(3)
รถที่ท่านพี่นั่งไปตอนเช้าหลบรถอีกคันที่พุ่งเข้ามาจนเสียหลักชนกับเสาไฟฟ้า
โชคดีที่มีถุงลมนิรภัยอาการจึงไม่สาหัส แต่ก็ต้องพักรอดูอาการ ท่านแม่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลาที่คุยกับท่านพ่อที่วันนี้ติดประชุม มีท่านอิมาริคอยปลอบอยู่ข้าง ๆ อีกที
และทั้งที่ฉันคิดว่าตัวเองร้องไห้เมื่อวานจนหมดน้ำตาไปแล้ว แต่ก็คิดผิด...คิดผิดพอ ๆ กับเรื่องเสียงในหัว
มันไม่ใช่ประสาทหลอน และไม่มีทางหายไป...ไม่หายไปถ้าฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง
ท่านแม่บอกให้ฉันไม่ต้องกังวล รีบกลับบ้านแล้วเข้านอนเพราะต้องตื่นไปโรงเรียน ท่านแม่จะเป็นคนจัดการที่เหลือเอง ท่านพี่จะต้องไม่เป็นอะไรเด็ดขาด และ---เหมือนจะพูดอีกหลายอย่าง
คนขับรถพาฉันมาส่งที่บ้าน
ฉันนั่งเหม่อลอยบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอยู่นาน ก่อนจะจำได้ว่าก่อนหน้านี้ท่านแม่คุยกับท่านพ่อถึงเรื่องไฟล์ทบิน
เสียงเตือนในหัวทำให้ฉันคิดได้แต่เรื่องไม่ดีเท่าไหร่
ฉันหยิบมือถือขึ้นมา กดข้อความหาใครบางคน---อา แย่จังเลยค่ะ พิมพ์ผิดพิมพ์ถูกไปหมดแล้ว ทำไมตาเบลอขนาดนี้เนี่ย หน้าจอก็ยังลื่นน้ำอีก แบบนี้จะสื่อสารกันรู้เรื่องไหมคะ
ฉันกดส่งข้อความ
จากนั้นก็ขึ้นห้อง ล้มตัวนอนบนเตียงด้วยความรู้สึกเหนื่อยไปหมด คราวนี้ไม่ต้องพยายามข่มตาหลับเหมือนเมื่อวานเปลือกตาก็หนังอึ้ง
------
ฉันงัวเงียตื่นเพราะเสียงเคาะประตู
ฉันอยากจะตะโกนบอกให้เงียบจะได้นอนต่อ แต่ลำคอก็แห้งผากจนเปล่งเสียงไม่ออกสักคำ แถมเสียงร้องในหัวก็ดังจนทำฉันเริ่มตาสว่าง
เหมือนคนที่อยู่หน้าห้องจะคุยอะไรกันสักอย่าง ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเข้ามา
“คิโชวอิน เธอพิมพ์ภาษาบ้าอะไร”
ฉันมองใบหน้าอันคุ้นเคยสักพัก ก่อนสมองจะเริ่มประมวลได้ว่านี่คือคาบุรากิ มาซายะ--พระเอกของโลกบ้า ๆ นี่ ส่วนฉันคือคิโชวอิน เรย์กะ นางร้ายที่ทำยังไงก็หนีหายนะไม่พ้น
คุณแม่บ้านปิดประตูให้อย่างรู้งาน ส่วนคาบุรากิก็บ่นเรื่องที่ฉันไม่ลงไปรับ ไม่ไปเรียน พูดถึงท่านยูริเอะ ถามถึงท่านพี่ จับใจความได้คร่าว ๆ ว่าเขากับเอ็นโจตั้งใจจะไปเยี่ยมพรุ่งนี้ แต่ฉันก็ส่งข้อความมาเสียก่อน ทำไมส่งข้อความมาตอนดึก ๆ ดื่น ๆ แถมยังเป็นภาษาอ่านไม่ออก อย่าบอกนะว่าป่วยจนทำสมองหล่นหายไปแล้ว----เขาบ่น บ่น บ่น แล้วก็บ่น
ฉันจับใจความได้แค่นิดเดียว ก่อนจะถูกเสียงในหัวรบกวนจนรู้สึกเหมือนประสาทจะกิน
ฉันลุกขึ้นจากกองผ้าห่ม
“ห้องมืดชะมัด คิโชวอิน ทำไมเธอไม่เปิดไฟ---”
ด้วยความอัจฉริยะ คาบุรากิก็คลำหาจนเจอสวิตซ์ไฟจนได้
ไฟในห้องเปิดพรึ่บ คาบุรากิดูจะอึ้งไปเมื่อได้เห็นใบหน้าของฉันชัด ๆ หรืออาจจะอึ้งเพราะตอนนี้ผมฉันคลายออกจนไม่ได้เป็นเกลียวแล้วก็ได้
“ท่านคาบุรากิยังสงสัยเรื่องจูบอยู่หรือเปล่าคะ”
“ก็สงสัย แล้วทำไมเธอถึง…”
ฉันพยายามยิ้ม แต่ก็คงไม่ได้ดูดีเท่าไหร่
“ฉันก็กำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะงั้นถ้าท่านคาบุรากิไม่รังเกียจก็มาลองกันเถอะค่ะ”
“ฉันไม่ได้อยากบังคับเธอ” คาบุรากิทำหน้ายุ่ง “แล้วฉันก็อ่านเจอมาว่าจูบแรกมันสำคัญ...ขอโทษด้วยที่พูดอะไรอย่างนั้นไป เธอคงจะลำบากใจสินะ”
ฉันพยามยามเค้นสมองหาเหตุผลที่พอฟังขึ้น เสียงในหัวยังไม่หยุดร้องดัง ยิ่งคิดถึงเรื่องเที่ยวบินฉันก็ยิ่งอัดอั้นจนอยากจะร้องไห้ ช่องท้องบีบรัดจนเริ่มรู้สึกทรมาน
“สักวันฉันก็ต้องถูกจับหมั้นและแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จักอยู่ดี” ฉันเกาะเสื้อเขา พยายามยิ้มแต่น้ำตาก็ไม่หยุดร่วงลงมาสักที “ก่อนจะถึงวันนั้นสู้มอบให้คนสำคัญไม่ดีกว่าหรือคะ...ได้โปรดเถอะค่ะ ท่านคาบุรากิ”
ฉันพยายามกลั้นสะอื้นแต่ไม่ได้ผล
คาบุรากินิ่งไปสักพักเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ก่อนจะโน้มใบหน้าใกล้เข้ามาจนริมฝีปากประกบกัน---ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว ฉันได้กลิ่นมิ้นต์จางๆ คาบุรากิขยับใบหน้าเปลี่ยนองศาอย่างเงอะงะ เลียกลีบปากล่างสลับกับขบกัดอย่างนั้นจนทำให้ฉันนึกถึง...หมา
คาบุรากิผละใบหน้าออกก่อนจะซบหน้าลงบนไหล่---ฉันเหลือบเห็นว่าใบหูของเขาเป็นสีแดงจัด
“คิโชวอิน จูบแรกของฉันรสชาติเหมือนน้ำตาเลย”
เสียงเตือนในหัวหายไปแล้ว
“...หวานๆ แต่ก็เหมือนน้ำตามากกว่า” คาบุรากิพึมพำเสียงแผ่ว “คราวหน้าฉันจะไปลองศึกษามาให้มากกว่านี้...มันไม่ได้แย่ใช่ไหมคิโชวอิน...”
ฉันหัวเราะ แต่น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้มากกว่า “ค่ะ”