ผมเหนื่อยเกินกว่าจะเขียนอะไรยาวๆ ผมจะเขียนรวดเดียว เขียนจบแล้วจะไปนอน ไม่รู้ว่าจะออกมายังไง
ในความเหนื่อยนี้ ผมคิดถึงเอลียาห์
ผมเคยเล่าถึง ผู้เผยวัจนะเอลียาห์ ไปบ้างแล้ว
เมื่อเราอ่านพระคำภีร์ทั้งเล่ม เราจะพบเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่งคือเรื่องราวในพระคำภีร์ถูกร้อยเรียงไว้เป็นลักษะแบบบันไดวน
เมื่อเราอ่านจะเหมือนเดินอยู่ในหอคอยอันมืดมิด ซึ่งมีเพียงแสงสว่างจากยอดบนสุด
เรื่องเล่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่เหมือนกับบันไดวน เผชิญเรื่องเหมือนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉากของเอลียาห์ เกิดขึ้น 900 ปีก่อนคริสตกาล เอลียาห์เผชิญหน้ากับกษัตริย์ของอาณาจักรยูดา เพื่อประกาศว่าการปกครองของพระองค์นั้นเหลวแหลก พระองค์รับทำเนียมฆ่าเด็กบูชาบาอัล และประหารเหล่าผู้เผยวัจนะของพระเจ้าทั้งหมด
เอลียาห์ผู้เผยวัจนะคนสุดท้าย ท้าท้ายเหล่านักบวชของบาอัล และสำแดงปาฏิหาริย์เอาชนะได้
แต่กษัตริย์หาได้สนใจไม่ เพราะราชีนีของพระองค์เป็นหัวหน้านักบวชของบาอัล
เอลียาห์ได้แต่หลบหนีลี้ภัยหัวซุกหัวซุนในถิ่นกันดาร และร้องอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่า ภารกิจนี้ช่างเหนือกำลังของเขา
เอลียาห์ตำหนิตัวเองที่ภารกิจของเขาล้มเหลว เขาอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่าให้ทำลายชนชาติของเขาทิ้งเสียเถิด ช่วยให้เขาตายทีเถิด
แต่พระเจ้าไม่ได้อยู่ในลมพายุ ไม่ได้อยู่ในไฟ ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินไหว แต่กลับกระซิบกับเอลิยาห์อย่างอ่อนโยน และบอกให้เอลิยาห์ แต่งตั้งเอลีชาต่อจากเขา
ภารกิจของเอลียาห์ สำเร็จในยุคของเอลีชา เอลียาห์ไม่ได้เห็นงานของตัวเองสำเร็จ
เช่นเดียวกับงานของโมเสทสำเร็จในสมัยของโยซูวา
และงานของยอห์นผู้ให้บัพติสมาสำเร็จในสมัยของพระเยซู
(เอลีชา = พระเจ้าทรงช่วย โยซูวา = เยซู = พระยาเวห์ทรงช่วย ชื่อของทั้งสามมีความหมายเดียวกัน)
เรื่องราวทั้งสามลูปเป็นโครงเรื่องเดียวกัน คือเป็นผู้เผยวัจนะคนสุดท้ายในยุคที่ไร้ผู้เผยวัจนะ เป็นผู้ยื่นต่อหน้าผู้ปกครองที่ชั่วร้าย เป็นผู้ที่ถูกเนรเทศยังถิ่นกันดาร เป็นผู้ที่ฟ้องผิดชนชาติของตน เป็นผู้เตรียมทางให้พระเจ้าทรงช่วย และไม่ได้อยู่เห็นภารกิจของตนสำเร็จ
(มีต่อ)