“ไลท์เทนนิ่งซื้อรถใหม่ว่ะ Pagani Zonda รุ่น HP Barchetta สีดำ หมดไปสิบแปดล้านเหรียญเลยนะเว้ย” เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นมาจากหูฟังทรูไวร์เลสที่เขาสวมเอาไว้ทางด้านซ้าย หลังจบประโยคนั้นก็มีเสียงสวนขึ้นมาทันที
“ปัญญาอ่อน แม่งยังไม่เลิกโรคเด็กม.สองอีกเรอะ รถเด่นขนาดนั้น คงได้โดนคนมุงก่อนได้ขับหนีอีกมั้ง ไอ้เวรนี่แม่งโคตรไม่มืออาชีพ เดี๋ยวก็ได้ชิบหายกันทั้งวงการ”
“ใจเย็นน่าแอล” เขาหัวเราะเบาแล้วกระซิบกลับแผ่วเบา ดวงตาข้างขวายังคงจ้องกล้องซูมคุณภาพสูงที่ส่องไปยังอาคารฝั่งตรงข้าม “ยังไงคนชิบหายก็ไม่ใช่พวกนายหน้าแบบนาย จะไปเดือดร้อนแทนมันทำไม”
“แม่งปัญญาอ่อนกันทั้งผัวทั้งเมีย” คนเปิดเรื่องประเด็นยังคงลากเข้าเรื่องเดิมด้วยความขำขัน “เดือนก่อนยัยบลัดวูล์ฟเมียมันก็เพิ่งถอยแลมโบกินี่ สรุปจอดไม่ต้องแจว วีคก่อนเจอรถติดอยู่สุรศักดิ์เข้าไปจบงานไม่ทัน เห็นว่าโดนกระทืบจนม้ามแตกตอนนี้ยังออกจากโรงบาลไม่ได้เลยมั้ง”
“หมายถึงงานอุ้มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองสินะ” แอลหัวเราะลั่น “กรุงเทพแม่งเมืองหลวงแห่งรถติดนะเว้ย คิดบ้าอะไรซื้อแลมโบมาขับวะ ผัวเมียคู่นี้เหมาะสมกันดีแล้ว”
“คู่นี้มันเพี้ยนตั้งแต่ตั้งชื่อแล้ว ตอนเด็กๆ อ่านการ์ตูนกันมากเกินมั้ง” ชายคนต้นเรื่องพิมพ์อะไรสักอย่างดังก๊อกแก๊ก ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า “นายล่ะแมตต์ เห็นงานก่อนได้มาหลายล้าน ไม่สนใจถอยซูเปอร์คาร์กับเขาสักคันเหรอ นายแม่งความหวังของตี้ ‘ฟอร์ตไนท์จะเล่นตอนไหนก็ได้โตแล้ว‘ ของพวกเรานะเว้ย”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบเป็นจุดเด่นขนาดนั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาเหมือนตาแก่ไม่เหมาะกับหน้าตาที่ดูยังไงก็วัยรุ่นเอเชียอายุไม่น่าเกินยี่สิบ “ขอแค่รองเท้าดีๆ สักคู่ก็พอแล้ว”
“หรือไม่ก็สเก็ตบอร์ดดีๆ สักอัน” แอลหยอกอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังนัก แต่ประโยคต่อมาเรียกว่าชมจากใจจริง “ทำไมไอ้โง่พวกนั้นมันไม่รู้จักทำตัวให้เนียนๆ อย่างนายวะ ฉันยังประทับใจงานที่มาเรียสแควร์ หลังจบงานนายแม่งไถสเก็ตบอร์ดออกไป ตำรวจเจอนายยังไม่สงสัยเลย”
แน่ล่ะ ตำรวจจะไปสนใจอะไรเด็กเอเชียวัยรุ่นทำผมสีทองคล้องเฮดโฟนและไถสเก็ตบอร์ดผ่านไปกัน มองยังไงก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเมื่อกี้เขาเพิ่งเอาลูกกระสุนกรอกปากนักธุรกิจใหญ่มา
“พอๆ นางแอ่นใกล้ถึงแล้ว รอติดไฟแดงอยู่แยกหน้า” ผู้ให้ข้อมูลกล่าวตัดจบแล้วปล่อยให้คอลกลุ่มเหลือแต่ความเงียบงันให้แมตต์ได้มีสมาธิทำงานเต็มที่ เขาสอดนิ้วเข้าไปในโกร่งปืนรอจนรถเก๋งสีดำจอดเทียบประตู ชายวัยกลางคนในชุดสูทค่อยๆ เดินออกมาทักทายกับคนรอบข้าง จากนั้นก็เหนี่ยวไกใส่เลขาของเขา
กระสุนหนึ่งนัดทะลุเข้ากะโหลกศีรษะจบชีวิตนกนางแอ่นผู้เป็นเป้าหมายเรียบร้อย เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีคนคิดเก็บเลขาของผู้นำประเทศ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้องรู้ เขาเป็นนักฆ่า รู้แค่ว่าเป้าหมายคือใครก็พอ
“เอ้า จบงาน เก็บของกลับได้” ผู้ให้ข้อมูลกล่าวสั้นๆ แล้วตัดสายคอลกลุ่มไป แมตต์รีบถอดปืนสไนเปอร์เก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าด้วยความรวดเร็ว จากนั้นค่อยหยิบหมวกและแจ็กเก็ตสีเขียวสดมาใส่ตามด้วยสะพายกล่องใส่อุปกรณ์บนหลัง
“เสร็จแล้วหรือไอ้หนุ่ม” ยามร่างกายสูงใหญ่วัยไม่เกินห้าสิบดักเขาไว้ก่อนที่แมตต์จะเดินออกจากตึก เขาหันไปพยักหน้าและยิ้มแย้มด้วยความเป็นมิตร “มาส่งอะไรล่ะ?”
“ส่งปูดองน้ำปลาให้ชั้นสิบหกครับ เดี๋ยวมีงานต่อต้องไปซื้อเกาลัดที่เยาวราช”
ยามคนนั้นมองด้วยสายตาเห็นใจ มือตบลงบนไหล่ของเขาเบาๆ ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่ากล่องที่สะพายบนหลังคือกล่องอุปกรณ์ปืนไม่ใช่กล่องใส่อาหาร “ยังหนุ่มยังแน่นก็ขยันทำมาหากินแล้ว ลุงไม่กวนเอ็งล่ะ ไปส่งของต่อเถอะ”
แมตต์ยกมือไหว้แล้วเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้หน้าอาคาร เขาคาดกล่องอุปกรณ์ไว้ท้ายรถกระชับแจ็กเกตเข้าหากันเล็กน้อย สายตาไม่แม้แต่จะเหลือบมองความวุ่นวายทางฝั่งตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ
งานเรียบร้อย คนไม่น่ารอด อีกไม่กี่วันเงินค่าจ้างคงจะถึงมือ ตอนนั้นเขาคงซื้อรองเท้ากีฬาคู่ใหม่ที่เหมาะกับการวิ่งปีนป่ายเอาไว้คุยอวดเพื่อนร่วมอาชีพในคอลเกมสักที
แมตต์สวมหมวกกันน็อคสีเขียวสะท้อนแสงที่เขียนว่า GrabFood จากนั้นก็ขับมอเตอร์ไซค์คันโทรมออกไปตามถนนพระรามเก้าที่เริ่มรถติดขนัด ไม่มีใครสนใจพนักงานส่งอาหารคนนั้นเลยสักคน