กระทู้สำหรับโม่งที่อยากแต่งนิยายแล้วให้โม่งสับหรือเล่นต่อนิยายกัน
Last posted
Total of 780 posts
กระทู้สำหรับโม่งที่อยากแต่งนิยายแล้วให้โม่งสับหรือเล่นต่อนิยายกัน
กุรอคนเปิดนะ กุเปิดเรื่องไม่เก่ง
กูเสนอธีมนิยายแฟนตาซีโรงเรียน มีหอพัก ภารกิจอะไรก็ว่าไป แล้วแบ่งกันแต่งตัวละครของตัวเอง จะเบียวแบบกลับมาแก้แค้น ทะลุมิติ เบียวให้เต็มที่
แซะอีหนังสือกับก็อตนี่หว่า
กูขออย่างเดียว อย่าแต่ง ๆ ไปตันแล้วเล่นมุกตื่น กูเคยเล่น แม่งคนเล่นมันกาก ไม่มีจินตนาการ เขียนไปรวม 20 โพสต์ ตื่นกัน 5-6 ครั้งเลย กูเซ็งมาก
กูวางพล็อตให้ปะ เอาให้เบียวสุดกู่ไปเลย ยำรวมกันทั้งถูกอัญเชิญมาต่างโลก เกิดใหม่ในต่างโลก จู่ๆ ก็ถูกส่งมาต่างโลก และโรงเรียนเวทมนตร์สี่หอ ฮาเร็ม สกิลเทพทรู โลกนี้คือเกมจีบหนุ่มจีบสาวที่เคยเล่น บลาๆ
>>12 งั้นกูต่อให้ คู่แข่งพระเอกได้เกิดใหม่ในต่างโลก และพบว่านี่คือโลกในเกมที่ตูเพิ่งเล่นจบ หนำซ้ำตัวร้ายก็คือข้า เลยคิดหาทางขัดขวางจุดจบหายนะของตัวร้าย ซึ่งเผอิญว่าไอ้วิธีของเจ้านี่ดันไปขัดขวางภารกิจของพระเอก แต่ที่แย่กว่านั้นคือพระเอกมันมีภารกิจต้องเก็บคู่แข่งพระเอกนี่เข้าฮาเร็มเพื่อช่วยโลก
พระเอกหลุดเข้าไปในโลกเกมที่ทุกคนเล่นเกมแข่งกันแล้วผ่านไปสักพักก็หลุดเข้าไปในโลกของเกมในโลกของเกมอีกที ไงล่ะโคตรเทพมาๆใครเอาไปแต่งที
อ้าวกุนึกว่าพวกมรึงจะมาต่อนิยายกันไหงกลายเป็นมาคิดพล้อตให้คนเอาไปแต่งละนี่
หรือกะลังสุมหัวก่อนแล้วหาคนเปิดวะ
ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับกระจกประตู มือซ้ายของเขากำหลวม ๆ อยู่บนพวงมาลัย ดวงตาสีดำเหม่อมองฝ่าบรรยากาศอันอึมครึมจากสายฝนที่ตกปรอย ๆ อยู่ด้านนอกพร้อมถอนหายใจยาว
หญิงสาวบนเบาะข้างคนขับปิดปากหาว เธอใช้มือข้างถนัดหมุนสายเข็มขัดนิรภัยเล่น ผมยาวที่ดูกระเซิงไม่เข้ากับชุดนิสิตที่เธอใส่อยู่เท่าใดนัก “จะทำหน้าแบบนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยแววแง่งอน “ถ้าฝนไม่ตกเราก็กลับเองได้น่า”
“แม่เธอจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูด ยังไม่ถอนสายตาออกจากกระจก “โตแล้วนะเอม ทำไมถึงต้องทำให้ที่บ้านเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ก็วันนี้วันเกิดเพื่อน บอกแม่ไว้แล้วไงว่าจะกลับดึก” หญิงสาวยังไม่หยุดเถียง “ไปได้แล้ว ไฟเขียวแล้ว”
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันความสนใจกลับมายังสภาพการจราจรเบื้องหน้า เขาถอนเบรกออกตัวช้า ๆ มือทั้งสองข้างกำอยู่บนพวงมาลัย ขับตามรถคันหน้าไปด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้ในคืนฝนตกเช่นนี้
รถแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็ถูกไฟสัญญาณบังคับให้ต้องหยุดลงอีกครั้ง ชายหนุ่มใส่เกียร์ว่าง ถอนหายใจยาวอีกครั้งขณะหันหน้ากลับมาหาเพื่อนสาวที่กำลังนั่งแคะเล็บเป็นทองไม่รู้ร้อน “เดี๋ยวก็ถึงบ้านเธอแล้ว” เขาพูด “คิดข้อแก้ตัวดี ๆ ก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องแก้ตัว เราบอกแม่ไว้แล้วว่าวันนี้จะกลับดึก” หญิงสาวตีหน้านิ่ง สายตายังไม่ละไปจากนิ้วเรียว “โอมก็รู้นี่ว่าแม่เป็นยังไง คราวหลังถ้าแม่โทรหาอีกก็ทำเฉยไว้นะ จะได้ไม่ลำบาก”
“โอมรู้ว่าป้าดาเขาเป็นห่วงไง” ชายหนุ่มพูดอย่างหัวเสีย ปล่อยมือซ้ายที่กำพวงมาลัยไว้มาทึ้งผมตัวเอง “ที่บอกว่าจะกลับดึกน่ะเขาคิดกันว่าคงไม่เกินสี่ทุ่ม นี่มันจะตีสองแล้วนะเอม แถมโทรไปก็ไม่รับอีก”
หญิงสาวยกมือขวาขึ้นดึงแก้มของเพื่อนหนุ่ม “หยุดพูดเถอะ เดี๋ยวต้องเก็บหูไว้ฟังแม่อีก” เธอใช้มืออีกข้างกดเปิดวิทยุ เสียงเพลงป๊อบสากลดังกระหึ่มออกมาจากลำโพงทันที “ฟังนี่ล้างหูไว้ดีกว่า”
เสียงเพลงยังคงดังต่อไปโดยไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากชายหนุ่มข้างกาย เอมหันไปมองใบหน้าถมึงทึงของเพื่อนก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา “เป็นอะไรน่ะโอม” หญิงสาวทำเสียงฉอเลาะ เอี้ยวตัวไปใช้มือทั้งสองข้างบีบต้นแขนของอีกฝ่ายแน่น “โกรธเค้าเหรอ เค้าขอโทษ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งขณะพยายามดึงแขนของตนให้พ้นจากการเกาะกุม “เลิกทำแบบนี้สักทีเถอะ” เขาขมวดคิ้ว “กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว เข้าบ้านทั้งแบบนี้เธอตายแน่”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เอมรีบถอนมือขึ้นไปอังปากทดสอบกลิ่นลมหายใจ “จริงด้วย” เธอร้องอย่างตกใจ “ทำไงดีล่ะ แม่ต้องฆ่าเอมแน่ ๆ เลย”
“เดี๋ยวไปจอดเซเว่นหน้าปากซอยให้ก็แล้วกัน” เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่ม “หาน้ำหวานกิน เผื่อจะช่วยได้”
เอมนั่งเงียบไปตลอดทางจนถึงที่หมาย ชายหนุ่มลอบยิ้มในใจเมื่อได้เห็นหญิงสาวนั่งพ่นลมหายใจทดสอบกลิ่นแอลกอฮอล์ทุก ๆ สิบวินาที เขาจอดรถเทียบข้างฟุตบาทขณะที่หญิงสาวรีบก้าวเท้าลงจากรถตรงดิ่งเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อทันที
หญิงสาวกลับมาในอีกห้านาทีพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่ โอมเอี้ยวตัวหันมามองของในนั้นก่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “กาแฟ กาแฟดำ น้ำแดง น้ำเขียวแล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะเนี่ย” เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ “กินหมดนี่ปวดท้องตายแน่เธอ”
“มันจะได้ดับกลิ่นไง” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงวิตกจริตขณะกระดกกระป๋องอลูมิเนียมขึ้นดื่มแล้วหันกลับมาพ่นลมใส่หน้าเพื่อนหนุ่ม “หายยัง” เธอถาม
ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ผู้หญิงบ้าอะไรโคตรหยาบคาย” เขาพูดพร้อมเอนหลังกลับไปชิดเบาะ “เดี๋ยวสัปดาห์หน้าโอมก็ไปอเมริกาแล้ว ใครจะมาคอยตามล้างตามเช็ดให้เอม”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
โอมหัวเราะเบา ๆ เหสายตากลับไปมองม่านฝนด้านนอกหน้าต่างที่เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น “รีบ ๆ กินเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ป้าดาจะรอเธอจนไม่ได้นอน”
สัส เว็บห่านี่ไม่เหมาะกับการเขียนนิยาย เอาใหม่นะ กู >>20
ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับกระจกประตู มือซ้ายของเขากำหลวม ๆ อยู่บนพวงมาลัย ดวงตาสีดำเหม่อมองฝ่าบรรยากาศอันอึมครึมจากสายฝนที่ตกปรอย ๆ อยู่ด้านนอกพร้อมถอนหายใจยาว
หญิงสาวบนเบาะข้างคนขับปิดปากหาว เธอใช้มือข้างถนัดหมุนสายเข็มขัดนิรภัยเล่น ผมยาวที่ดูกระเซิงไม่เข้ากับชุดนิสิตที่เธอใส่อยู่เท่าใดนัก “จะทำหน้าแบบนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยแววแง่งอน “ถ้าฝนไม่ตกเราก็กลับเองได้น่า”
“แม่เธอจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูด ยังไม่ถอนสายตาออกจากกระจก “โตแล้วนะเอม ทำไมถึงต้องทำให้ที่บ้านเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ก็วันนี้วันเกิดเพื่อน บอกแม่ไว้แล้วไงว่าจะกลับดึก” หญิงสาวยังไม่หยุดเถียง “ไปได้แล้ว ไฟเขียวแล้ว”
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันความสนใจกลับมายังสภาพการจราจรเบื้องหน้า เขาถอนเบรกออกตัวช้า ๆ มือทั้งสองข้างกำอยู่บนพวงมาลัย ขับตามรถคันหน้าไปด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้ในคืนฝนตกเช่นนี้
รถแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็ถูกไฟสัญญาณบังคับให้ต้องหยุดลงอีกครั้ง ชายหนุ่มใส่เกียร์ว่าง ถอนหายใจยาวอีกครั้งขณะหันหน้ากลับมาหาเพื่อนสาวที่กำลังนั่งแคะเล็บเป็นทองไม่รู้ร้อน “เดี๋ยวก็ถึงบ้านเธอแล้ว” เขาพูด “คิดข้อแก้ตัวดี ๆ ก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องแก้ตัว เราบอกแม่ไว้แล้วว่าวันนี้จะกลับดึก” หญิงสาวตีหน้านิ่ง สายตายังไม่ละไปจากนิ้วเรียว “โอมก็รู้นี่ว่าแม่เป็นยังไง คราวหลังถ้าแม่โทรหาอีกก็ทำเฉยไว้นะ จะได้ไม่ลำบาก”
“โอมรู้ว่าป้าดาเขาเป็นห่วงไง” ชายหนุ่มพูดอย่างหัวเสีย ปล่อยมือซ้ายที่กำพวงมาลัยไว้มาทึ้งผมตัวเอง “ที่บอกว่าจะกลับดึกน่ะเขาคิดกันว่าคงไม่เกินสี่ทุ่ม นี่มันจะตีสองแล้วนะเอม แถมโทรไปก็ไม่รับอีก”
หญิงสาวยกมือขวาขึ้นดึงแก้มของเพื่อนหนุ่ม “หยุดพูดเถอะ เดี๋ยวต้องเก็บหูไว้ฟังแม่อีก” เธอใช้มืออีกข้างกดเปิดวิทยุ เสียงเพลงป๊อบสากลดังกระหึ่มออกมาจากลำโพงทันที “ฟังนี่ล้างหูไว้ดีกว่า”
เสียงเพลงยังคงดังต่อไปโดยไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากชายหนุ่มข้างกาย เอมหันไปมองใบหน้าถมึงทึงของเพื่อนก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา “เป็นอะไรน่ะโอม” หญิงสาวทำเสียงฉอเลาะ เอี้ยวตัวไปใช้มือทั้งสองข้างบีบต้นแขนของอีกฝ่ายแน่น “โกรธเค้าเหรอ เค้าขอโทษ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งขณะพยายามดึงแขนของตนให้พ้นจากการเกาะกุม “เลิกทำแบบนี้สักทีเถอะ” เขาขมวดคิ้ว “กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว เข้าบ้านทั้งแบบนี้เธอตายแน่”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เอมรีบถอนมือขึ้นไปอังปากทดสอบกลิ่นลมหายใจ “จริงด้วย” เธอร้องอย่างตกใจ “ทำไงดีล่ะ แม่ต้องฆ่าเอมแน่ ๆ เลย”
“เดี๋ยวไปจอดเซเว่นหน้าปากซอยให้ก็แล้วกัน” เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่ม “หาน้ำหวานกิน เผื่อจะช่วยได้”
เอมนั่งเงียบไปตลอดทางจนถึงที่หมาย ชายหนุ่มลอบยิ้มในใจเมื่อได้เห็นหญิงสาวนั่งพ่นลมหายใจทดสอบกลิ่นแอลกอฮอล์ทุก ๆ สิบวินาที เขาจอดรถเทียบข้างฟุตบาทขณะที่หญิงสาวรีบก้าวเท้าลงจากรถตรงดิ่งเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อทันที
หญิงสาวกลับมาในอีกห้านาทีพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่ โอมเอี้ยวตัวหันมามองของในนั้นก่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “กาแฟ กาแฟดำ น้ำแดง น้ำเขียวแล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะเนี่ย” เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ “กินหมดนี่ปวดท้องตายแน่เธอ”
“มันจะได้ดับกลิ่นไง” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงวิตกจริตขณะกระดกกระป๋องอลูมิเนียมขึ้นดื่มแล้วหันกลับมาพ่นลมใส่หน้าเพื่อนหนุ่ม “หายยัง” เธอถาม
ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ผู้หญิงบ้าอะไรโคตรหยาบคาย” เขาพูดพร้อมเอนหลังกลับไปชิดเบาะ “เดี๋ยวสัปดาห์หน้าโอมก็ไปอเมริกาแล้ว ใครจะมาคอยตามล้างตามเช็ดให้เอม”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
โอมหัวเราะเบา ๆ เหสายตากลับไปมองม่านฝนด้านนอกหน้าต่างที่เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น “รีบ ๆ กินเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ป้าดาจะรอเธอจนไม่ได้นอน”
มึงจะต่อป้ะ เดี๋ยวกูต่อ555
.....
...
"ขอบใจนะลูก" ป้าดาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเกรงใจก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาว "ไปเอม เข้าบ้าน" น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาเต็มด้วยร่องรอยของความโล่งอก..โชคดีที่คราวนี้เขาไปเป็นเพื่อนเธอ อย่างไรเอมิกาก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เที่ยวกลางคืนคนเดียวคงไม่ปลอดภัยนัก
เอมยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มซุกซนโดยไม่สนใจมารดา แล้วจึงหมุนตัวเข้าบ้านไป ชายหนุ่มยิ้มตามมารยาทแล้วจึงกล่าวขอตัว
โอมขับรถออกมา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความหนักใจ..
...ชายหนุ่มรู้ดีว่าเอมคิดอย่างไรกับตนเอง โอมคิดกับหญิงสาวเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น แต่ยิ่งเขาถอยหนี เอมก็ยิ่งรุกไล่ วันนี้ถึงขั้นโทรมาเรียกให้เขาไปรับที่ผับชื่อดังกลางกรุงแห่งหนึ่ง จะให้เขาปล่อยผู้หญิงคนเดียวไปเมาอยู่คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่อง
..แต่อาทิตย์หน้าเขาก็จะไปอเมริกาแล้ว
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นอะไรบางอย่างแล่นผ่านไปตรงหน้ากระจก
"อะไรวะ?"
ปัง!
เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประหลาด มันมาพร้อมแรงกระแทกจากด้านบน..หลังคารถ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันที..ทันได้เห็นรอยยุบบนหลังคารถที่ปรากฏเป็นใบหน้าคนชัดเจนก่อนที่ดวงหน้านั้นจะหายไป!
เอ้าต่อมึง หนังผีไปแล้วมั้งสัส555
มึง สรุปจะเอาเขียนดีหรือเขียนเบียว กูว่าเริ่มไปทางแรกแล้วนะ5555
เปรี้ยงงงงง
รถทั้งคันพลิกคว่ำคะมำหงายภายในทันที กระกายไฟแล่นแปลบปลาบยามเสียดสีไปกับขอบรั้วเหล็กริมถนน อะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หัวเขาอย่างจังจนสติของชายหนุ่มหลุดลอยไป
พร้อมกับเสียงหัวเราะที่แว่วมา
วินาทีนั้นเองที่โอมรู้ว่า เขาไม่มีวันจะได้ไปอเมริกาหรือเจอหน้าเอมิกาอีกแล้ว
เขา....กำลังจะตาย
.................
..........
ความมืดที่เข้าครอบงำห้วงสติเริ่มถดถอยไปประดุจหมอกยามเช้าที่ค่อยสลายไปยามเมื่อแสงตะวันเริ่มแรงกล้า
โอมไ้ด้สติอีกครั้ง
ยังไม่ตายอีกเหรอวะ... ชายหนุ่มถึงกับสบถออกมาในใจด้วยความงุนงง ภาพเบื้องหน้าค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์ที่ปรากฎเบื้องหน้านั้น...ไม่ใช่ภาพของกรุงเทพที่เขาเห็นมาตลอด23ปีแต่อย่างใด ยิ่งไม่ใช่โรงพยาบาลเข้าไปใหญ่
เอ้าโยนไม้ต่อ สร้างสรรค์ความเบียวตามใจมึง
เอาจริงๆกูว่าภาษาดีไปนะ ถ้าจะเอาพล็อตเบียวๆ ภาษาก็น่าจะเบียวไปด้วยเลย รึเปล่าวะ 555
งั้นเดี๋ยวคราวหน้ากูจะพยายามเขียนเบียวๆขึ้นละกัน
>>30 กูต่อนะ
ซากโบราณสถานที่ดูคล้ายโคลอสเซี่ยมยุคโรมันคือสิ่งที่โอมเห็น บรรยากาศรอบตัวมีแต่ความมืดสลัวในยามราตรี แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ชัดเจนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคือคบไฟขนาดใหญ่สองอันที่มีเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้ ชายชราในชุดนักบวชชั้นสูงยืนอยู่ตรงกลางคบไฟทั้งสอง มีเงาร่างของผู้คนจำนวนมากยืนห่างไกลแสงไฟออกไปเรียงแถวกันโอบล้อมรอบตัวโอมเป็นวงกลม คนเหล่านั้นแต่งกายกันสองแบบ คือสวมชุดคลุมตัวโคร่งปกปิดรูปร่างหน้าตา และสวมชุดเกราะเต็มยศเยี่ยงอัศวินเตรียมออกศึก
"สวัสดีท่านผู้กล้า ข้าในฐานะตัวแทนชาวอาณาจักรไบลี่ย์ ได้ทำการอัญเชิญท่านจากแดนไกลมายังที่แห่งนี้เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยปราบจอมมารร้ายที่กำลังจะยึดครองโลกในอนาคตอันใกล้ ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถิดท่านผู้กล้า" นักบวชชรากล่าวจบก็โค้งคำนับเป็นเชิงขอร้อง เหล่าจอมเวทและอัศวินที่ยืนกระจายอยู่โดยรอบก็คุกเข่าลงแล้วก้มหัวอย่างนอบน้อม
"ห้ะ?" โอมติดสตั้นไปพักใหญ่หลังฟังคำพูดของชายชราจบ
เอ้า ต่อเลยโม่ง
งี่เง่า...
นั่นเป็นความคิดแรกในใจของเขา
การที่มีคนหมู่มากมาคุกเข่า ร้องขอให้เราวิ่งไปทิ้งชีวิต คนโง่ๆอย่างพระเอกนิยายธรรมดาคงทำ แต่โอมไม่คิดจะวิ่งไปให้จอมมารทิ่ม
"ช่วยแล้วได้อะไร?"
"มีประกันชีวิตไหม?"
"แล้วนี่ลุกขึ้นได้แล้ว จะนอนอีกนานไหม"
โอมมองต่ำ บางทีคนพวกนี้อาจจะได้จอมมารคนที่สองแทนผู้กล้าซะแล้ว...
ต่อเลยเพื่อน
รออ่านอยู่นะโม่งงง โม่งคนเปิดเรื่องมีผลงานไหมอ่ะ ชอบการเขียนนายมากเลย แต่คงบอกไม่ได้สินะเดี๋ยวโม่งแตก เสียดายจัง
>>34 "มันจะมากไปแล้วนะนายน่ะ" เสียงแหลมสูงดังขึ้นมาจากเบื้องหลังฝูงชนที่ห้อมล้อมเขาอยู่
โอมแหงนหน้ามองไปรอบตัว ก่อนจะพบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืดแล้วจ้องมองเขาด้วยแววตาขุ่นเคืองอยู่
เธออยู่ในชุดที่ดูแปลกตามากสำหรับเขา เสื้อผ้าประดับด้วยลูกไม้แต่กลับดูเรียบง่ายเข้ากับร่างกาย ดวงตาสีม่วงเข้มแปลกประหลาด ทั้งยังมีผมสีดำตัดกับผิวขาวซีด
"เป็นแต่สิ่งมีชีวิตชนชั้นต่ำที่ถูกเรียกมาแท้ๆ ยังกล้ามาต่อรองกับพวกข้าอีกงั้นหรอ" พูดทั้งเสียงเหยียดหยามราวกับจะบดขยี้เขาซะให้แหลกตรงนี้
"เธอ..." โอมข่มความกลัวไว้ในใจเพื่อรักษาท่าที "เป็นใครกัน"
"ข้าหรอ" หญิงสาวเชิดคางมือท้าวสะเอวแสดงความเหย่อหยิ่ง "เจ้าหญิงของอาณาจักรนี้ยังไงล่ะ"
ปล่อยความเบียวเสร็จละ กูขอลาก่อยยยย กาวนี่มันหอมจริงๆ~
>>38 เอามาให้กูดมบ้าง ความเบียวจะเริ่มต้นขึ้นณบัดนี้!!!??
เจ้าหญิง..มิน่าล่ะถึงทำท่าหัวสูงดูถูกคนเป็นบ้า โอมนึกเข่นเขี้ยวในใจ
"เจ้า" อีกฝ่ายชี้นิ้วมาทางเขา "ในเมื่อถูกเรียกมาแล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีด้วยล่ะ"
โอมคิ้วกระตุก "แล้วถ้าฉันไม่ทำล่ะ"
..หญิงสาวเงียบไปชั่วครุ่ เสียงฝูงชนด้านหลังพึมพำอื้ออึงมาเป็นระยะ
"เจ้า...เจ้าก็จะกลับไปที่ๆเจ้าจากมาไม่ได้ไงล่ะ!! ถ้าเจ้าทำสำเร็จ เราจะส่งเจ้ากลับไปโดยสวัสดิภาพ" แววตาสีม่วงเปล่งประกายอย่างมีชัย
..เรื่องนั้นมันก็เห็นชัดๆอยู่แล้วไม่ใช่หรือ โอมคิดในใจ
เปิดตัวนางเอกหมายเลขหนึ่ง
กูเขียนเจ้าหญิงแต่ลืมคิดชื่อให้ว่ะ เอาไงดี เรียกเจ้าหญิงไปละกัน แต่ถ้าใครมีไอเดียก็ใส่ได้นะมึง
เอาชื่อยาวๆเว่อวังอลังการก็ดีนะ แล้วก็มีชื่อเรียกย่อๆด้วย 555 ตอนนี้กูยังคิดไม่ออก
เอมิเลีย เรกาเซียบลาๆๆเรียๆๆสระเอียนี่แหละมึงหรูแล้ว
"ว่าแต่เธอจะให้ฉันอยู่ตรงนี้ไปถึงเมื่อไหร่" โอมองรอบตัวแล้วบ่นโอดครวญ
"เสียมารยาท!" เจ้าหญิงแผดเสียง "เรียกว่าเธออยู่ได้ข้าก็มีชื่อเหมือนกันนะ"
"งั้นชื่ออะไรล่ะ" โอมถามกลับทันทีโดยไม่ต้องคิด
"ถามได้ไร้มารยาทเสียจริง!" เจ้าหญิงพูดท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจ
ขณะที่โอมกำลังจะเถียงกลับด้วยความปวดประสาทกับเจ้าหล่อนนั้นเอง เธอก็ได้พูดขัดขึ้น
"ทีราเลนเซีย ฟราดิก้า เอสเปอร์รัญญ่า" เจ้าหญิงสะบัดหน้าหลบไม่สบตาเขา "แต่สามัญชนและข้าราชบริพารจะเรียกข้าว่าเอสเปอร์รัญญ่าที่12"
"แปลว่าข้างหน้าเป็นชื่อเธอสินะ" โอมลูบคางพลางคิดตาม "ทีราเลนเซีย?"
เจ้าหญิงถลึงตาใส่เขา "ไม่ได้ยินรึไงว่าสามัญ..."
"ฉันชื่อโอม" เขาไม่สนใจเสียงบ่นกับรังสีอาฆาตทีแผ่ออกมาจากเธอ "แล้วฉันก็ไม่ใช่สามัญชนสักหน่อย...เป็นผู้กล้าต่างหาก"
Let it goooooooo,let it byouuuuu
>>43 กูต่อออ
"หืม? แสดงว่าเจ้ายอมทำตามหน้าที่แล้วสินะ" เจ้าหญิงถามแล้วยกยิ้มอย่างพอใจ
"ใช่ แต่มีเงื่อนไขอยู่สามข้อ" โอมพูดจบก็แสยะยิ้มที่ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
"อะไร?"
"หนึ่ง ต้องมีทีมไปช่วยฉันปราบจอมมารด้วย สอง สมาชิกที่จะร่วมทีมต้องเป็นคนเก่งมีฝีมือระดับประเทศหรือชั้นแนวหน้าของวงการ สาม เธอคือสมาชิกคนแรกของทีม มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยของฉัน ถ้าเธอกระจอกสุดในกลุ่มฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่อย่ามาเป็นตัวถ่วงของทีมละกัน"
"บังอาจ!" เจ้าหญิงตวาดลั่นอย่างมีโทสะ ไม่รู้ว่าโกรธกับเงื่อนไขที่เรียกร้องมากเกินไปหรือถูกสบประมาทในช่วงท้าย
เอาเอมมาด้วยๆ เอาไปอยู่กะจอมมารงี้ 555555555
'บังอาจ!' หญิงสาวตวาดลั่น
ทว่าเหมือนมีแรงบางอย่างกระชากตัวเธอออกมาจากตรงนั้นอย่างรุนแรงจนร่างกายเธอสั่นสะดุ้งด้วยความหวั่นวิตก
"ฝันเมื่อกี้มันอะไรกัน" หญิงสาวถอนหายใจหอบหลังจากพึ่งตื่นจากความฝันแสนประหลาดนั่น
สายตามองรอบตัวก็พบว่ายังอยู่ในห้องนอนตัวเองอยู่
เป็นฝันที่เหมือนจริงชะมัด แถมยังฝันเห็นโอมอีก เธอคิดในใจ
ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อนั้นเอง ประตูห้องได้เปิดออกกระทันหันกระแทกกำแพงจนเสียงดังสนั่น
เอมมองแม่ของตนด้วยสายตาไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงต้องทำท่าร้อนรนแบบนั้นด้วย
"มีอะไรคะแม่" เอมถามแม่ที่ยืนหอบอยู่
"โอม...โอม..." สีหน้าหล่อนซีดยิ่งขึ้นหลังพูดชื่อโอมออกมา
"โอมเขา..."
Byou is coming!
เหยดดดด
"อะไรนะคะ....แม่?"เอมิกาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่ภาพของมารดาผู้เต็มไปด้วยความจริงจังทำให้เธอสั่นเทา นี่เธอกำลังกลัวอะไรกันอยู่?
"เอมตั้งสตินะลูก โอมเขาจากไปแล้ว"มารดาของเอมิกาพูดย้ำอีกครั้ง เธอรู้ว่านั่นจะทำให้ลูกสาวของเธอเสียใจแต่ยังไงเจ้าโอมเองก็เป็นเพื่อนกับเอมตั้งแต่เด็ก เธอคิดว่ายังไงเอมก็ควรรู้เรื่องนี้
"ตะ แต่หนูพึ่งเจอโอมเมื่อกี้เองนะ พึ่งเจอเมื่อกี้เอง!"เธอโวยวายรู้สึกบรรยากาศรอบด้านพร่ามัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็อยู่ในอ้อมกอดของแม่ร้องไห้ฟูมฟาย
ยังมีสิ่งหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเอมิกา
เมื่อกี้เจอยังเจอโอม ยังเจอโอมอยู่ในฝันของเธอ
ไม่สิ!!
โอมที่อยู่อีกโลกหนึ่ง!
ส่งไม้ต่อคร่ะ
กูนึกว่าจะไม่มีคนมาต่อกูละสาดดด คิดว่าโจทย์ยากไป พวกมึงเลยเผ่นกันหมด 55555
แต่งต่อไอสัส
>>52
"โอมเค้าขับรถไปชนรถไฟฟ้าน่ะจ้ะ แม่โอมเค้าพึ่งโทรมาบอกแม่นี่เอง"
"แม่คะ หนูไม่ขำด้วยนะ"เอมพูดแล้วผละออกจากแม่ หยิบมือถือโทรไปเบอร์ที่เธอบันทึกไว้เป็นรายการโปรด เบอร์ที่เธอโทรทุกวันทุกเวลา เบอร์ของคนที่เธอแอบชอบมาตั้งแต่เด็ก ทันทีที่ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของแม่โอมจากปลายทาง เธอก็นิ่งไป โลกของเธอเหมือนหยุดหมุน
เอมสวมกอดแม่ ทั้งคู่ต่างร้องไห้ แม่ของเอมเองก็รักโอมเหมือนลูกชายอีกคน
คืนนั้น เอมนอนร้องให้จนหลับไป
"เห้ย! ปิรัญญ่า เป็นอ่ะไรของเธอน่ะ อยู่ดีๆก็วูบไป"
"กรี๊ดดด!! อย่ามาแตะตัวฉันนะไอ้บ้า ไอ้สามัญชน ไอ้สิ่งปติกูล"
"อีกอย่าง อีปีรัญญ่านี้มันหมายถึงใครยะ"
ปลาปิรันยา (อังกฤษ: Piranha) เป็นชื่อสามัญเรียกปลาน้ำจืดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงศ์ Serrasalmidae (หรือในวงศ์ Characidae[2]) โดยทั่วไป ปลาที่ได้ชื่อว่า "ปิรันยา" นั้นจะหมายถึงปลาในสกุล Pristobrycon, Pygocentrus, Pygopristis และ Serrasalmus แต่ก็อาจรวมถึงปลาในสกุล Catoprion ด้วย รวมกันแล้วประมาณ 40 ชนิด[3] ส่วนปลาในสกุลอื่นมักไม่นิยมเรียกว่าปลาปิรันยา ถึงแม้จะอยู่ในวงศ์ย่อยนี้ก็ตาม
ปลาปิรันยากินเนื้อเป็นอาหาร มักอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ พบในแม่น้ำอเมซอน และแม่น้ำหลายสายในทวีปอเมริกาใต้ มีฟันที่แหลมคมรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ มีส่วนหัวขนาดใหญ่ มีกล้ามเนื้อบริเวณกระพุ้งแก้มแข็งแรง ใช้สำหรับกัดกินเนื้อของสัตว์ที่ตกลงไปอยู่ใกล้ที่อยู่เป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ที่ตื่นตระหนกตกใจ หรืออยู่ในภาวะอ่อนแอบาดเจ็บ เสียงตูมตามของน้ำที่กระเพื่อม จะดึงดูดปลาปิรันยาเข้ามาอย่างว่องไว ซึ่งปลาปิรันยาจะใช้ฟันที่แหลมคมกัดกินเนื้อของสัตว์ใหญ่จนทะลุไปถึงกระดูกสันหลังได้เพียงไม่กี่นาที ความดุร้ายของปลาปิรันยาแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิด[3] แต่เชื่อว่าปลาปิรันยาทุกชนิดสามารถตรวจจับกลิ่นเลือดในน้ำแม้เพียง 50 แกลลอน เหมือนกับปลาฉลาม
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.