ขอคนมีสมอง
ให้ช่วยกันใช้สมอง
มีมากใช้มาก
มีน้อยก็ลาออกไป
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Last posted
Total of 1000 posts
ขอคนมีสมอง
ให้ช่วยกันใช้สมอง
มีมากใช้มาก
มีน้อยก็ลาออกไป
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“จงอย่าลดขนาดความฝัน แต่จงเพิ่มขนาดความพยายาม”
คนกลัวเงิน 100,000 บาท ไม่กล้าแม้แต่จะจับ เชนต์เช็คทีก็มือสั่น บ่นทุกวันว่าจะเลิกทำบริษัทแล้ว ไม่ได้จบนอก ไม่ได้จบ ม ดัง อังกฤษห่วย ใจร้อน ชอบเที่ยวมากกว่าทำงาน ความจำสั้น นั่นคือตัวผมเองใน 5 ปีที่แล้ว
วันนี้ไม่ได้เป็นวันอะไรที่เป็นพิเศษ แต่ทุกครั้งที่เข้าเดือน พค. มันคือการครบรอบของบริษัท มันทำให้ผมนึกย้อนไปในวันเก่าๆ
ย่าผมสอนผมตามภาษาชาวบ้านต่างจังหวัด ด้วยคำง่ายๆจริงๆก็เป็นคำคมที่มีอยู่แล้วนี่แหละแต่ย่าจะบอกกับผมทุกวันสมัยมัธยม ด้วยคำว่า
“อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา” ตบท้ายด้วยคำว่า เก็บเงินไว้นะลูก เงินสมัยนี้มันหายาก
บ้านเราเป็นครอบครัวกงสีทำอาชีพซ่อมรถมอเตอร์ไซต์และซ่อมรถจักรยาน ทุกเช้า 6 โมงจะตื่นมาใส่บาตรพระ หน้าร้านเปิดขายทุกวันไม่มีวันปิดยกเว้นปีที่น้ำมันท่วม ย่าจะบอกทุกครั้งเราไม่เลือกลูกค้าเค้ามาเติมลมต้องเติมให้เค้าแม้จะได้เพียงล้อละ 1 บาท วันหน้าเค้าอาจจะกลับมาอีกมาเปลี่ยนอะไหล่อย่างอื่นได้ ลูกค้ายางรั่วมาต้องไปช่วยเค้าเข็นรถในระยะที่เรามองเห็นอย่ารอจนเค้าเข็นไปร้านอื่น ต้องรับมาร้านเรา
ผมได้เอาบางอย่างของย่ามาใช้ ถึงแม้มันต้องปรับบ้าง แต่ด้วยผมมีเป้าหมายเดียวกับที่บ้านนั่นคือทำเพื่อให้ครอบครัวเราสบาย
ถึงแม้จะไม่ได้ทำตามย่าบ้าง ไม่ยอมสอบหมอ ไม่ยอมสอบ กพ. ไม่สอบพื้นฐานวิศวะ และรีบมาเลือกเอาโควต้ามหาวิทยาลัยค่าเทอมที่ถูกๆเพราะรู้ว่าพ่อไม่ค่อยมีเงิน จะได้มีเวลาพิมพ์งานอาจารย์ 3 ให้พ่ออับเงินเพิ่ม
“ผมทำทุกอย่างคู่ควรกับขนาดความฝันของผมแล้ว”
#วันนี้เป็นวันที่รายได้ตั้งแต่เปิดบริษัทมา5ปีแตะ100Mอย่างเป็นทางการ
ขอบคุณลูกค้า ทีมงาน พี่ๆในวงการทุกคน ครับ
เอารูปทำงานตอนบริษัทยังไม่มีเงินซื้อ mac ตอนนั้นนั่งเขียน Java Spring, Bootstrap, jQuery ยาวๆไป
2009 ดิสนีย์ยื่นข้อเสนอ จำนวน 4.24 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อกิจการบริษัทที่ยื่นขอล้มละลายไปตั้งแต่ปี 1996
มีการไล่พนักงานออกไป 1 ใน 3 และมีคดีที่ถูกฟ้องค่าเสียหายอีกนับพันล้านดอลลาร์ติดตัว
ใครๆก็คิดว่าข้อเสนอนี้บ้าไปแล้ว เพราะดิสนีย์ซื้อด้วยราคาแสนแพง กว่า 10 เท่าของ EBITDA
ในขณะที่นักวิเคราะห์จาก Wall Street ประเมินว่าราคาที่เหมาะสม คือ ไม่เกิน 4 เท่า
แต่ดิสนีย์เป็นคนเดียวที่มองเห็นคุณค่ามหาศาลซ่อนอยู่
ขณะที่คนอื่น ไม่มีใครมองออก
การซื้อกิจการครั้งนั้น ได้กลายมาเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในประวัติศาสตร์ของดิสนีย์
กิจการที่ว่า คือ “Marvel”
จริงๆแล้วถึงจะพยายามหลีกเลี่ยงแค่ไหนก็ไม่สามารถหลบให้พ้นคลื่นควบคุมจิตใจเลยครับ สิ่งที่ผมกำลังประสบพบเจออยู่ทุกวันก็คล้ายๆคนอื่นๆที่โดนคลื่นแหละครับ มันจะเป็นประมาณนี้
1. เวลาเห็นผู้หญิงปล่อยผมทีไร ผมจะรู้สึกหงุดหงิดตลอดเวลา อยากจะเอาอะไรไปคลุมผมเธอซะ ในเวลาเดียวกันรู้สึกผิดบาปกับใครก็ไม่รู้ ลำบากใจมากๆครับ
2. อีกข้อนึงคือเวลาเห็นเพศที่ 3 เนี่ย มันร้อนรุ่มสุดๆเลยครับ อยากจะเดินไปหาก้อนหินหรือก้อนอิฐอะไรใกล้ๆตัวมาปาเข้าที่หัวของคนพวกนั้น ใจผมมันสั่นไปหมดครับ ผมอดทนไว้ไม่ค่อยได้เลยจริงๆ
3. เริ่มรู้สึกหวิวๆกับเด็กวัยประถมครับ ประมาณ ป.3 นี่ยิ่งหนักเลย มีอารมณ์ทางเพศสูงมาก เวลามองไปที่เด็กวัยประมาณนี้แล้วเริ่มอยากจะไปแต่งงานด้วย คิดถึงคำพูดของใครก้องๆในหัวว่าอะไรอิซะห์ๆซักอย่างผมได้ยินไม่ชัด แต่มีอารมณ์ทางเพศรุนแรงมากจริงๆ
อันนี้คือที่จะได้คร่าวๆนะครับ จริงๆนี่มีเยอะกว่านี้ เช่นอยากจะไว้เคราบ้าง เห็นเนื้อหมูแล้วจะอ้วกบ้าง คือน่าจะเป็นผลข้างเคียงกับการได้รับคลื่นมากไป
เออลืมบอกครับว่าแถวบ้านผมมีเสาสัญญาณที่ปล่อยคลื่นออกมาผ่านเสียงเพลงครับ วันนึงประมาณ 5 ครั้ง 5 เวลา ทุกครั้งที่ได้ผมได้ยินเสียงนั้นผมใจสั่นตลอดเลยครับ แล้วอยู่ๆผมก็ก็ชอบพูด "อัลลอฮฺ อัคบัร" พึมพำคนเดียวบ่อยๆ
เราต้องหยุดเรื่องนี้กันได้แล้วครับ ก่อนที่อะไรๆจะสายเกินแก้
#stopmindcontrol #stopv2k
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อ่านสามก๊ก
ตอนอายุ 20 : เข้าใจสงครามชนะแพ้ ฮีโร่และตัวโกง
ตอนอายุ 30 : เข้าใจกลศึกการจัดทัพและการเมือง
ตอนอายุ 40 : เข้าใจเรื่องคนและประเภทของคน
อ่านครบสามรอบ คุยสนุก :)
หนังเรื่องนึง คนหนึ่งมอง มันก็ต่างกับอีกคนหนึ่ง
เด็กฟิล์มอาจเห็นองค์ประกอบภาพโปรดักชั่นชัดเจน
เด็กอักษรอาจวิเคราะห์ผ่านทฤษฎีวรรณกรรมได้ดี
เด็กรัฐศาสตร์ ปรัชญา อาจวิพากษ์หนังผ่านแนวคิดทฤษฎีการเมืองได้ล้ำลึก
เด็กวิศวะ เด็กวิทยา อาจดูหนังแฝงวิทยาศาสตร์แล้วเข้าใจอย่างชัดแจ้ง
แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหนังไม่มีองค์ประกอบภาพสีแสง
หรือปฏิเสธว่า content ที่เขียนโดยมนุษย์ไม่ใช่วรรณกรรม
หรือใครจะบอกว่าผลผลิตจากอุดมการณ์ผู้เขียนบท บริสุทธิ์ปราศจากนัยยะทางการเมือง
สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงหนึ่งในแง่มุมที่ใช้มองภาพยนตร์
แต่การมองด้วยตาเปล่าๆ ไม่ผ่านแว่นวิชาการก็เป็นวิธีดูหนังแบบหนึ่งเช่นกัน
ดังนั้นแล้วหากคุณจะบอกว่าการดูด้วยแง่มุมหนึ่ง ด้อยกว่าอีกแง่มุม หรือบอกว่าเด็กอักษร รัฐศาสตร์ ปรัชญา บ้า ดูหนังแล้วจริงจังเกินไป อันนี้ก็เป็นความคิดเห็นของคุณ แต่สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ ถ้าหนังเรื่องไหนอยากให้สปอนเซอร์เพจนี้ ก็สามารถติดต่อมาทาง inbox ได้เลยค้าบ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Jordi El Niño Polla กับ #PoliticalMessage ที่ซ่อนอยู่
จอร์ดี้ เป็นนักแสดงที่โดดเด่นอยู่เสมอ และมักได้รับบทเป็น ลูก ของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว (Single Mom) ซึ่งสะท้อนถึงยุคปัจจุบันที่ความสัมพันธ์เป็นเรื่องฉาบฉวย และเกิดครอบครัวที่ต้องเลี้ยงเดี่ยวจำนวนมาก กอปรกับเศรฐกิจที่เป็นตัวแปรสำคัญให้เกิดอัตราการหย่าร้างสูง และเลือกที่จะมีเพศสัมพันธ์เพื่อความบันเทิงผ่อนคลาย มากกว่าเพื่อสร้างครอบครัว และอันที่จริงแล้ว จอร์ดี้อาจเป็นผลที่ผิดพลาดของการมีเพศสัมพันธ์เพื่อความบันเทิงก็เป็นไปได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ถึงสภาพเศรษฐกิจจะแย่เพียงไร แต่ฉากที่นำมาใช้ มักจะตรงกันข้าม เป็นการแดกดันสภาพความเป็นจริงของสังคม และสะท้อนโลกทุนนิยมที่นิยมวัตถุหรูหราฟู่ฟ่า
ในแง่ของบทบาท ของ จอร์ดี้ และปมต่าง ๆ ยังเป็นการเขย่าลำดับขั้นทางสังคม ไม่ว่าจะ แนวคิดหญิงเป็นใหญ่-ชายเป็นใหญ่ ระบบคู่ครองเดี่ยว-หลายคู่ครอง
จอร์ดี้ ถูกเลี้ยงดูในระบบ หญิงเป็นใหญ่ โดยมีระบบอำนาจนิยมอยู่ ถึงอย่างไรก็ตาม ตัวบทก็นำพาให้จอร์ดี้พลิกไปสู่ชายเป็นใหญ่ และครองอำนาจ โค่นล้มระบบอำนาจเดิมลง แต่นั่นเป็นเพียงการโค่นล้มอำนาจเพื่อขจัดออก หรือเป็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจเท่านั้นหรือไม่ ก็ยังมิอาจสรุปได้แน่ชัด (อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่าผู้กำกับสมาทาน “ชายเป็นใหญ่” ชัดเจนแบบไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมาก)
ในบางบทบาทที่จอร์ดี้ได้รับ ยังแสดงให้เห็นถึงระบบหลายคู่ครอง ซึ่งอาจเป็นความตั้งใจของผู้กำกับที่แสดงให้เห็นถึงอนาคตของสังคม ที่เพศสัมพันธ์เป็นเพียงแค่ความบันเทิง
อย่าคิดว่าผมกาวนะครับ เดี๋ยวนี้ใครดูอะไรก็ต้องวิเคราะห์ให้ดี แม้จะเป็น Adult Video เพราะนี่แหละเป็นสื่อชั้นดีที่จะมาทำลายโครงสร้างทางชนชั้นในสังคมได้ ใครที่ดูหนังโป๊ชักว่าวเกี่ยวเบ็ดก็บ้าแล้วครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ดูสารคดีโทรทัศน์ ชวนชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขอเลขท้าย กล้องถ่ายภาพชาวบ้านทำพิธีกรรมแปลกๆ ขูดแป้งหาเลขท้าย วักน้ำรถต้นไทร พิธีกรย้ำตลอดเวลาว่าสิ่งที่ทุกท่านกำลังชมอยู่นี้คือ "ความเชื่อ" ด้วยน้ำเสียงกึ่งใจกว้าง กึ่งขำขัน
เราไม่โทษพิธีกรนะ เพราะตามปรกติ เราก็ใช้คำว่า "ความเชื่อ" กับเรื่องแบบนี้จริงๆ แต่มันไม่ถูกต้องหรอก "ความเชื่อ" คือบางสิ่งที่อยู่นอกตัวเรา เราเลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ ถ้าเราเลือกจะเชื่อ คนที่เขาไม่เชื่อแบบเรา ก็อาจมองเราว่างมงาย
สำหรับเรา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เลขท้ายไม่ใช่ "ความเชื่อ" แต่คือ "วัฒนธรรม" ต่างหาก
ถ้าบ้านคุณอยู่แถวสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้บันดาลให้เพื่อนบ้านคุณรวย ช่วยให้พ่อค้าแม่ขายที่ไปเปิดแผงลอย มีกินมีใช้ได้จริง มันก็ไม่ใช่ความเชื่อแล้วล่ะ แต่เป็นวิถีชีวิต การทำมาหากิน คือ "วัฒนธรรม" ต่างหาก
อย่าไปเทิดให้คำว่า "วัฒนธรรม" สูงส่งกว่าการขูดต้นตะเคียน ขณะเดียวกัน ก็อย่าไปเข้าใจว่าทุกความเชื่อคือความงมงาย บางทีมันอาจเป็นวิถีชีวิตของคนแถบนั้น ที่สมเหตุสมผล หยิบจับต้องเป็นเงินเป็นทองได้จริงๆ
อาจจะจับต้องได้ยิ่งกว่าชนชั้นกลางอย่างเราๆ ท่านๆ ไปกราบไหว้ขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เซเลบในเมืองกรุงเสียอีก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก่อนอื่นต้องบอก level of salhim ของผมก่อนน่าจะสัก 6/10 นะครับ อารมณ์เเบบไม่ชอบมาร์ค ด่ายิ่งลักษณ์ กระหรี่เเหละ เเต่เเบบ ใครจะมาด่ามาร์ค ก็ไม่ได้นะ 55555555555
เอาที่จุดเริ่มต้นก่อนนะครับ จริงๆผมสนใจการเมืองมาตลอด เพราะโตในสังคมที่เต็มไปด้วยนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งการเป็นคนใต้ สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากคือความดีของพรรคสีฟ้านะครับ
เหตุการณ์ที่ เสธ เเดง โดนยิง จากนั้นน่าจะเกิดเหตุการยิงสลายการชุมนุม ผ่านหน้าจอทีวี พร้อมกับมีกลุ่มคนอีกฝ่ายดีใจ ผมก็ได้เเต่นึกในใจ ไอ่เหี้ยมันใช่หรอวะ .....
จากนั้นช่วงเพื่อไทย ดัน พรบ. นิรโทษ อันนี้ต้องยอมรับว่าทุเรษจริงๆ ผมมองย้อนกลับไป ณ ตอนนี้ผมก็ยังคิดเหมือนเดิมนะ ว่ามันเเย่มากๆ ก็เกิดสลิ่มของเเท้ยี่ห้อกปปส เกิดขึ้น นำโดยท่านเทพเทือก ณ ตอนนั้นนี่ เป็นช่วงชีวิตที่ผมเริ่มอินกับการเมืองมากๆละ รู้สึก การปิด ถนน ดูถูกคนอีสาน เเม่งเท่หวะสัส พวกอีสานเเม่งโดนซื้อเสียงรัวๆๆๆ ทางครอบครัวผมก็มีเตือนๆ ห้ามๆบ้างนะ เเต่ไม่ฟัง ร่างกายต้องการปะทะ 555555
เมื่อพีคสุดก็ถึงจุดที่เริ่มตะหงิดๆ เริ่มจาก มาร์ค ด่า เเรด, กระหรี่ ร่างกายเหมือนจะ เฮโล ไปกับเขานะ เเต่จิตใต้สำนึกเเม่งมันใช่หรอวะ ด่าเขาแบบนี้ จุดที่คิดหนักๆคือ พวกคนดี เอาเด็กไร้เดียงสา ขึ้นเวที ผมว่าไม่ใช่ละ ก็เลยเพลาๆลง เเต่มันไม่มีอะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจ ก็ยังเป็นเเบบเดิมเเหละ
เมื่อเริ่มสงสัย มันก็เริ่มตั้งคำถามมากมายนะ พอดีเริ่มมีการศึกษา หลายๆอย่างมันต้องวันได้ในเชิงปริมาณ ก็เลยตกผลึกได้ว่า เอาเข้าจริงพรรคสีฟ้าไม่มีไรที่จับต้องได้สักเท่าไรเลยนะ ทุกอย่างเเม่งโคตรขี้ตีนเลย ถ้าเทียบกับ 30 บาทรักษาทุกโรค เรียนฟรีหรอ พ่องตาย พ่อแม่ผม topup เพิ่มทุกเทอม
เเต่ก็ยังไม่เปลี่ยนเพราะนั้นเเหละ อคติ จนถึงเวลาที่โอเค คุณปู ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ถึงเวลานั้นผมแบบ ไอ่เหี้ยโอกาศพิสูจน์ มาเเล้วโว้ยยย ลุยเลยประชาธิปัตย์ ถึงเวลาพี่เเกบอกให้ vote no WTF จนลุงตู่มา ...
ด้วยความด้อยประสบการณ์ ลุงตู่มา ไอ่สรัดดดดดดด ฮีโร่มาเเล้ววววว ไทยเเลนด์ถึงเวลาผงาดดดดดดดดดดดดดด
สุดท้ายเเม่มหาข้อดีของลุงเเกไม่เจอจริงๆ 5 ปีที่ผ่านมา ปรองดอง? ดองพ่อมึงดิลุง 5555555
จนถึงลุงยอมจัดฉากเพื่อชุบตัวเองในการเลือกตั้ง จริงๆผมไม่สน พรรคอนาคตใหม่เลยนะ ไม่เเม้เเต่นิดเดียว จนการกลับชาติมาเกิดของบุรุษที่ชื่อว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ ผมอุทาน ไอ่ซั๊ชชชชชชชช ใหนมึงบอกจะเลิกวะ ก็เลยบอกกับตัวเองว่าต้องลดเเล้วเรื่องอคติบ้าบออะไร จนเปิดใจ เเล้วเจอว่า เฮ้ย มันมีพรรคทางเลือกนี่หว่า ไอ่คนที่ชื่อธนาธรนี่ใครวะ ไล่ดูตั้งเเต่สัมภาษณ์ the standard ชอบวิสัยทรรศเรื่องการบริหารงานเเก
เเต่!!! ปิยบุตรล้มเจ้า เทรนนี้กำลังมา ก็เลยตามดูคลิปดูไร ไอ่สราด เข้าใจเจตนารมณ์ของจารย์เลย ยาวไปทีนี้ เเถมยังรู้จักชาวเเกงค์ของอาจารย์เเกเพิ่มด้วย 5555
คร่าวๆน่าจะประมาณนี้อะครับ
สรุปสั้นๆก็น่าจะเพราะ โตขึ้นการที่จะเชื่ออะไรมันควรมีเหตุผลมารองรับ ถามว่าวันนี้ผมเเม่งควายส้ม ถ้าโดนไอ่ตี๋ ธนาธรหลอก หรือปิยบูดด หลอกอีกรอบ ผมจะเสียใจไหม คงไม่เพราะผมมีเหตุผลมารองรับ นโยบายของอนาคตใหม่มันตรงใจผมที่สุด เขาอธิบายเเล้วผมเห็นภาพในอนาคตที่ดีที่สุด
เเต่คงเศร้า หากผมยังยึดติดอยู่กับลุงตู่ที่เเม่งไม่มีผลงานบ้าบออะไรที่จับต้องได้เลย
จบครับพี่น้อง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>455 อ่านแล้วมึงดูเป็นพวกหลงวาทะกรรมง่ายนะ ไม่แปลกๆ ว่ากันตามตรง ในรอบ 20 ปีของการเมืองไทย มาร์คนับว่ามีวาทะศิลป์สูงสุดแล้ว ของดีของพรรคนี้ละ แต่คำพูดพอมันหมดมนต์เสน่ห์แล้วพูดให้ตายก็ไม่มีคนเชื่อ กูจะรอดูว่าอคม.จะเป็นแบบนั้นมั้ย
ที่เมกากูนึกถึง AOC กะอีมุสลิม ตอนนี้แม้แต่พวกเดมยังเอือม
จริงจังนะ: อยากให้ประเทศเราพลิกโฉมเป็นผู้ผลิต-ส่งออกเซ็กส์ทอยไปทั่วโลก ให้ติดภาพไปเลยว่าเซ็กส์ทอยจากไทยแลนด์แม่งของโคตรพรีเมียม
เชื่อเหอะว่าเรามีทุกอย่างครบ ทั้งยางพาราเกรดเอ มันสมองคน เทคโนโลยี คุณภาพงานผลิต การตลาด แม่งพร้อมทุกอย่างเลย ติดอยู่แค่ศีลธรรมอันดีแต่กะหรี่เต็มเมือง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
URBOY TJ Right here
"...เลื่อนตำแหน่งครั้งหน้าคงได้พูดว่าทรงพระเจริญ"
สร้างโลกไว้สองใบค่ะ ใบละประเทศ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมไม่ได้สะท้อนออกมาในการกระทำหรือการแสดงออกที่ไม่เหมือนเดิมของคนเท่านั้น การไม่ทำอะไรบางอย่างก็บอกให้รู้ได้ด้วยว่าสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไป
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นี่เป็นข้อแตกต่างระหว่างสังคมตะวันตกที่เน้นความเป็นปัจเจกบุคคล กับ สังคมเอเชียที่รวมหมู่ (Collective) อยู่เหมือนกัน
คือเรื่องของ Code of Ethics (หลักจรรยาบรรณ) สังคมตะวันตกมักปรับใช้กับงานและองค์กร คือแตะเรื่องส่วนตัวน้อยหน่อย แต่ถ้ามีผลกับการดำเนินงานถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากกว่า
ขณะที่สังคมเอเชีย พวก Code of Ethics จะกำกับหรือ Regulate กับตัวปัจเจกบุคคลนำหน้างานหรือองค์กรมาก่อน ทำนองว่า ครูที่ดีไม่ควรมีรอยสักให้เห็นนอกร่มผ้าเปิดเผย ผู้บริหารที่น่านับถือต้องไม่ประสบความล้มเหลวในชีวิตคู่ ถึงจะได้รับการยอมรับเข้าสู่ตำแหน่ง
ด้านกลับ คนตกขอบทางสังคม ก็ต้องพรีเซนต์ตัวเองว่าอยู่ในกรอบ Code of Ethics อยู่ในร่องในรอยถึงสมควรจะได้รับการช่วยเหลือส่งเสริม จริงๆ ก็มีกันทั่วโลกแหละเรื่องความรู้สึกว่าอยากช่วยคนที่สมควรช่วย โดยใช้การประเมินทางศีลธรรมประกอบการตัดสินใจ แต่สังคมตะวันตกที่เคารพความเป็นปัจเจกบุคคล จะหลวมกว่านี้
สังคมเอเชียเอา Code of Ethics กำกับตัวบุคคลอย่างนี้กันมาก ข้อดีน่ะมีแต่ขอละไว้เกรงจะนอกประเด็นยาว แต่ข้อเสียที่ตามมาคือ มันแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ในเมื่อมันต้องสร้างภาพลักษณ์ โกหก เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนส่งเสริม เล่นละครกันเก่ง ตัวอย่างที่เล่นใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ในประเทศนี้คืออะไรผมคงไม่ต้องบอก แต่มันเป็นอย่างนี้เยอะ ลาออกจากงานเพราะค่าแรงไม่พอกิน รู้สึกถูกเอาเปรียบ แต่ปากบอกขอกลับไปดูแลแม่ที่ป่วยจะได้ดูมีทางลงสวยๆ
ตะวันตกที่มีการตกผลึกขบคิดทางปรัชญาความคิดมาเนิ่นนานแล้ว ถึงได้เน้นให้คนพูดความจริง ไม่ใช่จริงแบบปากไม่มีหูรูดนะ แต่มันคือจะได้เห็นแก่นแท้ของสารัตถะของปัญหา ความจริงที่พูดออกมาจากปากถึงมันน่าเจ็บปวด อับอาย แต่มันทำให้ภาพของปัญหามันกระจ่างชัดกว่าพยายามทำให้ชีวิตอยู่ในโรงลิเก มหาลัย Harvard มีคำขวัญคำเดียวคือ Veritas เป็นคำละตินหมายถึง ความจริง (Truth) ขณะที่คำขวัญสถาบันศึกษาไทย ไม่พรีเซนต์ความยิ่งใหญ่ของสถาบันก็ยัดเยียดความคาดหวังพฤติกรรมและคุณลักษณะของนักเรียนนักศึกษาผ่านคำขวัญนั่นแหละ เก่งวิชา กีฬาดีฯลฯ ได้ตามความคาดหวังสักกี่คนกัน
ขอทานเพื่อกินเหล้าก็ให้รู้ว่าจะไปกินเหล้า ไม่สะดวกใจจะให้ก็ไม่ต้องให้ แต่ไป judge พิพากษาว่าเขาไม่สมควรได้รับการโอบอุ้มสนับสนุนใดๆ โดยสิ้นเชิง จนกว่าเขาจะพิสูจน์ตัวเองว่า purify หรือทำตัวเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้แม้กระทั่งโกหกก็ตาม ก็ไม่แปลกใจเลยที่ความคิดการเมืองจะเที่ยวใฝ่หานักการเมืองที่บริสุทธิ์เป็นเทวดาซึ่งไม่มีอยู่จริง เมื่อไหร่จะมองคนเป็นคนจริงๆ ที่มีดีๆ เลวๆ มีทั้งสตรอง ทั้งป่วยๆ มีทั้งเอาถ่านไม่เอาถ่าน ผสมปนเปกันไปในสังคมของคน ไม่ใช่ยูโทเปีย
ส่วนตัวมองว่าวัฒนธรรมสงวนท่าทีรักษาภาพลักษณ์ส่วนตัวแบบเอเชีย ลดทอนคุณค่าในการเข้าถึงสารัตถะ หรือแก่นปัญหาที่เป็น core ใจกลางสำคัญมากๆ มันเหมือนถ้าคุณจะทำความเข้าใจกับคนสักคนหรือปัญหาสักเรื่อง มันมีชั้นเคลือบกันหลายๆ ชั้นยิ่งกว่าช็อกโกแลตเฟอเรโร่รอชเชอร์ที่ฟันคุณต้องกัดให้เข้าไปถึงเม็ดถั่วแมคคาเดเมียที่อยู่ชั้นในสุด
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แม่เลี้ยงกับลูกสาวอายุเท่ากันเลย หมายถึงคลับฟรายเดย์
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
If people showed as much concern for the actual problems of the world as they do for Avengers spoilers, imagine where we'd be.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อีก12ปีโลกจะร้อนขึ้นอีก1.5องศา ยิ่งมีคนติดแอร์มากขึ้นโลกยิ่งร้อนขึ้น ยังไม่รวมเรื่องชั้นโอโซนที่เสียหายเพิ่มขึ้นทุกปี
If Light from Death Note tried to kill Polish people the series would be a comedy about him consistently failing to kill anyone.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สถิติน่าสนใจ
ญี่ปุ่นที่เราเห็นว่าฆ่าตัวตายเยอะๆ (18.8 ในแสนคน)
จริงๆ แล้วอัตราฆ่าตัวตายน้อยกว่าเกาหลี (26.9 ในแสนคน) มาก
และ ประเทศไทย ที่ดูคนยิ้มแย้มแจ่มใสแฮปปี้
ฆ่าตัวตายกัน (14.4 ในแสนคน) ไม่ห่างจากญี่ปุ่นมากนัก
ส่วนภูฏาน ที่ดูเป็นแดนสันติ ก็มีความเครียดฆ่าตัวตายในระดับพอประมาณ (11.4 ในแสนคน)
ส่วนประเทศที่ดูปากกัดตีนถีบแย่งชิงมีสงคราม อย่างเวเนซุเอล่า (3.7 ในแสนคน) ซีเรีย (1.9 ในแสนคน) อิรัก (3 ในแสนคน) ดันไม่ค่อยฆ่าตัวตายกัน สงสัยจะตายเพราะถูกฆ่าหรือเอาปืนไปฆ่าเขาเลยดีกว่า
ในขณะที่ประเทศซึ่งได้รับคำยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีความสุข อย่างฟินแลนด์ (15.9 ในแสนคน) เอสโทเนีย (17.8 ในแสนคน) สวีเดน (14.8 ในแสนคน) กลับมีอัตราฆ่าตัวตายค่อนข้างสูงพอสมควร
เรื่องการฆ่าตัวตายเลยสรุปได้ยากว่ามีเหตุมาจากอะไรในระดับประเทศ เพราะประเทศรวยจนก็ฆ่าตัวตายกันได้ มีปืนไม่มีปืนก็ฆ่าตัวตายพอกัน ประเทศร้อนประเทศหนาวก็เฉลี่ยๆ กันไป
แต่ที่แน่ๆ พบว่า ประเทศหมู่เกาะที่เป็นชายทะเลมีหาดสวยใส ฆ่าตัวตายกันน้อยมาก เช่น มัลดีฟส์ (2.3 ในแสนคน) จาไมกา (2.2 ในแสนคน) บาฮามาส (1.7 ในแสนคน) แอนติกัวและบาร์บูดา (0.5 ในแสนคน)
ดังนั้นถ้ามีคนซึมเศร้าเหงาหงอย อยากฆ่าตัวตาย พาไปทะเลไปเกาะอาจจะช่วยได้มั้งนะ
http://worldpopulationreview.com/countries/suicide-rate-by-country/
บทสนทนากับผู้เลือกพรรคการเมืองสีฟ้าพรรคหนึ่ง:
ก: ทำไมถึงเลือกพรรคนี้
ข: ชอบตรงที่เขามีจุดยืนมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
ก: แต่นี่พรรคเขากำลังจะแตกเป็นสองฝ่ายนะ ฝ่ายนึงเอาอย่างนึง อีกฝ่ายเอาอีกอย่าง สรุปว่าจุดยืนคืออะไรกันแน่?
ข: พรรคการเมืองมันก็ต้องมีคนเห็นต่างกันเป็นธรรมดา นี่แหล่ะประชาธิปไตย
ก: อ่าว แต่นี่พูดไว้ว่าจะไม่ร่วม แต่สุดท้ายก็ร่วม แล้วจะเชื่อได้ไงว่าอุดมการณ์ของเราจะได้รับการถ่ายทอดจริงๆ
ข: พวกนั้นมันส่วนน้อย ไม่นับ
ก: แล้วคิดยังไงกับพรรคอมค
ข: พรรคคนโกง ไม่เลือก
ก: อ่าว เขายังไม่เคยเล่นการเมืองเลย แล้วรู้ได้ไงว่าโกง
ข: ก็เขาไม่ยอมออกมาด่าทักษิณ แสดงว่าโกง
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขทั้งผมที่เป็นผู้เขียนบทความและผู้อ่าน ผมคิดว่าเราควรจะชี้แจงอะไรกันบางอย่างก่อน
ครั้งหนึ่งผมเคยไปคุยกับ บก. คนหนึ่ง เขาถามว่าในจำนวนนักเขียนที่ผมเคยเจอ คิดว่าใครนิสัยแย่ที่สุด
ตอนนั้นผมไม่ได้ตอบ แต่คำตอบจริงๆคือ "ผมเอง"
โลกนี้มีนักเขียนสองแบบ คือพวกเขียนไปเรื่อยๆทุกวัน กับพวกทำตามอารมณ์
ผมเป็นแบบทำตามอารมณ์ เป็นพวกระเบิดตูมเดียว
ถ้าหมดอารมณ์ ก็เลิก ไม่ทำแล้ว ผมมีบทความเขียนไปครึ่งๆ แล้วหมดอารมณ์ไม่ได้เผยแพร่อยู่หลายสิบ
มีสองสิ่งที่ผมเกลียดมาก
1. คือพวกที่บอกว่าให้ผมเขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ที
พวกที่ทำแบบนี้เหมือนคนที่ไปยืนบอกต้นมะม่วงเปรี้ยวว่าให้ออกผลหวานในเดือนพฤศจิกายน
มันเป็นไปไม่ได้
ผมพูดจริงๆ ถ้าคุณอยากก็เขียนเอง
2. พวกที่บอกผมว่าควรจะใช้คำไหน โดยเฉพาะการอ้างราชบัญฑิต
เวลาผมเลือกคำใด แสดงว่าผมเลือกคำนั้นแล้ว
ล่าสุดมีคนบอกให้ผมเขียนว่า
"เสียชีวิต 137 คน" แทน "เสียชีวิต 137 ศพ"
ผมเลือก 137 ศพ เพราะมันเห็นภาพซากนอนกันเกลื่อน มันสะเทือนขวัญ น่าหดหู่ มันได้กลิ่นเลือด แล้วผมชอบเสียง "เสีย", "สาม" กับ "ศพ" ที่คล้องกัน
แต่ เสียชีวิต 137 คน มันเหมือนกระดาษชำระแห้งๆ มันสาก ไม่มีความสะเทือนใจอะไรเลย
(แล้วผมจะเขียน ราชบัญฑิต เพราะคิดว่ามันกวนตีนดี เวลาคนชอบเอา ราชบัญฑิต มาอ้างผมว่าเขียนยังไงให้ถูก)
อารมณ์เสียที่เกิดขึ้นจากสองอย่างนี้ไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่เป็นระดับเผาต้นฉบับทิ้งทั้งเรื่องได้
ผมไม่คิดว่าการเขียนเป็นงาน มันเป็นการเล่น ถ้ามันน่าขัดใจก็ไม่สนุกแล้ว ก็เลิกทำ เท่านั้นเอง
เวลาอารมณ์เสียที ผมเสียเวลาแทนที่จะเอาอารมณ์ไปทำอย่างอื่น
ดังนั้น ผมขอแจ้งเตือนแบบนี้ ใครทำสองอย่างนี้ผมจะบล็อก
คุณจะแสดงความเห็นยังไงก็ได้ แต่ใครมาบอกให้ผมเขียนนั่นเขียนนี่ หรือมาบอกว่าผมต้องใช้คำนั้นคำนี้ไม่งั้นมันจะผิด ผมจะบล็อก
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมการวิจารณ์คนคนเดียว ถึงได้เสี่ยงตายขนาดนี้ ถ้าเป็นลุงข้างบ้านคุณอาจแค่โดนมองว่าเป็นพวกชอบนินทา ถ้าเป็นนายกคุณแค่โดนมองว่าเป็นพวกคลั่งการเมือง แต่พอเป็นลอร์ดวอร์เดอมอ ใช่ครับคุณจะถูกมองเป็นแฮรี่พอตเตอร์
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ธเนศเชื่อยังโอตะเจ๊กอยากเป็นยุ่นโง่ ไม่น่าเชื่อเกาหลีใต้ทดสอบ5gให้คนเยอรมันตักดินโชว์ข้ามโลก ธเนศรู้ยังคนเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จใช้ 5Gจริงเป็นประเทศแรกของโลก มิใช่จีนเตี้ยนะ You เยอรมันและยุโรปตกลงใช้ 5g เกาหลีใต้ โลกไปไกลขนาดนี้ไอ้แว่นโอตะเจ๊กอยากเป็นยุ่นยังมาตั้งคำถามโคตรโง่ที่หาได้ดาดเดื่อนในพันทิปหรือ Google บันเทิงเด็กพวกนี้จริงๆ
Marvel เหยียดคนอ้วนจริงเหรอ ?
*** บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง ***
.
.
.
.
.
.
.
.
ประเด็นเรื่องรูปร่างของธอร์ใน Avengers: Endgame ตอนนี้กำลังเป็นที่วิจารณ์ถกเถียงกันมากในสื่อต่างประเทศค่ะ ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่หัวเราะไปกับรูปร่างใหม่ของเทพเจ้าชาไข่มุก พุงตุ้ยนุ้ยของเขาทำให้หลายคนขบขัน แต่มีผู้ชมกลุ่มหนึ่งมองว่าการเล่นมุกตลกล้อเลียนเรื่องรูปร่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะในยุคนี้ที่มีการรณรงค์เรื่องยุติการกลั่นแกล้งมากขึ้น
แอดเห็นว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ดีที่เราควรเอามาวิเคราะห์กันจึงรวบรวมข้อมูลมาจากหลายสื่อ เช่น
Los Angeles Times , The Guardian , Buzzfeed , Nerdist และ Polygon นำมาแบ่งประเด็นเป็นจากฝ่ายที่รู้สึกว่า “ Marvel กำลังเหยียดคนอ้วน” กับฝ่ายที่ชื่นชม Marvel ที่แสดงปัญหาเรื่อง PTSD ผ่านตัวละครของธอร์ได้เป็นอย่างดี และขอสรุปสุดท้ายด้วยความเห็นจากตัวนักแสดง และผู้กำกับค่ะ
ขอเริ่มจาก #ฝ่ายแง่ลบ ก่อนนะคะ
“ในขณะทุกคนหัวเราะกับรูปร่างของ ธอร์ ฉันมองจอด้วยความรู้สึกใจสลาย”
คอมเมนต์ จากหลายๆ สื่อที่วิจารณ์เรื่องนี้ระบุไว้ว่าพวกเขารู้สึกเศร้าเสียใจ โกรธ และผิดหวังที่ท้ายที่สุดแล้วMarvel ไม่สามารถก้าวข้ามการใช้มุกตลกดาดๆ อย่างการล้อคนอ้วนไปได้ นักวิจารณ์ในฝั่งนี้ไม่ได้มีปัญหากับการที่ตัวละครธอร์ มีรูปร่างที่เปลี่ยนไป พวกเขาเข้าใจการนำเสนอเรื่องสภาพจิตใจของธอร์ผ่านร่างกาย ของ Marvel แต่ไม่ชอบการใช้มุกตลกดาดๆ อย่างให้ธอร์เอาพุงกะทิไปถูหัวร็อคเก็ต , ธอร์นอนอืดพุงเปิดหลับเป็นตาย และ คุณแม่ฟริกกา เตือนให้กินสลัดบ้าง มุกตลกที่ Marvel จงใสใส่เข้ามาเพื่อบรรเทาความตึงเครียดของหนังมันกลับส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ชมบางกลุ่มอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาคิดว่าในฐานะที่ Marvel สร้างภาพยนตร์ที่เป็นสื่อเข้าถึงผู้คนได้ง่าย ไม่ควรส่งเสริมการล้อเลียนเรื่องรูปร่างแบบนี้ออกมาให้เด็กๆ ได้ชมกัน เพราะทุกคนจะมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทุกคนทำกันได้ปกติ เหมือนอย่างที่คนส่วนใหญ่ชอบล้อเลียนคนอ้วน เพราะคิดว่าพวกเขาจะไม่โกรธไม่เสียใจ คนอ้วนต้องเป็นคนอารมณ์ดีเสมอ และ
ยอมรับฉายา หมู หมี ช้าง ฮิปโป ไปอย่างน่าชื่นตาบาน
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>485 )
มาที่ #ฝ่ายแง่บวก กันบ้าง
นักวิจารณ์ฝั่งนี้มอง Marvel ในทางบวกพวกเขายกย่องว่านำเสนอเรื่องสภาวะ Post-Traumatic Stress Disorder สภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง ผ่านตัวละคร
ธอร์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งพี่แกเจอมาหมดตั้งแต่น้องตาย แม่ตาย พ่อตาย เพื่อนตาย และประชาชนแอสการ์ดตาย ใครไม่ชีวิตพังมันก็ออกจะเทพเกินไปหน่อย (แต่ธอร์ก็เทพนะ 555) มันเป็นไปได้ที่ผู้มีอาการนี้จะมีพฤติกรรมการทานอาหารที่เปลี่ยนไป อาจจะกินมากขึ้นหรือลดลงและมีสภาพหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ไม่ดูแลตัวเอง ซึ่ง Marvel กล้าเล่นกับความรู้สึกของคนดูที่ปกติแล้วจะคุ้นชินกับภาพลักษณ์หุ่นฟิตเปรี๊ยะ กล้ามซิกซ์แพคเป็นกระดานซักผ้าของ คริส เฮมสเวิร์ธ กลายมาเป็นชายอ้วนบวมเบียร์ หนวดเครารุงรัง ผมเผ้าสังกะตัง วันๆ เอาแต่เล่นเกมและด่าเกรียนอินเตอร์เน็ต สภาพของธอร์แสดงออกถึงเรื่องราวในใจเขาได้หมดทุกอย่าง เขายังไม่สามารถก้าวข้ามความผิดหวัง และโทษตัวเองที่ไม่สามารถฆ่าธานอสได้ตอนที่มีโอกาส ธอร์เสียทุกอย่างไปแล้วสิ่งสุดท้ายที่เขาเสียไปอีกก็คือตัวเอง
แต่อย่างไรก็ตามหนังก็ได้แสดงฉากที่เขาได้คุยกับท่านแม่เรื่องความผิดหวังในตัวเองที่ทำพลาดไป
ซึ่งท่านแม่ก็ได้คำแนะนำที่ล้ำค่าแก่เขาและทำให้เขา ได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าคู่ควรสามารถถือค้อนมโยลเนียร์ได้อีกครั้ง และตลอดทั้งเรื่องธอร์ออกรบในรูปร่างอ้วนอวบ โดยไม่ได้เปลี่ยนร่างกลับไปหล่อเหมือนเดิม เพราะเขาคิดว่ารูปร่างไม่ได้มีผลอะไรกับเขาอีกต่อไป เราเลยได้เห็นฮีโร่หมีหุ่นอวบ ถือขวาดฟาดกับธานอสได้อย่างสมศักดิ์ศรี และนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ได้มีฮีโร่ร่างท้วมในโลกภาพยนตร์
มาที่คำตอบของผู้กำกับ
ผู้กำกับแอนโทนี่ รุสโซ่ บอกว่า ประสบการณ์ทุกอย่างที่ตัวละครได้ประสบมาถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานสร้างตัวละครในภาคนี้ ธอร์เป็น Avengers ที่น่าจะเผชิญกับความสูญเสียมามากที่สุด เขามาอยู่ในจุดตกต่ำสุดในชีวิต
เส้นทางที่ต่อจากความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจะเป็นอะไรไปได้อีก แต่ทางทีมงานเลือกให้เขาเดินบนเส้นทางที่แฝงไปด้วยมุกตลกขบขัน เพราะธอร์
“ทำเพื่อปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวดและอดทนต่อการดำรงอยู่ของเขา และเขาก็รักษาตัวเองไว้นานพอที่จะหาทางกลับมาได้ ผมคิดว่ามันเป็นหนทางเดียวสำหรับตัวละครตัวนี้โดยพิจารณาจากความยากลำบากในการเดินทางของเขาจนในขณะนั้น”
โอยอ่านแล้วจะร้องไห้อีกรอบ
ด้านความคิดเห็นของคริส เฮมส์เวิร์ธ
เจ้าตัวบอกว่าการได้เป็นธอร์อ้วนก็เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดเหมือนกัน มันเป็นเรื่องของการ “เติบโต” ของตัวละครที่เขาไม่คิดมาก่อน แต่ยังไงเขาก็ยืนยันว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
“ผมสนุกมากและรู้สึกซาบซึ้งมากที่มันเกิดขึ้นแบบนี้ เราจบมันได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ”
สรุปสุดท้าย
แอดเห็นด้วยกับทาง Marvel ที่จะนำเสนอตัวละครออกมาให้รูปแบบนี้เพราะรู้สึกว่าเพิ่มมิติความเป็นมนุษย์ให้ตัวละครเทพอย่างธอร์ แม้ว่าเขาจะสูญเสียทุกอย่างถึงขั้น เสียรูปร่างอันสมบูรณ์แบบแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้มีคุณค่า ธอร์ได้เรียนรู้ที่จะก้าวเดินต่อไป แต่ฝ่ายที่เห็นต่างก็ไม่ผิดเช่นกันและถือว่าเป็นความคิดอีกด้านที่จะทำให้ทางผู้สร้างหนังนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป เพราะเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน
สิ่งหนึ่งแอดชอบมากจากเรื่องราวของธอร์ ใน Avengers: Endgame ซึ่งทางNerdist สรุปไว้ได้ดีมาก ก็คือเราได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป แต่ความชอกช้ำเหล่านี้มันไม่ได้กำหนดตัวตนของเรา ไม่ได้กำหนดอนาคตของเรา ธอร์เป็นเหมือนตัวแทนความหวังสำหรับคนที่ต้องมีชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดในอดีต
บาดแผลนี้ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เช่นเดียวกับพวกเราทุกคนค่ะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก่อนพรุ่งนี้ในวันทำงาน เราควรมีเรื่องภูมิใจเล็กๆไม่สิเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง ในสายงาน C Level ของผม
- เราไม่ได้รับงานโปรเจคต่อ เค้าต้องเอาคน 50-80 คนมาทำต่อเราเพื่อให้ productive เท่าเดิม แต่เราใช้แค่ 8-10 คน
- เค้ามาขอให้ไปบิตโปรเจคใหม่ ตอนนั้นเราบิตแพ้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แล้วเจ้าที่บิตได้ไป ทำไม่โอเคร แอฟเค้าใช้งานไม่ได้หลายจุดและเทคโนโลยีที่เลิกล้าสมัย (ซึ่งผมได้เคยบอกไว้กับบริษัทเค้าแล้ว ว่าราคานี้พี่ก็จะได้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งผมไม่ได้รับทำ เพราะไม่เหมาะกับงาน)
- เราเสนอราคาและโซลูชั่นไป คิดว่าราคาสมเหตุสมผล เค้าหายไป 3 เดือนกลับมาหาเราคุยต่อ แต่เราคิวงานเต็มซ่ะแล้ว
- ปฏิเสธงานโปรเจคไปเกือบๆ 10 ล้านบาทแล้วใน Q1 นับเฉพาะที่บิตงานได้แล้ว เพราะว่าไม่บาล้านระหว่าง 3 อยู่ ทีมงาน(ทำได้สบายใจ) ลูกค้า(ได้ของดี,ให้ความสำคัญกับโปรเจค) และราคา(สมเหตุสมผล)
ผมนึกคำของบิลเกตได้ “ถ้าคิดราคาเขียนโค๊ดแบบนับจำนวนคนคูณชั่วโมง มันก็ไม่ต่างกับการคิดราคาการสร้างตึกด้วยการชั้งน้ำหนักของตึก”
อีกอันของผมคิดเอง
“ถ้า software ไม่ใช่จุดแข็ง ก็เป็นจุดอ่อน”
สุดท้าย
“บริษัทที่ยอมเสียเวลา เพื่อได้พัฒนา Software ราคาถูกเพียงอย่างเดียว บริษัทจะเสียทั้งสองอย่าง”
สมัยก่อนเป็นโอตะ คิดว่าเฮ้ย กฏห้ามมีแฟนของไอดอลจะมีทำไม เรื่องส่วนตัวเขารึปล่าววะ
แต่พอมาเป็นโอตะ เออ เราเองก็คงรับไม่ได้ หรือ แอนตี้ไปเลย ถ้าไอดอลที่เราจับมือตอนกลางวัน พอกลับบ้านไป กลางคืนไปอยู่กับแฟน
มันเป็นความรู้สึกแบบ เออ มันน่าสนับสนุนกว่าตรงที่ไอดอลไม่มีแฟนนี่แหละ
คือมาลองคิดดู ผมเคยชอบแก๊งนาดาว ชอบ เก้า ก็มีแฟน ชอบ ปันปัน ก็มีแฟน พอไปชอบ ฟรัง นรีกุล ก็ดันมีแฟน มันรู้สึกไม่อยากติดตามต่อแล้ว
หรือ เมื่อก่อนผมเคยชอบ แป้ง Zbing พอรู้ว่ามีแฟน มันก็ไม่ค่อยอยากดูและ ไปเห็นสวีทกันอีก คือ กูจะดูพวกมึงหวานแหววทำไม พอประกาศแต่งงานปุ๊บ ผมเลิกติดตามเลยไม่รู้จะตามทำไม คนมีผัว
พอมีแฟน ความรู้สึกอยากติดตาม อยากสนับสนุนก็หายไป
>>489 สรุปได้ว่า ที่ปากบอกเสมอว่าติดตามเพราะผลงาน เพราะอยากให้กำลังใจนี่คือข้ออ้างบังหน้า แต่ใจจริงตามเพราะลึกๆแอบหวังว่าอาจจะมีโอกาสได้เป็นเจ้าของ รึไม่ก็ถ้าโอกาสนั้นเป็นศูนย์ ก็จะต้องไม่มีใครหน้าไหนได้ไป เทอกับเลาต้องเติบโตและขึ้นคานไปพร้อมๆกัน
ความคิดแบบนี้จะไม่เกิดถ้ามิตรฯท่านนี้ไม่เผลอมโนหลอกตัวเองว่า ฉันติดตามเธอ=เธอเป็นของฉัน=เธอต้องเป็นอย่างที่ฉันต้องการ
พวกกาจิโค่ยสินะ แต่เอาจริงวงก็สนองพวกกาจิโค่ยนั่นแหละและประชากรโอตะเกือบทั้งหมดก็กาจิโค่ย ที่เห็นตามความพยายามจริงหายาก
พวกมึงโดนแบนเลยมาบ่นกันในนี้สินะ555
แต่การตลาดแม่งดูดเงินดีจริงๆ พวกหัวเขียวถึงกับต้องขโมยเงินพ่อแม่มาเปย์เลย เศร้าหว่ะ
ความสุขนำพา ทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ก็ยังรู้สึกดี
.
นิยามความสุขของแต่ละคนคงต่างกันไป บางคนคือการไปเที่ยว บางคนคือการเดินทาง บางคนคือการมีใครสักคน แต่สำหรับเรา ความสุขเกิดจาก "การได้พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น" และได้สร้าง "ผลงาน" ที่สร้างอิมแพคต่อวงกว้างออกมา
.
มาอยู่นี่โชคดีมากที่ได้ทำสิ่งที่ว่ามานี้หมดเลย
.
ช่วงสองเดือนที่ผ่านมางานหนักมาก แต่ไม่ได้หนักในทางไม่ดี ตรงกันข้าม มันท้าทายและสนุกมาก ต้องทำอะไรที่แข่งกับเวลา ศาสตร์ที่ต้องทำก็เป็นงานด้าน Software Engineer ที่ครบเลย ไม่ว่าจะอัลกอเอย Math เอย Optimization เอย Hacking ก็มี ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ตลอดทางเยอะมาก
.
ได้ทำของสนุก ๆ ก็มีความสุขแล้ว แต่โชคดีชั้นสองคืองานที่ทำมีคนเอาไปใช้งานเยอะมาก ๆ อีกด้วย
.
ช่วงที่ผ่านมาเลยทำงานทุกวันตลอดเวลาจริง ๆ ไม่ใช่เพราะ Deadline อะไรทั้งสิ้น บริษัทก็ให้ทำแค่ 5 วัน แต่นี่อยากทำเอง ตื่นมาก็ทำ ๆ ๆ ๆ ๆ เพราะรู้สึกตื่นเต้นกับความรู้ที่ได้รับเพิ่ม แล้วก็ตื่นเต้นกับผลลัพธ์ที่ได้
.
อย่างวันก่อนนั่งใช้เวลาค่อนวันปรับอัลกอโค้ดจาก O(n^2) ให้เหลือ O(log n) จน Optimize โค้ดให้รันเร็วขึ้น 10 เท่าได้ (แปลว่า Cost ของ Server ก็ลดลง 10 เท่าด้วยเช่นกัน) เหมือนเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้รู้สึกว่าเราใช้เวลาไปอย่างมีค่า อยากทำอีก อยากทำเรื่อย ๆ บอกไม่ถูกว่าสุขขนาดไหน เอาเป็นว่าแฮปปี้มากละกัน 555
.
หรือสัปดาห์ก่อนตอน Facebook ประกาศว่าเปิดให้คนโพสต์ 3D Photo ผ่านคอมพ์ได้แล้วนะ นี่ก็ใช้เวลาคืนนั้นเขียน MVP แล้วเปิดให้คนใช้เช้าวันถัดไปเลย ตอนนี้คนเข้ามาใช้เยอะมาก ๆ รู้สึกแฮปปี้กับ Impact ที่สร้างสุด ๆ
.
ผลงานที่สร้างให้ลูกค้าใช้ก็รู้สึกอยากทำให้มันดีขึ้นตลอดเวลา อยากให้ลูกค้าเห็นการปรับปรุง เห็นประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและแฮปปี้กับมันยิ่ง ๆ ขึ้นไป แค่นึกถึงหน้าลูกค้าตอนได้เจอของดีที่ดีขึ้นแล้วทำให้ไม่อยากหยุดทำงานเลย
.
ความสำเร็จไม่มีวันหยุดราชการ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่ากันเลย หากยังเกลียดวันจันทร์อยู่อาจต้องหาสาเหตุกันละนะว่าทำไม หาคำตอบให้ตัวเองให้ได้ว่าความสุขคืออะไร ปรับตัวเข้าหามันให้ได้ ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าจะนั่งทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไปวัน ๆ
.
อย่างที่คนเค้าว่ากันแหละ ถ้าได้ทำงานที่รัก ... คุณจะไม่ได้หยุดพักอีกเลย
.
เค้าว่ากันงี้เปล่านะ จำไม่ค่อยได้
เท่าที่สังเกต...คนที่เล่นหุ้นมาหลายๆปีแล้วไม่รวยสักที
- อยากรวย แต่อ่านหนังสือไม่ถึง 30 เล่ม ??
นักลงทุนที่ดี ต้องรู้จักธุรกิจ ต้องทำบัญชีเป็น ไม่มีอะไรง่าย
ถ้าจะซื้อหุ้นธุรกิจเดินเรือ คุณรู้จักเรือทุกประเภท
รู้จักน้ำมันBW380 รู้จักตู้ รู้จักTEU เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ
คิดดู เด็ก ป.ตรี อ่านหนังสือตั้ง 4 ปี เพื่อทำงานเงินเดือน 1.5 หมื่น
นักลงทุนที่ดีจะน้อยกว่านั้นได้ไง ผมคิดง่ายๆแบบนี้แหล่ะ
- ยึดถือกับสิ่งผิดๆ ดูกราฟ ดูเส้น พอผิด ก็บอกว่าตัวเองดูผิด แบบนี้ไม่ต่างกับแม่ค้าในตลาดทำนายฝันหลังหวยออก
- เปลี่ยนวิธิการไปเรื่อย ทั้งที่บางทีมาถูกทางแล้ว แบบนี้ทำให้การตัดสินใจไม่ดี ถึงจุดๆนึง ตัวเองก็ไม่รู้จะว่าควรอิงกับอะไร
- ซื้อตามคนเก่ง(?) อันนี้เหมือนจะง่าย แต่ไม่ยั่งยืน แถมบางทีคนอื่นก็เม่าพอๆกับตัวเองนั้นแหล่ะ
>>492 อ่อ จะบอกว่าเขาขายฝัน ขายความฝันที่จะได้รู้สึกว่าเป็นเจ้าชีวิตคนใช่ป่าว เพื่อกลุ่มเป้าหมายที่มีรสนิยมชอบแบบนี้ แล้วพอไอ้ภาพความฝันที่ว่ามันพังทลาย มันก็เลยฝันต่อไม่ได้ เลยเลิกตามเลิกสนับสนุน เปลี่ยนเป็นด่าและสาปแช่งเขาแทน จนกลายเป็นกฎเหล็กผูกมัดอย่างไม่เป็นทางการ หรือเรียกอีกอย่างว่าสัญญาใจอะไรนั่นน่ะ
ไม่ใช่ไรนะ คือสิ่งที่มึงและ >>489 อ้างมามันตีความได้แบบนี้อย่างเดียวอะ ถ้าไม่ใช่ไหนมึงลองแก้ต่างมาดิ๊ว่ามันมีสาเหตุอื่นไดอีกที่ทำให้มึงไม่พอใจที่คนที่มึงติดตามจะไปมีแฟนมีผัว
จนถึงวันนี้ เห็นการหมอบกราบ... ของชาติแล้ว ผมว่าเป็นเอกลักษณ์ ที่ยากจะมีใครทำได้อย่างอ่อนโยนเท่าไทยเรา และอย่างมีเอกลักษณ์ ที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ ..บอกเลยว่า ภาคภูมิใจครับกับความเป็นไทย กับการหมอบกราบที่ทรงคุณค่าครับ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสอนให้รู้ว่า ในบางตำราที่พวกฝรั่งได้กล่าวอ้างว่า พวกเขาเป็นชนที่มีอารยะเหนือกว่าเรานั้นไม่จริงเลย
เราเป็นประเทศที่มีอารยะ อยู่อันดับต้นๆของโลก ทั้งด้านการปกครอง ประเพณี วัฒนธรรม และการศึกษา แต่เราโชคร้ายที่มีบางพวกบางกลุ่ม คิดทำลายสิ่งเหล่านี้
พอทำงานวิศวะนานๆ เนี่ย มันจะสร้างนิสัยประจำอาชีพ ยิ่งวิศวกรมือดี ยิ่งมีนิสัยพวกนี้แรง ทำให้บางทีคนทั่วไปมองเราแปลกๆ ใครเป็นเด็กวิศวะ ลองถามตัวเองว่าคุณมีลักษณะแบบนี้ไหม
1. ติดนิสัย logic ทุกอย่างต้องมีเหตุผล ความเป็นมา เชื่อมโยงเป็น logic อธิบายได้ เจอสายศิลป์ทำอะไรไม่มี logic จะสติแตก พอดีแต่งงานกับสาวบัญชี เขาก็ logic พอควรเลยอยู่กันได้ (แต่สาวบัญชีนี่เจ้าแห่งการวางแผน ลงรายละเอียดเลยนะ จะบอกให้)
2. ทำอะไรชอบวางแผนและใช้ข้อมูลประกอบมากว่าคนทั่วไป เคยไปช่วยเขาถ่ายรูปหมา ก็ถามไป ว่าหมากี่ตัว กี่ชุด กี่ที่ สถานที่ทึบหรือ โล่ง กี่โมงดี แสงทิศไหน แล้วไปก่อน ไปเดินวนหาสถานที่ ดูมุมแสง น้องเขาตกใจว่าแปลกดี เขานึกว่าปกติก็เอากล้องมาถ่ายๆๆๆ เลย เห็นว่าเราทำอย่างนี้แปลกดี
3. ชอบลุยๆ เสี่ยงๆ เพราะเราเจอแก้ปัญหาหน้างานบ่อย เลยพบว่าวางแผนไปมากมาก ก็เท่านั้น เวลาทำจริงปัญหามาตลอด ความเก่ง คือ เตรียมการแก้ไว้ได้ทุกท่า มากกว่า วางแผนก็ใช้ระดับหนึ่ง
4. คิดเป็นระบบจัด เป็นขั้นเป็นตอนมาก บางคนบอกว่าพวกเรามี flow chart ในหัว ประเภท
if a then b if c then e for i=1 to n dothings อะไรประมาณนั้น ชอบชีวิตที่มีกรอบชัด พยายามหากฏมาใส่ อธิบายสิ่งต่างๆ ชัดๆ ทำให้ทำอะไร art art จะออกมาดีแต่แข็งๆ ต้องบอกว่า ใครจะให้สุดยอดต้อง break ลักษณะนี้ให้ได้ ถึงจะคิดนอกระบบได้ดี ต้องมั่วๆ นิดนิด
5. เชื่อยากยาก ตรวจสอบข้อมูลจากต้นตอ ต้องเช็คแล้วเช็คอีก ชอบค้น จะซื้ออะไรก็ค้นๆๆๆๆๆ เทียบๆๆๆๆ นั่งอ่าน รีวิวไปเรื่อย เลยกว่าจะซื้ออะไรที นาน
6. พอเชื่อแล้วจะปักใจ ใครว่าไงก็ไม่ถอย เถียงๆ ไปเรื่อย เลิกตรวจสอบเอาดื้อๆ เป็นแบบที่ขัดกับข้อก่อนหน้า แฮะ และจะดื้อมากมาก ถ้าใครมาแตะความเชื่อที่พิสูจน์ไปแล้ว (ของตัวเอง)
7. มีโลกส่วนตัวสูง มีมุมส่วนตัว ใครห้ามมายุ่ง บางทีจะหายไปในนั้นแล้วตัดโลกทั้งมวลออกไป ใครไม่เข้าใจจะงงๆ เช่น นั่งโปรแกรม ไป หัวเราะไปทั้งวัน ต้องเข้าใจและปล่อยไป
8. แต่ก็ชอบสมาคม รักเพื่อน รักพวก เจอกันทีคุยกันนานๆๆๆ ขัดกับข้อที่แล้ว
9. หมดเงินกับของเล่น Smart phone tablet เครื่องเสียง หูฟัง กล้อง เลนส์ จักรยานต์ รถปังคับ เครื่องบิน หุ่นยนต์ drone ต้องซื้อไว้รอบตัวไม่มีที่จะเก็บ แต่ก็อยากได้ไปเรื่อย ๆ งั้นๆ อะไรใหม่จะออกรู้หมด บ้าเสปคของจัด
10. หลายคนชอบเล่นอะไรยากๆ แปลกๆ ลึกๆ จนคนเขาสงสัยว่ามันสนุกเหรอ ทำไมทำอะไรง่ายๆ ขำๆไม่ได้เหรอ ผมมีรุ่นพี่รุ่นน้องที่ต่อลำโพงเอง เอาโปรแกรมมาออกแบบ เสียงเอง มีพวกบ้าถ่ายรูปที่อ่านตำราเป็นเล่มๆ ทฤษฏีเพียบ ฟังเพลง classic แล้วฟังมันทุกเม็ด รู้จักทุกวง ประวัติคนแต่ง อ่านกำลังภายใน รู้หมด สำนักไหน อาวุธอะไร รู้เป็นฉากๆ จำคำพูดได้ แต่พวกนี้มักจะเป็นนิสัยมือดี เป็นกัน
11. เวลาทำงานจะชอบอะไรง่ายๆ เวิร์ค ท่ามากไม่เอา บางทีก็มั่วๆ เขาถึงเรียกว่า know how ไม่สนใจหรอก know why เอาที่แก้ปัญหาได้ ถูกๆ เวิร์คๆ ก็พอ เป็นนิสัยขัดกับข้อก่อนหน้า น่ะ แปลกไหม
12. บางทีบูชา efficiency จัด เป็นไหมครับ ทำชาวบ้านที่ไม่เข้าใจโกรธไปหลายที เช่น กินข้าวเสร็จ ขณะจ่ายเงิน ขอออกไปซื้อของก่อน efficient ดี พยายามทำหลายอย่างพร้อมกัน งง งง ทีนี้ คนไม่เข้าใจอาจจะหาว่าเราขาดมารยาท แต่ที่จริงเราลืมไป เพราะทำอย่างนั้นมันไม่ efficient นี่นา
ใครคิดอะไรออกก็เติมๆ มานะครับ
ประวัติศาสตร์จะต้องจารึก
รัฐบาล สุดท้าย ในรัชกาลที่ 9
รัฐบาล แรก ในรัชกาลที่ 10
เป็นรัฐบาล เผด็จการทหารที่มาจากการยึดอำนาจและไม่ยอมวางมือหลังมีการเลือกตั้ง
ช่วงบ่น
Object oriented เริ่มมาจาก Alan Kay
"OOP to me means only messaging, local retention and protection and hiding of state-process, and extreme late-binding of all things. It can be done in Smalltalk and in LISP. There are possibly other systems in which this is possible, but I'm not aware of them."
คือประเด็นของเขา เขาอยากซ่อน State processing
คือระบบสมัยนั้นมันมี Spaghetti code เยอะ State มันพันกัน ก็เลยบอกว่า เราแยกเป็นส่วนๆ Subsystem แล้วคุยกันผ่าน Message ได้มั้ย มันจะได้การันตีได้ว่า State ตรงนี้ไม่โดนใครกระทบ (นอกจาก Interface ของส่วนนั้น)
ถ้าพูดให้เห็นภาพคือ จากโค้ดสปาเก็ตตี้ก้อนใหญ่ เราได้สปาเก็ตตี้ก้อนเล็กๆ หลายๆ ก้อน ที่การันตีว่า มันไม่พันข้ามกัน ทีนี้เวลาเราจะแก้ไขจะ Debug มันก็รู้แล้วว่ากระทบแค่ไหน ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มีโอกาสกระทบหมด
อันนี้คือ Essence คือ Priority อันแรก และมีผลทาง Practical ด้วย คือแก้โค้ดตรงนี้เราบอกได้ว่ามันกระทบแค่ไหน ไม่ใช่นั่งพารานอยด์ว่าจะโดนนั่นมั้ยโดนนี่มั้ย มันจำกัดจุดระวังได้ ไม่ใช่พันกันจนแค่จะแก้ Bug เล็กๆ ต้องมานั่ง QA ระบบทั้งเดือน อะไรเงี้ย
ทีนี้คือบางทีเคยไปเห็นโค้ดที่มี 2 Object ที่ Share state กันบน Global singleton โดยบอกว่าต้องแยกเป็น Object เล็กๆ ตาม Single responsibility principle แล้วแบบ แถมคุยกันแบบใช้ Design pattern อย่างหรู เราก็ได้แต่เอิ่ม.......
คือสุดท้ายคุณสร้าง Object ใหญ่กว่านี้หน่อยแต่ไม่ต้องประกาศ Global singleton แล้วมันลิมิตว่าแก้โค้ดแล้วจะกระทบแค่นี้จะดีกว่าเยอะเลยนะ ดันไปเชื่อว่าออบเจ๊กต์ต้องเล็กแล้วเอามันมามี Priority อยู่เหนือกว่า Practical implication โค้ดก็พันกันแก้ยากอ่ะครับ
คือผมว่า บางที OOP Industry มันมาไกลจนลืมแก่นบางอย่างและลืมไปว่าเราใช้มันแต่แรกเพราะอะไร
ปัญหาที่ทำให้คนคิด Coding pattern กับ Programming paradigm มีแค่นี้
"โค้ดพันกัน เพื่อนหาไม่เจอว่าโค้ดอยู่ไหน มี Bug ดูแถวไหนดี แล้วพอผ่านไปซักพักผมไม่รู้ว่าแก้ตรงนี้จะกระทบโดนเท่าที่มันควรกระทบมั้ย ทำไงดี"
ทั้งหมดมันมาตอบคำถามนี้แหละ ซึ่งใครตอบคำถามนี้ได้อย่างหมดจด ทีมคุณจะ Productive มากๆ จนมี Unfair advantage เลยแหละ
สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง รัสเซียขนส่งอาหารและยุทโธปกรณ์ทางรถไฟ โดยที่ต้องการส่งของให้ได้ปริมาณมากที่สุด ในขณะที่ศัตรูฝ่ายสหรัฐอเมริกา ต้องการที่จะทำให้รัสเซียส่งของทางรถไฟไม่ได้ โดยการระเบิดรางรถไฟให้ขาด โดยให้ระเบิดน้อยครั้งที่สุด
เพื่อน ๆ เชื่อไหมครับว่า อันนี้เป็นที่มาของปัญหาที่ดังมากทาง computer science คือ ปัญหา maximum flow (max flow min cut theorem)
ใครอยากเรียนอะไรแบบนี้ ติดต่อมาได้ครับ
ในพระราชพิธี มีการยิงสลุตด้วยปืนใหญ่โบราณ ก็ยังมีพวกไม่รู้แซะว่าปืนใหญ่เป็นอาวุธของพวกฝรั่ง
มึงเข้าใจผิด
ดินปืน และปืนใหญ่เป็นอาวุธที่ถูกค้นพบโดยชาวจีนในยุคราชวงศ์ซ่ง และหลังจากนั้น ดินปืนและปืนใหญ่ก็เริ่มแพร่หลายสู่ชาติอื่น ๆ
ช่วงยุคปลายคริสตศตวรรษที่ 15 - ต้นคริสตศตวรรษที่ 16 ชาติที่พัฒนาเทคโนโลยีนี้ไปไกลในเอเชียมี 2 ชนชาติก็คือเกาหลีและอยุธยา
ในสงครามรุกรานเกาหลีของญี่ปุ่น ปืนใหญ่นับเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยให้เกาหลีปกป้องเอกราชของตนเอาไว้ได้
ส่วนญี่ปุ่นหลังจากสงครามครั้งนั้น หลังจากที่จีนและเกาหลียุติการขายปืนใหญ่ให้ ญี่ปุ่นก็หันมานำเข้าปืนใหญ่จากอยุธยาแทน
______
เมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชส่งคณะทูตไปฝรั่งเศส หนึ่งในเครื่องราชบรรณาการที่ถูกส่งไปยังมีปืนใหญ่คู่หนึ่ง
และช่างบังเอิญ ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ปืนใหญ่ที่มาจากอยุธยา ดันถูกลากออกไปใช้ยิงถล่มประตูคุกบาสตีล
จุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยสมัยใหม่ในฝรั่งเศส ที่จริงแล้ว เป็นไทยเรานี่แหละเป็นผู้ส่งออกนี่เอง
________
ประวัติศาสตร์ชนชาติไทยของเรา ในอดีตมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อย
ไม่ได้อ่อนด้อยแบบที่พวกร่านมโนประวัติศาสตร์กันเอาเองหรอกนะมึง
I’m selling popcorn for people reading the comments.
{\__/}
( • . •)
/ >🍿
▪Regular 🍿- $2.00
▪Large🍿- $4.00
▪Extra butter .50 cents.
{\__/}
( • ᴗ •)
🥤৵ \
▪Add a coke for only $1 🥤( the liquid kind ) 🤣
{\__/}
( ˘ᴗ˘)
🍕৵ \ ▪ Pizza - $2.00
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมอยากหาหุ้นส่วนมาทำสตาร์ทอัพกันครับ ไม่ได้ต้องการมาลงทุนเงิน อะไรนะครับ อยากได้คนเขียนโปรแกรม เป็นผมมีไอเดียและคิดว่ามีตลาด แต่เขียนโปรแกรมไม่เป็นครับ อยู่ กทม ครับ จะเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง หรือนักเรียนกำลังเรียนอยู่อะไรก็ได้ครับสนใจทักอินบ็อกมาคุยกันครับ ไม่มีการขอให้ลงเงินใดๆทั้งสิ้น มีแต่จะขอความรู้ที่คุณมีถือว่ามาฝึกฝีมืิและอาจเป็นรายได้ให้เราได้ครับ
คุณเขียน ผมเขียนโครงสร้างความต้องการและผมจะเป็นคนไปขายเองครับ พอมีกลุ่มลูกค้าอยู่ครับ
โปรเจคนอกเวลางานน่ะครับผมเข้าใจได้ว่าทุกคนต้องกินต้องใช้แต่ที่โพสต์ในลักษณะนี้อยากจะหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ก่อนครับ แล้วพอคุยภาษาเดียวกันแล้วค่อยคุยเรื่องอื่น ผมมีทั้งทางเลือกที่จะ หานายทุนมาทำ และทางเลือกที่เราจะทำเอง ครับ อยากได้คนที่ไม่ถามถึงเรื่องเงินก่อนเรื่องอื่นครับ หามีความสนใจ สามารถนัดกินกาแฟกันก่อนแล้วมาลองคุยรายละเอียดอื่นๆได้ครับ ผมก็มือใหม่ ครับ
"อยากทราบราคาประมาณ ของ โปรแกรม สมาชิกนี้"
"สองหมื่นครับ" ผมตอบ
"แพง จัง "
เป็น คำพูดของ ลูกค้าที่ คนเขียนโปรแกรมจะต้องเจอ
ใช่ครับราคาโปรแกรมสูง กว่าที่ลูกค้า ที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์คิดเสมอ มีตั้งแต่ หลักร้อย จนกระทั่งถึง หลักสิบล้าน ร้อยล้าน มีครบหมด แล้วแต่คุณภาพความสามารถ ที่จะกระทำ แลกกับความสะดวกสบายในการ
ใช้งานหลายคนจะบอกว่า แพงไว้ก่อน บางคนคิดว่าโปรแกรมไม่มีราคาเสียด้วยซ้ำไป
คนเขียนโปรแกรมแค่ คีย์ คอมไม่กี่วันก็ได้เงินแล้ว
มันเป็นเรื่อง ที่คิดผิดมากๆ แล้วทำไมโปรแกรมถึงมีราคา สูง คุ้มหรือไม่ที่จะซื้อ
ยี่สิบปีก่อนผมทำงานห้างสรรพสินค้า ปัญหา อยู่ที่ Supermarket แผนกนี้จะรับสินค้า จาก บริษัทต่างๆ มากมายเกือบพันแห่ง มีรายการ สินค้า 2-3 หมื่นรายการ คิดเอานะครับเฉพาะ กาแฟ มีกี่ยี่ห้อ มีกี่รุ่น
สิ้นเดือน ผู้ขายก็จะมาวางบิล
สหพัฒฯ อย่างเดียว มี หกเจ็ดแผนก มี การวางบิลแยกแผนกกัน ว่าสินค้าเขาขายได้เท่าไรจ่ายเงินเท่านั้น
ทีนี้ เวลาขายสินค้า มันจะมีรายการขายต่อเดือนราว 5 แสนรายการต่อเดือน
คิดแค่แยก supplier แค่นี้ ให้ครบไม่ให้เงินตกหล่น ก็ จุกแล้ว ถ้าไม่ใช้คอมพิวเตอร์ใช้มือคนแยก ปิดงบสิ้นเดือน ต้อง รอไปอีก สิบห้าวันจะแยกเสร็จไหม ถูกต้องไหม
ใช้คน เท่าไร แต่เดิมเปิดห้างมีพนักงาน บัญชี 20 คน
ผมนั่งเขียนโปรแกรมด้วยค่าแรง เดือนละ 18000 บาท สิบเดือนเก็บงาน ตั้งแต่ Point of Sale จนกระทั่ง ออกรายงานครบ คิดเป็นค่าแรง 1.8 แสนบาท ถ้าตีเป็นราคาซอฟแวรืก็คือ 1.8 แสนบาท มองแล้วสูง สำหรับ
คนที่มองผ่านๆ แต่ ถูกมาก เพราะลดคนทำงานลงไปเหลือห้าคน พนักงาน อีก15 คน ไปทำงานแผนกอื่น คิดเฉลี่ย พนักงาน หัวละหมื่นบาท 15 คน ลดค่าใช้จ่ายไป 1.5 แสนบาท สองเดือนก็เกินคุ้มแล้ว
ทีนี้ มาคุยกันเรื่องจ้างทำระบบ คิดให้หยาบๆ ว่าทำไม มันถึงราคาสูง บางตัวผมเสนอราคาไป 1 แสนบาท
โปรแกรมบัญชีควบคุมการผลิต ลูกค้าอยู่ ระยอง เขียนโปรแกรมหนึ่งเดือนเสร็จ
คิดค่าแรงวันละ 2 พันบาท 30 วันก็ 60000 บาท
เคยมีนะครับ ลูกค้าเจ้าหนึ่งเปรยๆ กับผมว่า "ค่าแรงวันละห้าร้อยก็สูงแล้วนะ"
แบบนี้นะอาเฮียผมแนะนำให้เอาหัวหน้า รปภ มา เขียนโปรแกรมดีกว่า หัวหน้ารปภ บริษัทใหญ่ ๆ ค่าแรงวันละ 600 บาท ด้วยซ้ำ ช่างล้างแอร์บ้านผมล้างแอร์ตัวละ 300 บาท แค่ช่วงเช้า ล้างแอร์ สามตัว ได้ไปเก้า
ร้อยแล้ว
เอาช่างล้างแอร์มาเขียนโปรแกรมเอาไหม
ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่เสนอราคา ยัน ปิดการขายเก็บเช็ค ขับรถไประยอง สิบเที่ยว ๆ ละ 1500 บาท อย่าลืมนะครับค่าน้ำมัน กินไปพันบาทแล้ว สิบเที่ยว อีกหมื่นห้า รวมค่าแรง เป็น 7.5 หมื่นบาท
งานจบแล้ว ลูกค้ายังมี การโทรถาม ขอแก้นิดแก้หน่อย ต้อง ตามดูงานให้ลูกค้าอีก ร่วมสามเดือน บางที ลูกค้าเองทำงานผิดพลาด เราต้องแก้ไขข้อมูล ระหว่างการเริ่มรันระบบ บางที เงินเหลือสองหมื่นห้าก็หมด บาง
ครั้งการ เสนอราคา คนของบริษัทลูกค้าเองนี่แหละเล่นใต้โต๊ะ
แม้จะไม่ชอบก็ต้องกล้ำกลืน ขอเงิน ค่าปากถุง 10% เป็นอัน ต้องบวก อยู่ในค่าโปรแกรม เจ้านายนะไม่รู้หรอก แต่นี่คือต้นทุน
Know how บางอย่าง เขียนโปรแกรม 10 บรรทัด ค่าโปรแกรม ตรงนี้ปาเข้าไป สองหมื่นบาท เพราะเป็น knowhow เช่น ระบบต้องมีการต่อกับเครื่องชั่งน้ำหนัก บัตรสมารท์การ์ด เครื่องสแกนลายนิ้วมือ ฯลฯ
พวกนี้ คือ สิ่งที่ จำเป็น ต้อง ใช้มืออาชีพในการทำงาน
ค่าความเสี่ยงที่ ไม่มี ใครคิด ว่าจะเกิด
ทั้งหมดนี้คือ รายการค่าโปรแกรมที่เกิดขึ้น อย่าต่อราคาโปรแกรม เลยครับ ต้นทุน ค่าผลิต โปรแกรมมันสูงไม่น้อยนะ
ระบบต้องการดีเลิศ แต่ราคาจ่าย แบบสามล้อ ก็คงได้งานสามล้อแล้วกัน
นานมาแล้ว หลายปีดีดักมาก เคยมีแบรนด์ไทยอันนึง อยากให้ทำรีวิวส่วนผสม แต่ไม่โอเคที่จะให้เราบอกว่าส่วนผสมนี้มาจากซัพพลายเออร์ไหน เราก็ไม่ทำ แล้วก็คิดด้วยว่าถ้าคุณไมไ่ด้พัฒนาส่วนผสม แอคทีฟอะไรทุกอย่างขึ้นมาเอง ใช้เอง เป็นความลับของตัวเอง แต่ซื้อส่วนผสมจากซัพพลายเออร์มาทำสูตร คนที่ทำแลป คนที่ทำตรงนี้ อ่านส่วนผสมของเขาก็รู้แล้ว เผลอ ๆ ทำได้ดีกว่าคุณด้วย คือวงการนี้ถ้าไม่ได้คิดอะไรเอง ผลิตอะไรเอง จดสิทธิบัตรไว้รัดกุม เขาก็ทำตามกันได้ แต่จะขายได้ขายไม่ได้มันอยู่ที่การสร้างแบรนด์ สร้างความไว้ใจ สร้างความมั่นใจ สร้างความเชื่อมโยงทางจิตใจ มันอยู่ที่คนซือว่าเห็นแล้วรู้สึกยังไง ลองแล้วชอบไหม เท่านั้นแหล่ะ
คือกังวลอะไรไม่เข้าเรื่อง แบรนด์ที่เขาใหญ่กว่า ใหญ่ระดับขายทั้งโลก เราทำรีวิว เราขุดข้อมูลมาบอกหมดว่าส่วนผสมใช้ของใครหรือทำขึ้นมาเอง ไม่เห็นเขาจะมาอะไรกับเราเลย เพราะถามว่าคนมาอ่านแล้วเอาไปทำตามก็ไมไ่ด้แปลว่าจะทำได้เหมือนเป๊ะ หรือทำได้เหมือนเป๊ะก็ไม่ได้แปลว่าจะขายได้ เพราะทั้งสเกลการผลิต ต้นทุน ทรัพยากร มันมีไม่เท่ากัน สร้างแบรนด์มาได้ดีไม่เท่ากัน
ใจแคบกับเรื่องแค่นี้ จะทำแบรนด์ให้สำเร็จได้ยังไง
ในงาน Berkshire Hathaway Annual Meeting ปีนี้ มีคำถามจากผู้ถือหุ้นคำถามหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจ
เด็กอายุ 13 ขวบ ถาม Warren Buffett กับ Charlie Munger ว่า มีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการอดทนรอคอยได้ (delayed gratification)
delayed gratification คือการที่เรารู้จักอดทนรอคอย ยับยั้งชั่งใจ ไม่ตักตวงความสุขตรงหน้า เพื่อรอรางวัลหรือความสุขในอนาคต
ตัวอย่างเช่น ไม่เล่นเกมส์ช่วงเตรียมสอบ ซึ่งเป็นความสุขเฉพาะหน้า แต่ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือเพื่อจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คณะที่ต้องการ ซึ่งจะทำให้ตัวเองได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำในอนาคต
หรือการยับยั้งใจตัวเองไม่ซื้อมือถือรุ่นใหม่ แต่ออมเงินและลงทุนเพื่อที่ตัวเองจะได้มีเงินพอใช้ตอนแก่
หรือการห้ามใจไม่กินขนมหวาน เพื่อที่ตัวเราในอนาคตจะได้มีสุขภาพดี
Walter Mischel นักจิตวิทยาและอาจารย์ที่ Stanford University ในขณะนั้น ได้ทำการทดลอง Marshmallow Experiment ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 และต้นทศวรรษที่ 1970 กับเด็กกว่า 600 คน และติดตามชีวิตเด็กเหล่านี้ต่อไปอีกหลายปี
ในการทดลองนี้ ผู้ทดลองจะให้ขนมกับเด็กคนละหนึ่งชิ้น และบอกเด็กว่า ถ้าเด็กไม่กินขนม และรอจนผู้ทดลองกลับมาที่ห้อง (ประมาณ 15 นาที) เด็กจะได้ขนมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชิ้น
Walter Mischel พบว่า เด็กราวๆ หนึ่งในสามที่อดทนรอจนได้กิน marshmallow 2 ชิ้น เมื่อโตไป จะมีคะแนนสอบดีกว่า รูปร่างและสุขภาพดีกว่า ชีวิตด้านอื่นๆ ก็ดีกว่า
ในงานประชุม Munger ซึ่งมีลูก 8 คน ตอบเด็กไปว่า เขาคิดว่า เรื่อง delayed gratification ไม่สามารถสอนกันได้ ถ้าจะเป็นก็เป็นมาตั้งแต่เกิด
แต่ในหนังสือ The Marshmallow Test อาจารย์ Walter Mischel ให้แนวทางในการพัฒนาเด็กให้มีความสามารถในการอดทนรอคอยไว้ดังนี้ :
1. ช่วงท้องและช่วงเด็กอายุสองสามปีแรก อย่าให้เด็กเจอความเครียดสูงๆ และยาวนาน
ขั้นแรก พ่อแม่ต้องพยามยามลดระดับความเครียดของตัวเองก่อนเลย
2. เริ่มต้นตั้งแต่ขวบปีแรก พยายามสอนให้เด็กรู้จักหันเหความสนใจไปจากเรื่องน่าหงุดหงิด
3. สนับสนุนช่วยเหลือเด็ก แต่ก็ปล่อยให้เด็กตัดสินใจด้วยตัวเองด้วย
สอนลูกว่า เขามีทางเลือกที่เขาเลือกได้ และแต่ละทางเลือกจะมีผลที่ตามมา
สอนลูกว่า ทางเลือกที่ดีจะนำไปสู่ผลลัพธ์ดีๆ ทางเลือกที่แย่จะนำไปสู่ผลลัพธ์แย่ๆ
4. สอนเด็กให้พัฒนาทัศนคติเรื่อง การเรียนรู้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
แทนที่จะชมลูกว่าได้เกรดดีหรือฉลาด ให้ชมลูกว่า ลูกพยายามเต็มที่
5. อยากให้ลูกเป็นแบบไหน ทำตัวอย่างให้ลูกดู ทุกทัศนคติ การกระทำ ความรู้สึกของพ่อแม่จะส่งผลกับลูกอย่างมาก
6. ใช้นิทานหรือเรื่องเล่าสอนลูกให้เห็นผลลัพธ์ของพฤติกรรมดีๆและพฤติกรรมแย่ๆ
ใช้เรื่องเล่าสอนลูกเรื่องการตัดสินใจ การจัดการกับความโกรธ การจัดการกับอุปสรรค และอื่นๆ
(มีต่อ)
(ต่อจาก >>518)
กลยุทธ์ที่จะช่วยให้เราอดทนรอคอยมีหลายอย่าง เช่น
- การหันเหความสนใจไปจากตัวกระตุ้น ด้วยการคิดเรื่องอื่นหรือหาอะไรทำแทน
- การหลีกเลี่ยงไม่ให้เจอตัวกระตุ้น เช่น ไม่ซื้อขนมเก็บไว้ในบ้าน ไม่เดินผ่านหน้าร้านขนม
- การวางแผนล่วงหน้า เช่น พอถึง 5 โมงเย็นปุ๊ป จะออกไปวิ่งทันที
- การนึกภาพของผลเสียจากการตักตวงความสุขตรงหน้าให้ชัดๆ เช่น นึกถึงภาพตัวเองที่มีรูปร่างอ้วน เป็นเบาหวาน ความดัน ตอนอยากจะกินขนม
- การนึกภาพของผลดีจากรอคอยความสุขในอนาคตให้ชัดๆ เช่น การมีเงินพอใช้แบบไม่ต้องกังวลตอนแก่ การมีสุขภาพดีไปเที่ยวได้ตอนอายุมาก
กลับมาที่คำถาม หลายคนอาจจะคิดว่า Buffett น่าจะตอบว่า ให้ประหยัด เก็บเงินเยอะๆ ไปลงทุน จะได้รวย
แต่ไม่ใช่เลย Buffett พูดว่า "ความอดทนรอคอยเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่การรู้ว่า ตอนไหนควรใช้เงินก็สำคัญเช่นกัน"
เขาพูดต่อว่า "ผมไม่ได้คิดว่า การเก็บเงินคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกครอบครัวทุกสถานการณ์"
Buffett ยกตัวอย่างเสริมว่า การไม่พาครอบครัวไปเที่ยว Disney World สองวัน เพื่อเก็บเงินไว้ให้พอไปเที่ยวทั้งอาทิตย์ในอีก 30 ปีข้างหน้า อาจจะไม่ใช่สิ่งควรทำ การใช้เวลากับบางอย่างที่มีความหมายมันคุ้มค่าเงิน
เขาบอกว่า กิจกรรมที่ทำให้เรามีความสุขเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
Buffett อาจจะกลัวว่า เดี๋ยวคนจะใช้เงินกันใหญ่เลยคราวนี้ เขาเลยพูดต่อว่า ตัวเขาเองจะใช้เงิน 2-3 เซ็นต์ จากเงิน 1 ดอลลาห์ที่เขามี กับสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข
เขาพูดตบท้ายว่า ถ้าคุณไม่มีความสุขตอนมีเงิน $50000 หรือ $100000 คุณจะไม่ได้มีความสุขมากขึ้นตอนมีเงิน $50 ล้านหรอก
อย่ายึดติดกับการอดทนรอคอยมากจนเกินไป
คำตอบของ Buffett ตรงกับสิ่งที่อาจารย์ Walter Mischel เขียนไว้ในช่วงท้ายๆ ของหนังสือ :
ชีวิตที่มัวแต่รอคอยความรื่นรมย์หรือรางวัลไปเรื่อยๆ น่าเศร้าไม่ต่างไปจากชีวิตที่เน้นแต่การหาความรื่นรมย์ในปัจจุบัน
ความท้าทายก็คือ การรู้ว่า เมื่อไหร่เราควรเลือกที่จะรอ และเมื่อไหร่เราควรเลือกที่จะไม่รอ
แต่ก่อนที่เราจะเลือกรอหรือไม่รอได้นั้น เราต้องรอให้เป็นก่อน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นับว่าเป็นเรื่องปฏิวัติวงการ hacker และวิธีการป้องกันการถูกแฮกเลยทีเดียว เมื่อกองทัพอิสราเอล ตรวจพบว่าอาคารแห่งนึงในฉนวนกาซา เป็นฐานทัพนักรบไซเบอร์ ของกลุ่มฮะมาส (ฝั่งตรงข้าม) จึงสั่งการเอาเครื่องบินกองทัพอากาศ บินทิ้งระเบิดใส่แฮกเกอร์ซะเลย เพื่อป้องกันการถูกแฮก! 😂😂😂 ตำรา computer security ต้องจารึกเหตุการณ์นี้จริง ๆ เป็น การจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางกายภาพ ไม่ต้องซื้อ Firewall กันเลยทีเดียว
ทวิตเตอร์ของกองทัพอิสราเอลทิ้งท้ายไว้ว่า "HamasCyberHQ.exe has been removed." พี่ดุไปนะ น้องเริ่มไม่ไหว 😂
"การไม่ย่อท้อที่ไร้วิชั่น มันก็เป็นได้แค่ความดื้อรั้นที่ไร้อนาคต"
.
คงเคยเห็นภาพคนที่ขุดหาเพชรไปสักพักแล้วล้มเลิกทั้ง ๆ ที่อีกนิดเดียวก็เจอเพชรแล้ว เป็นภาพที่พยายามสื่อว่าเป็นเพราะเรา "ยอมแพ้" ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จนั่นเอง
.
เป็นคำสอนที่ดูดีว่าอย่ายอมแพ้ แต่เอาเข้าจริง ชีวิตจริงกลับสอนอีกอย่างนึง ตรงกันข้ามเลยหละ
.
"ยอมแพ้ให้ถูกจุดก็เป็นกลยุทธ์นึงของการประสบความสำเร็จนะ"
.
เราถูกชักจูงจากเรื่องเล่านี้มาตลอดว่าด้านหน้าต้องมีเพชร ถ้าขุดไปเรื่อย ๆ ต้องได้เพชรแน่นอน ถ้ายอมแพ้ก็จบ ถ้าไม่ยอมแพ้ต้องสำเร็จแน่ ๆ
.
ทั้งที่จริงข้างหน้าอาจไม่มีเพชรอยู่เลยก็ได้นะ ... เรื่องก็พลิกกลายเป็นว่า "ใครล้มเลิกก่อนต่างหากที่จะเป็นผู้ชนะ" เพราะเค้าจะมีโอกาสไปเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ได้ก่อนคนอื่น
.
เรื่องราวจะเป็นยังไงทั้งหมดอยู่ที่เรื่องเดียวเลย ... "ข้างหน้ามีเพชรมั้ย" ถ้ามีก็ขุดต่อสิ ยอมแพ้ทำไม แต่ถ้าไม่มีก็เลิกสิ จะดื้อรั้นต่อไปทำไม
.
เรื่องเปลี่ยนไปละ ...
.
ประเด็นคือ "คุณจะรู้ได้ยังไงว่าข้างหน้ามีเพชรมั้ย"
.
รู้ได้สิ เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ เพราะสิ่งสำคัญมากที่ต้องใช้ในโจทย์นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ... "วิชั่น" สำคัญมาก เพียงแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมี
.
การมองให้ออกว่าอนาคตกำลังจะไปทางไหน เรากำลังเดินไปถูกทางมั้ย ทั้งหมดเป็น Asset ที่สำคัญมากของการเดินทางสู่ความสำเร็จ เพราะไม่ว่าการเดินทางจะเป็นอย่างไร จะง่ายดายหรือพบเจออุปสรรคแค่ไหน แต่สุดท้าย "ปลายทาง" ต่างหากที่สำคัญ
.
การไม่ยอมแพ้เป็นเรื่องดี เพียงแต่ถ้าไม่มีวิชั่น การไม่ยอมแพ้ก็เป็นแค่การดื้อรั้นที่จะพาเราไปถึงทางตันในที่สุดอยู่ดี
.
หากชีวิตเจอเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าไม่อยากไปต่อ ก็ลองหยุดพักสักนิดแล้วคิดดูอย่างละเอียดว่าที่เรากำลังทำอยู่นี้ มันเป็นหนทางพาเราไปสู่ปลายทางที่เราคิดว่าดีหรือเปล่า
.
ถ้าใช่ก็ปาดเหงื่อแล้วสู้ต่อ สักวันก็จะถึงปลายทางแน่นอน
.
แต่ถ้าไม่ใช่ ... เวลามีค่านะ กลับตัวยังทัน การเดินทางใหม่ ๆ ยังมีอีกมาก
.
และหนึ่งในนั้นจะเพชรก้อนที่เรียกว่า "ความสำเร็จ" กำลังนั่งรอคุณอยู่ที่ปลายทางนั่นแหละ =)
ไม่เข้าใจความคิดในสมองคนไทย ที่เอาเรื่องแย่ๆของประเทศไปพูดบนโต๊ะอาหารให้คนจีนที่มีโอกาสมาลงทุนในประเทศฟัง เพื่อไม่อยากให้เค้าเอาเงินมาลงทุน
ส่วนตัวแม้ว่าผมไม่ชอบการทำงานในหลายเรื่อง ในหลายรัฐบาลแต่ผมก็มองเป็นเรื่องๆ ไม่ได้ตำหนิว่าไม่ดีทั้งคณะไปเสียหมดทุกคน
และก็ไม่ชอบพฤติกรรมการแฉแบบนี้
การที่เงินก้อนนึงไหลจากต่างประเทศเข้ามา อันดับแรกเลยคือการจ้างงาน การเกิดเงินหมุนเวียน ส่งผลต่อประเทศโดยตรงแน่นอน อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องการถูกครอบงำตลาด มันเรียนรู้และลอกเรียนได้ เราก็ทำเองได้ แต่ต้องอาศัยเงินทุนจากต่างชาติมา educate ตลาดก่อน ดีกว่าเอาเงินรัฐมาลงแน่นอน
ไม่เข้าใจจริงๆ จะเอาเรื่องไม่ดีของประเทศตัวเองมาประจานทำไม ในเมื่อตอนที่นั่งอยู่ต่างประเทศก็ถือหนังสือเดินทางสัญชาติไทยแท้ๆ
ไม่อยากทำงานกับคนแบบนี้
เปิดใจช่างภาพ หลังเจอดราม่าหนัก นักเรียนแบกเลนส์ยักษ์ 4 แสน ไปถ่ายภาพ
ครูที่ปรึกษาเครือข่ายช่างภาพเยาวชนจิตอาสา ศิลปากร แจงดราม่า หลังนักเรียนถือเลนส์ราคาแพงไปถ่ายภาพ ชี้ทุกคนได้รับอนุญาต ภาพที่ถูกบันทึกจากนักเรียน ส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ยันไม่ได้อวดรวย...
จากกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เยาวชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเครือข่ายช่างภาพเยาวชนจิตอาสา ศิลปากร ที่ได้ลงพื้นที่รอบบริเวณพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพื่อร่วมบันทึกภาพเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ แต่มีชาวเน็ตบางรายกลับจับผิดว่า กล้องและเลนส์ของเยาวชนที่นำมาใช้ถ่ายภาพนั้น มีราคาแพงเกินไปหรือไม่
ล่าสุด ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสพูดคุยกับ คุณครูสุรกานต์ ดะห์ลัน ครูที่ปรึกษาเครือข่ายช่างภาพเยาวชนจิตอาสา ศิลปากร ได้รับทราบว่า น้องๆ เยาวชนในภาพเป็นนักเรียนจิตอาสาที่ได้ขอเข้าร่วมถ่ายภาพในโอกาสสำคัญนี้ ซึ่งภาพที่ถูกบันทึกจากน้องๆ จะถูกส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อใช้บันทึกประวัติศาสตร์ของชาติต่อไป
“ส่วนน้องที่ตกเป็นประเด็น วันนี้สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ทราบว่า น้องเครียดและเสียใจที่หลายคนไม่เข้าใจในเจตนาดีของน้อง แต่ก็ต้องขอบคุณความคิดเห็นของผู้คนในโซเชียลหลายๆ คนที่เข้าใจว่า สิ่งที่เราทำไม่ใช่การโอ้อวดอะไร ผมมองแบบนี้ครับว่า ในวันที่เราตายไปแล้ว ภาพเหล่านี้จะอยู่ในตู้จดหมายเหตุ ซึ่งจะต้องเป็นภาพที่มาจากกล้องและเลนส์ที่มีคุณภาพที่สามารถเก็บเนื้อหารายละเอียดได้อย่างครบถ้วน”
“มันไม่ได้ที่ว่าเราอวดรวย หรือไม่อวดรวย แต่มันอยู่ที่เราอยากจะเทิดทูนสถาบันอย่างสมพระเกียรติด้วยอุปกรณ์แบบนี้ ประกอบกับน้องมีต้นทุนชีวิตที่สูง ซึ่งเลนส์ราคา 4 แสนกว่าบาทที่เห็นในภาพนั้น น้องซื้อมาเอง และหลายคนต่างพูดว่า ด้วยที่มาที่ไปของน้อง ความจริงน้องไม่ต้องมาสมัครกับทีมเราก็ได้ แต่ด้วยอะไรต่างๆ ที่ลิขิตไว้ ทีมเราจึงได้น้องมาร่วมงาน และงานของน้องที่ออกมาก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ และถือว่าเป็นภาพไฮไลต์เลยก็ว่าได้ แต่ผมไม่อยากจะเอาไปเผยแพร่ให้ใคร นอกเสียจากจะส่งให้สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เพราะเรายึดระเบียบวิธีที่ภาครัฐได้กำหนดไว้”
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา น้องๆ ในเครือข่ายช่างภาพเยาวชนจิตอาสา ศิลปากร ได้ภ่ายภาพให้กับประชาชนมาอย่างมากมาย โดยไม่เลือกว่าประชาชนท่านนั้น จะเป็นใคร เขาจะยากจน ร่ำรวย หล่อสวยหรืออย่างไร สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่โจทย์ของการถ่ายภาพ แต่น้องๆ ถ่ายภาพ และล้างภาพ พร้อมกับจัดส่งไปที่บ้านของบุคคล (ผู้ที่อยู่ในภาพได้ให้ที่อยู่ไว้) ที่อยู่ในภาพด้วยซ้ำ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะประชาชนบางคนไม่มีแม้แต่โทรศัพท์มือถือ ไม่มีกล้องถ่ายรูป แต่น้องๆ ทุกคนก็พร้อมที่จะบันทึกวินาทีประวัติศาสตร์ เพื่อมอบให้กับคนที่อาจจะมีโอกาสน้อยกว่าบุคคลอื่น”
“หลายเดือนก่อนหน้านี้ มีผู้สมัครเข้ามาร่วมเครือข่ายช่างภาพเยาวชนจิตอาสา ศิลปากร เพื่อถ่ายภาพงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นจำนวนมาก แต่เราไม่สามารถให้ทุกคนมาได้ทั้งหมด จึงมีการใช้ข้อสอบข้อเขียนทั้งหมด 3 ฉบับ ซึ่งถือว่ายากและหินมากเลย ซึ่งเป็นคำถามเกี่ยวกับรายละเอียดในงานพระราชพิธี, มารยาทในการถ่ายภาพ และแผนผังริ้วขบวนตลอด 7 กิโลเมตร และน้องคนที่ตกเป็นประเด็น และน้องๆ ทุกคนที่ผ่านเข้ามา ล้วนทำข้อสอบได้ผ่านทั้งหมด” คุณครูสุรกานต์ กล่าว
อย่างไรก็ดี เครือข่ายช่างภาพเยาวชนจิตอาสา ศิลปากร ได้มีการดำเนินการถ่ายภาพโดยนักเรียนจิตอาสา มาตั้งแต่พระราชพิธีเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของในหลวงรัชกาลที่ 9 และลงพื้นที่ถ่ายภาพในเหตุการณ์สำคัญครั้งต่างๆ ของประเทศเรื่อยมา จนมาถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในหลวงรัชกาลที่ 10
ต่อมา มีบัตรอนุญาตให้สามารถเดินถ่ายภาพได้ในพื้นที่รอบนอกสนามหลวง โดยเรียกว่า เจ้าหน้าที่บันทึกเหตุการณ์ของสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ โดยมีระเบียบวินัยกำหนดเคร่งครัดเป็นอย่างมาก
ขอบุคณภาพจาก FM91 Trafficpro, ช่างภาพเยาวชนจิตอาสา ศิลปากร.
ข่าว ไทยรัฐออนไลน์
ปชต. มัวเถียง มัวแย่งอำนาจห่าเหว โกงกันไปโกงกันมา ไม่ว่า รัฐบาลห่าเหว นรกไหนก็โกงทั้งนั้น ไม่มีใครทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เข้ามาเพื่ออำนาจทั้งนั้น ชาติเหมือนสมบัติผลัดกันชม แบ่งกันกิน
ต่างจาก สมัยสมบูรณา ยุค ร5 สยามเจริญ ระดับเอเซีย มีสาธารณูปโภคครบ มี รถรางในพระนคร ชนิดยุ่นต้องมาศึกษาดูงานรถราง แม้จะมีข้อเสียคือยาวๆไป แต่การพัฒนาก็ไม่สะดุดติดขัด มีเอกภาพ ไม่มีแย่งกันไปมาอย่างหมาแบบยุค ปชต. ไม่พอใจรัฐประหาร นับ10ครั้ง ประเทศจึงไม่เดินหน้าสักที สรุป แม่งคณะราษฎร เพราะพวกมันนี่ละ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชาติไม่พัฒนา
ว่าแล้วอยากกลับไปสมบูรณาจริงๆ
ทรงพระเจริญ
ฝรั่งจุดพลุยิงบั้งไฟด้วยเหรอ
อะ ในฐานะที่เราก็ทำงานสายศิลปะ/ออกแบบมานาน แม้วันนี้จะไม่ใช่งานหลักของเราอีกต่อไปแล้ว แต่เห็นดราม่าเรื่องเด็กน้อยกล้อง(เลนส์)แพง งั้นก็ขอคุยเรื่องนี้ในมุมมองของคนทำงานบ้าง
จากที่อ่านความเห็นของหลายๆ คนมา ทั้งคนที่รู้จริง และที่แค่รู้สึกเอาเอง เราขอแบ่งเรื่องนี้เป็น 3 ประเด็นด้วยกัน
1. เครื่องมือแพงจำเป็นหรือไม่?
ก่อนไปถึงจำเป็นหรือไม่จำเป็น ขอนิยามเรื่อง "แพง" หรือ "ถูก" ให้ตรงกันก่อน เพราะเรื่องนี้มันมักจะอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึก และฐานะทางการเงินของแต่ละคนเสมอ แต่จริงๆ แล้ว ในแง่การทำงาน อยากให้มองเรื่องความคุ้มทุนมากกว่า คุณใช้เครื่องมือราคา 2แสน เพื่อทำงานชิ้นละ 20 บาท ทำได้ไหม? ทำได้ครับ แต่นั่นหมายความว่าคุณต้องขายงานให้ได้ 1หมื่นชิ้นขึ้นไป ถึงจะเริ่มเข้าสู่จุดคุ้มทุนของเครื่องมือชิ้นนั้นๆ นี่คิดแบบหยาบๆ ไม่นับค่าเสื่อมราคา, ซ่อมบำรุง และต้นทุนแฝงนู่นนี่นั่น และต้องมาคิดต่ออีกว่า 1หมื่นชิ้นภายในเวลาเท่าไหร่ รอไหวไหม? กำไรเพียงพอต่อการดำรงค์ชีวิตไหม?
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดสรตะจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากมีข้อสรุปว่าราคาเครื่องมือทำให้เราได้กำไร หรือสร้างรายได้ให้เราน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับเครื่องมือที่ราคาต่ำกว่า เราจึงสามารถตัดสินใจได้ว่านั่น "แพง" หรือ "มีราคาสูง" ...โอเคนะ เนื้อหาของบทความนี้ อ้างอิงจากหลักคิดแบบนี้...
มาที่เรื่องจำเป็นหรือไม่จำเป็น
มันเป็นเรื่องที่ออกจะลืมกันไปแล้วว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เครื่องมือเครื่องไม้บางอย่างนั้นมีราคาแพง ไม่ใช่แค่แบรนด์ดัง แต่มันเป็นเหตุผลเรื่องคุณภาพของเครื่องมือนั้นๆ ที่มีความเที่ยงตรง ที่ช่วยให้งานออกมาดีขึ้น หรือ ช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น ลดเวลาการทำงานลงด้วย ซึ่งต้นทุนในการสร้างเครื่องมือที่มีคุณภาพดี พิถีพิถัน ก็จะสูงตามไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อ้างอิงจากหลักคิดข้างต้น หากเครื่องมือนี้ทำให้คุณต้องแบกต้นทุนมากเกินไป ในขณะที่หากใช้ของที่มีคุณภาพต่ำลง และผลงานอยู่ในจุดที่ยอมรับได้ ก็นับว่านั่นเป็นเครื่องมือที่แพงโดยใช่เหตุ
สรุปว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็น?
มันอยู่ที่การประเมินครับว่ามันเพียงพอต่อผลงานที่ออกมาหรือเปล่า? มันจำเป็นต่อเมื่อคุณประเมินแล้วว่ามันช่วยให้คุณจบงานเร็วขึ้น, งานมีคุณภาพดีขึ้น, สามารถเพิ่มมูลค่าให้ผลงานนั้นได้ นั่นก็จะไม่ใช่ของแพง และเป็นของที่จำเป็น แต่ละคนมีความจำเป็นไม่เหมือนกัน เราจึงไม่ควรไปคิดให้เขาว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็น เพราะเราไม่รู้ต้นทุนหรือข้อมูลอื่นๆ ของเขา แต่ถ้าจะบอกว่า สำหรับเรามันไม่จำเป็น ก็โอเคเข้าใจได้ มันอาจจะแพงไปสำหรับคุณ
(มีต่อ)
(ต่อจาก >>533 )
2. ฝีมือคือทุกอย่างหรือไม่?
สำหรับผมแล้วต้องบอกว่า "เกือบ" ทุกอย่าง เรามักจะได้ยินคำพูดทำนองว่า "เป็นจอมยุทธ์ใช้ไม้ไผ่ก็ได้ผลเหมือนกระบี่" ...โอเค ก็ถูกครับ แต่สิ่งที่ต้องแลกมาจากการที่คุณจอมยุทธ์ต้องโชว์เหนือใช้แต่ไม้ไผ่คือ :-
- คุณจอมยุทธ์แม่งเสี่ยงกว่าเดิม เพราะไม้ไผ่จะรับกระบี่คนอื่นตรงๆ ไม่ได้ หักแน่นอน หลบกันเหนื่อยมากแน่ๆ คิดกันเยอะมาก
- คุณจอมยุทธ์จะฟันก็ต้องใช้แรงมากกว่าเดิม หรือแทคติกมากกว่าเดิม เพราะมันอาจไม่คมเท่ากระบี่
- อะบางคนอาจเถียงว่า ไม้ไผ่คมนะเว่ยพอๆ กับมีดโกนเลยถ้าเหลาดีๆ อย่างงั้นคุณจอมยุทธ์อาจต้องเปลี่ยนไม้ไผ่บ่อยมาก เพราะความคงทนไม่เท่ากระบี่เหล็ก ฟัน 3 ที อาจจะทื่อหมดแล้ว
ดังนั้นคุณจอมยุทธ์เก่งครับที่เอาตัวรอดด้วยไม้ไผ่ได้ แต่ถ้าก่อนประลองยุทธ์ คุณจอมยุทธ์มีเงินนอนอยู่ 300 ชั่งในถุงแพรอย่างดีล่ะ?
"กูก็ไปจ้างช่างตีสุดยอดกระบี่สิวะ!" -จอมยุทธ์กล่าว
สรุปว่า ฝีมือต้องดีถูกแล้วครับ แต่ถ้ามีเครื่องมือดีๆ ชีวิตคุณก็จะดีตามไปด้วยไม่ใช่เหรอ? แน่นอน เครื่องมือดีๆ ราคาก็ย่อมต้องสูง และผมจะไม่บอกว่าแพง ด้วยเหตุที่อ้างอิงนิยามข้างต้น
แต่กระนั้น จะดียิ่งกว่า หากเราจะกล่าวว่า "มืออาชีพ ย่อมเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน" นั่นหมายความว่าเขารู้ว่าทำอะไรแค่ไหน ต้องใช้อะไร จึงจะได้ผลงานออกมาตรงตามความต้องการ ประหยัดเวลา, แรงงาน นั่นนับว่าเป็นสุดยอดแห่งศิลปะในการทำงานแล้ว
3. เด็กน้อยควรใช้ของแพงหรือไม่?
จากที่กล่าวมาถึงตรงนี้ ผมคิดว่าแทบจะไม่ต้องคุยหัวข้อนี้ก็ได้ หลายๆ ท่านน่าจะได้คำตอบในใจแล้วว่า ถูก แพง คืออะไร และเครื่องมือควรแพงหรือไม่ เพราะเราไม่รู้ว่าต้นทุนของน้องเป็นยังไง เราจึงไม่อาจตัดสินได้ว่าน้องควรหรือไม่ควรใช้เลนส์เทเลหลักแสน เพราะถ้าน้องบอกว่า ผมตั้งใจจะเป็นช่างภาพสายธรรมชาติ หรือช่างภาพกีฬา และเลนส์นี้จะอยู่กับผมไปจนทำงานยาวๆ เราก็จะหน้าหงายเพราะน้องเขามองไกลกว่าที่เรามานั่งด่าในเนตแล้ว หรือแม้แต่น้องแค่คิดว่าจะถ่ายงานพระราชพิธีให้ออกมาดีที่สุด แล้วค่อยจะเอาเลนส์ไปขายต่อ เราก็หมาแล้ว เพราะน้องเขาศรัทธาในสิ่งที่เขาทำ เราเป็นใครจึงไปด่าน้องว่าอะไรควรไม่ควร?
ส่วนในเรื่องที่อาจารย์แนะนำว่าอยากงานดีต้องใช้ของแพง โอเคถ้าอาจารย์แกพูดแค่นี้จริงๆ โดยไม่อธิบายเพิ่มเติม ก็ต้องบอกว่าแกอาจสร้างค่านิยมผิดๆ ให้น้อง แต่เราก็ไม่ทราบครับว่า แกได้คุยอะไรกับน้องมากกว่านี้หรือไม่ เพราะฉะนั้น อย่าได้ตัดสินใครจากข้อข่าวง่ายๆ จะดีกว่า
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เห็นดราม่าเยอรมันครั้งนี้ คนไทยชอบด่าว่าฝั่งโน้นไม่มีวัฒนธรรม
คือถ้าเรานับวัฒนธรรมของเราจากยุคสุโขทัยได้ เยอรมันก็ต้องนับของเค้าจากสมัย Germanic tribes ได้อะดิครับ
แล้วถ้านับจากตอนนั้นจริงๆ ของเค้าน่าจะยาวกว่าของเราอีก
หรือถ้านับแค่หลัง WW2 เพราะเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่
ของเราก็ต้องเริ่มนับหลังยุคจอมพล ป. อ่ะครับ ไม่ได้ยาวกว่าเค้าเท่าไหร่เลย"
เรากำลังตีความกฎหมายตามตัวหนังสือมากจนเกินไป จนลืมบริบทและหลักการที่ร่างกฎหมายนั้นขึ้นมา และลืมสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป หรือเปล่าครับ?
ลองอ่านสองมาตราข้างล่างนะครับ
มาตรา ๙๘ บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
[...]
(๓) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ
มาตรา ๑๘๔ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้อง
[...]
(๒) ไม่ [...] เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็น คู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ท้ังน้ี ไม่ว่า โดยทางตรงหรือทางอ้อม
ดูจากกรณีด้านกฎหมายที่เป็นข่าวกันอยู่ มีคนถามว่าจะมีความเสี่ยงที่ผมจะโดนคนร้องในกรณีต่อไปนี้หรือไม่
1. ถ้าผมถือหุ้น Fox News ในสหรัฐ หรือ หุ้น facebook ผมจะโดนปรับหมดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง เพราะถือหุ้นใน “สื่อมวลชนใดๆ” หรือเปล่า?
แต่ถ้าผมไม่ได้เป็นเจ้าของสื่อ แต่สร้าง content ได้รัวๆ และมี reach มากกว่าหนังสือพิมพ์จำนวนมากอีกผมกลับไม่ผิดอะไรเลย?
หรือถ้าผมไม่ได้ถือหุ้นสื่อแต่ภรรยาเป็นเจ้าของ และใช้สื่อด่ากราดฝ่ายตรงข้าม ผมก็ไม่ผิดอะไรเลย?
2. ถ้าผมถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวม ที่ไปถือหุ้นกลุ่มสื่อ หุ้นที่ดันไปจดทะเบียนจุดประสงค์บริษัททำสื่อ หรือหุ้น ปตท ที่มีสัมทปานกับรัฐ หรือหุ้นที่มีความเสี่ยงอื่นๆ โดยที่ผมไม่ได้สั่งให้ไปถือ ผมจะเสี่ยงหมดสิทธิ์เพราะการถือหุ้นทางอ้อมหรือเปล่า?
3. แล้วถ้าผมจะตัดใจเลิกถือหุ้นไทย แล้วไปซื้อกองทุนหุ้นโลก แต่กองนั้นดันถือหุ้นไทยอยู่ส่วนน้อยๆ และมีหุ้นสัมปทานอยู่ส่วนน้อยมากๆ แต่จะถือว่าผมถือหุ้นทางอ้อมอีกหรือเปล่า?
ขอความเห็นนักกฎหมายหน่อยครับ
#ปวดตับ
"นี่คือกูอยู่ร่วมประเทศ กับคนที่คิดว่าการล้อเลียน "วัฒนธรรมอันดีงาม" ของประเทศอื่นเป็นสิ่งผิด แล้วตอบโต้ด้วยท่าเคารพนาซีรัวๆ เรอะ"
>>536 ถ้าตีความตามตัวอักษรเลยนะ ประเด็นแม่งอยู่ที่ "กิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ" มันต้องนิยามคำนี้ก่อน ถ้าตามคอมมอนเซนส์ คำว่ากิจการสื่อ มันก็ต้องหมายถึงกิจการที่ประกอบกิจการสื่อสิวะ ทำไมหมายถึงกิจการที่จดทะเบียนโดยมีวัตถุประสงค์ทำสื่อไปได้ ศาลมันไต่สวนข้อเท็จจริงไม่เป็นเหรอ พวกกระทรวงพาณิชย์หรือสรรพากรเวลามันเขียนรายงานกูว่ามันก็ไม่ได้เขียนว่ากิจการxxxทำธุรกิจข้อ 1234ลากไปถึงข้อ30-40หรอก มันก็ต้องดูข้อเท้จจริงว่าตกลงจริงๆแล้วแม่งทำกิจการอะไร แม่งงงตรรกะศาลที่ตัดสินจริงๆนะ
>>536 ถ้าจะสาวถึงบ.ลูกแบบนี้กูว่า ส.ส. ที่ซื้อกองทุนรวมที่มีหุ้นสื่อต้องโดนด้วยละ
ศาลบ้านเรามันตีความโดยอ้างอิงความหมายของ กม.บ่อยๆนะ ไม่ตรงตามตัวอักษรเสมอไป เช่นตอนถนนลูกรังนั่นไงเด่นสุด
แต่กม.คราวนี้มันไม่ใช่ศาลนะ เป็นกกต. แต่ก็คือตีความเหมือนกันคือตีความคำว่าใดๆเป็นเหมารวม ทุกอย่างที่เขียนว่าสื่อ เลือกตีความนั่นแหละ ดังนั้นสูตรคำนวณที่นั่งตอนนี้ ผู้ตรวจการเขายัดให้ศาลรธน.ตีความได้แล้วก็หมายความว่าเราอาจได้เห็นการตัดสินแบบถนนลูกรังอีกครั้ง
เพื่อนผมเคยไปสมัครบริษัทปูนแห่งหนึ่ง ระหว่างสัมภาษณ์เค้าถามเลยว่า น้องรู้มั้ยว่าปูนมีสีอะไร เพื่อนผมตอบว่า สีเทาครับ เค้าตอบกลับมาว่า ไม่ใช่ สีชมพู 🙂
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พี่เป็นหัวหน้า คสช ตั้งตัวเองเป็นนายก ตั้งน้องเป็น ปลัดกระทรวง ตั้งหลานบรรจุทหารด้วยวิธีพิเศษ แล้วหลานคนดีก็เอาค่ายทหารจดจัดตั้ง บริษัท แล้วก็สัมปทานงานกับกองทัพนั้นละ
..
พอวันหนึ่งก็ตั้งน้องเป็น สนช และ ตั้งน้อง เป็น สว ด้วย
...
น้องเป็น สว เพื่อมาเลือกพี่กลับไปเป็นนายกอีกรอบ
...
ตกลงประเทศนี่ เป็นของ จันทร์โอชา ใช่หรือ ไม่
ความเลวของมึงถึงตาย มึงไม่คำนึงถึงปลอดภัย มึงไม่เคารพกฎหมาย เดี๋ยวมึงก็อ้างอีกมึงไม่ได้เป็นคนขับ เหมือนมึงโทษแม่ โทษเมีย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>549 พรบ.กู้เงินโดนตีตกเพราะดสียบบัตรแทนกันนะ ไม่ใช่ไม่จำเป็นเร่งด่วน ผ่านมา 5 ปีแล้วยังไม่เลิกโง่กันอีกเหรอ
ศาลพิจารณาพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติได้ว่า นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ได้ใช้บัตรแสดงตนและออกเสียงลงคะแนนแทน ส.ส.รายอื่น ในการประชุมสภา เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 และ 126 ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ.... ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”
>>553 ดูแถจังวะ มันจะ "ละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็น ส.ส. ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติ หรือการครอบงำใด" ได้ยังไงในเมื่อ สส. ตอนนั้นไม่แตกแถวอยู่ละ ถึงไม่เสียบแทนกันคะแนนโหวตก็ไม่เปลี่ยน อย่างมากก็ด่าว่ามักง่าย ถ้าจะเอาผิดก็ควรพิสูจน์ให้ได้ว่าที่โหวตไปขัดเจตนาของเจ้าของบัตร
ในข่าวก็บอกเองว่ามีเป็น 10 ปีไม่ใช่เรื่องใหม่ แล้วก่อนหน้านั้นไม่โดนไรเลยเหรอ ดูยังไงก็มีธงแล้วหาเรื่องตัดสินตามธงว่ะ
โลกยุคใหม่ ต้องการที่ดินน้อยมากแล้ว
ใครมีที่ดินเยอะๆ ควรปล่อยนะฮะ เพราะ
1. การมีที่ดิน ตจว. นอกจากที่อยู่คือภาระต้องจ้างคนอยู่
2. ภาษีที่ดิน
3. การค้าแบบตึกแถว มันจบแล้ว เพราะ e-commerce มาแทนแล้ว
4. โลกอีกหน่อยจะเป็น sharing economy มากขึ้น การถือครองสินทรัพย์เกินกำลังจะหายไป
5. ถือหุ้นปันผล หรือ REIT ได้ปันผลแน่นอนปีละ 4-5 % ดีกว่าถือที่ดิน ที่ปล่อยยาก
นี่สินะ การปฏิรูปที่พวกเขาพูดถึง
ถ้าทักษิณ เป็นนายกฯ แล้วติดยศให้เมียหลวงและเมียน้อย กินเงินเดือนฟรีๆ คุณคิดว่าจะเกิดไรขึ้น
"กูเปนสลิ่มอย่างที่มึงบอก แต่กูเปนสลิ่มที่ฟังความสองฝ่าย แกนนำพูดเองไม่ใช่หรอ น้ำมันคนละ 1 ลิตร ขวดคนละใบ กรุงเทพจะลุกเป็นไฟ เผาไปเถอะครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง ไม่ใช่หรอ ก่อนบอกว่าเปนทหารอะ ถ้าอยู่ดีๆ แกนนำไม่เคยพูด จะบอกว่าไม่ได้ทำ ทหารทำ จะน่าเชื่อถือกว่านี้นะ" พี่ที่เป็นสลิ่มท่านนึง
ว่าด้วยการ "สเกล AI"
.
ต้องยอมรับว่า AI นี่พลิกวงการโปรแกรมมิ่งจริง ๆ อะไรที่ทำไม่เคยได้ตอนนี้ทำได้สบาย ๆ เลย
.
แต่ในแง่ของ Architecture เบื้องหลังที่เป็น Neural Network การจะทำให้รันได้เร็วก็ต้องใช้ GPU คราวนี้ถ้าเกิดทำงานบน Server Side ก็ต้องเปิด Instance ที่มี GPU เอาไว้ ซึ่ง ... แพงสาสสสส (ถูกสุด $225 ต่อเดิอน)
.
ช่วงที่ผ่านมามี Deploy AI ขึ้นโปรดักส์ชันอยู่สามตัว ใช้ GPU หมด บิลแต่ละเดือนมานี่น้ำตานอง ไม่บอกว่าเท่าไหร่ แต่นองคือนองจริง ๆ
.
ปัญหาเรื่องแพงก็เรื่องนึง แต่ที่แย่สุดคือ "สเกลไม่ได้" เพราะถ้าจะสเกลก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก Concurrent ละ $225 คือมันไม่ Practical สุด ๆ ถ้าคนเข้ามาเยอะขึ้น 10 เท่านี่ไม่หมดตัวกันเลยหรอ
.
หลังจากรันมาหลายเดือน Demand เริ่มเยอะขึ้น แต่การสเกลมันมีข้อจำกัด เมื่อคืนเลยทนไม่ไหว ยอมเอาส่วนการคำนวณที่ต้องใช้ GPU ออกหมดและเลือกรันด้วย CPU ล้วน ๆ เอาแทน ตอนจะสเกลก็สเกล CPU เอา (ราคา Concurrent ละ $24 เท่านั้น)
ซึ่งผลจากการเปลี่ยน GPU เป็น CPU คือมันช้าลงแต่แค่ 0.5-3 เท่าตัวเท่านั้น ยอมรับได้กับราคาที่เซฟไป ตอนนี้จะขยายขึ้น 10 เท่าก็ไม่หวั่นละ พร้อม !
.
สุดท้าย AI คืออนาคตจริงแต่ต้องหาวิถี Optimize Cost ให้ได้ ไม่งั้นก็ทำธุรกิจยากอยู่ดี ที่ทำมาก็
.
- โยกไป CPU
.
- เอาไปรันด้วย ML Engine (ซึ่งก็แพงถ้าเทียบกับพวก CPU Based อย่าง App Engine หรือ Cloud Run)
.
- ทำ Model ให้เล็กจนรันบน Client Side ได้
.
ก็เป็น Key Takeaway นึงเผื่อใครจะทำ AI Based ก็คำนึงถึงค่า Server กันด้วยนะ !
พวกผู้พิพากษา "บางส่วน" ego จะสูงมากกว่าคนปกติเยอะ ขนาดจะให้ ปชช. เรียกสรรพนามนำหน้าว่า “ท่าน” ทุกครั้ง ทุกที่ เพราะมองว่าหน้าที่การงานที่อยู่สูง ตัดสินผิดถูก ให้ทุกคนได้ ควรได้รับการยกย่องมากกว่าคนปกติ
มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผู้พิพากษาคือตัวแทนของพระราชาในการพิพากษาไพร่ ดังนั้นควรได้รับสิทธิเหนือเหล่าไพร่
มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เรียนที่ ___ เดือนเดียว ต้องเก่งเหมือนคนทั่วไปที่เรียนมหาวิทยาลัย 4 ปีครับ ตอนนี้ครึ่งนึงของคนที่เรียนจบตรงสายมายังไม่รู้ว่า Binary Search กับ Binary Search Tree ต่างกันยังไง ที่ _____ เรียนละเอียดลึกซึ้ง ตั้งแต่ Tree, Binary Tree, Binary Search Tree การสร้าง Binary Tree การหาความสูง การนับจำนวนข้อมูล การใส่ข้อมูลให้ Balance การแสดงผลแบบ Inorder จะได้ผลลัพธ์เป็นยังไง? ใครไม่เข้าใจไม่ให้ไปสมัครงานที่ไหนครับ อายเขาเปล่าๆ เขียนทีละตัวอักษร #เทพยังต้องร้องขอชีวิต
ไม่ต้องมีพื้นฐานอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องมีประสบการณ์ทำงาน ไม่ต้องมีวุฒิปริญญา มาเรียนแล้วสามารถหางานประจำเงินเดือน 30,000 ได้ทันทีครับ ถ้ามีคะแนนสอบ TOEFL ตั้งแต่ 100 คะแนนขึ้นไป เงินเดือนเริ่มต้นที่ 40,000 ไม่มีเวลามาเรียนก็อ่านหนังสือเองได้ครับ ส่งใบสมัครมาได้ตลอดเวลา
ดูคอร์สเรียนได้ที่นี่ https://_________.work/register
Billie Eilish คือศิลปินที่วงการสร้างขึ้นมา(ดังผ่านคอนเนคชั่นพ่อแม่ที่อยู่ในวงการ)และindustry make sureว่าต้องทำลุคให้ดูเอดจี้ ดูอินดี้ใต้ดิน เพราะวัยรุ่นสมัยนี้ชอบคิดว่าตัวเองฟังเพลงอินดี้แล้วจะพิเศษกว่าคนอื่น
ถ้าคนแก่ๆแถวนี้คิดไม่ออก ก็นึกไปถึงไอ้คู่หูLMFAOนั่นล่ะ แบบเดียวกันเลย
-มิตรสหอย
"เชื่อว่าประเทศไทยในอนาคตสมัยรัฐบาลถัดจากรัฐบาลนี้ จะมีปัญหาใหญ่แน่นอน:
จะสอนเด็กเป็นคนดียังไง โดยไม่ใช้คำว่า "คนดี" เพราะตอนนี้คำนี้แทบจะกลายเป็นคำด่าไปแล้ว"
คนรู้จักให้เช่าตรงประตูน้ำ
ได้เดือนละ 3 ล้าน
ชีวิตไม่ทำอะไรเลย เที่ยวอย่างเดียว เล่น กิน นอนรัวๆ
มีแค่มาดูอะไรนิดๆหน่อยๆ
"เตือนคนอื่น ก็ไปว่าเค้าคลั่งฯ ไม่มีเหตุผล
และพวกที่โพสต์แบบนี้ ก็ยืนกันต่อไป lol แน่จริงก็ revolution หน่อยสิ" -มิตรสหายในพันทิป
วันนี้ไม่ได้ไลฟ์แต่จะระบายความรู้สึกนิดนึง ผมเริ่มต้นธุรกิจมาด้วยเงินเพียงเล็กน้อยและไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่หลายคนคิดว่าบังสุดยอดครับ บังเก่งมากครับ
คำพูดที่เป็นคำชม นั่นคือความภาคภูมิใจ แต่จงจำไว้เสมอว่าคำว่าสุดยอดนั่นคือยอดมันอ่อนมากพร้อมที่จะหักลงเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นคุณต้องสร้างยอดอ่อนให้กลายเป็นยอดที่แข็งแรง นั่นคือ
การใช้หลายๆองค์ประกอบ และเมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจไปสู่ระดับการมียอดขายที่สูงขึ้นถึงหลักล้านบาท มีการโพสต์ข้อความหรือรูปภาพที่แสดงถึงการขายดีมักจะมีกลุ่มบุคคลที่เกิดความ อะไรไม่รู้บางอย่างก็จะพูดคำว่าแท็กสรรพากร ระวังสรรพากรนะครับบัง ทำให้ผมเกิดความระแวงมาตลอด และเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ที่มีนักขายจำนวนมากในการสอนแนะนำต่างๆแต่เป็นคำสอนบางอย่างที่เราไม่เข้าใจนำสู่ความสงสัยและความกังวลใจ ความสุขเล็กๆที่เกิดขึ้นบางครั้งมันก็จะหายไปชั่ววูบ แต่แล้ววันหนึ่งครับผมได้ขับรถออกไปจากบ้านแล้วผมก็วนกลับมาเอาของ แล้วมีน้องที่ทำงานโทรมาบอกว่าบบังคะ มีเจ้าหน้าที่สรรพากรมา จอดรถแล้วเดินลงไป
ผมเดินลงจากรถด้วยหน้าตาที่ เใจหวิวหวิว เดียวรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง
แต่พยายามที่จะดึงย้อนกลับไปว่ามีคนเคยแนะนำผมว่าให้ใช้หลายบัญชีหลายธนาคารเพื่อที่จะไม่ให้เขารู้ถึงการมียอดเงินในบัญชีหรือยอดเข้าออกในบัญชีจำนวนมาก แต่โดยที่ผมกังวลใจตั้งแต่แรก ผมคิดภาษาคนไม่รู้เรื่อง ผมคิดว่าผมต้องใช้บัญชีเดียวดีกว่าเพราะผมอยากจะเสียภาษีถูกต้องแต่ไม่รู้จะเสียยังไงไม่รู้จะทำยังไงก็ศึกษาในโลกออนไลน์มาตลอด เริ่มมีกระแสที่น่ากลัวขึ้นแต่พอมาถึงวันนั้นวันที่เจ้าหน้าที่สรรพากร 2 คนมาเยี่ยมผมที่บ้านผมหันหน้าไปเห็นเขาก็ส่งยิ้มมาให้ก็รู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรโหดร้ายมากมาย เราก็แค่บอกเล่าถึงเรื่องความจริงที่มาที่ไปสุดท้ายพี่สองคนนั้นก็เลยแนะนำผมกลับมาบอกว่าวันนี้ทางเราจะมาแนะนำ การเสียภาษีที่ถูกต้อง
และผมไม่รู้มาก่อนว่าจังหวัดสตูลนั้นเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเราทำอาชีพค้าขายที่เป็นการขายสินค้า แบบบ้านๆที่เรียกว่าการขายปลาเค็มหรือปลาหมึกแห้ง พวกนี้จะเป็นสินค้าอยู่ในกลุ่ม เกษตรหรืออื่นๆ ซึ่งในจังหวัดสตูลซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่ในเศรษฐกิจพิเศษเสียพันละ 1 บาท ผมรู้สึกว่าโอ้โห มันไม่ได้น่ากลัวเลย และวิธีการเสียภาษี รายการรู้การลดหย่อนภาษี จะทำให้คุณ โล่งใจและสบายใจ ในที่สุดเราก็ได้เสียภาษีถูกต้อง และเราก็ยังทำธุรกิจได้ปกติ ไม่ได้มีผลกระทบอะไรแต่ความสบายใจคือทำถูกต้องตามกฎหมายช่วยเหลือประเทศชาตินั่นแหละคือที่สุดของธุรกิจ ขอบคุณเจ้าหน้าที่สรรพากรหลายท่านที่มาให้คำแนะนำ
พี่สรรพากรเขาก็ทำตามหน้าที่ ในการรับใช้แผ่นดิน
เราคือคนหนึ่งที่ประกอบอาชีพอยู่ในแผ่นดินไทย เมื่อได้ผลประโยชน์ กับตัวเราและผู้อื่นจากการทำธุรกิจส่วนหนึ่งเราต้องเสียสละให้กับประเทศชาติ แล้วคุณจะอยู่ในพื้นฐานของความถูกต้อง สุดท้ายนี้ การเสียภาษีถูกต้องจะปกป้องคุณ และคุณก็คือบุคคลที่ช่วยปกป้องประเทศ
เรียนไปเรียนมา ช่วง ม.ปลาย ประมาณปี 2538 เกิดกระแสปฏิรูปการเมือง รัฐบาลคุณบรรหารเริ่มพูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ในสื่อต่างๆ มีคำว่า ปฏิรูปการเมือง ตั้งกรรมการมาศึกษา แก้รัฐธรรมนูญ คำเหล่านั้นเข้ามาในหัว ผมเลยเริ่มสนใจนิติศาสตร์ขึ้นมา เวลาคนรู้กฎหมายอภิปรายนะ มันพูดเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน สงสัยต้องเรียนนิติศาสตร์หรือเปล่า แล้ว ส.ส. หลายคนจบนิติศาสตร์ นักการเมืองไอดอลของผมคือ คุณชวน หลีกภัย ฉายามีดโกนอาบน้ำผึ้ง พูดอภิปรายก็ต้องฟัง อีกคนก็คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาลง ส.ส. ครั้งแรกปี 2535 ป๊อบปูล่ามากในสังคมการเมืองไทย ผมเป็นแฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์เลย
ตามทวีตอย่างเดียวระวังเมาหนักครับ
เกมส์ยาวของสหรัฐเเละจีนคือการปล่อย bond ให้ได้ราคาดีที่สุด
ถ้าเอาพันธบัตรปริมาณมหาศาลไปวาง offer ยังไงก็ไม่มีคนซื้อ เเค่ถ้าค่อยๆเอา Bond ไปขายตอน demand มันมาเอง มันก็ทยอยขายได้ราคาดี
เเล้วอะไรทำให้ Bond ขายได้ราคาดี ?
-- ตลาดหุ้นลงทำให้เงินเข้า Bond สังเกตจาก yield ที่ต่ำลง
-- ตัวเลขสหรัฐที่ออกมาดีเกิดการ buy dollar พันธบัตรขายได้ราคาดีอีก
เพราะฉะนั้นข่าวอะไรก็ตามที่ทำให้ bond price ขายได้ราคาดี เฮียเเกทวีตเพื่อเร่งโมเมนตัมราคาพันธบัตรทั้งนั้นเเหละ
กำไรสองต่อนะครับ ทั้งขายตัวเก่าได้ราคาดี หรือจะกู้ใหม่มันก็ได้ดอกเบี้ยราคาถูก
คิดถึง long term ไว้ก่อนจะเห็นเเรงจูงใจ
ทฤษฎี"ทองบิน"มาจาก dollar ที่ต้องอ่อนโคตรๆ เเล้วดอลล่าร์จะอ่อนได้ไงต้องมาจากเเรงจูงใจ policy maker
Trade war เลยเหมือนฉากหน้าที่สหรัฐเล่นเกมส์กระดาษ ส่วนจีนเล่นกับ real sector เพื่อสร้าง buffer ของเกมส์การค้าที่ไม่จบง่ายๆ
ทรัมป์ทวีตขึ้นภาษีพร้อมกับ timing ที่จีนลด RRR ช่วย smes ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
กระดาน future กับกระดาน business อะไรงัดกันเเล้วชนะก็เจอกันหน่อย !!
.
.
เเนะนำหนังสือสองเล่มครับ the art of strategy กับ the psychology of judgement and decision making เอามาอ่านเพลินๆริมทะเล
ใช้ได้ทั้งการเทรดเเละการทำธุรกิจ ช่วยให้เราเห็นภาพใหญ่ก่อนวางกลยุทธ์รับความผันผวนในภาพย่อย
Dance with Volatility.
อาทิตย์นี้สะบัดอีกเเล้ว
ถาม: ถ้าเราไม่มีวงศ์ตระกูลนี้ปกครอง เราจะอยู่กันมาได้อย่างไร?
ตอบ:ถึงไม่มีตระกูลนี้ เราก็จะอยู่มาได้โดยถูกตระกูลอื่นปกครองอยู่ดีไง
เห็นด้วยกับ Top Comment
โลกยุคใหม่ ต้องการที่ดินน้อยมากแล้ว
ใครมีที่ดินเยอะๆ ควรปล่อยนะฮะ เพราะ
1. การมีที่ดิน ตจว. นอกจากที่อยู่คือภาระต้องจ้างคนอยู่
2. ภาษีที่ดิน
3. การค้าแบบตึกแถว มันจบแล้ว เพราะ e-commerce มาแทนแล้ว
4. โลกอีกหน่อยจะเป็น sharing economy มากขึ้น การถือครองสินทรัพย์เกินกำลังจะหายไป
5. ถือหุ้นปันผล หรือ REIT ได้ปันผลแน่นอนปีละ 4-5 % ดีกว่าถือที่ดิน ที่ปล่อยยาก
"อนาคตใหม่ยื่นสภาว่าขอให้แต่งกายตามเพศสภาพได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและควรปฏิบัติได้
แต่แฟนคลับค่ายผู้จัดการคอมเม้นกันทำนองว่า
"ไม่ให้เกียรติสภา อยากทำอะไรก็ทำเหรอวะ"
"พวกเหี้ยนี่นึกอยากทำอะไรก็ทำ นี่ตัวแทนประชาชนเหรอ"
ผมไม่ได้ถนัดในประเด็นนี้นัก แต่คิดว่ามันมีเรื่องพื้นฐานที่ไม่ควรจะทำให้ต้องมาเถียงเรื่องนี้ พูดง่าย ๆ คือบางเรื่องควรใช้สมองคิดเองได้โดยไม่ต้องถกกันให้เหนื่อย
1. เขาไม่ได้อยากทำอะไรก็ทำ นี่เขาก็ขอสภาก่อน
2. การแต่งกายตามเพศวิถี คือ การที่เขาแต่งกายสะท้อนและสอดคล้องในสิ่งที่เขาไป ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่มนุษย์ในศตวรรษนี้เขาทำได้ ไม่ได้แปลว่าจะแต่งเป็นนางบดรูดเสา หรือแก้ผ้าเข้าสภาเสียเมื่อไหร่
3. ตัวแทนของประชาชนเหรอ? ก็ใช่สิครับ เขาได้รับการโหวตมา และพูดเรื่องความหลากหลายทางเพศ เขาไม่ได้บอกว่าจะกระทำนโยบายกดขี่ทางเพศ มันก็ถูกแล้วมั้ย? ฉะนั้น การเริ่มจากเรื่องง่าย ๆ ในสภาผู้แทนฯ เองจึงเป็นเรื่องที่สมควรกระทำอย่างยิ่งแล้ว
ผมไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันไม่ให้เกียรติสภาอย่างไร และดูไม่ใชตัวแทนของประชาชนอย่างไร"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ตอนเด็ก ๆ เคยคิดว่า รัฐมนตรีกระทรวงน่าจะมาจากคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านนั้น ๆ ..
โตขึ้นมาเพิ่งรู้ว่า เค้าไม่ได้สนใจความเชี่ยวชาญใด ๆ เลย เป็นผลประโยชน์ตัวเองและพรรคล้วน ๆ
แบบนี้ผมจบดีไซน์มาก็ไปเป็นรัฐมนตรีเกษตรได้ใช่มั้ย?
การแต่งกายตามเพศสภาพในหัวของสลิ่ม = แต่งเป็น Drag Queen , ลุ้ยมาดามมด
เอาตรงๆการใส่ "555555" ต่อท้ายคำหรือประโยคมันไม่ได้สื่อว่าเราจะ "หัวเราะ" โดยตรงเสมอไปอะนะ
ส่วนตัวมองว่าเลข 5 ในบริบทโลกดิจิตอล "ของไทย" เนี้ยมันคือ transliteration จาก onomatopoeia "ฮ่า" จากการ "หัวเราะ" อีกทีอะนะ ซึ่งนอกจากนั้นแล้วเนี้ย "555" ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มันเรียกได้ว่าเป็น polite particle อย่างนึงเลยล่ะ
ด้วยความที่ภาษาพูดเรามีสิ่งที่เรียกว่า prosody (ฉันทลักษณ์: พวกวรรณยุกต์ เสียง ฯลฯ) มันจึงทำให้คู่สนทนาสามารถกำหนด register, mood, และ modality ของกันและกันได้ แต่เมื่อมันมาอยู่ในรูปแบบของตัวอักษร phonology เหล่านั้นมันก็หายไป
ซึ่งการหัวเราะ "555" เนี้ยจริงๆมันก็คือสิ่งที่เรียกว่า "hedge" เป็นสิ่งที่ไว้ทำให้ "ทุกอย่างดูซอฟลง" ในแง่ของภาษาศาสตร์ (เจาะจงคือ pragmatics) ซึ่งการใช้คำ hedge มันมีให้เห็นเยอะแยะนะ ในภาษาอังกฤษ
เช่น "little" ในเชิง adjective hedge (ex: There might be a little problem.) แปล: "มันอาจจะมีปัญหานิดหน่อยอะนะ" (แต่จริงๆมีปัญหาพอสมควร)
หรือ
"you know" ในเชิง phrasal hedge (ex: You know, I was there once.) แปล: "รู้มะว่ากูเคยไปที่นั่นมาครั้งนึง" (อยากบอกว่าเคยไปมา แต่ไม่อยากให้ดูโอ้อวด)
ปกติแล้ว การหัวเราะเองมันถือว่าเป็น expression ที่มักสื่อถึงปฏิสัมพันธ์เชิงบวกในบทสนทนา แสดงถึงความไม่จริงจังและความเป็นกันเอง การ "555" นั้นมันจะทำให้คำและประโยคที่ inflect ลงไป "ดูสุภาพ" ขึ้นและ conform กับ approbation maxim ของ Leech (politeness maxims) ไปด้วยส่วนนึง
กล่าวคือ "5555" ไม่ได้หมายความว่าเราพิมพ์ไปแล้วเราจะรู้สึก "ขำ" ต่อสิ่งๆนั้น แต่มันคือการรักษาระดับของบทสนทนาที่มาทดแทนการขาดหายไปของระดับเสียงและภาษากายที่ใช้กันในภาษาพูด
ลูกค้าอายุ 35 ต้องการหาน้องสเปค ขาว หมวย ตัวบางๆ อายุไม่เกิน 24 ฟิลลิ่งดี ไปเป็นเพื่อนเที่ยวที่จีนปลายเดือนนี้ 3 วัน 2 คืน budget 30,000 ไม่รวมค่าตั๋วและ VISA น้องๆ คนไหนสนใจ ส่งรูปพร้อม profile ที่ไลน์ไอดี *******
คนเก่ง (บางคน) แก้เรื่องยากได้แบบง่ายๆ
คนรวย (บางคน) เอาเรื่องง่ายมาพูดให้ยากแล้วขายของขายคอร์สแก้ปัญหาพวกนั้นได้
ข้าพเจ้า เล่นกับแมวได้
สส. อนาคตใหม่ยื่นขอแต่วตัวตามเพศสภาพ
อ่านคอมเมนท์เมเนเจอร์แล้วงง
บอกว่าเขาเลือกมาให้พัฒนาประเทศ ไม่ใช่มาไร้สาระเรื่องการแต่วกาย
อ้าว การที่คนแต่งกายตามเพศสภาพก็คือสิ่งที่ฐานเสียงเขาอยากได้ไง คนที่เลือก สส. LGBT มา ก็คือกลุ่ม LGBT ที่อยากใส่กระโปรง ใส่กางเกงตามเพศสภาพเขา
มันก็เป็นการพัฒนาประเทศตามรูปแบบที่เขาต้องการแล้วนี่?
ที่จริง ผมคิดว่าข้าราชการควรมีสิทธิ์เลือกใส่กระโปรงหรือกางเกงโดยไม่จำกัดเพศไปเลย
แบบผู้หญิงบางงาน ผมก็ไม่เข้าใจว่าจะใส่กระโปรงทำไม ใส่กางเกงสะดวกกว่า
ที่สงสัยคือ พวก LGBT สลิ่มนี่อยู่กันยังไงกับสังคมแบบนี้
https://www.facebook.com/213184355543149/posts/1038583346336575
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>ติ่ง อคม. ด่าป้อม : ว๊ายๆ ไอ้อ้วน ไอ้ตือโป๊ยก่าย ไอ้หมู ไอ้เตี้ย ไอ้หน้าพิทบูล 555555555555555555555555555555555555
>หลิ่มด่าLGTVพรรคส้มว่าแต่งตัวดูทุเรศ
>ติ่ง อคม. : นี่มันปี2019แล้วนะยังจะเหยียดหน้าตาเพศสภาพกันอีกเหรอพวกดักดานไดโนเสาร์
ไม่ย้อนแย้ง ไม่ใช่ลิบรั่ล
คามิกับแฟน รักใครมากกว่ากัน ถามโง่ๆ ก็ต้องรักคามิมากกว่าสิ👍👍😁😁
แต่งตามเพศสภาพกูเฉยๆ นะถ้าแต่งตัวสุภาพ มหาลัยหลายๆ แห่งเดี๋ยวนี้ทอมใส่กางเกง กระเทยใส่กระโปรงไปเรียนได้ละ ที่กูกลัวคือพวกหลุดโลกนี่แหละ ซึ่งภาพลักษณ์ อนค. แม่งมาแนวนั้นด้วย
Crop top สุภาพไหมครับ
"มุมมองส่วนตัวเรา เรื่องรถ Stryker ที่เป็นกระแสตอนนี้ มันไม่ใช่ปัญหาเดิมๆ เรื่องลดสเปคหรือเงินทอนอย่างเดียวอ่ะ
คือมันเป็นการส่งซิกจากอเมริกาแบบโคตรชัดเจน ว่าสนับสนุนรัฐบาลทหารแน่ๆ งานนี้ประชาชนตัวใครตัวมัน หาช่องทางธรรมชาติเอาเองละกัน ถ้ามีอะไร CVBG อเมริกาคงไม่มาคุ้มกะลาหัวแล้ว"
กูว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ แต่งตัวตามเพศสภาพ แต่มันเป็นผลกระทบต่อจากตรงนั้นมากกว่าฟ่ะ
ไว้ดูทีละ step ดีกว่ามั้ง กูว่ามีคนรับได้เยอะนะเรื่องแต่งกายตามเพศสภาพ ขนาด กม. แต่งงานเพศเดียวกันยังไม่ค่อยมีคนค้านเลย แต่ถ้าลองจะขอเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อดิ นั่นละเป็นเรื่องแน่
>>611 เริ่มใช้กับ สส. และจะมีการใช้กับงานทั่วไปอย่างเป็นทางการเป็นเสตปถัดไป ไอ้ตอนเริ่มใช้กับ งานทั่วไป รวมถึง รร./มหาลัย นี่ล่ะที่จะมีปัญหาตามมา จุดมุ่งหมายมันก็ชัดว่าอยากให้ตรงนี้เป็นมาตรฐานใหม่โดยให้ คนกลุ่มนี้แต่งตัวตามเพศสภาพได้ เวลาทำงาน/เรียน ไม่จำกัดเฉพาะ สส. ถูกมะ? ตรงนี้ล่ะที่จะวุ่นกัน
>>612 แต่งงานเพศเดียวกันมันไม่ได้เดือดร้อนใครไงล่ะ โม่ง
อันดับแรกนะ กล้ายืนยันกันไหมว่าจะไม่ไปตีเนียนเข้าห้องน้ำหญิงกันน่ะ? พวกที่ทำตัวดีน่ะมีแต่พวกแอบเนียนมันก็เยอะนะ โม่ง เอาแค่ที่ มหาลัย แม่มยังเดินเข้าห้องน้ำหญิงให้สาวๆเขาเหวอกันรายวันเลย แอบถ่ายคลิปไปขายกันง่ายๆอ่ะ
ห้องน้ำนี่แก้ปัญหาไปเลยนะคือหาห้องน้ำเพศทางเลือกให้ซะก็จบ สัดส่วนlgbtกูว่าไม่น่าเยอะมากหรอกต่อสถานที่นึง กั้นห้องเล็กๆออกมาสักห้องก็ได้ เห็นในฝั่งยุโรปทำกันเยอะแยะ แต่ลืมไปว่ากะลาขนาดนี้แค่ระบบการเมืองกับเรื่องพื้นๆอย่างพวกบริหาราชการแผ่นดินยังทำให้เสถียรภาพไม่ได้ก็ดักดานอยู่แบบนี้ละเนาะ
เสียเวลาอธิบายกับพวกลิปร่านป่าวๆน่ามึง
เรียกร้องเอาแต่ได้
เดี๋ยวนีัหน่วยงานราชการ มหาลัยหลายแห่งอนุญาตให้แต่งตามเพศสภาพแล้วนะ ทำยังกะเป็นเรื่องใหม่ไปได้
"เพื่อนในเฟสขุดกระทู้โบราณมา เนื่องในโอกาสอวตารจะทำภาคสอง เลยเอามาเปิดประเด็นในเฟสส่วนตัวให้ตีกันเล่นๆ ซะเลย
ความเห็นเรา เราว่าเท่าที่เห็นในหนัง ขอถือว่ามีส่วนผิดทั้งสองฝ่ายอ่ะ เราเห็นว่าแร่ที่ไปขุดมีความจำเป็น (แต่ไม่ critical แบบไม่มีแล้วตาย)
ฝั่งมนุษย์มีส่วนผิดหน่อยตอนท้ายๆ ที่ใช้วิธีรุนแรงถล่มต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แทนที่จะย้ายไปขุดที่อื่นแทน แร่นั่นน่าจะมีอีกเยอะ รอให้การเมืองในเผ่าเปลี่ยนแปลงหน่อยก็ได้
ฝั่งนาวิก็มีส่วนผิดที่นโยบาย xenophobic สุดๆ ถ้าจำไม่ผิดในหนังที่ถึงจุดที่ว่าเจอมนุษย์ให้ฆ่าได้ทันทีเลย ผิดที่สุดคือผู้กำกับ เขียนบทอีท่าไหน คนถึงไปเชียร์ฝั่งที่เค้าวางเป็นตัวร้ายได้ ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องขาวดำชิบหาย ขนาดพวก Zeon นี่ยังพอมีเหตุผลให้เชียร์ได้ (ถึงต้องรอภาคหลังๆ ออกก็เหอะ)"
>>622 อวตารมันหนังที่ยกพวกNative Americanไว้บนหิ้งพอๆกับโพคาฮอนตัส เขียนบทให้ก่อนที่คนขาวจะมาพวกนี้อยู่กันอย่างโคตรสงบสุขดิสนีย์ประสานมือกันร้องเพลงวิ่งกับสรรพสัตว์ผ่านทุ่งหญ้า
ในความเป็นจริง ก่อนที่คนขาวจะมาแม่งฆ่ากันเองเลือดสาดในระดับล้างเผ่าพันธ์ เผ่าเนทีฟบางเผ่าตีสนิทกับคนขาวก่อนเพื่อจะเอาปืนไปยิงเผ่าอื่นด้วยซ้ำ
เพราะจำลองชวนทักษิณให้มาเล่นการเมือง ทักษิณเลยได้เป็นนายก ต่อมาจึงซื้อทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ และต่อมาขายให้กับอาหรับซึ่งมีเงินลงทุนมากมาย ทำให้ซื้อนักเตะแพงๆเข้าทีมได้ เลยได้แชมป์พรีเมียร์ลีค คนที่ทำให้ลิเวอร์พูลไม่ได้แชมป์คือ จำลอง ศรีเมือง นั่นเอง #จำลองเหี้ยล้มลิเวอร์พูล
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
100% ของนร.ทุนรัฐบาลไทยทีพบที่สหรัฐฯและที่พาคู่สมรสมาด้วย พยายามมีลูกเพื่อให้ลูกได้สัญชาติอเมริกันก่อนกลับไปใช้ทุนที่ไทย บางคนเป็นหมอมาเพื่อเรียนเฉพาะทางไม่นานก็ตั้งใจมีลูกอย่างเร่งด่วน ก็เป็นสิทธิ บางคนกลับไปก็แสดงออกว่ารักชาติหน้าตาเฉย #รักชาติแต่ไม่รักสัญชาติ
ประวัติศาสตร์ไทย = ประวัติศาสตร์กษัตริย์
กกต. ส่งศาลรัฐธรรมนูญโดยใช้มาตรา ๑๐๑ (๖) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘ (๓)
http://image.bangkokbiznews.com/kt/media/image/fileupload/source/otiko/1557995299937.jpg
พอไปดูรัฐธรรมนูญแล้ว
มาตรา ๑๐๐ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเริ่มตั้งแต่วันเลือกตั้ง
มาตรา ๑๐๑ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง เมื่อ
(๖) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘
หรือก็คือส่งเรื่องเอาผิด เพราะถือหุ้นสื่อตอนเป็น สส. แล้ว คือ 24 มีนาคม เป็นต้นไป
บอจ.5 ลงวันที่ 21 มีนาคม บอกว่าธนาธรไม่มีหุ้นที่ว่าแล้ว ว่ากันตามตัวบทกฎหมายไม่มีทางเอาเรื่องได้เลย
ความจริงเคสนี้ไม่น่าจะส่งได้ด้วยซ้ำ กลิ่นการเมืองฉุนแบบนี้อาจมีอภินิหารทางกฎหมายอีกก็ได้
#มิตรสหอยท่านหนึ่ง
"เป็นพระบรมราชวินิจฉัยนะ อย่ามาสงสัย อย่ามาแย้งเชียว"
มุมมองของผม ก็เหมือนเดิมครับ ถ้าช่องนั้น ไม่มีข่าว แล้วคนไม่ดู ยังไงคนก็ไปเลือกดู free content อย่าง youtube facebook dailymotion อยู่ดี แล้วนายทุนเหล่านั้น จะอยู่ได้เหรอครับ ถ้าไม่มีคนดู
คนทำข่าวอย่ามัวเถียงเรื่องทั้งเหล่านี้เลย ในเมื่อเราเป้นคนทำ content เราก็ไปเลือกทำ content ที่ดี ที่คนอยากดู ผ่านสื่ออื่นๆดีกว่าครับ ดีไม่ดี รวยกว่าตอนที่นั่งทำข่าวให้ช่องอีกต่างหาก
วันนี้มีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับนักธุรกิจหนุ่มชาวจีน วัย 30 ปี ชื่อเล่น "คุณเบียร์" มีธุรกิจที่ทำอยู่หลายอย่าง แต่ที่ทำอยู่หลักๆ ในตอนนี้คือ ทำล้ง และสวนทุเรียนอยู่ในประเทศไทย ยอดส่งทุเรียนจากไทยไปจีนเฉพาะที่คุณเบียร์ทำก็อยู่ในราวๆ ปีละ 80 ตู้คอนเทนเนอร์ โดยคุณเบียร์จะนำมาขายออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มเถาเป่าอยู่ราวๆ 30% ที่เหลือจะขายส่งให้กับซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ นำไปจำหน่ายต่อ
ประเด็นที่อยากเล่าให้ฟังไม่ใช่เรื่องธุรกิจของคุณเบียร์ แต่อยากเล่าสิ่งที่คุณเบียร์ทำมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
ปี 2010 คุณเบียร์ซึ่งเป็นวัยรุ่นหนุ่มชาวจีน มีพ่อ-แม่ทำธุรกิจด้านอัญมณี แต่คุณเบียร์ไม่สนใจ เลือกที่จะบินไปเรียนวัฒนธรรมไทยอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ระหว่างนั้นแกมองเห็นช่องทางทำธุรกิจรับซื้อโทรศัพท์มือถือเก่าจากประเทศไทย ส่งกลับมาขายที่เสิ่นเจิ้น
ธุรกิจที่ว่านี้จะนำโทรศัพท์กลับมาแยกส่วน rebuild แปลงโฉมกลับมาเป็นโทรศัพท์ใหม่ แล้วส่งไปขายต่อเป็นโทรศัพท์แบรนด์เนมราคาถูกที่ดูไบ รวมทั้งในประเทศไทยด้วย
สำหรับที่ไทย ตามร้านที่ขายโทรศัพท์แบรนด์ราคาถูกกว่าปกติ (คนไทยบอกว่าเครื่องหิ้ว) ก็จะมีโทรศัพท์ rebuild พวกนี้ปะปนอยู่ มันไม่ใช่ของปลอม แต่มันคือการ rebuild ซึ่งผมฟังไปฟังมาคิดว่าเรียกว่า "ย้อมแมว" คงไม่ผิด
แกบอกว่าแม้จะได้กำไรจากธุรกิจนี้มาก แต่ยุคสมัยค่อยๆ เปลี่ยนไป การทำกำไรเปลี่ยนไป แกเลยหันมาจับธุรกิจออนไลน์ ซึ่งสิ่งที่แกทำ คือ นำเข้าพระเครื่องจากไทยมาขายบนเถาเป่า
คนจีนเชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่จะบันดาลโชคลาภ ธุรกิจนี้จึงไปได้ดี
ราวปี 2014 แกเริ่มสนใจการขายทุเรียนไทยบนเถาเป่า จึงติดต่อเพื่อนชาวไทยที่แกมีหลายคนให้ช่วยหาช่องทางให้แกได้เรียนรู้ธุรกิจนี้
สิ่งที่แกทำ และผมคิดว่าน่าสนใจ คือ แกเลือกที่จะมาเป็นกรรมกรแรงงานอยู่ในสวนทุเรียนที่จันทบุรี กินอยู่หลับนอนรวมอยู่กับแรงงานกัมพูชา อยู่ 1 เดือนเต็ม เพื่อศึกษาวิธีดูแลสวนทุเรียน
แล้วแกก็เริ่มส่งออกทุเรียนจากไทยมาขายที่จีน
จากคนพยายามส่งออก ก็ค่อยๆ ยกระดับมาเป็นเจ้าของล้ง และขณะนี้ก็ขยายธุรกิจมาเป็นคนเช่าสวนทุเรียน เพื่อดูแลทุเรียนเอง
ช้าก่อน ...
อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าคนจีนอย่างแกอยาก take over ธุรกิจทุเรียน (ส่วนคนอื่นๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
แกบอกว่าจริงๆ แล้วในใจลึกๆ แกไม่ได้อยากทำสวนทุเรียน หรือล้ง
แต่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา แกถูกชาวสวนไทย ล้งไทย โกงมาหลายครั้งหลายครา ยังไม่นับรวมการควบคุมคุณภาพผลผลิตทุเรียนที่ชาวสวนไทย ล้งไทย ยังให้ความสำคัญไม่ดีพอสำหรับธุรกิจของแก
แกจึงต้องขยายธุรกิจเพื่อให้ครอบคลุมการควบคุมคุณภาพการผลิตทั้ง supply chain
นิทานเรื่องนี้บอกอะไรเรา ....
นิสัยพื้นฐานของคนจีนคือต่อสู้ แก้ปัญหา เอาชนะอุปสรรค และเพื่อทำสิ่งนี้ก็จะทำงานหนัก ในขณะที่คนไทยอาจจะรักสบายกว่านั้นมาก
ทัศนคติแตกต่างกัน
ในขณะที่คนไทยอาจรู้สึกว่าคนจีนเรื่องมาก แต่คนจีนกลับคิดว่าคนไทยไม่เอาจริงเอาจัง
เราอาจจะต้องสอนลูกหลานเราใหม่นะครับ
ทำบ้างดีไหม กระแสโคตรดี 555555555555
ถ่ายแบบคุณภาพงาน 4K + Anamorphic ไปเลย !
เค้าคงมีเหตุผลแหละครับที่ทำแบบนี้
อาจจะพึ่งเริ่มทำ งานยังน้อย ทีมงานเล็กๆ งานตามราคา หรืออะไรก็ว่าไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมคิดว่าพวกเค้าเก่งมากเลยนะครับ ที่ทำราคานี้ออกมาได้
ที่ผ่านๆมา เราค่อนข้างอดทนกับเรื่องพวกนี้มามาก
แทบไม่เคยพูดถึงอะไรพวกนี้เลย ผมทำแต่ขึ้นราคาหนีไปเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
ผมพยายามทำตามพี่ๆรอบตัวที่แนะนำกันมาแล้วนะครับ
“สร้างคุณค่าให้งานตัวเอง ทำให้ผลงานของเรามีค่า
ทุ่มสุดตัวในทุกๆงาน ทำงานอย่างเต็มที่ ขยัน คอยพัฒนาตัวเอง ศึกษาหาความรู้เพิ่ม ทั้งฝีมือ และ อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้งานเราออกมาดี”
สุดท้ายแล้วผมก็มีงานครับ แต่งานก็น้อย และค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ความจริงของโลกใบนี้กำลังบอกผมว่า “ราคา” เป็นตัวตัดสินใจหลัก และดึงดูดคนมากกว่า หรือว่างานของผมมันไม่สมราคาเหรอ ผมยังพยายามไม่พอเหรอ ผมคิดแบบนี้บ่อยมาก
แล้วถ้าเรากำลังหลังชนฝาหล่ะ ต้องดิ้นรนเพื่อให้มีงานล่ะ
กำลังจะอดตายแล้ว ไรเงี้ย ถ้าเราทำบ้างมันจะผิดไหม
คงจบที่เรากำลังจะเจ๊งแถมโดนด่าเละ 55555555
และที่สำคัญยิ่งไปกว่า “ราคา” คือ “การเข้าถึง” ครับ
เราหาลูกค้าที่ชอบงานเราไม่เจอ ลูกค้าก็หางานของเราไม่เจอ เราคงผิดเรื่องนี้เอง เพราะเราทำการตลาดได้ห่วยแตกมากๆ
คือมันก็เจออะไรแบบนี้มาเยอะแล้วครับ เป็นกันทุกวงการ
ตั้งแต่เราเล่นดนตรีกลางคืน จนมาถ่ายรูป จนมาถ่าย vdo
จนมาทำ production จนมาทำค่ายเพลง
สรุปแล้วเราควรทำอย่างไรดีครับ ?
ทำใจ หรือ มันถึงเวลาทิ้งศักดิ์ศรีแล้วครับ ?
ผมควรทำแบบนี้บ้างดีไหม ?
พิมอะไรยาวๆ งงตัวเอง แอบย้อนแย้งอีก เห้ออออออออ
Kaykai Salaider
น่าจะเป็น youtuber คนแรก ที่เป็นบุคคล
ที่มีผู้ติดตาม เกิน 10 ล้าน และ รับ ปุ่ม diamond
กะเอาคร่าวๆ ดูจาก ยอดสมาชิก และยอดวิว น่าจะมีรายได้ร่วมล้านต่อเดือน ไม่นับรายได้จากการทำโฆษณาอีก
ไม่น่าแปลกใจนัก ทำไมเด็กๆ ถึงอยากเป็น youtuber
มีทีมงานไม่น่าเกิน 10 คน หรือ อาจเกินนิดหน่อย
มีคลิปออกมาสม่ำเสมอ ความสม่ำเสมอนี่ละสำคัญ
Youtuber ในไทย มีหลายหมื่นราย เผลอๆจะร่วมแสน ที่โดดเด่นแบบนี้ มีสักจำนวนหนึ่ง
ความแตกต่าง ตรงนี้ คือ อะไร? ต้องลองหาคำตอบกันดูเอง
วกกลับไปดูที่จำนวนคน ทำงาน ใช้คนไม่มากนัก แต่ได้งานที่สม่ำเสมอ สำหรับแฟนๆเขา
คนทำสื่อทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่า อาจต้องเรียนรู้จากเรื่องนี้
เมื่อวานตอนไปบรรยาย ยกตัวอย่างเรื่องนี้ขึ้นมา มีคน สักครึ่งห้อง ไม่รู้จัก ถ้าอยากปรับตัวไปกับโลกonline อาจต้องลองทำความรู้จักดู
ยังมี youtuber อีกหลายคน ที่มีงานสม่ำเสมอ และ น่าจับตา ทั้ง การสร้างสมาชิก และ รายได้
คนที่จะเข้า 10 ล้าน อีกคน น่าจะเป็น bie the ska
เลือกตั้งครั้งหน้ากูจะลาออกจากงานมาตั้งพรรคการเมือง
นักการเมืองเงินเดือนดีจะตาย หาเสียงให้ได้3หมื่น2พันคะแนนขึ้นไปก็ได้เป็นละ
ขนาดซีอุยยังมีคนเห็นค่า ในปี 2675 พี่โจวจะทำพินัยกรรมไว้ให้คนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้พันตึ๋งด้วยอ่ะครับ
#ช่วงฟอยและไฟพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน
😎😎โจร ..เวลาออกปล้นมันจะร่วมมือร่วมใจกันปล้น..😗😗.แต่เวลาปล้นเสร็จแล้วมาแบ่งสมบัติ..มันจะกัดกันเอง...😂😂😂
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รีวิว PO321 sec. อ.ภูริ
ข้อเขียน;
เลือกทำ 2 ข้อ;
1. สงครามมหาเอเชียบูรพาส่งผลต่อการเมืองไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไร
2. การเมืองในกองทัพส่งผลต่อเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 16 อย่างไร
3. จากที่เรียนวิชานี้มาท่านมีความรู้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างยกตัวอย่างแนวคิดและงานเขียนประกอบอย่างละเอียด
4. หากท่านเป็นสส.ที่จะผลักดันร่างกม.ห้ามการค้าสุราต้องทำอย่างไรบ้าง บอกตั้งแต่ต้นจนประกาศใช้ (edited by Petite)
5. จงอภิปรายรวบยอดงานเขียนต่อไปนี้เพียงหนึ่งชิ้นพร้อมเสนอข้อวิพากษ์
- ความคิดทางการเมืองของทหารไทย 2519-2535 ของ เฉลิมเกียรติ ผิวนวล
- สองนัคราประชาธิปไตย ของ อเนก เหล่าธรรมทัศน์
- ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย ของ อภิชาติ สถิตนิรามัย
รีวิวข้อกา;
30 ข้อ;
--- ดับอนาถ ---
ถามจริงเด็กปกครองเจองี้ 4 ปีเลยอ่อวะ
#สีสันชีวิตมหาลัย
#เคล็บลับกินยังไงให้กล้ามโคตรใหญ่‼️‼️
สาระ(เลว) บทที่ 108 ตอน "กามาสุดตราอีนนีอีน"
เคล็ดลับที่นักกล้ามหลายๆคนไม่รู้ เฮียก็ไม่รู้เช่นกัน
เคล็ดลับกล้ามสวย💪🏻 เฮียจะพิถีพิถันในการเลือกไก่มากๆ
ปกติเฮียจะเลือกใช้แต่ไก่ตัวเมีย🐔ที่โดนเลียจนเสียวตาย 😇
เท่านั้น‼️‼️ เพราะมันตายแบบมีความสุข
โปรตีนมันจะสูงมากๆ คิดว่า100กรัมโปรตีนน่าจะ 45 ได้เพื่อนๆลองไปหาเลือกซื้อดูนะครับ
#สาระมีอยู่จริงๆเพจนี้
REPOST REPOST REPOST REPOST REPOST
สารภาพ มีหมอคนนึงใน Facebook กู ที่กูคลั่งมาก ชอบมาก ชอบชิบหาย เสป็คโคตรๆ รูปร่างหน้าตาเหมือนหลุดมาจากโลกจินตนาการกูเลย คือ แค่เห็นภาพหน้าเฉยๆไม่ต้องภาพถอดเสื้อ กูก็แข็งแล้ว
อยากได้มากๆๆ ต่อให้แลกด้วยการบูชายัญชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ 100 ล้านคน เพื่อให้ได้เป็นแฟน กูก็ยอม
เออ แค่นี้แหละ ไม่มีไร แค่อยากระบายเฉยๆ เพราะโอกาสที่กูจะได้คนนี้คือ 00000.000% เลเวลแม่งต่างกันเกินไป
ตอนนี้คอนโดในมือขายยากจริงๆ ครับ เพราะคอนโดล้นตลาด แต่เห็นโครงการผุดขึ้นใหม่ไม่ขาด แม้ธนาคารโลกจะเตือนว่า ระวังจะไม่มีคนซื้อ เพราะเศรษฐกิจทรุดทั่วโลก ฟองสบู่อสังหากำลังเต่ง แต่อาจไม่แตกง่ายๆ
ใครจะซื้อคอนโด เชื่อว่าเดี๋ยวมีราคาคอนโดถูกๆ ให้เลือกพร้อมโปรฯ แถมไม่อั้นแน่ๆ 5555
อิสลามเป็นศาสนาที่บังคับให้ผู้ชายมีภรรยาได้ “ไม่เกิน” สี่คน แม้ว่าเขาจะมีเงินทอง อำนาจบารมีมากแค่ไหนก็ตาม ซึ่งความสัมพันธ์ในเชิงทางเพศระหว่างชายหญิงนั้น อิสลามอนุญาตเฉพาะเมื่อทั้งคู่แต่งงานกันแล้วเท่านั้น นั่นหมายความว่าหากผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิง 2 คน เขาก็มีสิทธิ์สานสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามได้เพียง 2 คนที่แต่งงานด้วยเท่านั้น หากไปมีสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นโดยไม่ได้แต่งงาน เขาจะต้องรับโทษประหารชีวิตด้วยการปาหินให้ตายไป
.
น่าแปลกที่ชาวเสรีฟรีเซ็กซ์กลับมาวิจารณ์หลักการอิสลามที่ให้มีภรรยาได้ไม่เกิน 4 คน ทั้งที่พวกเขาปรารถนาความเป็นอิสระเสรีจากกฎข้อบังคับต่างๆ ดังนั้นความสัมพันธ์ทางเพศที่เกิดจากความต้องการที่ตรงกันไม่บังคับกัน จึงเป็นสิทธิส่วนบุคคลห้ามก้าวก่าย ใครอยากจะร่วมเพศกับผู้หญิงร้อยพันไม่ซ้ำหน้าก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล ในประเทศลิเบอรัลบางประเทศจึงจัดให้มีโสเภณีถูกกฎหมายอย่างเปิดเผย ซึ่งโสเภณีเหล่านี้อาจจะมีสิบผัวชั่วข้ามคืนได้ไม่ยากเลยด้วยซ้ำ
.
พออิสลามวิจารณ์ความมั่วเซ็กซ์มากหน้าหลายตา ก็มาแย้งว่ามนุษย์มีเสรีภาพทางเพศ ศาสนาคร่ำครึไม่มีสิทธิ์มาบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ได้เฉพาะคนที่แต่งงานด้วยเท่านั้น แต่พอจะวิจารณ์อิสลามเรื่องการอนุญาตให้มีภรรยามากกว่า 1 คน ก็รีบกระโดดห่มจีวรแทบไม่ทันเพื่อจะบอกว่า "การมีภรรยามากกว่า 1 คนนั้นเป็นการมักมาก" ผมว่าท่านกลับไปใส่จีวรที่ยังอยู่ในสภาพหลุดลุ่ยให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า!
.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“ในทุกๆเช้าจะมีหญิงพรหมจรรย์ถูกตัดหัว”
เมื่อกษัตริย์ชาห์เรยาร์ดได้รู้ว่ามเหสีของเขานอกใจพระองค์มาตลอด พระองค์ได้สั่งให้ทหารบั่นหัวเธอออกทันที และจากเหตุการณ์นั้นทำให้พระองค์คิดว่าผู้หญิงทุกคนก็คงเลวทรามไม่ต่างกัน
พระองค์จึงได้ตัดสินใจว่าเขาจะแต่งงานกับหญิงพรหมจารีย์คนใหม่ในทุกๆวัน
.
กษัตริย์ชาห์เรยาร์ดจะสั่งให้บั่นคอเจ้าสาวของพระองค์ทุกคนเมื่อผ่านคืนแรกของการแต่งงานไป ทำให้ในทุกเช้าพระองค์จะกลับมาเป็นโสดเหมือนเดิม
ผู้เคราะห์ร้ายจากความบ้าคลั่งของกษัตริย์ชาห์เรยาร์ดเพิ่มขึ้นจาก 1 เป็น 2 จนในช่วงเวลานั้นมีศพเจ้าสาวไร้หัวมากถึง 1001 คน
.
เมื่อความกลัวกัดกินจิตใจของประชาชนจึงมีหญิงสาวคนหนึ่งยอมอาสาตัวเองมาแต่งงานกับกษัตริย์ชาห์เรยาร์ดเพื่อหยุดความบ้าคลั่งนี้ เธอคือ “ชาห์เรซาด” ลูกสาวของขุนนางผู้มีความฉลาดปราดเปรื่อง ว่ากันว่าเธอศึกษาตำราทุกเล่มที่เธอเจอทั้งวิทยาศาสตร์ ปรัญชา เรื่องเล่า
.
ในค่ำคืนแรกการวิวาห์อยู่ๆชาห์เรซาดก็เล่าเรื่องขึ้นมา กษัตริย์ชาห์เรยาร์ดแม้จะฉงนใจแต่ก็นอนฟังเงียบๆ แต่ยิ่งพระองค์ฟังมันยิ่งสนุก เรื่องเล่ามันทั้งตื่นเต้นทั้งเร้าใจราวกับว่ามันเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของพระองค์จริงๆ แต่พอเรื่องราวก็เดินทางมาถึงมาถึงจุดไคลแมกซ์ ชาห์เรซาดดันหยุดเล่าไปเสียดื้อๆ กษัตริย์ชาห์เรยาร์ดที่โดนขัดฟิลล์ก็บอกให้ชาห์เรซาดเล่าต่อด่วนๆ แต่เธอตอบกลับมาว่า
“เราไม่เหลือเวลาเพียงพอจะเล่าให้จบได้ เพราะฟ้าใกล้จะสางแล้ว”
.
กษัตริย์ชาห์เรยาร์ดเลยให้เวลาเธอเพิ่มอีกหนึ่งวันเพื่อให้เล่าเรื่องให้จบ และในคืนที่สองหลังจากนิทานเรื่องแรกได้จบไปเธอก็เล่าเรื่องที่สองต่อขึ้นมาทันที แล้วเรื่องนี้มันก็สนุกกว่าเรื่องที่แล้วเสียอีก ระหว่างที่เล่าๆตอนสำคัญอยู่ชาห์เรซาดก็เงียบไปอีกครั้ง ทำให้กษัตริย์ชาห์เรยาร์ดต้องเพิ่มวันให้เธออีก 1 วัน
.
ทุกคืนชาห์เรซาดจะเล่าเรื่องใหม่ขึ้นมาทันทีหลังจบเรื่องก่อนหน้า และเรื่องเล่าเหล่านั้นมันก็ทั้ง สนุก ซึ้ง ตลก ตื่นเต้น คละอารมณ์กันไป จนถึงเรื่องที่ 1,000 ชาห์เรซาดไม่ได้เล่านิทานเรื่องใหม่ขึ้นมาเธอบอกว่า เธอไม่เหลือนิทานหรือเรื่องเล่าใดๆจะเล่าให้กษัตริย์ชาห์เรยาร์ดฟังอีกแล้ว และรุ่งสางที่กำลังมาถึงคงจะเป็นจุดจบของเธอ
แต่ว่าไม่เป็นเช่นนั้นเพราะกษัตริย์ชาห์เรยาร์ดได้ตกหลุมรักชาห์เรซาดไปเสียแล้วหลังจากผ่านเวลามา 1001 คืน
“We’re all just stories in the end. Just make it a good one” Doctor Who
.
ใครอยากฟังเรื่องที่ชาห์เรซาดเล่าไปหาอ่านต่อได้ในหนังสือ 1001 ราตรีได้นะครับ
อีคนที่อยากไปคลอดลูกที่เมกาสนใจไปคลอดที่ Alabama ไหมครับ
มึงง...เวลาจะจีบผู้หญิงวัยมหาลัย หรือวัยทำงานอะ ไม่ต้องถามเขาบ่อยๆหลอกว่า กินไรยัง ทำไร อยู่ไหน กับใคร ไปไหน กลับเมื่อไหร่ ...มึงงงถามเขาทุกวัน ประโยคซ้ำๆ ผู้หญิงเขาเบื่อ!!
รู้ไหมว่า ในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเขา เขาต้องผ่านสมรภูมิการเรียน ผ่านการอดทนจากเพื่อนร่วมงานหัวร้อน ผ่านอะไรมากมายในแต่ละวัน พวกนางไม่มีอารมณ์มาตอบคำถามเด็กๆพวกนี้หลอก มากสุดก็แค่กดปุ่มปลดล๊อกดูว่าใครส่งข้อความหา แค่นางเห็นคำว่า "ทำไร" นางก็กดปิดหน้าจอเหมือนเดิมแล้ว...
มึงลองเปลี่ยนคำพูดเป็น วันนี้เหนื่อยไหม?....หรือไม่ก็ซื้อชาไข่มุกไปยื่นให้มันเลย สิ่งมีชีวิตพวกนี้มันแดกได้ตลอด24ชั่วโมงอยู่เเล้ว หรือไม่ก็พามันกินหมูจุ่มบ่อยๆ..ชาบูบ่อยๆ.....มึง ชวนมันแดกเยอะๆ ..พวกนี้ถ้ามันเครียดๆละมันได้ชามุกจากใครสักแก้ว หรือเครปสักชิ้น.....ยังไงมันก็ยิ้มได้ ละหลังจากนั้นมึงก็ช่วยนางแก้ปัญหาชีวิตอันรุงรังของนาง พวก....การบ้าน ..เคลียร์งาน ..ทำวิจัย..แก้ปัญหาชีวิต....หรือไม่ก็แค่ถาม....."มีอะไรให้เราช่วยไหม..บอกเราได้นะ" ....จบบบ ทำให้นางรู้สึกว่า เห้ย...มึงไม่ได้แค่มาจีบนาง แต่การที่นางมีมึงเข้ามาในชีวิต..แล้วมันทำให้ชีวิตนางดีขึ้น...แค่นั้นก็พอ อย่าทำให้นางรู้สึกว่า มีมึงเข้าไปในชีวิต แล้วชีวิตนางวุ่นวายขึ้น..หรือทำให้นางรู้สึกว่ามึงเป็นพ่อมากกว่าผัว.....
จริงๆนะ มึงไม่ต้องหล่อ หรือรวยล้นฟ้าอะไรเลย แค่ทำความเข้าใจกับชีวิตอันรุงรังของพวกนางก็พอ ต่อให้มึงหล่อ มึงรวย แต่มึงสาวเยอะ ชีวิตพวกนางก็จะมีแต่ห่วง ความกังวลใจ คบไปไม่มีความสุข ซึ่งพวกนางไม่ต้องการ ✌✌
พี่เราก็จมน้ำตายเพราะฝึกนี่แหละ เป็นตะคริวแทนที่จะลงไปช่วย กลับให้เค้าช่วยตัวเองจนไม่ไหวแล้วขาดอากาศหายใจ ถึงจะลงไปช่วยสุดท้ายก็ตายอยู่ดี😡
ปีนี้ Mark Zuckerberg จนลงนะเนี่ย
ทรัพย์สินเฮียเค้า เท่ากับทรัพย์สินของตระกูลเจียรวนนท์ + จิราธิวัฒน์ + อยู่วิทยา + สิริวัฒนภักดี รวมกันเท่านั้นเอง
Net worth:
Age 35: $71 billion
Age 34: $77 billion
Age 33: $65 billion
Age 32: $52 billion
Age 31: $35 billion
Age 30: $26 billion
Age 29: $13 billion
Age 28: $17 billion
Age 27: $14 billion
Age 26: $4 billion
Age 25: $900 million
ปัจจุบัน พี่มาร์ค ถือหุ้น Facebook ราวๆ 15% แต่มีสิทธิ์โหวตสูงกว่า 60%
แม้ไม่ได้เป็นเสียงส่วนใหญ่ แต่มีอำนาจเกินครึ่งของสภา เอ้ย บริษัท
ใครสงสัยว่าพี่แกทำได้ไง
เหตุผลที่ทำแบบนี้ได้ เพราะหุ้น Facebook ถูกแบ่งออกเป็น 3 แบบครับ คือ
1. Class A Shares -> 1 หุ้น 1 โหวต
2. Class B Shares -> 1 หุ้น มี extra vote = 10 โหวต
3. Class C Shares -> ไม่มีสิทธ์โหวต
พี่มาร์ค ถือหุ้น Class B เยอะสุด และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีข่าวว่าแกขายหุ้น
หุ้นส่วนที่ขายออกมาทำกำไรเอาเงินเข้ากระเป๋า จะเป็นหุ้น Class C ที่ไม่มีสิทธ์โหวตอะไร
ได้ทั้งเงิน และไม่เสียอำนาจ การควบคุมเสียงในบอร์ดบริหารด้วย
เป็นวิธีการเดียวกับที่ Google ใช้และพี่มาร์คแกก๊อปมาอีกที
หลายคนสงสัยว่า ในเมื่อมีสิทธิ์มีเสียงในการควบคุมบริษัทมากมายขนาดนี้ ทำไมไม่จ้าง CEO เก่งๆมาทำงานแทน
ตัวเองจะได้สบาย ไปทำอย่างอื่นได้ ในขณะที่ยังคงมีอำนาจสูงสุดได้อยู่
แต่เพราะในรัฐธรรมนูญบริษัทเขียนเอาไว้ว่า
วันใดก็ตามถ้าพี่มาร์คไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง CEO แล้ว
หุ้น Class B ที่พี่แกถืออยู่ จะถูกแปลงเป็น Class A ทันที
พี่มาร์ค เลยต้องเกาะเก้าอี้ CEO ไว้แน่นๆ เพราะอำนาจของหุ้น Class B ก็เปรียบเสมือนมี ม.44 อยู่ในมือ
ณ ตอนนี้ มีผู้ถือหุ้นจำนวนมาก อยากให้ Mark Zuckerberg ออกไปจากตำแหน่ง CEO ซะ เพราะนำพาประเทศ เอ้ย บริษัทไปผิดทิศทาง
ตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้ง ทำให้บริษัทตกอยู่ในเสี่ยง
แต่ยังไม่เคยมีใครทำอะไรพี่มาร์คได้เลย และแกก็มีความ dictatorial leadership อยู่ในตัวค่อนข้างสูง จึงไม่ค่อยแคร์ซักเท่าไหร่
ตอนนี้มีกลุ่มผู้ถือหุ้นเปิดตัวแคมเปญ "Vote No" เพื่อโหวตให้ พี่มาร์คออกจากบอร์ด ในวันประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 30 พ.ค.ที่จะถึงนี้
แต่เชื่อว่าพี่มาร์ค น่าจะยังคงอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป
ส่วนพี่มาร์คบ้านเรา ลาออกไปเลี้ยงแมว และดูจะประสบความสำเร็จ เพราะยอดคนตามใน LINE เพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าแน่ะ
ครูพวกนี้ถ้าใครบอกว่ารัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 ชื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จะตบปากให้หมด อันนั้นเป็นชื่อที่เรียกตามชื่อพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ ร.3 หล่อไว้ภายหลัง
#ขิงมาต้องขิงกลับ
ตรงหัวข้อพระปรมาภิไธย อะคุณ
ประวัติศาสตร์ผู้ชนะเป็นคนเขียน เพราะผู้แพ้ตายห่าหมดแล้ว เลยไม่ได้เขียน
ไอพวกกาวๆนี่มาจากกลุ่มปวศในเฟสบุ๊คป่ะเนี่ย
I am infinitely more hyped for this episode od AoT than the finale of GoT.
เกลียดติ่งกัญชาควายๆชิบหาย หมอโพสต์ว่ารักษาไม่ได้จริง เอาเปเปอร์มาประกอบ ติ่งกัญชาเข้ามาพูดจาหยาบคาย ท้าต่อยท้าตี แล้วบอกว่าฝรั่งรักษาได้ แต่พอขอดูเปเปอร์ที่ว่า ติ่งกัญชาก็เอารูปฟอร์เวิร์ดเมล กับไล่ให้ไปกูเกิลเอง(ไม่รู้จักBurden of proof) แต่ละตัวอ่านภาษาอังกฤษออกรึเปล่ายังไม่แน่ใจ
กูอยากให้กัญชาถูกกฎหมายนะ แต่เห็นติ่งกัญชาแบบนี้แล้ว มึงไม่ได้กะรักษาโรคหรอก กะเสพและขาย ถุย
-มิตรสหายท่านนึงรีแอคกับโพสต์นี้
https://www.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/photos/a.281457299003997/620782311738159/?type=3&theater
Dr. กัปบอกว่าไม่มีใครต้องตายเพราะมะเร็งยกเว้นความสะเพร่า:
1. ขั้นตอนแรกคือการหยุดน้ำตาลทั้งหมดที่ไม่มีน้ำตาลในร่างกายของคุณเซลล์มะเร็งจะตายอย่างเป็นธรรมชาติ
2. ผสมผลไม้มะนาวทั้งหมดกับน้ำร้อนสักแก้วและดื่มมันประมาณ 3 เดือนก่อนกินและมะเร็งแพ้การวิจัยโดยวิทยาลัย maryland ของยาบอกว่ามันดีกว่าการรักษาด้วยคีโม
3. ขั้นตอนที่สามคือการดื่มน้ำมันมะพร้าวอินทรีย์ 3 ช้อนเช้าและกลางคืนและมะเร็งจะหายไปคุณสามารถเลือกหนึ่งในสองการรักษานี้หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ความไม่รู้ไม่ใช่ข้ออ้าง; ฉันได้แชร์ข้อมูลนี้มานานกว่า 5 ปีบางทีตอนนี้เพิ่งมาถึงคุณแต่มันยังช้ากว่าไม่เคย ให้ทุกคนรอบตัวคุณรู้
" ดร. guruprasad reddy b v รัฐการแพทย์ของมหาวิทยาลัยมอสโกประเทศรัสเซีย
อ้อนวอนทุกคนที่ได้รับข้อมูลนี้เพื่อส่งต่อให้กับอีกสิบคนแน่นอนอย่างน้อยหนึ่งชีวิตจะได้รับการบันทึกไว้!
ฉันได้ทำส่วนของฉันแล้วหวังว่าคุณจะสามารถช่วยได้โดยการทำส่วนของคุณ ขอบคุณ!
1. การดื่มน้ำมะนาวสามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่าอย่าเพิ่มน้ำตาล น้ำมะนาวร้อนมีประโยชน์กว่าน้ำมะนาวเย็นๆ
2. pare หั่นเท่า 5 ชิ้นแล้วแช่น้ำด้วยน้ำร้อนสักแก้ว 30 นาทีแล้วดื่มทุก
3. มันสำปะหลังสด / มันสำปะหลังแต่ต้องต้มด้วยเปิดหม้อ วิตามิน b17 อยู่ในมันสำปะหลังที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้
✍ บ่อยครั้งมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ของมะเร็งลำไส้ / มะเร็งกระเพาะอาหาร
✍ อย่าได้กินผลไม้หลังกินข้าว ผลไม้ต้องถูกกินก่อนกินข้าว
✍ อย่าดื่มชาในช่วงประจำเดือน
✍ ลดการดื่มนมถั่วเหลืองไม่ควรเพิ่มน้ำตาลหรือไข่ให้นมถั่วเหลือง
✍ ไม่กินมะเขือเทศกับท้องว่าง
✍ ดื่มน้ำเปล่าสักแก้วทุกเช้าก่อนอาหารเพื่อป้องกันนิ่ว
✍ งดอาหาร 3 ชั่วโมงก่อนนอน
✍ หลีกเลี่ยงสุราไม่มีประสิทธิภาพทางโภชนาการแต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงได้
✍ อย่ากินขนมปังในขณะที่มันร้อนจากเตาอบหรือเครื่องปิ้งขนมปัง
✍ ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆที่อยู่ข้างๆคุณในขณะที่คุณหลับ
✍ ดื่มน้ำเปล่า 10 แก้วทุกวันสำหรับร่างกายที่ต้องการยังป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
✍ ดื่มน้ำเพิ่มระหว่างวันลดตอนกลางคืน
✍ อย่าดื่มกาแฟมากกว่า 2 แก้วต่อวันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับและกระเพาะอาหารได้
✍ กินอาหารที่เลี่ยนเล็กน้อยหรือหลีกเลี่ยงมันเพราะใช้เวลา 5-7 ชั่วโมงในการสรุปทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย
✍ หลัง 5 โมงเย็นกินน้อย
✍ อาหารหกชนิดที่ทำให้คุณมีความสุข: กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, พีช
✍ นอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวันส่งผลให้มีการทำงานที่เสื่อมสภาพของสมองของเรา พยายามพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมงจะทำให้เรายังเด็ก
น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาลสามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณสดชื่นได้
📌 น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง
✍ แช่มะนาว 3 ชิ้นๆละเท่าๆกัน กับน้ำร้อนทำให้มันเป็นเครื่องดื่มประจำวันเป็น anti-oxsidan
รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง
น้ำมะนาวเย็นเท่านั้นประกอบด้วยวิตามินซีไม่มีการป้องกันมะเร็ง
น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้
การทดสอบทางคลินิกได้พิสูจน์แล้วว่าน้ำมะนาวร้อนทำงานได้ดีเพื่อปิดเซลล์มะเร็ง
การรักษาสารสกัดมะนาวชนิดนี้จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้ายเท่านั้นแต่ไม่มีผลต่อเซลล์ที่ดี
ต่อไป... กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาวช่วยลดความดันสูง • การป้องกันที่มีประสิทธิภาพต่อต้านเส้นเลือดลึกลิ่มการไหลเวียนเลือดและป้องกันการแข็งตัวของเลือด
ไม่ว่าคุณจะยุ่งแค่ไหนโปรดหาเวลาอ่านสิ่งนี้แล้วบอกให้คนอื่นกระจายความรักให้กับคนอื่นๆ!
* ความสวยของการแบ่งปัน*
ขอบคุณ เครดิตจากผู้แบ่งปัน
สมัยก่อน ศก.ดีนะครับ มือถือตัวเกือบแสนยังขายกันได้...........
https://imgur.com/yIc1lZo
จากข่าว Huawei vs USA ทำให้รู้ว่าคนยังเข้าใจผิดเรื่อง Android, AOSP และ Google Services อยู่มาก
.
เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน จริง ๆ Google ไม่สามารถแบนการใช้ Android ได้เพราะ Android เป็นโปรเจค "Open Source" ในโครงการ Android Open Source Project (AOSP) ที่ใครจะเอาไปใช้ก็ได้ กูเกิลไม่มีสิทธิ์ในตัวนี้
.
แล้วกูเกิลมีสิทธิ์ในส่วนไหน ?
.
กูเกิลตระหนักตรงนี้มาตลอดว่าเค้าจะต้องทำอะไรที่ต่อยอดจากแอนดรอยด์ขึ้นมาเพื่อไม่ให้ตัวเวอร์ชัน Open Source มันเก่งเกินไปจนคนไม่สนใจกูเกิลแล้ว ไม่งั้นเค้าก็จะเสียประโยชน์ที่เค้าอยากได้จากโปรเจคแอนดรอยด์
.
กูเกิลก็เลยทำบริการเพิ่มขึ้นมาชื่อ Google Mobile Services เพื่อต่อเติมฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้แอนดรอยด์ทำอะไรได้มากขึ้น เช่นพวก Google Play Store เอย YouTube เอย Maps ฯลฯ ซึ่งส่วนนี้ไม่ได้อยู่ใน AOSP ไม่มีให้โหลดไปใช้
.
คราวนี้ถ้าใครจะใช้บริการเหล่านี้ก็ต้องจ่ายเงินค่า License ให้กูเกิลไป (เรียกว่า Certified by Google) ซึ่งกูเกิลมีสิทธิ์จะไม่ Certify ได้เช่นกัน ที่ผ่านมาก็มีแค่มือถือที่ไม่ผ่านคุณภาพที่ไม่สามารถซื้อ License ตรงนี้ได้
.
แต่ Huawei จะเป็นเคสแรกที่มือถือดีแต่ขอ License แล้วจะโดนปฏิเสธ (พูดว่าเคสแรกให้ดูเท่ ๆ ไปงั้นแหละ จริง ๆ ก็มีโดนกันเรื่อย ๆ)
.
ผลที่เกิดขึ้นคือ "Huawei จะยังใช้แอนดรอยด์ได้อยู่" แต่บริการต่าง ๆ ที่อยู่ในส่วนที่กูเกิลทำเพิ่มขึ้นมานั้นจะหายเกลี้ยงไปหมด
.
แต่ถามว่า AOSP มันกากมั้ย บอกได้เลยว่าไม่กาก มันก็แอนดรอยด์ที่เราใช้ ๆ กันนี่แหละ แต่ไม่มีบริการของกูเกิลมาด้วย แต่ปัญหาก็อยู่ตรงนี้ พอไม่มีบริการของกูเกิลติดมากับเครื่อง ... คนทั่วโลกก็คงไม่มีใครคิดจะซื้อ (สุดท้าย Google ก็ครองโลกอยู่ดี ตามแผนเลยเบรนด์)
.
ซึ่งแน่นอน Huawei มีแผนอยู่แล้วว่าถ้าโดนแบบนี้จะทำยังไง มีมูฟต่อไปของเค้าแน่ เพราะ Huawei บอกมานานละว่าทำ OS ของตัวเองอยู่ และความเห็นส่วนตัว ค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็น AOSP นี่แหละ และต่อยอด Ecosystem เอง
.
อย่างแรกคือแอป ฯ แอนดรอยด์ครึ่งนึงจะรันบน OS ใหม่นี้ได้ทันที (ที่บอกว่าครึ่งนึงเพราะมีอยู่อีกครึ่งนึงที่เขียนโปรแกรมโดยผูกกับบริการของกูเกิลอยู่)
.
หาก Huawei ปั้น Ecosystem ขึ้นมาได้ มูฟนี้ของเมกาก็จะแว้งกลับมาทำร้ายเมกาเอง
.
แต่ถ้าให้พูดตามตรง Ecosystem มันไม่ได้ปั้นกันง่าย ๆ คงยากที่จะมาสู้ Google Service ได้ (ในระดับ International นะ ส่วนในจีนก็ปล่อยเค้าไป)
.
อย่างไรก็ตาม ... ใครรู้จักทรัมป์ก็จะรู้ว่ามูฟแบบนี้เป็นมูฟของ Negotiation ก็ต้องดูว่าจีนจะเล่นด้วยมั้ย หรือเดินหน้าเต็มสูบแล้วไม่สนเมกาอีกต่อไป
.
เพราะเอาจริง ๆ ถ้าพูดถึงเทค ฯ ตอนนี้เมกาไม่ได้เป็นที่หนึ่งแล้วนะ
.
ตอนนี้คือจีน
.
แต่เรื่องเศรษฐกิจส่วนอื่นตะหากที่อาจสั่นคลอนไปด้วย จีนและเมกายังไม่สามารถบอกเลิกทางใครทางมันได้ ไม่งั้นพังทั้งคู่ รอดูกันไปว่าจะออกไม้ไหนต่อ
สิทธิพล พรรณวิไล รองนายกฯ Thailand Tech Startup Association
Avengers End Game - Black Widow ตายตอนไปเอา Soul Gem / Tony Stark (Iron Man) ตายตอนจบ
Detective Pikachu - Pikachu คือพ่อพระเอก / พ่อพระเอกไม่ตาย
John Wick 3 - ตอนจบ John Wick ไม่ตาย Winston แกล้งยิงเพื่อช่วย John Wick หลอกตุลาการ
-basic knowledge ไม่ดีครับ หลายๆครั้งทำอะไร สวน กฏ Thermodynamic ทั้งๆที่คนทำ จบวิศวะ(วิศวกรมีวิชาพื้นฐานเหมือนกัน thermo ก็เป็น 1 ในนั้นแบบไม่ลึกมาก)
-คนที่ประดิษฐอะไรๆก็ตามถ้ายังเจ็บมาไม่มากพอ ชอบมองจุดสำเร็จเป็นที่ตั้ง มากกว่ามองความเป็นไปได้ว่ามันแค่ไหน(อารมณ์ pscedoscience)
-ใจไม่ถึงพอจะเรียนรู้อะไรที่มันซับซ้อน ยาก ยาวนาน
ทั้งหมดนี่เลยทำให้ไทยมีสิ่งปรดิษฐ์ประหลาดๆ กับไม่มีอะไรที่เป็นนวัตกรรมให้ ว้าว จริงๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การสร้างภาพวัฒนธรรมการอ่าน ให้คนชอบอ่านหนังสือดูเป็นคนลุ่มลึกและพิเศษกว่าคนอื่นนั้น บางทีมันก็น่าจะผิดทาง อาจจะกลับกลายเป็นการสร้างกลุ่มคนหัวสูงที่น่าหมั่นไส้ขึ้นมาอีกกลุ่มมากกว่า
น่าจะสร้างภาพวัฒนธรรมการอ่านให้ดูเป้นเรื่องของคนธรรมดาหลากหลาย ให้ค่าคนอ่านพวกหนังสือไก่ชน ปาฏิหารย์ เทคโนโลยีชาวบ้าน ศาลาคนเศร้า เท่าๆ กับพวกอ่านเจ้าชายน้อย ชิ๊กเชค สไตล์เบ็ด โม๊ะราคะมิ๊ อัลไลพวกเนร้อ่ะครับ
ส่วนการสร้างภาพวัฒนธรรมการเด้ามือนั้น
#ช่วงเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปในสเตตัสเดียวกับพี่โจว
ภูมิใจไทยดูจะโฟกัสอยู่แต่เรื่องกัญชาอะ ดูแบบตั้งใจกับเรื่องนี้มากๆ จนเหมือนกับว่าใครคนหนึ่งมีสต็อกกัญชาอยู่ในมือจำนวนมหาศาลแล้วอะ เรียกได้ว่ามีอำนาจเมื่อไหร่ เปิดเสรีกัญชาทันที รวยทันที อะไรงี้ อาการเธอออกมากอะอนุทิน นาทีนี้เอากัญชาเป็นตัวตั้ง ประชาขนกับประชาธิปไตยเป็นตัวประกอบ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เงินกู้ = รายได้ กูก็เห็นแต่พวกยืมเงินแล้วไม่คืนนั่นแหละ
#มิตรสหายฯ
Tomboys are the ultimate straight mans choice. A regular girl has tits and pussy but comes loaded with gay shit such as make up, desire for shopping clothes and useless shit and watching boring shitty TV shows.
A gay dude is gay but he has a partner that shares his interests.
A tomboy has the best of both worlds, a female body but with enough /fit/ness to keep up with you, good interests and great personality.
“ต่อไปจะมีแต่คนชอบผมมากขึ้น เพราะตอนนี้คนเกลียดผมมากที่สุดแล้ว คงไม่ตกต่ำไปกว่านี้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นด้วยกับพี่ใหม่ค่ะ แม่นตามหลักวิชาการแม่นมากค่ะพี่
... เมื่อ Jack Ma เปิด Smart Supermarket
คุณป้าท่านนึง ณ เมืองหางโจว (ใกล้เซี่ยงไฮ้)
ตอบคำถามนักข่าวเรื่องนี้
แล้ว ... คุณป้าก็ดังขึ้นมาทันที ในชั่ว..ข้ามคืน
====
นักข่าว :
Jack Ma เปิด Smart Supermarket
แบบไร้คน คุณป้าคิดว่ายังไงครับ?
คุณป้า :
หา ... ? Super ไร้คน
แล้วทำไมไม่ปิดไปซะละ ... ไม่มีคน ?
นักข่าว :
คุณป้าครับ ความหมายคือ ไม่มีพนักงาน
คนเก็บเงินอะไรพวกนี้ หนะครับ
คุณป้า :
งั้นก็ต้องเรียก Supermarket ไร้พนักงานซิ เห้อ ... ! ... ไม่รู้พวกเธอเป็นนักข่าวกันได้ยังไง
ระดับความรู้ภาษาแบบนี้
นักข่าว :
ครับ ๆ ... แล้วคุณป้าคิดเห็นยังไงกับ
Supermarket ไร้พนักงาน ครับ ... ?
คุณป้า :
Supermarket ไม่ต้องจ้างพนักงาน
แล้ว ราคาสินค้าถูกลงหรือเปล่า ... ?
นักข่าว :
คือเรื่องนี้ ... เราไม่แน่ใจครับ
คุณป้า :
เอ้า ... พวกเธอเป็นนักข่าวได้ยังไง ..?
ปัญหาของประชาชน ไม่ไปใส่ใจ
วัน ๆ สนใจแต่ว่า Jack Ma
จะเล่นแร่แปรธาตุอะไร
เรื่องที่คนสนใจคืออะไร
คือมีของปลอมไหม ... ?
ราคาถูกลงหรือเปล่า ... ?
ส่วนเรื่อง Supermarket
จะมีพนักงาน หรือเปล่า
มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลย ... !
นักข่าว :
คุณป้าไม่คิดว่าการเกิดขึ้นของ
Supermarket แบบไร้พนักงาน
จะเปลี่ยนแปลงวิธีการจับจ่ายสินค้า
แบบเดิมๆได้เหรอครับ ... ?
คุณป้า :
เปลี่ยนอะไรล่ะ ... ?
ซื้อของจ่ายตังค์อ่ะหรอ
ใช้ Alipay จ่าย ก็ใช้ตังค์ฉันจ่าย ไม่ใช่หรอ ... ?
นักข่าว :
ผมคิดว่าคุณป้าคงยังไม่ค่อยเข้าใจ
เทรนด์ที่เปลี่ยนไปของยุคสมัย
คุณป้า :
นี่ แค่ทำให้ Supermarket ไม่มีพนักงาน
ก็คือเทรนด์ที่พัฒนาแล้วหรอ ... ?
แค่เอาพนักงานระดับล่างออกก็เก่งแล้วเหรอ ?
ถ้าเก่งจริง ... ก็ทำ
Supermarket ที่ไม่มีเจ้าของสิ
หรือ ทำหน่วยงานรัฐ ที่ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐ
นักข่าว :
ไม่ทราบว่าคุณป้า
มีปัญหาอะไรกับ Jack Ma หรือเปล่าครับ ?
คุณป้า :
ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ Jack Ma
แต่ฉันคิดว่า ... นักข่าวไร้สาระอย่างพวกเธอ
ถามคำถามที่ไม่ตรงจุด
Jack Ma เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเรา
แต่มันไม่ควรจะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่เราต้องการคือการเปลี่ยนแปลง
ที่มาพร้อมกับความสุข
ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
มันไม่ได้ทำให้เรามีความสุข
แต่ กลับเพิ่มความยุ่งยากมากมาย
สิ่งนี้ต่างหากที่นักข่าวอย่างพวกเธอ
ควรจะให้ความสนใจ
นักข่าว :
.... มึน ตึ้บ ...
=====
Credit : 金融头条
แปล : mangu86 (Boom Choksupat)
Credit fb : อาจารย์ สมเกียรติ โอสถสภา
ทำไมการที่ Huawei ถูก ARM แบนไม่ให้ใช้ได้ถึงเป็นเรื่องใหญ่
ใหญ่กว่าโดน Google BAN อีกหรอ???
ใช่ครับ ใหญ่กว่าชนิดเทียบไม่ได้เลย
ARM คือเจ้าของสิทธิบัตรออกแบบ CPU สำหรับ Smartphone ที่ใช้กันเยอะที่สุดในโลก ถ้าถามว่าของค่ายไหนบ้าง ก็มีตั้งแต่ Snapdragon ของ Qualcomm , Helios ของ Mediatek , ตระกูล A ของ Apple และ Kirin ของ Huawei
ถ้าถามว่าเยอะขนาดไหนก็คือ Android ทุกตัวบนโลกเป็น ARM
นอกจาก Android แล้ว Chrome OS , Firefox , Linux สารพัดยี่ห้อ , Taizen , webOS , Windows mobile ก็รันบน ARM หมด
แล้วมันลำบากตรงไหนที่ใช้งานไม่ได้
พูดง่ายๆก็คือ เครื่องรุ่นหน้าจะใช้ CPU ตระกูล ARM ไม่ได้เลย
แล้วถ้าใช้ CPU ตระกูล ARM ไม่ได้ ก็จะใช้ Compiler และ การประมวลผลของ ARM ไม่ได้ด้วย ส่งผลให้ App ทั้งหมดบนโลก และ , ระบบปฏิบัติการใดๆ รวมไปถึง เจ้า Hongmeng OS (ที่เพิ่งประกาศว่าจะนำมาใช้) ใช้งานไม่ได้เลย เพราะทุกอย่างเขียนด้วยคำสั่งของ ARM ทั้งหมด
ถ้าทำ CPU ใหม่ล่ะ
ก็ทำอ้างอิงกับ ARM ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้น ถ้าใช้ ARM ไม่ได้ ก็จะใช้ลามไปจนถึง OS , Ecosystem และ Dev ทั้งโลกก็จะต้องศึกษาใหม่หรือ หาเครื่องมือใหม่ในการเขียนเพื่อ OS ของ Huawei ตัวนี้ตัวเดียว เรียกว่ายากซะยิ่งกว่าอะไร
จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมการโดนแบนให้ใช้ ARM ไม่ได้ เรื่องใหญ่กว่าโดน Google แบนมหาศาลมากๆ
อันนี้เป็นหมัดสวนที่แรงพอกับบอกว่าจะไม่ส่ง Rare Earth ให้นั่นแหละ
ถ้าโลกมันเป็นไปทางนั้นจริง
ทางสหรัฐก็ต้องเปิดโรงงานผลิต สร้างทุกอย่าง ขุดเหมืองกันใหม่ เพราะจะไปจ้างจีนก็คงยากแล้ว (เออว่ะ จริงอย่างที่ Trump มันว่า ที่จะทำให้มีการกลับมาสร้างโรงงานในสหรัฐ)
ฝั่งจีนก็ต้องสร้าง Ecosystem ใหม่หมด ในจีนเองไม่ยากเท่าไหร่ แต่จะไประดับ Global แทบไม่ได้เลย เป็นการสกัดจีนในการครองโลกได้อย่างรุนแรงมาก
งานนี้ ไม่รู้จะยังไง แต่เรียกได้ว่าพังทั้งคู่
ปล. ไปค้นข้อมูลมาเพิ่ม ความบรรลัยของ Huawei เพิ่มเติมคือ CPU ของ Router รุ่นใหม่ของ Huawei ก็เป็น ARM .. บรรลัยยันธุรกิจ Network ด้วยงานนี้
สกัดจีนได้อย่างน้อยสิบปี
>>685 หรอวะ กูว่าสองประเทศนี้เสียผลประโยชน์ไปมากและต่างฝ่ายต่างเป๋กันไปก็จริง แต่ไม่ได้ถึงขนาดจะล่มสลาย
เดี๋ยวต่างฝ่ายก็ตั้งตัวหรือหาทางออกใหม่ๆกันได้ โดนเฉพาะจีนที่สายป่านยาว
เทียบความต่างว่ารัสเซียด้อยสุดในสามมหาอำนาจโลก ก็แทบไม่ได้ทำให้สถานการณ์ของรัสเซียดีขึ้นเลย
ยังไม่นับว่าแป๊ปๆเค้าอาจจะกลับมาจับมือคืนดีกันอีกนะ ซึ่งกูว่าถึงจุดที่เค้ารู้สึกว่าได้ไม่คุ้มเสียเดี๋ยวก็กลับมาดีกันเอง
สังคมจีนมันยังเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จ ควบคุมคนชั้นกลางที่ขยายมากขึ้นเรื่อยๆได้แค่เพราะพรรคยังมีเงินคอยทำให้คนชั้นกลางอยู่สุขสบายได้อยู่ คนเลยไม่ค่อยบ่นกัน
ลองเงินพวกนี้หมด คนชั้นกลางจีนเริ่มอึดอัดดูดิ
แต่คิดแล้วก็น่าสนุกแปลกๆ ถ้าอยู่ดีๆตื่นมาแล้วข่าวคือจีนถูกยุบ แล้วมีประเทศใหม่เป็นสิบประเทศ(เสฉวน,ซินเจียง,ฮูนาน etc.) ผุดขึ้นมาแทนที่
เพราะนั่นคือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับโซเวียตชั่วข้ามคืน
>>688 ถ้ารัฐบาลจีนปัจจุบันล่ม ตั้งใหม่ขึ้นมาก็ทางตะวันออกก็คงอยู่กันเหมือนเดิม
แต่มีสิทธิเสียดินแดนที่เพิ่งได้มาทีหลังอย่างทิเบต หรือพวกที่วัฒนธรรมต่างชัดอย่างซินเจียง
แต่กูว่าพอรัฐบาลใหม่ตั้งตัวได้เริ่มอยู่ตัวเดี๋ยวมันก็ไปยึดคืนอยู่ดี
ถ้านานาชาติโวยวายมันก็เล่นมุกเดิมคือใครโวยวายจะไม่ค้าขายด้วยนะ แล้วเรื่องก็เงียบ
ถ้ารัฐจีนล่มได้นี่ความสนุกแบบอาหรับสปริงจะเกิดไหมวะ? หรือเจอแบบเมกา+UNเข้าแทรกแซงเอากองกำลังไปตั้งในตัวประเทศจีนสักส่วนเลย ถ้าทำได้กองทัพเมกามีงานทำหรอมๆเลยนะ ทรัพยากรมีให้สร้างประเด็นเยอะมาก หามณฑลที่มันดูห่างไกลๆ กฎหมายเข้าถึงยาก ด้อยพัฒนาสัสๆ แล้วไปตั้งกองทัพทำไม่ยาก
เรื่องความคิดเศรษฐกิจจีน ซ้ายไทยต้องศึกษามันเยอะหน่อย เพราะจีนเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้ มันพัฒนามาจากมาร์กซิส-เลนินนิสต์-เหมาอิสต์ ทั้งนั้นนะ
คนที่มองเผินๆจะฟันธงไปว่าทุกวันนี้จีนเป็นทุนนิยมไปแล้ว (สมัยก่อนผมก็มองอย่างนี้ นั่นเป็นเพราะว่าผมยังไม่ได้ลงไปดูรายละเอียดจริงๆของมัน ดูแต่ปรากฎการณ์ผิวเผินแล้วสรุปเลย ซึ่งทำให้เข้าใจผิดไปเยอะ)
--------------
ทฤษฎีเศรษฐกิจจีนสมัยใหม่ยืนอยู่บนสองขา, ขาหนึ่งอยู่กับ "สังคมนิยมแบบจีน" (เพราะมันไม่เหมือนใครในโลกไง) อีกขาหนึ่งอยู่กับระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับระบบทุนนิยมโลกและทุนนิยมภายในของจีนเอง
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปอ่านบทสรุปสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนย้อนหลังกลับไปซัก 30 ปี มันมีการถกเถียงเรื่องระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ในอนาคตของจีนเข้มข้นมาก แล้วมันก็อย่างที่เห็นทุกวันนี้
ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมแบบจีนยุคใหม่ยังยืนยันทฤษฎีมาร์กซ์-เลนินนิสต์อยู่เหมือนเดิม แต่มีการตีความใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ใหม่ เป็นการปฎิวัติของจีนในยุคสมัยใหม่ที่เน้นเรื่องการเมือง+เศรษฐกิจชี้นำ
รัฐบาล พคจ ในระยะ 20 ปีหลังใช้นักเศรษฐศาสตร์ระดับครีมมาทำงานให้จำนวนหลายคน ที่น่าสนใจก็คือนักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้เรียนจบมาจากสถาบันเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลกจากตะวันตกทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือเรียนรู้องค์ความรู้แบบตะวันตกมาลึกซึ้ง และเอากลับมาใช้ในจีน
แต่การเอากลับมาใช้ในจีน มันมีเงื่อนไขอยู่บนพื้นฐานบางอย่าง เช่น
- ต้องมีมิติความเป็นชาตินิยมจีน
- ต้องปรับเข้าหารูปแบบและเนื้อหาตามที่สมัชชาพรรคฯเห็นชอบ
- ต้องใช้ได้จริงผ่านการทดลองจริง
- ต้องทำให้ประชาชนเข้าถึง "ทุนนิยมโดยจำกัด" ผ่านกลไกเศรษฐศาสตร์ที่ถูกดัดแปลงแล้ว
- ใช้รูปแบบเศรษฐศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่เข้มข้นแต่เนื้อหาเป็นของจีนอย่างเข้มข้น
---------------
เรื่องพวกนี้ผมเพิ่งมาศึกษาเอาเองเมื่อซัก 1 ปี ที่ผ่านมา เลยทำให้รู้ว่าจู่ๆจีนไม่ได้แบบว่า บู้มมมม !! แล้วครองโลกเลยไง กว่าจะเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้มันเริ่มต้นเตรียมตัวกันมานานแล้ว และมีวิธีคิดที่น่าสนใจ
งานศึกษาที่ต้องหามาอ่านต้องเป็นงานศึกษาจากตัวนักเศรษฐศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ของจีนเอง งานแปลเป็นไทยพอหาได้ เราจะได้รู้มันสมองของจีนในโลกเศรษฐกิจจริงจังมากขึ้น
--------------
ยิ่งศึกษาเรื่องจีนไปเยอะขึ้นยิ่งทำให้รู้ว่าชนชั้นนำจารีตของไทยแลนด์นี่ขี้ตีนมากจริงๆ ความลุ่มลึกทางปัญญาแทบไม่มีเลย ไม่มีวิธีคิดแบบมหาอำนาจใดๆทั้งสิ้น
“สงครามสหรัฐ ฯ กับ Huawei, การพยายามก้าวเป็นผู้นำโลกด้านเทค และปัญหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา”
.
ถึงแม้ส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบทรัมป์ จะบอกว่าเกลียดเลยก็คงได้ แต่จะว่าไปเราก็ค่อนข้างเห็นด้วยหน่อย ๆ กับการตัดสินใจของสหรัฐ ฯ ที่แบน Huawei และยกเป็นปัญหาระดับชาติ
.
ในมุมของคนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่าสหรัฐ ฯ กีดกันจีนทางการค้าและกลัวว่าจะโดนจีนแซง แต่ถ้ามามองในมุม “ความแฟร์” โดยละเอียดแล้วหละก็ ภาพหลาย ๆ อย่างในหัวอาจเปลี่ยนไปได้เลย
.
จริงอยู่ที่สหรัฐ ฯ กลัวจีนแซงด้านเทคโนโลยี เพราะจีนวางแผนจะแซงสหรัฐ ฯ จริง ๆ แต่ที่น่ากลัวคือ “Huawei ที่แบคด้วยรัฐบาลจีนกลับเลือกทำโดยไม่เลือกวิธีการ” และวิธีที่ Huawei ใช้มานานแล้วก็จะไปในทางจีนคือ “ละเมิดทรัพย์สินทางปัญหาและขโมยมาเลย”
.
ในมาตรฐานสากล “ทรัพย์สินทางปัญญา” ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกว่าแต่ละคนจะคิดผลิตอะไรขึ้นมาได้ก็ล้วนต้องลงทุนมากมายมหาศาล สุดท้ายใครจะใช้งานที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญานั้น ก็ต้องจ่ายเงินค่า License ไป ถ้าไม่อยากใช้ก็หาทางพัฒนาของตัวเองขึ้นมา เลือกเอาว่าจะไปทางไหน
.
แต่พอเป็นจีน มาตรฐานกลับเป็นอีกแบบนึงคือ ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและเอามาใช้เลย ไม่จ่ายค่า License ด้วย จับได้ค่อยมาฟ้องทีหลังนะ
.
ช่วงที่ผ่านมาเราเห็น Huawei เติบโตและผู้คนชื่นชมว่าทำโน่นทำนี่ได้เยอะจังเก่งจัง แต่หารู้ไม่ว่าหลายอย่างนั้น “ถูกขโมยมาขาย”
.
กรณีแรก ๆ คงย้อนไปปี 2003 ที่ Huawei ไป “แฮค” Source Code ของ Cisco แล้วเอามาใส่ใน Router ของตัวเองขายตัดราคา นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ Huawei เริ่มโดนจับตามองจากสหรัฐ ฯ (เคสนี้ถือว่าวิธีการเลวร้ายมาก)
.
ปี 2007 หัวเว่ยจ่ายเงินให้พนักงาน Motorola เพื่อซื้อข้อมูลลับของบริษัทและเอามาทำเป็นโปรดักส์ของตัวเอง เกิดเป็นคดีใหญ่โตในปี 2010
.
ปี 2012 Huawei พยายามขโมยข้อมูลสำคัญของการผลิต Tappy หุ่นยนต์ทดสอบมือถือของ T-Mobile โดยละเมิดข้อห้ามมากมาย รวมถึงให้พนักงาน Huawei USA ที่ได้รับอนุญาตเข้าไปใช้งาน Tappy แอบถ่ายรูปส่งกลับไปจีนให้ Huawei China
.
ปี 2014 หัวเว่ยให้นักประดิษฐ์ชาวโปรตุเกสบินมานำเสนอ “กล้อง 360 แบบเสียบมือถือ” ที่กำลังอยู่ในระหว่างการจด Patent อยู่ให้กับทีมงาน ปรากฎหลังจากผ่าน Meeting ไปก็ไม่เคยได้รับการติดต่อกลับจาก Huawei อีกเลย จนกระทั่งปี 2017 หัวเว่ยก็เปิดตัวกล้อง Envizion 360 ที่เหมือนกับผลงานที่นักประดิษฐ์คนนี้นำไปเสนอทุกกระเบียดนิ้ว ยังคงเป็นคดีความอยู่ในตอนนี้
.
ต้นปีที่ผ่านมา Huawei โดนฟ้องจากเยอรมันคดีเอา MPEG ไปใช้โดยซึ่ง ๆ ทั้ง ๆ ที่มันมีค่า License ซึ่งก็จบลงด้วยดีด้วยการที่เดือนถัดไป Huawei ก็เข้าร่วม MPEG LA ยอมจ่ายค่า License เป็นที่เรียบร้อย
.
หากประเมินแล้ว สหรัฐ ฯ เสียหายถึงประมาณปีละ “$600B” ในส่วนที่จีนละเมิดไปและขายสินค้าโดยไม่ยอมจ่ายค่าลิขสิทธิ์ เงินเข้าจีนแบบสบาย ๆ ส่วนเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญากลับไม่ได้อะไร
.
ถ้ามองเรื่องการกีดกันแล้ว เคสที่กำลังดังอยู่ตอนนี้คนจะมองไปว่าสหรัฐ ฯ กีดกันเทคโนโลยีจีนไม่ให้ถูกใช้ในประเทศ แต่สิ่งหนึ่งที่คนกลับไม่ได้มองย้อนกลับไปคือ จริง ๆ จีนก็กีดกันไม่ให้เทคโนโลยีสหรัฐ ฯ อย่าง Google หรือ Facebook เข้าไปทำธุรกิจเช่นกัน
(ต่อเม้นล่าง)
(ต่อจาก >>693 )
มันก็ไม่แฟร์นะที่จีนจะออกมาทำธุรกิจข้างนอกได้(ด้วยการละเมิดคนอื่นด้วย) แต่ก็ไม่ให้คนอื่นไปทำธุรกิจในประเทศ แบนมาแบนกลับไม่โกง
.
ความจริงหลายบริษัททั่วโลกก็มีปัญหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากันทั้งนั้นรวมถึง Apple, Google, Samsung เอง ก็มีคดีความ Patent War ให้เห็นมาโดยตลอด แต่วิธีการละเมิดก็ยังไม่น่าเกลียดเหมือนที่ Huawei ทำมา
.
เรื่องราวที่ผ่านมา วิธีการที่ Huawei ใช้ รวมถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ก่อตั้ง Huawei และผู้นำรัฐบาลจีน ทำให้ Huawei ถูกเพ่งเล็งโดยสหรัฐ ฯ มาโดยตลอด สหรัฐ ฯ รู้สึกไม่แฟร์ว่าเทคโนโลยีที่ประเทศตนทำขึ้นมา รวมถึงเทคโนโลยีที่ประเทศตนต้องจ่ายเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้น กลับถูกขโมยโดยประเทศจีนเพื่อเป็นทางลัดก้าวนำสหรัฐ ฯ
.
แต่ที่ผ่านมา Huawei ยังไม่ได้โดดเด่นอะไรขนาดทุกวันนี้ สหรัฐ ฯ ก็เลยปล่อยไว้ มีปัญหาค่อยทำเป็นคดีทีนึง แต่ล่าสุด Huawei กำลังเปลี่ยนจากผู้ขโมยเป็นผู้สร้างโดยมีพระเอกหลักคือ “5G” ที่ Huawei มีส่วนเป็นอย่างมากในการสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา ซึ่ง 5G ถือเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเป็น Infrastructure ระดับประเทศ หากใครถือครองตรงนี้ไปก็คือถือครองข้อมูลระดับประเทศได้เลย
.
และนี่เป็นเหตุผลที่ Huawei จึงถูกจับจ้องหนักขึ้น สหรัฐ ฯ พยายามเจรจาเพื่อ Settle ทุกอย่าง แต่ก็ไม่เป็นผล จนทำให้สหรัฐ ฯ ประกาศแบน Huawei ในที่สุด ซึ่งเอาจริง ๆ มันคือการประกาศสงครามการค้ากับจีนไม่ใช่ Huawei เพราะนาทีนี้ Huawei ค่อนข้าง Represent จีนเยอะมากและกำลังโตจนน่ากังวล (หมายเหตุ: หากนับมูลค่าที่ละเมิด US Patent เป็น % นี่จีนประเทศเดียวคือราว ๆ 50-80% เลย)
.
นาทีนี้การแบน Huawei โดยสหรัฐ ฯ และชาติต่าง ๆ จึงไม่ได้เป็นเรื่องตรงไปตรงมา ถือว่าค่อนข้างยุ่งเหยิงมาก ทั้งเรื่องการละเมิด การกลัวจีนแซง ความปลอดภัย ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องเหตุและผลข้อสองข้อ แต่เป็นเรื่องที่ก่อมานานแล้วและเพิ่งจะระเบิดออกมาในช่วงนี้
.
การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเริ่มเป็นเกมที่ซับซ้อนขึ้นเมื่อตอนนี้ Huawei เริ่มถือครอง Patent มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากการกว้านซื้อบริษัทและการคิดค้นของใหม่ขึ้นมาเอง ล่าสุดก็เริ่มฟ้องคนอื่นเรื่องละเมิด Patent ตัวเองบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มาก เพราะว่า Patent ส่วนใหญ่ของ Huawei ไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นการพัฒนาขึ้นจากอย่างอื่นมากกว่า ก็เลยยังไม่มีมูลค่ามาก แต่ก็น่าจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา
.
การแบน Huawei นี้ถามว่ามีใครเจ็บบ้าง บอกเลยว่าเจ็บหมดทั้งเมกาและจีน หุ้นทั่วโลกคงร่วงระนาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธุรกิจคงฝืดเคือง สินค้าคงแพงขึ้น
.
แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมสหรัฐ ฯ ก็คงต้องยอมว่า “มันคือสิ่งจำเป็น” และถึงแม้ดูจะทำให้หลายสิ่งดูแย่ลง แต่ในระยะยาวคนที่ได้ประโยชน์มากกว่าคือสหรัฐ ฯ เพราะที่ผ่านมาจีนเอาเปรียบสหรัฐ ฯ ไปมากแล้ว การตัดตอนนี้ไปอาจจะส่งผลลบชั่วคราว แต่ยาว ๆ จีนคือเจ็บกว่ามาก ถึงเทคโนโลยีหลายอย่างจีนจะนำสหรัฐ ฯ ไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเทคโนโลยีที่ต่อยอดจากของประเทศอื่นทั้งนั้น (ยกเว้น 5G) ก็โดนตัดให้โดดเดี่ยวนี่ก็เหมือนเสือไร้เขี้ยว น่าเกรงขามแต่ทำอะไรไม่ได้เลย
.
อย่างล่าสุดการตัด ARM ไม่ให้ทำธุรกิจกับจีนนี่เป็นไม้ที่เจ็บมากจริง ๆ หลาย ๆ อย่างลอกได้ แต่ CPU Architecture เป็นสิ่งที่ลอกไม่ได้เลยจริง ๆ นี่คือการตัดน้ำตัดไฟเลยก็ว่าได้ ตอนนี้จีนก็เหลือแต่ MIPS ซึ่งไม่มีทางสู้ ARM ได้
.
อาจจะเจ็บมากจนทำให้จีนกลับมาพิจารณาอะไรเพิ่มเติมก็เป็นได้
.
ไม่งั้นแผนการ “Made in China 2025” ที่จีนประกาศออกมาอาจจะไม่เป็นอย่างที่จีนฝันก็เป็นได้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จีนนี่มันจีนจริงๆ
แต่การละเมิดลิขสิทธ์ของจีนนี่มันอุกอาจมากจริงๆ ถ้าไม่ยอมเล่นตามกฏน่าเกลียดขนาดนี้ก็ควรโดนว่ะ
-- ความเละเทะของกระบวนการยุติธรรมในบาวาเรียมีต้นเหตุมาจากบรรดาผู้พิพากษาที่ฝักใฝ่แนวคิดอนุรักษนิยมและชาตินิยม ตั้งแต่หลังการปฏิวัติจนถึงปี 1922 ฝ่ายขวาก่อคดีฆาตกรรมมาแล้วทั้งหมด 354 คดี แต่ยังไม่มีใครถูกตัดสินประหารชีวิต มีเพียงหนึ่งรายที่ติดคุกตลอดชีวิต และอีก 326 รายได้รับการปล่อยตัว ในขณะที่ฝ่ายซ้ายก่อคดีฆาตกรรม 22 คดี สิบรายถูกตัดสินประหารชีวิต สามรายติดคุกตลอดชีวิต และสี่รายเท่านั้นที่ได้รับการปล่อยตัว
"ก่อนหน้านั้น ข้าพเจ้าเคยเชื่อมั่นอย่างใสซื่อในความยุติธรรม" เฮียร์ชแบร์กเขียน "บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าศาลตัดสินแบบสองมาตรฐานอย่างเปิดเผย ศาลจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับอาชญากรรมที่ฝ่ายชาตินิยมและฟาสซิสต์เป็นผู้ก่อ แต่จะไร้เมตตาถ้าฝ่ายปฏิวัติหรือกรรมาชนทำความผิดเพียงเล็กน้อย" --
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
A: ทำไมคุณไม่บ่นเบื่อประเทศไทย อยากย้ายไปอยู่ประเทศนู่นประเทศนี่แบบฝ่ายก้าวหน้าที่เกรี้ยวกราดแต่มีสไตล์และสตางค์เลยอ่ะครับ
B: ผมขาด้วนอ่ะครับ ไปแค่หมอชิตนี่ยังยากเลย
การปรับตัวของเผด็จการในยุคนี้ เขารู้ท่าทีโลกออนไลน์ว่า มาไว ไปไว ไม่แปลก ที่เขาจะไม่แคร์กระแสในโลกออนไลน์ เหมือนช่วงทำรัฐประหารใหม่ๆ ที่ควบคุมแน่หนากว่าช่วงนี้
ไม่แคร์ว่าทำแบบนี้แล้วคนจะด่า วิจารณ์กันสนั่นลั่นเฟซบุ๊ก ทำแฮชแท็กขึ้นที่ 1 ไม่รู้กี่เรื่อง ต่อกี่เรื่อง ต่อให้ข่าวออกกันโครมคราม ก็แล้วยังไงต่อ?
พักหลัง เราท่านๆ จึงวิจารณ์เผด็จการกันได้เต็มสูบ เต็มที่ และถ้าหากเขารู้สึกว่ากระแสมันแรงเกิน จนเขารู้สึกกลัวว่า จะลุกลามบานปลาย ก็จะใช้ "กฎหมาย" เป็นเครื่องมือในการลดกระแสนั้นๆ เพื่อให้มันแผ่ว บางที ก็อาจจะเล่นนอกลู่ เช่น มาถึงบ้าน ไปหาถึงที่ ประชิดถึงตัว ใกล้ชิดทุกคน
แล้วอย่าคิดว่าเรื่องพวกนี้สร้างความกลัวไม่ได้ คุณอาจจะไม่กลัว ส่วนผมไม่รู้จะกลัวทำไม แต่คนที่เขาไม่มีอะไร เขากลัว พอเรื่องพวกนี้มันไปถึงตัว หรือบางคนแค่ได้ยินเรื่องเล่าพวกนี้ ปากต่อปาก กลายเป็นคำเตือน ว่ารักตัวกลัวตาย ก็ลดดีกรีลงหน่อย อันนี้ต้องเข้าใจ ที่ผ่านเป็นแบบนี้จริงๆ
คำถามคือ มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?
คำตอบก็คือ อยู่ที่ "ประชาชน" และ "ความกลัว หรือ ไม่กลัว" นั่นแหละ
"IPv9 เป็นแค่เรื่องโกหกวัน April Fool's Day ปี 1994"
.
เห็นคนแชร์ IPv9 มาหลายวัน ป่านนี้ก็ยังมีคนเชื่ออีก ตอนแรกว่าจะไม่เขียนละ แต่เพื่อไม่ให้เรื่องหลอกลวงมันกระจายไปมากกว่านี้ ก็ขอยืนยัน ณ ตรงนี้นะครับว่า "IPv9" เป็นเรื่อง "โกหก" ล้วน ๆ
.
แรกเริ่มตอนอินเทอร์เนตเกิดมา IPv4 ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อระบุว่าเครื่องไหนเป็นเครื่องไหน เหมือนกับบ้านเลขที่ของคอมพ์เครื่องนั้น ๆ ตอนที่ต่อเนตนั่นเอง
.
แต่ด้วยการที่ IPv4 เป็นตัวเลขขนาด 32 บิต จึงสามารถสร้างเลขที่ไม่ซ้ำกันได้เพียง 4,294,967,296 ตัวเลขเท่านั้น
.
ฟังดูเหมือนเยอะ ตอนหลายสิบปีที่แล้วตอนที่คนคิด IPv4 ขึ้นมาก็นึกว่ามันเยอะขนาดนี้ มันต้องพอสิ แต่จะบอกว่าตอนนี้จำนวนอุปกรณ์ที่ต่อเนตตอนนี้ได้ทะลุเลขนั้นไปที่เรียบร้อยแล้วจย้าาาา
.
ดูถูกกันไปละนะคนในอดีต !
.
นี่คือแค่อุปกรณ์มือถือ คอมพิวเตอร์ อะไรพวกนี้นะ ถ้าตลาด IoT บูมนี่คือเพิ่มมาอีกกี่พันล้านอุปกรณ์ก็ไม่รู้
.
ปี 1995 ตัว IPv6 จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับจำนวนอุปกรณ์ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลด้วยตัวเลขขนาด 128 บิตหรือ ... คูณเป็นตัวเลขแล้วพูดยาก เอาเป็นว่าเยอะกว่าจำนวนเม็ดทรายในโลก จับทรายทุกเม็ดมาต่อเนตเลขยังเหลือว่างั้น
.
และมันก็จบแค่นั้น จะว่าไปจนถึงตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงคุ้นชินกับ IPv4 อยู่ดี (พวกตัวเลข 8.8.8.8 อะไรพวกนี้) ส่วน IPv6 นี่น้อยคนมากที่จะรู้ รวมถึงคนใช้งานจริงก็ยังน้อยมาก
.
แล้วถามว่าใครเป็นองค์กรที่กำหนด Internet Protocol ที่เราใช้ ๆ กันอยู่ ?
.
องค์กรนั้นมีนามว่า Internet Engineer Task Force (IETF) ซึ่งที่เห็น IPv4, IPv6 ก็ล้วนมาจากการตกลงร่วมกันผ่านองค์กรนี้ทั้งสิ้น
.
แล้ว IPv9 มาตอนไหน ...
.
ก็อิ IETF นี่แหละ !
.
วันที่ 1 เมษายน 1994 (ก่อนปีที่ IPv6 จะถูกตั้งสเปค 1 ปี) IETF เกิดนึกสนุก ปล่อยเอกสาร RFC1606 ที่ดูเป็นทางการมากออกมา เอ่ยถึงเรื่อง "IPv9" เนื้อหาดูจริงจังมาก แต่ตบท้ายด้วยการบอกว่า
.
"Those who do not study history, are doomed to repeat it.
"
.
เมืองนอกเล่น April Fool กันได้แสบมากแต่ก็สร้างสรรค์ เผื่อใครอยากอ่านเล่น >>> https://tools.ietf.org/html/rfc1606
.
ซึ่งก็เป็นไปตามที่เค้าเขียน ... จากนั้นคนก็เอาไปสร้างเป็นเรื่องเป็นตุเป็นตะ ผ่านมา 25 ปี ก็ยังจะเชื่อกันอยู่อี๊กกกกก ล่าสุดก็เพิ่งมีคนไทยแชร์เป็นบทความยาวเหยียด
.
ซึ่งยืนยันตรงนี้อีกทีนะครับว่าไม่มีเรื่องจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
.
ความจริง IPv9 ก็มี Patent File อยู่จริง ๆ ฉบับนึงด้วยนะ จดโดย Xie Jian-Ping เมื่อปี 2002 บอกว่า IPv6 มันแค่ 128 บิต ไม่พอหรอก เอาเป็น 256 บิตไปเลยสิ !
.
ผลสุดท้ายก็เป็นได้แค่ Patent ไม่มีการใช้งานจริงแต่อย่างใด ไม่มี Implementation ด้วย กลายเป็น Patent กึ่งโจ๊กที่จะเอาลงจาก Patent ก็ไม่ทันแล้ว
.
ก็จูนให้เข้าใจตรงกัน จะได้ไม่เก้อเนอะ ๆ =)
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หากจะมีม๊อบทางการเมืองครั้งใหญ่อีก มวลชนม๊อบอาจจะต้องเจรจาต่อรองกับแกนนำ เรื่องการทำประกันชีวิต ประกันภัย ประกันการสูญเสียให้ผู้ร่วมม๊อบอย่างเป็นระบบ มีการเรียกร้องค่าจ้างมาม๊อบขั้นต่ำให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อด้วย
เรื่องการเรียกร้องผลประโยชน์เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในสังคมประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องน่าอายใดๆ อ่ะครับ
#ม๊อบที่สอดคล้องกับหลักการทุนนิยมประชาธิปไตยอย่างแท้จริม
วันนี้น้องโปรแกรมเมอร์จบใหม่เรียกเงินเดือน 17000-18000
ต้องบอกให้น้องใจเย็นค่ะ!!!! เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆ
เดี๋ยวพี่เรียกให้เพิ่มเป็น 24-25Kนะคะ
น้องจะอยู่ในกทมไม่ไหวนะคะ ค่าเดินทางก็เท่าไหร่แล้ว
น้องคงกลัวเรียกแพงไม่ได้งาน
อันนี้เป็นตัวบ่งชี้เศรษฐกิจกับค่าใช้จ่ายที่คนไทยต้องแบกรับได้เลย สงสารอ่ะ หันไปเจอข่าวการเมืองละก็อ่อนใจ ทะเลาะกันไปมา ไม่ได้พัฒนาประเทศและการศึกษาเลย 😭😭
ตกบ่ายคุยกับน้อง iOS อีกคน ทำงานได้ 2 ปี เงินเดือนจะ 8หมื่นแล้ว แต่น้องพูดภาษาอังกฤษได้
😢โอกาสและต้นทุนคนเรานี่ไม่เท่ากันจริงๆ
ในฐานะที่ต้องพึ่งพาตัวเองในสังคมแบบนี้ และการแข่งขันสูงแบบนี้
พี่ได้แต่แนะนำให้น้องๆอย่าทิ้งการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีเงินเรียนก็หาที่เรียนถูกๆที่แบ่งจ่ายได้ หรือจะเก็บเงินเรียน หรือจะเลือกฝึกจากแอปเดท 555 (อันนี้ล้อเล่นนะคะ แต่ทำจริงพี่ก็ไม่ว่า 🤣) คุยกับเพื่อนต่างชาติ ดูหนังฝรั่ง โหลดแอปสอนภาษาฟรี อะไรก็ได้ แค่พยายามนะคะ พยายามใช้ พยายามฝึก สู้ๆค่ะทุกคน 🤘🏻
อาจจะขัดใจนายจ้าง แต่ถ้าน้องอยู่ไม่ไหว วันนึงน้องก็ต้องไปหางานที่ใหม่ที่ให้มากกว่าอยู่ดี และบริษัทก็จะสูญเสียเวลาในการฝึกการเทรนไปเปล่าๆ ให้น้องในแบบที่บริษัทอยู่ได้ และน้องอยู่ได้น่าจะดีที่สุดค่ะ 😊
ไอแซค อสิมอฟ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ผู้มีผลงานราวห้าร้อยเล่มตลอดชีวิตการเขียนของเขา เคยกล่าวว่า "คุณต้องส่งงานออกไปอย่างต่อเนื่อง คุณต้องไม่ให้ต้นฉบับกัดกินตัวเองจนตายคาลิ้นชัก คุณส่งงานออกไปแล้วออกไปอีก ขณะที่คุณทำงานชิ้นใหม่ ถ้าคุณมีความสามารถ คุณจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณกัดไม่ปล่อยเท่านั้น"
อาการ 'กัดไม่ปล่อย' นี้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่คนยุคใหม่ไม่ว่าในวงการไหนขาดแคลน
ในสมัยก่อนเมื่อคนจีนอพยพมาเมืองไทย การเดินทางแบบ 'เสื่อผืนหมอนใบ' เป็นภาพแสนสามัญ ความหยิบหย่งในยุคสมัยนี้มาพร้อมกับค่านิยมที่ว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่สบาย
ความคิดที่ว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ทำงานหนัก เป็นความเชยอย่างยิ่ง มิพักเอ่ยถึงการทำงานจนถึงวันตาย ช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้
ใช่ มันน่ากลัว เพราะใคร ๆ ก็อยาก 'เออร์ลี รีไทร์' พร้อมเงินเต็มกระเป๋า
น่าแปลกที่ใคร ๆ มักบอกว่าจะ 'ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ'
แปลกตรงที่เลือกทำสิ่งที่อยากทำในช่วงท้ายของชีวิต หลังจากทำงานหาเงินมาทั้งชีวิต
หากมีฝัน ทำไมต้องรอ?
เราทุกคนมีความฝัน ใหญ่บ้างเล็กบ้าง หลายคนมีความฝันสวยงาม แต่ไม่ลงแรง หลายคนท้อเพียงเมื่อสะดุดล้มก้าวแรก เมื่อได้ยินคำว่า "ฝันไปหรือเปล่า?" ก็ใจฝ่อ เก็บฝันนั้นไว้ในลิ้นชัก บางคนล็อคกุญแจไว้อย่างดี ซ้ำร้ายบางคนยังทำกุญแจนั้นหายไปอีก
ความล้มเหลวส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราเป็นคนเก็บฝันในลิ้นชักนั้นเอง
ทุกครั้งที่เห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ หลายคนเอ่ยประโยคยอดฮิต "นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเคยคิดจะทำนี่นา..."
เส้นแบ่งระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลวเป็นเส้นบางนิดเดียว โลกนี้ไม่มีฝันโง่ ๆ มีแต่ฝันที่ทำหรือไม่ทำ
ตั้งแต่นาทีแรกที่เราออกจากท้องแม่ เราพานพบอุปสรรคนานาประการ หากเป็นความฝันก็สมควรลองดูสักตั้ง อย่างมากก็แค่ล้ม ไปไม่ถึงฝันยังดีกว่าไม่ได้ลองทำตามฝันแต่ล้มเหลว
หยิบฝันออกมาใหม่ ปัดฝุ่น เข้าเกียร์เดินหน้า เดินหน้าและกัดไม่ปล่อย
……………….
จากหนังสือ ความฝันโง่ๆ
วินทร์ เลียววาริณ
https://www.facebook.com/winlyovarin/
วันก่อนไปเที่ยวเชียงใหม่ แล้วเห็นลุงคนนึงนั่งกองอยู่กับพื้น เลยไปถามป้าคนหนึ่งว่าลุงแกเป็นอะไรคะ
ป้าแกตอบมาว่า "ลุงล้มเจ้า"
เรานี่โมโหมากๆเลยค่ะ
#ล้มล้างระบอบทักษิณค่ะ
Scenario ต่อไป การเมืองไทย ที่พวกตลกทั้งหลายอยากให้เป็น
- ชวนเป็นประธานสภา ประยุทธ์เป็นนายกปริ่มๆ ป้อมป็อกรีเทิร์น แต่รมต.เสดกิจเปลี่ยนหน้าไปให้ภจท.กับ ปชป.บ้าง
- ธนาธรโดนตัดสิทธิ์ ส.ส. พร้อมตัดสิทธิ์การเมือง 10 ปี+ คำระงับสมาชิกภาพ ส.ส. ชั่วคราวแค่แก้เก้อ เพราะเจ้าสำนักข่าวเก๊ชงหลักฐานสำนวนให้ศรีส่งกกต.ไป ศาลก็คงจะเชื่อทุกคำกล่าวหาตามสเต็ป สิบห้าวันยื่นเรื่องให้การเสร็จก็ตัดสินเลยไม่เกินเดือนเอ้า
- อนาคตใหม่เตรียมโดนยุบพรรค ไม่ว่าข้อหาไรก็หาได้อ่ะ ท่าทางจะเรื่องกู้เงินเป็นรายได้แบบตีความกฎหมายวิษณุไม่ใช่ทางบัญชี ไม่น่าจะเกิน 3 เดือนหรอก
- ส.ส. อนาคตใหม่กระเซ็นกระสาย ใครแข็งนักเดี๋ยวมีคดีตามมาเอง โดยเฉพาะอ.ปิยบุตร
- เพื่อไทยซึมๆ ไป เป็นฝ่ายค้านแบบสมัยเปรม แม้วเซ็งวางมือ หอบลูกหลานทรัพย์สินออกนอกประเทศหมด ช่างแม่งละ จะยึดที่เหลือก็ยึดไป ไปหาเอานอกประเทศรวยกว่า พรรคเพื่อไทยใครอยู่ก็อยู่ ใครย้ายก็ย้าย
- ถ้ามีม็อบมาอีกก็ใช้กฎหมายกดหัวไล่จับแกนนำรายตัว ถ้าม็อบเยอะไม่พอก็ไล่ยิงอีก
- รัฐบาลต่อไปจะกินกันสะบั้นหั่นแหลกยิ่งกว่าปัจจุบัน แบ่งเค้กกันสนุกสนาน แล้วจะเกิดสถานการณ์ปั่นสร้างให้นักการเมืองเป็นฝ่ายผิด คนโกงคือนักการเมืองที่เข้ามาดูด ถึงพวกเพื่อไทยอนาคตใหม่(ที่แตกไปอยู่กับเสรีบ้าง เพื่อไทยบ้าง) จะเป็นฝ่ายค้านก็จะทำให้ดูแย่ โหมให้ระบบรัฐสภา เลือกตั้ง เป็นสิ่งไม่ดี (แบบที่ทำๆ กันอยู่นี่แหละ)
- มีการส่งซิกให้ก่อม็อบประปราย สื่อประโคมข่าวเหมือนยุคชาติชาย
- และก็จะรัฐประหารอีก เย้ รัฐประหารรอบหน้ารีเทิร์นไปไกลกว่า 2475 แน่นอน แต่เป็นรัฐประหารกระชับอำนาจที่ คสช.ชุดปัจจุบันลอยตัวไปนอนแก่สบายๆ กินบำเหน็จบำนาญอยู่ในค่ายทหาร
กระบวนการทั้งหมดไม่น่าเกิน 3 ปี สั้นสุดคือ 6 เดือน
และเวลคัมทูนิวฟิลิปปินส์ อนาเธอร์เกาหลีเหนือได้เลย
...ทั้งนี้ เป็น scenario ที่ไม่มีปัจจัยภายนอกประเทศมาก่อกวน ถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือวิกฤตการเมืองโลกเข้ามาแทรกล่ะก็... ไอ้ระบอบที่คิดๆ กันไว้น่ะเอาไม่อยู่หรอกนะ
และเป็น scenario ที่จะเกิดถ้าคนไทยยังทนท้นทน แถมยังเกลียดนักการเมืองมากกว่าทหารและสานโกงๆ ทำลายความยุติธรรมกันต่อไป ซึ่งโอกาสก็ 50:50 ได้มั้ง
ตามนั้นแหล่ะ ถ้าจะโทษใครก็โทษพวกขั้วการเมืองเถอะที่ขยันถล่มเครดิตตัวเองในช่วงสิบปีที่ผ่านมาจนภาพติดลบกันทั้งก๊วน มัวแต่กัดกันเอง
ทำให้คนคิดว่าสายเขียวดีกว่าตัวเองได้นี่มึงไม่เหี้ยจริงมึงทำไม่ได้นะ คราวนี้คือบทเรียนราคาแพงสำหรับพวกแม่มเลย
ปากก็บอกอยากให้ทุกคนอยู่ใต้กฎหมาย
แต่พอธนาธรโดนคดีกลับบอกโดนแกล้ง
คดีที่คนอื่นก็โดนและยอมรับคำตัดสินแล้ว
อยากโปร่งใสแต่ไม่ยอมให้ตรวจสอบ งง
ศาลตัดสินเป็นคุณบอกศาลยุติธรรมมาก
ศาลตัดสินเป็นโทษบอกตุลาการภิวัฒน์
ประเทศไม่อยู่ด้วยกฎหมายจะให้อยู่ด้วยอะไร
เดินเข้าคูหาเดียวกันถ้ากาพรรคอื่นแกคือเผด็จการ
ผูกมัดจำกัดลิขสิทธิ์ประชาธิปไตยให้ตัวเองคนเดียว
ไม่ยอมพูดเลยว่ารัฐธรรมนูญผ่านประชามติมาแล้ว
ประเด็นให้ส.ว.ร่วมโหวตนายกก็ประชามติมาแล้ว
เสียงในโลกออนไลน์ไม่ใช่เสียงของคนโหวตจริงๆ
พอเห็นคนเห็นต่างก็ชี้หน้าด่าเค้าโง่เง่าเต่าล้านปี
นี่ตั้งแต่บอกว่าเราเลือกพลังประชารัฐนี่โดนด่ามาก
แกเง่าโง่ตุ่นเต่าโดนเค้าหลอกควรไปตายนั่นนี่ ฯลฯ
แต่นี่เฉย ๆ ไม่ได้สนใจ ใครพูดอะไรก็ได้อย่างนั้น
เรียกร้องให้ยอมรับส.ส.เพศทางเลือกต่าง ๆ
แต่ด่าส.ส.แก่ ด่าส.ส.นั่งรถเข็น ด่าส.ส.อ้วน
เวลาชอบมิ่งขวัญก็เรียกเค้าลุง เกลียดเรียกเจ๊
ไม่ต้องไปยุ่งทรงผมหมอพรทิพย์เค้าหรอกมั้ง
เค้าเข้าเฝ้าบ่อยกว่าคุณ เค้ารู้ดีอันไหนคือผ่าน
ถึงยังไงชุดที่ส.ส.เพศทางเลือกใส่ไปรายงานตัว
ที่รัฐสภาในวันนั้นก็ดูไม่เหมาะแก่กาลเทศะอยู่ดี
อยากให้บ้านเมืองสงบแต่ก็ปลุกระดมมวลชน
กาก็กาให้ ยังต้องให้มาช่วยเซฟธนาธรไม่พอ
ยังให้ใช้หนี้ให้พรรคเอาไปจ่ายดอกธนาธรอีกที
ยังจะให้ประชาชนออกมาเดินถนนเพื่อตัวเองอีก
สรุปที่บอกอยากทำการเมืองใหม่แท้จริงคืออะไร
คดีรมต.ดอนมีความแตกต่างใช้กฎหมายคนละตัว
ก็เอามาโยงแล้วบอว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม
เอาคดีถือหุ้นสื่อกับอีกคดีมาเหมารวมกันมั่วไปหมด
บอกอนุกรรมการยังสืบสวนไม่เสร็จนั่นมันคนละคดีพ่อ
แล้วสร้างภาพว่ากกต.กลั่นแกล้งทั้งที่มันเป็นไปตามกม.
อินเตอร์เน็ตมีความรู้มาก แต่คนไม่ชอบอ่าน แปลกดี
อ่านแต่ทวิตเตอร์ที่มีแต่ข่าวลวงแบบพ่อจอห์นชอบแชร์
ส่วนตัวเห็นด้วยกับนโยบายอนาคตใหม่หลายข้อ
โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียมและความหลากหลาย
แต่เรื่องเศรษฐกิจกฎหมายอย่างอื่นนี่ไม่เห็นด้วยเลย
แล้วถ้าพรรคต้องการเป็นสถาบันการเมืองเพื่อคนรุ่นใหม่
พรรคควรเอาตัวเองออกจากภาพความเป็นธนาธรได้แล้ว
ไม่อย่างนั้นอนาคตใหม่ก็จะไม่ต่างอะไรจากไทยรักไทย
ขี้หมูขี้หมาประวิตรก็เข้ากระบวนการสอบสวนตามปกติ
ไม่เห็นเคยออกมาโจมตีคนอื่นโจมตีกระบวนการศาล
พูดกี่ครั้งก็ตรงกันทุกครั้ง ขณะที่นักการเมืองบางคน
หรือหลายคนจากพรรคเดียวกัน พูดไม่ตรงกันสักครั้ง
จริงๆ อยากให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่นะ
ปิดสวิทช์ส.ว.งดออกเสียงให้หมดมีนายกไม่ได้ไป
แล้วค่อยเลือกตั้งใหม่ปลายปีแล้วได้รัฐบาลใหม่ปีหน้า
คาดว่าประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์มากกว่าเดิมไปอีกด้วย
ระหว่างนี้ลุงก็เป็นรัฐบาลมีอำนาจเต็มต่อไปเรื่อย ๆ :)
หากกำลังพลน้อยก็แบ่งแผ่นดินออกเป็นสาม : กลยุทธขงมาร์ค-เล่าชวน
ประชาธิปัตย์อาจจะไม่เก่งเท่าไหร่ในเกมเลือกตั้ง แต่เกมการเมืองสภานั้นยังคงเป็น Master
ในสภาพที่การเมืองแบ่งเป็นสองขั้ว ขัดแย้งกันระหว่าง ฝ่าย เพื่อไทย+อนาคตใหม่ Vs พปชร. และคะแนนของทั้งสองฝ่ายไม่ได้ข้อยุติ
ในสภาวะที่การเมืองแบ่งออกเป็นสองขั้ว แบบปริ่มน้ำ การจะทำอะไรต้องใช้เสียงครึ่งหนึ่ง ผู้ตัดสินชนะที่แท้จริงคือฝ่ายที่สาม ที่จะเลือกยกมือให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ที่จริงอภิสิทธิ์พยายามพูดถึงเรื่อง “ฝ่ายที่สาม” นี้ตั้งแต่แรก ซึ่งหลายคนในพรรคประชาธิปัตย์เองก็ ทำเป็นไม่เข้าใจเรื่องนี้ (นอกจากไอติมที่พยายามพูด แต่คนก็ทำเป็นไม่เข้าใจ)
หลายคนเองก็มองเห็นถึงความเป็นไปได้ และพลังของฝ่ายกลาง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจเพราะประวัติศาสตร์การเมืองไทยก่อนรัฐธรรมนูญ 40 แสดงให้เห็นพลังของขั้วที่สามมาแล้ว
แต่คนที่มาบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” หรือ พยายามไม่อธิบายให้คนเข้าใจ เพราะไม่อยากให้ฝ่ายที่สามเกิด เนื่องจากถ้าฝ่ายที่สามเกิด ทั้งขั้ว พปชร. และ ขั้ว เพื่อไทย+อนาคตใหม่ ลำบาก จะไม่มีใครตั้งรัฐบาลที่เข้มแข็งได้อีกต่อไป
เพราะอะไร?
สมมุติว่าต่างฝ่ายต่างมี 200 - 200 และฝ่ายที่สามมี 100 / ในเกมส์ที่จะออกกฎหมายใดใดต้องมี 250 คิดแบบนี้น่าจะเห็นแล้วว่า 100 ชนะอย่างไร
สมมุติว่าคิดแบบผลประโยชน์ คิดถึงกำไร ไม่คิดถึงอุดมการณ์อะไรทั้งนั้น
จากนี้กลุ่ม 100 นี้จะเป็นผู้ถือกุญแจของการออกกฎหมายทุกอย่างที่แท้จริง
ไม่ว่าจะออกกฎหมายใดใดก็ตาม จะต้องให้ผลประโยชน์บางอย่างที่ 100 นี้ยอมรับได้ เอางบมา เอากฎหมายที่อยากได้มา เอาตำแหน่งที่อยากได้มา
คิดแบบเลวๆสมมุติว่าไม่มีอุดมการณ์อะไรทั้งนั้นคือ จะเรียกเก็บค่ายกมือผ่านกฎหมายได้ทุกฉบับ กฎหมายไหนที่ไม่พอใจ ก็ไม่ผ่านให้เลยก็ยังได้ ถ้าเอาหนักๆจะเก็บค่าคุ้มครองบอกว่า “ถ้าไม่จ่าย พวกเราเข้ากับฝ่ายค้านเปิด อภิปรายไม่ไว้วางใจ” เลยก็ได้
นี่คือสถานการณ์ ซึ่งฝ่ายที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นรัฐบาลไม่อยากให้เกิดที่สุด
ถ้าคำนวนคิดกันแต่ตัวเลขผลประโยชน์ มูฟที่ ปชป. กำไรที่สุดคือ แตกพรรคเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งเข้าไปเอาตำแหน่งจากรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งเข้ากับฝ่ายค้าน เพื่อทำให้เสียงของรัฐบาลน้อยปริ่มน้ำที่สุด และทำให้ตัวเองมีข้ออ้างไปบอกประชาชนเวลาดีลไม่ลงตัวและจะแทงข้างหลังรัฐบาลมากที่สุด เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจต่อรองมากที่สุด และเป็นผู้คุมทั้งสภา และคุมรัฐบาลที่แท้จริง
หากมองการเมืองเป็นกระดานหมากรุก และนับแต้มกันที่ผลประโยชน์ที่ได้อย่างเดียว ขงมาร์ค+เล่าชวน เป็นผู้ชนะทีแท้จริงของเกมนี้ ขอแค่พันธมิตร ปชป.+ภจท ไม่แตกกัน ก็ขี่รัฐบาล ขี่สภา กดดันเอาผลประโยชน์ไปได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่รัฐธรรมนูญยังเป็นเช่นนี้
ในเกมที่กฏิกาเหมือนตั้งมาให้ฝ่าย พปชร. ได้เปรียบ ยังคิดแผนแบบนี้ออกมาได้ อย่างน้อยก็ขอคารวะในแง่ว่า ปชป. นี่มันไม่เสียชื่อ ปชป. จริงๆ สมฉายาแมลงอึดทนฆ่าไม่ตายมากๆ
ปัญหามันอยู่ที่ คนของ ปชป. เอง พวกที่จงใจไม่เข้าใจเรื่องนี้ เพราะตัวเป็น ปชป. แต่ใจเป็นพรรคอื่นไปเสียแล้ว จะจัดสรรคกับพวกนี้ได้มั้ย พวกนี้จะมีพลังมาทำให้ฝ่ายที่สามล่มหรือเปล่า?
เคยพารุ่นน้องไปหาผู้มีอำนาจในสังคม แม้ผู้นั้นอายุจะไล่เลี่ยกันแต่รุ่นน้องเราดูเกร็งๆ จึงบอกรุ่นน้องไปว่าแม้เขาจะมีตำแหน่งแห่งหนสูงกว่าเราแต่ก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา อย่าไปเกร็ง
แต่จงนอบน้อมสุภาพและให้เกียรติท่านเป็นพิเศษ เพราะแม้จะเป็นคนเหมือนกัน อายุไล่เลี่ยกัน แต่ท่านผู้นั้นก็มีอำนาจวาสนาที่จะให้คุณให้โทษเราได้
... เท่านี้แหล่ะครับรุ่นน้องหายเกร็งเลย แล้วหันมาสอพลอท่านผู้นั้นแข่งเราทันทีอ่ะครับ
#กระธัมป์ความอู๋ม๋งต๊ะอย่างแท้จริม
>>713 ใครตัวเริ่มกัดล่ะ สมัยก่อนไอ้แม้วมันเคยพูดไว้แล้ว "มัวแต่เล่นการเมืองเกินไประวังนักการเมืองไม่มีเวทีจะเล่น" มีไอ้เหี้ยตัวหนึ่งสวนไปว่าไม่มีเวทีเล่นไม่เป็นไรแต่มึงระวังไม่มีแผ่นดินอยู่ และแล้วตอนนี้เหี้ยตัวนั้นก็มาเป็นประธานสภาทั้งๆที่แพ้เลือกตั้งย่อยยับ
ไอ้พวกกระจอกส้มเน่า ควาย แดง
พ่อมึงโดนไล่ออกจากสภา แม่มึงก็ไม่ได้เป็น สส
ลุงตู่ของกูชนะแล้ว ไอ้พวกขี้ข้า ขยะสังคม
ลุงตู่ทรง่พระเจริญๆๆๆๆๆ ขอเป็นฝุ่นใต้ตีนลุงตู่ทุกชาติไป
เพื่อนๆเคยเจอแบบนี้บ่อยไหมฮะ คือ เวลาขอให้ใครช่วยถ่ายรูปเราให้ โดยใช้มือถือของเรา ปรากฏว่า อีกฝ่ายขอใช้มือถือหรือกล้องของตัวเองถ่าย ไม่ยอมใช้มือถือเรา งอแงๆจะใช้ของมันให้ได้? แม้เราจะบอกว่า เราต้องการรูปมาโพสต์ทันที ในวินาทีที่ถ่ายเสร็จ หรือโพสต์ภายในวันนั้น ไม่อยากรอให้ส่งรูปมาให้
พอยอมให้มันถ่ายด้วยมือถือหรือกล้องมัน มันก็ไม่ยอมส่งรูปมาให้เราสักที ทั้งๆที่จนผ่านมาหนึ่งวัน สองวัน สามวัน แม่งก็ไม่ยอมส่งรูปมา อ้างไม่ว่าง บางรายหงุดหงิดที่เราทวงรูปด้วยนะ
ทั้งๆมึงใช้มือถือของกูถ่ายแต่แรกก็จบแล้ว อีช้างเย็ด อีลูกกะหรี!
บอกเลยนะ ถ้ากูยื่นมือถือให้ใครถ่ายรูปกู นั่นแปลว่า มึงต้องใช้มือถือกู ต่อให้กล้องมึงเทพสุดๆ ราคาเป็นแสน เทคโนโลยีล้ำแค่ไหน มึงก็ต้องใช้มือถือกู ไม่งั้นกูจะแช่งแม่มึงทุกๆสิบนาที จนกว่ากูจะได้รูป
"เอาตรงๆผมไม่ค่อยอินเรื่องให้เกียรติคนตายนะ
...คุณให้เกียรติบินลาเดนป่ะ ให้เกียติซัดดัมป่ะ ให้เกียรติฮิตเลอป่ะ ถ้าเอาข่าวเร็วๆนี้ก็ให้เกียรติซีอุยป่ะ... ก็ไม่..
คนเราเขาถึงบอกว่าตายไปเอาเงินทองไปไม่ได้ เหลือแต่ดีเลวที่เคยทำไว้ให้คนจดจำ
ใครจะอโหสิกรรมหรือไม่มันก็สิทธิส่วนตัวของคนนั้น
ถ้าจะบอกว่าทุกคนควรอโหสิกรรมมันไม่ใช่อ่ะ
คนเราไม่มีทางทำดีกับทุกคนหรือเลวกับทุกคน
มีคนรักมีคนเกลียดมันก็ปกติ"
"จะมีมั้ยน้า คนที่ดีใจตอนที่บินลาเดนตายวันนั้น แล้วมากระแดะวันนี้
หรือหนักกว่านั้น คนที่ดีใจมือปืนป็อปคอร์นวันนั้น แล้วมากระแดะวันนี้..."
"ป๋าเห็นดาวเลยลูก"
“วันนี้รถติดมากแถวแจ้งวัฒนะ อยู่ๆก็มีตำรวจเดินมาเคาะกระจก
ผม: มีอะไรหรือครับคุณตำรวจ ทำไมรถติดอย่างนี้
ตำรวจ: ผู้ก่อการร้ายครับ ข้างหน้าโน้น มันจับคุณมงคลกิตติ์แล้วขอค่าไถ่ 6 ล้าน ถ้ามันไม่ได้ค่าไถ่ มันจะเอาน้ำมันราดคุณมงคลกิตติ์แล้วเผาทั้งเป็น ผมเดินไล่มาทีละคันถามว่าคุณจะช่วยบริจาคได้เท่าไหร่
ผม: แล้วคนอื่นๆเขาบริจาคกันคนละเท่าไหร่
ตำรวจ: โดยเฉลี่ยเขาให้กันคนละลิตรครับ”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
$ unzip; strip; touch; finger; grep; mount; fsck; more; yes; fsck; fsck; fsck; umount; sleep
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ลุงตู่กล่าวตอนหาเสียงไว้ว่า " ยอมตายเพื่อประเทศ มีใครพร้อมไปกับผมมั้ย "
นี่ไงมีคนไปกับลุงแล้วหนึ่ง
#มิตร
มีเรื่องดราม่าเรื่อง #พลเอกเปรม เสียเหรอครับ? เอาตรง ๆ ผมเพิ่งรู้
จะบอกว่าเด็กพวกนี้ไม่รู้จักหาข้อมูล ไม่รู้จักศึกษาว่าพลเอกเปรมเคยทำอะไรให้ประเทศไทยบ้างมันก็ใช่ แต่ก็เหมือนกรณี BNK กับเสื้อนาซีนี่แหละ ผมโทษเด็กสมัยนี้แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งคือพวกคุณที่อายุมากกว่า
บทเรียนไทยแทบไม่มีการสอน ประวัติศาสตร์สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี ต้นรัตนโกสินทร์มีเป็นเล่ม ๆ แต่ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยมีแต่หน่อยเดียว หน่อยเดียวจริง ๆ เพราะผมก็ผ่านมาเหมือนกัน
แล้วคุณจะคาดหวังเชิงดูถูกให้เด็กพวกนี้รู้ได้อย่างไรว่าพลเอกเปรมเคยทำอะไรมา? เพราะเด็กยังแทบไม่รู้เลยว่าลัทธิมาร์กกับการตีความของโซเวียตและจีนต่างกันยังไง Ping Pong Diplomacy คืออะไร สงครามสั่งสอนคืออะไร เขมรสามฝ่าย สี่ฝ่ายคืออะไร พรรคคอมมิวนิสต์คืออะไร แล้วคุณจะคาดหวังว่าให้เด็กเข้าใจที่มาที่ไปหรือความสำคัญของคำสั่ง 66/2523 ได้ยังไง
อย่าบอกว่าแค่ไม่กี่หน้าก็เยอะแล้ว ไม่เยอะครับ ผมยืนยันว่าไม่เยอะ ถ้าคิดว่าเยอะ Covalent electrons ของโบรอนมีกี่เม็ด? พิสูจน์ทฤษฏีบทพีกาทอรัสแบบเบื้องต้นให้หน่อย? ผันวรรณยุคสามแบบของภาษาไทยให้ฟังหน่อย? ลูกเสื้อ เนตรนารี กำเนิดขึ้นมาได้ยังไง? เพราะบทเรียนพวกนี้มันยาวพอ ๆ กัน
ถ้าทั้งหมดนี้คุณตอบไม่ได้โดยไม่ต้องไม่ไปเปิดหนังสือ ก็นั่นแหละ ฉันใดฉันนั้น เด็กที่ไหนมันจะไปจำหรือรู้ได้ละเอียดว่า 66/23 คืออะไร?
ยิ่งคุณไม่สอนประวัติศาสตร์ร่วมสมัยเพราะกลัวกระทบคนโน้นคนนี้บ้าง เพราะกลัวคนไม่ชอบคนโน้นคนนี้บ้าง เพราะกลัวเด็กไม่เชื่อฟังบ้าง ก็ไม่แปลกหรอกครับที่เด็กสมัยนี้จะไม่รู้เรื่องพลเอกเปรม เพราะสิ่งที่เขารู้สึกต่อพลเอกเปรมทุกวันนี้ คือข้อมูลจำนวนมากของบทบาททางการเมืองของพลเอกเปรมในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา (ที่ผมพูดได้ว่าถ้าเอาแค่เรื่องนี้ไม่ดูเรื่องอื่น ผมก็ไม่ชอบพลเอกเปรม)
ก็เพราะเขาผ่านมันมาด้วยตัวเอง และให้ผมรับรู้แต่เรื่องแบบนี้ทั้งวันมาสิบกว่าปี จะให้ผมมาซาบซึ้งหรือเข้าใจกับเรื่องแค่ไม่กี่หน้าที่เรียนตอนม.ต้นได้ยังไง
โทษเด็กแล้วอย่าลืมโทษตัวเองด้วยครับ คุณก็ผิดพอกัน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ส.ส.เพื่อไทย : อย่าให้เกิดเหตุการณ์ลากเก้าอี้ประธาน เขวี้ยงปาแฟ้มกันอีกเลยครับ เราต้องปฏิรูปโครงสร้างสภา
ส.ส.ประชาธิปัตย์ : ท่านประธานคะ เขาพาดพิงดิฉันเรื่องลากเก้าอี้ค่ะ
ประธาน : เขาไม่ได้พูดชื่อนี่
ส.ส.ประชาธิปัตย์ : ก็วันนั้นมีดิฉันคนเดียวที่ลากเก้าอี้ !
ส.ส.เพื่อไทย : ผมก็เพึ่งรู้ว่าคุณรังสิมาเป็นคนลากเก้าอี้ก็วันนี้แหละครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“ความเป็นมนุษย์ในบรรดาลูกเพจอีจ่านี่ช่างน่าฉงน ตอนเช้าข่าวเปรมตายบอกให้ทุกคนมีกาละเทศะเคารพผู้ตาย ตอนบ่ายมีข่าวคนงานไทยผิดกฏหมายในเกาหลีป่วยจนเป็นเจ้าหญิงนิทราคนพวกนั้นสมน้ำหน้ากันรัวๆ ใจสูงหรือใจต่ำก็ลองพิจารณากันดู”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พ.ร.บ. ไซเบอร์ประกาศใช้เมื่อวาน วันนี้เช้าทหาร+หน่วยความมั่นคงมาเยี่ยมถึงที่หอเลย เตรียมเป็นอาทิตย์เพื่อรอวันนี้สินะ ยอมใจมาก 555
(ช่วงนี้ขอยังไม่พูดถึงรายละเอียดนะครับ)
ไม่อยากให้โครโดนอะไรแบบนี้ อยากให้เคสเราเป็นเคสสุดท้าย ข้อมูลส่วนตัว privacy เราอยู่กับทหาร หลังจากนี้คงต้องระวังตัวเยอะขึ้น joyjoyjoy" มิตรสหายท่านนึงในเฟส
ลำดับ 1-4 และ 7 ส่วนใหญ่ของคนไทยและรัฐบาลไทย
กระทรวงการคลัง ธนาคารออมสิน กรุงไทย กระทรวงการคลังถือโดยอ้อมอีกทีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกันสังคม รัฐบาลไทยมีอำนาจบริหารหลักอยู่แล้ว
สรุปคือ ปตท.คือของคนไทยทุกคน
ใครอยากจะทวงคืน มีตังก็ไปช่วยซื้อคืนได้ครับหุ้นละ 40-50บาท ตลาดหุ้นเปิดทุกวัน ปกติ
หรือไม่มีตังอยากให้น้ำมันถูกก็ไปบอกรัฐบาลให้ลดกำไรลงหน่อย เพราะ ปีๆนึงได้ประมาณแสนล้าน
IPO หุ้นดังๆหลายๆตัว วันแรก หมดไวอยู่แล้ว ส่วน ปตท. ไม่กี่วันต่อมา ราคาร่วง คนรักชาติไปไหนหมด ทำไมถึงไม่ซื้อ
ปี60
มูลค่าปตท. =1256771.84ล้านบาท
ถือโดย คลัง=688937.19 ล้านบาท
จำนวนประชากรไทย=66188503คน
คนไทย 1 คน=10408.71บาท
เทียบเท่ากับคนไทย 1 คน ได้ส่วนแบ่งจาก ปตท.ปีละ 1105.61 บาท
ส่วนที่แปรรูปนั้น ต้นเหตุมาจาก รัฐบาลชวน เปิดเสรีการเงินจนเกิดวิกฤตแต่ก็ไม่ได้บังคับใครกู้ทำให้ประเทศต้องกู้เงินจาก IMF (ในแง่ดีคือผู้มีพระคุณ แง่ร้ายคือหาผลประโยชน์) เหมือนเราไปกู้ทำธุรกิจ ต้องมีแผนไปขอกู้ การดำเนินแปรรูปก็คือแผนส่วนหนึ่ง ดำเนินมาตั้งแต่รัฐบาลชวน ปี40-44 มาสำเร็จยุคทักษิณ ปี 44 ข้อดีของการแปรรูปตอนนั้นคือ ลดภาระการคลังของรัฐบาล ถ้ารัฐวิสาหกิจพวกนี้ขาดทุน เช่นการบินไทยตอนนี้
สติครับ สติ อย่าให้คนอื่นจูงจมูก
หาข้อมูลหลักฐานด้วยครับ เวลาเห็นใครใส่ร้ายใคร จะได้ไม่โง่ตกเป็นเหยื่อ ทำประเทศชาติล้าหลังถึงทุกวันนี้
คนเท่ากันคือการเมืองแบบใหม่อย่างที่พ่ออีฟ้าต้องการ พูดตลอดพูดจนปากแฉะ
แต่ที่อีฟ้าทำคือ ท่านพ่อธนาธร เราก็รู้พ่อต้องเหนื่อยขนาดไหนต้องลำบากกายใจไม่เคยสิ้น 🤦🏻♀️
พรรคที่โปรคนเท่ากันมันไม่ควรออกมาในลักษณะนี้ป่ะวะ
#มิตร
"คิดนานอยู่เหมือนกันว่าจะเขียนโพสต์นี้ดีไหม บวกกับมีหลายท่านสงสัยและถามเข้ามามาก จึงมาเขียนโพสต์นี้เพื่ออธิบายรายละเอียดและเก็บไว้เตือนความจำตัวเองในอนาคต
ผมถูกทางการเรียกคุยถึงหอเพื่อตักเตือนในเรื่องของการที่ผมโพสต์ข่าวๆนึงที่ผมแชร์มา และเรื่องที่ผมแก้ไขบทความ “เขาคนนั้น” ลงในวิกิพีเดีย ก่อนอื่นผมขออธิบายหลักของวิกิพีเดียก่อนนะครับ ทุกท่านน่าจะทราบดีว่าวิกิพีเดียนั้นใครๆก็แก้ไขได้ แต่ทุกการแก้ไขนั้นจะมีการเก็บ Log ไว้ ไม่ว่าใครที่แก้ไขหรือเขียนอะไรต่างๆในบทความของวิกิพีเดียจะมีบันทึกประวัติไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างบทความเลย และสามารถย้อนการแก้ไขเดิมให้มาเป็นปัจจุบันได้ จุดที่เป็นปัญหาเลยคือในบทความนั้นมี Section ที่มีเนื้อหาเสี่ยงต่อความมั่นคงอยู่ ซึ่งส่วนนั้นมีในบทความได้สักพักแล้ว ในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมามีการลบส่วนนั้นออก และเพิ่มกลับเข้าไปใหม่หลายครั้งจากผู้ใช้งานคนอื่นหลายคน ซึ่งผมก็คือหนึ่งในนั้น ความโชคร้ายเกิดขึ้นที่ว่า ผมดันเป็นคนสุดท้ายที่แก้ไขบทความดังกล่าว ก่อนที่ผู้ดูแลระบบจะล็อกบทความนั้น ไม่ให้แก้ไขได้ วันต่อมามีอีเมลจากวิกิพีเดียส่งมาเนื่องจาก concern ว่าช่วงนี้ทางการไทยจับตาดูบทความเป็นพิเศษ จึงขอลบส่วนนั้นออกไปก่อน และค่อยมาว่ากันใหม่อีกที และจะลบประวัติการพูดคุยทั้งหมด หลังจากนั้นผมก็ไม่มีอะไร ก็แก้ไขบทความอื่นๆในวิกิตามปกติ จนกระทั่งเริ่มมี Scenario ประหลาดเกิดขึ้น คือมีเฟสอวตาร และเฟสทหารแอดเฟรนด์มาเกือบทุกวัน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าต่อมา End game มันกำลังจะเกิดขึ้นกะผม
เมื่อวันที่ 28 พฤษภา ตอนเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ขณะที่ผมนอนอยู่ มีแม่บ้านคนนึงเคาะประตูเรียกผมหลายรอบ เมื่อผมเปิดประตูออกไป แม่บ้านบอกว่า “มีเพื่อนมาหา” ผมก็งง ว่าเพื่อนคนไหนมาหา มาหาทำไมเวลานี้ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและลงไปด้านล่างด้วยความสงสัยว่าใครมาหาวะ เมื่อลงไปปุ๊ปและเปิดประตูออกไป ภาพแรกที่เห็นเลยคือกลุ่มคนจำนวนนึงมายืนรอด้านนอก และเข้ามาแสดงตัวว่าเป็นผู้ที่กำลังตามหาผมอยู่ ผมถูกเรียกไปสอบสวนในห้องของส่วนกลาง ซึ่งมีคนล้อมไว้ไม่ให้ใครเห็น ในห้องมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 4-5 คน นักจิตวิทยา 1 จิตแพทย์ 1 โดยมีเจ้าของหอ และคนดูแลหอบางคนเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย ผมถูกถามด้วยเรื่องของโพสต์บนเฟสและบทความในวิกิ ว่าทำไมถึงทำ เริ่มทำตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นแอดมินเพจรึป่าว จากนั้นก็ถูกซักประวัติข้อมูลส่วนตัวจนหมดเปลือก และมีให้เปิดเผยข้อมูล Facebook และ Line (ทีแรกจนท.ขอดูโทรศัพท์ แต่ผมไม่ยอม จึงจบลงที่ผมเป็นคนเปิดให้ดูเอง โดยห้ามจนทแตะต้องโทรศัพท์ผม) บอกตรงๆเลยว่าแต่ละคำถามที่ถามมา เป็นคนคำถามที่ถามซ้ำและวนไปวนมามาก แทบจะสติแตกคาห้องได้เลย พอเขาได้ข้อมูลที่พอใจแล้ว จึงให้ผมลงนามข้อตกลงไว้ว่าจะไม่ทำอีก ซึ่งผมก็เซ็นแต่โดยดี และจบลงที่ตรงนั้นโดยไม่มีการดำเนินคดีใดๆเกิดขึ้น และผมคงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว
สิ่งที่ผมกลัวที่สุดในตอนนี้เลยคือ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ในอนาคต เพราะข้อมูล Privacy ต่างๆ ทั้งของผม ของครอบครัวอยู่กับทางการหมดแล้ว ผมกลัวว่าเรื่องพวกนี้จะกระทบกับครอบครัวผม กระทบกับเพื่อนรอบข้าง และการใช้ชีวิตของผมในอนาคต เป็นเรื่องที่ต้องระวังมากๆ เพราะเขาเอาจริงแล้ว อยากให้เคสนี้เป็นเคสสุดท้าย ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับใครเลยจริงๆ
ขออนุญาตไม่เปิดเป็น Public เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ และถ้าจะแคปแล้วแชร์รบกวนเซ็นเซอร์ผมชื่อด้วยนะครับ"
ผมเหนื่อยเกินกว่าจะเขียนอะไรยาวๆ ผมจะเขียนรวดเดียว เขียนจบแล้วจะไปนอน ไม่รู้ว่าจะออกมายังไง
ในความเหนื่อยนี้ ผมคิดถึงเอลียาห์
ผมเคยเล่าถึง ผู้เผยวัจนะเอลียาห์ ไปบ้างแล้ว
เมื่อเราอ่านพระคำภีร์ทั้งเล่ม เราจะพบเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่งคือเรื่องราวในพระคำภีร์ถูกร้อยเรียงไว้เป็นลักษะแบบบันไดวน
เมื่อเราอ่านจะเหมือนเดินอยู่ในหอคอยอันมืดมิด ซึ่งมีเพียงแสงสว่างจากยอดบนสุด
เรื่องเล่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่เหมือนกับบันไดวน เผชิญเรื่องเหมือนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉากของเอลียาห์ เกิดขึ้น 900 ปีก่อนคริสตกาล เอลียาห์เผชิญหน้ากับกษัตริย์ของอาณาจักรยูดา เพื่อประกาศว่าการปกครองของพระองค์นั้นเหลวแหลก พระองค์รับทำเนียมฆ่าเด็กบูชาบาอัล และประหารเหล่าผู้เผยวัจนะของพระเจ้าทั้งหมด
เอลียาห์ผู้เผยวัจนะคนสุดท้าย ท้าท้ายเหล่านักบวชของบาอัล และสำแดงปาฏิหาริย์เอาชนะได้
แต่กษัตริย์หาได้สนใจไม่ เพราะราชีนีของพระองค์เป็นหัวหน้านักบวชของบาอัล
เอลียาห์ได้แต่หลบหนีลี้ภัยหัวซุกหัวซุนในถิ่นกันดาร และร้องอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่า ภารกิจนี้ช่างเหนือกำลังของเขา
เอลียาห์ตำหนิตัวเองที่ภารกิจของเขาล้มเหลว เขาอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่าให้ทำลายชนชาติของเขาทิ้งเสียเถิด ช่วยให้เขาตายทีเถิด
แต่พระเจ้าไม่ได้อยู่ในลมพายุ ไม่ได้อยู่ในไฟ ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินไหว แต่กลับกระซิบกับเอลิยาห์อย่างอ่อนโยน และบอกให้เอลิยาห์ แต่งตั้งเอลีชาต่อจากเขา
ภารกิจของเอลียาห์ สำเร็จในยุคของเอลีชา เอลียาห์ไม่ได้เห็นงานของตัวเองสำเร็จ
เช่นเดียวกับงานของโมเสทสำเร็จในสมัยของโยซูวา
และงานของยอห์นผู้ให้บัพติสมาสำเร็จในสมัยของพระเยซู
(เอลีชา = พระเจ้าทรงช่วย โยซูวา = เยซู = พระยาเวห์ทรงช่วย ชื่อของทั้งสามมีความหมายเดียวกัน)
เรื่องราวทั้งสามลูปเป็นโครงเรื่องเดียวกัน คือเป็นผู้เผยวัจนะคนสุดท้ายในยุคที่ไร้ผู้เผยวัจนะ เป็นผู้ยื่นต่อหน้าผู้ปกครองที่ชั่วร้าย เป็นผู้ที่ถูกเนรเทศยังถิ่นกันดาร เป็นผู้ที่ฟ้องผิดชนชาติของตน เป็นผู้เตรียมทางให้พระเจ้าทรงช่วย และไม่ได้อยู่เห็นภารกิจของตนสำเร็จ
(มีต่อ)
( ต่อจาก >>737 )
เมื่อมองจากพระคำภีร์ออกมายังประวัติศาสตร์ใกล้ๆ
ผมคิดถึงเรื่องของ จอห์น นิวตัน พ่อค้าทาสผู้กลับใจของอังกฤษในศตวรรษที่ 18
การเลิกทาสเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในสมัยนั้น พูดออกมาก็มีแต่คนด่าว่าบ้า
แต่จู่ๆคำเทศน์ของ จอห์น นิวตัน กลับไปจับใจ ส.ส. หนุ่มอย่าง วิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ส
วิลเบอร์ฟอร์ส เป็น ส.ส. ตั้งแต่อายุ 21 เพราะ วิลเลียม พิทเพื่อนซึ่งเป็นลูกอดีตนายกฯ พาไปดูเขาเถียงกันในสภา แล้วนึกคึกชวนไปสมัครเลือกตั้ง แล้วดันได้เป็น ส.ส.
(วิลเลียม พิท เพื่อนของวิลเบอร์ฟอร์ส ดันได้เป็นนายกฯในขณะอายุแค่ 24 ปี และพาประเทศผ่านยุคที่พึ่งแพ้สงครามประกาศเอกราชอเมริกา และเผชิญการปฏิวัติฝรั่งเศสมาได้ - ซักวันหนึ่งเราคงได้เล่าถึงเขา)
วิลเบอร์ฟอร์ส จริงจังมากกับการพยายามเลิกทาสโดยอาศัยรัฐสภา ขนาด วิลเลียม พิท ยังบอกว่า "เรื่องนี้คงช่วยไม่ได้"
แน่นอนกฎหมายของ วิลเบอร์ฟอร์ส ถูกสภาคว่ำ
แต่สิ่งที่วิลเบอร์ฟอร์สทำคือพยายามรณรงค์ต่อไป
เขาเขียนหนังสือ บทความ ส่งกระจายไปทั่ว
ซื้อเรือค้าทาสมาจัดแสดงให้คนเห็นความโหดร้าย
จัดตั้งคณะโบสถ์กลุ่มหัวปฏิรูปที่เห็นด้วยกับการเลิกทาส เพื่อเทศนา รณรงค์ และจัดกลุ่มใต้ดินช่วยเหลือทาสเพื่อหลบหนี
วิลเบอร์ฟอร์สส่งกฎหมายเข้าสภาทุกปี และถูกคว่ำทุกปี
จอห์น นิวตัน เสียชีวิตไปในช่วงนี้ เขาตายโดยที่เห็นเพียงแค่กฎหมายถูกคว่ำทุกปี
วิลเบอร์ฟอร์ส ยังคงทำต่อไป เขาทำแบบนี้อยู่ 24 ปี ทำอยู่ 24 ปี เพื่อกฎหมายฉบับเดียว ในที่สุดปี 1807 เขาก็ผ่านกฎหมาย "เลิกการค้าทาส" ได้สำเร็จ ยังไม่ใช่การเลิกทาส แต่ห้ามซื้อทาสใหม่ได้สำเร็จ
วิลเบอร์ฟอร์ส ยังคงรณรงค์ต่อไปเพื่อการเลิกทาส
จนกระทั่งปี 1833 เมื่อเขาอายุ 73 ปี เพียงหนึ่งเดือนก่อน วิลเบอร์ฟอร์ส เสียชีวิต ฝ่ายเลิกทาสก็ผ่านกฎหมายเลิกทาสก็ออกมาได้สำเร็จ
วิลเบอร์ฟอร์สใช้เวลาไป 50 ปี เพื่อกฎหมายฉบับนี้ ใช้เวลาทั้งชีวิตต่อสู้เพื่อเป้าหมายเดียว เพื่อสร้างสิ่งสิ่งเดียว จาก ส.ส. หนุ่ม สู่รัฐบุรุษอาวุโส
แต่ผู้สืบทอดของวิลเบอร์ฟอร์สยังคงอยู่ พวกเขารณรงค์ต่อในสหรัฐอเมริกา ตั้งกลุ่มลับพาทาสหนีไปแคนาดา จนกระทั่งปี 1865 สหรัฐอเมริกาก็เลิกทาสสำเร็จ
.
.
.
เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องราวเหล่านี้?
เราเป็นดั่งเอลียาห์ในถิ่นกันดาร มองไม่เห็นเป้าหมาย มองไม่เห็นความหวัง ก่นด่าในความไร้น้ำยาของตัวเอง และสาปแช่งตนเอง และฟ้องผิดชนชาติของตัวเอง
อ่อนล้า ไร้กำลัง และอยากตายหายๆไป
เป้าหมายของเราอยู่ที่ไหนหนอ ความหวังของเราอยู่ที่ใดหนอ
องค์เจ้านายของข้าพระองค์ ขอทรงตรัสบอกว่าทรงอยู่ที่นี่ บอกว่านี่เป็นงานของพระองค์
เพราะการเดินทางนี้ ช่างยาวนาน และเหนือกำลังของเรา
เพราะหากนี่เป็นงานของพระองค์ เรารู้ว่าเพื่อนร่วมงานของเรา เจ้านายของเรา จะยังอยู่ และทำงานต่อไปเสมอ แม้ว่าเราจะเกษียณไปสักวันหนึ่ง งานนั้นจะยังเดินหน้าต่อไป และมันจะสำเร็จ
ดังนั้นเราจึงไม่ต้องกังวล เราจึงไม่กลัว เราจึงหวังใจ เราจึงเชื่อ และเดินไปข้างหน้าได้
ขอพระองค์ทรงเป็นแสงดาวที่นำทางเราในถิ่นกันดาร เหมือนที่พระองค์ทรงนำวิลเบอร์ฟอร์ส ได้ตลอด 50 ปี ตลอดชีวิตของเขา
ขอพระสิริของพระองค์ทรงฉายในงานของเรา ขอพระคุณของพระองค์สถิตอยู่ในสิทธิ์ของเรา ในเสรีภาพของเรา ในรัฐสภาของเรา ในกฎหมายของเรา
โปรดนำเราไปพระผู้เป็นเจ้า โปรดประคองเราไป เพราะการเดิินทางนี้เหนือกำลังของเรา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"วันนี้ผมปั่นจักรยานไป-กลับที่ทำงานเป็นวันแรก โดยเช่าระบบจักรยานที่ปารีสเรียกว่า เวลิบ (Vélib' ย่อมาจาก Vélo Libre) ระบบรถเช่านี้จ่ายค่า subscription ทั้งเดือนเพียง 3 ยูโรกว่าๆ โดยจะใช้กี่ครั้งก็ได้ ถ้าหากในแต่ละครั้งที่ใช้เช่าไปไม่เกินสามสิบนาที (จากบ้านผมไปแล็บใช้เวลา 20-25 นาที) ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ถ้าเกินจะคิดครึ่งชั่วโมงละ 1 ยูโร ซึ่งสถานีมันก็มีอยู่ทั่วไปหมด ถ้าใกล้จะครบ 30 นาทีแล้วไม่อยากจ่ายเงินเพิ่มก็รีบเอาไปจอดที่สถานีแล้วถอยคันใหม่ออกมา นอกจากนี้มีแบบแพงขึ้นหน่อย คือจ่ายค่า subscription 8 ยูโรกว่าๆ มันจะเริ่มคิดเงินเพิ่มเมื่อใช้เกิน 1 ชั่วโมง ซึ่งผมเชื่อว่าสามารถขับข้ามปารีสได้สบายๆ คนที่อยากประหยัดสามารถเช่าจักรยานเวลิบเพื่อมาทำงานได้ไม่ยากเลย
เข้ามาสู่ส่วนที่เป็นสาระ คือผมก็เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง เพื่อนผมก็เล่นมุขว่าระวังคนดำ คือระวังคนดำมาขโมยจักรยานน่ะ ก็ตลกดี แต่ผมไม่ได้คิดอะไร วันนี้ปั่นจักรยานกลับบ้านตอนมืด เจอเลยครับ ไม่ใช่โดนขโมยจักรยานนะครับ แต่เจอคนดำปั่นจักรยานไม่มีไฟหน้า ไม่ใส่เสื้อสะท้อนแสง แล้วแม่งดำมะเมื่อมเลยครับ ที่เหี้ยคือพี่แกปั่นจักรยานสวนเลนในเลนจักรยานแบบแยกจากถนนซึ่งแคบๆ พอดีตัวและมีแนวกั้น ผมเข้าไปใกล้มากแล้วถึงเห็นเสื้อ โอ้โห เกือบชนกัน คนดำนี่มันดำจริงๆ และรถแท็กซี่ฝรั่งเศสแม่งก็ชอบขับในบัสเลนเหมือนเมืองไทยเลยครับ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
บอกแม่เรื่องเปิดปลาทอง วาดรูปโป๊ ได้เงินดีนะ ยิ่งพวกรสนิยม(เฟติช)แปลกๆยิ่งเงินดีเข้าไปใหญ่ แต่แลกกับการขายวิญญาณ
แม่บอก ได้เงินก็ดีแล้วนี่ แค่วิญญาณเอง แลกๆไปเถอะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้จึงมีผู้ที่พูดถึงแอนนิมอลฟาร์มนี้กันเยอะ
ผมเดาว่าหลายคนคงจะไม่มีเวลาอ่าน สรุปให้ฟังเลยดีกว่าว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร
animal farm เป็นนิยายที่โดย จอร์จ ออร์เวลล์ นักเขียนชาวบริเตน ปรมจารย์ด้านงานเขียนแนวเสียดสีการเมือง
ผมสารภาพว่าเคยอ่านงานออร์เวลล์แค่สามเรื่องคือ แอนนิมอลฟาร์ม, 1984, กับ แด่คันตาโลเนีย
จอร์จ ออร์เวลล์ เกิดปี 1903 ที่อินเดีย (ซึ่งยังเป็นอาณานิคมของ UK) เคยทำงานที่พม่า (ของ UK) ก่อนจะย้ายไปอังกฤษ สมัยหนุ่มเคยประทับใจอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายจึงไปช่วยพวกฝ่ายซ้ายรบในสงครามกลางเมืองสเปน แต่ก็พบกับความไร้ประสิทธิภาพของฝ่ายซ้าย (ซึ่งเล่าประสบการณ์มาเป็นเรื่อง แด่คันตาโลเนีย) สุดท้ายก็ไปทำงานให้ BBC
ประสบการณ์ทำให้ออร์เวลล์ เห็นทั้งความไม่เป็นธรรมในอาณานิคม การแบ่งแยกชนชั้นในสังคมอังกฤษสมัยนั้น การเอาเปรียบของฝ่ายขวาและ ความไร้ประสิทธิภาพของฝ่ายซ้าย และความน่ารังเกียจของการโฆษณาชวนเชื่อ
แอนนิมอลฟาร์ม เป็นนิยายเสียดสีเผด็จการณ์ ซึ่งทำให้อ่านง่ายเหมือนนิทาน และสนุกด้วย
เรื่องคือฟาร์มแห่งหนึ่งซึ่งมีเจ้าของคือชาวไร่ขี้เมา ชาวไร่เอาแค่กดขี่ใช้แรงงานสัตว์ จนในที่สุดสัตว์ก็ทนไม่ไหวจนเกิดจลาจลขึ้น นำโดย หมูตัวหนึ่งชื่อ เทศมนตรีเฒ่า
ซึ่งชาวไร่คือซาร์นิโคลาส - เทศมนตรีเฒ่าคือเลนิน นั่นเอง
พวกสัตว์ช่วยกันอย่างแข็งขัน ในช่วงแรกทุกอย่างดูยิ่งใหญ่ สดใสไปหมด ในที่สุดสัตว์ก็เอาชนะ ไล่มนุษย์ออกไป และเริ่มปกครองไร่
พวกเขาเขียนกฎบนผนังฟาร์มเช่น "สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกัน" และเริ่มเขียนกฎขึ้นเพื่อไม่ให้สัตว์ทำตัวเหมือนมนุษย์ เช่นห้ามยืนสองขา ห้ามใส่เสื้อ ห้ามดื่มเหล้า (แต่จริงๆก็แทนจะไม่มีสัตว์ตัวไหนอ่านออก)
แต่แล้วเทศมนตรีเฒ่าก็ตาย
อำนาจตกเป็นของหมูนโปเลียน (สตาร์ลิน) หมูทหาร กับหมูสโนบอล (ตอร์ทสกี้) หมูฉลาด
พวกหมูเริ่มหว่านล้อมเหล่าสัตว์ว่าควรอยู่ใต้การปกครองของหมู เพราะหมูฉลาดว่าสัตว์อื่น หมูจึงควรมีหน้าที่ปกครอง ม้าที่ขยันแต่โง่ควรทำนา เป็นการแบ่งงานกันทำ เพื่อประโยชน์สูงสุดของฟาร์มและเหล่าสัตว์
นโปเลียนให้ลูกน้องชื่อ สวีเลอร์ไปโฆษณาชวนเชื่อหลอกสัตว์ เช่นบอกว่า "จะทำให้แต่ละสัปดาห์มี 5 วัน จะได้ทำงานน้อยลง เหลือแค่ทำสัปดาห์ละ 5 วัน"
สโนบอลพยายามแย่งอำนาจ แต่ก็ถูกนโปเลียนเขียทิ้ง ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จจนต้องหนีออกจากฟาร์ม
จากนั้นสวีเลอร์ก็อัดโฆษณาชวนเชื่อว่า สโนบอลติดต่อกับมนุษย์
นโปเลียนปกครองไร่เบ็ดเสร็จ ควบคุมการจัดการอาหาร และสั่งทำโครงการกังหันน้ำ ซึ่งตอนแรกเป็นแนวคิดของสโนบอล แต่แน่นอนว่าลูกน้องโฆษณาว่าเป็นวิสัยทัศน์ของท่านนโปเลียน
พวกสัตว์เริ่มรู้สึกว่าอาหารของตัวเองน้อยลงเรื่อยๆ แต่ลูกน้องของนโปเลียนก็บอกพวกสัตว์ว่าเป็นเพราะมนุษย์
เริ่มมีสัตว์สงสัยในตัวนโปเลียน แต่บ็อกเซอร์ ม้าผู้ซื่อสัตว์ ทำงานหนัก เป็นสัตว์ดี แต่โง่ ก็จะไปจัดการพวกผู้ต่อต้านนโปเลียน บ็อกเซอร์เชื่อว่าผู้ต่อต้านนโปเลียนคือสายของพวกมนุษย์
ในที่สุดนโปเลียนก็ติดต่อกับมนุษย์ เพื่อซื้อเหล้า แต่บ็อกเซอร์ (ตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพ) ไม่เคยสงสัยในตัวนโปเลียน
พวกหมูเริ่มยืนสองขา ใส่สูท พวกนี้เริ่มเอาผลผลิตในฟาร์มไปขายให้มนุษย์ และซื้อเหล้า ซื้ออาหารมากินกันเองในหมู่พวกหมู
ในที่สุด ฉากสุดท้ายของเรื่อง เป็นฉากที่พวกสัตว์มองเข้าไปในโรงนา เห็นหมูกำลังใส่สูทสังสรรค์กับมนุษย์โดยที่เหล่าสัตว์ไม่เกี่ยวข้องด้วย กฎที่กำแพงเหลืออยู่ข้อเดียวคือ "สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกัน แต่บางตัวเท่าเทียมว่าสัตว์ตัวอื่น" สุดท้ายแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าใครเป็นสัตว์ ใครเป็นมนุษย์
แอนนิมอลฟาร์มเป็นหนังสือที่ดี บาง อ่านง่าย เพราะเขียนเหมือนนิทาน ที่อังกฤษกำหนดให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของชั้นประถม
เรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับลุงตู่ จริงๆควรจะกำหนดไว้ในหลักสูตรประถมหรือ ม.ต้น ให้เด็กอ่านกันทุกคน
เนื่องจาก จอร์จ ออร์เวลล์ เสียชีวิตไปนาน ลิขสิทธิ์หลุดไปแล้ว จึงอ่านฉบับภาษาอังกฤษฟรีได้ที่นี่ครับ
https://ebooks.adelaide.edu.au/o/orwell/george/o79a/complete.html
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>742 สรุปแม่งเสียดสีคนมีอำนาจ (แทบ) ทุกคนละมั้ง
- ก่อนมีอำนาจ : ถูกกดขี่ หรือไม่ก็เห็นความไร้ประสิทธิภาพของผู้ปกครองเดิม ปลุกระดม เรามาเปลี่ยนผู้ปกครอง หรือวิธีการปกครองกันเถอะ
- พอมีอำนาจใหม่ๆ : มาเขียนกติกากันนะ ตั้งเป้าว่าเราจะไม่ทำตัวแย่ๆ กันเหมือนชนชั้นปกครองหรือผู้นำคนเก่านะ
- พอมีอำนาจนานๆ : เริ่มแอบทำให้ตัวเองสุขสบายกว่าคนอื่น และไม่พอใจที่มีใครคิดตั้งคำถาม มีการป้ายสีว่าเป็นคนไม่ดีต่างๆ นานา
สุดท้ายก็แยก (แทบ) ไม่ออกว่าระหว่างผู้ปกครองเก่ากับผู้ปกครองใหม่มันต่างกันตรงไหน
ต่อจาก >>736 "เขาคนนั้น = ? คำถาม จนท. รู้ที่อยู่ล่าสุดได้ยังไง หมายศาลอยู่ไหน เพราะคดีเกี่ยวกับเทคโนโลยี เป็นคดีอาญา ไม่ make sene ปอท. จะทำงานก็ต่อเมื่อมีคนแจ้งเบาะแส มันมีขั้นตอนของมันอยู่ over acting" #มิตรสหายท่านนึงที่เห็นโพสที่แท็คไว้ //คิดไงกันบ้างชาวโม่ง
"ท่านสุภาพบุรุษ เหล่าผู้นำกองทัพอันเกรียงไกร และบรรดาสหายนักรบคริสเตียนทั้งหลาย ในเวลานี้ เราจะได้เห็นโมงยามแห่งการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้มาประชุมกับพวกท่านใน ณ ที่นี้ เพื่อที่จะแจ้งถึงปณิธานที่ชัดแจ้งกับพวกท่านว่า การที่ท่านจะต้องสู้เพื่อต่อต้านศัตรูแห่งพระคริสต์เจ้าคือเกียรติยศ ด้วยการปกป้องแผ่นดินปิตุภูมิของท่านและเมืองที่โลกรู้จักแห่งนี้ จากพวกนอกรีตและปีศาจชาวเติร์กที่เข้าล้อมเมืองแห่งนี้มาถึงห้าสิบสองวันแล้ว นี่คือพันธะแห่งดวงวิญญาณอันสูงส่งของท่าน
"อย่าได้กลัวว่าเจ้ากำแพงนี้จะทลายลง เพราะการโจมตีของศัตรู ซึ่งด้วยกำลังของท่านนั้นอยู่ในการปกป้องโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และท่านจะต้องแสดงมันออกมาด้วยแขนที่เกร็งสั่นและดาบที่กวัดแกว่งเพื่อต่อต้านเหล่าศัตรู
"ข้าพเจ้ารู้ว่านี่ไม่ใช่การที่การชุมนุมที่ไร้ระเบียบวินัยอันใด ด้วยว่าพวกมันจะจู่โจมเข้าใส่ท่านด้วย เสียงกู่ร้องที่ดังกึกก้องและห่าลูกศรที่ไม่มีวันหมดสิ้น แต่มันจะมิอาจทำอะไรพวกท่านได้ เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าพวกท่านล้วนห่มเกราะอย่างดี พวกมันจะเข้าปะทะกับกำแพง เกราะทับทรวงของเรา และโล่ของเรา ดังนั้นจงอย่าคิดเอาอย่างชาวโรมันที่ปล่อยให้ทัพม้าต้องหวาดกลัวด้วยขนาดและเสียงของช้างสารของพวกคาร์เธจนั้น
"ในการรบ ท่านจะต้องยืนปักหลักมั่นและอย่าหวาดกลัว ไม่คิดที่จะย่นระย่อ แต่จงมีกำลังใจที่จะท้าทายยิ่งกว่ากำลังของเฮอร์คิวลิส เหล่าสัตว์อาจจะวิ่งหนีจากสัตว์ด้วยกัน แต่พวกท่านคือลูกผู้ชาย , ลูกผู้ชายใจแกร่ง , และท่านจะต้องประจันหน้ากับเสียงเห่าหอนของเจ้าพวกเดรัจฉานนี้ จงพุ่งแทงหอกและดาบใส่พวกมัน เพื่อพวกมันรู้ว่า มันมิได้ต่อสู้สิ่งที่เหมือนกับพวกมัน แต่กำลังสู้กับเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างหาก
"พวกท่านได้รู้ว่านี่คือพวกนอกรีตที่ไร้คุณธรรมและไร้สัจจะที่ละเมิดต่อสันติอย่างไร้ยางอาย เขาละเมิดต่อคำสาบานและสัญญาที่เขาทำไว้กับเรา เขาปล้นสะดมชาวไร่ชาวนาของเราในหน้าเก็บเกี่ยว เขาได้สร้างป้อมปราการเหนือทะเลโปรปอนติส (หมายถึงทะเลน้อยมาร์มารา - ผู้แปล) เพื่อหวังกลืนกินชาวคริสต์ และเขาได้ล้อมกาลาต้าเอาไว้ภายใต้ข้อตกลงแห่งสันติ
"บัดนี้ เขาได้ข่มขู่ว่าจะยึดนครของคอนสแตนตินมหาราช แผ่นดินปิตุภูมิของพวกท่าน สถานที่ลี้ภัยแห่งชาวคริสตชน , ผู้พิทักษ์ชาวกรีกทั้งปวง , และด้วยการดูหมิ่นด้วยการหมายจะวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้าเป็นคอกม้า โอ้ ข้าแต่พระเป็นเจ้า พี่น้องของข้าพเจ้า ลูกชายของข้าพเจ้า เกียรติยศอันเป็นนิรันดร์ของเหล่าชาวคริสตชนอยู่ในมือของพวกท่านแล้ว
"พวกท่าน เหล่าบุรุษแห่งเจนัว บุรุษผู้กล้าและเลื่องลือจากชัยชนะนับครั้งไม่ถ้วนของท่าน ผู้ซึ่งปกป้องเมืองนี้ มารดาของท่าน มาจากวิกฤตกับพวกเติร์กหลายครั้ง จงแสดงความกล้าหาญและจิตวิญญาณที่เกรี้ยวกราดของท่านใส่พวกมัน ด้วยกำลังของลูกผู้ชายเถิด
"ท่าน บุรุษแห่งเวนิส เหล่าวีรบุรุษผู้หาญกล้าที่สุด ด้วยหลายครั้งที่ดาบของพวกท่านได้ทำให้พวกเติร์กหลั่้งเลือด และผู้ที่ทำให้เรือนับไม่ถ้วน และบรรดาดวงวิญญาณของพวกนอกรีตที่ถูกส่งไปยังห้วงอบายลึก ด้วยภายใต้การบัญชาของโลเร่ดาโน่ ผู้บัญชาการกองเรือผู้สามารถยิ่งของเรา ท่านคือผู้ปกป้องนครแห่งนี้ราวกับปกป้องตัวของท่านเอง เหล่าบุรุษผู้เป็นเลิศยิ่ง จงเตรียมยกชูวิญญาณของท่านเพื่อการสู้รบในครั้งนี้ด้วย
"ท่าน สหายร่วมรบของข้า จงฟังคำสั่งผู้นำของท่านเพื่อที่จะให้ได้รู้ว่านี่คือวันแห่งเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ของท่านเอง และหากในวันนี้ท่านจะต้องหลั่งเลือด ท่านก็ได้ชนะตนเองเพื่อมงกุฎแห่งการทรมานและชื่อเสียงอันเป็นนิรันดร์แล้ว!"
นี่คือพระราชดำรัสของจักรพรรดิคอนสแตนตินอส พาไลโอโลกอส (Konstantinos Palaiolokos) หรือ "คอนสแตนตินที่ 11" (Constantine XI) ผู้ทรงเป็นจักรพรรดิโรมันองค์สุดท้ายที่อะลิซาเบธ ซาชารีอาโดว (Elizabeth Zachariadou)ผู้เขียนหนังสือ "พงศาวดารของเติร์กและเหล่าสุลต่าน" (Chronicle of the Turkish Sultans ) ได้รวบรวมและเรียบเรียงเอาไว้ว่าเป็นพระราโชวาทที่ทรงประกาศกับเหล่าทหารไบแซนไทน์ และเหล่าทหารอาสาชาวเจนัวและเวนิสในศึกปกป้องกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะแตกพ่ายด้วยน้ำมือของกองทัพเติร์กออตโตมานในวันนี้เมื่อปี ค.ศ.1453ครับ...
ที่มา - http://www.worldhistoria.com/speech-by-constantine-xi_topic124058.html
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นมีคนเชียร์รัฐประหารโดยให้เหตุผลว่านักการเมืองเอาแต่ทะเลาะแย่งตำแหน่งกัน
ผมเห็นแล้วสงสัยเหลือเกินว่า ก็พวกคุณเองไม่ใช่เหรอ ที่เลือกนักการเมืองพวกที่ว่านั้น เข้าไป
“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ดีไซน์มาให้พรรคอื่นเป็นรัฐบาล แต่ดีไซน์มาให้พวกเราเป็นรัฐบาลเท่านั้น”
วีระกร คำประกอบ ส.ส.พลังประชารัฐ จังหวัดนครสวรรค์ ที่ย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย ผู้เสนอญัตติเลื่อนประชุมเลือกประธานสภา
“เมื่อก่อนต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยมีแต่ส.ส.คุณภาพต่ำเต็มไปหมด แต่ตอนนี้พวกนั้นมันย้ายไปอยู่พลังประชารัฐหมดแล้ว"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เรียกอีปู มาหลายปี ไม่เห็นมีใครมาปกป้อง
แค่มี. ส.ส.บ้านนอก เรียกอีช่อ. คนเดียวต่อม ปัญญาชน ผู้ดีมันแตก.
นี่คือการเลือกปฏิบัติ ของนักวิชาการก้าวหน้าหี
สันดาน พวกมึง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มันแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอะครับ การจัดสรรทรัพยากรมั่ว โกงไปกินกันหน้าด้านๆเลยนี่ล่ะ งบสาธารณสุขก็ไม่ใช่น้อยๆ หายไปไหนหมด
อย่างพวกบ้าทหารสุดโต่งก็จะบอกงบคนละส่วน ไอ้สัดคือบริหารกันแบบนี้ มันก็เห็นกันคาตาแล้วว่า เงินส่วนใหญ่ตุนอาวุธ เงินที่แบ่งไป(ตอนแรก) ให้ลงมาสวัสดิการประชาชน ด้านบนก็แดกกันเรียบ ดูงานผลาญงบเล่น เหลือเศษตังลงมา แล้วตูนก็มาวิ่งเรื่อยๆ คืออะไร ถามมุมกลับ คิดว่าเศรษฐกิจดีชิบหาย? ประชาชนรวยมากมั้ง เขาอาจจะบริจาคกันได้บ้าง แต่บ่อยๆเข้า แม้งก็คือการโยนภาระไปให้ประชาชนแบกรับแทน ไอ้สัด คือถ้าประชาชนเสียภาษีที่มันควรจะเป็นค่าใช้จ่ายพวกนี้แต่แรกแล้วมึงเอาไปแดกกัน แล้วประชาชนก็ต้องมาจ่ายเพิ่มเพื่อได้รับสวัสดิการที่มันควรจะได้รับตั้งแต่ภาษีจุดแรก แล้วจะจ่ายภาษีไปทำkuyไรวะครับ
อยากให้คุณปูว์มาเป็นนายกอีกจัง กูหลงรักคุณปูว์
A: ผมละเบื่อพวกฝ่ายก้าวหน้าที่แชร์เรื่อง animal farm ตอนนี้กันจังเลย พวกเขาอาจจะมองว่าพวกเขาลุ่มลึกกว่าประยุทธ์ แต่ท้ายสุดแล้วจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามพวกเขากำลังถูกชายคนนี้กำหนดประเด็นให้พวกเขากลายเป็นผู้ตามอยู่เสมอมา แล้วคุณล่ะครับคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง
B: ข้อยมักแต่นิทานก้อม
ทหารประเทศนี้ทำอะไรเป็นบ้างวะ นอกจากโกง
>>760 ทหารทั่วไปรับดับปฏิบัติงานก็ทำงานตามปกติแหละ ยามมีภัยพิบัติก็ยังเป็นกรรมกรรองมือรองตีนให้ชาวบ้านให้กำลังใจซ่อมสะพาน ซ่อมบ้าน จิปาถะ
ส่วนพวกตัวโต ๆ อันนี้ไม่รู้ทำอะไร ให้ทดสอบร่างกายก็คงไม่น่าผ่านกันด้วยซ้ำ เรื่องบัญชาการนี้ถ้าจู่ ๆ โลกเข้าสู่ภาระสงครามกูว่า RIP ได้เลยบ้านเรา
"คุณเคยถามผมสักคำไหมว่า ทำไมผมย้ายจากพรรคเพื่อไทยมาอยู่ตรงนี้ ถ้าอยู่พรรเพื่อไทย รัฐธรรมนูญอย่างนี้คุณจะให้พรรคเพื่อไทยไปตั้งรัฐบาลได้ไหม ผ่านกฎหมายอะไรได้ไหม ติดไหมเจอกฎหมายงบประมาณ พ.ร.บ.งบประมาณที่ต้องผ่านสภา เอาเงินมาใช้เพื่อบริหารประเทศชาติบ้านเมืองวุฒิเขาไม่โหวตให้แล้วคุณจะอยู่ได้อย่างไร คุณทำได้อย่างไร
รัฐธรรมนูญฉบับนี้นะ ประเทศชาติไม่มีทางนับ 1 ได้ มันไม่มีทางนับ 1 ได้ ทหารเขาอาจจะใช้มาตรา 44 ไปได้เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่
เพราะฉะนั้นผมอยากจะบอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญเจ้าปัญหา รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ดีไซน์ไว้สำหรับพรรคอื่นเลยที่จะเป็นรัฐบาล ดีไซน์มาสำหรับให้พรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลเท่านั้นนี่ จึงจำเป็นที่จะต้องย้ายมาอยู่ตรงนี้เพื่อให้ประเทศชาติได้นับ 1 ได้"
ขำข่าวนี้ครับ "รัฐบาลเก็บรายได้ล้นคลัง" 55555
รายละเอียดด้านล่าง ขาดดุลงบประมาณไป 620,000 ล้านบาท กลับไม่พูดถึงเลย
ตอนจบบอกว่า รัฐบาลมีเงินคงคลังเท่ากับ 2.63 แสนล้านบาท แต่ลองดูตัวเลขครั้งหน้านั่นสิ แต่เงินจำนวนนี้ทั้งหมดมาจากการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2.3 แสนล้านบาท อ่ะครับ
ผมว่า ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยนะครับ กู้มาจนเต็มคลัง นั่นเอง
ในอดีตกาลนานมาแล้ว กษัตริย์องค์หนึ่งนาม กอร์ดิอัส ทรงผูกเชือกขดหนึ่งเป็นเงื่อนปริศนา บรรจงผูกอย่างสลับซับซ้อนเพื่อมิให้ใครแก้มันได้ และก็ไม่มีใครในแผ่นดินที่สามารถแก้เงื่อนนี้ได้ มันเรียกว่า เงื่อนกอร์เดียน (Gordian Knot)
วันหนึ่งอเล็กซานเดอร์มหาราชเสด็จผ่านเมืองนั้น เมื่อได้ยินคำเล่าลือเรื่องเงื่อนที่แก้ไม่ได้ ก็ทรงสนพระทัยที่จะแก้เงื่อน หลังจากทอดพระเนตรเงื่อนกอร์เดียนได้ครู่หนึ่ง ก็ทรงชักดาบออกฟันฉับเดียวเข้า เงื่อนกอร์เดียนที่ไร้ผู้แก้ได้ก็สิ้นความเป็นเงื่อน ขาดเป็นท่อนๆ !
บางคนบอกว่าการแก้ปัญหาอย่างนี้ผิดกติกา เพราะโจทย์ไม่ได้ให้ใช้ดาบแก้ปัญหา แต่อเล็กซานเดอร์มหาราชมองทะลุกรอบ มองข้ามวิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ทรงเห็นว่านี่มิใช่เงื่อนธรรมดา แก้ด้วยวิธีการธรรมดาไม่ได้ จึงทรงใช้ ‘เครื่องมือใหม่’ แก้ปัญหานี้ ฉับเดียวจบ ง่าย รวบรัดชัดเจน ใครอยากบ่นว่าพระองค์ทรงแก้ปัญหาผิดกติกา ก็บ่นไป แต่หากไม่ทำ ปัญหาก็ยังคงอยู่
คนมีปัญญาไม่ได้มองว่าจะใช้มือหรือดาบหรือหอกหรือไม้จิ้มฟันแก้ปัญหา คนมีปัญญาแก้ปัญหาตรงจุดเลย!
ในทุกวงการ เราจะพบปัญหาที่กรอบคิดแบบเดิมและกติกาเดิมกลายเป็นเงื่อนผูกคอตัวเองอย่างนี้ตลอดเวลา
ในวงการที่เน้นการใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างวงการโฆษณา สิ่งแรกที่บรรดาครีเอทีฟทำคือฟันเงื่อนขาดเป็นท่อนๆ ทลายกล่องทุกใบทิ้ง มิเช่นนั้นมองไปทางไหน ก็จะได้ยินแต่ “นี่ก็ทำไม่ได้” “นั่นก็ทำไม่ได้” สำหรับคนทำงานครีเอทีฟ วลีต้องห้ามคือ “ทำไม่ได้” เพราะพวกเขาเชื่อว่าในโลกของความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ตัวอย่างงานสร้างสรรค์จำนวนไม่ถ้วนในโลกพิสูจน์ว่า จะสร้างสรรค์งานดี ต้องทำลายกรอบคิดเดิมก่อน อยากได้อะไรใหม่ ต้องกล้าแหกคอก
ผมจำได้ว่าตอนเริ่มเขียนหนังสือแนวทดลองโดยผสมงานเขียนเข้ากับ กราฟิก ดีไซน์ ก็ได้ยินเสียงบ่นว่า “ผิดกฎ” และ “ผิดขนบ” อยู่เสมอ นักเขียนและศิลปินจำนวนมากก็ผ่านเสียงบ่นว่า “ผิดกฎ” และ “ผิดขนบ” เดิม
ความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่เครื่องมือที่นักโฆษณาหรือนักเขียนผูกขาด ใครๆ ก็สามารถนำไปใช้ได้ แม้กระทั่งวงการเมือง
วิเคราะห์ดูดีๆ ตามเนื้อผ้า การเมืองบ้านเราในรอบสิบปีนี้เต็มไปด้วยกรอบคิดที่เราสร้างขึ้นมาครอบเราเอง ทำให้ติดอยู่ในกับดักของกรอบนั้น เช่น อย่างนี้คือประชาธิปไตย อย่างนั้นคือเผด็จการ อย่างนี้คืออนุรักษ์นิยม อย่างนั้นคือเสรีนิยม ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าอยู่ค่ายนี้ก็อยู่ค่ายนั้นไม่ได้ ถ้าไม่มีการเลือกตั้งก็ไม่มีประชาธิปไตย ฯลฯ เพราะมองทุกอย่างตัดขาดกันเด็ดขาดแบบขาวกับดำ จนลืมไปว่าเป้าหมายของการเมืองคือสร้างความสุขให้ประชาชนและพัฒนาชาติ ไม่ใช่เดินตามกรอบอย่างเดียว
เพราะกรอบเปลี่ยนได้เสมอ และประวัติศาสตร์ก็มีหลักฐานยืนยันว่า กรอบเปลี่ยนเสมอ
อย่างที่เติ้งเสี่ยวผิงว่า ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ถ้าจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี
อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ยอดนักคิดนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์จึงกล่าวว่า “นักการเมืองควรอ่านนิยายวิทยาศาสตร์”
ความหมายของคลาร์กกว้างกว่านิยายวิทยาศาสตร์จริงๆ มันหมายถึงการรู้จักมองกว้างๆ มองไกลๆ ไม่จมอยู่แต่ในความคิดว่าทุกอย่างต้องทำตามทางที่เคยเดิน เพราะนั่นเป็นกับดักความคิดที่แย่ที่สุด
มองแบบนี้ก็อาจรู้ว่าเมื่อไรควรรักษาขนบเดิม และเมื่อไรควรทลายเงื่อนกอร์เดียนด้วยความคิดนอกกรอบ
และการเมืองไทยซับซ้อนเกินกว่าที่จะมองมุมเดียว และแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิมเสมอ
อับราฮัม มาสโลว์ พูดไว้ในปี 1966 ว่า ถ้าเครื่องมือเดียวที่คุณมีคือค้อน คุณก็มองทุกอย่างเป็นตะปู
ปัญหาหนึ่งของการเมืองไทยก็คือ ทุกคนมีค้อนในมือ และเชื่อว่าตัวเองเป็นธอร์ผู้ถือค้อนวิเศษ แก้ปัญหาได้หมด
ผมทำงานในวงการสร้างสรรค์มากว่าสี่สิบปี มองโลกด้วย lateral thinking มาตลอดชีวิต มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะสร้างงานหลากหลายได้ ผมเชื่อว่าถ้าไม่สามารถมองออกนอกกล่อง ก็ไม่มีทางมองโลกอย่างเข้าใจได้จริงๆ ดังนั้นใครที่ชอบสวมป้ายทางการเมืองให้ผม หรือบ่นว่า "ผิดหวังมากที่คุณวินทร์คิดอย่างนี้" มาถึงบรรทัดนี้ ก็อาจจะเข้าใจวิธีคิดของผมดีขึ้น
สรุปให้สามข้อคือ
1 เราเป็นคนสร้างกล่องขึ้นมาเองเสมอ
2 แมวที่ดีไม่ใช่แมวสีขาวหรือสีดำ มันเป็นแมวที่จับหนูได้
3 วิธีแก้เงื่อนกอร์เดียนมีมากกว่าหนึ่งวิธี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“ที่จริงก็เหมาะสมกับคำว่า “อีช่อ” ถ้าให้เปรียบเทียบกัน ผมว่าคุณปารีณาสวยกว่าเยอะ ขนาดอายุ 40 กว่า มีลูกหนึ่ง ยังดูแลตัวเองดีขนาดนี้ ในขณะที่คุณพรรณิการ์อายุน้อยกว่าเยอะ ยังดูดีสู้ไม่ได้เลย อาจจะสดกว่า แต่คุณปารีณาสวยกว่าแน่นอน เอาจริงๆ นะ ผมอยากจะเห็นเขาตบกันในสภา แล้วผมจะไม่ห้ามด้วยนะ ถ้าเราไปห้ามทั้งสองฝ่ายอารมณ์ยังไม่สุดให้เขาตบกันให้เรียบร้อย ถ้าเหนื่อยเขาก็หยุดเอง สุดท้ายเขาอาจจะมารักกันก็ได้”
Daughter: "Daddy can we watch a movie?"
Gordon: " Sure which one sweetie?"
Daughter: "Frozen"
Gordon: "Oh f*** me!"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
People don't want sudden changes as sudden changes can hurt people.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
งานบวช งานแต่ง งานบุญ งานศพ งานวัด งานหมู่บ้าน งานตำบล ฯลฯ งานพวกนี้คือวิถีต่างจังหวัด-ชนบทชนิดหนึ่ง เป็นวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นชุมชนชาวบ้าน พบปะกัน ทำกับข้าวกับปลากินร่วมกัน ทำงานอะไรร่วมกัน มันจะดีหรือไม่ดีนั่นอีกเรื่อง แต่รูปธรรมก็คือความเป็นการเมืองมันอยู่ตรงนั้นด้วย
ชาวบ้านน่ะบางทีเขาก็ไม่ได้สนใจหรอกว่า สส จบอะไรมา รุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า อุดมการณ์สูงส่งล้ำฟ้าขนาดไหน ถ้าไม่เคยโผล่ไปพบปะชาวบ้านตามวิถีแบบนี้เลย เขาก็จะมองว่าคุณไม่ใส่ใจเขานะ
ผมรู้ว่าวิธีคิดของอนาคตใหม่เรื่องหนึ่งคือการส่งเสริมวัฒนธรรมแบบใหม่ ส่งเสริมอะไรที่มันก้าวหน้า มันไม่ผิดหรอกที่คิดแบบนั้น ผมก็เห็นด้วยกับแนวทางแบบนั้น งานพื้นที่ของอนาคตใหม่ก็พยายามเน้นเรื่องพวกนี้มาก (จนเกินไปด้วยซ้ำ เท่าที่ผมเห็นน่ะ)
การแสดงออกให้สังคมเห็นด้วยกับ "วัฒนธรรมใหม่" นั้นไม่จำเป็นต้องไปด่าเขาว่าตลาดล่างอะไรอย่างนั้นหรอกครับ ไม่มีประโยชน์ แถมยังเสียหมา เสียคะแนนลามไปถึงพรรคอีก
อยากให้พรรคส่งเสริม "วัฒนธรรมความเป็นพรรค"ของคนทำงานในพรรคให้ดีๆกว่านี้หน่อย ทำงานแบบเสรีชนมันน่าปวดหัว
ผมก็อยากเห็นพัฒนาการที่ดีของพรรคครับ
98 89 เตมตีน อยู่ไปก้ไร้ค่า ตายไปยังไม่มีประโยชน์ วิ่ง9วิ่ง8 ไม่มาสักตัว ควยเถอะ
#มิตรสหาย
“ช่วงปี 1995 ที่ Pittsburgh ชายอายุ 45 ปี เดินเข้าธนาคารแห่งหนึ่งพร้อมแจกยิ้มให้กับกล้องวงจรปิดโดยรอบด้วยความมั่นใจ เรื่องแม่งจะไม่มีเหี้ยอะไรเลยถ้าสิ่งที่มันทำคือการเข้าไปโอน-ฝาก-ถอนเหมือนๆชาวบ้าน แต่เปล่าเลย......แม่งเข้ามาปล้นธนาคาร!
ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ชายคนเดิมก็เดินเข้าไปในธนาคารอีกแห่งหนึ่ง ยิ้มให้กับกล้องวงจรปิดเหมือนกับธนาคารแรก แล้วก็ปล้น....
ไม่นานภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งหมดก็ถูกปล่อยออกมาตามข่าวทาง TV พบว่าชายคนนั้นชื่อว่า McArthur Wheeler ตำรวจทั้งหมดบุกถึงบ้านของ McArthur พบว่า ชายคนนั้นนอนเกาไข่ นับเงินอยู่ที่บ้านและแน่นอนว่า McArthur ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตำรวจตัดสินใจโชว์ภาพจากวงจรปิด
McArthur หน้าซีดเผือดพร้อมตะโกนอย่างสุดเสียง
“อีเหี้ย แม่งเป็นไปไม่ได้ ก็กูใช้น้ำมะนาวแล้วนะ กูใช้น้ำมะนาวแล้วไง!”
หลังจากสอบปากคำก็พบว่า McArthur เชื่อว่าตัวเองล่องหนได้เพราะก่อนเข้าไปปล้น แม่งใช้น้ำมะนาวทาหน้าเรียบร้อยแล้ว โดยแนวความคิดดังกล่าวเกิดจากการค้นพบว่า ถ้าใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำเปล่าแล้วเขียนบนกระดาษจะทำให้ตัวอักษรล่องหน และตัวอักษรที่เขียนจะปรากฎอีกครั้งถ้าเราใช้ความร้อน......อาาาาาห์ ยูเรก้าสัสๆ และด้วยความฉลาดระดับไอคิวติดลบแต่ความมั่นใจทะลุปรอท อี McArthur ก็เลยจัดการเอานำ้มะนาวทาหน้าตัวเอง ยอมอดทนกับอาการแสบตาเดินเข้าธนาคารแล้วก็ปล้น ซึ่งประสบความสำเร็จที่ธนาคารแรก แม่งก็ได้ใจ กูต่อธนาคารที่ 2 เลยละกัน อีเหี้ย เสือกสำเร็จอีกจนกระทั้งแม่งโดนจับได้ระหว่างนอนเกาไข่ที่บ้าน
หลายปีต่อมานักจิตวิทยาชื่อ David Dunning ได้รับแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าจากความฉลาดหลักแหลมของ McArthur เลยเข้าไปติดต่อสัมภาษณ์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่าง
“ความโง่บัดซบ กับ ความมั่นใจ”
ซึ่งต่อมาก็กลายมาเป็นทฎษฎีที่เราอาจเคยๆผ่านตา ที่เรียกว่า Dunning-Kruger Effect ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวสรุปได้ว่า
ยิ่งโง่เท่าไหร่ เราจะยิ่งประเมินความฉลาดของเราเกินกว่าความจริงเสมอ
และยิ่งเราฉลาดมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งประเมินความฉลาดของเราต่ำกว่าความเป็นจริงเสมอ
แปลกันง่ายให้ง่ายขึ้นอีกคือ คนที่โง่ จะเข้าใจว่าสิ่งที่เค้ารู้คือทั้งหมดของความรู้ในโลกนี้ แต่คนที่ฉลาดจะคิดว่าสิ่งที่เค้ารู้ยังไม่ได้จิ๋มมดในจักรวาลและยังมีอีกมากที่ต้องเรียนรู้
หรือถ้าจะให้เห็นภาพมากขึ้นก็คิดแบบนี้ว่า พวกคนโง่แบบจริงจัง แม่งจะโง่มากๆ มากซะจนตัวเค้าเองก็ไม่รู้ว่ากำลังโง่อยู่ ก็เลยมั่นใจในตัวเองฉิบหายว่ากูจีเนียสมาก มันถึงเอาน้ำมะนาวมาทาหน้าตัวเองได้ ....อีเหี้ย กูกราบ!
ถึงตรงนี้ ถ้าเราเห็นตรงกันว่า “ความโง่จะทำให้เกิดความมั่นใจในตัวเอง(อย่างผิดๆ)”
ก็จะเกิดความบัดซบของโลกเบี้ยวๆใบนี้ที่ว่า คนฉลาดๆก็เสือกสงสัยตลอดเวลาว่า ไอ้ที่กูรู้เนี่ยะ แม่งจริงเปล่าวะ มันถูกหรือยังวะ หรือมันไม่ใช่วะ เอ๊ะ...ยังไงนะ และถ้าเราเข้าใจในโลจิกทุกอย่างแล้ว เราจะเริ่มเข้าใจว่า
“ในการประชุมครั้งหน้า คนที่เสียงดังที่สุด มั่นใจตัวเองที่สุดในห้องประชุมอาจไม่ใช่คนที่ถูกที่สุดเสมอไป เพราะมันมีความเป็นไปได้เหมือนกันว่าแม่งอาจโง่ที่สุด จนไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองรู้คือความไม่รู้เหี้ยอะไรเลย”
May สติ be with you
#ส่วนหนึ่งจากหนังสือCreativeBlindness
#ไม่ต้องโยงเข้าการเมืองนะอีเหี้ยกูไม่ว่างติดคุก”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
บ่นส่งช้า กับ พนักงาน Kerry
พนักงานบอกขอบคุณมาก ช่วยพูดแบบนี้กับผู้จัดการให้หน่อย
เลยได้รู้ว่า...นับตั้งแต่ดราม่าพนักงานแกะกล่องลูกค้า
Kerry เลิกจ้างพนักงานรายวันไปเยอะมาก
และจากเดิมออกส่งทุกวัน เปลี่ยนเป็นออกส่ง 'เมื่อของเยอะพอ'
ช่วงนี้พนักงานมาส่งทีไร ก็บอกว่า
ของอ้ายยังมีที่โกดักอีกหลายชิ้นเด้อ
แต่ผู้จัดการยังไม่ให้เอามาส่งก่อนพะนะ
สรุป... Kerry กรุงเทพ-เกษตรวิสัย จากเดิม 1 วันถึง ตอนนี้เป็น 3-4 วัน
DHL เป็นเจ้าที่เร็วสุด 1 สุดถึง
Ninja Van 3-4 วันถึง แต่ว่าค่าส่งถูก 25 บาท
EMS 2 วันถึง แต่บุรุษไปรษณีย์เก่งเกินไป
ไม่ว่าเขียนที่อยู่อะไร เค้าก็จะส่งไปให้แต่ที่ร้าน! และไม่ยอมโทรหา
สรุปของสรุป.. Kerry เจอมรสุม และจะไม่ใช่ผู้ผูกขาดตลาดอีกแล้ว
อย่างเช่น Lazada ที่โดน Shopee ท้าทายอยู่ตอนนี้
ผมถึงไม่ซื้อหุ้นพวกนี้ ธุรกิจ Burn money สักวันก็เจอคนมา Burn แข่ง
ช่วงนี้มีการปลุกปั่นผ่านโซเชี่ยวบ่อยมาก
พวกเราต้องใช้สื่ออนไลน์อย่างระมัดระวัง
รบกวนเลือกช่องทางรับข่าวสารที่ถูกต้องด้วยค่ะ
- ผู้สื่อข่าว = กนก รัตน์วงศ์สกุล
- สื่ออาวุโส = ดร.เสรี วงศ์มณฑา
- ทีวีหนังสือพิมพ์ = เนชั่น, ไทยโพสต์, แนวหน้า
- สื่อสังคมออนไลน์ = ทีนิวส์, METTAD, ตบดิ้น
- วิเคราะห์การเมือง = กิตติทัช, เทอดศักดิ์ เจียมฯ, ปู จิตกร บุษบา
- วิเคราะห์เศรษฐกิจ = สมเกียรติ โอสถสภา
- วิเคราะห์เศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ = ทนง แฟนคลับ
- วิเคราะห์การลงทุน = วรวรรณ ธาราภูมิ
- นักแสดงชายต้นแบบ = ออฟ พงษ์พัฒน์
- นักแสดงหญิงต้นแบบ = สินใจ เปล่งพานิช
- ตัวประกอบต้นแบบ = ท็อป ดาราณีนุช, เหมี่ยว ปวัณรัตน์
- นิยายที่ควรอ่าน = วินทร์ เลียววารินทร์
- การ์ตูนเสียดสีการเมือง = ชัย ราชวัตร
- หมอดู = วาริณ บัววิรัชเลิศ
ตกหล่นตรงไหนช่วยกันเติมด้วยนะคะ
ลูกหลานไทยจะได้โตไปแบบรู้ทันโลกค่ะ
ขอบคุณค่ะ
- ผมเลิกสนใจฟุตบอลแล้วครับ
- ใครจะเป็นแชมป์มึงก็ทำมาหาแดกอยู่ดี
รักที่สุดคือธนาธร
ห่วงที่สุดคือคนที่รักธนาธรจนเสียสติ
#มิตรฯ
“หมอ”……ที่แท้จริง 👨⚕️
ในวงราวน์คนไข้ แห่งหนึ่ง
เช้าวันหนึ่ง 7.30 ครูแพทย์สาวโสดวัยเกือบ 50 มาดูคนไข้ที่วอร์ดเด็ก
นักศึกษาแพทย์ปี 4,5,6 แพทย์ใช้ทุน แพทย์ประจำบ้าน_กรูกันเข้ามาหาอาจารย์แพทย์เพื่อรายงานเคส
นสพ.ปี 6…”เคสนี้เด็กชายไทย 4 ปี มาด้วยไข้ ไอ น้ำมูก 3 วัน หลังจากนั้น ถ่ายเหลว 5 ครั้งก้นแดงครับ…………บลาๆๆๆๆๆ
ครูแพทย์…;วินิจฉัยอะไร อ่ะปี 5 ตอบสิคะ
นสพ.ปี 5…” gastroenteritis ครับ” (ลำไส้อักเสบ) อาจารย์
ครูแพทย์…; ปี 4 ตอบสิ มีเชื้ออะไรบ้าง 3 เชื้อค่ะ
นสพ.ปี 4… ไวรัส rota, adenovirus และ norovirus ครับ
ครูแพทย์… ยิ้ม เก่งมากค่ะ ทุกคน
เด็กคนนี้มีปัญหาอะไรอีกค่ะ
???????
เอาละสิ ปี4-6 พี่แพทย์ใช้ทุน แพทย์ประจำบ้าน เงียบ ในใจ มีอะไรอีกหรอ น่าจะครบสิ
เงียบ
_
ครูแพทย์. ลองสังเกตเด็กดีๆสิ
สายตาทุกคู่ เหลือบมองไปที่เตียงเด็ก ดูเด็ก
และสังเกต
ในใจน้องๆหมอ ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่
เงียบบบบ
_
ครูแพทย์ กระตุ้น สังเกตดีๆๆสิ
ก็ยังเงียบ
_
_
_
ครูแพทย์… เห็นอะไรไหม
1) “เด็ก 4 ขวบ ทำไมตัวเล็ก จากสายตาคาดว่า จะหนักสัก 10 กก. คุณหมอได้ถามประวัติอาหารไหม นี่ก็คือปัญหานะ กินข้าวกี่มื้อ เนื้อสัตว์ผัก นมกินยี่ห้อไร กี่กล่องต่อวัน
2)เห็นขวดนมที่ตั้งอยู่หัวเตียงคนไข้ไหม
ปกติ ควรเลิกตอนอายุ 18 เดือนถึง 2 ปี ทำไมเด็กถึงยังไม่เลิก
เชื่อไหม ไป รร. ไม่ต้องกินขวด แต่กลับมาบ้านต้องกินขวด
นสพ อึ้ง
หันไปถามคนเฝ้าไข้
เป็นเช่นนั้นจริงๆตามครูแพทย์กล่าว
“แล้วคุณหมอเห็นฟันเด็กไหม”
นสพ. เงียบ ยังไม่ได้ดูครับ
ครูแพทย์ _พี่เห็นมีฟันผุที่ด้านบน เหี้ยนเลย ไม่เชื่อลองเปิดดู
เป็นจริงดั่งครูแพทย์ว่า
นสพ. อึ้ง นี่อาจารย์แค่ฟัง
และมองๆรอบเตียง เหมือนไม่ได้สนใจ
แต่ครูแพทย์เก็บรายละเอียดยิบ
โดยที่ยังไม่ได้จับคนไข้เลย
ยังๆยังไม่หมด ครูแพทย์ พูดต่อ
3) เห็นคนเลี้ยงไหม ที่นั่งข้างเตียงเด็ก
นสพ. ทุกคนย้ายสายตาไปดูคนเฝ้า
ภาพที่เห็น
เป็นคุณยายอายุเกือบ 70 ปีนั่งเฝ้าหลานวัย 4 ปี
ท่าทางอิดโรย
อาจารย์แพทย์_”น้องหมอได้ถามไหม พ่อแม่เด็ก ทำงานอะไร แล้วยายมาเฝ้าหลาน เดินทางมาไง นอนที่ไหน ใครส่งเงินให้ ใครทำกับข้าวให้ ใครไปส่ง รร.
สุดท้ายครูแพทย์กล่าว
“คนนี้น่าจะมีภาวะซีด ค่าเลือดน่าจะอยู่ที่ 25-28%
ไม่เชื่อลองเปิดผลเลือดดู”
ครูแพทย์ พูดออกมา โดยยังไม่เห็นผลเลือดเด็ก
ได้แต่ยืนและสังเกต
นสพ. ปี 6 เปิดผลเลือดถึงกับอึ้ง
ค่าความเข้มข้นเลือด =26%
นี่แหละครับ
การเรียนแพทย์คือ เรียนจากคนไข้ ฝึกประสบการณ์
หมอที่ดีไม่ใช่หมอที่ท่องตำราเก่งอย่างเดียว
หมอที่ดีคือหมอที่ดูคนไข้ สังเกต มองรอบข้างทุกอย่าง hollistic care
โรค กาย จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม แล้วเก็บประสบการณ์แต่ละเคส เพื่อพัฒนาการดูแลคนไข้ และใช้สอนน้องๆหมอ
วันนี้น้องๆหมอดูคนไข้รอบด้าน ละเอียดหรือยังครับ
ให้กำลังใจหมอใหม่ นักเรียนแพทย์ใหม่ทุกคน
เรียนแพทย์ไม่ยาก แต่ที่ยากคือ ความรับผิดชอบและใส่ใจคนไข้
หมอเรารักษา โรค แล้ว อย่าลืม รักษา คน ด้วย
ปล… คุณหมอฌอน ภาพจากซี่รีย์ละครชื่อดัง The good doctor
รื่องห้องน้ำกะเทยเนี่ย เป็นปัญหาโลกแตกจริงๆนะ คือ กะเทยแต่งหญิงแต่ยังมีควย พอจะเข้าห้องน้ำหญิง ผู้หญิงก็ไม่สะดวกใจ แต่ว่า...
1. พอกะเทยประท้วงว่า "พวกชั้นออกสาวแต่งหญิงแบบนี้ ชั้นไม่ลวนลามหรือแอบดูผู้หญิงหรอก" ก็ดันมีข่าวกะเทยแต่งหญิงมีนมแต่งงานกับผู้หญิงมีลูกด้วยกันออกมาจริงๆ สิ่งที่กะเทยประท้วงเลยถูกปัดตก เพราะมีกะเทยที่เย็ดผู้หญิงได้
2. พอจะออกกฏว่า คุณต้องแปลงเพศแล้ว ถึงเข้าห้องน้ำหญิงได้ กะเทยก็ประท้วงว่า ใจฉันเป็นหญิง ฉันแต่งหญิง สรีระร่างกายฉันก็เป็นหญิง พวกผู้ชายก็ไม่ให้พวกฉันเข้าห้องน้ำชาย และอาจลวนลามฉันได้
3. จะให้ทุกบริษัททุกห้างทุกอาคารทำห้องน้ำสำหรับกะเทยโดยเฉพาะ มันก็เป็นการทำให้เจ้าของสถานที่เสียเงินเพิ่ม เขาก็เดือดร้อน เขาเลยไม่อยากทำ
4. แต่พอเจ้าของสถานที่จะให้กะเทยใช้ห้องน้ำผู้พิการแก้ขัดไปก่อน กะเทยก็ประท้วงว่าฉันไม่ใช่คนพิการ นี่เป็นการเหยียดพวกฉัน
>>780 กูอ่านแล้วดันนึกถึง quote เก่าๆ ที่มีคนไข้ปวดขามา รพ. กลางดึก นักศึกษาแพทย์ตรวจดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ให้อาจารย์มาดูแกถามประโยคเดียวเลย "มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่" เลยได้ความว่าปวดขาเพราะเกร็งขาค้างท่าเดียวนาน
เลยให้ยาอะไรซักอย่างไปกิน แล้วก็กลับบ้านได้
พี่โจวได้เขียนบทซีรีย์กับเฮียหมานไว้เรื่องหนึ่ง ด้วยการตีความจิตร ภูมิศักดิ์ ใหม่ว่าแกเป็นปอบอ่ะครับ แล้วโดนกำนันผู้คงแก่วิชาปราบได้ จนกำนันผู้นั้นได้ไปปราบซอมบี้ต่อที่เมกา ผู้ผลิตซีรีย์เจ้าไหนสนใจ ก็จะสนใจนะครับ
ความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจและปปช. เทียบกันระหว่างสังคมปชต.และอำนาจนิยม:
ที่เบอร์ลินมีกลุ่มคนไทยรวมตัวกันขายอาหารในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ตอนแรกเริ่มเล็กๆ ตอนนี้โด่งดังออกทีวีมากมาย มีฝรั่งและคนเอเชียมาอุดหนุนทุกอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ไม่ถูกฎหมาย แต่ดีมานด์สูง ป้าๆเลยยังขายของต่อไปได้
เมื่อวานนี้ตำรวจมากลุ่มเบ้อเริ่ม ปฏิกริยาของคนไทยและฝรั่งแถวนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนไทย (ทั้งแม่ค้าและลูกค้า): วิ่งหนี คือเห็นตำรวจแล้วนึกถึงเทศกิจ เลยหนีไว้ก่อน ทั้งที่ไม่รู้ว่าตำรวจมาทำไม
ฝรั่ง: นั่งดูชิวๆสักพัก จากนั้นโห่ไล่ตำรวจ จนตำรวจต้องถอย
ตำรวจ: ปรากฏว่าแค่จะมาแจกใบปลิวว่าด้วยการรักษาความสะอาดในพื้นที่ค้าขาย ไม่ได้มาจับใคร (เอิ่มม)
ความสัมพันธ์ระหว่างจนท.รัฐกับปปช.ในสังคมปชต.เป็นแบบล่างขึ้นบน ("เสียงโห่") ในทางกลับกันความสัมพันธ์เช่นนี้ในสังคมอำนาจนิยมเป็นแบบบนลงล่าง ("วิ่งหนี") ขนาดออกไปอยู่ที่อื่น สำนึกทางอำนาจแบบนี้ก็ติดตัวมาด้วยแบบแกะไม่ออก
>>785 อันนี้นึกถึงที่ NGO บางคนตั้งข้อสังเกตเหมือนกัน ว่าถ้าดูคำพูดที่คนระดับล่างบ้านเราใช้เรียกร้องสิทธิในการทำมาหากินกับรัฐ จะใช้คำประมาณ "วิงวอน" " อ้อนวอน" "ขอความเมตตา" คือมันไม่ใช่การเรียกร้องอย่างเต็มปาก ในขณะที่คนระดับล่างในสังคมตะวันตกจะพูดเต็มปากเต็มเสียงเลยว่า "ฉันมาเรียกร้องสิทธินะ" แสดงออกตรงๆ แรงๆ กันไปเลย
>>789 จริงๆ คนไทยก็ไม่ได้แคร์กฎหมายเท่าไรหรอก คำโบราณก็พูดอยู่ว่าการขึ้นโรงขึ้นศาลถือเป็นโชคร้าย ขนาดคนมีตังค์ยังยอมจ่ายเพื่อหวังว่าจะวิ่งคดีได้ คนจนก็รับสภาพไป มันไม่เหมือนฝรั่งที่ต้นทุนกระบวนการยุติธรรมถูกกว่า (หรือเปล่าวะ กูเห็นคนไปเมืองนอกบอกคนที่นั่นไม่ได้กลัวการขึ้นศาลหรือไปโรงพักมากเท่าในไทยนะ)
พวกบ้าการเมืองดูแล้วเหมือนฉลาดนะ แต่ที่จริงโง่บัดซบ
10ปีที่แล้วมึงเป็นยังไง วันนี้มึงก็ยังเป็นเหมือนเดิม
พวกมึงได้ดิบได้ดีเพราะการเมืองมั้ยเล่า ด่าไปแล้วไงเปลี่ยนอะไรได้มั้ย ก็ได้แค่ด่า อา วันนี้ได้ด่านักการเมือง ได้ด่าฝ่ายตรงข้ามกะกุแล้ว กูฟิน555 ปิดเครื่องนอน พรุ่งนี้ไปทำงาน 555 แล้วยังงี้มันถึงโง่ไงพวกบ้าการเมือง ไปสนใจทำเหี้ยอะไรการเมืองไม่มีประโยชน์ ไร้สาระชิบหายพวกมึงนี่
ในอดีตนานมาแล้ว อาร์คบิชอปธีโอดอร์แห่งแคนเทอร์เบอรี (700 AD) ทรงผูกขาดการเย็ดของฆราวาสผ่านคู่มือศีลอภัยบาป คู่มือนี้ชื่อว่า "คัมภีร์สารภาพบาปของธีโอดอร์ (Theodore's Penitential)"
คัมภีร์นี้สนับสนุนเฉพาะการเย็ดเพื่อมีลูกเท่านั้น การเย็ดเพราะเงี่ยนถือเป็นบาป การใช้ลิ้นใช้ปากก็บาป เย็ดท่าแปลกก็บาป ชักว่าวตกเบ็ดยังบาป แต่ที่น่าสนใจคือ กิจการซ่องรุ่งเรืองเฟื่องฟูในยุคกลางมาก แต่ศาสนจักรก็ไม่แคร์
ข้อนี้สัมพันธ์กับสิ่งที่ฟูโกต์ - นักปรัชญาและประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส - เรียกว่า "Other Victorians" มันคือความเป็นวิคทอเรียนแบบอื่นที่ต่างจากวิคทอเรียนแบบเหนียมๆ อายๆ ที่เรารับรู้
แน่นอนว่าการบำราบความเงี่ยนนั้นยังคงเข้มข้นในสมัยวิคทอเรียน เรื่องเซ็กส์ถือเป็นเรื่องน่าละอาย การเย็ดต้องท่ามิชชันนารี เรื่องเพศถือเป็นเรื่องไม่ควรเอ่ยถึง
...
สังคมพยายามกดเรื่องเหล่านี้ไว้ให้มิดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
...
ยกเว้นคลินิคจิตแพทย์ กับซ่องกะหรี่
....
สองที่นี้เป็นข้อยกเว้น โดยเฉพาะซ่อง ซ่องเป็นเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อำนาจสังคมไม่สามารถกล้ำกรายได้ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน
นั่นเป็นเพราะสังคมคริสต์มองว่าความเงี่ยนเป็นบาป แต่บาปนั้นอภัยได้ ดังที่เซนท์ทอมัส อไควนัสกล่าวไว้ว่า "หากกะหรี่ถูกสั่งห้าม สังคมคงล่มสลายเพราะความเงี่ยน"
นอกจากซ่องในฐานะสถาบันระบายบาปแล้ว พวกเขาเหลือลู่ทางให้กลับตัวจากความเงี่ยนโดยการตั้งคลินิคบำบัดความเงี่ยนในนามจิตแพทย์มาอีกสถาบันหนึ่ง กระนั้นความเงี่ยนก็ยังถูกมองเป็นเรื่องไม่ปกติอยู่ดี
แต่ในยุคสมัยปัจจุบันนี้ สังคมไม่ได้มีการบำราบเรื่องเพศ หรือหากมีก็น้อยมาก เงี่ยนนิดก็หาแฟน เงี่ยนมาหน่อยก็โหลดทินเดอร์(ไม่การันตี) เงี่ยนเร่งด่วนก็ไปตีกะหรี่ เงี่ยนชิวๆ ก็หา FWB
โดยเฉพาะสังคมเราที่ไม่ใช่สังคมคริสต์ เอากันเสียวแค่ไหนก็ไม่บาป ช่วยตัวเองก็ไม่บาป จะทำท่าไหนก็ไม่บาป เราไม่ได้มีวิธีแก้เงี่ยนเพียงวิธีเดียวเหมือนในสมัยยุคกลาง
ขี้เกียจเขียนยาว สรุปแล้วเอาเป็นว่ารัฐประหารเป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การแบ่งแยกโซนคนรวยกับคนจน ทั้งการแบ่งโดยตรงคือการแยกกันอยู่คนละที่ และการแบ่งโดยอ้อมเช่นชุมชนประเภท Gate Community พวกหมู่บ้านหรูๆ มีรั้วรอบขอบชิดปิดอาณาบริเวณจากชุมชนคนทั่วไปโดยรอบ หรือการทำสกายวอล์คให้เดินข้างบนไม่ต้องเดินบนทางเท้าปะปนกับคนทั่วไป ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ท้ายที่สุดมันจะแบ่งแยกคนออกจากนั้น มีแต่จะสร้างความไม่เข้าใจและขัดแย้งกันอย่างรุนแรงขึ้น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
โอกาสที่ประยุทธ์จะได้เป็นนายกรวมทั้งสิ้น 13 ปี (5+4+4)
5 ปีแรกจากรัฐประหาร
4 ปีจากการเลือกของ สส สว วันนี้
และอีก 4 ปีก็เพราะ 250 สว จะยังอยู่กับเราในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีวาระ 5 ปี ขณะที่ สส-รัฐบาล มีวาระ4ปี เลิกสนใจการเมือง รอเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ได้ไม่พอ
“พวกที่บอกว่าใครจะเป็นนายกก็ไม่สำคัญเพราะสุดท้ายก็ต้องตื่นมาทำมาหากินเหมือนเดิม ให้ลองคิดภาพพ่อมึงไปโรงพยาบาลแล้วเจอหมอคนเดิมที่รักษามา 5 ปีละไม่หายสักที แต่พยาบาลบอกว่าไม่สำคัญหรอก ไม่ว่าใครจะเป็นหมอ ยังไงพ่อมึงก็ตายอยู่ดี”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ถ้ามัวแต่คิดว่าเดี๋ยวก็ตายแล้ว โลกนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงกันพอดี
ข้อสำคัญข้อหนึ่งที่พึงระวังก็คือว่า เราไม่ควรเอาระบอบการปกครองและความอยุติธรรมไปผูกติดกับความเจริญเติบโตของประเทศ ดังว่า จงหันมาสนใจการเมือง ขับไล่เผด็จการ เพราะไม่อย่างงั้นประเทศจะไม่เจริญ ต่างชาติจะไม่มาลงทุน ราคายางจะตกต่ำ บีทีเอสจะราคาสูง ภาษีจะใช้ไปไม่ถูกที่ถูกทาง เป็นต้น
เพราะหากเราสร้างเงื่อนไขดังกล่าว แปลว่าถ้าหากประเทศเจริญได้ดี ต่อให้ต้องตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการและความอยุติธรรมก็ย่อมไม่เป็นไรเช่นนั้นหรือ...
ความร้ายกาจของเผด็จการและความอยุติธรรม คือการริดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน บั่นทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนด้วยการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม และสิ่งที่ร้ายที่สุดคือ การทำให้ประชาชนสมาทานความเชื่อที่ว่าตนไม่มีคุณค่า ไม่มีความสามารถมากพอที่จะเทียมทัดผู้นำ ไม่ได้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ต้องก้มหัวและรอรับคุณประโยชน์สุดแท้แล้วแต่ที่รัฐจะหยิบยื่นให้ ไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไรจากรัฐเนื่องจากอำนาจแห่งการปกครองนั้นไม่ใช่ของตน
ประชาธิปไตยไม่ได้เป็นหลักประกันว่าประเทศจะเจริญหรือไม่ แต่ความสำคัญของประชาธิปไตยคือ การประกันสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพของประชาชน "ทุกคน" อย่าง "เท่าเทียม" เป็นหลักประกันว่าประชาชนทุกคนมีคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในตนเอง โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาสถาปนาแต่งตั้งคุณค่าเช่นว่า และที่สำคัญที่สุดคือรัฐอยู่ใต้ประชาชน ต้องรับฟังและตอบสนองต่อประชาชน "เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนทุกคน"
ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมาจากเสียงประชาชน ไม่ใช่สูตรคำนวนอันพิศดารจาก กกต และเสียงโหวต สว ที่เลือกมาเอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ บอกว่า ใครแพ้เลือกตั้งให้ยอมรับ
คือ มึงจะอวยประยุทธ์ กูก็พอทนฟัง มึงจะด่าธนาธร ด่าทักษิณ ด่าพรรคอื่น ฟังได้ทั้งนั้น
พอมึงบอกตัวเองชนะเลือกตั้งเนี่ย มันไม่หน้าด้านเกินไปหน่อยเหรอ ทนฟังไม่ได้อ่ะ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ากว่าจะถึงวันนี้พวกมึงมากันได้ยังไง
น้ำท่วมก็มาด่านายก เขาเพิ่งเข้ามาไม่กี่วันเอง รัฐบาลที่แล้วทำควยอะไรไว้
#มิตรสหฯ
สูตรสำเร็จของหนังอินดี้เมืองไทย
1. ถ้าพระเอกยังเรียนอยู่ ต้องเรียนเกี่ยวกับศิลปะนะ จะเป็นดนตรี วาดภาพ ถ่ายภาพ ก็ว่าไป จะมาเรียนเทคนิคการแพทย์ บริหารธุรกิจ หรือ สายอาชีพนี่ไม่ได้เด็ดขาด
2. ถ้ามีงานประจำ ก็ต้องทำงานด้านศิลปะนะ เป็นนักร้อง นักวาดภาพ ครีเอทีฟ สถาปนิก ฯลฯ ก็ว่าไป จะมาเป็นนายธนาคาร ทนายความ หรือ พนักงานธุรการประจำศาล ไม่ได้เด็ดขาด
3. ถ้าจะทำธุรกิจส่วนตัว ก็ต้องเปิดร้านกาแฟ ที่เชียงใหม่เท่านั้นเลยนะ ยิ่งถนนนิมมานฯ ได้ยิ่งดี และต้องเป็นร้านแบบฮิปๆ ชิคๆ คูลๆ ด้วยล่ะ ประเภทผนังปูนเปลือย มีจักรยานญี่ปุ่นมือสองสีพาสเทลแขวนไว้ด้วย ถึงจะเข้าคอนเซ็ปต์ ประเภทซื้อแฟรนไชส์ชาไข่มุกนี่หยุดเลย มันไม่ใช่อ่ะ!!
4. ถ้ายังไม่ได้ทำงาน จะมัวมาตระเวนสัมภาษณ์งาน นั่งดูเว็บไซต์หางานไม่ได้นะ ต้องเกาะแม่ที่ขายข้าวแกง ปิ้งหม่าล่าขาย หรือ ขายของชำกินไปวันๆ ไปเรื่อยๆ ก่อน อ้างว่ายังอยากค้นหาตัวเอง เดินตามความฝัน ให้แม่มันด่าเช้าด่าเย็นที่ไม่ลงมาช่วยทำงานดีแต่แบมือขอตังค์อยู่อย่างนั้น
5. เวลาน้อยใจที่แม่ด่า จะหนีไปเตะบอล เข้าฟิตเนสหรือว่ายน้ำไม่ได้นะ มันผิดคอนเซ็ปต์ ต้องปิดประตูห้องนอนเสียงดัง แล้วดีดกีต้าร์ร้องเพลงในห้องนอนรกๆ มีหนังสือคอร์ดเพลงวางระเกะระกะ หรือไม่ก็ออกจากบ้านขับเวสป้าขึ้นดอยไปสงบสติอารมณ์ ย้ำว่าต้องเป็นเวสป้าเท่านั้นนะ สี่ประตูโฟร์วีลเอย รถ SUV เอย ห้ามขับเด็ดขาด
6. ส่วนนางเอกก็ต้องขาวๆ หมวยๆ ผอมๆ ตัวเล็กๆนะ จะมาอวบๆ นมเป็นนม สะโพกเป็นสะโพกนี่ไม่ได้เด็ดขาดเลย และถ้าจะให้ครบสูตรยิ่งขึ้น ชื่อเล่นก็ต้องมี 2 พยางค์ด้วย
7. พระนางจะตกหลุมรักกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น อย่างเช่น ถอดเสื้อกันหนาวให้ใส่ ก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าให้ หรือ อุ้มตอนหกล้มขาแพลง เท่านั้นนะ ประเภทหอบดอกไม้ช่อโต หรือตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ๆมาให้ หรือพาไปเที่ยวเสม็ด 7 วัน 7 คืนนี่ไม่ได้กินหรอก อันนั้นมันบทบาทของพระรองเขา
8. ส่วนคู่ของเพื่อนพระเอกนางเอก จะต้องมีคู่ใดคู่หนึ่งที่แอบรักเพื่อนสนิทที่กัดกันเป็นประจำทุกครั้งที่เห็นหน้า แล้วจะสารภาพรักกันตรงๆ ซึ่งๆหน้าไม่ได้นะ ต้องไปบเดินขึ้นเขา ลุยป่า ฝ่าคลื่นทะเล เพื่อไปตะโกนบอกฟ้าว่ากูรักมึงนะ ในขณะที่อีกฝ่ายจะมารู้ความจริงจากการแอบเห็นสมุดโน้ต รูปถ่าย หรือของขวัญแฮนด์เมดที่แอบเตรียมไว้แต่ไม่กล้าให้ทีหลังด้วยความบังเอิญ
9. เพลงประกอบภาพยนตร์นี่ห้ามแต่งขึ้นใหม่นะ เอาเพลงเก่าที่เคยโด่งดังเมื่อหลายปีก่อนนั่นแหละมาใช้ ต้องคัฟเวอร์โดยนางเอกของเรื่องเป็นคนร้องเท่านั้น ส่วนร้องแล้วเสียงมันจะดีหรือไม่ดีก็ช่างแม่มมัน
10. ถ้ามีพี่เต๋อ หรือ พี่เป้ เสลอ มาเล่น ความอินดี้ของเรื่องจะเพิ่มขึ้นอีก 30% ทันที
#หนังอินดี้ #ภาพยนตร์ไทย #สูตรสำเร็จ
#ขับรถมาเกือบหกสิบกิโลในวันหยุดเพื่อมารู้สึกเสียความรู้สึกกับคนไม่มืออาชีพคนหนึ่ง
.
วันนี้นัดสัมภาษณ์แคนดิเดตคนหนึ่ง ตำแหน่ง Content & Social Media ที่เลือกเชิญคนนี้มาสัมภาษณ์เพราะสำนวนการเขียนแนะนำตัวในอีเมลดูเร้าใจมากๆ คิดว่าเด็กคนนี้น่าจะมีของแน่ๆ
.
วันที่ 3/6/62 โทรไปนัดวันสัมภาษณ์ แจ้งนัดไปวันที่ 8/6/62 เวลา 14:00 ปลายสายแจ้งว่า #รบกวนอีเมลมายืนยันวันสัมภาษณ์ด้วยนะคะ เราวางสายปุ๊บ ส่งอีเมลเลย
.
ก่อนวันสัมภาษณ์หนึ่งวัน อีเมลไป Remind วันสัมภาษณ์ เงียบ! ไม่มีการตอบกลับใดๆ
.
วันนี้ไปถึงออฟฟิศก่อนสัมภาษณ์นิดหน่อย โทรไปสอบถามว่าถึงไหนแล้ว ติดต่อไม่ได้เลย (ประมาณ 5 สาย)
.
เลยไปคุ้ย Resume เจอไลน์ เลยทักไลน์ไปสอบถามว่า วันนี้ที่นัดสัมภาษณ์บ่ายสอง สรุปจะเข้ามาไหมครับ
.
ปลายทาง read ตั้งแต่ 13:57 แต่ตอบไลน์กลับมา 17:00 ว่า สวัสดีค่ะ ต้องขออภัยที่ตอบกลับช้านะคะ คงไม่สะดวกไปสัมภาษณ์ค่ะ!
.
ตอนนั้นเซงละ ก็เลยพิมพ์ตอบกลับเพื่อทวนเหตุการณ์ให้เค้าพิจารณาว่า
.
เห็นตอนแรกคุณคอนเฟิร์มทางโทรศัพท์ว่าจะมาสัมภาษณ์วันนี้ และบอกให้ผมส่งอีเมลเพื่อยืนยันวันนัดสัมภาษณ์หลังจากวางสายโทรศัพท์คุณตั้งแต่วันที่ 3/6/62
.
ผมส่งอีเมลไป remind คุณอีกครั้งในวันที่ 7/6/62 ช่วงบ่าย แต่ไม่มีการตอบกลับใดๆ
.
ในกรณีที่คุณไม่สะดวกมา หรือขอเลื่อนคุณควรแจ้งผมล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วันนะครับ
.
เพราะวันนี้ผมมาแล้ว ผมขับรถจากรังสิตมา กทม เพื่อมาสัมภาษณ์คุณคนเดียว วันนี้ช่วงบ่ายผมโทรหาคุณ แต่ติดต่อคุณทางโทรศัพท์ไม่ได้ ผมเลยแอดไลน์มาถาม ถึงจะได้คำตอบว่าไม่สะดวกมา ซึ่งผมว่ามันไม่โอเคเลยครับ
.
ยังไงผมขอขอบคุณที่สนใจสมัครงานกับทางบริษัทของเรานะครับ
.
#แต่ที่พีคที่สุดมันอยู่ตรงนี้
.
เคนดิเดต ตอบกลับมาว่า
.
ขออภัยจริงๆค่ะ พอดีว่าติดภารกิจที่ ตจว เลยไม่ค่อยได้เช็คอีเมลเลยค่ะ ยังไงต้องขออภัยอีกครั้งค่ะ
.
#เดี๋ยววววววววววววววววว
แต่ใน cv หนูเขียนมาว่าหนูติดอินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนมากๆ เข้าไปดู facebook หนูตั้งสเตตัสถี่มากเลยนะ แต่บอกว่า #ไม่สะดวกเช็คอีเมลเพราะอยู่ต่างจังหวัด
.
นี่ยังไม่นับเรื่องที่ส่งอีเมลหว่านนะ ส่ง bcc หาเรา แต่ดันส่ง cc บริษัทอื่น....
.
เคสนี้แค่อยากจะบอกว่า resume และการแนะนำตัวที่แสนดูดี การโพสต์บนโซเชียลแต่สิ่งดีๆ ตั้งสเตตัสหล่อๆ คูลๆ ไม่ได้การันตีว่าคนๆ นั้นจะเป็นมืออาชีพจริงๆ
.
ไม่น่าเชื่อว่าเด็กคนนี้ใกล้ตัวด้วย มี mutual friends หลายสิบคน
.
สุดท้ายๆ เลยตัดสินใจรับอีกคนนึง ที่อาจจะเก่งน้อยกว่า แต่น่าปั้นกว่าเยอะ เพราะนิสัยพื้นฐานผ่าน เคมีน่าจะเข้ากับทีมมากกว่า
.
ขอให้น้องโชคดีนะครับ :)
สมเจียมเลือกวันกลับได้เหมาะมาก
9 มิถุนายน 2489 วันเสียงปืนแตก
#มิตรสหาฯ
ขอให้เข้าใจตรงกันนะคะ
ในการเลือกตั้งครั้งนี้หรือครั้งไหนก็ตาม ข้าพเจ้าไม่มีพรรคใดเป็นพรรคในดวงใจ
แต่ข้าพเจ้าไม่ยอม vote noและขอร้องพี่ฝ้ายไม่ให้vote no โดยบอกลูกว่า ให้เลือกพรรคที่ลูกชอบอย่างอิสระ แต่มีข้อคิดว่า อย่าเลือกเล่นเพื่อความสะใจ อย่าเลือกพรรคที่อย่างไรก็ไม่สามารถเข้าสภาได้ เพราะคะแนนจะเสียเปล่า
พรรคที่ลูกชอบ ถึงแม่จะเห็นว่าชั่วแค่ไหน ถ้าลูกพอใจ เลือกไปเลย เพราะมั่นใจว่า ลูกคงมีเหตุผลที่จะเลือก
ข้าพเจ้าเลือกพรรคใด ก็อย่ามาถาม เพราะเป็นสิทธิ์ส่วนตัว แม่อาจจะเลือกพรรคที่แม่ด่าอยู่ทุกวันก็ได้
แต่อยากให้เพื่อนๆทราบว่า กาลครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยเป็นตุลาการศาลทหาร
กาลครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยถวายคำสัตย์ต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เมื่อได้รับพระราชทานยศเป็นนายพล
กาลครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยกล่าวคำปฎิญาณต่อธงชัยเฉลิมพลเมื่อได้รับพระราชทานยศเป็นนายทหารครั้งแรก
คนอื่นอาจเห็นคำปฎิญาณเป็นเพียงลมปาก
หากข้าพเจ้าปฎิญาณด้วยหัวใจ
ข้าพเจ้าจึงขอซื่อสัตย์ต่อคำสาบานจนกว่าชีวิตจะหาไม่
สำหรับเหตุที่ข้าพเจ้าออกมาบ่นแรงๆทุกวันเรื่องคุณประยุทธ์ เรื่อง คสช. เรื่องทหารที่ลืมหน้าที่ เรื่องการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส เรื่องการใส่ร้ายป้ายสี
เกลียดที่สุดคือการเอาวลี"ล้มเจ้า" เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม
สำหรับคุณประยุทธ์ ข้าพเจ้าเคยรู้จักท่านมาตั้งแต่ท่านเป็น ผบ.พล.ร.2
เคยร่วมงานเกี่ยวกับการตรวจค้นทุ่นระเบิด
รองประธานวุฒิสภา พลเอกสิงห์ศึก สิงห์ไพร ท่านคงจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เมื่อท่านเป็นรองผู้การ คุณประยุทธ์เป็นผู้บังคับการ ร.21 รอ. อาหารม้าของท่านเสียหายเพราะหลังคาคลังอาหารรั่ว และอีกครั้งที่ม้าของ ร.21 รอ.ถูกหมาบ้าเข้ามากัดถึงในคอก
เป็นข้าพเจ้า และลูกน้องที่ไปดูแลรักษาและแก้ปัญหาให้
ทุกครั้งที่ใครพูดถึงคุณประยุทธ์ ข้าพเจ้ายืนยันทุกครั้งว่าคุณประยุทธ์เป็นคนดี
แม้ในวันนี้ ข้าพเจ้ายังยืนยันว่า โดยเนื้อแท้คุณประยุทธ์เป็นคนดี ข้อเสียมีแค่อารมณ์เสียง่าย พูดจากระโชกโฮกฮาก ปากไว และลืมสถานะตัวเองว่าวันนี้ท่านไม่ใช่ ผบ.ทบ.
หากเป็นนายกรัฐมนตรี และตอนนี้ก็เป็นนักการเมืองเต็มตัว
หากแต่นักการเมือง และบริวารสอพลอ รอบๆตัวทำให้คุณทำอะไรผิดๆขึ้นทุกวัน
ข้าพเจ้ามั่นใจว่า คุณประยุทธ์ไม่ได้เข้าใจทุกอย่างที่บรรดาที่ปรึกษาแนะนำให้ทำ ให้สั่งการ
คนแนะนำลอยตัว คนสั่งโดนด่าเสียผู้เสียคน
ถ้ามีใครที่หวังดีกับคุณประยุทธ์จริง ลองแนะให้ท่านทบทวนเสียหน่อยว่า
รัฐธรรมนูญนี้ เนื้อหาส่วนใหญ่มันเละเทะอย่างเขาว่ากันจริงไหม
กฎหมายประกอบการเลือกตั้งหมกเม็ดการเอาเปรียบพรรคอื่นๆใช่ไหม
องค์กรอิสระทั้งหลายที่ท่านตั้งขึ้น ขาดคุณธรรม ไม่มีความยุติธรรมในใจเลยจริงไหม ทำอย่างไรก็ได้ เพื่อสนองความอยากของคนกลุ่มเดียว จริงไหม
คุณประยุทธ์รักพี่รักน้องจนคุณธรรมบกพร่องหรือเปล่า
ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างสุจริตว่า ตัวคุณเองที่เคยเป็นนายทหารที่ดีมาตลอดชีวิตก็คงรู้สึกไม่สบายใจ ใช่ว่าจะมีความสุขเหมือนสมัยเป็นนายทหารเด็กๆ
หากท่านบังเอิญได้อ่านบทความนี้ อยากให้ท่านถามตัวเองว่า การได้เป็นนายกรัฐมนตรีรอบสอง โดยมีคนกลุ่มหนึ่งทั้งอุ้ม ทั้งผลัก ทั้งดันจนสำเร็จ
เขาทำเพื่อใครกันแน่
ที้ข้าพเจ้าเขียนมายาวมากนี้ อยากให้เพื่อนของข้าพเจ้า ซึ่งบางคนเป็นคนที่ข้าพเจ้ารักมาก บ่นน้อยใจที่ข้าพเจ้าอยู่คนละฝ่ายกับ "ทีมลุงตู่"
ข้าพเจ้าขอเรียนให้ทราบอย่างจริงใจว่า ถ้าไม่มีการทำทุกอย่าง อย่างสกปรกที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่ออ้างว่าต้องการให้คุณประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี
หากปล่อยให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริต
อย่างไรข้าพเจ้าก็เลือกคุณประยุทธ
เพราะนิสัยคนไทยนั้น "รักพวกพ้อง"
แต่ข้าพเจ้านั้น ความถูกต้องจะมาก่อนความรักพวกพ้องเสมอ
เฟสแกยังนิ่งๆ อยู่นะบาโฟอะ
อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !! อีช่อ ล้มเจ้า !!
พรรคอนาคตใหม่ ล้มเจ้า !! พรรคอนาคตใหม่ ล้มเจ้า !! พรรคอนาคตใหม่ ล้มเจ้า !!
คนเลือกพรรคอนาคตใหม่ คือพวกล้มเจ้า !! คนเลือกพรรคอนาคตใหม่ คือพวกล้มเจ้า !!
เหตุการณ์น้ำท่วมหนักๆถี่ๆบอกอะไรเราครับ
ผมเขียนเรื่อง Sinking Bangkok ได้อาทิตย์กว่าๆ กรุงเทพก็เจอน้ำท่วมหนัก
จำเลยที่สังคมพูดถึง คือขยะ คือฝนหนัก คืออุโมงค์ระบายน้ำ
ซึ่งใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดครับ
ปัญหาหลักคือกรุงเทพกำลังจม
ใช่ครับ เรากำลังจม จมเหมือนจาการ์ตาจม และอินโดก็พึ่งประกาศย้ายเมืองหลวงแล้ว เพราะ “เอาไม่อยู่”
เหตุหลักๆ
1. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น จาก climate change
2. ที่ผ่านมา เราโง่เขลามากที่ถมสร้างตึกสูงมากมาย บนพื้นดินที่เป็น “โคลน” น้ำหนักที่ถูกกดทับมากขึ้นทุกปี ทำให้ฐานเมืองแข็งๆด้านบนทีเสาเข็มเกาะอยู่ จมลงในโคลนด้านล่างมากขึ้นๆ
3. กรุงเทพมีพื้นที่สีเขียวน้อยมาก ทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาเทลงทะเลซะหมด โดยถนน ลานปูน พื้นปั้มน้ำมันที่เป็นปูน ตึก ซีเมนต์มากมายนั้นทำให้ “ดิน” ด้านล่างที่ควรจะมีความชื้นเพื่อให้ยืดหยุ่นเกิดการแห้ง ทรุด และร่อน
จำเลยคือใครครับ?
บนความคิดที่ว่า “ไม่รู้ไม่ผิด” แต่ “ถ้ารู้แต่ไม่ทำ นั่นคือผิด”
ผังเมือง และที่ปรึกษาผู้ว่า กทม. ตลอด 10 ปีนี่แหละครับ ที่ปรับผังเมืองกรุงเทพตอนในในมีสีแดงเข้มมากขึ้นๆจนเมืองร้อน รถติด และทรุดหนัก เพราะปล่อยให้กลุ่มทุนอสังหาเข้ามาแทรกแซงการคัดค้าน แทนที่จะเป็นแผน “กระจายออก” และสร้างหลุมขนมครก แนวพื้นที่สีเขียวตามแบบที่ท่านอดีตผู้ว่าพิจิตต รัตตกุล ท่านเคยฝากไว้
อีก 15 ปีข้างหน้า น้ำท่วมหนักจะเป็นปัญหาถาวร และหากไม่ทำอะไรภายใน 50 ปี กรุงเทพจะเป็นส่วนหนึ่งของชายทะเลอ่าวไทยครับ
#SinkingBangkok
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่ต้องกระแดะบอกว่าเศรษฐกิจดีนะคะ ถ้ายังไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการอะไร
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ปั่นเรื่องคุณช่อมากๆ เด็กมันไม่เลิกชอบพรรคส้มหรอก เลิกชอบอีกอย่างแทน--
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพื่อนโม่งคิดว่า พรรค อนค. จะมีโอกาสโดนยุบพรรค เพราะปิยบุตร กับ นังฉ้อ ล้มเจ้า บ้างมั้ย
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอาวุธ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ประเทศอื่นที่มีเจ้า เค้ามีเรื่องแบบนี้มั้ย
ประเทศไทยมีการใช้ 112 เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง
กูว่าเหมือนเจ้า ถูกดึงฟ้าลงต่ำ เพราะการตีความกฎหมายเหี้ยๆแบบนี้นี่แหละ
โดยเฉพาะศาลทหาร แบบมู้ล่าง นิติรัฐเหี้ยอะไร ไปหมดแล้ว
"เหมือนอยู่ในประเทศที่เค้าเป็น Stockholm Syndrome กันหมด แต่มึงไม่เป็น เค้าเลยว่ามึงป่วย"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่รู้ดิกุว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง มันไม่ใช่ยุคขันทีคุมฮ่องเต้วัยเยาว์
หรือโบสถ์ใหญ่กว่าบัลลังค์
เจ้าอยู่เบื้องหลังทุกอย่างนั่นล่ะ เหมือนที่ทักกี้อยู้เบื้องหลังทุกอย่างไง
ไม่มีเจ้าแล้วใครจะจ่ายเงินแจกไพ่
แกร๊!!! พี่ที่ Royalist มากๆ วันนี้นางบ่นกับชั้นเว่ย บอกว่า ที่เจ้าเสื่อมนี่ไม่ใช่เพราะใครหรอก เพราะพวกที่บอกว่ารักมากเทิดทูนมากนั่นแหละ
อื้อหือออออ ขนลุก ทุกทีพี่เค้าแบบเจ้านี่แตะไม่ได้เลยนะ
#มิตรฯ
เรียนรู้ จากความผิดพลาดของตัวเอง ที่มีต่อการใช้สื่อ
วันหนึ่ง แป้งเคยโพสเกี่ยวกับการเรียน Data Science ว่า แป้งอยากสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนป.โท มีการทดสอบ Pure Math (คนจบคณะวิทย์-วิศวะ จะเรียน Pure Math ไม่ได้หมายความว่าต้องเรียนสาขาคณิตศาสตร์เท่านั้น) ที่เป็นพื้นฐาน หรือมีคัดเลือกนักเรียนที่เคยเรียน Math มาก่อน ไม่อยากให้เน้นสอนการใช้เครื่องมือ เพราะสุดท้ายแล้วหากนักศึกษาเรียนจบออกไปทั้งๆ ที่มีพื้นฐานไม่เพียงพอ อาจจะเสี่ยงต่อการโดน Disrupt ได้
มีประโยคหนึ่ง ที่แป้งพิมเอาไว้ และคิดว่า หลายๆ คนตีความผิด คือ
"หากอยากเรียนจริงๆ โดยที่ไม่เคยเรียนวิชาเกี่ยวกับ Pure Math มาก่อน เช่น Logic, Calculus, Linear Algebra, Prop and Stat แป้งอยากแนะนำให้เรียนปริญญาตรีดีกว่า จะปูพื้นฐานได้มากกว่า หรือไม่ก็หา Class ที่สอน Pure Math ทางออนไลน์ดู อย่าพึ่งไปเน้นเรียนเขียนโปรแกรมเลยค่ะ"
ซึ่งก็ต้องบอกว่า การเรียนปริญญาตรีซ้ำ ในตปท. เป็นเรื่องปกติมาก แต่กลายเป็นว่า มีหลายคนเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นโจมตีแป้ง และกล่าวหาว่าแป้ง "เหยียดหยามคน"
ถามว่า แป้งพิมพ์บทความนั้นเพื่ออะไร? ก็เพื่อเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยมีความรับผิดชอบต่อหลักสูตร เพราะการลงทุนด้านการศึกษา มันเสียทั้งเงิน และเวลา หากเรียนจบออกไปแล้วพบว่าสิ่งที่เรียนไปนั้น มันไม่เป็นไปตามความคาดหวังของการทำงานจริง มันก็น่าเสียดาย
สิ่งที่แป้งทำ แป้งแค่คิดว่า จะเป็นการช่วยรักษาสิทธิ์ของผู้เรียน และรักษา Ecosystem ของการตลาดแรงงาน
แต่..... มันกลายเป็นว่า แป้งได้รับ Negative Feedback จำนวนมาก เพราะมีเพจต่างๆ เอาประโยคบางประโยคของแป้งไปขยี้ และมีการใส่คำบางคำเพื่อชี้นำในทางไม่ดี
ซึ่งหากวิเคราะห์ให้ตรงประเด็น เพจของแป้ง เป็นเพจ Personal Blog ที่ไม่มีเจตนาแผงใดๆ และไม่มีการ Keep Track จำนวน Follower ในขณะที่เพจอื่นๆ ที่วิจารณ์แป้งในทางเสียหาย เป็นเพจขายคอร์สออนไลน์ หรือขายคอร์สเรียน ก็อาจจะเป็นได้ว่า เจตนาของเพจไม่เหมือนกัน
วันนี้แป้งพิมเรื่องนี้ทำไม??
แป้งกำลังจะบอกว่า ผลกระทบที่แป้งได้รับ คือ
คนรอบข้างของแป้ง เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก รวมไปถึง บริษัทของแป้งด้วย มันทำให้แป้งไม่กล้าที่จะแนะนำการศึกษา หรือมีการกระทำใดๆ ที่เกี่ยวของกับการศึกษาอีกเลย
แป้งเคยนั่งคิดอยู่นาน ว่า เราทำอะไรผิด แล้ววันหนึ่ง มันก็ตกตะกอน วันที่แป้งเห็นพี่ตูนโดนด่า และเข้าใจโลกว่า ขนาดคนพิเศษพี่ตูนยังโดนด่า ยังโดนจิกกัด แล้วประสาอะไรกับคนธรรมดาแบบแป้ง
เมื่อปล่อยวางได้ ย้อนกลับมาดูที่ตัวเรา สิ่งที่เราสื่อสาร อาจจะผิดก็ได้ มันเลยทำให้คนตีความผิด ดังนั้น เราก็ต้องระวังคำพูด ระวังการกระทำของตัวเองด้วย เพราะโลกออนไลน์ มันน่ากลัวเหลือเกิน
เคยอ่านข่าวดารา แล้วก็พบว่า บางครั้ง สิ่งที่เราพูดออกไป อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่มันไม่ถูกใจ ในขณะที่ดาราบางคนที่สามารถทำทุกอย่างให้ถูกใจได้ ก็จะเป็นที่นิยมมากกว่า
แป้งก็เลยมองว่า เราทำตัวกลางๆ ดีกว่า ทำในสิ่งที่เราเชื่อ หากไม่ถูกใจก็ต้องขออภัย แต่จะระวังให้มากขึ้น
ความเป็นจริง สิ่งที่ง่ายที่สุด คือ การไม่ทำอะไรเลย เพราะถ้าไม่มี "กิริยา" ก็จะไม่มี "กรรม"
แต่ถ้าแป้งไม่ทำอะไรเลย ไม่โพสอะไรเลย ไม่ให้แชร์ความรู้เลย แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร
ดังนั้น แป้งจึงเรียนรู้ที่จะมี "สติ" ให้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะ "ระวัง" ให้มากขึ้น และเรียนรู้ที่จะ "ยอมรับ" ทั้งในส่วนที่ตัวเองผิด และโดนกระทำให้มากขึ้น
แป้งอยากจะขอโทษหลายๆ คน หากใครมองว่า แป้งไม่ใช่แบบอย่างที่ดี ส่วนตัวแป้งเองก็ไม่ได้อยากเป็นไอดอลหรือแบบอย่างให้ใครเลยจริงๆ
อีกส่วนหนึ่ง ก็อยากจะขอบคุณหลายๆ คนที่ติดตาม วัตถุประสงค์เดียวของแป้ง คือ การแชร์ประสบการณ์ และหากหลายๆ อย่างที่แป้งแชร์ มันมีประโยชน์ต่อใครสักคน แค่นั้นแป้งก็ดีใจแล้วจริงๆ ค่ะ
ปล. หากสังเกตดีๆ แป้งจะเน้นพิมพ์ตัวอักษรมากกว่า และก็ไม่ค่อยลงรูปตัวเอง เพราะแป้งอยากให้คนติดตามเรื่องราวมากกว่าที่จะติดตามภาพลักษณ์ภายนอกของแป้ง เพราะแป้งก็เป็นเพียงคนหนึ่งที่มีการทำถูก และทำผิด เป็นคนธรรมดาไม่ได้มีอะไรพิเศษเหนือกว่าใครเลยค่ะ
>>844 มีด้วยหรอวะตรีซ้ำหลายใบเป็นเรื่องปกติเนี่ย ถ้าโทหลายใบมันอีกเรื่องนะ เจ๋ไปอยู่ดาวไหนมาวะ กูอยู่แสกนดิเนเวีย เรียนฟรีตลอดชีพยังไม่มีใครบ้าจี้เรียนตรีซ้ำหลายใบเลย อีกอย่างโทมันมีไว้เรียนเอา professional skills โว้ย ไม่ทราบว่าเข้าใจอะไรผิดกะชีวิตอยู่รึเปล่า ถ้าจะเรียนเอาแบบรู้ pure math เข้าใจอัลกอกะสมการทั้งยวงเขาต่อเอก data science กันละโว้ย ที่เรียนโทนี้จุดประสงค์คือเอาสกิลไปประยุกต์ใช้หรือบริษัทให้มาเรียนทั้งนั้น
>>845 ตอแหลว่าอยู่แสกนฯรึเปล่ามึงอ่ะ หัดรู้ใส่กบาลด้วยนะว่ามหาลัยในยุโรปมันจะรับคนเอเชีย ป.ตรีคนนึงออกจะวุ่นวายกับการปรับเทียบวุฒิจากมหาลัยในเอเชียมาก เพราะค่าหน่วยกิตกับการจัดเกรดมันต่างกันต่างหากหล่ะ แถมสไตล์การเรียนก็คนละเรื่องเลย ไปทำงานไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหามันมาตอนต่อ ป.โท นี่แหละ ส่วนฟรีตลอดชีพในแสกนฯไม่มีให้กับกะเหรี่ยงแล้วโว้ย
>>846 มึงอ่านไทยออกใช่ไหม กูยังไม่ได้บอกตรงไหนเลยว่าฟรีตลอดชีพสำหรับต่างชาติ กูหมาถึงคนที่เป็น citizens ประเทศนั้นๆ แล้วอีกอย่างนะปรับเกรดไทยตอนป ตรีเป็น ECTS เพื่อไป apply แม่งโคตรง่าย เว้นแต่ว่ามหาลัยไทยมึงกากจัดจนไม่มีเอกสารทางการภาษาอังกฤษที่จะส่งไปให้ U ที่มึง apply ไปเทียบ ตอนกู apply ไปกูแค่เอาเอกสารทางการเกี่ยวกับเกรดแนบไปด้วยก็ไม่มีปัญหาห่าไรละ
>>846 ปรับไม่ได้ยากเลยนะ เรื่องเกรดอ่ะ อย่างของไทยจะมีพวก 4, 3.5, 3, 2.5, 2 ส่วนแถวสแกน บางประเทศ จะเป็น 5, 4, 3, 2 ก็ปรับไปตามก็แค่นั้น ถ้าเรื่องวิชาที่เรียน ถ้าวิชาไหนที่ขาดแล้วหลักสูตรตั้งเป็น Requirement ก็ส่งเอกสารพวก Syllabus ของ Course ที่เคยเรียนแล้วดูว่าใกล้เคียงไปแล้วให้ Prof ที่นู่น Approve ก็พอได้ ไทยเราเหมือนป ตรี มันเป็นที่ของเด็กรุ่นเดียวกัน ต่างหลายๆรุ่นนี่ก็แปลกประหลาดละ
ในแง่ประวัติศาสตร์จากปี 2475 มาจนถึงปี 2562 กินเวลาไปราวๆ 87 ปี
ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายนิยมเจ้าจาก 2475 ถึง 2500 กินเวลาราวๆ 25 ปี ระยะนี้ฝ่ายนิยมเจ้าถูกทำลาย ถูกลดอำนาจ ถูกลดทอนคุณค่าทางการเมืองแบบที่คนรุ่นนี้นึกไม่ออก
ปี 2500 กองทัพเริ่มใช้สถาบันฯเป็นเครื่องมือต่อต้านคอมมิวนิสต์โดยคำแนะนำจากสหรัฐฯ สถาบันกษัตริย์ฟื้นฟูอำนาจตัวเองนับตั้งแต่วันนั้น โดยความช่วยเหลือของกองทัพและซีไอเอ (เรื่องนี้อ่านจาก วพ ของ ณัฐพล ใจจริง ได้เลย)
14 ตุลาฯ สถาบันฯมีบทบาทในการสร้างความนิยมมากขึ้นในหมู่หนุ่มสาว
6 ตุลาฯ หนุ่มสาวถูกทำลายอย่างรุนแรงโดยส่วนหนึ่งเกิดจากการปลุกระดมของคนรักเจ้า
ยุครัฐบาลเปรม เปรมใช้สถาบันฯเป็นเครื่องมือดำรงอำนาจของตัวเองชัดเจน และสถาบันเองก็ยินดีในแนวทางนี้ ไม่ขัดข้องอะไร สุดท้ายเปรมก็ได้มาเป็นประธานองคมนตรีหลังจากหมดวาระรัฐบาล
พฤษภา 35 สถาบันมีบทบาทอย่างสูงในการเข้ายุติความขัดแย้งบนถนน ได้รับความนิยมจากชนชั้นกลางมากมาย
ทักษิณ กลายเป็นศัตรูสำคัญของสถาบันฯ เพราะไทยรักไทยได้รับความนิยมจากประชาชนแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน และมาจากการเลือกตั้ง ทำให้เบียดกับความนิยมของสถาบันฯ
หนังสือพระราชอำนาจของประมวลและปฎิกิริยาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ ทำให้ตอกย้ำเรื่องบทบาทของสถาบันฯกษัตริย์ในทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชอำนาจของในหลวงรัชกาลที่ 9
จากนั้นการต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายขวาจารีตยึดโยงกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดโดยมีชนชั้นกลาง กทม ฝ่ายอุดมการณ์จารีตเป็นหัวหอกสำคัญในแง่มวลชน และมีพรรคการเมือง กองทัพ ข้าราชการ กลไกรัฐ เป็นแนวร่วมทางการเมืองมาจนถึงปี 2562
------------
จะเห็นว่า 87 ปีที่ผ่านมาสถาบันกษัตริย์เจอคู่ขัดแย้งมาตลอด บางยุคก็ตกต่ำอย่างมาก มีช่วงฟื้นตัว มีช่วงสะสมอำนาจทางการเมือง เจอความขัดแย้ง และก็มาเจอคู่ขัดแย้งใหม่ในสถานการณ์ใหม่
ระยะเวลาตรงนี้กินความยาวประมาณ 1 ชั่วอายุคน แค่ชั่วอายุคนเราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆของสถาบันกษัตริย์เยอะแยะมากมายให้ศึกษาค้นคว้า
การที่สถาบันฯอยู่มาถึงจุดนี้ได้นั่นเป็นเพราะการรู้จักปรับตัว มีความอดทน เข้าใจในสถานการณ์ของตนเอง ถอดบทเรียนการต่อสู้ทางการเมือง และหาทาง "ปกปักรักษาตนเอง" โดยใช้ปีกของรัฐและปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วยเหลือได้
เราจะเรียนรู้อะไรจากการคลี่คลายตัวทางประวัติศาสตร์พวกนี้ได้บ้าง ?
>>850 ไม่มีทางที่ จัสติน กับ ปังปอนด์ จะทำให้สถาบันกลับมาเรืองอำนาจ อีกครั้งนะ
มองว่าภาพลักษณ์ของจัสติน ยังไงก็ไม่มีทาง Propaganda ผู้คนได้เลย ไม่มีทางจะ ซซ ทพจร ได้มากเหมือนเดิม
มันก็มองที่ตัวบุคคลอยู่ดีเปล่าวะ เพราะ 905 คนก็รักท่านมาก 903 นี่มองว่าคนก็ชอบท่านเยอะอยู่ แต่จัสตินนี่ ไม่แน่ๆ
“สำหรับใครที่ก่อนหน้านี้บ่นๆ #ร่างกายต้องการเเก๊สน้ำตา เเนะนำให้ซื้อตั๋วไปฮ่องกงก่อนเลยค่ะ ของไทยดูยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ อยู่กับสภาพสิ้นหวังต่อไป”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จุดที่น่าสนใจคือ startup ที่ประสบความสำเร็จมากๆในพอร์ตของ VC ท่านนี้
.
มีจุดร่วมอย่างนึงคือ บ้านรวย!
.
ผมถามว่าทำไม? เค้าตอบว่า เพราะเด็กบ้านรวยที่เก่ง มี passion จะมีแต้มต่อ
.
ตรงที่สามารถล้มได้ แล้วยังมีตังเหลือ แล้วลุกมาทำอันใหม่ได้
Do people actually realise that Marco used Stock Pots for years in his home cooking? Knorr actually heard he liked using them, and suggested he officially endorsed them?
When Marco says he prefers to season his steak with a stock cube, over salt and pepper, he isn't lying.... he genuinely likes it that way..... (because it tastes delicious) he also likes using L&P sauce.... is that wrong as well? Should he be making his own from scratch?
C'mon guys, this is home cooking.... made to taste..... in other words... Marco thinks this tastes good (and his palette is probably a damn-site better than yours), so he is just showing you how to make stuff that tastes pretty good, and is simple enough to do at home.
Marco left the 'fine-dining' world, because of people like you (people looking down on stock cubes), that know less about cooking and flavour than Marco.... yet dictating to Marco, what kinds of dishes win awards, and are acceptable in a restaurant. Marco wasn't interested in that BS, sticking to rigid recipes that can't be deviated from.... he was more interested in trying different things and cooking food that he enjoys and food that has taste/flavour as the highest priority.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เนี่ยๆ เดี๋ยวนี้พวกโชว์โป๊ๆใน Twitter ในแอฟเกย์ เหลือแต่แบบเนี้ย
เมื่อก่อนมีพวกหล่อๆ หุ่นดีๆ กล้ามสวยๆโชว์เยอะมาก แต่เดี๋ยวนี้หายหมด เพราะพวกกะเทยชอบหลังไมค์ไปขอเย็ดกับเขา พอเขาปฏิเสธ แม่งก็แค้น เลยแกล้งรีพอร์ตให้ Twitter เค้าโดนปิด พอเขาเปิดใหม่ แม่งก็ตามไปรีพอร์ตต่อ จนเขาท้อ
แถมบางทีแม่งไปสืบด้วย ว่าคนนี้ทำงานอะไร บ้านอยู่ไหน แล้วแฉเขา ไปฟ้องบริษัทเขา ไปฟ้องพ่อแม่เขา จนเขาต้องเลิกเล่น Twitter เลิกเล่นแอฟเกย์ ไฟแค้นกะเทยแม่งน่ากลัวมาก
ก็เลยเหลือแต่พวกแบบในภาพนี้แหละ เพราะพวกนี้ไม่ค่อยมีกะเทยไปขอเย็ดด้วย เลยไม่เกิดการสร้างศัตรู แถมไม่กลัวโดนแฉ เพราะไม่มีอะไรต้องแฉ ชีวิตไม่มีอะไรจะเสีย ไม่แคร์โลกอยู่แล้ว
แต่ความซวยมันตกมาที่คนทั่วไป ที่เขาอยากดูคนหล่อๆหุ่นดีๆกล้ามเป็นมัดๆ แต่เขาต้องอดดู เพราะไม่เหลือให้เขาได้ดู
>>854 ฝรั่งช็อคใช้ก้อนซุปทำอาหาร ภาพตัดมาที่ลิงเหลืองอย่างเราๆ ใช้บ่อยจนบริษัทแม่งทำแบบผงมาขายให้โดยเฉพาะ
>>856 ผงชูรสไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ไปมากกว่าเกลือว่ะ คนที่บอกว่าแพ้ผงชูรสนี้อุปาทานไปเองทั้งนั้น
กูเห็นพวกที่บอกว่าแพ้ผงๆ แดกมะเขือเทศ เห็ด องุ่น ชีสได้สบายไม่มีชาปากกันทุกคน ทั้งๆที่อาหารพวกนี้มีMSGอยู่แล้วตามธรรมชาติเป็นปริมาณสูง เดี๋ยวกูตบปากให้ชาแบบแมนวลเลย
ไหนๆก็ไหนๆละ อธิบายเลยละกันว่าการกลัวMSGมาจากไหน
มันมาจากอเมริกาในยุคสงครามเย็น ตอนนั้นในเมกามีXenophobiaกับคนจีนมากเพราะบรรยากาศการเมืองในตอนนั้นคือAnti-communism แล้วทีนี้พอฝรั่งไปกินร้านอาหารจีนแล้วเกิดอาหารวิงเวียน,ปวดหัว,ปากชา แทนที่จะหาสาเหตว่ามาจากไม่คุ้นเคยกับวัตถุดิบ รึเพราะมันไม่สด รึมาจากอาการเจ็บป่วยอื่น ดันคิดไปว่าเป็นเพราะไอ้เจ๊กใช้MSGชัวร์ จนความเชื่อเรื่องMSGว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายแพร่หลายในโลกตะวันตก จนสิบๆปีต่อมาก็ข้ามโลกมาที่เอเชียจนเอเชียนเชื่อตาม
ทีMSGละกลัว แต่พอเชฟยุ่นโอมาคาเซะรู้แกวว่าพวกควายนี่ขี้ตื่น เปลี่ยนวิธีเรียกว่ารสชาติอูมามิซะเลย แม่งเฮโลกันไปชาบูอูร่าทั้งๆที่มันก็รสเดียวกัน
มานี่ๆ ฉันจะเล่าให้ฟัง ว่าทำไมไทยแลนด์ถึงมีพิธีไหว้ครู
คืองี้ ย้อนไปเป็นร้อยปี สมัยก่อนเมืองไทยไม่มีโรงเรียน เวลาคนอยากได้ความรู้เรื่องอะไร ก็จะไปขอให้คนที่มีความรู้เรื่องนั้นๆช่วยสอน ซึ่งมันก็จะเป็นความรู้เฉพาะทาง เช่น สอนทอผ้า สอนฟันดาบ สอนรำ สอนปั้นหม้อ สอนวาดรูป
ทีนี้ คนที่สอนเนี่ย มันก็ไม่ได้มีอาชีพเป็นครูไง ดังนั้น เวลาคนมาขอให้สอนเนี่ย มันเลยกลายเป็นการไปรบกวนเขาไง "อีเหี้ย กูจะทำมาหาแดก เสือกมาให้กูเสียเวลาสอนมึง แถมพอมึงได้วิชาจากกูไป มึงก็ทำแข่งกับกูอีก" แถมบางราย ยังต้องไปกินอยู่หลับนอนที่บ้านคนสอนอีก เดือดร้อนเกะกะกันไปหมด
มันก็เลยต้องมีพิธีไหว้ครู เพื่อขอบคุณและขอขมาที่สาระแนไปสร้างความเดือดร้อนให้เขา ทั้งๆที่เขาอยู่ของเขาดีๆ
แต่ปัจจุบัน มันมีโรงเรียน มีอาชีพครูแล้ว คนมาเป็นครูเพื่อเอาเงินค่าเทอมจากนักเรียนมาเลี้ยงชีพ ไม่ได้สอนฟรี กลายเป็นครูมีชีวิตอยู่รอดได้เพราะเงินนักเรียน
ดังนั้น ปัจจุบันครูจึงไม่ใช่ผู้มีพระคุณล้นเหลือแบบเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่เป็นการ "พึ่งพาอาศัยกันและกัน" ครูต้องพึ่งเงินนักเรียน ส่วนนักเรียนก็ต้องพึ่งครู
ฉะนั้น ครูไม่ควรเบ่งกร่างใส่นักเรียน ทำตัวเป็นเทวดาสูงส่ง ให้เด็กมากราบตีน และนักเรียนก็ไม่ควรทำเหี้ยๆใส่ครู ควรอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันจ้ะ จบ
เมื่อสื่อต่างประเทศวิจารณ์ลุง
- ถ้าเป็นสื่อจาก EU : ไอ้พวกล่าอาณานิคม กอบโกยทรัพยากรไปแล้วทิ้งปัญหาให้ชาติอื่น
- ถ้าเป็นสืิ่อจากอเมริกา : ไอ้พวกประชาธิปไตยจอมปลอม หาโอกาสไปปล้นทรัพยากรชาติอื่น
- ถ้าเป็นสื่อจากญี่ปุ่น : ไอ้ลิ่วล้อ ไอ้เบ๊อเมริกา เจ้านายทำยังไงลูกน้องก็พยักหน้าตาม
- ถ้่าเป็นสื่อจากตะวันออกกลาง : ไอ้ประเทศมุสลิมอย่างพวกเอ็งสิทธิมนุษยชนดีตายละถึงเที่ยวไปวิจารณ์ชาติอื่น
- ถ้าเป็นสื่อจากเมืองจีน : ไอ้ประเทศคอมมิวนิสต์ สิทธิมนุษยชนมึงแย่กว่ากูอีกแล้วยังมาสอดประเทศอื่น
- ถ้าเป็นสื่อจากอาเซียน : ไอ้พวกไร้มารยาททางการทูต รู้ไหมว่าอาเซียนเขาไม่ยุ่งเรื่องภายในกันและกันโว้ย
#มิตรสหายขนมหวานท่านหนึ่ง
ถ้ากล้าบอกว่าตัวเองชนะเลือกตั้ง คนไทยเลือกมา ก็ทำตัวให้มันดูเป็นผู้นำในระบอบประชาธิปไตยหน่อยดิ นี่แม่งยังทำตัวแบบเผด็จการอยู่เลย
ผมรำคาญมากเวลาได้ยินคนบอกว่าประชาธิปัตย์แกล้งทะเลาะกันเพื่อจัดฉาก คนแบบนี้ไม่รู้อย่างที่ไอติมกับผมรู้ ปชป.อาจไม่ดีหมด แต่เรื่องไม่เอาประยุทธ์เป็นเรื่องจริงและใช้เวลานานมากกว่าจะมีตอนจบแบบนี้ครับ
#มิตรสหายฯ
>>864 กูว่าจัดฉาก 70:30 แม่งทำแบบนี้มานานแล้ว นี่ไอ้อนุทินก็กำลังจัดฉากเหมือนกัน แกล้งด่าไอ้ณัฐพลพปชร เหมือนแบบผิดหวังไม่ได้กระทรวงที่ตกลงไว้ คนออกมาด่ามันก็ได้โอกาสโพสเล่นด้วยทำตลกจนคนนึกว่าเฟรนลี่ แก้ภาพลักตอแหลได้ ไม่กี่วันก็ออกข่าวอนุทินได้กระทรวงต่างๆครบตามตกลงกัน
"อยากประสบความสำเร็จหรอ ... ก็เกิดมารวยสิ !"
.
เป็น Study ที่สนุกดี เมื่อนักวิจัยจาก Georgetown ศึกษาคนที่ประสบความสำเร็จแล้วได้ข้อสังเกตมาว่า "คนที่เก่งมากแต่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนขาดโอกาส ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จสู้คนที่ไม่ได้เก่งอะไรแต่เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยได้"
.
พูดง่าย ๆ คนจะประสบความสำเร็จรึเปล่ามันถูกกำหนดตั้งแค่เกิดแล้ว
.
อย่างไรก็ตาม ก็จะมีคนที่เกิดมาขาดโอกาสแต่ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน แต่ต้องพึ่งอะไรหลายอย่างหน่อย หนึ่งในนั่นคือ "โชค" (ลอง Google หาเปเปอร์ชื่อ Talent vs Luck ดู อันนั้นก็สนุก)
.
ถึงบริบทนี้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเมกา แต่ช่วงที่ผ่านมาเราก็แอบศึกษาอะไรแบบนี้มาเหมือนกัน แล้วก็พบเหมือนกันว่ามันเป็นกันทั้งโลก ... สุดท้ายคนที่ประสบความสำเร็จนี่ 90% คือ ไม่ครอบครัวรวยมาก่อนแล้วก็เกิดมาหน้าตาดีทั้งนั้น มีแค่ 10% ที่เกิดมายากจนไม่มีต้นทุนในชีวิตอะไรเลย แล้วค่อยไต่มาสู่ความยิ่งใหญ่ได้ (หนึ่งในนั้นคือ Jack Ma)
.
สวัสดีทุนนิยม
.
เลยเตือนไปหลาย ๆ คนที่กระตือรือร้นอยากประสบความสำเร็จตามคนโน้นคนนี้ว่า "ได้ศึกษาความต่างของพื้นฐานและต้นทุนชีวิตแล้วหรือยัง"
.
เค้าล้มสิบครั้งยังไม่เจ็บ เราล้มครั้งเดียวอาจจะได้ไปนอนข้างถนนเลยนะ
.
ที่น่ากลัวอีกอย่างก็คือมักมีบางคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็ให้คำแนะนำคนอื่นว่าต้องทำโน่นทำนี่โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนชีวิตของแต่ละคนอีก ถ้าเชื่อไปนี่อันตรายสุด ๆ
.
คำแนะนำเราหรอ ... ถ้าอยากประสบความสำเร็จใหญ่ ๆ ... ตั้งตัวให้ได้ก่อน Cash Flow ให้ Positive ก่อน เก็บเงินและใช้เงินให้เป็นก่อน แล้วอะไร ๆ จะตามมาเอง =)
.
"ถ้าอยากรวยก็ต้องรวยก่อนนะ"
.
ไปอ่านเล่นกันได้ที่ https://www.cnbc.com/2019/05/29/study-to-succeed-in-america-its-better-to-be-born-rich-than-smart.html
เหตุเกิดเมื่อวันที่7เดือนมิ.ย.62
ได้มีขโมยขึ้นบ้านตอนประมาณ5ทุ่ม ได้ขโมยทองคำรูปพรรณไปได้6กว่าบาท นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขโมย ได้โทรไปแจ้งความ ตอนเช้าวันเสาร์ที่8 มิ.ยน 62 ที่ สน.แห่งหนึ่ง ได้การตอบรับมาว่าวันเสาร์ทำงานแค่ครึ่งวัน แล้วก็เงียบไป จึงให้คนที่รู้จักประสานไปอีกครั้ง วันที่9 มิ.ย.ได้มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบและพิมพ์ลายนิ้วมือ ตอนบ่าย3โมงกว่าๆ
ผ่านไป1อาทิตย์
วันศุกร์ที่14ได้มีเจ้าหน้าที่โทรมาบอกว่าประมาณ2ทุ่ม ขโมยจะเอาทองมาคืนให้ตำรวจแต่จะคืนไม่ครบนะขาดไปบางส่วน พอ2ทุ่มตำรวจได้โทรมาหาบอกว่าได้ทองมาแล้วขาดอยู่ 2เส้นกับแหวน1วง
ตอนเช้าวันที่15มิ.ย. ได้เข้าไปเอาทองกับตำรวจ แม่พยายามถามว่าแล้วส่วนที่เหลือละจะตามได้ไหม ได้คำตอบกับมาว่า มันจะผิดจรรยาบรรณนะสิ่เพราะได้รับปากเขาไว้แล้วว่าเอาทองมาคืนจะไม่จับ??? #คืนไม่ครบ #จับไม่ได้เดี๋ยวจะผิดจรรยาบรรณ #จรรรยาบรรณของตำรวจกับโจร
ลักทรัพย์ในยามวิกาลเป็นคดีอาญา #โจรเอาทองมาคืนตำรวจ #ตำรวจไม่จับโจร #ขอความเป็นธรรม
อยากให้จับคนทำผิดมารับโทษเพราะที่บ้านหวาดกลัวระแวง กินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวโจรจะกลับมาอีก ครั้งนี้เป็นครั้งที่2ที่ขโมยขึ้นบ้าน ครั้งแรกมีเงิน5หมื่นบาท โจรขโมยไปแค่1หมื่น1พัน คิดว่าคนใกล้ตัวเลยไม่ได้ไปแจ้งความ #ขอบคุณตำรวจที่สามารถนำทองมาคืนให้ได้ #แต่ของยังไม่ครบ
#คนผิดยังไม่ได้รับโทษ
เมื่อ Facebook ออก crypto-currency วงการการเงินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เราสามารโอนเงินไปให้เพื่อนที่ไหนก็ได้ในโลกใบเล็กแห่งนี้ ซื้อขายของ สินทรัพย์ดิจิทัลได้ทั้งหมด ไม่ต้องพึ่งธนาคารท้องถิ่นอีกต้องไป ปรับตัวตามกันให้ทันน่ะครับทุกธุรกิจ
ในการทำงานมีคำไม่กี่คำ ที่ผมนึกถึงตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร..
1 คำแรกที่โผล่มาในหัวเสมอคือ efficiency หรือประสิทธิภาพ จะทำอะไรก็ตามนึกถึงเสมอว่า เราทำอย่างมีประสิทธิภาพมั้ย..??
2 mutual benefit หรือผลประโยชน์ร่วม คำนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเราทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น องค์กรอื่นๆ คำที่ตามมาด้วย คือ win-win คือชนะทั้งคู่ หรือชนะด้วยกัน
ระวังอย่าไปเจอคนที่พูด win-win แต่หมายความว่า ฉันชนะ2ทีนะจ้ะ..
3 meet objective..หรือบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ ซึ่งต้องรู้ก่อนว่า จะทำเรื่องอะไรนั้น วัตถุประสงค์ มันคืออะไร เราจะไปถึงได้หรือไม่ และจะไปถึงอย่างไร..??
4 side effect ทำอะไรก็แล้วแต่ มันจะเกิดผลข้างเคียงตามมาเสมอ ต้องระวังให้ดีว่า ทำเรื่องที่อยากทำแล้ว จะเกิดเรื่องอะไรตามมา โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดี ที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น
5 long term benefit สิ่งที่จะทำนั้น ก่อให้เกิดผลประโยชน์ระยะยาวหรือไม่..?? บางเรื่องทำไป ดีระยะสั้น แต่สร้างผลลบในระยะยาว
6 resource เรามีเพียงพอที่จะทำหรือไม่..??
Resource หลักๆสำหรับผมคือ เงิน คน และวิธีการ หรือ process ที่จะทำ เรามีหรือเตรียมไว้แล้วหรือยัง..?? ถ้ายังไม่มีresource ที่เพียงพอในการทำเรื่องนั้น ทำไปก็มีโอกาสล้มเหลวสูงอยู่ดี ไม่ว่าเรื่องนั้นจะน่าทำเพียงใด
7 law and regulation ทำในสิ่งที่ถูกกฎหมายเท่านั้น ไม่เช่นนั้น ปัญหาตามมาอีกบาน..
เบาะๆเอาแค่นี้ก่อนครับ
คนที่ชอบบอกเห็นน้องเป็นลูกเป็นหลาน ห้ามโม่ย หึหึ
ถ้าน้องเป็นแฟนกับมึงเอามั้ย เอา
ถ้าน้องให้เอาเอามั้ย กูว่าไม่ ไม่เหลือ
มันเป็นเรื่องธรรมชาติเว้ย หึหึ
เข้ามหาลัยแล้วสิ่งที่ culture shock อย่างนึง คือเราก็คุกเข่าเวลาเข้าไปคุยกับอาจารย์ แต่ทุกคนคือให้เรานั่งเสมอกันตลอด 15 ปีในระบบการศึกษาไทย มันหล่อหลอมเรามาแบบนั้นจริงๆด้วย
ใครไม่รักพ่อก็ออกจากบ้านพ่อเราไป ออกไปแล้วตามพ่อกลับมาด้วย
#มิฯ
ที่ทหารชอบคิดว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง ท่อน้ำเลี้ยง บลาๆ ผมคิดว่าเพราะแม่งน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เค้าสอน/ใช้กันมาเอง จนคิดว่าคนอื่นก็ต้องแบบนี้เหมือนกันแน่ๆเลย
ทีนี้ก็มาคิดว่ามีใครอยู่เบื้องหลังทหารและทหารอยู่เบื้องหลังใครบ้าง ohhh shieeet
Mind set เหมือนหลุดมาจากยุคสงครามเย็น ทั้งๆที่เดี๋ยวนี้เคสโลนวูฟก็เยอะแยะ
"ขบวนการทำลายรากเหง้าของไทยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโลก (World Revolution) เพื่อทำไปสู่รัฐบาลโลก (One World Government)
จุดมุ่งหมายคือการล้มล้างระบอบกษัตริย์ วัฒนธรรมจารีตประเพณี ศาสนา ความเป็นชาติ ความเชื่อ หรืออุดมการณ์หลักของประเทศ
เมื่อทำลายโครงสร้างที่เป็นรากเหง้าของประเทศได้ ก็สามารถครอบงำยึดครองทรัพยากรของไทยได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง หรือไม่ต้องทำสงคราม เนื่องจากมีคนไทยที่ขายชาติคอยให้ความร่วมมือ
วิธีการทำคือเสี้ยมให้คนไทยแตกแยก ให้ออกจากวิถีเดิม ให้ทำลายโครงสร้างเดิมของประเทศ และคอยดูแลระบบ หรือความเชื่อใหม่ที่ค่อยๆเอาเข้ามาใช้ในประเทศโดยฝีมือของหน่วยงานรัฐและเอกชน
พวกที่ทำลายประเทศโดยรู้ตัว ไม่รู้ตัว หลงผิด โลภ เงิน อิจฉา ริษยา อยากมีอำนาจ หรือเพราะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เป็นเพียงหมากของขบวนการปฏิวัติโลกที่มีศูนย์กลางในยุโรป
หลังจากทำหน้าที่ทำลายประเทศไทยได้แล้ว หมากจะได้เงินทอง ได้อำนาจ ได้การยอมรับในสังคมโลก ได้รับรางวัลนานาชาติ แต่หมากอาจจะถูกกำจัดไปเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อหมดประโยชน์ หรือต้องถูกเอาไปแลกกับประโยชน์
การปฏิวัติฝรั่งเศส (1789) ปฏิวัติรัสเซีย (1917) ปฏิวัติจีน (1911-1912) ปฏิวัติสยาม (1932) และการปฏิวัติในประเทศต่างๆตั้งแต่ปลายศตวรรตที่ 18เป็นต้นมาล้วนแล้วแต่มีต้นตอมาจากแหล่งเดียวกันของการปฏิวัติโลก
แกนนำนักปฏิวัติที่ล้มล้างประเทศตัวเองล้วนแล้วแต่เป็นเบี้ย หรือหมากของผู้คุม (controllers) ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง
ทุกครั้งเมื่อมีการปฏิวัติ จะเกิดการปล้นทอง ปล้นทรัพย์สมบัติของชาติ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่สับสน เกิดความชุลมุนวุ่นวายฝุ่นตลบ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร
หลังจากทำงานเสร็จแล้ว พวกนักปฎิวัติจะถูกเก็บ บางคนที่ใช้งานได้ผู้คุม (controllers)ก็ให้อยู่ในอำนาจต่อ เพื่อดูแลการวางระบบโครงสร้างใหม่เพื่อให้ขบวนการปฏิวัติโลกสามารถครอบงำประเทศนั้นได้ ไม่ว่าจะเรื่องธนาคารกลาง การเปิดเสรีการค้า&การเงิน ระบบภาษี การรับเอาเงินตราของมหาอำนาจเป็นเงินสกุลหลักของโลก การสร้างสถาบันต่างๆขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับระบบของพวกผู้คุมที่เวางเอาไว้
บางคร้ังมันก็เป็นความจริงที่ว่า ปากกาคมกว่าอาวุธ
ในการทำลายรากเหง้าของไทย พวกนักปฏิวัติจะเอาแนวปรัชญามนุษยนิยมทางโลก (Secular Humanism)เข้ามา มนุษย์นิยมจะน้อมรับเหตุผลของมนุษย์ จริยธรรมและธรรมชาตินิยม เพื่อเป็นพื้นฐานของคุณธรรมและการปฏิบัติตน โดยจะปฏิเสธความเชื่อทางศาสนา อภินิหาร วิทยาศาสตร์เทียม และความเชื่อโชคลาง หรือแนวความคิดประเพณีเดิม
การที่จะวางหลักของมนุษยนิยมในสังคมไทยได้ก็ต้องทำลายระบบการศึกษาที่เน้นหน้าที่พลเมือง&ศีลธรรมเดิมทีครูไทยในอดีตและพระกับวัดมีบทบาทสูงในการหล่อหลอมจิตใจและความเชื่อของคนไทยให้รักษามรดกของชาติที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายพันปี
ในโครงสร้างเดิมของไทยเน้นความเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ มีระบบผู้ใหญ่กับเด็ก ไม่เน้นความเป็นปัจเจกชน (individualism) เน้นความเป็นส่วนรวม (collectivism)การงานต่างๆที่ทำสำเร็จต้องอาศัยสามัคคี คนไทยรักและเทอดทูนเจ้านายผู้ใหญ่ พระสงฆ์คุณเจ้า กษัตริย์มีหน้าปกครองดูแลประเทศและคอยทำนุบำรุงศาสนา คนไทยโดยทั่วไปมีความละอายใจต่อบาป มีจิตใจที่โอบอ้อมอารีย์ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา แสวงหาทางหลุดพ้น ชอบทำบุญ เชื่อในนรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อว่าทำดีจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ที่สูงขึ้น ทำชั่วจะตกนรก เชื่อในฝีสางเทวดา พระพรหม เชื่อในพลังจิต และอำนาจที่เหนือโลก
โครงสร้างความเชื่อที่สมบูรณ์แบบแบบนี้หาได้ยากยิ่งในสังคมอื่นๆในโลกที่คำสอนของพระพุทธเจ้าไปไม่ถึง ทำให้สังคมสุวรรณภูมิดั้งเดิมของไทยมีอารยะธรรมทางจิตใจที่สูงส่งที่สุดในโลก
(มีต่อ)
(ต่อจากเม้นบน)
ตั้งแต่ปี พศ2475 โครงสร้างดั้งเดิม (Old Structure) หรือความเชื่อหรือระบบเดิม (traditional beliefs & system)ค่อยๆถูกกลัดกร่อน ทำลายไปเรื่อยๆ ผ่านการลดบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้สถาบันศาสนา และสถาบันการศึกษาอ่อนแอลงเพื่อรับเอาหลักมนุษย์นิยมเข้ามาแทนโครงสร้างเดิมของประเทศ
จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยต่างๆของไทยมีคณะมนุษย์ศาสตร์ที่เดินมาแนวทางนี้
(ใครจบคณะมนุษย์ศาสตร์ยกมือขึ้น ผมจบคณะศิลปศาสตร์จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ก็ถือว่าเป็นคณะมนุษย์ศาสตร์เหมือนกัน)เพื่อขัดเกลานิสิตนักศึกษาไทยให้ออกจากโครงสร้างเดิมของประเทศเพื่อรับเอาแนวคิดมนุษย์นิยมที่อ้างว่าใช้หลักเหตุผลและวิทยาศาสตร์เพื่อปฏิเสธรากเหง้าของประเทศ
เพื่อให้หลักมนุษย์ศาสตร์ทางโลกมีความน่าเชื่อถือจึงมีการสร้างและยัดเยียดลัทธิต่างๆเข้ามาสวมข้างบน ไม่ว่าจะเป็นลัทธิสังคมนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ และลัทธิประชาธิปไตยเพื่อที่จะล้มล้างระบอบกษัตริย์ของประเทศต่างๆทั่วโลก รวมท้ังระบอบธรรมราชาของสยามประเทศ
แต่จะควบคุมประเทศได้ต้องวางระบบการเงินและเศรษฐกิจหรือลัทธิทุนนิยมควบคู่ไปด้วยกับประชาธิปไตย และหลักมนุษย์นิยม เพื่อให้เงินกลายเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ที่ทุกคนต้องดินรนแสวงหา
ดูเผินๆ มนุษยวิทยาทางโลกน่าเชื่อถือ เพราะว่าเน้นความเป็นอิสระของปัจเจกบุคคล และอิสระทางความคิดตามหลักเหตุผล ไม่เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดไม่เชื่อในนรกสวรรค์ เชื่อว่าเกิดมาแล้วมีชีวิตเดียว ให้แสวงหาความสุขใส่ตัวเต็มที่ กระตุ้นให้คนปลดแอกออกจากระบบเดิมทำให้กลายทางเลือกของอนาคตใหม่
มนุษย์วิทยาทางโลกก้าวขึ้นมาเพื่อทำลายโครงสร้างเดิมของยุโรปที่เบียดบังความคิดสร้างสรรค์ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ภายใต้อิทธิพลหรือการปกครองโดยศาสนจักรของโรม และกษัตริย์ยุโรปที่กดขี่ประชาชนตามที่โรมบงการ การศึกษาของยุโรปมาจากประเพณีคริสต์ (Christian tradition)ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยวิทยาการความรู้ใหม่ที่มาจากการเกิดใหม่ทางวิทยาการ (Renaissance)ที่มีต้นตอมาจากอิตาลี และขบวนการมนุษย์นิยมที่ตามมา
นิสิตนักศึกษาไทยที่ถูกล้างสมองจากหลักสูตร หรือแนวคิดปรัชญาของมนุษย์วิทยาทางโลกหลังจากเรียนจบออกมาเข้ามาอยู่ในสังคม หรือกลายเป็นครูบาอาจารย์ก็จะไม่รู้ หรือไม่เข้าใจโครงสร้างเดิมที่เป็นเสาหลักของประเทศ แถมบางคนดูหมิ่นศาสนา สถาบันเบื้องสูงหรือแนวคิดทางประเพณีเดิมว่าเป็นของที่ล้าสมัย
มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยจึงกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นักมนุษย์นิยม นักประชาธิปไตย นักสังคมนิยมหัวเอียงซ้าย นักสิทธิมนุษยชน นักทุนนิยม นักบูชาเงินตรา
ยิ่งมีงานดี เงินดี ร่ำรวยขึ้นมา ซึ่งเป็นสภาพชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน ทำให้เกิดความมั่นใจอย่างผิดๆว่าแนวทางมนุษย์นิยมทั้งโลกเป็นวิถีที่แท้จริง โดยหารู้ไม่ว่ามนุษย์นิยมทางโลกมีการแต่เคลือบยาพิษเข้าไปในตำรา
มีน้อยคนนักที่เป็นนักอนุรักษ์นิยม (conservatism)ที่กลายเป็นคนส่วนน้อยไป
ต้องถือว่า คุณช่อที่กำลังมีข่าวอื้อฉาวในเวลานี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของการวางระบบการศึกษาแบบมนุษย์นิยมทางโลกในระบบการศึกษาของไทยที่ถูกครอบงำจนเกือบเบ็ดเสร็จไปแล้ว
รากเหง้าของประเทศถูกทำลายไปมากพอแล้ว ได้เวลาหรือยังที่จะได้รับการเยียวยาฟื้นฟู เพื่อคนไทยจะกลับมาหน้าใสอีกครั้ง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ฝ่ายที่เชียร์ธนาธร เชียร์สุดารัตน์ เชียร์ชัชชาติ ควรเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงว่า พวกเขาก็เป็นมนุษย์ที่ทำผิดพลาดได้ เหมือนพวกเรา แม้เป้าหมายในอุดมคติของพวกเขาจะแชร์ร่วมกับเรา แต่ไม่ได้แปลว่าระหว่างทางพวกเขาจะไม่ทำอะไรที่ผิดพลาดบ้างเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถและสมควรโดนตำหนิและโดนวิจารณ์อย่างมีเหตุมีผลจากพวกเราที่เลือกเชียร์เขาเท่าๆ กับการชื่นชม โดยการวิจารณ์จากเราไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเกลียดเขา เลิกเชียร์เขา เลิกชอบเขาแต่อย่างใด
ควรเลิกวัฒนธรรมแบบว่า คนนี้ฉันเชียร์ ฉันจะปิดหูปิดตา ไม่ยอมวิจารณ์ เดียวถูกมองว่าเป็นศัตรู เดียวภาพลักษณ์เขาไม่เพอร์เฟค หรือเดียวจะเป็นการเปิดทางให้ศัตรู เพราะการวิจารณ์ของเรามีเป้าหมายเพื่อให้พวกเขาดีขึ้น ไม่ใช่มุ่งทำลาย
[ข้อคิดเห็น] 兩岸政治下泰國華語教育之“中立立場”
ทางสายกลางของ "ภาษาจีน"ในไทย ท่ามกลาง "การเมือง" (จีน-ไต้หวัน) ?
----------------------------------------------
ในสังคมเรานั้น เรื่องที่ไม่ควรเป็นประเด็น ก็สามารถเป็นประเด็นได้ (เป็นเรื่องปกติที่เข้าใจได้ แต่บางครั้งก็เสียเวลากับเรื่องพวกนี้โดยไม่จำเป็นหรือไม่...)
สำหรับคนที่อยู่ในวงการการเรียนการสอนภาษาจีนคงทราบกันดีว่า การเรียนภาษาจีนมีหลายค่าย ถ้าพิจารณาจากประเภท "ตัวอักษร" ก็อาจแบ่งค่ายตัวย่อ (จีน) และค่ายตัวเต็ม (ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า)
หลายคนมักถามคำถามว่า เรียนแบบไหนดี
คำตอบผมชัดเจน : เรียนอะไรก็ได้ที่สบายใจ เรียนไปเถอะ
แต่ถ้าให้ดีก็เรียนรู้ให้ได้ทั้งสองอย่าง จะเป็นข้อได้เปรียบของผู้เรียน
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "เรียนแล้วต้องใช้งานได้จริง"
(ถ้าเรียนแล้ว ใช้งานไม่ได้จริง จะเรียนตัวย่อ หรือ เต็ม มันก็ไร้ประโยชน์ )
ประเด็นต่อมาที่เรามักได้ยินเสมอ คือ กิจกรรมการแข่งขันทักษะด้านภาษาจีน หากจัดโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน หรือสนับสนุนโดยไต้หวัน สถาบันการศึกษาบางแห่งจะไม่ส่งเข้าร่วมแข่งขัน โดยมีเหตุผลทางการเมือง หรือ อาจมีคำสั่งจากบางหน่วยงานสั่งการลงไป ฯลฯ
จากประเด็นข้างต้น ทำให้เราต้องตั้งคำถามหรือทบทวนประเด็นบางอย่าง ดังนี้
1. การแข่งขันทักษะภาษา เป็นกิจกรรมการพัฒนาทักษะของผู้เรียน การเข้าร่วมการแข่งขันซึ่งไม่ว่าจะจัดโดยหน่วยงานใด หรือค่ายใด ล้วนเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนทั้งสิ้น เหตุใดเราจึงไม่สนับสนุน?
2. การแทรกแซงของจีนในระบบการศึกษาไทย เป็นเรื่องที่เป็นจริงในบางสถาบันฯ รวมถึง อิทธิพลของคนจีนในหน่วยงาน มีผลต่อการบริการจัดการของหน่วยงานไทยมากน้อยเพียงใด คำถาม คือ จุดยืนของเรา คืออะไร?
3. เหตุใด การศึกษาภาษาจีนต้องแบ่งแยก ? (โดยกลุ่มคนบางกลุ่ม) ความแตกต่างทางความคิด ทางความรู้ ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร
แต่ในทางตรงข้าม "ความแตกต่าง คือ การเรียนรู้" และ สิ่งที่สำคัญยิ่ง คือ "ความแตกต่างต้องไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เราแตกแยก หรือ ส่งผลต่อการพัฒนาการศึกษาภาษาจีนของไทย"
[ บทสรุป ]
หากวันนี้ การศึกษาภาษาจีนในไทยยังมัวแต่แบ่งแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย อีกสิบปีข้างหน้า ก็คงอาจไม่ต่างอะไรกับวันนี้ และการศึกษาวันนี้ ก็ไม่ได้แตกต่างกับ สิบปีก่อน เช่นกัน... (ในเชิงคุณภาพ)
สิ่งที่น่าเศร้าใจอย่างหนึ่ง คือ วันนี้ การศึกษาภาษาจีนเรากลับถูกชี้นำและครอบนำโดย "การเมือง" มากเกินไปหรือไม่? และ บางครั้งเรากำลังตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง(ของจีน) โดยที่เราไม่รู้ตัว....
คำตอบ เรื่องนี้ คงอยู่ในใจของทุกคน จะตอบอย่างไร คงไม่มีถูกหรือผิด
แต่สิ่งที่สำคัญ คือ"เป้าหมาย" ของเราคืออะไร? และอะไร คือ "ทางสายกลาง" ของวงการนี้....
(จบ)
Olan linhanfa
18.6.2019
การโยงการเมืองทุกเรื่อง
ไม่ได้ทำให้คุณเป็นผู้ใหญ่
แต่มันทำให้คนรู้ว่าคุณคือเด็กน้อยที่ act เหมือนพยายามให้คนอื่นดูว่ากูเป็นผู้ใหญ่
#มิตรสหายคน1
พอโดนด่าแล้วตรงกับที่ตัวเองเป็น (ซึ่งดู ๆ แล้วแม่งก็น่าจะรู้ตัวอยู่)
ก็จะโหวกเหวกโวยวาย นู่นนี่นั่น
อ้างนู้นอ้างนี้อ้างนั่น
ทำเป็นโกรธแก้เกี้ยว
...
เด็กน้อยชัด ๆ เลยครับ
พวกคุณมันก็เหมือนตัวร้ายใน one piece ภาคเกาะเงือกอ่ะครับ
empty ไม่มีอะไรเลย
คุณเป็นแค่เด็กน้อยที่โดมาในยุคที่ผู้ใหญ่เกลียดกัน
ไม่ได้รู้อะไรเลย
ไม่เคยรู้อะไรเลย ว่างเปล่าสัด ๆ
แต่มาพูดนกแก้วนกขุนทองตามผู้ใหญ่ เกลียดคนนู้นคนนี้ตามผู้ใหญ่
ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอกับตัว
เค้าว่าไงก็ว่างั้น
พูดตาม ๆ เค้าไปเรื่อย ๆ
มันไม่เท่หรอกครับ
มันน่าสมเพช
#,b9ilskp8o9tduh กูไม่แก้ล่ะ
ดูคลิปเสวนาการเมืองต่างๆ เวลามีคนวิพากษ์ รธน'60 ซึ่งรวมถึง 250 ส.ว.มีอำนาจเลือกนายกฯ ก็จะมีคนท่องคาถาอยู่อย่างเดียวว่าก็ รธน'60 ผ่านการทำประชามติมาแล้ว ก็ถ้าคุณจะเอาแต่ผลการทำประชามติอย่างเดียว โดยไม่สนใจกระบวนการทำว่าถูกต้องตามหลักการหรือไม่ ปมความขัดแย้งทางการเมืองก็ไม่มีวันจบ
ฝ่ายที่เชียร์ลุงตูบ ควรเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงว่า พวกเขาก็เป็นมนุษย์ที่ทำผิดพลาดได้ เหมือนพวกเรา แม้เป้าหมายในอุดมคติของพวกเขาจะแชร์ร่วมกับเรา แต่ไม่ได้แปลว่าระหว่างทางพวกเขาจะไม่ทำอะไรที่ผิดพลาดบ้างเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถและสมควรโดนตำหนิและโดนวิจารณ์อย่างมีเหตุมีผลจากพวกเราที่เลือกเชียร์เขาเท่าๆ กับการชื่นชม โดยการวิจารณ์จากเราไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเกลียดเขา เลิกเชียร์เขา เลิกชอบเขาแต่อย่างใด
ควรเลิกวัฒนธรรมแบบว่า คนนี้ฉันเชียร์ ฉันจะปิดหูปิดตา ไม่ยอมวิจารณ์ เดียวถูกมองว่าเป็นศัตรู เดียวภาพลักษณ์เขาไม่เพอร์เฟค หรือเดียวจะเป็นการเปิดทางให้ศัตรู เพราะการวิจารณ์ของเรามีเป้าหมายเพื่อให้พวกเขาดีขึ้น ไม่ใช่มุ่งทำลาย
ประชาธิปัตย์เปิดตัวคนรุ่นใหม่แล้ว ดีใจที่เห็นพรรคปรับตัว แต่คนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ดูไม่ติดดินเลยครับ สิ่งที่เป็นปัญหาของประชาธิปัตย์ยุคคุณอภิสิทธิ์คือพรรคไม่สามารถสร้างบุคลากรที่มี "เสน่ห์" กับมวลชนได้เลย เต็มที่ที่พรรคทำคือการหาลูกหลานคนรวยหรือคนนามสกุลใหญ่มาเข้าพรรคเรื่อยๆ ทั้งที่ผู้นำพรรคที่คนนับถือที่่สุดอย่างอดีตนายกชวนก็มีภาพ "ลูกชาวบ้าน" มากกว่า "ลูกผู้ดี" หรือทีมเศรษฐกิจพรรคยุคก่อนอย่าง "อาจารย์ไตรรงค์" ก็มีความเป็นชาวบ้านอยู่มากพอสมควร
ถ้าประชาธิปัตย์อยากฟื้นพรรค พรรคต้องทำมากกว่านี้ครับ วิธีปั้นพรรคแบบดึงคุณหญิงดึงลูกผู้ดีที่ไม่มีคะแนนเสียงนั้นพอได้แล้ว ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ไม่ดี แต่พวกนี้ได้อย่างมากก็แค่อัพเกรดภาพพรรค ทว่าทำไม่ได้เรื่องทำให้พรรคชนะใจประชาชน ไม่เชื่อก็ดูผลงานคนคุมพรรคที่อีสานดู
BTW สำหรับท่านที่บอกว่าเป็นนักต่อสู้และรณรงค์เพื่อสิทธิสตรี ผมไม่คุ้นและนึกไม่ออกเลยครับว่าท่านเกี่ยวกับขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องผู้หญิงในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศวิถี, อัตลักษณ์, ประชากรศาสตร์, ประชาธิปไตย ฯลฯ ตรงไหน ผู้หญิงทุกคนมีสิทธิพูดเรื่องผู้หญิงแน่ๆ แต่การบอกว่าตัวเองเป็น "นักรณรงค์" หรือ "นักต่อสู้" ผมว่าต้องมีิอะไรเกี่ยวกับคนอื่นมากกว่า Self-proclaimtion นิดนึง
“สถานการณ์รถ Grab ในเชียงใหม่วันนี้ : มีเจ้าหน้าที่ขนส่งยืนคุมอยู่หัวมุมประตูทางเข้าสนามบินคอยตรวจจับรถแกร็บโดยเปิดดูจากแผนที่บอกตำแหน่งของแกร๊บ จะเน้นจับรถแกร็บที่เข้ามารับผู้โดยสาร มากกว่ารถที่มาส่งผู้โดยสาร
ทางแก้ของคนขับแกร็บตอนนี้คือจะจอดรถไว้ที่ปั๊มน้ำมันข้างนอก แล้วนัดให้ผู้โดยสารเดินออกมาหา (ซึ่งไกลมาก) หรือไม่ก็ยืนรอให้คนขับเดินเข้ามารับแล้วช่วยแบกกระเป๋าออกไปให้ แต่คนขับจะต้องฝากมือถือไว้ที่คนๆนึงที่จะนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ตรงหน้าปั๊มน้ำมันเก่าหน้าสนามบิน (งงมั้ย 555 ต้องฝากมือถือไว้เพราะเจ้าหน้าที่ขนส่งจะคอยจับตาดูตำแหน่งอยู่ตลอด) พอเดินมาถึงจุดใต้ต้นไม้หน้าปั๊มเก่าแล้วก็ให้เรายืนรอ แล้วคนขับก็เดินไปเอารถจากปั๊มใหม่แล้วขับมารับ
//ก็เหงื่อแตกกันไปจ้า 💦
พวกแท็กซี่และรถแดงคอยไปกดดันให้เจ้าหน้าที่จับแกร็บให้ได้ เพราะที่ผ่านมาแท็กซี่และรถแดงสนามบินเงียบเหงามาก แทบไม่มีึคนเรียก
ค่าแท็กซี่จากสนามบินไปเซ็นเฟส ประมาณ 400 บาท ขณะที่นั่งแกร็บจะอยู่ที่ประมาณ 280
จบการรายงาน”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
นี่คือข้อสอบปรัชญาที่เด็กฝรั่งเศสต้องเขียนอภิปรายในการสอบจบ.ปลายเมื่อวาน
สายศิลป์
- เราจะหลุดพ้นจากกาลเวลาได้หรือไม่
- ทำไมต้องอธิบายงานศิลปะ
สายวิทย์
- ความหลากหลายของวัฒนธรรมคืออุปสรรคต่อเอกภาพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ใช่หรือไม่
- รู้จักหน้าที่ คือ ยอมละทิ้งเสรีภาพของตนใช่หรือไม่
เราจะกระชากค่าครองชีพนะค่าาาาาาา
#อดีตนายกท่านหนึ่ง
รายได้ของคนที่สอนคนอื่นให้เสียสละลดรากิเลส
รับเงินเดือนสว.113,560 บาท
รับเงินเดือนจากเป็นผู้นำเหล่าทัพ 120,030 บาท
รับเงินเดือนสมาชิกคสช 119,920 บาท
รับเบี้ยประชุมกรรมการยุทธศาสตร์ชาติครั้งละ 6,000 บาท
รายได้จากกรรมการบอร์ดรัฐวิสาหกิจ?
รายได้จากส่วนที่ส่วนสอบไม่ถึง?
ถ้าอภิสิทตั้งพรรคใหม่ คิดว่ากระแสจะเป็นไง
แอดเฉินต้องขออภัยที่หายหน้าหายตาไปนาน กลับมาคราวนี้จะขอนำเสนออะไรที่พิสดารหน่อย
แต่ก่อนอื่นต้องกราบขออภัยมิตรรักแฟนเพจทุกท่านที่วันนี้อาจจะต้องขออนุญาตใช้คำหยาบโลนตรงๆ
แต่ถือซะว่าเป็นการนำเสนอความรู้ทางวิชาการละกันนะครับ ไม่ใช่ว่ามาปล่อยมุกหยาบโลนเล่นๆ
เรื่องก็คือ เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า คำด่า หรือ คำหยาบคายหลายๆคำในภาษาไทยปัจจุบันมักจะรับมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ อัปรีย์ จัญไร อัปมงคล อุบาทว์ ฯลฯ รวมทั้งคำเรียกอวัยวะเพศด้วย คือ หี สำหรับเพศหญิง และ ควย สำหรับเพศชาย
โดยมักจะอธิบายกันว่า หี มาจากคำว่า หีนะ ที่แปลว่า “ต่ำ”
และ ควย มาจากคำว่า คุยหะ ที่แปลว่า “ลับ”
เช่นในบทความนี้ https://prachatai.com/journal/2013/05/46559
แต่ทว่าคำอธิบายนี้เป็นจริงหรือไม่?
ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า หี และ ควย เป็นคำที่นักภาษาศาสตร์พบในภาษาตระกูลไททุกภาษา แม้แต่ในภาษาตระกูลไทในบริเวณจีนตอนใต้และเวียดนามตอนเหนือที่ไม่ได้รับอิทธิพลอินเดีย ไม่รู้ภาษาบาลี-สันสกฤตและบางกลุ่มเผลอๆก็ไม่รู้จักพุทธศาสนาด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างเช่น ในภาษาไทกาวบั่ง มีคำว่า /hiA1/ และ /wɤjA2/ เอาไว้เรียกอวัยวะเพศหญิงและชายตามลำดับ
หรือ ในภาษาไทซาปา มีคำว่า /hiA1/ และ /xwajA2/ เอาไว้เรียกอวัยวะเพศหญิงและชายตามลำดับ
เช่นกัน
แปลว่าสองคำนี้โดยแท้จริงแล้วเป็นคำไทแท้ๆที่สืบสร้างรูปภาษาดั้งเดิมได้คือ *hi:A และ *ɣwajA มีความหมายว่าอวัยวะเพศหญิงและส่วนองคชาตของอวัยวะเพศชายตามลำดับ
โดยคำว่า ควย มีพยัญชนะต้นตามการสืบสร้างเป็นเสียงเสียดแทรก(fricative)ที่เพดานอ่อน(velar) ตรงกับรูปอักษรไทยว่า ฅ
ดังนั้นถ้ามีรูปสะกดแบบโบราณก็น่าจะเป็น ฅวย เช่นเดียวกับที่พบในภาษาล้านนา
เมื่อพูดถึงคำศัพท์อวัยวะเพศในภาษาล้านนาแล้ว ก็พาลให้นึกถึงคำว่า ขะ-หลำ
ซึ่งตรงกับคำว่า หำ ในภาษาไทยและอีสาน โดยมาจากสืบสร้างรูปภาษาดั้งเดิมว่า *้hramA(< *tramA) ซึ่งหมายถึง ส่วนอัณฑะของอวัยวะเพศชาย ในภาษาอีสานที่เรียกเด็กว่าบักหำน้อยๆ ก็มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเด็กผู้ชายย่อมมีขนาดอัณฑะที่เล็ก เป็นคำนามนัยแบบหนึ่ง
เรื่องก็มีเพียงเท่านี้ครับ
แอ๊ดเฉิน
________________________________________________
Edit: หลังจากเผยแพร่บทความนี้ไปมีผู้หลังไมค์มาว่าเนื้อหาคล้ายคลึงกับบทความนึง จึงจะขอแชร์ให้อ่านเพิ่มนะครับ เป็นการยืนยันว่าชุดความรู้นี้จริงๆก็มีมาสักพักแล้ว แต่สาธารณชนโดยทั่วไปน่าจะยังไม่ทราบ เนื่องจากแนวความคิดที่สวนกันมีอิทธิพลกว่า
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10154496032581954&id=719626953
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
A: ผมว่าคุณนี่นิ่งมากๆ ไม่เห่อไปตามกระแสพานไหว้ครู ที่ท้ายสุดแล้วพิธีการนี้มันก็อยู่ภายใต้กรอบอำนาจนิยมชนิดหนึ่ง -- เอ๊ะนี่คุณเรียนโฮมสกูล หรือโรงเรียนทางเลือกมากันแน่อ่ะครับ
B: ผมเรียนโรงเรียนปอเนาะมา ไม่มีทำพานไหว้ครูไรเหมือนกัน มีแต่หัดประกอบระเบิดแสวงเครื่องอย่างเดียวอ่ะครับ
A: วะวะว่ะหว่ายยยย
นักกฎหมายไม่ค่อยส่งเสียงประท้วง คสช มากนัก ยกเว้นนักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เดือดร้อนมากหน่อยเพราะกฎหมายที่ใช้หากินหายไป
แต่ระบบ คสช เป็นอันตรายมากสำหรับวิชาชีพนิติศาสตร์ เพราะ คสช โจมตีความเป็นเหตุเป็นผลของระบบกฎหมายโดยตรง ซึ่งความเป็นเหตุเป็นผลนี้เองที่ทำให้คนเคารพกฎหมาย เพราะเชื่อว่ามีเหตุผลอยู่ในระบบจึงควรเชื่อ
คสช ทำให้กฎหมายกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุมีผล ใครจะพูดว่าอะไรก็ได้ จะตีความแบบไหนก็ได้ กลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ ไม่ใช่กฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคม
เมื่อระบบ คสช ผ่านไป นักกฎหมายที่ยังไม่เสียสติจะอธิบายระบบกฎหมายที่หลงเหลืออยู่ว่าอย่างไร จะกอบกู้ความน่าเชื่อถือของวิชาชีพกลับมาได้อย่างไร จะบอกลูกศิษย์ตัวเองได้ไหมว่า ห้าปีที่ผ่านมา ตัวเองยืนอยู่ตรงไหนก็ระบอบประยุทธ์
ยังไม่สามารถทำใจได้กับสิ่งที่โฆษกหญิงแห่งพรรคอนาคตใหม่พูดเมื่อวาน เรื่องลืมเรื่องเก่า มาตัดสินกันที่ปัจจุบัน แถมบอกว่า นี่คือวิถีวิญญูชน ตอนนี้กลายมาเป็นคนจงรักภักดีไปแล้ว
1) สิ่งที่ช่อทำมันผิดไหม ถ้าไม่ผิด เราต้องยืนกราน เราเป็นคนรุ่นใหม่ตัวแทนอนาคตใหม่ เราต้องมีเกียรติภูมิ ถ้าเราคิดว่าไม่ผิด เราต้องอธิบายว่ามันไม่ผิดอย่างไร ไม่ใช่คุณถูกแรงกดดัน แล้วก็รับผิดในสิ่งที่ไม่ผิด เพราะการที่คุณทำอย่างนั้น มันยิ่งไปตอกย้ำมาตรฐานเดิมเรื่องเจ้า นั่นคือ ไม่ผิดแต่ต้องยอมรับผิด
2) การเปลี่ยนความคิดทางการเมือง เหมือนที่ช่อบอกว่าตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วคิดได้แล้ว อันนี้ยิ่งทุเรศ พัฒนาการทางความคิดคน (ขอย้ำคำว่า "พัฒนาการ") มัน one way เท่านั้น คือ เปลี่ยนจากเผด็จการ/ราชานิยม ไปสู่ประชาธิปไตย ไม่มีกรดไหลย้อนคือจากประชาธิปไตยกลับไปเป็นราชานิยม ถ้าอย่างนั้น เราจะมานั่งด่าคนอย่างเนาวรัตน์ หงา กันทำไม สิ่งที่ช่อทำคือสิ่งที่หงาทำ เดินถอยหลังกลับไปสู่ราชาธิปไตย เมื่อวานผมถึงบอกว่า มีแต่คนพัฒนาไปสู่สภาพตาสว่าง นี่กลับถอยหลังไปสู่ความมืดบอด
3) สิ่งที่ช่อในฐานะนักการเมืองต้องทำเมื่อวานคืออธิบายต้นเหตุของปัญหา นั่นคือ การเอา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง และเค้า ในฐานะนักการเมือง จะแก้ปัญหาอย่างไร นี่กลายเป็นว่า เออออห่อหมกไปแล้วว่า บอกว่าตัวเองผิดจริง ขอโทษขอโพย ขอโทษในสิ่งที่ตัวเองไม่ผิด บอกตรงๆ sick มากๆ
4) หรือเราจะอยู่แบบนี้ พอโดน 112 ขู่ ก็ต้องบอกว่ารักเจ้า ไม่แตะ แล้วผ่านมันไป นี่มันเป็นการเมืองสมัยทักษิณ และมันพิสูจน์แล้วว่า ผลลัพธ์อย่างเดียวที่ตามมาก็คือ รอยัลลิสต์ยิ่งหึกเหิม และการใช้ 112 มีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น นี่คือความซวยของประเทศไทย
5) นี่ยังไม่นับสัญลักษณ์อื่นๆ ทางกายภาพของช่อ ตั้งแต่สีเสื้อผ้า หน้า ผม ไม่ได้มีอะไรบอกถึงความเป็น "อนาคตใหม่" เลย
...ส่วนใครที่อ่านมา 5 ข้อแล้วยังคิดว่าดิชั้นเป็นศัตรูของอนาคตใหม่และการต่อสู้ตามแนวทางประชาธิปไตย เชิญ.... ถ้าเราไม่เริ่มเปิดฟ้าด้วยมือของเราวันนี้ อย่าหวังว่ามันจะเกิดในอนาคต
ขบวนการทำลายรากเหง้าของไทยเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติโลก (World Revolution) เพื่อทำไปสู่รัฐบาลโลก (One World Government)
จุดมุ่งหมายคือการล้มล้างระบอบกษัตริย์ วัฒนธรรมจารีตประเพณี ศาสนา ความเป็นชาติ ความเชื่อ หรืออุดมการณ์หลักของประเทศ
เมื่อทำลายโครงสร้างที่เป็นรากเหง้าของประเทศได้ ก็สามารถครอบงำยึดครองทรัพยากรของไทยได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง หรือไม่ต้องทำสงคราม เนื่องจากมีคนไทยที่ขายชาติคอยให้ความร่วมมือ
วิธีการทำคือเสี้ยมให้คนไทยแตกแยก ให้ออกจากวิถีเดิม ให้ทำลายโครงสร้างเดิมของประเทศ และคอยดูแลระบบ หรือความเชื่อใหม่ที่ค่อยๆเอาเข้ามาใช้ในประเทศโดยฝีมือของหน่วยงานรัฐและเอกชน
พวกที่ทำลายประเทศโดยรู้ตัว ไม่รู้ตัว หลงผิด โลภ เงิน อิจฉา ริษยา อยากมีอำนาจ หรือเพราะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เป็นเพียงหมากของขบวนการปฏิวัติโลกที่มีศูนย์กลางในยุโรป
หลังจากทำหน้าที่ทำลายประเทศไทยได้แล้ว หมากจะได้เงินทอง ได้อำนาจ ได้การยอมรับในสังคมโลก ได้รับรางวัลนานาชาติ แต่หมากอาจจะถูกกำจัดไปเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อหมดประโยชน์ หรือต้องถูกเอาไปแลกกับประโยชน์
การปฏิวัติฝรั่งเศส (1789) ปฏิวัติรัสเซีย (1917) ปฏิวัติจีน (1911-1912) ปฏิวัติสยาม (1932) และการปฏิวัติในประเทศต่างๆตั้งแต่ปลายศตวรรตที่ 18เป็นต้นมาล้วนแล้วแต่มีต้นตอมาจากแหล่งเดียวกันของการปฏิวัติโลก
>>>มีต่อ
>>898
แกนนำนักปฏิวัติที่ล้มล้างประเทศตัวเองล้วนแล้วแต่เป็นเบี้ย หรือหมากของผู้คุม (controllers) ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง
ทุกครั้งเมื่อมีการปฏิวัติ จะเกิดการปล้นทอง ปล้นทรัพย์สมบัติของชาติ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่สับสน เกิดความชุลมุนวุ่นวายฝุ่นตลบ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร
หลังจากทำงานเสร็จแล้ว พวกนักปฎิวัติจะถูกเก็บ บางคนที่ใช้งานได้ผู้คุม (controllers)ก็ให้อยู่ในอำนาจต่อ เพื่อดูแลการวางระบบโครงสร้างใหม่เพื่อให้ขบวนการปฏิวัติโลกสามารถครอบงำประเทศนั้นได้ ไม่ว่าจะเรื่องธนาคารกลาง การเปิดเสรีการค้า&การเงิน ระบบภาษี การรับเอาเงินตราของมหาอำนาจเป็นเงินสกุลหลักของโลก การสร้างสถาบันต่างๆขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับระบบของพวกผู้คุมที่เวางเอาไว้
บางคร้ังมันก็เป็นความจริงที่ว่า ปากกาคมกว่าอาวุธ
ในการทำลายรากเหง้าของไทย พวกนักปฏิวัติจะเอาแนวปรัชญามนุษยนิยมทางโลก (Secular Humanism)เข้ามา มนุษย์นิยมจะน้อมรับเหตุผลของมนุษย์ จริยธรรมและธรรมชาตินิยม เพื่อเป็นพื้นฐานของคุณธรรมและการปฏิบัติตน โดยจะปฏิเสธความเชื่อทางศาสนา อภินิหาร วิทยาศาสตร์เทียม และความเชื่อโชคลาง หรือแนวความคิดประเพณีเดิม
การที่จะวางหลักของมนุษยนิยมในสังคมไทยได้ก็ต้องทำลายระบบการศึกษาที่เน้นหน้าที่พลเมือง&ศีลธรรมเดิมทีครูไทยในอดีตและพระกับวัดมีบทบาทสูงในการหล่อหลอมจิตใจและความเชื่อของคนไทยให้รักษามรดกของชาติที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายพันปี
ในโครงสร้างเดิมของไทยเน้นความเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ มีระบบผู้ใหญ่กับเด็ก ไม่เน้นความเป็นปัจเจกชน (individualism) เน้นความเป็นส่วนรวม (collectivism)การงานต่างๆที่ทำสำเร็จต้องอาศัยสามัคคี คนไทยรักและเทอดทูนเจ้านายผู้ใหญ่ พระสงฆ์คุณเจ้า กษัตริย์มีหน้าปกครองดูแลประเทศและคอยทำนุบำรุงศาสนา คนไทยโดยทั่วไปมีความละอายใจต่อบาป มีจิตใจที่โอบอ้อมอารีย์ มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา แสวงหาทางหลุดพ้น ชอบทำบุญ เชื่อในนรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อว่าทำดีจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ที่สูงขึ้น ทำชั่วจะตกนรก เชื่อในฝีสางเทวดา พระพรหม เชื่อในพลังจิต และอำนาจที่เหนือโลก
โครงสร้างความเชื่อที่สมบูรณ์แบบแบบนี้หาได้ยากยิ่งในสังคมอื่นๆในโลกที่คำสอนของพระพุทธเจ้าไปไม่ถึง ทำให้สังคมสุวรรณภูมิดั้งเดิมของไทยมีอารยะธรรมทางจิตใจที่สูงส่งที่สุดในโลก
ตั้งแต่ปี พศ2475 โครงสร้างดั้งเดิม (Old Structure) หรือความเชื่อหรือระบบเดิม (traditional beliefs & system)ค่อยๆถูกกลัดกร่อน ทำลายไปเรื่อยๆ ผ่านการลดบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้สถาบันศาสนา และสถาบันการศึกษาอ่อนแอลงเพื่อรับเอาหลักมนุษย์นิยมเข้ามาแทนโครงสร้างเดิมของประเทศ
>>>900
จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยต่างๆของไทยมีคณะมนุษย์ศาสตร์ที่เดินมาแนวทางนี้
(ใครจบคณะมนุษย์ศาสตร์ยกมือขึ้น ผมจบคณะศิลปศาสตร์จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ก็ถือว่าเป็นคณะมนุษย์ศาสตร์เหมือนกัน)เพื่อขัดเกลานิสิตนักศึกษาไทยให้ออกจากโครงสร้างเดิมของประเทศเพื่อรับเอาแนวคิดมนุษย์นิยมที่อ้างว่าใช้หลักเหตุผลและวิทยาศาสตร์เพื่อปฏิเสธรากเหง้าของประเทศ
เพื่อให้หลักมนุษย์ศาสตร์ทางโลกมีความน่าเชื่อถือจึงมีการสร้างและยัดเยียดลัทธิต่างๆเข้ามาสวมข้างบน ไม่ว่าจะเป็นลัทธิสังคมนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ และลัทธิประชาธิปไตยเพื่อที่จะล้มล้างระบอบกษัตริย์ของประเทศต่างๆทั่วโลก รวมท้ังระบอบธรรมราชาของสยามประเทศ
แต่จะควบคุมประเทศได้ต้องวางระบบการเงินและเศรษฐกิจหรือลัทธิทุนนิยมควบคู่ไปด้วยกับประชาธิปไตย และหลักมนุษย์นิยม เพื่อให้เงินกลายเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ที่ทุกคนต้องดินรนแสวงหา
ดูเผินๆ มนุษยวิทยาทางโลกน่าเชื่อถือ เพราะว่าเน้นความเป็นอิสระของปัจเจกบุคคล และอิสระทางความคิดตามหลักเหตุผล ไม่เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดไม่เชื่อในนรกสวรรค์ เชื่อว่าเกิดมาแล้วมีชีวิตเดียว ให้แสวงหาความสุขใส่ตัวเต็มที่ กระตุ้นให้คนปลดแอกออกจากระบบเดิมทำให้กลายทางเลือกของอนาคตใหม่
มนุษย์วิทยาทางโลกก้าวขึ้นมาเพื่อทำลายโครงสร้างเดิมของยุโรปที่เบียดบังความคิดสร้างสรรค์ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ภายใต้อิทธิพลหรือการปกครองโดยศาสนจักรของโรม และกษัตริย์ยุโรปที่กดขี่ประชาชนตามที่โรมบงการ การศึกษาของยุโรปมาจากประเพณีคริสต์ (Christian tradition)ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยวิทยาการความรู้ใหม่ที่มาจากการเกิดใหม่ทางวิทยาการ (Renaissance)ที่มีต้นตอมาจากอิตาลี และขบวนการมนุษย์นิยมที่ตามมา
นิสิตนักศึกษาไทยที่ถูกล้างสมองจากหลักสูตร หรือแนวคิดปรัชญาของมนุษย์วิทยาทางโลกหลังจากเรียนจบออกมาเข้ามาอยู่ในสังคม หรือกลายเป็นครูบาอาจารย์ก็จะไม่รู้ หรือไม่เข้าใจโครงสร้างเดิมที่เป็นเสาหลักของประเทศ แถมบางคนดูหมิ่นศาสนา สถาบันเบื้องสูงหรือแนวคิดทางประเพณีเดิมว่าเป็นของที่ล้าสมัย
มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยจึงกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นักมนุษย์นิยม นักประชาธิปไตย นักสังคมนิยมหัวเอียงซ้าย นักสิทธิมนุษยชน นักทุนนิยม นักบูชาเงินตรา
ยิ่งมีงานดี เงินดี ร่ำรวยขึ้นมา ซึ่งเป็นสภาพชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน ทำให้เกิดความมั่นใจอย่างผิดๆว่าแนวทางมนุษย์นิยมทั้งโลกเป็นวิถีที่แท้จริง โดยหารู้ไม่ว่ามนุษย์นิยมทางโลกมีการแต่เคลือบยาพิษเข้าไปในตำรา
มีน้อยคนนักที่เป็นนักอนุรักษ์นิยม (conservatism)ที่กลายเป็นคนส่วนน้อยไป
ต้องถือว่า คุณช่อที่กำลังมีข่าวอื้อฉาวในเวลานี้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของการวางระบบการศึกษาแบบมนุษย์นิยมทางโลกในระบบการศึกษาของไทยที่ถูกครอบงำจนเกือบเบ็ดเสร็จไปแล้ว
รากเหง้าของประเทศถูกทำลายไปมากพอแล้ว ได้เวลาหรือยังที่จะได้รับการเยียวยาฟื้นฟู เพื่อคนไทยจะกลับมาหน้าใสอีกครั้ง
#โม่งมิตรสหายทีนิวส์ท่านหนึ่ง
15/6/2019
ผมปวดหัวกับความเห็นของฝ่ายขวาชาวไทย อยากจะให้ใครสักคนบัญญัติคำใหม่ที่ไม่ใช่คอนเซอร์เวทีฟให้พวกเขา
ล่าสุด เจอโพสทำนองว่า
"ผมไม่รวยครับ ไม่มีเงินเรียน ไม่ได้จบสูง เป็นแค่(งานเลเบอร์) แต่รู้แล้วว่ามหาลัยไม่ได้สอนให้คนสันดานดีขึ้น"
คือแบบ ถ้าเป็นฝ่ายซ้ายพูด คำนี้ฟังขึ้นนะ
เพราะฝ่ายประชาธิปไตยเนี่ย เชื่อว่าคนเท่ากันหมดจริงมั้ย
โอเค คุณไม่รวย ไม่ได้เรียนหนังสือ มหาลัยไม่ได้สอนคนให้ดี ใช่คนเท่ากันไง ถ้าฝ่ายซ้ายพูดนี้ผมซื้อ
แต่ไอ้เหตุผลนี้ เมื่อเอามาสนับสนุนว่าการปกครองจากคนกลุ่มเล็กๆ ที่กว่าคนกลุ่มใหญ่ มันสมเหตุสมผลตรงไหน?
คือฟังแล้วแบบ "เออ... แล้วคนที่สนับสนุนอนาคตใหม่ สนับสนุนเพื่อไทย มันไม่มีคนที่ ไม่รวยครับ ไม่มีเงินเรียน ไม่ได้จบสูง เหรอ... มีนะ" แล้วทำไมเราต้องฟังคุณ แต่ไม่ฟังคนที่อยู่อีกฝ่ายด้วย เอ้อ เราก็ต้องฟังทั้งสองฝ่ายใช่มั้ย เพราะความเห็นทุกคนเท่ากันไง ฝ่ายที่มากกว่าเลยชนะ
แล้วอะไรจะบอกว่าความเห็นของคนส่วนน้อยดีกว่า?
คือถ้าแบบ "ผมจบนอกมาครับ ผมเป็นนักวิชาการ จะให้ชาวบ้านที่ไม่มีความรู้มาปกครองไม่ได้ ต้องเป็นทีมงานลุงตู๋ผู้เชี่ยวชาญครับ" มันถึงจะเป็นเหตุผลสนับสนุนการปกครองของคนกลุ่มเล็กๆได้ป่ะ
ไอ้ข้อสนับสนุนว่า "ผมจนกว่า ผมโดนสังคมเอาเปรียบ ผมเลยถูก" มันเป็นข้อสนับสนุนของฝ่ายซ้ายอ่ะ
คิดในมุมฝ่ายขวา บอกว่าเลย "เออ มึงกากไง แล้วไม่ขยันด้วย แทนที่จะตั้งใจเรียนเพื่อยกระดับฐานะ จะมาเรียกร้องอะไร ความจนนี้ก็ทำตัวเองอ่ะ อย่าบ่นมาก ไปทำงานดิ"
คือพวกนี้อยู่ในวงการสนทนาได้ เพราะพูดอยู่กับฝ่ายซ้าย ซึ่งยกย่อง เห็นใจคนจน คิดว่าโดนสังคมเอาเปรียบอ่ะ
คิดแบบขวาๆแล้ว คือไม่เข้าใจเลย ว่าความจนนี่มันเอามาอวดกันได้ยัง
แล้วคุณแม่งเป็นฝ่ายขวานะเว้ยยยย คุณแม่งจะบอกว่า "กูเป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่" ไปพร้อมๆกับบอกคนว่า "รัฐบาลไหนมาก็เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการทำงานของเราเอง" ไม่ได้
งงมั้ย ผมอธิบายเรื่องเดิมซ้ำอีกรอบ
ถ้าคุณเชื่อว่า รัฐบาลไหนก็เหมือนกัน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการทำงานของคุณ
งั้นก็ต้องแสดงว่าที่คุณไม่มีการศึกษา จนกว่า อยู่ทุกวันนี้ คือคุณขี้เกียจไม่ขยันไง จริงมั้ยล่ะ
ถ้าคุณเชื่อว่า "ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการทำงานของคุณ" >> "การที่คุณไม่สำเร็จ = คุณขี้เกียจ"
แล้วเมื่อคิดแบบขวาๆ แล้วทำไมเราต้องฟังความเห็น ของคนไม่ประสบความสำเร็จ? ทำไมเราต้องฟังคนขี้เกียจ?
ถ้าคุณจะเถียงว่า "ไม่ใช้เว้ย ผมมีคุณค่าเท่ากับทุกคน แต่เป็นเพราะสังคมที่ผมเกิดมามันไม่ดี ผมเลือกที่เกิดไม่ได้" งั้นแสดงว่ารัฐบาลที่ดูแลสังคมก่อนที่คุณจะเกิดมา รัฐบาลที่ดูแลสังคมที่คุณโตมา มันก็ต้องมีผลดิ
.
.
.
ผมงงมาก ว่าพวกเขาจะเอายังไง
ถ้าคุณจน ไม่ได้จบสูง แล้วอยากแสดงความเห็น ต้องเข้าใจว่าคุณมีสิทธิ์นั้น เพราะแนวคิดแบบประชาธิปไตย ที่เชื่อว่าคนเท่ากัน เราจึงคิดว่าความเห็นของคุณมีค่าเท่ากับคนเรียนจบสูง หรือคนที่ประสบความสำเร็จ
แต่ถ้าอยากจะบอกว่า แนวคิดแบบประชาธิปไตยมันผิด
ผมบอกว่าเลยถ้าไม่มีแนวคิดประชาธิปไตย ถ้าไทยยังเป็นแบบ 40 ปีก่อน แค่คนจนไม่ได้เข้ามหาลัยเป็นเลเบอร์แบบนี้ เงยหน้าพูดโดยไม่กุมไข่ คนเขาจะด่าว่า "ไอ้ห่า มึงชาติต่ำแล้วยังไม่เจียมตัว เรียนยังไม่จบ ม.6 มึงจะรู้เรื่องอะไร กล้าไปเถียงอาจารย์เขาได้ยังไงวะ มึงไหว้อาจารย์เขา ชาติหน้าจะได้ฉลาดเหมือนอาจารย์บ้าง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ทุกสัปดาห์เจ้าของสถาบันจะจัดให้มีวันล้างบาป โดยให้นักเรียนแต่ละคนถือไม้เบสบอลรวมตัวกัน หากเด็กกลุ่มไหนทำความผิดหรือในกลุ่มไม่ชอบใคร ก็จะให้เด็กใช้ไม้รุมทุบตีเด็กรายนั้นเพื่อชำระบาป”
เห็นฝ่ายขวาชอบด่า "ไทยเฉย" บ่อยๆว่าไม่สนใจบ้านเมืองผมว่าคงตลกพิลึกถ้าอยู่ดีๆ "ไทยเฉย" หันมาสนใจการเมืองแล้วกลายเป็นเสื้อแดงหมด
>>906 ใครเริ่มใช้ไม่รู้ แต่คนใช้หลักๆ คือกปปส.
http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ไทยเฉย
>>905 พวกที่ชอบด่าฝ่ายกลางนี่กุเห็นแต่ฝั่งซ้ายด่ากัน ฝั่งซ้ายเมกา/ยุโรปเวลามีใครบอกว่าเป็นCentristแม่งน้ำลายฟูมปากด่าว่าถ้าไม่ใช่พวกชั้น มึงคือฝั่งขวา ไม่เชื่อลองเอาคำว่า"Centrist"ไปกูเกิลดู แล้วจะเห็นการ์ตูนกากๆของฝั่งซ้ายที่เอาExtreme Caseที่แต่ขาวกับดำอย่างเรื่องนาซีรึเหยียดผิวมาล้อCentrist ทั้งๆที่Centristของจริงเป็นการดูความเห็นของทั้งสองฝ่ายมาประมวลแล้วเลือกเชื่อเฉพาะบางอย่าง แบบCentristอาจจะเชื่อเรื่องสิทธิ์การครอบครองปืน แต่ก็เชื่อเรื่องทำแท้งเสรีด้วย
ทีนี้เพราะพวกฝั่งซ้ายควายๆเห็นว่าถ้าไม่ได้เชื่อความเห็นฝั่งชั้นทั้งหมด งั้นพวกมึงก็คือนาซีปลอมตัวมา ไปตายให้หมด ทำให้Centristsจำนวนมากโดนผลักไปฝั่งขวา ส่วนนึงโหวตรีพับเพราะหมั่นไส้พวกซ้ายที่ด่าCentrists
ทีนี้ การเมืองไทยก็ดูไว้นะฮับ ถ้าอยากให้Centristsไปโหวตพรรคตรงข้าม ก็ด่าในนามฝั่งที่คุณชื่นชอบเยอะๆคะแนนจะไหลไปเอง รับรอง
อยากให้Centristsไทยเลือกลุง ก็ด่าCentristsในนามส้ม-แดงเยอะๆ
>>909 กูว่าไม่ใช่ล่ะ ของบ้านเรามันไม่มีที่ว่างให้ Centrist หรอก โดนผลักให้อยู่ข้างใดข้างนึงแหละถ้าเป็น Centrist จริง ๆ นะ ไม่งั้นมันก็ไม่มีคำว่า ไทยเฉย รึอะไรที่ไม่มีสีออกมาหรอก
ใกล้ตัวกูนี่เป็นตัวอย่างที่ดีเลย ฝ่ายซ้ายชัดเจนแล้วบอกกับกูเลย "ความเป็นกลางไม่มีจริง ต้องเลือกไม่ฝ่ายโน่นก็ฝ่ายนี้ไม่มีกลาง"
"เมื่อวานเจอตำรวจครับ
มานั่งคุยด้วยครับ
เขาถามว่า กลุ่มไอลอว์เป็นยังไงเหรอ พี่สนใจจัง เป็นคนรุ่นใหม่กันเหรอ?
ตอบว่า ไม่ใช่ครับ อายุสามสิบกว่าแล้วครับ
เขาบอกว่า พี่ติดตามทุกวันเลย ดูในยูทูปทุกวัน
ตอบว่า ไม่ใช่ครับ ไม่ได้ทำครับ (ยูทูปทำมาห้าปี มีประมาณสี่คลิป)
เขาถามว่า พวกเราเป็นใครกันเหรอ?
ตอบว่า เป็นเอ็นจีโอครับ เป็นพนักงานเต็มเวลา ทำงานมีเงินเดือนครับ
เขาถามว่า พี่สนใจ อยากสมัครสมาชิก ต้องทำยังไง?
ตอบว่า ไม่มีครับ เป็นพนักงานประจำครับ
เขาถามว่า พี่สนใจ อยากร่วมกิจกรรมด้วย ต้องสมัครที่ไหน?
ตอบว่า กดไลค์เฟซบุ๊กหรือยังครับ?
คิดในใจ ทำไมสายข่าวประเทศไทย โง่จังครับ?
ถ้าอยากแฝงตัวไป เพื่อหาข้อมูลกลุ่มคนที่เป็นภัยต่อสังคมจริงๆ อาจจะโดนยิงตายไปตั้งแต่คำถามแรกแล้วครับ"
เนี่ย เรื่องขายของบนทางเท้าก็เกี่ยวกับการเมือง เรื่องวินตีกันก็การเมือง เรื่องคนเดินตกท่อ เครนหล่นลงในโรงเรียน ก็เกี่ยวกับการเมือง ทำไมยังปฏิเสธว่าการเมืองไม่เกี่ยวกับเรานะ การเมืองมันไม่ใช่แค่คนสองกลุ่มตีกันในรัฐสภา มันคือตัวแทนปชช เอาเงินปชชไปใช้ เพื่อพัฒนาชีวิตปชช
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนที่บอกว่าตัวเองเป็นกลางมีอยู่สองประเภท คือ "พวกไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองเลือกข้าง" กับ "พวกที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเลือกข้างไปแล้ว"
Centrist เปะๆไม่มีจริง แต่เอียงซ้ายเอียงขวาเล็กน้อยมีจริง
เคยคุยเรื่องนี้กับอาจารย์รัฐศาสตร์และเพื่อนที่เรียนนิติศาสตร์ เขาอธิบายว่า การที่ผู้รักประชาธิปไตย รักเสรีภาพ จะรังเกียจต่อต้าน และ โจมตีผู้สนับสนุนเผด็จการนั้นถูกต้องตามหลักการแล้ว เพราะว่า ถึงแม้จะเชิดชูเสรีภาพ แต่การสนับสนุน หรือ เมินเฉยไม่ทำอะไกกับผู้นิยมเผด็จการ คือการปล่อยให้แนวคิดแห่งการทำลายล้างเสรีภาพเติบโต เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้เคารพในเสรีภาพจึงมีภาวะผูกมัดให้ทำลายเผด็จการและผู้สนับสนุนเผด็จการ
เพราะงั้นเวลาเจอใครเอาคำพูดทำนองว่า "เป็นเสรีชน นิยมประชรธิปไตยก็ต้องเคารพ และให้อิสระคนที่นิยมเผด็จการสิ หรือ การสนับสนุนเผด็จการเป็นสิทธิ" ให้เราเถียงไปได้เลยว่าไม่ใช่ เพราะการสนับสนุนเผด็จการคือการสนับสนุนการ "ทำลายสิทธิมนุษยชน"
ปล. เวลาเจอใครพูดแบบนี้อย่าไปด่าเขานะ อธิบายเขาดีๆ
#มิตรสหายทั่นหนึ่ง
กูเลือกลุงตามระบอบ ปชต. แล้ว สบายใจได้
#ช่วงบทสนทนาระหว่างความดาร์คกับความบักเสี่ยว
A: ทำไมคุณไม่แสดงความผิดหวังต่อตัว ส.ว. ซากีย์ พิทักษ์คุมพล เหมือนปัญญาชนหรือนักสิทธิมนุษยชนคนอื่นๆ บ้างอ่ะครับ
B: ผมคลุกคลีอยู่แต่กับเครือข่ายบังรอนอ่ะครับ
A: วะวะว่ะหว่ายยย
หมายเหตุ:
บทสนทนาระหว่างความดาร์คกับความบักเสี่ยวขอร่วมสนับสนุนการทำงานของ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) ในการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด เพื่อป้องกันไม่ให้เยาวชนไทยไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดที่ถือว่าเป็นการทำลายอนาคตของชาติมา ณ ที่เนร้ อ่ะครับ /\
= Where we belong? 2ปีแล้วเรายังรักหรือเปล่า? จากอิมเมจถึงปั้นจั่น =
ไม่ใช่บทความวิจารณ์หนัง แต่เกี่ยวกับหนัง
ตอนนี้สังคมไทยมีหนังสองเรื่องที่อยู่ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งกลายเป็นสงครามระหว่างกลุ่มผู้ที่มีความคิดทางการเมืองสองกลุ่มไปแล้ว คือ Where we belong? กับ รัก2ปียินดีคืนเงิน
เมื่อกี้ผมเห็นโพสในเฟส ฝ่ายหนึ่งบอกว่า "รักสถาบันต้องดู 2 ปี ล้มเจ้า ไม่รักลุงดู WWB"
อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า "คนมีปัญญามาความคิดดู WWB ส ลิ่มนิยมกะลาดักดาน ดู 2 ปี"
กรณีนี้ทำไปสู่การถกเถียงกันมากมาย ว่าการแบนหนังทั้งเรื่องเพราะนักแสดงนำของ 2 ปี เพียงคนเดียว โพสเฟสแบบสนับสนุนคสช.และดูถูกคน นั้นสมควรหรือไม่
สงครามทางความคิดนี้ ทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวเมื่อ 2 ปีก่อน คือกรณีอิมเมจ
ถ้าคุณลืมไปแล้ว ประมาณเดือน ก.ค. ปี 2560 หรือ 2 ปีที่แล้ว
อิมเมจเคยทวิตเตอร์ว่า "เอาจริงๆนะ แค่ทำให้รถเมล์รถตู้มาสม่ำเสมอทุกเส้นทางยังทำไม่ได้เลย จะเอาอะไรไปเจริญออ ตลก"
"เหนื่อยใจ ไม่อยากเรียกที่นี่ว่าบ้าน"
"ยินดีที่จะทำงานหนัก ยินดีที่จะจ่ายภาษีและค่าครองชีพในเรทที่แพงกว่านี้ ถ้าwelfareในชีวิตประจำวันจะดีกว่านี้"
"ไม่รู้จะเอาอะไรมาภูมิใจละจริงๆกับที่นี่ 555"
ผลคือ เละ - อิมเมจโดนถล่มในข้อหา ไม่รักชาติ
สิ่งที่น่าสนใจคือ ตอนนั้นอิมเมจเละมากๆ ใครมาปกป้องก็โดนเละ ยากมากที่จะมีคนอยากปกป้อง ถูกแบน ไม่มีงาน
ความคิดฝ่ายรักแผ่นดิน ประเทศนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์ได้เข้มข้นมาก
คำถามของอิมเมจคือ Where we belong? ประเทศแบบนี้มันเป็นสถานที่ของเราจริงๆเหรอ? เราเรียกที่นี่ว่าบ้านได้จริงๆมั้ย?
ปรากฎการณ์ที่น่าสนใจคือ 2 ปีต่อมา คือโลกกลับหัวกลับหาง
กระแสสังคมกลับข้างได้ดุเดือดมาก ปั่นจั่นเละ ใครปกป้องปั้นจั่นก็เละ
ที่ตลกคือ คนที่เคยด่าอิมเมจเมื่อ 2 ปีก่อนก็เกิดมีมนุษยธรรม คิดว่ามนุษย์เราไม่เคยตัดสินกันเพราะสิ่งที่โพสในโซเชียล ไม่ควรแบนงานกันเพราะทัศนคติความคิดทางการเมืองขึ้นมา
ผมคิดว่าถ้า อิมเมจโพสแบบวันนั้น ในวันนี้ตอนนี้ นอกจากไม่โดนด่าแล้ว ยังจะมีคนชอบด้วย
เกิดอะไรขึ้น?
คำถามของปั่นจั่นคือ เราเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนสิ่งที่รัก กันได้ใน 2 ปี จริงๆ ใช่หรือเปล่า?
2 ปีก่อนคุณอาจจะรักประเทศแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ ตอนนี้คุณอาจจะเกลียดก็ได้
2 ปีก่อนคุณอาจจะรักรัฐบาลนี้ ตอนนี้คุณอาจจะเกลียดแล้วก็ได้
2 ปีก่อนคุณอาจจะรักกฎหมายบางข้อ วัฒนธรรมบางอย่าง ตอนนี้คุณอาจจะเกลียดมันแล้ว
ถ้ามองโลกในแง่ดีคำถามต่อไปจากเรื่องนี้คือ
ถ้าคนเราเปลี่ยนกันได้ ทัศนคติของสังคมเปลี่ยนไปในเวลาเพียงแค่ 2 ปี แล้วเราจะเปลี่ยน สถานที่ที่เราไม่ belong ให้เป็นสถานที่ที่เรา belong ได้หรือเปล่า?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พอยออฟวง พอยออฟวิว อัลไลนี่ไม่ได้รับประทานพี่โจวแน่นอน เพราะสำหรับพี่โจวนั้นหัวใจมันมอบให้คุณมัลลิการ์ไปคนเดวอ่ะครับ
จะเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เป็นฝ่ายซ้าย
ก็ติดหลักการ ติดคุณธรรม
แต่การต่อสู้ทุกวันนี้ ยิ่งใช้ไม้อ่อนก็ยิ่งโดนโจมตีกลับด้วยไม้แข็ง
ถือหลักการจึงเล่นแรงไม่ได้ ถึงขนาดโดนฝ่ายตรงข้ามตราหน้าว่าไร้น้ำยา
หลายครั้งฝ่ายตรงข้ามพลาดซักทีนึง ก็โดนขุดมาขยี้เสียเละเทะ ไม่ต่างอะไรกับที่ฝ่ายตรงข้ามทำ แต่ว่ามันเป็นยุทธวิธีที่เป็นการกระตุกหนวด slimได้เป็นระยะ เหมือนการรบแบบกองโจร
บางทีก็คิด การที่มีทั้งฝ่ายหลักการ ยึดคุณธรรม ทำงานบนกติกา กับฝ่ายฮาร์ดคอร์ ใช้ hate speech ใช้การล่าแม่มด ขุดอดีต แบบนี้
ควรจะยอมรับได้แล้วว่าฝ่ายต่อต้านเผด็จการ ไม่จำเป็นต้องมีแต่ฝ่ายที่ขาวสะอาด การที่มีฝ่ายที่เป็นกองกำลังด้านมืดบ้างนั้นจำเป็น
ถึงกระนั้นทั้งสองกลุ่ม ก็ไม่ควรต้องมาเกี่ยวข้องกัน ต่างคนต่างทำงานภายใต้แนวทางของฝ่ายตน เหมือนคนไม่รู้จักกัน และมีการประนาณมีด่ากันบ้างตามสมควร
ที่ว่ามานี่ไม่ใช่ว่าจะให้ลงถนนไปใช้กำลัง หรือยกทัพไปปิดทำเนียบ หรือไปฆ่าใคร แต่ยุทธวิธีแบบปัจจุบัน ที่มีเพจต่างๆแซะ แซว ขุด ก็ถือว่ามากใช้ได้แล้ว พวกนี้เป็นนักรบด้านมืด ที่ทำงานสกปรกไป โดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์แบบคนที่ทำงานตามหลักการ
ใครเห็นโพสท์นี้จะแคปไว้คอยดิสเครดิทผมทีหลังก็ได้ แล้วแต่เลย
แต่ถ้าวันใดคุณมีความคิดนึงแล่นเข้ามาในหัว "slimต้องรมแก๊ส" เราคือเพื่อนกัน
การสนับสนุนเผด็จการไม่ใช่ ‘การคิดต่าง’ การสนับสนุนนาซี ฟาสซิสต์ก็ไม่ใช่การ ‘คิดต่าง’ คำว่ายอมรับคนคิดต่างหมายถึง ‘คิดต่าง’ บนฐานของคนที่เชื่อในสิทธิมนุษยชน ปชต. ร่วมกัน ถ้าคุณสนับสนุนเผด็จการแปลว่าคุณไม่มีแนวคิดเรื่อง ‘คิดต่าง’ มาตั้งแต่ต้น แถมยังต้องการทำลายคนที่คิดไม่เหมือนคุณ
"ลองค้นเพจ Point of View ดูที่ Search Box พบคำอธิบายว่า "Writer • thinker • Storyteller"
ไอ้ชิบหาย แค่นี้กูก็ Red Flag แล้ว คนดีๆ ที่ไหนแม่งเรียกตัวเองเป็น Thinker"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ผมขอยืนยันว่า ในชั่วชีวิตเรา บางทีลูกเราด้วย จะต้องรบกันไปอีก และแย่งกันในระบอบเก่ากับระบอบใหม่นี้ เพราะเหตุเราจะต้องประสานกัน เราต้องการความสงบสุข เราต้องการสร้างชาติ เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้น เราจึงไม่ได้ทำอะไรเลยกับพวกที่เห็นตรงกันข้าม ใครจะไปไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ เมื่อเปรียบกับในต่างประเทศ ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า เราทำมาผิดกันไกล เช่น ฝรั่งเศสปฏิวัติกัน เขาก็ฆ่ากันนับพัน ๆ คน จนถึงกับเอาใส่รถใส่เกวียนไปฆ่ากัน ส่วนเราเปลี่ยนกัน เปลี่ยนทั้งพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนทั้งอำนาจอะไรต่ออะไรด้วย เราก็ไม่ได้ทำอะไรกันเลย มิได้มีการเสียเลือดเนื้อกันเลย และผมว่า ในชีวิตเรา ในชีวิตลูกของเรา พวกรักระบอบเก่าแก้แค้นก็ไม่หมด เพราะว่าเราปล่อยไว้ อย่าว่าแต่การเปลี่ยนระบอบการปกครองและเปลี่ยนพระมหากษัตริย์เลย ขอให้มองดูใกล้ ๆ การเปลี่ยนแต่พระมหากษัตริย์ ตัวอย่าง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เปลี่ยนจากพระเจ้าตากมาแล้ว ฝ่ายพระเจ้าตากเป็นอย่างไร ฝ่ายพระเจ้าตากต้องถูกประหารชีวิตหมด ถึงกระนั้นก็ดี ตอนหลังก็ยังปรากฏว่าจะมีการแย่งกันอีกเล็กน้อย นี่ตัวอย่างที่เราเป็นมาแล้ว ...แต่เราไม่ได้ทำอันตรายใครเกินเหตุ จึงทำให้พะวักพะวนอยู่ แต่ห่วงพวกรักระบอบเก่า ...พวกผมขอให้หมด ปิดฉากพยาบาทกัน แต่พวกตรงข้ามเขาไม่ยอม ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เขาแสดงทีท่าว่า ต่อให้ถึงลูกหลานเหลนของเราก็ต้องรบกันอยู่นั่นเอง ก็มีปัญหาขึ้นว่า ถ้าเช่นนั้นทำไมจึงไม่แก้เล่า ถ้ามีการแก้ ก็ต้องทำเด็ดขาดอย่างพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงปฏิบัติกับพวกเจ้าตาก ซึ่งได้ผลดีมาแล้ว แต่เราทำไม่ได้ จะไปล่มเรือฆ่ากันอย่างนั้นพ้นสมัย และกลัวบาปด้วย แต่ฆ่า ๑๘ คนเท่านี้ก็พออยู่แล้ว เป็นประวัติการณ์ที่เรายังไม่ลืมเหตุการณ์อันนี้ ถ้าเราจะให้หมดไปจริง ๆ ที่จะให้ระบอบใหม่นี้มั่นคงแล้วจะเป็นอย่างไร ดูอย่างฝรั่งเศสเมื่อครั้งพระเจ้าหลุยที่ ๑๖ นั้น เอาไปประหารกันทีเดียว อีกอย่างหนึ่ง เราจะปราบด้วยวิธีอื่นก็ได้ พวกที่อยู่ในระบอบเก่าไม่เปลี่ยนหัวมาเป็นระบอบใหม่ ก็ให้หนีไปเสียจากเมืองไทย สภาฯ นี้ก็อนุมัติให้รัฐบาลทำได้ ให้ออกกฎหมายว่าพวกนี้ให้ผมริบทรัพย์ แล้วเนรเทศไปให้หมด"
มึงเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ยังไง ถึงเชื่อวาทะกรรมควายๆ ของพวกเผด็จการ ก็รู้อยู่นี่ว่าผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ คณะราษ 2475 มันแพ้ยับ แต่ละคนก็ตกยากลำบาก ส่วนเผด็จการร่ำรวยสุขสำราญ มึงก็น่าจะเห็นภาพนะเว้ย เรื่องง่ายๆ แค่นี้อะ ถึงว่าละทำไมไม่ค่อยทำคลิปประวัติศาสตร์ไทย อย่างตุลาทมิฬ เพราะเป็นสลิ่ มเลียเผด็จการและชอบการกดขี่นี้เอง เหี้ยสุดก็คือดีใจที่เห็นคนคิดต่างโดนยิงตาย ลุงที่โดนยิงก็แค่ประชาชนคนหนึ่งไม่ใช่ผู้ร้ายหรือโจร มึงเลวระยำเกินไปแล้ว กูไม่คิดเลยว่ามึงจะมีความคิดต่ำตมได้ขนาดนี้
ไม่ได้ไปยืนดูครับ เพียงลงรถไฟฟ้าที่สถานีมาบุญครองแล้วนักข่าวมาขอสัมภาษณ์ตำรวจจึงยัดข้อหาว่าเป็นแกนนำจัดการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งตามกำหนดครับ เหมือนเมื่อครั้งที่ไปรับของฝากจากเฮียปอที่อาคารจอดรถสวนสัตว์ดุสิตเมื่อวัน 30 ก.พ. 60 ตำรวจยัดข้อหาเป็นแกนนำจัดชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ
ต่อไปนี้ผมจะเดินผ่านที่ชุมนุมใดไม่ได้เลยครับ เพราะคนระยำมันจะยัดข้อหาผมเป็นแกนนำจัดการชุมนุม
“ไปตามกรณี Point of View มาพักใหญ่ อ่านทั้งคนที่ขุด คนที่เคยเป็นเพื่อนขุดมาเล่า ถึงเพิ่งรู้ว่าเธอคือป้าแว่นในทวิตเตอร์เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งตอนนั้นเธอน่าจะโดนด่าจนหันไปทำชาแนลในยูทูปจนโด่งดังแทน
ต้องบอกก่อนว่าเรื่องแนวคิดทางการเมือง คนเราเปลี่ยนกันได้นะ ผมเป็นคนหนึ่งที่ผ่านทั้งช่วงเกลียดทักษิณ เป็นส ลิ่ม จนตาสว่างนิดๆ จนตาสว่างเต็มที่ แต่ก็ได้แต่เงียบๆ ในโลกความเป็นจริง ไม่ได้แตะการเมืองเวลาพูด ไม่ได้วิจารณ์ใคร หรือพูดง่ายๆ ก็เก่งแต่ในเฟซ ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่ได้มีพาวเวอร์พอจะไปจูงใจคน และมีเพื่อน ญาติ และใครอีกหลายคนที่รู้จักในโลกความจริงที่คิดตรงข้ามคนละขั้วกับเรา เพราะรู้ว่าถ้าข้อมูลไม่แน่นจริงก็เถียงแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากทะเลาะกัน
กรณีของ Point of View ที่ผมรับไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องทวีตว่าจะฟ้องเพื่อนเรื่อง ม.112 หรือสะใจกับการที่มือปืนป๊อปคอร์นยิงคนตาย กรณีแบบนี้การที่ผมมีคนรู้จักจำนวนไม่น้อยอยู่อีกฝั่ง ก็กล้าพูดได้ว่ามุมมองแบบนี้ในโลกของเขา เป็นคนละแบบกับโลกของเรา เขาเห็นในอีกมุม เช่น กรณีมือปืนปีอปคอร์น เขาไม่รู้หรอกว่าคนตายเป็นแค่ลุงแก่ๆ เข็นรถขายผลไม้ แต่ในข่าวที่เขาเสพ ชายคนที่ถูกยิงคืออันธพาลพวกของโกตี๋ที่จะมาทำร้ายผู้ชุมนุมใน กปปส.
ที่พูดนี่ไม่ได้ปกป้อง Point of View จากกรณีนี้แต่อย่างใด เพราะโพสเธอที่แสดงความสะใจกับกรณีแบบนี้ยังไงก็ไม่ควร
กรณีที่รับไม่ได้จริงๆ คือช่วงที่ บก.ลายจุด ต่อต้านการรัฐประหาร หนีกบดานไม่ยอมรายงานตัว แล้วเธอไปทวีตถามว่าช่วงที่หนีนั่นสนุกไหม ? ไหวไหม ? พอ คุณหนูหริ่ง หรือ บก.ลายจุด ทวีตตอบว่าก็พอไหว แล้วเธอก็บอกว่าโดนอายัดบัญชี ลูกไม่มีเงินเรียน ทำแบบนี้สนุกเหรอ ? โห อันนี้เข้าขั้นระราน
เท่าที่อ่านเพื่อนที่ขุดมายังยืนยันว่าเธอระรานคนอื่นในทวีตอีกหลายคนจนเป็นที่มาของป้าแว่นในตำนานทวิตเตอร์ช่วงหนึ่ง
ส่วนตัวผมยังไม่เห็นด้วยกับการขุดอดีตบางส่วนมาโจมตีกันทางการเมืองนะ ยิ่งเป็นคนรู้จักเป็นเพื่อนกันก็ลองหาทางคุยกันดีๆ ก่อน(เพราะจริงๆ นี่แหละที่ยากที่สุด ผมเองยังทำไม่ค่อยได้) เพราะคนเราเปลี่ยนกันได้เรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งมันอาจจะหยุดเปลี่ยนก็ว่ากันไป...แต่กับอดีตบางคนพอมันมีมากเยอะๆ เข้า เราจะไปห้ามคนที่เคยเป็นอริให้รับฟังคงยากแล้ว”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อีกหนึ่งตัวอย่างที่เกิดขึ้นเพราะความไร้ประชาธิปไตยและโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เป็นธรรมอ่ะครับ ถ้าไทยมีประชาธิปไตยและเป็นรัฐสวัสดิการรับรองว่า https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1037144
ตรีโกณมิติ ทนายด่างเอามาใช้คำนวณระยะห่างพื้นที่ในคดีกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง
จำได้มั้ย ที่ฉันเคยเล่าว่า ทุกครั้งที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ฉันจะถ่ายเก็บฟุตเอาไว้เยอะมาก เพื่อเอามาตัดต่อเป็นหนัง ซึ่งตอนนั้นเป็นการถ่ายโดยที่ยังไม่มีพล็อตเรื่องในหัว
ทีนี้ พอกูคิดออกแล้วว่าจะทำเรื่องฮาๆเกี่ยวกับคนไทยไปรับจ้างถ่ายหนัง AV กับคนไทยไปเป็นดาราหนัง AV ที่ญี่ปุ่น โดยครั้งหน้าก็จะไปถ่ายเก็บฟุตมาเพิ่มอีก
อีดอก Netflix ก็เสือกทำซีรี่ส์เรื่องนี้ออกมาพอดี จบเลยจ้า ไปต่อไม่ถูกเลย ต้องยกเลิกพล็อตเก่า เพราะขืนยังทำต่อ คนก็จะหาว่าก็อปไอเดียจาก Netflix อีสัส เลยต้องล้มเลิกพล็อตเก่า ต้องเปลี่ยนพล็อตใหม่อีกแล้ว
"...โนบิตะ ในอีก 45 ปี ข้างหน้า..."
"........เด็กที่ไหนจะไปนึกออกกันครับ ว่าอีก 45 ปีข้างหน้า ตนเองจะเป็นยังไง มีแต่ผู้ใหญ่วัยใกล้ๆ 30 นั่นแหละครับ ถึงจะเริ่มนึกออก
อาจเพราะเหตุนี้ ผมจึงยิ่งนึกถึงโดเรมอน ตอนนี้มากขึ้น ยิ่งปีนี้ผมสอนวิชาโครงงานอิสระ โดยให้เด็กนักเรียนสวนอนันต์ ม.5/2 ห้องประจำชั้น ทำ”สมุดแห่งกาลเวลา” ที่พูดถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตนเองด้วยแล้ว ผมยิ่งนึกถึงโดเรมอนตอนนี้ (ปัจจุบันผมย้ายกลับมาประจำที่สวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนเก่าสมัยผมเรียนมัธยม ได้หลายปีแล้วครับ)
แม้จะเป็นตอนที่ไม่ค่อยดัง แต่ตอนเด็กๆผมเคยอ่านตอนนี้อยู่ และสิ่งที่สัมผัสได้ตั้งแต่ตอนนั้นก็คือความรู้สึกเศร้าแปลกๆ และยิ่งเติบโตขึ้น ความรู้สึกแบบนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้น
โดเรมอน ตอนนี้ เล่าถึงวันที่แสนเซ็งของโนบิตะ ในวัย 10 ขวบ ที่ทั้งถูกเพื่อนไล่ต่อย , พ่อแม่ก็ดุ อะไรก็ดูเซ็งๆไปหมด แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ก็พบว่าโดเรมอนพาชายวัยกลางคนมาด้วย และชายคนนี้ก็คือโนบิตะในอีก 45 ปีข้างหน้านั่นเอง (คือโนบิตะ ในวัย 55 ปี)
โดเรมอนบอกว่า เห็นเขาอยู่บ้านคนเดียวท่าทางเหงาๆ ก็เลยพากลับมาเยี่ยมโนบิตะในวัย 10 ขวบ แล้วก็ขอสลับร่างกันเพื่อสัมผัสชีวิตวัยเยาว์อีกครั้ง ซึ่งโนบิตะเด็กก็ยอม
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ก็คือ คนแก่ในร่างเด็กสมชื่อ เพราะโนบิตะวัยกลางคน ที่ได้กลับมาอยู่ในร่างเด็กอีกครั้งนั้น มองเห็นทุกๆอย่างสดใสไปหมด
- พอไปเจอชิซูกะ ก็พูดแต่ว่า ลูกเรามันโตแล้วนะ มันแต่งงานและไปฮันนีมูนแล้วนะ
- พอไปเจอไจแอนท์ กับ ซึเนโอะ มาไล่ต่อย ก็ไม่หนีไปไหน แถมยิ้มแย้มดีใจ เฝ้าบอกแต่ว่า ดีใจจัง พวกนายในตอนนี้ยังแข็งแรงดีอยู่เลย
- พอไปเจอคุณแม่เรียกไปดุ ก็ร้องไห้ดีใจ เฝ้าบอกแต่ว่า คุณแม่ยังสาวอยู่เลยในตอนนี้
- พอคุณพ่อกลับบ้านตอนเย็น ก็วิ่งไปต้อนรับอย่างดีใจสุดๆ ที่ได้เจอคุณพ่อในวัยที่ยังแข็งแรงอีกครั้ง
- ตอนกินข้าวเย็น ก็เอาแต่บอกทุกๆคนว่า "อาหารบ้านเราอร่อยที่สุดเลย" จนคุณแม่คุณพ่อยิ้มแย้มดีใจกันไปหมด
ฯลฯ
หลังจากสลับร่างกันจุใจแล้วก็คืนร่างกัน แต่ก่อนกลับไปสู่อนาคต โนบิตะวัยกลางคน ก็หันมาบอกกับโนบิตะเด็กว่า
"นับจากนี้ไปนายจะต้องล้มลุกคลุกคลานอีกหลายหน แต่ทุกครั้ง นายก็จะสามารถยืนหยัดขึ้นมาได้พร้อมความเข้มแข็ง แน่นอน"
ครับ อาจารย์ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ ก็คงเขียนโดเรมอนตอนนี้ ด้วยความรู้สึกของตนในยามชราเช่นกัน ถึงได้เข้าใจเหลือเกินว่า ถ้าได้ย้อนกลับไปยังวัย 10 ขวบอีกครั้ง โนบิตะวัยกลางคน คนนั้น จะดีใจมากขนาดไหน เมื่อได้เจอกับคนต่างๆ ที่อาจจะจากเขาไปแล้ว หรือร่างกายเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ตามกาลเวลา
ผมกลับมานึกถึงโดเรมอนตอนนี้ แล้วหันไปดูรูปแม่ของผมตอนท่านยังสาวๆกว่านี้ ผมยังซึ้งตามไปด้วยเลยครับ นี่ถ้านึกถึงคุณตาคุณยายที่จากไปแล้ว ก็คงเศร้ากว่านี้อีก
เพราะคนรอบข้างเรา รวมทั้งตัวเรานั้น ล้วนเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ดังนั้น ทำชีวิตของเราและดูแลคนรอบข้างให้ดีที่สุดเถอะครับ เพราะในชีวิตจริงๆนั้น เราไม่มีไทม์แมชชีนแบบโดเรมอน ที่จะย้อนกลับไปดูอดีตได้ เรามีแต่เพียงความทรงจำของเราเท่านั้น ที่จะบอกกับตัวของเราได้ว่า เราภาคภูมิใจแล้วหรือยัง กับความดีงามที่เราได้ทำไว้ ในทุกๆช่วงเวลาของชีวิต........"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Dear LGBT,
If you don’t want to be treated differently for being gay, then stop acting like being gay somehow makes you special.
Your sexual orientation is neither an achievement nor a holiday.
You have not accomplished anything simply by being attracted to one sex or another.
"เวลาเราบอกว่าเราไม่ควรจะสะใจกับความชิบหายและความตายของฝ่ายตรงข้ามเนี่ย
ส่งที่ต้องตระหนักคือขนาดประชากรพวก "ประเทศเจริญแล้ว" แม่งก็ยังทำไม่ได้เลยนะครับในภาวะขัดแย้งทางการเมือง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไม่จริง! มาม่าเป็น Inferior Goods การเติบโตของ Demand จะสวนทางกับรายได้ของผู้บริโภคเสมอ การที่มาม่าเติบโตพรวด แสดงว่าคนไทย”จนลง”อย่างมีนัยสำคัญ
ช่วงนี้เจอคนส่งมาสมัครงานเยอะมาก เข้าใจว่าเป็นช่วง High Season (เงินเดือนขึ้น + ได้โบนัสแล้ว)
นั่งคุยกับ HR เมื่อสัปดาห์ก่อน พอนั่งรีวิว Candidate ไปเรื่อยๆ พบ pattern บางอย่างที่คล้ายกันมาก
ประสบการณ์ทำงานไม่เกิน 3 ปี
- พบว่าย้ายบริษัทกันบ่อยมาก ส่วนใหญ่ย้ายงานกันทุกปี
- สถิติสูงสุดทำงาน 3 ปี ย้ายงานมา 6 บริษัท
- จริงๆ เข้าใจว่าคนทำงานช่วงแรกหลังเรียนจบ ต้องการเรียนรู้อะไรหลายอย่าง แต่ย้ายงานทุกปี ส่วนใหญ่คือไม่เรียกมาคุยเลย
- เคยเจอน้องที่ทำงานแต่บริษัทดีๆ มาทั้งนั้นเลย แต่ย้ายงานบ่อยจน HR ทักว่า รับมาก็อยู่ไม่นานหรอกพี่ เดี๋ยวก็ไป
.
ประสบการณ์ 3-7 ปี
- พบว่าหลายคนอยากลองเปลี่ยนสายงาน คือทำอย่างเดิมมา 5 ปี มารอบนี้อยากลองทำอย่างอื่น ซึ่งพอเปลี่ยนงานแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้ port น้อยกว่าเด็กหลายคน จนน่าเสียดาย
- จริงๆ เปลี่ยนแนวทาง เพราะคิดว่าสายเดิมไม่รุ่งก็โอเค แต่อาจจะต้องพัฒนา port เพื่อสู้กับคนที่ทำงานสายนี้มานานกว่ามากๆ
- พบว่าหลายคนยึดติดกับรูปแบบการทำงานเดิม จะไม่ค่อยอยากเปลี่ยนวิธีทำงาน
.
ประสบการณ์ 7+ ปี
- เปลี่ยนยากมากกกก หลายคนบอกว่าพร้อมเปลี่ยนตัวเอง แต่เอาเข้าจริงก็ปรับยากจริงๆ
- ทักษะบางอย่างที่ทำงานมา 7 ปี ต้องทิ้งไปหมดเพื่อเริ่มใหม่ ทำให้หลายคนก็ไม่พร้อมที่จะเรียนรู้
- เจอคนที่น้ำเต็มแก้วเยอะพอควร
- เงินเดือนสูง แต่ความต้องการก็สูงมากตามไปด้วย มองหาความมั่นคงเป็นหลัก ไม่พร้อมอยู่บริษัทเล็ก
- ไม่ทำ resume เลยก็มี อาจจะเพราะอยู่มานานจนไม่พร้อมย้ายงานใหม่
.
resume
- พบกราฟพลังเป็น pattern ของ resume สมัยนี้ ซึ่งมันอธิบายยากอ่ะ เช่น photoshop 7/10, ai 8/10 แล้วเราก็ไม่รู้ว่า 7 หรือ 8 นี่คือแค่ไหนล่ะหว่า
- port งานวิดิโอมักไม่ใส่ link ให้ดูคลิป
- port งานเขียน มักไม่ใส่ link เช่นกัน
- ไฟล์ส่งมาใหญ่มากๆ บางอีเมล์ใหญ่ 30MB ส่วนไฟล์ port ให้ไปโหลด ใหญ่ 300-500MB (เคยเจอสูงสุด 3GB)
#ช่วงบ่นวันละนิด #อ่านเมล์ต่อไป
ทำไมผมห่วง การซ่อน Hidden Agenda มากกว่าการทำร้ายร่างกาย เพราะมันคือการสร้างสถานการณ์ที่สุดท้ายจะจบที่การหลอกคนมาลงถนน เพื่อตายแทนผู้มีอำนาจอีกครั้ง และใช่ครับ
ณ. วันนี้ผมเชื่อในแนวทางการต่อสู้กับอำนาจว่า "ไม่ต้องทำอะไร"
อย่างเคสจ่านิว ถ้าไม่ใช่ตัวเลขยอดเงินที่มี hidden agenda ชัดเจนก็ยังอยากช่วยนะรอบนี้ แต่ว่า พอทำ hidden agenda ชัดเจนแล้ว ...
ถึงยุคทมิฬมาร จะครองเมืองด้วยควันปืน
ขื่อแปจะพังครืน และกลิ่นเลือดจะคลุ้งคาว
แต่คนย่อมเป็นคน ในสายธารอันเหยียดยาว
คงคู่กับเดือนดาว ผงาดเด่นในดินแดน
- จิตร ภูมิศักดิ์
ปกตินิสัยผมชอบโอนเงินช่วยคนแทบทุกเคส
ของน้องนิวผมก็ทำนะครับ แต่ไม่ได้ทำยอด 247.5 (ตาม propaganda กระตุ้นชุดความคิดในสมอง การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475) ผมเชื่อว่าแม่น้องเค้าก็ไม่ได้คิดแคมเปญนี้เอง
ผมช่วยเพราะผมเคยร่วมกิจกรรมกับน้องเค้าไปช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน ที่มีครูวัลลภ (ครูหยุย) นำทีมทำกิจกรรมเมื่อนานมาแล้ว ผมชอบที่น้องเค้ามองเห็นค่าความเป็นคนของคนเท่าเทียมกัน
แต่เราเดินคนละเส้นทาง เพราะทุกวินาทีที่หายใจผมยังรักในหลวงอยู่
Where We Belong ไม่ได้รับประทานพี่โจวแน่นอน สำหรับพี่โจวต้องเรื่องนี้เท่านั้นอ่ะครับ ตอนนี้ติดต่อนายทุนข้ามชาติจะมาลงทุนสร้างภาค 2 ได้งบมา 30 ล้านโบลิวาร์ https://youtu.be/NuSSUpaQWZQ
จากที่เคยใช้สันติบาลลับๆล่อๆ ตามนักกิจกรรม คาดว่าวิกฤตครั้งนี้ ภาครัฐจะเสนอความคุ้มครองให้นักกิจกรรม คาดว่าอาจใช้ทหารเข้ามาประกบเลย ซึ่งก็จะกลายเป็นดาบสองคมไปอีกรูปแบบหนึ่ง
ภาคประชาชนอาจจะต้องมีโครงการ 'บอดี้การ์ดภาคประชาชน' ปฏิเสธความคุ้มครองจากฝ่ายรัฐ อาจต้องใช้คนกลางมาทำหน้าที่นี้แทน เท่าที่มองๆ ไว้หากเราระดมทุนกันได้มากพอ (อาจจะขอองค์กรสิทธิจากต่างประเทศด้วย) ต้องนำเข้ามืออาชีพอย่างพวกบริษัท Black Water มาคุ้มกันอ่ะครับ
>>942
"... You need to just stop
Like can you just not
Step on my gown
You need to calm down."
https://www.youtube.com/watch?v=GWtfOHBF1_w
การทำร้ายจ่านิว กับการถอนหมุดคณะราษฎร
นั้นเป็นสิ่งที่รัฐบาลคณะรัฐประหารไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้
แต่มีจุดเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ
ทั้ง 2 เหตุการณ์นั้น รัฐบาลคณะรัฐประหารไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
มีแต่เสียงด่า
LGTV : เราก็คนปกติเหมือนกับพวกคุณ! เลิกความคิดที่ว่าLGTVเป็นพวกลามกได้แล้ว!
Also LGTV : ไพรด์พาเรดครั้งนี้ เราจะใส่ชุดหนังเปิดช่องตูดควงดิลโด้เดินร่อนให้ทั่วถนนไปเล้ย แซ่บๆค่า
ไอ้บ้ากาม
- มิตรสหารท่านหนึ่ง
>>957 ก็พวก LGBT กับSJW เหยียดคนที่ไม่โอเคกับ LGBT ไง แบบ James Charles อ่ะมึง กระอักกระอ่วนชิบหายเลยนะ กรณี
Shawn Mendes จะปฏิเสธก็อะ เหยียดเพศ ถามว่าตัวเองทำตัวยังไงดีกว่า ถ้าไปทำกับผญ สุดท้ายมึงก็ด่าเค้าว่าหน้าไม่อาย ล่วงละเมิดทางเพศเหมือนกันนั่นแหละ หรือ ญ ทำกับ ชก็เช่นกัน เป้าหมายของกูคือพวก LGBT wannabe ที่ทำตัวแรงๆ นึกว่าตัวเองเฟียสนักหนามั้ง สุดท้ายเป็นแค่คนไม่มีมารยาท
LGBT กับ SJW คือตัวอย่างของพวกที่ฝืนธรรมชาติ
หลังจากที่ดิชั้นโพสต์เปิดโปงไปเมื่อวาน เรื่องมือที่อยู่เบื้องหลังการตีจ่านิวว่ามาจากราชวัลลภ เป็นเด็กของอภิรัชต์ จากนั้น ว ชิราลงกรณ์ฉุนเพราะเหมือนถูกดึงมาเกี่ยวข้องด้วย เลยมีการสั่งตรวจสอบเรื่องนี้ ซึ่งอภิรัชต์อาจจะซวย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตำรวจต้องรีบหาแพะ ใครก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับทหาร เอาจริงๆ ประวิตรถูกกดดันมา เลยสั่งให้จักรทิพย์ออกหน้า คิดว่าต้องหาแพะแน่ๆ แล้วโบ้ยเป็นเรื่องส่วนตัว เอามาแค่เป็นคนสมอ้างแทนทหาร
เพิ่งรู้ว่าคนแถวบ้านล้มละลายเป็นอาชีพ แบบไปกู้แบงค์มา60ล้าน ซื้ออะไรไม่รู้มาใส่โกดังแล้วปล่อยล้มละลาย แบงค์ยึดที่ไปไม่ได้กี่ล้าน ตัวเองซุกเงินไป47ล้านแล้วก็ย้ายที่ไปทำใหม่ใช้ชื่อลูกชาย เปลี่ยนแบงค์กู้ เริ่มใหม่อีกรอบ
คนไทยกลุ่มหนึ่งแค่เก็บเงินไปเที่ยวพัทยาภูเก็ตได้ปีละครั้งก็ดีใจสุดๆแล้ว ขณะที่คนไทยอีกกลุ่มเอะอะไปเดินเล่นอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา สวิส บ่อยๆเหมือนนั่งรถจากบางแคไปบางกะปิ แล้วคนกลุ่มนี้ก็มักบอกว่า "เราไม่รวยหรอก เราแค่พออยู่ได้ เอ้ะ ไปเที่ยวยุโรปนี่ต้องรวยเหรอ ชั้นว่าเป็นเรื่องปกติ ใครๆก็ทำนะ"
เห็นมั้ย ช่องว่างระหว่างชนชั้นของคนไทย
https://medium.com/@hanke_598/fujoshi-expression-of-desire-67b0fc01c050
นักศึกษา phd neuroscience เค้าวิจัยย้อนไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมอังกฤษ
พวกฟุนี่มันเกิดมาจากการถูกทำให้ผิดหวังโดยผู้ชายน่ะ เช่นหน้าตารูปลักษณ์แย่ทั้งชาติไม่มีทางเข้าถึง ผชดีๆ
หรือมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพ่อตัวเอง มันเลยตอนหาทางปลดปล่อยความเก็บกดทางเพศด้วยจินตนาการ
ฟุจึงเกิดขึ้นมาจนเป็นปัญหาสังคมอย่างทุกวันนี้ไง แล้วมักจะมีรูปลักษณ์แย่ นิสัยแย่ สภาพจิตไม่ปกติ สังคมแบน
กาลิเลโอน่าจะเป็นเสรีชนคนแรกๆ ที่ถูกทรราชจับตัวไป "ละลายพฤติกรรม" แล้วก็ละลายสำเร็จเสียด้วย
เรามักจดจำเขาในฐานะยอดนักวิทยาศาสตร์ ที่ต่อสู้กับความงมงายของศาสนจักร แต่เบอร์โทล เบรคช์ท์ ยอดนักเขียนแห่งไวมาร์ มองกาลิเลโอจากอีกมุมหนึ่ง
ในบทละครของเขา กาลิเลโอ แม้จะเป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็ยังเป็นคนธรรมดา เขาหวาดกลัวการถูกทรมาน กลัวความยากลำบากในคุก ฉากไคลแมกซ์ของละคร ลูกศิษย์ลูกหานั่งรอชายชรา หลังจากเขาถูกสังฆราชเรียกให้ไปรายงานตัว ทุกคนเชื่อว่าอาจารย์จะต้องไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง กาลิเลโอจะไม่มีวันกลับคำ ไม่มีวันปฏิเสธการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง
ชายชรากลับบ้านมาด้วยความอ่อนล้า และก่อนจะได้ทันเปิดปากพูดอะไร เสียงคนเดินสารตะโกนดังมาจากนอกเวที กาลิเลโอสารภาพแล้วว่าทุกสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ โลก และกล้องโทรทรรศน์เป็นเพียงเรื่องโกหก
ลูกศิษย์ที่เชื่อมั่นในตัวชายชราที่สุด มองอีกฝ่ายอย่างผิดหวังแล้วรำพึงออกมา
"...อนาถแท้ แผ่นดินใดไร้วีรชน..."
กาลิเลโอไม่โต้ตอบอะไร กระซิบกลับมาเบาๆ
"...อนาถแท้ แผ่นดินใดหวังพึ่งวีรชน..."
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สังเกตมะ ขนาด Facebook ล่ม โพสต์รูปไม่ขึ้น แต่อีพวกคนหล่อๆ แม้มันจะโพสต์รูปแล้วไม่ขึ้น แต่ก็ยังมีคนเป็นร้อยกดไลค์ให้รูปที่มองไม่เห็น
สรุป คนหล่อเนี่ย โพสต์เหี้ยอะไรก็ได้ไลค์ ส่วนคนกดไลค์ให้ พวกมึงก็ปัญญาอ่อนกันเนอะ
พวกที่มาบ่นเรื่องไลค์ของชาวบ้านในโม่ง แม่งปัญญาอ่อนยิ่งกว่า
เจอคนกดไลค์ละ 1
แอเรียล = นางเงือก
นางเงือก = อยู่ใต้ทะเล
อยู่ใต้ทะเล = ดำน้ำ
ดังนั้นแอเรียลเป็นคนดำก็ถูกแล้วครับ
โวยวายอะไรกัน
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
[คอลัมน์กรุงเทพธุรกิจ] โลกที่แตกเป็นสองห่วงโซ่
ช่วงที่ผ่านมา หลายคนเข้ามาสอบถามความเห็นของผมเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทุกคนอยากรู้ว่า ตกลงใครจะชนะในสงครามกันแน่?
แต่วันนี้ผมอยากชวนเพื่อนๆ มองข้ามไปอีกช็อต โดยอยากชี้ให้ทุกคนเห็นว่า การค้าโลกจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว และเราทุกคนต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นยุคโลกาภิวัฒน์เต็มตัว นั่นก็คือ การค้าทั้งโลกเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะสองแกนสำคัญคือจีนและสหรัฐฯ ต่างเชื่อมโยงกันมาก ทุนจากสหรัฐฯ เข้ามาผลิตในจีน ส่งขายไปยังตลาดโลก
ในทางวิชาการ จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) กล่าวคือ แต่ละประเทศผลิตของตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของตน สหรัฐฯ มีความได้เปรียบที่ทุน ส่วนจีนมีความได้เปรียบที่แรงงาน ประเทศอื่นๆ เองก็เข้าเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมโยงกับสองประเทศนี้ (ตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของแต่ละประเทศ) และเกิดการค้าขายเชื่อมกันทั้งโลก
ตัวอย่างเช่น กว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อย่างหนึ่ง อาจได้ทุนมาจากประเทศหนึ่ง ได้ชิ้นส่วนหนึ่งมาจากอีกประเทศ ได้อีกชิ้นส่วนจากอีกประเทศ แล้วมาประกอบขึ้นที่อีกประเทศ เพื่อส่งไปขายยังอีกประเทศ นี่แหละครับคือห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมต่อกันทั้งโลก เป็นโลกใบเดียว ห่วงโซ่เดียว แต่ละภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างรู้ว่าห่วงโซ่นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
เราค้าขายกันอย่างนี้มา 20 ปี จนสามารถผลิตของได้ด้วยต้นทุนที่ถูก มีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าในเกมนี้ มีทั้งผู้ชนะ และผู้แพ้ แต่อย่างน้อย ทุกคนรู้ว่าตนรับผลิตอะไร ขายใคร ทุกคนรู้ว่าตนเป็นส่วนไหนในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าต่างๆ
แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ สงครามการค้าทำให้เกิดการเขย่าห่วงโซ่อุปทานโลกครั้งใหญ่ และโลกการค้าจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อสหรัฐฯ ขึ้นกำแพงภาษีจีน (และขู่จะขึ้นภาษีอีกหลายประเทศ) จึงทำให้ปั่นป่วนกันทั้งโลก ธุรกิจต่างๆ ต้องมานั่งวางแผนกันใหม่ว่าจะวางห่วงโซ่อุปทานการผลิตและการขายกันอย่างไร จึงจะหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ได้
เราจึงเห็นธุรกิจในจีนเริ่มย้ายออกจากจีนมาหาแหล่งผลิตอื่น ส่วนธุรกิจที่ยังผลิตในจีนก็เริ่มสนใจจะบุกตลาดผู้บริโภคอื่น แทนที่จะส่งไปขายสหรัฐฯ
ผมได้แนะนำนักธุรกิจหลายท่านว่า สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ การตื่นตัวกับเส้นทางการค้าที่กำลังตายและที่กำลังก่อร่างใหม่ เราต้องเริ่มถามว่า ในธุรกิจหรือสินค้าของเรา เส้นทางการค้าและห่วงโซ่การผลิตกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตเดิมที่ส่วนอื่นๆ ในห่วงโซ่นั้นกำลังถูกเขย่าหรือไม่และถูกเขย่าอย่างไร สุดท้ายห่วงโซ่ที่กำลังเกิดใหม่จะกระทบหรือสร้างโอกาสใหม่ให้เราได้อย่างไร
เมื่อทรัมป์เจอกับสีจิ้นผิงครั้งล่าสุดในการประชุม G20 ที่โอซาก้า ข่าวออกมาเหมือนกับว่าสงครามการค้าระหว่างสองประเทศพักรบแล้ว ทั้งสองฝ่ายตกลงกลับมานั่งโต๊ะเจรจา คนที่ยังมองโลกในแง่เดิมเห็นว่า ต่อไปในอนาคตก็คงจะตกลงกันได้ หรือสุดท้ายถ้าทรัมป์แพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า สงครามการค้าก็คงยุติได้จริงๆ โลกก็จะได้กลับมาสงบสุขคาดเดาได้ดังเดิมเสียที
แต่ข้อเท็จจริงก็คือ โลกจะไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมหรอกครับ เพราะเมื่อทรัมป์ทำสงครามการค้าแบบนี้ได้ จีนจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ผู้นำสหรัฐฯ คนอื่นจะไม่ทำเช่นกัน วันหนึ่งอาจจะกลับมาเล่นลูกบ้าแบบทรัมป์เมื่อไรใครจะรู้
เพราะฉะนั้นในมุมของจีน ยุทธศาสตร์ระยะยาวจึงต้องพยายามปรับห่วงโซ่อุปทานสินค้าของตนใหม่ให้แยกออกจากสหรัฐฯ โดยต้องกระจายความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตและหาตลาดใหม่เพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน ในมุมของสหรัฐฯ เอง ภัยคุกคามจากจีนก็ทำให้ยุทธศาสตร์ระยะยาวของสหรัฐฯ ต้องการแยกห่วงโซ่การผลิตสินค้าของตนออกจากจีนเช่นเดียวกัน เพราะสหรัฐฯ มองว่าการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนเชื่อมโยงกันมากอย่างในอดีต ทำให้สหรัฐฯ สูญเสียอำนาจการต่อรอง ดังนั้น สหรัฐฯ จึงต้องการบีบให้บริษัทสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน และเริ่มหาตลาดใหม่ที่ไม่ใช่จีน
ผลที่ออกมาก็คือ เรากำลังสิ้นสุดยุคโลกาภิวัฒน์ที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว มาสู่ยุคที่ห่วงโซ่อุปทานโลกจะแตกเป็นสองห่วงโซ่ที่แยกจากกัน
ห่วงโซ่หนึ่งเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมกับจีน ซึ่งจีนน่าจะเน้นแกนของห่วงโซ่ที่ภูมิภาคเอเชียและในจีนเป็นหลัก ทั้งในเรื่องฐานการผลิตและฐานผู้บริโภค โดยสำหรับฐานผู้บริโภคนั้น อย่าลืมนะครับว่าในจีนกำลังมีคนยากจนที่กำลังขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางอีก 600 ล้านคน (2 เท่าของประชากรสหรัฐฯ) และในภูมิภาคอาเซียนเองก็มีคนยากจนที่กำลังขึ้นมาเป็นชนชั้นกลางอีกอย่างน้อย 300 ล้านคน (พอๆ กับประชากรสหรัฐฯ)
ส่วนอีกห่วงโซ่หนึ่งจะเป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมกับสหรัฐฯ ซึ่งด้านหนึ่งก็จะแยกตัวออกจากจีน แต่อีกด้านก็ต้องหันมาอาศัยฐานการผลิตใหม่ในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย และหาฐานผู้บริโภคใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากจีน เป้าหมายสำคัญจึงน่าจะเป็นฐานการผลิตและตลาดในภูมิภาคอาเซียนเช่นเดียวกัน
เมื่อมองภาพกว้างเช่นนี้ การปรับห่วงโซ่การผลิตใหม่ของโลกทั้งสองห่วงโซ่ จึงเป็นโอกาสมหาศาลให้กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน แต่ใครจะตักตวงประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด อยู่ที่เข้าใจภาพห่วงโซ่อุปทานรายสินค้าและรายอุตสาหกรรมที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปได้ดีเพียงใดมากกว่า
ดังนั้น โจทย์สำคัญของแต่ละประเทศก็คือ ต้องมีการศึกษาข้อมูลการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของห่วงโซ่อุปทานของสินค้าต่างๆ ในยุคเขย่าโลกที่กำลังเป็นอยู่ และต้องวางกลยุทธ์เพื่อผลักให้ธุรกิจและสินค้าของประเทศตนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานทั้งสองห่วงโซ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาใหม่ครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ใน Twitter Nessa วาดผิวสว่างขึ้นมานิดหน่อยโดนรุมถล่มบอกเป็น White washing
แต่งือกน้อยผิวสีผมดำๆบอก Dream come true... 🧜🏽♀️🌊 รุมกดชื่นชอบกันเป็นแสน
OK คร่ะ 👌
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แต่ตอนปัจจุบันนี้คืออดีตสำหรับอนาคตของคุณนะครับ ทำตอนนี้ให้ดี เพื่ออนาคตเราจะได้ไม่อยากกลับมาแก้ไขเหมือนที่เราอยากกลับไปแก้ไขอดีตอีก สู้ๆครับ อดีตเรากลับไปแก้ไม่ได้แล้ว แต่ปัจจุบันเรายังแก้ไขได้อยู่นะครับ สู้ๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไอ้ เควนทิน เบ็ค (Mystertio) ที่ทำตัวเป็นคนดีตอนแรกๆ แม่งจริงๆแล้วเป็นตัวโกง อดีตลูกน้องโทนี่
ตอนมันตาย แม่งยังเฉลยออกทีวี อีกว่า สไปเดอร์แมน คือ Peter Parker โคตรเหี้ย
แถมนิค ฟิวรี่ ในเรื่อง ดันเป็น ทาลอส (สครัล ในเรื่องกัปตันมาร์เวล) ปลอมตัวมา ไม่ใช่นิคจริงๆ อึ้งสัสๆ โคตรเนียน
เพื่อนๆโม่งต้องไปดู Spiderman Far From Home ให้ได้นะครับ
#คนที่เป็นมะเร็งเสียชีวิตเพราะอะไร
ผลงานวิจัยฯ ของรัสเซีย อ้างว่าเหตุผลการเสียชีวิตมิได้เกิดจากมะเร็ง ยกเว้นความสะเพร่าของผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยทราบว่ามีเซลล์มะเร็ง ให้รีบปฏิบัติ
๑.ขั้นตอนแรกคือ การหยุดน้ำตาลทั้งหมด ถ้าไม่มีน้ำตาล ในร่างกายของคุณจำนวนมาก เซลล์มะเร็ง ก็จะตาย อย่างเป็นธรรมชาติ
๒. ผสมผลไม้ มะนาว ทั้งหมด กับน้ำร้อนสักแก้ว แล้วดื่มมัน ประมาณ ๓ เดือน เซลล์มะเร็งจะแพ้ การปฏิบัติดังกล่าวดีกว่าการรักษาด้วยคีโม
๓.ขั้นตอนที่ ๓ คือ การดื่มน้ำมันมะพร้าว อินทรีย์ ๓ ช้อนโต๊ะ เช้าและกลางคืน เซลล์มะเร็งจะค่อยๆ หายไป ท่านสามารถเลือก ๑ ใน ๒ วิธีนี้ หลังจากหลีกเลี่ยงน้ำตาล ที่ผ่านมา ความไม่รู้ ไม่ใช่ความผิด ข้อมูลนี้เผยแพร่มานานกว่า ๕ ปี ซึ่งปัจจุบันนี้ เพิ่งมาถึงคุณ แต่ที่สำคัญที่สุด มันยังช้ากว่าการที่คุณไม่เคยให้ข้อมูลนี้กับทุกคนรอบตัวคุณเพื่อได้รู้เห็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมอสโก รัสเซีย ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอให้ทุกท่านที่ได้รับข้อมูลนี้ กรุณาส่งต่อบทความนี้ให้กับคน ที่ท่านรักอีก ๑ คน ผมเชื่อว่าแน่นอน! อย่างน้อย ๑ ชีวิต จะได้รับประโยชน์ และจะบันทึกไว้ ส่วน
ผมได้ทำในส่วนของผมแล้ว หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเผยแพร่ โดยการทำส่วนของคุณ กล่าวคือ
๑. การดื่มน้ำมะนาว สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่จำไว้ว่า อย่าผสมน้ำตาล น้ำมะนาวร้อน มีประโยชน์กว่า น้ำมะนาวเย็นๆ
๒. หั่นเป็นแว่น ๕ ชิ้น แล้วแช่ด้วยน้ำร้อนสักแก้วทิ้งไว้ ๒๐- ๓๐ นาที แล้วค่อยดื่ม
๓.มันสำปะหลัง นำไปต้ม แต่ต้องต้มด้วย เปิดฝาหม้อวิตามิน B 17 อยู่ในมันสำปะหลัง ที่สามารถปิดเซลล์มะเร็งได้
บ่อยครั้ง การกินมื้อเย็นสามารถเพิ่มความเป็นไปได้ ของมะเร็งลำไส้ - มะเร็งกระเพาะอาหาร - ผู้หญิง
อย่าดื่มชาในช่วงมีรอบเดือน และ
การดื่มน้ำถั่วเหลือง นั้น ไม่ควรเพิ่มน้ำตาล หรือไข่ ในน้ำถั่วเหลือง ไม่กินมะเขือเทศ ตอนท้องว่าง ดื่มน้ำเปล่า ๑ แก้ว ทุกเช้า ก่อนอาหาร เพื่อป้องกันนิ่ว
ไม่กินอาหารในช่วง ๓ ชั่วโมง ก่อนนอน
หลีกเลี่ยงสุรา เพราะไม่มีประสิทธิภาพ ทางโภชนาการ แต่สามารถทำให้เกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ อย่ากินขนมปัง ในขณะที่ร้อนจาก เตาอบ หรือเครื่องปิ้งขนมปัง
ไม่ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่อยู่ข้างๆ ตัวคุณ ในขณะที่คุณหลับ ดื่มน้ำเปล่าวันละ ๑๐ แก้ว ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ ให้ดื่มน้ำต่อเนื่องระหว่างวัน ลดช่วงกลางคืน และ
อย่าดื่มกาแฟ มากกว่า ๒ แก้วต่อวัน เพราะมันสามารถทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และมีปัญหาต่อกระเพาะอาหารได้
กินอาหารที่เลี่ยนได้เล็กน้อย หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะต้องใช้เวลา ๕-๗ ชั่วโมงในการย่อย ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย
หลัง ๑๗.๐๐ น.กินอาหารให้น้อยลง ประการสำคัญอาหาร ๖ ชนิด ที่ทำให้คุณมีความสุข ได้แก่ กล้วย, ส้มบาหลี, ผักโขม, ฟักทอง, ลูกพีช อนึ่ง การนอนไม่ถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีการทำงานของสมองเสื่อมสภาพ พยายามนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะจะทำให้เราอ่อนกว่าวัย อย่าลืม น้ำมะนาวที่ไม่มีน้ำตาล สามารถดูแลสุขภาพของคุณและทำให้คุณรู้สึกสดชื่น
น้ำมะนาวร้อนฆ่าเซลล์มะเร็ง
แช่มะนาวชิ้นเท่าๆกัน ๕ ชิ้นกับน้ำร้อน ดื่มเป็นประจำทุกวัน anti-oxsidan
รสชาติขมในน้ำมะนาวร้อนเป็นสารที่ดีที่สุดในการฆ่าเซลล์มะเร็ง
น้ำมะนาวเย็นประกอบด้วยวิตามินซีเท่านั้น ซึ่งไม่ช่วยป้องกันมะเร็ง น้ำมะนาวร้อนสามารถควบคุมการเติบโตของเนื้องอกมะเร็งได้
การทดสอบทางคลินิก พิสูจน์แล้วว่า น้ำมะนาวร้อน ทำงานได้ดี เพื่อยับยั้งเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยน้ำมะนาวร้อน จะทำลายเซลล์ที่ชั่วร้าย เท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อเซลล์ที่ดี กรด citric และมะนาว polyphenol ในน้ำมะนาว ช่วยลดความดันสูง และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด และป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถึงแม้ คุณจะยุ่งแค่ไหน เมื่ออ่านข้อความนี้ของผมแล้ว ช่วยถ่ายทอดให้ผู้อื่นด้วยครับ❤
การแบ่งปัน ถือเป็นวิทยาทาน ด้วยความปรารถนาดี ผศ.ดร.ศ.สำเร็จผล
คนจีนไม่น่าจะเสียเวลาตามหายาอายุวัฒนะเลย
แวะไปญี่ปุ่นก็เหมารามูเนะมาสักลังก็รักษาได้ทุกโรคแล้ว
ชุดกาสะลอง สัญญะอันตราย คำเตือนจากอนาคตใหม่
.
หลายท่านได้รีเควสท์ให้ผู้เขียนได้ออกมาอธิบายเจาะประเด็นลึกและสัญญะทางการเมืองของ ส.ส. พรรคอนาคตใหม่หลาย ๆ คนผ่านเครื่องแต่งกายเข้าสภาเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา
.
ผู้เขียนได้นั่งอ่านและพิจารณาดูแล้วว่าไม่อาจที่จะละเลยสัญญะเหล่านี้ออกไปได้ เพียงแต่ไม่สามารถสื่อออกไปได้อย่างเต็มปาก ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจในสิ่งที่สื่อ แต่มันหมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่ร้ายแรง เป็นแรงกระเพื่อมเงียบ เป็นคลื่นใต้น้ำ
.
ประการที่ 1 ชุดที่โฆษกพรรคนำมาแสดงในวันนั้นก็คือชุดกาสะลอง
กาสะลองเป็นชื่อดอกไม้ของชาวเหนือที่ชาวภาคกลางรู้จักกันในชื่อ ดอกปีบ หากพิจารณาให้ดีมันคือลวดลายของชุดที่ถูกสวมอยู่นั่นเอง
โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ยังได้โพสต์ข้อความผ่านทวีตเตอร์ ระบุว่า "เพราะความเป็นไทยไม่ได้มีแค่แบบเดียว #อนาคตใหม่ อยากทำให้สภาเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เราจะพยายามแต่งกายด้วยชุดที่หลากหลาย นำผ้าจากแต่ละภูมิภาคเข้ามาสู่สภา และยังเป็นการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่น"
.
จากสัญญะในประการที่ 1 จะเห็นได้ว่า ชุดกาสะลองนั้นหมายถึงชาวเหนือ เมื่อเอ่ยถึงชาวเหนือ เรานึกถึงชาวล้านนาเป็นอันดับแรก และเมื่อนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลีกเลี่ยง "ชาวเชียงใหม่" ได้พ้น
ไม่แน่การสื่อสัญญะนี้อาจหมายถึงการถูกบงการจากคนเชียงใหม่ ใครสักคน หรือฐานอำนาจจากเชียงใหม่ในการแข็งข้อกับกรุงเทพมหานคร เป็นนัยยะแฝงเหมือนที่ครั้งหนึ่งล้านนาเคยแข็งข้อกับราชธานี
.
ประการที่ 2 จากถ้อยคำ
"เพราะความเป็นไทยไม่ได้มีแค่แบบเดียว #อนาคตใหม่ อยากทำให้สภาเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เราจะพยายามแต่งกายด้วยชุดที่หลากหลาย นำผ้าจากแต่ละภูมิภาคเข้ามาสู่สภา และยังเป็นการส่งเสริมสินค้าท้องถิ่น"
นั้นยังสามารถบอกได้อีกว่า เป็นการพยายามล้มล้างสิ่งที่จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม และ จอมพล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สร้างเอาไว้ มรดกของชาวไทยทุกคน นั่นก็คือวัฒนธรรมสยามภิวัฒน์ เป็นการพยายามแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นเสี่ยงๆ จากที่สองจอมพลเคยรวบรวมเป็นปึกแผ่นไว้ในอดีต
ในอนาคตคนไทยจะพูดภาษาถิ่นกันมากขึ้น ใช้สินค้าจากท้องถิ่นมากขึ้น เป็นการลดทอนอำนาจเมืองหลวง ซึ่งก็รู้กันว่ามันหมายถึงการลดทอนอำนาจผู้ใด
.
ประการที่ 3 ชุดสัญญะที่เหยียบย่ำจิตใจคนไทยทั้งประเทศ
จากชุดที่สวมใส่อยู่ในวันนั้นเรารู้กับจากข้อมูลในประการที่ 1 ไปแล้วว่ามันเป็นชุดของชาวเหนือ
เมื่อพูดถึงชาวเหนือเราจึงนึกถึงเอกลักษณ์ในคำว่า "เจ้า"
การใส่ชุดชาวเหนือ หากให้สัมภาาณ์สื่ออาจได้เผยความในใจว่า
"เป็นชุดชาวเหนือเจ้า"
ย้ำ "ชาวเหนือเจ้า"
นั่นหมายถึงสิ่งใดเราทุกคนย่อมรู้เห็นตรงกัน
โดยเฉพาะเมื่อวันก่อนที่ไปทานอาหารที่ร้านหรูราคาหลักแสน
พวกเขาทาน "ข้าวเจ้า" กันทั้งหมด
นั่นหมายถึงการตีตนเสมอเจ้าใช่หรือไม่ผู้เขียนไม่กล้าเอ่ยถึง มันเป็นการเหยียบย่ำจิตใจคนไทยจนเกินไป
โดยเฉพาะเมื่อเหลือบไปเห็นขวดไวน์จากฝรั่งเศส ประเทศที่ตัดหัวกษัตริย์ของตัวเอง ผู้เขียนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
การถอดสัญญะทางการเมืองครั้งนี้ ผู้เขียนเจ็บปวดเหลือเกิน
//สะพานพุทธ
ครึ่งปี 2019 ได้เรียนรู้อะไรบ้าง จาก ประสบการณ์ผมเอง
- ถ้าเป็นผู้ประกอบการ ต่อให้รายได้เยอะแค่ไหน มันไม่ได้หมายความว่ามันมั่นคง รวย เพราะรายได้เยอะมันมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ
- เงินมัน "อยู่กับ" ผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น
- ทำธุรกิจ 1 อย่าง กับ ทำธุรกิจ 10 อย่างที่เกี่ยวข้องกัน ใช้สมองเท่าเดิมและน้อยกว่า (เข้าใจเลยคนที่มีธุรกิจเยอะ ยิ่งมีเวลาว่าง)
- ไม่มีอะไรดีกว่าการให้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน เพราะสิ่งที่เราให้ เดี่ยวมันค่อยเปลี่ยนเป็นเงินในอนาคตเอง
- การให้ในสิ่งที่เราไม่หวังผลอะไรเลย จะทำให้เรามีความสุขมากที่สุด ในวันที่เราต้องการกำลังใจมากที่สุด เราจะนึกถึงมัน
- โรเบิร์ตบอก บ้านคือ หนี้สิน มันคือความจริง การเช่าก็เป็นตัวเลือกที่ดีในยุคนี้และเลือกถือเงินสด
- โลกมันเหวี่ยงคนที่ใช่เข้ามาในชีวิตเราเสมอ ขอเพียงเราบอกโลกนี้ และจะเหวี่ยงคนที่ไม่ใช่ ออกจากชีวิตเสมอ จากการบอกเช่นกัน
- โลกนี้มันโหดร้ายกับคนที่มองโลกในระยะสั้น และไม่คิดทำอะไรในระยะยาว
- ตอนเริ่มต้น ทุกคนมีทางเลือก คุณเลือกที่จะสบายจะปลอดภัย นั่นก็ไม่ผิด คุณเลือกที่จะอดทน มานะ มันก็ไม่ผิด เพราะคุณเลือกที่จะปิดและเปิดทางเลือกของคุณแล้วในอนาคต(CEO ศรีจันทร์)
- ชีวิตมันไม่ได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยาก เรียนรู้ในทุกวันนั่นคือวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วในการใช้ชีวิต
- ผมเคยจินตนาการว่า CEO นั้นจะต้องยุ่งตลอดเวลา จริงๆ คือเมื่อถึงจุดหนึ่งเค้าสามารถว่างเพื่อที่จะคุยกับคนอื่นๆได้นะ (มันคืองานของเค้าเลยหละ)
- การทำหน้าที่ งานของเราปัจจุบัน และเรียนรู้สิ่งใหม่ ให้ดี มันคือการสร้างอัตราทดที่ดีที่สุดในการวิ่งสู่อิสรภาพทางการเงินที่ดีที่สุดแล้ว
- อ่านหนังสือเยอะๆตั้งแต่วันนี้ มันให้อะไรกับผมเยอะมาก
- อิสรภาพทางการเงิน มีอยู่จริง และผมเลือกที่จะพังมันด้วยมือผมไปเรียบร้อยแล้ว
New 7/7/2019
Pavin Chachavalpongpun อาจารย์คะมีเพื่อนสนิทที่ปารีสจะทำเรื่องเปิดเอกสารฝ่ายไทยขายที่ดินให้ฝรั่งเศสยุคทวิภพค่ะ น่าจะช่วงตุลาคมปีนี้ เป็นเอกสารที่ยันว่าไทยไม่ได้เสียดินแดนให้ฝรั่งเศส แต่พี่ไทยขายให้เลยจ้าาาา ถ้ามีโอกาสอยากเชิญอาจารย์ไปดูด้วยกัน. ทางนุ้นบอกว่ายังไม่มีคนไทยเคยได้ดูค่ะ อยากชวนอาจารย์ Somsak Jeamteerasakul จะได้มีผู้เชี่ยวชาญฝั่งไทยออกมาบอกความจริงให้คนไทยได้รู้ค่ะ
“เสนอให้ Disney ทำพระอภัญมณีเป็น Live Actionครับ แล้วทำให้เป็น PC Version ด้วย เมีย 5 คน 5 สัญชาติ
1. นางผี้เสื้อสมุทร ให้ Cast คนขาวผมทองครับ ถึงเวลาละครับที่คนขาวจะต้องได้บทเหี้ยๆ บ้าง
2. นางเงือก ให้ Cast คนดำครับ นางเงือกยุคนี้ต้องเป็นคนดำ หรือไม่ก็พวกลาติโน่
3. นางสุวรรณมาลี ให้ Cast คนจีนครับ ให้มีบุคคลิกแบบพวกเจ๊กบ้านรวย
4. นางวาลี ให้ Cast แขกอินเดี้ยนครับ ให้มีบุคลิกแบบพวกแขกขายของเก่งๆ ครับ
5. นางละเวง ให้ Cast คนขาวยุโรปตะวันออก เพราะผู้หญิงโซนนี้ แม่งน่ากลัวที่สุดในโลกละครับ
ส่วนพระอภัยมณี แม่งต้องพวกลูกครึ่งเล่นครับ พวกสัญชาติผสม ซึ่งคนที่ควรจะรับบทนี้ในโลกนี้แม่งไม่มีใครนอกจาก Keanu Reeves”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่งพี่เต้ประสบอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม เขาตื่นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้เลยแต่เห็นตัวเองในทีวีโดนรุมด่าจนทำให้เขารู้สึกผิด พี่เต้จึงตัดสินใจเก็บเรื่องที่ตัวเองความจำเสื่อมใว้เป็นความลับและไม่บอกใคร และใช้สถานะนักการเมืองของตัวเองพยายามทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ขึ้น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเล่นโป๊กเกอร์ช่วยให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น
- Bad Beat สอนเราให้เข้าใจว่า แม้คุณจะตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ
- Bluff สอนให้เราเข้าใจว่า สิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงออก มักไม่ตรงกับสิ่งที่เค้าคิดจริงๆ
- Fold สอนให้เราเข้าใจว่า บางครั้ง การดื้อดึงฝืนทั้งที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยอาจจะทำให้เสียหายหนักกว่าการยอมแพ้แล้วเริ่มใหม่ ตราบใดที่หน้าตักยังเหลือ เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
- All-in สอนให้เราเข้าใจว่า การต่อสู้แบบทุบหม้อข้าวใส่ทั้งชีวิต บางครั้งก็ให้ผลคุ้มค่า แต่ต้องเลือกจังหวะทุ่มด้วยสมอง ไม่ใช่ด้วยอารมณ์
- ความอดทนให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าเสมอ การใช้อารมณ์มีแต่จะทำให้ทุกอย่างพังเร็วไปกว่าเดิม
- วางแผนการระยะยาว มองให้ไกลถึง River อย่าเอาแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน คุณจะรับมือมันไม่ไหว คิดเผื่อ Plan B,C,D เอาไว้เสมอ
- การประเมินคู่ต่อสู้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าอยากได้ประสบการณ์ ขึ้นชั้นไปสู้กับคนเก่งๆ แน่นอนคุณต้องจ่ายค่าเทอมแพง เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าผ่านไปได้ คุณจะทำเงินได้ในอีกระดับ
- แต่ถ้าอยากแค่ได้เงิน ลงสู้กับคนที่อ่อนกว่า แต่คุณจะทำเงินได้แค่ระดับนั้นแหละไม่ก้าวไปไหน และก็จะไม่ได้เก่งอะไรขึ้นมาเลย ต้องเลือกเอาว่าจะไปทางไหน เงิน หรือประสบการณ์ (เหมือนชีวิตการทำงานนั่นแหละ)
จงมีความสุข หากคุณเล่นได้ดี แม้ว่าผลจะออกมาไม่สวยดังหวัง
พยายามต่อไป ด้วยกฏ law of large number คุณจะชนะเกมส์ไม่ว่าจะบนโต๊ะโป๊กเกอร์หรือในชีวิตจริงในที่สุด
พักนี้เหมือนว่าจะมีความพยายามผลักประเด็น ทาทา ปั่นจั่น ไปเป็นเรื่องสิทธิ์ในการวิจารณ์การเมืองของดารา
ผมชวนคิดแบบนี้
อย่างแรกในเรื่องสิทธิ์
ลองคิดกลับกันว่าคนทั่วไปมีสิทธิ์วิจารณ์ดารากันขนาดไหน
แน่นอนเราวิจารณ์ได้ว่า "แสดงไม่ดี" "ร้องเพลงห่วย" "หนังบทไม่ได้เรื่อง" เพราะมันเป็นส่วนของงาน
ดาราอยากให้คนพูดถึงตัวเองว่า "ฉันจะไปดักตบอีXX" "อีตุ๊ด" "อีกระxรี่" หรือเปล่า?
ถ้าพวกคุณโดนแบบนี้ ก็คงรู้สึกว่า มันไม่ใช่การวิจารณ์ติชมแล้วเหมือนกันแหละ
อย่างที่สอง ในเรื่องความเป็นจริงทางธุรกิจ
สมมุติคุณเปิดร้านเหล้า มีนักศึกษามาเป็นลูกค้า แล้วมานั่งบ่นกันทุกวันว่า "อาจารย์แม่งแย่ว่ะให้ F กู"
คุณจะเดินไปพูดกับลูกค้าว่า "พี่ว่าไม่ใช่ความผิดอาจารย์หรอก เป็นเพราะน้องใช้ชิวิตแบบนี้ เอาแต่กินเหล้าทุกวันนี้แหละ น้องเลิกกินเหล้าแล้วไปอ่านหนังสือเถอะ" หรือเปล่า?
ผมว่านักศึกษาได้ยินคงบอกว่า "ครับพี่ ผมเชื่อพี่ จะไม่มีร้านพี่อีกแล้ว เอาเวลาไปอ่านหนังสือดีกว่า"
ลองคิดถึงร้านอาหารแถวบ้าน ระหว่างร้านที่พนักงานพูดจาดีบริการดี กับร้านที่พนักงานปากเสีย ด่าลูกค้า คิดว่าคนอยากจะไปที่ไหน
ใครจะไปยืนด่าลูกค้าตัวเองหน้าร้าน
ขนาดแท็กซี่นั่งคุยเรื่องการเมือง เรายังไม่ค่อยอยากขึ้นเลย
ตรงส่วนนี้แน่นอนว่า ถึงมันจะอยู่ในขอบเขตของการวิจารณ์ และทุกคนมีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
แต่ความเป็นจริง สิทธิ์ในการควักเงินออกมาจากกระเป๋า เพื่อซื้อสินค้า และบริการของเราเป็นของลูกค้า
ถ้าคุณขายประกัน ลูกค้าให้เข้าบ้าน เดินเข้าไปแขวนนกหวีด มีรูปไปม็อบกู้ชาติ คุณจะบอกว่า "ประกันผมไม่ขายให้สลิ่ มหรอก" แล้วเดินออกจากบ้านป่ะ
ความเห็นส่วนตัว กับความเป็นโปรทางอาชีพเลยแยกจากกัน ต่อให้ประเทศเสรีจัดๆอย่างสหรัฐเอง ก็คงไม่อยากให้พนักงานที่ส่งผลต่อแบรนด์ทวีตอะไรที่จะมีผลทำให้เสียลูกค้าเท่าไหร่
ความยากของการเป็นดารามันอยู่ตรงนี้แหละ เพราะดาราเป็นอาชีพขายความนิยม ยกเว้นจะขายเฉพาะกลุ่มแฟนคลับที่โอเคกับเรื่องพวกนี้ หรือชินไปแล้วอย่างพี่เสก จะด่าใครก็ไม่มีใครว่า
ส่วนใหญ่ถ้ามีการห้ามแสดงความเห็นทางการเมือง ผมคิดว่าก็คงออกมาจากค่าย เพื่อปกป้องผลรายได้ของดาราเองนั่นแหละ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พยายามหาความเชื่อมโยงระหว่างว่าที่ รมต. แต่ละคน กับกระทรวงที่ได้...
- เคยด่าลูกน้องเป็นควาย มีกิตติศัพท์ว่าชอบดูถูกคน ได้เป็น รมว. แรงงาน
- เคยนำม๊อบบุก กสท. ตัดไฟ ตัดเน็ต ได้เป็น รมว. ดิจิทัล
- เคยถูกศาลต่างประเทศจำคุกข้อหาค้ายาเสพติด ได้เป็น รมช. เกษตร
- เคยพัวพันคดีแบงก์รัฐปล่อยกู้โดยมิชอบ ได้เป็น รมว. คลัง
- เคยประกาศ “รธน. 2560 ดีไซน์มาเพื่อเรา” ได้เป็น รมว. ยุติธรรม
....... 55555
พรรคสนุ้กเกอร์ไทยเราจะไม่มี ส.ส. ตลาดล่างแน่นอน เพราะเราจะเน้น ส.ส. ใต้ถุนสังคมเลยอ่ะครับ
นอกจากนี้พรรคสนุ้กเกอร์ไทยเราจะไม่เน้น ส.ส. ที่มีความหลากหลายทางเพศอัลไล แต่เราจะส่ง ส.ส. คนแรกที่ผ่าหัวเบ้นซ์เข้าสภาให้ได้อ่ะครับ ส่วนฝังมุขนี่เขาว่าจ่าประสิทธิ์ก็อาจจะมีเม็ดสองเม็ดตอนแกเป้น ส.ส. อ่ะครับ เขาว่ากันมา
#คนไทยต้องมีสิทธิในการโมดิฟายตนเอง
ในบรรดา "การเหยียด" ทั้งหมด ฉันว่าการเหยียดคนอื่นเรื่อง "ความแก่" เนี่ย เป็นการเหยียดที่ประหลาดที่สุด เพราะ..
เหยียดเรื่องรูปร่างหน้าตา คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองให้รูปร่างหน้าตาดีกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
เหยียดเรื่องฐานะ คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองให้รวยกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
เหยียดเรื่องความรู้ความสามารถ คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองเก่งกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
เหยียดเรื่องสีผิว คนเหยียดมันยังสามารถทำตัวเองให้ขาวกว่าคนที่ถูกเหยียดได้
แต่ไอ้การเหยียดเรื่อง "ความแก่" เนี่ย คนเหยียดมันสามารถที่จะทำให้ตัวเอง "ไม่มีวันแก่" เหมือนคนที่ถูกเหยียดได้เหรอวะ? ยังไงๆคนเหยียดมันก็ต้องแก่เหมือนคนที่ถูกเหยียด แล้วจะเหยียดเรื่องแก่ทำไมวะ
พวกคนที่เศร้าน้ำตาจะไหลกับเรื่องสาวท้องคลอดระหว่างติดคุก นี่ก็พวกเดียวกับที่บอกข่มขืน=ประหาร ด่าNGOเวลาพูดถึงสิทธิ์นักโทษนั่นล่ะครับ
ตลกดี
เออ จริงๆเรื่อง #ประชุมรัฐสภา นอกจากสส สว ที่ควรโฟกัสแล้ว สื่อบ้านเราเองแม่งก็โตตรน่าโฟกัสเหมือนกันว่ามึงตัดไฮไลท์อะไรมานำเสนอปชชวะ? อย่างรอบที่แล้ว เรางงว่าเถียงกันแค่เรื่องชุดเข้าสภาเหรอ? ในขณะที่ความเป็นจริงแม่งแค่ประมาณ 10% ของญัตติทั้งหมดอ่ะ คือดูแค่ข่าวที่นำเสนอไม่ได้จริงๆ
ในจักรวาลคู่ขนานแห่งหนึ่ง
มีลุงขับรถเมล์คนหนึ่งบอกว่าสามารถคำนวนหาเส้นทางที่สั้นที่สุดในการไปส่งผู้โดยสารบนรถจำนวน N คน ถึงหน้าประตูบ้านทุกคนได้ ไม่ว่าแต่ละคนจะอยู่ไหนก็ตาม ได้ใน Linear Complexity (O(cN)) .... คนขึ้นรถครบ ไม่นานก็คำนวนได้แล้วว่าเส้นทางที่สั้นที่สุด (ย้ำว่า "สั้นที่สุด" นะ คือ absolutely shortest ไม่ใช่ reasonably short หรือ acceptably short) คือทางไหน
นักวิชาการออกมาบอกว่า เป็นไปไม่ได้ ..... เพราะนั่นมันคือ TSP ซึ่งเป็น NP Problem (NP-Hard) ......
คนออกมาด่านักวิชาการ ว่านักวิชาการดูถูกลุง ว่านักวิชาการเป็นไดโนเสาร์ เอาแต่อคติมาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ พวกที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้นี่เต่าล้านปี อิจฉา อยู่แต่ในตำราที่ล้าสมัยเขียนมาตั้งแต่ปีไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้โลกมันหมุนไปถึงไหนแล้ว แทนที่จะยอมรับและนำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ นักวิชาการแบบนี้แหละเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ เชื่อสิอีกไม่นานประเทศอื่นก็จะเอาผลงานลุงไปสร้างประโยชน์ ฯลฯ .... ดูแล้วมันก็แค่ปัญหาที่น่าจะแก้ได้สิ common sense ออก ..... นี่แหละนักวิชาการอยู่แต่ในตำราไม่เคยทำงานจริง แต่ลุงทำงานขับรถเมล์มานานมีประสบการณ์เยอะแยะ ฯลฯ .... นี่แหละประเทศไม่เจริญเพราะคนไม่ช่วยกัน ฯลฯ
บางคนก็ลากไปถึงว่า สต๊อป จีฟ, กิล เบต, ซัค มาร์คเกอร์เบิร์ก ก็สร้างนวัตกรรมได้เยอะแยะมากมาย ไม่เห็นต้องจบมหาลัย แล้วทีนักวิชาการที่สอนในมหาลัยไม่เห็นสร้างได้เลย .... นี่ไงล่ะตัวอย่าง ... ไตล์สไอร์ ยังเคยเป็นแค่เสมียรเลย แต่เขามีจินตนาการ .... แล้วทำไมลุงจะทำไม่ได้
ในจักรวาลคู่ขนานแห่งหนึ่ง ... ที่โลกแบน
ย้อนกลับไปในเดือนที่แล้ว ทีม HR ของวงใน wongnai.com เว็บรีวิวอาหารชื่อดัง ติดต่อวิเคราะห์บอลจริงจังมาครับ
เขาบอกว่า ทุกๆเดือน ในวันศุกร์ที่ 2 และ 4 บริษัทจะมีกิจกรรมชื่อ WeShare คือการเชิญเอา คนมีชื่อเสียงจากวงการต่างๆ มาถ่ายทอดประสบการณ์ให้เด็กๆในองค์กรได้ฟัง
สำหรับผม แน่นอนว่าเป็นเกียรตินะครับ ที่เขาไว้ใจ และเชิญเรา แต่ผมไปนั่งไล่ดูประวัติเก่าๆ ว่า วงใน เชิญใครไปแล้วบ้าง ปรากฏว่า มีแต่บุคคลแบบโคตรดังทั้งนั้น เช่น วู้ดดี้ เกิดมาคุย , ต่อ ฟีโนมีน่า นักทำโฆษณาระดับโลก , เก้ง จิระ มะลิกุล ผู้กำกับตัวท็อป ฯลฯ
ผมเลยถามทีมงาน HR กลับไปว่า อย่างผม จะสร้างประโยชน์ให้กับทีม สตาฟฟ์ของวงในได้จริงๆหรอ ผมเป็นคนธรรมดามากๆเลยนะ เพจยังไม่ถึง 2 แสนไลค์เลยนะครับ
แต่เมื่อ HR ของเขายืนยันหนักแน่น ผมก็โอเค ตอบรับไปครับ
ปัญหาคือ ผมจะพูดอะไรนี่สิ ในเมื่อผมไม่ใช่เซเล็บที่จะมีเรื่องราวโลดโผนน่าสนใจอะไรขนาดนั้น
อย่างพี่เก้ง จิระ นี่เล่าจุดเริ่มต้นว่าทำไมคิดไอเดียสร้างหนัง แอม ไฟน์ แต้งกิ้ว ด้วยการไปดักฟังคนแอบคุยกันในร้านกาแฟ คือมีสตอรี่ มีความโลดโผน ซึ่งคือชีวิตผมไม่มีอะไรอย่างนั้นเลยอ๊ะ เรียบง่ายมากๆ
ผมเลยทำการบ้านอย่างหนักเลยครับ ไปค้นข้อมูลของวงในมาก่อน ว่าเป็นองค์กรอย่างไร และพูดเรื่องไหน จะมีประโยชน์กับเขามากที่สุด
จากนั้น ก็ลำดับ Sequence เรื่อง เหมือนเขียนวิเคราะห์บอลเลย ว่าจะพูดอะไร 1 2 3 แถมมีการซ้อมพูดในรถด้วยนะ ก่อนมาพูดจริง คือมีความตื่นเต้นอยู่บ้าง ขนาดไปแข่งวินนิ่งชิงแชมป์โลกที่ลอนดอน ยังไม่เตรียมพร้อมขนาดนี้เลยนะเนี่ยะ
ในห้องประชุม มีคนฟังประมาณ 60-70 คนครับ ผมก็ถ่ายทอดในสิ่งที่ผมรู้ทั้งหมด ทริกการเขียน และทริกการทำให้คอนเทนต์มียอดไลค์ที่ดี
ซึ่งหวังเพียงว่า จะเป็นประโยชน์กับเขาบ้างเล็กน้อยก็ยังดี
ตอนจบของการบรรยาย ผมทิ้งท้ายไป 2 เรื่องครับ
1) ผมบอกน้องๆของวงในว่า ช่วงอายุไม่ถึง 30 เนี่ยะ อย่าเพิ่งคิดมาก หากยังไม่เห็นแววว่าจะประสบความสำเร็จ
ผมเอาตัวเองเป็นเกณฑ์นะ ว่าตั้งแต่เรียนจบ จนถึง 30 เนี่ยะ ผมล่องลอยมาก
ออกสตาร์ตงานแรกได้เงินเดือน 8 พัน พออายุเกือบ 30 ได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาท นึกไม่ออกเลยว่า จะเก็บเงินแต่งงาน หรือสร้างหลักฐานในชีวิตได้ยังไง
แต่พอ 30 ไปแล้ว เมื่อเราพร้อมทั้งวัยวุฒิ และประสบการณ์ โอกาสจะเข้ามาหาเราเร็วมาก ซึ่งถ้าเราเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เราจะคว้าโอกาสไว้ในมือได้แน่ๆ
ดังนั้นช่วงการทำงาน 7-8 ปีแรก ถ้ายังมองไม่ออกว่าชีวิตจะยังไงต่อ ก็อย่าเพิ่งซีเรียสไป ชีวิตมันมีจังหวะของมันเสมอ
และ 2) การทำงานกับองค์กร เราสามารถสร้างสรรค์งานของตัวเองควบคู่ไปได้
ตลอดชีวิตแอดมิน ทำงานกับองค์กรมาตลอดครับ จากคิกออฟ สู่นิตยสาร Mars สู่สยามกีฬา และมา Workpoint ในปัจจุบัน
แน่นอน ผมก็ทำเพจไปด้วย ควบคู่ไปกับการ ทำงานประจำนี่แหละ
การทำงานกับองค์กร คือเป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ร่วมงานกับคนเก่งครับ การได้ร่วมงานกับคนอื่น ส่งผลให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เวลาเอามาประยุกต์กับงานตัวเอง
ดังนั้น ต่อให้วันนี้มีสังกัดอยู่ในองค์กร ก็ไม่ใช่ว่า เราจะสร้างอะไรของเราเองขึ้นมาไม่ได้ เพราะมันทำไปพร้อมๆกันได้เสมอ แค่จัดสรรเวลาให้ดี
สำหรับผมก่อนหน้านี้ เรารู้จัก วงในมาแล้วล่ะ เวลาจะดูรีวิวร้านอาหาร ก็ต้องใช้ App หรือ Web Wongnai ตลอด
แต่พอได้มาที่ออฟฟิศเขา รู้สึกได้ว่า เป็นศูนย์รวมของคนหนุ่มสาว ที่เต็มไปด้วยพลังจริงๆ
คุณยอด ซีอีโอของบริษัท (ใส่เสื้อลิเวอร์พูลในรูป) อายุ 36 ปีเองนะครับ สุดยอดเลย อายุมากกว่าแอดมิน 1 ปีเอง
คุณนิค มาร์เก็ตติ้งของบริษัท อายุ 34 ปี! (ถ้าเทียบกับมาร์เก็ตติ้งของหลายๆบริษัทอื่นนี่ต้อง 40 อัพ เน้นความเก๋า เน้นประสบการณ์ไว้ก่อน ก็ถือว่าเด็กนะ)
สตาฟฟ์ที่มาฟังบรรยาย ประเมินจากสายตาอายุส่วนใหญ่ไม่เกิน 27-28 กันหรอก
และ แต่ละคนเต็มไปด้วยแววตา ความมุ่งมั่นตั้งใจ ทุกคนฟัง คือฟังจริงๆ ไม่ว่อกแว่ก ไม่เล่นมือถือ
ยอดเยี่ยมมากๆเลยครับ แบบนี้คนพูดก็แฮปปี้นะ
สำหรับ Wongnai ตอนนี้ มีอายุครบ 9 ปี นอกจาก App และ เว็บหลักแล้ว อาณาจักรยังค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ใน Facebook มี Wongnai Beauty, Wongnai Travel, Wongnai Cooking และมี Wongnai Delivery สำหรับสั่งอาหาร
มีบริษัทลูกที่สร้างคอนเทนต์คุณภาพเชิงไอที อย่าง Blognone และ เชิงธุรกิจอย่าง Brand Inside
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ก้าวต่อไปของ Wongnai จะกระโดดไปไกลขนาดไหน
แต่แน่นอน ด้วยพลังของคนหนุ่มสาวในองค์กร ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงสตาฟฟ์ แอดมินเชื่อว่า พวกเขาจะสำเร็จยิ่งขึ้นกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้
ทหารได้รับเกียรติและเอกสิทธิ์เป็นผู้กุมอาวุธและกำลังรบของประเทศ เป็นที่เคารพเกรงขามในหมู่ชนทั่วไป ทหารจึงต้องปฏิบัติให้สมกับที่ตนได้รับ ความไว้วางใจ ไม่ควรไปทำหรือเกี่ยวข้องในกิจการที่มิใช่อยู่ในหน้าที่โดยเฉพาะของตน เช่น ไปเล่นการเมือง ดังนี้เป็นต้น การกระทำเช่นนั้นจะทำให้บุคคลเสื่อมความเชื่อถือในทหารโดยเข้าใจว่าเอา อิทธิพลไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
ปิ ด ก ร ะ ทู้ ใ ห้
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร เ ม น ท ร ร า ม า ธิ บ ดี
ศ รี สิ น ท ร ม ห า ว ชิ ร า ล ง ก ร ณ
พ ร ะ ว ชิ ร เ ก ล้ า เ จ้ า อ ยู่ หั ว
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.