แม้เสียงลั่นกระสุนจะสงบลงไปได้พักหนึ่งแล้ว แต่กลิ่นไอตะกั่วและดินปืนยังคงคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณนั้น
ชายหนุ่มเดินข้ามไร้ชีวิตหลายศพที่นอนไม่เป็นท่าอยู่บนพื้น ระหว่างที่ก้าวเท้ายาวไป มือหนึ่งก็เก็บเอาปืนพกประจำตัวสอดกลับเข้าซองที่ซ่อนใต้เสื้อแจ็คเก็ตหนังโดยลืมเรื่องเติมกระสุนเปลี่ยนแม็กกาซีนให้อาวุธกลับมาอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตามที่ถูกฝึกมาไปเสียสนิท
เขาก้าวข้ามกองเศษปูนเศษไม้ ท้ายที่สุดก็บรรลุถึงห้องโถงกว้างห้องหนึ่ง แม้เสาปูนและขื่อคานที่ใช้ค้ำยันอาคารจะยังอยู่ในสภาพดี แต่หลังคาด้านบนนั้นได้ถล่มลงมาเป็นรูใหญ่ บนพื้นปูนหยาบเต็มไปด้วยน้ำฝนที่ขังค้างอยู่หลายจุด ผนังปูนที่ฉาบกำแพงอิฐทั้งสี่ด้านไว้อย่างลวกๆ ก็โดนความชื้นและแสงแดดเข้าเล่นงานจนหลุดลอกออกมาให้เห็นเป็นแถบ
แต่เหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ได้มีตาเอาไว้มองภาพน่าสังเวชเหล่านั้น สิ่งเดียวที่เขาต้องการเห็นคือร่างบางของหญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนเอาหลังตะแคงพิงเสาปูนต้นหนึ่งไว้
เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็สาวเท้าวิ่งตรงไปยังเป้าหมาย ไม่กี่พริบตาก็มาหยุดนั่งยองลงที่ข้างกายของหญิงสาวผู้นั้น เขาเห็นเธอมีเลือดออกที่ช่องท้อง ทำเอาเสื้อเชิ้ตขาวตัวในเปรอะสีแดงสดนั้นไปครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มรีบใช้มือทั้งสองเข้าประคองนั่งให้ตรง สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีพจรอยู่ แต่ร่างนั้นออกจะเย็นผิดปกติไปบ้างแล้ว
เขาเปลี่ยนมาใช้มือสอดใต้ตัวจะช้อนร่างหญิงสาวขึ้นอุ้ม แต่กลับถูกมือของเธอผู้นั้นกระชากเสื้อแจ็คเก็ตเอาไว้ แม้ชายหนุ่มจะรู้ว่าแรงรั้งนั้นเบามากจนเขาไม่จำเป็นที่จะต้องตอบโต้ แต่ก็ยังอดเอ่ยกลับไปไม่ได้ว่า "นี่ฉันเอง เธอไม่เป็นไรแล้ว"
ในตอนแรกคล้ายว่าหญิงสาวจะพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นมองว่าคนที่รุดมานั้นเป็นใคร แต่พอได้ยินเสียงของชายหนุ่ม เธอก็พลันหยุดอาการนั้นเปลี่ยนมาเป็นยกมุมปากยิ้ม ส่งเสียงดังกว่ากระซิบเล็กน้อยออกมาว่า "กว่าจะมาได้นะ นี่ฉันเป็น..."
พูดได้เท่านี้ใบหน้าของหญิงสาวก็พลันเหยเก ต้องยกมือน้อยข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าท้อง แม้ชายหนุ่มจะเกิดความร้อนใจขึ้นมา แต่ก็อดเอ่ยหยอกกลับไปไม่ได้ว่า "เป็นเมนส์น่ะสิ บอกแล้วไม่เชื่อว่าให้กินยาเลื่อนไปก่อน"
หญิงสาวหลุดหัวเราะ ก่อนที่จะต้องเผยสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดออกมาอีกครั้ง "อย่า..." เธอพูดได้แค่นี้ แต่ก็สื่อความหมายพอให้เข้าใจได้ว่าอย่าพยายามทำให้เธอหัวเราะอีก ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ทราบ เขารีบช้อนร่างของเธอขึ้นมา แล้วออกวิ่งกลับไปทางเก่าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เขาคิดว่าจะไม่กระทบกระเทือนถึงบาดแผลที่ท้องของอีกฝ่าย
วิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มก็เกิดรู้สึกขึ้นได้ว่าร่างในอ้อมแขนคล้ายจะนิ่งแข็งไป เขารีบเลื่อนมือแตะชีพจร ใจหล่นไปถึงตาตุ่มเมื่อแทบสัมผัสรหัสชีวิตนั้นไม่ได้ "เฮ้ อย่าเพิ่งหลับ" เขาร้องออกมา "เรายังต้องอยู่ด้วยกันก่อน"
เขาเขย่าร่างของหญิงสาวจนฝ่ายนั้นตอบสนองออกมาด้วยการร้องอือคำหนึ่ง ก่อนที่เธอจะปรือเปลือกตาคู่นั้นขึ้น พูดสั้นๆ ว่า "ง่วง"
ชายหนุ่มรู้สึกทั้งฉิวทั้งขัน เขาเขย่าร่างนั้นเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจว่า "เลิกเอาแต่ใจสักวันเถอะ ขอร้องล่ะ"
หญิงสาวเผยอยิ้มขึ้น ตอบกลับไปว่า "นายน่ะ ตามใจฉันสักวันนึงเถอะ"
"ถ้ายอมตามใจคราวนี้ คงไม่เหลือโอกาสให้เธอได้เอาแต่ใจอีกหรอก" ชายหนุ่มพูด "เถอะน่า แข็งใจหน่อย เดี๋ยวพอถึงมือหมอก็จะได้นอนตามสบายแล้ว"
หญิงสาวครางเบาๆ คำหนึ่งเป็นเชิงรับคำ ชายหนุ่มเองก็เร่งฝีเท้าขึ้น ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ออกมาสู่ด้านนอกอาคาร พบกับดวงอาทิตย์ยามบ่ายที่ทอแสงจ้าอยู่บนท้องฟ้า
ดวงตาที่เคยปรือขึ้นเล็กน้อย บัดนี้ก็ต้องหลุบกลับไป หญิงสาวร้องออกมาคำหนึ่งว่าแดด ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มจึงได้เอียงไหล่ข้างหนึ่งให้เกิดเงาบังใบหน้าของเธอไว้พร้อมพูดว่า "อดทนหน่อยนะ ไม่ต้องกลัว อีกนิดเดียวก็จะถึงมือหมอแล้ว"
รอยยิ้มกลับมาแต้มที่มุมปากของหญิงสาวอีกครั้ง เธอขยับปากขมุบขมิบ ก่อนที่จะส่งเสียงเบาๆ คล้ายว่ามันล่องลอยมาจากที่แสนไกลว่า "ไม่กลัวหรอก ก็นายอยู่ที่นี่แล้วนี่"