมานั่งคร่อมร่างบาง
ไพบูลย์ : "อมให้ฉันหน่อยสิ"
ร่างบางอึ้งกับคำพูดชวนเสียวของอีกฝ่าย ก่อนจะยังไม่ได้พูดอะไรมาก ร่างหนาของไพบูลย์ก็ขึ้นมานั่งตักเขา
ไพบูลย์ : "เอาล่ะ นายเลิกเรียกฉันว่าครูได้แล้ว ต่อจากนี้นายต้องเรียกฉันว่าไพบูลย์ฮยอง
จองกุก : "ต..แต่"
ไพบูลย์ : " สาวๆในโรงเรียนนี้เรียกฉันว่าไพบูลย์โอปป้าทั้งนั้นแหละ เหอะ มีแต่คนอยากได้ฉันทั้งนั้นแหละ แต่พอฉันไม่เล่นด้วยก็หาว่าฉันทำทรงผมตามนายอีก คนมันเคยได้กันแล้วจะทำทรงผมเหมือนกันแล้วมันทำไมวะ แต่ฉันไม่สนใจคนพวกนั้นหรอก ที่ฉันสนก็มีแต่..."
ร่างหนาค่อยๆลูบไล้และมองร่างบางจากบนลงล่างด้วยสายตาหื่นกระหาย
ฮึกก!!
จองกุก : "อื้อ~ ปล่อยผมนะ"
ไพบูลย์ได้ยัดแท่งที่พร้อมใช้งานเข้าไปในรูรักของอีกฝ่าย
ไพบูลย์ : " นั่นแหละเด็กดี ดิ้นอีกสิ ฉันชอบ อื้มส์ อ่าส์~ นั่นแหละกระต่ายน้อยของฉัน "
จองกุกได้แต่ครางด้วยเสียงอันสั่นคลอน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเสียใจแต่อย่างใด เพราะลึกๆจองกุกก็อยากกับครูของเขาเช่นกัน แต่ตอนนี้ต้องปล่อยให้ไพบูลย์เสร็จก่อนค่อยถึงตาของจองกุก
ซ่าาส์!! ไพบูลย์ได้ทำกิจเสร็จ และหอบมาก แค่สามนาทีก็แตก
จองกุก : " อื้อส์ อ้ะส์ งั้นตาผมแล้วนะครับ "
ไพบูลย์ //ทำหน้าตกใจเพราะไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะคิดแบบนี้
จองกุก : " ขย่มให้ผมนะครับคุณลูกชิ้น"
ไพบูลย์ค่อยครางๆจนในที่สุดนํ้ารักของเขาก็แตกก่อนจองกุกอีกแล้ว
.
.
.
.
และแล้ว!!! จองกุกก็แตกก!!!
จองกุกค่อยๆเอากระดอออกจากรูตูดของครูไพบูลย์ แต่ก็ได้มีเศษขี้ติดออกมาเต็มลำควย กลิ่นขี้คลุ้งห้องไปหมด ครูไพบูลย์อายมากเลยหลบหน้าจองกุก
จองกุก : "อ่าส์~....ฮ่าๆๆ"
ไพบูลย์ : " ขำอะไรของนายห้ะ"
จองกุก : " ก็ขำฮยองไงครับ แตกก่อนผมตั้งสองรอบ แถมยัง....."
ด้วยความอาย ไพบูลย์รีบเอามือรูดขี้ที่ติดอยู่ลำควยจองกุกฟาดทิ้ง แต่มันกลับติดอยู่ผนังห้องโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ทุกคนแทบจะกลั้นอ้วกไม่อยู่เพราะฝาผนังนั้นมีแต่อุนจิ แต่มันไม่สำคัญเท่าความจริงได้เปิดเผย 3ปีที่รอคอย ขอบคุณฟ้าที่มีตา ทุกคนได้รู้ความจริงว่าครูไพบูลย์เป็นเกย์ และจองกุกเองก็โดนครูไพบูลย์เย็ดตูดจนรูโบ๋หลายครั้งแล้ว ครูไพบูลย์ก็โดนกับเขาด้วย ทั้งสองอายมาก เสียใจไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกที่ไหน สองเดือนผ่านไปจองกุกก็ตั้งท้องกับครูไพบูลย์
I trashed my pride.
I begged her, said please.
Please come back.
She said no.
Said she found someone special.
The one she thinks she deserves his love.
The love she has been thirst all the time.
I have my pride.
I stepped back.
If you please, do not mention her name to me.
I do not hate her, but frankly,
I am very upset.
I do not want to see her face.
I do not want to know what she is doing.
I do not want to dream of her, but she haunted me all the nights.
Help is all I need.
Please help.
It isn’t what i feel for her, it is what i feel for no one but her.
มู้นี้ไว้แต่งนิยายอะไรก็ได้ใช่ไหม
แต่งโรงเรียนปราบปีศาจต่อดีป่าววะแต่กูกลัวsirnแม่งลบทิ้งอีกว่ะ
สิงหดาบ
จดหมายถึง แม่เฌอ ep.1 รักแรกพบ
ปี 2543 จาก หอหลวงณรงค์เดชา ร.ศ. ๐๗๑
กราบเท้าคุณแม่ที่เคารพ
ผม โม่ง ลูกแม่ ได้เข้ามาเรียนที่กรุงเทพ
หลังจาก สอบติดมหาลัยได้
แต่ แม่จ๋าไม่ต้องห่วงหนูเลยนะ
หนูสบายดี ได้ที่พัก ราคาถูกด้วยละแม่จ๋า
ตอนออกไปซื้อของ บอกแม่ค้าว่า ว่า พักที่ไหน เขามีสีหน้าแปลกๆ
คนกรุงเทพ นี่แปลกจังนะครับแม่
ถามแปลกๆ ว่าไม่เจออะไรแปลกๆ บ้างหรอ
เจ้าของหอใจดี เท่านั้นไม่พอนะแม่จ๋า
ลูกสาวเจ้าของหอ สวยมาก แถมอยู่ มหาลัยเดียวกัน
เรียนสาขาเดียวกันเลยจ๊ะแม่
พรหมลิขิตหรือเปล่าหนอ อยากให้แม่G ยกขบวนขันหมากจาก เมืองกาญจน์ มาขอจัง
เธอชื่อ พาขวัญ เจอเธอครั้งแรก หัวใจแทบหยุดเต้นเลยแม่จ๋า
ดีว่า CPR ทัน
แถม พข ยังพูดตลกๆ ว่า ผีมีเยอะแล้ว ไม่ต้องมาอยู่เพิ่มหรอก
หน้าตาดี มีอารมณ์ขันจริงๆ น้า
แต่ก็นะ
เวลาจะคุยกับเธอ พี่เลี้ยงเธอ ขอบมาขัดจังหวะ
ชอบมาเงียบๆ มาไวมาก ยังกะหายตัวได้เลยครับ
แถมพี่เลี้ยง ดูนิยมไทย ใส่สไบเขียวตองเลยแม่จ๋า
ถ้ามีเรื่องอะไร หนูจะเล่าให้แม่ฟังอีกนะแม่จ๋า
วันนี้ เหนื่อยจัง เก็บของกว่าจะเสร็จ
ของชอบลอยออกจากในห้อง เฮ้อ
รักแม่เสมอ
โม่งชัย
มิลค์อายุ 21 ปี
เรื่องนี้ไม่ได้อ้อมค้อมอะไรมาก มันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ มิลค์ อายุ 21 ปี เราไม่จำเป็นต้องพร่ำพรรณนาอะไรถึงบรรยากาศรายล้อมอันจะกลายเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า เพียงแต่โดยสังเขปของมิลค์นั้นเราจะเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นหญิงสาววัยกำลังจะพ้นมหาวิทยาลัย รูปพรรณสัณฐานของเธอสามารถบอกคุณได้อย่างไม่ต้องคิดว่าเธอเป็นคนไทยเชื้อสายจีนเป็นแน่แท้ ด้วยดวงตาลีบเล็ก ผิวขาวเหลืองออกสว่าง ผมเงาตรงเป็นธรรมชาติ แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์ เธอเป็นลูกครึ่งไทย-เวียดนาม แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะเดาไม่พลาดคือเธอเป็นลูกคนอันมีจะกินซึ่งก็ไม่น่าจะเกินจินตนาการนักจากระดับการศึกษาของเธอ มิลค์เป็นผู้มีใจใส่ในกิจการงานสังคมอย่างแม่นมั่นมาแต่ไหนแต่ไร เธอหวังว่าวันหนึ่งพลังของเธอจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ อันเป็นแรงผลักดันแก่กล้าให้เธอดั้นด้นจากความเป็นลูกแกวย่านตลาดห้าแยกเมืองอุดรมาเป็นสาวสังคมมหาวิทยาลัยชื่อก้องในด้านรัฐศาสตร์ ซึ่งนับได้ถึงปัจจุบันก็นับเข้าปีที่สี่เสียแล้ว
มิลค์เป็นคนที่มีอุปนิสัยที่แน่วแน่ มุ่งมั่น กล้าหาญ และโอบอ้อมอย่างลึกซึ้ง วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอจะต้องใช้ชีวิตในโลกอันเธอเห็นว่าเลวร้ายเหลือคณา ในโลกที่ผู้คนล้วนแก่งแย่งชิงดี รบราฆ่าฟันกันเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยในโลก และมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายที่สุดเกินกว่าสปีชี่ส์ใดๆ ในโลกจะเสมอเหมือน เช้านี้ยังคงเป็นอีกวันที่โหดร้ายสำหรับเธอ โลกอันทุกข์ทรมานนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อเธอเดินออกจากหอพักใกล้มหาวิทยาลัย สิ่งแรกที่เธอได้เห็นคือกลุ่มของวินมอเตอร์ไซค์ที่ดักรออยู่หน้าปากซอย พวกเขาต่างยกไม้ชูมือส่งสัญญาณมาทางเธอ และทันใดที่เธอหันไปสบตากลับเป็นเสี้ยววินาทีเดียวกันกับที่เธอต้องหลุบตาหนี สัญลักษณ์แปลกๆ ที่คนเหล่านั้นส่งมาทางเธอคือนิ้วชี้ขึ้นข้างบน “แม่งเอ๊ย ไอ้พวกชายเป็นใหญ่” เธอสบถก่อนจะเดินกอดกระเป๋ามุดหลบสายตาจากคนเหล่านั้นด้วยท่าทีกระวนกระวาย ครั้งหนึ่ง เธอเคยพยายามสร้างความตระหนักทางสังคมว่าด้วยการล่วงละเมิดทางเพศในที่สาธารณะแบบนี้ด้วยการเขียนที่มีชื่อว่า “การผลิตซ้ำวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ด้วยสัญลักษณ์มือของกลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วยสัญลักษณ์มือและ cats call” ซึ่งผลออกมาไม่ดีนัก อาจารย์ที่รับหน้าที่บรรณาธิการบอกว่าบทความของเธอเต็มไปด้วยอคติต่อเพศตรงข้าม และในวันนั้น มันเป็นวันที่บทความนี้ถูกเสนอหน้าชั้น เสียงหัวเราะของเหล่าเพื่อนร่วมรุ่นที่มีต่อบทความของเธอมันทำให้รู้สึกราวโดนโลกทั้งใบถล่มใส่ เหตุใดการสร้างความตระหนักให้สังคมกลับถูกมองเป็นเรื่องตลก ยิ่งไปกว่านั้น เธอได้ตระหนักถึงความจริงของเธอข้อหนึ่งว่า มันไม่แปลกเลยที่อาจารย์คนนั้นจะปัดตกบทความของเธอ นั่นก็เพราะเขาเป็นผู้ชาย มันเรื่องอะไรที่เพศชายจะยอมรับว่าวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่มีอยู่จริง ก็เห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่าการชี้นิ้วขึ้นบนของคนพวกนั้นมันหมายถึงอวัยวะเพศที่ชี้โด่ขึ้นบนฟ้า การแสดงท่าทีแบบนั้นมันมีแต่พวกดักดานเท่านั้นที่รับได้ แต่ก็ใช่ เพราะสังคมอันเลวร้ายด้วยชายเป็นใหญ่เธอจึงต้องยอมศิโรราบ แต่ไม่ใช่สำหรับเธอผู้มีความมุ่งมั่นทำลายปิตาธิปไตยให้หมดไป ในครั้งต่อไปที่ต้องเข้าเรียนวิชานั้นอีกครั้ง เธอเลือกที่จะสวมหูฟังอันใหญ่แล้วนั่งในจุดที่คนเห็นเยอะที่สุด อาจารย์ถามกับเธอว่าทำไมถึงได้สวมหูฟังในขณะที่กำลังอยู่ระหว่างการสอน เธอทำท่าทางไม่ใส่ใจจนกระทั่งเพื่อนข้างๆ สะกิดตัวเธอ เธอจึงลุกพรวดขึ้นมาแล้วกล่าวคำปลุกใจเอาไว้ว่า
“อาจารย์กำลังกระทำการ mansplaining ตลอดเวลาที่ทำการสอนด้วยการถือว่าตัวเองเป็นผู้ชายและมีการศึกษาแล้วยังเป็นการด้อยค่าผู้หญิง แค่นั้นอาจารย์ยังใช้ seniority เพื่อแสดงอำนาจและ manipulate กฎเกณฑ์ในห้องนี้โดยที่จริงๆ แล้วอาจารย์ไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย แล้วพวกคุณที่เหลืออยู่ในคลาสเป็นอะไรกันไปหมด เห็นการกระทำกดขี่ทางเพศอยู่ต่อหน้าแล้วยังเพิกเฉยอีกได้ยังไงกัน การเพิกเฉยต่อความไม่ถูกต้องคือการเข้าข้างผู้กดขี่นะ” ไม่มีใครปริปากอะไร “พวกคุณกำลังปล่อยให้ฉันสู้ลำพัง” เป็นอันแน่นอนว่าหลังจากนั้นก็ได้มีการเรียกเข้าไปพบผู้หลักผู้ใหญ่ของทางมหาวิทยาลัยต่อการกระทำของเธอซึ่งสิ่งที่แน่นอนยิ่งกว่าคือการที่เธอไม่ยอมรับข้อตัดสินใดๆ ทุกกรณี เธอกล่าวว่าคณาจารย์ท่านอื่นกำลังโทษเหยื่อต่อการกระทำของเธอ และเธอยังกล่าวไว้อีกด้วยว่า Silent is violence แต่ราวกับว่าโลกนี้หันหลังให้กับเธออีกครั้ง ไม่มีใครสนใจสิ่งที่เธอพยายามต่อสู้และดิ้นรนเพื่อเอาชนะโลกอันแสนโหดร้ายนี้เลย และจนท้ายที่สุด เธอจึงได้หันหลังให้กับโลก นับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น เธอก็ทำเพียงแค่การเข้าเรียนไปเพียงให้ผ่านและหวังว่าเธอจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ได้ในวันหนึ่ง
กลับมายังปัจจุบันกันดีกว่า แม้ว่าเรื่องราวนั้นจะผ่านไปแล้วนานหลายเดือนหรือปีไม่ทราบ เพราะความทรงจำอันเลือนรางนั้นมันเป็นสิ่งที่เธออยากจะปลดปล่อยมันออกไปที่สุด และเธอหวังว่าเรื่องเลวร้ายนั้นจะไม่เคยเกิดขึ้นจริง เธอเดินลัดเลาะไปตามอาคารที่เป็นหอพักอื่นๆ ใกล้เคียง ร้านค้าแถวนี้ไม่ใคร่อยากจะค้าขายอะไรกับเธอนัก ด้วยอุปนิสัยเอาจริงเอาจังของเธอนี่แหละ ครั้งหนึ่งเธอเคยต่อว่าแม่ค้าขายน้ำส้มที่พยายามจะขายน้ำส้มแบบราคาพิเศษให้กับเธอด้วยราคาสามขวดห้าสิบบาทจากราคาปกติขวดละยี่สิบ จริงอยู่ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ช่วยประหยัดเงินได้ถึงสิบบาท แต่เธอมองว่าการตลาดด้วยการลดราคานั้นเป็นเพียงเหยื่อหลอกล่อเข้ากับดักของทุนนิยมอันเลวทราม แม้ว่านั้นจะเป็นเวลาสี่ทุ่มและแม่ค้าก็ออดอ้อนว่า “ซื้อยายเถอะลูก ยายอยากกลับบ้านแล้ว” นั่นยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดโมโหเข้าไปใหญ่ การใช้ความอ่อนแอของช่วงวัยและความพิกลพิการมาหากินเป็นเรื่องที่อภัยไม่ได้ และการที่ยายตาฝ้าฟางจนบอดไปข้างหนึ่งนั้นก็เป็นไปเพื่อการตลาดเท่านั้น เธอจึงยืนเทศนาคุณยายท่านนั้นไปยกใหญ่ นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเห็นแกอีกเลย สำหรับเธอแล้วนั่นเป็นเรื่องที่ดีกว่า อย่างน้อยมันก็ดีที่ตรงข้างทางจะได้ดูสะอาดสะอ้านน่ามองมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่แม่ค้าเหล่านั้นไม่ค่อยอยากจะญาติดีกับเธอนัก เธอเชื่อว่าแม่ค้าคนอื่นๆ สนับสนุนการค้าขายตามไหล่ทางอันเป็นการจัดการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อที่สาธารณะ แต่เคราะห์ยังดีสำหรับเธอในวันนี้ เพราะมีร้านอาหารมาเปิดใหม่ซึ่งเธอเองก็ใคร่อยากจะเข้าไปหาอะไรใหม่ๆทานพอดี
“ขอออมเล็ตไม่ใส่ไข่ค่ะ” เธอกล่าวต่อพนักงานหน้าร้าน ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะเป็นอีกคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เรียนไม่จบจนจำเป็นต้องมาเปิดร้านอาหารด้วยเงินค่าเทอมที่หลอกขอพ่อแม่มา
“อะไรนะครับ” เจ้าของร้านไม่เข้าใจ แน่นอน คนโง่ๆ เรียนไม่จบอย่างเขาไม่มีทางเข้าใจอะไรเธอหรอก
“ขอออมเล็ตค่ะ แต่ไม่ใส่ไข่นะ” เธอยังพยายามพูดด้วยท่าทีที่เป็นมิตรยิ่งขึ้น
“ผมไม่เข้าใจ ออมเล็ตไม่ใส่ไข่จะเป็นออมเล็ตได้ยังไง” ใช่แล้ว เขาโง่เกินกว่าจะเข้าใจเธอจริงๆ ด้วย
“ก็ใส่เต้าหู้อ่อนไง คนๆ แค่นาทีเดียวก็ได้แล้ว คุณทำอาหารวีแกนไม่เป็นเหรอ” ตอนนี้เธอเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อยซึ่งปกปิดไม่ได้ด้วยสายตาและหัวคิ้วที่ปรับจูนเข้าหากัน
“งั้น.....” เขาหยิบจานขึ้นมาวางบนโต๊ะ โรยเกลือ พริกไทย “เอนจอยครับ”
เธอรู้ได้ทันทีว่าเขาประชดเธอ ไม่รอช้าเธอสับเท้าก้าวออกจากร้านในแทบจะวินาทีเดียวกัน เธอโกรธจนแทบจะร้องไห้ โลกนี้มีแต่พวกคนกวนประสาท ไม่เคยมีใครสักคนเลยที่เข้าใจเธอ เขามองตามหลังเธอไปจนลับตาแล้วค่อยอุทานออกมา “อีห่า ประสาท ออมเล็ตบ้านพ่องใช้เต้าหู้ทำ” แน่นอนเขาบ่นให้เธอเพราะขาดความรู้ ออมเล็ตจะใส่อะไรก็ได้ ขอแค่เรานิยามมันว่านี่คือออมเล็ตมันก็คือออมเล็ต แม้กระทั่งมาการีนก็ยังเป็นเนยสดหากคุณนิยามว่ามันคือเนยสดและสังคมเห็นดีเห็นงามกับคุณว่ามันคือเนยสด เมื่อเธอรู้ตัวว่าล้มเหลวแล้วในเช้านี้กับการสั่งออมเล็ตไม่ใส่ไข่ ทางเลือกสุดท้ายในตอนที่เธอต้องการรู้สึกได้พลังงานที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือน้อยลงเต็มที เธอจึงตัดสินใจเดินเข้าร้านกาแฟเจ้าดังที่มาเปิดสาขาอยู่ภายในมหาวิทยาลัยแทน เพียงไม่กี่นาทีกาแฟก็มาเสิร์ฟแต่
"วันนี้กาแฟรสชาติเพี้ยน" เธอพึมพำกับตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหยิบเอาไอแพดโปร 256 GB ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ปลายนิ้วของเธอสั่นระริกที่ขอบเคสแป้นพิมพ์จากร้าน 425Degree แน่นอนมันต้องมาจากยี่ห้อที่ดีที่สุดเท่าเที่เธอจะหาได้จากร้าน คิ้วขมวดเข้มของเธอขนานเข้ากับขอบบนของเครื่องสื่อสารนั่น เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่งพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆแล้วบรรจงพลิกเปิดมันออกมา หน้าจอล็อคปรากฎภาพของ คาร์ล มาร์กซ นักคิดชื่อก้องที่เธอบูชาเขาเสมือนเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมิอาจแปดเปื้อนรึอาจเอื้อมตนไปเสมอเหมือน เธอไล่นิ้วไปตามหน้าจอเพื่อค้นหาโน้ตพร้อมเรียบเรียงความคิดของตนไปพลาง ทันทีที่เธอหาแอพพลิเคชั่นนั้นเจอ มันกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการขับเคี่ยวระหว่างตัวเองและกระบวนทัศน์ที่หล่อหลอม องค์ความรู้ที่ถูกกวนเข้า เคี่ยวอย่างประณีต หมักบ่มเป็นเวลานาน บัดนี้ไอน้ำแอลกอฮอล์ทางการเมืองพวยพุ่ง เธอเปลี่ยนท่าทางเป็นการนั่งหลังตรงพร้อมพลิกหน้าจอไปแนวตะแคงอย่างทันท่วงที
"รสชาติกาแฟที่ผิดเพี้ยนจากปกติทุกวันทำให้ข้าพเจ้าพึงตระหนักได้ว่า ในสายธารแห่งการแข่งขันและทุนนิยมอันเดือดดาลท่ามกลางน่านน้ำสีแดงชาดอันเจิ่งนองไปด้วยเลือดของผู้ปราชัยในสนามแห่งการค้ากาแฟเหล่านี้นั้น ไม่เพียงเป็นการพยายามอย่างเลวทรามในการช่วงชิงพื้นที่ทางความเชื่ออันว่าด้วยการดื่มกาแฟเป็นเรื่องจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต แต่หากหมายถึงการพรากนำเอาจิตวิญญาณของการดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่สำคัญในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปเสียด้วย การที่พนักงานไม่สามารถควบคุมรสชาติให้อยู่ได้อย่างเป็นมาตรฐานนั้นเกิดจากการที่รัฐไม่ยอมเข้าแทรกแซงกระบวนการค้าและสายการผลิตของภาคเอกชนและปล่อยให้ตลาดเสรีได้ใช้งานทั้งทรัพยากรมนุษย์และเวลาไปอย่างสูญเปล่า อีกทั้งยังสะท้อนปัญหาการใช้แรงงานอย่างล้นเกิน เป็นภาวะความล้มเหลวในการสร้างรูปแบบชีวิตที่ดี ความเหนื่อยล้าของพนักงานที่ต้องทำงานเกินควรจะเป็นรวมไปถึงการพยายามลดต้นทุนการผลิตของเหล่านายทุนได้ก่อให้เกิดมหัยตภัยทางเศรษฐกิจอย่างไม่อาจเยียวยาให้หายขาดได้ ความสัมพันธ์อันเกี่ยวโยงกันอย่างไม่สามารถตัดขาดนี้เป็นอีกหนึ่งวงจรที่ไม่สามารถหนีพ้น เป็นบ่วงแห่งทุกขกรรมที่มนุษยชาติล้วนหลีกหนีไม่ได้ เป็นสังสารวัฏแห่งความเหลื่อมล้ำและการถูกกดขี่ ชีวิตแรงงานอันไร้ความหมายในสายตาของเหล่านายทุนไม่อาจถูกหล่อหลอมเยียวยาให้สามารถกลับมาเป็นดังควรได้ และแม้ความผิดเพี้ยนของกาแฟนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเล็งเห็นได้แล้วว่า มิคคสัญญียุคไม่ได้เป็นเพียงนิทานปรัมปราหรือปกรณัมในศาสนา หากแต่เป็นการจำต้องทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กรอบแห่งสภาวะสังคมทุนนิยม"
เธอจดโน้ตเสร็จแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คิ้วที่ขมวดเขม็งเริ่มคลายออก ความรู้สึกฟื้นฟูคืนชีวิตชีวาราวกับพึ่งสำเร็จความใคร่ถาโถม โดปามีนหลั่งไหลไปตามระบบประสาท เธอยิ้มออกมาที่มุมปากครั้งหนึ่ง ความผ่อนคลายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เธอยกมือขึ้นเหนือศีรษะตัวเองเล็กน้อยพลางหันไปมาราวร้องขอความช่วยเหลือ และแล้วพนักงานคนหนึ่งได้เผอิญสบสายตาเข้ากับเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ
"ขอโทษนะคะ ฉันอยากพบกับผู้จัดการของคุณ" พนักงานผู้อับโชคได้แต่เดินตัวสั่นไปเรียกผู้จัดการมาให้เธอก่อนที่มันจะกลายเป็นมหากาพย์การเทศนาอย่างยาวนานกว่าสิบนาทีว่าด้วยกาแฟที่ผิดเพี้ยนไป และแม้จะไม่ถูกต้องนักแต่ทางร้านกาแฟก็ต้องจำยอมต่อเธอด้วยประการทั้งปวงและชดเชยด้วยการมอบขนมกับกาแฟที่ชงใหม่ให้ ซึ่งมันทำให้เธออารณ์ดีขึ้นเล็กน้อยจนถึงกับต้องจดลงไปในโน้ตว่า “การเอาคืนทุนนิยมอย่างสาสม”
คลาสเรียนในวันนี้ก็ยังคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อด้วยเรื่องเดิมๆ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งในตอนบ่ายที่เธอคิดว่ามีช่วงหนึ่งที่อาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งได้กล่าวเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง Listen and believe การฟังและเชื่อ เป็นแนวคิดที่ตอบรับทุกสภาพสังคมโดยเฉพาะสังคมที่เธอเชื่อว่าจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้ อันว่าด้วยการรับฟังคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหยื่อไม่ตั้งคำถาม และไม่คาดคั้น โดยให้เราเชื่อว่าเรื่องที่เหยื่อพูดนั้นคือความจริงเสมอ มันคือความยุติธรรมที่สุด มันชอบธรรม และมันเที่ยงธรรม เมื่อกระบวนการทางยุติธรรมมันเต็มไปด้วยการโทษเหยื่อ แล้วทำไมคุณถึงยังก้มหัวให้แก่ความยุติธรรมที่อยุติธรรมเหล่านั้น การใช้ศาลมันไม่ต่างอะไรกับการเอาเหยื่อไปขึ้นเขียงให้ตายทั้งเป็นจากการโดนทั้งสอบสวนทั้งตั้งคำถามซ้ำไปซ้ำมา กลายเป็นว่าเป็นการตอกย้ำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจเข้าไปอีก ความยุติธรรมทางสังคม จึงยุติธรรมกว่า ไม่ต้องผ่านกระบวนการชายเป็นใหญ่ ให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน และเครื่องมือเดียวที่จะช่วยให้ความยุติธรรมเหล่านี้เป็นจริงได้คือ วัฒนธรรมคว่ำบาตร Cancel Culture เท่านั้น เธอตาวาวเป็นประกายเมื่อรู้ว่าตัวเธอสามารถใช้มันเพื่ออะไรได้บ้าง เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ผู้คนที่อ่อนแอกว่า เพื่อต่อกรกับปิตาธิปไตยที่เธอเกลียดชัง เพื่อช่วยเหลือเหยื่อและเอาผิดผู้กระทำในวันที่ความยุติธรรมของศาลไม่สามารถเอื้ออำนวย มันทั้งชัดเจน เด็ดขาด และรุนแรง คุณไม่จำเป็นต้องกังวลด้วยซ้ำว่ามันจะไม่ได้ผล มันได้ผลเสมอ และหากต่อให้มันผิด หากมันเป็นการกล่าวหาลอยๆ เธอก็เชื่อว่าอย่างน้อย มันก็ได้สร้างความตระหนักรู้ให้แก่สังคมได้มากกว่า มันไม่คุ้มอย่างนั้นหรือที่เราจะยอมเสียสละใครสักคนเพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมและสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องการกระทำความรุนแรงทางเพศ สำหรับเธอแล้ว นี่เป็นวิชาที่เธอชอบที่สุดนับตั้งแต่เรียนมาเป็นเวลาสามปีกว่าด้วยซ้ำ
เย็นวันนั้นเป็นวันที่เธออิ่มเอมที่สุด ด้วยเนื้อหาสิ่งที่เธอได้เรียนมา มันนับเป็นทางสว่างของสังคมเลยก็ว่าได้ เธอตั้งมั่นว่าเธอจะเอาการคว่ำบาตรนี้ไปช่วยเหลือสังคมให้ได้มากที่สุดโดยตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ว่าเมื่อกลับไปถึงห้องในคืนนี้เธอจะ Cancel ใครบ้างสักคนสองคนเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า แต่อย่างไรก็ดีช่วงหัวค่ำแบบนี้จะต้องหาอะไรกลับไปกินที่ห้องเสียก่อน เธอแวะที่ร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่งพร้อมกับสั่งว่า “ผัดผักรวม ไม่ใส่ผงชูรส ไม่ใส่น้ำมัน ไม่ใส่ผงปรุงรส ไม่ใส่ซอสหอยนางรม ไม่ใส่น้ำปลา ไม่ใส่น้ำตาล กลับบ้าน ไม่ใส่กล่องโฟม ไม่เอาช้อนพลาสติกค่ะ” ผู้คนหันมามองเธอทั้งร้านชั่ววินาทีหนึ่ง แต่เมื่อทุกสายตาจับจ้องเธอแล้วก็หุบลงในแทบจะทันที ถ้าจะกล่าวได้ว่าเธอเป็นบุคคลมีชื่อเสียงก็คงจะไม่แปลกนัก ระหว่างที่เธอกำลังนั่งรออยู่นั้นมีกลุ่มผู้ชายเดินเข้ามาพร้อมกับสั่งกะเพราไข่เยี่ยวม้า ทันใดเธอรู้สึกผะอืดผะอมคลื่นเหียนมาในทันที เพราะเธอได้รู้ความจริงข้อหนึ่งเกี่ยวกับความเลวร้ายของมนุษย์ที่สร้างสรรค์เมนูนี้ขึ้นมา เธอเคยเขียนเอาไว้ด้วยว่า
“ฟัวกราส์ ไข่เยี่ยวม้า นมปรุงรส เมนูอาหารสุดเลวระยำด้วยน้ำมือความต่ำช้าของมนุษย์ เมนูฟัวกราส์หรือตับห่านนั้นเกิดจากการกรอกอาหารปริมาณมากลงไปในคอห่านเพื่อให้เกิดอาการตับพอกจากไขมันส่วนเกินที่ห่านจะต้องกิน การยัดอาหารลงไปอย่างไม่สนใจความทุกข์ทรมานของมันนั้นช่างอำมหิตจนผิดมนุษย์ ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือการตัดต่อพันธุกรรมวัวนมที่เดิมมีนมไว้แค่ให้กับลูกวัว แต่ความมัวเมาของมนุษย์นั้นเหมือนหลุมไร้ก้นบึ้ง ความละโมบโลภมากขับเคลื่อนมนุษย์ด้วยทุนนิยมจนเพาะพันธุ์วัวที่รีดนมมาให้พวกเขาได้อย่างไม่จำกัด ไม่เพียงแต่นมจืดสีขาวธรรมดาเท่านั้น แต่นมหวานสีเขียวที่เกิดจากการบังคับให้แม่วัวทานหญ้าหวานที่ผิดจากอาหารธรรมชาติของมันช่างเลวร้ายขึ้นไป แค่นั้นยังไม่พอ พวกกลุ่มนายทุนที่หน้าเลือดยังคัดเลือกตัดต่อสายพันธุ์สีน้ำตาลขึ้นมาเพื่อนมรสช็อกโกแลตไปจนถึงความโหดเหี้ยมที่เอาวัวไปอาบรังสีเพื่อให้มันผลิตนมวัวสีชมพูที่ออกรสชาติมาผิดธรรมชาติอย่างรสสตรอว์เบอร์รี่ ฉันเคยเห็นจากฟอร์เวิร์ดเมล์ของกลุ่มวีแกนต่างชาติว่า วัวสีชมพูนั้นไม่ได้เกิดเป็นสีชมพูแต่ถูกอาบด้วยรังสี Strawber - ray จนเลือดซึมออกจากผิวหนังแล้วจึงนำมากลั่นเป็นนม และที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้ นั่นก็คือเมนูไข่เยี่ยวม้า อาหารไทยเชื้อสายจีนที่มีประวัติมาเป็นพันๆ ปี โดยในแต่ละปีทั้งคนไทย จีน และประเทศวัฒนธรรมร่วมอื่นๆ บริโภคไข่ประเภทนี้ถึงปีละสองล้านฟอง นั่นแปลว่าเราจะต้องทำการตอนม้าเพศผู้ในวัยก่อนเจริญพันธุ์ถึงปีละหนึ่งล้านตัวเพื่อเอามาทำอาหารสนองความอยากของมนุษย์อย่างนั้นหรือ เปลือกไข่สีชมพูนั้นก็เป็นแค่เครื่องพรางตาสีสันสดใสที่ปิดบังเรื่องราวอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในที่ดำไม่ต่างกัน มันคือเมนูอาหารที่อุดมไปด้วยความเลวทรามต่ำช้ำ ความละโมบโลภมาก ความหน้าไม่อายและความอำมหิตจิตวิปลาสที่สุดเท่าที่จะหาได้จากที่ใดก็ตามในโลกนี้ และเพราะเหตุนี้ฉันจึงปวารณาให้ตนเองเป็นวีแกน เพื่อหวังว่าในวันหนึ่ง ผู้คนทั้งโลกจะเข้าใจได้เสียทีว่าความอัปยศเหล่านี้ไม่เป็นที่ยอมรับและน่ารังเกียจ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้คนจะตาสว่าง” แต่ก็เช่นเคย งานเขียนของเธอไม่เป็นที่ยอมรับครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้คนโดยทั่วไปแล้วล้วนย่อมต้องปกป้องสิ่งที่ตัวเองเชื่อ สิ่งที่ตาเห็น มากกว่าจะเอาข้อเท็จจริงมานั่งคุยกันถึงเหตุและผลของสรรพสิ่งในโลก เหตุใดกัน ไม่ว่าจะแม่ค้าขายน้ำส้มหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยที่เรียนมาสูงกว่าเธอถึงได้ไร้วิจารณญาณได้ถึงขนาดนี้ Critical Thinking ไม่เคยมีความหมายในสังคมนี้เลย
ความคิดของเธอขาดห้วงในตอนที่ป้าร้องเรียกเธอเพื่อบอกว่าอาหารของเธอได้แล้ว เธอไม่ชอบสายตาดูถูกของคนพวกนี้เลย โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่จ้องมองเธอโดยไม่เคยขอความ ยินยอม Consent นั้นสำคัญมาก มันจะเป็นอย่างไรหากเราต้องถูกรุกล้ำอธิปไตยส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา “ห้าสิบบาทลูก” พูดไม่ทันขาดคำ การละเมิดความยินยอมที่พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ก็ถาโถมเข้าใส่เธอ เพราะอะไรกัน ทำไม ทำไมคนพวกนี้ถึงได้เรียกเธอด้วยสรรพนามที่เธอไม่ยินยอม เธอไม่ได้เป็นลูกของพวกเขาสักหน่อย เธอไม่ใช่น้องของเจ้าของร้านถ่ายเอกสารด้วยซ้ำ เธอไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการถูกละเมิดด้วยเรื่องที่คนในสังคมบอกว่า “จะอะไรนักหนา หยวนๆ ไปไม่ได้เหรอ” ใช่สิ เพราะคำว่าหยวนๆ อันเป็นลักษณะนิยมของคนไทย เป็นอุปนิสัยไร้อารยะแบบนี้ ประเทศนี้มันเลยเป็นได้แค่ประเทศโลกที่สาม การไม่ให้เกียรติกันเพียงเพราะเอาคำว่าสบายใจมาเป็นข้ออ้าง มองยังไงก็เลวร้ายไม่น้อยกว่าการทำร้ายจิตใจ “น้องผู้หญิงลูก ได้ยินป้ามั้ย” พอมาถึงเวลานี้สติของเธอเริ่มพร่ามัว คุรเป็นใครกันมาตัดสินและเรียกฉันด้วยเพศสภาพ ใช่ ฉันอาจจะเป็นผู้หญิง อาจจะใช้ she/her แต่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันล่ะ ถ้ามันเป็นคนที่จริงจังกว่านี้ การเรียกด้วยสรรพนามที่ผิดอาจหมายถึงการสร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับคนๆ นั้นจนบานปลายได้ การเรียกคนอื่นด้วยเพศสภาพควรกลายเป็นความเคยชินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และหากสังคมจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเธอคงไม่มีวันได้พบเจอกับความเจริญที่เธอคิดถึง และถ้ามันเลวร้ายไปกว่านั้น ด้วยค่านิยมที่ล้าหลังและมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตื่นรู้ active citizen อย่างเธอไม่ต่างอะไรจากสัตว์ประหลาด พวกเขาย่อมต่อต้านเธอ ใช่ มันเป็นเช่นนั้น สังคมไม่ยอมรับเพราะคิดว่าเธอคือสิ่งแปลกปลอม แต่ความถูกต้องท่ามกลางสิ่งที่บิดเบี้ยวย่อมแปลกปลอมไม่ใช่หรือ ระหว่างที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น
“คุณ คุณ เฮ้ยคุณ!!!” มีเสียงหนึ่งเรียกเธอพลางสะกิด เสี้ยววินาทีเธอคิดได้ว่าอย่างน้อยก็มีคนที่พูดภาคนอยู่ละแวกนี้บ้าง ไม่เรียกเธอว่าน้อง หนู ลูก หรือผู้หญิง
“เฮ้ยคุณเหม่ออะไรวะเนี่ย” เจ้าของเสียงเขย่าเธออีกที เป็นไอ้หนุ่มออมเล็ตเมื่อเช้า
“นี่คุณอย่ามา Sexual Harassment ฉันนะ” แทนที่เธอจะขอบคุณเขาแต่ดันทำท่าทางไม่พอใจ เธอโมโหเพราะการที่เขามาแตะต้องร่างกายเธอโดยไม่ยินยอมนั้นแปลว่ามันคือการล่วงละเมิดทางเพศอย่างไม่มีข้อแม้ ตอนนี้สายตาจับจ้องมาทางพวกเขาทั้งคู่ นายคนนั้นยังคงยืนคิ้วขมวดจ้องหน้าเธอ ในวินาทีนั้นเธอน้ำตาคลอขึ้นมา เธอเชื่ออย่างสุดหัวใจว่ากำลังโดนล่วงละเมิดทางเพศอยู่จริงๆ เธอไม่ทำอะไรอีกนอกเสียจากการเดินไปตบเงินลงบนโต๊ะแม่ค้าแล้วรีบวิ่งกลับหอ ทิ้งนายออมเล็ตยืนงงอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งสามีของคุณแม่ค้าเดินมาตบบ่าเขาทีนึง
“หนุ่มเอ้ย ครั้งแรกก็ตกใจแบบนี้แหละ เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน”
มิลค์กลับมาถึงห้องร้องไห้ฟูมฟายกรีดร้องลงบนหมอน คิดทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอตลอดวันที่ผ่านมานี้ ทำไมกัน ประเทศนี้ สังคมนี้ไม่เคยพร้อมที่จะพัฒนาเลยหรืออย่างไร ทำไมถึงมีแต่คนแย่ๆ มากมายในสังคม เธอทำอะไรไม่ได้สักนิดเลยหรือ แม้เพียงเล็กน้อย โอกาสที่จะทำให้เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นบ้าง แต่แล้วเธอก็ฉุกคิดขึ้นมา ในช่วงเวลาที่ดำมืดและโดดเดี่ยวที่สุด ก็ย่อมเห็นแสงดาวชัดเจนที่สุด เธอจำสิ่งที่เรียนไปวันนี้ได้ เธอรีบเขียนลงในทวิตเตอร์ลงไปในทันที
“วันนี้เราโดนเจ้าของร้านอาหารเช้าหน้ามอ SH เมื่อตอนเย็น ตอนนี้สภาพจิตใจเราแย่มาก ไม่อยากพบเจอใครเลย เราขอเตือนภัยเพื่อนๆ ไม่อยากให้เจอแบบเดียวกับเรา #sexualharassment #sexualassult #มหาลัยไม่ปลอดภัย #metoo”
ราวสี่สิบหน้านาทีหลังจากนั้น มีคนรีทวีตเธอพร้อมรูปภาพ เป็นร้านของหมอนั่นโดนอิฐปาจนกระจกแตกพร้อมพ่นสเปรย์ด่าเอาไว้ว่า HARASSER MUST DIE และบรรดาของตกแต่งถูกเผาจนวอด และเธอก็ได้รับรู้ว่า สังคมนี้ไม่ใช่ว่าไม่พร้อม แต่มันพร้อมแล้ว ผู้คนพร้อมจะอยู่เคียงข้างเธอ เพียงแค่จากในเงามืดเท่านั้น และเพียงเชื่อแบบนั้น เธอเองก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว และวันนี้นี่แหละ คือวันที่เธอมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
HAPPY ENDING
ถ้าหากเธอเป็นท้องฟ้าจะงดงามขนาดไหนกันนะ
เธอที่เป็นมนุษย์
ตอนนี้คงโดนตอกสด
ตอนนี้คงโดนกดหัวอย่างรุนแรง
ตอนนี้คงโดนย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี
ตอนนี้คงกลืนน้ำไอหนุ่มนั่น
ตอนนี้คงลืมเราไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงงดงามเสมอ
แต่ท้องฟ้า
ท้องฟ้าไม่โดนตอกสด
ท้องฟ้าไม่ถูกกดหัวอย่างรุนแรง
ท้องฟ้าไม่โดนย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี
ท้องฟ้าไม่กลืนน้ำไอหนุ่มนั่น
ท้องฟ้าที่ไม่จดจำเราตั้งแต่แรกแล้ว และไม่จดจำไอหนุ่มไหนทั้งนั้น
ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า คงจะงดงามกว่าตอนนี้ขนาดไหนกันนะ
ในขณะที่ไอ้หนุ่มนั่นเสียบจนมิด
ทุกอย่างก็บิดเบี้ยวไปจนหมด
ทั้งใบหน้าของเธอ
ทั้งหัวใจของผม
เป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ที่ได้รับปลูกถ่ายดวงตามา ทำให้เขาเห็นฉากการฆาตรกรรมผู้บริจาคร่างกายจัดฉากว่าเป็นการปลิดชีพตัวเองเพื่อหนีความผิดในคดีฉ่อโกง forex หลายหมื่นล้าน หนทางเดียวที่จะลบภาพหลอนในตาได้ คือ ต้องช่วยไขคดีให้ความเป็นธรรมกับเจ้าของดวงตา โดยร่วมมือกับ หญิงสาวที่ได้รับบริจาคหัวใจ และเด็กที่ได้รับบริจาคไต ที่มีอาการอวัยวะต่อต้านเพราะเจ้าของอวัยวะต้องการความเป็นธรรม
ผู้ร้ายตัวจริงจะเป็นใคร เอาไปแต่งต่อเองนะ
เอลิชาตายแล้ว
หญิงสาวผมสีทองซีดยกมือขึ้นกุมแก้มบวมช้ำของตนเอง ดวงตากลมโตเผยความรู้สึกยากจะเชื่อความจริงที่ปรากฏตรงหน้า ภาพสะท้อนผ่านกระจกทองเหลืองคือเอลิชาในวัยสิบแปดปี ใบหน้าที่มีเค้าโครงความงาม หากแต่เปรอะเปื้อนด้วยคราบสกปรก เบ้าตาลึกโบ๋จากการขาดสารอาหาร แก้มซูบตอบจนเห็นกระดูกบริเวณโหนกชัดเจน ริมฝีปากแห้งกร้านและซีดเซียว ไหนจะร่างกายผ่ายผอมเหมือนไม้ขีดในชุดสาวใช้ชั้นต่ำ
“ไม่…จริง…..เป็น…ไปไม่ได้” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น สองมือขยุ้มเส้นผมบนศีรษะจนยุ่งเหยิง สีหน้าที่แสดงออกมาในยามนี้คล้ายกับสตรีวิกลจริต “ไม่…จริง….ข้า…ฆ่า..นาง…ไป..แล้วด้วยมือคู่นี้“ นางก้มมองมือเหี่ยวแห้งที่หยาบกร้านจากการทำงานหนัก พลันนึกถึงสองมือเรียบเนียนในอดีตซึ่งถูกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด
มีดแหลมคมเล่มนั้นนางยังจำได้ดี รวมถึงวินาทีที่เสือกอาวุธมีคมลงในกายเนื้ออุ่น ๆ ของเอลิชา ใบหน้าน่าขยะแขยงของหญิงสาวที่นางเกลียดชังเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ออกมา ราวกับปล่อยวางสิ่งสำคัญทุกสิ่งในชีวิต
บุตรสาวดยุคเอเรส นักบุญแห่งสหราชอาณาจักร และคู่หมั้นขององค์รัชทายาท
“เป็นแค่บุตรสาวนอกสมรสที่มีสายเลือดโสโครกจากสตรีชั้นต่ำ” เสียงหัวเราะจากลำคอแห้งผากเต็มไปด้วยความขมขื่น หัวใจริษยายามนี้เหมือนถูกหนามแหลมทิ่มแทงเข้ามา
นางเป็นถึงอามีเรีย เอเรส บุตรสาวที่ถูกต้องตามกฎหมายของท่านพ่อ ผู้สืบทอดตำแหน่งนักบุญศักดิ์สิทธิ์ และคู่หมั้นรัชทายาท
แต่แล้วสตรีนางนั้นกลับแย่งชิงทุกสิ่งไปจากนาง ความปรารถนาทั้งหมดพังทลายลงชั่วพริบตา ไม่เว้นแม้กระทั่งความรักของบุรุษที่นางรัก
คิดแก้แค้นจนทำลายเอลิชาแล้วอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายกลับปล่อยวางทุกสิ่งที่นางทุ่มเทอย่างง่ายดาย
หญิงสาวยกมือขึ้นสัมผัสกระจกทองเหลืองซึ่งสะท้อนภาพตนเองออกมา ดวงตาโศกเศร้าเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำ นางไม่อาจยอมรับความจริงได้ว่าได้…กลายเป็นเอลิชา
พล็อตล้นจนมาแต่งว่างๆ ส่วนนิยายหลักยังดองอยู่เพราะแต่งไม่ออก ไม่รู้จะแก้หัวตันเรื่องเก่ายังไง
พศ 2660 มีศูนย์กลางอยู่ที่อารยธรรมภายในกำแพงวงกลมสามชั้น ความรู้ที่เผยแพร่ในท้องถิ่นบันทึกว่ามันเป็นร่องรอยสุดท้ายของอารยธรรมมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ชาวละโว้ผู้อยู่อาศัย ถูกทำให้เชื่อว่าเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว มนุษยชาติถูกทำให้เกือบสูญพันธุ์หลังการปรากฏตัวของฝูงลิงยักษ์ศาลเจ้า กับฝูงลิงปรางค์สามยอด ที่โจมตีและแย่งชิงอาหารของมนุษย์ จนทำให้เกิดการขาดแคลรอาหารมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก มนุษยชาติส่วนที่เหลือที่เป็นชาวตลาดได้สร้างกำแพงยักษ์และหลบซ่อนหลังกำแพงร่วมศูนย์กลางสามแห่ง และดำรงชีวิตอย่างสงบสุขประมาณศตวรรษหนึ่ง
“นี่... ให้เสี่ยวตี้ปรนนิบัติท่านเถอะ”
ชายหนุ่มเหลือบตามองดวงหน้าของหญิงสาวที่นอนอิงอยู่แนบอก ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากกล่าวว่า “หญิงใดจะใจกว้างเท่าภรรยาเราไม่มี แต่งงานกันได้ไม่ถึงขวบปี ท่านก็เสนออนุภรรยาให้แก่ข้าเสียแล้ว”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นค้อนขวับ ดุว่า “เสี่ยวตี้ติดตามรับใช้ข้ามาตั้งแต่ยังเล็ก มารดานางก็เป็นแม่นมของข้า ข้าก็ย่อมต้องเป็นห่วงอนาคตของนาง”
“จึงให้ข้ารับนางเป็นอนุภรรยากระนั้นหรือ”
“แล้วจะมีอันใดมิได้ นางติดตามข้าแต่งเข้าตระกูลท่าน จะมีบุรุษใดบังอาจมาสู่ขอนางได้อีก หรือท่านคิดให้นางตบแต่งกับบ่าวไพร่ในบ้าน”
“ยอดรัก เสี่ยวตี้เพิ่งจะอายุได้สิบสี่สิบห้ากระมัง อีกสักสองสามปีค่อยคิดถึงเรื่องนี้ก็ยังมิสาย”
“สิบสี่สิบห้าแล้วอย่างไร บุรุษโสโครกเช่นพวกท่านมิใช่ชมชอบมีภรรยาอายุน้อยหรอกหรือ”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ใช้มือมารที่ใต้ผ้าห่มบีบเข้าที่บั้นท้ายของนางเบา ๆ “อายุเท่านี้ออกจะเยาว์เกินไป” มันกล่าว “อีกอย่างหนึ่ง ภรรยาข้าคนนี้ก็ยังสาวยังสวย ไยข้าต้องไปคิดหาสตรีอื่น เอาไว้อีกสักสิบปี ข้าค่อยคิดหา...”
“หา” หญิงสาวแหว ถลึงตามองสามีอย่างดุดัน “อีกสิบปีแล้วจะอย่างไร ถ้าข้าไม่สาวไม่สวยแล้วท่านก็จะไปมีสตรีอื่นอย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มยิ้มแหย “ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น” มันพยายามแก้ตัว “ที่ข้าจะกล่าวคือ ข้าไม่ได้คิดอยากจะรับอนุภรรยาในตอนนี้...”
“...แต่ถ้าเมื่อใดข้าไม่สาวไม่สวยแล้ว ท่านก็ค่อยเริ่มคิดสินะ เฮอะ บุรุษโสโครกก็ย่อมเป็นบุรุษโสโครกวันยังค่ำ”
ชายหนุ่มโอบรัดร่างบางไว้แนบอก กระซิบคำง้องอนที่ข้างหูของนางอยู่หลายคำ ครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงค่อยเอ่ยคำขึ้นว่า “ข้าให้เวลาท่านห้า... ไม่สิ สามปี”
ชายหนุ่มครางหืม ย้อนถามว่าหมายความว่าอย่างไร เมื่อนั้นหญิงสาวจึงกล่าวต่อว่า “ข้าให้เวลาท่านหาอนุภรรยามาตบแต่งด้วยสามปี ท่านคิดจะตบแต่งกี่ร้อยกี่พันนางก็เรื่องของท่าน แต่เมื่อพ้นกำหนดสามปีนี้แล้ว ห้ามมิให้ท่านรับธิดาตระกูลใดเข้าบ้านอีก”
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ใช้เสียงเล็กเสียงน้อยถามนางว่า “ยอดรัก ทำเช่นนี้จะเกิดประโยชน์อันใด”
“ข้าจะได้มีเรี่ยวแรงสู้รบกับพวกนางได้อย่างไรเล่า” หญิงสาวแหว “ขืนรอจนแก่ ข้าจะเอาอะไรไปสู้กับนางจิ้งจอกทั้งหลาย คงได้กลายเป็นขี้ปากของผู้คนไปทั่ว”
ชายหนุ่มตีหน้าขรึมพยักหน้ารับ “ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะให้คนสำรวจไปตามบ้านต่าง ๆ ลูกเล็กเด็กแดงบ้านไหนหน้าตาจิ้มลิ้มจะสู่ขอเผื่อเอาไว้ พอพวกนางอายุสิบเจ็ดค่อยให้เข้าบ้าน... ยอดรักอย่าร้อง ข้าเพียงแต่กล่าวล้อเล่นเท่านั้น”
ชายหนุ่มพยายามที่จะกอดภรรยาเอาไว้ แต่หญิงสาวถลันตัวหลบ ลุกขึ้นนั่งกอดอกหันหลังให้ ร้องว่า “อย่ามายุ่งกับข้า”
ชายหนุ่มชักมือกลับ หุบปากสนิท แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังไม่กล้าระบายออกโดยแรง เกิดความเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะร้องไห้โฮ หันกลับมาใช้หมัดน้อย ๆ ทุบตีสามี ปากก็ฟูมฟายว่า “ท่านไม่รักข้าแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่รักได้อย่างไร ยอดรัก ข้ารักท่าน” ชายหนุ่มร่ำร้องออกมา รีบยกสองแขนขึ้นโอบกอดนางเอาไว้ “ข้าขอโทษ ๆ เพียงแต่คิดหลอกล้อท่านเล่นเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าท่านจะถือเป็นจริงจังเพียงนี้”
“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่... ไม่ง้องอนข้า”
ชายหนุ่มเผยสีหน้าจนปัญญาออกมา กล่าวเบา ๆ ว่า “ยอดรัก เมื่อครู่นี้เป็นท่านเองที่สั่งไม่ให้ข้ายุ่งกับท่าน”
หญิงสาวดันตัวออกจากอ้อมอกของสามี ร้องอย่างขุ่นเคืองแง่งอนว่า “แล้วอย่างไร ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ท่านเชื่อฟังคำพูดข้า”
ตอน แพนเค้กที่เละอยู่บนพื้น ตอนพิเศษ
เหตุการณ์ตอนที่แล้ว :ตูมมมมม พลังโมเอะญี่ปุ่น ปฐมยุค ของจิตเวชแรกกำเนิด เข้าจู่โจม องญเกาหลีเกลือ พลังโจมตี 1000 ล้าน เข้าใส่ร่างองญ ไร้ทางต่อต้านโดยสิ้นเชิง องญเกลือพ่ายแพ้!! อย่างไม่คาดคิด ไม่มีผู้ใดคาดเดาถูก นี่คือพลังของจิตเวช ไร้เทียมทานเสียจริง
สิ่งที่เหลือ เป็นเพียงกระดาษพับจรวจสีสันผ้าฉูดฉาด แปลกตา 6 จรวจ เท่านั้น ราวกับของที่เหลืออยู่คือกระดูกขององญเกลือ ลูกกระจ๊อกที่เหลือต่างแตกรังทันที จิตเวชได้ส่งหน่วยต่างๆเข้า
จู่โจมทั้งทาง1000ทิพย์ ท่อแดง นกX เฟสบนบก การต่อสู้จบลงด้วยความรวดเร็ว นี่จะเรียกต่อสู้ได้อย่างไร มันคือการสังหารหมู่ชัดๆ
อยู่ๆ โม่งป้าข้างบ้านที่สะบักสะบอมหนีทัพ ก็กล่าว ข้าไม่อาจแพ้มินต์ๆๆ พวกเขาท่องย้ำๆในใจ ราวกับคนสูญเสียสติ
"เจ้าพ่ายแพ้ให้ข้าแล้วโม่งป้าข้างบ้าน แหล่งพลังงาน เกลือของเจ้า ได้ดับสูญไปเรียบร้อยแล้ว ตัวเจ้านั้นจะเอาพลังมาจากไหนมาต่อสู้ได้อีก ฮ่าาาา555555+"
การต่อสู้จบลงด้วย ด้วยความรวดเร็ว โม่งป้าข้างบ้านโดนกระทืบสะบักสะบอม ฟันร่วงหมดปาก ตาบอดทั้ง 2 ข้าง นิ้วมือทั้ง 10 ล้วนหัก ทั้งสิ้น ไม่สามารถพิมอะไรได้แล้ว
โม่งจิตเวชดั้งเดิม กำลังง้างเท้าพร้อมกระทืบโหลกให้แหลกเละคาตีน พร้อมกับพูดว่า " มีอะไรจะสั่งเสียไหม แต่จู่ๆได้กลิ่น แพนเค้ก เชื่อมน้ำผึ้ง หอมๆ จากโรงอาหารพอดี
โม่งป้าข้างบ้านกล่าว เราอยากให้ม่วงมินต์ยุบไปซะ ยังไงองญเกลือก็ไม่อยู่แล้ว แต่หางตาก็เกลือบไปเห็น แพนเค้ก
อยู่ๆ โม่งป้าข้างบ้านก็พูดด้วยเสียงแหบพร่า "อยากกินแพนเค้ก"
เอ้ากินซะสิ จิตเวชดั้งเดิม โยนแพนเค้ก จนเละลงพื้นดูไม่น่ากินสักนิด แล้วโม่งป้าข้างบ้านก็เริ่มคลาน ง่ำกินไปนึงคำ@#!#@!#@!$!#$%@$ อยู่ โม่งป้าข้างบ้านอาการกำเริบทันที
พร้อมน้ำตาที่หลั่งริน
"ข้ายังไม่อยากใต้ตีนมินต์ ข้าอยากมีตัวตน เราไม่อยากอยู่แล้วถ้าไม่มีองญเกลืออยู่ด้วย
เราอยากชิมเกลือ เราอยากให้ม่วงผงาด เราอยากดับสูญพร้อมกับองญเกลือ
เราอยากกินแพนเค้กของม่วง เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้าไม่มีองญเกลือ เราไม่อาจชนะมินต์
เราไม่อยากอยู่แล้ว ถ้าไม่มีองญเกลืออยู่ เราขอไม่มีชีวิตดีกว่า
ถึงจะไม่มีองญ เกลืออยู่ เราอยากกิน แพนเค้กของม่วง ขอแค่ได้กิน เราอยากมีชีวิต เราอยากมีชีวิต
เราไม่อยากตาย
ดวงจิตเวช มองร่างไร้สติ ที่กำลัง พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด หลังจากสูญเสียองญเกลือไป
"ดีแบบนี้แหละข้าชอบ 555555555+ ปิดฉาก องญเกลือที่เจ้าภาคภูมิใจซะ ปลิดชีวิต มันซะเดียวนี้ อย่าปล่อยให้เศษกระดูกกระดาษพับ6จรวจยังหายใจรวยรินอยู่"
โม่งป้าข้างบ้านกรีดร้องราวกับคนเสียสติ พุ่งเข้าหาองญเกลือทันที ฉีกกระดาษแล้วกระดาษเล่าจนไม่อาจปะติดปะต่อกันได้อีก
เมื่อนั้นจิตของเขา ก็เข้าสู่โลกนรกกันต์ทันที!!!
"ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ใช้ชีวิตใหม่ในฐานะ โม่งป้าข้างบ้านไม่มีต่อไปอีกแล้ว คนพิการอย่างเจ้า โม่งม่วงvoid
ข้าจะเปลี่ยนเจ้าเอง ต่อจากนี้ เจ้ารับหน้าที่ดูแลพื้นที่ดับสูญ เจ้าจะมีชิวตอยู่ต่อในฐานตัวตนใหม่ ฮ่าๆๆๆ
ยิ่งข้าทำให้คนเป็นจิตเวชมากเท่าไร พลังก็กล้าแข็งขึ้นเท่านั้น นี่คือ โลกที่จิตเวชสร้างขึ้นมา
ผู้คนทั่วทุกสารทิศต่างหวาดกลัวเขา ชื่อเสียงกระฉ่อนไปไกล ตัวตน ไร้พ่าย จิตเวชปฐมบรรพชน ฉายา จิตเวชแรกกำเนิดoriginal
.
จบตอน... แพนเค้กที่เละอยู่บนพื้น
นิยายกุพอใช้ได้ไหม
กูมาแค่เคาะภาษาไทยที่ไม่ได้ใช้นาน ถ้าพิมพ์ผิดก็...ช่างมันละกัน ๕๕๕
---
[สหายย เราเบื่อ]
น้ำเสียงลากคำยาวเหยียดดังทะลุหูฟังท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงรั่วแป้นคีย์บอร์ดและเสียงครืนๆ
"คุณบ่นมากี่รอบแล้วเนี่ย ลูนิค เบื่อนักก็เอาเวลาไปเล่นอีเว้นท์ที่จะหมดพรุ่งนี้เซ่ ไม่ทันผมไม่ช่วยนะเออ"
[พูดเป็นเล่นน่ะ ออร์ก้า นายก็เห็นว่าเราอยู่ที่ไหน คิดว่ากลางป่ากลางเขาแบบนี้มันจะสัญญาณดีพอให--]
ติ๊ง
"หลุดไปแล้ว ...งี้ผมก็ต้อง้ล่นอีกแล้วเรอะ?"
[เห็นว่าฝนตกหนักด้วย ท่าทางจะหลุดยาว]
[ฮ่าๆ เช่ากับไม่เช่าสัญญาณแทบไม่ต่าง ไม่ต้แงเสียเงินก็ได้แท้ๆ น่าสมเพชชะมัดลูนิค]
"ผมล่ะเหลือเชี่อจริงๆ ที่เขายังขยันไปหาที่"
[ทำไงได้ละครับ เขาเป็นช่างภาพอิสระที่เลือกเดินทางรอบโลกละนะ]
สายตาสีน้ำตาลเหลือบมองแมกกาซีนที่เขาเริ่มซื้อจนเป็นกิจวัตรแยู่วางกองอยู่บนชั้นวางหนังสือใกล้ๆ ภาพธรรมชาติที่ลูนิคเป็นคนกดชัตเตอร์ต่างถูกเลือกให้ลงในหนังสือพวกนั้นเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เริ่มต้นจากเพียงกรอบภาพเล็กๆ
"ผมไปหาไรกินก่อนละ ถ้าลูนิคกลับมาแล้วก็ช่วยบอกให้เจ้าตัวอย่าอู้นะครับ"
เด็กหนุ่มตัวสูงตามมาตรฐาน ชื่อจริง เรนเดล ลี เบ้หน้าใส่จอสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผมทรงรังนกถูกคาดทับด้วยหูฟังตัดเสียงลดราคาที่ซื้อมาตอน black friday 2 ปีที่แล้ว เขาดึงมันออกแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเช็คแจ้ง้ตือนที่เผื่อจพมีมา แต่ก็เหมือนวันที่แล้วๆ มา ไม่มีสิ่งใดนอกจากเมลล์คูปองลดราคาร้านที่้เขาไม่ได้สนใจ
เวลาตีบอกเวลาสี่โมงสามสิบหก เขาเดินออกจากห้องหลังคว้านหากระเป๋าตังที่น่าจะวางอยู่หน้าจอคอมกับโต๊พตัวเตี๊ยไม่เจอ งั้นมันคงอยู่ที่เสื้อกันหนาวตรงประตู เสียงทีวีดีงแว่วมาจากห้องนั่งเล่นที่เด็กหนุ่มเล่นผ่าน เขาชะโงกหน้าดูเห็นชายวัยปลายกลางคนในชุดอยู่บ้านโอบถังป๊อปคอร์นทำเองที่พร่องไปอล้วถึงหนึ่งในสามนั่งเอกขนกดูแข่งบอลอยู่บนโซฟาสีเข้ม
"พ่อ กลับมาตั้งแต่ตอนไหน" เขาเดินไปข้างโซฟา ถือโอกาศเอาป๊อปคอร?นมากินบ้าง
"จริงๆ ก็ตั้งแต่เที่ยง คนของอีกโรงงานเลื่อนประชุมเพราะลูกค้าน่ะ" ผู้เป็นพ่อรับถังกลับมา "แกจะออกไปซื้อของกินใช่ไหม ตอนกลับมาซื้อไข่กับขนมปังมาด้วย เงินอยู่ที่กระเป๋าเสื้อนอก"
"ได้" เรนเดลพยักหน้า "แล้วเอาแค่นี้เหรอ"
"ถ้าแกอยากซื้ออะไรเพิ่มก็ซื้อมาเถอะ เอามาเผื่อมื้อเย็นพรุ่งนี้ด้วย"
เด็กหนุ่มเดินย้อนกลับไปที่โถงทางเดิน หยุดอยู่หน้าโค้ทยาวสองสามตัวของพ่อ ก่อนจะได้ตัดสินใจว่าต้องเป็นตัวด้านซ้ายกลับมีเสียงลอยไล่หลังมา
"ตัวสีเทาเข้ม กระเป๋าบนสุด"
"บอกแต่แรกสิฟะ"
---
เปิดเรื่องไว้ก่อน ค่อยมาต่อ
มึง กูว่าง ไถ ๆ ดูละเจอ Love Craft Magic ของโม่งสักคนในนี้เลยเอามาเขียนขยายเคาะสนิมฝีมือหลังจากไม่ใช้มานาน
***
ยามสนธยาท้องฟ้าสีส้มแสดเห็นดาวปรากฏเลือนราง จิ้งหรีดเรไรร้องประสานเสียงบรรเลงท่วงทำนองยามค่ำคืน
ที่บ้านหลังเล็กบริเวณชานเมืองภายในมีเพียงแสงรำไรจากเทียนให้ความสว่าง ผนังบ้านเป็นชั้นไม้ที่เต็มไปด้วยขวดแก้วขวดโหลใส่พืช สมุนไพร รวมถึงสสารอื่น ๆ ทั้งของแข็งและของเหลว
หญิงสาวในชุดคลุมตัวยาวยกขวดแก้วบรรจุของเหลวสีชมพูแกว่งไปมาเกิดเป็นน้ำวนสายน้อย ปากแดงวาดรอยยิ้มพอใจ
เธอเป็นแม่มดเจ้าของบ้านหลังนี้ ผิวกายซีดขาว ผมยาวเหยียดดำสนิทเหมือนม่านหมึกเช่นเดียวกับดวงตาเรียวโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวไร้ประกายแสง “ยาสเน่ห์ทำให้สาวรักสาวหลงตามที่สั่ง อย่าลืมสัญญาของเรา ลูกคนแรกของคุณจะต้องเป็นของฉัน”
ลูกค้ารับขวดแก้วยาสเน่ห์ไปถือ ฟ้าสางประธานแห่งบริษัทเครือเดลต้า—เขาเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่า สวมสูทเนี๊ยบเรียบกริบ ผมดำปาดเจลเซ็ตอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาคมคาบเรียบนิ่ง ริมฝีปากเหยียดตรง ดวงตาจับจ้องขวดแก้วในมือไม่บ่งบอกอารมณ์
ว่าแล้วก็แปลกที่ชายหนุ่มเพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และการงานกลับต้องมาพึ่งแม่มดให้ปรุงยาสเน่ห์ ทั้งที่เพียงเขาอยู่เฉย ๆ ก็มีผู้หญิงมากมายที่พร้อมเข้ามาให้เขาเลือกสรร
ที่จริง แม่มดมีความลับอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับออเดอร์นี้ ความลับที่เธอจะเก็บงำมันเอาไว้ กลืนกินและกลบฝังมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจไม่ให้คนตรงหน้าล่วงรู้
ความลับที่ว่าเธอชอบเขา
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การแอบชอบอยู่ลับ ๆ รู้กับตัวเองคนเดียว ไม่เคยเปิดเผยกับใครที่ไหน และไม่ทำอะไรกับมันกระทั่งฟ้าสางเดินเข้ามาในร้านของเธอขอให้ปรุงยาสเน่ห์ให้
เป๊าะ!
เหมือนหัวใจโดนเข็มหมุดเจาะแตก ค่อย ๆ ฟีบลงเหลือเพียงซากลูกโป่งห่อเหี่ยว ท่ามกลางหยาดฝนที่ร่วงกราว
กระนั้นแม่มดก็แย้มยิ้มการค้ารับออเดอร์เก็บซ่อนความร้าวรานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และคิดค่าความเสียใจของตัวเองเป็นลูกคนแรกของเขาอย่างชั่วร้ายสมจรรยาบรรณวิชาชีพสายดำ
“ลูกคนแรกของผมจะเป็นของคุณตามสัญญา” ฟ้าสางหมุนเปิดผาขวดแก้ว กลิ่นหวานที่ให้ความรู้สึกมัวเมาอวลอยู่ในอากาศ
…ก่อนที่เขาจะสาดยาสเน่ห์ใส่เธอโดยไม่ลังเล
?!
ใบหน้าและเส้นผมของแม่มดเปียกโชก
ยังไม่ทันที่จะได้ยกมือปาดของเหลวบนหน้า ฟ้าสางก็คว้าข้อมือเธอดึงให้เดินออกจากบ้านไปด้วยกัน
“แต่เราสองคนจะเป็นของกันและกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนอย่างเคย แต่หนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
แม่มดสังเกตดวงตาเขาอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก มันเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เผด็จการ และหลงใหลที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
เธอเม้มปาก รู้สึกว่าความร้อนจากทั่วร่างไหลมากองอยู่ที่ใบหน้า หัวใจในอกพองขยายเสียจนกลัวว่ามันจะแตกออกเพราะความสุขที่ล้นทะลัก
บอกดีไหมนะว่ายานี่เอาไว้ดื่มไม่ใช่ใช้สาดใส่กัน
เชี่ย มีคำผิด เอาใหม่
***
มึง กูว่าง ไถ ๆ ดูละเจอ Love Craft Magic ของโม่งสักคนในนี้เลยเอามาเขียนขยายเคาะสนิมฝีมือหลังจากไม่ใช้มานาน
***
ยามสนธยาท้องฟ้าสีส้มแสดเห็นดาวปรากฏเลือนราง จิ้งหรีดเรไรร้องประสานเสียงบรรเลงท่วงทำนองยามค่ำคืน
ที่บ้านหลังเล็กบริเวณชานเมืองภายในมีเพียงแสงรำไรจากเทียนให้ความสว่าง ผนังบ้านเป็นชั้นไม้ที่เต็มไปด้วยขวดแก้วขวดโหลใส่พืช สมุนไพร รวมถึงสสารอื่น ๆ ทั้งของแข็งและของเหลว
หญิงสาวในชุดคลุมตัวยาวยกขวดแก้วบรรจุของเหลวสีชมพูแกว่งไปมาเกิดเป็นน้ำวนสายน้อย ปากแดงวาดรอยยิ้มพอใจ
เธอเป็นแม่มดเจ้าของบ้านหลังนี้ ผิวกายซีดขาว ผมยาวเหยียดดำสนิทเหมือนม่านหมึกเช่นเดียวกับดวงตาเรียวโค้งเป็นจันทร์เสี้ยวไร้ประกายแสง “ยาเสน่ห์ทำให้สาวรักสาวหลงตามที่สั่ง อย่าลืมสัญญาของเรา ลูกคนแรกของคุณจะต้องเป็นของฉัน”
ลูกค้ารับขวดแก้วยาเสน่ห์ไปถือ ฟ้าสางประธานแห่งบริษัทเครือเดลต้า เขาเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบกว่า สวมสูทเนี้ยบเรียบกริบ ผมดำปาดเจลเซตอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเรียบนิ่ง ริมฝีปากเหยียดตรง ดวงตาจับจ้องขวดแก้วในมือไม่บ่งบอกอารมณ์
ว่าแล้วก็แปลกที่ชายหนุ่มเพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และการงานกลับต้องมาพึ่งแม่มดให้ปรุงยาเสน่ห์ ทั้งที่เพียงเขาอยู่เฉย ๆ ก็มีผู้หญิงมากมายที่พร้อมเข้ามาให้เขาเลือกสรร
ที่จริง แม่มดมีความลับอยู่อย่างหนึ่งเกี่ยวกับออเดอร์นี้ ความลับที่เธอจะเก็บงำมันเอาไว้ กลืนกินและกลบฝังมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจไม่ให้คนตรงหน้าล่วงรู้
ความลับที่ว่าเธอชอบเขา
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การแอบชอบอยู่ลับ ๆ รู้กับตัวเองคนเดียว ไม่เคยเปิดเผยกับใครที่ไหน และไม่ทำอะไรกับมันกระทั่งฟ้าสางเดินเข้ามาในร้านของเธอขอให้ปรุงยาเสน่ห์ให้
เป๊าะ!
เหมือนหัวใจโดนเข็มหมุดเจาะแตก ค่อย ๆ ฟีบลงเหลือเพียงซากลูกโป่งห่อเหี่ยว ท่ามกลางหยาดฝนที่ร่วงกราว
กระนั้นแม่มดก็แย้มยิ้มการค้ารับออเดอร์ เก็บซ่อนความร้าวรานได้อย่างสมบูรณ์แบบ และคิดค่าความเสียใจของตัวเองเป็นลูกคนแรกของเขาอย่างชั่วร้ายสมจรรยาบรรณวิชาชีพสายดำ
“ลูกคนแรกของผมจะเป็นของคุณตามสัญญา” ฟ้าสางหมุนเปิดผาขวดแก้ว กลิ่นหวานที่ให้ความรู้สึกมัวเมาอวลอยู่ในอากาศ
…ก่อนที่เขาจะสาดยาเสน่ห์ใส่เธอโดยไม่ลังเล
?!
ใบหน้าและเส้นผมของแม่มดเปียกโชก
ยังไม่ทันที่จะได้ยกมือปาดของเหลวบนหน้า ฟ้าสางก็คว้าข้อมือเธอดึงให้เดินออกจากบ้านไปด้วยกัน
“แต่เราสองคนจะเป็นของกันและกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนอย่างเคย แต่หนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
แม่มดสังเกตดวงตาเขาอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก มันเต็มไปด้วยความดื้อรั้น เผด็จการ และหลงใหลที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
เธอเม้มปาก รู้สึกว่าความร้อนจากทั่วร่างไหลมากองอยู่ที่ใบหน้า หัวใจในอกพองขยายเสียจนกลัวว่ามันจะแตกออกเพราะความสุขที่ล้นทะลัก
บอกดีไหมนะว่ายานี่เอาไว้ดื่มไม่ใช่ใช้สาดใส่กัน
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.