มันเป็นแค่ความต้องการฉวยโอกาสในระหว่างที่เธอยังไม่รู้ตัวถึงความรู้สึกของตัวเอง ถ้าเขาแทรกตัวเข้าไปในความสับสนนั่น เธออาจจะเปลี่ยนใจ ถึงเปอร์เซนต์ความเป็นไปได้จะต่ำกว่า 1 แต่เขาก็อยากจะลองดู
เหมือนกรรมจะตามสนองไวยิ่งกว่าที่คิด เพราะชูสุเกะก็ได้เรียนรู้ว่าใจคนไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ
เรย์กะดูจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก เอาแต่มองมาซายะเต้นรำกับคุณทาคามิจิ ไม่สนใจใยดีเขาที่เป็นคู่เต้นอยู่ตรงหน้า และรีบจากไปอย่างเร่งร้อนเหมือนกับไม่อยากมองเห็นภาพบาดตานั้น
ชูสุเกะรู้สึกว่ากิ่งก้านหนามแหลมได้แผ่ขยายไปทั่วร่าง ทิ่มแทงทุกส่วนจนเจ็บปวด แต่เจ็บที่สุดก็ตรงที่หัวใจ
เขาต้องข่มอาการไอจนกลับมาถึงบ้าน ยูกิโนะเองก็คงจะดูออกว่าเขากำลังแย่ ถึงได้แอบลุกหนีออกจากเตียงมาหาเขากลางดึก ก็ต้องขอบคุณยูกิโนะเพราะไม่อย่างนั้นเขาคงตายในห้องน้ำไปแล้ว
เช้าวันถัดมา ยูกิโนะก็มาถึง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ยืนกรานว่าจะอยู่กับเขาจนกว่าจะหมดเวลาเยี่ยม มาซายะเองก็ยกเลิกกำหนดการหรืองานเลี้ยงทั้งหมดเพื่อจะมาอยู่กับเขา จะกลับไปในช่วงดึกของทุกวันและจะมาใหม่ในรุ่งเช้าเสมอ
อาการป่วยที่พยายามปิดบังมาเนิ่นนานก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป แม้มาซายะจะถามว่าใครคือสาเหตุแต่เขาหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถามนั่น
“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” ชูสุเกะยิ้มขื่นๆ “อีกเดี๋ยวก็ต้องผ่าตัดแล้ว...มันจะจบแล้วล่ะ”
มาซายะนั่งกอดอกและขมวดคิ้วใส่แบบไม่ชอบใจ
“จะยอมแพ้แค่นี้รึไง” เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบ มาซายะก็เดาะลิ้น “ทั้งที่ยังไม่เคยพูดออกไปเลยเนี่ยนะ”
ก็เพราะไม่ยอมแพ้แล้วยังไงล่ะ ถึงได้มานอนโรงพยาบาลแบบนี้
ชูสุเกะค่อนขอดอยู่ในใจ แต่เลือกตอบในสิ่งที่คิดว่าเหมาะสมที่จะพูดที่สุด
“มันถึงจุดที่รู้ว่าต้องพอแล้ว ฝืนไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ มาซายะก็รู้นี่ว่าตอนยูริเอะเป็นยังไง”
“นั่น...มันไม่เหมือนกัน” มาซายะดูฮึดฮัดขึ้นมา “อย่างน้อยฉันก็ยังได้พูดความรู้สึกจริงๆ ถึงผลลัพท์มันจะแย่ แต่ก็ได้พูด ดีกว่ามาเสียใจทีหลังว่าตอนนั้นทำไมถึงไม่ทำแบบนั้น”
“อ้อเหรอ” เขาลากเสียงยานคาง “แล้วตอนนี้ได้ไปพูดกับคุณทาคามิจิรึยังล่ะ”
มาซายะสะดุ้งหน่อยๆ แต่แววตาเริ่มปรากฎรอยขุ่นเคืองเพราะโดนจี้ใจดำ
“ที่ยังดึงเวลามาจนป่านนี้เพราะกลัวซ้ำรอยเดิมกับยูริเอะไม่ใช่รึไง โอกาสก็มีตั้งมากมายแท้ๆแต่ไม่ยอมทำ...รออะไรอยู่ล่ะ”
“ชูสุเกะ แก…”
พอเห็นมาซายะอับจนถ้อยคำได้ ชูสุเกะก็ยิ้มเยาะ
“เรื่องตัวเองไปเอาให้รอดก่อนแล้วค่อยมาสอนคนอื่นเถอะ มาซายะ”
เขาคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวแล้วนอนหันหลังให้เป็นเชิงว่าไม่อยากจะพูดอะไรอีกต่อไป มาซายะก็ทำได้แค่เดินออกจากห้องไปอย่างกระฟัดกระเฟียด
ชูสุเกะรู้ตัวว่าพูดแรงเกินไปหน่อย เพื่อนเขาแค่หวังดีและอยากให้เขาซื่อสัตย์ตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ มันคือการให้กำลังใจในแบบของมาซายะ แต่เขาก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น มาซายะก็ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขามาลงเอยในที่แบบนี้อีกต่างหาก
ชูสุเกะไม่อยากนับมาซายะเป็นศัตรูหัวใจเลยสักนิด แต่มันก็ทำได้ยากยิ่งเมื่อนึกถึงสิ่งที่กรีดแทงหัวใจเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ภาพเรย์กะที่เอาแต่มองมาซายะทำให้เขารู้สึกโกรธแล้วก็เศร้าในเวลาเดียวกัน มันทำให้รู้สึกหงุดหงิดจนต้องหาที่ระบายออก ซึ่งเป้าหมายนั่นก็คือมาซายะที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
ความกรุ่นโกรธยังสุมอยู่ในใจไปจนถึงเวลาค่ำ ชูสุเกะต้องแกล้งทำเป็นยิ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่และน้อง อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากให้แม่เป็นกังวลมากนัก
พ่อมาถึงในเวลาค่ำเกือบจะดึกอย่างเคย เป็นเวลาที่ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว พ่อจะมาเพื่อฟังรายงานประจำวันจากแพทย์ อยู่เงียบๆในห้องกับเขา ดูเขาทานยาจากพยาบาล และกลับไปในเวลาที่ต้องปิดไฟเข้านอนทุกครั้ง
หลายคนคงคิดว่าเป็นความรักที่พ่อแสดงออกต่อลูก นักธุรกิจที่งานยุ่งแสนยุ่งก็ยังเจียดเวลามาเยี่ยมลูกชายที่ป่วยอยู่ แต่ชูสุเกะคิดว่าเหมือนเป็นการคุมขังและจับตามอง เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างเช่นหนีการผ่าตัดมากกว่า
ตอนนี้อาการเขาคงที่แล้ว คงเพราะไม่มีอะไรมากระตุ้นให้เกิดการไอขึ้นมาอีก พ่อก็ดูจะพอใจเป็นอย่างยิ่ง
การผ่าตัดของเขาถูกเลื่อนให้เร็วขึ้นมาอีกหนึ่งอาทิตย์ พ่อทุ่มเทเงินทองไม่อั้นเพื่อซื้อตัวนายแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านผ่าตัดโรคนี้ มีผลงานการันตีความสำเร็จมานับครั้งไม่ถ้วน และรับประกันว่าเขาจะหายดีก่อนจะเปิดเทอมแน่นอน