“ฟัวกราส์ ไข่เยี่ยวม้า นมปรุงรส เมนูอาหารสุดเลวระยำด้วยน้ำมือความต่ำช้าของมนุษย์ เมนูฟัวกราส์หรือตับห่านนั้นเกิดจากการกรอกอาหารปริมาณมากลงไปในคอห่านเพื่อให้เกิดอาการตับพอกจากไขมันส่วนเกินที่ห่านจะต้องกิน การยัดอาหารลงไปอย่างไม่สนใจความทุกข์ทรมานของมันนั้นช่างอำมหิตจนผิดมนุษย์ ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นคือการตัดต่อพันธุกรรมวัวนมที่เดิมมีนมไว้แค่ให้กับลูกวัว แต่ความมัวเมาของมนุษย์นั้นเหมือนหลุมไร้ก้นบึ้ง ความละโมบโลภมากขับเคลื่อนมนุษย์ด้วยทุนนิยมจนเพาะพันธุ์วัวที่รีดนมมาให้พวกเขาได้อย่างไม่จำกัด ไม่เพียงแต่นมจืดสีขาวธรรมดาเท่านั้น แต่นมหวานสีเขียวที่เกิดจากการบังคับให้แม่วัวทานหญ้าหวานที่ผิดจากอาหารธรรมชาติของมันช่างเลวร้ายขึ้นไป แค่นั้นยังไม่พอ พวกกลุ่มนายทุนที่หน้าเลือดยังคัดเลือกตัดต่อสายพันธุ์สีน้ำตาลขึ้นมาเพื่อนมรสช็อกโกแลตไปจนถึงความโหดเหี้ยมที่เอาวัวไปอาบรังสีเพื่อให้มันผลิตนมวัวสีชมพูที่ออกรสชาติมาผิดธรรมชาติอย่างรสสตรอว์เบอร์รี่ ฉันเคยเห็นจากฟอร์เวิร์ดเมล์ของกลุ่มวีแกนต่างชาติว่า วัวสีชมพูนั้นไม่ได้เกิดเป็นสีชมพูแต่ถูกอาบด้วยรังสี Strawber - ray จนเลือดซึมออกจากผิวหนังแล้วจึงนำมากลั่นเป็นนม และที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้ นั่นก็คือเมนูไข่เยี่ยวม้า อาหารไทยเชื้อสายจีนที่มีประวัติมาเป็นพันๆ ปี โดยในแต่ละปีทั้งคนไทย จีน และประเทศวัฒนธรรมร่วมอื่นๆ บริโภคไข่ประเภทนี้ถึงปีละสองล้านฟอง นั่นแปลว่าเราจะต้องทำการตอนม้าเพศผู้ในวัยก่อนเจริญพันธุ์ถึงปีละหนึ่งล้านตัวเพื่อเอามาทำอาหารสนองความอยากของมนุษย์อย่างนั้นหรือ เปลือกไข่สีชมพูนั้นก็เป็นแค่เครื่องพรางตาสีสันสดใสที่ปิดบังเรื่องราวอันดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในที่ดำไม่ต่างกัน มันคือเมนูอาหารที่อุดมไปด้วยความเลวทรามต่ำช้ำ ความละโมบโลภมาก ความหน้าไม่อายและความอำมหิตจิตวิปลาสที่สุดเท่าที่จะหาได้จากที่ใดก็ตามในโลกนี้ และเพราะเหตุนี้ฉันจึงปวารณาให้ตนเองเป็นวีแกน เพื่อหวังว่าในวันหนึ่ง ผู้คนทั้งโลกจะเข้าใจได้เสียทีว่าความอัปยศเหล่านี้ไม่เป็นที่ยอมรับและน่ารังเกียจ ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้คนจะตาสว่าง” แต่ก็เช่นเคย งานเขียนของเธอไม่เป็นที่ยอมรับครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นก็เป็นเพราะว่าผู้คนโดยทั่วไปแล้วล้วนย่อมต้องปกป้องสิ่งที่ตัวเองเชื่อ สิ่งที่ตาเห็น มากกว่าจะเอาข้อเท็จจริงมานั่งคุยกันถึงเหตุและผลของสรรพสิ่งในโลก เหตุใดกัน ไม่ว่าจะแม่ค้าขายน้ำส้มหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยที่เรียนมาสูงกว่าเธอถึงได้ไร้วิจารณญาณได้ถึงขนาดนี้ Critical Thinking ไม่เคยมีความหมายในสังคมนี้เลย
ความคิดของเธอขาดห้วงในตอนที่ป้าร้องเรียกเธอเพื่อบอกว่าอาหารของเธอได้แล้ว เธอไม่ชอบสายตาดูถูกของคนพวกนี้เลย โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่จ้องมองเธอโดยไม่เคยขอความ ยินยอม Consent นั้นสำคัญมาก มันจะเป็นอย่างไรหากเราต้องถูกรุกล้ำอธิปไตยส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา “ห้าสิบบาทลูก” พูดไม่ทันขาดคำ การละเมิดความยินยอมที่พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ก็ถาโถมเข้าใส่เธอ เพราะอะไรกัน ทำไม ทำไมคนพวกนี้ถึงได้เรียกเธอด้วยสรรพนามที่เธอไม่ยินยอม เธอไม่ได้เป็นลูกของพวกเขาสักหน่อย เธอไม่ใช่น้องของเจ้าของร้านถ่ายเอกสารด้วยซ้ำ เธอไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการถูกละเมิดด้วยเรื่องที่คนในสังคมบอกว่า “จะอะไรนักหนา หยวนๆ ไปไม่ได้เหรอ” ใช่สิ เพราะคำว่าหยวนๆ อันเป็นลักษณะนิยมของคนไทย เป็นอุปนิสัยไร้อารยะแบบนี้ ประเทศนี้มันเลยเป็นได้แค่ประเทศโลกที่สาม การไม่ให้เกียรติกันเพียงเพราะเอาคำว่าสบายใจมาเป็นข้ออ้าง มองยังไงก็เลวร้ายไม่น้อยกว่าการทำร้ายจิตใจ “น้องผู้หญิงลูก ได้ยินป้ามั้ย” พอมาถึงเวลานี้สติของเธอเริ่มพร่ามัว คุรเป็นใครกันมาตัดสินและเรียกฉันด้วยเพศสภาพ ใช่ ฉันอาจจะเป็นผู้หญิง อาจจะใช้ she/her แต่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันล่ะ ถ้ามันเป็นคนที่จริงจังกว่านี้ การเรียกด้วยสรรพนามที่ผิดอาจหมายถึงการสร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับคนๆ นั้นจนบานปลายได้ การเรียกคนอื่นด้วยเพศสภาพควรกลายเป็นความเคยชินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และหากสังคมจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปเธอคงไม่มีวันได้พบเจอกับความเจริญที่เธอคิดถึง และถ้ามันเลวร้ายไปกว่านั้น ด้วยค่านิยมที่ล้าหลังและมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตื่นรู้ active citizen อย่างเธอไม่ต่างอะไรจากสัตว์ประหลาด พวกเขาย่อมต่อต้านเธอ ใช่ มันเป็นเช่นนั้น สังคมไม่ยอมรับเพราะคิดว่าเธอคือสิ่งแปลกปลอม แต่ความถูกต้องท่ามกลางสิ่งที่บิดเบี้ยวย่อมแปลกปลอมไม่ใช่หรือ ระหว่างที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น