ในแง่ประวัติศาสตร์จากปี 2475 มาจนถึงปี 2562 กินเวลาไปราวๆ 87 ปี
ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายนิยมเจ้าจาก 2475 ถึง 2500 กินเวลาราวๆ 25 ปี ระยะนี้ฝ่ายนิยมเจ้าถูกทำลาย ถูกลดอำนาจ ถูกลดทอนคุณค่าทางการเมืองแบบที่คนรุ่นนี้นึกไม่ออก
ปี 2500 กองทัพเริ่มใช้สถาบันฯเป็นเครื่องมือต่อต้านคอมมิวนิสต์โดยคำแนะนำจากสหรัฐฯ สถาบันกษัตริย์ฟื้นฟูอำนาจตัวเองนับตั้งแต่วันนั้น โดยความช่วยเหลือของกองทัพและซีไอเอ (เรื่องนี้อ่านจาก วพ ของ ณัฐพล ใจจริง ได้เลย)
14 ตุลาฯ สถาบันฯมีบทบาทในการสร้างความนิยมมากขึ้นในหมู่หนุ่มสาว
6 ตุลาฯ หนุ่มสาวถูกทำลายอย่างรุนแรงโดยส่วนหนึ่งเกิดจากการปลุกระดมของคนรักเจ้า
ยุครัฐบาลเปรม เปรมใช้สถาบันฯเป็นเครื่องมือดำรงอำนาจของตัวเองชัดเจน และสถาบันเองก็ยินดีในแนวทางนี้ ไม่ขัดข้องอะไร สุดท้ายเปรมก็ได้มาเป็นประธานองคมนตรีหลังจากหมดวาระรัฐบาล
พฤษภา 35 สถาบันมีบทบาทอย่างสูงในการเข้ายุติความขัดแย้งบนถนน ได้รับความนิยมจากชนชั้นกลางมากมาย
ทักษิณ กลายเป็นศัตรูสำคัญของสถาบันฯ เพราะไทยรักไทยได้รับความนิยมจากประชาชนแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน และมาจากการเลือกตั้ง ทำให้เบียดกับความนิยมของสถาบันฯ
หนังสือพระราชอำนาจของประมวลและปฎิกิริยาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ ทำให้ตอกย้ำเรื่องบทบาทของสถาบันฯกษัตริย์ในทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชอำนาจของในหลวงรัชกาลที่ 9
จากนั้นการต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายขวาจารีตยึดโยงกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดโดยมีชนชั้นกลาง กทม ฝ่ายอุดมการณ์จารีตเป็นหัวหอกสำคัญในแง่มวลชน และมีพรรคการเมือง กองทัพ ข้าราชการ กลไกรัฐ เป็นแนวร่วมทางการเมืองมาจนถึงปี 2562
------------
จะเห็นว่า 87 ปีที่ผ่านมาสถาบันกษัตริย์เจอคู่ขัดแย้งมาตลอด บางยุคก็ตกต่ำอย่างมาก มีช่วงฟื้นตัว มีช่วงสะสมอำนาจทางการเมือง เจอความขัดแย้ง และก็มาเจอคู่ขัดแย้งใหม่ในสถานการณ์ใหม่
ระยะเวลาตรงนี้กินความยาวประมาณ 1 ชั่วอายุคน แค่ชั่วอายุคนเราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆของสถาบันกษัตริย์เยอะแยะมากมายให้ศึกษาค้นคว้า
การที่สถาบันฯอยู่มาถึงจุดนี้ได้นั่นเป็นเพราะการรู้จักปรับตัว มีความอดทน เข้าใจในสถานการณ์ของตนเอง ถอดบทเรียนการต่อสู้ทางการเมือง และหาทาง "ปกปักรักษาตนเอง" โดยใช้ปีกของรัฐและปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วยเหลือได้
เราจะเรียนรู้อะไรจากการคลี่คลายตัวทางประวัติศาสตร์พวกนี้ได้บ้าง ?