“เธอเคยคิดไหมว่าองค์กรมีระบบนี้ไปทำไม”
“ระบบอะไรเหรอคะ”
“ก็ระบบครอบครัวจอมปลอมนี่ยังไงล่ะ”
เด็กสาวฟังคำนั้นแล้วก็หัวเราะ เธอเอนศีรษะลงบนหมอน หลับตาลงก่อนพูดว่า “หนูไม่เห็นว่ามันจะจอมปลอมตรงไหน ป๊ะป๋าก็เหมือนพ่อของหนูจริง ๆ ”
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยหัวเราะ เขาคลี่ผ้าห่มสีน้ำเงินที่กระจุกกองอยู่บนข้อเท้า ดึงมันขึ้นมาห่มคลุมถึงช่วงอกของหญิงสาว “ไม่เคยคิดสักหน่อยเหรอว่าทำไมมันต้องเป็นระบบพ่อแม่ลูก เธอกับฉันเราห่างกันแค่แปดปี บอกว่าเป็นพี่ชายน้องสาวกันไม่ดีกว่าเหรอ”
“ก็ไม่รู้สิคะ” หญิงสาวพึมพำตอบ “แต่ป๊ะป๋าน่ะเป็นป๊ะป๋าก็ดีอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว แต่สีหน้าของเขากลับไม่ได้ดูเบื่อหน่ายแต่อย่างไร “เธอน่ะยี่สิบสามแล้วนะ” เขาพูดยิ้ม ๆ “พูดจาออเซาะเหมือนเด็กสิบขวบไปได้”
ฟังคำนี้แล้วหญิงสาวก็เผยอเปลือกตาขึ้น โพล่งขึ้นมาว่า “จริงด้วย งั้นปีนี้ป๊ะป๋าก็สามสิบเอ็ด...”
“สามสิบ” ชายหนุ่มเอ่ยแก้ทันที “อีกหลายเดือนกว่าจะถึงวันเกิดฉัน เธอลืมไปแล้วเหรอ”
“ขอโทษค่า” สีหน้าของหญิงสาวดูสดชื่น เธอแลบลิ้นอย่างเขิน ๆ ออกมาก่อนถามกลับไปว่า “แล้วป๊ะป๋ารู้เหรอว่าทำไมเราถึงต้องมีระบบครอบครัว”
“นั่นน่ะสิ พวกผู้บริหารรุ่นเก่า ๆ คงจะกลัวพวกเราเบื่อมั้ง” พูดได้ถึงตรงนี้ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลยกถาดใส่อาหารกลางวันเข้ามาให้ในห้อง เมื่อเจ้าหน้าที่คนนั้นกลับออกไปที่ด้านนอกแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยเปิดปากขึ้นต่อว่า “กินข้าวได้แล้ว”
ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า เขาเข็นเอาโต๊ะวางอาหารตัวนั้นเข้ามาเทียบข้าง พร้อมปรับระดับระดับโต๊ะเตียงให้อยู่ในท่าที่คนป่วยจะสามารถกินอาหารได้สะดวก เห็นดังนั้นหญิงสาวก็ยิ้มกว้าง หันมาทำตาแป๋วถามว่า “จะป้อนหนูด้วยไหมคะ”
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจสั้น ๆ เป็นเชิงหัวเราะ “กี่ขวบแล้วแม่คุณ เมื่อก่อนยังไม่เห็นต้องให้ฉันป้อนเลยนี่นา”
หญิงสาวเลิกคิ้ว ถามกลับด้วยน้ำเสียงแง่งอนว่า “ไม่เคยเหรอ ป๊ะป๋าจำไม่ได้เหรอว่า...”
เธอหยุดพูดไปเมื่อเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ของอีกฝ่าย “จำได้น่า” ชายหนุ่มตอบ “กินข้าวเถอะ หรือคิดจะให้ฉันป้อนจริง ๆ ”
หญิงสาวเบะปากไม่ตอบคำ เธอเปิดฝาสำรับก่อนที่จะนิ่วหน้า บ่นว่า “ข้าวต้มอีกแล้ว”
ชายหนุ่มชี้ไปที่ป้าย ‘อาหารอ่อน’ ที่หัวเตียง “อย่าบ่นนักเลย กินเข้าไปให้เยอะ ๆ พักผ่อนมาก ๆ จะได้ออกจากที่นี่ไว ๆ ”
หญิงสาวหันมาส่งยิ้ม ใช้นิ้วชี้ไปที่สำรับอาหาร ก่อนที่จะชี้ไปที่ปากตัวเองพร้อมกระพริบตาปริบ ๆ เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็ต้องส่ายหัว บ่นออกมาอย่างอ่อนใจว่าว่า “เธอนี่น้า”
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ยังหยิบช้อนตักกับอาหารในสำรับ ก่อนที่จะประคองไปจ่อไว้ถึงปากของหญิงสาว คนป่วยหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ก่อนที่จะอ้าปากงับช้อนแต่โดยดี เมื่อกลืนอาหารลงท้องไปแล้ว เธอค่อยเปิดปากพูดว่า “ยังใจดีเหมือนเดิมเลยนะคะ แต่ไม่รู้ว่าแอบไปใจดีกับสาว ๆ คนอื่นอีกรึเปล่า”
ชายหนุ่มส่งอาหารอีกช้อนเข้าปากของหญิงสาวเกือบจะในทันทีที่เจ้าหล่อนพูดจบ “สัปดาห์หนึ่งฉันต้องเอาใจสาว ๆ สามสี่คน” เขาพูด “ปีนึงมีห้าสิบสองสัปดาห์ เราไม่ได้เจอกันมาห้าปี ก็เอาสามคูนห้าสิบสองคูณห้า... อืม มีเครื่องคิดเลขให้ยืมไหม”
หญิงสาวทำหน้าบึ้ง ถามกลับไปว่า “แล้วได้ป้อนสาว ๆ ทุกคนไหมคะ”
“ก็เป็นส่วนใหญ่นะ” ชายหนุ่มหัวเราะ “อ้อ แต่ถ้าหมายถึงป้อนอาหาร อันนี้ฉันจำไม่ได้จริง ๆ ว่ากี่คน”
หญิงสาวทำตาเขียว เอื้อมมือไปแย่งช้อนกลับมาพร้อมประกาศว่าจะตักอาหารกินเอง เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะ ยกมือขึ้นลูบเรือนผมที่ออกจะกระเซิงไปบ้างของคนป่วยอย่างรักใคร่ “นี่ เดี๋ยวฉันต้องไปแล้วนะ”
หญิงสาวทำหน้าบึ้ง “ใครสนกันล่ะ”
ชายหนุ่มหัวเราะ “นั่นสินะ”
เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะวางช้อนในมือลง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงค่อยว่า “คราวนี้จะหายไปอีกห้าปีรึเปล่า”
ชายหนุ่มยิ้ม “อาจเร็วกว่านั้น หรืออาจนานกว่านั้น เธอก็รู้ว่าฉันตอบไม่ได้”
หญิงสาวหันหน้ากลับมามอง ดวงตาของเจ้าหล่อนดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดขณะถามว่า “แต่ป๊ะป๋าจะกลับมาแน่ ๆ ใช่ไหม”
“เธอก็รู้ว่าฉันตอบคำถามนั้นไม่ได้” ชายหนุ่มไม่ยิ้มอีกต่อไปแล้ว “แต่ถ้าฉันยังไม่ตาย สักวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีก”
เหมือนหญิงสาวใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ เห็นดังนั้นชายหนุ่มก็อดโอบเอาใบหน้านั้นเข้ามาซบในอ้อมอกไม่ได้ “นี่ อย่าร้องไห้สิ ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีนะ”