จุดที่น่าสนใจคือ startup ที่ประสบความสำเร็จมากๆในพอร์ตของ VC ท่านนี้
.
มีจุดร่วมอย่างนึงคือ บ้านรวย!
.
ผมถามว่าทำไม? เค้าตอบว่า เพราะเด็กบ้านรวยที่เก่ง มี passion จะมีแต้มต่อ
.
ตรงที่สามารถล้มได้ แล้วยังมีตังเหลือ แล้วลุกมาทำอันใหม่ได้
Last posted
Total of 1000 posts
จุดที่น่าสนใจคือ startup ที่ประสบความสำเร็จมากๆในพอร์ตของ VC ท่านนี้
.
มีจุดร่วมอย่างนึงคือ บ้านรวย!
.
ผมถามว่าทำไม? เค้าตอบว่า เพราะเด็กบ้านรวยที่เก่ง มี passion จะมีแต้มต่อ
.
ตรงที่สามารถล้มได้ แล้วยังมีตังเหลือ แล้วลุกมาทำอันใหม่ได้
Do people actually realise that Marco used Stock Pots for years in his home cooking? Knorr actually heard he liked using them, and suggested he officially endorsed them?
When Marco says he prefers to season his steak with a stock cube, over salt and pepper, he isn't lying.... he genuinely likes it that way..... (because it tastes delicious) he also likes using L&P sauce.... is that wrong as well? Should he be making his own from scratch?
C'mon guys, this is home cooking.... made to taste..... in other words... Marco thinks this tastes good (and his palette is probably a damn-site better than yours), so he is just showing you how to make stuff that tastes pretty good, and is simple enough to do at home.
Marco left the 'fine-dining' world, because of people like you (people looking down on stock cubes), that know less about cooking and flavour than Marco.... yet dictating to Marco, what kinds of dishes win awards, and are acceptable in a restaurant. Marco wasn't interested in that BS, sticking to rigid recipes that can't be deviated from.... he was more interested in trying different things and cooking food that he enjoys and food that has taste/flavour as the highest priority.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เนี่ยๆ เดี๋ยวนี้พวกโชว์โป๊ๆใน Twitter ในแอฟเกย์ เหลือแต่แบบเนี้ย
เมื่อก่อนมีพวกหล่อๆ หุ่นดีๆ กล้ามสวยๆโชว์เยอะมาก แต่เดี๋ยวนี้หายหมด เพราะพวกกะเทยชอบหลังไมค์ไปขอเย็ดกับเขา พอเขาปฏิเสธ แม่งก็แค้น เลยแกล้งรีพอร์ตให้ Twitter เค้าโดนปิด พอเขาเปิดใหม่ แม่งก็ตามไปรีพอร์ตต่อ จนเขาท้อ
แถมบางทีแม่งไปสืบด้วย ว่าคนนี้ทำงานอะไร บ้านอยู่ไหน แล้วแฉเขา ไปฟ้องบริษัทเขา ไปฟ้องพ่อแม่เขา จนเขาต้องเลิกเล่น Twitter เลิกเล่นแอฟเกย์ ไฟแค้นกะเทยแม่งน่ากลัวมาก
ก็เลยเหลือแต่พวกแบบในภาพนี้แหละ เพราะพวกนี้ไม่ค่อยมีกะเทยไปขอเย็ดด้วย เลยไม่เกิดการสร้างศัตรู แถมไม่กลัวโดนแฉ เพราะไม่มีอะไรต้องแฉ ชีวิตไม่มีอะไรจะเสีย ไม่แคร์โลกอยู่แล้ว
แต่ความซวยมันตกมาที่คนทั่วไป ที่เขาอยากดูคนหล่อๆหุ่นดีๆกล้ามเป็นมัดๆ แต่เขาต้องอดดู เพราะไม่เหลือให้เขาได้ดู
>>854 ฝรั่งช็อคใช้ก้อนซุปทำอาหาร ภาพตัดมาที่ลิงเหลืองอย่างเราๆ ใช้บ่อยจนบริษัทแม่งทำแบบผงมาขายให้โดยเฉพาะ
>>856 ผงชูรสไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ไปมากกว่าเกลือว่ะ คนที่บอกว่าแพ้ผงชูรสนี้อุปาทานไปเองทั้งนั้น
กูเห็นพวกที่บอกว่าแพ้ผงๆ แดกมะเขือเทศ เห็ด องุ่น ชีสได้สบายไม่มีชาปากกันทุกคน ทั้งๆที่อาหารพวกนี้มีMSGอยู่แล้วตามธรรมชาติเป็นปริมาณสูง เดี๋ยวกูตบปากให้ชาแบบแมนวลเลย
ไหนๆก็ไหนๆละ อธิบายเลยละกันว่าการกลัวMSGมาจากไหน
มันมาจากอเมริกาในยุคสงครามเย็น ตอนนั้นในเมกามีXenophobiaกับคนจีนมากเพราะบรรยากาศการเมืองในตอนนั้นคือAnti-communism แล้วทีนี้พอฝรั่งไปกินร้านอาหารจีนแล้วเกิดอาหารวิงเวียน,ปวดหัว,ปากชา แทนที่จะหาสาเหตว่ามาจากไม่คุ้นเคยกับวัตถุดิบ รึเพราะมันไม่สด รึมาจากอาการเจ็บป่วยอื่น ดันคิดไปว่าเป็นเพราะไอ้เจ๊กใช้MSGชัวร์ จนความเชื่อเรื่องMSGว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายแพร่หลายในโลกตะวันตก จนสิบๆปีต่อมาก็ข้ามโลกมาที่เอเชียจนเอเชียนเชื่อตาม
ทีMSGละกลัว แต่พอเชฟยุ่นโอมาคาเซะรู้แกวว่าพวกควายนี่ขี้ตื่น เปลี่ยนวิธีเรียกว่ารสชาติอูมามิซะเลย แม่งเฮโลกันไปชาบูอูร่าทั้งๆที่มันก็รสเดียวกัน
มานี่ๆ ฉันจะเล่าให้ฟัง ว่าทำไมไทยแลนด์ถึงมีพิธีไหว้ครู
คืองี้ ย้อนไปเป็นร้อยปี สมัยก่อนเมืองไทยไม่มีโรงเรียน เวลาคนอยากได้ความรู้เรื่องอะไร ก็จะไปขอให้คนที่มีความรู้เรื่องนั้นๆช่วยสอน ซึ่งมันก็จะเป็นความรู้เฉพาะทาง เช่น สอนทอผ้า สอนฟันดาบ สอนรำ สอนปั้นหม้อ สอนวาดรูป
ทีนี้ คนที่สอนเนี่ย มันก็ไม่ได้มีอาชีพเป็นครูไง ดังนั้น เวลาคนมาขอให้สอนเนี่ย มันเลยกลายเป็นการไปรบกวนเขาไง "อีเหี้ย กูจะทำมาหาแดก เสือกมาให้กูเสียเวลาสอนมึง แถมพอมึงได้วิชาจากกูไป มึงก็ทำแข่งกับกูอีก" แถมบางราย ยังต้องไปกินอยู่หลับนอนที่บ้านคนสอนอีก เดือดร้อนเกะกะกันไปหมด
มันก็เลยต้องมีพิธีไหว้ครู เพื่อขอบคุณและขอขมาที่สาระแนไปสร้างความเดือดร้อนให้เขา ทั้งๆที่เขาอยู่ของเขาดีๆ
แต่ปัจจุบัน มันมีโรงเรียน มีอาชีพครูแล้ว คนมาเป็นครูเพื่อเอาเงินค่าเทอมจากนักเรียนมาเลี้ยงชีพ ไม่ได้สอนฟรี กลายเป็นครูมีชีวิตอยู่รอดได้เพราะเงินนักเรียน
ดังนั้น ปัจจุบันครูจึงไม่ใช่ผู้มีพระคุณล้นเหลือแบบเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่เป็นการ "พึ่งพาอาศัยกันและกัน" ครูต้องพึ่งเงินนักเรียน ส่วนนักเรียนก็ต้องพึ่งครู
ฉะนั้น ครูไม่ควรเบ่งกร่างใส่นักเรียน ทำตัวเป็นเทวดาสูงส่ง ให้เด็กมากราบตีน และนักเรียนก็ไม่ควรทำเหี้ยๆใส่ครู ควรอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันจ้ะ จบ
เมื่อสื่อต่างประเทศวิจารณ์ลุง
- ถ้าเป็นสื่อจาก EU : ไอ้พวกล่าอาณานิคม กอบโกยทรัพยากรไปแล้วทิ้งปัญหาให้ชาติอื่น
- ถ้าเป็นสืิ่อจากอเมริกา : ไอ้พวกประชาธิปไตยจอมปลอม หาโอกาสไปปล้นทรัพยากรชาติอื่น
- ถ้าเป็นสื่อจากญี่ปุ่น : ไอ้ลิ่วล้อ ไอ้เบ๊อเมริกา เจ้านายทำยังไงลูกน้องก็พยักหน้าตาม
- ถ้่าเป็นสื่อจากตะวันออกกลาง : ไอ้ประเทศมุสลิมอย่างพวกเอ็งสิทธิมนุษยชนดีตายละถึงเที่ยวไปวิจารณ์ชาติอื่น
- ถ้าเป็นสื่อจากเมืองจีน : ไอ้ประเทศคอมมิวนิสต์ สิทธิมนุษยชนมึงแย่กว่ากูอีกแล้วยังมาสอดประเทศอื่น
- ถ้าเป็นสื่อจากอาเซียน : ไอ้พวกไร้มารยาททางการทูต รู้ไหมว่าอาเซียนเขาไม่ยุ่งเรื่องภายในกันและกันโว้ย
#มิตรสหายขนมหวานท่านหนึ่ง
ถ้ากล้าบอกว่าตัวเองชนะเลือกตั้ง คนไทยเลือกมา ก็ทำตัวให้มันดูเป็นผู้นำในระบอบประชาธิปไตยหน่อยดิ นี่แม่งยังทำตัวแบบเผด็จการอยู่เลย
ผมรำคาญมากเวลาได้ยินคนบอกว่าประชาธิปัตย์แกล้งทะเลาะกันเพื่อจัดฉาก คนแบบนี้ไม่รู้อย่างที่ไอติมกับผมรู้ ปชป.อาจไม่ดีหมด แต่เรื่องไม่เอาประยุทธ์เป็นเรื่องจริงและใช้เวลานานมากกว่าจะมีตอนจบแบบนี้ครับ
#มิตรสหายฯ
>>864 กูว่าจัดฉาก 70:30 แม่งทำแบบนี้มานานแล้ว นี่ไอ้อนุทินก็กำลังจัดฉากเหมือนกัน แกล้งด่าไอ้ณัฐพลพปชร เหมือนแบบผิดหวังไม่ได้กระทรวงที่ตกลงไว้ คนออกมาด่ามันก็ได้โอกาสโพสเล่นด้วยทำตลกจนคนนึกว่าเฟรนลี่ แก้ภาพลักตอแหลได้ ไม่กี่วันก็ออกข่าวอนุทินได้กระทรวงต่างๆครบตามตกลงกัน
"อยากประสบความสำเร็จหรอ ... ก็เกิดมารวยสิ !"
.
เป็น Study ที่สนุกดี เมื่อนักวิจัยจาก Georgetown ศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จแล้วได้ข้อสังเกตมาว่า "คนที่เก่งมากแต่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนขาดโอกาส ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จสู้คนที่ไม่ได้เก่งอะไรแต่เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยได้"
.
พูดง่าย ๆ คนจะประสบความสำเร็จรึเปล่ามันถูกกำหนดตั้งแค่เกิดแล้ว
.
อย่างไรก็ตาม ก็จะมีคนที่เกิดมาขาดโอกาสแต่ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน แต่ต้องพึ่งอะไรหลายอย่างหน่อย หนึ่งในนั่นคือ "โชค" (ลอง Google หาเปเปอร์ชื่อ Talent vs Luck ดู อันนั้นก็สนุก)
.
ถึงบริบทนี้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเมกา แต่ช่วงที่ผ่านมาเราก็แอบศึกษาอะไรแบบนี้มาเหมือนกัน แล้วก็พบเหมือนกันว่ามันเป็นกันทั้งโลก ... สุดท้ายคนที่ประสบความสำเร็จนี่ 90% คือ ไม่ครอบครัวรวยมาก่อนแล้วก็เกิดมาหน้าตาดีทั้งนั้น มีแค่ 10% ที่เกิดมายากจนไม่มีต้นทุนในชีวิตอะไรเลย แล้วค่อยไต่มาสู่ความยิ่งใหญ่ได้ (หนึ่งในนั้นคือ Jack Ma)
.
สวัสดีทุนนิยม
.
เลยเตือนไปหลาย ๆ คนที่กระตือรือร้นอยากประสบความสำเร็จตามคนโน้นคนนี้ว่า "ได้ศึกษาความต่างของพื้นฐานและต้นทุนชีวิตแล้วหรือยัง"
.
เค้าล้มสิบครั้งยังไม่เจ็บ เราล้มครั้งเดียวอาจจะได้ไปนอนข้างถนนเลยนะ
.
ที่น่ากลัวอีกอย่างก็คือมักมีบางคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็ให้คำแนะนำคนอื่นว่าต้องทำโน่นทำนี่โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนชีวิตของแต่ละคนอีก ถ้าเชื่อไปนี่อันตรายสุด ๆ
.
คำแนะนำเราหรอ ... ถ้าอยากประสบความสำเร็จใหญ่ ๆ ... ตั้งตัวให้ได้ก่อน Cash Flow ให้ Positive ก่อน เก็บเงินและใช้เงินให้เป็นก่อน แล้วอะไร ๆ จะตามมาเอง =)
.
"ถ้าอยากรวยก็ต้องรวยก่อนนะ"
.
ไปอ่านเล่นกันได้ที่ https://www.cnbc.com/2019/05/29/study-to-succeed-in-america-its-better-to-be-born-rich-than-smart.html
เหตุเกิดเมื่อวันที่7เดือนมิ.ย.62
ได้มีขโมยขึ้นบ้านตอนประมาณ5ทุ่ม ได้ขโมยทองคำรูปพรรณไปได้6กว่าบาท นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขโมย ได้โทรไปแจ้งความ ตอนเช้าวันเสาร์ที่8 มิ.ยน 62 ที่ สน.แห่งหนึ่ง ได้การตอบรับมาว่าวันเสาร์ทำงานแค่ครึ่งวัน แล้วก็เงียบไป จึงให้คนที่รู้จักประสานไปอีกครั้ง วันที่9 มิ.ย.ได้มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบและพิมพ์ลายนิ้วมือ ตอนบ่าย3โมงกว่าๆ
ผ่านไป1อาทิตย์
วันศุกร์ที่14ได้มีเจ้าหน้าที่โทรมาบอกว่าประมาณ2ทุ่ม ขโมยจะเอาทองมาคืนให้ตำรวจแต่จะคืนไม่ครบนะขาดไปบางส่วน พอ2ทุ่มตำรวจได้โทรมาหาบอกว่าได้ทองมาแล้วขาดอยู่ 2เส้นกับแหวน1วง
ตอนเช้าวันที่15มิ.ย. ได้เข้าไปเอาทองกับตำรวจ แม่พยายามถามว่าแล้วส่วนที่เหลือละจะตามได้ไหม ได้คำตอบกับมาว่า มันจะผิดจรรยาบรรณนะสิ่เพราะได้รับปากเขาไว้แล้วว่าเอาทองมาคืนจะไม่จับ??? #คืนไม่ครบ #จับไม่ได้เดี๋ยวจะผิดจรรยาบรรณ #จรรรยาบรรณของตำรวจกับโจร
ลักทรัพย์ในยามวิกาลเป็นคดีอาญา #โจรเอาทองมาคืนตำรวจ #ตำรวจไม่จับโจร #ขอความเป็นธรรม
อยากให้จับคนทำผิดมารับโทษเพราะที่บ้านหวาดกลัวระแวง กินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวโจรจะกลับมาอีก ครั้งนี้เป็นครั้งที่2ที่ขโมยขึ้นบ้าน ครั้งแรกมีเงิน5หมื่นบาท โจรขโมยไปแค่1หมื่น1พัน คิดว่าคนใกล้ตัวเลยไม่ได้ไปแจ้งความ #ขอบคุณตำรวจที่สามารถนำทองมาคืนให้ได้ #แต่ของยังไม่ครบ
#คนผิดยังไม่ได้รับโทษ
เมื่อ Facebook ออก crypto-currency วงการการเงินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เราสามารโอนเงินไปให้เพื่อนที่ไหนก็ได้ในโลกใบเล็กแห่งนี้ ซื้อขายของ สินทรัพย์ดิจิทัลได้ทั้งหมด ไม่ต้องพึ่งธนาคารท้องถิ่นอีกต้องไป ปรับตัวตามกันให้ทันน่ะครับทุกธุรกิจ
ในการทำงานมีคำไม่กี่คำ ที่ผมนึกถึงตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร..
1 คำแรกที่โผล่มาในหัวเสมอคือ efficiency หรือประสิทธิภาพ จะทำอะไรก็ตามนึกถึงเสมอว่า เราทำอย่างมีประสิทธิภาพมั้ย..??
2 mutual benefit หรือผลประโยชน์ร่วม คำนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น องค์กรอื่นๆ คำที่ตามมาด้วย คือ win-win คือชนะทั้งคู่ หรือชนะด้วยกัน
ระวังอย่าไปเจอคนที่พูด win-win แต่หมายความว่า ฉันชนะ2ทีนะจ้ะ..
3 meet objective..หรือบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ ซึ่งต้องรู้ก่อนว่า จะทำเรื่องอะไรนั้น วัตถุประสงค์ มันคืออะไร เราจะไปถึงได้หรือไม่ และจะไปถึงอย่างไร..??
4 side effect ทำอะไรก็แล้วแต่ มันจะเกิดผลข้างเคียงตามมาเสมอ ต้องระวังให้ดีว่า ทำเรื่องที่อยากทำแล้ว จะเกิดเรื่องอะไรตามมา โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดี ที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น
5 long term benefit สิ่งที่จะทำนั้น ก่อให้เกิดผลประโยชน์ระยะยาวหรือไม่..?? บางเรื่องทำไป ดีระยะสั้น แต่สร้างผลลบในระยะยาว
6 resource เรามีเพียงพอที่จะทำหรือไม่..??
Resource หลักๆสำหรับผมคือ เงิน คน และวิธีการ หรือ process ที่จะทำ เรามีหรือเตรียมไว้แล้วหรือยัง..?? ถ้ายังไม่มีresource ที่เพียงพอในการทำเรื่องนั้น ทำไปก็มีโอกาสล้มเหลวสูงอยู่ดี ไม่ว่าเรื่องนั้นจะน่าทำเพียงใด
7 law and regulation ทำในสิ่งที่ถูกกฎหมายเท่านั้น ไม่เช่นนั้น ปัญหาตามมาอีกบาน..
เบาะๆเอาแค่นี้ก่อนครับ
คนที่ชอบบอกเห็นน้องเป็นลูกเป็นหลาน ห้ามโม่ย หึหึ
ถ้าน้องเป็นแฟนกับมึงเอามั้ย เอา
ถ้าน้องให้เอาเอามั้ย กูว่าไม่ ไม่เหลือ
มันเป็นเรื่องธรรมชาติเว้ย หึหึ
เข้ามหาลัยแล้วสิ่งที่ culture shock อย่างนึง คือเราก็คุกเข่าเวลาเข้าไปคุยกับอาจารย์ แต่ทุกคนคือให้เรานั่งเสมอกันตลอด 15 ปีในระบบการศึกษาไทย มันหล่อหลอมเรามาแบบนั้นจริงๆด้วย
ใครไม่รักพ่อก็ออกจากบ้านพ่อเราไป ออกไปแล้วตามพ่อกลับมาด้วย
#มิฯ
ที่ทหารชอบคิดว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง ท่อน้ำเลี้ยง บลาๆ ผมคิดว่าเพราะแม่งน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เค้าสอน/ใช้กันมาเอง จนคิดว่าคนอื่นก็ต้องแบบนี้เหมือนกันแน่ๆเลย
ทีนี้ก็มาคิดว่ามีใครอยู่เบื้องหลังทหารและทหารอยู่เบื้องหลังใครบ้าง ohhh shieeet
Mind set เหมือนหลุดมาจากยุคสงครามเย็น ทั้งๆที่เดี๋ยวนี้เคสโลนวูฟก็เยอะแยะ
"ขบวนการทำลายรากเหง้าของไทยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโลก (World Revolution) เพื่อทำไปสู่รัฐบาลโลก (One World Government)
จุดมุ่งหมายคือการล้มล้างระบอบกษัตริย์ วัฒนธรรมจารีตประเพณี ศาสนา ความเป็นชาติ ความเชื่อ หรืออุดมการณ์หลักของประเทศ
เมื่อทำลายโครงสร้างที่เป็นรากเหง้าของประเทศได้ ก็สามารถครอบงำยึดครองทรัพยากรของไทยได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง หรือไม่ต้องทำสงคราม เนื่องจากมีคนไทยที่ขายชาติคอยให้ความร่วมมือ
วิธีการทำคือเสี้ยมให้คนไทยแตกแยก ให้ออกจากวิถีเดิม ให้ทำลายโครงสร้างเดิมของประเทศ และคอยดูแลระบบ หรือความเชื่อใหม่ที่ค่อยๆเอาเข้ามาใช้ในประเทศโดยฝีมือของหน่วยงานรัฐและเอกชน
พวกที่ทำลายประเทศโดยรู้ตัว ไม่รู้ตัว หลงผิด โลภ เงิน อิจฉา ริษยา อยากมีอำนาจ หรือเพราะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เป็นเพียงหมากของขบวนการปฏิวัติโลกที่มีศูนย์กลางในยุโรป
หลังจากทำหน้าที่ทำลายประเทศไทยได้แล้ว หมากจะได้เงินทอง ได้อำนาจ ได้การยอมรับในสังคมโลก ได้รับรางวัลนานาชาติ แต่หมากอาจจะถูกกำจัดไปเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อหมดประโยชน์ หรือต้องถูกเอาไปแลกกับประโยชน์
การปฏิวัติฝรั่งเศส (1789) ปฏิวัติรัสเซีย (1917) ปฏิวัติจีน (1911-1912) ปฏิวัติสยาม (1932) และการปฏิวัติในประเทศต่างๆตั้งแต่ปลายศตวรรตที่ 18เป็นต้นมาล้วนแล้วแต่มีต้นตอมาจากแหล่งเดียวกันของการปฏิวัติโลก
แกนนำนักปฏิวัติที่ล้มล้างประเทศตัวเองล้วนแล้วแต่เป็นเบี้ย หรือหมากของผู้คุม (controllers) ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง
ทุกครั้งเมื่อมีการปฏิวัติ จะเกิดการปล้นทอง ปล้นทรัพย์สมบัติของชาติ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่สับสน เกิดความชุลมุนวุ่นวายฝุ่นตลบ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร
หลังจากทำงานเสร็จแล้ว พวกนักปฎิวัติจะถูกเก็บ บางคนที่ใช้งานได้ผู้คุม (controllers)ก็ให้อยู่ในอำนาจต่อ เพื่อดูแลการวางระบบโครงสร้างใหม่เพื่อให้ขบวนการปฏิวัติโลกสามารถครอบงำประเทศนั้นได้ ไม่ว่าจะเรื่องธนาคารกลาง การเปิดเสรีการค้า&การเงิน ระบบภาษี การรับเอาเงินตราของมหาอำนาจเป็นเงินสกุลหลักของโลก การสร้างสถาบันต่างๆขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับระบบของพวกผู้คุมที่เวางเอาไว้
บางคร้ังมันก็เป็นความจริงที่ว่า ปากกาคมกว่าอาวุธ
ในการทำลายรากเหง้าของไทย พวกนักปฏิวัติจะเอาแนวปรัชญามนุษยนิยมทางโลก (Secular Humanism)เข้ามา มนุษย์นิยมจะน้อมรับเหตุผลของมนุษย์ จริยธรรมและธรรมชาตินิยม เพื่อเป็นพื้นฐานของคุณธรรมและการปฏิบัติตน โดยจะปฏิเสธความเชื่อทางศาสนา อภินิหาร วิทยาศาสตร์เทียม และความเชื่อโชคลาง หรือแนวความคิดประเพณีเดิม
การที่จะวางหลักของมนุษยนิยมในสังคมไทยได้ก็ต้องทำลายระบบการศึกษาที่เน้นหน้าที่พลเมือง&ศีลธรรมเดิมทีครูไทยในอดีตและพระกับวัดมีบทบาทสูงในการหล่อหลอมจิตใจและความเชื่อของคนไทยให้รักษามรดกของชาติที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายพันปี
ในโครงสร้างเดิมของไทยเน้นความเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ มีระบบผู้ใหญ่กับเด็ก ไม่เน้นความเป็นปัจเจกชน (individualism) เน้นความเป็นส่วนรวม (collectivism)การงานต่างๆที่ทำสำเร็จต้องอาศัยสามัคคี คนไทยรักและเทอดทูนเจ้านายผู้ใหญ่ พระสงฆ์คุณเจ้า กษัตริย์มีหน้าปกครองดูแลประเทศและคอยทำนุบำรุงศาสนา คนไทยโดยทั่วไปมีความละอายใจต่อบาป มีจิตใจที่โอบอ้อมอารีย์ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา แสวงหาทางหลุดพ้น ชอบทำบุญ เชื่อในนรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อว่าทำดีจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ที่สูงขึ้น ทำชั่วจะตกนรก เชื่อในฝีสางเทวดา พระพรหม เชื่อในพลังจิต และอำนาจที่เหนือโลก
โครงสร้างความเชื่อที่สมบูรณ์แบบแบบนี้หาได้ยากยิ่งในสังคมอื่นๆในโลกที่คำสอนของพระพุทธเจ้าไปไม่ถึง ทำให้สังคมสุวรรณภูมิดั้งเดิมของไทยมีอารยะธรรมทางจิตใจที่สูงส่งที่สุดในโลก
(มีต่อ)
(ต่อจากเม้นบน)
ตั้งแต่ปี พศ2475 โครงสร้างดั้งเดิม (Old Structure) หรือความเชื่อหรือระบบเดิม (traditional beliefs & system)ค่อยๆถูกกลัดกร่อน ทำลายไปเรื่อยๆ ผ่านการลดบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้สถาบันศาสนา และสถาบันการศึกษาอ่อนแอลงเพื่อรับเอาหลักมนุษย์นิยมเข้ามาแทนโครงสร้างเดิมของประเทศ
จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยต่างๆของไทยมีคณะมนุษย์ศาสตร์ที่เดินมาแนวทางนี้
(ใครจบคณะมนุษย์ศาสตร์ยกมือขึ้น ผมจบคณะศิลปศาสตร์จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ก็ถือว่าเป็นคณะมนุษย์ศาสตร์เหมือนกัน)เพื่อขัดเกลานิสิตนักศึกษาไทยให้ออกจากโครงสร้างเดิมของประเทศเพื่อรับเอาแนวคิดมนุษย์นิยมที่อ้างว่าใช้หลักเหตุผลและวิทยาศาสตร์เพื่อปฏิเสธรากเหง้าของประเทศ
เพื่อให้หลักมนุษย์ศาสตร์ทางโลกมีความน่าเชื่อถือจึงมีการสร้างและยัดเยียดลัทธิต่างๆเข้ามาสวมข้างบน ไม่ว่าจะเป็นลัทธิสังคมนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ และลัทธิประชาธิปไตยเพื่อที่จะล้มล้างระบอบกษัตริย์ของประเทศต่างๆทั่วโลก รวมท้ังระบอบธรรมราชาของสยามประเทศ
แต่จะควบคุมประเทศได้ต้องวางระบบการเงินและเศรษฐกิจหรือลัทธิทุนนิยมควบคู่ไปด้วยกับประชาธิปไตย และหลักมนุษย์นิยม เพื่อให้เงินกลายเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ที่ทุกคนต้องดินรนแสวงหา
ดูเผินๆ มนุษยวิทยาทางโลกน่าเชื่อถือ เพราะว่าเน้นความเป็นอิสระของปัจเจกบุคคล และอิสระทางความคิดตามหลักเหตุผล ไม่เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดไม่เชื่อในนรกสวรรค์ เชื่อว่าเกิดมาแล้วมีชีวิตเดียว ให้แสวงหาความสุขใส่ตัวเต็มที่ กระตุ้นให้คนปลดแอกออกจากระบบเดิมทำให้กลายทางเลือกของอนาคตใหม่
มนุษย์วิทยาทางโลกก้าวขึ้นมาเพื่อทำลายโครงสร้างเดิมของยุโรปที่เบียดบังความคิดสร้างสรรค์ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ภายใต้อิทธิพลหรือการปกครองโดยศาสนจักรของโรม และกษัตริย์ยุโรปที่กดขี่ประชาชนตามที่โรมบงการ การศึกษาของยุโรปมาจากประเพณีคริสต์ (Christian tradition)ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยวิทยาการความรู้ใหม่ที่มาจากการเกิดใหม่ทางวิทยาการ (Renaissance)ที่มีต้นตอมาจากอิตาลี และขบวนการมนุษย์นิยมที่ตามมา
นิสิตนักศึกษาไทยที่ถูกล้างสมองจากหลักสูตร หรือแนวคิดปรัชญาของมนุษย์วิทยาทางโลกหลังจากเรียนจบออกมาเข้ามาอยู่ในสังคม หรือกลายเป็นครูบาอาจารย์ก็จะไม่รู้ หรือไม่เข้าใจโครงสร้างเดิมที่เป็นเสาหลักของประเทศ แถมบางคนดูหมิ่นศาสนา สถาบันเบื้องสูงหรือแนวคิดทางประเพณีเดิมว่าเป็นของที่ล้าสมัย
มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยจึงกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นักมนุษย์นิยม นักประชาธิปไตย นักสังคมนิยมหัวเอียงซ้าย นักสิทธิมนุษยชน นักทุนนิยม นักบูชาเงินตรา
ยิ่งมีงานดี เงินดี ร่ำรวยขึ้นมา ซึ่งเป็นสภาพชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน ทำให้เกิดความมั่นใจอย่างผิดๆว่าแนวทางมนุษย์นิยมทั้งโลกเป็นวิถีที่แท้จริง โดยหารู้ไม่ว่ามนุษย์นิยมทางโลกมีการแต่เคลือบยาพิษเข้าไปในตำรา
มีน้อยคนนักที่เป็นนักอนุรักษ์นิยม (conservatism)ที่กลายเป็นคนส่วนน้อยไป
ต้องถือว่า คุณช่อที่กำลังมีข่าวอื้อฉาวในเวลานี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของการวางระบบการศึกษาแบบมนุษย์นิยมทางโลกในระบบการศึกษาของไทยที่ถูกครอบงำจนเกือบเบ็ดเสร็จไปแล้ว
รากเหง้าของประเทศถูกทำลายไปมากพอแล้ว ได้เวลาหรือยังที่จะได้รับการเยียวยาฟื้นฟู เพื่อคนไทยจะกลับมาหน้าใสอีกครั้ง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ฝ่ายที่เชียร์ธนาธร เชียร์สุดารัตน์ เชียร์ชัชชาติ ควรเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงว่า พวกเขาก็เป็นมนุษย์ที่ทำผิดพลาดได้ เหมือนพวกเรา แม้เป้าหมายในอุดมคติของพวกเขาจะแชร์ร่วมกับเรา แต่ไม่ได้แปลว่าระหว่างทางพวกเขาจะไม่ทำอะไรที่ผิดพลาดบ้างเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถและสมควรโดนตำหนิและโดนวิจารณ์อย่างมีเหตุมีผลจากพวกเราที่เลือกเชียร์เขาเท่าๆ กับการชื่นชม โดยการวิจารณ์จากเราไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเกลียดเขา เลิกเชียร์เขา เลิกชอบเขาแต่อย่างใด
ควรเลิกวัฒนธรรมแบบว่า คนนี้ฉันเชียร์ ฉันจะปิดหูปิดตา ไม่ยอมวิจารณ์ เดียวถูกมองว่าเป็นศัตรู เดียวภาพลักษณ์เขาไม่เพอร์เฟค หรือเดียวจะเป็นการเปิดทางให้ศัตรู เพราะการวิจารณ์ของเรามีเป้าหมายเพื่อให้พวกเขาดีขึ้น ไม่ใช่มุ่งทำลาย
[ข้อคิดเห็น] 兩岸政治下泰國華語教育之“中立立場”
ทางสายกลางของ "ภาษาจีน"ในไทย ท่ามกลาง "การเมือง" (จีน-ไต้หวัน) ?
----------------------------------------------
ในสังคมเรานั้น เรื่องที่ไม่ควรเป็นประเด็น ก็สามารถเป็นประเด็นได้ (เป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้ แต่บางครั้งก็เสียเวลากับเรื่องพวกนี้โดยไม่จำเป็นหรือไม่...)
สำหรับคนที่อยู่ในวงการการเรียนการสอนภาษาจีนคงทราบกันดีว่า การเรียนภาษาจีนมีหลายค่าย ถ้าพิจารณาจากประเภท "ตัวอักษร" ก็อาจแบ่งค่ายตัวย่อ (จีน) และค่ายตัวเต็ม (ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า)
หลายคนมักถามคำถามว่า เรียนแบบไหนดี
คำตอบผมชัดเจน : เรียนอะไรก็ได้ที่สบายใจ เรียนไปเถอะ
แต่ถ้าให้ดีก็เรียนรู้ให้ได้ทั้งสองอย่าง จะเป็นข้อได้เปรียบของผู้เรียน
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "เรียนแล้วต้องใช้งานได้จริง"
(ถ้าเรียนแล้ว ใช้งานไม่ได้จริง จะเรียนตัวย่อ หรือ เต็ม มันก็ไร้ประโยชน์ )
ประเด็นต่อมาที่เรามักได้ยินเสมอ คือ กิจกรรมการแข่งขันทักษะด้านภาษาจีน หากจัดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน หรือสนับสนุนโดยไต้หวัน สถาบันการศึกษาบางแห่งจะไม่ส่งเข้าร่วมแข่งขัน โดยมีเหตุผลทางการเมือง หรือ อาจมีคำสั่งจากบางหน่วยงานสั่งการลงไป ฯลฯ
จากประเด็นข้างต้น ทำให้เราต้องตั้งคำถามหรือทบทวนประเด็นบางอย่าง ดังนี้
1. การแข่งขันทักษะภาษา เป็นกิจกรรมการพัฒนาทักษะของผู้เรียน การเข้าร่วมการแข่งขันซึ่งไม่ว่าจะจัดโดยหน่วยงานใด หรือค่ายใด ล้วนเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนทั้งสิ้น เหตุใดเราจึงไม่สนับสนุน?
2. การแทรกแซงของจีนในระบบการศึกษาไทย เป็นเรื่องที่เป็นจริงในบางสถาบันฯ รวมถึง อิทธิพลของคนจีนในหน่วยงาน มีผลต่อการบริการจัดการของหน่วยงานไทยมากน้อยเพียงใด คำถาม คือ จุดยืนของเรา คืออะไร?
3. เหตุใด การศึกษาภาษาจีนต้องแบ่งแยก ? (โดยกลุ่มคนบางกลุ่ม) ความแตกต่างทางความคิด ทางความรู้ ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร
แต่ในทางตรงข้าม "ความแตกต่าง คือ การเรียนรู้" และ สิ่งที่สำคัญยิ่ง คือ "ความแตกต่างต้องไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เราแตกแยก หรือ ส่งผลต่อการพัฒนาการศึกษาภาษาจีนของไทย"
[ บทสรุป ]
หากวันนี้ การศึกษาภาษาจีนในไทยยังมัวแต่แบ่งแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย อีกสิบปีข้างหน้า ก็คงอาจไม่ต่างอะไรกับวันนี้ และการศึกษาวันนี้ ก็ไม่ได้แตกต่างกับ สิบปีก่อน เช่นกัน... (ในเชิงคุณภาพ)
สิ่งที่น่าเศร้าใจอย่างหนึ่ง คือ วันนี้ การศึกษาภาษาจีนเรากลับถูกชี้นำและครอบนำโดย "การเมือง" มากเกินไปหรือไม่? และ บางครั้งเรากำลังตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง(ของจีน) โดยที่เราไม่รู้ตัว....
คำตอบ เรื่องนี้ คงอยู่ในใจของทุกคน จะตอบอย่างไร คงไม่มีถูกหรือผิด
แต่สิ่งที่สำคัญ คือ"เป้าหมาย" ของเราคืออะไร? และอะไร คือ "ทางสายกลาง" ของวงการนี้....
(จบ)
Olan linhanfa
18.6.2019
การโยงการเมืองทุกเรื่อง
ไม่ได้ทำให้คุณเป็นผู้ใหญ่
แต่มันทำให้คนรู้ว่าคุณคือเด็กน้อยที่ act เหมือนพยายามให้คนอื่นดูว่ากูเป็นผู้ใหญ่
#มิตรสหายคน1
พอโดนด่าแล้วตรงกับที่ตัวเองเป็น (ซึ่งดู ๆ แล้วแม่งก็น่าจะรู้ตัวอยู่)
ก็จะโหวกเหวกโวยวาย นู่นนี่นั่น
อ้างนู้นอ้างนี้อ้างนั่น
ทำเป็นโกรธแก้เกี้ยว
...
เด็กน้อยชัด ๆ เลยครับ
พวกคุณมันก็เหมือนตัวร้ายใน one piece ภาคเกาะเงือกอ่ะครับ
empty ไม่มีอะไรเลย
คุณเป็นแค่เด็กน้อยที่โดมาในยุคที่ผู้ใหญ่เกลียดกัน
ไม่ได้รู้อะไรเลย
ไม่เคยรู้อะไรเลย ว่างเปล่าสัด ๆ
แต่มาพูดนกแก้วนกขุนทองตามผู้ใหญ่ เกลียดคนนู้นคนนี้ตามผู้ใหญ่
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอกับตัว
เค้าว่าไงก็ว่างั้น
พูดตาม ๆ เค้าไปเรื่อย ๆ
มันไม่เท่หรอกครับ
มันน่าสมเพช
#,b9ilskp8o9tduh กูไม่แก้ล่ะ
ดูคลิปเสวนาการเมืองต่างๆ เวลามีคนวิพากษ์ รธน'60 ซึ่งรวมถึง 250 ส.ว.มีอำนาจเลือกนายกฯ ก็จะมีคนท่องคาถาอยู่อย่างเดียวว่าก็ รธน'60 ผ่านการทำประชามติมาแล้ว ก็ถ้าคุณจะเอาแต่ผลการทำประชามติอย่างเดียว โดยไม่สนใจกระบวนการทำว่าถูกต้องตามหลักการหรือไม่ ปมความขัดแย้งทางการเมืองก็ไม่มีวันจบ
ฝ่ายที่เชียร์ลุงตูบ ควรเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงว่า พวกเขาก็เป็นมนุษย์ที่ทำผิดพลาดได้ เหมือนพวกเรา แม้เป้าหมายในอุดมคติของพวกเขาจะแชร์ร่วมกับเรา แต่ไม่ได้แปลว่าระหว่างทางพวกเขาจะไม่ทำอะไรที่ผิดพลาดบ้างเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถและสมควรโดนตำหนิและโดนวิจารณ์อย่างมีเหตุมีผลจากพวกเราที่เลือกเชียร์เขาเท่าๆ กับการชื่นชม โดยการวิจารณ์จากเราไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเกลียดเขา เลิกเชียร์เขา เลิกชอบเขาแต่อย่างใด
ควรเลิกวัฒนธรรมแบบว่า คนนี้ฉันเชียร์ ฉันจะปิดหูปิดตา ไม่ยอมวิจารณ์ เดียวถูกมองว่าเป็นศัตรู เดียวภาพลักษณ์เขาไม่เพอร์เฟค หรือเดียวจะเป็นการเปิดทางให้ศัตรู เพราะการวิจารณ์ของเรามีเป้าหมายเพื่อให้พวกเขาดีขึ้น ไม่ใช่มุ่งทำลาย
ประชาธิปัตย์เปิดตัวคนรุ่นใหม่แล้ว ดีใจที่เห็นพรรคปรับตัว แต่คนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ดูไม่ติดดินเลยครับ สิ่งที่เป็นปัญหาของประชาธิปัตย์ยุคคุณอภิสิทธิ์คือพรรคไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มี "เสน่ห์" กับมวลชนได้เลย เต็มที่ที่พรรคทำคือการหาลูกหลานคนรวยหรือคนนามสกุลใหญ่มาเข้าพรรคเรื่อยๆ ทั้งที่ผู้นำพรรคที่คนนับถือที่่สุดอย่างอดีตนายกชวนก็มีภาพ "ลูกชาวบ้าน" มากกว่า "ลูกผู้ดี" หรือทีมเศรษฐกิจพรรคยุคก่อนอย่าง "อาจารย์ไตรรงค์" ก็มีความเป็นชาวบ้านอยู่มากพอสมควร
ถ้าประชาธิปัตย์อยากฟื้นพรรค พรรคต้องทำมากกว่านี้ครับ วิธีปั้นพรรคแบบดึงคุณหญิงดึงลูกผู้ดีที่ไม่มีคะแนนเสียงนั้นพอได้แล้ว ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ไม่ดี แต่พวกนี้ได้อย่างมากก็แค่อัพเกรดภาพพรรค ทว่าทำไม่ได้เรื่องทำให้พรรคชนะใจประชาชน ไม่เชื่อก็ดูผลงานคนคุมพรรคที่อีสานดู
BTW สำหรับท่านที่บอกว่าเป็นนักต่อสู้และรณรงค์เพื่อสิทธิสตรี ผมไม่คุ้นและนึกไม่ออกเลยครับว่าท่านเกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องผู้หญิงในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศวิถี, อัตลักษณ์, ประชากรศาสตร์, ประชาธิปไตย ฯลฯ ตรงไหน ผู้หญิงทุกคนมีสิทธิพูดเรื่องผู้หญิงแน่ๆ แต่การบอกว่าตัวเองเป็น "นักรณรงค์" หรือ "นักต่อสู้" ผมว่าต้องมีิอะไรเกี่ยวกับคนอื่นมากกว่า Self-proclaimtion นิดนึง
“สถานการณ์รถ Grab ในเชียงใหม่วันนี้ : มีเจ้าหน้าที่ขนส่งยืนคุมอยู่หัวมุมประตูทางเข้าสนามบินคอยตรวจจับรถแกร็บโดยเปิดดูจากแผนที่บอกตำแหน่งของแกร๊บ จะเน้นจับรถแกร็บที่เข้ามารับผู้โดยสาร มากกว่ารถที่มาส่งผู้โดยสาร
ทางแก้ของคนขับแกร็บตอนนี้คือจะจอดรถไว้ที่ปั๊มน้ำมันข้างนอก แล้วนัดให้ผู้โดยสารเดินออกมาหา (ซึ่งไกลมาก) หรือไม่ก็ยืนรอให้คนขับเดินเข้ามารับแล้วช่วยแบกกระเป๋าออกไปให้ แต่คนขับจะต้องฝากมือถือไว้ที่คนๆนึงที่จะนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ตรงหน้าปั๊มน้ำมันเก่าหน้าสนามบิน (งงมั้ย 555 ต้องฝากมือถือไว้เพราะเจ้าหน้าที่ขนส่งจะคอยจับตาดูตำแหน่งอยู่ตลอด) พอเดินมาถึงจุดใต้ต้นไม้หน้าปั๊มเก่าแล้วก็ให้เรายืนรอ แล้วคนขับก็เดินไปเอารถจากปั๊มใหม่แล้วขับมารับ
//ก็เหงื่อแตกกันไปจ้า 💦
พวกแท็กซี่และรถแดงคอยไปกดดันให้เจ้าหน้าที่จับแกร็บให้ได้ เพราะที่ผ่านมาแท็กซี่และรถแดงสนามบินเงียบเหงามาก แทบไม่มีึคนเรียก
ค่าแท็กซี่จากสนามบินไปเซ็นเฟส ประมาณ 400 บาท ขณะที่นั่งแกร็บจะอยู่ที่ประมาณ 280
จบการรายงาน”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นี่คือข้อสอบปรัชญาที่เด็กฝรั่งเศสต้องเขียนอภิปรายในการสอบจบ.ปลายเมื่อวาน
สายศิลป์
- เราจะหลุดพ้นจากกาลเวลาได้หรือไม่
- ทำไมต้องอธิบายงานศิลปะ
สายวิทย์
- ความหลากหลายของวัฒนธรรมคืออุปสรรคต่อเอกภาพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ใช่หรือไม่
- รู้จักหน้าที่ คือ ยอมละทิ้งเสรีภาพของตนใช่หรือไม่
เราจะกระชากค่าครองชีพนะค่าาาาาาา
#อดีตนายกท่านหนึ่ง
รายได้ของคนที่สอนคนอื่นให้เสียสละลดรากิเลส
รับเงินเดือนสว.113,560 บาท
รับเงินเดือนจากเป็นผู้นำเหล่าทัพ 120,030 บาท
รับเงินเดือนสมาชิกคสช 119,920 บาท
รับเบี้ยประชุมกรรมการยุทธศาสตร์ชาติครั้งละ 6,000 บาท
รายได้จากกรรมการบอร์ดรัฐวิสาหกิจ?
รายได้จากส่วนที่ส่วนสอบไม่ถึง?
ถ้าอภิสิทตั้งพรรคใหม่ คิดว่ากระแสจะเป็นไง
แอดเฉินต้องขออภัยที่หายหน้าหายตาไปนาน กลับมาคราวนี้จะขอนำเสนออะไรที่พิสดารหน่อย
แต่ก่อนอื่นต้องกราบขออภัยมิตรรักแฟนเพจทุกท่านที่วันนี้อาจจะต้องขออนุญาตใช้คำหยาบโลนตรงๆ
แต่ถือซะว่าเป็นการนำเสนอความรู้ทางวิชาการละกันนะครับ ไม่ใช่ว่ามาปล่อยมุกหยาบโลนเล่นๆ
เรื่องก็คือ เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า คำด่า หรือ คำหยาบคายหลายๆคำในภาษาไทยปัจจุบันมักจะรับมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ อัปรีย์ จัญไร อัปมงคล อุบาทว์ ฯลฯ รวมทั้งคำเรียกอวัยวะเพศด้วย คือ หี สำหรับเพศหญิง และ ควย สำหรับเพศชาย
โดยมักจะอธิบายกันว่า หี มาจากคำว่า หีนะ ที่แปลว่า “ต่ำ”
และ ควย มาจากคำว่า คุยหะ ที่แปลว่า “ลับ”
เช่นในบทความนี้ https://prachatai.com/journal/2013/05/46559
แต่ทว่าคำอธิบายนี้เป็นจริงหรือไม่?
ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า หี และ ควย เป็นคำที่นักภาษาศาสตร์พบในภาษาตระกูลไททุกภาษา แม้แต่ในภาษาตระกูลไทในบริเวณจีนตอนใต้และเวียดนามตอนเหนือที่ไม่ได้รับอิทธิพลอินเดีย ไม่รู้ภาษาบาลี-สันสกฤตและบางกลุ่มเผลอๆก็ไม่รู้จักพุทธศาสนาด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างเช่น ในภาษาไทกาวบั่ง มีคำว่า /hiA1/ และ /wɤjA2/ เอาไว้เรียกอวัยวะเพศหญิงและชายตามลำดับ
หรือ ในภาษาไทซาปา มีคำว่า /hiA1/ และ /xwajA2/ เอาไว้เรียกอวัยวะเพศหญิงและชายตามลำดับ
เช่นกัน
แปลว่าสองคำนี้โดยแท้จริงแล้วเป็นคำไทแท้ๆที่สืบสร้างรูปภาษาดั้งเดิมได้คือ *hi:A และ *ɣwajA มีความหมายว่าอวัยวะเพศหญิงและส่วนองคชาตของอวัยวะเพศชายตามลำดับ
โดยคำว่า ควย มีพยัญชนะต้นตามการสืบสร้างเป็นเสียงเสียดแทรก(fricative)ที่เพดานอ่อน(velar) ตรงกับรูปอักษรไทยว่า ฅ
ดังนั้นถ้ามีรูปสะกดแบบโบราณก็น่าจะเป็น ฅวย เช่นเดียวกับที่พบในภาษาล้านนา
เมื่อพูดถึงคำศัพท์อวัยวะเพศในภาษาล้านนาแล้ว ก็พาลให้นึกถึงคำว่า ขะ-หลำ
ซึ่งตรงกับคำว่า หำ ในภาษาไทยและอีสาน โดยมาจากสืบสร้างรูปภาษาดั้งเดิมว่า *้hramA(< *tramA) ซึ่งหมายถึง ส่วนอัณฑะของอวัยวะเพศชาย ในภาษาอีสานที่เรียกเด็กว่าบักหำน้อยๆ ก็มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเด็กผู้ชายย่อมมีขนาดอัณฑะที่เล็ก เป็นคำนามนัยแบบหนึ่ง
เรื่องก็มีเพียงเท่านี้ครับ
แอ๊ดเฉิน
________________________________________________
Edit: หลังจากเผยแพร่บทความนี้ไปมีผู้หลังไมค์มาว่าเนื้อหาคล้ายคลึงกับบทความนึง จึงจะขอแชร์ให้อ่านเพิ่มนะครับ เป็นการยืนยันว่าชุดความรู้นี้จริงๆก็มีมาสักพักแล้ว แต่สาธารณชนโดยทั่วไปน่าจะยังไม่ทราบ เนื่องจากแนวความคิดที่สวนกันมีอิทธิพลกว่า
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10154496032581954&id=719626953
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
A: ผมว่าคุณนี่นิ่งมากๆ ไม่เห่อไปตามกระแสพานไหว้ครู ที่ท้ายสุดแล้วพิธีการนี้มันก็อยู่ภายใต้กรอบอำนาจนิยมชนิดหนึ่ง -- เอ๊ะนี่คุณเรียนโฮมสกูล หรือโรงเรียนทางเลือกมากันแน่อ่ะครับ
B: ผมเรียนโรงเรียนปอเนาะมา ไม่มีทำพานไหว้ครูไรเหมือนกัน มีแต่หัดประกอบระเบิดแสวงเครื่องอย่างเดียวอ่ะครับ
A: วะวะว่ะหว่ายยยย
นักกฎหมายไม่ค่อยส่งเสียงประท้วง คสช มากนัก ยกเว้นนักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เดือดร้อนมากหน่อยเพราะกฎหมายที่ใช้หากินหายไป
แต่ระบบ คสช เป็นอันตรายมากสำหรับวิชาชีพนิติศาสตร์ เพราะ คสช โจมตีความเป็นเหตุเป็นผลของระบบกฎหมายโดยตรง ซึ่งความเป็นเหตุเป็นผลนี้เองที่ทำให้คนเคารพกฎหมาย เพราะเชื่อว่ามีเหตุผลอยู่ในระบบจึงควรเชื่อ
คสช ทำให้กฎหมายกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุมีผล ใครจะพูดว่าอะไรก็ได้ จะตีความแบบไหนก็ได้ กลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ ไม่ใช่กฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคม
เมื่อระบบ คสช ผ่านไป นักกฎหมายที่ยังไม่เสียสติจะอธิบายระบบกฎหมายที่หลงเหลืออยู่ว่าอย่างไร จะกอบกู้ความน่าเชื่อถือของวิชาชีพกลับมาได้อย่างไร จะบอกลูกศิษย์ตัวเองได้ไหมว่า ห้าปีที่ผ่านมา ตัวเองยืนอยู่ตรงไหนก็ระบอบประยุทธ์
ยังไม่สามารถทำใจได้กับสิ่งที่โฆษกหญิงแห่งพรรคอนาคตใหม่พูดเมื่อวาน เรื่องลืมเรื่องเก่า มาตัดสินกันที่ปัจจุบัน แถมบอกว่า นี่คือวิถีวิญญูชน ตอนนี้กลายมาเป็นคนจงรักภักดีไปแล้ว
1) สิ่งที่ช่อทำมันผิดไหม ถ้าไม่ผิด เราต้องยืนกราน เราเป็นคนรุ่นใหม่ตัวแทนอนาคตใหม่ เราต้องมีเกียรติภูมิ ถ้าเราคิดว่าไม่ผิด เราต้องอธิบายว่ามันไม่ผิดอย่างไร ไม่ใช่คุณถูกแรงกดดัน แล้วก็รับผิดในสิ่งที่ไม่ผิด เพราะการที่คุณทำอย่างนั้น มันยิ่งไปตอกย้ำมาตรฐานเดิมเรื่องเจ้า นั่นคือ ไม่ผิดแต่ต้องยอมรับผิด
2) การเปลี่ยนความคิดทางการเมือง เหมือนที่ช่อบอกว่าตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วคิดได้แล้ว อันนี้ยิ่งทุเรศ พัฒนาการทางความคิดคน (ขอย้ำคำว่า "พัฒนาการ") มัน one way เท่านั้น คือ เปลี่ยนจากเผด็จการ/ราชานิยม ไปสู่ประชาธิปไตย ไม่มีกรดไหลย้อนคือจากประชาธิปไตยกลับไปเป็นราชานิยม ถ้าอย่างนั้น เราจะมานั่งด่าคนอย่างเนาวรัตน์ หงา กันทำไม สิ่งที่ช่อทำคือสิ่งที่หงาทำ เดินถอยหลังกลับไปสู่ราชาธิปไตย เมื่อวานผมถึงบอกว่า มีแต่คนพัฒนาไปสู่สภาพตาสว่าง นี่กลับถอยหลังไปสู่ความมืดบอด
3) สิ่งที่ช่อในฐานะนักการเมืองต้องทำเมื่อวานคืออธิบายต้นเหตุของปัญหา นั่นคือ การเอา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และเค้า ในฐานะนักการเมือง จะแก้ปัญหาอย่างไร นี่กลายเป็นว่า เออออห่อหมกไปแล้วว่า บอกว่าตัวเองผิดจริง ขอโทษขอโพย ขอโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่ผิด บอกตรงๆ sick มากๆ
4) หรือเราจะอยู่แบบนี้ พอโดน 112 ขู่ ก็ต้องบอกว่ารักเจ้า ไม่แตะ แล้วผ่านมันไป นี่มันเป็นการเมืองสมัยทักษิณ และมันพิสูจน์แล้วว่า ผลลัพธ์อย่างเดียวที่ตามมาก็คือ รอยัลลิสต์ยิ่งหึกเหิม และการใช้ 112 มีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น นี่คือความซวยของประเทศไทย
5) นี่ยังไม่นับสัญลักษณ์อื่นๆ ทางกายภาพของช่อ ตั้งแต่สีเสื้อผ้า หน้า ผม ไม่ได้มีอะไรบอกถึงความเป็น "อนาคตใหม่" เลย
...ส่วนใครที่อ่านมา 5 ข้อแล้วยังคิดว่าดิชั้นเป็นศัตรูของอนาคตใหม่และการต่อสู้ตามแนวทางประชาธิปไตย เชิญ.... ถ้าเราไม่เริ่มเปิดฟ้าด้วยมือของเราวันนี้ อย่าหวังว่ามันจะเกิดในอนาคต
ขบวนการทำลายรากเหง้าของไทยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโลก (World Revolution) เพื่อทำไปสู่รัฐบาลโลก (One World Government)
จุดมุ่งหมายคือการล้มล้างระบอบกษัตริย์ วัฒนธรรมจารีตประเพณี ศาสนา ความเป็นชาติ ความเชื่อ หรืออุดมการณ์หลักของประเทศ
เมื่อทำลายโครงสร้างที่เป็นรากเหง้าของประเทศได้ ก็สามารถครอบงำยึดครองทรัพยากรของไทยได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง หรือไม่ต้องทำสงคราม เนื่องจากมีคนไทยที่ขายชาติคอยให้ความร่วมมือ
วิธีการทำคือเสี้ยมให้คนไทยแตกแยก ให้ออกจากวิถีเดิม ให้ทำลายโครงสร้างเดิมของประเทศ และคอยดูแลระบบ หรือความเชื่อใหม่ที่ค่อยๆเอาเข้ามาใช้ในประเทศโดยฝีมือของหน่วยงานรัฐและเอกชน
พวกที่ทำลายประเทศโดยรู้ตัว ไม่รู้ตัว หลงผิด โลภ เงิน อิจฉา ริษยา อยากมีอำนาจ หรือเพราะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เป็นเพียงหมากของขบวนการปฏิวัติโลกที่มีศูนย์กลางในยุโรป
หลังจากทำหน้าที่ทำลายประเทศไทยได้แล้ว หมากจะได้เงินทอง ได้อำนาจ ได้การยอมรับในสังคมโลก ได้รับรางวัลนานาชาติ แต่หมากอาจจะถูกกำจัดไปเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อหมดประโยชน์ หรือต้องถูกเอาไปแลกกับประโยชน์
การปฏิวัติฝรั่งเศส (1789) ปฏิวัติรัสเซีย (1917) ปฏิวัติจีน (1911-1912) ปฏิวัติสยาม (1932) และการปฏิวัติในประเทศต่างๆตั้งแต่ปลายศตวรรตที่ 18เป็นต้นมาล้วนแล้วแต่มีต้นตอมาจากแหล่งเดียวกันของการปฏิวัติโลก
>>>มีต่อ
>>898
แกนนำนักปฏิวัติที่ล้มล้างประเทศตัวเองล้วนแล้วแต่เป็นเบี้ย หรือหมากของผู้คุม (controllers) ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง
ทุกครั้งเมื่อมีการปฏิวัติ จะเกิดการปล้นทอง ปล้นทรัพย์สมบัติของชาติ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่สับสน เกิดความชุลมุนวุ่นวายฝุ่นตลบ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร
หลังจากทำงานเสร็จแล้ว พวกนักปฎิวัติจะถูกเก็บ บางคนที่ใช้งานได้ผู้คุม (controllers)ก็ให้อยู่ในอำนาจต่อ เพื่อดูแลการวางระบบโครงสร้างใหม่เพื่อให้ขบวนการปฏิวัติโลกสามารถครอบงำประเทศนั้นได้ ไม่ว่าจะเรื่องธนาคารกลาง การเปิดเสรีการค้า&การเงิน ระบบภาษี การรับเอาเงินตราของมหาอำนาจเป็นเงินสกุลหลักของโลก การสร้างสถาบันต่างๆขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับระบบของพวกผู้คุมที่เวางเอาไว้
บางคร้ังมันก็เป็นความจริงที่ว่า ปากกาคมกว่าอาวุธ
ในการทำลายรากเหง้าของไทย พวกนักปฏิวัติจะเอาแนวปรัชญามนุษยนิยมทางโลก (Secular Humanism)เข้ามา มนุษย์นิยมจะน้อมรับเหตุผลของมนุษย์ จริยธรรมและธรรมชาตินิยม เพื่อเป็นพื้นฐานของคุณธรรมและการปฏิบัติตน โดยจะปฏิเสธความเชื่อทางศาสนา อภินิหาร วิทยาศาสตร์เทียม และความเชื่อโชคลาง หรือแนวความคิดประเพณีเดิม
การที่จะวางหลักของมนุษยนิยมในสังคมไทยได้ก็ต้องทำลายระบบการศึกษาที่เน้นหน้าที่พลเมือง&ศีลธรรมเดิมทีครูไทยในอดีตและพระกับวัดมีบทบาทสูงในการหล่อหลอมจิตใจและความเชื่อของคนไทยให้รักษามรดกของชาติที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายพันปี
ในโครงสร้างเดิมของไทยเน้นความเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ มีระบบผู้ใหญ่กับเด็ก ไม่เน้นความเป็นปัจเจกชน (individualism) เน้นความเป็นส่วนรวม (collectivism)การงานต่างๆที่ทำสำเร็จต้องอาศัยสามัคคี คนไทยรักและเทอดทูนเจ้านายผู้ใหญ่ พระสงฆ์คุณเจ้า กษัตริย์มีหน้าปกครองดูแลประเทศและคอยทำนุบำรุงศาสนา คนไทยโดยทั่วไปมีความละอายใจต่อบาป มีจิตใจที่โอบอ้อมอารีย์ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา แสวงหาทางหลุดพ้น ชอบทำบุญ เชื่อในนรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อว่าทำดีจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ที่สูงขึ้น ทำชั่วจะตกนรก เชื่อในฝีสางเทวดา พระพรหม เชื่อในพลังจิต และอำนาจที่เหนือโลก
โครงสร้างความเชื่อที่สมบูรณ์แบบแบบนี้หาได้ยากยิ่งในสังคมอื่นๆในโลกที่คำสอนของพระพุทธเจ้าไปไม่ถึง ทำให้สังคมสุวรรณภูมิดั้งเดิมของไทยมีอารยะธรรมทางจิตใจที่สูงส่งที่สุดในโลก
ตั้งแต่ปี พศ2475 โครงสร้างดั้งเดิม (Old Structure) หรือความเชื่อหรือระบบเดิม (traditional beliefs & system)ค่อยๆถูกกลัดกร่อน ทำลายไปเรื่อยๆ ผ่านการลดบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้สถาบันศาสนา และสถาบันการศึกษาอ่อนแอลงเพื่อรับเอาหลักมนุษย์นิยมเข้ามาแทนโครงสร้างเดิมของประเทศ
>>>900
จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยต่างๆของไทยมีคณะมนุษย์ศาสตร์ที่เดินมาแนวทางนี้
(ใครจบคณะมนุษย์ศาสตร์ยกมือขึ้น ผมจบคณะศิลปศาสตร์จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ก็ถือว่าเป็นคณะมนุษย์ศาสตร์เหมือนกัน)เพื่อขัดเกลานิสิตนักศึกษาไทยให้ออกจากโครงสร้างเดิมของประเทศเพื่อรับเอาแนวคิดมนุษย์นิยมที่อ้างว่าใช้หลักเหตุผลและวิทยาศาสตร์เพื่อปฏิเสธรากเหง้าของประเทศ
เพื่อให้หลักมนุษย์ศาสตร์ทางโลกมีความน่าเชื่อถือจึงมีการสร้างและยัดเยียดลัทธิต่างๆเข้ามาสวมข้างบน ไม่ว่าจะเป็นลัทธิสังคมนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ และลัทธิประชาธิปไตยเพื่อที่จะล้มล้างระบอบกษัตริย์ของประเทศต่างๆทั่วโลก รวมท้ังระบอบธรรมราชาของสยามประเทศ
แต่จะควบคุมประเทศได้ต้องวางระบบการเงินและเศรษฐกิจหรือลัทธิทุนนิยมควบคู่ไปด้วยกับประชาธิปไตย และหลักมนุษย์นิยม เพื่อให้เงินกลายเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ที่ทุกคนต้องดินรนแสวงหา
ดูเผินๆ มนุษยวิทยาทางโลกน่าเชื่อถือ เพราะว่าเน้นความเป็นอิสระของปัจเจกบุคคล และอิสระทางความคิดตามหลักเหตุผล ไม่เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดไม่เชื่อในนรกสวรรค์ เชื่อว่าเกิดมาแล้วมีชีวิตเดียว ให้แสวงหาความสุขใส่ตัวเต็มที่ กระตุ้นให้คนปลดแอกออกจากระบบเดิมทำให้กลายทางเลือกของอนาคตใหม่
มนุษย์วิทยาทางโลกก้าวขึ้นมาเพื่อทำลายโครงสร้างเดิมของยุโรปที่เบียดบังความคิดสร้างสรรค์ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ภายใต้อิทธิพลหรือการปกครองโดยศาสนจักรของโรม และกษัตริย์ยุโรปที่กดขี่ประชาชนตามที่โรมบงการ การศึกษาของยุโรปมาจากประเพณีคริสต์ (Christian tradition)ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยวิทยาการความรู้ใหม่ที่มาจากการเกิดใหม่ทางวิทยาการ (Renaissance)ที่มีต้นตอมาจากอิตาลี และขบวนการมนุษย์นิยมที่ตามมา
นิสิตนักศึกษาไทยที่ถูกล้างสมองจากหลักสูตร หรือแนวคิดปรัชญาของมนุษย์วิทยาทางโลกหลังจากเรียนจบออกมาเข้ามาอยู่ในสังคม หรือกลายเป็นครูบาอาจารย์ก็จะไม่รู้ หรือไม่เข้าใจโครงสร้างเดิมที่เป็นเสาหลักของประเทศ แถมบางคนดูหมิ่นศาสนา สถาบันเบื้องสูงหรือแนวคิดทางประเพณีเดิมว่าเป็นของที่ล้าสมัย
มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยจึงกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นักมนุษย์นิยม นักประชาธิปไตย นักสังคมนิยมหัวเอียงซ้าย นักสิทธิมนุษยชน นักทุนนิยม นักบูชาเงินตรา
ยิ่งมีงานดี เงินดี ร่ำรวยขึ้นมา ซึ่งเป็นสภาพชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน ทำให้เกิดความมั่นใจอย่างผิดๆว่าแนวทางมนุษย์นิยมทั้งโลกเป็นวิถีที่แท้จริง โดยหารู้ไม่ว่ามนุษย์นิยมทางโลกมีการแต่เคลือบยาพิษเข้าไปในตำรา
มีน้อยคนนักที่เป็นนักอนุรักษ์นิยม (conservatism)ที่กลายเป็นคนส่วนน้อยไป
ต้องถือว่า คุณช่อที่กำลังมีข่าวอื้อฉาวในเวลานี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของการวางระบบการศึกษาแบบมนุษย์นิยมทางโลกในระบบการศึกษาของไทยที่ถูกครอบงำจนเกือบเบ็ดเสร็จไปแล้ว
รากเหง้าของประเทศถูกทำลายไปมากพอแล้ว ได้เวลาหรือยังที่จะได้รับการเยียวยาฟื้นฟู เพื่อคนไทยจะกลับมาหน้าใสอีกครั้ง
#โม่งมิตรสหายทีนิวส์ท่านหนึ่ง
15/6/2019
ผมปวดหัวกับความเห็นของฝ่ายขวาชาวไทย อยากจะให้ใครสักคนบัญญัติคำใหม่ที่ไม่ใช่คอนเซอร์เวทีฟให้พวกเขา
ล่าสุด เจอโพสทำนองว่า
"ผมไม่รวยครับ ไม่มีเงินเรียน ไม่ได้จบสูง เป็นแค่(งานเลเบอร์) แต่รู้แล้วว่ามหาลัยไม่ได้สอนให้คนสันดานดีขึ้น"
คือแบบ ถ้าเป็นฝ่ายซ้ายพูด คำนี้ฟังขึ้นนะ
เพราะฝ่ายประชาธิปไตยเนี่ย เชื่อว่าคนเท่ากันหมดจริงมั้ย
โอเค คุณไม่รวย ไม่ได้เรียนหนังสือ มหาลัยไม่ได้สอนคนให้ดี ใช่คนเท่ากันไง ถ้าฝ่ายซ้ายพูดนี้ผมซื้อ
แต่ไอ้เหตุผลนี้ เมื่อเอามาสนับสนุนว่าการปกครองจากคนกลุ่มเล็กๆ ที่กว่าคนกลุ่มใหญ่ มันสมเหตุสมผลตรงไหน?
คือฟังแล้วแบบ "เออ... แล้วคนที่สนับสนุนอนาคตใหม่ สนับสนุนเพื่อไทย มันไม่มีคนที่ ไม่รวยครับ ไม่มีเงินเรียน ไม่ได้จบสูง เหรอ... มีนะ" แล้วทำไมเราต้องฟังคุณ แต่ไม่ฟังคนที่อยู่อีกฝ่ายด้วย เอ้อ เราก็ต้องฟังทั้งสองฝ่ายใช่มั้ย เพราะความเห็นทุกคนเท่ากันไง ฝ่ายที่มากกว่าเลยชนะ
แล้วอะไรจะบอกว่าความเห็นของคนส่วนน้อยดีกว่า?
คือถ้าแบบ "ผมจบนอกมาครับ ผมเป็นนักวิชาการ จะให้ชาวบ้านที่ไม่มีความรู้มาปกครองไม่ได้ ต้องเป็นทีมงานลุงตู๋ผู้เชี่ยวชาญครับ" มันถึงจะเป็นเหตุผลสนับสนุนการปกครองของคนกลุ่มเล็กๆได้ป่ะ
ไอ้ข้อสนับสนุนว่า "ผมจนกว่า ผมโดนสังคมเอาเปรียบ ผมเลยถูก" มันเป็นข้อสนับสนุนของฝ่ายซ้ายอ่ะ
คิดในมุมฝ่ายขวา บอกว่าเลย "เออ มึงกากไง แล้วไม่ขยันด้วย แทนที่จะตั้งใจเรียนเพื่อยกระดับฐานะ จะมาเรียกร้องอะไร ความจนนี้ก็ทำตัวเองอ่ะ อย่าบ่นมาก ไปทำงานดิ"
คือพวกนี้อยู่ในวงการสนทนาได้ เพราะพูดอยู่กับฝ่ายซ้าย ซึ่งยกย่อง เห็นใจคนจน คิดว่าโดนสังคมเอาเปรียบอ่ะ
คิดแบบขวาๆแล้ว คือไม่เข้าใจเลย ว่าความจนนี่มันเอามาอวดกันได้ยัง
แล้วคุณแม่งเป็นฝ่ายขวานะเว้ยยยย คุณแม่งจะบอกว่า "กูเป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่" ไปพร้อมๆกับบอกคนว่า "รัฐบาลไหนมาก็เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการทำงานของเราเอง" ไม่ได้
งงมั้ย ผมอธิบายเรื่องเดิมซ้ำอีกรอบ
ถ้าคุณเชื่อว่า รัฐบาลไหนก็เหมือนกัน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการทำงานของคุณ
งั้นก็ต้องแสดงว่าที่คุณไม่มีการศึกษา จนกว่า อยู่ทุกวันนี้ คือคุณขี้เกียจไม่ขยันไง จริงมั้ยล่ะ
ถ้าคุณเชื่อว่า "ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการทำงานของคุณ" >> "การที่คุณไม่สำเร็จ = คุณขี้เกียจ"
แล้วเมื่อคิดแบบขวาๆ แล้วทำไมเราต้องฟังความเห็น ของคนไม่ประสบความสำเร็จ? ทำไมเราต้องฟังคนขี้เกียจ?
ถ้าคุณจะเถียงว่า "ไม่ใช้เว้ย ผมมีคุณค่าเท่ากับทุกคน แต่เป็นเพราะสังคมที่ผมเกิดมามันไม่ดี ผมเลือกที่เกิดไม่ได้" งั้นแสดงว่ารัฐบาลที่ดูแลสังคมก่อนที่คุณจะเกิดมา รัฐบาลที่ดูแลสังคมที่คุณโตมา มันก็ต้องมีผลดิ
.
.
.
ผมงงมาก ว่าพวกเขาจะเอายังไง
ถ้าคุณจน ไม่ได้จบสูง แล้วอยากแสดงความเห็น ต้องเข้าใจว่าคุณมีสิทธิ์นั้น เพราะแนวคิดแบบประชาธิปไตย ที่เชื่อว่าคนเท่ากัน เราจึงคิดว่าความเห็นของคุณมีค่าเท่ากับคนเรียนจบสูง หรือคนที่ประสบความสำเร็จ
แต่ถ้าอยากจะบอกว่า แนวคิดแบบประชาธิปไตยมันผิด
ผมบอกว่าเลยถ้าไม่มีแนวคิดประชาธิปไตย ถ้าไทยยังเป็นแบบ 40 ปีก่อน แค่คนจนไม่ได้เข้ามหาลัยเป็นเลเบอร์แบบนี้ เงยหน้าพูดโดยไม่กุมไข่ คนเขาจะด่าว่า "ไอ้ห่า มึงชาติต่ำแล้วยังไม่เจียมตัว เรียนยังไม่จบ ม.6 มึงจะรู้เรื่องอะไร กล้าไปเถียงอาจารย์เขาได้ยังไงวะ มึงไหว้อาจารย์เขา ชาติหน้าจะได้ฉลาดเหมือนอาจารย์บ้าง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ทุกสัปดาห์เจ้าของสถาบันจะจัดให้มีวันล้างบาป โดยให้นักเรียนแต่ละคนถือไม้เบสบอลรวมตัวกัน หากเด็กกลุ่มไหนทำความผิดหรือในกลุ่มไม่ชอบใคร ก็จะให้เด็กใช้ไม้รุมทุบตีเด็กรายนั้นเพื่อชำระบาป”
เห็นฝ่ายขวาชอบด่า "ไทยเฉย" บ่อยๆว่าไม่สนใจบ้านเมืองผมว่าคงตลกพิลึกถ้าอยู่ดีๆ "ไทยเฉย" หันมาสนใจการเมืองแล้วกลายเป็นเสื้อแดงหมด
>>906 ใครเริ่มใช้ไม่รู้ แต่คนใช้หลักๆ คือกปปส.
http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ไทยเฉย
>>905 พวกที่ชอบด่าฝ่ายกลางนี่กุเห็นแต่ฝั่งซ้ายด่ากัน ฝั่งซ้ายเมกา/ยุโรปเวลามีใครบอกว่าเป็นCentristแม่งน้ำลายฟูมปากด่าว่าถ้าไม่ใช่พวกชั้น มึงคือฝั่งขวา ไม่เชื่อลองเอาคำว่า"Centrist"ไปกูเกิลดู แล้วจะเห็นการ์ตูนกากๆของฝั่งซ้ายที่เอาExtreme Caseที่แต่ขาวกับดำอย่างเรื่องนาซีรึเหยียดผิวมาล้อCentrist ทั้งๆที่Centristของจริงเป็นการดูความเห็นของทั้งสองฝ่ายมาประมวลแล้วเลือกเชื่อเฉพาะบางอย่าง แบบCentristอาจจะเชื่อเรื่องสิทธิ์การครอบครองปืน แต่ก็เชื่อเรื่องทำแท้งเสรีด้วย
ทีนี้เพราะพวกฝั่งซ้ายควายๆเห็นว่าถ้าไม่ได้เชื่อความเห็นฝั่งชั้นทั้งหมด งั้นพวกมึงก็คือนาซีปลอมตัวมา ไปตายให้หมด ทำให้Centristsจำนวนมากโดนผลักไปฝั่งขวา ส่วนนึงโหวตรีพับเพราะหมั่นไส้พวกซ้ายที่ด่าCentrists
ทีนี้ การเมืองไทยก็ดูไว้นะฮับ ถ้าอยากให้Centristsไปโหวตพรรคตรงข้าม ก็ด่าในนามฝั่งที่คุณชื่นชอบเยอะๆคะแนนจะไหลไปเอง รับรอง
อยากให้Centristsไทยเลือกลุง ก็ด่าCentristsในนามส้ม-แดงเยอะๆ
>>909 กูว่าไม่ใช่ล่ะ ของบ้านเรามันไม่มีที่ว่างให้ Centrist หรอก โดนผลักให้อยู่ข้างใดข้างนึงแหละถ้าเป็น Centrist จริง ๆ นะ ไม่งั้นมันก็ไม่มีคำว่า ไทยเฉย รึอะไรที่ไม่มีสีออกมาหรอก
ใกล้ตัวกูนี่เป็นตัวอย่างที่ดีเลย ฝ่ายซ้ายชัดเจนแล้วบอกกับกูเลย "ความเป็นกลางไม่มีจริง ต้องเลือกไม่ฝ่ายโน่นก็ฝ่ายนี้ไม่มีกลาง"
"เมื่อวานเจอตำรวจครับ
มานั่งคุยด้วยครับ
เขาถามว่า กลุ่มไอลอว์เป็นยังไงเหรอ พี่สนใจจัง เป็นคนรุ่นใหม่กันเหรอ?
ตอบว่า ไม่ใช่ครับ อายุสามสิบกว่าแล้วครับ
เขาบอกว่า พี่ติดตามทุกวันเลย ดูในยูทูปทุกวัน
ตอบว่า ไม่ใช่ครับ ไม่ได้ทำครับ (ยูทูปทำมาห้าปี มีประมาณสี่คลิป)
เขาถามว่า พวกเราเป็นใครกันเหรอ?
ตอบว่า เป็นเอ็นจีโอครับ เป็นพนักงานเต็มเวลา ทำงานมีเงินเดือนครับ
เขาถามว่า พี่สนใจ อยากสมัครสมาชิก ต้องทำยังไง?
ตอบว่า ไม่มีครับ เป็นพนักงานประจำครับ
เขาถามว่า พี่สนใจ อยากร่วมกิจกรรมด้วย ต้องสมัครที่ไหน?
ตอบว่า กดไลค์เฟซบุ๊กหรือยังครับ?
คิดในใจ ทำไมสายข่าวประเทศไทย โง่จังครับ?
ถ้าอยากแฝงตัวไป เพื่อหาข้อมูลกลุ่มคนที่เป็นภัยต่อสังคมจริงๆ อาจจะโดนยิงตายไปตั้งแต่คำถามแรกแล้วครับ"
เนี่ย เรื่องขายของบนทางเท้าก็เกี่ยวกับการเมือง เรื่องวินตีกันก็การเมือง เรื่องคนเดินตกท่อ เครนหล่นลงในโรงเรียน ก็เกี่ยวกับการเมือง ทำไมยังปฏิเสธว่าการเมืองไม่เกี่ยวกับเรานะ การเมืองมันไม่ใช่แค่คนสองกลุ่มตีกันในรัฐสภา มันคือตัวแทนปชช เอาเงินปชชไปใช้ เพื่อพัฒนาชีวิตปชช
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนที่บอกว่าตัวเองเป็นกลางมีอยู่สองประเภท คือ "พวกไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองเลือกข้าง" กับ "พวกที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเลือกข้างไปแล้ว"
Centrist เปะๆไม่มีจริง แต่เอียงซ้ายเอียงขวาเล็กน้อยมีจริง
เคยคุยเรื่องนี้กับอาจารย์รัฐศาสตร์และเพื่อนที่เรียนนิติศาสตร์ เขาอธิบายว่า การที่ผู้รักประชาธิปไตย รักเสรีภาพ จะรังเกียจต่อต้าน และ โจมตีผู้สนับสนุนเผด็จการนั้นถูกต้องตามหลักการแล้ว เพราะว่า ถึงแม้จะเชิดชูเสรีภาพ แต่การสนับสนุน หรือ เมินเฉยไม่ทำอะไกกับผู้นิยมเผด็จการ คือการปล่อยให้แนวคิดแห่งการทำลายล้างเสรีภาพเติบโต เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้เคารพในเสรีภาพจึงมีภาวะผูกมัดให้ทำลายเผด็จการและผู้สนับสนุนเผด็จการ
เพราะงั้นเวลาเจอใครเอาคำพูดทำนองว่า "เป็นเสรีชน นิยมประชรธิปไตยก็ต้องเคารพ และให้อิสระคนที่นิยมเผด็จการสิ หรือ การสนับสนุนเผด็จการเป็นสิทธิ" ให้เราเถียงไปได้เลยว่าไม่ใช่ เพราะการสนับสนุนเผด็จการคือการสนับสนุนการ "ทำลายสิทธิมนุษยชน"
ปล. เวลาเจอใครพูดแบบนี้อย่าไปด่าเขานะ อธิบายเขาดีๆ
#มิตรสหายทั่นหนึ่ง
กูเลือกลุงตามระบอบ ปชต. แล้ว สบายใจได้
#ช่วงบทสนทนาระหว่างความดาร์คกับความบักเสี่ยว
A: ทำไมคุณไม่แสดงความผิดหวังต่อตัว ส.ว. ซากีย์ พิทักษ์คุมพล เหมือนปัญญาชนหรือนักสิทธิมนุษยชนคนอื่นๆ บ้างอ่ะครับ
B: ผมคลุกคลีอยู่แต่กับเครือข่ายบังรอนอ่ะครับ
A: วะวะว่ะหว่ายยย
หมายเหตุ:
บทสนทนาระหว่างความดาร์คกับความบักเสี่ยวขอร่วมสนับสนุนการทำงานของ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) ในการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนไทยไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดที่ถือว่าเป็นการทำลายอนาคตของชาติมา ณ ที่เนร้ อ่ะครับ /\
= Where we belong? 2ปีแล้วเรายังรักหรือเปล่า? จากอิมเมจถึงปั้นจั่น =
ไม่ใช่บทความวิจารณ์หนัง แต่เกี่ยวกับหนัง
ตอนนี้สังคมไทยมีหนังสองเรื่องที่อยู่ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งกลายเป็นสงครามระหว่างกลุ่มผู้ที่มีความคิดทางการเมืองสองกลุ่มไปแล้ว คือ Where we belong? กับ รัก2ปียินดีคืนเงิน
เมื่อกี้ผมเห็นโพสในเฟส ฝ่ายหนึ่งบอกว่า "รักสถาบันต้องดู 2 ปี ล้มเจ้า ไม่รักลุงดู WWB"
อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า "คนมีปัญญามาความคิดดู WWB ส ลิ่มนิยมกะลาดักดาน ดู 2 ปี"
กรณีนี้ทำไปสู่การถกเถียงกันมากมาย ว่าการแบนหนังทั้งเรื่องเพราะนักแสดงนำของ 2 ปี เพียงคนเดียว โพสเฟสแบบสนับสนุนคสช.และดูถูกคน นั้นสมควรหรือไม่
สงครามทางความคิดนี้ ทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวเมื่อ 2 ปีก่อน คือกรณีอิมเมจ
ถ้าคุณลืมไปแล้ว ประมาณเดือน ก.ค. ปี 2560 หรือ 2 ปีที่แล้ว
อิมเมจเคยทวิตเตอร์ว่า "เอาจริงๆนะ แค่ทำให้รถเมล์รถตู้มาสม่ำเสมอทุกเส้นทางยังทำไม่ได้เลย จะเอาอะไรไปเจริญออ ตลก"
"เหนื่อยใจ ไม่อยากเรียกที่นี่ว่าบ้าน"
"ยินดีที่จะทำงานหนัก ยินดีที่จะจ่ายภาษีและค่าครองชีพในเรทที่แพงกว่านี้ ถ้าwelfareในชีวิตประจำวันจะดีกว่านี้"
"ไม่รู้จะเอาอะไรมาภูมิใจละจริงๆกับที่นี่ 555"
ผลคือ เละ - อิมเมจโดนถล่มในข้อหา ไม่รักชาติ
สิ่งที่น่าสนใจคือ ตอนนั้นอิมเมจเละมากๆ ใครมาปกป้องก็โดนเละ ยากมากที่จะมีคนอยากปกป้อง ถูกแบน ไม่มีงาน
ความคิดฝ่ายรักแผ่นดิน ประเทศนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์ได้เข้มข้นมาก
คำถามของอิมเมจคือ Where we belong? ประเทศแบบนี้มันเป็นสถานที่ของเราจริงๆเหรอ? เราเรียกที่นี่ว่าบ้านได้จริงๆมั้ย?
ปรากฎการณ์ที่น่าสนใจคือ 2 ปีต่อมา คือโลกกลับหัวกลับหาง
กระแสสังคมกลับข้างได้ดุเดือดมาก ปั่นจั่นเละ ใครปกป้องปั้นจั่นก็เละ
ที่ตลกคือ คนที่เคยด่าอิมเมจเมื่อ 2 ปีก่อนก็เกิดมีมนุษยธรรม คิดว่ามนุษย์เราไม่เคยตัดสินกันเพราะสิ่งที่โพสในโซเชียล ไม่ควรแบนงานกันเพราะทัศนคติความคิดทางการเมืองขึ้นมา
ผมคิดว่าถ้า อิมเมจโพสแบบวันนั้น ในวันนี้ตอนนี้ นอกจากไม่โดนด่าแล้ว ยังจะมีคนชอบด้วย
เกิดอะไรขึ้น?
คำถามของปั่นจั่นคือ เราเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนสิ่งที่รัก กันได้ใน 2 ปี จริงๆ ใช่หรือเปล่า?
2 ปีก่อนคุณอาจจะรักประเทศแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ ตอนนี้คุณอาจจะเกลียดก็ได้
2 ปีก่อนคุณอาจจะรักรัฐบาลนี้ ตอนนี้คุณอาจจะเกลียดแล้วก็ได้
2 ปีก่อนคุณอาจจะรักกฎหมายบางข้อ วัฒนธรรมบางอย่าง ตอนนี้คุณอาจจะเกลียดมันแล้ว
ถ้ามองโลกในแง่ดีคำถามต่อไปจากเรื่องนี้คือ
ถ้าคนเราเปลี่ยนกันได้ ทัศนคติของสังคมเปลี่ยนไปในเวลาเพียงแค่ 2 ปี แล้วเราจะเปลี่ยน สถานที่ที่เราไม่ belong ให้เป็นสถานที่ที่เรา belong ได้หรือเปล่า?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พอยออฟวง พอยออฟวิว อัลไลนี่ไม่ได้รับประทานพี่โจวแน่นอน เพราะสำหรับพี่โจวนั้นหัวใจมันมอบให้คุณมัลลิการ์ไปคนเดวอ่ะครับ
จะเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เป็นฝ่ายซ้าย
ก็ติดหลักการ ติดคุณธรรม
แต่การต่อสู้ทุกวันนี้ ยิ่งใช้ไม้อ่อนก็ยิ่งโดนโจมตีกลับด้วยไม้แข็ง
ถือหลักการจึงเล่นแรงไม่ได้ ถึงขนาดโดนฝ่ายตรงข้ามตราหน้าว่าไร้น้ำยา
หลายครั้งฝ่ายตรงข้ามพลาดซักทีนึง ก็โดนขุดมาขยี้เสียเละเทะ ไม่ต่างอะไรกับที่ฝ่ายตรงข้ามทำ แต่ว่ามันเป็นยุทธวิธีที่เป็นการกระตุกหนวด slimได้เป็นระยะ เหมือนการรบแบบกองโจร
บางทีก็คิด การที่มีทั้งฝ่ายหลักการ ยึดคุณธรรม ทำงานบนกติกา กับฝ่ายฮาร์ดคอร์ ใช้ hate speech ใช้การล่าแม่มด ขุดอดีต แบบนี้
ควรจะยอมรับได้แล้วว่าฝ่ายต่อต้านเผด็จการ ไม่จำเป็นต้องมีแต่ฝ่ายที่ขาวสะอาด การที่มีฝ่ายที่เป็นกองกำลังด้านมืดบ้างนั้นจำเป็น
ถึงกระนั้นทั้งสองกลุ่ม ก็ไม่ควรต้องมาเกี่ยวข้องกัน ต่างคนต่างทำงานภายใต้แนวทางของฝ่ายตน เหมือนคนไม่รู้จักกัน และมีการประนาณมีด่ากันบ้างตามสมควร
ที่ว่ามานี่ไม่ใช่ว่าจะให้ลงถนนไปใช้กำลัง หรือยกทัพไปปิดทำเนียบ หรือไปฆ่าใคร แต่ยุทธวิธีแบบปัจจุบัน ที่มีเพจต่างๆแซะ แซว ขุด ก็ถือว่ามากใช้ได้แล้ว พวกนี้เป็นนักรบด้านมืด ที่ทำงานสกปรกไป โดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์แบบคนที่ทำงานตามหลักการ
ใครเห็นโพสท์นี้จะแคปไว้คอยดิสเครดิทผมทีหลังก็ได้ แล้วแต่เลย
แต่ถ้าวันใดคุณมีความคิดนึงแล่นเข้ามาในหัว "slimต้องรมแก๊ส" เราคือเพื่อนกัน
การสนับสนุนเผด็จการไม่ใช่ ‘การคิดต่าง’ การสนับสนุนนาซี ฟาสซิสต์ก็ไม่ใช่การ ‘คิดต่าง’ คำว่ายอมรับคนคิดต่างหมายถึง ‘คิดต่าง’ บนฐานของคนที่เชื่อในสิทธิมนุษยชน ปชต. ร่วมกัน ถ้าคุณสนับสนุนเผด็จการแปลว่าคุณไม่มีแนวคิดเรื่อง ‘คิดต่าง’ มาตั้งแต่ต้น แถมยังต้องการทำลายคนที่คิดไม่เหมือนคุณ
"ลองค้นเพจ Point of View ดูที่ Search Box พบคำอธิบายว่า "Writer • thinker • Storyteller"
ไอ้ชิบหาย แค่นี้กูก็ Red Flag แล้ว คนดีๆ ที่ไหนแม่งเรียกตัวเองเป็น Thinker"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผมขอยืนยันว่า ในชั่วชีวิตเรา บางทีลูกเราด้วย จะต้องรบกันไปอีก และแย่งกันในระบอบเก่ากับระบอบใหม่นี้ เพราะเหตุเราจะต้องประสานกัน เราต้องการความสงบสุข เราต้องการสร้างชาติ เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้น เราจึงไม่ได้ทำอะไรเลยกับพวกที่เห็นตรงกันข้าม ใครจะไปไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ เมื่อเปรียบกับในต่างประเทศ ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า เราทำมาผิดกันไกล เช่น ฝรั่งเศสปฏิวัติกัน เขาก็ฆ่ากันนับพัน ๆ คน จนถึงกับเอาใส่รถใส่เกวียนไปฆ่ากัน ส่วนเราเปลี่ยนกัน เปลี่ยนทั้งพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนทั้งอำนาจอะไรต่ออะไรด้วย เราก็ไม่ได้ทำอะไรกันเลย มิได้มีการเสียเลือดเนื้อกันเลย และผมว่า ในชีวิตเรา ในชีวิตลูกของเรา พวกรักระบอบเก่าแก้แค้นก็ไม่หมด เพราะว่าเราปล่อยไว้ อย่าว่าแต่การเปลี่ยนระบอบการปกครองและเปลี่ยนพระมหากษัตริย์เลย ขอให้มองดูใกล้ ๆ การเปลี่ยนแต่พระมหากษัตริย์ ตัวอย่าง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เปลี่ยนจากพระเจ้าตากมาแล้ว ฝ่ายพระเจ้าตากเป็นอย่างไร ฝ่ายพระเจ้าตากต้องถูกประหารชีวิตหมด ถึงกระนั้นก็ดี ตอนหลังก็ยังปรากฏว่าจะมีการแย่งกันอีกเล็กน้อย นี่ตัวอย่างที่เราเป็นมาแล้ว ...แต่เราไม่ได้ทำอันตรายใครเกินเหตุ จึงทำให้พะวักพะวนอยู่ แต่ห่วงพวกรักระบอบเก่า ...พวกผมขอให้หมด ปิดฉากพยาบาทกัน แต่พวกตรงข้ามเขาไม่ยอม ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เขาแสดงทีท่าว่า ต่อให้ถึงลูกหลานเหลนของเราก็ต้องรบกันอยู่นั่นเอง ก็มีปัญหาขึ้นว่า ถ้าเช่นนั้นทำไมจึงไม่แก้เล่า ถ้ามีการแก้ ก็ต้องทำเด็ดขาดอย่างพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงปฏิบัติกับพวกเจ้าตาก ซึ่งได้ผลดีมาแล้ว แต่เราทำไม่ได้ จะไปล่มเรือฆ่ากันอย่างนั้นพ้นสมัย และกลัวบาปด้วย แต่ฆ่า ๑๘ คนเท่านี้ก็พออยู่แล้ว เป็นประวัติการณ์ที่เรายังไม่ลืมเหตุการณ์อันนี้ ถ้าเราจะให้หมดไปจริง ๆ ที่จะให้ระบอบใหม่นี้มั่นคงแล้วจะเป็นอย่างไร ดูอย่างฝรั่งเศสเมื่อครั้งพระเจ้าหลุยที่ ๑๖ นั้น เอาไปประหารกันทีเดียว อีกอย่างหนึ่ง เราจะปราบด้วยวิธีอื่นก็ได้ พวกที่อยู่ในระบอบเก่าไม่เปลี่ยนหัวมาเป็นระบอบใหม่ ก็ให้หนีไปเสียจากเมืองไทย สภาฯ นี้ก็อนุมัติให้รัฐบาลทำได้ ให้ออกกฎหมายว่าพวกนี้ให้ผมริบทรัพย์ แล้วเนรเทศไปให้หมด"
มึงเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ยังไง ถึงเชื่อวาทะกรรมควายๆ ของพวกเผด็จการ ก็รู้อยู่นี่ว่าผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ คณะราษ 2475 มันแพ้ยับ แต่ละคนก็ตกยากลำบาก ส่วนเผด็จการร่ำรวยสุขสำราญ มึงก็น่าจะเห็นภาพนะเว้ย เรื่องง่ายๆ แค่นี้อะ ถึงว่าละทำไมไม่ค่อยทำคลิปประวัติศาสตร์ไทย อย่างตุลาทมิฬ เพราะเป็นสลิ่ มเลียเผด็จการและชอบการกดขี่นี้เอง เหี้ยสุดก็คือดีใจที่เห็นคนคิดต่างโดนยิงตาย ลุงที่โดนยิงก็แค่ประชาชนคนหนึ่งไม่ใช่ผู้ร้ายหรือโจร มึงเลวระยำเกินไปแล้ว กูไม่คิดเลยว่ามึงจะมีความคิดต่ำตมได้ขนาดนี้
ไม่ได้ไปยืนดูครับ เพียงลงรถไฟฟ้าที่สถานีมาบุญครองแล้วนักข่าวมาขอสัมภาษณ์ตำรวจจึงยัดข้อหาว่าเป็นแกนนำจัดการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งตามกำหนดครับ เหมือนเมื่อครั้งที่ไปรับของฝากจากเฮียปอที่อาคารจอดรถสวนสัตว์ดุสิตเมื่อวัน 30 ก.พ. 60 ตำรวจยัดข้อหาเป็นแกนนำจัดชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ
ต่อไปนี้ผมจะเดินผ่านที่ชุมนุมใดไม่ได้เลยครับ เพราะคนระยำมันจะยัดข้อหาผมเป็นแกนนำจัดการชุมนุม
“ไปตามกรณี Point of View มาพักใหญ่ อ่านทั้งคนที่ขุด คนที่เคยเป็นเพื่อนขุดมาเล่า ถึงเพิ่งรู้ว่าเธอคือป้าแว่นในทวิตเตอร์เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งตอนนั้นเธอน่าจะโดนด่าจนหันไปทำชาแนลในยูทูปจนโด่งดังแทน
ต้องบอกก่อนว่าเรื่องแนวคิดทางการเมือง คนเราเปลี่ยนกันได้นะ ผมเป็นคนหนึ่งที่ผ่านทั้งช่วงเกลียดทักษิณ เป็นส ลิ่ม จนตาสว่างนิดๆ จนตาสว่างเต็มที่ แต่ก็ได้แต่เงียบๆ ในโลกความเป็นจริง ไม่ได้แตะการเมืองเวลาพูด ไม่ได้วิจารณ์ใคร หรือพูดง่ายๆ ก็เก่งแต่ในเฟซ ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่ได้มีพาวเวอร์พอจะไปจูงใจคน และมีเพื่อน ญาติ และใครอีกหลายคนที่รู้จักในโลกความจริงที่คิดตรงข้ามคนละขั้วกับเรา เพราะรู้ว่าถ้าข้อมูลไม่แน่นจริงก็เถียงแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากทะเลาะกัน
กรณีของ Point of View ที่ผมรับไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องทวีตว่าจะฟ้องเพื่อนเรื่อง ม.112 หรือสะใจกับการที่มือปืนป๊อปคอร์นยิงคนตาย กรณีแบบนี้การที่ผมมีคนรู้จักจำนวนไม่น้อยอยู่อีกฝั่ง ก็กล้าพูดได้ว่ามุมมองแบบนี้ในโลกของเขา เป็นคนละแบบกับโลกของเรา เขาเห็นในอีกมุม เช่น กรณีมือปืนปีอปคอร์น เขาไม่รู้หรอกว่าคนตายเป็นแค่ลุงแก่ๆ เข็นรถขายผลไม้ แต่ในข่าวที่เขาเสพ ชายคนที่ถูกยิงคืออันธพาลพวกของโกตี๋ที่จะมาทำร้ายผู้ชุมนุมใน กปปส.
ที่พูดนี่ไม่ได้ปกป้อง Point of View จากกรณีนี้แต่อย่างใด เพราะโพสเธอที่แสดงความสะใจกับกรณีแบบนี้ยังไงก็ไม่ควร
กรณีที่รับไม่ได้จริงๆ คือช่วงที่ บก.ลายจุด ต่อต้านการรัฐประหาร หนีกบดานไม่ยอมรายงานตัว แล้วเธอไปทวีตถามว่าช่วงที่หนีนั่นสนุกไหม ? ไหวไหม ? พอ คุณหนูหริ่ง หรือ บก.ลายจุด ทวีตตอบว่าก็พอไหว แล้วเธอก็บอกว่าโดนอายัดบัญชี ลูกไม่มีเงินเรียน ทำแบบนี้สนุกเหรอ ? โห อันนี้เข้าขั้นระราน
เท่าที่อ่านเพื่อนที่ขุดมายังยืนยันว่าเธอระรานคนอื่นในทวีตอีกหลายคนจนเป็นที่มาของป้าแว่นในตำนานทวิตเตอร์ช่วงหนึ่ง
ส่วนตัวผมยังไม่เห็นด้วยกับการขุดอดีตบางส่วนมาโจมตีกันทางการเมืองนะ ยิ่งเป็นคนรู้จักเป็นเพื่อนกันก็ลองหาทางคุยกันดีๆ ก่อน(เพราะจริงๆ นี่แหละที่ยากที่สุด ผมเองยังทำไม่ค่อยได้) เพราะคนเราเปลี่ยนกันได้เรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งมันอาจจะหยุดเปลี่ยนก็ว่ากันไป...แต่กับอดีตบางคนพอมันมีมากเยอะๆ เข้า เราจะไปห้ามคนที่เคยเป็นอริให้รับฟังคงยากแล้ว”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อีกหนึ่งตัวอย่างที่เกิดขึ้นเพราะความไร้ประชาธิปไตยและโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เป็นธรรมอ่ะครับ ถ้าไทยมีประชาธิปไตยและเป็นรัฐสวัสดิการรับรองว่า https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1037144
ตรีโกณมิติ ทนายด่างเอามาใช้คำนวณระยะห่างพื้นที่ในคดีกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง
จำได้มั้ย ที่ฉันเคยเล่าว่า ทุกครั้งที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ฉันจะถ่ายเก็บฟุตเอาไว้เยอะมาก เพื่อเอามาตัดต่อเป็นหนัง ซึ่งตอนนั้นเป็นการถ่ายโดยที่ยังไม่มีพล็อตเรื่องในหัว
ทีนี้ พอกูคิดออกแล้วว่าจะทำเรื่องฮาๆเกี่ยวกับคนไทยไปรับจ้างถ่ายหนัง AV กับคนไทยไปเป็นดาราหนัง AV ที่ญี่ปุ่น โดยครั้งหน้าก็จะไปถ่ายเก็บฟุตมาเพิ่มอีก
อีดอก Netflix ก็เสือกทำซีรี่ส์เรื่องนี้ออกมาพอดี จบเลยจ้า ไปต่อไม่ถูกเลย ต้องยกเลิกพล็อตเก่า เพราะขืนยังทำต่อ คนก็จะหาว่าก็อปไอเดียจาก Netflix อีสัส เลยต้องล้มเลิกพล็อตเก่า ต้องเปลี่ยนพล็อตใหม่อีกแล้ว
"...โนบิตะ ในอีก 45 ปี ข้างหน้า..."
"........เด็กที่ไหนจะไปนึกออกกันครับ ว่าอีก 45 ปีข้างหน้า ตนเองจะเป็นยังไง มีแต่ผู้ใหญ่วัยใกล้ๆ 30 นั่นแหละครับ ถึงจะเริ่มนึกออก
อาจเพราะเหตุนี้ ผมจึงยิ่งนึกถึงโดเรมอน ตอนนี้มากขึ้น ยิ่งปีนี้ผมสอนวิชาโครงงานอิสระ โดยให้เด็กนักเรียนสวนอนันต์ ม.5/2 ห้องประจำชั้น ทำ”สมุดแห่งกาลเวลา” ที่พูดถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตนเองด้วยแล้ว ผมยิ่งนึกถึงโดเรมอนตอนนี้ (ปัจจุบันผมย้ายกลับมาประจำที่สวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนเก่าสมัยผมเรียนมัธยม ได้หลายปีแล้วครับ)
แม้จะเป็นตอนที่ไม่ค่อยดัง แต่ตอนเด็กๆผมเคยอ่านตอนนี้อยู่ และสิ่งที่สัมผัสได้ตั้งแต่ตอนนั้นก็คือความรู้สึกเศร้าแปลกๆ และยิ่งเติบโตขึ้น ความรู้สึกแบบนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้น
โดเรมอน ตอนนี้ เล่าถึงวันที่แสนเซ็งของโนบิตะ ในวัย 10 ขวบ ที่ทั้งถูกเพื่อนไล่ต่อย , พ่อแม่ก็ดุ อะไรก็ดูเซ็งๆไปหมด แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ก็พบว่าโดเรมอนพาชายวัยกลางคนมาด้วย และชายคนนี้ก็คือโนบิตะในอีก 45 ปีข้างหน้านั่นเอง (คือโนบิตะ ในวัย 55 ปี)
โดเรมอนบอกว่า เห็นเขาอยู่บ้านคนเดียวท่าทางเหงาๆ ก็เลยพากลับมาเยี่ยมโนบิตะในวัย 10 ขวบ แล้วก็ขอสลับร่างกันเพื่อสัมผัสชีวิตวัยเยาว์อีกครั้ง ซึ่งโนบิตะเด็กก็ยอม
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ก็คือ คนแก่ในร่างเด็กสมชื่อ เพราะโนบิตะวัยกลางคน ที่ได้กลับมาอยู่ในร่างเด็กอีกครั้งนั้น มองเห็นทุกๆอย่างสดใสไปหมด
- พอไปเจอชิซูกะ ก็พูดแต่ว่า ลูกเรามันโตแล้วนะ มันแต่งงานและไปฮันนีมูนแล้วนะ
- พอไปเจอไจแอนท์ กับ ซึเนโอะ มาไล่ต่อย ก็ไม่หนีไปไหน แถมยิ้มแย้มดีใจ เฝ้าบอกแต่ว่า ดีใจจัง พวกนายในตอนนี้ยังแข็งแรงดีอยู่เลย
- พอไปเจอคุณแม่เรียกไปดุ ก็ร้องไห้ดีใจ เฝ้าบอกแต่ว่า คุณแม่ยังสาวอยู่เลยในตอนนี้
- พอคุณพ่อกลับบ้านตอนเย็น ก็วิ่งไปต้อนรับอย่างดีใจสุดๆ ที่ได้เจอคุณพ่อในวัยที่ยังแข็งแรงอีกครั้ง
- ตอนกินข้าวเย็น ก็เอาแต่บอกทุกๆคนว่า "อาหารบ้านเราอร่อยที่สุดเลย" จนคุณแม่คุณพ่อยิ้มแย้มดีใจกันไปหมด
ฯลฯ
หลังจากสลับร่างกันจุใจแล้วก็คืนร่างกัน แต่ก่อนกลับไปสู่อนาคต โนบิตะวัยกลางคน ก็หันมาบอกกับโนบิตะเด็กว่า
"นับจากนี้ไปนายจะต้องล้มลุกคลุกคลานอีกหลายหน แต่ทุกครั้ง นายก็จะสามารถยืนหยัดขึ้นมาได้พร้อมความเข้มแข็ง แน่นอน"
ครับ อาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ ก็คงเขียนโดเรมอนตอนนี้ ด้วยความรู้สึกของตนในยามชราเช่นกัน ถึงได้เข้าใจเหลือเกินว่า ถ้าได้ย้อนกลับไปยังวัย 10 ขวบอีกครั้ง โนบิตะวัยกลางคน คนนั้น จะดีใจมากขนาดไหน เมื่อได้เจอกับคนต่างๆ ที่อาจจะจากเขาไปแล้ว หรือร่างกายเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ตามกาลเวลา
ผมกลับมานึกถึงโดเรมอนตอนนี้ แล้วหันไปดูรูปแม่ของผมตอนท่านยังสาวๆกว่านี้ ผมยังซึ้งตามไปด้วยเลยครับ นี่ถ้านึกถึงคุณตาคุณยายที่จากไปแล้ว ก็คงเศร้ากว่านี้อีก
เพราะคนรอบข้างเรา รวมทั้งตัวเรานั้น ล้วนเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ดังนั้น ทำชีวิตของเราและดูแลคนรอบข้างให้ดีที่สุดเถอะครับ เพราะในชีวิตจริงๆนั้น เราไม่มีไทม์แมชชีนแบบโดเรมอน ที่จะย้อนกลับไปดูอดีตได้ เรามีแต่เพียงความทรงจำของเราเท่านั้น ที่จะบอกกับตัวของเราได้ว่า เราภาคภูมิใจแล้วหรือยัง กับความดีงามที่เราได้ทำไว้ ในทุกๆช่วงเวลาของชีวิต........"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Dear LGBT,
If you don’t want to be treated differently for being gay, then stop acting like being gay somehow makes you special.
Your sexual orientation is neither an achievement nor a holiday.
You have not accomplished anything simply by being attracted to one sex or another.
"เวลาเราบอกว่าเราไม่ควรจะสะใจกับความชิบหายและความตายของฝ่ายตรงข้ามเนี่ย
ส่งที่ต้องตระหนักคือขนาดประชากรพวก "ประเทศเจริญแล้ว" แม่งก็ยังทำไม่ได้เลยนะครับในภาวะขัดแย้งทางการเมือง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่จริง! มาม่าเป็น Inferior Goods การเติบโตของ Demand จะสวนทางกับรายได้ของผู้บริโภคเสมอ การที่มาม่าเติบโตพรวด แสดงว่าคนไทย”จนลง”อย่างมีนัยสำคัญ
ช่วงนี้เจอคนส่งมาสมัครงานเยอะมาก เข้าใจว่าเป็นช่วง High Season (เงินเดือนขึ้น + ได้โบนัสแล้ว)
นั่งคุยกับ HR เมื่อสัปดาห์ก่อน พอนั่งรีวิว Candidate ไปเรื่อยๆ พบ pattern บางอย่างที่คล้ายกันมาก
ประสบการณ์ทำงานไม่เกิน 3 ปี
- พบว่าย้ายบริษัทกันบ่อยมาก ส่วนใหญ่ย้ายงานกันทุกปี
- สถิติสูงสุดทำงาน 3 ปี ย้ายงานมา 6 บริษัท
- จริงๆ เข้าใจว่าคนทำงานช่วงแรกหลังเรียนจบ ต้องการเรียนรู้อะไรหลายอย่าง แต่ย้ายงานทุกปี ส่วนใหญ่คือไม่เรียกมาคุยเลย
- เคยเจอน้องที่ทำงานแต่บริษัทดีๆ มาทั้งนั้นเลย แต่ย้ายงานบ่อยจน HR ทักว่า รับมาก็อยู่ไม่นานหรอกพี่ เดี๋ยวก็ไป
.
ประสบการณ์ 3-7 ปี
- พบว่าหลายคนอยากลองเปลี่ยนสายงาน คือทำอย่างเดิมมา 5 ปี มารอบนี้อยากลองทำอย่างอื่น ซึ่งพอเปลี่ยนงานแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้ port น้อยกว่าเด็กหลายคน จนน่าเสียดาย
- จริงๆ เปลี่ยนแนวทาง เพราะคิดว่าสายเดิมไม่รุ่งก็โอเค แต่อาจจะต้องพัฒนา port เพื่อสู้กับคนที่ทำงานสายนี้มานานกว่ามากๆ
- พบว่าหลายคนยึดติดกับรูปแบบการทำงานเดิม จะไม่ค่อยอยากเปลี่ยนวิธีทำงาน
.
ประสบการณ์ 7+ ปี
- เปลี่ยนยากมากกกก หลายคนบอกว่าพร้อมเปลี่ยนตัวเอง แต่เอาเข้าจริงก็ปรับยากจริงๆ
- ทักษะบางอย่างที่ทำงานมา 7 ปี ต้องทิ้งไปหมดเพื่อเริ่มใหม่ ทำให้หลายคนก็ไม่พร้อมที่จะเรียนรู้
- เจอคนที่น้ำเต็มแก้วเยอะพอควร
- เงินเดือนสูง แต่ความต้องการก็สูงมากตามไปด้วย มองหาความมั่นคงเป็นหลัก ไม่พร้อมอยู่บริษัทเล็ก
- ไม่ทำ resume เลยก็มี อาจจะเพราะอยู่มานานจนไม่พร้อมย้ายงานใหม่
.
resume
- พบกราฟพลังเป็น pattern ของ resume สมัยนี้ ซึ่งมันอธิบายยากอ่ะ เช่น photoshop 7/10, ai 8/10 แล้วเราก็ไม่รู้ว่า 7 หรือ 8 นี่คือแค่ไหนล่ะหว่า
- port งานวิดิโอมักไม่ใส่ link ให้ดูคลิป
- port งานเขียน มักไม่ใส่ link เช่นกัน
- ไฟล์ส่งมาใหญ่มากๆ บางอีเมล์ใหญ่ 30MB ส่วนไฟล์ port ให้ไปโหลด ใหญ่ 300-500MB (เคยเจอสูงสุด 3GB)
#ช่วงบ่นวันละนิด #อ่านเมล์ต่อไป
ทำไมผมห่วง การซ่อน Hidden Agenda มากกว่าการทำร้ายร่างกาย เพราะมันคือการสร้างสถานการณ์ที่สุดท้ายจะจบที่การหลอกคนมาลงถนน เพื่อตายแทนผู้มีอำนาจอีกครั้ง และใช่ครับ
ณ. วันนี้ผมเชื่อในแนวทางการต่อสู้กับอำนาจว่า "ไม่ต้องทำอะไร"
อย่างเคสจ่านิว ถ้าไม่ใช่ตัวเลขยอดเงินที่มี hidden agenda ชัดเจนก็ยังอยากช่วยนะรอบนี้ แต่ว่า พอทำ hidden agenda ชัดเจนแล้ว ...
ถึงยุคทมิฬมาร จะครองเมืองด้วยควันปืน
ขื่อแปจะพังครืน และกลิ่นเลือดจะคลุ้งคาว
แต่คนย่อมเป็นคน ในสายธารอันเหยียดยาว
คงคู่กับเดือนดาว ผงาดเด่นในดินแดน
- จิตร ภูมิศักดิ์
ปกตินิสัยผมชอบโอนเงินช่วยคนแทบทุกเคส
ของน้องนิวผมก็ทำนะครับ แต่ไม่ได้ทำยอด 247.5 (ตาม propaganda กระตุ้นชุดความคิดในสมอง การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475) ผมเชื่อว่าแม่น้องเค้าก็ไม่ได้คิดแคมเปญนี้เอง
ผมช่วยเพราะผมเคยร่วมกิจกรรมกับน้องเค้าไปช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน ที่มีครูวัลลภ (ครูหยุย) นำทีมทำกิจกรรมเมื่อนานมาแล้ว ผมชอบที่น้องเค้ามองเห็นค่าความเป็นคนของคนเท่าเทียมกัน
แต่เราเดินคนละเส้นทาง เพราะทุกวินาทีที่หายใจผมยังรักในหลวงอยู่
Where We Belong ไม่ได้รับประทานพี่โจวแน่นอน สำหรับพี่โจวต้องเรื่องนี้เท่านั้นอ่ะครับ ตอนนี้ติดต่อนายทุนข้ามชาติจะมาลงทุนสร้างภาค 2 ได้งบมา 30 ล้านโบลิวาร์ https://youtu.be/NuSSUpaQWZQ
จากที่เคยใช้สันติบาลลับๆล่อๆ ตามนักกิจกรรม คาดว่าวิกฤตครั้งนี้ ภาครัฐจะเสนอความคุ้มครองให้นักกิจกรรม คาดว่าอาจใช้ทหารเข้ามาประกบเลย ซึ่งก็จะกลายเป็นดาบสองคมไปอีกรูปแบบหนึ่ง
ภาคประชาชนอาจจะต้องมีโครงการ 'บอดี้การ์ดภาคประชาชน' ปฏิเสธความคุ้มครองจากฝ่ายรัฐ อาจต้องใช้คนกลางมาทำหน้าที่นี้แทน เท่าที่มองๆ ไว้หากเราระดมทุนกันได้มากพอ (อาจจะขอองค์กรสิทธิจากต่างประเทศด้วย) ต้องนำเข้ามืออาชีพอย่างพวกบริษัท Black Water มาคุ้มกันอ่ะครับ
>>942
"... You need to just stop
Like can you just not
Step on my gown
You need to calm down."
https://www.youtube.com/watch?v=GWtfOHBF1_w
การทำร้ายจ่านิว กับการถอนหมุดคณะราษฎร
นั้นเป็นสิ่งที่รัฐบาลคณะรัฐประหารไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้
แต่มีจุดเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ
ทั้ง 2 เหตุการณ์นั้น รัฐบาลคณะรัฐประหารไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
มีแต่เสียงด่า
LGTV : เราก็คนปกติเหมือนกับพวกคุณ! เลิกความคิดที่ว่าLGTVเป็นพวกลามกได้แล้ว!
Also LGTV : ไพรด์พาเรดครั้งนี้ เราจะใส่ชุดหนังเปิดช่องตูดควงดิลโด้เดินร่อนให้ทั่วถนนไปเล้ย แซ่บๆค่า
ไอ้บ้ากาม
- มิตรสหารท่านหนึ่ง
>>957 ก็พวก LGBT กับSJW เหยียดคนที่ไม่โอเคกับ LGBT ไง แบบ James Charles อ่ะมึง กระอักกระอ่วนชิบหายเลยนะ กรณี
Shawn Mendes จะปฏิเสธก็อะ เหยียดเพศ ถามว่าตัวเองทำตัวยังไงดีกว่า ถ้าไปทำกับผญ สุดท้ายมึงก็ด่าเค้าว่าหน้าไม่อาย ล่วงละเมิดทางเพศเหมือนกันนั่นแหละ หรือ ญ ทำกับ ชก็เช่นกัน เป้าหมายของกูคือพวก LGBT wannabe ที่ทำตัวแรงๆ นึกว่าตัวเองเฟียสนักหนามั้ง สุดท้ายเป็นแค่คนไม่มีมารยาท
LGBT กับ SJW คือตัวอย่างของพวกที่ฝืนธรรมชาติ
หลังจากที่ดิชั้นโพสต์เปิดโปงไปเมื่อวาน เรื่องมือที่อยู่เบื้องหลังการตีจ่านิวว่ามาจากราชวัลลภ เป็นเด็กของอภิรัชต์ จากนั้น ว ชิราลงกรณ์ฉุนเพราะเหมือนถูกดึงมาเกี่ยวข้องด้วย เลยมีการสั่งตรวจสอบเรื่องนี้ ซึ่งอภิรัชต์อาจจะซวย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตำรวจต้องรีบหาแพะ ใครก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับทหาร เอาจริงๆ ประวิตรถูกกดดันมา เลยสั่งให้จักรทิพย์ออกหน้า คิดว่าต้องหาแพะแน่ๆ แล้วโบ้ยเป็นเรื่องส่วนตัว เอามาแค่เป็นคนสมอ้างแทนทหาร
เพิ่งรู้ว่าคนแถวบ้านล้มละลายเป็นอาชีพ แบบไปกู้แบงค์มา60ล้าน ซื้ออะไรไม่รู้มาใส่โกดังแล้วปล่อยล้มละลาย แบงค์ยึดที่ไปไม่ได้กี่ล้าน ตัวเองซุกเงินไป47ล้านแล้วก็ย้ายที่ไปทำใหม่ใช้ชื่อลูกชาย เปลี่ยนแบงค์กู้ เริ่มใหม่อีกรอบ
คนไทยกลุ่มหนึ่งแค่เก็บเงินไปเที่ยวพัทยาภูเก็ตได้ปีละครั้งก็ดีใจสุดๆแล้ว ขณะที่คนไทยอีกกลุ่มเอะอะไปเดินเล่นอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา สวิส บ่อยๆเหมือนนั่งรถจากบางแคไปบางกะปิ แล้วคนกลุ่มนี้ก็มักบอกว่า "เราไม่รวยหรอก เราแค่พออยู่ได้ เอ้ะ ไปเที่ยวยุโรปนี่ต้องรวยเหรอ ชั้นว่าเป็นเรื่องปกติ ใครๆก็ทำนะ"
เห็นมั้ย ช่องว่างระหว่างชนชั้นของคนไทย
https://medium.com/@hanke_598/fujoshi-expression-of-desire-67b0fc01c050
นักศึกษา phd neuroscience เค้าวิจัยย้อนไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมอังกฤษ
พวกฟุนี่มันเกิดมาจากการถูกทำให้ผิดหวังโดยผู้ชายน่ะ เช่นหน้าตารูปลักษณ์แย่ทั้งชาติไม่มีทางเข้าถึง ผชดีๆ
หรือมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพ่อตัวเอง มันเลยตอนหาทางปลดปล่อยความเก็บกดทางเพศด้วยจินตนาการ
ฟุจึงเกิดขึ้นมาจนเป็นปัญหาสังคมอย่างทุกวันนี้ไง แล้วมักจะมีรูปลักษณ์แย่ นิสัยแย่ สภาพจิตไม่ปกติ สังคมแบน
กาลิเลโอน่าจะเป็นเสรีชนคนแรกๆ ที่ถูกทรราชจับตัวไป "ละลายพฤติกรรม" แล้วก็ละลายสำเร็จเสียด้วย
เรามักจดจำเขาในฐานะยอดนักวิทยาศาสตร์ ที่ต่อสู้กับความงมงายของศาสนจักร แต่เบอร์โทล เบรคช์ท์ ยอดนักเขียนแห่งไวมาร์ มองกาลิเลโอจากอีกมุมหนึ่ง
ในบทละครของเขา กาลิเลโอ แม้จะเป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังเป็นคนธรรมดา เขาหวาดกลัวการถูกทรมาน กลัวความยากลำบากในคุก ฉากไคลแมกซ์ของละคร ลูกศิษย์ลูกหานั่งรอชายชรา หลังจากเขาถูกสังฆราชเรียกให้ไปรายงานตัว ทุกคนเชื่อว่าอาจารย์จะต้องไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง กาลิเลโอจะไม่มีวันกลับคำ ไม่มีวันปฏิเสธการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง
ชายชรากลับบ้านมาด้วยความอ่อนล้า และก่อนจะได้ทันเปิดปากพูดอะไร เสียงคนเดินสารตะโกนดังมาจากนอกเวที กาลิเลโอสารภาพแล้วว่าทุกสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ โลก และกล้องโทรทรรศน์เป็นเพียงเรื่องโกหก
ลูกศิษย์ที่เชื่อมั่นในตัวชายชราที่สุด มองอีกฝ่ายอย่างผิดหวังแล้วรำพึงออกมา
"...อนาถแท้ แผ่นดินใดไร้วีรชน..."
กาลิเลโอไม่โต้ตอบอะไร กระซิบกลับมาเบาๆ
"...อนาถแท้ แผ่นดินใดหวังพึ่งวีรชน..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สังเกตมะ ขนาด Facebook ล่ม โพสต์รูปไม่ขึ้น แต่อีพวกคนหล่อๆ แม้มันจะโพสต์รูปแล้วไม่ขึ้น แต่ก็ยังมีคนเป็นร้อยกดไลค์ให้รูปที่มองไม่เห็น
สรุป คนหล่อเนี่ย โพสต์เหี้ยอะไรก็ได้ไลค์ ส่วนคนกดไลค์ให้ พวกมึงก็ปัญญาอ่อนกันเนอะ
พวกที่มาบ่นเรื่องไลค์ของชาวบ้านในโม่ง แม่งปัญญาอ่อนยิ่งกว่า
เจอคนกดไลค์ละ 1
แอเรียล = นางเงือก
นางเงือก = อยู่ใต้ทะเล
อยู่ใต้ทะเล = ดำน้ำ
ดังนั้นแอเรียลเป็นคนดำก็ถูกแล้วครับ
โวยวายอะไรกัน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
[คอลัมน์กรุงเทพธุรกิจ] โลกที่แตกเป็นสองห่วงโซ่
ช่วงที่ผ่านมา หลายคนเข้ามาสอบถามความเห็นของผมเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทุกคนอยากรู้ว่า ตกลงใครจะชนะในสงครามกันแน่?
แต่วันนี้ผมอยากชวนเพื่อนๆ มองข้ามไปอีกช็อต โดยอยากชี้ให้ทุกคนเห็นว่า การค้าโลกจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว และเราทุกคนต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นยุคโลกาภิวัฒน์เต็มตัว นั่นก็คือ การค้าทั้งโลกเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะสองแกนสำคัญคือจีนและสหรัฐฯ ต่างเชื่อมโยงกันมาก ทุนจากสหรัฐฯ เข้ามาผลิตในจีน ส่งขายไปยังตลาดโลก
ในทางวิชาการ จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) กล่าวคือ แต่ละประเทศผลิตของตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของตน สหรัฐฯ มีความได้เปรียบที่ทุน ส่วนจีนมีความได้เปรียบที่แรงงาน ประเทศอื่นๆ เองก็เข้าเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมโยงกับสองประเทศนี้ (ตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของแต่ละประเทศ) และเกิดการค้าขายเชื่อมกันทั้งโลก
ตัวอย่างเช่น กว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่ง อาจได้ทุนมาจากประเทศหนึ่ง ได้ชิ้นส่วนหนึ่งมาจากอีกประเทศ ได้อีกชิ้นส่วนจากอีกประเทศ แล้วมาประกอบขึ้นที่อีกประเทศ เพื่อส่งไปขายยังอีกประเทศ นี่แหละครับคือห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมต่อกันทั้งโลก เป็นโลกใบเดียว ห่วงโซ่เดียว แต่ละภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างรู้ว่าห่วงโซ่นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
เราค้าขายกันอย่างนี้มา 20 ปี จนสามารถผลิตของได้ด้วยต้นทุนที่ถูก มีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าในเกมนี้ มีทั้งผู้ชนะ และผู้แพ้ แต่อย่างน้อย ทุกคนรู้ว่าตนรับผลิตอะไร ขายใคร ทุกคนรู้ว่าตนเป็นส่วนไหนในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าต่างๆ
แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ สงครามการค้าทำให้เกิดการเขย่าห่วงโซ่อุปทานโลกครั้งใหญ่ และโลกการค้าจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีจีน (และขู่จะขึ้นภาษีอีกหลายประเทศ) จึงทำให้ปั่นป่วนกันทั้งโลก ธุรกิจต่างๆ ต้องมานั่งวางแผนกันใหม่ว่าจะวางห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการขายกันอย่างไร จึงจะหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ได้
เราจึงเห็นธุรกิจในจีนเริ่มย้ายออกจากจีนมาหาแหล่งผลิตอื่น ส่วนธุรกิจที่ยังผลิตในจีนก็เริ่มสนใจจะบุกตลาดผู้บริโภคอื่น แทนที่จะส่งไปขายสหรัฐฯ
ผมได้แนะนำนักธุรกิจหลายท่านว่า สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ การตื่นตัวกับเส้นทางการค้าที่กำลังตายและที่กำลังก่อร่างใหม่ เราต้องเริ่มถามว่า ในธุรกิจหรือสินค้าของเรา เส้นทางการค้าและห่วงโซ่การผลิตกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตเดิมที่ส่วนอื่นๆ ในห่วงโซ่นั้นกำลังถูกเขย่าหรือไม่และถูกเขย่าอย่างไร สุดท้ายห่วงโซ่ที่กำลังเกิดใหม่จะกระทบหรือสร้างโอกาสใหม่ให้เราได้อย่างไร
เมื่อทรัมป์เจอกับสีจิ้นผิงครั้งล่าสุดในการประชุม G20 ที่โอซาก้า ข่าวออกมาเหมือนกับว่าสงครามการค้าระหว่างสองประเทศพักรบแล้ว ทั้งสองฝ่ายตกลงกลับมานั่งโต๊ะเจรจา คนที่ยังมองโลกในแง่เดิมเห็นว่า ต่อไปในอนาคตก็คงจะตกลงกันได้ หรือสุดท้ายถ้าทรัมป์แพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า สงครามการค้าก็คงยุติได้จริงๆ โลกก็จะได้กลับมาสงบสุขคาดเดาได้ดังเดิมเสียที
แต่ข้อเท็จจริงก็คือ โลกจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมหรอกครับ เพราะเมื่อทรัมป์ทำสงครามการค้าแบบนี้ได้ จีนจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ผู้นำสหรัฐฯ คนอื่นจะไม่ทำเช่นกัน วันหนึ่งอาจจะกลับมาเล่นลูกบ้าแบบทรัมป์เมื่อไรใครจะรู้
เพราะฉะนั้นในมุมของจีน ยุทธศาสตร์ระยะยาวจึงต้องพยายามปรับห่วงโซ่อุปทานสินค้าของตนใหม่ให้แยกออกจากสหรัฐฯ โดยต้องกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตและหาตลาดใหม่เพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน ในมุมของสหรัฐฯ เอง ภัยคุกคามจากจีนก็ทำให้ยุทธศาสตร์ระยะยาวของสหรัฐฯ ต้องการแยกห่วงโซ่การผลิตสินค้าของตนออกจากจีนเช่นเดียวกัน เพราะสหรัฐฯ มองว่าการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนเชื่อมโยงกันมากอย่างในอดีต ทำให้สหรัฐฯ สูญเสียอำนาจการต่อรอง ดังนั้น สหรัฐฯ จึงต้องการบีบให้บริษัทสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน และเริ่มหาตลาดใหม่ที่ไม่ใช่จีน
ผลที่ออกมาก็คือ เรากำลังสิ้นสุดยุคโลกาภิวัฒน์ที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว มาสู่ยุคที่ห่วงโซ่อุปทานโลกจะแตกเป็นสองห่วงโซ่ที่แยกจากกัน
ห่วงโซ่หนึ่งเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมกับจีน ซึ่งจีนน่าจะเน้นแกนของห่วงโซ่ที่ภูมิภาคเอเชียและในจีนเป็นหลัก ทั้งในเรื่องฐานการผลิตและฐานผู้บริโภค โดยสำหรับฐานผู้บริโภคนั้น อย่าลืมนะครับว่าในจีนกำลังมีคนยากจนที่กำลังขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางอีก 600 ล้านคน (2 เท่าของประชากรสหรัฐฯ) และในภูมิภาคอาเซียนเองก็มีคนยากจนที่กำลังขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางอีกอย่างน้อย 300 ล้านคน (พอๆ กับประชากรสหรัฐฯ)
ส่วนอีกห่วงโซ่หนึ่งจะเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมกับสหรัฐฯ ซึ่งด้านหนึ่งก็จะแยกตัวออกจากจีน แต่อีกด้านก็ต้องหันมาอาศัยฐานการผลิตใหม่ในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย และหาฐานผู้บริโภคใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากจีน เป้าหมายสำคัญจึงน่าจะเป็นฐานการผลิตและตลาดในภูมิภาคอาเซียนเช่นเดียวกัน
เมื่อมองภาพกว้างเช่นนี้ การปรับห่วงโซ่การผลิตใหม่ของโลกทั้งสองห่วงโซ่ จึงเป็นโอกาสมหาศาลให้กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน แต่ใครจะตักตวงประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด อยู่ที่เข้าใจภาพห่วงโซ่อุปทานรายสินค้าและรายอุตสาหกรรมที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปได้ดีเพียงใดมากกว่า
ดังนั้น โจทย์สำคัญของแต่ละประเทศก็คือ ต้องมีการศึกษาข้อมูลการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของห่วงโซ่อุปทานของสินค้าต่างๆ ในยุคเขย่าโลกที่กำลังเป็นอยู่ และต้องวางกลยุทธ์เพื่อผลักให้ธุรกิจและสินค้าของประเทศตนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานทั้งสองห่วงโซ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาใหม่ครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ใน Twitter Nessa วาดผิวสว่างขึ้นมานิดหน่อยโดนรุมถล่มบอกเป็น White washing
แต่งือกน้อยผิวสีผมดำๆบอก Dream come true... 🧜🏽♀️🌊 รุมกดชื่นชอบกันเป็นแสน
OK คร่ะ 👌
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แต่ตอนปัจจุบันนี้คืออดีตสำหรับอนาคตของคุณนะครับ ทำตอนนี้ให้ดี เพื่ออนาคตเราจะได้ไม่อยากกลับมาแก้ไขเหมือนที่เราอยากกลับไปแก้ไขอดีตอีก สู้ๆครับ อดีตเรากลับไปแก้ไม่ได้แล้ว แต่ปัจจุบันเรายังแก้ไขได้อยู่นะครับ สู้ๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไอ้ เควนทิน เบ็ค (Mystertio) ที่ทำตัวเป็นคนดีตอนแรกๆ แม่งจริงๆแล้วเป็นตัวโกง อดีตลูกน้องโทนี่
ตอนมันตาย แม่งยังเฉลยออกทีวี อีกว่า สไปเดอร์แมน คือ Peter Parker โคตรเหี้ย
แถมนิค ฟิวรี่ ในเรื่อง ดันเป็น ทาลอส (สครัล ในเรื่องกัปตันมาร์เวล) ปลอมตัวมา ไม่ใช่นิคจริงๆ อึ้งสัสๆ โคตรเนียน
เพื่อนๆโม่งต้องไปดู Spiderman Far From Home ให้ได้นะครับ
#คนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิตเพราะอะไร
ผลงานวิจัยฯ ของรัสเซีย อ้างว่าเหตุผลการเสียชีวิตมิได้เกิดจากมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่าของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทราบว่ามีเซลล์มะเร็ง ให้รีบปฏิบัติ
๑.ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณจำนวนมาก เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ
๒. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ ๓ เดือน เซลล์มะเร็งจะแพ้ การปฏิบัติดังกล่าวดีกว่าการรักษาด้วยคีโม
๓.ขั้นตอนที่ ๓ คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าว อินทรีย์ ๓ ช้อนโต๊ะ เช้าและกลางคืน เซลล์มะเร็งจะค่อยๆ หายไป ท่านสามารถเลือก ๑ ใน ๒ วิธีนี้ หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ที่ผ่านมา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความผิด ข้อมูลนี้เผยแพร่มานานกว่า ๕ ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่ที่สำคัญที่สุด มันยังช้ากว่าการที่คุณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับทุกคนรอบตัวคุณเพื่อได้รู้เห็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมอสโก รัสเซีย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลนี้ กรุณาส่งต่อบทความนี้ให้กับคน ที่ท่านรักอีก ๑ คน ผมเชื่อว่าแน่นอน! อย่างน้อย ๑ ชีวิต จะได้รับประโยชน์ และจะบันทึกไว้ ส่วน
ผมได้ทำในส่วนของผมแล้ว หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเผยแพร่ โดยการทำส่วนของคุณ กล่าวคือ
๑. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่าผสมน้ำตาล น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ
๒. หั่นเป็นแว่น ๕ ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้วทิ้งไว้ ๒๐- ๓๐ นาที แล้วค่อยดื่ม
๓.มันสำปะหลัง นำไปต้ม แต่ต้องต้มด้วย เปิดฝาหม้อวิตามิน B 17 อยู่ในมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้
บ่อยครั้ง การกินมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ - มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้หญิง
อย่าดื่มชาในช่วงมีรอบเดือน และ
การดื่มน้ำถั่วเหลือง นั้น ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในน้ำถั่วเหลือง ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเปล่า ๑ แก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว
ไม่กินอาหารในช่วง ๓ ชั่วโมง ก่อนนอน
หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ อย่ากินขนมปัง ในขณะที่ร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง
ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ในขณะที่คุณหลับ ดื่มน้ำเปล่าวันละ ๑๐ แก้ว ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ให้ดื่มน้ำต่อเนื่องระหว่างวัน ลดช่วงกลางคืน และ
อย่าดื่มกาแฟ มากกว่า ๒ แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และมีปัญหาต่อกระเพาะอาหารได้
กินอาหารที่เลี่ยนได้เล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะต้องใช้เวลา ๕-๗ ชั่วโมงในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย
หลัง ๑๗.๐๐ น.กินอาหารให้น้อยลง ประการสำคัญอาหาร ๖ ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข ได้แก่ กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, ลูกพีช อนึ่ง การนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ พยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้เราอ่อนกว่าวัย อย่าลืม น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาล สามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น
น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง
แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน ๕ ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน anti-oxsidan
รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง
น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้
การทดสอบทางคลินิก พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาวร้อน จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่ดี กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถึงแม้ คุณจะยุ่งแค่ไหน เมื่ออ่านข้อความนี้ของผมแล้ว ช่วยถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยครับ❤
การแบ่งปัน ถือเป็นวิทยาทาน ด้วยความปรารถนาดี ผศ.ดร.ศ.สำเร็จผล
คนจีนไม่น่าจะเสียเวลาตามหายาอายุวัฒนะเลย
แวะไปญี่ปุ่นก็เหมารามูเนะมาสักลังก็รักษาได้ทุกโรคแล้ว
ชุดกาสะลอง สัญญะอันตราย คำเตือนจากอนาคตใหม่
.
หลายท่านได้รีเควสท์ให้ผู้เขียนได้ออกมาอธิบายเจาะประเด็นลึกและสัญญะทางการเมืองของ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่หลาย ๆ คนผ่านเครื่องแต่งกายเข้าสภาเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา
.
ผู้เขียนได้นั่งอ่านและพิจารณาดูแล้วว่าไม่อาจที่จะละเลยสัญญะเหล่านี้ออกไปได้ เพียงแต่ไม่สามารถสื่อออกไปได้อย่างเต็มปาก ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจในสิ่งที่สื่อ แต่มันหมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่ร้ายแรง เป็นแรงกระเพื่อมเงียบ เป็นคลื่นใต้น้ำ
.
ประการที่ 1 ชุดที่โฆษกพรรคนำมาแสดงในวันนั้นก็คือชุดกาสะลอง
กาสะลองเป็นชื่อดอกไม้ของชาวเหนือที่ชาวภาคกลางรู้จักกันในชื่อ ดอกปีบ หากพิจารณาให้ดีมันคือลวดลายของชุดที่ถูกสวมอยู่นั่นเอง
โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ยังได้โพสต์ข้อความผ่านทวีตเตอร์ ระบุว่า "เพราะความเป็นไทยไม่ได้มีแค่แบบเดียว #อนาคตใหม่ อยากทำให้สภาเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เราจะพยายามแต่งกายด้วยชุดที่หลากหลาย นำผ้าจากแต่ละภูมิภาคเข้ามาสู่สภา และยังเป็นการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่น"
.
จากสัญญะในประการที่ 1 จะเห็นได้ว่า ชุดกาสะลองนั้นหมายถึงชาวเหนือ เมื่อเอ่ยถึงชาวเหนือ เรานึกถึงชาวล้านนาเป็นอันดับแรก และเมื่อนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลีกเลี่ยง "ชาวเชียงใหม่" ได้พ้น
ไม่แน่การสื่อสัญญะนี้อาจหมายถึงการถูกบงการจากคนเชียงใหม่ ใครสักคน หรือฐานอำนาจจากเชียงใหม่ในการแข็งข้อกับกรุงเทพมหานคร เป็นนัยยะแฝงเหมือนที่ครั้งหนึ่งล้านนาเคยแข็งข้อกับราชธานี
.
ประการที่ 2 จากถ้อยคำ
"เพราะความเป็นไทยไม่ได้มีแค่แบบเดียว #อนาคตใหม่ อยากทำให้สภาเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เราจะพยายามแต่งกายด้วยชุดที่หลากหลาย นำผ้าจากแต่ละภูมิภาคเข้ามาสู่สภา และยังเป็นการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่น"
นั้นยังสามารถบอกได้อีกว่า เป็นการพยายามล้มล้างสิ่งที่จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม และ จอมพล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สร้างเอาไว้ มรดกของชาวไทยทุกคน นั่นก็คือวัฒนธรรมสยามภิวัฒน์ เป็นการพยายามแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นเสี่ยงๆ จากที่สองจอมพลเคยรวบรวมเป็นปึกแผ่นไว้ในอดีต
ในอนาคตคนไทยจะพูดภาษาถิ่นกันมากขึ้น ใช้สินค้าจากท้องถิ่นมากขึ้น เป็นการลดทอนอำนาจเมืองหลวง ซึ่งก็รู้กันว่ามันหมายถึงการลดทอนอำนาจผู้ใด
.
ประการที่ 3 ชุดสัญญะที่เหยียบย่ำจิตใจคนไทยทั้งประเทศ
จากชุดที่สวมใส่อยู่ในวันนั้นเรารู้กับจากข้อมูลในประการที่ 1 ไปแล้วว่ามันเป็นชุดของชาวเหนือ
เมื่อพูดถึงชาวเหนือเราจึงนึกถึงเอกลักษณ์ในคำว่า "เจ้า"
การใส่ชุดชาวเหนือ หากให้สัมภาาณ์สื่ออาจได้เผยความในใจว่า
"เป็นชุดชาวเหนือเจ้า"
ย้ำ "ชาวเหนือเจ้า"
นั่นหมายถึงสิ่งใดเราทุกคนย่อมรู้เห็นตรงกัน
โดยเฉพาะเมื่อวันก่อนที่ไปทานอาหารที่ร้านหรูราคาหลักแสน
พวกเขาทาน "ข้าวเจ้า" กันทั้งหมด
นั่นหมายถึงการตีตนเสมอเจ้าใช่หรือไม่ผู้เขียนไม่กล้าเอ่ยถึง มันเป็นการเหยียบย่ำจิตใจคนไทยจนเกินไป
โดยเฉพาะเมื่อเหลือบไปเห็นขวดไวน์จากฝรั่งเศส ประเทศที่ตัดหัวกษัตริย์ของตัวเอง ผู้เขียนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
การถอดสัญญะทางการเมืองครั้งนี้ ผู้เขียนเจ็บปวดเหลือเกิน
//สะพานพุทธ
ครึ่งปี 2019 ได้เรียนรู้อะไรบ้าง จาก ประสบการณ์ผมเอง
- ถ้าเป็นผู้ประกอบการ ต่อให้รายได้เยอะแค่ไหน มันไม่ได้หมายความว่ามันมั่นคง รวย เพราะรายได้เยอะมันมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ
- เงินมัน "อยู่กับ" ผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น
- ทำธุรกิจ 1 อย่าง กับ ทำธุรกิจ 10 อย่างที่เกี่ยวข้องกัน ใช้สมองเท่าเดิมและน้อยกว่า (เข้าใจเลยคนที่มีธุรกิจเยอะ ยิ่งมีเวลาว่าง)
- ไม่มีอะไรดีกว่าการให้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน เพราะสิ่งที่เราให้ เดี่ยวมันค่อยเปลี่ยนเป็นเงินในอนาคตเอง
- การให้ในสิ่งที่เราไม่หวังผลอะไรเลย จะทำให้เรามีความสุขมากที่สุด ในวันที่เราต้องการกำลังใจมากที่สุด เราจะนึกถึงมัน
- โรเบิร์ตบอก บ้านคือ หนี้สิน มันคือความจริง การเช่าก็เป็นตัวเลือกที่ดีในยุคนี้และเลือกถือเงินสด
- โลกมันเหวี่ยงคนที่ใช่เข้ามาในชีวิตเราเสมอ ขอเพียงเราบอกโลกนี้ และจะเหวี่ยงคนที่ไม่ใช่ ออกจากชีวิตเสมอ จากการบอกเช่นกัน
- โลกนี้มันโหดร้ายกับคนที่มองโลกในระยะสั้น และไม่คิดทำอะไรในระยะยาว
- ตอนเริ่มต้น ทุกคนมีทางเลือก คุณเลือกที่จะสบายจะปลอดภัย นั่นก็ไม่ผิด คุณเลือกที่จะอดทน มานะ มันก็ไม่ผิด เพราะคุณเลือกที่จะปิดและเปิดทางเลือกของคุณแล้วในอนาคต(CEO ศรีจันทร์)
- ชีวิตมันไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยาก เรียนรู้ในทุกวันนั่นคือวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วในการใช้ชีวิต
- ผมเคยจินตนาการว่า CEO นั้นจะต้องยุ่งตลอดเวลา จริงๆ คือเมื่อถึงจุดหนึ่งเค้าสามารถว่างเพื่อที่จะคุยกับคนอื่นๆได้นะ (มันคืองานของเค้าเลยหละ)
- การทำหน้าที่ งานของเราปัจจุบัน และเรียนรู้สิ่งใหม่ ให้ดี มันคือการสร้างอัตราทดที่ดีที่สุดในการวิ่งสู่อิสรภาพทางการเงินที่ดีที่สุดแล้ว
- อ่านหนังสือเยอะๆตั้งแต่วันนี้ มันให้อะไรกับผมเยอะมาก
- อิสรภาพทางการเงิน มีอยู่จริง และผมเลือกที่จะพังมันด้วยมือผมไปเรียบร้อยแล้ว
New 7/7/2019
Pavin Chachavalpongpun อาจารย์คะมีเพื่อนสนิทที่ปารีสจะทำเรื่องเปิดเอกสารฝ่ายไทยขายที่ดินให้ฝรั่งเศสยุคทวิภพค่ะ น่าจะช่วงตุลาคมปีนี้ เป็นเอกสารที่ยันว่าไทยไม่ได้เสียดินแดนให้ฝรั่งเศส แต่พี่ไทยขายให้เลยจ้าาาา ถ้ามีโอกาสอยากเชิญอาจารย์ไปดูด้วยกัน. ทางนุ้นบอกว่ายังไม่มีคนไทยเคยได้ดูค่ะ อยากชวนอาจารย์ Somsak Jeamteerasakul จะได้มีผู้เชี่ยวชาญฝั่งไทยออกมาบอกความจริงให้คนไทยได้รู้ค่ะ
“เสนอให้ Disney ทำพระอภัญมณีเป็น Live Actionครับ แล้วทำให้เป็น PC Version ด้วย เมีย 5 คน 5 สัญชาติ
1. นางผี้เสื้อสมุทร ให้ Cast คนขาวผมทองครับ ถึงเวลาละครับที่คนขาวจะต้องได้บทเหี้ยๆ บ้าง
2. นางเงือก ให้ Cast คนดำครับ นางเงือกยุคนี้ต้องเป็นคนดำ หรือไม่ก็พวกลาติโน่
3. นางสุวรรณมาลี ให้ Cast คนจีนครับ ให้มีบุคคลิกแบบพวกเจ๊กบ้านรวย
4. นางวาลี ให้ Cast แขกอินเดี้ยนครับ ให้มีบุคลิกแบบพวกแขกขายของเก่งๆ ครับ
5. นางละเวง ให้ Cast คนขาวยุโรปตะวันออก เพราะผู้หญิงโซนนี้ แม่งน่ากลัวที่สุดในโลกละครับ
ส่วนพระอภัยมณี แม่งต้องพวกลูกครึ่งเล่นครับ พวกสัญชาติผสม ซึ่งคนที่ควรจะรับบทนี้ในโลกนี้แม่งไม่มีใครนอกจาก Keanu Reeves”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่งพี่เต้ประสบอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม เขาตื่นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้เลยแต่เห็นตัวเองในทีวีโดนรุมด่าจนทำให้เขารู้สึกผิด พี่เต้จึงตัดสินใจเก็บเรื่องที่ตัวเองความจำเสื่อมใว้เป็นความลับและไม่บอกใคร และใช้สถานะนักการเมืองของตัวเองพยายามทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ขึ้น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเล่นโป๊กเกอร์ช่วยให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น
- Bad Beat สอนเราให้เข้าใจว่า แม้คุณจะตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ
- Bluff สอนให้เราเข้าใจว่า สิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงออก มักไม่ตรงกับสิ่งที่เค้าคิดจริงๆ
- Fold สอนให้เราเข้าใจว่า บางครั้ง การดื้อดึงฝืนทั้งที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยอาจจะทำให้เสียหายหนักกว่าการยอมแพ้แล้วเริ่มใหม่ ตราบใดที่หน้าตักยังเหลือ เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
- All-in สอนให้เราเข้าใจว่า การต่อสู้แบบทุบหม้อข้าวใส่ทั้งชีวิต บางครั้งก็ให้ผลคุ้มค่า แต่ต้องเลือกจังหวะทุ่มด้วยสมอง ไม่ใช่ด้วยอารมณ์
- ความอดทนให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าเสมอ การใช้อารมณ์มีแต่จะทำให้ทุกอย่างพังเร็วไปกว่าเดิม
- วางแผนการระยะยาว มองให้ไกลถึง River อย่าเอาแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน คุณจะรับมือมันไม่ไหว คิดเผื่อ Plan B,C,D เอาไว้เสมอ
- การประเมินคู่ต่อสู้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าอยากได้ประสบการณ์ ขึ้นชั้นไปสู้กับคนเก่งๆ แน่นอนคุณต้องจ่ายค่าเทอมแพง เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าผ่านไปได้ คุณจะทำเงินได้ในอีกระดับ
- แต่ถ้าอยากแค่ได้เงิน ลงสู้กับคนที่อ่อนกว่า แต่คุณจะทำเงินได้แค่ระดับนั้นแหละไม่ก้าวไปไหน และก็จะไม่ได้เก่งอะไรขึ้นมาเลย ต้องเลือกเอาว่าจะไปทางไหน เงิน หรือประสบการณ์ (เหมือนชีวิตการทำงานนั่นแหละ)
จงมีความสุข หากคุณเล่นได้ดี แม้ว่าผลจะออกมาไม่สวยดังหวัง
พยายามต่อไป ด้วยกฏ law of large number คุณจะชนะเกมส์ไม่ว่าจะบนโต๊ะโป๊กเกอร์หรือในชีวิตจริงในที่สุด
พักนี้เหมือนว่าจะมีความพยายามผลักประเด็น ทาทา ปั่นจั่น ไปเป็นเรื่องสิทธิ์ในการวิจารณ์การเมืองของดารา
ผมชวนคิดแบบนี้
อย่างแรกในเรื่องสิทธิ์
ลองคิดกลับกันว่าคนทั่วไปมีสิทธิ์วิจารณ์ดารากันขนาดไหน
แน่นอนเราวิจารณ์ได้ว่า "แสดงไม่ดี" "ร้องเพลงห่วย" "หนังบทไม่ได้เรื่อง" เพราะมันเป็นส่วนของงาน
ดาราอยากให้คนพูดถึงตัวเองว่า "ฉันจะไปดักตบอีXX" "อีตุ๊ด" "อีกระxรี่" หรือเปล่า?
ถ้าพวกคุณโดนแบบนี้ ก็คงรู้สึกว่า มันไม่ใช่การวิจารณ์ติชมแล้วเหมือนกันแหละ
อย่างที่สอง ในเรื่องความเป็นจริงทางธุรกิจ
สมมุติคุณเปิดร้านเหล้า มีนักศึกษามาเป็นลูกค้า แล้วมานั่งบ่นกันทุกวันว่า "อาจารย์แม่งแย่ว่ะให้ F กู"
คุณจะเดินไปพูดกับลูกค้าว่า "พี่ว่าไม่ใช่ความผิดอาจารย์หรอก เป็นเพราะน้องใช้ชิวิตแบบนี้ เอาแต่กินเหล้าทุกวันนี้แหละ น้องเลิกกินเหล้าแล้วไปอ่านหนังสือเถอะ" หรือเปล่า?
ผมว่านักศึกษาได้ยินคงบอกว่า "ครับพี่ ผมเชื่อพี่ จะไม่มีร้านพี่อีกแล้ว เอาเวลาไปอ่านหนังสือดีกว่า"
ลองคิดถึงร้านอาหารแถวบ้าน ระหว่างร้านที่พนักงานพูดจาดีบริการดี กับร้านที่พนักงานปากเสีย ด่าลูกค้า คิดว่าคนอยากจะไปที่ไหน
ใครจะไปยืนด่าลูกค้าตัวเองหน้าร้าน
ขนาดแท็กซี่นั่งคุยเรื่องการเมือง เรายังไม่ค่อยอยากขึ้นเลย
ตรงส่วนนี้แน่นอนว่า ถึงมันจะอยู่ในขอบเขตของการวิจารณ์ และทุกคนมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
แต่ความเป็นจริง สิทธิ์ในการควักเงินออกมาจากกระเป๋า เพื่อซื้อสินค้า และบริการของเราเป็นของลูกค้า
ถ้าคุณขายประกัน ลูกค้าให้เข้าบ้าน เดินเข้าไปแขวนนกหวีด มีรูปไปม็อบกู้ชาติ คุณจะบอกว่า "ประกันผมไม่ขายให้สลิ่ มหรอก" แล้วเดินออกจากบ้านป่ะ
ความเห็นส่วนตัว กับความเป็นโปรทางอาชีพเลยแยกจากกัน ต่อให้ประเทศเสรีจัดๆอย่างสหรัฐเอง ก็คงไม่อยากให้พนักงานที่ส่งผลต่อแบรนด์ทวีตอะไรที่จะมีผลทำให้เสียลูกค้าเท่าไหร่
ความยากของการเป็นดารามันอยู่ตรงนี้แหละ เพราะดาราเป็นอาชีพขายความนิยม ยกเว้นจะขายเฉพาะกลุ่มแฟนคลับที่โอเคกับเรื่องพวกนี้ หรือชินไปแล้วอย่างพี่เสก จะด่าใครก็ไม่มีใครว่า
ส่วนใหญ่ถ้ามีการห้ามแสดงความเห็นทางการเมือง ผมคิดว่าก็คงออกมาจากค่าย เพื่อปกป้องผลรายได้ของดาราเองนั่นแหละ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พยายามหาความเชื่อมโยงระหว่างว่าที่ รมต. แต่ละคน กับกระทรวงที่ได้...
- เคยด่าลูกน้องเป็นควาย มีกิตติศัพท์ว่าชอบดูถูกคน ได้เป็น รมว. แรงงาน
- เคยนำม๊อบบุก กสท. ตัดไฟ ตัดเน็ต ได้เป็น รมว. ดิจิทัล
- เคยถูกศาลต่างประเทศจำคุกข้อหาค้ายาเสพติด ได้เป็น รมช. เกษตร
- เคยพัวพันคดีแบงก์รัฐปล่อยกู้โดยมิชอบ ได้เป็น รมว. คลัง
- เคยประกาศ “รธน. 2560 ดีไซน์มาเพื่อเรา” ได้เป็น รมว. ยุติธรรม
....... 55555
พรรคสนุ้กเกอร์ไทยเราจะไม่มี ส.ส. ตลาดล่างแน่นอน เพราะเราจะเน้น ส.ส. ใต้ถุนสังคมเลยอ่ะครับ
นอกจากนี้พรรคสนุ้กเกอร์ไทยเราจะไม่เน้น ส.ส. ที่มีความหลากหลายทางเพศอัลไล แต่เราจะส่ง ส.ส. คนแรกที่ผ่าหัวเบ้นซ์เข้าสภาให้ได้อ่ะครับ ส่วนฝังมุขนี่เขาว่าจ่าประสิทธิ์ก็อาจจะมีเม็ดสองเม็ดตอนแกเป้น ส.ส. อ่ะครับ เขาว่ากันมา
#คนไทยต้องมีสิทธิในการโมดิฟายตนเอง
ในบรรดา "การเหยียด" ทั้งหมด ฉันว่าการเหยียดคนอื่นเรื่อง "ความแก่" เนี่ย เป็นการเหยียดที่ประหลาดที่สุด เพราะ..
เหยียดเรื่องรูปร่างหน้าตา คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองให้รูปร่างหน้าตาดีกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
เหยียดเรื่องฐานะ คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองให้รวยกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
เหยียดเรื่องความรู้ความสามารถ คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองเก่งกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
เหยียดเรื่องสีผิว คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองให้ขาวกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
แต่ไอ้การเหยียดเรื่อง "ความแก่" เนี่ย คนเหยียดมันสามารถที่จะทำให้ตัวเอง "ไม่มีวันแก่" เหมือนคนที่ถูกเหยียดได้เหรอวะ? ยังไงๆคนเหยียดมันก็ต้องแก่เหมือนคนที่ถูกเหยียด แล้วจะเหยียดเรื่องแก่ทำไมวะ
พวกคนที่เศร้าน้ำตาจะไหลกับเรื่องสาวท้องคลอดระหว่างติดคุก นี่ก็พวกเดียวกับที่บอกข่มขืน=ประหาร ด่าNGOเวลาพูดถึงสิทธิ์นักโทษนั่นล่ะครับ
ตลกดี
เออ จริงๆเรื่อง #ประชุมรัฐสภา นอกจากสส สว ที่ควรโฟกัสแล้ว สื่อบ้านเราเองแม่งก็โตตรน่าโฟกัสเหมือนกันว่ามึงตัดไฮไลท์อะไรมานำเสนอปชชวะ? อย่างรอบที่แล้ว เรางงว่าเถียงกันแค่เรื่องชุดเข้าสภาเหรอ? ในขณะที่ความเป็นจริงแม่งแค่ประมาณ 10% ของญัตติทั้งหมดอ่ะ คือดูแค่ข่าวที่นำเสนอไม่ได้จริงๆ
ในจักรวาลคู่ขนานแห่งหนึ่ง
มีลุงขับรถเมล์คนหนึ่งบอกว่าสามารถคำนวนหาเส้นทางที่สั้นที่สุดในการไปส่งผู้โดยสารบนรถจำนวน N คน ถึงหน้าประตูบ้านทุกคนได้ ไม่ว่าแต่ละคนจะอยู่ไหนก็ตาม ได้ใน Linear Complexity (O(cN)) .... คนขึ้นรถครบ ไม่นานก็คำนวนได้แล้วว่าเส้นทางที่สั้นที่สุด (ย้ำว่า "สั้นที่สุด" นะ คือ absolutely shortest ไม่ใช่ reasonably short หรือ acceptably short) คือทางไหน
นักวิชาการออกมาบอกว่า เป็นไปไม่ได้ ..... เพราะนั่นมันคือ TSP ซึ่งเป็น NP Problem (NP-Hard) ......
คนออกมาด่านักวิชาการ ว่านักวิชาการดูถูกลุง ว่านักวิชาการเป็นไดโนเสาร์ เอาแต่อคติมาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ พวกที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้นี่เต่าล้านปี อิจฉา อยู่แต่ในตำราที่ล้าสมัยเขียนมาตั้งแต่ปีไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้โลกมันหมุนไปถึงไหนแล้ว แทนที่จะยอมรับและนำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ นักวิชาการแบบนี้แหละเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ เชื่อสิอีกไม่นานประเทศอื่นก็จะเอาผลงานลุงไปสร้างประโยชน์ ฯลฯ .... ดูแล้วมันก็แค่ปัญหาที่น่าจะแก้ได้สิ common sense ออก ..... นี่แหละนักวิชาการอยู่แต่ในตำราไม่เคยทำงานจริง แต่ลุงทำงานขับรถเมล์มานานมีประสบการณ์เยอะแยะ ฯลฯ .... นี่แหละประเทศไม่เจริญเพราะคนไม่ช่วยกัน ฯลฯ
บางคนก็ลากไปถึงว่า สต๊อป จีฟ, กิล เบต, ซัค มาร์คเกอร์เบิร์ก ก็สร้างนวัตกรรมได้เยอะแยะมากมาย ไม่เห็นต้องจบมหาลัย แล้วทีนักวิชาการที่สอนในมหาลัยไม่เห็นสร้างได้เลย .... นี่ไงล่ะตัวอย่าง ... ไตล์สไอร์ ยังเคยเป็นแค่เสมียรเลย แต่เขามีจินตนาการ .... แล้วทำไมลุงจะทำไม่ได้
ในจักรวาลคู่ขนานแห่งหนึ่ง ... ที่โลกแบน
ย้อนกลับไปในเดือนที่แล้ว ทีม HR ของวงใน wongnai.com เว็บรีวิวอาหารชื่อดัง ติดต่อวิเคราะห์บอลจริงจังมาครับ
เขาบอกว่า ทุกๆเดือน ในวันศุกร์ที่ 2 และ 4 บริษัทจะมีกิจกรรมชื่อ WeShare คือการเชิญเอา คนมีชื่อเสียงจากวงการต่างๆ มาถ่ายทอดประสบการณ์ให้เด็กๆในองค์กรได้ฟัง
สำหรับผม แน่นอนว่าเป็นเกียรตินะครับ ที่เขาไว้ใจ และเชิญเรา แต่ผมไปนั่งไล่ดูประวัติเก่าๆ ว่า วงใน เชิญใครไปแล้วบ้าง ปรากฏว่า มีแต่บุคคลแบบโคตรดังทั้งนั้น เช่น วู้ดดี้ เกิดมาคุย , ต่อ ฟีโนมีน่า นักทำโฆษณาระดับโลก , เก้ง จิระ มะลิกุล ผู้กำกับตัวท็อป ฯลฯ
ผมเลยถามทีมงาน HR กลับไปว่า อย่างผม จะสร้างประโยชน์ให้กับทีม สตาฟฟ์ของวงในได้จริงๆหรอ ผมเป็นคนธรรมดามากๆเลยนะ เพจยังไม่ถึง 2 แสนไลค์เลยนะครับ
แต่เมื่อ HR ของเขายืนยันหนักแน่น ผมก็โอเค ตอบรับไปครับ
ปัญหาคือ ผมจะพูดอะไรนี่สิ ในเมื่อผมไม่ใช่เซเล็บที่จะมีเรื่องราวโลดโผนน่าสนใจอะไรขนาดนั้น
อย่างพี่เก้ง จิระ นี่เล่าจุดเริ่มต้นว่าทำไมคิดไอเดียสร้างหนัง แอม ไฟน์ แต้งกิ้ว ด้วยการไปดักฟังคนแอบคุยกันในร้านกาแฟ คือมีสตอรี่ มีความโลดโผน ซึ่งคือชีวิตผมไม่มีอะไรอย่างนั้นเลยอ๊ะ เรียบง่ายมากๆ
ผมเลยทำการบ้านอย่างหนักเลยครับ ไปค้นข้อมูลของวงในมาก่อน ว่าเป็นองค์กรอย่างไร และพูดเรื่องไหน จะมีประโยชน์กับเขามากที่สุด
จากนั้น ก็ลำดับ Sequence เรื่อง เหมือนเขียนวิเคราะห์บอลเลย ว่าจะพูดอะไร 1 2 3 แถมมีการซ้อมพูดในรถด้วยนะ ก่อนมาพูดจริง คือมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง ขนาดไปแข่งวินนิ่งชิงแชมป์โลกที่ลอนดอน ยังไม่เตรียมพร้อมขนาดนี้เลยนะเนี่ยะ
ในห้องประชุม มีคนฟังประมาณ 60-70 คนครับ ผมก็ถ่ายทอดในสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมด ทริกการเขียน และทริกการทำให้คอนเทนต์มียอดไลค์ที่ดี
ซึ่งหวังเพียงว่า จะเป็นประโยชน์กับเขาบ้างเล็กน้อยก็ยังดี
ตอนจบของการบรรยาย ผมทิ้งท้ายไป 2 เรื่องครับ
1) ผมบอกน้องๆของวงในว่า ช่วงอายุไม่ถึง 30 เนี่ยะ อย่าเพิ่งคิดมาก หากยังไม่เห็นแววว่าจะประสบความสำเร็จ
ผมเอาตัวเองเป็นเกณฑ์นะ ว่าตั้งแต่เรียนจบ จนถึง 30 เนี่ยะ ผมล่องลอยมาก
ออกสตาร์ตงานแรกได้เงินเดือน 8 พัน พออายุเกือบ 30 ได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาท นึกไม่ออกเลยว่า จะเก็บเงินแต่งงาน หรือสร้างหลักฐานในชีวิตได้ยังไง
แต่พอ 30 ไปแล้ว เมื่อเราพร้อมทั้งวัยวุฒิ และประสบการณ์ โอกาสจะเข้ามาหาเราเร็วมาก ซึ่งถ้าเราเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เราจะคว้าโอกาสไว้ในมือได้แน่ๆ
ดังนั้นช่วงการทำงาน 7-8 ปีแรก ถ้ายังมองไม่ออกว่าชีวิตจะยังไงต่อ ก็อย่าเพิ่งซีเรียสไป ชีวิตมันมีจังหวะของมันเสมอ
และ 2) การทำงานกับองค์กร เราสามารถสร้างสรรค์งานของตัวเองควบคู่ไปได้
ตลอดชีวิตแอดมิน ทำงานกับองค์กรมาตลอดครับ จากคิกออฟ สู่นิตยสาร Mars สู่สยามกีฬา และมา Workpoint ในปัจจุบัน
แน่นอน ผมก็ทำเพจไปด้วย ควบคู่ไปกับการ ทำงานประจำนี่แหละ
การทำงานกับองค์กร คือเป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ร่วมงานกับคนเก่งครับ การได้ร่วมงานกับคนอื่น ส่งผลให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เวลาเอามาประยุกต์กับงานตัวเอง
ดังนั้น ต่อให้วันนี้มีสังกัดอยู่ในองค์กร ก็ไม่ใช่ว่า เราจะสร้างอะไรของเราเองขึ้นมาไม่ได้ เพราะมันทำไปพร้อมๆกันได้เสมอ แค่จัดสรรเวลาให้ดี
สำหรับผมก่อนหน้านี้ เรารู้จัก วงในมาแล้วล่ะ เวลาจะดูรีวิวร้านอาหาร ก็ต้องใช้ App หรือ Web Wongnai ตลอด
แต่พอได้มาที่ออฟฟิศเขา รู้สึกได้ว่า เป็นศูนย์รวมของคนหนุ่มสาว ที่เต็มไปด้วยพลังจริงๆ
คุณยอด ซีอีโอของบริษัท (ใส่เสื้อลิเวอร์พูลในรูป) อายุ 36 ปีเองนะครับ สุดยอดเลย อายุมากกว่าแอดมิน 1 ปีเอง
คุณนิค มาร์เก็ตติ้งของบริษัท อายุ 34 ปี! (ถ้าเทียบกับมาร์เก็ตติ้งของหลายๆบริษัทอื่นนี่ต้อง 40 อัพ เน้นความเก๋า เน้นประสบการณ์ไว้ก่อน ก็ถือว่าเด็กนะ)
สตาฟฟ์ที่มาฟังบรรยาย ประเมินจากสายตาอายุส่วนใหญ่ไม่เกิน 27-28 กันหรอก
และ แต่ละคนเต็มไปด้วยแววตา ความมุ่งมั่นตั้งใจ ทุกคนฟัง คือฟังจริงๆ ไม่ว่อกแว่ก ไม่เล่นมือถือ
ยอดเยี่ยมมากๆเลยครับ แบบนี้คนพูดก็แฮปปี้นะ
สำหรับ Wongnai ตอนนี้ มีอายุครบ 9 ปี นอกจาก App และ เว็บหลักแล้ว อาณาจักรยังค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ใน Facebook มี Wongnai Beauty, Wongnai Travel, Wongnai Cooking และมี Wongnai Delivery สำหรับสั่งอาหาร
มีบริษัทลูกที่สร้างคอนเทนต์คุณภาพเชิงไอที อย่าง Blognone และ เชิงธุรกิจอย่าง Brand Inside
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ก้าวต่อไปของ Wongnai จะกระโดดไปไกลขนาดไหน
แต่แน่นอน ด้วยพลังของคนหนุ่มสาวในองค์กร ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงสตาฟฟ์ แอดมินเชื่อว่า พวกเขาจะสำเร็จยิ่งขึ้นกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้
ทหารได้รับเกียรติและเอกสิทธิ์เป็นผู้กุมอาวุธและกำลังรบของประเทศ เป็นที่เคารพเกรงขามในหมู่ชนทั่วไป ทหารจึงต้องปฏิบัติให้สมกับที่ตนได้รับ ความไว้วางใจ ไม่ควรไปทำหรือเกี่ยวข้องในกิจการที่มิใช่อยู่ในหน้าที่โดยเฉพาะของตน เช่น ไปเล่นการเมือง ดังนี้เป็นต้น การกระทำเช่นนั้นจะทำให้บุคคลเสื่อมความเชื่อถือในทหารโดยเข้าใจว่าเอา อิทธิพลไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ปิ ด ก ร ะ ทู้ ใ ห้
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร เ ม น ท ร ร า ม า ธิ บ ดี
ศ รี สิ น ท ร ม ห า ว ชิ ร า ล ง ก ร ณ
พ ร ะ ว ชิ ร เ ก ล้ า เ จ้ า อ ยู่ หั ว
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.