หญิงสาวยกชายกระโปรงยาวขึ้นสูงไม่ให้เกะกะขณะเร่งรีบลงจากหอคอย ใจหนึ่งก็โมโหอีกใจหนึ่งก็หวาดกลัว ด้วยไม่อาจคาดเดาได้ว่าคนชั่วช้าด้านบนนั่นจะคิดวางแผนทำสิ่งใดอีก
ไม่นานเจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าก็ลงมาถึงด้านล่างของหอคอย ตลอดทางที่ผ่านไร้สุ้มเสียงของสิ่งมีชีวิต ทหารองครักษ์ทำตามคำสั่งของโอมโดยเคร่งครัด นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าหล่อนหวาดกลัว ถึงแม้คนในปราสาทจะเป็นคนที่นางมักคุ้นมานาน และหลายๆ คนก็ไม่ใคร่ที่จะชอบชายผู้มาจากต่างมิตินัก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนในปราสาทอีกเป็นจำนวนมากที่เชื่อในเรื่องของคำทำนายและศรัทธาในตัวของผู้กล้าผู้นี้
เจ้าหญิงก้าวเท้าออกไปยังลานด้านนอก ทหารยามห้าคนที่นั่งจับกลุ่มคุยกันต่างแตกฮือพรวดขึ้นทำความเคารพ “ขออภัยที่พวกกระหม่อมหย่อนยาน— ” หัวหน้าชุดเฝ้ายามละล่ำละลักพูด “คือกระหม่อมหมายถึง ไม่มีใครคาดคิดว่าพระองค์จะลงมาก่อนเช้าวันพรุ่ง”
ทีราเลนเซียทำตาขวางค้อนใส่วงใหญ่ “สามหาวยิ่งนัก” นางตวาด “พวกเจ้าฟังคำสั่งข้า ให้ยืนยามอยู่ตรงนี้โดยแข็งขัน หาก— หากผู้กล้าลงมาเมื่อไร ให้ขัดขวางมิให้เขาติดตามข้ามาได้”
เมื่อได้ฟังคำสั่ง ใบหน้าของเหล่ายามก็พลันซีดขาวเสียยิ่งกว่าเดิม “แต่พระองค์” ทหารยามคนเดิมร้องเสียงสั่น “พวกกระหม่อมจะขัดขวางท่านผู้กล้า— เจ้าชายได้อย่างไร”
“นั่นเป็นปัญหาของพวกเจ้า” เจ้าหญิงยังได้ทีตะเบ็งเสียงต่อไป ยามนี้นางต้องการหาใครเป็นที่ระบายสักคน “ถ้าพวกเจ้าปล่อยให้ผู้กล้าตามมาถึงตัวข้าได้ รับรองว่าเราจะได้เห็นดีกันแน่”
ไม่รอฟังคำตอบ เจ้าหญิงรีบสาวเท้าเดินต่อไป ตลอดทางที่ลงบันไดเวียนมานางก็นึกหาสถานที่ปลอดภัยภายในปราสาทมาโดยตลอด สถานที่ๆ ไม่ว่าอย่างไรผู้กล้าก็คงไม่มีวันที่จะมาฉุดรั้งนางให้กลับไปได้ และแน่นอนว่าสถานที่แห่งนั้นคือหอคอยทิศเหนือ อันอยู่ในความควบคุมของเจ้าชายเทลาเรนเซ่ผู้เป็นพระอนุชาของนางนั่นเอง
ด้วยท่าทางอันรีบเร่งและผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงทำให้เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าหญิงรับใช้และทหารองครักษ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวพยายามตีสีหน้าเรียบเฉยในขณะก้าวตรงไปข้างหน้า ทั้งที่ในใจของเจ้าหล่อนกำลังก่นด่าคนชั่วช้าผู้นั้นที่ทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ในที่สุดเจ้าหญิงก็เดินทางไปถึงห้องทรงหนังสือของพระอนุชา ประตูเปิดออกแทบจะในทันทีที่ทหารยามขานชื่อของนางออกมา เจ้าชายเทลาเรนเซ่โผล่พรวดมายังหน้าประตูจนแทบจะชนโครมกับผู้เป็นพี่ “ท่านพี่ ไฉนท่านถึงมาหาข้ายามค่ำเช่นนี้” เจ้าชายร้อง กวาดตามองร่างของคนตรงหน้า “สภาพของท่านดูไม่ได้เลย เจ้าคนถ่อยนั่นได้ล่วงเกินท่านพี่หรือไม่”
ทีราเลนเซียอึกอักไม่รู้จะตอบกลับคำถามนั้นอย่างไร พอดีกับที่มีสุ้มเสียงหวานของเมย์ลินดังขึ้นขัดจังหวะ “ถามเช่นนั้นไม่สุภาพเลยนะเพคะองค์ชาย” นางพูดพร้อมรอยยิ้ม “โดยเฉพาะในคืนส่งตัวเข้าหอเช่นนี้”
ใบหน้าของเจ้าหญิงขึ้นสี “เหลวไหล เจ้าน่ะเงียบไปเลยนะเมย์ลิน” นางแหวด้วยแรงอารมณ์ “เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“คำทำนาย— ”
“เหลวไหล คำทำนายของเจ้าน่ะข้าไม่เชื่อถืออีกต่อไปแล้ว”
เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มแย่ลง เจ้าชายก็จำใจที่จะต้องยกมือขึ้นห้ามทัพ “ใจเย็นก่อนเถิดท่านพี่ เมย์ลินนั้นเพียงแต่ทำตามหน้าที่ของนาง” เขาพูดช้าๆ “ท่านนั่งลงก่อนดีหรือไม่ เราสองคนกำลังสนทนากันเรื่องพวกออร์คอยู่พอดี”
“พวกเราคงคร่ำเคร่งเกินไป คุยกันตั้งแต่ยามบ่ายคล้อย บัดนี้ดวงอาทิตย์ก็ได้อัสดงเสียแล้ว” นักพยากรณ์สาวเอ่ยเสียงใส “ข้าเกรงว่าอาจดูไม่งาม คงต้องขอตัวก่อน” ว่าแล้วเมย์ลินก็ลุกขึ้นถอนสายบัวหนึ่งครั้ง ก่อนเยื้องย่างออกจากห้องไป
เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง หยดน้ำตาก็ร่วงหล่นออกมาจากดวงตาสีม่วงเป็นสาย “เทลาเรนเซ่” นางร้องเสียงค่อย “พี่— พี่ทนรับมันไม่ไหวอีกแล้ว”
เจ้าชายยังคงยืนนิ่ง แววตาที่จับจ้องใบหน้าของพี่สาวดูไม่ใคร่พึงใจ “ท่านพี่หยุดร้องไห้ก่อนเถอะ” เขาพูดเสียงเรียบ “ลืมไปแล้วหรือว่าท่านพ่อสอนพวกเราอย่างไร เราเหล่าขัตติยะเสียได้แต่เพียงเลือด ไม่มีวันที่จะหลั่งน้ำตา”