Fanboi Channel

โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง 9th quotes

Last posted

Total of 1000 posts

359 Nameless Fanboi Posted ID:HFLnLVvxTo

ลาลูแบร์ จีนฮง และสตาร์ทอัพ

ด้วยอิทธิพลจากละครบุพเพสันนิวาส ผมจึงไปซื้อหนังสือ “จดหมายเหตุของลาลูแบร์” ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มาหนึ่งเล่ม เป็นเล่มที่ใหญ่มาก (แปลโดย สันต์ ท.โกมลบุตร)

และเหมือนจะเป็นบุพเพสันนิวาส เมื่อผมลองเปิดหนังสือเล่มใหญ่ดู ผมก็เจอกับหน้าที่ 214 ซึ่งเป็นหน้าที่ทำให้ผมชะงักไปครู่ใหญ่

ในหน้านี้ ลาลูแบร์เขียนบรรยายเกี่ยวกับ “ฝีมือในการช่างของชาวสยาม” ในย่อหน้าแรก ไว้ดังนี้

“ในกรุงสยาม ไม่มีบริษัทหรือองค์กรรวมช่างฝีมือเป็นปึกแผ่น และวิชาช่างก็ไม่เจริญในหมู่ชาวสยาม มิใช่เนื่องจากสันดานเกียจคร้านของเขาเพียงอย่างเดียว หากเนื่องจากรัฐบาลที่ปกครองพวกเขาอยู่อีกด้วย โดยเหตุที่ทรัพย์สินของประชาชนนั้นไม่อยู่ในฐานะปลอดภัย นอกจากจะซ่อนเร้นปิดบังไว้อย่างมิดชิดเท่านั้น ทุกคนจึงมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ วิชาช่างทุกสาขาจึงไม่สู้มีความจำเป็นกับพวกเขาเท่าไรนัก และช่างก็ไม่รู้มูลค่าของงานซึ่งเขาจะลงทุนลงแรงทำลงไป ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเหตุที่ชายฉกรรจ์ต้องไปทำงานหลวงปีละ 6 เดือน และไม่แน่นักว่าจะถูกเกณฑ์เพียงชั่ว 6 เดือนเท่านั้น จึงไม่มีใครหน้าไหนในประเทศนี้ กล้าแสดงตนว่าเป็นช่างผู้ชำนาญในวิชาใดวิชาหนึ่ง ด้วยเกรงว่าจะถูกใช้ให้ทำงานฉลองพระเดชพระคุณไปชั่วนาตาปี โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่ประการใดเลย และโดยเหตุที่บรรดาเลกทั้งหลายถูกจ่ายให้ไปทำงานจิปาถะ ทุกคนจึงต้องขวนขวายฝึกปรือตนให้รู้จักทำงานเป็นอย่างโน้นนิดอย่างนี้หน่อยพอให้หลังพ้นหวายเท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครอยากทำให้ดีเกินไป เพราะภาระจำยอมต้องกระทำตลอดไปนั้นแลคือบำเหน็จของการทำงานที่มีฝีมือ ชาวสยามจึงไม่รู้งานและไม่ประสงค์ที่จะรู้งานอย่างอื่น นอกจากงานอันตนถูกใช้ให้ทำจำเจอยู่เท่านั้น”

เมื่ออ่านท่อนนี้จบ ใบหน้าแรกที่ผมคิดถึงคือ จีนฮง ตัวละครที่ช่วยทำกระทะหมูกระทะ และเครื่องกรองน้ำให้แม่หญิงการะเกด

หลายครั้ง เราอาจจะลืมไปว่า การเกิดขึ้นและการเติบโตของช่างและธุรกิจสตาร์ทอัพทั้งหลาย ไม่ได้เกิดขึ้นจากความฝันหรือความขยันของคนผู้นั้นหรือกลุ่มนั้นแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเกิดจากบริบทและโครงสร้างทางสังคมที่เอื้ออำนวยด้วย

ตามการวิเคราะห์ของลาลูแบร์ ในยุคอยุธยา ความไม่มั่นคงในชีวิต (และทรัพย์สิน) ของผู้คนทำให้ดีมานด์หรือความต้องการงานช่าง (รวมทั้งผลผลิต/บริการของช่าง) จึงมีไม่มากนัก แต่ยิ่งไปกว่านั้น ความไม่มั่นคงในชีวิตของตัวช่างเอง (จากการถูกบังคับเกณฑ์แรงงาน 6 ปี) ยังบั่นทอนความมุ่งมั่นในการพัฒนางานช่างอีกด้วย

แต่เนื่องจากจีนฮง ไม่ใช่ชาวไทย จีนฮงจึงไม่เป็น “ไพร่” และไม่จำเป็นต้องเกณฑ์แรงงาน (แต่ต้องจ่ายเป็นส่วยรายปีแทน) และนั่นก็เป็นโอกาสสำคัญของจีนฮงในการสตาร์ทอัพ รับงานอิสระ เพื่อสั่งสมทักษะฝีมือ สั่งสมประสบการณ์ สั่งสมความไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนั่นจะมีผลต่อความเติบโตของกิจการของจีนฮง ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ

(มีต่อ)

360 Nameless Fanboi Posted ID:HFLnLVvxTo

(ต่อจาก >>359 )

ดังที่ลาลูแบร์กล่าวไว้ นโยบายและระบบของรัฐจึงมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของช่างฝีมือและผู้ประกอบการ

จะเห็นว่า เมื่อมีการยกเลิกระบบไพร่ในช่วงรัชกาลที่ 4 (และเก็บภาษีรายหัวแทน) พลังของไพร่จึงได้รับการปลดปล่อย และเกิดเป็นชาวนาอิสระจำนวนมาก ส่งผลต่อการขยายการส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดในช่วงรัชกาลที่ 5

จนมีคำกล่าวในยุคนั้นว่า “ไพร่ที่หิวโหยและหาเลี้ยงตน ขยันและทำงานได้ดีกว่าไพร่ที่ถูกบังคับเป็นอย่างมาก”

แน่นอนว่า ในยุคปัจจุบัน ระบบการเกณฑ์แรงงานได้ถูกยกเลิกไปแล้ว (ยกเว้นการเกณฑ์ทหาร) แต่แรงงาน (หรือไพร่ที่ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานอีกแล้ว) จะเป็นอิสระที่จะได้ประกอบกิจการของตนขึ้นมาได้จริงหรือไม่?

อืมม์ คำตอบนี่อาจยากสักหน่อย เพราะการบังคับก็ยังมีอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปจากการบังคับแรงงานโดยตรง มาเป็นการบังคับผ่านกลไกทางเศรษฐกิจ นั่นหมายถึง แรงงาน (หรือไพร่) จะมีอิสระในการประกอบกิจการของตน ตราบใดที่มีผลประกอบการเพียงพอที่จะเลี้ยงชีพของตนได้

ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา จึงพบว่า ความกังวลใจเรื่องค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษา (รวมถึงการชำระคืนเงินกู้ยืมทางการศึกษา) ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ และค่าใช้จ่ายยามชรา เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับแรงงานในการก้าวเข้าสู่การเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ

กล่าวคือ แรงงานที่กังวลใจในค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็อาจจำเป็นต้องเลือกขายแรงงานให้กับบริษัท ซึ่งแม้จะดีกว่าถูกเกณฑ์แรงงานโดยรัฐ แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วยการไม่ได้เดินตามเส้นทางชีวิตที่ตนใฝ่ฝันไว้

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศที่มีระบบสวัสดิการด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ และสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุดีกว่าสหรัฐอเมริกา เช่น เดนมาร์ก นอร์เวย์ จึงมีอัตราส่วนผู้ประกอบการรุ่นใหม่สูงกว่าในสหรัฐอเมริกาตามไปด้วย เพราะผู้ที่จะก้าวมาเป็นสตาร์ทอัพไม่ต้องกังวลใจกับความเสี่ยง (ทางเศรษฐกิจ) ในชีวิตของตนนั่นเอง

นอกจากนี้ ในกรณีของประเทศไทย โอกาสในการเข้าถึงตลาดที่จำกัด ทั้ง (ก) ในเชิงพื้นที่ทางกายภาพในการวางสินค้าและกระจายสินค้า ที่ถูกเจ้าของพื้นที่และเจ้าของกิจการในระบบการค้าปลีกสมัยใหม่ผูกขาดไว้ และคิดค่าใช้จ่ายในราคาแพง และ (ข) ในเชิงกฎหมาย เช่น การห้ามผู้ผลิตเบียร์รายเล็ก ก็ยังเป็นข้อจำกัดที่สำคัญสำหรับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ด้วย

ดังนั้น การจะทำให้คนรุ่นใหม่เป็นสตาร์ทอัพ หรือการยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศนวัตกรรมแบบ 4.0 จึงมิใช่การเรียกร้องให้คน “ขยันต้นคิด” เท่านั้น แต่ยังต้องมี “รัฐบาล” หรือระบบรัฐที่เอื้อต่อการเติบโตของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ด้วย

ในมุมมองของผม ระบบสวัสดิการและความเปิดกว้างของระบบเศรษฐกิจจึงเป็นกลไกสำคัญในการ “ปลดปล่อย” พลังของไพร่ (หรือแรงงาน) รุ่นใหม่ให้กลายเป็นเจ้าของกิจการตามฝีมือและความใฝ่ฝันของตน

ผมเชื่อว่า หากเราทำได้ เราจะพบว่า “ไพร่ (แรงงาน) ที่ได้ทำตามความใฝ่ฝันของตนนั้น มีพลังมากกว่าไพร่ที่หิวโหย และไพร่ที่ถูกบังคับมากมายนัก”

#มิตรสหายท่านหนึ่ง

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.