“ข้าได้ยินว่าขบวนจะเริ่มแบ่งเป็นขบวนย่อยที่เมืองรีจิเนีย เจ้าเลือกได้หรือยังล่ะน้องชายว่าจะตามขบวนใคร หรือเจ้าจะเดินทางต่อคนเดียว”
ประโยคจากชายแปลกหน้าเหมือนช่วยจุดประกายความคิดให้กับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปี ในเมื่อเดินทางคนเดียวได้ทำไมเขาจำเป็นต้องยอมโดนนักบวชชุดขาวพวกนั้นรมควันทุกเช้าด้วยล่ะ เงินทองเอลิกซ์ยังพอมี ทั้งจากเงินเบี้ยเลี้ยงและเงินเก็บของเขาเอง หรือถ้าขาดแคลนจริง ๆ เขาก็ยังสามารถเล่นไวโอลินเลี้ยงชีพได้ หรือไม่ก็ขายสร้อยของป้าเป็นตัวเลือกสุดท้าย
“ข้าคงจะแยกที่รีจิเนีย ว่าแต่พี่ชายพอทราบมั้ยว่าต้องเดินทางอีกนานเท่าไรกว่าจะถึง” ถึงเขาจะพอรู้ข้อมูลของเมืองรีจิเนียทั้งที่ตั้ง ความสำคัญ สถานที่ท่องเที่ยวและอาหารแนะนำ แต่ข้อมูลบางอย่างคนที่ไม่เคยออกเดินทางก็ไม่มีวันรู้
“ประมาณค่ำนี้ก็น่าจะถึง เจ้าจะแยกตั้งแต่เข้าเมืองเลยรึ?”
เอลิกซ์ยิ้มกว้างเป็นคำตอบ...เรื่องอะไรเขาจะยอมโดนรมควันต่อเพิ่มอีกวันล่ะ ถ้าเข้าเขตกำแพงเมืองรีจิเนียเมื่อไร เด็กหนุ่มตั้งใจจะเผ่นออกจากขบวนเมื่อนั้น เขาไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์เลยสักนิด ขนาดอาหารในขบวนยังไม่อร่อยสู้อาหารแห้งที่ป้าเมย์ใส่ห่อผ้ามาให้เลย
มือเรียวกระชับห่อผ้าที่แบกไว้ด้านหลัง เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าก้าวเร็วขึ้น เพราะหวังว่าการรีบเดินจะทำให้หลุดพ้นจากขบวนนี้เร็วขึ้น แค่ช่วงบ่ายเอลิกซ์ก็คลาดกับชายที่ไม่รู้จักชื่อคนนั้น พอพระอาทิตย์ลดลงต่ำจนเกือบตกดิน เด็กเลี้ยงม้าก็สามารถเดินขึ้นมาอยู่ต้นขบวนได้สำเร็จ ขอแค่พ้นจากกลุ่มนักบวชและเชื้อพระวงศ์ไปได้เท่านั้น...
ขอโทษนะป้าเมย์ ข้าคงจะรักษาสัญญาของป้าทุกข้อไม่ได้แล้วล่ะ ข้ายังไม่อยากเป็นขาหมูรมควัน แค่นี้กลิ่นกำยานก็ติดตัวจนสยดสยองมากพอแล้ว ขอเที่ยวอีกสองปีแล้วข้าจะกลับไปเป็นลิกซ์เด็กดีคนเดิมของป้า ข้าจะไม่ดื้อ ไม่ซน จะเลี้ยงม้าอย่างตั้งใจ จะเลิกเรียกพระราชาว่าตาเฒ่า
เด็กหนุ่มใช้ปลายนิ้วลูบจี้สีน้ำเงินที่กลางอกเพื่อลดความรู้สึกผิดในใจ เสียงจ้อกแจ้กจากกลุ่มคนด้านหน้าทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศโดนรอบ นัยน์ตาคู่สีทองเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นกำแพงอิฐสีน้ำตาลอันทอดยาวอยู่เบื้องหน้า จุดหมายปลายทางของเขา...อยู่เพียงเอื้อมนี่เอง
เอลิกซ์กำลังจะย่างเท้าเบี่ยงออกจากขบวนเพื่อออกไปแตะขอบฟ้า แต่กลุ่มคนเบื้องหน้ากลับหยุดเดินกันพอดี เด็กหนุ่มจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่อยากจะขยับตัวให้เป็นที่สังเกต
“วันนี้หยุดขบวนแค่นี้ เราจะตั้งค่ายพักแรมกันที่นี่” เสียงประกาศดังขึ้นจากด้านหน้า เด็กเลี้ยงม้าขยับริมฝีปากบ่นงึมงำอยู่ในลำคอ กำแพงเมืองอยู่ข้างหน้าแท้ ๆ แค่เดินต่ออีกสักครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึง แต่ธรรมเนียมของศาสนจักรแห่งแสงทำแผนของเขาเสียจนได้...นักบวชจะเดินทางภายใต้การชี้นำของแสง นี่พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะตกดินก็หยุดเดินทางซะแล้ว อยากรู้ว่าแสงดาวแสงจันทร์ตอนกลางคืนมันไม่ใช่แสงหรือไง
เมื่อประกาศสิ้นสุดการเดินทาง พิธีชำระล้างในตอนเย็นก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าคมก้มลงมองพื้นดินอย่างเหนื่อยหน่ายใจ โชคดีที่คราวนี้ไม่ใช่การรมควันเหมือนช่วงเช้า ไม่อย่างนั้นเอลิกซ์คงจะเผ่นออกจากขบวนไปตอนนี้เลย ถึงจะต้องเสี่ยงกับการโดนทหารกักตัวเพื่อสอบสวน ถ้าหนักหน่อยก็คงจะโดนซ้อมสักทีสองที...เหมือนกับวันแรกที่มีคนโดนซ้อมเพราะแอบหนีจากพิธีรมควัน
แต่พรุ่งนี้เขาจะไม่ยอมโดนรมควันอีกแน่ ๆ ในเมื่อตอนนี้ยังหนีออกจากขบวนไม่ได้ ก็ต้องให้พิธีกรรมประจำวันเสร็จเสียก่อน เมื่อแยกย้ายให้พักผ่อนเมื่อไร เอลิกซ์จะเผ่นเข้าเมืองไปทันที...เด็กชายจะเติบโตเป็นเด็กหนุ่มได้ก็ต้องกล้าทำอะไรเสี่ยง ๆ แบบนี้แหละ
เสียงฝีเท้าและชายเสื้อสีขาวหยุดลงด้านหน้าของร่างสูงโปร่ง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเพื่อให้นักบวชได้ใช้กิ่งสนชุบน้ำมนต์แตะลงบนหน้าผากของเขา อันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าทำไปแล้วมันจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ตรงไหน แต่ในเมื่อมันเป็นครั้งสุดท้าย จะทำตัวดี ๆ บ้างคงไม่เสียหาย
หยดน้ำเย็นแตะลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา แต่เอลิกซ์ไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขามัวแต่จับจ้องใบหน้ารูปไข่ของนักบวชสาว ถึงจะเสียมารยาทแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองแพขนตาหนา จมูกโด่งที่รั้นปลายนิด ๆ ไปจนถึงริมฝีปากอิ่มสีแดงสด ก่อนดวงตากลมโตคู่สีฟ้าสดจะเลื่อนมองสบตากับเขาเมื่อบทสวดจบลง แววตาของเธอฉายแววขบขันและเลื่อนหายไปในชั่ววินาที น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มจาง “ขอให้เทพแห่งแสงคุ้มครองท่าน”
เด็กหนุ่มหันมองตามร่างบางที่ผละออกไปทำพิธีให้กับคนอื่น ๆ ในขบวน รู้สึกเหมือนยังได้กลิ่นหอมจากเรือนผมสีดำยาวสยาย...แต่มันดันเป็นกลิ่นเดียวกับกำยานที่ใช้ในตอนเช้านี่สิ