ชูสุเกะไอออกมาครั้งหนึ่ง กลีบดอกไม้เล็กๆร่วงหลุดจากปาก เขาเก็บซ่อนมันไว้ในฝ่ามือแล้วแอบโยนทิ้งไปในจังหวะที่เรย์กะไม่ได้มอง
เถาหนามของดอกไม้เริ่มทิ่มแทงหัวใจเขาอีกหน ครั้งนี้คงเป็นเพราะความริษยา
“ถ้าอยากจะเจอมาซายะก็มาพรุ่งนี้สิ หมอนั่นมาช่วงสิบโมงทุกวันนั่นล่ะ” ชูสุเกะยกมือขึ้นมากุมบริเวณอก มันยากมากที่จะพูดออกไปโดยที่ต้องห้ามตัวเองไม่ให้ไอไปด้วย
คราวนี้คงแย่แล้วจริงๆ เมื่อก่อนเขายังสามารถข่มอาการไม่ให้ไอออกมาต่อหน้าเธอได้ แต่ตอนนี้แค่จะหายใจยังทำได้ยากเย็นเต็มทน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอาไว้ค่อยเจอกันตอนเปิดเทอมก็ได้”
“งั้นเหรอ” ชูสุเกะตอบรับด้วยรอยยิ้มขื่นๆ รู้สึกคันคอจนต้องไอออกมาอีกหน แต่คราวนี้เขาไอจนตัวโยน
เขาเริ่มจะปิดบังอาการจากเธอไม่ได้แล้ว ตอนนี้ต้องรีบกลับไปที่ห้องโดยด่วน แล้วก็ขังตัวเองไว้ไม่ให้ออกมาเจอเธออีก การได้พบเรย์กะเหมือนเป็นตัวเร่งปฏิกริยาให้โรคนี้ทรุดหนักเร็วขึ้น นี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่พลาดที่สุดในชีวิตก็ได้ เขาไม่น่าทำเรื่องโง่ๆแบบนี้เลย
“ว่าแต่ท่านเอ็นโจเป็นอะไรมั้ยคะ เห็นไอหนักมากเลย”
น้ำเสียงที่ถามมาดูเป็นห่วงเป็นใย ถึงแม้จะเป็นแค่การถามตามมารยาท แต่ชูสุเกะอดรู้สึกปลาบปลื้มไม่ได้
“เดี๋ยวก็หายน่ะ”
“งั้นเหรอคะ” เรย์กะทำหน้าแปลกๆ “แต่สีหน้าท่านเอ็นโจดูเจ็บปวดมากเลยนะคะ”
เขาอยากจะตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร แต่ร่างกายกลับทรยศไม่เชื่อฟังเขาอีกต่อไปแล้ว มันเหมือนมีคลื่นโหมกระหน่ำอยู่ในช่องท้องและลำคอ ผลักดันให้เขาต้องเปิดปากออก
และกลีบดอกไม้จำนวนมากก็พรั่งพรูออกมา
ตอนนี้ชูสุเกะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขาทรุดฮวบลงบนพื้น อาเจียนเอาดอกไม้และกิ่งก้านของมันออกมาราวกับมันไม่มีที่สิ้นสุด เพียงเท่านี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้เรย์กะหวีดร้องออกมาแล้ว
“ฉะ ฉันจะไปตามหมอ รอตรงนี้นะคะ”
ชูสุเกะเอื้อมคว้าข้อมือเธอไว้ พูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น รู้สึกเหนื่อยหอบจากการอาเจียนเป็นดอกไม้
“อย่าไป”
“แต่ว่า…”
“ขอร้องล่ะ…”
“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ” เรย์กะหน้าเสียเมื่อเห็นเลือดสดๆที่ติดอยู่ตามหนามพวกนั้น ทำท่าเหมือนกำลังจะร้องไห้ “นะ นี่มันเลือดไม่ใช่เหรอคะ ฉันจะไปตามหมอ”
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
ชูสุเกะกระแอมคอให้โล่ง เพื่อสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปนี้ เขาจะหมดสติไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอาจจะพบว่าการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว และเขาก็จำเธอไม่ได้อีกต่อไป หรือไม่ก็อาจจะตายเพราะการอาเจียนเป็นดอกไม้ในครั้งนี้ เขารู้ว่ามันรุนแรงกว่าทุกๆครั้ง
...ก็แค่พูดออกไป แบบที่มาซายะบอกก็เท่านั้น
“คุณคิโชวอินรู้ใช่มั้ยว่าโรคนี้น่ะ เกิดขึ้นกับคนที่รักคนอื่นข้างเดียวเท่านั้น” ชูสุเกะส่งยิ้มอ่อนโยน พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้สำลักกลีบดอกไม้ “เหมือนกับที่คุณเป็นอยู่ในเวลานี้”
เรย์กะดูสะดุ้งหน่อยๆ สีหน้าเธอยังบ่งบอกทุกอย่างได้หมดเสมอ มันฉายคำว่า “รู้ได้ยังไง” ออกมาแบบเห็นได้ชัด
“อันที่จริง ผมรู้ว่าคุณมาโรงพยาบาลทำไม…” เขามองสบตากับเธอ ความหวาดหวั่นและสับสนปรากฎชัด “..คุณคิโชวอินกำลังคิดจะผ่าตัดโรคนี้อยู่สินะ”
“......”
“แต่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก” เขาไอออกมาอีกเล็กน้อย กลีบดอกไม้ก็หลุดร่วงออกจากปาก “มาซายะน่ะ... เขาแสดงออกว่าชอบคุณทาคามิจิก็จริง แต่เดี๋ยวซักพักเขาก็จะเจอความเป็นจริงเองว่าเขาไม่สามารถครองคู่กับคุณทาคามิจิได้”
“.....”
“มาดามคาบุรากิชอบคุณคิโชวอินมากนะ...อีกไม่นานคงมาทาบทามคุณไปเป็นคู่หมั้นของมาซายะ” เรย์กะสะดุ้งโหยง แววตาดูหวาดหวั่นแบบเห็นได้ชัด “ถึงเวลานั้น มาซายะก็จะเป็นของคุณเอง”
“ท่านเอ็นโจพูดอะไรน่ะคะ ฉันงงไปหมดแล้ว” เสียงของเรย์กะสั่นเครือเหมือนกำลังจะร้องไห้ มือเล็กๆนั่นดูลนลานในการควานหาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋า “ชะ...เช็ดเลือดก่อนเถอะ”
“คุณเป็นคนน่ารัก คุณคิโชวอิน….มาซายะคงชอบคุณได้ไม่ยาก” ชูสุเกะยิ้มฝืดๆให้ รู้สึกปวดใจที่ต้องพูดความจริงในเรื่องนี้ “และถ้ามาซายะหันมารักคุณได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปผ่าตัด ก็อย่างที่ผมบอก คุณแค่ต้องรอเวลาเท่านั้น”
“ฉันไม่เข้าใจ ท่านคาบุรากิเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
“ก็ผมรู้น่ะสิว่าคุณ...ชอบใคร”
ชูสุเกะสบตากับเธอ แล้วก็ต้องหลุบสายตาลงมองพื้น เขาไม่อยากเปิดเผยความอ่อนแอและน่าสมเพชของตัวเองมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“.....ผมรู้เพราะว่าผมมองคุณ มองแต่คุณมาตลอด”
อย่าพูดนะ อย่าพูดออกไปนะ ให้จบแค่ตรงนี้…..
เขาจิกเล็บเข้ากับฝ่ามือเพื่อห้ามตัวเอง แต่เหมือนสมองกับปากจะทำงานไม่สัมพันธ์กันอีกต่อไปแล้ว มันกำลังพรั่งพรูคำพูดที่เขาต้องปิดบังเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ผมรู้เพราะว่าผม...ชอบคุณครับ”