กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
กระทู้ 1 >>>/literature/2342/
กระทู้ 2 >>>/literature/3442/
กระทู้ 3 >>>/literature/4775/
Last posted
Total of 1000 posts
กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
กระทู้ 1 >>>/literature/2342/
กระทู้ 2 >>>/literature/3442/
กระทู้ 3 >>>/literature/4775/
ถ้าแต่งเซ็ตติ้งโลกแนวๆสตรีมพังค์+เวทมนตร์ ควรใช้สรรพนามยังไงดีอะ
ลังเลว่าจะ ข้า-เจ้า หรือ ฉัน-เธอ ดี -_-
ถามเรื่องโน้ตบุ๊กที่เหมาะกับการพิมพ์ได้ไหม
กูเคยใช้ hp หลายปี พอเปลี่ยนเป็น Lenovo แล้วถึงกับพิมพ์ไม่เป็นเลย กูว่าตำแหน่งแป้น Lenovo มันประหลาด พิมพ์สัมผัสได้ไม่สะดวก ไม่เหมาะกับงานพิมพ์ ถึงตอนนี้จะเริ่มใช้คล่องขึ้น แต่กูอยากถามความเห็นพวกมึงเก็บไว้เผื่ออนาคตจะเปลี่ยนเครื่องอีก ยี่ห้อไหนดี ขนาดเท่าไร ถึงจะสะดวกและเหมาะกับงาน
ขอถามโม่งที่เขียนนิยายกันหน่อยว่า แต่ละคนเขียนนิยายกันตอนเรื่องนึงใช้เวลาประมาณเท่าไรวะ
กูเขียนเรื่องนึง (ประมาณ 250 หน้า) ราว ๆ 3-4 เดือนได้ยังรู้สึกว่าช้าอยู่เลย ไม่รู้ว่าเหล่ามืออาชีพเขาเขียนกันได้เร็วขนาดไหน อยากจะพัฒนาตามได้มั่งจัง
>>12 มืออาชีพก็มีเขียนช้าเขียนเร็วนั่นแหละ แต่ละเรื่องยังเขียนช้าเร็วไม่เท่ากันด้วย อย่างลุงจอร์จ คนเขียน got เขียนมายี่สิบปีละยังไม่จบ (แต่แกก็เขียนเรื่องอื่นไปด้วย) ส่วนของลุงสตีเฟ่นคิง เห็นบอกเขียนเล่มละสองเดือน อันนี้เอามาจากตอนที่สองคนนี้คุยกัน
มึงเขียนเร็วแล้ว แต่ที่มืออาชีพต่างกับมือสมัครเล่นคือผลงาน มืออาชีพอยู่ด้วยงานเขียนก็ต้องเขียนงานแล้วมีแดก ส่วนมือสมัครเล่นก็เขียนเป็นงานอดิเรก มึงจะเขียนช้าก็ได้ถ้าเล่มหนึ่งมึงขายได้มาก แต่ถ้าเล่มหนึ่งมึงขายแทบไม่ออกเลยมึงเขียนเดือนละเล่มก็สู้คนที่ขายดีเขียนเล่มเดียวปีเดียวไม่ได้หรอก
>>12 ถ้าเทียบอัตราเขียนคือวันละ 2-3 หน้าสำหรับคนมีงานประจำกูว่าปกติค่อนไปทางเร็วด้วย (คนเขียนนิยายไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เขียนเป็นงานประจำ) ถ้าเขียนแนวเข้มข้นคุณภาพได้สองสามหน้าในทุกๆ วันนี่ยิ่งกว่าเร็ว บางคนบอกว่านั่งเขียนตั้งหลายวันได้มาหน้าเดียว เพราะเขียนๆ ลบๆ ไม่ถูกใจสักที
เมื่อก่อนกูเคยเขียนนิยายวัยรุ่นได้ 3-5 หน้าในหนึ่งวัน ส่วนผลตอบรับนั้น... กูสนุกตอนเขียนคนเดียว 55555555
โอ้เข้าใจผิดมาตลอดเลยนะเนี่ยว่าตัวเองเขียนช้า เพราะเห็นคนอ่านชอบบ่นว่าลงช้าเป็นประจำ (ประมาณอาทิตย์ละ 2-3 ตอนโดยเฉลี่ย)
ที่มาถามนี่เพราะกูมีเพื่อนใน FB อะ อีกฝ่ายเป็นนักเขียนมืออาชีพพิมพ์ขายเอง ปีเดียวเขาออกได้หลายเล่มด้วย พอเอามาเทียบแล้วเลยรู้สึกว่าตัวเองยังด้อยกว่าเขาเยอะ
เขียนช้ารึเร็วนี่นับเอาแต่ละตอนหรือนับตอนจนกว่าปิดเรื่องวะ อย่างกูเขียนเล่น ๆ ถ้าวันไหนว่าง เอาเฉลี่ยรวม ๆ ก็ได้วันละตอน (ประมาณ 10 หน้า) ส่วนวันไหนไม่ว่างก็ไม่ได้แตะเลยเงี้ย (ซึ่งปกติก็ไม่ว่าง ถถถ) กูเลยใช้เวลาหลายเดือนมากกว่าจะเข็นจบ อันนี้คือก็คงถือว่าออกช้าละมั้ง 5555
เล่มนึงกูปีนึงมั้ง (ไม่ถึงขนาดนั้น) แต่ถ้าเรื่องยาวหน่อยก็ประมาณนี้ อย่างล่าสุดประมาณ 500 หน้าก็ปีนึง แต่ระหว่างนั้นก็มีเขียนเรื่องสั้นๆประปราย แต่กูคิดว่าความเร็วกูประมาณนี้ แล้วคนอ่านก็ชินแล้วกูลงอาทิตย์ละตอน ก็ไม่ค่อยมีคนบ่นว่ากูลงช้านะ เค้าคงรู้กันแล้วว่าสปีดกูได้แค่นี้ง่ะ
ในบรรดาโม่งนักเขียนทั้งหลาย มีใครชอบจองชื่อนิยายบ้างไหม กูมาระบายว่ารกหูรกตามาก เวลาเห็นคนอัพสเตตัสจองชื่อในเฟซ คนทั้งโลกต้องรับรู้เหรอวะ เจอหลายคนละ
กูว่าจองไว้ก็ดีแล้วนะ จริง ๆ น่าจะมีเว็บคีย์ชื่อนิยาย / นามปากกา เป็นฐานข้อมูลไว้เลยยิ่งดี เห็นซ้ำกันแล้วหงิด ๆ ไงไม่รู้ว่ะ
>>23 กูมองเป็นความเห็นแก่ตัว และคนดราม่าก็คนจองเอง กูลองเขียนนิยายใส่ชื่อเรื่องในเด็กดีเจอว่ามีคนใช้แล้ว กูก็ไม่ซ้ำแค่นั้น แต่พวกประกาศในเฟซส่วนตัว กูสาระแนไปเห็น คนที่ไม่เห็นแล้วเขาตั้งซ้ำขึ้นมามันความผิดเขาไหมวะ บางคนกูเห็นจองชื่อทุกอาทิตย์ ใจกูอยากไล่ให้ไปเขียนเรื่องที่ยังค้างให้จบก่อน แต่ทำได้แค่เลิกติดตามแล้วมาบ่นในนี้
Ky นะเพื่อนโม่ง กูสงสัยขึ้นมาว่าการที่คนจะชอบหรือมองว่าตัวละครนี้มีเสน่ห์นี่มันมีปัจจัยมาจากอะไรบ้าง กูอยากเอาไปปรับใช้ตอนสร้างตัวละครน่ะ
>>25 มันแล้วแต่คน แต่ถ้าให้กูสังเกตตัวเองก็จะประมาณนี้
1. เป็นตัวละครที่รับมือกับสถานการณ์ได้สมเหตุสมผล - ไม่จำกัดว่าจะด้วยวิธีขาวหรือดำ แค่แก้ปัญหาแบบที่กูคิดว่า "เป็นกูก็คงทำงี้" หรือไม่ก็แก้ปัญหาได้เหมาะสมกับลักษณะนิสัยของตัวละครที่คนเขียนปูมาแต่แรก เรียกได้ว่ามีจุดยืนชัดเจนน่ะ จะเป็นจุดยืนที่จะไม่มีจุดยืนก็ยังได้
2. สกิลเทพ/ชาติกำเนิดรวดร้าว/แถมคอมโบหน้าตาดีเข้าไปอีก- อันนี้คลิเช่
3. แกปโมเอะ! - อย่างตลค.แนวลาสบอสที่โหดสัส พระเอกต้องเซ่นเลือดซาตานแล้วตายอีกสิบรอบก็ยังล้มไม่ได้ แต่พออยู่กับพรรคพวกของตัวเองแล้วพูดประโยคเปิ่นๆ ออกมาประโยคเดียวที่เราไม่คาดคิดงี้ กูว่ามันน่ารักดี 555
กูว่าอยู่ที่คำพูดตัวละคร ที่ไม่งี่เง่า ถ่ายทอดลักษณะนิสัยได้ชัดเจน พอคนอ่านเริ่มเข้าใจตัวละคร เห็นภาพชัด ก็จะเริ่มโดนโปรยเสน่ห์ใส่ง่ายขึ้น55
กูสงสัยมานานแล้วว่าทำไมหนังสือที่ตัวเอกเป็นหญิงถึงได้รับอนุญาตให้มีบุคลิกหลากหลายได้ แต่พอเป็นตัวเอกชายกลับเห็นแค่ไม่กี่แบบวะ เรามีหนังสือที่มีนางเอกหวานๆ อ่อนโยน มีนางเอกเปรี้ยวๆ สนใจแฟชั่น บ้าเครื่องยนต์ มีสายบู๊ถ่อยเถื่อนกักขฬะ หรือเงียบขรึมมีปม คนก็ไม่เห็นว่าอะไร แต่ทำไมพอหนังสือที่ตัวเอกเป็นชายบางทีจะชอบมีคนบ่นว่า 'ผู้ชายจริงๆ ไม่คิดงี้ทำงี้หรอก' คือผู้ชายจริงๆ ก็มีความปากร้ายเวิ่นเว้อมโนอ่อนไหวป่ะวะ อันนี้กุมาถามในฐานะนักอ่านนะ ที่เวลามองภาพรวมทั้งวงการ(กุไม่ได้อ่านหนังสือทุกเล่มบนโลก แค่เทียบจากหนังสือดังๆ ในหลายเจนเร)นิยายที่ดำเนินเรื่องโดยผู้ชายมักจะเป้นตลค.ที่นิสัยกลางๆ คือแบบเก่ง มีสกิล จบ ไอ้หล่อรวยมีอำนาจมืดอะไรพวกนี้ก็เป้นตัวแถมแล้วแต่ว่ากำลังอ่านนิยายแบบไหน
กูว่าเพราะว่านืฝิยายส่วนใหญ่ขายผญ. มันก็ต้องแต่งให้ผช.เป็นหนุ่มในอุดมคติที่คนอ่านอยากจะเห็นอ่ะ ไม่งั้นเสี่ยง มึงต้องมีฝีมือหรือทีชื่อจริงๆถึงจะขายออก อย่างนิยายของ ว.วิจ อะไรพวกนี้พระนางโคตรสมจริง แต่นิยายเครียดๆคนไม่ค่อยอ่านอ่ะมึง ขายยาก
>>30 แล้วแต่แนวอย่างที่บอก กูคิดว่านี่แสดงให้เห็นว่านักอ่านหลายคนชอบพระเอกผู้ชายแบบนี้ในอุดมคติ
ผู้ชายที่อยากได้ พระเอกนางเอกที่ถูกใจหรือโดนใจคนอ่าน
ผู้ชายจริงๆมีหลายแบบ แต่เพราะคนอ่านน่าจะอยากได้ผู้ชายในอุดมคติรวมมากกว่าถึงได้มีคนชอบบ่น ผู้ชายจริงๆไม่คิดทำงี้หรอก แต่สำหรับกูนะต้องดูด้วยอีกว่าทำอะไรในเรื่อง ถ้าปากเสียเวิ้นเว้ออ่อนไหวก็มี
กูคิดเหมือน >>31 นะ เพราะบางทีผู้ชานในชีวิตจริงไม่ตอบโจทย์พอมาอ่านคนอ่านก็อยากจะเจอแต่ผู้ชายในอุมคติที่ฝันถึง กลับกันถ้าเป็นคนเขียนคิดว่าถ้าพระนางสมจริงจะแต่งออกมาให้สนุกจริงๆให้คนชอบจริงๆยากกว่าด้วยซํ้า
Ky แพพ คือกุกำลังเขียนนิยายที่เอี่ยวเรื่องลัทธิความเชื่อเมิง แบบว่าตลค.จะต้องไปผจญภัยตามหาไอเทมในลัทธิชวนเชื่อที่ป๊อปมากๆในประเทศ คือกุก็พยายามหาข้อมูลเยอะๆอ่ะ ดีเทลแบบลัทธิต้องมีอะไร กล่อมคนยังไง แต่อ่านแล้วยังไม่อินว่ะ กุมองว่าถ้ากุไม่อินเดี๋ยวคนอ่านก็ไม่อินตาม มีคำแนะนำไรให้กุมะ
มึงๆ นิยายของ รอม พ. การใช้ภาษาเป็นยังไงบ้างวะ ถือว่าอยู่ในขั้นที่พอจะเป็นแบบอย่างได้ไหม กูอยากซื้อมาอ่านว่ะ เห็นมีกลอนโน้นนี้ด้วย น่าสนใจดี อย่าง บุพเพสนว.เนี่ย โอเคปะวะ
>>35 ส่วนตัวกูไม่ค่อยชอบวิธีการเขียนเค้าอ่ะ แบบอ่านแล้วสะดุดหลายรอบมาก คือจริงๆกูว่าเค้าเฉยมากทั้งวิธีดำเนินเรื่องทั้งภาษา ยิ่งภาษานี่กูแทบไม่รอด
นักเขียนไทยถ้าเกิดว่าแนวแบบเวิ่นวือ (ทีกูชอบ) กูว่าทมยันตี แต่บางคนก็ไม่ชอบในความแบบดูเยอะๆของภาษาเค้าเหมือนกันนะ
กิ่งฉัตร ธรรมดาสบายๆแต่อ่านไม่สะดุด กูว่าเป็นคนที่ใช้ภาษาเรียบๆได้ดี
แก้วเก้า คนโปรดของกูเอง กูว่าเค้าเขียนดีอ่ะ
ใครช่วยแนะนำนิยายย้อนยุค (ไม่ต้องย้อนเวลา) ของปิยะพร กับ แก้วเก้า ให้หน่อย หรือนักเขียนชั้นครูคนอื่นก็ได้
ชอบแก้วเก้ามากกว่า คาแรคเตอร์หลากหลายกว่า
ปิยะพร อ่านหลายเงแล้ว พระนางคล้ายๆเดิม แต่ภาษาดี
มีใครเขียนแนวเมต้ามั้ยเพื่อนโม่ง เจอนิยายตปท.เรื่องนึงที่ตัวละครมีแค่ตัวเดียวแต่มันคุยกับคนอ่านทุกตอนแล้วเดาความคิดเราได้หมดเลยจนหลอน แต่งกันมาได้ไงวะแนวนี้ เทพสัส
ky มีเพื่อนโม่งคนไหนทดสอบเข้าเป็น Head Writer กับ Co Writer ของสนพ.Movel เหมือนกันบ้างปะวะ อยากรู้ว่าเขาติดต่อใครกลับไปบ้างรึยัง นี่ก็ผ่านไปเกือบเดือนแล้วทางกูยังเงียบอยู่เลย ปกติถ้าไม่ผ่านสนพ.มันจะแจ้งรึเปล่า หรือกูควรเมลไปถามเองดี?
มึง ถ้ากูให้นางเอกกูแทนตัวเองในเรื่องว่า 'เค้า' มึงอ่านกันแล้วจะรู้สึกขัด ๆ ปะ คือนางเอกกูนิสัยน้องงงงง อะ (ไม่ใช่แบ๊ว ๆ ปัญญาอ่อนนะ กูอธิบายไม่ถูก) แบบลองใช้ฉันแล้วมันดูแข็งไป ใช้ชื่อเล่นก็ยังไง ๆ อยู่ พวกมึงว่าไง
>>54 เค้า นี่กูใช้เรียกตัวเองเวลาคุยกับเพื่อนเป็นส่วนใหญ่เลย เลยรู้สึกกลางๆ แต่ไม่แน่ใจว่าในนิยายใช้เแล้วจะทำให้คนอ่านรู้สึกยังไงนะ
มันขึ้นอยู่กับเรียกอีกฝ่ายยังไงด้วยรึเปล่า อย่างกู ใช้คำแทนตัวเองว่า เค้า แล้วเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่ออะ หรือไม่ก็เรียกอีกฝ่ายว่า แก กูรู้สึกว่ามันก็ไม่แบ๊วนะ (หรือเพราะกูเอาตัวเองเป็นที่ตั้งวะ แล้วคิดว่าตัวกูก็ไม่ใช่คนแบ๊ว เลยคิดว่ามันไม่แบ๊ว)
มีอีกอย่างที่คิดว่าไม่แบ๊วแล้วใช้แทน เค้า ได้ คือคำว่า เรา อะ
อย่างกูใช้คำว่า เค้า กับเพื่อนสมัยเด็ก/สมัยเรียน แต่พอมาทำงานแล้วกูใช้คำว่า เรา กับเพื่อนร่วมงานที่อายุพอๆกันเอาอะ (เอ่อ พอคิดไป ถ้าเรียกแทนตัวว่า เค้า กับเพื่อนร่วมงานนี่ก็ดูแบ๊ว/หน่อมแน้ม/ไม่ professional ไปจริงๆแฮะ)
ขอบใจพวกมึงมาก แต่จริง ๆ นางก็ใช้เค้าแค่กับพระเอกคนเดียว คนอื่นก็แทนชื่อไป
เดี๋ยวกูดูฟี้ดแบ๊กนักอ่านกูอีกทีแล้วกัน ถ้าไม่โอเคกันคงเปลี่ยนเป็นใช้เรา
แวะมาบ่น ...อ๊าาาาา จะบ้าตาย เกลียดตัวเองวุ้ย!!
มีนิยายในมือยังเขียนไม่จบ และคาดว่าอีกยาวกว่าจะเขียนจบ แต่จู่ๆ เมื่อวานก็มีพล็อตเรื่องใหม่เข้ามาในหัวซะงั้น
พอมีพล็อตใหม่แล้วมันทำเอาเขียนเรื่องเก่าไม่ออก อยากจะเขียนเรื่องใหม่ทั้งที่งานเดิมยังค้างซะงั้น
เรื่องปกตินะ เป็นเหมือนกัน แต่พอลองแต่งเรื่องใหม่ที่มีแค่พล็อตคร่าวๆ จะแต่งได้ไม่กี่ตอนเพราะยังหาทางไปต่อไม่เจอ แค่เอามาสนองนี้ดตัวเองขณะนั้น(กับเปลี่ยนอารมณ์จากอีกเรื่อง) สุดท้ายก็คิดถึงเรื่องเก่า+มีพล็อตละเอียดกว่าด้วย ก็กลับไปแต่งต่อ ส่วนนึงเพราะคนอ่านรอด้วยแหละ
อ่าาาา ท่าจะแย่แล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าเขียนไม่ออกซะงั้น
เขียนไม่ออก เขียนไม่ได้เลย เป็นมาหลายวันแล้วด้วย แบบนี้จะเหมือนก่อนหน้านี้มั้ยเนี่ยที่ต้องหยุดเขียนไปตั้งครึ่งปีกว่าจะกลับมาเขียนได้
กูเป็นอยู่ พักมาจะปีแล้วด้วย พล็อตมาเรื่อย ๆ นะ แต่ไฟไม่มีเลย อาจจะเป็นเพราะชีวิตช่วงนี้มันยุ่งด้วยแหละ
Ky ถามหน่อย มีใครเคยส่งหนังสือให้เพจรีวิวไหม เค้ารับกันหรือเปล่า หรือมันถือเป็นการติดสินบน ผิดจรรยาบรรณเพจไรงี้ไหม
>>67 อย่างในเมกา (เพราะไม่แน่ใจว่ามีประเทศอื่นทำมั้ย) นักเขียนจะส่งไฟล์อีบุ๊คให้นักรีวิวอ่านล่วงหน้าเพื่อ honest reviews (ไม่มีการสปอยล์)
ในบ้านเราธรรมเนียมแบบนี้ไม่ได้เป็นแบบเปิดเผย อย่างนักรีวิวจะไม่บอกนะว่ารีวิวนี้ได้จากการอ่านฟรี หรือได้รีวิวละ200
(หรือมีบางคนที่ได้หนังสือไปฟรีๆ ไปก่อนแล้วไม่ได้รีวิวแต่สปอลย์นิยายก่อนวันวางขายก็ยังมี)
ถ้ารีวิวจากใจจริงแล้วบอกตามตรงว่าได้อ่านฟรีก็ไม่น่าใช่การติดสินบนนะ
>>70 หมายถึงรีวิวละ 200 บาทป่ะ
สมัยก่อนตอนเฟสยังไม่ดัง (นานมากแล้ว) กูรีวิวบ่อย จนสนพ ติดต่อมามอบหนังสือให้ ขอให้รีวิวลงเว็บ พอพี่คนที่มีหน้าที่ติดต่อเขาออกจากงานก็จบ ช่วงนั้นกูมีนิยายอ่านฟรี ได้มาประมาณ 20-30 เล่ม มาทีห่อใหญ่เลย (แถมกูรีเควสบางเรื่องเป็นพิเศษได้ด้วย)
>>70 รีวิวละ200+ทริปเที่ยวเกาหลี
อย่าเชื่อกู ลองไปขุดอ่านดูที่ตำหนักเผือก
ถึงคนที่ถาม มันอาจจะดีที่ส่งหนังสือตัวเองให้เพจรีวิว แต่เท่าที่เห็นรีวิวแต่ละเพจมีความไบแอส แต่ เพจรีวิวคนตามเยอะๆ ถ้าเขาอวยหนังสือเล่มไหนคนซื้อตามเยอะนะ ถึงแม้ว่าเล่มนั้นจะ นะ ขนาดไหน เขาก็จะหาทางชมจนดีเลิศ แต่กลับกันถ้าเรื่องไหนที่เขาคิดว่าไม่ดี ไม่ชอบก็จะหาข้อติแบบที่ว่า 'อะไรของมึง' ได้เลย
ขอโทษทีที่นอกเรื่อง กูคนอ่านไม่ใช่นักเขียน แต่การส่งหนังสือดีเป็นรูปเล่มดีกว่า อย่างน้อยนักรีวิวคนนั้นก็เอาไปแบ่งปันทำทานได้ลำบากหน่อยนึง (บอกไว้เผื่อมึงอยากจะส่งหนังสือให้นักรีวิว)
>>72 อุ๊ปส์ 5555555555
ส่งหนังสือให้รีวิวนี่กูไม่ได้มองว่าผิดจรรยาบรรณอะไรนะ ตราบใดที่เป็นการรีวิวจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่ว่า อะ เค้าให้หนังสือมาแล้ว เขียนถึงดีๆ หน่อยละกัน อะไรแบบนี้ แต่มันพูดยาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าตกลงกันยังไง ในฐานะนักอ่านถ้ารู้ว่ามีการส่งหนังสือให้บางคนก็อาจจะรู้สึกไม่ดีไปเลยก็ได้ เพราะยังไงถ้าลงรีวิวขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยก็นักเขียนก็เหมือนได้โปรโมทหนังสือไปในตัว ส่วนเรื่องที่ไหนรับบ้าง อันนี้น่าจะแล้วแต่เพจ ถ้าเป็นนักเขียนแล้วอยากขอให้ช่วยรีวิวก็ติดต่อดูเลยน่าจะดีกว่า
นักรีวิวที่คนตามเยอะๆ นี่ชี้ชะตายอดขายได้นะ บางทีถึงเห็นว่าชอบไปนู่นนี่กับนักเขียนเหมือนเป็นประโยชน์ต่างตอบแทนอะ ยิ่งถ้าสนิทกันก็อวยไปเถอะ อวยไป
เพื่อนโม่งกูกำลังเขียนนิยายแฟนตาซีอยู่ ขอความเห็นหน่อยสิ
พวกมึงคิดว่ามนุษย์จะอยู่รอดในโลกแฟนตาซีที่มีมอนสเตอร์อย่าง มังกร แมนติคอร์ กริฟฟิน ยักษ์ โทรลอะไรแบบนี้ได้มั้ย? ยังไม่นับรวมออร์ค ก๊อปลิน ปีศาจ เผ่าอื่นๆอีกที่มีความฉลาดพอๆหรือเทียบเคียงได้เท่ามนุษย์หรือมากกว่า ถ้ารอดทำยังไงถึงรอด? แบบกูเห็นหลายๆเรื่อง มนุษย์แม่งไม่น่ารอดมาถึงยุคกลางได้เลย
ขอถามหน่อย เวลาติดต่อพวกเอเจนซี่นี่ต้องเมลเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษวะ มันคาใจช่วยบอกหน่อย
>>67 บางเพจโพสบอกเลยว่า สนพ.สามารถส่งหนังสือมาให้ตัวเองอ่านรีวิวได้นาจา
แล้วบางเพจคือ ต้องดูเลยว่าอ่านสนพ.ไหนเป็นหลัก จะเห็นว่าอวยงานเขียนของสนพ.นั้นมากๆ หรือสนิทกับนักเขียน ก็อวยมากเป็นพิเศษ แล้วยิ่งเพจไหนลูกเพจเยอะๆ ถ้าเจ้าของเพจรีวิวเรื่องไหนไม่ดี หรือมีอคติกับสนพ. นักเขียน ไรงี้ ก็รีวิวแย่ๆไป ลูกเพจก็จะเทกันตามๆแบบไม่คิดไรเลย แต่พวกรีวิวพวกนี้ไม่มีผลต่อการซื้อหนังสืออ่านนะ กูเป็นพวกชอบลองของเอง ไม่ค่อยเชื่อใจใคร แล้วกูคิดว่า รสนิยมการอ่านของกูอาจจะไม่ตรงกับพวกนั้น
>>79 เอเจนตปท.อะเหรอ ก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาของประเทศเค้าดิ พิมพ์ไทยไปเค้าก็อ่านไม่ออกหรอก
>>78 ก็ปกติมนุษย์มีจำนวนเยอะกว่ารึเปล่าแล้วก็ไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกัน มันก็เหมือนถามว่าทำไมเราอยู่ร่วมโลกกับเสือเบงกอลได้โดยไม่ถูกมันกิน ก็เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไง แบบออร์ค ก็อบลิน ยักษ์ อาจจะอยู่ในป่าในถ้ำในอะไรก็ว่าไป คนก็อยู่ในเมืองโง่ๆไป อาจจะมีอย่างอื่นมาปกป้อง เช่น พ่อมดบลาๆ (พูดในแง่เรียลลิสติกก็ศาสนา)
แต่ก็แล้วแต่เซตติ้งมึงด้วยอ่ะเนาะ ถ้าประชากรอีกฝั่งเยอะก็อาจจะมีสงครามได้ (แบบเก้าศาตรา)
>>78 อยู่รอดยังไงล่ะ ท่ามกลางสงครามแล้วฝ่ายมนุษย์สู้ชนะ หรือว่าใช้ชีวิตประจำวันเฉยๆ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ยังไงก็ไม่น่าจะได้เจอกันแบบที่ >>81 บอกรึเปล่า
ถ้าไม่งั้นก็ลองลงลึกไปที่ลักษณะนิสัยของแต่ละเผ่าพันธุ์ดู บางพวกอาจจะรักสงบ ไม่ยุ่งกับเผ่าอื่นก่อนยกเว้นโดนรุกราน หรือว่าเป็นพวกป่าเถื่อน วันๆ ตีกันเองจนจะตายยกเผ่าแล้ว เป็นเผ่าพันธุ์หายากที่มีจำนวนน้อย อย่างในเซ็ตติ้งสงครามมันก็ไม่ใช่ว่าทุกเผ่าจะสู้กันเองมั่วซั่วใช่มั้ยล่ะ มันก็มีทั้งพวกเป็นพันธมิตรกัน หรือพวกหักหลังกันเอง มีจุดอ่อนต่างๆ ที่เอามาใช้ได้นอกเหนือจากความฉลาดหรือความแข็งแกร่งทางร่างกายอีกเยอะอะ
>>78 มึงต้องสร้างจุดเด่น จุดด้อยและลักษณะของของเผ่าพันธุ์ก่อนเว้ย แล้วจึงค่อยคิดว่าจะเอาตัวรอดยังไง
กูขอยกตัวอย่างจาก Warhammer นะ มนุษย์เดิมทีเป็นเผ่าพันธุ์อ่อนแอ อายุก็สั้น แถมเคยถูกพวกออคและมนุษย์สัตว์ไล่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาก่อนจนกระทั่ง Sigmar รับได้ Ghal Maraz และเทคโนโลยีหลอมโลหะจากคนแคระ ถึงได้มีโอกาสพิสูจน์ว่ามนุษย์เองก็มีจุดเด่น และใช้จุดเด่นนั้นดำรงเผ่าพันธุ์ตัวเองให้รอดมาได้ในที่สุด กลับกันฝ่ายออคไม่มีเทคโนโลยีก็ต้องแพ้ไปและกลายเป็นศัตรูคู่แค้นตลอดกาล
ซึ่งถ้ามองจากด้านบนจะเห็นเลยว่า มนุษย์ มีจุดอ่อนเรื่องพละกำลังและอายุขัยก็จริง แต่มีจุดเด่นตรงที่เป็นพวกช่างคิดและเรียนรู้ได้รวดเร็ว แค่ได้รับเทคโนโลยีหลอมโลหะจากคนแคระมาก็สามารถนำมาต่อยอด และผลิตอาวุธกลับไปสู้กับออคได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับออคที่กำลังดี แต่โง่ เลยต้องดำรงเผ่าพันธุ์ร่วมกับก็อบลิน ซึ่งฉลาด แต่อ่อนแอมาก ซึ่งตรงนี้ล่ะคือเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองเผ่าต่างกินกันไม่ลงซะที เพราะต่างฝ่ายต่างมีข้อดีข้อด้อยมาคอยค้านกันอยู่นี่เอง
ลองเล่น Dragon age ภาคแรก ดิ แล้วจะรู้นักเขียนที่ดีคือยังไง กูเล่นไป แม่งยังกะ ตำนานจริงๆ
กูหลุดมาจากห้องไลท์ฯ กูขอแนะนำ no game no life ช่วงสงครามละกัน
บอกได้ดีเลยว่ามนุษย์แม่งสู้ไม่ได้แน่นอน(อยู่ช่วงหนึ่ง) แต่ก็ไม่ถึงขั้นสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเลย(กากจนเผ่าอื่นไม่ใส่ใจ ตย. เช่น เผ่ามังกรในหลายๆเรื่องที่ขึ้นชื่อว่ามีปัญญา+พลังสูงสุดมักจะไม่ใส่ใจเผ่าอื่นและปล่อยไปเฉยๆ ยกเว้นเจอเผ่าที่แกร่งพอๆกัน จะเป็นเทพรึอะไรก็ว่าไป)
และจะต้องมีจุดเปลี่ยนอะไรสักอย่างหรือใครสักคนมาชักนำให้เผ่ามนุษย์พลิกห่วงโซ่จากใต้สุดมากลางๆ หรือบนสุดไปเลยอะไรเทือกนั้นทำให้อยู่รอดมาได้
ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าจะวางคสพ.ของแต่ละเผ่ายังไง เล่าในมุมมองของเผ่าไหน จะให้เผ่าไหนโดดเด่นยังไง(โดนรังเกียจ/กลัว/สิ้นเผ่าพันธุ์/เป็นมิตร/ยกย่องบูชา/เก่งสุด/อ่อนสุด/ฉลาดสุด ฯลฯ)
ส่วนตัวกูว่าจะแต่งให้สมจริงมันค่อนข้างยากถ้าไปเจาะจงรายละเอียดมากไป เพราะเดิมทีพวกสัตว์แฟนตาซีมันอยู่ทั่วโลกการที่เอาหลายตำนานมารวมกันแล้วแจกบทให้มันยาก ที่ง่ายคือข้ามช่วงมนุษย์รอดมาได้ยังไงไป แล้วไปใส่ข้อมูลในส่วนที่ว่ามนุษย์มีความสามารถในการต่อสู้กับเผ่าอื่นตรงไหนแทน เนิฟเผ่าอื่นลงให้โง่ๆเหมือนเวลาตลค.อื่นเจอพวกซู หรือเพิ่มบทของเผ่าอื่นมานิดหน่อยพอเป็นพิธีนั่นแหละ ตย. เช่น ให้เผ่าโอเกอร์ที่แข็งแกร่งโง่ๆเข้าไว้ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ให้เผ่าเอลฟ์ที่ฉลาดๆเก่งเวทมนตร์เป็นพวกหัวอนุรักษ์ไม่ยอมพัฒนาหรืออยู่รวมกันเป็นจน.น้อย ให้มนุษย์คิดค้นวิธีการเฉพาะในการสู้แต่ละเผ่าได้ หรือจะเน้นอวยว่ามนุษย์เจ้าเล่ห์ปรับตัวเก่งก็ว่าไป ใส่แค่ว่าตัวเอกบังเอิญไปเจอมังกร/ออร์ค/แฟรี่ พวกเผ่าที่เจอบ่อยๆ หรือชอบเก็บตัวอะไรแบบนั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าจุดหมายของตัวเอกคืออะไรมากกว่า
อย่างถ้าแค่ผจญภัยธรรมดาก็ไม่ต้องลงรายละเอียดมากถ้าไม่จริงจังจริงๆ(คหสต.มันเกลื่อนไปทั่วจนกูเบื่อเลยวะแต่ถ้าใส่รายละเอียดแบบมากๆลงไปจะโครตเพอร์เฟค>>กูไม่เห็นแบบดีๆมานานแล้ว)
ล้างแค้นก็เน้นแค่เผ่าที่อยากให้ตัวเอกไปเจอแล้วเก่งขึ้นก็พอ(ถ้าedgyก็น่ารำคาญแต่ตอนนี้แม่งเป็นแนวตลาดวะ>>ฮาจิเมะ)
slice of life (น่าเบื่อสัดถ้าแต่งไม่ดี>>แต่กูชอบ ตย.เช่น ลาติน่า)
แนวสงครามก็ต้องลงรายละเอียดเยอะเหี้ยๆ(แต่กูว้อนแนวนี้มาก>>the lord,ngnl เล่ม6)
แฟนตาซีทั่วไปเอาแค่เผ่าที่ต้องการมาก็พอ(มังกร-มนุษย์ , กอบลิน-มนุษย์ , เทพ-มนุษย์ , ครึ่งสัตว์-มนุษย์ , ปีศาจ-มนุษย์ แนวนี้ค่อนข้างนิยมเพราะค่อนข้างใส่จุดหมายที่แน่นอนให้ตัวเอกได้ และลงลึกรายละเอียดได้แบบไม่ต้องกว้างมาก>>กอบลินสเลเยอร์,เอรากอน)
จะว่าไปตอนเย็นกูเข้ามาตั้งใจจะบ่นนี่หว่า แต่ลืมบ่นซะงั้น ถ้างั้นบ่นตอนนี้เลยละกัน
กูกลุ้มกับนิยายตัวเองว่ะ ตอนนี้ยังเขียนเก็บเอาไว้อยู่เพราะยังเขียนไม่เสร็จ แต่ไม่รู้ว่าคนอ่านจะคิดยังไงและคุ้มค่ามั้ยที่จะเขียนต่อ
ที่อยากจะบ่นนี่เพราะรสนิยม + แนวคิดความสนุกกูดันต่างจากคนทั่วไปเนี่ยล่ะ ไม่รู้ว่าไอ้ที่กูเขียนแล้วรู้สึกสนุกเนี่ยคนอื่นเขาจะสนุกด้วยรึเปล่า orz
เออ กูก็สงสัยมานานละว่าถ้าแต่งแบบมีหลายเผ่าพันธ์ุ มนุษย์จะสู้เผ่าอื่นอะไรยังไงได้บ้าง แวะมาเอาข้อมูลด้วย 555
>>89 ลองคิดแบบจริงจังดูนะ ถ้าในโลกแฟนตาซี อาวุธของมนุษย์ควรจะเน้นไปที่หอกและอาวุธระยะไกลว่ะ
มึงลองคิดดูดิ ถ้ามีโทรลรึยักษ์ตัวใหญ่กว่ามึง 4-6 เท่า สูงเท่าบ้านนั่นล่ะ มึงจะเอาดาบวิ่งไปชาร์จใส่มันมั้ย?
ก็ไม่ อีกอย่างดาบมันออกแบบมาไว้สำหรับสู้กับคนด้วยกันเอง ถ้าฟันสิ่งที่มีขนาดใหญ่ พื้นที่ตกกระทบมันมากเกินไป ความเสียหายย่อมลดลงตามไปด้วย เพราะพลังงานจลมันกระจายออกไป กูสายเรียล เห็นนิยายแนวใช้ดาบชาร์จเข้าใส่มังกรไรงี้แล้วเพลีย ต่อให้เป็นดาบใหญ่ก็ไม่เวิร์ค
ถ้าเป็นยุคกลางนะ อาวุธต่อสู้มอนสเตอร์ระยะประชิดต้องฮัลเบิร์ดว่ะ ใช้แทง ใช้ฟัน ใช้ทุบได้หมด ถ้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคือหอกหนักที่มีด้ามเป็นขวานและตะขอหรือค้อน ปลายแหลมแบบหอก สมมุติการใช้นะ ถ้ามีโทรลวิ่งมาหา มึงง้างรอเลย เข้ามาในระยะสับทีมีตัวขาด พื้นที่หน้าตกกระทบมันไปโฟกัสที่ด้ามขวาน แถมมีด้ามจับยาว = มีแรงส่งมาก ดาเมจรุนแรงแน่นอน เจอมอนสเตอร์อย่างมังกรนี่ถ้าประชิดตัวได้ ใช้ด้ามค้อนทุบเลย เกร็ดแข็งยังไง แรงตกกระทบมันก็ทะลุไปถึงกระดูกอยู่ดี ถึงตัวมันจะใหญ่แต่อารมณ์เหมือนโดนกั้งดีดนิ้วอ่ะ กระดูกแตกมึงก็ต้องรีบชักมือหนีแล้ว
เพราะงั้นอาวุธหลักเลย หอก/ง้าว/ฮัลเบิร์ท แต่ต้องมีอาวุธรองก็ดาบ ขวาน ลูกตุ้ม โล่เล็ก ส่วนค้อนรึกระบองกูว่าไม่เหมาะ เพราะด้ามมันเล็กแต่ปลายดันใหญ่ หยุดกลางคันไม่ได้เวลาออกท่าฟาดไปแล้ว ถ้าจะหยุดมีมือเคล็ดได้เลย รองจากนี้ก็มีดสั้น ถ้ามีปืนคาบสิลาด้วยจะเพอเฟคมาก พกไว้สัก 3 กระบอก นี่ล่ะ เกียร์นักผจญภัยที่แท้ทรู แต่ในความคิดกูอาวุธที่ดีที่สุดในแฟนตาซียุคกลางคือฮัลเบิร์ด เอาไป 1-1 กับใครก็ได้ ถ้าขนาดตัวเท่ากัน หรือต่อให้ใหญ่กว่า แรงเยอะกว่าก็สู้ได้
ลองตั้งสมมุติฐานดู มนุษย์ใช้ฮัลเบิร์ด เจอกับออร์คใช้ขวานใหญ่ แน่นอนว่าเหล็กมนุษย์ต้องดีกว่า ถ้าออร์คมันตั้งรับ อาวุธมันหักแน่นอน ง้างรอฟาดได้เลย แต่ถ้าเป็นในที่แคบล่ะ? ไม่มีปัญหาว่ะ ใช้พุ่งแทงได้สบายๆเลย ถ้าสมมุติโดนปัดลงพื้นละ? มึงก็ชักฮัลเบิร์ดกลับเอาด้านค้อนรึตะขอเกี่ยวขาแม่งให้ล้มได้อีก ใส่เกราะหนัก? เจอด้านค้อน เอาดาบกันสิ ดาบหักแน่นอน เพราะงั้นต่อให้แรงเยอะยังไง แต่ถ้าอาวุธล้าสมัยกว่า ยังไงก็แพ้
เว้นแต่จะเจอ 1-1 พวกกริฟฟิน มังกร ยักษ์ อันนี้วิ่งเถอะ 5555
ขอคำปรึกษาอีกอย่าง ถ้ากำลังเจอปัญหาชีวิตแต่ต้องส่งต้นฉบับให้ทันเวลา มีวิธีจัดการอารมณ์ตัวเองกันยังไงวะให้กลับมาเขียนต่อได้โดยมูดไม่เปลี่ยน
คือพ่อเพิ่งเสีย แล้วตอนนี้เจ็บขาจากเหตุการณ์เดียวกันกับที่พ่อเสีย แล้วล่าสุดไปหาหมอมา หมอบอกว่ามีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ต้องทำไงต่อวะ หรือต้องขอพักงานเขียนไปก่อนดี
>>92 กูอ่านแล้วอยากจับมือมึงว่ะ มึงรสนิยม + ความคิดแนวกับกูเลย
ถ้าได้ลองศึกษาเกี่ยวกับอาวุธสมัยยุคกลางแล้วจะยิ่งสนุก เพราะสามารถจินตนาการตามได้ไม่ยากว่าเจอมอนสเตอร์ตัวนี้ต้องใช้อาวุธประเภทไหนเข้าสู้ถึงจะดีที่สุด และหนึ่งในนั้นก็คือ Halberd หรือ Poleaxe นั่นล่ะ ไม่มีอาวุธไหนอเนกประสงค์เท่ามันอีกแล้ว
ตัวเอกนิยายเรื่องเก่ากูก็ใช้ Halberd
>>94 ขอบคุณทุกคนมาก เพื่อนกูแนะนำให้ปรึกษาจิตแพทย์ก็ว่าจะลองดู เขาน่าจะช่วยอะไรกูได้ ใจจริงไม่อยากทิ้งงานเพราะทำเป็นอาชีพหลักเลย แต่ก็กลัวว่าแม่งจะกลายเป็นป่วยหนักขึ้นแล้วแม่งเละทุกอย่าง แล้วไอ้งานที่เขียนค้างอยู่ดันฟีลกู๊ดมากขัดแย้งกับอารมณ์ตอนนี้ แต่บก.ก็รู้แล้วว่ากูประสบอุบัติเหตุมา เขาไม่ได้ว่าอะไรยังไม่เร่งงาน ช่วยได้เยอะเลย
ตี๋เข้มเป็นยังไงวะมึง เจอในนิยายแล้วนึกภาพไม่ค่อยออก ขัด ๆ ยังไงไม่รู้ พอมีตัวอย่างคนจริง ๆ ให้กูสักคนปะ
กูรู้สึกว่า ปุ่มกดให้กำลังใจ ในเด็กดีทำให้คอมเมันกูน้อยลงรึเปล่า แบบว่าคนอ่านจะรู้สึกว่ากดให้กำลังใจไปแล้วอะไรแบบนี้น่ะ
เพราะว่าบั่บบบ กำลังใจหลักร้อย แต่คอมเม้นไม่ถึงยี่สิบก้พากูเฟลอยู่นะ
>>107 ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยนะเว้ย จริงๆต้องถามก่อนว่า ก่อนหน้านี้คอมเม้นท์เยอะขนาดไหน มันอาจจะน้อยลง แต่เป็นไปได้ว่ามันอาจจะเท่าเดิม พอมีปุ่มกำลังใจเพิ่มมา นักเขียนก็ได้ส่วนนี้เพิ่มด้วย
ไอ้เรื่องคอมเม้นท์นี่ตอบยากนะ บางคนถึงไม่มีปุ่มให้กดก็ไม่เม้นท์ ส่วนคนจะเม้นท์เค้าก็เม้นท์อยู่แล้ว ส่วนตัวชอบปุ่มนี้นะ เพราะเวลาอ่านไม่ค่อยเม้นท์ นานๆจะแสดงตัวว่าติดตาม แต่พอมีปุ่มนี้ ก็ได้กดให้ทุกตอน บอกคนเขียนว่าเออ ยังมีตรงนี้อีกเสียงนึง
ของกูลงมา 1 อาทิตย์ 6 ตอน ยังกินไข่ทุกอย่างเลย มีคนเข้ามาดู 27 คน สุดยอดดด...!!
ไม่ได้ซึมเศร้า แต่รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสนุกเหลือเลยวุ้ย
ขนาดนั่งทำงานอดิเรกอย่างเขียน กับนั่งอ่านนิยายที่ชอบยังไม่รู้สึกสนุกเลย orz
อยากเขียนนิยายเก่ง ให้ลองฝึกฝนเรียนรู้และเข้าใจกับหลักตรรกะดูสิครับ Codestarสามารถสอนเรื่องโปรแกรมมิ่งและการสร้างประสบการณ์การทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพอย่างหลากหลาย มีศิษย์เก่ามากมายจากสถาบันได้งานมาแล้วอย่างล้นหลามเลยนะครับ
มึงคือกูเพิ่งแต่งนิยายอะ ละกูประสาทแดกมาก 555 เวลาคนคอมเม้นเค้าก็คอมเม้นสิ่งดีๆใช่มะ กูแบบอยากรู้ว่ากูควรปรับตรงไหนอะมึง แล้วอีกเรื่องคือกูแต่งนิยายเรื่องนึง ละก็มีคนแต่งแนวเดียวกับกูแล้วเปิดเรื่องเวลาพอๆกันแต่คนนั้นมีแต่คนชมว่าภาษาดี กูแบบเฟลมากเลยว่ะ กูรู้ตัวว่ากูงอแงเป็นเด็กๆประสาทแดก แต่กูหยุดคิดไม่ได้ ทำไงดี TT
ทำไมเดี๋ยวนี้นิยายรักชอบแชร์เพลง กูอ่านตอนนึงได้เพลงมาสิบเพลง อิห่อววว อีกอย่างเดี๋ยวคนเค้าชอบสไตล์การเขียนแบบฮิปๆเพ้อๆเหรอ
เขียนไป 10 ตอน พระนางรักกันได้ยังวะ รึมันเร็วไป
กูพูดในฐานะคนอ่านและคนแต่งนะ เรื่องแชร์เพลงนี่ขอบเขตประมาณเอาลิ้งมาแปะแล้วให้คนกดไปฟังอันนั้นไม่อะไร แต่มึงเคยเจอแบบเนื้อลงไปในนิยายเลยปะ อันนี้กูในฐานะคนอ่านไม่โอเค ไม่ชอบ บางเพลงกูไม่รู้จักแล้วพอกูอ่าน กูต้องออกเสียงในหัวยังไงให้อินตามวะ
แล้วก็ที่เอามาลงๆไว้นี่ ไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์หรือไง
เข้าใจ กูเลยไม่ใส่เนื้อเพลงเข้าไปเลย มันตกยุคด้วยแหละ ยิ่งพวกชอบใส่เพลงตามกระแสนะ แม่ง ตอนเขียนเนี่ยเพลงมันก็กำลังมาใช่มั้ย แต่ลองเปิดดูอีกสองสามปีให้หลัง หรือเขียนจบแล้วดูสิ ครวญมาก ใส่อะไรลงไป ถ้าจำเป็นต้องใส่เพลงจริง ๆ กูจะใช้วิธีบรรยายความหมาย ทำนองอะไรก็ว่าไป ให้คนอ่านไปคิดเอาเองว่ามันจะเป็นเพลงที่มีอยู่จริงเพลงไหน
กูแต่งนิยายลงเว็บปัญหาคือไม่ค่อยมีคนคอมเมนท์ นิยายที่กูลงผิดพลาดตรงไหนป่าววะ คือ ยอดวิวก็เยอะอยู่นะสำหรับ6ตอนที่ลงไปแต่คอมเมนท์แค่12เองว่ะ ในทวิตก็มีคนพูดถึงนิยายกูอยู่สองสามคน กูอยากได้ฟีดแบ็กบ้าง
นิยายกูเป็นวาย แฟนตาซีหน่อยๆ
กูอัพเดือนละ1ตอน ตอนละ3000-5000ตัวอักษร
หรือกูควรอัพให้เร็วกว่านี้วะ แต่ติดปัญหาเรื่องไม่ว่างแต่งอีก กูมีงานเขียนต้องส่งประจำปีละ1เล่มอยู่
พวกมึงมีวิธีเขียนยังไงให้ได้สักอาทิตย์ละตอนวะ สร้างแรงบันดาลใจกันยังไง
อ้าวชิบหาย ตอบไม่ตรงคำถามอีกกู 555 เอาเป็นว่าข้ามกูไปแล้วกัน 5555
>>135 ตอนมึงน้อยไปนะ วิวเยอะนี่ประมาณเท่าไหร่ พันสองพันไหม กูว่าต้องมีตอนมากกว่านี้สัก 15-20 ตอนค่อยดูทิศทางได้
ส่วนฟีดแบค คนปกติเขาไม่บอกจนกว่าตอนที่มึงเขียนจะโดนใจเขาจริงๆ อะ นอกนั้นสายให้กำลังใจ สายเข้ามาแล้ววิจารณ์แง่ลบพวกนี้ปกติจะไม่ค่อยเจอ เป็นสายหายาก สายอยู่ๆ อยากวิจารณ์เรื่องของมึงยิ่งหายากเข้าไปอีก คนปกติสนุกก็ตามอ่านต่อเฉยๆ ถ้าไม่สนุกคนจะน้อยลง น้อยลง โดยไม่ต้องพูดอะไร
อัพเดือนละตอน มึงต้องพยายามทำให้แต่ละตอนพีคๆ หน่อย ตัวอักษรกูไม่ค่อยนับ ปกตินับเป็นจำนวนคำ ถ้าเดือนหนึ่งมึงแต่งได้แค่นี้ มึงรออีกสักปี ค่อยดูทิศทางอีกที
เขียนให้เร็วคือมึงต้องเป็นมืออาชีพอะ แบบเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยการเขียนมึงอาจจะเขียนได้เร็วขึ้น หรือมึงเขียนด้วยความสุขก็อาจจะเร็ว เขียนเป็นประจำพอชินแล้วก็อาจจะเร็ว แรงบันดาลใจคือมันมาไม่ยากหรอก มึงเดินๆ ไปก็เจอ แต่เก็บไว้มันยาก เวลาอยากเขียนก็ต้องเขียนเอาไว้เยอะๆ นอกนั้นออกแนวสถานการณ์บังคับปิดเล่มแล้ว มึงอาจจะระเบิดพลังออกมาได้
เพื่อนโม่งปรึกษาหน่อย
ระหว่างเขียนแนวหนักๆ แต่เนื้อหาแน่นและชวนลุ้น กับแนวย่อยง่ายเบาสมองไปวันๆ แต่เนื้อหาห่วยแตก แบบไหนมันจะไปรอดกว่ากันวะ
คือกูหาวิธีเขียนให้มันสนุกทั้งสองแบบพร้อมกันไม่ได้อะ ถ้าจะเน้นเนื้อหาเป็นหลักก็ต้องเครียดกันหน่อยถึงจะมีช่วงผ่อนคลายแต่ theme หลักของเรื่องยังไงก็ค่อนข้างหนักว่ะ
>>142 นิยายมึงมีปัญหาจริงๆ นั่นแหละถ้าวิวขนาดนั้นแต่คอมเมนต์แค่นี้ มึงลองคิดดูว่าแต่ละตอนของมึงมันมีอะไรให้เมนต์หรือเปล่า ถ้าเขียนมาหลายเรื่องหรืออ่านนิยายเว็บมาพอสมควรจะมองออกว่าตอนไหนๆ คนจะเมนต์ แต่ถ้ายังนึกไม่ออกกูไกด์คร่าวๆ ให้ว่ามันมีโมเมนต์อะไรในตอนไหม เช่น จุดให้คนอ่านรู้สึกฟิน จุดที่แบบดูน่าสงสัย จุดที่แบบทำให้อยากอ่านต่อ ถ้าเรื่องมันยังปูอยู่ ยังทั่วๆ ไปโมเมนต์ไม่เด่นชัดคนก็อาจจะเฉยๆ กดให้กำลังใจไปตามเรื่องราว อีกข้อก็ลองสังเกตตอนใหม่แต่ละตอนว่ายอดวิวลดแบบฮวบๆ เลยไหม ปกติตอนแรกๆ ยอดวิวเยอะกว่าอยู่แล้วเพราะคนมาใหม่มันก็มาเริ่มอ่านตอนแรกใหม่มันก็ทบๆ ไป ตอนที่เขียนตอนยอดเลยเยอะกว่าตอนหลัง แต่ถ้ามีปัญหายอดวิวจะหายฮวบเพราะคนกดปิดเรื่องไม่อยากอ่านต่อทำให้วิวตอนต่อๆ มามันลดแบบผิดสังเกต
อย่างสุดท้ายที่พอนึกออกคือโมเมนต์ที่ว่าถ้าใส่ไว้ช่วงท้ายๆ ตอนมันจะได้ผลมากกว่าใส่ไว้ตั้งแต่แรก คนอ่านจบแล้วกรี๊ด พิมพ์คอมเมนต์ให้ ถ้าใส่ไว้แรกๆ คนอ่านไปๆ อาจจะเลยฟีลที่จะมาเมนต์ให้แล้ว
>>140 แนวหนักหนาสาหัส นานๆ ทีถึงจะอ่านเพื่อเสพมุมมอง ปกติชอบแนวสบายๆ แต่เนื้อหาต้องไม่ห่วยแตกด้วย ไม่ว่าจะแนวไหนก็ตาม คิดว่าไม่มีใครอยากอ่านเนื้อหาห่วยๆ นะ (หรือมี?) แต่ถ้าห่วยในที่นี้หมายถึงไม่ค่อยมีปมอะไรมาก เน้นบรรยายการใช้ชีวิต แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ดี มีธีมที่จะสื่อถึง ก็อ่าน ชอบด้วยซ้ำ
เห็นเคยมีคนบอกว่าสาเหตุที่ไม่คอมเม้นท์กัน เพราะอ่านในแอปเด็กดีมันคอมเม้นท์ยาก
จะว่าไปช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองเขียนสำนวนไม่ค่อยไหล่ลื่นเลยว่ะ
หมดอารมณ์? หรือว่าหมดไฟที่จะเขียนแล้วหว่า? เจอแบบนี้ทำไงดีวะช่วงหยุดยาวนี้ก็พักเขียนมาพอแล้ว แต่ก็เหมือนอารมณ์จะไม่กลับมาอะ
สำนวนกูเรียบมากเลยว่ะ กูพยายามจะใช้ร่างหนา ร่างบางละนะ แต่แม่งไม่ใช่สไตล์กูเลย ทำยังไงให้สำนวนสวยๆแบบคนอื่นเขาบางวะ แต่จริงๆกุก็ไม่รู้ว่าสำนวนสวยๆคืออะไร ฮืออ
>>154 อย่าใช้เลยมึง กูไม่ชอบ 5555 เดี๋ยวนี้มีคนไม่ชอบเยอะนะใช้ร่างหนาร่างบางเนี่ย
กูไม่แน่ใจว่าภาษาสวยเป็นยังไง เรื่องแบบไหนเรียกภาษาสวย งั้นกูขอข้ามเรื่องนี้ละกันนะ
มาคุย+บ่นเรื่องร่างหนาร่างบาง คือถ้าจะหาคำเรียกเวลาบรรยาย กูว่าใช้สรรพนาม เขา ผม เธอ ธรรมดา / ชื่อตัวละคร แค่นี้ก็ได้ละอะ
จริงๆจะแทนแทนร่างหนาร่างบางงี้ก็ได้นะ แต่อย่าเยอะแบบแทนมันทุกคำ เพราะคนที่เค้าไม่ชอบก็ไม่ชอบเพราะใช้งี้ทุกคำนี่แหละ นักเขียนบางคนไม่จบแค่ร่างหนาร่างบาง แต่บรรยายทุกอย่างเป็นหนาบางหมดเลยอะ แบบ มือหนา ปากหนา คิ้วหนา เอวหนา คือบั่บ บางอย่างก็ไม่ต้องหนาก็ได้ ตัวละครหล่อๆมันก็หล่อแบบปากบางๆ คิ้วบางๆได้แหง่ะ ถ้าจะบรรยายหนาหมด ไม่บอกว่าหน้าหนาไปด้วยเลยล่ะ
เมื่อก่อนกูติดสำนวนบารามอส นึกออกมช่มะ มาทั้งสีตา สีผม ร่างหนาร่างบางเลย แต่เดี๋ยวนี้อ่านพวกแปลเยอะ สำนวนเลยเหมือนแปลไปด้วย 555 สมัยนั้นอ่านแล้วคิดว่าสวยนะ แต่พอมาปัจจุบัน อ่านแล้วรู้สึกมันยืดเยื้อไม่ก็แปลกๆ
สำนวนสวยในใจกู ขณะนี้กูยังยกให้แก้วเก้านะ ไม่ได้ใช้คำหรูหรือประดิษฐ์อะไรมากมาย แต่อ่านแล้วมันรื่นหู ไม่กระตุก ไม่กระฉึกกระฉักแปลกๆเหมือนบางเรื่องที่พยายามใช้คำหรูๆแต่ไม่เข้าว่ะ
อ๋อ อีกเรื่องที่เป็นต้นแบบทางภาษาที่กูอยากเขียนให้ได้แบบนั้นนะ....ทางช้างเผือก เรื่องเซ็ตของมานะมานีนั่นแหละมึง กูรู้สึกเขาเขียนง่าย แต่เขียนแล้วจับใจว่ะ นี่ชอบนั่งอ่านเรื่องเซ็ตนี้วนไปเผื่อจะได้สำนวนมาอยู่เนี่ย
กูว่าสำนวนของพวกแนวแฟนตาซีโรงเรียนอ่ะแปลก 555555 (ไม่ได้พูดถึงบารามอสนะ บารามอสมันมีจังหวะความอนิเมะเยอะอ่ะกูว่า) แต่คนที่อยู่ช่วงหลังจากนั้นอ่ะ พวกเรือนผมสีฟ้า นัยน์ตาเย็นชาสีท้องฟ้ายามค่ำคืน อะไรประมาณนี้อ่ะ แต่ตอนนั้นกูก็เขียนภาษาแบบนี้เหมือนกัน
สำนวนสวยๆ มันต้องใช้แบบ Show อะ
แต่ตอนนี้กูตันแม่งยัด Tell มาอย่างเดียวเลย พอย้อนกลับมาอ่านแล้วรู้สึกว่าโคตรจืด แต่จะแก้ใส่ show เข้าไปบ้างก็ดันไม่มีอารมณ์ซะงั้น
กูชอบสำนวน ปิยะพร อ่ะ ป้าอี๊ดกูว่าบางที่ก้อรู้สึกเยอะไป กิ่งฉัตรก้อดูมีความพยายามมาแนวเดียวกับป้าอี๊ด
>>162 มันต้องบาลานซ์กันมั้ย แล้วก็ขึ้นอยู่กับซีนนั้นด้วยว่าควรเน้นอะไร show หรือ tell อย่างเดียวทั้งเรื่องนี่ยากเลยสำหรับกู นักอ่านเอาจริงก็คงไม่มานั่งเพ่งหรอกว่าอีนี่เทลทั้งเรื่องเลยเว้ย (แต่ถ้าทั้งเรื่องจนเกินไปแบบนี้กูก็ด่านะ ไม่ว่าเขา 555) เขียนยังไงก็ได้ให้สมูท อ่านแล้วคล้อยตามคือคอมพลีทแล้วอะกู
กูเคยเจอนักเขียนที่บ่นว่าขัดใจเวลาอ่านเจอสำนวนร่างบางร่างหนา แต่ในนิยายเขาก็ใช้คำแทนแบบพวก "คนผมเป็นลอนทำหน้างง" "คนผมตรงดูดน้ำจากหลอด" ซึ่งเอาจริงๆ กูว่ามันน่าขัดใจกว่าอีร่างบางร่างหนาอีกว่ะ ความจริงจะใช้อะไรก็ใช้ได้ แค่อย่าใช้บ่อย
แล้วใช้เขาบ่อยๆ ไม่เบื่อกันใช่ป้ะ
>>168 สำหรับกูกูว่าไม่นะ ขึ้นอยู่กับว่าใช้บ่อยแค่ไหน แบบในนิยายแปลก็ใช้ เขา บ่อยๆ อ่านไปก็ไม่รู้สึกขัดเท่าไหร่
ถ้ากลัวซ้ำบ่อยก็สลับๆเรียกกัน ใช้ เขา, ชื่อตัวละคร, หรือใช้ ชายหนุ่ม หญิงสาว เด็กหนุ่ม ไรงี้แทนก็ได้, หรือไม่ก็ใช้ตำแหน่งหรืออาชีพ (คุณหมอ ทนาย บลาๆๆ) หรือไม่ก็ใช้ฉายา (ถ้ามี) ไรงี้
ส่วนตัวกูกูใช้ เขา/ชายหนุ่ม/ชื่อตัวละคร สลับกันไปแค่นั้น อ่านเองก็ไม่รู้สึกว่ามันซ้ำจนน่ารำคาญนะ
สำนวนสวยสำหรับกู ต้องอ่านลื่นว่ะ ศัพท์ยาก ศัพท์ง่ายยังไงก็ได้ แต่เวลาอ่านออกมามันต้องลื่นไหล อ่านแล้วอินตามประมาณนั้นอะ
ระหว่างแพ็คขายนิยายในดด. ออกอีบุ๊ค กับส่งสนพ. เพื่อนโม่งว่าอันไหนดีกว่ากัน
>>172 ไม่รู้อันไหนดีกว่า แต่สำหรับเรา e-book สะดวกที่สุด meb ให้ส่วนแบ่งเยอะกว่า และขี้เกียจรอสำนักพิมพ์
แต่กำลังคิดว่า เรื่องไหนที่อยากได้ฟีดแบ็คและไม่รีบหาเงิน ก็อาจจะลองส่งดู จะได้เอาคอมเม้นท์มาพัฒนางานตัวเองอะ
แต่ก็มีเพื่อนถามนะทำไมไม่เปิดขายในดด. มันจะได้อยู่ที่เดียวกัน เขาขี้เกียจไปสมัครสมาชิก meb (แต่ตอนนี้มันก็สมัครไปละ)
รอโม่งอื่นมาตอบอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้เถอะ TT
>>172 ส่งสนพ.ได้พัฒนางาน ได้วางร้านแบบไม่ต้องยุ่งยากเอง ติดสัญญา3-5ปีแล้วแต่ที่ แต่ต้องรอเงินหลายเดือนกว่าจะจบกระบวนการ
ทำอีบุ๊คเองได้เงินเร็วกว่า ถ้าฐานแฟนเยอะดีไม่ดีได้เงินเยอะกว่าออกสนพ.อีกเพราะไม่ต้องถูกหัก%อีกทอด ข้อเสียคือเรื่องคุณภาพงานอะ ถ้ามีมาตรฐานที่ดีอยู่แล้วก็ดี ถ้าไม่ก็จะพัฒนางานตัวเองยากหน่อยเพราะไม่มีคนมาช่วยติงช่วยคิดแบบสนพ. การตลาดต้องทำเอง ในกรณีที่เป็นแนวนิยายรักโอกาสขายละครยากกว่าการออกเล่มกับสนพ.(แม้ออกกะสนพ.ก็ไม่ได้ขายง่ายเสมอก็เถอะ)
ส่วนขายที่ไหนคงแล้วแต่ แต่คิดว่าmeb ค่อนข้างโปร่งใสที่สุดแล้วนะ
>>176 ไม่เคยทำเล่ม แต่เห็นในกระทู้ดด.มีเรื่องหนังสือทำมืออยู่นะ ลองกูเกิ้ลดู พวกโรงพิมพ์แต่ละที่เป็นไง ราคาเท่านี้คุ้มไหม จำนวนหน้าเท่านี้ คิดเท่าไร (แต่ละที่มีของแถม/โปร/เนื้อกระดาษต่างกัน) ทำปก ภาพประกอบ ฯลฯ
ตอนถามจำนวนคนสั่งกับตอนพรีฯ จริง อาจจะไม่เท่ากัน ก็ต้องถามโรงพิมพ์เผื่อ เพราะจำนวนต่างกัน ราคาอาจจะต่างนะ
นอกจากนั้นก็ค่าบับเบิ้ล ค่ากล่อง ค่าส่ง
คิดดีๆ ด้วยว่าจะเก็บข้อมูลคนสั่งยังไง จัดเก็บเลขพัสดุต้องตามได้ เพราะถ้าทำเองมันเริ่มตั้งแต่เขียน ยันหนังสือถึงมือคนอ่าน
นี่คือเท่าที่จำได้ แต่ไม่เคยทำจริงนะ ลองไปหาตามกระทู้เก่าๆ หรือรอคนมีประสบการณ์อีกที
>>172 ไม่แนะนำให้ส่ง สนพ. แต่เขียนให้ สนพ. ติดต่อมาเองดีกว่า อันไหน สนพ. ไม่ติดต่อมาก็ทำเองออกเอง โอกาสผ่านมันไม่มาก ถ้างานมันน่าจะขายได้เขาติดต่อคนเขียนเองเป็นส่วนใหญ่ ถ้ารอมันเสียเวลาพอสมควร
เขียนยังไงให้ สนพ. ติดต่อมา เขียนให้ดี สนุก น่าติดตาม ติดอันดับ 1-3 นานๆ ไม่เกิน 3 เดือนเดี๋ยวคงมีคนติดต่อไปเอง
>>173 ที่รู้จักเป็นแบบนี้หลายคนเหมือนกัน อยากให้อยู่ที่เดียวกันแต่ไปอยู่นั่นหมด อันไหนขายดี ได้ % เยอะก็ไป
>>176 ถ้าทำแล้วขาดทุนก็ไม่ต้องทำ หรืออยากได้ประสบการณ์ก็ลองทำดู ปกติมันไม่น่าจะขาดทุนได้ถ้ามึงไม่สั่งวาด จ้างพิสูจน์อักษร จ้างคนจัดเล่ม
อ่อ มึงต้องรับเงินเขามาก่อนนะค่อยสั่งพิมพ์ อย่าไปพิมพ์ตามยอดจอง บางคนจองแต่ถึงเวลาไม่จ่ายก็มี สำรองได้ถ้าเงินเหลือ
ยอดจองนี่คือช่วยคำนวณราคาต่อเล่มได้
แต่มึงต้องให้โอนเงินเต็มราคามาก่อนสั่งพิมพ์นะ
ถ้าเงินที่โอนมาน้อยกว่ายอดจองแต่coverต้นทุนและได้กำไรเล็กน้อยได้ก็พิมพ์ไป แต่ถ้าไม่มึงก็อย่าเลย โอนเงินคืนยังจะดีกว่าเข้าเนื้อ
บอกคนอ่านตรงๆ ขอเบอร์บัญชีโอนกลับไว้ล่วงหน้าเลย
ในเด็กดี ถ้าค้นคำที่ไม่มีในชื่อเรื่องแต่มีในแท็ก เช่น เรื่องชื่อ สวัสดีครับคุณครู แต่ติดแท็กดราม่า พอค้นคำว่าดราม่าก็ไม่ขึ้นงี้เหรอ มีแท็กไปทำไมวะนั่น
กูแชร์มั่ง เดี๋ยวนี้ขี้เกียจรวมเล่ม กูเขียนงานทีไรมีแต่คนถามหาอีบุ๊ค แล้วช่วงนี้กูย้ายหอด้วย ไม่มีที่เก็บ เลยลงอีบุ๊ครัวๆ กูว่ามันก็โอเคอยู่นะ ถึงจะโดนหักเยอะอยู่ก็เถอะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเปลืองที่เก็บกับเปลืองค่าห่อส่งว่ะ
เบื่อนักชิปจัง อัพตอนใหม่เนื้อหามีแต่สงครามกะการเมือง เคยบอกละว่าเรื่องไม่เน้นโรแมนซ์ คอมเมนท์มีแต่ "สาวใหม่ ปักธงๆ" "ฮาเร็มๆ" ไม่คุยเนื้อหากะกุเลย T_T
นครคนนอกแม่งเฟี้ยวดีว่ะ กูชอบมาก
กูคงหมดไฟไปแล้วจริงๆ พยายามเข็นให้จบตอนแค่ตอนเดียว ผ่านมาจะสามเดือนแล้วกูพึ่งเขียนไปไม่ถึง10%ของตอน ทำยังไงให้กลับมามีไฟเขียนวะ
แม่งปัญหาใหญ่เลย พอเขียนตอนนี้ไม่ได้กูพลอยกังวลไปหมด จนงานเรื่องอื่นจะล้มตามไปด้วย (กูเป็นประเภทเขียนงานพร้อมกันที่สองสามเรื่องนะ)เมื่อก่อนเคยมีปัญหาแบบนี้นะ แต่ไม่เคยเป็นนานขนาดนี้เลยว่ะ ขนาดกูยอมจองตั๋วไปเที่ยวผ่อนคลายแล้ว งานยังไม่เดินเลยว่ะ กูเศร้าและเครียดมาก
>>193 ถ้าลองพักลองเที่ยวแล้วไม่ได้ผล ลองวิธีตรงกันข้ามมั้ยมึง เขียนตอนที่อยากเขียนของเรื่องนั้นแหละ ไม่ต้องเป็นฉากที่จะเกิดขึ้นก็ได้ แต่เอาฉากที่อยากเขียนมาเขียนก่อน เผื่อมึงจะกลับมาสนุกได้อีกครั้ง ถ้ายังไม่ได้จริงๆมึงก็ลองเขียนอันอื่นไปก่อนแล้วแวะมาเป็นพักๆเอา
เป็นกำลังใจให้จ้ะ
ขอบ่นมั่ง...
คือตอนนี้ไอเดียกลับมาจนสามารถเขียนงานได้แล้ว แต่ติดนิสัยชอบใช้สำฟุ่มเฟือยว่ะ คือถ้าไม่ใส่มาเยอะๆ มันดูเหมือนเป็นแค่คำบอกเล่าดาษๆ อะ
ยกตัวอย่าง
xxx เขากำลังเลียฝีปากและพ่นออกมาอย่างหื่นกระหาย สายตาจับจ้องมาทางผมที่เหลือแค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวแบบตาแทบไม่กระพริบจนชวนทำให้ขนลุก! เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วผมก็แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาคือเพื่อนที่ร่วมหอที่เคยรู้จักกันมาถึงสามเดือน!!
>>196 กูไม่เห็นว่ามันจะฟุ่มเฟือยเกินไปนะ พอไหว แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวกู อยากให้ระวังเรื่องว่าไงดี
เอางี้ >>> เขากำลังเลียฝีปากและพ่นออกมาอย่างหื่นกระหาย <<<< เลียฝีปากและพ่นออกมาอย่างหื่นกระหายนี่เป็นไงวะ แล้วฝีปากนี่หมายถึงความสามารถในการพูดไม่ใช่บอกส่วนหนึ่งของร่างกายนะ
แต่อันนี้เข้าใจได้ว่ามึงอาจจะด้นสดมาบรรยายให้เห็นปัญหาเฉยๆเลยไม่ได้ดูตรงนี้ให้ดีๆ ผ่านไปได้ นอกนั้นก็มีว่า ลองแบ่งวรรคเป็น
xxx เขากำลังเลียฝีปากและพ่นออกมาอย่างหื่นกระหาย สายตาจับจ้องมาทางผมที่เหลือแค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวแบบตาแทบไม่กระพริบจนชวนทำให้ขนลุก!
เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วผมก็แทบไม่อยากเชื่อเลย ว่าเขาคือเพื่อนที่ร่วมหอที่เคยรู้จักกันมาถึงสามเดือน!!
ราวๆนี้ก็ไม่ดูใช้คำอัดไปแล้ว
>>196 กูสำนวนประมาณมึงอะ แต่ใส่อารมณ์น้อยกว่า ถ้าเป็นแนวกู คงประมาณ
xxx แลบเลียริมฝีปากและพ่นลมหายใจออกมาอย่างหื่นกระหาย สายตาของเขาจับจ้องมาทางผมที่เหลือกางเกงว่ายน้ำเพียงตัวเดียว ดวงตาของเขาที่แทบไม่กระพริบทำให้ผมรู้สึกขนลุกไปหมด เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น ผมก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าเขาคือเพื่อนที่ร่วมหอที่รู้จักกันมาถึงสามเดือน
>>199 แล้วแต่จังหวะ แต่กูไม่ค่อยใช้แทนอาการเงียบของตัวละคร ที่มีคนนึงถามหรือพูด แล้วส่งบทมาที่อีกฝ่ายละเงียบ "..." แบบนี้ไม่ใช้ว่ะ จะบรรยายว่าเงียบ หรือเขาตอบไม่ได้ ไม่เอ่ยคำนู้นนี้มากกว่า กูใช้ ... ในความทอดถอนใจ ทอดเสียง หรือเว้นจังหวะกิริยาอาการ ซึ่งก็ไม่มาก บทละไม่เกินห้าจุด
พ่นลมหายใจนี่ใช้กับหื่นได้เหรอวะ ถ้าพ่นลม (คือเป่าปาก) กูได้ฟิลประมาณมึงเซ็ง แบบ เฮ้อ! ไรงี้ มากกว่า ถ้าจะหื่นใช้คำว่าหอบหายใจเปล่า แบบ แฮ่กๆ
ky อยากรู้ว่าทำไมนิยายรักส่วนใหญ่ (หรืออย่างน้อยที่กูสุ่มเจอ) ชอบเขียนให้พระนางทะเลาะกันโดยใช้คำพูดดูถูกกันอ่ะ ประเภทพระเอกด่านางเอกว่าโง่ ซื่อบื้อ หรือขี้เหร่ อะไรแบบนี้ คนเราในชีวิตจริงมันจะชอบคนที่มาบูลลี่ใส่แบบนี้เหรอ
ขอตรงๆ นิยายแฟนตาซีคนไทยเขียนตอนนี้ สนพ.ยังยอมพิมพ์อยู่ไหม หรือไปลงขายตาม fictionlog meb เองเลยดีกว่า ไม่เสียเวลารอคำตอบ
>>203 พ่นออกมาชั่ววูบมะ แบบคิดคำด่าไม่ออก สักแต่อยากด่างี้ 5555 แต่ถึงชั่ววูบมันคนมีตรรกะดีก็ไม่ด่าว่าโง่แบบนี้นะ กูคิดว่าคนเขียนยังอายุน้อย ไม่ก็ไม่เคยทะเลาะหรือผิดใจกับใครจริงจัง เลยไม่รู้ว่าคนเรามันจะผิดใจกันแบบฉลาด ๆ ได้ อาจบางทีแค่เงียบแล้วค่อย ๆ เฟดออกก็พอเว้ย พูดแล้วเศร้า เจอกับตัวแบบนี้โคตรบ่อย โกรธอะไรไม่รู้ ฝ่ายนึงไม่บอก ฝ่ายนึงไม่ถาม รู้ตัวอีกที กลับมาต่อไม่ติดซะแล้ว
ไอ้คำว่าโง่ ไม่สวย เรื่องของกูก็มีนะ แต่ไม่ใช่คำด่า แต่ก็ไม่ใช่คำตลกเหมือนกัน กูพยายามคุมคนแรคเตอร์ตัวละครให้มีสติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำไมถึงทำแบบนี้ กินอันนี้ได้ไหม ถ้าแต่งงานมันก็จะมีความสุข ความทุกข์แบบนี้นะ บลา ๆ ซึ่งบางทีก็คุมจนเหมือนไม่ใช่คนเดินดินแล้วอห กลายเป็นต้องปรับเยอะเลยกว่าจะเข้าทาง
เออ กูคุยกับเพื่อนเรื่องแต่งนิยาย แล้วกูก็ยกนิยายเรื่องนึงที่บังเอิญเจอพอดีให้อ่าน ทีนี้แบบเขาก็บรรยายไม่เก่งไง ประเด็นมันอยู่ที่กูให้อ่านบทนำแล้วเพื่อนกูบอกว่าควรบอกว่าชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหนบลาๆ คือกูก็คุยเลี่ยงๆ ไปว่ามันก็แล้วแต่คนอะนะ มันไม่จำเป็นต้องเทลโต้งๆแบบนี้เสมอไป เพื่อนกูก็ไม่อะไร แต่กูชักสงสัย คนไทยส่วนใหญ่ติดแนวเทลทุกอย่างเหรอวะ หรือมันง่ายดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก
>>203 ด่ากันแล้วทะเลาะกันยังพอว่า แต่ถ้าด่าแบบยายโง่ ยายเซ่อ ยายประสาทเอ๊ย แล้วนางเอกแม่งเขินหรือฟิน กูบายนิยายเรื่องนั้นเลย อีพวกแบดบอยตามรังควาญ ไม่ปรับปรุงตัวเหี้ยอะไรเลยแต่สุดท้ายดันรักกันก็ด้วย มันมีคนแบบนั้นจริงๆ นะ แกล้งคนที่ชอบ แซว ปากหมา ชวนทะเลาะ เพราะอยากแกล้งให้โกรธไงตะเอง โกรธซึนน่ารักจัง น่ารักกับผี ชีวิตจริงมันไม่ฟินเว่ย รำคาญเหี้ย ด่าเปิง
>>211 ถ้ามึงจะมีลูกเล่นมึงต้องแน่ใจว่าจะมีคนที่อ่านรู้เรื่อง ถ้ามึงอ่านรู้เรื่องคนเดียวนั่นไม่ใช่ลูกเล่น มันคือการที่มึงสื่อสารไม่รู้เรื่อง
และกูคิดว่าอย่าอธิบายจะดีที่สุด ให้คนอ่านเจอเอง เขียนอะไรที่อ่านยากๆ แล้วมานั่งอธิบายเพราะกลัวคนไม่รู้เรื่องแบบ "ไม่รู้ทุกคนสังเกตไหมว่าตรงนี้สอดแทรกอันนี้ไว้ มีความหมายว่าบลาๆๆ" มันแปลกๆ ว่ะ
>>213 ใส่สัญลักษณ์ของกูคือกูก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร 555 แบบสมติว่า กูสร้างตัวประกอบผู้หญิงคนนึงขึ้นมาไม่บอกที่มาที่ไปกำหนดให้เลี้ยงกระต่าย แต่ในความคิดกูคือกระต่ายเป็นสัตว์ที่แพร่พันธุ์แสดงให้เห็นว่าเป็นคนเซ็กส์จัดไรงี้อะ แต่รนอื่นอาจจะคิดว่าไม่ต้องบอกก็ได้มั้ง
>>215 มึงอ้อมไปไกลมาก กูคิดว่าคงไม่มีใครสนใจหรอกถ้ามึงไม่มีประโยคที่เอาคาร์ไปเทียบกับกระต่าย ไม่ว่าจะทางตรงทางอ้อมหรือมีคาร์อื่นคิดเปรียบเทียบขึ้นมา ยิ่งถ้าเป็นตัวประกอบไม่ค่อยมีบทคนก็จะอ่านผ่านๆ ไป คนทั่วไปเลี้ยงกระต่ายก็ไม่ได้หมายความว่าจะเซ็กส์จัดด้วย ถ้าแบบนี้จะใส่สัญลักษณ์หรือไม่ใส่ก็คงไม่มีผลกับการอ่าน ยกเว้นจะย้ำบ่อยจนคนจับได้ว่าย้ำบ่อยแต่ไม่รู้ว่ามึงย้ำทำไม
ถ้ามันมีผลกับเนื้อเรื่อง กูก็ชอบตีความสัญลักษณ์นะ แต่ถ้ามันไม่มีหรือลึกเกินก็ไม่ไหวเหมือนกัน 555
กู 214 เอง ขอบคุณทุกความเห็นมาก บางทีกูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันมาใส่มาทำไม 55555 แต่กูไม่เคยใส่ที่กูยกตัวอย่างไปนะ
KY กูเบื่อ Cordia และ Angsana เพื่อนโม่งใช้ฟอนต์อะไรพิมพ์กันบ้างที่ไม่ใช่สองอันนี้
FreesiaUPC
TF Srivichai
TEPC CMPrasanmit
Maitree
มีใครเคยใช้คีย์บอร์ดที่มันเชื่อมต่อกับสับปะ จะเอามาต่อกับทล. มันพิมพ์ลื่นไหลเหมือนคีย์บอร์ดคอมปะ
แด่คุณนักเขียนนิยายเรื่อง RISK เห็นมาหลายวันละ ขอแจมหน่อย ก่อนอื่นกรุณาตั้งให้ถูกมู้
พอได้เข้าไปอ่านแล้วมีความรู้สึกว่านี่คือการเลียนแบบการนิยายแปลจีนรึเปล่า
แล้วก็ กรี๊ดดังลั่นจนคนทั้งหมู่บ้านได้ยิน แต่คนเป็นพ่อแม่กลับไม่แน่ในว่าใช่เสียงลูกตัวเองมั้ยเนี่ยนะ? หืมม
แล้วก็ตอนบรรยายสภาพศพทำได้ไม่ดีพอ ยิ่งตอนพ่อตะโกนใส่คนที่คิดว่าเป็นฆาตกรในห้อง เห้ คุณพ่อช่างสำบัดสำนวนในเวลาแบบนี้อะนะ ?
สุดท้ายนี้อ่านมา เกือบครึ่งเรื่องมีดีอย่างเดียวคือไม่เจอคำผิด
ทำยังไงดี กูมีปัญหาการเว้นวรรคว่ะ แก้ไม่หายสักที พยายามเปิดดูหลักภาษาแล้ว แต่ก็ยังมีพลาด พอจะมีวิธีแก้ไหมวะ เบื่อเวลาต้องมีรีไรท์แล้วเจอข้อผิดพลาดเดิม ๆ ของตัวเองนี่แหละ
แต่ก่อนกูเคยโดนติเรื่องไม่เว้นวรรค ประโยคยาวแบบ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็เหมือนข้อสอบ TOEFL อ่ะมึง คือขยายแล้วขยายอีก เชื่อมแล้วเชื่อมอีก คนอ่านบอก กว่าจะอ่านจบประโยคเกือบขาดใจตาย กูเลยลองอ่านออกเสียง คือ ถ้ากูเว้นตรงไหน ตัดตรงนั้นเลย
เรื่องหลักภาษานี่กูว่าจะหาหนังสือของดร.นววรรณมาอ่านว่ะ ไวยากรณ์ภาษาไทย อะ เผื่อจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง
เฮ้ย ไอ้คนที่มาลงเรื่องสั้นที่อยากสับ มาที่มู้นี้ซักทีเหอะ อยากโดนสับนักไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องไปรบกวนมู้สับแหลกแหกวงการหนังสือ เพียงเพราะชื่อมีคำว่าสับเลยน่า เขาสับเฉพาะวงการหนังสือไม่ใช่งานเขียนรายบุคคลเว้ย
>>232 ภาษาไทยไม่มีเว้นวรรคจนกว่าจะจบประโยค อย่างเช่น ตุ๋มติ๋มเดินไปรินน้ำใส่แก้วมาส่งให้พวงชมพู ถ้าเกิดมีคำขยายก็จะยิ่งยาวไปอีก ตุ๋มติ๋มเดินไปรินน้ำเป๊ปซี่ใส่แก้วใสสีฟ้ามาส่งให้พวงชมพูที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อ บางทีมันยาวมากเลย ต้องหาทางตัดดี ๆ โดยไม่ผิดหลักไวยากรณ์ หรือไม่ก็สร้างประโยคใหม่สั้น ๆ แบบ ตุ๋มติ๋มหยิบแก้วใสสีฟ้า รินน้ำเป๊ปซี่มาส่งให้พวงชมพูที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อ กูเห็นคนที่เว้นวรรคไม่เป็นมีเยอะเลยว่ะ แบบบางคนนักเขียนดังนะ แต่พอมาเขียนลงเน็ทก็วรรคไม่ถูก ถ้ามีแค่นิดหน่อยกูอาจจะคิดว่าพิมพ์ในเน็ทมันยาก แต่ถ้ามีเยอะนี่กูแปลกใจเหมือนกัน เขียนมาตั้งนานยังเว้นวรรคขาด ๆ เกิน ๆ อีกเหรอวะ หรือมันจะมีสาเหตุอื่น
>>236 มันมีพวกคำอื่นอีกนะที่ต้องเว้นวรรค พวกคำเชื่อม และ หรือ แม้ แต่ พวกชื่อ สถานที่อะไรพวกนี้อีก พวกงานเขียนกับนิยายกูไม่ค่อยมีปัญหาหรอก เพราะมันยังพอแก้ด้วยการออกเสียงได้ แต่งานที่ค่อนข้างเป็นวิชาการนี่กูโดนติเยอะอยู่
ปล. อาจเป็นเพราะตอนเรียนมัธยมกูไม่สนใจภาษาไทยเลย โตมานี่แทบปาดน้ำตา ทำไมไม่ตั้งใจเรียนกว่านี้ ฮา
กูชอบเผลอเว้นวรรคตามภาษาอังกฤษอะ โดยเฉพาะพวก
However, He hates that. - อย่างไรก็ตาม เขาเกลียดสิ่งนั้น
Actually, She did it herself. - อันที่จริง เธอทำเอง
แบบเว้นตามลูกน้ำคั่นประโยคอะ มันผิดหลักภาษาไทยใช่มะ 55555
มึงง กูถามในมู้นี้ถูกไหมวะ
คือกูเป็นนักเขียนตีพิมพ์เล่มที่สนพ.แห่งหนึ่ง
ทีนี้คือ กูเห็นสนพ.อื่นมันจะบอกไงว่า ตีพิมพ์ครั้งที่ 1 2 3 บลาๆๆๆ
กูเลยมาเปิดดู เพิ่งเห็นว่า สนพ.กูมันไม่มีบอกว่ะ
แล้วทีนี้กูจะรู้ได้ยังไงว่า ขายไปกี่เล่มแล้ว แบบนี้ตุกติกป่ะมึง
เผื่อพิมพ์เพิ่มเอง แล้วกูไม่รู้ไรงี้
ลข.ตั้ง 3 ปีเลยนะมึง
กูจะเช็คจากที่ไหนได้บ้างวะ หรือว่าซุย รู้สึกขาดทุนไงไม่รู้
>>240 แล้วตอนมึงตกลงให้เขาพิมพ์ให้ เขาไม่ได้บอกเหรอว่าปกติพิมพ์กี่เล่ม แล้วจ่ายเงินแบบไหน เหมาจ่าย หรือว่าเปอร์เซ็นต์ ปกติในสัญญาของสนพ.ดีๆต้องระบุดิว่าพิมพ์เท่าไร จ่ายยังไง แต่เรื่องไปถามเขาว่าขายได้กี่เล่มนี่ยากว่ะ ไม่คิดว่าเขาจะบอกมึงหรอกว่าขายออกกี่เล่มแล้ว ว่าแต่เรื่องของมึงนี่ดังแค่ไหน นิยายไทยสมัยนี้พิมพ์ซ้ำยากมากเลยนะ เรื่องที่ว่ากลัวเขาจะพิมพ์เพิ่มเองแล้วไม่บอกมึงนี่ กูว่ายังน่าห่วงน้อยกว่าจ่ายเงินไม่ครบเยอะ
>>240 เรื่องแรก โนเนม สนพ.เล็ก เขาไม่ค่อยระบุครั้ง 1 ตรงเดือนปีที่พิมพ์ ซึ่งกูไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกันแต่ในสัญญาจะมีเขียนว่าพิมพ์กี่เล่ม ถ้าเรื่องมึงไม่ติดเบสเซลเลอร์มึงไม่ต้องร้อนใจว่าสนพ.จะพิมพ์เกิน ไว้ติดเมื่อไรค่อยลองแย็บๆ ถามเขาไปถ้ามีพิมพ์ซ้ำขอรีไรท์ได้มั้ยมีจุดอยากแก้ แต่นิยายไทยทำใจนะไม่ดังจริงบก.ไม่ค่อยง้อมึง โอเคนะ อ้อ ปกติการพิมพ์จะมีส่วนเผื่อพิมพ์เสียด้วย 1-3 ร้อยเล่มด้วย
>>240 เดาว่ามึงเป็นนักเขียนมือใหม่ ไม่งั้นมึงคงไม่มีคำถามนี้ เรื่องยอดพิมพ์นี่มึงไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะฉะนั้นจะพิมพ์กี่เล่ม กี่รอบ คือสิ่งที่มึงต้องฟังจากสำนักพิมพ์เท่านั้น ถ้าเขาจะตุกติก เขาจะพิมพ์คำว่าหนที่หนึ่งสองสามหรือไม่พิมพ์คำนั้นเลย มึงก็เช็คอะไรไม่ได้ ถ้าเขาจะเขียนว่าพิมพ์ครั้งที่หนึ่งอย่างเดียว มึงก็จะไม่มีทางรู้ว่าเขาแอบพิมพ์ใหม่หรือเปล่า นอกจากมึงจะคอยกว้านซื้อ 5555 แต่ถ้ามึงเป็นนักเขียนใหม่ที่ไม่ดัง มึงอย่าไปคิดอะไรมากเลย สะสมบารมีไว้ดีกว่า เพราะสมัยนี้ส่วนใหญ่มันก็พิมพ์กันแค่พันเล่มนั่นแล ต้องเรื่องดังจริง ๆ หรือนักเขียนมีชื่อขายได้แน่นอนถึงจะพิมพ์มากกว่านั้น แล้วที่จะพิมพ์หนที่สองที่สามได้ก็ต้องมีกระแสอย่างแรง ติดบอร์ดอันดับหนึ่งหรือหนึ่งในสิบขายดีหลาย ๆ สำนัก มีคนดัง ๆ มาช่วยรีวิว ติดเทรนด์ทวิตต่อเนื่องกันเป็นเดือน ๆ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น อย่าไปคิดเลยว่าสนพจะพิมพ์ใหม่ ยากว่ะ
กูเห็นด้วยว่า เราไม่มีทางรู้หรอกว่าสนพ.จะพิมพ์กี่เล่ม
กูไม่เคยพิมพ์สนพนะ เคยแต่พิมพ์เอง แต่ฟังจากที่พวกมึงพูดกัน เล่มนึงสมมติได้พันเล่ม เปอร์เซ็นที่เราจะได้ประมาณ 10-15 เล่มนึงก็น่าจะมีเงินกลับมาที่เราประมาณสองสามหมื่นถูกมะ ถ้าเรตประมาณนี้
>>240 สัญญาสมัยใหม่ 3 ปีนี่น้อยแล้ว สมัยก่อนเขาทำ 5 ปี เสียเวลาฉิบหาย พิมพ์ใหม่ไหมก็ไม่ ทำไปงั้นๆ แหละ ถ้ามึงกังวลมากเรื่องใหม่มึงก็ทำเองออกเองเผื่อมึงรู้ยอดขายตัวเองแล้วอาจจะกลับตัวกลับใจ หรือไม่ก็ไปทำเองยาวๆ ไปเลย พิมพ์ใหม่คือมึงต้องขายดีจริงๆ นะ ขายดีระดับนักเขียนแนวหน้าในสายที่เขียน ไม่งั้นสมัยนี้เขาไม่ลดยอดพิมพ์กันหรอก เคยได้ยินเสียงบ่นนักเขียนใหม่บ่นคล้ายๆ มึงนี่แหละ แล้วไม่ค่อยได้ออกเล่มอื่นกับ สนพ. อะ เพราะ สนพ.มองว่ามีปัญหา ไม่เชื่อใจกัน ทำงานด้วยยาก ไม่ได้ขายดีอะไรมากมายขนาดต้องง้อ ถ้าเขาง้อมึงมากแสดงว่ามึงขายดีจริง ถ้าเขาไม่ง้อแสดงว่าไม่ได้ขายดีอะไร ดีไม่ดีทำแล้วขาดทุนอีกต่างหากแต่ถนอมน้ำใจไม่บอกคนเขียนก็มี
กูไม่ได้ด่ามึงนะ กูแค่เปรียบเทียบ เล่าเคสในอดีตและอยากแนะนำว่าบางทีก็อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป เสียสุขภาพจิต กระทบต่อการทำงาน มึงไม่สบายใจก็ลองทำเองดู คนทำแล้วรุ่งเยอะแยะ สนพ. สมัยนี้ขาดต้นฉบับดีๆ เพราะนักเขียนที่เขียนออกมาดีและรู้ว่างานตัวเองดีพอจะขายได้หันไปทำเองกันหลายคน
>>246 แล้วแต่ สนพ. เมื่อก่อนก็มี
สำนักพิมพ์ที่ให้เปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ถ้าเป็นสำนักพิมพ์เล็ก ๆ เปิดใหม่ คนทำงานหน้าใหม่ อย่าไปเซ็นสัญญาด้วย แต่ถ้าเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ เซ็นไปเถอะถ้าอยากอยู่ในวงการเขียนจริง ๆ เพราะถึงจะได้เงินน้อย แต่สำนักพิมพ์ใหญ่มันมีลูกค้าในมือมหาศาล เปิดตัวหนังสือใหม่แต่ละเล่มมีคนกดไลค์เยอะ มีช่องทางโฆษณาให้เยอะ ส่งให้หนังสือพิมพ์ช่วยรีวิวได้ มันคือการสร้างชื่อเสียง คนที่เริ่มต้นงานเขียนถ้าคิดแต่เรื่องเงินๆๆๆ จงไปทำงานอื่น เพราะอาชีพนี้ได้เงินน้อยกว่าสิ่งที่มึงต้องลงทุนลงแรงสมองมากมาย มึงต้องรักงานเขียนและเข้าใจวงจรธุรกิจด้วยถึงจะอยู่ได้
>>248 แต่คนอื่นชอบมองเข้ามาแล้วคิดว่ามันรายได้ดีนะ 5555555
กูคือ 244 ที่กูคิด 15 นี่คือเพราะกูเคยถูกเสนอให้ 15 แต่เป็นสนพใหม่มากและกูจะเป็นเล่มแรกของเค้า ตอนนั้นกูไม่เคยพิมพ์กับที่ไหนมาก่อนเพราะพิมพ์เองมาตลอด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพิมพ์เอง เลยเข้าใจว่าปกติก็เรตประมาณนี้แฮะ
จากใจเลยเงินที่ได้จากหนังสือนี่ไม่พอกินอะ นอกจากจะออกเล่มถี่ ๆ ซึ่งกูไม่สามารถขนาดนั้น
เอามาแปะนะ แต่ไม่อยากไปเวิร์กช็อปว่ะ เห็นชื่อวิทยากรแล้วรู้สึกว่าน่าจะกาก ขออวดตัวเองหน่อยเถอะ ถึงจะไม่ดังอะไรนัก แต่ก็ถือตัวว่ามีฝีมือเหมือนกัน ให้ไปฟังไอ้พวกนี้บรรยาย เหมือนเป็นนักธุรกิจที่ไปนั่งฟังไลฟ์โค้ชชี้ทางรวยเลยว่ะ
กูเหมือนมีปัญหาด้านอารมณ์อ่ะ คือเป็นโรควิตกกังวล เมื่อก่อนเคยระบายได้ด้วยการเขียนนิยาย มาตอนนี้เหมือนไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลย อยากแต่จะนอนแม่งทั้งวัน จะเขียนนิยายก็อึดอัดกับตัวเอง แบบอยากเขียนนะ แต่สมองไม่มีอะไรสักอย่าง เหมือนมันกลับมาเขียนได้แแค่ช่วงหนึ่ง แล้วก็หายไป หายไปเป็นปีๆ สองปี อะไรแบบนั้น คือกูไม่รู้จะไประบายที่ไหนดี อยากบอกคนอ่านเหมือนกันว่าที่หายๆ คือกูมีปัญหาด้านอารมณ์ กูอยากเขียน แต่ไม่รู้ว่าตัวเองควรเขียนอะไรดี
กูเห็นดราม่าคนนอกด้อมซื้อแฟนฟิคสามเล่มไปเก็งกำไร พวกมึงคิดว่าไงบ้างวะ
https://fanboi.ch/801/5630/589-640/
ย้อนอ่านงานเก่าๆที่เคยคิดว่าเพอร์เฟค แล้วเจอคำผิด คำฟุ่มเฟือยเต็มไปหมดเลยเหวย ทำไมตอนนั้นถึงอ่านไม่เจอวะ 😂
เดี๋ยวนี้เขียนตอนนึงกันยาวแค่ไหนน่ะ
กูรู้สึกว่าพฤติกรรมการอ่านของกูมันเปลี่ยนไป สมาธิสั้นลง บวกกับอ่านนิยายเว็บแต่ช่วงเวลาพัก พอเจอตอนยาวๆแล้วก็ขี้เกียจอ่านและ พอจะเขียนเองก็ไม่แน่ใจแล้วว่าปกติกะยังไงกัน
มึง เคยนึกคำไม่ออกกันบ้างไหม
กูพยายามนึกคำว่าguardเป็นภาษาไทยแบบแนวๆ โบราณมาตั้งนาน จะเรียกยามก็ทะแม่ง ๆ จะเรียกทหารก็ไม่เชิง แล้วเสือกเป็นนิยายย้อนยุคอีก อ่าก
คนอ่านรอกูเป็นเดือนสองเดือนแล้ว กูติดแหง่กกับคำไม่กี่คำเพราะนึกคำโบราณไม่าออก เดี๋ยวมาโดนนินทาในโม่งอีกว่าไม๋โบราณเบย
การ์ดไทยโบราณมหาดเล็กได้ไหม
มหาดเล็กรักษาพระองค์
ขอถามเรื่องการใช้คำหน่อย
ถ้าจะใช้คำว่า "ยอดนักเย็ด" ให้ดูหยาบคายน้อยลง จะใช้คำแบบไหนดีอะ
>>273 กะ กูขอโทษที่คำเสื่อมไป5555 ที่จริงกูว่าจะคิดฉายาที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ให้ตัวละครน่ะ (ประมาณผู้เชี่ยวชาญ? หรือคนที่ฟันมาเยอะก็ได้) แต่จะใช้คำตรงๆก็เสื่อมไป ไม่อยากใช้ด้วย แต่คิดคำอื่นไม่ออกเหมือนกัน
แต่คำแนะนำของมึงก็พอช่วยให้กูนึกคำอื่นๆออกได้บ้างแหละ ขอบคุณมากๆ จุ๊บๆ
รี้ดอะไรท์ โฆษณาว่าจะจ่ายเงินตามยอดวิว (ยังไม่ได้บอกรายละเอียด)
ถามห้องนี้ได้ไหมวะ หากผิดมู้ ขออภัยด้วย
กูได้รับคอมเมนท์ยาวมากจากเรื่องหนึ่ง มีนักอ่านมาคอมเมนท์ แล้วเหมือนไม่เข้าใจที่กูสื่อ
กูเลยกังวลว่ากูเขียนไม่ดี หรือเขาอ่านไม่เข้าใจ กูเลยเอาไปให้พี่สาวอ่าน นางก็บอก ไม่นะ เข้าใจปกติ
ยกตัวอย่างนะ กูให้ตัวละครมีนิสัยเสีย 1 อย่าง ที่ตอนคบกันมันไม่เคยทำ แต่มาทำหลังๆ จากที่แต่งงานไปแล้ว
แต่กูไม่ได้เล่าลงลึก (กูแค่จะสื่อว่าคนเราคบไปนานๆ อยู่กันไปนานๆ สันดานออกไรงี้)
กูแค่ให้ตัวเอกด่าว่า เมื่อก่อนไม่เคยทำ ทำไมเดี๋ยวนี้ทำ เปลี่ยนไปนะ
งง ไหมวะ ประมาณนี้
คนอ่านก็คอมเมนท์ว่า ทำไมถึงนิสัยเปลี่ยนไปได้ยังไง คอมเมนท์เหมือนกูเขียนนิสัยตัวละครย้อนแย้งอะ
กูเข้าใจนะว่าไม่ควรเก็บเอามาคิดมาก แต่เพราะกูไม่เคยเจอคอมเมนท์แนวนี้เลยเริ่มกังวลหรือเป็นที่กูที่อธิบายไม่ดี
ขอบคุณมาก
>>281 มึงเคยหยอดความนิสัยเสียนี้ในเรื่องรึเปล่า เช่น ไม่ทำอย่างนี้ตอนต่อหน้าแฟนตอนที่คบกันเพราะอยากให้เห็นแต่ด้านดีๆ แต่ก็อาจจะยังทำนิสัยนี้ให้เห็นเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่างเพื่อนหรือครอบครัวไรงี้ คือถ้ามีพูดถึงบ้างมันก็ชัดเจนดีว่าพ้นช่วงหวานหมดโปรขี้เกียจแอ๊บแล้วถึงมาแสดงนิสัยนี้ตอนหลังแต่งงาน แต่ถ้าไม่เคยพูดถึงเลยก็อาจจะมีคนงงอย่างที่มึงบอกก็ได้
>>283 ถ้าเพิ่งตอนสองตอนก็กำลังปูเรื่องรึเปล่า นักอ่านอาจจะงงๆได้(นิยายหลายเรื่องเปิดเรื่องมาบางทีกูก็งงๆนะ แบบต้องอ่านต่อไปแล้วเค้าก็เล่าที่มาที่ไปให้เก็ตเอง) มึงก็ลองใช้ตอนต่อๆมาเล่าเรื่องนิสัย+ที่มาที่ไปของนิสัยตลค. ก็น่าจะเก็ตขึ้น
กูอ่านคอมเม้นต์คนอ่านนี่มึงบอก กูคิดว่าเค้าอาจจะเม้นต์อารมณ์แบบ อยากรู้ว่าทำไมนิสัยเปลี่ยนไป (อยากตามอ่านต่อเพื่อให้รู้) ไรงี้ปะ
>>284 เค้าคอมเมนท์ว่า ก่อนหน้านี้ พระเอกพูดเหมือนไม่เคยมีนิสัยแบบนี้มาก่อน
ทำไมวันนี้ถึงเป็นไปได้ แบบเมื่อก่อนไม่เคยทำ ทำไมตอนนี้ทำ คนคอมเมนท์บอกไม่โอเคนะ
เค้าคอมเมนท์กูยาวมาก จนกูตกใจ ประมาณ 1 หน้าเอสี่ได้อะมึง นี่กูอ่านหลายรอบไม่แน่ใจว่า
เค้าอิน เค้าแนะนำ หรือเค้ายังไง
จริงๆ ตอนต่อไปก็ค่อยๆ จะแสดงนิสัยให้รู้เรื่อยๆ หวังว่าเขาจะเข้าใจตัวละครกูมากขึ้น
ส่วนกูจะพยายามปรับปรุงส่วนนี้ด้วย ขอบคุณมึงมาก
>>285 ถ้าเขาเม้นยาวเบอร์นั้นมึงต้องกราบไหว้บูชาแล้ว แปลว่าเขาตั้งใจอ่านมาก ไม่ว่ามึงจะเห็นด้วยหรือไม่ก็พูดกันดี ๆ ล่ะ ถ้ามึงยังแค่ปูเรื่องอาจจะบอกก็ได้ว่าเดี๋ยวมีอธิบายต่อไป
กูก็เคยนะ อ่านไปมีจุดแปลก ๆ ก็บอกนักเขียน ตอนต่อไปเขาก็มาเฉลยเลย ไม่รู้ว่าเติมมาเพราะอยากไขข้อข้องใจหรือตั้งใจอธิบายอยู่แล้ว มึงก็ทำงี้ก็ได้ ดูว่าเขาไม่เข้าใจตรงไหนก็ยัดบทอธิบายไป หลังจากนั้น ซึ่งปกติถ้าไม่ใช่ว่าพลอตมันพังมากก็เติมกันได้ทั้งนั้นแหละมั้ง
>>286 กูคิดต่างว่ะ ที่กูเจอเมนต์ยาวมาก เหมือนจะดีวิเคราะห์เรื่องแต่ความจริงจับผิดหมดแถมวางเรื่องให้ล่วงหน้าราวกับถ้าไม่ใช่แบบนี้คือกูเขียนห่วยมือไม่ถึง
คนอ่านเมนต์ยาวไปก็ไม่ใช่เรื่องดี แต่เป็นหารูรั่วในเรื่องมึงแล้วมายกว่ารู้ดีกว่าคนเขียน
ยิ่งบอกว่าเพิ่งลงแต่มาสกัดขาวิ่งแล้วกูมองทางลบก่อน
กูเขียนนิยายรักอยู่ แล้วฉากสารภาพรักกูไปต่อไม่ได้ว่ะ เขียนแล้วมันยาวออกทะเลทุกที ถ้าเอาลงกูโดนด่าแน่ๆว่ามีแต่น้ำไม่มีเนื้อจะยืดยาดไปไหน ต่างฝ่ายต่างซึนเดเระใส่กันอ้ำอึ้งปากหนักกันทั้งคู่ แต่จะให้บอกออกไปตรงๆก็ผิดนิสัยพระเอกนางเอกกูไง แต่พูดไปก็เฉไฉกันไปคนละเรื่องตลอด มันเลยไม่เข้าฝั่งซักที พอจะมีวิธีเขียนบอกรักหรือแสดงความรักกันแบบง่ายๆซึนนิดๆพองามแต่คนอ่านฟินตายไปเลยมั้ยวะ กูหนักใจมากเลย
>>286 >>287 กูไม่รู้ว่าจะมองบวกหรือลบกับคอมเมนท์ดีคือแบบว่า
กูพยายามมองในแง่ดีให้มากสุดๆ สำหรับนิสัย ตลค กูจะพยายามแทรกไปเรื่อยๆ แหละ
กูไม่อยากเขียนชี้นำคนอ่านขนาดนั้น อยากให้เขารู้สึกไปพร้อมๆ กับกู
ส่วนที่ว่าเขาเมนท์ยาว บอกตรงๆ กูแอบรู้สึกนิดนึง เหมือนเขาเขียนพลอตให้กู
แต่ยังไงกูก็จะลงพลอตเดิมแหละ ไม่พยายามหลงประเด็นหรือเอนเอียงจากคอมเมนท์ในเรื่องพลอตนะ
>>288 ถ้าพระเอก นางเอกมึนมีอาการซึน ปากหนัก มึงต้องหาฉากหรือเหตุการณ์แบบ บอกรักโดยไม่ต้องมีคำบอกรักอะมึง
กูอาจจะสมมติแบบน้ำเน่าไปหน่อย เช่น เดินระวังหน่อยยัยโง่ จะให้คนเป็นห่วงไปถึงไหน มึงลองหาเหตุการณ์ที่ให้พระ นาง
มีอะไรที่จะแสดงออกมาก็ได้
มึง กูมีไอเดียมาแบ่งปัน จริงๆว่าจะเก็บไว้คนเดียว แต่กูก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรเพราะไม่ใช่แนวเลยว่ะ
คือ เหมือนกูเคยดูหนังหรืออะไรซักอย่างจำไม่ได้ ที่ตัวเอกจะได้ยินความคิดต่างๆของคนอื่น เลยเอามาดัดแปลงนิดๆหน่อย คือ คนทั้งโลกมีบอลลูนความคิดที่ทุกคนมองเห็นได้ ลองนึกถึงว่ามึงมีป้ายปักอยู่บนหัว เวลาคิดอะไร มันจะขึ้นเป็นตัวอักษรบนป้ายหมดเลย
อ่าาาา ขอมานั่งบ่นหน่อย
อยากจะเขียนนิยายชะมัดเลยยย ทว่าตั้งแต่เริ่มมีเรียน เสาร์-อาทิตย์ แล้วต้องบังคับตัวเองให้ตื่นตั้งแต่ 7 โมงนี่ อารมณ์เขียนนิยายแทบจะไม่มีเลย
พอจะมีตัวอย่างนิยายที่เล่าเรื่องด้วยสรรพนามบุรุษที่ 1 มากกว่า 1 คนขึ้นไปเป็นคนดำเนินเรื่องไหมวะ เหมือนสลับกันดำเนินเรื่องในมุมมองของตัวเองอะ อยากลองอ่านดู
กูขอถามคนที่สามารถแต่งนิยายพระเอกแนวหนุ่มอัลฟ่าหน่อย กูค้นพบว่าตัวเองชอบแต่งนางเอกที่นิสัยเอื่อยเฉื่อย ไม่อินังขังขอบ และเวลาอ่านนิยายคนอื่นกูว่ากูชอบผช.อัลฟ่านะ เลยอยากจะให้พระเอกกุเป็นแนวนั้นบ้าง แต่แต่งแล้วมันจะกลายพันธุ์เป็นคนเด๋อ ไม่ก็อ่อนโยนไปทันทีเลยว่ะ เหมือนกับพอพระเอกจะทำตัวอวดดี บงการนั่นนี่ นางเอกก็ยอมง่ายๆ แบบ "เออทำดิ" "ถ้าสบายใจก็ไม่ว่ากัน" จนกลายเป็นหาช่องใส่ความอัลฟ่าไม่ได้เลยว่ะ หรือว่าเคมีนิสัยมันจะต้องเป็นแพทเทิร์นที่ค่อนข้างฟิกซ์วะ อย่างอัลฟ่าต้องคู่กับสนิมสร้อยไม่ก็เผ็ดร้อนไปเลย คนซึนก็ต้องคู่กับไทป์หมาพันธุ์ใหญ่ใจดีงี้
มีกวีนิพนธ์อันไหนน่าอ่านเอามาเป็นแบบอย่างบ้างวะ
KY ขอถามหน่อย ว่าปุ่มโปรโมตของธนี่กูกดแล้วนิยายกูจะไปขึ้นในส่วนไหนของหน้าแรกอ่ะ
เวลาตัวละครพูดติดอ่าง ควรเขียนแบบไหน?
"ท- ท- ท- ทำไม?" หรือ "ทะ ทะ ทะ ทำไม?"
ใช้ ท...ทำไม ได้ปะวะ เหมือนเคยเห็นคนใช้
ใช้ได้สองแบบ แต่คุ้นกับแบบหลังมากกว่า ส่วนใหญ่ก็ใช้แบบหลังกันทั้งการ์ตูนและวรรณกรรม
พวกมึงลงทุนกับข้อมูลในนิยายกันขนาดไหนวะ กูมีปัญหาว่าถ้าไม่รู้จริง ไม่เคยจับ ไม่เคยเห็นกูจะเขียนถึงสิ่งนั้นไม่ได้เลย อย่างอาชีพงี้ ปูให้ตัวละครหลักทำร้านกาแฟดริป โดยที่กูไม่รู้ลึกเกี่ยวกับกาแฟดริปเลย ทั้งที่ทุกวันนี้กูก็ดริปกินเอง ถูกปากตัวเอง ให้คนอื่นชิมไม่บ้วนทิ้ง กูลองหาอ่านเพิ่มเติมตามเน็ตมันก็ไม่มีชีวิตชีวาอะ มีแต่ทฤษฎียุบยับ บางทริคลองทำตามแล้วห่วยแตกมาก กูว่าจะลองไป workshop สักครั้ง เพื่อนิยายและสุนทรีย์ส่วนตัวด้วย... พวกมึงลงทุนกันมากเปล่าวะ
>>309 ปกติกูยังไม่ค่อยได้เขียนอะไรที่ใส่ข้อมูลเยอะขนาดนั้น กูว่าคนอ่านก็อาจจะไม่ได้อยากได้ข้อมูลอะไรมากอ่ะ คืออย่างกูเคยเขียนแนวโรงพยาบาล กูทำงานในรพด้วยซ้ำ แต่กูก็ใส่ข้อมูลเท่าที่มันจำเป็นอ่ะ แบบอะไรไม่จำเป็นก็ไม่เขียน แต่ต้องทำให้เป็นธรรมชาติ กูว่ามาร่ายทฤษฎียาวๆไม่ไหวอ่ะ
>>309 ในฐานะคนอ่านนะ ถ้าจะใส่ ใส่มาสั้นๆ พอ ไม่ต้องบรรยายเยอะ โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่ประเด็นที่กระทบกับแก่นของเรื่อง สมมติ ถ้ามึงจะเขียนเกี่ยวกับร้านกาแฟ ไม่ต้องบรรยายวิธีการทำกาแฟเลยก็ได้ ถ้าไม่ได้จะเฉลยว่าตัวเอกมีวิธีชงกาแฟสูตรลับเฉพาะที่คิดค้นขึ้นเอง แล้วโดนคนมาขโมยไป หรืออะไรแบบเนี้ย คนอ่านแบบกูไม่ได้อยากรู้ทุกเรื่องเว่ย ยิ่งสมัยนี้อ่ะ แค่อยากรู้เนื้อหา ไม่ได้อยากอ่านฉากบรรยายยาวเหยียด ถ้าอยากได้รายละเอียด กูไปอ่านสารคดีหรือเสิร์ชหาเองได้ ที่อยากได้จากการอ่านคือ ขอแค่ให้มีความละเมียด เห็นภาพบรรยากาศก็พอแล้ว
>>309 ลองอ่านการ์ตูนเรื่อง barista ดูไหมเกี่ยวกับกาแฟเหมือนกันเนื้อหาไม่หนักกูอ่านก็ได้ความรู้เรื่องกาแฟเยอะมาก ทั้งกาแฟสายอิตาเลียนกับเมกา วัฒนธรรมคอฟฟีบาร์
ถ้าจะแทรกแนะนำเอาแบบเรื่องทั่วไปพวกความรู้รอบตัว อย่างการใส่ไซรัปในกาแฟของสายเมกากับ รสเปรี้ยวของกาแฟแต่ละชนิด การทำกาแฟแบบ made by customers กับ ชื่อเรียกแบบฝรั่ง เหมือนทำไมBTSหมอชิตแต่อยู่จตุจักรประมาณนี้
บวกอีกเสียงนะ ไม่ต้องใส่แน่นมากก็ได้ บางครั้งเจอทฤษฎีอะไรเยอะ ๆ ก็ข้ามอะ เอาแค่พอประมาณเหอะ
>>309 กูลงทุนนะ บางอย่างมันไม่ได้ใส่กับนิยายตรงๆ แต่มีความสำคัญกับตัวละครว่ะ อย่างมึงให้ตัวละครมึงเป็นคนทำกาแฟดริป นึกภาพมันไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าสถาปัตย์ที่วัดทางเหนือและมีร้านชานมเย็นที่คนมุงสิมึง พวกมันสองตัวคงไปกันคนละทาง จากนั้นไปกินข้าวซอยก็จะเม้าท์กันคนละเรื่อง (หรือแม่งอาจจะทะเลาะกันตั้งแต่ร้านที่จะไปกินแล้ว)
ดังนั้น ถามกู กูก็ตอบว่าจะลงทุนจนกว่ากูจะได้ตัวละครคิดแบบคนทำกาแฟ หรือกูเข้าใจไลฟ์สไตล์และแนวความคิดของตัวละครนัั้นว่ะ ไม่งั้นกูเขียนไม่อินจริงๆ
>>309 ในฐานะคนเขียนกูลงทุนกับการหาข้อมูลนะ แต่ในฐานะคนอ่าน กูก็ไม่ได้ต้องการข้อมูลจำเพาะขนาดนั้นว่ะ เคยอ่านนิยายที่พระเอกเป็นหมอ โดยที่คนเขียนเป็นหมอจริงๆ คือกูสัมผัสได้เลยว่ารู้จริงเขียนด้วยอินเนอร์ แต่อ่านไม่รู้เรื่องเลยเว้ยว่าพระเอกกับนางพยาบาลคุยไรกันวะ 5555 บอกว่าแม่งใกล้ตายจะเข้าใจง่ายกว่า
เพื่อนโม่งมีใครจะเล่น fictober มั่ง
KY หน่อยนะเพื่อนโม่งเห็นนักเขียนอยู่เยอะ กูอยากจะเขียนนิยายแต่สกิล0เลยอะ ตอนเด็กๆกูโตมากับหนังสือพวกวิทย์,ดาราศาสตร์จ๋าเลย แทบจะไม่ได้แตะวรรณกรรมเลย เลยอยากให้ช่วยแนะนำหนังสือ,นิยายหน่อย (กูจะเก็บทักษะการอ่านก่อน)
หาโจทย์ Fictober จากไหนกันง่ะ
>>318 กูก็สายวิขาการนะ แนะนำไปหานิยายมาอ่านแล้วแกะแบบ วิเคราะห์การดำเนินซีนต่างๆ ดูศัพท์ จดศัพท์ที่ชอบ และดูการวางสำนวน ปรับสำนวนให้เข้ากับสำนวนปกติของตัวเอง ที่เหลืออยากอ่านเสริมกี่เล่มก็ทำไป ไม่ต้องอ่านถึงร้อยเล่มก็น่าจะเขียนได้ภายในการวิเคราะห์ของมึงแค่1-2เล่ม เพราะมึงสายวิชาการ มึงจะวิเคราะห์ไวอยู่แล้ว เหบือแค่ทดลองเขียน แรกจะเขี่ย ๆภาษาไม่คงที่แล้วมึงจะไวขึ้นเรื่อยๆเพราะทำความเข้าใจไปด้วย
ส่วนหนังสือสอนเขียนนิยาย จะอ่านเสริมก็ได้ แต่ถ้าตีหนังสือนิยายปกติออกก็คือเขียนได้แล้ว แต่อาจจะมีศัพท์น้อยต้องเสริมเอาเอง
กูทำแบบนี้แหละ เพราะกูก็สายวิชาการ
เดี๋ยวนี้มันมีนิยายสายวรรณกรรม(อารมณ์บ้านเล็กในป่าใหญ่ นาร์เนียไรงี้)ลงเว็บบ้างไหมวะ แล้วเพื่อนคิดยังไงกับนิยายแบบนี้ จะอ่านกันไหม
พวกมึงเคยเกลียดนิยายที่จบแบบค้างๆ คาๆ หรือปล่อยให้คนเดาบทสรุปกันไปเองมั้ยวะ เมื่อก่อนกูเกลียดมาก ยิ่งตอนไปตามหาอ่านสัมภาษณ์นักเขียนแล้วนักเขียนตอบประมาณว่ามันจบแบบนั้น แม้แต่ตัวเองก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เป็นเรื่องของผู้อ่านที่จะตีความว่าลักษณะนิสัยของตลค.จะนำพาให้เหตุการณ์หลังฉากจบดำเนินไปยังไง กูจะแบบมึงเป็นคนเขียนมึงจะไม่รู้ได้ไงวะ รับผิดชอบหน่อยเซ่!! เพราะกูเป็นประเภทที่เขียนแล้วจะจบเคลียร์ตลอด แต่ตอนนี้กูมีนิยายสองสามเรื่องที่เป็นแบบนั้นว่ะ คือเคลียร์ปมละ แต่ส่วนเรื่องตัวเอกใช้ชีวิตยังไงต่อไป รอดไม่รอดกูอยากปล่อยไว้เฉยๆ งั้นเลย มันเรียกว่าจุดบอดป่ะวะ
นอกจากจอมมาร/ราชาปีศาจ มีคำอะไรที่มันแนวๆไอ้ตัวพวกนี้อีกมั้ยวะ เบื่อใช้จอมมาร รู้สึกไม่ขลัง อ่านแล้วนึกถึงพวกจอมมารโม่ยๆที่ฮิตกัน
>>325 ชอบนิยายที่ต้องตีความต่อแต่ไม่ใช่แบบนักเขียนลืมปมหรือคิดไม่ออกเลยจบแบบหางด้วนนะไอ้คำตอบคนเขียนก็ไม่รู้นี่ไม่เอาเลย ชอบจบที่สามารถคิดในมุมต่างๆ ได้ให้คนอ่านเติมเต็มบทจบได้เองด้วยหรือจะจบแค่คนเขียนเขียนไว้ก็ได้ หนังเก่าๆ เป็นแบบนี้เยอะพวกทิ้งหางไว้ต่อภาคได้แบบนี้
ขอถามหน่อย คือกูมีแพลนว่าจะทำเล่ม แล้วสนใจนักวาดคนหนึ่งอยากให้เขามาวาดปกให้ ควรติดต่อเขายังไงวะ กูไม่ถนัดคุยกับคนอื่นเท่าไหร่ อีกอย่างเขามีทั้งเพจกับทวิตเตอร์ควรติดต่อผ่านทางไหนดี
แล้วเวลาเริ่มคุยอะ เริ่มยังไง พวกเรทราคาด้วย กูไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย นิยายเรื่องแรกน่ะ
>>329 inbox ไปถามว่ารับคอมมิชชั่นปกไหม ถามไหนก็ได้ มึงไปก็ สวัสดี ทักจ้า อะไรก็ว่าไป แล้วถามไปเลยรับงานคอมมิชชั่นไหม เขาอาจจะตอบช้า ไม่ต้องรีบร้อน บางคนทักไปเจ็ดวันค่อยมาตอบก็มี ไม่รับก็จบ รับก็ถามคิวว่าว่างช่วงไหน มีรายละเอียดราคาไหม บางคนเขาทำชีตให้อ่านรายละเอียด
>>323 มี เหมือนเคยเห็นแวบๆ แต่คนอ่านออนไลน์น้อยแน่นอน เว้นแต่เป็นนักเขียนใหญ่มาลงเองงอาจจะพอมีคนอ่านอยู่
>>325 เฉยๆ อยากจบยังไงก็แล้วแต่คนเขียน กูเห็นพวกเขียนเคลียร์หน่อยก็วนๆ งั้นๆ จบแล้วก็แต่งงาน มากกว่านั้นก็มีลูกมีหลานมีความสุข คนนั้นได้กับคนนี้ ลูกคนนั้นกลายเป็นผัวหรือเมียกับลูกคนนี้ ไม่ก็เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จบแฮปปี้เป็นส่วนใหญ่ จบแบบสปอล์ยที่ไม่รู้จริงหรือหลอกแบบ got นี่ไม่ค่อยเห็น
ถามหน่อยดิ มึงเขียนนิยายเรื่องนึง มีโครง มีตอนจบอะไรเรียบร้อยหมดแล้ว พอเขียนๆไปแล้วเคมีของพระเอกกับตัวละครหญิงตัวอื่นเข้ากันได้ดีกว่านางเอกที่วางไว้ตั้งแต่ต้น คนอ่านก็เชียร์มากกว่า ถ้าเป็นพวกมึงจะยอมเปลี่ยนตอนจบมาให้คู่กับตัวละครนั้นรึเปล่าวะ หรือจะยืนยันตามโครงเดิมที่วางไว้ คู่กับคนเดิมแม้จะโดนด่า
>>331 ให้พระเอกหลงรักคนที่เคมีดีกว่า หาจังหวะพีคๆ ฆ่าตัวละคร ด้วยเหตุผลสวยๆอย่างเสียสละหรือปกป้องพระเอก ทิ้งบาดแผลในใจพระเอกไว้ตลอดกาล แล้วเพิ่มบทยืดเรื่องให้นางเอกมาประคับประคองพระเอกจากความสูญเสีย ค่อยจบกับนาง แต่สาวที่ตายไปก็ไม่เคยลบเลือนไปจากใจ นางเอกได้อยู่คู่กันจนสุดท้าย แต่นางคนนั้นได้ใจพระเอกไป ทิ้งปริศนาไว้ให้นางเอกสงสัยว่าคนตายไม่สามารถเอาชนะได้ตลอดกาลจริงรึเปล่า ตกลงแล้วตอนนี้ฉันเป็นคนที่พระเอกรักที่สุดรึยัง แต่กูจะเขียนไม่ให้พระเอกตอบ เขาเพียงยิ้มเศร้าๆให้เท่านั้น //แค่ก กูเป็นนักเขียนสไตล์ยิ่งคนอ่านกรีดร้องยิ่งสมใจน่ะ อย่าอ้างอิงกูจะดีกว่า...
ขอถามความเห็นโม่งหน่อย สมมุติกูแต่งนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับคนๆนึงที่มีข่าวลือว่าเป็นเกย์
แล้วเขียนให้นางเอกย้อนเวลาไปเป็นคนที่มีข่าวลือว่าเป็นคู่ขาของคนๆนี้ ซึ่งตามปวศ. เป็นผู้ชาย
แต่นางเอกต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายเพราะยุคนั้นผู้หญิงไม่ได้รับการยอมรับ ซึ่งจริงๆมันก็พล๊อตธรรมดาแหละ
แต่กูกลัวว่าด้วยมาตราฐานยุคนี้มันจะดูเหมือน homophobia รึเปล่าวะ พวกมึงคิดว่าไงบ้าง
>>336 จะโฮโมโฟบยังไงวะ สำหรับกูปกตินะ นางเอกของมึงแค่ไปทำความรู้จักกับคู่ขา ต่อให้สุดท้ายปรากฎว่าคนในปวศ.กับคู่ขามีคสพ.กันจริงๆ หรือลงเอยที่คู่ขาหันมาสนใจนางเอกมันก็ไม่ได้เหยียดเกย์อะไร เขาอาจจะเป็นไบก็ได้ หรืออาจจะเป็นชายแท้แต่แรก อยู่ที่วิธีการเล่าเรื่องของมึงมากกว่า
กุคิดอยุ่ว่าถ้าเซตติ้งโลกปัจจุบัน ตัวละครหญิงอายุซัก18พึ่งมารุ้ว่าความจริงตัวเอกเป็นผู้ชาย อาจจะเคยชอบผชแบบติ่งดาราไรงี้มาก่อน แต่มาชอบกะนางเอกที่เป็นชะนีจริงๆจะเปนไปได้ปะวะ แล้วนางเอกมันควรเป็นคนยังไงให้ผู้ชายที่เป็นผู้หญิงมาตลอดมารักจนแต่งงานมีลูกได้
ไอเดียกุมาจากอยากแต่งอะไรตรงข้ามกะอิพวกนิยายที่ตัวละครชายกลายเป็นหญิงเฉยๆแหละ แต่พอกุคิดเซตติ้งโลกปัจจุบันล่ะยากชห
>>340 เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นผช? ถ้ากุเป็นคนอ่านกุจะคิดว่า ไม่ได้เรียนสุขศึกษาเหรอ พ่อแม่นี่ยังไงเลี้ยงลูกแบบไหนถึงไม่รู้ว่าตัวเองเพศอะไร สูติบัตร บัตรประชาชนหลักฐานตั่งต่าง ทำไมมึงไม่รู๊วว แต่มองข้ามความไม่สมเหตุสมผลเรื่องการเพิ่งรุ้ตัวเอง กุว่านางเอกต้องเป็นอะไรที่พระเอกแพ้ทางอะ พวกนิสัย ทัศนคติ เหมือนมาเติมเต็มส่วนที่ขาด พระเอกถึงจะรัก มันก็แนวๆนิยายวายที่เป็นเกย์ให้นายคนเดียวไรงี้ แต่ถึงขั้นเกิดอารมณ์ทางเพศ… คิดไม่ออกว่ะ
KY ชิบหายแล้วมึง คือนิยายที่กูแต่งมันหน่วงมาทั้งเรื่อง (คสพ.พระนาง) ทีนี้พอกูจะปูทางให้มันจบดีแฮปปี้กูเสือกนึกภาพไม่ออกว่ะ คืออีสองคนนี้มันรันทดขนาดให้มันคิดเรื่อง sexual กันไม่ได้แล้วอะ มีแต่อยู่ด้วยแล้วอิ่มใจ เกื้อกูลกัน ทำนองนั้น เป็นคสพ.ที่ให้เรียกว่าคนรักก็บอกไม่ถูก ให้แต่งงานมีลูกกันยิ่งนึกภาพไม่ออก กูควรทำยังไงดี หรือให้จบเศร้าให้มันจบ ๆ ไปเลยดีวะ
>>342 ไม่แน่นะ มันมีเคสผิดปกติมีโครโมโซม xy แต่เอสโตรเจนเยอะมากจนกายภาพออกมาเพศหญิง พ่อแม่หมอก็เห็นเป็นหญิงเลี้ยงขึ้นมาเป็นหญิง กระทั่งอวัยวะเพศก็มีช่องคลอด แต่ไม่มีเมนส์ มีหน้าอกใหญ่ด้วย ไม่มีจู๋ แล้วพอโตจนมีแฟนคบขนาดแต่งงานแล้วเพิ่งมานึกได้ตอนอยากมีลูกว่าตัวเองไม่มีเมนส์ เลยไปหาหมอ หมอตอนแรกนึกว่ามดลูกไม่เจริญแต่ดันไม่มีส่วนต่อมดลูกและรังไข่ ไปมีอัณฑะซ่อนในช่องท้องแทน ไอ้ข้างล่างมันกลายจากไอ้นั่นกับถุงอัณฑะเปลี่ยนรูปร่างเป็นช่องคลอดกับแคม พอเช็กเพราะคิดว่าโครโมโซมผิดปกติถึงรู้มี xy ปกติอีก คนไข้ต้องรับฮอร์โมนใหม่ให้กลับมาเพศจริงแล้วศัลยกรรมข้างล่างใหม่ รวมถึงอาจจะเกิดปัญหาเป็นหมั้นเพราะอัณฑะไม่เจริญอาจผลิตเซลล์สืบพันธ์ุไม่ได้ แถมสามีรับไม่ได้ขอหย่า ไม่ได้ตามข่าวต่อนะว่าเขาจะรักษาหรือเปล่าหรือคงเพศหญิงเหมือนเดิม
ด้วยความหลากหลายทางเพศสมัยนี้ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้วะ ถ้าทอมกับกระเทยยังรักกันได้แบบ happy sexually ทำไมของมึงจะจบไม่ได้ มันมีกระทั่งแบบที่บอกว่ารักที่ตัวคนไม่ใช้ที่เพศ จะเพศอะไรก้อรัก
>>346 ไม่ใช่ฮอร์โมนเพศหญิงเยอะนะ แค่ไม่มี receptors ต่อ androgen testosterone
โรคนี้เป็นตัวสนับสนุนทฤษฎีที่ว่าพื้นฐานของมนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาไปเป็นเพศหญิงได้มากกว่าเพศชาย เพราะเมื่อเนื้อเยื่อพื้นฐานไม่ได้รับอิทธิพลจาก androgen ก็เกิดการพัฒนาทางเพศแบบ female
หาข้อมูลอาชีพอินทีเรียร์หน่อยงับ อยากรู้ถ้ามีโปรเจ็คออกแบบห้องให้รีสอร์ท(ห้องพัก)อะไรแบบนี้ (ไปตจว.) มันใช้เวลาประมาณกี่วันวะ หรือใช้ทีมละกี่คน เท่าที่อ่านมาเหมือนกูยังนึกภาพไม่ค่อยออกเลย
>>352 พี่ชายแฟนทำรับคนเดียว ไม่ได้อยู่บ.ฟรีแลนซ์แต่ค่าตัวเขาแพงนะที่ทำให้นี่ทำแบบ รีสอร์ตเจ้าของเงินหลักร้อยล. เงินไม่ฝากธนาคารเก็บตู้เซฟบ้านแล้วจ่ายใส่ถุงก๊อปแก๊ปอะ
ทำวันถึงสองวัน แบบร่างแรก หลังจากนั้นแก้งานสามครั้ง ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับคนจ้าง(จะถ่วงเวลาไหม) แต่มีแปลนมาให้แล้วนะ (ปกติเขามีให้อยู่แล้ว แปลนเนี่ยมีมาตั้งแต่สมัยสร้างโครงห้อง) ถ้ามีแปลน3Dก็เจ๋ง ไม่มีก็ไม่ใช่ปัญหาไปถ่ายรูปห้องเอามาขึ้น เสร็จภายในสโคปเวลาที่บอก
รายได้เขาต่อเดือนแสนนึงบวกบวก
พวกทำบริษัทรอเจ้าอื่นละกัน
ขอเพิ่มรายละเอียดอีกนิดหน่อย สองวันที่ว่าคือโมเดล3D เรนเดอร์พร้อมทั้งห้องนะ ไม่ใช่ไปเลือกกระเบื้องเฟอลงห้องแล้ว พอแบบผ่านลูกค้าโอเค ก็จะพากันควงแขนไปดูกระเบื้อง ดูวอลเปเปอร์ ส่วนใหญ่ออกก่อนเองออฟเฟอร์ไปก่อน ลูกค้าปาเงินมาให้เลยก็มี ระยะเวลานานไหมขึ้นอยู่กับการหาของ ว่าได้ที่ต้องการรึเปล่า กระเบื้องเอย ต้องไปดูสี ขนาด ลักษณะด้วยนะ บางทีได้หมดยกเว้นขนาด ก็ต้องหาวนไป กระเบื้องมันมีสองไซส์อะหลักๆ
>>342 >>345 >>346 >>347 >>348 >>349 >>350 ขอบคุณทุกคนมาก ข้อมูลจริงจัง ขนาดกูเรียนสายแพทย์ยังอาย กูลืมบอกว่ากูจะแต่งแฟนตาซี5555 กูคิดว่าจะมาแนวแม่มันจะซ่อนลูกชั่วคราวเลยจับกรอกยาเปลี่ยนเพศจากชายเป็นหญิงแล้วให้เพื่อนเลี้ยง บอกเพื่อนว่านี่ลูกสาว แต่อิแม่โดนจับไปก่อนก็เลยไม่มีใครรู้ว่าพระเอกเป็นชาย คนเลี้ยงเข้าใจว่าลูกสาวก็เลี้ยงแบบลูกสาวตลอด จนมันโตมาสัก18แล้วไปเผลอแดกไรซักอย่างให้เพศกลับมาเป็นชายนี่แหละ เรื่องเอกสารก็ถูกจัดการว่าเป็นผู้หญิงหมด คือนิยายแนวนี้กูเห็นแต่ชายเป็นหญิง&เซตโลกสมมติเลย แม่งเลยไม่ต้องมารองรับเรื่องความหลากหลายทางเพศยุบยับไรประมาณนี้(อย่างบารามอสอ่ะ) กูเลยคิดไม่ตกเนี่ยว่าถ้าเขียนว่าแม่งเป็นชายแล้วจะมีความเป็นไปได้มั้ยว่ามันจะรับร่างชายไม่แปลงเพศกลับไปร่างชะนีที่ใช้มาตลอดได้
เพื่อนโม่งในนี้มีใครเขียนนิยายขายบ้างมั้ย?
พอดีกำลังจะหางานใหม่ แล้วระหว่างนั้นมันคงว่างอยู่พักหนึ่ง (ราวๆ 2-3 เดือน) เลยจะเอาเวลาว่างๆ มาเขียนนิยายสั้นๆ มาซักเรื่อง
แต่พอดีห่างหายจากวงการไปนานอยู่เลยไม่รู้ว่าปัจจุบันเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้แนวแฟนตาซียังขายได้รึเปล่าอ่า? หรือว่าต้องไปแนววายกันหมดแล้ว
เอาแบบขายได้ ก็วายกับกำลังภายใน ถ้าจะอยากเขียนแฟนตาซีด้วย มึงก็ยัดองค์ประกอบที่ว่ามาเข้าไปนั่นแหละ
>>360 ไม่จำเป็นต้องเน้นรักอะไรขนาดนั้นก็ได้ นักอ่านบางส่วนก็หนีแนวรักมาอ่านแฟนตาซีนี่แหละ มีพวกที่ชอบแฟนตาซีจ๋าแบบไม้เน้นรักด้วยนะ แต่อาจจะเฉพาะกลุ่มไปหน่อย ถ้าจะเอาให้เซฟที่สุดก็ต้องใส่แนวรักเข้าไปแหละ
มึงไม่ต้องใส่เยอะขนาดนั้นก็ได้ แต่ขอให้มีบ้างพอกระชุ่มกระชวยหัวใจ มีบทรักตอนเนื้อเรื่องการเมืองกำลังพีคไรเงี้ย เครียดแล้วคอยอยู่ข้างกัน จับมือ กอด แอบมองตา แอบเป็นห่วง แค่ทำให้มันดูน้อยแต่มากไปด้วยความรู้สึก เยแทบทุกตอนตอนนักอ่านก็เบื่อ กูเคยเห็นมาแล้ว นักอ่านบอกตรงๆ เลยว่าฉากเยเยอะเกินไปมั้ย เนื้อเรื่องกลวงมากเลย อย่าให้นักอ่านมามีอิทธิพลจนทำลายความตั้งใจที่เราต้องการแต่งออกมาเลยมึง
...กูพิมพ์ได้หล่อมาก เหยด
ขอบคุณมากเพื่อนโม่งทั้งหลาย
ถ้ามีเวลา 2-3 เดือนน่าจะปั่น 30 ตอนทัน
มึง ถ้าเจอนิยายที่เปิดมาด้วยตอนจบ (ในอดีตอีก 10 กว่าปีต่อมา) คิดว่ามันจะมีข้อดีข้อเสียไงกันบ้างวะ ส่วนตัวกูกำลังสนใจแนวนี้อยู่ อยากรู้คห.คนอื่นว่าชอบไม่ชอบยังไง
>>366 หนังมีเปิดฉากจบก่อนเยอะนะ ข้อเสียคนอ่านรู้สปอยส์เรื่องก่อน จะใช้วิธีนี้ได้คือต้องมีฉากจบแบบคนสนใจมากๆ ว่าทำไมเพราะอะไรถึงจบแบบนี้ได้ ตอนจบจริงๆ จะเป็นแบบตอนเริ่มหรือเปล่ามีวิธีอะไรที่จะเลี่ยงไม่ให้เกิดบทจบแบบนั้นได้มั้ย การเล่าเรื่องต้องหลอกคนอ่านได้ มีการหักมุกตลอดหรือทางตรงข้ามเล่าให้คนคล้อยตามกดดันจนไปถึงตอนจบ แนวเขียนแบบนี้ถ้าการดำเนินเรื่องไม่สนุกคนไม่ตามต่อ
กูนึกถึงเรื่องของขวัญวันวาน ที่ปิดด้วยลูกๆของพระเอกนางเอกเล่าถึงเรื่องพ่อแม่สมัยยังหนุ่มสาว
หนังรักตลอดกาลอย่างไททานิคยังเปิดเรื่องมาตอนโรสแก่เลย แล้วค่อยเล่าย้อนไป คนดูก็ชอบกันนะ เพราะงั้นกูว่าเปิดเรื่องอย่างงี้มันทำได้แหละ ถ้าสมมติวางพล็อตไว้ว่าพระเอกหรือนางเอกตายตอนจบ ก็อาจจะไม่ต้องเปิดด้วยจุดนั้นก็ได้(กันสปอยล์) แต่เปิดด้วยการมีเรื่องอะไรซักอย่างให้ตัวละครที่ยังอยู่เล่าย้อนความหลัง ไรงี้
เควาย เหมือนเคยเห็นผ่าน ๆ สักมู้พูดถึงเรื่องเพลงในนิยาย ถ้ากรณีใส่เนื้อเพลงสักท่อนที่มันตรงกับใจตลค.พอดีมันจะโอเคมั้ยวะ แบบบรรยายว่าไปเที่ยวแล้วได้ยินร้านเปิด/วิทยุ อะไรเงี้ย
>>372 เหมือนกูเคยอ่านว่าพวก quote หรือเพลงนี่บางทีอาจต้องขออนุญาตหรือขอลิขสิทธิ์มาใส่นะ ยกเว้นจะเก่าจนเป็นพับลิคโดเมนไปแล้ว
แต่หากมึงบรรยายว่าตัวละครเดินเข้าบาร์แล้วได้ยินเสียงเพลง "ให้คุกกี้ทำนายกัน!" แค่สั้นๆ หรือมึงบรรยายว่าตลค.ดูหนังแล้วยกประโยคจากหนังมาสักอัน ปกติก็ไม่มีใครมาตามเอาเรื่องเอาราวกะมึงหรอก เว้นแต่มึงยกมาเต็มสตรีม เอาเนื้อเพลงเขามาเปิดเรื่อง มาใช้เป็นแกนหลัก สอดแทรกไว้ตามบท อันนี้ไม่เหมาะละ
รู้สึกผิดกับคนอ่าน กูมาเรียนต่อต่างประเทศ มาได้ 3 สัปดาห์แล้ว ยังจัดสรรเวลาไม่ค่อยลงตัวเลย ไหนจะเรียน ทำงานพิเศษ ออกกำลังกาย วันนึงมีเวลาเขียนนิยายไม่ถึงชั่วโมง ปรกติวันพุธจะว่างมาเขียนได้สัก 3-4 ชั่วโมง แต่สัปดาห์นี้ดันเป็นวันหยุดต้องไปทำงานอีก อยากเขียนนิยายแต่ไม่มีเวลาจริงๆ โฮฮฮฮ
พวกมึงว่าการที่เขียนเรื่องยาวได้ มันเก่งกว่าการที่เขียนได้แต่เรื่องสั้นมั้ยวะ ไม่มีอะไร กูแค่อาจจะรู้สึกไปเองน่ะ
>>376 ไม่เป็นไรมึง บอกนักอ่านไปตามตรงเลย ของกูเคยเจอมรสุมงานรุมเร้าและกังวลว่าจะแต่งได้ไม่ดี ขาดกำลังใจ นักอ่านที่เขาชอบงานเราจริงๆ ก็เข้าใจนะเว้ย แค่บอกให้เขารู้หน่อย อยู่ๆ หายจ้อยไม่ส่งข่าวเลยก็ใจร้ายไปนิดนึง เพราะกูก็เคยโดนนักเขียนเทเหมือนกัน เศร้ามาก บอกกูก่อนว่าจะด๊องงง
ว่าจะถามมานานแล้วแต่ไม่ได้ถามซักทีแฮะคำถามนี้
เพื่อนโม่ง เวลาเขียนนิยายที่ใช้เซ็ตติ้งโลกจริงในประเทศไทยนี่ แต่ละคนใช้สถานที่จริงกันทั้งหมดรึเปล่าวะ?
หรือว่าใช้สถานที่สมมุติเฉพาะในเขตพื้นที่ที่ตัวเอกอยู่เท่านั้น ส่วนสถานที่สำคัญจำพวก Land mark ยังใช้สถานที่จริง?
มึง ๆ สมมติว่ากูมีเรื่องต่อกัน แล้วอีสองเล่มนี้เฉลยปมทางจิตของพระเอกแบบเดียวกัน มันจะดูซ้ำซากมั้ยวะ /จบต่างกัน อันนึงอันนึงเส้า อะ มึงว่าไงง
มึง อะไรคือการผิดศีลธรรมและจรรยาบรรณวะ กูถามโง่ ๆ เลย พอดีว่ากูเขียนนิยายแนวไล่เชือด มีฉากทำร้ายกันรุนแรง มันผิดตรงนี้มั้ยอ่ะ T_T
>>387 ไล่เชือดไม่ได้ผิดศีลธรรมมากหมายนะ
คือมันเป็นอะไรก็ได้ที่สร้างความสะเทือนใจแก่สังคมและขัดแย้งกับวิถีประชา เช่นหมอที่แอบมีความสัมพันธ์กับคนไข้หรือเอาความลับคนไข้ไปบอก(ผิดจรรยาบรรณหมอ)
ทนายปากมาก ครูกับลูกศิษย์ incest ข่มขืน หรืออนาจารก็ได้อย่างกรณีข่มขืนลูกตัวเอง ฆ่าข่มขืนบนรถไฟ มึงต้องคิดเองนะเป็น common sense แต่ต้องสะเทือนใจและสร้างความรังเกียจต่อสังคม เช่นเมื่อก่อนเกย์ก็ผิดศีลธรรมจรรยา แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ละ
นั่นไง ของกูมี incest ข่มขืนเต็ม ๆ สนพ.ไหนรับบ้างวะแม่งเง้ย
แม่งเอ้ย อยากจะออกจากงานมาเขียนนิยายขายให้รู้แล้วรู้รอดชิบหาย รู้สึกเหลือทนกับงานที่บริษัทโคตรๆ
แต่ยุคนี้ดันทำไม่ได้ กูล่ะเศร้าชิบหาย
กูเขียนนิยายแนวอาชญากรรมว่ะ แบบทั้งเรื่องเน้นการสืบสวน ไล่ยิงกันทั้งเรื่อง แบบนี้มีสำนักพิมไหนเขารับบ้างวะ
ถ้ามีเรื่องรักแซมมาด้วยหน่อยกูไปได้ทุกสนพ.ปะ ถ้าล้วน ๆ เลยนี่กูไม่แน่ใจว่ะ
ทำยังไงให้หายกดดันเวลาเขียนนิยายเรื่องใหม่วะ พอเรื่องเก่ามันดีแล้วคนคาดหวังกับเรื่องต่อไปเยอะกูก็จะกดดันมากๆเลยอะ
แต่เปลี่ยนนามปากกาก็คือไปเริ่มใหม่หมดเลยป่ะวะ แบบกุยังคิดถึงคนอ่านของกุอยู่อ่ะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ไรงิ แต่ก็กดดันด้วยย บ้าบอสัด
>>396 มึงก็ทำออกมาดีๆ ถ้างานออกมาดีความกดดันจะลดลงเอง ถ้าทำไม่ได้มึงจะกดดันหนักกว่าเดิมเพราะตัวมึงรู้ดีว่ามึงทำได้ไม่ดีเท่าที่ตัวเองเคยทำได้
>>401 ถ้ามึงจับจุดได้ จุดเริ่มมึงก็ดีกว่านักเขียนหน้าใหม่แล้ว กูเขียนมาสามแนว สามนามปากกาไม่เคยบอกใครว่าคนเดียวกันไม่เคยไปโฆษณาในนามปากกาเก่าคนมาอ่านก็มีพอสมควร
จะใส่เชิงอรรถใน readawrite ยังไงดีวะ คืออีนี่นั่งใส่แล้วค้างอยู่เป็น ชม
เพื่อนโม่งขอความเห็นหน่อย คือกูอยากลองเขียนแนวจีน(ซึ่งมันก็จะกลายเป็นเซิ่นเจิ้น) แต่ส่วนตัวกูอ่านแต่จีนไม่อ่านเจิ้นเลย เลยไม่รู้ว่าควรเขียนดีไหมมันขัดๆความรู้สึกไงไม่รู้ แล้วอยากรู้ว่าเจิ้นนี่คนอ่านเยอะไหมวะ
>>404 มึงเล่นโม่งมากไปนะเลยอาจจะเข้าใจอะไรผิด เสิ่นเจิ้นคือนิยายจีนที่คนไทยเขียน มึงจะเขียนเหมือนมากเหมือนน้อยก็เสิ่นเจิ้นทั้งนั้น มันก็จะมีคนเขียนที่เขียนแบบจีน พยายามจีน หรือไทยที่เซ็ตติ้งจีน มึงไม่ต้องไปอ่านงานเสิ่นเจิ้นก็ได้เพราะทันทีที่มึงเขียนออกมาจะจีนยังไงงานมึงก็กลายเป็นเสิ่นเจิ้นอยู่ดี บางคนเข้าใจว่าเสิ่นเจิ้นคือนิยายพยายามจีนหรือไทยเซ็ตติ้งจีน พวกนี้บางทีก็ตั้งใจบางทีก็ไม่ได้ตั้งใจแต่มันเป็นมาจากพื้นฐานที่อ่านเขียนนิยายไทยมากไป ส่วนคนอ่านออนไลน์กูคิดว่ามากกว่างานแปลเล่มเยอะมาก งานแปลกูตีให้ว่าอย่างมาก 5 พันเล่ม ต่อให้ขายหมดร้านเอาไปให้เช่า แต่รวมๆ มันสู้คนอ่านฟรีบนเว็บไม่ได้หรอก ส่วนเสิ่นเจิ้นคนอุดหนุนงานไหมอีกเรื่องหนึ่งนะ
ทันทีที่เขียนแนวแปลจีนจะเป็นเสิ่นเจิ้น แล้วทันทีที่เขียนแนวแปลญี่ปุ่นจะเป็นฮอกไกโดมั้ย แล้วทันทีที่เขียนแนวแปลอเมริกาจะเป็นเท็กซัสมั้ย แล้วทันทีที่เขียนแนวแปลอิตาลีจะเป็นเนเปิลส์มั้ย แล้วทันทีที่เขียนแนวแปลเยอรมันจะเป็นมิวนิกมั้ย
กูเรียกเสิ่นเจิ้นหมด เขียนดีไม่ดีกูก็เรียกเสิ่นเจิ้นว่ะ กูเข้าใจเอาเองว่าคือนิยายจีนที่คนไทยเขียน ต่อให้เขียนดีมากธรรมเนียมเป๊ะหมดก็เสิ้นเจิ้น สำหรับกูไม่ใช่คำดูถูกเป็นคำนามไว้เรียกเฉยๆ
>>412 ก็ 405 มันบอกว่าเฉพาะจีนไง กูว่ามันแล้วแต่คนจะจำกัดความอีกอะ บางคนอาจจะบอกว่าคนเขียนไทย เซตติ้งไหนไม่ใช่ไทยก็นับเป็นเสิ่นเจิ้นหมดแบบไม่สนคุณภาพ บางคนบอกงานจีนเท่านั้นถึงจะเรียกเสิ่นเจิ้น ไม่สนใจเรื่องคุณภาพอีกเหมือนกัน หรือบางคนอาจจะบอกว่ากูสนคุณภาพ ถ้าเขียนออกมาดีประหนึ่งงานแปลจริงๆ กูก็ไม่นับเป็นเสิ่นเจิ้นแล้ว
คำนี้มันเริ่มจากนิยายเซตติ้งจีนโบราณยุคแรก ที่แรกๆมักหลุดความเป็นจีนผิดๆเยอะ มันเลยโดนเหน็บว่าเสิ่นเจิ้น ของปลอมจากจีน คุณภาพต่ำ
แต่พอนานไป คนแห่มาเขียนแนวนี้มันก็มีงานคุณภาพขึ้นเยอะ จนเดี๋ยวนี้มันเลยไม่ได้ใช้แยกคุณภาพนิยาย แต่เรียกรวมกันไปเลย คำนี้เลยไม่ได้เป็นคำเหน็บแนมอีกต่อไป
แต่ถ้า เขียนเซตติ้งอื่นๆที่ไม่ใช่จีน กูว่ามันก็น่าจะมีคำเรียกอื่นนะ ซึ่งกูก็ไม่รู้เหมือนกัน 55 เดี๋ยวก็คงมีคนคิดขึ้นมาเองแหละ
กระเป๋าแบรนด์เนมคือกระเป๋าแบรนด์เนม
กระเป๋าก๊อป ต่อให้ก๊อปเหมือนแค่ไหน คุณภาพดีแค่ไหนก็คือของก๊อปเกรดเอ
ป.ล. 深圳 (Shēnzhèn - เซินเจิ้น) ไม่ใช่เสินเจิ้นหรือเสิ่นเจิ้น
นักเขียนไทยถึงเขียนตัวละครต่างชาติทั้งเรื่อง ฉากเป็นต่างชาติ สำนวนจะเหมือนนิยายแปลแค่ไหน อย่างไรก็เป็นนิยายไทย ไม่ใช่นิยายแปล ไม่ใช่เจ้าของชาติ ไม่มีทางเป็นนิยายจีน ไม่มีทางเป็นนิยายญี่ปุ่น ยกเว้นคนเขียนจะเป็นพวกลูกครึ่งแล้วไปอิงสัญชาติต่างชาติก็พอเนียนไปได้แต่ต้องเขียนเป็นภาษานั้นๆ ไม่ใช่ภาษาไทย
พูดแล้วนึกได้ แล้วอย่างฮายาชิ คิซาระล่ะวะ เห็นว่ามีเขียนทั้งแบบไทยกับญี่ปุ่นเลยไม่ใช่เหรอ รึจำผิดวะ
>>424 +1 แต่เพิ่มเติมหน่อย มองว่าเขียนด้วยภาษาอะไรก็คือนิยายชาตินั้น ถ้าเขียนนิยายจีนด้วยภาษาจีน นิยายโรมานซ์ด้วยภาษาอังกฤษ แล้วคนเขียนมีศักยภาพพอ อาจจะไปอยู่จีนมาสักสามสิบปี มีสามีจีน สามีญี่ปุ่น อะไรก็ตามจนทำให้ได้คลุกคลีเข้าถึงวัฒนธรรมสังคมแล้วเขียนออกมาได้ เหมือนอย่างคนเขียน เอ็มมานูเอล นิยายอีโรติกยุคโบราณที่เป็นคนไทย เป็นภรรยาทูตฝรั่งเศสมั้ง อันนั้นนับเป็นนิยายแปลได้สำหรับกู
แต่อย่างเจ๊คาร่า ที่เขียนเป็นภาษาไทย แล้วตีพิมพ์มีทั้งชื่อคนเขียนคนแปล อันนั้นไม่ใช่ละ อย่างฮา
แล้วอย่างน้องแมวเหมาเหมา ที่เขียนโดยคนญี่ปุ่นแต่เซ็ตติ้งเป็นจีนจะนับว่าเป็นอะไรดีวะ?
กูว่ามันเป็นจริตทางวัฒนธรรม ที่คนชาตินั้นๆมันจะเขียนออกมา เวลาคนต่างชาติมาเขียน ก็ต้องทำรีเสิชเพื่อจะได้เข้าถึงตรรกะของวัฒนธรรมนั้นๆ ไม่แค่เซตติ้งนะ ตัวละครเองก็สำคัญ เหมือนมึงเขียนนิยายไทยให้พระเอกเป็นคนจีน วิธีคิดของตัวละครมันก็ต้องมีตรรกะตามแบคกราวน์จีน
เซินเจิ้น หรือ ชีคทะเลทราย กูอ่านทั้งนั้นถ้ามันทำให้กูเชื่อในตัวละครว่าแม่งเป็นคนชาติอื่น ถ้าเขียนแล้วแม่งยังวนอยู่แถวแพลตตินั่ม กูก็เรียกนิยายไทยห่วยๆ
เดี๋ยวนี้นิยาย สืบสวน มีที่ไหนรับบ้างวะ
กูสรุปให้ได้มั้ย
นิยายไทย แนวเซินเจิ้น เขียนโดยคนไทย เขียนเป็นภาษาไทย มีเซตติ้งเป็นประเทศจีน ตัวละครส่วนใหญ่เป็นคนจีนแท้ๆ อาจมีตัวละครไทยหลงมิติไปสวมร่างตัวละครจีน ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นจีนยุคโบราณ สำนวนภาษาจึงมักใช้แนวทางของสำนวนนิยายจีนแปลไทยเป็นหลัก ในการสร้างจักรวาลจีนโบราณที่คุ้นเคยกับนักอ่านชาวไทย
หากเป็นเซตติ้งจีนปัจจุบัน ตัวละครเป็นจีนล้วนๆ น่าจะนับเป็นเซินเจิ้น เพราะผู้เขียนกำลังสวมบทบาทนักเขียนชาวจีน
หากเป็นเซตติ้งจีนปัจจุบัน มีทั้งตัวละครไทยและจีน ไม่น่านับเป็นเซินเจิ้น เพราะในจักรวาลนิยายไทยไปพบรักกับชาวต่างชาติในต่างประเทศ มีมานานแล้ว
กูสรุปแบบนี้ ใครมีข้อแก้หรือเพิ่ม เชิญตามอัธยาศัย
สรุปของกุ = นิยายเซตติ้งจีน(ตัวละครจีน)เขียนโดยคนไทย = เสินเจิ้น
เอาจริงนิยายคนไทยไปพบรักที่ตปทเนี่ย ให้ความรู้สึกเชยมากสำหรับกุตลอดเลยอะ ตอนเด็กๆแนวชีคๆกำลังฮิตด้วยแหละมั้ง แล้วทุกคนแม่งเป็นลูกสาวท่านทูต
พอนึกถึงแนวนี้ถ้ารุ่นใหม่หน่อยก็นึกถึง ณร ตลอดเลย
รบกวนถามเรื่องการใช้คำ คำว่า "เหรอ" กับ "หรือ" ในนิยาย กำลังสงสัยว่าต้องใช้อะไรถึงจะถูก
เช่นว่า "จะไปไหนเหรอ?" กับ "จะไปไหนหรือ?" แบบไหนถูกต้อง
เพื่อนโม่งคิดว่าไงกัน แบบไหนถูก
สำหรับเราถูกทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับระดับภาษาในเรื่อง
เหรอจะเด็ก ๆ วัยรุ่น สมัยใหม่กว่า
หรือจะทางการหรือสมัยโบราณย้อนยุค
ใช้ผสมผสานให้เข้ากับบริบทก็โอเคนะ
เวลามีคนใช้คำว่า หรือ ในภาษาพูด ภาษาแชท หรือในโซเชียลกูรู้สึกว่ากำลังคุยกับคนแก่ทุกทีเลย 555555555555
ยิ่งคำพูดแบบ ทำแบบนี้สมควรแล้วหรือ (ตามพวกในที่พูดเรื่องการเมืองๆ)
มันก็ถูกทั้งสองอย่างอะ (กูไม่ชอบคำว่าหรอเอาซะเลย แต่ก็พอมองข้ามไปก็ได้วะ 555) จะใช้อันไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวละครมึงแล้วแหละ ถ้าเป็นคนแก่หรือพวกชอบพูดทางการหน่อยก็ใช้หรือ ถ้าวัยรุ่นปกติก็ใช้เหรอไป
กูว่าอยู่ที่ว่าภาษาทั้งเรื่องมึงจะcasual หรือ เอาถูกต้องตามหลักภาษาเขียน
เหรอ รึ กูว่าคนแก่ก็พูด มันภาษาพูด
กูอ่านได้ทั้ง หรือ เหรอ แต่ถ้าบางคนพูดหรือในเรื่อง อีกคน เหรอ กูจะงง เพราะกูไม่คิดว่า หรือ บอกวัยขนาดนั้น
นิยายกูใช้ทั้งหรือและเหรอ แล้วแต่อารมณ์ตินนั้น มึงอย่าไปซีเรียสนักเลย
กูได้หมดทั้ง หรือ ทั้ง เหรอ แต่ถ้าใช้ หรอ นี่จะไม่อ่าน 5555
ไม่รู้จะถามไหน กูเกิลก็ไม่เจอ
แส้ ใช้ลักษณะนามว่าอะไรอะ.....
ไม่รู้จะถามที่ไหน กูจะหารายละเอียดพวก openverse ได้ที่ไหนบ้าง
กูลองเสิร์จ แส้เส้นหนึ่ง กูเจอในนิยายแปลจีนเพียบ
สิ่งของลักษณะเป็นเส้นเล็กยาว เช่น เชือก ด้าย ลวด ใช้ลักษณนามว่า เส้น
กูว่าแส้ หรือ โซ่ เข้าข่ายนะ
https://sites.google.com/site/krutoeypanuwat/innovation/bth-thi-3-lak-sn-nam
topic นี้น่าจะเหมาะสมสุดในการแชร์ความคิดเรา
เราอยากให้นักเขียน เลิกเขียนฉากข่มขืนที่เขียนขึ้นเพราะความสะใจ หรือการลงโทษนางร้าย ด้วยการถูก "ข่มขืน"
เพราะบางครั้งมันสร้างค่านิยมว่า การข่มขืนเกิดขึ้นอย่างชอบทำ นางคนนั้นมันร้ายมันสมควรโดน เวลาที่เราอ่านเจอหรือดูละครเราจะจิตตกไปหลายวัน เฝ้าวนเวียนคิด ถึงจะบอกว่า ก็มันแค่ละคร แค่นิยาย แต่ว่านะ...พวกคุณนักเขียน เขียนมันขึ้น เพราะหวังว่าคนอ่านจะอินไปกับมันไม่ใช่เหรอ?
หากอยากเขียน หรือจำเป็นต้องเขียนฉากข่มขืน เราก็อยากให้มันออกมาเพื่อสร้างคติและความคิดว่า การข่มขืน น่ารังเกียจ ผู้หญิงบนโลกนี้ทุกคนไม่มีใครสมควรถูกข่มขืน
หรือกระทั่งพระเอก ด้วยเช่นกัน เรารู้ว่ามันเป็นจินตนาการ แต่ว่าถูกข่มขืน มันจะมีความสุขจริงๆ เหรอ?
ความคิดเราอาจงง เรียบเรียงแบบงงๆ ขอโทษด้วยค่ะ แต่หวังว่าเจตนาหรือความคิดของเราอาจส่งถึงนักเขียนบางคน อย่างน้อยๆ สักคนก็ยังดี
>>448 เคยเห็นฝรั่งคำสารบัญไว้ แต่ open มั้ยมึงต้องไปคุ้ยเอาเอง
https://fanlore.org/wiki/Alternate_Universe
เว็บเขียนนิยายเว็บไหนที่มีนักอ่านดีๆบ้างวะ
>>458 ขอด่าแบบไม่ไว้หน้านิด ข้อผิดพลาดแบบนี้แม่งไม่ควรปรากฏในห้องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมู้นี้ ของ >>450 ถ้าบอกว่าไม่ใช่คนเขียนแต่เป็นแค่ข้อเสนอจากฝั่งคนอ่านยังพอจะเข้าใจได้ แต่ >>456 นี่แบบ อหหหหหหหหหห มึงกล้าเรียกตัวเองว่านักเขียนนนนนนนน
และใช่ >>458 ถ้ามึงอยู่ฝั่งคน(อยาก)เขียน กูขอด่ามึงด้วย วิธีการใช้ไม้ยมกอาจารย์ก็สอนตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว มึงควรจะจำได้ถ้ามึงอยากเป็นคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้คนอื่นผ่านตัวอักษร
ทำไมกูต้องเข้ามาเจออะไรแบบนี้ด้วย เอาหนังสือเขียนภาษาไทยหน่อยไหม กูเกลียดจริงๆ แบบนี้ ผิดไม่ว่า แต่เสือกไม่รับรู้ เดี๋ยวปาใส่ให้เลย
มึงคาดหวังอะไรกับการด่า อยากให้คนเขาตอบดีด้วยคนบอกก็ต้องบอกสุภาพหน่อย กูก็เกลียดพวกด่าคนอื่นแต่อยากได้รับความเคารพอยากให้เขาน้อมรับ ถ้าไม่ไปกระแนะกระแหนความไม่รู้เขา ไม่เหยียบให้เขาดูต่ำแต่เปลี่ยนเป็นคุยกันให้ดีหน่อยทำไมเขาจะไม่รับรู้ อันนี้ไม่ต่างอะไรกับการอาศัยความผิดพลาดเพื่อไปด่าเขา
แบบนั้นกูก็ทำได้ >>461 ทำไมมึงเขียนว่ามู้วะ มึงเป็นนักเขียนไหมทำไมจงใจเขียนผิด แล้ว อหหหหหหหหหหห นี่คืออะไร ตัวย่อนี้กูไม่เคยพบเคยเห็น มึงเรียนภาษาไทยมาบ้างหรือเปล่า นักเขียนที่ไหนเขียนนักเขียนนนนนนนนกันวะ มึงจะซ้ำตัวสะกดอะไรขนาดนี้ใครสอนมึงมา แบบนี้มึงคิดว่ามันจะโกรธแล้วหาคำแก้ตัวพร้อมด่ากลับหรือจะน้อมรับโดยดี โดยปกติแล้วก็ควรจะโกรธไหม
แนวดราม่ากับ แนวชีวิตนี้มันแนวเดียวกันไม่ใช่หรอหรือยังไงวะ กูเข้าใจอะไรพลาดไป
ไร้สาระทั้งคนบ่น คนด่านั่นแหละ น่ารำคาญ
นักเขียนแบบพวกมึงนี่จบๆ ไปเหอะ แอ๊บแอร๋เวลาคุยกับแฟนคลับนิยาย ในโม่งนี่ปากแทบเฉาะแป้นพิมพ์
จะให้ปากเฉาะแป้นพิมพ์ตอนคุยกับคนอ่าน ชื่อกูคงหราในฮอลออฟเฟมโม่งดิ
แล้วไงวะ มันก็เหมือนมึงพูดสวัสดีค่ะกับหัวหน้า พูดไอเหี้ยกับเพื่อนอะ
โชสันดานไห้เต้มที่ ระวังหย่าหลุดไห้คนอ่านเหน ตอแลให้เต้มที่ สังคมนักเขียนเจรินแหน่ๆ 👍
อย่าว่างั้นงี้เลย บางทีกูก็เจอนักอ่านเหี้ยๆ กูก็อยากจะเหี้ยตอบ แต่ก็จะมีพวกนักอ่านที่ไม่สนหีสนแตดสักแต่จะด่านักเขียน เพราะชูคอว่านักอ่านคือพระเจ้า เป็นผู้ให้เงิน กูงี้อยากจะอ้วก แต่กูก็ต้องแอ๊บตอแหลใส่ กูงี้โคตรอึดอัดอีเหี้ย 555555
อุ้ย ถ้ามึงไม่ใช่นักอ่านเหี้ยๆก็ไม่ต้องมาดิ้นนะ กูจะเฉาะให้
เรื่องเกิดจากว่าเขียนสนิงนี้ดตัวเอง ชอบผู้ชายไทป์นี้ ผู้หญิงไทป์นี้ เลยกลายเป็นเปิดโหมดออโตไพล็อตว่ะ คาร์แทบโขลกออกจากพิมพ์เดียวกัน ต่างแค่เซ็ตติ้งกับคอนฟลิกต์ โฮ orz
>>478 ถ้าคนอ่านวิจารณ์ ติชม แนะนำ พูดคุยรีวิวอย่างมีอารยะ กูเป็นคนเขียนก็ดีใจมากๆ ถือเป็นบุญเลยล่ะ แต่ถ้าเหี้ยมา ประเภทด่ากราดใช้คำหยาบๆแล้วบอกว่าวิจารณ์งาน มันไม่ใช่อ่ะกิ๊บ มันคือการหยาบคายใส่คนอื่นเพื่อระบายอารมณ์ และพวกที่กูเกลียดที่สุดคือพวกที่อ่านในเว็บ พอกูหยุดอัพเพื่อขายงาน คนพวกนี้ก็จะโวยวายด่ากู ด่าเหมือนกูไปหยิกหัวนมแม่มัน แล้วมีการเม้นเยาะเย้ยว่าอยากอ่านนะแต่ไม่ซื้อหรอก งานกูไม่สนุกพอ กูก็งงดิ ทีตอนกูอัพให้อ่าน แม่งโผล่มาเม้นอวยรอเปย์งั้นงี้ นักอ่านแบบนี้จะให้กูรับมือไงดี กูอยากด่ากราดแต่ก็อย่างที่มึงบอกไง อาชีพกูต้องเขียนแลกเงิน กูยอมรับ กูก็อยากจะเป็นคนดีทั้งกายวาจาใจ แต่โลกบังคับให้กูร้าย กูจะเอาชีวิตนักเขียนกูมาเปิดอัลติด่านักอ่านเหี้ยๆไม่กี่คนมันก็ไม่คุ้มค่าที่จะวอร์ กูถึงต้องตอแหลใส่หน้ากากตอบไปเยี่ยงนางงาม ว่าค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็น จะเก็บไปปรับปรุงค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
อีห่า กูเก็บกด แม่งจะเป็นไบโพล่า
ถ้าใครเป็นนักอ่านดีๆ กูก็กราบขอบพระคุณ จริงใจคุยด้วยอยู่แล้วล่ะ
โอ้โห นี่มุมมืดของพวกมึงช้ะ กูทึ่ง เพราะกูไม่ค่อยจะมีโมเมนต์แบบนั้น จะเอามาเก็บกดกันทำไมวะ แทนที่จะปล่อยๆ ไป 55555
อยากเขียนนิยาย มีพล็อต มีทุกอย่างยกเว้นแรงฮึดอยากเขียน อิสัส จดพล็อตไว้เป็นร้อยแต่เขียนจบจริงจังไม่เกิน 50% เวนเน้ยยยย
ฟังเพลงก็แล้ว อ่านงานคนอื่นก็แล้ว แต่ก็เขียนแล้วตันอยู่ดีทั้งๆที่ใจอยากเขียน ภาพมโนในหัวมาเป็นฉากๆ กูเป็นอัลไลของกูว้อยยยยย
กูแย่กว่าพวกมึง
อยากเขียน มีพล็อตแค่คร่าวๆ แค่ตอนต้นกับจบ ไม่มีตรงกลาง และคิดไม่ออกด้วย ทำไงดี
>>486-487 กู 485 เอง ทุกวันนี้กูได้แต่เขียนไปเรื่อย ๆ วันละ2-3บรรทัดอะ จริง ๆ ถ้าเขียนได้เกินสามย่อหน้าใหญ่ ๆ ละกูจะเขียนได้ยาวจนกว่ากูจะเผลอสลบคาคอมเลยเว้ย แต่ตอนนี้มันไม่มีไฟเลยซักนิดอะ ฮือ แล้วพรุ่งนี้จะฝึกงานละไง ตั้งใจจะใช้วันหยุดเขียนนิยายให้เต็มที่ก็ดันไม่มีอารมณ์ เขียนไม่ออกเฉย บ้าบอเจรงงงง
ตอนนี้สำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ไหนยังรับต้นฉบับนิยายที่ไม่ใช่นิยายรักอยู่บ้าง
จะบอกว่าเป็นนิยายแฟนตาซีก็ไม่ถนัดปาก บอกว่าเป็นนิยายแนวผจญภัยกึ่งแฟนตาซีก็แล้วกัน (ประมาณเพชรพระอุมา แต่ไม่ได้เข้าป่า ไม่ได้ล่าสัตว์ และไม่ใช่โลกปัจจุบัน) เท่าที่รู้คือตอนนี้นานมีไม่รับต้นฉบับ อมรินทร์ก็ไม่รับต้นฉบับ (แต่อรุณรับ) ส่วนสยามอินเตอร์ก็เหมือนจะไม่รับต้นฉบับอีก หรือกูควรจะหน้าด้านส่งไปรษณีย์ไปวะ รับไม่รับก็ช่าง
เขียนลง ฟชlog นี่มันโอเคปะวะ
ไอ้เราก็นึกว่าการที่มีเว็บให้ลงนิยายมันจะทำให้มีนิยายระดับซีไรต์ผุดขึ้นเยอะ ก่อนหน้านั้นกูวาดภาพนักเขียนต้องร่างโครงเรื่อง หาข้อมูล เขียนให้จบ ทิ้งไว้สักพักแล้วแก้ไข ตรวจทานสองสามรอบ แล้วค่อยปล่อยลงเว็บอาทิตย์ละตอน แต่ตอนนี้กูรู้ซึ้งแล้วสัส
หลังจากตูไปอยู่บนดินมานานกูทนเสแสร้งไม่ไหวละกลับมาใต้ดินดีกว่า
เพื่อนโม่งมีวิธีจัดการตัวเองเวลามีพล็อตงอก อยากเขียนทุกเรื่องที่เปิดไว้ ไปๆ มาๆ ไม่เขยื้อนซักเรื่องยังไงวะ เซ็งตัวเอง อยากเขียนไปหมดดด
กูมีปัญหาดเรื่องได้เป็นช่วงๆ แต่ละช่วงสั้นๆแต่ต่อกันไม่ติดอะ ทำไงดี
สอบถามนิดนึง กูอยากเขียนแนวตัวเอกฉลาดๆ เลยอยากอ่านนิยายแนวที่ตัวเอกฉลาดๆ หน่อย อยากได้ฉลาดแนวๆ ยางามิ ไลท์ ไม่ก็ L จาก Death note ที่ไม่ต้องโม้ว่าไอคิว 300 ก็รู้ว่าฉลาดจากการกระทำอ่ะ 555 มีใครมีเล่มไหนแนะนำไหม จะไทยจะอิ๊งค์ก็ได้
นิยายดราม่าสะท้อนสังคม จำเป็นจะต้องบรรยายฉากตัวละครไปตีกะหรี่แบบละเอียดเลยปะ น้ำกามพุ่งงง
อยากแต่งนิยายรักไทยพีเรียด มึงว่าเอายุคไหนดี ถึงจะละมุนละไม //วายนะ
>>518 กูแนะให้อ่านนายใน เป็นข้อมูล ไปเขียนนิยายต่อ ไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้จะให้ความละมุนละไม ยุคนี้มันมีสมาคมสุภาพบุรุษที่เหล่าชายหนุ่มไปชุมนุมกัน แถมเป็นพ่อค้าเริ่มสร้างฐานะ เพราะเป็นยุคที่ ร.6 ท่านเปิดโอกาสทางการค้าใหม่ๆให้สามัญชนมากขึ้น มีเรื่องการข้ามคลาสได้อีก
เรื่องนายในเนี่ย ถึงจะฟังแล้วมีน้ำหนักอยู่มาก แต่กูเกลียดแนวการเขียนของผู้เขียนคนนี้ ตรงที่แม่งพยายามบอกเป็นนัยๆ ว่า ไม่ได้พูดนะว่า x เป็นเกย์ ให้ลองไปตีความจากหลักฐานเองดู แต่แม่งตั้งชื่อหนังสือว่า "นายใน" ถถถ แบบนี้ยังกล้าเรียกว่าไม่ได้พูดอีกนะ
ตอนนี้กูมีโครงการจะพิมเล่มขาย แฟนมีพอสมควร (มาจากอ่านฟรีทั้งนั้น)
กูว่าจะลงนิยายให้จนจบ รอซักอาทิตย์ แล้วลบ พิมพ์เล่มขายต่อ
แบบนี้มันพอจะไหวไหมวะ คือกูไม่อยากทิ้งคนอ่านที่มันไม่ซื้อหนังสืออะ
กูคิดพล็อตไว้คร่าวๆ ในหัวกูนี่มีแต่ฉากที่กูชอบ สนุกในหัวกู แต่ตอนแต่งจริงกูติดปัญหาคือกูจะเขียนสถานการณ์เพื่อเกริ่นให้มันดำเนินไปถึงฉากที่กูต้องการนั่นยังไงให้มันไม่น่าเบื่อ ให้มันเข้ากันวะ พอดันทุรังไปเรื่อยๆแต่งไปๆฉากนั้นที่กูว่ามันก็รู้สึกอารมณ์สนุกมันหายไปแล้วอ่ะ
กูไม่ขอสารยายปัญหา เพราะพวกมึงพูดถึงปัญหาของกูไปหมดแล้ว ตรงกับกูทั้งนั้น เป็นโมเม้นที่บัดซบมาก กร้ากกกกก
มีทุกอย่างในหัวแล้วแม่งก็ยังแต่งต่อไม่ได้เลย อารมณ์แบบมี 1 2 3 แล้วเขียน 1.1-1.9 เพื่อให้ 1 มันไปถึง 2 ไม่ได้
บางทีมีลัดข้ามไป 3 ก่อนเพราะ 1.1-1.9 เขียนไม่ออกสักทีด้วย
คิดนิยายไม่ออก ไม่มีอารมณ์ร่วมเลย
กูมีอีกวิธี คือมึงไปสัญญากับแฟนคลับมึงไว้ อันนี้ร่างของมึง จะบังคับนิ้วให้พิมพ์ได้คล่องเอง 5555
กูรู้สึกแต่งๆไปแล้ว อ่านเองแล้ว ทำไมมันน่าเบื่อชิบหายแต่ก็ดันทุรังแต่งต่อไป
กว่าจะแต่งไปถึงฉากที่กูชอบมันก็หมดอารมณ์แล้ว 5555
รู้สึกนับถือพวกมืออาชีพขึ้นมาเลย หรือไม่ก็แต่งลงอัพทุกวันงี้ ต้องจินตนาการดีขนาดไหนวะ
ถ้ากูเจอฉากที่ชอบ กูเขียนก่อนเลย แบบก่อนจะมู้ดจะหาย แล้วค่อยมาหาทางทำให้มันไปอยู่ในเรื่องทีหลัง เช่น วันนี้กูอยากเขียนฉากจูบ มึงจูบกันเลยอีตัวละคร จูบกันเดี๋ยวนี้ แล้วกูเก็บไว้ พอถึงจังหวะพอพลอตไปพอที่ถึงฉากที่เขียนไว้แล้วก็ค่อยมาใส่งี้
รู้สึกเหมือนหยุดอยู่นิ่งกับจุดเดิมมานานมากๆ งานเขียนกูไม่มีความพัฒนาเลย พอย้อนกลับไปอ่านก็ยังรู้สึกถึงเค้าโครงเดิมๆอะไรเดิมๆ เป็นงานที่เด็กน้อยมากอะ กูอยากพัฒนาไปมากกว่านี้ อยากจะออกจากกรอบเดิมๆ อยากเขียนงานที่ลึกกว่านี้ กูควรเริ่มต้นไงดี?
บางครั้งเวลาอ่านงานคนอื่นแล้วรู้สึกว่ามันมีความรู้แฝงอยู่ มีแนวคิดที่เจ๋ง แนวคิดที่ทำให้คนอ่านรู้สึกตกผลึกกับอะไรบางอย่าง แล้วก็อยากทำให้ได้แบบนั้นบ้าง ในขณะที่งานกูมีแต่อะไรก็ไม่รู้ คนอ่านก็ชอบหรอก แต่คนเขียนคือรู้สึกตลอดว่ามันไม่เคยออกจากสไตล์เดิมๆเลย แล้วช่วงนี้กูมีปัญหาด้านการเขียนด้วย กูเขียนอะไรไม่ออกซักอย่าง พอจะเขียนที ถ้อยคำในหัวมันก็เหมือนกระจายๆอะมึง รวมเป็นพารากราฟไม่ได้เลย เขียนบ่นเขียนอะไรน่ะได้นะ แต่พอขึ้นต้นว่าเขียนนิยายปุ๊บ มันก็ทำไม่ได้เลย กูลองมาหลายวิธีแล้ว ทั้งลองเขียนเป็นภาษาอื่น ลองใช้ปากกาเขียน แต่ก็ยังแก้ไม่ได้ซักที มันเครียดอะ กดดันด้วย เฮ้อ
>>537 จะเขียนให้เกิดแนวคิดเชิงลึก ต้องอ่านให้เยอะขึ้น อ่านแนวอื่นๆ ที่ไม่ใช่นิยายด้วย ต้องดูฟังให้กว้างขึ้น ต้องคิด ต้องมองรอบตัวมองสังคมแล้วเห็นปัญหาที่จะเสนอ พวกนี้มันมาจากประสบการณ์และการตกตะกอนความคิดของคนนั้น บางคนอายุน้อยแต่เจอดราม่าชีวิตเยอะก็จะเห็นมุมมองที่มากกว่าคนที่ชีวิตเรียบๆ สบายๆ และถึงจะอ่านเยอะแค่ไหนแต่ถ้าคิดจากตัวเองไม่ได้มันจะเป็นแค่ก็อปความคิดนักเขียนคนอื่นมารวมๆ ใส่งานตัวเอง มันผิวเผินไม่ช้ามันก็ตัน
>>538 กูแนะนำว่าให้มึงสร้างตัวเองก่อนที่จะสร้างนิยาย เขียนสิ่งที่เป็นตัวมึง สิ่งที่มึงคิด สิ่งที่มึงจินตนาการ มึงจะทำได้ดี มึงแต่งนิยายจากสายตาของมึงนั่นแหละว่ามองโลกยังไง ถ้ามึงเป็นคนง่ายๆ สดใส ตลก ก็ไม่ต้องไปพยายามดาร์คหรือดีปตามคนอื่น แม้มึงจะไม่ดีป ไม่ซีเรียส นิยายของมึงก็มีข้อคิดดีๆได้เหมือนกัน เอาจริงๆ นิยายที่ดีไม่ต้องเป็นนิยายที่ดูฉลาด ดูเป็นนิยายดราม่า นิยายรางวัล สำบัดสำนวนคมกริบ หรือนิยายที่มีข้อความวิชาการเป็นหน้าๆ เชิงอรรถยาวเหยียด นิยายที่ดีคือนิยายที่ทำให้คนอ่านอินไปกับมันได้ ทำให้สนุก ทำให้เศร้า ความรู้ที่คนอ่านจะได้จากนิยายของมึงอาจจะไม่ใช่ย่อหน้าบรรยายเรื่องวิชาการหรือคำพูดฉลาดๆ ที่มึงใส่ลงไปโต้งๆ คนอ่านอาจจะเก็บเกี่ยวได้จากเรื่องของมึงโดยที่มึงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คนอ่านที่มีประสบการณ์ต่างกันก็รับรู้ต่างกันไป คนนึงอาจจะแค่รู้สึกว่าสนุก อีกคนอาจจะรู้สึกว่าได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตก็ได้ ถ้ามึงเบื่อสไตล์เดิมๆ ก็เปลี่ยนให้หายเบื่อ แต่ไม่ใช่เปลี่ยนเพราะอยากแต่งได้เหมือนคนอื่น เก็ตกูมั้ย
ถ้ามึงรีบ มึงเลือกมาก่อนว่ามึงอยากเขียนเรื่องอะไร มึงอยากสื่ออะไรกับคนอ่าน เลือกมาสักอย่างก่อน แล้วค่อยไปหาข้อมูลว่ามีประเด็นอะไรให้มึงเขียน ถ้าเป็นเรื่องที่มึงไม่มีความรู้เลยก็ไปรีเสิร์ช ไปหาว่ามีประเด็นไหนเอามาแต่งได้น่าสนใจ แต่ถ้าไม่รีบและไม่มีไอเดีย มึงเริ่มจากอ่านเยอะๆ ดูหนังก็ได้ ไม่ต้องรีบเปิดเวิร์ดขึ้นมาเขียน ถ้ามึงไม่ได้เขียนนิยายเป็นอาชีพหลัก มึงมีเวลาในการหาไอเดียมากมาย มึงก็เอาเวลานั้นไปหาซะ มึงเอาแต่นั่งคิดมึงก็คิดได้แต่สิ่งที่มึงรู้อยู่แล้ว แต่บางทีสิ่งที่มึงรู้อยู่แล้วก็เอามาเป็นพล็อตได้นะ
กู >>537 นะ กูไม่ได้เขียนเป็นอาชีพหรอก แต่ก็เขียนมานานมากๆแล้ว พอย้อนกลับไปอ่านงานเดิมๆแล้วมาอ่านงานใหม่ๆยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่าง ในขณะที่เพื่อนนักเขียนคนอื่นๆของกูไปไกลแล้วมันเลยเกิดกดดันขึ้นมาอะ
ขอบคุณทุกๆโม่งที่ตอบกูนะ
>>540 อ่านอยู่เรื่อยๆเหมือนกัน
>>541 กูรู้สึกแบบนั้นอะ กูรู้สึกว่าความคิดของกูยังเด็กอยู่ เมื่อเทียบกับอายุแล้ว มุมมองชีวิตกูก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากใครเลย ก็แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เวลาอ่านอะไร กูก็ไม่ค่อยย่อย ไม่ค่อยคิดตาม กูจะชอบปล่อยตัวเองให้อ่านใจความที่คนเขียนสื่อมากกว่า จนบางทีก็เริ่มรู้สึกว่ากูไม่ค่อยมีจุดยืนเลย
>>542 แต๊งนะมึง เขียนตั้งยาวแน่ะ กูจะค่อยๆปล่อยตัวเองนะ ช่วงนี้กูเครียดที่งานมันไม่เคยออกจากกรอบเดิม เลยอยากหาวิธีออกจากกรอบอะ อยากเขียนอะไรใหม่ๆดูบ้าง จริงๆจะว่าฝืนมันก็ฝืนอยู่เพราะเป็นเรื่องที่กูไม่เคยแตะเลย แต่ก็ว่าจะลองดู
ช่วงนี้กูดูหนังเยอะอยู่ อยากดูอะไรหลายๆแบบ เผื่อจะมองเห็นมุมมองใหม่ๆบ้าง
พวกมึงเคยมีโมเม้นท์แบบนี้มั้ยวะ แบบ พวกมึงแต่งนิยายมา ตอนที่พวกมึงคิดว่าเฮ้ย ทำไมตอนนี้กูแต่งได้สนุกดีวะ แล้วก็อัพลงพร้อมความคาดหวัง แต่ปรากฏว่ากริบ...
กลับกัน พอแต่งตอนต่อมากูใช้เวลานานมากกกเพราะมันตัน บทบรรยายสำหรับกูที่แต่งตอนนั้นก็ดูติดๆขัดๆไปหมด พอเอาไปอ่านเทียบกับตอนก่อนๆที่กูว่าดีอันล่าสุดนี่แม่งแย่ไปเลย แต่สุดท้ายพอกูอัพลงปุ๊ป โห ฟีดแบ็คแม่งดีชิบหายดีกว่าตอนที่กูว่าสนุกอีก กูดีใจนะแต่แบบโฮรรรรร
เวลาตั้งใจอะ เชื่อเหอะ มันต้องเขียนคำฟุ่มเฟือยใส่มาเยอะแน่ๆ ... แต่ถ้ามึงตันขึ้นมา มึงจะเขียนแบบใช้คำทั่วไปทันที (แต่มึวจะมองว่าแข็งทื่ออ่านะ) นี่อาจเป็นเหตุผล ที่ตอนมึงเขียนแบบตันๆ กระแสดีกว่าตอนตั้งใจ //ไม่มีไรหรอก กูพิมพ์เข้าตัวเองอยู่ กระซิกๆ Y_Y
ตอนกูเป็นคนอ่านบางทียังขี้เกียจอ่านอะไรเยอะๆยาวๆเวิ่นเว้อเลย ตอนเป็นคนเขียนกูก็เลยไม่บรรยายเยอะ ใช้ภาษาสวยแต่กระชับ ซึ่งจริงๆแล้วกูก็แค่ขี้เกียจว่ะ
กูเขียนนิยายเรื่องแรก ถูกด่าเรื่องใช้คำง่ายๆมาบรรยาย แล้วยังบอกให้กูไปหางานชั้นครูมาอ่านด้วย เผื่อฝีมือจะพัฒนา กูเกือบไปไม่เป็น นี่ยังดีที่มีคนอ่านมาให้กำลังใจว่าชอบที่ใช้สำนวนภาษาธรรมดา กูถึงรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง แต่คำติมันก็ยังฝังอยู่ในหัวกูอยู่เลยว่ะ
>>550 โอ๋นะมึง อย่าเพิ่งเสียกำลังใจนะ จริงๆ ใช้คำหรูก็ไม่ได้ดีเสมอไปหรอก พวกใช้ศัพท์ยากแล้วเขียนวกวนก็เยอะแยะ คนอ่านบางคนก็พยายามจะโชว์เหนือ เลยต้องอวยสไตล์การเขียนแบบนั้นว่าดูดีไว้ก่อน
จะใช้คำแบบไหนกูว่าขึ้นอยู่กับโทนเรื่องอะ ไม่ต้องเลือกคำสวยอลังการมาก แต่พยายามใช้คำให้หลากหลายหน่อย อย่าใช้คำซ้ำๆ เวลาเขียนบรรยายให้เห็นภาพ อ่านเข้าใจก็พอแล้ว
ส่วนตัวกูชอบอ่านประโยคกระชับ,คำง่ายที่คมคายไม่เวิ่นเว้อ
แต่กูจะเทด่วนมาก ไม่ว่าจะคำหรูหรา หรือ คำสามัญชน เมื่อใช้ซ้ำๆซากๆเหมือนคนเขียนไม่มีคำอื่นๆในหัวเพื่อสื่อความหมายนั้นๆ
ดังนั้นกูว่า มึงเขียนแบบที่ถนัดไหลลื่น แล้วค่อยมาตรวจแก้เกลามันอีกที คำไหนมึงใช้บ่อยก็ระวัง กูว่าทุกคนรู้แหละ ว่าตัวเองเผลอติดคำไหนบ้าง
กูติดคำฟุ่มเฟือย แถมพอจะแก้ เอาออกไม่ลงจริงๆ อะ มันอยู่ในสายเลือด เพราะแบบนนี้ ถึงโดนคนอ่านด่าใส่ว่านิยายน่าเบื่อ คือกูบรรยายจนมันได้หลายบรรทัด 555555
ตอนนี้กูกำลังอยู่ในช่วงขี้เกียจเพราะไม่ตันไม่รู้จะไปต่อยังไง ทิ้งร้างมาหลายวันแล้ว อ่านเม้นท์เป็นกำลังใจก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรกูเท่าไหร่ จะทำไงให้ไฟมันลุกโชนอีกครั้งวะ //นอนอืด
ky ขอคำจำกัดความความแตกต่างของ sequel กับ spin-off หน่อยเพื่อนโม่ง
ในความเข้าใจกูตอนนี้คือ sequel มันจะเป็นเหตุการณ์ของตลค.อื่นแยกออกมาจากเรื่องหลักแต่อยู่ในไทม์ไลน์เดียวกัน
ส่วน spin-off เป็นเรื่องในอดีต/ภูมิหลัง/ที่มาของตลค.อื่น
พอดีกูเขียน short fiction ไว้หลายปีก่อน ละตอนนี้กำลังเขียนเรื่องที่งอกออกมาจากเรื่องนั้นอีกทีเลยไม่แน่ใจว่าควรใส่จั่วหัวว่าอะไรดี
ky ขอคำจำกัดความความแตกต่างของ sequel กับ spin-off หน่อยเพื่อนโม่ง
Sequel มันคือfollow up เรื่องราวหลังจากนั้น ไทม์ไลน์คือต้องเกิดหลังเรื่องหลัก(Prequel) อาจเป็นคู่พระรอง รุ่นลูก ฯลฯ แต่เรื่องจะเกิดหลังเรื่องหลัก มีตัวละครและธีมเดิม เป็นภาคสองอะเอาง่าย ๆ
Spin-off ก็คือเรื่องแยก การดำเนินเรื่องอาจจะเริ่มไปขนานกับภาคหลักหรือยังไงก็ได้แต่ตัวหลักคือตัวประกอบ(พระรอง คนใข้ ฯลฯ ) ย้ำ ! ต้องไม่ใช่ตัวละครหลัก
อย่าง หนังโซโล คือสปินออฟ (ลุคคือตัวหลัก) กูยกวายที่กูอ่าน
Pendulum: Jujin Omegaverse คือเรื่องหลักแต่คู่น้องชายขายดีเกินเลยออก Spinoffชื่อremnant และด้วยความฮิตก็ออก spin-offของspin-off ชื่อPetit Mignon ที่เกี่ยวกับลูกของน้องชาย สาเหตุที่ไม่ใช่Sequel ก็เพราะรุ่นลูกไม่ได้ follow up รุ่นพ่อ ( พ่อแม่ยังตีกันอยู่เลย ) และคู่น้องชายก็ดำเนินเรื่องคู่ขนานกับเรื่องหลัก
กู558 ให้ง่ายกว่านั้นsequel คือปัจฉิมบท prequel ปฐมบท spin-off ตอนพิเศษ/เรื่องแยก
เวงาอ่านนิยายที่บทสุดท้ายจะมีสรุปชีวิตตัวละครในอนาคต เหมือนแฮร์รี่บท 19ปีต่อมากับ ฉากจบ Voltron ที่เพิ่งฉายไป (เรือกูวววววว)
กูมีปัญหา คือบางทีกูก็มีไฟที่จะแต่งต่อนะ แต่บางทีก็เบื่อๆอะ
>>557 เจอจากนี่ด้วย ความแตกต่างระหว่าง Prequel - Side Story - Spin-off
https://fanboi.ch/subculture/2889/800-804/
Prequel - เรื่องก่อนเกิดเนื้อเรื่องหลัก
Side Story - เรื่องเสริมจากเนื้อเรื่องหลักซึ่งจะโยงไปที่เนื้อเรื่องหลักก็ได้หรือไม่โยงก็ได้
Spin-off - เรื่องที่เกิดในโลกเดียวกับเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งจะมีตัวละครหลักมาอ้างอิงถึงแต่ไม่ใช่ตัวนำแสดง
ตัวอย่างเช่น เรื่องหลัก A ออกเดินทางปราบจอมมาร
Prequel - เล่าถึงพ่อแม่ A เป็นใคร, หรือ A ไปทำอะไรมาก่อนออกเดินทาง
Side Story - A หยุดเลี้ยงมังกรที่เมืองหนึ่ง ซึ่งมังกรตัวนั้นจะมาช่วยปราบจอมมารก็ได้หรือเลี้ยงแล้วจบก็ได้
Spin-off - เล่าถึง ก ที่อยู่โลกเดียวกับ A โดยที่อาจจะรู้จัก, เคยได้ยินชื่อ A ก็ได้ หรือไม่รู้จัก, ไม่เคยได้ยินชื่อเลยก็ได้ เช่น A เคยเดินทางผ่านหมู่บ้าน ก A ทิ้งดาบไว้ให้เป็นตำนานแล้วเดินทางจากไปโดยไม่กลับมาอีก ก เอาดาบนั้นเดินทางไปปราบจอมมารต่อ โดยที่ ก กับ A จะไม่มาเดินทางร่วมกัน
>>562 กู 557 ขอบคุณมากมึง ช่วยได้เยอะเลย
ตอนนี้มีปัญหาอีกเรื่องคือเขียน one-shot อีกเรื่องละดันไม่ได้คิดพล็อตรวมคร่าวๆทั้งหมดไว้ ตอนนี้เลยปวดกบาลกับพาร์ทนึงในเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะให้ดำเนินเรื่องไปยังไงดี เวรเอ๊ย 5555555555555555 คือติดอยู่ตรงนี้จุดเดียวเลย ถ้าเขียนผ่านไปได้คือจบแล้ว บ้าบอจริงงงงงงง แง
ปรึกษาหน่อยนะ คือกำลังแต่งนิยายเรื่องนึกแนวๆย้อนเวลาทั่วไปอะ มีแกนเรื่องอิงจากประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าในอดีต เป็นเรื่องของฝั่งตะวันตก ตอนแต่งช่วงแรกใช้หนังสืออ้างอิงอยู่4เล่ม กับสารคดี1เรื่อง ซึ่งคนเขียนหนังสือกับคนทำสารคดีเป็นคนชนชาติเดียวกันกับฝ่ายที่ชนะในเหตุการณ์ที่เรายกขึ้นมาแต่ง จนเมื่อสองสามเดือนก่อนได้หนังสือมา1เล่ม เนื้อเรื่องในหนังสือเล่าถึงเหตุการณ์เดียวกัน แต่คนเขียนเป็นชนชาติเดียวกับฝ่ายแพ้ มันเลยได้มุมมองที่แปลกออกไป
ทีนี้เลยกำลังสับสนว่าควรจะเอามุมมองของอีกฝั่งมาใส่ลงในนิยายด้วยดีไหม มุมมองนี้น่าสนใจมากด้วยนี่สิ แต่อีกใจก็กลัวว่าจะกระทบกับเนื้อเรื่องเดิม
ควรเอามาใส่ดีไหมอะ
กูอยากได้ข้อมูลเพลย์ BDSM ไปเขียนนิยายจัง แบบที่ไม่ถึงขั้นเรื่องเพศอะ แบบเล่นกันเบาๆไม่รุนแรงมากอะ พอลองหาดูแล้วมันข้ามไปแรงๆเลย หรืออย่างน้อยก็อยากหาวิธีเล่น BDSM แบบปลอดภัยอะ ไม่รู้จะไปหาที่ไหน
อาชีพนักเขียนในไทยนี้รุ่งริ่งหรือรุ่งเรืองวะ
ทุกวันนี้การแข่งขันสูงนะ นิยายอะ แต่ทำไมรู้สึกคุณภาพสวนทาง
กูเคยแต่งิยายล่าสุดสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้อยากกลับมาแต่งอีกครั้ง มันว่างๆไม่มีอะไรทำ แม่งยากไปหมดเลยว่ะ โดยเฉพาะคิดชื่อเรื่องเนี่ย แม่งคิดคำที่สัมพันกับชื่อเรื่องแบบไม่น้ำเน่าไม่ออกสักทีถถถถ
จะพิมหนังสือเองนี่มีขั้นตอนไรบ้างอะ
ตอนนี้กูมี ต้นฉบับ 150 กว่าหน้า (ไม่ใช่แนวตลาด)
อยากทราบขั้นตอนคร่าว ๆ
>>575 จะขายที่ไหน ถ้าขายเองออนไลน์ก็ง่ายๆอะไม่มีขั้นตอนไรมาก
พิสูจน์อักษร จัดหน้า แล้วก็รวบเป็นไฟล์เดียว
ทำปก
ส่งให้โรงพิมพ์ จ่ายเงิน
รอรับอยู่บ้าน
ส่งให้คนซื้อ
แค่เนี่ยแหละ แต่ถ้าจะวางร้านก็อีกเรื่อง ยุ่งยากกว่าทัังจำนวนพิมพ์ก็ต้องมากพอประมาณนึง แถมถ้าเราจะพิมพ์เองหมดเลย เราต้องไปส่งที่ร้านเองด้วยนะ (ขอสงวนชื่อร้านนะอันนี้ กุเคยถามร้านหนังสือเฟรนไชน์นึงเมื่อนานมาแล้วนะ)
มึง เคยมั้ยที่นิยายสักเรื่องของมึงปังมาก พอมึงจะเขียนเรื่องต่อมาเลยทั้งกดดันทั้งคาดหวังกับตัวเอง แล้วแม่งมันไม่ปังแบบที่คิดไว้อะ ค่อนข้างจืดจางด้วยซ้ำ ตอนนี้กูทั้งท้อแล้วก็นอยด์มาก ๆ ใจกูเฟลจนไม่รู้จะฉุดตัวเองยังไง มีวิธีแก้หรือมีวิธีคิดอะไรจะช่วยชี้แนะกูหน่อยมั้ย ขอบคุณมาก ๆ
พวกมึง อยากรู้อะ อย่าหาว่าทะลึ่งนะ คนแต่งนิยายอิโรติกอะ เวลาแต่งแล้วมีอารมณ์ปะ หรือว่า ไม่มี นี่อยากอยากรู้จริงๆ เพราะคนอ่านอะมันมีอยู่แล้วแหละ เพราะมันอ่านเนื้อเรื่องที่สมบูรณ์ที่ขัดเกลามาแล้ว แต่คนแต่งตอนแต่งมันต้องคิดนู่นี่นั่นไปด้วย ว่าจะใช้ภาษายังไง บรรยายยังไง เลยอยากรู้อะ
>>580 5555555 ตอบในฐานะคนเขียนแนวนี้ละกัน จริงๆกูคิดว่าถ้าเขียนให้สนุก ตัวคนเขียนเองก็ต้องมีอารมณ์ร่วมก่อน แต่ก็นั่นแหละอย่างที่มีงบอกอะ ตอนที่คิดไปเรื่อยเปื่อยอาจจะมี แต่พอเขียนไปเรื่อยๆสักครึ่งทาง กูก็เริ่มเฉยๆละนะ มันต้องคิดหลายอย่าง ตัวละครอยู่ที่ไหน ท่าอะไร มืออยู่ตรงไหนละ นี่ตัวละครกูเผลอมีสามมือรึเปล่า หรือว่าขาเมื่อกี้อยู่ข้างล่าง นี่มาอยู่ข้างบนได้ไงวะ กุใช้คำซ้ำรอบที่สามแล้วใช่มั้ย เสียงครางน่ารำคาญมากต้องตัดออก เยอะอะ ไปๆมาๆ ก็หมดมู้ดไปเอง 555555
ยิ่งพอเขียนมาหลายๆเล่ม คือหลังๆพิมพ์ไปแบบไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากเมื่อไหร่จะจบสักที กูจะจบแล้วใช่มั้ย พิมพ์ไปง่วงไป
เวลาพวกมึงขายเองไม่ผ่านสำนักพิมพ์ พวกมึงได้รายได้จากส่วนไหนเยอะกว่ากันวะ ทำมือ e-book หรือขายเป็นตอนๆในเว็บ
>>579 กูเคยเป็นเด้อ ออกตัวก่อนว่ากูเป็นนักเขียนที่ไม่ได้ดีมากนัก กูจะไม่ค่อยสนนะเวลาที่คนแบบเมื่อไหร่จะลง เมื่อไหร่มีเรื่องใหม่ กูก็จะบอกนักอ่านไปตรงๆแหละว่า เดี๋ยวรอให้กูคิดออกก่อน ไม่ใช่กูไม่แคร์คนอ่านแต่ว่ากูคิดว่า กูไม่อยากสักแต่แต่งๆไป จริงๆการแต่งนิยาย มันเป็นวรรณกรรม มันเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง มันต้องมีฟิลลิ่งตอนแต่งอะ เพราะกูเคยแต่งแบบเออพล๊อตแบบนี้ก็พอได้ มันไม่ได้แย่นะ แค่มันยังไม่ถูกใจแบบเออ นี่แหละวิธีคลายปมตรงนั้นตรงนี้แบบปิดช่องโหว่ได้ทั้งหมด แต่กูก็รีบๆลงไปเพราะนักอ่านเร่งกู กูสุดท้ายมันออกมาไม่ดีเท่าที่นักอ่านและตัวกูเองคาดหวัง แม่งก็เฟลไปดิ่ หลังจากนั้นกูก็ไม่ปล่อยให้อะไรมากดดันกูได้อีกเลย ถ้ากูไม่ได้พล๊อตที่ดีเนื้อเรื่องที่ดีจนถูกใจแล้วกูจะไม่ลงนิยายเด็ดขาด
บางคนอ่านจะด่าว่านี่มันอาชีพจะมารอฟิลลิ่งอย่างเดียวไม่ได้ กูต้องใช้เงินแดกข้าว เออออ ก็แล้วแต่มึงอะอันนั้น กูรู้อยู่ กูเคยเป็นงี้แหละ แต่มันจะดีกว่ามันถ้าแบบผลงานออกมาแล้วมีคุณภาพทุกครั้ง นักอ่านวางใจว่างานมึงมาละ นักเขียนคนนี้แต่งดียุแล้ว กูจะซื้อแน่นอล เนี่ยชื่อเสียงมันจะติดตัวมึงไปเลยนะว่านามปากกานี้มีคุณภาพ งานมึงจะขายได้ในระยะยาวก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพเป็นหลักด้วยนะจะบอกให้
มันดีกว่ามีชื่อเสียอะ ดูอย่างในโม่งดิ กูยังเคยเห็นแบบ .....หรอ ก็เขียนดีแค่เรื่องเดียวป่าววะ เรื่องแม่ง.... ถ้ากูเป็นนักเขียนคนนั้นแล้วผ่านมาเห็นช้ำใจตายห่าละ
ส่วนวิธีอีกวิธีของกูนะ คือกูแต่งจนจบก่อน จบแล้วมาอ่านตั้งแต่ต้นใหม่แล้วกรองเนื้อเรื่องอีกที ตรงไหนมีช่องโหว่ ไม่สมจริง ขาดความตื่นเต้น ก็ เพิ่ม ลด แก้ไขกันไป แล้วค่อยเอาไปลง มันดีกว่าแต่งไปลงไปเชื่อกู แล้วในช่วงที่มึงลงอะ ก็ลงปกติไม่ต้องแบบเสร็จแล้วนี่หว่าลงรัวๆ ในช่วงนี้มันแค่ลงอะ หัวว่างๆก็คิดพล๊อตใหม่ไปแต่งเรื่องใหม่ไป โดยปกติกว่ากูจะลงจบ ก็แต่งเรื่องใหม่เสร็จพอดี ละก็ทำงี้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเรื่องเก่าลงจบแล้ว เรื่องใหม่กูยังไม่เสร็จ ก็บอกให้นักอ่านให้รอก่อน ติดตามกูไว้ เวลาลงเรื่องใหม่มันจะได้เตือน55555 เนี่ยได้ยอดคนติดตามเพิ่มไปอีก แต่มันก็แล้วแต่คนนะ แต่สำหรับกูมันเวิร์ค
>>580 มีดิ แต่กูเคยแต่งอยู่แค่สองเรื่องนะที่เป็นอิโรติก นอกนั้นเป็นแนวอื่นๆ ก็จะแต่งสลับๆกันไปทุกแนวอะ แล้วแต่พล๊อตที่คิดได้ในช่วงนั้นๆ ช่วงที่แต่งอิโรติกนะ กูวุ่นกะผัวจนนางแทบจะไปนอนห้องนั่งเล่นแทน5555 แต่ย้ำนะกูแต่งไม่บ่อยไง ไม่รู้พวกที่แต่งแต่อีโรติกเป็นหลักอยู่แล้ว เขาจะชินชามั้ย รอคนอื่นมาตอบ
>>586 คือมันแล้วแต่แนวที่มึงเขียนด้วยอะ แนวที่กุเขียนเค้าชอบเก็บเล่มกันอะ ก็แบบทำเล่มสวยๆหน่อย ตั้งราคาประมาณหน้าละบาทบวก ซึ่งจริงๆก็ธรรมดาแหละสำหรับสายทำมือ หาร้านที่ไม่แพงมาก แล้วก็พิมพ์เลย แต่หลังๆคือกูขกส่ง ขกแพค มันดูดพลังงาน อีบุ้คก็เป็นทางเลือกที่โอเคอะ
ส่วนแบบตอน คนที่ขายตอนอย่างเดียวก็มี กูเคยเข้าไปดูของคนที่ได้ที่หนึ่งสองสามเหรียญสูงสุดของธวล มีคนขายแค่ตอนจริงๆ แล้วแบบเค้าก็ได้เงินเยอะชหเลยด้วยอะ ตอนกูจะตัดสินใจตัดเรื่องขายอีบุ้คอย่างเดียวกูก็ลังเลเหมือนกันแหละ
พวกมึง ถ้านิยายมึงไม่ค่อยดัง มึงคิดว่าควรออกนิยายช่วงงานหนังสือไปพร้อมกับนิยายดัง ๆ เรื่องอื่น ๆ ในสนพ. (แบบหวังว่าคนที่มางานหนังสืออาจจะซื้อนิยายมึงติดมือไปด้วย) หรือควรออกหลังงานหนังสือ/ช่วงที่ไม่ใช่งานหนังสือ ก็คือสนพ.ออกนิยายมึงเดี่ยว ๆ ในช่วงเวลานั้นแบบไม่ต้องแข่งกับใครไปเลยดีวะ (แต่คนก็อาจจะมองผ่านไปเลย) กูกำลังลังเล เฮ้อ
มึงว่าแบบไหนดีกว่ากัน งงปะวะ
เพื่อนโม่งมีใครทำนิยายขายบ้าง อยากถามเรื่อง ทุน รายได้และกำไรหน่อย
คือกูมีปัญหาเรื่องสุขภาพเลยจะกลับไปทำงานกงสีที่บ้าน ทำให้น่าจะมีเวลาเยอะขึ้น และทีนี้กูอยากหารายได้เสริมจากงานอดิเรกนี่ล่ะ แต่ก่อนจะเริ่มก็อยากจะรู้ก่อนว่าต้องใช้ทุนเท่าไร รายได้ประมาณการขนาดไหน และคุ้มค่ามั้ยที่จะทำน่ะ
เออ พวกมึง กูขอถามหน่อยได้ไหมวะ อันนี้นอกเรื่อง (หรือในเรื่อง)
คือกูสงสัยเรื่อง เย ทำไมพระเอกนางเอกเยกัน นางเอกมันต้องเจ็บวะ แล้วอิแบบปวดหลัง3วัน3คืนลุกออกจากเตียงไม่ได้อีก
คือแม่งสวนทางกับความเป็นจริงอยู่นะ จากประสบกามส่วนตัวและการสอบถามเพื่อนสนิททั้งชและญหลายคนที่พอคุยเรื่องแบบนี่กันได้
-ครั้งแรก บางคนก็เจ็บ บางคนก็บอกไม่เจ็บแค่รู้สึกแปลกเหมือนมีของปักคา แต่กูถามหลายคนก็บอกครั้งแรกไม่มีเลือดนะ มีโผล่มาคนนึงที่บอกมีเลือด น้อยแบบแทบไม่เห็น (นิยายนี่พระเอกนางเอกเยกันแล้วมึงต้องมีเลือดติดเตียงเสมือนเป็นเมนลืมใส่ผ้าอนามัย)
- พวกเยมาราธอน กูถามแม่งไม่มีใครบอก ปวดหลังปวดเอว3วัน3คืนแบบในนิยายเลยว่ะ มีแต่เยมากๆ แล้วแสบ จนไม่รู้สึกเหี้ยไรเลยเท่านั้น
- ในนิยายนางเอกแม่งโดนเยจนไม่มีแรงต้องพัก ต้องให้อุ้ม พระเอกแม่งแรงดีคึก แข็งแรง ในชีวิตจริงที่กูถาม เห็นญ ส่วนใหญ่ชิว คนตายจริงๆ คือผู้ชายลุกไม่ขึ้นขาสั่น
หรือมันเป็นธรรมเนียมแล้วว่า ถ้าเขียนพระเอกนางเอกได้กัน นางเอกต้องเจ็บ นางเอกต้องมีเลือด นางเอกต้องลุกไม่ขึ้น พระเอกต้องเยแล้วยังแข็งแรงแบบแดกยาม้าเข้าไป
คือบางทีเวลากูเขียนเลิฟซีนนี่กูขัดใจมาก เพราะรู้สึกแม่งปลอม แต่กูก็ต้องเขียนแบบนี้ หรือตัวอย่างข้อมูลกูมันผิดวะกูก็ไม่มีปัญญาไปถามตัวอย่างเยอะ หรือคนอื่นปกติส่วนใหญ่เค้าสไตล์เป็นแบบในนิยายวั
อันนี้กูคาใจจริงๆ เผื่อมีใครเสริมข้อมูลไรกูได้ กูไม่รู้จะไปถามเรื่องแบบนี้จากไหน
>>595 ประสบกามส่วนตัวและกลุ่มข้อมูลประมาณ10คน++ (กูซอกแซกเรื่องในมุ้งชาวบ้านได้ขนาดนี้กูว่ากลุ่มตัวอย่างกูเยอะมากแล้วนะ)
เลิฟซีนในนิยายทุกเรื่องนี่แพทเทิร์นนี้ทั้งนั้นจนทำให้กูสงสัยว่านักเขียนที่แต่งงานมีผัวคนอื่นเค้าไม่คิดแบบกูบ้างหรอ
การเยของพระนางคือเป็นจินตนาการอย่างเดียว มึงอย่าเอามาเทียบชีวิตจริงนะ เพราะไม่มีใครเป็นอย่างนั้น
ทำไมไม่มีใครเขียนฟีลลิ่งความรู้สึกจริงๆ ลงไปในนิยายบ้าง หรือมันไม่โรแมนติก?
แล้วอิแบบเยครั้งแรกนี่ ตอนแรกรู้สึกเจ็บตอนหลังรู้สึกดีนี่ชีวิตจริงก็ไม่มีนะ อิพวกที่บอกเจ็บคือแม่งเจ็บตั้งแต่ต้นยันจบ เย2-3 ครั้งจนร่างกายคุ้นชินโนานถึงค่อยรู้สึกดี ไม่มีนะครึ่งท่อนแรกเจ็บครึ่งท่อนหลังฟิน (แต่กูก็ต้องเขียนแบบนี้ เฮ้อออ)
เยมาราธอนนี่ต่อให้ผู้ชายเข้าฟิตเนส แข็งแรงปึ๋งปั๋งกินไวอากร้ามา คนเหนื่อยหมดแรงก็ไม่ใช่ผู้หญิงอ่ะ ผู้ชายต่างหากที่ฟ้าเหลือง ส่วนผู้หญิงเยนานๆ ไม่เหนื่อยแต่แสบ มากกว่า
สรุปคือกูรู้สึกคนเดียวหรือเปล่าว่า เลิฟซีนมันปลอม และทุกคนก็ต้องฟินกับความปลอมๆ หรือว่าความรู้สึกคนอื่นมันเป็นแบบในนิยายวะ
เผื่อกูอยู่ในกะลา ก็อยากเปิดโลกเหมือนกันว่า การเยในชีวิตจริงมีแบบในนิยาย
>>594 >>596 ขอตอบในฐานะคนซิงที่อ่านนิยาย กูคิดว่าที่เขาแต่งออกมาแบบนั้นเป็นเพราะยังไงสังคมไทยก็ยังมีแนวคิดเพศชายเข้มแข็ง เป็นผู้นำ เป็นฝ่ายปกป้องเพศหญิงที่อ่อนแอบอบบางอะไรทำนองนี้อยู่มั้ง จริงๆ ก็ทั่วโลกนั่นแหละ เพราะธรรมชาติของร่างกาย มวลกล้ามเนื้อต่อไขมัน ความคงทน ยังไงผู้หญิงก็ด้อยกว่าอ่ะ เทรตบนเตียงแนวๆ นี้มีทั้งในนิยายไทย จีน ญี่ปุ่น (ฝรั่งกูไม่ค่อยได้อ่าน) ที่ผู้ชายช่ำชอง เจนจัด เล่นกีฬาในร่มยกใหญ่แล้วยังเดินปร๋อ = มีร่างกายที่แข็งแรง เป็นนัยยะว่าพึ่งพาได้ ถ้าพระเอกมึงนอนฟ้าเหลืองแข้งขาสั่นจะดูกลายเป็นไอ้ไก่อ่อนไปทันที ส่วนผู้หญิงที่นอนปวดเบื้องล่างหน้าแดงเพราะเรื่องเมื่อคืน = ความคับแค้นใจที่แสนหวาน
อีกอย่างกูคิดว่าเพราะผู้หญิงจริงๆ มีความสามารถขึ้นทุกวัน มีอิสระในการทำนั่นนี่ด้วยตัวคนเดียวมากกว่ายุคก่อนๆ เพราะงั้นลึกๆ ก็อาจจะรู้สึกดีที่ถูกประคับประคอง เอาอกเอาใจไรงี้ป่ะวะ เวลาอ่านฉากแบบพระเอกอุ้มนางเอกไปกินข้าวเช้าในครัวเพราะเดินไม่ไหว อุ้มเยมือเดียวไม่ร่วงแล้วคนถึงฟินกระจาย มันเป็นแฟนตาซีที่คนไม่มีทึกทักเอาว่า อา...มันคงเป็นแบบนั้น
ปล. ถามเพื่อการศึกษา ว่าแต่ผู้หญิงเยครั้งแรกแบบศึกหนักนี่ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอวะ เวลากูอ่านแล้วจินตนาการมันก็สมเหตุสมผลออกนะทีจะลุกไม่ขึ้น กูเคยขี่จักรยานอานแข็งๆ ยังระบมสองสามวัน นี่โดนกระแทกซ้ำๆ ทั้งคืน............
>>596 กราบบบบ กูก็ไม่รู้ (และไม่กล้าจะไปถามใคร) ขอบคุณมาก รู้สึกเหมือนได้เรียนเพศศึกษาแบบรวบรัด
สรุปว่าที่เคยอ่านๆ มาและจินตนาการตามในนิยายทุกเล่มมันคือมโนของนักเขียนสินะ ใครเป็นคนต้นแบบก็ไม่รู้ ตอนหลังก็ลอกแพทเทิร์นเดียวกันเด๊ะ แล้วคนที่แต่งงานแล้วเขาไม่เขียนประสบการณ์จริงๆ ลงไปบ้างเหรอวะ
แต่กูก็ไม่เคยอ่านฉากนิยายฝรั่งที่เจาะลึกเรื่องพวกนี้ด้วยสิ ไม่รู้เขาจะใช้ข้อมูลจริงหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่ที่กูอ่านเป็น YA ค่อนข้างใสๆ ถ้ามีฉากเซ็กส์ก็จะบรรยายอารมณ์ความรู้สึกมากกว่า
>>594 >>596 หมดกันความหวานซาบซ่านที่กูได้อ่าน อิดอก ที่แท้ก็ตอแหลทั้งนั้นเหรอวะ 55555555555
เรื่องเลือดออกเคยอ่านเจอบทความหมอ เขาบอกว่าเป็นเพราะเล้าโลมไม่พอด้วยสาเหตุหนึ่งอะ น้ำหล่อลื่นของผู้หญิงเลยยังไม่พร้อม มันเลยเสียดสีจนเลือดออกไรงี้ (ปะวะ ไม่ค่อยแม่น) การเลือดออกในนิยายมันคือธรรมเนียมที่พิสูจน์ว่านางเอกซิงอะ แล้วค่านิยมความซิงของนางเอกแม่งคนอ่านก็ชอบไง ทั้งที่เรื่องพรหมจรรย์ เขาว่าส่วนใหญ่ออกกำลังแรง ๆ ก็ฉีกขาดกันหมดแล้ว
แต่เออกูไม่สนอะ กูก็เขียนให้เยกัน ต่อให้เป็นครั้งแรกกูก็ไม่พูดถึงเลือด เพราะ 1. พระเอกกูจะดูกากเรยมั้ยถ้าทำนางเอกเลือดออกเนี่ย มึงเล้าโลมดี ๆ หน่อยสิวะ 2. นางเอกกูจะซิงหรือไม่ซิง หีจะผ่านสมรภูมิมานับล้านครั้งแล้วมั้ยยังไงมันก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าของความเป็นผู้หญิง ความเป็นนางเอกลดลงไปอะ ยังไงก็นางเอกคนเดิม
>>597 ความคิดมึงเป็นเหตุเป็นผลแบบน่าสนใจมาก กูชอบ เห็นด้วยว่ะ
ตอบ ครั้งแรกเจ็บจนชา จนไม่รู้สึกไรเลย ครั้งต่อ ๆ ไปก็เจ็บ เลือดออก และออกต่อเนื่องหลังจากนั้นอีก ลุกไม่ขึ้นจริง ขาไม่มีแรง ไม่รู้เพราะดิ้นด้วยเปล่า
กูชอบผู้ชายคนนั้นนะ แต่กูก็ไม่ได้อยากมีอะไรด้วย รู้สึกเหมือนถูกหยามความเป็นมนุษย์ยังไงไม่รู้ กูก็เลยพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง กว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้
มานึกตอนนี้น่าจะฆ่าแม่งมากกว่า
กูกลายเป็นพวกขยะแขยงผู้ชายไปแล้ว กูยังชอบคนหล่อ แต่กูไม่อยากถูกใครแตะต้อง ควรบำบัดจิตมั้ยวะ
>>600 มึงไปด่วน ประสบการณ์มึงไม่ดี อย่าให้ไอ้คนห่วยๆทำให้มึงไม่มีโอกาสมีประสบการณ์ดีๆ
กูขอแนะนำนักอ่านที่ยังซิงว่า แพทเทิร์นนิยายไม่ได้เกิดกับทุกคน
กลัวพวกมึงไปคาดหวังผิดๆ ถ้าถึงเวลานั้นให้ลืมนิยายให้หมดแล้วสนใจประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองกับคนๆนั้น แล้วโมเมนท์นั้นจะเป็นแบบดีๆของมึงเอง อาเมน
ตอนที่ถกเรื่องบีนทึกปิ่น ห้องจีนมีคนมาบอกอยู่ว่าhymenไม่ได้ขาดง่าย ถ้าไม่มีการเล้าโลมหรือน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอจะทำให้เกิดการฉีกขาดเลือดออกได้ ครั้งแรกเข้ายากเพราะคนไม่เคยมักจะเกร็ง
>>594 นิยายส่วนใหญ่มันเฟคมาก เจอเรื่องที่คนเขียนมีประสบการณ์มันจะมีมุกที่จะไม่ลอกๆ กันมาแบบนี้กูเลยไม่ชอบพวก nc จีน ไทย มันสร้างความคิดผิดให้คนอ่าน ของฝรั่งจะเขียนได้สมจริงกว่ายกเว้น 50สีของนายเกรย์มั่วมาก
เลือดออกเยอะส่วนใหญ่ช่องคลอดฉีกมากกว่าเลือดจิ้น พวกเจ็บแรกดีหลังเฟค ถ้าเจ็บจะเจ็บเลยอารมณ์ฮวบเล้ายังไงก็ต่อไม่ติด มีแต่จะกัดฟันน้ำตาซึมแล้วก็คิดว่าเมื่อไรจะเสียบจบวะ
บอกก่อนกูไบ จากนี้เรต 18+ นะ
เยมาราธอน ผู้ชายมีแต่ฟ้าเหลือง ส่วนใหญ่ 2 ยกผู้ชายก็ไม่เอาแล้วจะนอนอย่างเดียวจนอยากถีบลงเตียงอัดไวอาก้าก็อึดกว่าเดิมแป๊บเดียว ปกติเสียบไม่ถึง 3 นาทีก็พ่นแล้ว พวกไก่อ่อนเสียบแล้วพ่นเลยก็มี อย่าคาดหวังพวกหนุ่มซิงมันจะเก่งยิ่งพวกรูดตัวเองจนชินยิ่งห่วยทำผู้หญิงจริงๆ ไม่เป็น หนังโป๊เห็นนานๆ มันเฟค มันมีวอร์มอัพตลอดไม่ให้ฟีบ พวกบรรยายฟัดถึงเช้าในความเป็นจริงไม่เกินชม. ผู้ชายจอด ที่นานคือเล้าไม่ใช่ตอนเสียบ เยมาราธอนข้ามวันได้คือกูเล่นกับทอม ฟัดกันไปได้เรื่อยๆ พักยกกินดื่มแล้วก็ฟัดกันต่อ
เพิ่มความรู้ให้ ของผู้หญิงจะนิ้วทอยหรือของผู้ชายรู้สึกไม่ต่างกัน พวกบอกเอ็นอุ่นๆ ดีกว่าคือกูหัวเราะใส่เลย พวกถุงยางบางๆ มีแต่ผู้ชายที่รู้สึกต่างผู้หญิงรู้สึกเหมือนเดิม จะให้ต่างต้องถุงยางที่มีพื้นผิว ผู้หญิงจะขึ้นคือต้องเข้าถูกจุดและนานพอ โดน G ต้องต่อเนื่องไม่งั้นไม่ฟิน เอาตรงๆ ของผู้ชายขยี้ไม่ตรง G ว่ะ ล้วงเองยังขึ้นง่ายกว่า ถึงโดนก็แค่วูบเดียวไม่ต่อเนื่องมันไม่นานแบบนิ้วกับทอยที่ลงตรงตำแหน่ง
กูไม่ตอบต่อนะเพราะผิดหัวข้อกระทู้แล้ว แต่ยืนยันเลิฟซีนนิยายโคตรเฟค กูอ่านผ่านไม่อินสักเรื่อง
>>603 โคตรละเอียด! พวกต่อต้านหนังสอนเรื่องเพศตอนนี้มาเห็นต้องอกแตกตาย
บางทีก็เข้าใจนะว่านิยายมันไม่ควรมีบทที่โจ๋งครึ่มเกินไป เพราะบ้านเมืองเราแยกแยะและจัดเรตนักอ่านไม่ได้ (ถึงจัดก็ไม่มีใครสน คนอ่านเลือกเอง) แต่กูชอบแบบฝรั่งนะ ไม่ว่าจะหนังหรือนิยายก็อิงความจริง ข้อมูลมาเต็ม แต่ถ้าเป็นแฟนตาซี บางทีแม่งก็อิงความจริงมีเหตุผลจนกูเชื่อได้อ่ะ ไม่ใช่เมคขึ้นมาลอยๆ
กูเพิ่งมาเจอที่นี่ ทำไมกูเพิ่งมาเจอที่นี่ นี่มันสังคมคุณภาพชัดๆ ...
กูเคยหลงไปโน่น ห้องนักเขียนนิยายเด็กดี ไปถามดีๆเจอแขวะเจอแซะซะจนกูงงเลยว่ากูทำไรผิด
>>609 แต่ถึงขั้นแขวะนี่น่าจะเอาความสะใจมากกว่าอยากแนะนำแล้วนะ 'จะไปเขียนสารคดีเหรอ เอาข้อมูลอะไรนักหนา' ถ้าคนแนะนำบอกแบบนี้กูก็ไม่อยากฟังอะ พูดดีๆก็ได้มั้ยล่ะ
แต่วกกลับไปที่ประเด็นฉาก18+ก่อน สรุปที่อ่านๆมานี่คือโดนหลอกมาตลอดเลยสินะ ขอบคุณโม่งบนๆทุกคนมาก ทำให้โม่งเวอร์จิ้นอย่างกูได้เปิดโลก ฮือ ... ว่าแต่ สมมติกูจะเขียนนิยายที่มีฉากนี้ ถ้าเกิดเอาตามความสมจริงเลยคือไม่เกินสองยกพระเอกหมดแรงนี่จะมีคนชอบมั้ยนะ หรือต้องเขียนแบบเวอร์วังตามคนอื่นจริงๆ
>>611 กูเพิ่งเขียนครั้งแรกเลยยังไม่แน่ใจว่าต้องเริ่มยังไงอะมึง โอเค แต้งกิ้วนะ
มีคำถามอยู่เรื่องนึง บางทีเวลากูอ่านนิยายแล้วจะเจอชื่อตัวละครที่... มันดูขัดๆอะ เหมือนชื่อแบบนี้ไม่น่ามีคนใช้จริงแน่ๆ พอจะมีวิธีตั้งไม่ให้ชื่อแปลกๆมั้ย คำถามกูคลุมเครือไปรึเปล่าบอกได้นะ
กูรู้สึกว่าคนปกติก็ไม่ได้อยากเอากันนานเป็นชั่วโมง ๆ ปะวะ... รอบสองบางทีไปไม่จบด้วยซ้ำ นอนเหอะ
เวลาอ่านนิยายเจอพลิกหลายท่า ทำหลายรอบ กว่าจะจบช่วงเรตยาวแปดสิบหน้ากูก็มีมองบนอะ กูชอบแบบมีเกริ่นๆ มีฟอร์เพลย์สักหน้าสองหน้าแล้วตัดจบไปเลย
เขียนนิยายเรื่องที่สองรู้สึกภาษาบรรยายไม่คงที่ เทียบกับเรื่องเเรกไม่ได้ มันเป็นเพราะเขียนเเนวที่ไม่ถนัดหรือเปล่าหว่า
กูชอบพระเอกสายเล้าโลมนางเอกกับเรื่องบนเตียงมาก เอะอะก็ยัดๆๆ นี่ไม่ค่อยชอบ ชอบแบบอ่อนโยนว่ะ มีใครเขียนแนวนี้มั้ย เดี๋ยวกูตามไปอ่าน555555
โคตรเปิดโลกเลย ขอบคุณคนเปิดประเด็น //กราบ
เอาจริงๆ บางเรื่องไม่บรรยายแบบโจ่งแจ้งก็ทำนักอ่านฟินได้นะ เคยเจอเรื่องนึงตอนได้กันเสร็จพระเอกแม่งใส่เสื้อผ้ากับอาบน้ำให้นางเอกอะ กูประทับใจมากๆ ฟินกว่าฉากได้กันอีก แม่งเอ๊ยยย
ขอถามเรื่องการตีพิมพ์นิยายหน่อย เราเขียนเรื่องลงเว็บ ตั้งใจจะพิมพ์เองเก็บไว้อ่านซักสองสามเล่ม ไม่ได้เผื่อขาย เพราะคนติดตามไม่ได้เยอะอะไร
ทีนี้ ถ้าสมมุติมีสนพ.โนเนมมาขอตีพิมพ์เช่าค่าลิขสิทธิ์สามปี ให้ 10%จากปกรวมแล้วประมาณสี่พันถึงเจ็ดพันบาท น่าจะพิมพ์กับ สนพ.ให้มีเครดิตเป็นรูปเล่ม หรือควรพิมพ์เองดีกว่า คิดยังไงกัน
>>621 พิจารณาดีๆก่อนว่ามึงอยากเป็นนักเขียนเต็มตัวหรือเปล่า ถ้าใช่ เดินหน้าส่งสำนักพิมพ์มาตรฐานเท่านั้น สำนักพิมพ์เล็กๆที่พิมพ์ให้มึงได้แค่ 200-500 เล่ม มันสร้างชื่อเสียงให้มึงได้ยาก หนังสือมึงจะไม่ถูกวางในร้านหนังสือใหญ่ๆอย่างนายอิงหรือซีเอะ เวลาคนอ่านค้นหนังสือมึง ก็จะเจอแต่ร้านออนไลน์เล็กๆ ถ้ามึงอยากสร้างชื่อเสียง ทำอีบุ๊กลงเมบมีโอกาสกว่า แล้วพอมีฐานลูกค้ามึงค่อยคิดเรื่องพิมพ์ก็ได้ ที่กูบอกว่าให้ส่งเข้าสำนักพิมพ์มาตรฐาน เพราะสำนักพิมพ์เล็กๆเก็บงานไปพิมพ์ทีละนิดหน่อยบางทีแม่งไม่มีคุณภาพ ปกห่วย จัดหน้าห่วย ไม่มีพิสูจน์อักษร งานมึงถูกลดเกรดทันที กูไม่เหมารวมแล้วกัน แต่ดูกันเองก็น่าจะรู้ แล้วมึงบอกว่าตัวมึงได้แค่สี่พันถึงเจ็ดพัน กูมองว่าน้อยมาก ถ้ามึงจะเอาเครดิตในการได้ตีพิมพ์ตรงนี้ไปใช้ มันก็เป็นเครดิตที่แทบจะไม่ช่วยอะไรเลย เพราะนิยายปัจจุบันดูกระแสเป็นหลัก นักเขียนโนเนมที่เขียนตรงกระแสพอดีได้พิมพ์กันเยอะแยะไป นักเขียนที่เขียนตกกระแส ถึงจะมีงานพิมพ์มาก่อนก็ได้พิมพ์ยาก นักเขียนที่มีฐานคนอ่านแล้วเลยต้องผันไปทำมือ หาเงินกันเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่านิยายมึงเป็นแนวไหนด้วย ถ้าเป็นแนวที่ไม่มีคนอื่นเขียน และมึงมีฐานคนอ่านแน่นอนห้าร้อยคน มึงไปสร้างชื่อในเมบก่อนเลย หรือถ้ามีน้อยแค่สองร้อยคนก็ยังดี โอกาสที่มึงจะได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มาตรฐานจะตามมาเอง
ลงนิยายในเวบ พอไม่มีคนอ่านกูเลยเริ่มรู้สึกว่าขี้เกียจลงวะ ก่อนลงแต่ละตอนกูเช็กคำผิดไม่ต่ำกว่า 3 รอบ พยายามไม่ให้หลุดไป แต่ลงไปแล้วก็แค่นั้น ไม่มีใครอ่าน 55555555555 เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหมวะกู
พวกมึงเอานิยายอิโรติกลงเว็บไหนกัน DD หรือ ธรว
กูเอาลง ธวล. ว่ะ แต่ DD ก็เห็นคนแจ้งเกิดกันหลายคนนะ จั่วหัวนิยายว่า 18+ แล้วสร้างกลุ่มลับในเฟส พอมีฉากแบบนั้นก็ตัดเอามาลงในกลุ่ม กูอยากมีโมเม้นต์ลองทำแบบนั้นบ้างเหมือนกัน แต่แฟนคลับกูส่วนใหญ่ก็สิงๆ อยู่ใน ธวล. อะ ยังไม่อยากทิ้งไปไหน รักมาก ถ้าเปิดเรื่องใหม่กูคงอัพควบคู่กันทั้งสองเว็บเลย
ส่วน ธวล. พวกติดเทรนด์ก็จะมีแต่แบบ...ฉากอย่างว่าก็จะเถื่อนๆ ดิบๆ ครางเยอะๆ ไม่ใช่แนวกูอย่างแรง บางเรื่องนะ เรื่องดีๆ ก็มี แต่พวกเรื่องเสียวมันเยอะกว่าแค่นั้นเอง
ถามไรโหน่ยยยย สมมตินะคับสมมติ ถ้าเกิดว่ากูมีแอคเคาท์ meb แบบนักอ่านอยู่แล้ว กูจะขายนิยาย กูต้องสมีครใหม่หรอวะ ทำไมใช้อันเดิมไม่ได้
ขอถามสายนักเขียนที่ลงเรื่องในเนต
ปกติพวกมึงลงจนจบไหมวะ กูเคยลงจนจบแล้วพรี กับไม่ลงจนจบแล้วพรี ยอดต่างกันเกินครึ่ง ลงไม่จบแล้วพรีคนซื้อเยอะกว่า เป็นพวกมึงจะเลือกทางไหน
ขอถามนขหน่อยสิ ทำไมพองานที่หมดสัญญากับสนพ.แล้วเอามาลงขายใหม่ในเมพ คำผิดบานเลยอะ
เข้าใจว่าถ้างานผ่านกับสนพ.แล้วจะมีกองพิสูจน์อักษรให้ แต่ว่าพอหมดสัญญาแล้วไม่แก้เองหรือมีเงื่อนไขว่าห้ามแก้หรอ
>>638 ต้นฉบับที่ สนพ. เอาไปพิมพ์ เขาจะมีการแก้คำผิดและเกาสำนวนให้
นข. ไม่มีสิทธิเอาต้นฉบับที่ผ่านการแก้ไขแล้วเอาไปขาย
โดยส่วนที่หมดลิขสิทธิ์แล้ว มาทำขายเอง จะต้องใช้ต้นฉบับเดิมๆ ที่ตัวเองเขียน
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ นข. คนนั้น จะกลับมาทวนแก้ไข หรือ ไม่สนใจอะไรเลยแล้วใช้งานดิบออก ebook เลย
ประมาณจะขายใหม่ก็ต้องใช้สำนวนเดิมของตน จะใช้ต้นฉบับสำนวนแก้ไขของสนพ. เอามาขายไม่ได้
>>639 แสดงว่าเข้าใจถูกแล้ว แต่แหม คำผิดงานดิบที่ยังไม่ผ่านมือสนพ.แล้วเอามาลงขายเหมือนเดิม คือมันเอิ่มมากเลยนะ คำสะกดง่ายๆยังผิด คะ/ค่ะ ไม่ต้องพูดถึง เลยรู้สึกว่าในเมื่อมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่างานตัวเองมีคำผิดตรงไหนบ้างทำไมไม่แก้ไรแบบนี้
>>640 ไม่ ผิดคือผิดอะ อย่างเช่นถ้านักเขียนคนไหนแยกคะ/ค่ะ ไม่ออกนี่คือรู้เลย
>>646 งานที่สนพ.ผ่านการแก้ไข มันจะมีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ บรรณาธิการเล่ม คนแก้ไขคำผิดเกลาสำนวน คนจัดรูปประโยคเว้นวรรค
ปกติมีค่าใช้จ่ายอยู่นะ
ถ้าสนพ. ไม่เขี้ยว ก็ยินยอมให้ใช้ต้นฉบับที่ผ่านการแก้ไขแล้วของเค้า
แต่ถ้า สนพ. กับ นข. มีความในใจกันบ้าง แล้ว นข. ทำไม่รู้ไม่ชี้ เสือกเอาต้นฉบับของ สนพ. ไปขายใหม่
ระวังจะถูกฟ้องร้องกันตูดบานนะเพื่อน ถ้า สนพ. เกิดหมั่นไส้อะไรขึ้นมา
เพราะฉะนั้น นข. โดยปกติจะใช้สำนวนเดิมของตน ในการขายใหม่หลังจากหมดสัญญากันแล้ว
เพื่อป้องกันสนพ. เกิดหมั่นไส้มาไล่ฟ้องกันทีหลังไง
ปล. ที่ว่าไม่ได้สตริกขนาดนั้น อาจเพราะสนพ.คิดว่างานนั้น ทำเงินในการขาย ebook ไม่ได้มากมายอะไร และ นข. ยังมีงานใหม่ส่งให้ สนพ. ต่อเนื่อง
แต่ถ้า สนพ. กับ นข. ไม่พอใจหรือมีความในใจอะไรกันอยู่
กรณีนี้แหละ เอาของสนพ. ไปทำขายใหม่เมื่อไร นข.คนนั้นโดนฟ้อง ด้วยข้อหาเหม็นขี้หน้าแน่นวล...ฮ่าฮ่า
ต่ออีกนิด... นี่จากประสบการณ์จากเพื่อกูเองแหละ
คือ นางไม่ใช่ลูกรักของ สนพ.นั้น นางจึงถูกเตือนสนพ.ก่อนแล้วเรื่องนี้ ต่างจาก นข.ลูกรักในสนพ. ที่รับอนุญาติให้ขาย ebook โดยใช้สำนวนสนพ.ได้
ฉะนั้นทางที่ดี ถ้าไม่ได้รับการอนุญาติเป็นลายลักษณ์อักษรจาก สนพ. ก็ไม่ควรใช้สำนวนที่ผ่านการแก้ไขแล้วเด็ดขาด
ความเป็นจริงไม่ฟ้องหรอก เสียเวลา ขู่ไปงั้น
>>650 อันนี้จากประสบการณ์ของคนใกล้ตัวกูที่เอาเล่มที่หมดสัญญาแล้วมาทำอีบุ๊กใหม่นะ อย่าไปมองเรื่องลูกรักไม่ลูกรักว่ะ เอาที่ตัวเองเซฟไว้ก่อนดีกว่า เพราะลูกรักในวันนี้ ในวันหน้ามันก็ไม่แน่นอนใช่ไหมล่ะว่าจะยังรักอยู่ไหม อย่างคนใกล้ตัวกูคือจ้างกองบรรณาธิการฟรีแลนซ์ให้ดูแลต้นฉบับดั้งเดิมของเขาอีกรอบเลย ให้อีดิตใหม่ปรู๊ฟใหม่ทั้งหมด ปกเปิกงานอาร์ตก็หาคนใหม่ไม่เอานักวาดคนเก่า จะได้ไม่โดนจับเอาไปเปรียบกับรูปเล่มที่ออกกับสนพ. เจ๊เขาบอกกูว่ามันจะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน
เครียดจังวะ เขียนนิยายแต่ละที แม่งมีขีดจำกัดตลอด 7-8 บรรทัดต่อวัน เวลาว่างมีเยอะแต่เสือกได้เท่านี้ พอเขียนเยอะแม่งก็เละเทะอีก
ถามโม่งนักเขียนนักอ่านทั้งหลาย พวกมึงคิดว่านิยายกระแสไหนจะฮิตอีกหลังจาก จีนโบราณ/ย้อนอดีต/สิงร่าง/ระบบ/ตัวร้าย ต่างๆ
มึงมีเรื่องไหนที่ตัวละครเป็นซื่อจื่อบ้างปะ แนว ๆ ลูกอ๋องอะ
มีวิธีสร้างตัวละครกันมะ กูชอบแต่แนวเดิม ๆ พอเขียนเรื่องใหม่เลยต้องพยายามไม่ให้คาร์มันซ้ำกันอะ
ถามหน่อย ทำไมนักเขียนชอบเขียนคลอดลูกแฝดวะ ยิ่งยุคโบราณเนี่ย ท้องแฝดมึงทำใจตายทั้งกลมหรือคลอดลูกแม่ตายได้เลยนะเว้ย ถ้ามึงอยากเขียนเรื่องเศร้าตายตอนจบนี่โอเค
เขียนแล้วมีแต่ถูกคนอ่านด่า ท้อชิบหาย ท้อจนอยากเลิกเขียน ทั้งที่เหตุผลกูก็มีอธิบายไว้ตลอด กูเหี้ยเองแหละที่ทำได้ไม่ดี ไม่เก่งพอจะเขียนให้เขาเข้าใจอะ 55555555555
ไม่มีอะไร กูแค่ไม่มีที่ให้ระบาย ขอโทษที
พวกมึงพี่น้องรักกันกลมเกลียวไหมวะ ทั้งเพศเดียวกัน หรือต่างเพศรอบตัวกูไม่เห็นจะมีบ้านไหนรักหวงเว่อร์วังเลย มีแต่ตีกัน กูนี่เลยไม่เขียนแบบรักหวงห่วงไม่ออก ใจอาจห่วงนะเว้ย แต่ไม่แสดงออก กลายเป็นซึนเลย
>>669 กูไม่ได้บราค่อนนะ แต่สมัยก่อนกูทำตัวมีปัญหาไปๆมาๆกูเลยสนิทกับพี่ว่ะ สนิทกว่าพ่อแม่อีก เพราะพี่จะคอยมาตามมาดูแลกูตลอดมีอะไรก็ช่วยกูตลอดงี้ กูแม่งทำตัวเป็นภาระมาก เวลาเรียกกูก็เรียกพี่กูว่าพี่ ตอนเด็กๆก็เรียกตัวเองว่าหนู พอโตๆมาหน่อยก็เรียกตัวเองว่าน้องว่ะ แม่ง พอมาพิมพ์แบบนี้แล้วเขินชิบ อีกอย่างคือกูไม่เคยทะเลาะกับพี่กูนะ คุยดีๆกันตลอด แม้บางทีกูจะเหวี่ยงจนรู้สึกเหี้ยมากทีหลัง แต่ทางโน้นถ้าไม่พอใจอย่างมากก็เดินหนีแล้วค่อยมาคุยกันใหม่ทีหลังว่ะ หวังว่าจะเป็นข้อมูลให้เพื่อนโม่งนะจุ๊บๆ ปล.กูชอบแนวพี่น้องคอยดูแลกันนะ
>>669 ของกูเป็นพี่น้องที่ ไม่มีความเป็นพี่น้องเท่าไร เพราะห่างกันปีเดียว กูเป็นพี่สาวมันเป็นน้องชาย ตอนเด็ก ๆ มันนิสัยชอบแหย่พี่มันเล่น กูก็ขี้โมโห มันแหย่กูก็โกรธ มันก็ยิ่งชอบ พอทะเลาะกันแม่ก็ตีทั้งคู่..T T
พอโตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มแข่งกันเรียน บังเอิญว่าเรียนดีด้วยกันทั้งคู่ เลยไม่ค่อยมีไร พอเข้ามหาลัย โชคดีอยู่คนละที่ มันรู้สึกว่ามันเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน ต้องดูแลพี่และแม่ มันก็เลยเริ่มยึดอำนาจในบ้าน ( จริง ๆ ก็รับภาระหลักในบ้านแหละ ) กูก็มัวแต่ทำงานส่งจารย์ ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ....เรื่อยมาจนทุกวันนี้ มันกลายเป็นพี่คนโตไปแล้ว
คำเรียกแทนตัว สมัยเด็ก ๆ จะ เป็น ตัว-เค้า พอโตมาหน่อย มันกลายเป็น มึง-กู มาตราบทุกวันนี้ ไม่มีโมเมนต์ พี่-น้อง จริง ๆ
>>669 พี่กูเป็นออทิสติก ดีที่ครอบครัวเลี้ยงกูมาดีเลยเข้าใจ ตอนเด็กไม่เคยน้อยใจว่าทำไมพี่ทำร้ายกูแล้วพ่อแม่ไม่ว่าเพราะแม่อธิบายไม่ฟัง แต่มันก็จะมีการทะเลาะตบตีกันบ้างเพราะเด็กออทิสติกจะก้าวร้าว ทำลายข้าวของ เมื่อก่อนนอนห้องเดียวกันจู่ๆพี่โมโหพุ่งมาทำร้ายกูกูก็ทำร้ายกลับ(?)ได้แผลเป็นมาประจำ เป็นที่สนุกสนานมาก กูก็โกรธได้แค่แป๊ปเดียวแหละเพราะเข้าใจ555 เคยคิดอยู่นะว่าถ้าพี่กูปกติป่านนี้ไม่รู้จะทำตัวเกเรหรือมีเมียไปแล้วหรือเปล่า จะเป็นพี่ที่ดีกับกูมั้ยก็ได้แค่คิด แต่แค่นี้กูก็มีความสุขกับครอบครัวแล้ว
กูขอบอกเลยว่าถึงภายนอกกูจะทำเป็นไม่ค่อยสนใจพี่เท่าไหร่ แต่บอกเลยว่าถ้าพี่กูเสียชีวิตไปกูทำใจไม่ได้ กูเคยจินตนาการแล้วกูร้องไห้ตลอด กับพ่อแม่ก็เหมือนกัน คือครอบครัวมันเลยคำว่าความรักไปแล้ว มันมีความผูกพันธ์รวมอยู่ด้วย ถ้าใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวกูหายไปกูคิดไม่ออกว่าจะทำใจได้แค่ไหน
>>669 กูอายุห่างพี่คนโต 17 ปี ทุกคนที่เจอจะบอกว่ากูเป็นลูกพี่สาวกูหมด 55 พี่สาวกูเลี้ยงกูมากกว่าแม่อีก จำความได้ก็อยู่กับพี่ เล่นกับพี่ กินนอนก็อยู่กับพี่ โตขึ้นมาเพราะอายุห่างกับแม่มากคุยไม่รู้เรื่องอีกมีอะไรก็เลยคุยกับพี่ สนิทกับพี่มากกว่า พี่สาวกูแต่งงานมีน้องแล้วยังวนแวะมาห่วงกูเห็นเป็นลูกคนโตไปแล้ว
ขอถามเรื่องเทคนิคการเขียนนิยายหน่อยเพื่อนโม่ง (กูมาถูกห้องไหม?) คือกูกำลังหัดเเต่งฉากเรท เเต่ปัญหาคือเเต่งไม่รอดว่ะ รู้สึกไปไม่เป็น มันเขินตัวเองไปหมด มีใครมีเทคนิคในการเเต่งฉากเรทสำหรับ Beginner บ้างไหม เเบ่งปันกูหน่อยเถอะ
>>676 มึงไปหาอะไรมาทำให้ตัวเองชินก่อน เช่นแบบดูหนังโป๊ก็ได้ หรืออ่านนิยายคนอื่นแนวนี้ แต่อย่าชินมาก จริงๆการที่มึงรู้สึกเขินๆเป็นความรู้สึกที่ดี เก็บความรู้สึกนี้ไว้ มันสดใหม่ มันจะทำให้มึงเขียนแล้วไปได้
อย่างกู เขียนแนวนี้มานาน นานจนตอนนี้กูพิมพ์ไปแบบโรบอทมาก เขียนไปแบบที่กูไม่รู้สึกไรเลย แล้วกูก็เบื่อมากด้วย 5555555555
>>677 คือกูก็ดูหนังโป๊นะ นิยายคนอื่นที่มีฉากอย่างว่ากุก็อ่าน เเต่คือตอนนั้นมันไม่รู้สึกไรอะ มันเฉยมาก เเต่พอมาเเต่งเองเเล้วเเอบบ เอร๊ยยยยยย มันเขิน มันไม่นิ่งเหมือนตอนดูหนังโป๊รึอ่านนิยายฉากเรทเลย คนละฟีลมาก
ขอถามหน่อยว่ามีวิธีจัดการความรู้สึกยังไงให้เเต่งได้เเบบไม่รู้สึกว่าไม่กล้าเขียนบ้างวะ เป็นปัญหามากตอนนี้
ขอบคุณมากเพื่อน กูจะพยายาม นี่เขียนลบเขียนลบมาห้าหกรอบเเล้วเนี่ย
กูมีคำถาม พวกมึงเขียนฉากหื่นทั้งหลายนี่ มีประสบการณ์จริงกันรึเปล่า
เกิดมายังไม่เคยมีแฟนเลยยย อินเสิร์ชตัวเองเข้าไปในมังงะที่ชอบ แล้วก็เพลย์ต่อไปเอง ส่วนใหญ่เขียนซีนอารมณ์ไหน ช่วงนั้นก็จะอ่านที่มู้ดใกล้ครือ ๆ กันอะ แต่นิยายกูไม่มีฉากหื่นหรอก เอาแค่พอจั๊กจี้ เขินพอบิดกาย แล้วก็ตัดไปโป๊ะไฟ
ถามถึงคนที่สนิทกับวงใน สถพ อะไรอย่างได้ปะวะ คือกูอยากรู้จริง ๆ ว่าเกณฑ์รับต้นฉบับนักเขียนหน้าใหม่นี่ วัดจากยอดวิวในเว็บอย่างเดียวเลยรึเปล่าวะ กูไม่เห็นงานของสถพ เรื่องไหนที่ไม่ผ่านการอัพให้อ่านในเน็ตมาก่อนเลยอะ
กูอ่านฉากเยแล้วขำเยอะมาก กูว่าคนเขียนเด็กๆมีจินตนาการล้นเหลือมาก เพราะมีประสบการณ์จากนิยายที่คนอื่นก็เขียนมโนไว้เต็มเนต เลยยิ่งไปกันใหญ่ แถมท่าก็เลยวนกันซ้ำซากไป ฉากเยพวกอุ้มแตง ขี่ม้า กูก็ไม่เข้าใจว่าจะทำให้เรื่องเดินหน้าไปยังไง หรือ ช่วยขยายทัศนคติทางเพศของพระนาง ยิ่งสายวายกูยิ่งฮา
กูนี่ศึกษา(?)ทั้งจากคลิปเกย์คลิป ชญ คือไม่รู้มีใครเป็นเหมือนกูมั้ย ดูคลิปแล้วกูเฉยฉิบหาย กดรีกดข้ามเป็นว่าเล่น แต่ถ้าเป็นนิยายกูจะอ่านแล้วเขิน...ถ้าใครอยากศึกษาฉาก NC กูว่าอย่าไปหาในธัญหรืออะไรเลย ส่วนมากมีแต่ป้าบๆตับๆ เอาที5-7รอบมึงจะบ้าหรอ อ่านไปพาลแต่จะทำให้เบื่อหรือเอียน ฉากNCอิโรติกกูชอบที่ไม่มากอล่างฉ่างเกินไป เวลาซื้อนิยายแปลจีนแปลวายหรือนอร์มอลไรพวกนี้ บางเรื่องบรรยายพอผ่านๆแต่ทำให้เขิน บางเรื่องบรรยายจัดเต็มแต่อ่านแล้วไม่รู้สึกน่าเกลียด เวลากูจะแต่งก็ไปอ่านบิวท์จากนิยายที่ซื้อๆมาอ่านนี่แหละ
กุ 676 นะ กูพยายามหาอ่านนิยายที่มีฉากอยเรทแบบศิลปะอยู่ คือไม่ใช่แพนกบ้อวอะ แต่ยังไม่ค่อยเจอเลย ที่เจอนี่เจอแต่แนวธัญวลัยที่มีแต่กระเเทกๆร้อยอ๊าๆๆๆทั้งบท รู้สึกไม่โอ ไม่ชวนหวิวอต่ดูหยาบไแฮะ เลยอยากหาที่มันดูเรทแบบศิลปะมาอ่านหน่อย พอมีแนะนำไหม ทั้งวายทั้งวายและไม่วาย
>>691 เคยดูคลิปที่ใข้ท่าแบบนี้นะ ก็ได้อยู่ไม่พากันบ้มแต่อย่างใด
กูเห็นด้วยว่าของฝรั่ง บรรยายดีเขินหน้าแดง แต่ ธวล เน้นเสียวเรท70%แล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยมีประโยชน์ในการพัฒนาการเขียนเท่าไหร่
มีตัวอย่างฉากเรทแบบที่หลายๆ คนชอบหรือเขินกันบ้างรึเปล่า ไม่ใช่แบบที่หาได้ทั่วไปตามธวล. นะ ไม่อยากได้เรื่องเสียว ได้กันให้เป็นศิลปะแบบลายลักษณ์อักษรต้องเป็นยังไงวะ ฮืออ ขอตัวอย่างมาสักแถวสองแถวก็ได้ กูว้อนท์มาก ตอนนี้กูเผลอแต่งแนวอ๊ะอ๊าครางยาวๆ ไปทั้งบรรทัดแล้วเนี่ย โคตรหงิดตัวเอง ส่วนใหญ่นิยายในห้องกูมีแต่แนวตัดภาพไปหาโคมไฟ ไม่ก็เข้าห้องหอตอนจบเล่มสองบรรทัด...
เออ แต่ท่าอุ้มแตงนี่จะทำก็ทำได้จริงๆ นะ แต่กูอยากรู้ว่าฝ่ายชายเหนื่อยมากรึเปล่า อุ้มไปด้วยกระแทกไปด้วยน่าจะลำบากพอสมควร
ก็ความเห็นข้างบนแนะนำนิยายของแก้วกานต์ มึงก็ลองๆ ไปหามาสักเล่มดิ
แต่สำหรับกูถ้าแก้วกานต์ แนะนำ มนต์เสน่ห์เหมันต์ ส่วนถ้านิยายไทย กูอ่านแต่สายใสๆ วะ
ไม่รู้ทำไมพอเป็นนิยายไทย ตัวละครไทย กูจะไม่ชอบเรื่องที่มีฉาก NC
>>669 ของกูเป็นพี่น้องคนละเพศห่างกันปีเดียว ไม่ค่อยสนิทว่ะ แต่มันเป็นที่สภาพแวดล้อมด้วยมั้ง คือบ้านกูก็พยายามเลี้ยงให้เหมือนกันนะ โรงเรียนก็เรียนที่เดียวกันตั้งแต่อนุบาลยันม.ปลาย (มัธยมเป็นช่วงเวลาที่บ้านกู wtf กับโรงเรียนมากที่สุด ลูกสองคนเล่าเรื่องโรงเรียนเหมือนไม่ใช่สถานที่เดียวกันอ่ะ โคตรด้านมืดกับด้านสว่าง ครูทรีตต่างกัน เพื่อนๆรอบตัวก็ต่าง เหตุการณ์แวดล้อมก็ด้วย) ช่วงมหาลัยพวกกูแยกกันไปเรียนคนละที่แล้ว กูกับน้องทัศนคติต่างกันหลายอย่าง ถ้าคุยกันส่วนใหญ่ก็จะออกมาหงุดหงิดเห็นต่าง ถ้าเป็นเพื่อนกูเลิกคบแม่งไปละ 555 แต่เพราะเป็นพี่น้องนี่แหละ ไม่สนิทแต่มันก็ยังเป็นครอบครัว ชีวิตก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้กันอยู่ดี ผัวยังเปลี่ยนได้แต่ไม่ว่ายังไงกูก็เปลี่ยนน้องไม่ได้ป่ะ พวกกูก็ไม่ได้เกลียดกันหรอก ก็ยังออกไปกินข้าว ติดรถเวลาไปไหนมาไหน ขอให้ช่วยทำงานอะไรงี้ แต่ถามว่าชอบมันมั้ยก็ไม่ว่ะ ไม่ชอบนิสัยหลายอย่าง น้องก็ไม่ชอบนิสัยกูเหมือนกัน 5555 กูคิดว่าถ้าเราคนใดคนหนึ่งตายไป อีกคนก็คงไม่ได้เสียใจขนาดนั้น แต่มันคงแปลกๆ เหมือนอะไรบางอย่างหายไปมากกว่า
ปล.แต่อ่านนิยายกูอยากได้ความแฟนตาซีพี่น้องรักกันมากกว่านะ นิยายที่สมจริงไปไม่ค่อยสนุกอ่ะ...
>>698 มีอยู่เรื่องนึงที่กูเคยอ่าน ลงในธัญนี่แหละ แต่เป็นวายนะ จำชื่อเรื่องเต็มๆไม่ได้ แดนทัพอะไรสักอย่างอะ ลองหาๆดู กูว่าบทเรทเค้าบรรยายใช้ได้
ส่วนของแก้วกานต์กูก็ชอบนะ กูเคยอ่านพวกแบบแฟนตาซี เชอรีลีน เคนยอนและอื่นๆ(สัดๆๆบ่งบอกอายุชิบหาย) พวกพารานอมอลไรงี้อะ แต่คือบทเรทฝรั่งมันจะคนละแบบกับการเขียนเรทแบบไทยๆเลยนะ คนละแบบอะ แต่ก็แล้วแต่ว่ามึงชอบแบบไหนแหละ
แบบมิสเตอร์เกรย์เงี้ยะ กูโคดไม่ชอบ อ่านแล้วปสด
ต่อมความสมเหตุสมผลของคนเขียนกับคนอ่านมันไม่เท่ากันเหรอวะ...
ถ้ามันเรียลหมด มันจะน่าสนใจได้ไง
จะเขียนให้ถูกใจคนอ่านทุกคนมันเป็นไปไม่ได้มึง แปะๆ ตบไหล่ให้กำลังใจ
ไม่เท่ากัน ประสบการณ์จะหล่อหลอมความคิด และตรรกะ แต่ละคนโตมายังไงกันบ้างล่ะ ขนาดเพื่อนกันแท้ ๆ ยังอิหยังวะวันละหลายรอบเลยว่ะ
มึงเลิฟซีนมันต้องมีคำอธิบายเสียงอย่าง อิ๊ อ๊ะ อรั๊ง จุ๊บ จ๊วบ แบ๊ะๆ ด้วยไหมวะ พอดีกูจะลองไปลงนิยายในธัญ
รู้สึกว่านิยายกูนี่ยังกับละครใบ้ ไม่มีสงมีเสียงอะไรกับเขาเลย
>> ทีแรกจะเขียนแจ๊ะๆ กูก็เกิดหน้าบางขึ้นมา55
>>710 กูไม่ชอบว่ะ แบบ ซี้ดๆๆๆๆๆ อ๊ะๆๆๆๆๆ อู๊ยๆๆๆๆ ยาวเป็นบรรทัดแบบในธัญอะ กูอ่านเจอแบบนี้ทีไรหมดอารมณ์ทุกที 5555
กูชอบแบบที่บรรยายสวยๆ มีพวกเสียงนิดๆแค่คำสองคำเวลาครางอะได้ กูโอเคเลย แบบ อ๊ะ แค่คำสองคำไรงี้
แต่ๆๆๆๆๆๆ นี่เป็นความเห็นกูคนเดียว กูสังเกตว่า เรื่องที่มีอะไรที่กูไม่ชอบมักจะเป็นเรื่องดังในธัญ
เพราะงั้น ถ้ามึงอยากให้นิยายมึงดังในธัญ มึงอาจจะต้องใส่เสียงเยอะๆเป็นบรรทัดๆแบบที่นิยายดังๆในธัญมันทำว่ะ 55555
กูเกลียดแบบมีเสียง มันเหมือนนิยายโป๊เกรดต่ำ เรื่องเสียวธรรมดา โคตรโลว ไม่มีศิลปะ
กูรำคาญเวลามีเสียงเยอะๆ อะ กูเคยอ่านเจอ 'พั่บๆๆ' อิสัส พั่บพ่อง ไม่ได้ทำให้กูอินเล้ยยย
อิพั่บๆ ตั่บๆ แม่งฮาจริง ได้ยินละนึกถึงเสียงตำน้ำพริกไม่ก็นกพิราบกระพือปีกในสวนสาธารณะที่มีคุณตาคุณยายหน้าตาใจดีๆ กำลังโปรยอาหารนกอยู่555555 ถึงของจริงมันจะมีเสียงก็เถอะ แต่เวลาอ่านแล้วมันขำอะ
กูชอบให้ครางน้อยๆ เหมือนกัน ละครใบ้ก็ได้ ครางนิดๆ ก็ยังดี กูเฟติชการเรียกชื่อกันและกันตอนทำเรื่องอย่างว่ามากกว่า ไม่รู้จะให้ครางอะไรก็ให้พระนางเรียกชื่อกันและกันก็ได้นะ กูเป็นนักอ่านที่ชอบแนวนี้ //ปิดหน้าเขิน
กูเกลียดเสียงครางจำพวกอ้าาาาา ตับๆพับๆ ชิบหาย อารมณ์หายหมด
คือกูเป็นพวกชอบนิยายเรทแบบบรรยายจริงๆอะ ไม่ชอบพวกเลี่ยงคำเป็นบุปผานู้นนี้นั่น แต่ก็ไม่ชอบแบบที่มันหยาบเกินไป ชอบแบบมีคุย+ความคิดไปด้วยแต่ไม่ชอบแบบใน ธวล โคตรเรื่องมากหาคนไทยเขียนฉากเรทถูกจริตไม่ได้เลย
กู 710 เด้อ ขอบคุณทุกความเห็น กูนี่ลองใส่เสียงประกอบลงในนิยายตัวเอง เชี่ยเอ้ยตลกฉิบหาย กูไม่เอาละ ขอบรรยายอย่างสงบๆเงียบๆต่อไปละกัน
ถามหน่อยเพื่อนมีใครลงในยายในเด็กดี readawrite fictionlog ไหม กุสงสัยว่ากลุ่มนักอ่านสามเว็บนี้ต่างกันยังไง
ละกุเพิ่งลองลงนืยายไปสามเว็บนี้ตอนประมาณสองทุ่ม ยอดคนเข้าน้อยมากเลยว่ะ คอมเม้นเฉลี่ยตอนละเม้น (คือส่วนหนึ่งาจเพราะนิยายกุเพิ่งเปิดเรื่องด้วยมั้ง นี่มีเเค่สองตอนอยู่) เเต่เพื่อนอีกคนลงตอนสี่ทุ่มดูยอดคนคลิกเข้าเยอะกว่าสองทุ่มดี (เเต่นั่นเเค่ข้อสงสัยที่ได้มาจากการลงนิยายของกุกะเพื่อนเเต่คนละเวลาเเต่วันเดียวกันนะ เเละยังไม่มีการทำซ้ำเพื่อทดสอบสมมุติฐานเเต่อย่างใด) กุเลยอยากรู้ว่าช่วงเวลาไหนเหมาะกับลงนิยายเเต่ละเว็บบ้างวะ ขอบคุณมาก
อีกคำถามๆ แล้วจะมีวิธีโปรโมตนิยายให้คนเข้ามาอ่านเยอะๆยังไงบ้าง ทั้งในสามเว็บเลย เนื่องด้วยกุไม่มีฐานแหนคลับ เป็นนักเขียนใหม่แกะกล่องมากๆ กุนี้ดโอกาสจากนักอ่าน ฮือ
dd คนเยอะต่อกูเอางานออกหมดแล้ว คนอ่านอวยๆ ไม่แต่ไม่ซื้อทั้งบุ๊คทั้งคอยน์ ลงคอยน์บอกอยากได้เป็นเล่มมากกว่าประกาศพรีทำเล่มเงียบป่าช้า แต่โคตรท้วงตอนใหม่เช้าเย็น โมโหสุดคือลงตอนใหม่ไม่ถึง 3 นาทีแม่งมาพิมพ์ตอบ "เมื่อไรตอนใหม่จะมาค่ะ ทำไมไรต์ขี้เกียจแบบนี้ไม่มีความรับผิดชอบเลย" คอมเมนต์นี้คอมเมนต์เดียว กูเอางานออกจากเด็กดี
raw คนพอสมควรเยอะเฉพาะบางหมวด แอดมินจะเรียกโง่ก็ได้ แบ่งบ้าอะไรว่ะนิยายรัก 2 หมวด นิยายเรต 2 หมวด นิยายผู้ใหญ่อีก 1 หมวด ถามไปนิยายรัก โรแมนซ์ รักวัยรุ่น รักวัยว้าวุ่น ต่างกันยังไง เขาตอบ รักไม่มีเรต โรแมนซ์มีเรตได้ วัยว้าวุ่นเน้นวัยรุ่น ว้ยว้าวุ่นเน้นผู้ใหญ่ แต่ที่เห็นลงงานมั่วกันหมด
fl ธญว เอางานออกแล้วตั้งแต่รู้ว่าเกี่ยวกับ okkbee กูแบนนายทุนเจ้านี้ตั้งแต่เอางานไปทำบุฟเฟต์ เอาไปขายที่อื่นโดยไม่บอกนักเขียน นักเขียนไม่รู้ไม่ออกมาด่าก็ยังทำต่อ
>>722 ส่วนใหญ่ก็กลุ่มเดียวกันนั่นแหละ มี fic ที่จะมาจากกลุ่มอ่านแปลจีนแวบมาอ่านบ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรหรอก raw มาจาก ดด+meb แต่คนอ่านมันก็วนๆ กันไปหน้าเดิมๆ เปลี่ยนเว็บอ่านแค่นั้น ดด งานเยอะคนลงเยอะงานปลิวเร็ว หน้าใหม่มึงก็ไปเก็บแต้มช่วงคนลงน้อยๆ ช่วงตีหนึ่งอะไรแบบนั้น คนเยอะพอควรแล้วก็ไปช่วงเวลาคนอ่านเยอะเช่นสี่ห้าโมงเย็น แต่ถ้างานมึงกากลงตอนไหนก็ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้างานมึงดี ตอนมึงเยอะสักสามสิบตอนขึ้นไปแล้วลงยังไงก็มีคนอ่านระดับหนึ่ง ถ้าสามสิบตอนแล้วคนยังอ่านน้อย มีคนอ่านไม่ถึงร้อยควรพิจารณาตัวเอง fic กูไม่ลง ยุ่งยาก เลยบอกไม่ได้ รู้แต่เว็บเป็นที่รู้จักวงกว้างเพราะเอานิยายจีนมาแปลไม่ใช่เพราะงานไทยไปลง ถึงก่อนหน้านี้คนไทยจะพอรู้จักบ้างก็รู้จักในหมู่คนเขียนไม่ใช่คนอ่าน คนอ่านไปรู้จักพวก ธวล มากกว่า raw มึงลงช่วงเปิดเรื่องบ่อยๆ มันจัดอันดับเรื่องลงใหม่แยกให้คนก็จะอ่านหมวดนี้เยอะ ถ้าเรื่องเก่าแล้วจะไปอยู่การจัดอันดับแบบอื่น เรื่องใหม่ก็สู้เรื่องใหม่กับค่อนข้างใหม่ด้วยกันแล้วหน้านี้มันมีโฆษณาไป meb ด้วย คนอ่านก็จะตามเร็ว ช่วงลงใหม่ๆ ลงได้ก็ควรลงทุกวันให้ติดชาร์ตหมวด ไม่พร้อมอย่าเพิ่งลงเสียโอกาส มีเรื่องหนึ่งกูใช้ นปก ใหม่ ลง ดด วิวหลักหลายพัน - ใกล้ๆ หมื่น ลง raw วิว แสน คอมเม้นต์ต่างกัน 10 เท่า เพราะช่วงลงใหม่ๆ กูขยันลงแล้วงานติดชาร์ตหลายวันคนตามไว ส่วนเวลาลง raw แล้วแต่อารมณ์ว่ะ เรื่องมันไม่ได้เยอะมาก ชาร์ตบางชาร์ตแม่งก็แข่งกันเฉพาะเรื่องใหม่ เรื่องถ้ามึงแอคทีฟสักพักก็น่าจะติดชาร์ตใดชาร์ตหนึ่ง ไม่ได้จมลงไปเลย แต่กูว่าคนอ่านรวมๆ จำนวนก็ไม่น่าสู้ ดด ได้ ยังไง ดด คนอ่านก็ยังเยอะสุดอยู่
ขอบใจมากเพื่อน
ทำไงดีวะกูแต่งตัวละครนิสัยคล้ายๆกันไปหมดเลย คือตอนวางพล็อตก็คิดไว้นะว่าตัวนี้สบายๆ ตัวนี้จริงจัง ตัวนี้ฉูดฉาด แต่พอเข้าบทสนทนาแล้วกูจะใส่ความเสียดสีเข้าไปตลอดเลยไม่ว่าใครจะคุยกับใคร กูเป็นพวกตลกร้ายไง เวลาถามตอบก็หลุดไม่พ้นจากความเป็นตัวเองน่ะ ทีนี้เลยกลายเป็นว่าเพื่อนนางเอกช่างเสียดสี ญาตินางเอกก็ช่างเสียดสี พี่ชายนางเอกก็ช่างเสียดสีอีก อ่านแล้วไม่มีเสน่ห์เลย
นั่นน่าจะมาจากอินเนอร์ในใจมึงรึเปล่า
กูเคยเป็นนะ แก้ด้วยการระบุไปในหัวว่าตัวละครตัวนี้คล้ายตัวละครในนิยาย การ์ตูน อนิเมะ นักแสดงคนไหนอะไรก็ว่าไป แล้วความรู้สึกตอนบรรยาย หรือบทพูดขิงตัวละครตัวนั้นจะเปลี่ยนไปตามในหัวเลย
กูชอบอ่านเสียดสีนะ แต่มึงก็หาตัวละครที่ไม่เกทว่าโดนเหน็บไว้บ้างสิ
เขียนแบบตัวเองกำลังแสดงหนังดิ สวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆ คิดว่าคนนั้นจะพูดอะไร ตัดสินใจอะไร กำหนดอุปนิสัยพื้นฐานกำกับไว้ด้วย แค่แนะนำอ่านะ แล้วแต่มึงจะใช้
กูจะทำนิยายขาย แล้วอยากแทรกรูปประกอบลงในแต่ละตอน แต่กูควรแทรกไว้ที่ตรงไหนถึงจะดีวะ
ย.จ.ด. คืออะไรวะ
กูเริ่มเครียดที่กูรู้สึกว่าเซนส์ตลกกูไม่ตรงกับชาวบ้าน ถึงตลกกูจะตลกกริบๆหน่อยไม่ได้ตลกโบ๊ะบ๊ะแต่มันก็น่าจะขำบ้างดิ ทำไมเหมือนกูขำอยู่คนเดียว ไม่มีใครฮากับกูเลย หรือว่าจริงๆมันไม่ขำวะ
เดี๋ยวนี้เว็บห้องสมุดยังมีนักอ่านอยู่ไหมวะ กูเพิ่งเอานิยายตอนแนกไปลงที่นั่นครั้งแรก งงไกับระบบพอสมควรเลย พอลงไปละไม่มียอดวิวเลยสักคนกูเลยงงว่ากูยังไม่ได้กดอัพมันหรือไม่มีคนมาอ่านจริงๆวะ (คือถ้าไม่มีนี่มันจะไม่มีแม้กระทั่งยอดคนคงิิิกอ่านวิวสักวิวเลยเหรอ กุงงมาก)
กูถามในนี้ได้ไหมเนี่ย อยากลองทำงานทางด้าน Content writer ดู ใครพอมีประสบการณ์ทางด้านนี้บ้าง บอกอะไรที่กูควรรู้ที่ บรรยากาศการทำงานการปั่นงาน บลาๆๆ
เพื่อน กู >>722 นะ ที่เคยถามเรื่องลงนิยายใน เด็กดี readawriteกะ fictionlog กูมารายงานผล
กูลงนิยายมา 1 อาทิตย์กว่าละ แต่ไม่ได้ลงทุกวันแบบที่เพื่อนโม่งแนะนำหรอกนะ เพราะสต้อกกูไม่พอ ตอนนี้ลงไปสามตอน ผลตอบรับโอเคเลย ตอนนี้ติดหน้าแรกของนิยายออกตัวแรง หมวด BL ของ readawrite ละ โคตรดีใจ รู้สึกซัคเซสมากที่พานิยายตัวเองไปจุดนั้นได้แม้จะเป็นมือใหม่ไร้ขื่อ และไม่ใข่นิยาย nc อิ๊อ๊ะ อ๊า ถึงแม้นี่จะแค่ความสำเร็จก้าวเล็กๆก็ตาม
สำหรับคนอื่นๆที่คิดจะเอานิยายลง กูเห็นด้วยกะเพื่อนโม่งเลยว่าถ้าอัพบ่อยๆได้ทุกวันนี่ดีแน่นอน
สต้อกไว้เยอะๆแล้วค่อยลง (เเต่ของกูไม่ทันแล้วดันใจร้อนลงตอนแรหไปทั้งที่สต้อกมีไม่เยอะ เลยต้องมาปั่นตาแหกอัพตามกำหนดไม่ให้ยอดตกหาย) ส่วนทางง fictionlog นี่เงียบมากกกก ฝั่งเด็กดีของกูพอๆกับ readawrite
ปล. ขอบคุณเพื่อนโม่งมากๆสำหรับคำแนะนำ ช่วยกูได้เยอะเลย
อยากถามว่าเพื่อนโม่งเขียนตัวละครหญิงยังไงให้เป็นที่รักของคนอ่านวะ กูเขียนนิยายเรื่องนึงแล้วมีแต่คนด่านางเอกหรือตัวละครหญิงของกูทุกที กูเสียจึย เลยอยากได้คำแนะนำจากในนี้หน่อยว่าแบบไหนที่เขาเรียกกันว่าน่ารัก
ลืมบอกไปว่าไม่มีประเด็นรักสามเส้าใจโลเลเผื่อเลือกอะไรทั้งนั้น นางเอกกูเป็นผู้หญิงนุ่มนิ่มบอบบางเรียบร้อย ไทป์สาวหวานมาเลย อาจจะมีเจ้าน้ำตานิดหน่อยเพราะนางขี้แย หรือเขาจะไม่ชอบสไตล์นี้กันวะ
นางเอกนุ่มนิ่มเรียบร้อยกูอ่านได้ แต่กูไม่ชอบนางเอกเป็นง่อย แบบสาวเกินจนทำไรไม่เป็นเองเอาแต่พึ่งคนอื่น แนวนางเอกยุคโบราณโง่ๆเชื่องๆ โดนรังแกก็ไม่สู้ไรงี้อ่ะ อ่านแล้วรำคาญ
กูว่าบุคลิกพระเอกนางเอกจะเป็นไงก็ได้ ถ้าเรื่องมันสนุกถูกใจ คนอ่านมันก็อ่านนั่นแหละว่ะ คนอ่านมีหลายกลุ่ม บางเรื่องกูไม่คลิกเลย แต่คนอื่นเขาคลิกก็มี แต่ถ้าเนื้อเรื่องมันดาวพระศุกร์มากมันก็อาจจะเชย แต่กูเชื่อว่ายังมีคนชอบอีกเยอะ
อยากถามเพื่อนๆโม่งหน่อยนะ พอดีกำลังจะเขียนนิยายเซตติ้งยุโรปโบราณพวกขุนนางเทือกนี้ แล้วสงสัยเรื่องลูกนอกสมรสอ่ะ คือหาไปแล้วเจอว่าถ้าพ่อยอมรับแล้วตั้งเป็นลูกตามกฎหมายได้ แล้วถ้ากรณีพ่อตายไปแล้ว คนขึ้นแทนพี่น้องนี่ตั้งพี่น้องได้ไหม อันนี้สงสัย
*ได้รึเปล่างี้ มันอาจจะสับสนหน่อยๆ555 แต่ถ้าอย่างเพื่อนว่าว่าได้แต่พ่อ ก็เอาตำแหน่งคนสนิทไปละกัน
ต่ออีกนิด อันนี้คือกูไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้ ก็ห่างนิยายแนวนี้
ถ้านางเอกแต่งก่อนพ่อตาย ลูกเขยเหมือนจะรับบรรดาศักดิ์ได้ ในกรณีที่มีแต่ลูกสาว แต่มาแต่งหลังพ่อตาย บรรดาศักดิ์ไม่ได้
>>754 คือกูคิดเรื่องให้มันยุ่งยากเองแหละยอมรับ555 คือส่วนตัวก็เคยอ่านแล้วเลือนๆไปเหมือนกันอันนี้ยอมรับ จำได้และค้นเจอแค่ว่าถ้าตำแหน่งลูกสาวรับแล้วไม่ได้แต่งงานตำแหน่งขุนนางมันจะตายไปในรุ่นนี้ไปเลย แต่ถ้าอย่างเพื่อนบอกว่าแค่มีลูกชายไม่จำเป็นต้องเป็นในสมรสก็ต่อจากพ่อได้ กับข้อมูลเพิ่มเติม ก็คงต้องไปแก้รายละเอียดใหม่แหละแบบนี้
>>756 ลูกนอกสมรสก็รับได้ กูอ่านอยู่เรื่องหนึ่ง จำชื่อเรื่องไม่ได้ พระเอกเป็นลูกนอกสมรส โดยไม่รู้ว่ามันกับเพื่อนอะพ่เดียวกัน ละทีนี้พอเพื่อนตาย พ่อมันถึงมาตามพระเอกมารับบรรดาศักดิ์แทนตัวเอง หรือก็มีอีกเรื่อง กูรางเลือนมาก แต่ในเซตนั้น คือพวกผู้หญิงอะลูกสมรส แล้วมันไปตามน้องชายนอกสมรสมารับบรรดาศักดิ์ของพ่อ มีน้องชายนี่แหละ เป็นเล่มปิดเซต
มึงงงง ขอระบายอะไรโง่ๆหน่อยนะ กูเฟลว่ะ กูเป็นนักเขียนใหม่ที่เพิ่งลงงานไป ตแนนี้ลงนิยายไปได้สี่ห้าตอนละ คือกูไม่มีฐานแฟนคลับอะนะ ชีวิตเลยขาดแคลนคอมเม้นต์กะซัพพอร์ตมาก ตอนนี้นี่แบบคนที่มาเม้นให้นิยายกูมีแตาขาประจำสองสามคนเท่านั้น (ซึ่งกูก็รู้สึกขิบคุณเขามากๆนะ) ละอบบวันนี้กูเข้าไปส่องยอดนินายตัวเอง เจอว่ามีคนถอนเฟบนิยายกูไปคนนนึง ตอนแรกที่เห็นนี่ self กูสั่นสะเทือนมาก แบบโคตรคิดมากเลยว่านิยายกูไม่ดีเหรอ ทั้งที่มันเป็นแค่ยอดเดียวอะ แล้วมีคนเฟบนิยานกูเรื่อยๆนะ วันละสองสามคน และกูก็รู้ว่ามันก็เกี่ยวกับรสนิยม บางคนอ่านไปแล้วรู้สึกมันไม่ใช่ เค้าก็มีสิทธิ์เลิดติดตามได้ คือมันมีทั้งคนชอบคนไม่ชอบอะ คือกูรู้นะ แต่กูก็รู้สึกสะเทือนใจอยู่ดี มันอดเฟลไม่ได้เลยมึง กูคงคาดหวังมากเกินไป ฮือออ
กูรู้กูไม่มีเหตุผล มันดูงี่เง่า แต่กูเฟลมากเลย
วันนี้กูมาเล่า เผื่อมีคนน้อยใจที่ยอดคอมเม้นไม่ขึ้น
บางทีกูพิมอะไรเสร็จหมดแล้วแต่พอจะส่งข้อความก็เจอปัญหาหลายอย่างชวนหัวร้อน จะด้วยความสะเพร่าของตัวเอง หรือระะบบเว็บ จนสุดท้ายก็ไม่ได้ส่งเม้นไป ถ้าใครไม่เห็นคอมเม้นให้คิดว่าบางทีนักอ่านอาจจะมีปัญหานะ
ไม่มีอะไรเพราะกูเพิ่งหัวร้อนมา กร๊าซซซ
กูเนี่ยเครียดกว่ามึงอีก มึงแต่งลง ดด กูเดาว่าคงไม่มีปัญหาเหมือนกะกู กูแต่งลง rw คนอ่านถือว่าอยู่ในระดับเยอะใช้ได้ แต่กูไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมตอน nc คนอ่านมันเยอะกว่าตอนอื่นมากๆ ตอนอื่นมันก็ไม่ได้น้อยหรอก แต่พอเป็นแบบนี้ บางทีมันทำให้กูขาดความมั่นใจอะว่าคนอ่านนิยายของกูเพราะ nc หรอ หรือที่มีคนอ่านแต่ nc เพราะเนื้อเรื่องมันไม่สนุกหรือเปล่า จะว่ากูงี่เง่าก็ได้ จริงๆแค่มีคนอ่านมันก็ดีแล้วแหละ แต่กูอยากให้ nc มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งไง อยากให้นักอ่านสนในที่เนื้อเรื่องมากกว่า หรือกูเป็นบ้าไปเอง เฟลไปเองวะ ลืมบอกว่า nc กูไม่ได้มีบ่อยนะประมาณ 2 ครั้งต่อเรื่องได้ แต่ยอดวิวแม่งจะต้องนำโด่งไปจากตอนอื่นทุกที ไม่เข้าใจเลย
คือกูก็มึง NC ก่อนนะ ถ้าเข้าไปแล้วยิ่งเจอ แปะหลังตอนว่า NC คือ บางคนกูอ่านแล้วมันคลื่นอะ มันไม่ฟิน กูไม่อยากเสียเวลาเลยขอดูก่อนอันดับแรก แล้วก็ดูด้วยว่ามัน ข่มขืนหรือเต็มใจ ถ้าข่มขืนกูก็ผ่าน
เดี๋ยวนี้ยังมีสนพ.รับพิจารณาต้นฉบับนข.หน้าใหม่ไหมวะ หรือเขาจะหาเอาเองเฉพาะพวกที่ติดท็อป กับนข.หน้าเก่าเท่านั้น
กูมาขอพื้นที่ระบายความท้อหน่อย กูลงงานขายอีบุ๊ค แต่ยอดโหลดน้อยอย่างกะจิ๋มมด รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันแล้วแต่รสนิยมคนอ่านล่ะนะ แต่มันก็ห้ามความท้อใจไม่ได้ว่ะ มีพล็อตเรื่องต่อไปละ แต่ไม่มีกำลังใจจะลงมือเขียนเลย กูเขียนเพราะชอบการเขียน แต่ส่วนหนึ่งก็ยอมรับว่าเขียนเพื่อขายด้วย ตอนนี้เฟลว่ะ หมดกำลังใจ
>>775 กอดด้วยคนมึง ล้มลุกคลุกคลานแต่ไม่ท้อเนอะ จะผ่านไปด้วยกัน 🧡
Ky มึง นิยายกูกำลังจะออกเล่มใหม่(ออกงานสือ) แล้วเล่มเก่าคือดังประมาณหนึ่ง คนเลยคาดหวังกับเล่มใหม่เยอะ ซึ่งกูรู้ว่าทำได้ไม่ดีเท่าและมีจุดติเยอะ
กูกลัวอะมึง กูกลัวเขาคาดหวังสูง พออ่านจริงเขาเฟลละจะด่าจะติแรง ๆ กูยิ่งใจบางอยู่ด้วย กูกลัวจนแทบไม่อยากให้คนแห่ไปซื้อเยอะ ๆ ด้วยซ้ำ กูจะผ่านมันไปยังไงดีวะ
Ky ซ้อน
นักเขียน(เช่นกู)บางคนแม่งอ่อนไหวง่ายชิบหายเลย ใจบาง ๆ ที่ฟูง่ายแต่ก็เจ็บง่ายเสมอ กูเคยออกจากห้องตอนกลางดึกไปร้องไห้เพราะคนอ่านบอกว่าจะไม่อ่านต่อด้วยซ้ำ กูคิดจะเลิกเขียนด้วย บางทีกูคงอ่อนแอเกินไปว่ะ
เป็นกำลังใจให้เพื่อนโม่งทุกคน ทำดีที่สุดแล้วนะมึง ขอให้มีความสุขกับทางที่เลือกเดิน ถ้าวันหนึ่งกูเลิกเขียนนิยายก็จะพยายามไม่โทษตัวเองเหมือนกัน
>>779 ฮือออ กอดมึงนะ เข้าใจเลย ใจกูก็บางประมาณมึง ขนาดมีคนถอนเฟบนิยายกู กูยังเฟลมาหๆอะ ฟีลแบบไม่มีกำละงใจแต่งต่อแล้ว
แต่ดูของมึงน่าจะหนักกว่ากู กอดนะ ถ้ากูรู้จักมึงเป็นการส่วนตัวกูจะกอดมึงแน่นๆเลย กูรู้ว่าความคาดหวัง คาฝวามกลัว การต้องแบกรับความดห็นคนอื่นมันลำบากมาก ยิ่งกับคนใจบางๆด่วยแล้ว มึงควรมีใครสักคนที่เข้าใจและอยู่ข้างๆมึงนะ (ซึ่งกูก็ยังไม่มี อยากจะร้องไห้)
>>775 ให้กำลังใจมึง มองแง่ดีมึงเป็นนักเขียนในยุคที่ไม่ต้องพึ่งสำนักพิมพ์มึงมีอิสระและโอกาสกว่าสมัยก่อน และไม่ต้องเข้าเนื้อทำหนังสือเองไม่ต้องกลัวหนังสือขึ้นราขายไม่ได้ อีบุ๊กมันยังดีกว่ากระดาษปลวกแดกแน่ๆ ตอนนี้ไม่โหลดงานใหม่เปรี๊ยงขึ้นมาคนก็ตามมาโหลดงานเก่านะ
พวกมึงง กูหมดกำลังในการเขียนมากเลย กูอัพนิยายลงแต่ผลตอบรับเงียบสัสๆ โคตรท้อเลยว่ะ แต่กูก็อยากให้นิยายตัวเองออกมาเป็นอีบุ๊คอยู่อะ โคตรแบบ อยากเดินต่อแต่ไม่มีแรงมากๆ
เดี๋ยวนี้ตลาดแนวสืบสวนเป็นไงบ้างวะ ถ้ากูทำเป็นอีบุ๊คแล้วจะพอขายได้ไหม
พอดีกูเข้าเว็ปอีบุ๊คแล้วเจอแต่แนวรัก เห็นแล้วอยากจะร้อง
กูชอบอ่านนะพวกสืบสวน มึงเขียนแล้วมาเรียกไปอ่านด้วย
โม่ง มีใครมีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารจีนสมัยก่อนใหม่จะเว็บหรือหนังสือก็ได้
ถ้าสืบสวนล้วนมึงขายยากแน่ ต้องรักปนสืบสวนขายได้ ถ้าปมดีเน้นปมสืบสวน ถ้าปมอ่อนเน้นคสพ.
ปรึกษาหน่อย พวกนิทานดัง ๆ อย่าง ซินเดอร์เดร่า อะลาดิน หนูน้อยหมวกแดง มันมีลิขสิทป่าววะ
ถ้ากูเอามาทำใหม่เป็นเวอร์ชั่นของกู จะผิดไรป่าว
ถ้าเอานิสัยของคนที่เรารู้จักในชีวิตจริง (รวมถึงตัวเราด้วย) มาสร้างเป็นคาร์แรคเตอร์ในนิยายแบบนี้นี่จะผิดไหมวะ แบบเอามาแค่นิสัยนะ
พอดีกูเป็นนักเขียนหน้าใหม่แบบเพิ่งคลอดจากท้องแม่แล้วอยู่ ๆ ก็ปิ๊งพล็อตเข้ามาในหัวอะ
นอกจากแว่นแก้วกับพานแว่นฟ้าแล้ว ตอนนี้มีงานประกวดไหนที่รับงานประเภทนวนิยายอีกไหมวะ
มึง ใครรู้ระบบสำนักพิมพ์ สถพ มั่งวะ กูมีนิยายที่เขียนจบ 1 เรื่อง กำลังจะส่งสนพ. กูอยากรู้ว่าที่นี่ตีพิมพ์ขั้นต่ำเท่าไร มีใครรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของที่นี่บ้าง โปรดสงเคราะห์กูหน่อย เห็นเขามีดราม่ากันเยอะเหลือเกินงี้ กราบบงบ
>>775 กูเหมือนมึงเลยจ้า ขายเล่มละ 299 แบบโนเนมมาก ไม่โปรโมตไม่หีไม่แตด สามเดือนละได้มา 20 โหลด (อี 15 โหลดแรกได้เพราะจัดโปรเหลือ 199) ตอนนี้กูหันมาเขียนเรื่องสั้น 18 บวก ขายเล่มละ 29 บาท ถถถ ยังขายได้จิ๋มมดเลยมึง ตอนนี้คือกูหวังกับสนพ.อย่างเดียวแล้วละ มึงลองหาแนวทางอื่น ๆ ดู เฟลได้ แต่มึงต้องรู้ว่าชีวิตมีทางเดินให้เดินอีก สู้ ๆ นะคะ
ใครเป็นเหมือนกูบ้างวะ พอมีความรักแล้วเขียนนิยายรักไม่ดีเลย อ่านงานตัวเองแล้วมันไม่อิน ไม่ฟินเหมือนตอนโสดๆ เหงาๆ นี่กูเลยเทคนคุยไปหลายคนแล้วเพราะทำงานไม่ได้ดั่งใจ เศร้าว่ะ ต้องขึ้นคานแลกกับเงิน
กูเป็นนักเขียนมือใหม่ คิดพล็อตได้เยอะมาก วางโครงเรื่องได้จนจบ แต่การอธิบายออกมามันยากสำหรับกู กูจะสื่อว่าตลค.ทำแบบนี้คิดแบบนี้ แต่พอพิมพ์ออกมาแล้วภาษามันธรรมดามาก คำเชื่อมก็ซ้ำๆ ย้อนไปอ่านที่ตัวเองเขียนแล้วรู้สึกว่าดูเร็วไปหมด อยากได้แบบเนิบๆแต่ก็ไม่รู้จะใส่อะไร ควรทำไงดี
ค่อยๆเขียน ใจเย็นๆ ลองเขียนฉากเดียวด้วยการบรรยายหลายๆแบบดู แบ้วมึงจะเจอจังหวะการเล่าเรื่องที่มึงชอบเอง
เอ้อ ขอถามหน่อย มีใครที่ลงขายอีบุ๊คทั้งที่ไม่มีฐานแฟนคลับไหมวะ แบบหน้าใหม่ ยอดเม้นน้อยๆไรงี้ หรือคนที่ไม่ได้เอานิยายลงเว็บแต่แต่งจบละมาขายเลย (แบบไม่ได้มีชื่อมาก่อนอะนะ) ยอดเป็นยังไงกันมั่งวะ แบ่งปันกูหน่อย กูนี้ดข้อมูลมากๆ
แล้วทำไมมึงไม่ลงเว็บวะ คือยุคนี้มันก็มีแพลตฟอร์มให้มึงใช้ประโยชน์เยอะแยะในการโปรโมทก่อนลงขาย ใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ดิ ทำเพจ กดโฆษณา ถ้ามึงอยากได้ยอดจริงๆ มึงก็ต้องทำอะ จะมาเหนียมๆ เก็บตัวแล้วหวังให้คนมาเจอมันเป็นไปไม่ได้
กู 808 นะ คือกูก็ลงนะ สองสมที่ได้ ยอดเฟบถือว่าโอเคอยู่(สำหรับกูนะ คือกูก็ไม่รู้ว่ามันนับว่าน้อยหรือมาก ถ้าเทียบกับจำนวนตอน กูกะไม่เป็น) แต่ยอดเม้นนี่น้อยนิด ตอนนี้ลงได้ 10 ตอน มีเฟบ 85 ยอดเม้น 44 ซึ่งกูคิดว่าคนที่มาเม้นๆนี่ก็ไม่ชัวร์ว่าถ้ากูลงอีบุ๊ค เขาจะมาซื้อไหมอะ เลยอยากรู้ว่าของคนอื่นๆเป็นไงกันมั่ง
แง โคตรเงียบเลย
>>814 แบบนั้นถ้าหน้าใหม่แกะกล่องก็ถือว่าพอใช้ แต่พูดถึงยอดขายจริงจังกูว่าเป็นจำนวนคนติดตามที่น้อยไปหน่อยนะ สำหรับกูคิดว่าเรื่องไหนคนติดตามไม่ถึง 3 พัน จะให้ขายดี มีป้ายการันตีเป็นเรื่องยากพอสมควร งานบางงานคนตามห้าหกพันขายไม่ค่อยดีก็มี (กูชอบส่องบ่อยว่างานใครขายดีบ้าง ช่วงไหนลงเล่มก็เอางานตัวเองเป็นตัววัดเพราะลำดับมันก็เห็นๆ กันอยู่ งานหน้าใหม่บางคนขายดีกว่ากูก็มี) เว้นแต่งานมันมีอะไรบางอย่างดึงดูดคนได้อะ คือดูปก อ่านโปรย อ่านแล้วตัวอย่างก็รู้ว่างานมันขายได้เลยแบบนั้นก็มีโอกาสอยู่ ส่วนหน้าเก่าบางคนไม่ได้อัพบ่อยๆ ลงเล่มเลยโอกาสขายดีก็มีมากกว่า เอาเฟบมาชี้วัดลำบาก
หน้าใหม่กูว่าจะให้ขายดี เฟบ 20 ตอนควรหลักพันแล้วอะ แสดงว่างานมีอะไรดีให้คนตาม แห่ตามกันมาอ่าน แต่ที่ดีที่สุดมึงเขียนจบก่อนลงตอนสักหน่อยแล้วลง ebook ไปเลย ไม่ต้องรอเฟบเยอะ ใครทนไม่ไหวเขาไปซื้อ ebook อ่านต่อเอง มึงรอคนเฟบมากถ้าเนื้อหาไปเยอะแล้วคนเฟบๆ ไว้อาจจะไม่ซื้องานมึงแล้วก็ได้ หลายคนคิดว่ามันไม่คุ้มเงินเพราะได้อ่านนิดเดียว มึงไม่ต้องลังเลในการลง ebook ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ปิดเล่มไปแล้วก็เปิดเล่มใหม่ โอกาสมันมาเรื่อยๆ เท่าที่มึงปิดเล่มแล้วเปิดใหม่นั่นแหละ บางคนปังแต่แรก บางคนปังเรื่องสองเรื่องสาม
กูขอบ่นได้ไหมว่ะ นิยายกูยอดวิวตอน1-8มันเยอะนะมึง แต่ตอนหลัง10-20กลับน้อยลงมากกว่าครึ่งเหลืออีก เหมือนคนอ่านของกูแค่เปิดมาอ่าน2-3บทแรกแล้วก็ปิด ทำเอารู้สึกว่านิยายกูแม่งยังไม่ดีพอ คนอ่านเลยไม่สนใจตามต่อ กูอยากจะปิดแล้วแก้ใหม่หมดแต่กูก็อยากลงให้ขาประจำที่ตามเม้นกูตลอด กูพยายามที่ไม่สนใจยอดวิวแล้วเเขียนตามใจรักแต่แม่งทำใจยากสัส
ขอตอบมุมนักอ่าน คือเป็นคนเปิดเข้าไป ถ้าก๊อปมาแล้วลงพลั่วเลย เราไม่อ่านต่อนะ แต่ถ้าน่าสนใจคือ fav ไว้ ถ้ามันเป็นเล่มถึงจะซื้อมาอ่าน
สำหรับเราที่จะทำให้ยอมอ่านหน้าเว็บ ตัวขนาด 18 ปรับเป็นสีดำ ตัวอกษรถ้าได้คลอเดียจะดี แน่จะเปนอังสนาก็ยังไหว คือมันดูสบายตาดี พวกพิมพ์ในคอมแล้วลงเลยขนาด 14 กูไม่อ่านอะ แถมปล่อยไม่เปลี่ยนสี รู้ว่าปรับขนาดได้ แต่เสียสละอีกสักนิด นักอ่านเข้ามาไม่น้องควานหาปุ่มกดจะดีกว่ไหม
อันนี้พูดถึงอ่านหน้าเว็บ
จังหวะการเขียนกูไปคอมเมดี้ไม่ได้เลยว่ะ ลากเข้าดราม่าตลอด เฮ้อ
"ภาษาดี" ในความคิดของพวกมึงเป็นไงวะ
ช่วยแนะนำ นิยายภาษาดีให้หน่อย ถ้าไม่มีในเว็ปเอาเป็นเล่มก็ได้
เอาที่ซื้ออ่านง่าย ๆ นะ
>>824 ภาษาดี อันดับแรกคือ อ่านแล้วลื่นไหล รื่นรมย์ ใช้คำได้ถูกบริบท ไม่รวบรัดเกิน ไม่เยิ่นเย้อเกิน
ถ้าจะแนะนำนิยายภาษาดี ก็คงต้องเป็นของนักเขียนรุ่นใหญ่ ถ้าให้แนะนำนะ
ปิยะพร ศักดิ์เกษม...คนนี้ภาษาสละสลวย
กฤษณา อโศกสิน.....คนนี้ภาษามีเอกลักษณ์ มากอ่ะ คืออ่านแล้วดี แต่โทนเรื่องเค้าจะหนัก
โบตั๋น......คนนี้คือใช้ภาษาโครตธรรมดาเลย ไม่ใช่ภาษาแบบสละสลวยอะไร แต่วิธีเล่าเรื่องมันได้....สามารถทำให้ตัวละครดูหยาบคาย โดยไม่ต้องใช้คำหยาบ.. แต่ก็นะเรื่องเค้าหนักกว่าป้ากฤษณา อีก
>>831 กฤษณานี่รักหรอ ออกแนว slice of life นะเราว่า ชอบงานโบตั๋น โทนเรื่องคือบ้านมาก บ้านแบบชีวิตชนชั้นกลางเลยอะ อ่านแล้วมันชวนเอาใจช่วย จะผูกพันธ์กับตัวละครของโบตั๋นมากเพราะรู้สึกเหมือนเพื่อน ของปิยะพรเราชอบถึงขั้นรักเลยคือเรื่องใต้ร่มไม้เลื้อย อันนี้อ่านซ้ำกี่ทีร้องไห้ทุกครั้ง ทมยันตีนี่เราไม่อินกับแนวคิดเค้านะ แต่ยอมรับว่าเค้าเขียนได้เนียนและกล่อมได้อยู่ เรื่องค่าของคนเนี่ยตอนเด็กๆชอบมาก พระเอกเฮี้ยวน่ารัก อ่าานตอนนี้หรอ มึงไปตายซะไอ้เหี้ยยยยย 555555
ภาษาสวย สำหรับเรา คือปิยะพร ศักดิ์เกษม
ขอถามหน่อย เพื่อนโม่งมีใครใช้แท็บเลตเขียนนิยายมั่ง ปกติกูใช้โน้ตบุ๊ก แต่เจ๊งแล้วต้องซื้อใหม่ ช่วงนี้ไม่มีตังแล้วไม่อยากยืมคอมคนในบ้านด้วย เลยจะสอยแท็บเลตมาแก้ขัดก่อน กะเอารุ่นราคาเบาๆสีกสามพันอะ ถ้าพ่วงคีย์บอร์ดหรือไม่พ่วงเลยพอใช้พิมพ์สะดวกปะ มันจะมีแัญหาตอนอัปลงเว็บมั้ย
ห้องเซินเจิ้น กับ ตู้นิยาย ชอบหาว่านข.แปลงร่างมาอวยตัวเอง พวกมึงเคยแอบทำปะ
กูไม่เคยทำอะ ให้อวยนิยายตัวเองให้คนอื่นฟังไม่เขินเหรอ 55
>>843 กูเคยนั่งมองคนอื่นโดนด่าว่าเป็นกูด้วยนะ หาว่าโปรโมตนิยาย โดน 2-3 ครั้งแหนะ กูนี่แบบเฟลชิบหาย คือกูไม่ได้ทำอะ แล้วจะไปออกตัวว่าอิคนที่โดนด่าไม่ใช่กู กูตัวจริงอยู่นี่ต่างหาก ก็ไม่ใช่อะ เดี๋ยวจะพลอยโดนด่าว่าเข้ามาโปรโมตนิยายก่อนหน้านี้ใช่มั้ยอีก บอกไว้ตรงนี้เลยนะ กูคิดเหมือน >>847 คือไม่อยากให้นิยายตัวเองมีชื่อในนี้ด้วยซ้ำ คนติ 10 คนชม 5 งี้ ละคนติอะดีๆ ติเพื่อก่ออะ มันมีนะ อันนี้กูไม่ว่าหรอก แต่บางคนมันชอบติแบบแซะบ้างล่ะ ติมั่วบ้างล่ะ บางทีอิตัวคนตินั้นแหละเป็นคนที่ไม่ได้รู้ข้อมูลเอง พอมีคนมาบอกก็แค่ อ้อ กูเพิ่งรู้นะเนี่ยความรู้ใหม่ เออแล้วที่ด่ากูไปก่อนหน้านั้นล่ะว่ะ อิคนที่เข้ามาเห็นแต่ข้อความมึงแล้วไม่เห็นข้อความที่มีคนมาอธิบายล่ะ อย่าลืมดิ่คนเล่นโม่งบางคนแม่งไม่ได้เล่นทุกวัน บางคนก็ไม่ได้ย้อนอ่าน คนซวยมันคือกูอะ แล้วพอคนชมบ้างเสือกโดนหาว่าเป็นกูมาโปรโมตนิยายอีก กูนี่ก็แบบเชี่ยไรวะเนี่ย
นี่ละกูถึงคุยกับห้องนั้นอย่างไม่เคยมีความสุข ระแวงงงสูงว่าจะโดน ตอนนี้คนที่ชอบหาว่า นข เข้ามาโปรโมทคงเข้าใจอะไรมากขึ้น
นข.ใจบางไม่ควรเข้าห้องนั้นนะ แบบถ้าเจอคนติแรงๆนี่มีน้ำตาคลอแน่ๆกูว่า
>>850 กูว่าไอ่เรื่องติไม่เท่าไหร่ว่ะมึง อาจจะมีเฟลบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องยอมรับแหละมึง แต่อันไหนที่มันเกินเบอร์ ติเอามันส์ก็ปล่อยผ่านบ้างก็ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่กูอยากบอกนักเขียนใจบางที่หลงเข้ามาในโม่งทุกคนเลย วิเคราะห์เอาอันไหนเขาไม่ได้หวังดีก็ไม่ต้องไปใส่ใจ
แต่กูเกลียดสุด เรื่องที่แม่งชอบหาว่านักเขียนคนนั้นคนนี้มาโปรโมตนิยาย มึงคิดดูถ้าคนที่มันโดนกล่าวหาว่าเป็นนักเขียน มันทำพฤติกรรมเหี้ยๆ นักเขียนที่โดนปรักปรำก็ซวยอีก มันเสียหายอะมึง ตัวอย่างจากเรปบนๆก็แสดงให้เห็นว่ามันมีคนเดือดร้อน จากพฤติกรรมของพวกที่สักแต่พูดอย่างไร้ความรับผิดชอบพวกนี้จริงๆ
>>847 จริงงง กูนี่ขอเลยว่าอย่าโผล่ บางทีเกริ่นชื่อมาเรื่องนึง โดนโม่งสาวประวัติยาวเหยียดไปถึงเรื่องก่อนๆ ยันเรื่องส่วนตัว มันไม่เคยจบที่นิยายเรื่องเดียวเลย รอดออกไปแบบศพสวยมีน้อยมาก เหมือนคนในนี้จ้องแต่จะด่าอยู่แล้ว กูขออยู่เงียบๆ จ่ายเงินยิงโฆษณาให้นักอ่านกูดีกว่ามาแปะให้ใครไม่รู้ในโม่งเห็น
ในนี้แม่งแหล่งรวมอคติ วิธีแก้เผ็ดคือถามแม่งกลับรัว ๆ บทนี้เป็นไงหรอ ตัวละครนี้เป็นไงบ้าง บทนำควรปรับยังไง
พวกนี้แม่งอ่านผ่าน ๆ เท่านั่นแหละ พอเจอซักแบบละเอียด หายเงียบทุกราย
กูเป็นคนอ่านที่ติเพื่อก่อตลอด แบบกูอ่านมาเยอะ กูเกลียดพวกติไม่สนสี่สนแปด ติไม่มีเหตุผล มาด่าทิ้งระเบิดโครมแล้วจบ นักเขียนกับแฟนคลับที่เค้าชอบมาอธิบายก็ไม่ฟัง กูไม่ให้ราคาพวกนั้น พวกมึงที่เป็นนักเขียนก็อย่าไปให้ราคา คนอ่านซื้อเรื่องของมึงถ้าเค้าจะซื้อ คนไม่ซื้อแม่งก็ไม่ซื้อ บางเรื่องกูรู้เลยว่าติเพราะอคติ ติเพราะเวลมึงอ่านไม่ถึงเอง อ่านไม่รู้เรื่อง
>>853 ใครมันจะไปตอบละเอียดๆ ให้วะ คนปกติก็อ่านกันผ่านๆ ว่ากันตามที่อ่านนั่นแหละ มึงจะเอาละเอียดเป็นการเป็นงานก็ให้บรรณาธิการมาตรวจดีกว่านะในโม่งคงไม่มีใครเสียเวลามาตอบให้มึงละเอียดขนาดนั้นหรอก
เรื่องนิยายนี่ในโม่งมันก็คนอ่านคนเขียนปกติ มีคนชอบมีคนไม่ชอบ ยิ่งเรื่องไหนคนอ่านเยอะความเห็นต่างมันก็เยอะตาม พวกอคติชอบดราม่าก็มาก มึงจะขอนิยายแนะนำนิยายกูว่าไปเข้ากลุ่มในเฟสดีกว่าถ้าเป็นนิยายไทย
นักเขียนที่ทำมือเขาจ้างพิสูจน์อักษรกันปะวะ
หรือเขียนเอง ตรวจเอง พิมเอง
>>863 ได้หมดถ้ามีความสามารถ แต่พิสูจน์อักษรนี่มันไม่ใช่สักแต่ว่าตรวจคำผิดอะ มันมีหลักการใช้ภาษาไทยที่ต้องเข้าใจหลักการจริงๆ ด้วย เหมือนคนเรียนอักษรเขาไม่ได้เรียนมาตรวจคำผิด เขาเรียนพวกทฤษฎีของภาษาด้วยซึ่งคนปกติก็จะใช้ผิดอยู่บ่อยๆ
ปัญหาหลักๆ คือการทำงานร่วมกัน บางทีนักเขียนไม่โอเคอยากใช้คำผิดที่คนทั่วไปเข้าใจว่าถูก ซึ่งมันขัดกับสิ่งที่พิสูจน์อักษรเรียนมา เข้าใจก็เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ พิสูจน์บางคนแม่งก็ไปเปลี่ยนสำนวนคนอื่นเขา การทำงานมันเลยสำคัญที่ตัวบุคคลระดับหนึ่ง ไม่ใช่ใครก็มาเป็นพิสูจน์ได้ หรือเรียนอักษรมาแล้วจะเป็นพิสูจน์อักษรได้เลยเหมือนงานแปลบางคนแปลทื่อบางคนสละสลวยก็แปลเหมือนกันแต่มันก็ไม่ได้เหมือนกัน การทำงานถ้าทำงานร่วมกันไม่ได้มันก็ไม่ได้อะ ถ้าแค่ตรวจคำผิดมันไม่ต้องเรียนมาก็ได้
ส่วนราคามันก็หลายแบบ เอาพวกรับอิสระนะแบบประจำสำนักพิมพ์ที่ไม่ใช่คนนอกเขารับเงินเดือนของเขาอยู่แล้ว พวกรับอิสระมีแบบคิดเหมาเป็นเล่ม คิดเป็นหน้า (ปกติก็ a4 ขนาดอักษรเท่าไหร่ก็ว่าไป) คิดเป็นจำนวนคำ คิดเป็นอักษร แล้วแต่คนจะคิด มันไม่ตายตัว พอมึงเริ่มทำมาหลายเล่มก็อาจจะเจอราคาเหมาให้แบบคุยง่ายๆ คิดง่ายๆ แต่แม่งต้องเกรงใจกัน ไม่ใช่เล่มแรก 150 หน้า ราคานี้ เล่มต่อมา 300 หน้าจะเอาราคาเดิมมันก็ไม่ใช่ บางทีเกินมานิดหน่อยเขาไม่คิดมาก ขาดไปนิดหน่อยไปขอต่อพิสูจน์อักษรแม่งก็อาจลาขาดเหมือนกัน อยู่ที่ดีลแล้วพอใจกันไหม พวกใหม่ๆ ก็จะหาที่ถูกๆ ก่อน พวกจ้างบ่อยก็เริ่มคิดแล้ว คนนี้ทำงานโอเคไหม คนนี้ทำงานเร็วไหม คนนี้ชอบดองงานไหม ราคาแม่งจะเริ่มเป็นปัจจัยรองคุณภาพงานจะเริ่มเป็นปัจจัยหลัก
กูขอถามเกี่ยวกับ สนพ. หนึ่งหน่อยได้ไหมอ่ะ ไม่รู้จะไปถามที่มู้ไหนดี Orz
คือ สนพ.สถาwร เนี้ย ชอบเทนักเขียนหรอวะ แบบ ไม่มีการติดตามงานนักเขียนให้เขียนต่อ บางเรื่องพอทำรูปเล่มออกมาไม่ดี ออกไม่กี่เล่มก็เทเขาเฉย ทั้งๆ ที่นักเขียนเขายังเขียนต่ออยู่ ส่วนนักเขียนบางคนที่ไปเปิดเรื่องใหม่ เพราะเรื่องเก่าตัน สนพ. ไม่มีการกำหนดเดดไลน์ หรือวิธีกระตุ้นนักเขียนอะไรเลยหรอ ปล่อยให้หายไปเฉยๆ สุดท้ายก็ตัดทิ้ง ลบหนังสือของนักเขียนคนนั้นออกจากเว็บ ไม่ประกาศไรต่อสักอย่าง
กูเฟลมาก กูอยากอ่านต่อ
เดี๋ยวนี้เราตามนักเขียน ไม่ได้ตาม สนพ.แล้ว ถ้าเจอที่ชอบ ถ้าสนพ.ไม่ตีพิมพ์ให้ เราก็พร้อมเปย์งานทำมือ หรือออกกับที่อื่น เราก็ตามไปซื้อ หรือจะออกแค่อีบุ๊คก็ตามไปสุดหล้า อยากให้ นข มีกำลังใจทำต่อ เพราะบางครั้งถึงจะปวดใจแทนนักเขียน แต่ก็เรื่องจริงของนักเขียนที่เราชอบเขาเขียนงานใสๆ แล้วไม่ดัง จากนั้นก็หายไปกับสายลม 😭
บางทีคนเขียนก็ตันไปต่อไม่ได้ นักเขียนไม่ใช่พนักงานตามได้แต่เขาไม่ทำหรือทำออกมาไม่ได้มันก็ไม่มีต้นฉบับให้ทำเล่ม บางทีทำออกมาแล้วขาดทุนสะสมหนักเกินก็ต้องตัดจบ งานนิยายสมัยนี้ความสัมพันธ์คนเขียนคนทำมันไม่ได้ผูกพันอะไรกันขนาดนั้น อยู่กันด้วยผลประโยชน์จากกันด้วยผลประโยชน์ คือทุกคนก็ต้องเอาตัวเองให้รอดกันก่อน บางทีนักเขียนเขาเขียนออกมาได้แต่โดนลดยอดพิมพ์เขาก็ไม่อยากเขียน ได้ตังค์น้อยไปเขียนเรื่องอื่นดีกว่าไหม ระบบสำนักพิมพ์แต่ก่อนนี่คือต้องรอหนังสือวางร้านสักระยะคนเขียนค่อยได้รับเงิน แล้วหนังสือกว่าจะทำลงร้านได้เสียเวลากันไปอีกหลายเดือน บางคนเขารอไม่ได้ บางคนเขาก็ไม่ไหว หลายเดือนไม่มีเงินมาหมุนจะอยู่กันยังไง เล่มหนึ่งกว่าจะเขียนออกมาได้ใช้เวลาไปเท่าไหร่แล้ว ส่วนสำนักพิมพ์ถ้าจ่ายเงินให้มากตัวเองขาดทุนจะทำไปทำไม ทำออกมาแล้วขาดทุนหนักจะทำยังไงต่อ อันนี้พูดรวมๆ หลายที่นะไม่เจาะจง เหตุผลเรื่องไม่เขียนต่อมันเยอะ แต่หลักๆ ก็เรื่องผลประโยชน์ ไม่ของนักเขียนก็ของสำนักพิมพ์
สอบถามหน่อย เรามีวิธีเช็กไหมว่า สนพ. เอานิยายเราไปตีพิมพ์ครั้งต่อไป แค่สงสัยน่ะ สมมติตีพิมพ์1000เล่ม ละขายหมดพันเล่ม ก็ต้องพิมพ์ครั้งที่2 ใช่มะ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า สนพ. มันพิมพ์ ไฟล์เลยไรก็อยู่กะทางนั้นหมด คือไม่มีประสบการณ์เลย
ขอบคุณสำหรับคำตอบล่วงหน้านะ
พวกมึงคิดว่าต้องเขียนขนาดไหนถึงจะเรียกตัวเองว่า "นักเขียน" ได้วะ
หรือแค่เริ่มเขียนบันทัดแรก ก็เป็นนักเขียนได้เลย
ความคาดหวังของคนช่างน่ากลัว ของกูอะเหรอ เปล่าเลย ของนักอ่านต่างหาก
ปกติเขียนตอนละกี่คำกันเหรอ กูล่อไป 4-5 พันคำเลยอ่า แต่เวลาอัพก็แบ่งอยู่นะ
>>881 ของกูไม่นับอะ กูไม่ชอบกะเกณฑ์ว่ะ กูรู้สึกว่า เวลาไปกำหนดมากๆ แล้วมันจะลดความสมบูรณ์ของจินตนาการ เวลาเขียนก็จะกดดันด้วยว่ามันจะเกินมั้ย ในหัวกูยังเขียนไม่หมดเลยทำไง ตัดตอนไปไว้อีกตอนหรอ แต่เนื้อหามันต่อเนื่องกันยุนะ บลาๆๆๆ อันนี้คือส่วนตัวกูนะ ส่วนคนอื่นมันก็แล้วแต่สไตล์การเขียนของแต่ละคนด้วย แต่ใส่หมดก็ไม่ใช่ว่ายัดเยียดลงไปให้เยอะไว้ก่อน ของกูถ้าตอนไหนแม่งได้ 10000 ก็ตามนั้น ตอนไหนได้ 2000 ก็ตามนั้น ไม่ตัดและไม่ยัดเยียดเนื้อหาเพิ่ม
มีปัญหาคำนับญาติว่ะ ช่วยที เด็กจะเรียกเมียของลุงว่าอะไรวะ แต่เมียลุงอายุน้อยกว่าแม่มันนะ อธิบายงง เอาแผนภาพไปดีกว่า
https://uppicimg.com/v/2gH4Qf6k
>>887 เว็บกาก เอาใหม่ https://m.imgur.com/a/SrwLnEB
เเล้วเมียลุง ไม่ใช่พี่น้องกะแม่มันใช่ปะละ
Ky พวกมึงเคยเจอนักอ่านเม้นด่าให้เปลี่ยนcharacter ตัวละครกันบ้างมั้ยวะ ทำนองว่านางเอกงี่เง่าปัญญาอ่อน รบกวนปรับปรุงนิสัยนางใหม่ด้วยนะคะ กูแบบเหวอมาก ไม่เคยเจอ จู่ๆ ก็โดนด่า แล้วเหมือนเขาอ่านตอนนั้นไม่ละเอียด กูใส่เหตุผลอธิบายไว้เรียบร้อยแล้ว พอด่าเสร็จก็หายเข้ากลีบเมฆ เหมือนเห็นนิยายกูเป็นถังขยะมาระบายอารมณ์ใส่อ่ะ เฟลมาก
>>894 เจอบ่อยมาก แต่มึงต้องเข้าใจว่าทุกคนไม่ได้ชอบเหมือนกัน นางเอกมึงอาจจะน่ารักสำหรับคนกลุ่มหนึ่งแต่อาจน่าหมั่นไส้ในสายตาคนอีกกลุ่มก็ได้ เป็นนักเขียนก็เหมือนดารา ต้องทำใจว่ะ แต่เดี๋ยวนี้นักอ่านคอมเม้นฮาร์ดคอร์ขึ้นเยอะจริงๆ ถ้าจะลงไปโต้ตอบก็ไม่รุ้มหรอก ชื่อเสียงสร้างยากแต่ทำลายง่ายนิดเดียว ถ้ามึงไม่ชอบก็เมินไป ใส่ใจกับนักอ่านที่คอยติดตามมึงดีกว่า
มึง พวกมึงชอบอ่านนิยายแบบไหนกัน มีบทบรรยายเยอะ ๆ มีบทสนทนาน้อยกว่า แต่เป็นบทสนทนาที่มีแต่เนื้อ ไม่มีการให้ตัวละครคุยสัพเพเหระ กับการบรรยายน้อย แต่ตัวละครสื่อสารกันเยอะ คุยกันเยอะ ๆ ขอถามหน่อย
ชอบแบบพอดีๆ สนทนากับบรรยายทำได้พอดีลงตัว สนทนาแล้วมีบรรยายเสริมบรรยากาศบ้างไรงี้
กูได้ยินมาว่าเด็กสมัยนี้ติดจอยจนอ่านนิยายบรรยายไม่ได้แล้ว ตกใจนิดนึงเพราะกูสายนิยายเน้นโวหารบรรยาย ไอ้พวกที่มีแต่บทพูดล้วนกูไม่ชอบอ่ะนะ
พวกมึงคือกูถามหน่อยสิ กูเจอนิยายเรื่องนึงในดด. ของนขคนหนึ่ง ออกแนววัยรุ่นๆ หน่อย ตอนแรกกูเข้าไปดูเพราะกูเห็นยอดเมนต์เขามากกว่ายอดเฟบ กูเลยแปลกใจ เพราะไม่ค่อยเจออะไรแบบนี้ แต่พอกูลองอ่านเมนต์ มึงเอ๊ยคนละสองร้อยเม้นท์อะ คือเม้นติดๆ กันถี่ๆ กูงงมาก แบบนี้ก็ได้เหรอ เหมือนนขเขาขอร้อยเม้นท์ คนเม้นเลยเม้นท์ให้ไปสองร้อยข้อความเดิมเป๊ะ ด้วย กูไม่ค่อยชอบพฤติกรรมแบบนี้เท่าไหร่ว่ะ เวลากูเขียนกูก็รอฟีดแบล็กกลับมา มาถามมู้นี้ว่าพวกมึงเคยเจออะไรแบบนี้ป่าว แล้วทำแบบนี้มันได้อะรายยยยย
>>902 มีบ่อยไป เม้นท์ถึงเท่านี้เท่านั้นจะมาอัพ หรือแบบขอกำลังใจหน่อยค่ะ อันนี้ขอแบบเลี่ยงๆ แต่ก่อนเคยหลงไปอ่านของ นข วัยรุ่น ของแจ่ม คุณ Hi เขาจะแบบมาอัพ แต่แบบ Loading จะมาแบบเนี่ย คนก็ รอค่ะ เป็นกำลังใจค่ะ เขาขอกะลังใจในการอัพ คือเขียนต้นฉบับแล้วนะ แต่ขอก่อน ยอดเมนท์พอใยแล้วจะมา คนอื่นกูเปิดเข้าไปดูก็เจอบ่อย พวกที่ดังๆ พระเอกถ่อยๆ แต่กูว่าอาจได้ตัวอย่างมากจากคุณ Hi นี่แหละ เพราะแตาละคน นิยายเหมือนจะได้แรงบันดาลใจมากจากคุณ Hi เพราะพระเอกสไตล์ หล่อ ฮอต ร้าย เลว เหมือนกันหมด
>>903 อันนี้กูยืนยันอีกเสียง คุณฮสมัยนั้นอัพหลอกบ่อยชิบหาย แบบเม้นถึงเท่านี้จะมาลงเนื้อเรื่องนะ ฟคก็รอนะคะ ติดตามนะคะ สู้ๆนะคะ
รำคาญสัส กูไม่ได้อ่านนิยายเค้านะ แต่เค้าอัพหลอกบ่อยจนอยู่ในหน้าอัพเดทตลอด เวลากูจะลองหาเรื่องใหม่ๆแต่มาเจอแต่เรื่องเดิมๆมันน่ารำคาญอ่ะ
ขอถามหน่อย เราควรลงจนจบเรื่องเลยแล้วค่อยเอาลงขาย หรือลงแบบไม่จบแล้วขายดีวะ
กูแนะให้ลงจนจบแล้วทยอยปิด คนที่ตามงานสนับสนุนกันมาควรได้อ่านจนจบ ้พราะกูว่านักอ่านเหล่านี้ช่วยให้เรามีกำลังใจเข็นมันจนจบ คนที่พึ่งมาตามถ้าเค้าชอบเค้าก็จะไปเก็บต่อเอง
บางเรื่องกูอ่านนะแต่ถ้าซื้ออ่านจบแล้วก็ถอนเฟ็บอ่ะ แบบกูขี้เกียจเช็คอัพเดทหลายๆเรื่องอันไหนอ่านจบแล้วคือถอนออกเลย
อยากให้คนอ่านเม้นต์ให้มากกว่านี้อะ บางทีแต่งตอนนึงตั้งนานได้รับคอมเม้นต์มาว่า รอนะ รอตอนต่อไป
กูก็ดีใจแหละ ดีใจมากๆ ที่มีคนรออยู่ มีแรงฮึดแต่งตอนใหม่ แต่บางทีก็อยากให้เขาหวีดๆ หรือพูดถึงฉากที่กูแต่งในตอนนั้นบ้าง T.T คิดไปคิดมาก็แอบเครียด เอ หรือว่านิยายกูมันไม่สนุกวะ เขาก็เลยเม้นต์ส่งๆ ไป ไม่ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ
เคยมีคนเม้นต์ชมว่าพระเอกนิสัยน่ารัก ตอนนั้นกูยิ้มดีใจหน้าบานไปทั้งวันเลย ฮืออ นานๆ ทีจะมีคนเม้นต์อะไรที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
>>915 ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะ ย้อนไปก่อนหน้านี้ประมาณปีกว่า กู...เป็นนักเขียนที่เม้นไม่มีเลยครับ เข้าใจดีที่สุดของที่สุด คืองานของกูไม่ใช่แนวตลาด ลงแรก ๆ ไม่มีคนเม้นเลย ต้องลงไปเรื่อย ๆ เกือบปีถึงจะมีแฟนประจำมาคอยเม้นให้
กูก็เคยคิดแบบนี้แหละ "คนเม้นอยู่ไหนวะ วิวก็เยอะแต่คนเม้นไม่มี"
กูเลยลองไปเป็นคนอ่านบ้าง ปรากฏว่าแม่มเจอปัญหาสารพัด บางเรื่องในแต่ละตอนมันธรรมดามาก ไม่มีอะไรน่าพูดถึง (จะบ่นก็ไม่ได้โดนไล่อีก) หรือบางทีจะเม้นให้กำลังใจ อีระบบเว็ปแม่งก็ค้าง สุดท้ายไม่เม้นแม่งเลย ไปเม้นตอนจบทีเดียว
แล้วระบบแม่งต้องค้างเฉพาะตอนเม้นยาวด้วยนะ ค้างทีจากสิบบรรทัดกูลดเหลือสองบรรทัดอะ บางที
เรื่องเม้นเนี่ยคือต้องทำใจมากๆถ้ามีก็ดี ไม่มีก็สู้ต่อไป
ขอบคุณที่ตอบนะ ก่อนจะมาลองเขียนกูก็เป็นนักอ่านมาก่อนเหมือนกัน ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เข้าใจทั้งสองฝ่ายอะ
ตอนนี้กูคิดได้ละ เพราะลองไปไล่อ่านนิยายตัวเองดูก็รู้สึกว่าแม่งไม่มีจุดพีคที่น่าสนใจจริงๆ นั่นแหละ จะร้อง...
ปกติเวลาคอมเม้นต์ยาวๆ กู copy เม้นต์ตัวเองเก็บไว้เลย ทำบ่อยจนชินเพราะรู้ว่าเว็บมันต้องล่ม ต้องค้าง ข้อความต้องหาย ต้องเกิดอะไรสักอย่างให้กูเม้นต์ไม่ได้แน่ๆ เว็บเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย บางทีเม้นต์ตอบนักอ่านก็ไม่ได้55555
มึงคือกูมีปัญหาว่ะ แต่งนิยายแล้วเวลามาอ่านทวนรู้สึกว่าสำนวนตัวเองมันแปลก ๆ คือสำนวนกูมันจะคล้ายกลอน กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสำนวนกูถึงเป็นแบบนั้น แต่อ่านแล้วแม่งไม่คุ้นตาซิบหาย กูก็เลยกลัวว่าคนอ่านเขาจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ กลัวว่าจะสื่อเหตุการณ์แต่ละฉากได้ไม่ถูกต้อง ทำเอากูไม่กล้าแต่งนิยายต่อเลยว่ะ
เจอเมนต์มาแนวๆ ถามสปอยล์นี่จะตอบยังไงให้น่ารักวะ เพิ่งเจอแบบนี้ ไม่อยากเสียคนอ่าน ยิ่งมีน้อยๆ อยู่
เออ ถามหน่อยพวกมึงซีเรียสเรื่องการบรรยายการงานตัวเอกแค่ไหนกัน กูน่ะแค่ต้องการบอกว่าที่ตัวเอกเรียนมาคนละสายกับกิจการที่บ้านเลยไม่ได้ไปทำด้วย อย่างสมมติที่บ้านเป็นเจ้าของห้าง แต่ตัวเอกเรียนโบราณคดี/วิศวะ/เภสัชทำนองนี้เลยไปสมัครงานที่อื่นทำเอา แต่กูไม่ได้พูดถึงไอ้พวกฉากโชว์เมพลงลึกเรื่องสาขาอาชีพมันนี่จะรู้สึกตะหงิดๆ ป่ะวะ แค่บรรยายว่าอ่ะมันเข้าบ.ทำงานของมันไปละมีไปวันๆ ละก้เป็นฉากดำเนินเรื่องทั่วไป
กูว่ามึงแต่งให้พระเอกจบมาอย่างทำอีกอย่างเพื่ออะไรสำคัญกว่า
มันมีผลกับคาร์หรือเนื้อเรื่องในอนาคตรึเปล่า ต้องมีฉากที่พระเอกโชว์สกิลของที่เรียนมามั้ย ถ้าบรรยายความเทพโดยไม่มีจุดหมายก็ไม่ต้องเสียเวลา ไม่เป็นไรหรอก
กูเขียนตัวละครไม่มีสกิลอะ ทำงานตามหน้าที่ไปวันๆ เลยง่ายหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกะเช้าชามเย็นชา
Meb นี่มันโอนเงินทุกวันที่เท่าไหร่นะ
แก้ๆ แล้วมันดูได้มะว่าในแต่วันว่าวันนี้ขายได้กี่เล่มแล้ว หรือต้องรอสรุปยอดเป็นรายเดือนอะ
คนอ่านซื้อหนังสือไปเรื่องนึง มีสิทธิ์วิจารณ์ได้ขนาดไหนวะ กูเฟลมาก รำคาญมาก มีคนไปคอมเม้นท์นิยายเรื่องล่าสุดของกู ว่าเคยอ่านเรื่องแรกแล้วไม่ชอบ เชี่ยเอ๊ย มันคนละเรื่องกันป่ะ
>>944 มึงลงขายในไหนวะเพื่อน กูลงในเมบ มีนักอ่านคอมเมนต์ว่าสั้นไป กูแบบอ้าว สั้นไปก็ไม่ได้ราคาเท่านี้ กูอยากขายถูก ๆ แต่กูก็ต้องคำนึงถึงปากท้องตัวเองบ้างอะ ให้เขียนเยอะ ๆ แต่ขายถูกมาก ๆ แล้วกูจะเหลืออะไรวะ
หลัง ๆ กูไม่อยากลงเมบละ บอกตรง ๆ กลัวประสาทแดก ความคิดคนขายกับคนซื้อมันต่างกันเกินไป หาจุดลงตัวไม่ได้อีเหี้ย รำคาญ ต่อไปนี้ส่งสนพ.อย่างเดียว
เดือนแรกพวกมึงขายได้เท่าไหร่กันบ้างวะ อยากรู้
คือ บางทีกูก็งงใจกับนักเขียน มึงทำงานศิลปะนะ เปิดใจหน่อยค่ะ มันก็มีทั้งชอบและไม่ชอบปนๆ กันไป คือถ้ามันอ่านแล้วไม่สนุก จะให้เขาไปบอกต่อว่าสนุกเหรอ สิ่งที่มึงทำได้อะ ตั้งสติแล้วมองดูนิยายตัวเองอีกทีสิ หาความแปลกใหม่ พัฒนาตัวเอง คนที่เขาไม่ชอบงานมึงอะเขาก็คงไม่กลับมาแล้วละ แต่ตอนที่มันไปบอกคนอื่นว่ามันไม่ชอบ มันไม่ดี ถ้าเขาเชื่อมันก็เรื่องของเขาบางครั้งข้อไม่ดีที่เขาบอกไป มันก็ไปช่วยคนอ่านตัดสินใจ เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็คงแล้วแต่คนที่มาอ่านรีวิวอ่านคอมเม้นท์ บางคนเคยเห็นคอมเม้นท์แล้วกูคนละเทสกัน เล่มไหนเขาบอกไม่ชอบ แต่กูอ่านรอด บางคนเขาก็ไปลองของมึง เอาเวลาที่มึงบ่นเขียนงานใหม่ คนอื่านใหม่ๆ เดี๋ยวก็มา เขาก็จะไปตามซื้ออีก พอนานไปมึงมีคนชอบเยอะขึ้น เดี๋ยวก็มีคนช่วยเถียงอิคนนั้นเองแหละว่า เราอ่านแล้วชอบค่ะ เพราะ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กูไม่ใช่นักเขียน แต่เสือกผ่านมา อ่านจะเขียนงงๆ
>>952 เป็นโรคชนิดหนึ่งมั้ง กูก็ไม่รู้เหมือนกัน เวลามีคนชมนิยายกู กูก็พิมตอบ "ขอบคุณ" ปกติ
แต่พอมีคนมาเม้นในแง่ลบ กูนี่ตอบยาวสี่ห้าหน้า เช่น มีคนมาบ่นเรื่องความไม่สมเหตุสมผล ถ้ากูสามารถแถได้ กูก็จะแถจนกว่าแม่งจะเข้าใจ หรือเงียบหายไป
กูว่ามันต้องเป็นโรคอย่างหนึ่งแน่เลย
กูว่าไม่ควรแถนะ ควรตอบขอบคุณสำหรับคำแนะนำ หรือถ้ามันมีจุดผิดพลาดจริงๆก็ควรบอกว่าน้อมรับแล้วจะนำไปปรับปรุงในเรื่องต่อไป
เอาจริง ๆ ถ้าตามเมนต์ไปทุกเรื่องแบบนั้นกูก็รำคาญว่ะ กูเป็นพวกความอดทนต่ำด้วยนะ ใครมาเมนต์นิยายที่กูลงให้อ่านในเว็บแบบในแง่ลบ แนว ๆ ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต้องอ่าน กูแบบปรี๊ดมากอีเห้ แต่สุดท้ายกูก็ลบเมนต์นั่นทิ้งอะมึง บั่นทอนจิตใจ กูไม่ชอบ เกลียด และไม่อยากเห็นด้วย
พวกมึงขายหนังสือในเมพเดือนแรกปกติขายกันได้ประมาณกี่เล่มวะ กูอยากรู้เป็นแนวทางอะ กูเห็นยอดขายตัวเองละท้อมาก
ปรึกษาหน่อยว่ะ คือกูจะพิมพ์นิยายเล่มแรก พอบวกลบคูณหารนู้นนี่ ต้นทุนแม่งเยอะชิบหาย แถมพิมพ์น้อยอีกต่างหาก
คือถ้ากูตั้งราคาปก แพงกว่าจำนวนหน้านี่ ถือว่าน่าเกลียดปะวะ เคยเห็นมีคนบอกว่าราคานิยายไม่ควรแพงกว่าจำนวนหน้า
>>967 กูว่าน่าเกลียดว่ะมึง เว้นแต่มึงจะมั่นใจว่างานมึงเจ๋งคูลมาก ซึ่งอันนี้ต้องอยู่ที่ลูกค้า/นักอ่านมองด้วย แต่กูเห็นใน meb โดนนักอ่านเม้นว่าหลายราย พวกที่ราคาแพงกว่าจำนวนหน้าอะ อย่างกูเอง ขนาดว่าจำนวนหน้าตั้ง 400 กว่า กูขาย 299 ยังโดนนักอ่านว่าเลยว่าแพงไปสำหรับนักเขียนโนเนม กูก็เฟลไปสักพักเหมือนกัน
>>966 ขายดีพอประมาณ มีป้ายแดงติด และมีคนขายดกว่ากับดีกว่ามาก หมวดที่คนอ่านค่อนข้างเยอะ(ไม่ใช่วายนะ) กูประมาณ 150 -300 เล่ม แต่ยอดประมาณนี้กูคิดว่าไม่ได้มีมากอะ จากที่สังเกตนิยายที่อยู่เหนือกูนะ แล้วทุกเล่มต้องติด top paid หน้าแรกอันดับบนๆ ด้วย ยอดประมาณนี้ ยอดจะตกลงทุกเดือน ขายพอได้แต่ละเล่มประมาณ 3 เดือน ยอดจากนั้นจะเริ่มช้าแล้ว
>>967 มีงไปเขียนตอนพิเศษเพิ่มหน้ากระดาษ เรื่องที่แพงกว่าหน้ามันก็มี แนววายกูเห็นหลายเรื่อง สุดท้ายมันก็ดูกันที่ยอดขาย ขายแพงโดนด่าแต่ขายดีก็แสดงว่าคนอ่านส่วนใหญ่เขาคิดว่าคุ้มเงินเขา มึงอย่าเอาความเห็นคนโดนด่าเป็นที่ตั้ง ทำแล้วขาดทุนอย่าไปทำ ให้ดูยอดขายเป็นหลักว่าคนอ่านเขาโอเคไหม คนซื้อเขาชอบแล้วไม่พูดอะไรเยอะแยะ คนไม่ซื้อด่าฉิบหายก็เยอะแยะเหมือนกัน แต่ถ้ามันน่าเกลียดมากไปในความคิดมึงก็อย่าไปทำ เช่นมีสองร้อยหน้ามึงขายสามร้อยห้าสิบงี้ สำหรับกูก็เกินไป ถ้ามีสักสามร้อยหน้าขายสามร้อยห้าสิบ ถ้าสนุกกูก็ไม่ซีเรียสที่จะอุดหนุน
กูอยากรู้ว่าขายใน meb มันขึ้นชื่อคนซื้อเปล่าอ่ะ หรทอขึ้นแต่ยอดซื้อ??
คือมึงแค่ดูจำนวนคำในเวิร์ดอะ มันมีบอกอยู่แล้ว
พวกมึงเป็นกันปะวะ เขียนนิยายเรื่องนึง แรก ๆ ก็สำนวนอีกแบบ กลาง ๆ เรื่องสำนวนอีกแบบ เห้อ กูเบื่อที่ต้องมารีไรท์ให้สำนวนมันเท่ากันอะ
>>979 เป็นเหมือนกัน เรื่องกูรีไรท์แม่ง 4-5 รอบ เขียนๆไปสักพักสำนวนเปลี่ยนอีกละ นักอ่านบางคนหาว่ากูรีไรท์เรียกยอด กูหงุดหงิดมากเลย กูนี่อยากจะบอกมากว่า มึงดูหน่อยได้ว่าสำนวนแต่ละตอนมันต่างกันแบบไปคนละหมวด เขียนไทยโบราณดีๆ กูก็เผลอเอาการพูดแบบจีนมาใส่บ้าง แฟนตาซีมาใส่บ้าง มึงอ่านๆกันนี่ไม่รู้สึกเลยหรอ กูกลับมาย้อนอ่านซ้ำยังอยากกดปิดเลย คิดว่ากูอยากรีไรท์บ่อยๆนักรึไง เหนื่อยจะตายห่า ถ้าเลือกได้กูก็ไม่อยากรีไรท์หรอก
สำนวนกุสลับไทยกับแก้วกานต์ว่ะ แต่ก็ยังเขียนไปๆๆ ไม่สน เอาให้จบก่อนค่อยรีไรท์ ยากสุดในการเขียนคือแม่งไม่จบสักทีนี่ละ พล็อตยังกะถั่ว งอกได้งอกดี
กูหนักใจแฮะ
คือแม่งช่วงนี้รู้สึกเพลียๆ กับงานประจำจนไม่ได้เขียนนิยายเลย แล้วก็ไม่รู้บังเอิญเป็นเหี้ยอะไรที่ตรงจังหวะมาก สื่อรอบตัวกูแม่งชอบประโคมเนื้อหาทำนอง "จงเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะชีวิตมันคือความไม่นแน่นอน" อะไรทำนองนั้น ซึ่งแม่งก็เสือกกระตุ้น "ต่อมอยากเขียน" กูขึ้นมาพร้อมกับความที่คิดว่า "ลาออกจากงานดีกว่า" ซะงั้น!!
สัด!! ถ้ากูไม่ทำงานก็ไม่มีแดกอะดิ!! ...แต่ถ้าทำงานก็ไม่มีเวลาเขียนนิยายนะ~ ฮ่วย!
ถ้ามึงคิดจะเป็นนักเขียน แต่มึงค่อนข้างจะโนเนม
สมมุตขายเล่มนึงได้กำไร 100 บาท
มึงใช้เวลาเขียน อย่างเก่งก็สองเดือนต่อเล่ม สมมุติเล่มนึงมึงขายได้ร้อยคน 100x100 = 10000
ปีนึงมึงปั่นได้ 6 เล่ม 10000x6 = 60000 เฉลี่ยแล้ว มึงมีรายได้ 60000/12 = 5000 บาทต่อเดือน
แค่ค่าแดกก็หมดแล้วม้าง 5555555
กูเห็นด้วยนะ งานประจำไปก่อนถึงจะเหนื่อยเวลาเขียนน้อย ไว้มั่นใจว่ามั่นคงระดับนึง
เมื่อไหร่ค่อยออกมาเขียนอย่างเดียวยังไม่สาย
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.