https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-11-26/urgent-ap-exclusive-first-gene-edited-babies-claimed-in-china
ทารกที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรมรายแรกของโลก
สรุปข่าว:
- ที่จีนมีทารกแฝด ที่เกิดจากเอมบริโอที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรม
- สิ่งที่ตัดทิ้งไป ไม่ได้เป็นโรคทางพันธุกรรม
- สิ่งที่ตัดทิ้ง คือยีนที่มีชื่อว่า CCR5 ซึ่งผลิตโปรตีนที่ผิวเซลล์ ที่ทำให้เชื้อ HIV เข้าไปข้างในได้
- เด็กสองคนนี้ไม่มีไอ้ตัวนี้ (คนนึงมีอันนึง ไม่มีอันนึง) หมายความว่าสองคนนี้จะทนโรคเอดส์ได้
ซึ่งนับว่าเป็นก้าวใหญ่เหี้ยๆ ทั้งในทางวิทยาศาสตร์ และในทาง ethics
*****จบสรุปเท่านี้ ต่อจากนี้จะเป็นโหมดบ่น*****
คำถามก็คือ การทดลองนี้มัน ethical หรือไม่? แล้วเราควรจะทำกันไหม? มาลองดูเหตุผลกัน
For:
- เป็นก้าวแรกของการตัดต่อพันธุกรรมในมนุษย์
- เป็นตัวอย่าง ที่จะทำให้เกิดการตัดต่ออื่นอีกในอนาคต
- สามารถป้องกันโรคร้ายอย่างโรคเอดส์ได้
- พ่อแม่ที่เข้าร่วมการทดลองนี้ เป็นพ่อแม่ที่เป็นเอดส์อยู่แล้ว ดังนั้นการที่มีลูกทนโรคเอดส์ จึงสามารถช่วยครอบครัวนี้ได้เป็นอย่างมาก
- ผู้เข้าร่วมการทดลองสมัครใจเข้ามาเอง
- ซึ่งคนที่ไม่มียีน CCR5 โดย mutation ตามธรรมชาตินี้ก็มี แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก ไม่ถึง 1% (homozygote frequency of 1%)
Against:
- เป็นก้าวแรกของการตัดต่อพันธุกรรมในมนุษย์
- เป็นตัวอย่าง ที่จะทำให้เกิดการตัดต่ออื่นอีกในอนาคต
- โรคเอดส์ เป็นโรคที่ปัจจุบันก็รักษาได้อยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มความเสี่ยง
- ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะสมัครใจ แต่เราไม่สามารถทราบได้ว่าทารกจะสมัครใจหรือไม่
- การที่ไม่มียีน CCR5 สามารถเพิ่มความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ ได้ เช่น West Nile หรือไข้หวัดใหญ่
ถ้าเราเปรียบเทียบการตัดต่อพันธุกรรมเหมือนกับการ edit code อะไรสักอย่าง ถ้าเราแก้โค้ดได้ดี มันก็ดีไป แต่ถ้าเราเผลอใส่บั๊กลงไป บางทีมันก็อาจจะทำให้โปรแกรมที่มันควรจะใช้ได้ดีอยู่แล้ว เกิดพังขึ้นมา ซ้ำร้าย การตัดต่อนี้ไม่เหมือนกับการรักษาโรคทางพันธุกรรมในผู้ใหญ่ ที่เราแค่ตัดต่อในเซลล์ร่างกาย แต่นี่เป็นการตัดต่อพันธุกรรมทั้งเอมบริโอของมนุษย์ นั่นหมายความว่าอะไรก็ตามที่เราแก้ลงไป มันจะสามารถส่งต่อไปยังลูกหลานได้ และอีกหน่อยเราอาจจะมีประชากรมนุษย์ ที่ติดบั๊กที่ได้มาจากที่เคยมีคนแก้เอาไว้เมื่อหลายพันปีที่แล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน คนที่ขาดยีนตัว CCR5 นี้ก็มีอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่ว่าโรคเอดส์เป็นโรคที่ใหม่มากๆ จน natural selection ยังไม่มีโอกาสได้ทำงาน จึงมี frequency ที่น้อยมาก ถ้าเราปล่อยให้ natural selection ทำงาน และปล่อยให้โรคเอดส์ฆ่าคนไปเรื่อยๆ ต้องใช้เวลาถึงกว่า 2,000 ปี กว่า gene frequency นี้จะเพิ่มมาเป็น 10% (ซึ่งถ้าเราไม่ปล่อยให้ natural selection ทำงาน อย่างที่เราคอยรักษาผู้ป่วยด้วยยากันอยู่ทุกวันนี้ จะต้องใช้เวลาถึงกว่า 127,500 ปี) ดังนั้นเราจึงอาจจะบอกได้ว่าการตัดต่อพันธุกรรมเป็นทางออกเดียวของมนุษย์ ที่จะคอยอัพเดตพันธุกรรมของเราไม่ให้ต้องคอยง่อย และพึ่งการแพทย์เข้ามาแก้ไขทุกครั้ง เช่นเดียวกับหมา French Bulldog ที่ไม่สามารถขี่กันและคลอดลูกได้เองตามธรรมชาติ ต้องคอยให้สัตวแพทย์มาคอยฝืน natural selection และผสมเทียมกับ c-section ให้ทุกครั้ง
แต่นี่ไม่เหมือนกับแค่การ GMO ผลผลิตทางการเกษตร เพราะว่าผลผลิตทางการเกษตรเราสามารถพยายามป้องกันการปนเปื้อน หรือหยุดการแพร่พันธุ์ได้ เมื่อเราพบผลร้ายที่ตามมา (แน่นอนว่าการปนเปื้อนกับ wild type ก็สามารถเกิดขึ้นได้อยู่ดี) แต่ว่านี่คือมนุษย์ และเราไม่สามารถบอกไอ้เด็กแฝดสองคนนี้ให้ "ห้ามสืบพันธุ์" ได้ ดังนั้นอะไรที่เราแก้ไปแล้ว เราจะเอากลับคืนมาไม่ได้อีก การจะศึกษาผลข้างเคียงนั้นอาจจะใช้เวลาหลายชั่วอายุคน กว่าเราจะเจอว่าการตัดต่อยีนนี้นั้นจริงๆ แล้วฉิบหายมากๆ ยีนนี้ก็อาจจะแพร่พันธุ์ไปครึ่งโลกแล้วก็ได้
ใครยังนึกภาพไม่ออก ลองคิดแบบนี้ดูครับ
สมมติว่าพรุ่งนี้ Windows เปลี่ยนเป็น open source ใครๆ ก็สามารถเข้าไปแก้บั๊ก เติมโค้ดตัวเองได้ แล้วทีนี้มีอีกฟีเจอร์นึง นั่นก็คือ automatic update ทุกๆ โค้ดที่มีคนเติมเข้าไป สุดท้ายแล้วจะไปอยู่ในทุกๆ เครื่องบนโลกนี้หมด ไม่ว่าใครจะเป็นคนเขียน หรือเขียนไว้มีบั๊กแค่ไหน ก็อารมณ์คล้ายๆ กันนี่แหล่ะ
อยากทราบว่า แต่ละคนคิดว่าการทดลองนี้ สมควรที่จะทำหรือไม่? และมัน ethical เพียงใด?
"Your scientists were so preoccupied with whether or not they could, they didn’t stop to think if they should."
- Ian Malcolm, Jurassic Park
#มิตรสหายท่านหนึ่ง