“มีกฎหมายแต่ไม่สนเจตนารมณ์ในการใช้กฎหมาย ก็เหมือนมีเรือ แต่ไม่มีเข็มทิศ สุดจะแล่นไปทางไหน เปะปะไร้ทิศทาง นี่คือหนึ่งในอาการป่วยของประเทศไทย ซึ่งมีอาการนิติศาสตร์นิยมล้นเกิน (hyper-legalism) สังเกตดูง่ายๆว่า จะทำอะไรก็อ้างกฎหมายเต็มไปหมด แต่ไม่เกิดความยุติธรรม ควาเมป็นธรรม ขึ้นมาเสียที
เรื่องห้ามนักการเมืองเป็นเจ้าของสื่อ เกิดขึ้นในการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 โดยคณะกรรมาธิการฯอธิบายว่า เพื่อเพิ่มสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการจะเสพสื่อที่เป็นกลาง ปราศจากการครอบงำ ถ้าใครจำได้ คุณทักษิณถูกกล่าวหาเรื่องการครอบงำสื่อมาตลอด เช่นพยายามจะซื้อหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์รัฐบาลตนเอง เป็นต้น
ถามว่าสิบกว่าปีผ่านไป คุณภาพสื่อไทยพัฒนาขึ้นไหม ประชาชนคนไทยได้เสพสื่อที่มีคุณภาพ ซื่อตรง แม่นยำ ตรงไปตรงมา เป็นกลางมากขึ้นไหม คำตอบนี้ ดูหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ถ้าไม่หลอกตัวเองก็รู้แก่ใจกันดี ตั้งแต่แนวหน้า ทีนิวส์ ไทยโพสต์ ผู้จัดการ เนชั่น อิศรา เป็นอาทิ
มาตรานี้จึงไม่เคยถูกใช้สมดั่งเจตนารมณ์ เพราะเป้าหมายหลักหลบหนีเงื้อมมือกฎหมายไทยไปนานแล้ว ส่วนสื่อที่มีอิทธิพลทางการเมืองก็ไม่เข้าข่ายนี้เนื่องจากหลบเลี่ยงได้
มาตรานี้จึงถูกใช้ในกรณีประหลาด เช่น นิติบุคคลที่จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์รวมถึงการทำสื่อ แต่ไม่ได้ทำจริง ก็ถูกตัดสิทธิ หรือเจ้าของสื่อที่ปิดกิจการไปแล้ว ก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหา
การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการเลือกตั้งที่สะอาดที่สุดในโลก ใครส่อแววจะโกงแม้แต่นิดเดียวต้องลงโทษเอาให้หนัก ส่วนใครที่โกงอยู่แล้วชัดเจนก็แล้วไป เชิญตามสบาย”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง