เจอคนกดไลค์ละ 1
Last posted
Total of 1000 posts
เจอคนกดไลค์ละ 1
แอเรียล = นางเงือก
นางเงือก = อยู่ใต้ทะเล
อยู่ใต้ทะเล = ดำน้ำ
ดังนั้นแอเรียลเป็นคนดำก็ถูกแล้วครับ
โวยวายอะไรกัน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
[คอลัมน์กรุงเทพธุรกิจ] โลกที่แตกเป็นสองห่วงโซ่
ช่วงที่ผ่านมา หลายคนเข้ามาสอบถามความเห็นของผมเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทุกคนอยากรู้ว่า ตกลงใครจะชนะในสงครามกันแน่?
แต่วันนี้ผมอยากชวนเพื่อนๆ มองข้ามไปอีกช็อต โดยอยากชี้ให้ทุกคนเห็นว่า การค้าโลกจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว และเราทุกคนต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นยุคโลกาภิวัฒน์เต็มตัว นั่นก็คือ การค้าทั้งโลกเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะสองแกนสำคัญคือจีนและสหรัฐฯ ต่างเชื่อมโยงกันมาก ทุนจากสหรัฐฯ เข้ามาผลิตในจีน ส่งขายไปยังตลาดโลก
ในทางวิชาการ จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) กล่าวคือ แต่ละประเทศผลิตของตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของตน สหรัฐฯ มีความได้เปรียบที่ทุน ส่วนจีนมีความได้เปรียบที่แรงงาน ประเทศอื่นๆ เองก็เข้าเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมโยงกับสองประเทศนี้ (ตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของแต่ละประเทศ) และเกิดการค้าขายเชื่อมกันทั้งโลก
ตัวอย่างเช่น กว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่ง อาจได้ทุนมาจากประเทศหนึ่ง ได้ชิ้นส่วนหนึ่งมาจากอีกประเทศ ได้อีกชิ้นส่วนจากอีกประเทศ แล้วมาประกอบขึ้นที่อีกประเทศ เพื่อส่งไปขายยังอีกประเทศ นี่แหละครับคือห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมต่อกันทั้งโลก เป็นโลกใบเดียว ห่วงโซ่เดียว แต่ละภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างรู้ว่าห่วงโซ่นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
เราค้าขายกันอย่างนี้มา 20 ปี จนสามารถผลิตของได้ด้วยต้นทุนที่ถูก มีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าในเกมนี้ มีทั้งผู้ชนะ และผู้แพ้ แต่อย่างน้อย ทุกคนรู้ว่าตนรับผลิตอะไร ขายใคร ทุกคนรู้ว่าตนเป็นส่วนไหนในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าต่างๆ
แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ สงครามการค้าทำให้เกิดการเขย่าห่วงโซ่อุปทานโลกครั้งใหญ่ และโลกการค้าจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีจีน (และขู่จะขึ้นภาษีอีกหลายประเทศ) จึงทำให้ปั่นป่วนกันทั้งโลก ธุรกิจต่างๆ ต้องมานั่งวางแผนกันใหม่ว่าจะวางห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการขายกันอย่างไร จึงจะหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ได้
เราจึงเห็นธุรกิจในจีนเริ่มย้ายออกจากจีนมาหาแหล่งผลิตอื่น ส่วนธุรกิจที่ยังผลิตในจีนก็เริ่มสนใจจะบุกตลาดผู้บริโภคอื่น แทนที่จะส่งไปขายสหรัฐฯ
ผมได้แนะนำนักธุรกิจหลายท่านว่า สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ การตื่นตัวกับเส้นทางการค้าที่กำลังตายและที่กำลังก่อร่างใหม่ เราต้องเริ่มถามว่า ในธุรกิจหรือสินค้าของเรา เส้นทางการค้าและห่วงโซ่การผลิตกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตเดิมที่ส่วนอื่นๆ ในห่วงโซ่นั้นกำลังถูกเขย่าหรือไม่และถูกเขย่าอย่างไร สุดท้ายห่วงโซ่ที่กำลังเกิดใหม่จะกระทบหรือสร้างโอกาสใหม่ให้เราได้อย่างไร
เมื่อทรัมป์เจอกับสีจิ้นผิงครั้งล่าสุดในการประชุม G20 ที่โอซาก้า ข่าวออกมาเหมือนกับว่าสงครามการค้าระหว่างสองประเทศพักรบแล้ว ทั้งสองฝ่ายตกลงกลับมานั่งโต๊ะเจรจา คนที่ยังมองโลกในแง่เดิมเห็นว่า ต่อไปในอนาคตก็คงจะตกลงกันได้ หรือสุดท้ายถ้าทรัมป์แพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า สงครามการค้าก็คงยุติได้จริงๆ โลกก็จะได้กลับมาสงบสุขคาดเดาได้ดังเดิมเสียที
แต่ข้อเท็จจริงก็คือ โลกจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมหรอกครับ เพราะเมื่อทรัมป์ทำสงครามการค้าแบบนี้ได้ จีนจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ผู้นำสหรัฐฯ คนอื่นจะไม่ทำเช่นกัน วันหนึ่งอาจจะกลับมาเล่นลูกบ้าแบบทรัมป์เมื่อไรใครจะรู้
เพราะฉะนั้นในมุมของจีน ยุทธศาสตร์ระยะยาวจึงต้องพยายามปรับห่วงโซ่อุปทานสินค้าของตนใหม่ให้แยกออกจากสหรัฐฯ โดยต้องกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตและหาตลาดใหม่เพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน ในมุมของสหรัฐฯ เอง ภัยคุกคามจากจีนก็ทำให้ยุทธศาสตร์ระยะยาวของสหรัฐฯ ต้องการแยกห่วงโซ่การผลิตสินค้าของตนออกจากจีนเช่นเดียวกัน เพราะสหรัฐฯ มองว่าการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนเชื่อมโยงกันมากอย่างในอดีต ทำให้สหรัฐฯ สูญเสียอำนาจการต่อรอง ดังนั้น สหรัฐฯ จึงต้องการบีบให้บริษัทสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน และเริ่มหาตลาดใหม่ที่ไม่ใช่จีน
ผลที่ออกมาก็คือ เรากำลังสิ้นสุดยุคโลกาภิวัฒน์ที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว มาสู่ยุคที่ห่วงโซ่อุปทานโลกจะแตกเป็นสองห่วงโซ่ที่แยกจากกัน
ห่วงโซ่หนึ่งเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมกับจีน ซึ่งจีนน่าจะเน้นแกนของห่วงโซ่ที่ภูมิภาคเอเชียและในจีนเป็นหลัก ทั้งในเรื่องฐานการผลิตและฐานผู้บริโภค โดยสำหรับฐานผู้บริโภคนั้น อย่าลืมนะครับว่าในจีนกำลังมีคนยากจนที่กำลังขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางอีก 600 ล้านคน (2 เท่าของประชากรสหรัฐฯ) และในภูมิภาคอาเซียนเองก็มีคนยากจนที่กำลังขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางอีกอย่างน้อย 300 ล้านคน (พอๆ กับประชากรสหรัฐฯ)
ส่วนอีกห่วงโซ่หนึ่งจะเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมกับสหรัฐฯ ซึ่งด้านหนึ่งก็จะแยกตัวออกจากจีน แต่อีกด้านก็ต้องหันมาอาศัยฐานการผลิตใหม่ในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย และหาฐานผู้บริโภคใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากจีน เป้าหมายสำคัญจึงน่าจะเป็นฐานการผลิตและตลาดในภูมิภาคอาเซียนเช่นเดียวกัน
เมื่อมองภาพกว้างเช่นนี้ การปรับห่วงโซ่การผลิตใหม่ของโลกทั้งสองห่วงโซ่ จึงเป็นโอกาสมหาศาลให้กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน แต่ใครจะตักตวงประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด อยู่ที่เข้าใจภาพห่วงโซ่อุปทานรายสินค้าและรายอุตสาหกรรมที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปได้ดีเพียงใดมากกว่า
ดังนั้น โจทย์สำคัญของแต่ละประเทศก็คือ ต้องมีการศึกษาข้อมูลการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของห่วงโซ่อุปทานของสินค้าต่างๆ ในยุคเขย่าโลกที่กำลังเป็นอยู่ และต้องวางกลยุทธ์เพื่อผลักให้ธุรกิจและสินค้าของประเทศตนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานทั้งสองห่วงโซ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาใหม่ครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ใน Twitter Nessa วาดผิวสว่างขึ้นมานิดหน่อยโดนรุมถล่มบอกเป็น White washing
แต่งือกน้อยผิวสีผมดำๆบอก Dream come true... 🧜🏽♀️🌊 รุมกดชื่นชอบกันเป็นแสน
OK คร่ะ 👌
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แต่ตอนปัจจุบันนี้คืออดีตสำหรับอนาคตของคุณนะครับ ทำตอนนี้ให้ดี เพื่ออนาคตเราจะได้ไม่อยากกลับมาแก้ไขเหมือนที่เราอยากกลับไปแก้ไขอดีตอีก สู้ๆครับ อดีตเรากลับไปแก้ไม่ได้แล้ว แต่ปัจจุบันเรายังแก้ไขได้อยู่นะครับ สู้ๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไอ้ เควนทิน เบ็ค (Mystertio) ที่ทำตัวเป็นคนดีตอนแรกๆ แม่งจริงๆแล้วเป็นตัวโกง อดีตลูกน้องโทนี่
ตอนมันตาย แม่งยังเฉลยออกทีวี อีกว่า สไปเดอร์แมน คือ Peter Parker โคตรเหี้ย
แถมนิค ฟิวรี่ ในเรื่อง ดันเป็น ทาลอส (สครัล ในเรื่องกัปตันมาร์เวล) ปลอมตัวมา ไม่ใช่นิคจริงๆ อึ้งสัสๆ โคตรเนียน
เพื่อนๆโม่งต้องไปดู Spiderman Far From Home ให้ได้นะครับ
#คนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิตเพราะอะไร
ผลงานวิจัยฯ ของรัสเซีย อ้างว่าเหตุผลการเสียชีวิตมิได้เกิดจากมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่าของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทราบว่ามีเซลล์มะเร็ง ให้รีบปฏิบัติ
๑.ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณจำนวนมาก เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ
๒. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ ๓ เดือน เซลล์มะเร็งจะแพ้ การปฏิบัติดังกล่าวดีกว่าการรักษาด้วยคีโม
๓.ขั้นตอนที่ ๓ คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าว อินทรีย์ ๓ ช้อนโต๊ะ เช้าและกลางคืน เซลล์มะเร็งจะค่อยๆ หายไป ท่านสามารถเลือก ๑ ใน ๒ วิธีนี้ หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ที่ผ่านมา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความผิด ข้อมูลนี้เผยแพร่มานานกว่า ๕ ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่ที่สำคัญที่สุด มันยังช้ากว่าการที่คุณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับทุกคนรอบตัวคุณเพื่อได้รู้เห็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมอสโก รัสเซีย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลนี้ กรุณาส่งต่อบทความนี้ให้กับคน ที่ท่านรักอีก ๑ คน ผมเชื่อว่าแน่นอน! อย่างน้อย ๑ ชีวิต จะได้รับประโยชน์ และจะบันทึกไว้ ส่วน
ผมได้ทำในส่วนของผมแล้ว หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเผยแพร่ โดยการทำส่วนของคุณ กล่าวคือ
๑. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่าผสมน้ำตาล น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ
๒. หั่นเป็นแว่น ๕ ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้วทิ้งไว้ ๒๐- ๓๐ นาที แล้วค่อยดื่ม
๓.มันสำปะหลัง นำไปต้ม แต่ต้องต้มด้วย เปิดฝาหม้อวิตามิน B 17 อยู่ในมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้
บ่อยครั้ง การกินมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ - มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้หญิง
อย่าดื่มชาในช่วงมีรอบเดือน และ
การดื่มน้ำถั่วเหลือง นั้น ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในน้ำถั่วเหลือง ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเปล่า ๑ แก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว
ไม่กินอาหารในช่วง ๓ ชั่วโมง ก่อนนอน
หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ อย่ากินขนมปัง ในขณะที่ร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง
ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ในขณะที่คุณหลับ ดื่มน้ำเปล่าวันละ ๑๐ แก้ว ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ให้ดื่มน้ำต่อเนื่องระหว่างวัน ลดช่วงกลางคืน และ
อย่าดื่มกาแฟ มากกว่า ๒ แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และมีปัญหาต่อกระเพาะอาหารได้
กินอาหารที่เลี่ยนได้เล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะต้องใช้เวลา ๕-๗ ชั่วโมงในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย
หลัง ๑๗.๐๐ น.กินอาหารให้น้อยลง ประการสำคัญอาหาร ๖ ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข ได้แก่ กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, ลูกพีช อนึ่ง การนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ พยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้เราอ่อนกว่าวัย อย่าลืม น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาล สามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น
น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง
แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน ๕ ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน anti-oxsidan
รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง
น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้
การทดสอบทางคลินิก พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาวร้อน จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่ดี กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถึงแม้ คุณจะยุ่งแค่ไหน เมื่ออ่านข้อความนี้ของผมแล้ว ช่วยถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยครับ❤
การแบ่งปัน ถือเป็นวิทยาทาน ด้วยความปรารถนาดี ผศ.ดร.ศ.สำเร็จผล
คนจีนไม่น่าจะเสียเวลาตามหายาอายุวัฒนะเลย
แวะไปญี่ปุ่นก็เหมารามูเนะมาสักลังก็รักษาได้ทุกโรคแล้ว
ชุดกาสะลอง สัญญะอันตราย คำเตือนจากอนาคตใหม่
.
หลายท่านได้รีเควสท์ให้ผู้เขียนได้ออกมาอธิบายเจาะประเด็นลึกและสัญญะทางการเมืองของ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่หลาย ๆ คนผ่านเครื่องแต่งกายเข้าสภาเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา
.
ผู้เขียนได้นั่งอ่านและพิจารณาดูแล้วว่าไม่อาจที่จะละเลยสัญญะเหล่านี้ออกไปได้ เพียงแต่ไม่สามารถสื่อออกไปได้อย่างเต็มปาก ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจในสิ่งที่สื่อ แต่มันหมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่ร้ายแรง เป็นแรงกระเพื่อมเงียบ เป็นคลื่นใต้น้ำ
.
ประการที่ 1 ชุดที่โฆษกพรรคนำมาแสดงในวันนั้นก็คือชุดกาสะลอง
กาสะลองเป็นชื่อดอกไม้ของชาวเหนือที่ชาวภาคกลางรู้จักกันในชื่อ ดอกปีบ หากพิจารณาให้ดีมันคือลวดลายของชุดที่ถูกสวมอยู่นั่นเอง
โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ยังได้โพสต์ข้อความผ่านทวีตเตอร์ ระบุว่า "เพราะความเป็นไทยไม่ได้มีแค่แบบเดียว #อนาคตใหม่ อยากทำให้สภาเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เราจะพยายามแต่งกายด้วยชุดที่หลากหลาย นำผ้าจากแต่ละภูมิภาคเข้ามาสู่สภา และยังเป็นการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่น"
.
จากสัญญะในประการที่ 1 จะเห็นได้ว่า ชุดกาสะลองนั้นหมายถึงชาวเหนือ เมื่อเอ่ยถึงชาวเหนือ เรานึกถึงชาวล้านนาเป็นอันดับแรก และเมื่อนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลีกเลี่ยง "ชาวเชียงใหม่" ได้พ้น
ไม่แน่การสื่อสัญญะนี้อาจหมายถึงการถูกบงการจากคนเชียงใหม่ ใครสักคน หรือฐานอำนาจจากเชียงใหม่ในการแข็งข้อกับกรุงเทพมหานคร เป็นนัยยะแฝงเหมือนที่ครั้งหนึ่งล้านนาเคยแข็งข้อกับราชธานี
.
ประการที่ 2 จากถ้อยคำ
"เพราะความเป็นไทยไม่ได้มีแค่แบบเดียว #อนาคตใหม่ อยากทำให้สภาเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เราจะพยายามแต่งกายด้วยชุดที่หลากหลาย นำผ้าจากแต่ละภูมิภาคเข้ามาสู่สภา และยังเป็นการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่น"
นั้นยังสามารถบอกได้อีกว่า เป็นการพยายามล้มล้างสิ่งที่จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม และ จอมพล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สร้างเอาไว้ มรดกของชาวไทยทุกคน นั่นก็คือวัฒนธรรมสยามภิวัฒน์ เป็นการพยายามแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นเสี่ยงๆ จากที่สองจอมพลเคยรวบรวมเป็นปึกแผ่นไว้ในอดีต
ในอนาคตคนไทยจะพูดภาษาถิ่นกันมากขึ้น ใช้สินค้าจากท้องถิ่นมากขึ้น เป็นการลดทอนอำนาจเมืองหลวง ซึ่งก็รู้กันว่ามันหมายถึงการลดทอนอำนาจผู้ใด
.
ประการที่ 3 ชุดสัญญะที่เหยียบย่ำจิตใจคนไทยทั้งประเทศ
จากชุดที่สวมใส่อยู่ในวันนั้นเรารู้กับจากข้อมูลในประการที่ 1 ไปแล้วว่ามันเป็นชุดของชาวเหนือ
เมื่อพูดถึงชาวเหนือเราจึงนึกถึงเอกลักษณ์ในคำว่า "เจ้า"
การใส่ชุดชาวเหนือ หากให้สัมภาาณ์สื่ออาจได้เผยความในใจว่า
"เป็นชุดชาวเหนือเจ้า"
ย้ำ "ชาวเหนือเจ้า"
นั่นหมายถึงสิ่งใดเราทุกคนย่อมรู้เห็นตรงกัน
โดยเฉพาะเมื่อวันก่อนที่ไปทานอาหารที่ร้านหรูราคาหลักแสน
พวกเขาทาน "ข้าวเจ้า" กันทั้งหมด
นั่นหมายถึงการตีตนเสมอเจ้าใช่หรือไม่ผู้เขียนไม่กล้าเอ่ยถึง มันเป็นการเหยียบย่ำจิตใจคนไทยจนเกินไป
โดยเฉพาะเมื่อเหลือบไปเห็นขวดไวน์จากฝรั่งเศส ประเทศที่ตัดหัวกษัตริย์ของตัวเอง ผู้เขียนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
การถอดสัญญะทางการเมืองครั้งนี้ ผู้เขียนเจ็บปวดเหลือเกิน
//สะพานพุทธ
ครึ่งปี 2019 ได้เรียนรู้อะไรบ้าง จาก ประสบการณ์ผมเอง
- ถ้าเป็นผู้ประกอบการ ต่อให้รายได้เยอะแค่ไหน มันไม่ได้หมายความว่ามันมั่นคง รวย เพราะรายได้เยอะมันมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ
- เงินมัน "อยู่กับ" ผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น
- ทำธุรกิจ 1 อย่าง กับ ทำธุรกิจ 10 อย่างที่เกี่ยวข้องกัน ใช้สมองเท่าเดิมและน้อยกว่า (เข้าใจเลยคนที่มีธุรกิจเยอะ ยิ่งมีเวลาว่าง)
- ไม่มีอะไรดีกว่าการให้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน เพราะสิ่งที่เราให้ เดี่ยวมันค่อยเปลี่ยนเป็นเงินในอนาคตเอง
- การให้ในสิ่งที่เราไม่หวังผลอะไรเลย จะทำให้เรามีความสุขมากที่สุด ในวันที่เราต้องการกำลังใจมากที่สุด เราจะนึกถึงมัน
- โรเบิร์ตบอก บ้านคือ หนี้สิน มันคือความจริง การเช่าก็เป็นตัวเลือกที่ดีในยุคนี้และเลือกถือเงินสด
- โลกมันเหวี่ยงคนที่ใช่เข้ามาในชีวิตเราเสมอ ขอเพียงเราบอกโลกนี้ และจะเหวี่ยงคนที่ไม่ใช่ ออกจากชีวิตเสมอ จากการบอกเช่นกัน
- โลกนี้มันโหดร้ายกับคนที่มองโลกในระยะสั้น และไม่คิดทำอะไรในระยะยาว
- ตอนเริ่มต้น ทุกคนมีทางเลือก คุณเลือกที่จะสบายจะปลอดภัย นั่นก็ไม่ผิด คุณเลือกที่จะอดทน มานะ มันก็ไม่ผิด เพราะคุณเลือกที่จะปิดและเปิดทางเลือกของคุณแล้วในอนาคต(CEO ศรีจันทร์)
- ชีวิตมันไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยาก เรียนรู้ในทุกวันนั่นคือวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วในการใช้ชีวิต
- ผมเคยจินตนาการว่า CEO นั้นจะต้องยุ่งตลอดเวลา จริงๆ คือเมื่อถึงจุดหนึ่งเค้าสามารถว่างเพื่อที่จะคุยกับคนอื่นๆได้นะ (มันคืองานของเค้าเลยหละ)
- การทำหน้าที่ งานของเราปัจจุบัน และเรียนรู้สิ่งใหม่ ให้ดี มันคือการสร้างอัตราทดที่ดีที่สุดในการวิ่งสู่อิสรภาพทางการเงินที่ดีที่สุดแล้ว
- อ่านหนังสือเยอะๆตั้งแต่วันนี้ มันให้อะไรกับผมเยอะมาก
- อิสรภาพทางการเงิน มีอยู่จริง และผมเลือกที่จะพังมันด้วยมือผมไปเรียบร้อยแล้ว
New 7/7/2019
Pavin Chachavalpongpun อาจารย์คะมีเพื่อนสนิทที่ปารีสจะทำเรื่องเปิดเอกสารฝ่ายไทยขายที่ดินให้ฝรั่งเศสยุคทวิภพค่ะ น่าจะช่วงตุลาคมปีนี้ เป็นเอกสารที่ยันว่าไทยไม่ได้เสียดินแดนให้ฝรั่งเศส แต่พี่ไทยขายให้เลยจ้าาาา ถ้ามีโอกาสอยากเชิญอาจารย์ไปดูด้วยกัน. ทางนุ้นบอกว่ายังไม่มีคนไทยเคยได้ดูค่ะ อยากชวนอาจารย์ Somsak Jeamteerasakul จะได้มีผู้เชี่ยวชาญฝั่งไทยออกมาบอกความจริงให้คนไทยได้รู้ค่ะ
“เสนอให้ Disney ทำพระอภัญมณีเป็น Live Actionครับ แล้วทำให้เป็น PC Version ด้วย เมีย 5 คน 5 สัญชาติ
1. นางผี้เสื้อสมุทร ให้ Cast คนขาวผมทองครับ ถึงเวลาละครับที่คนขาวจะต้องได้บทเหี้ยๆ บ้าง
2. นางเงือก ให้ Cast คนดำครับ นางเงือกยุคนี้ต้องเป็นคนดำ หรือไม่ก็พวกลาติโน่
3. นางสุวรรณมาลี ให้ Cast คนจีนครับ ให้มีบุคคลิกแบบพวกเจ๊กบ้านรวย
4. นางวาลี ให้ Cast แขกอินเดี้ยนครับ ให้มีบุคลิกแบบพวกแขกขายของเก่งๆ ครับ
5. นางละเวง ให้ Cast คนขาวยุโรปตะวันออก เพราะผู้หญิงโซนนี้ แม่งน่ากลัวที่สุดในโลกละครับ
ส่วนพระอภัยมณี แม่งต้องพวกลูกครึ่งเล่นครับ พวกสัญชาติผสม ซึ่งคนที่ควรจะรับบทนี้ในโลกนี้แม่งไม่มีใครนอกจาก Keanu Reeves”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่งพี่เต้ประสบอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม เขาตื่นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้เลยแต่เห็นตัวเองในทีวีโดนรุมด่าจนทำให้เขารู้สึกผิด พี่เต้จึงตัดสินใจเก็บเรื่องที่ตัวเองความจำเสื่อมใว้เป็นความลับและไม่บอกใคร และใช้สถานะนักการเมืองของตัวเองพยายามทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ขึ้น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเล่นโป๊กเกอร์ช่วยให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น
- Bad Beat สอนเราให้เข้าใจว่า แม้คุณจะตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ
- Bluff สอนให้เราเข้าใจว่า สิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงออก มักไม่ตรงกับสิ่งที่เค้าคิดจริงๆ
- Fold สอนให้เราเข้าใจว่า บางครั้ง การดื้อดึงฝืนทั้งที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยอาจจะทำให้เสียหายหนักกว่าการยอมแพ้แล้วเริ่มใหม่ ตราบใดที่หน้าตักยังเหลือ เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
- All-in สอนให้เราเข้าใจว่า การต่อสู้แบบทุบหม้อข้าวใส่ทั้งชีวิต บางครั้งก็ให้ผลคุ้มค่า แต่ต้องเลือกจังหวะทุ่มด้วยสมอง ไม่ใช่ด้วยอารมณ์
- ความอดทนให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าเสมอ การใช้อารมณ์มีแต่จะทำให้ทุกอย่างพังเร็วไปกว่าเดิม
- วางแผนการระยะยาว มองให้ไกลถึง River อย่าเอาแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน คุณจะรับมือมันไม่ไหว คิดเผื่อ Plan B,C,D เอาไว้เสมอ
- การประเมินคู่ต่อสู้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าอยากได้ประสบการณ์ ขึ้นชั้นไปสู้กับคนเก่งๆ แน่นอนคุณต้องจ่ายค่าเทอมแพง เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าผ่านไปได้ คุณจะทำเงินได้ในอีกระดับ
- แต่ถ้าอยากแค่ได้เงิน ลงสู้กับคนที่อ่อนกว่า แต่คุณจะทำเงินได้แค่ระดับนั้นแหละไม่ก้าวไปไหน และก็จะไม่ได้เก่งอะไรขึ้นมาเลย ต้องเลือกเอาว่าจะไปทางไหน เงิน หรือประสบการณ์ (เหมือนชีวิตการทำงานนั่นแหละ)
จงมีความสุข หากคุณเล่นได้ดี แม้ว่าผลจะออกมาไม่สวยดังหวัง
พยายามต่อไป ด้วยกฏ law of large number คุณจะชนะเกมส์ไม่ว่าจะบนโต๊ะโป๊กเกอร์หรือในชีวิตจริงในที่สุด
พักนี้เหมือนว่าจะมีความพยายามผลักประเด็น ทาทา ปั่นจั่น ไปเป็นเรื่องสิทธิ์ในการวิจารณ์การเมืองของดารา
ผมชวนคิดแบบนี้
อย่างแรกในเรื่องสิทธิ์
ลองคิดกลับกันว่าคนทั่วไปมีสิทธิ์วิจารณ์ดารากันขนาดไหน
แน่นอนเราวิจารณ์ได้ว่า "แสดงไม่ดี" "ร้องเพลงห่วย" "หนังบทไม่ได้เรื่อง" เพราะมันเป็นส่วนของงาน
ดาราอยากให้คนพูดถึงตัวเองว่า "ฉันจะไปดักตบอีXX" "อีตุ๊ด" "อีกระxรี่" หรือเปล่า?
ถ้าพวกคุณโดนแบบนี้ ก็คงรู้สึกว่า มันไม่ใช่การวิจารณ์ติชมแล้วเหมือนกันแหละ
อย่างที่สอง ในเรื่องความเป็นจริงทางธุรกิจ
สมมุติคุณเปิดร้านเหล้า มีนักศึกษามาเป็นลูกค้า แล้วมานั่งบ่นกันทุกวันว่า "อาจารย์แม่งแย่ว่ะให้ F กู"
คุณจะเดินไปพูดกับลูกค้าว่า "พี่ว่าไม่ใช่ความผิดอาจารย์หรอก เป็นเพราะน้องใช้ชิวิตแบบนี้ เอาแต่กินเหล้าทุกวันนี้แหละ น้องเลิกกินเหล้าแล้วไปอ่านหนังสือเถอะ" หรือเปล่า?
ผมว่านักศึกษาได้ยินคงบอกว่า "ครับพี่ ผมเชื่อพี่ จะไม่มีร้านพี่อีกแล้ว เอาเวลาไปอ่านหนังสือดีกว่า"
ลองคิดถึงร้านอาหารแถวบ้าน ระหว่างร้านที่พนักงานพูดจาดีบริการดี กับร้านที่พนักงานปากเสีย ด่าลูกค้า คิดว่าคนอยากจะไปที่ไหน
ใครจะไปยืนด่าลูกค้าตัวเองหน้าร้าน
ขนาดแท็กซี่นั่งคุยเรื่องการเมือง เรายังไม่ค่อยอยากขึ้นเลย
ตรงส่วนนี้แน่นอนว่า ถึงมันจะอยู่ในขอบเขตของการวิจารณ์ และทุกคนมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
แต่ความเป็นจริง สิทธิ์ในการควักเงินออกมาจากกระเป๋า เพื่อซื้อสินค้า และบริการของเราเป็นของลูกค้า
ถ้าคุณขายประกัน ลูกค้าให้เข้าบ้าน เดินเข้าไปแขวนนกหวีด มีรูปไปม็อบกู้ชาติ คุณจะบอกว่า "ประกันผมไม่ขายให้สลิ่ มหรอก" แล้วเดินออกจากบ้านป่ะ
ความเห็นส่วนตัว กับความเป็นโปรทางอาชีพเลยแยกจากกัน ต่อให้ประเทศเสรีจัดๆอย่างสหรัฐเอง ก็คงไม่อยากให้พนักงานที่ส่งผลต่อแบรนด์ทวีตอะไรที่จะมีผลทำให้เสียลูกค้าเท่าไหร่
ความยากของการเป็นดารามันอยู่ตรงนี้แหละ เพราะดาราเป็นอาชีพขายความนิยม ยกเว้นจะขายเฉพาะกลุ่มแฟนคลับที่โอเคกับเรื่องพวกนี้ หรือชินไปแล้วอย่างพี่เสก จะด่าใครก็ไม่มีใครว่า
ส่วนใหญ่ถ้ามีการห้ามแสดงความเห็นทางการเมือง ผมคิดว่าก็คงออกมาจากค่าย เพื่อปกป้องผลรายได้ของดาราเองนั่นแหละ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พยายามหาความเชื่อมโยงระหว่างว่าที่ รมต. แต่ละคน กับกระทรวงที่ได้...
- เคยด่าลูกน้องเป็นควาย มีกิตติศัพท์ว่าชอบดูถูกคน ได้เป็น รมว. แรงงาน
- เคยนำม๊อบบุก กสท. ตัดไฟ ตัดเน็ต ได้เป็น รมว. ดิจิทัล
- เคยถูกศาลต่างประเทศจำคุกข้อหาค้ายาเสพติด ได้เป็น รมช. เกษตร
- เคยพัวพันคดีแบงก์รัฐปล่อยกู้โดยมิชอบ ได้เป็น รมว. คลัง
- เคยประกาศ “รธน. 2560 ดีไซน์มาเพื่อเรา” ได้เป็น รมว. ยุติธรรม
....... 55555
พรรคสนุ้กเกอร์ไทยเราจะไม่มี ส.ส. ตลาดล่างแน่นอน เพราะเราจะเน้น ส.ส. ใต้ถุนสังคมเลยอ่ะครับ
นอกจากนี้พรรคสนุ้กเกอร์ไทยเราจะไม่เน้น ส.ส. ที่มีความหลากหลายทางเพศอัลไล แต่เราจะส่ง ส.ส. คนแรกที่ผ่าหัวเบ้นซ์เข้าสภาให้ได้อ่ะครับ ส่วนฝังมุขนี่เขาว่าจ่าประสิทธิ์ก็อาจจะมีเม็ดสองเม็ดตอนแกเป้น ส.ส. อ่ะครับ เขาว่ากันมา
#คนไทยต้องมีสิทธิในการโมดิฟายตนเอง
ในบรรดา "การเหยียด" ทั้งหมด ฉันว่าการเหยียดคนอื่นเรื่อง "ความแก่" เนี่ย เป็นการเหยียดที่ประหลาดที่สุด เพราะ..
เหยียดเรื่องรูปร่างหน้าตา คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองให้รูปร่างหน้าตาดีกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
เหยียดเรื่องฐานะ คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองให้รวยกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
เหยียดเรื่องความรู้ความสามารถ คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองเก่งกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
เหยียดเรื่องสีผิว คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองให้ขาวกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
แต่ไอ้การเหยียดเรื่อง "ความแก่" เนี่ย คนเหยียดมันสามารถที่จะทำให้ตัวเอง "ไม่มีวันแก่" เหมือนคนที่ถูกเหยียดได้เหรอวะ? ยังไงๆคนเหยียดมันก็ต้องแก่เหมือนคนที่ถูกเหยียด แล้วจะเหยียดเรื่องแก่ทำไมวะ
พวกคนที่เศร้าน้ำตาจะไหลกับเรื่องสาวท้องคลอดระหว่างติดคุก นี่ก็พวกเดียวกับที่บอกข่มขืน=ประหาร ด่าNGOเวลาพูดถึงสิทธิ์นักโทษนั่นล่ะครับ
ตลกดี
เออ จริงๆเรื่อง #ประชุมรัฐสภา นอกจากสส สว ที่ควรโฟกัสแล้ว สื่อบ้านเราเองแม่งก็โตตรน่าโฟกัสเหมือนกันว่ามึงตัดไฮไลท์อะไรมานำเสนอปชชวะ? อย่างรอบที่แล้ว เรางงว่าเถียงกันแค่เรื่องชุดเข้าสภาเหรอ? ในขณะที่ความเป็นจริงแม่งแค่ประมาณ 10% ของญัตติทั้งหมดอ่ะ คือดูแค่ข่าวที่นำเสนอไม่ได้จริงๆ
ในจักรวาลคู่ขนานแห่งหนึ่ง
มีลุงขับรถเมล์คนหนึ่งบอกว่าสามารถคำนวนหาเส้นทางที่สั้นที่สุดในการไปส่งผู้โดยสารบนรถจำนวน N คน ถึงหน้าประตูบ้านทุกคนได้ ไม่ว่าแต่ละคนจะอยู่ไหนก็ตาม ได้ใน Linear Complexity (O(cN)) .... คนขึ้นรถครบ ไม่นานก็คำนวนได้แล้วว่าเส้นทางที่สั้นที่สุด (ย้ำว่า "สั้นที่สุด" นะ คือ absolutely shortest ไม่ใช่ reasonably short หรือ acceptably short) คือทางไหน
นักวิชาการออกมาบอกว่า เป็นไปไม่ได้ ..... เพราะนั่นมันคือ TSP ซึ่งเป็น NP Problem (NP-Hard) ......
คนออกมาด่านักวิชาการ ว่านักวิชาการดูถูกลุง ว่านักวิชาการเป็นไดโนเสาร์ เอาแต่อคติมาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ พวกที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้นี่เต่าล้านปี อิจฉา อยู่แต่ในตำราที่ล้าสมัยเขียนมาตั้งแต่ปีไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้โลกมันหมุนไปถึงไหนแล้ว แทนที่จะยอมรับและนำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ นักวิชาการแบบนี้แหละเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ เชื่อสิอีกไม่นานประเทศอื่นก็จะเอาผลงานลุงไปสร้างประโยชน์ ฯลฯ .... ดูแล้วมันก็แค่ปัญหาที่น่าจะแก้ได้สิ common sense ออก ..... นี่แหละนักวิชาการอยู่แต่ในตำราไม่เคยทำงานจริง แต่ลุงทำงานขับรถเมล์มานานมีประสบการณ์เยอะแยะ ฯลฯ .... นี่แหละประเทศไม่เจริญเพราะคนไม่ช่วยกัน ฯลฯ
บางคนก็ลากไปถึงว่า สต๊อป จีฟ, กิล เบต, ซัค มาร์คเกอร์เบิร์ก ก็สร้างนวัตกรรมได้เยอะแยะมากมาย ไม่เห็นต้องจบมหาลัย แล้วทีนักวิชาการที่สอนในมหาลัยไม่เห็นสร้างได้เลย .... นี่ไงล่ะตัวอย่าง ... ไตล์สไอร์ ยังเคยเป็นแค่เสมียรเลย แต่เขามีจินตนาการ .... แล้วทำไมลุงจะทำไม่ได้
ในจักรวาลคู่ขนานแห่งหนึ่ง ... ที่โลกแบน
ย้อนกลับไปในเดือนที่แล้ว ทีม HR ของวงใน wongnai.com เว็บรีวิวอาหารชื่อดัง ติดต่อวิเคราะห์บอลจริงจังมาครับ
เขาบอกว่า ทุกๆเดือน ในวันศุกร์ที่ 2 และ 4 บริษัทจะมีกิจกรรมชื่อ WeShare คือการเชิญเอา คนมีชื่อเสียงจากวงการต่างๆ มาถ่ายทอดประสบการณ์ให้เด็กๆในองค์กรได้ฟัง
สำหรับผม แน่นอนว่าเป็นเกียรตินะครับ ที่เขาไว้ใจ และเชิญเรา แต่ผมไปนั่งไล่ดูประวัติเก่าๆ ว่า วงใน เชิญใครไปแล้วบ้าง ปรากฏว่า มีแต่บุคคลแบบโคตรดังทั้งนั้น เช่น วู้ดดี้ เกิดมาคุย , ต่อ ฟีโนมีน่า นักทำโฆษณาระดับโลก , เก้ง จิระ มะลิกุล ผู้กำกับตัวท็อป ฯลฯ
ผมเลยถามทีมงาน HR กลับไปว่า อย่างผม จะสร้างประโยชน์ให้กับทีม สตาฟฟ์ของวงในได้จริงๆหรอ ผมเป็นคนธรรมดามากๆเลยนะ เพจยังไม่ถึง 2 แสนไลค์เลยนะครับ
แต่เมื่อ HR ของเขายืนยันหนักแน่น ผมก็โอเค ตอบรับไปครับ
ปัญหาคือ ผมจะพูดอะไรนี่สิ ในเมื่อผมไม่ใช่เซเล็บที่จะมีเรื่องราวโลดโผนน่าสนใจอะไรขนาดนั้น
อย่างพี่เก้ง จิระ นี่เล่าจุดเริ่มต้นว่าทำไมคิดไอเดียสร้างหนัง แอม ไฟน์ แต้งกิ้ว ด้วยการไปดักฟังคนแอบคุยกันในร้านกาแฟ คือมีสตอรี่ มีความโลดโผน ซึ่งคือชีวิตผมไม่มีอะไรอย่างนั้นเลยอ๊ะ เรียบง่ายมากๆ
ผมเลยทำการบ้านอย่างหนักเลยครับ ไปค้นข้อมูลของวงในมาก่อน ว่าเป็นองค์กรอย่างไร และพูดเรื่องไหน จะมีประโยชน์กับเขามากที่สุด
จากนั้น ก็ลำดับ Sequence เรื่อง เหมือนเขียนวิเคราะห์บอลเลย ว่าจะพูดอะไร 1 2 3 แถมมีการซ้อมพูดในรถด้วยนะ ก่อนมาพูดจริง คือมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง ขนาดไปแข่งวินนิ่งชิงแชมป์โลกที่ลอนดอน ยังไม่เตรียมพร้อมขนาดนี้เลยนะเนี่ยะ
ในห้องประชุม มีคนฟังประมาณ 60-70 คนครับ ผมก็ถ่ายทอดในสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมด ทริกการเขียน และทริกการทำให้คอนเทนต์มียอดไลค์ที่ดี
ซึ่งหวังเพียงว่า จะเป็นประโยชน์กับเขาบ้างเล็กน้อยก็ยังดี
ตอนจบของการบรรยาย ผมทิ้งท้ายไป 2 เรื่องครับ
1) ผมบอกน้องๆของวงในว่า ช่วงอายุไม่ถึง 30 เนี่ยะ อย่าเพิ่งคิดมาก หากยังไม่เห็นแววว่าจะประสบความสำเร็จ
ผมเอาตัวเองเป็นเกณฑ์นะ ว่าตั้งแต่เรียนจบ จนถึง 30 เนี่ยะ ผมล่องลอยมาก
ออกสตาร์ตงานแรกได้เงินเดือน 8 พัน พออายุเกือบ 30 ได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาท นึกไม่ออกเลยว่า จะเก็บเงินแต่งงาน หรือสร้างหลักฐานในชีวิตได้ยังไง
แต่พอ 30 ไปแล้ว เมื่อเราพร้อมทั้งวัยวุฒิ และประสบการณ์ โอกาสจะเข้ามาหาเราเร็วมาก ซึ่งถ้าเราเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เราจะคว้าโอกาสไว้ในมือได้แน่ๆ
ดังนั้นช่วงการทำงาน 7-8 ปีแรก ถ้ายังมองไม่ออกว่าชีวิตจะยังไงต่อ ก็อย่าเพิ่งซีเรียสไป ชีวิตมันมีจังหวะของมันเสมอ
และ 2) การทำงานกับองค์กร เราสามารถสร้างสรรค์งานของตัวเองควบคู่ไปได้
ตลอดชีวิตแอดมิน ทำงานกับองค์กรมาตลอดครับ จากคิกออฟ สู่นิตยสาร Mars สู่สยามกีฬา และมา Workpoint ในปัจจุบัน
แน่นอน ผมก็ทำเพจไปด้วย ควบคู่ไปกับการ ทำงานประจำนี่แหละ
การทำงานกับองค์กร คือเป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ร่วมงานกับคนเก่งครับ การได้ร่วมงานกับคนอื่น ส่งผลให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เวลาเอามาประยุกต์กับงานตัวเอง
ดังนั้น ต่อให้วันนี้มีสังกัดอยู่ในองค์กร ก็ไม่ใช่ว่า เราจะสร้างอะไรของเราเองขึ้นมาไม่ได้ เพราะมันทำไปพร้อมๆกันได้เสมอ แค่จัดสรรเวลาให้ดี
สำหรับผมก่อนหน้านี้ เรารู้จัก วงในมาแล้วล่ะ เวลาจะดูรีวิวร้านอาหาร ก็ต้องใช้ App หรือ Web Wongnai ตลอด
แต่พอได้มาที่ออฟฟิศเขา รู้สึกได้ว่า เป็นศูนย์รวมของคนหนุ่มสาว ที่เต็มไปด้วยพลังจริงๆ
คุณยอด ซีอีโอของบริษัท (ใส่เสื้อลิเวอร์พูลในรูป) อายุ 36 ปีเองนะครับ สุดยอดเลย อายุมากกว่าแอดมิน 1 ปีเอง
คุณนิค มาร์เก็ตติ้งของบริษัท อายุ 34 ปี! (ถ้าเทียบกับมาร์เก็ตติ้งของหลายๆบริษัทอื่นนี่ต้อง 40 อัพ เน้นความเก๋า เน้นประสบการณ์ไว้ก่อน ก็ถือว่าเด็กนะ)
สตาฟฟ์ที่มาฟังบรรยาย ประเมินจากสายตาอายุส่วนใหญ่ไม่เกิน 27-28 กันหรอก
และ แต่ละคนเต็มไปด้วยแววตา ความมุ่งมั่นตั้งใจ ทุกคนฟัง คือฟังจริงๆ ไม่ว่อกแว่ก ไม่เล่นมือถือ
ยอดเยี่ยมมากๆเลยครับ แบบนี้คนพูดก็แฮปปี้นะ
สำหรับ Wongnai ตอนนี้ มีอายุครบ 9 ปี นอกจาก App และ เว็บหลักแล้ว อาณาจักรยังค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ใน Facebook มี Wongnai Beauty, Wongnai Travel, Wongnai Cooking และมี Wongnai Delivery สำหรับสั่งอาหาร
มีบริษัทลูกที่สร้างคอนเทนต์คุณภาพเชิงไอที อย่าง Blognone และ เชิงธุรกิจอย่าง Brand Inside
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ก้าวต่อไปของ Wongnai จะกระโดดไปไกลขนาดไหน
แต่แน่นอน ด้วยพลังของคนหนุ่มสาวในองค์กร ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงสตาฟฟ์ แอดมินเชื่อว่า พวกเขาจะสำเร็จยิ่งขึ้นกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้
ทหารได้รับเกียรติและเอกสิทธิ์เป็นผู้กุมอาวุธและกำลังรบของประเทศ เป็นที่เคารพเกรงขามในหมู่ชนทั่วไป ทหารจึงต้องปฏิบัติให้สมกับที่ตนได้รับ ความไว้วางใจ ไม่ควรไปทำหรือเกี่ยวข้องในกิจการที่มิใช่อยู่ในหน้าที่โดยเฉพาะของตน เช่น ไปเล่นการเมือง ดังนี้เป็นต้น การกระทำเช่นนั้นจะทำให้บุคคลเสื่อมความเชื่อถือในทหารโดยเข้าใจว่าเอา อิทธิพลไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ปิ ด ก ร ะ ทู้ ใ ห้
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร เ ม น ท ร ร า ม า ธิ บ ดี
ศ รี สิ น ท ร ม ห า ว ชิ ร า ล ง ก ร ณ
พ ร ะ ว ชิ ร เ ก ล้ า เ จ้ า อ ยู่ หั ว
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.