เขาชะงักงัน เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งคล้ายคาดไม่ถึง ก่อนจะหัวเราะตอบ "คุณคิโชวอินไม่เคยหลงใหลผมอยู่แล้วนี่ ต่อให้งัดทุกวิธีคุณก็ไม่ยอมทุ่มให้ผมเหมือนคนพวกนั้นอยู่ดี"
ดวงตาคู่นั้นดูแพรวพราวเบื้องหลังแชมเปญใสสะอาด เขาเอนหลังพิงโซฟา "แต่คุณเรียกผมว่าชูเนี่ย ผมตื่นเต้นจนใจสั่นเลยล่ะ สมัยเรียนคุณเรียกแต่นามสกุลผมตลอดเลยไม่ใช่รึไง?"
"จะใจสั่นกว่านี้อีกนะคะ ได้ข่าวว่ายังปลดหนี้ไม่หมดไม่ใช่หรือคะ?" ฉันยืดแขนไป ใช้พัดแตะหน้าเขาแผ่วเบา คล้ายวันนั้นไม่มีผิด "ว่าไงล่ะคะ? ถ้ายอมออดอ้อนฉันสักเล็กน้อย ฉันอาจจะยอมช่วยดูแลเรื่องเงินทองให้พอมีเงินจ่ายหนี้ได้ดีไหม?"
เขาชะงักงัน ในดวงตาคู่นั้นปรากฏร่องรอยกระเพื่อมไหวขึ้นมาจนได้
“ไม่นึกว่าคุณก็จะอยากดูแลผมอีกคนนะ คุณคิโชวอิน” น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นไม่น้อยเชียว ใช่ แบบนั้นแหละ เหมือนตอนที่เรายังเรียนด้วยกัน
น้ำเสียงคล้ายรำคาญใจ คล้ายเกลียดชัง ดวงตาที่เต็มไปด้วยร่องรอยหงุดหงิดคล้ายอยากขยี้ฉันให้ตาย แต่ไร้หนทาง
ฉันหัวเราะคิกคักพออกพอใจ “ยังไงฉันก็เป็นคาบุรากิคนหนึ่งนะคะ แค่ไม่กี่ล้านต่อเดือน ยังไงก็นับว่าเป็นเศษเงินนี่คะ” ฉันยังเย้าแหย่ต่อ “ว่าไงล่ะคะ? สนใจอาศัยบารมีฉันไหม? แค่ยอมทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่างไม่ปริปาก คุณเองก็ได้เงินอย่างงามแบบที่ไม่มีมาดามคนไหนจ่ายได้แน่นอน หนี้ไม่กี่พันล้านนั้นอาจปลดได้ไวเกินคาดนะคะ”
พัดสีไวน์ไล้ไปตามโครงหน้าหล่อเหล่าที่ยามนี้ดูตึงเขม็งขึ้นเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกต “ยังไงเงินนั้นก็มาจากเครือเอ็นโจของคุณด้วยส่วนหนึ่ง ไม่ดีหรือคะ? ได้เงินที่เคยเป็นของคุณเองเชียวนะคะ”
เอ็นโจ ชูสุเกะผู้นี้เกลียดฉันเหลือเกิน ฉันรู้ดี แม้ดวงตาคู่งามยามนี้ไร้ซึ่งร่องรอยความรู้สึก แต่บรรยากาศรอบกายกลับคุ้นเคยจนสัมผัสได้
เขาเกลียดจนไม่อยากอยู่ร่วมโลกกับฉัน เขาเกลียดจนอยากบดขยี้ฉันให้ตาย
แต่เขาทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย
เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็มองฉันอย่างชิงชัง สีหน้าดูถูกดูแคลนคล้ายฉันเป็นเพียงขยะไร้ค่าที่เข้าไปวุ่นวายในชีวิต