กระทู้สำหรับโม่งที่อยากแต่งนิยายแล้วให้โม่งสับหรือเล่นต่อนิยายกัน
Last posted
Total of 780 posts
กระทู้สำหรับโม่งที่อยากแต่งนิยายแล้วให้โม่งสับหรือเล่นต่อนิยายกัน
กุรอคนเปิดนะ กุเปิดเรื่องไม่เก่ง
กูเสนอธีมนิยายแฟนตาซีโรงเรียน มีหอพัก ภารกิจอะไรก็ว่าไป แล้วแบ่งกันแต่งตัวละครของตัวเอง จะเบียวแบบกลับมาแก้แค้น ทะลุมิติ เบียวให้เต็มที่
แซะอีหนังสือกับก็อตนี่หว่า
กูขออย่างเดียว อย่าแต่ง ๆ ไปตันแล้วเล่นมุกตื่น กูเคยเล่น แม่งคนเล่นมันกาก ไม่มีจินตนาการ เขียนไปรวม 20 โพสต์ ตื่นกัน 5-6 ครั้งเลย กูเซ็งมาก
กูวางพล็อตให้ปะ เอาให้เบียวสุดกู่ไปเลย ยำรวมกันทั้งถูกอัญเชิญมาต่างโลก เกิดใหม่ในต่างโลก จู่ๆ ก็ถูกส่งมาต่างโลก และโรงเรียนเวทมนตร์สี่หอ ฮาเร็ม สกิลเทพทรู โลกนี้คือเกมจีบหนุ่มจีบสาวที่เคยเล่น บลาๆ
>>12 งั้นกูต่อให้ คู่แข่งพระเอกได้เกิดใหม่ในต่างโลก และพบว่านี่คือโลกในเกมที่ตูเพิ่งเล่นจบ หนำซ้ำตัวร้ายก็คือข้า เลยคิดหาทางขัดขวางจุดจบหายนะของตัวร้าย ซึ่งเผอิญว่าไอ้วิธีของเจ้านี่ดันไปขัดขวางภารกิจของพระเอก แต่ที่แย่กว่านั้นคือพระเอกมันมีภารกิจต้องเก็บคู่แข่งพระเอกนี่เข้าฮาเร็มเพื่อช่วยโลก
พระเอกหลุดเข้าไปในโลกเกมที่ทุกคนเล่นเกมแข่งกันแล้วผ่านไปสักพักก็หลุดเข้าไปในโลกของเกมในโลกของเกมอีกที ไงล่ะโคตรเทพมาๆใครเอาไปแต่งที
อ้าวกุนึกว่าพวกมรึงจะมาต่อนิยายกันไหงกลายเป็นมาคิดพล้อตให้คนเอาไปแต่งละนี่
หรือกะลังสุมหัวก่อนแล้วหาคนเปิดวะ
ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับกระจกประตู มือซ้ายของเขากำหลวม ๆ อยู่บนพวงมาลัย ดวงตาสีดำเหม่อมองฝ่าบรรยากาศอันอึมครึมจากสายฝนที่ตกปรอย ๆ อยู่ด้านนอกพร้อมถอนหายใจยาว
หญิงสาวบนเบาะข้างคนขับปิดปากหาว เธอใช้มือข้างถนัดหมุนสายเข็มขัดนิรภัยเล่น ผมยาวที่ดูกระเซิงไม่เข้ากับชุดนิสิตที่เธอใส่อยู่เท่าใดนัก “จะทำหน้าแบบนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยแววแง่งอน “ถ้าฝนไม่ตกเราก็กลับเองได้น่า”
“แม่เธอจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูด ยังไม่ถอนสายตาออกจากกระจก “โตแล้วนะเอม ทำไมถึงต้องทำให้ที่บ้านเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ก็วันนี้วันเกิดเพื่อน บอกแม่ไว้แล้วไงว่าจะกลับดึก” หญิงสาวยังไม่หยุดเถียง “ไปได้แล้ว ไฟเขียวแล้ว”
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันความสนใจกลับมายังสภาพการจราจรเบื้องหน้า เขาถอนเบรกออกตัวช้า ๆ มือทั้งสองข้างกำอยู่บนพวงมาลัย ขับตามรถคันหน้าไปด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้ในคืนฝนตกเช่นนี้
รถแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็ถูกไฟสัญญาณบังคับให้ต้องหยุดลงอีกครั้ง ชายหนุ่มใส่เกียร์ว่าง ถอนหายใจยาวอีกครั้งขณะหันหน้ากลับมาหาเพื่อนสาวที่กำลังนั่งแคะเล็บเป็นทองไม่รู้ร้อน “เดี๋ยวก็ถึงบ้านเธอแล้ว” เขาพูด “คิดข้อแก้ตัวดี ๆ ก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องแก้ตัว เราบอกแม่ไว้แล้วว่าวันนี้จะกลับดึก” หญิงสาวตีหน้านิ่ง สายตายังไม่ละไปจากนิ้วเรียว “โอมก็รู้นี่ว่าแม่เป็นยังไง คราวหลังถ้าแม่โทรหาอีกก็ทำเฉยไว้นะ จะได้ไม่ลำบาก”
“โอมรู้ว่าป้าดาเขาเป็นห่วงไง” ชายหนุ่มพูดอย่างหัวเสีย ปล่อยมือซ้ายที่กำพวงมาลัยไว้มาทึ้งผมตัวเอง “ที่บอกว่าจะกลับดึกน่ะเขาคิดกันว่าคงไม่เกินสี่ทุ่ม นี่มันจะตีสองแล้วนะเอม แถมโทรไปก็ไม่รับอีก”
หญิงสาวยกมือขวาขึ้นดึงแก้มของเพื่อนหนุ่ม “หยุดพูดเถอะ เดี๋ยวต้องเก็บหูไว้ฟังแม่อีก” เธอใช้มืออีกข้างกดเปิดวิทยุ เสียงเพลงป๊อบสากลดังกระหึ่มออกมาจากลำโพงทันที “ฟังนี่ล้างหูไว้ดีกว่า”
เสียงเพลงยังคงดังต่อไปโดยไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากชายหนุ่มข้างกาย เอมหันไปมองใบหน้าถมึงทึงของเพื่อนก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา “เป็นอะไรน่ะโอม” หญิงสาวทำเสียงฉอเลาะ เอี้ยวตัวไปใช้มือทั้งสองข้างบีบต้นแขนของอีกฝ่ายแน่น “โกรธเค้าเหรอ เค้าขอโทษ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งขณะพยายามดึงแขนของตนให้พ้นจากการเกาะกุม “เลิกทำแบบนี้สักทีเถอะ” เขาขมวดคิ้ว “กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว เข้าบ้านทั้งแบบนี้เธอตายแน่”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เอมรีบถอนมือขึ้นไปอังปากทดสอบกลิ่นลมหายใจ “จริงด้วย” เธอร้องอย่างตกใจ “ทำไงดีล่ะ แม่ต้องฆ่าเอมแน่ ๆ เลย”
“เดี๋ยวไปจอดเซเว่นหน้าปากซอยให้ก็แล้วกัน” เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่ม “หาน้ำหวานกิน เผื่อจะช่วยได้”
เอมนั่งเงียบไปตลอดทางจนถึงที่หมาย ชายหนุ่มลอบยิ้มในใจเมื่อได้เห็นหญิงสาวนั่งพ่นลมหายใจทดสอบกลิ่นแอลกอฮอล์ทุก ๆ สิบวินาที เขาจอดรถเทียบข้างฟุตบาทขณะที่หญิงสาวรีบก้าวเท้าลงจากรถตรงดิ่งเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อทันที
หญิงสาวกลับมาในอีกห้านาทีพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่ โอมเอี้ยวตัวหันมามองของในนั้นก่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “กาแฟ กาแฟดำ น้ำแดง น้ำเขียวแล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะเนี่ย” เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ “กินหมดนี่ปวดท้องตายแน่เธอ”
“มันจะได้ดับกลิ่นไง” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงวิตกจริตขณะกระดกกระป๋องอลูมิเนียมขึ้นดื่มแล้วหันกลับมาพ่นลมใส่หน้าเพื่อนหนุ่ม “หายยัง” เธอถาม
ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ผู้หญิงบ้าอะไรโคตรหยาบคาย” เขาพูดพร้อมเอนหลังกลับไปชิดเบาะ “เดี๋ยวสัปดาห์หน้าโอมก็ไปอเมริกาแล้ว ใครจะมาคอยตามล้างตามเช็ดให้เอม”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
โอมหัวเราะเบา ๆ เหสายตากลับไปมองม่านฝนด้านนอกหน้าต่างที่เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น “รีบ ๆ กินเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ป้าดาจะรอเธอจนไม่ได้นอน”
สัส เว็บห่านี่ไม่เหมาะกับการเขียนนิยาย เอาใหม่นะ กู >>20
ชายหนุ่มเอนศีรษะพิงกับกระจกประตู มือซ้ายของเขากำหลวม ๆ อยู่บนพวงมาลัย ดวงตาสีดำเหม่อมองฝ่าบรรยากาศอันอึมครึมจากสายฝนที่ตกปรอย ๆ อยู่ด้านนอกพร้อมถอนหายใจยาว
หญิงสาวบนเบาะข้างคนขับปิดปากหาว เธอใช้มือข้างถนัดหมุนสายเข็มขัดนิรภัยเล่น ผมยาวที่ดูกระเซิงไม่เข้ากับชุดนิสิตที่เธอใส่อยู่เท่าใดนัก “จะทำหน้าแบบนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยแววแง่งอน “ถ้าฝนไม่ตกเราก็กลับเองได้น่า”
“แม่เธอจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูด ยังไม่ถอนสายตาออกจากกระจก “โตแล้วนะเอม ทำไมถึงต้องทำให้ที่บ้านเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ก็วันนี้วันเกิดเพื่อน บอกแม่ไว้แล้วไงว่าจะกลับดึก” หญิงสาวยังไม่หยุดเถียง “ไปได้แล้ว ไฟเขียวแล้ว”
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันความสนใจกลับมายังสภาพการจราจรเบื้องหน้า เขาถอนเบรกออกตัวช้า ๆ มือทั้งสองข้างกำอยู่บนพวงมาลัย ขับตามรถคันหน้าไปด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้ในคืนฝนตกเช่นนี้
รถแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็ถูกไฟสัญญาณบังคับให้ต้องหยุดลงอีกครั้ง ชายหนุ่มใส่เกียร์ว่าง ถอนหายใจยาวอีกครั้งขณะหันหน้ากลับมาหาเพื่อนสาวที่กำลังนั่งแคะเล็บเป็นทองไม่รู้ร้อน “เดี๋ยวก็ถึงบ้านเธอแล้ว” เขาพูด “คิดข้อแก้ตัวดี ๆ ก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องแก้ตัว เราบอกแม่ไว้แล้วว่าวันนี้จะกลับดึก” หญิงสาวตีหน้านิ่ง สายตายังไม่ละไปจากนิ้วเรียว “โอมก็รู้นี่ว่าแม่เป็นยังไง คราวหลังถ้าแม่โทรหาอีกก็ทำเฉยไว้นะ จะได้ไม่ลำบาก”
“โอมรู้ว่าป้าดาเขาเป็นห่วงไง” ชายหนุ่มพูดอย่างหัวเสีย ปล่อยมือซ้ายที่กำพวงมาลัยไว้มาทึ้งผมตัวเอง “ที่บอกว่าจะกลับดึกน่ะเขาคิดกันว่าคงไม่เกินสี่ทุ่ม นี่มันจะตีสองแล้วนะเอม แถมโทรไปก็ไม่รับอีก”
หญิงสาวยกมือขวาขึ้นดึงแก้มของเพื่อนหนุ่ม “หยุดพูดเถอะ เดี๋ยวต้องเก็บหูไว้ฟังแม่อีก” เธอใช้มืออีกข้างกดเปิดวิทยุ เสียงเพลงป๊อบสากลดังกระหึ่มออกมาจากลำโพงทันที “ฟังนี่ล้างหูไว้ดีกว่า”
เสียงเพลงยังคงดังต่อไปโดยไร้ซึ่งเสียงตอบกลับจากชายหนุ่มข้างกาย เอมหันไปมองใบหน้าถมึงทึงของเพื่อนก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา “เป็นอะไรน่ะโอม” หญิงสาวทำเสียงฉอเลาะ เอี้ยวตัวไปใช้มือทั้งสองข้างบีบต้นแขนของอีกฝ่ายแน่น “โกรธเค้าเหรอ เค้าขอโทษ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งขณะพยายามดึงแขนของตนให้พ้นจากการเกาะกุม “เลิกทำแบบนี้สักทีเถอะ” เขาขมวดคิ้ว “กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว เข้าบ้านทั้งแบบนี้เธอตายแน่”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง เอมรีบถอนมือขึ้นไปอังปากทดสอบกลิ่นลมหายใจ “จริงด้วย” เธอร้องอย่างตกใจ “ทำไงดีล่ะ แม่ต้องฆ่าเอมแน่ ๆ เลย”
“เดี๋ยวไปจอดเซเว่นหน้าปากซอยให้ก็แล้วกัน” เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายหนุ่ม “หาน้ำหวานกิน เผื่อจะช่วยได้”
เอมนั่งเงียบไปตลอดทางจนถึงที่หมาย ชายหนุ่มลอบยิ้มในใจเมื่อได้เห็นหญิงสาวนั่งพ่นลมหายใจทดสอบกลิ่นแอลกอฮอล์ทุก ๆ สิบวินาที เขาจอดรถเทียบข้างฟุตบาทขณะที่หญิงสาวรีบก้าวเท้าลงจากรถตรงดิ่งเข้าไปยังร้านสะดวกซื้อทันที
หญิงสาวกลับมาในอีกห้านาทีพร้อมกับถุงพลาสติกใบใหญ่ โอมเอี้ยวตัวหันมามองของในนั้นก่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “กาแฟ กาแฟดำ น้ำแดง น้ำเขียวแล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะเนี่ย” เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายยิ้ม ๆ “กินหมดนี่ปวดท้องตายแน่เธอ”
“มันจะได้ดับกลิ่นไง” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงวิตกจริตขณะกระดกกระป๋องอลูมิเนียมขึ้นดื่มแล้วหันกลับมาพ่นลมใส่หน้าเพื่อนหนุ่ม “หายยัง” เธอถาม
ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ผู้หญิงบ้าอะไรโคตรหยาบคาย” เขาพูดพร้อมเอนหลังกลับไปชิดเบาะ “เดี๋ยวสัปดาห์หน้าโอมก็ไปอเมริกาแล้ว ใครจะมาคอยตามล้างตามเช็ดให้เอม”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
โอมหัวเราะเบา ๆ เหสายตากลับไปมองม่านฝนด้านนอกหน้าต่างที่เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น “รีบ ๆ กินเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ป้าดาจะรอเธอจนไม่ได้นอน”
มึงจะต่อป้ะ เดี๋ยวกูต่อ555
.....
...
"ขอบใจนะลูก" ป้าดาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเกรงใจก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาว "ไปเอม เข้าบ้าน" น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาเต็มด้วยร่องรอยของความโล่งอก..โชคดีที่คราวนี้เขาไปเป็นเพื่อนเธอ อย่างไรเอมิกาก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว เที่ยวกลางคืนคนเดียวคงไม่ปลอดภัยนัก
เอมยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มซุกซนโดยไม่สนใจมารดา แล้วจึงหมุนตัวเข้าบ้านไป ชายหนุ่มยิ้มตามมารยาทแล้วจึงกล่าวขอตัว
โอมขับรถออกมา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความหนักใจ..
...ชายหนุ่มรู้ดีว่าเอมคิดอย่างไรกับตนเอง โอมคิดกับหญิงสาวเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น แต่ยิ่งเขาถอยหนี เอมก็ยิ่งรุกไล่ วันนี้ถึงขั้นโทรมาเรียกให้เขาไปรับที่ผับชื่อดังกลางกรุงแห่งหนึ่ง จะให้เขาปล่อยผู้หญิงคนเดียวไปเมาอยู่คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่อง
..แต่อาทิตย์หน้าเขาก็จะไปอเมริกาแล้ว
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นอะไรบางอย่างแล่นผ่านไปตรงหน้ากระจก
"อะไรวะ?"
ปัง!
เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงประหลาด มันมาพร้อมแรงกระแทกจากด้านบน..หลังคารถ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันที..ทันได้เห็นรอยยุบบนหลังคารถที่ปรากฏเป็นใบหน้าคนชัดเจนก่อนที่ดวงหน้านั้นจะหายไป!
เอ้าต่อมึง หนังผีไปแล้วมั้งสัส555
มึง สรุปจะเอาเขียนดีหรือเขียนเบียว กูว่าเริ่มไปทางแรกแล้วนะ5555
เปรี้ยงงงงง
รถทั้งคันพลิกคว่ำคะมำหงายภายในทันที กระกายไฟแล่นแปลบปลาบยามเสียดสีไปกับขอบรั้วเหล็กริมถนน อะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หัวเขาอย่างจังจนสติของชายหนุ่มหลุดลอยไป
พร้อมกับเสียงหัวเราะที่แว่วมา
วินาทีนั้นเองที่โอมรู้ว่า เขาไม่มีวันจะได้ไปอเมริกาหรือเจอหน้าเอมิกาอีกแล้ว
เขา....กำลังจะตาย
.................
..........
ความมืดที่เข้าครอบงำห้วงสติเริ่มถดถอยไปประดุจหมอกยามเช้าที่ค่อยสลายไปยามเมื่อแสงตะวันเริ่มแรงกล้า
โอมไ้ด้สติอีกครั้ง
ยังไม่ตายอีกเหรอวะ... ชายหนุ่มถึงกับสบถออกมาในใจด้วยความงุนงง ภาพเบื้องหน้าค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์ที่ปรากฎเบื้องหน้านั้น...ไม่ใช่ภาพของกรุงเทพที่เขาเห็นมาตลอด23ปีแต่อย่างใด ยิ่งไม่ใช่โรงพยาบาลเข้าไปใหญ่
เอ้าโยนไม้ต่อ สร้างสรรค์ความเบียวตามใจมึง
เอาจริงๆกูว่าภาษาดีไปนะ ถ้าจะเอาพล็อตเบียวๆ ภาษาก็น่าจะเบียวไปด้วยเลย รึเปล่าวะ 555
งั้นเดี๋ยวคราวหน้ากูจะพยายามเขียนเบียวๆขึ้นละกัน
>>30 กูต่อนะ
ซากโบราณสถานที่ดูคล้ายโคลอสเซี่ยมยุคโรมันคือสิ่งที่โอมเห็น บรรยากาศรอบตัวมีแต่ความมืดสลัวในยามราตรี แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ชัดเจนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคือคบไฟขนาดใหญ่สองอันที่มีเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้ ชายชราในชุดนักบวชชั้นสูงยืนอยู่ตรงกลางคบไฟทั้งสอง มีเงาร่างของผู้คนจำนวนมากยืนห่างไกลแสงไฟออกไปเรียงแถวกันโอบล้อมรอบตัวโอมเป็นวงกลม คนเหล่านั้นแต่งกายกันสองแบบ คือสวมชุดคลุมตัวโคร่งปกปิดรูปร่างหน้าตา และสวมชุดเกราะเต็มยศเยี่ยงอัศวินเตรียมออกศึก
"สวัสดีท่านผู้กล้า ข้าในฐานะตัวแทนชาวอาณาจักรไบลี่ย์ ได้ทำการอัญเชิญท่านจากแดนไกลมายังที่แห่งนี้เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยปราบจอมมารร้ายที่กำลังจะยึดครองโลกในอนาคตอันใกล้ ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถิดท่านผู้กล้า" นักบวชชรากล่าวจบก็โค้งคำนับเป็นเชิงขอร้อง เหล่าจอมเวทและอัศวินที่ยืนกระจายอยู่โดยรอบก็คุกเข่าลงแล้วก้มหัวอย่างนอบน้อม
"ห้ะ?" โอมติดสตั้นไปพักใหญ่หลังฟังคำพูดของชายชราจบ
เอ้า ต่อเลยโม่ง
งี่เง่า...
นั่นเป็นความคิดแรกในใจของเขา
การที่มีคนหมู่มากมาคุกเข่า ร้องขอให้เราวิ่งไปทิ้งชีวิต คนโง่ๆอย่างพระเอกนิยายธรรมดาคงทำ แต่โอมไม่คิดจะวิ่งไปให้จอมมารทิ่ม
"ช่วยแล้วได้อะไร?"
"มีประกันชีวิตไหม?"
"แล้วนี่ลุกขึ้นได้แล้ว จะนอนอีกนานไหม"
โอมมองต่ำ บางทีคนพวกนี้อาจจะได้จอมมารคนที่สองแทนผู้กล้าซะแล้ว...
ต่อเลยเพื่อน
รออ่านอยู่นะโม่งงง โม่งคนเปิดเรื่องมีผลงานไหมอ่ะ ชอบการเขียนนายมากเลย แต่คงบอกไม่ได้สินะเดี๋ยวโม่งแตก เสียดายจัง
>>34 "มันจะมากไปแล้วนะนายน่ะ" เสียงแหลมสูงดังขึ้นมาจากเบื้องหลังฝูงชนที่ห้อมล้อมเขาอยู่
โอมแหงนหน้ามองไปรอบตัว ก่อนจะพบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืดแล้วจ้องมองเขาด้วยแววตาขุ่นเคืองอยู่
เธออยู่ในชุดที่ดูแปลกตามากสำหรับเขา เสื้อผ้าประดับด้วยลูกไม้แต่กลับดูเรียบง่ายเข้ากับร่างกาย ดวงตาสีม่วงเข้มแปลกประหลาด ทั้งยังมีผมสีดำตัดกับผิวขาวซีด
"เป็นแต่สิ่งมีชีวิตชนชั้นต่ำที่ถูกเรียกมาแท้ๆ ยังกล้ามาต่อรองกับพวกข้าอีกงั้นหรอ" พูดทั้งเสียงเหยียดหยามราวกับจะบดขยี้เขาซะให้แหลกตรงนี้
"เธอ..." โอมข่มความกลัวไว้ในใจเพื่อรักษาท่าที "เป็นใครกัน"
"ข้าหรอ" หญิงสาวเชิดคางมือท้าวสะเอวแสดงความเหย่อหยิ่ง "เจ้าหญิงของอาณาจักรนี้ยังไงล่ะ"
ปล่อยความเบียวเสร็จละ กูขอลาก่อยยยย กาวนี่มันหอมจริงๆ~
>>38 เอามาให้กูดมบ้าง ความเบียวจะเริ่มต้นขึ้นณบัดนี้!!!??
เจ้าหญิง..มิน่าล่ะถึงทำท่าหัวสูงดูถูกคนเป็นบ้า โอมนึกเข่นเขี้ยวในใจ
"เจ้า" อีกฝ่ายชี้นิ้วมาทางเขา "ในเมื่อถูกเรียกมาแล้วก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีด้วยล่ะ"
โอมคิ้วกระตุก "แล้วถ้าฉันไม่ทำล่ะ"
..หญิงสาวเงียบไปชั่วครุ่ เสียงฝูงชนด้านหลังพึมพำอื้ออึงมาเป็นระยะ
"เจ้า...เจ้าก็จะกลับไปที่ๆเจ้าจากมาไม่ได้ไงล่ะ!! ถ้าเจ้าทำสำเร็จ เราจะส่งเจ้ากลับไปโดยสวัสดิภาพ" แววตาสีม่วงเปล่งประกายอย่างมีชัย
..เรื่องนั้นมันก็เห็นชัดๆอยู่แล้วไม่ใช่หรือ โอมคิดในใจ
เปิดตัวนางเอกหมายเลขหนึ่ง
กูเขียนเจ้าหญิงแต่ลืมคิดชื่อให้ว่ะ เอาไงดี เรียกเจ้าหญิงไปละกัน แต่ถ้าใครมีไอเดียก็ใส่ได้นะมึง
เอาชื่อยาวๆเว่อวังอลังการก็ดีนะ แล้วก็มีชื่อเรียกย่อๆด้วย 555 ตอนนี้กูยังคิดไม่ออก
เอมิเลีย เรกาเซียบลาๆๆเรียๆๆสระเอียนี่แหละมึงหรูแล้ว
"ว่าแต่เธอจะให้ฉันอยู่ตรงนี้ไปถึงเมื่อไหร่" โอมองรอบตัวแล้วบ่นโอดครวญ
"เสียมารยาท!" เจ้าหญิงแผดเสียง "เรียกว่าเธออยู่ได้ข้าก็มีชื่อเหมือนกันนะ"
"งั้นชื่ออะไรล่ะ" โอมถามกลับทันทีโดยไม่ต้องคิด
"ถามได้ไร้มารยาทเสียจริง!" เจ้าหญิงพูดท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจ
ขณะที่โอมกำลังจะเถียงกลับด้วยความปวดประสาทกับเจ้าหล่อนนั้นเอง เธอก็ได้พูดขัดขึ้น
"ทีราเลนเซีย ฟราดิก้า เอสเปอร์รัญญ่า" เจ้าหญิงสะบัดหน้าหลบไม่สบตาเขา "แต่สามัญชนและข้าราชบริพารจะเรียกข้าว่าเอสเปอร์รัญญ่าที่12"
"แปลว่าข้างหน้าเป็นชื่อเธอสินะ" โอมลูบคางพลางคิดตาม "ทีราเลนเซีย?"
เจ้าหญิงถลึงตาใส่เขา "ไม่ได้ยินรึไงว่าสามัญ..."
"ฉันชื่อโอม" เขาไม่สนใจเสียงบ่นกับรังสีอาฆาตทีแผ่ออกมาจากเธอ "แล้วฉันก็ไม่ใช่สามัญชนสักหน่อย...เป็นผู้กล้าต่างหาก"
Let it goooooooo,let it byouuuuu
>>43 กูต่อออ
"หืม? แสดงว่าเจ้ายอมทำตามหน้าที่แล้วสินะ" เจ้าหญิงถามแล้วยกยิ้มอย่างพอใจ
"ใช่ แต่มีเงื่อนไขอยู่สามข้อ" โอมพูดจบก็แสยะยิ้มที่ทำให้เจ้าหญิงรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา
"อะไร?"
"หนึ่ง ต้องมีทีมไปช่วยฉันปราบจอมมารด้วย สอง สมาชิกที่จะร่วมทีมต้องเป็นคนเก่งมีฝีมือระดับประเทศหรือชั้นแนวหน้าของวงการ สาม เธอคือสมาชิกคนแรกของทีม มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยของฉัน ถ้าเธอกระจอกสุดในกลุ่มฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่อย่ามาเป็นตัวถ่วงของทีมละกัน"
"บังอาจ!" เจ้าหญิงตวาดลั่นอย่างมีโทสะ ไม่รู้ว่าโกรธกับเงื่อนไขที่เรียกร้องมากเกินไปหรือถูกสบประมาทในช่วงท้าย
เอาเอมมาด้วยๆ เอาไปอยู่กะจอมมารงี้ 555555555
'บังอาจ!' หญิงสาวตวาดลั่น
ทว่าเหมือนมีแรงบางอย่างกระชากตัวเธอออกมาจากตรงนั้นอย่างรุนแรงจนร่างกายเธอสั่นสะดุ้งด้วยความหวั่นวิตก
"ฝันเมื่อกี้มันอะไรกัน" หญิงสาวถอนหายใจหอบหลังจากพึ่งตื่นจากความฝันแสนประหลาดนั่น
สายตามองรอบตัวก็พบว่ายังอยู่ในห้องนอนตัวเองอยู่
เป็นฝันที่เหมือนจริงชะมัด แถมยังฝันเห็นโอมอีก เธอคิดในใจ
ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อนั้นเอง ประตูห้องได้เปิดออกกระทันหันกระแทกกำแพงจนเสียงดังสนั่น
เอมมองแม่ของตนด้วยสายตาไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงต้องทำท่าร้อนรนแบบนั้นด้วย
"มีอะไรคะแม่" เอมถามแม่ที่ยืนหอบอยู่
"โอม...โอม..." สีหน้าหล่อนซีดยิ่งขึ้นหลังพูดชื่อโอมออกมา
"โอมเขา..."
Byou is coming!
เหยดดดด
"อะไรนะคะ....แม่?"เอมิกาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่ภาพของมารดาผู้เต็มไปด้วยความจริงจังทำให้เธอสั่นเทา นี่เธอกำลังกลัวอะไรกันอยู่?
"เอมตั้งสตินะลูก โอมเขาจากไปแล้ว"มารดาของเอมิกาพูดย้ำอีกครั้ง เธอรู้ว่านั่นจะทำให้ลูกสาวของเธอเสียใจแต่ยังไงเจ้าโอมเองก็เป็นเพื่อนกับเอมตั้งแต่เด็ก เธอคิดว่ายังไงเอมก็ควรรู้เรื่องนี้
"ตะ แต่หนูพึ่งเจอโอมเมื่อกี้เองนะ พึ่งเจอเมื่อกี้เอง!"เธอโวยวายรู้สึกบรรยากาศรอบด้านพร่ามัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็อยู่ในอ้อมกอดของแม่ร้องไห้ฟูมฟาย
ยังมีสิ่งหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเอมิกา
เมื่อกี้เจอยังเจอโอม ยังเจอโอมอยู่ในฝันของเธอ
ไม่สิ!!
โอมที่อยู่อีกโลกหนึ่ง!
ส่งไม้ต่อคร่ะ
กูนึกว่าจะไม่มีคนมาต่อกูละสาดดด คิดว่าโจทย์ยากไป พวกมึงเลยเผ่นกันหมด 55555
แต่งต่อไอสัส
>>52
"โอมเค้าขับรถไปชนรถไฟฟ้าน่ะจ้ะ แม่โอมเค้าพึ่งโทรมาบอกแม่นี่เอง"
"แม่คะ หนูไม่ขำด้วยนะ"เอมพูดแล้วผละออกจากแม่ หยิบมือถือโทรไปเบอร์ที่เธอบันทึกไว้เป็นรายการโปรด เบอร์ที่เธอโทรทุกวันทุกเวลา เบอร์ของคนที่เธอแอบชอบมาตั้งแต่เด็ก ทันทีที่ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของแม่โอมจากปลายทาง เธอก็นิ่งไป โลกของเธอเหมือนหยุดหมุน
เอมสวมกอดแม่ ทั้งคู่ต่างร้องไห้ แม่ของเอมเองก็รักโอมเหมือนลูกชายอีกคน
คืนนั้น เอมนอนร้องให้จนหลับไป
"เห้ย! ปิรัญญ่า เป็นอ่ะไรของเธอน่ะ อยู่ดีๆก็วูบไป"
"กรี๊ดดด!! อย่ามาแตะตัวฉันนะไอ้บ้า ไอ้สามัญชน ไอ้สิ่งปติกูล"
"อีกอย่าง อีปีรัญญ่านี้มันหมายถึงใครยะ"
ปลาปิรันยา (อังกฤษ: Piranha) เป็นชื่อสามัญเรียกปลาน้ำจืดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวงศ์ Serrasalmidae (หรือในวงศ์ Characidae[2]) โดยทั่วไป ปลาที่ได้ชื่อว่า "ปิรันยา" นั้นจะหมายถึงปลาในสกุล Pristobrycon, Pygocentrus, Pygopristis และ Serrasalmus แต่ก็อาจรวมถึงปลาในสกุล Catoprion ด้วย รวมกันแล้วประมาณ 40 ชนิด[3] ส่วนปลาในสกุลอื่นมักไม่นิยมเรียกว่าปลาปิรันยา ถึงแม้จะอยู่ในวงศ์ย่อยนี้ก็ตาม
ปลาปิรันยากินเนื้อเป็นอาหาร มักอยู่รวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ พบในแม่น้ำอเมซอน และแม่น้ำหลายสายในทวีปอเมริกาใต้ มีฟันที่แหลมคมรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ มีส่วนหัวขนาดใหญ่ มีกล้ามเนื้อบริเวณกระพุ้งแก้มแข็งแรง ใช้สำหรับกัดกินเนื้อของสัตว์ที่ตกลงไปอยู่ใกล้ที่อยู่เป็นอาหาร โดยเฉพาะสัตว์ที่ตื่นตระหนกตกใจ หรืออยู่ในภาวะอ่อนแอบาดเจ็บ เสียงตูมตามของน้ำที่กระเพื่อม จะดึงดูดปลาปิรันยาเข้ามาอย่างว่องไว ซึ่งปลาปิรันยาจะใช้ฟันที่แหลมคมกัดกินเนื้อของสัตว์ใหญ่จนทะลุไปถึงกระดูกสันหลังได้เพียงไม่กี่นาที ความดุร้ายของปลาปิรันยาแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิด[3] แต่เชื่อว่าปลาปิรันยาทุกชนิดสามารถตรวจจับกลิ่นเลือดในน้ำแม้เพียง 50 แกลลอน เหมือนกับปลาฉลาม
โอมปิดหนังสือพจนานุกรมหลังอ่านเสร็จดังฉับท่ามกลางความงุนงงของคนทั้งฝูง...มันไปเอามาจากไหนกันวะ
"น...นาย" หญิงสาวโกรธจนหน้าแดง ความอยากจะบีบคอคนให้ตายคามือเป็นอย่างไรก็เพิ่งได้รู้วันนี้เอง
จะว่าไปก็น่าแปลก คนทั่วไปโดนพาตัวมาอีกโลก..อย่างน้อยมันก็ควรจะตกใจอยู่บ้างสิ!!
แล้วไอ้หมอนี่มันมาจากไหนกัน!?
>>59 "เจ้าหญิงได้สงบอารมณ์ลงก่อน" ชายหนุ่มร่างกำยำเดินมาเยืนขนาบข้างองค์หญิง พูดจาเตือนสติ "อย่าให้ศักดิ์ศรีของท่านต้องด่างพร้อยเพราะชนชั้นต่ำเชียว"
องค์หญิงเม้มปากแน่น กำมือกรอด ก่อนส่งเสียงจิ้จ้ะในลำคอทีหนึ่งแล้วปั้นหน้าหยิ่งผยองอีกครั้ง "ขอบใจมากพัลพาทีนที่เตือนสติเรา"
"หามิได้" ชายผมทองโค้งตัวลงต่ำครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นเพ่งสายตาสีเขียวประกายมองโอม"นี่น่ะหรือผู้กล้า มารยาทของท่านนั้นต่ำตมยิ่งกว่าหนูโสโครกในท่อน้ำทิ้งเสียอีก"
โอมทำหน้านิ่วมองชายในชุดอัศวินสีขาวบริสุทธิ์ ประมวลผลความคิดด้วยเวลาอันรวดเร็วแล้วถามพรวดออกไป "นาย...เป็นแฟนยัยนี่งั้นหรอ แบบคู่รักหรือสามีภรรยาอะไรทำนองนี้น่ะ ดูปกป้องกันดีจังนะ"
ทันใดนั้นเองหน้าของผู้ถูกกล่าวถึงทั้งสองก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากบางของเจ้าหญิงสั่นรัว"จะ...เจ้า..."
พัลพาทีน...มึง5555555
เธอหลับตาก้มหน้า ตัวสั่นเทาพยายามสะกัดกลั้นความโกรธ สักประเดี๋ยวต่อมาก็มีท่าทีที่ผ่อนคลายลง
"ทหาร! นำตัวสามัญชนไร้มารยาทผู้ที่ไปคุมขัง! ข้าจะรอให้เสด็จพ่อตัดสินโทษประหารกับผู้ที่ดูหมิ่นเจ้าหญิงเช่นข้า!!"
ทหาร5นาย ที่อยู่ข้างหลังของเจ้าหญิงขยับกายเข้ามาพยายามจะจับโอม ชายหนุ่มถูกมัดปาก มัดมือ มัดขาแน่น ก่อนโดนแบกขึ้นพาดบ่านายทหารร่างยักษ์ นำพาออกไปจากลานพิธีกรรม
แม้ว่าเขาพยายามจะขัดขืน แต่ก็ไร้ประโยชน์ นายทหารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนการต่อสู้มานาน คนธรรมดาอย่างเขาจะทำอะไรได้
"ท่านนักบวช การอัญเชิญในวันนี้นับเป็นการอัญเชิญที่ผิดพลาด รอให้คืนเดือนมืดคราวหน้า ค่อยทำพิธีกันอีกครั้ง ข้าหวังว่าเราจะได้ท่านผู้กล้าที่แท้จริง มาช่วยเหลืออาณาจักรและนำตัวน้องชายของเรากลับคืนมาอย่างปลอดภัย"
หญิงสาวคุกเข่าลงที่กลางลานทำพิธี หลับตาลง น้ำตาเอ่อนอง กุมมือทั้งสองที่อกอย่างเว้าวอนต่อผืนฟ้ายามค่ำคืน พัลพาทีนพร้อมทหารและเหล่าจอมเวทย์ที่เหลือต่างก้มหน้านิ่งเงียบอย่างสะเทือนใจ
จบ
แต่เดี๋ยวก่อน
"เจ้าหญิงหากข้าขอให้นำตัวเขากลับมาก่อน ท่านจะได้โปรดเมตตาแก่ข้าหรือไม่" สาวงามที่ทาปากสีแดงจัดเอ่ยชัดถ้อยคำ สายตาจดจ้องตรงที่เจ้าหญิงอย่างไม่ไหวติง แม้ด้านข้างจะมีทหารหนุ่มเอาดาบชี้คออยู่ก็ตาม
"โอหังนักเมย์ลิน เจ้าเป็นแค่นักโหราศาสตร์ประจำวังแท้ๆ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งเจ้าหญิง" พัลพาทีนแผดเสียงกร้าว "ไม่เห็นรึว่ามันลบหลู่ศักดิ์ศรีท่านไปแค่ไหน"
เมย์ลินไม่ตอบแต่เดินสาวเท้าเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย เบิกตาสีแดงเพลิงกว้าง ขยับริมฝีปากอย่างเชื่องช้า"คน-ที่-โอ-หัง-น่ะ-มัน-เจ้า"
สิ้นคำพูดนั้นเองสายลมกรรโชกได้พุ่งตรงเข้าปะทะพัลพาทีนด้วยความแรงสูงจนเขาต้องงอตัวเพื่อต้านแรงลม
"อย่าลืมสิว่าข้าเป็นหมอดูแค่ในตำแหน่ง" เธอเหยียดยิ้มกว้าง "แม่มดสิตัวจริงของข้า"
"ทำไมเจ้าถึงอยากได้ตัวผู้กล้ามีตำหนินั่น" เจ้าหญิงผู้ถูกลืมชื่อไปแล้วถามขึ้น
"เพราะเขาคือผู้กล้า แม้มารยาทจะต่ำทรามแต่เขาก็คือวีรบุรุษที่จะช่วยพวกเราได้" แม่หมอเมย์ลินเผยยิ้มร้ายแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอันหวานยิ่ง
"ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิดองค์หญิง รับรองว่าภายในหนึ่งเดือนเขาก็พร้อมจะทำหน้าผู้กล้าได้แน่นอน"
เจ้าหญิงและทุกคนต่างมีสีหน้าผ่อนคลายและตกลงตามใจเมย์ลินอย่างไร้ข้อโต้แย้ง เพราะเธอผู้นี้ฉายาอันน่าสะพรึงว่า "แม่มดแห่งความวิปริต" ผู้มีจิตวิปลาส จอมทรมานที่ปีศาจยังต้องร้องขอชีวิต
กุมาบอกไอเดียช้าไปโคตรๆว่ะโทษที ช่วงที่มีคนแต่งแล้วทู้เงียบไปนานๆ ตอนก่อนเจ้าหญิงจะแพล่มน่ะ
คืออยากให้มีสาวหน้าเหมือนเอมแต่นิสัยตรงข้ามกับตัวจริงอยู่ในโลกต่างมิติด้วยน่ะ และเป็นเหตุให้โอมมันอยากทำภารกิจผู้กล้าเพื่อช่วยเธอคนนี้
>>68 ที่กุบอกว่าช้าไปเพราะที่คิดไว้คือให้เอมต่างมิติเป็นเจ้าหญิงนี่แหล่ะ แต่มีคนมาต่อแล้วกุอ่านดูก็ไม่เลวนะไปต่อในแบบนี้อาจสนุกกว่าแบบที่กุคิด
ตอนแรกก็จะมาช่วยแต่งต่อนะแต่พอเริ่มพิมพ์ไปสามบรรทัด รู้สึกแย่เพราะเรื่องเริ่มมาสำนวนดีนะกุชอบเลย แต่ตัวเองยังด้อยประสบการณ์น่ะเลยขอออกไอเดียนิดๆหน่อยๆแทนดีกว่า
กุมาจากสายวาด Sketch Design แต่มีพล้อตดองในหัวเยอะเลยอยากลองเขียนนิยายดู คงต้องฝึกสกิลอีกเยอะ+กุอ่านหนังสือน้อยด้วยน่ะ
กลิ่นสาบหนูและกลิ่นอาจมของนักโทษ ในคุกใต้ดินไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าปรารถนา เธอย่นจมูกขณะก้าวเท้าไปตามทางเดินโสโครกอันมืดสลัวโดยมีเพียงแสงจากตะเกียงในมือของผู้คุมร่างพลุ้ยนำทาง
ผู้คุมนำเธอมาจนถึงปลายสุดของคุกใต้ดิน ณ ที่ ๆ มืดและอับชื้นที่สุดในปราสาทแห่งนี้ เจ้าหญิงรับตะเกียงจากผู้นำทางมาถือไว้ ยกขึ้นส่องพร้อมเพ่งสายตาสีม่วงคู่สวยเข้าไปยังห้องขัง “ลุกขึ้น” เธอสั่ง
ชายหนุ่มผมดำเงยหน้าขึ้นมองแสงไฟก่อนที่จะต้องหลับตาลงทันที โอมยกมือขึ้นป้องตา หอบหายใจพร้อมเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาจากลำคอ “เธอมีธุระอะไรกับฉันอีก”
“ชะตาของเจ้ายังไม่ถึงฆาตกระมัง” เอสเปอร์รัญญ่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวน “รีบลุกขึ้นมาจากกองอาจมนั่นก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”
โอมค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน รู้สึกปวดแปลบไปตามกล้ามเนื้อทั่วสรรพางค์กายจากการถูกรุมซ้อม เจ้าหญิงพยักหน้าให้กับผู้คุมที่เริ่มลงมือไขกุญแจลูกกรง ก่อนที่ประตูจะเปิดออกในอีกอึดใจต่อมา
แค่เพียงก้าวแรกหลังจากออกมาจากห้องขัง ชายหนุ่มก็ถูกรวบแขนไพล่หลังไว้อีกครั้งด้วยฝีมือของผู้คุมร่างท้วม “จะให้ข้ามัดมือมันไว้ก่อนดีไหมพะยะค่ะ” น้ำเสียงเจือความสอพลอออกมาจากปากของผู้คุม “หรือจะให้ข้าล่ามตรวนมันด้วยดี”
“ช่างเขาเถอะ ขอบใจเจ้ามากเดวิส” เจ้าหญิงพูด “ไม่มีสิ่งใดที่ท่านผู้กล้าจะเก่งไปหรอก นอกจากปากของเขาเท่านั้นล่ะ”
ผู้คุมหัวเราะสอพลอในขณะที่โอมแค่นเสียงตอบเบา ๆ “ที่เก่งจริง ๆ น่ะคือลิ้นต่างหาก”
เจ้าหญิงขมวดคิ้ว ดูท่าว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ เธอตัดสินใจไม่คิดถึงมัน “ไปจากที่นี่กันเถอะ” เธอกวักมือเรียกเดวิสที่ยังไม่ปล่อยมือจากการรัดแขนนักโทษ “ออกไปจากส้วมนี่กันเถอะ”
โอมถูกพาขึ้นไปยังลานกว้างหน้าปราสาท คนกลุ่มหนึ่งรอเขาอยู่แล้วพร้อมกับถังน้ำเย็นเฉียบในมือ ชายหนุ่มถูกชำระร่างกายด้วยวิธีการที่เหมือนกับว่าเขาเป็นผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ผืนหนึ่ง มีหนึ่งหรือสองคนใช้ผ้าเนื้อหยาบเช็ดตัวเขาจนรู้สึกแสบผิว ก่อนที่จะถูกยัดเยียดให้สวมเสื้อผ้าอย่างไม่ไยดี
ชายหนุ่มถูกดึงให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ตรงหน้าของเขาเป็นรอยยิ้มยียวนของเจ้าหญิงที่กวาดสายตาสีม่วงมองดูเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “ท่านผู้กล้า” เธอทำเสียงเยาะ “ตามข้ามาทางนี้ มีคนอยากจะได้ตัวท่าน”
โอมถูกทหารนายหนึ่งผลักให้เดินตามหญิงสาวไป เอสเปอร์รัญญ่านำขบวนเข้าไปในตัวปราสาท เดินทะลุผ่านจนไปถึงสนามหญ้าอีกฟากหนึ่ง มีสิ่งปลูกสร้างเดียวที่น่าจะเป็นเป้าหมายของพวกเขา นั่นก็คือหอคอยสีขาวสว่างที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“ตั้งแต่ตรงนี้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์” จู่ ๆ เจ้าหญิงก็พูดขึ้น เธอชี้มือไปที่รั้วต้นไม้ที่ออกดอกบานสะพรั่ง “มีแต่ข้ากับเจ้า และก็คนของหอพยากรณ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
เป็นจริงดังที่เจ้าหล่อนว่า เมื่อพวกเขาเดินมาจนถึงรั้วต้นไม้นั่นขบวนทหารที่เดินตามมาด้านหลังก็หยุดเดินทันที ปล่อยให้คู่ชายหญิงเดินตรงไปยังหอคอยแต่เพียงลำพัง
ทางเดินยังคงทอดยาวถึงแม้ว่าพวกเขาจะเดินผ่านรั้วต้นไม้มาแล้ว บรรยากาศรอบ ๆ ที่แต่เดิมเป็นเพียงสนามหญ้ากลับกลายเป็นอุทยานดอกไม้นานาพรรณ หมู่ภมรบินว่อนเหนือยอดหญ้า เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังมาจากหอคอยสูงและไม้ยืนต้นที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษกลางดงดอกไม้
ชายหนุ่มหยุดเดิน
เจ้าหญิงยังคงเดินนำหน้าต่อไปอีกสองสามก้าวก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังเดินตามมา เธอหันหลังกลับไปจ้องตาสีดำคู่นั้น “เป็นอะไรของเจ้า” เอสเปอร์รัญญ่าถาม “หยุดทำไม”
“แล้วจะให้เดินต่อไปทำไม” โอมถามกลับ “ฉันไม่ใช่ผู้กล้า เธอผิดแล้ว”
เจ้าหญิงเหยียดยิ้ม “ข้าก็คิดแบบนั้น เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี รีบปล่อยฉันไปสักทีสิ” โอมร้อง ความโกรธพวยพุ่งออกมาจากดวงตา “พาฉันกลับบ้าน ฉันมีพ่อแม่และเพื่อน ๆ รออยู่นะ”
“ข้าอาจคิดผิดได้ แต่มนตราโบราณไม่เคยผิดพลาด” หญิงสาวตอบอย่างใจเย็น “เจ้าคิดหรือว่ารั้วต้นไม้นั่นเป็นแค่รั้วต้นไม้ธรรมดา หากเจ้าไม่ใช่ผู้ที่มีสายเลือดราชวงศ์ ผู้กล้าหรือเป็นผู้มีตาพยากรณ์ เจ้าก็คงแหลกสลายตายไปด้วยเวทมนต์ที่ลงไว้นั่นแล้ว”
“ฉันไม่สนหรอกว่าเวทมนต์บ้าบอของเธอมันจะบอกว่ายังไง” ชายหนุ่มยังไม่หยุดตะโกน “ปัญหาของพวกเธอ เธอก็ต้องแก้มันเองสิ ส่งฉันกลับไปโลกของฉันเดี๋ยวนี้นะ”
เอสเปอร์รัญญ่าพ่นลมหายใจอย่างดูถูกก่อนที่จะหันหลังกลับ “เลิกเพ้อเจ้อเสียที เดินต่อได้แล้ว”
ก่อนที่เจ้าหญิงจะได้ทันก้าวเท้าเดินต่อไป มือข้างถนัดของชายหนุ่มก็ฉวยเอาข้อมือเรียวของเธอไว้แน่น หล่อนอุทานออกมาคำหนึ่งในขณะที่ร่างกายถูกแขนอันแข็งแรงรวบเข้าหาตัว “พูดดี ๆ ไม่รู้เรื่องยังงั้นเหรอ” โอมส่งเสียงขู่
“ปล่อยข้า ไม่อย่างนั้นหัวของเจ้าหลุดจากบ่าแน่” หญิงสาวร้อง พยายามสะบัดร่างให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย “เจ้าเป็นผู้ชายประเภทไหนกัน ไยถึงรังแกผู้หญิง”
คำพูดนั้นทำให้อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้าหญิง เอสเปอร์รัญญ่าฉวยเอาจังหวะที่โอมกำลังสับสนยกเท้าถีบเข้าที่กล่องดวงใจของเขาเต็มรัก ชายหนุ่มร้องลั่นเหมือนถูกม้าเหยียบ ลงไปนอนคู้ตัวเอามือกุมเป้าอยู่บนพื้นอย่างสิ้นลาย
เจ้าของดวงตาสีม่วงเหยียดยิ้มอีกครั้งขณะใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างของชายหนุ่ม “ไม่เอาน่าท่านผู้กล้า มันจะเจ็บไปได้อย่างไร” เธอส่งเสียงฉอเลาะจอมปลอมอีกครั้ง “เมื่อครู่ตอนที่ข้าดูเจ้าอาบน้ำ ไม่ยักเห็นมีอะไรอยู่ตรงหว่างขาของเจ้าเลยนี่นา”
>>72 เฮ้ย น่าสนุกว่ะเอาด้วย
"ใจร้าย" โอมสำลักความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนลิ้นปี่ของเขาถูกฆ้อนทุบจนยุบเหมือนหมอนขนห่าน "ผู้กล้าไม่ใช่อะไรที่ฉันฝันถึง เราจะผจญภัยแส่หาเรืีองทำไมในเมื่ออยู่ในที่ปลอดภัยก็ดีอยู่แล้ว" เขาสบตาเจ้าหญิงอย่างยากลำบาก "ทำไมไมคัดอัศวินดีๆที่สมัครใจแทน เรื่องผู้กล้ามันไร้สาระสิ้นดี ฉันต้องการทนาย Bitch"
เจ้าหญิงเม้มปากแน่น แบบเดียวกับเด็กตัวเล็กเอาแต่ใจตอนที่พวกเขาถูกปฏิเสธ โอมแอบกรอกตากับตัวเอง ไอ้น่าสมเพชกำลังถูกบังคับให้ช่วยผู้คนที่ไม่รู้จัก ไม่เคยให้น้ำ ข้าว ที่นอน หรือกระทั่งการต้อนรับดีๆ นี่ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่เขาแคร์ว่าพวกของเธอจะตายวันพรุ่งหรือตอนนี้ เขาไม่ได้ติดค้างหล่อน ไม่จำเป็นต้องสุภาพด้วยซ้ำ
"รู้อะไรไหม เธอไม่ใช่เจ้าของชีวิตฉัน เธอมีอำนาจสั่งทหารได้ และเธอเกลัยดฉันเพราะเรื่องนี้ การมีอยู่ของฉันทำให้เธอเสียความมั่นใจ"
"แล้วยังไง" เสียงแปลกดังขึ้น เป็นเสียงที่โอมไม่คุ้นเคยเลยแม่แต่นิด "นั่นมันสำคัญด้วยหรอ"
โอมลุกขึ้นนั่งกุมท้อง ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเพ่งพินิจ ชุดสีดำยาวที่คลุมตัวหล่อนอยู่ ทำให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างที่ชั่วร้ายอย่างเช่น แม่มด
"เมย์ลิน..." ไม่ทันที่โอมจะได้ไต่ถามชื่อของหล่อน เจ้าหญิงก็ได้ชิงพูดขึ้นก่อน
"นี่น่ะหรือผู้กล้า" เมย์ลินหรี่ตามอง เหยียดยิ้มดูถูกใส่เขา "ไม่มีราศีเลยสักนิด"
ฉับพลันเมื่อเมย์ลินชี้นิ้วเรียวยาวไปทางโอม สายลมแรงได้รวมตัวกันจนเห็นเป็นเส้นเกลียวแล้วพุ่งเข้าโจมตีตรงท้องเขา
"อั๊ก!" โอมล้มลงนอนกองอยู่บนพื้นอีกครั้ง
ปากสำลักน้ำลายออกมานับไม่ถ้วน จนไม่เหลือเรี่ยวแรงจะโต้กลับ
"ทำอะไรน่ะเมย์ลิน" เจ้าหญิงเขม่นตาใส่ "อย่าได้ฆ่าเขาในพื้นที่ศักดิ์เป็นอันขาดเชียว"
เมย์ลินโปรยยิ้มพร้อมโค้งตัวลงให้เจ้าหญิงเล็กน้อย หันหน้ากลับมาทางโอมที่นอนหมดสภาพบนพื้นอยู่
"มันไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะอยากหรือไม่" ดวงตาสีแดงโตเบิกกว้างจนโอมนึกสั่นกลัวในใจ "แต่โชคชะตาสั่งให้ทำเจ้าก็ต้องทำ!"
กูมาเสนอพลอต เท่าที่เห็นคือไอ้โอมโดนทรมานซะไม่มีชิ้นดี โดนเข้าแบบนี้ใครจะอยากช่วยโลกนี้วะ นั่นแหละ เป็นเหตุให้โอมอยากจะเอาตัวรอดจากเมย์ลินให้ได้ก็เลยต้องฝึกวิชาบลาๆดีมั้ย ดูเป็นไง แล้วเอาไงต่อกับเอมดี ที่มึงอยากให้โอมช่วยโลกนี้เพราะเอมอ่ะ มาคุยกันแปป
โอมยันกายลุกขึ้น เขารู้สึกเจ็บที่เหนือลิ้นปี่จากการถูกพลังประหลาดจับกระแทกพื้นจนต้องใช้มือซ้ายกุมอกของตนเองไว้ “โชคชะตายังงั้นเหรอ” ชายหนุ่มแค่นเสียง “โชคชะตามันเป็นใครถึงคิดจะมาสั่งให้ฉันทำอย่างโน้นอย่างนี้กัน หา”
เมย์ลินเหยียดยิ้มในขณะที่เอสเปอร์รัญญ่ายืนกอดอก “เจ้าน่ะจะดื้อด้านไปจนถึงเมื่อไหร่กัน” เจ้าหญิงแหว “ต่างคนต่างก็ต้องมีหน้าที่ขอตนเอง โชคชะตาได้ลิขิตเอาไว้แล้วให้เจ้าได้มาเป็นผู้กล้า”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ” โอมตะคอกกลับไป “เธอจะปราบจอมมารก็หาคนในโลกของเธอมาเป็นผู้กล้าสิ ทำไมจะต้องเอาภาระบ้า ๆ แบบนี้มายัดเยียดให้กับคนต่างถิ่นอย่างฉันด้วย”
“เพราะมันเป็นโชคชะตาที่ได้ลิขิตเอาไว้แล้วยังไงล่ะ” เจ้าของนัยน์ตาสีม่วงยิ้มเยาะ “อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องไปปราบจอมมาร ไม่มีใครหลีกหนีโชคชะตาได้พ้นหรอก เฮอะ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้อยากให้คนใจเสาะอย่างเจ้ามาเป็นตัวแทนของโลกใบนี้หรอกนะ”
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากโต้ตอบกลับไป นักพยากรณ์สาวก็หันหน้ากลับมาหาเจ้าหญิง ขมวดคิ้วพร้อมชิงพูดขึ้นก่อน “เดี๋ยวนะเพคะองค์หญิง” เมย์ลินท้วง “ท่านว่าจะให้ท่านผู้กล้าไปปราบจอมมารอย่างนั้นหรือ”
สีหน้าของเอสเปอร์รัญญ่าดูฉงน “ก็เจ้าเป็นคนบอกข้าเองไม่ใช่หรือเมย์ลิน” เธอท้วง “ว่าเจ้าหมอนี่น่ะคือผู้กล้าที่จะมาทำให้จอมมารหายไปจากโลกนี้”
“ข้าพูดเช่นนั้นจริง” นักพยากรณ์ผงกศีรษะรับคำ “แต่ข้าไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องเป็นคนไปปราบจอมมารนะเพคะ”
โอมมองผู้หญิงสองคนตรงหน้าสลับกันไปมาอย่างงุนงง “นี่พวกเธอพูดเรื่องอะไรกันน่ะ” เขาร้อง “ฉันเป็นเหยื่อของพวกเธอนะ มีอะไรก็อธิบายให้ฉันฟังสิ”
เมย์ลินหันหน้ากลับมาหาโอม ริมฝีปากคู่สวยของเจ้าหล่อนเหยียดยิ้ม “เจ้าน่ะเป็นผู้กล้าตามคำทำนายของข้าจริง แต่โชคชะตาไม่ได้ลิขิตให้เจ้าเป็นผู้สังหารจอมมาร” เมื่อพูดถึงตอนนี้เธอก็ยิ้มกว้างขึ้น “ลูกชายทั้งเจ็ดคนของเจ้ากับเจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าต่างหากที่จะต้องทำมัน”
ดวงตาสีม่วงของเจ้าหญิงเบิกกว้าง “เจ้าพูดอะไรน่ะเมย์ลิน” เธอร้อง “ไม่น่ะ ข้าไม่ยอม”
“โชคชะตาได้ลิขิตไว้เช่นนั้น องค์หญิง” เมย์ลินหันมาส่งยิ้มหวานที่แฝงไปด้วยยาพิษให้กับเอสเปอรัญญ่า “ท่านพูดถูก ไม่มีใครหลีกหนีโชคชะตาได้พ้นหรอก”
จจจจจจเจ็ดคนน!!???
ไอ้สัส คดีพลิก
>>77 "ก็ได้...แค่ลูกของข้ากับเขาใช่ไหมล่ะ" ทีราเลนเซียกัดฟันกรอดทั้งยังทำหน้านิ่ว "ข้าจะแต่งงานกับเขา"
"โฮ่..." แม่หมอสาวแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น เรื่องสนุกกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้วสินะ เมย์ลินคิดในใจ
"เดี๋ยวสิ ใครบอกว่าฉันจะแต่งกับเธอกัน!" โอมพูดขัดขึ้นเสียงลนลาน แค่คิดว่าจะต้องแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่เธอคนนั้น...ก็ทำให้เขารู้สึกแย่แทบบ้า
"หุบปาก!" หญิงผู้สูงศักดิ์ตวาดลั่นไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม "คิดว่าข้าอยากแต่งงานกับเจ้ามากนักหรอ นี่จะเป็นการแต่งแค่ในนามจำเอาไว้!"
"ส่วนเรื่องของบุตรทั้งเจ็ด" ทีราเลนเซียจ้องเมย์ลินสายตาแน่วแน่ "ข้าจะตามหาผู้ที่เหมาะสมทั้งกับคำว่า 'บุตร' และ 'ผู้กล้า' มาเป็นบุตรบุญธรรมของข้าและเขา นี่คงจะไม่ผิดต่อคำทำนายใช่ไหมเมย์ลิน"
เมย์ลินเอียงคอ ยิ้มมุมปากเบาๆ "นั่นสิ" แม้เธอจะคุยกับทีราเลนเซียอยู่ แต่สายตาของเจ้าตัวกลับมองเหม่อลอยออกไป เหมือนกับว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ "ข้าน่ะเป็นแค่ผู้รับฟังเสียงแห่งโชคชะตา หาใช่ผู้บงการโชคชะตาไม่ ท่านอยากทำอย่างไรก็สุดแต่ใจท่านแล้วองค์หญิง"
"ข้าจะถือว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นเป็นคำอนุญาต" องค์หญิงกอดอกเชิดคางอย่างไม่สะทกสะท้าน
แม้ตัวทีราเลนเซียนั้นจะรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า เมย์ลินผู้เป็นนักโหราศาสตร์ประจำวังมาตั้งแต่หลายรุ่นก่อน เจ้าหล่อนมีนิสัยที่แปลกประหลาดยากจะคาดเดาได้ ทั้งยังเป็นผู้ชอบเล่นสนุกกับความทุกข์ของคนอื่นจากคำบอกเล่าของราชาองค์ก่อนๆ แต่ก็ไม่นึกฝันเลยว่าจะต้องมาเจอกับตัวเองแบบนี้
"ให้ตายสิ เป็นผู้กล้าที่เอาแต่สร้างเรื่องจริงๆ" ทีราเลนเซียตวัดสายตาดุมองโอม "รับผิดชอบด้วยล่ะ"
โอมผู้รู้สึกหน่ายกับการถูกทำร้ายร่างกายหากเผลอทำอะไรขัดใจกับสาวแกร่งทั้งสองอีก จึงได้แต่ตอบหน้ามุ่ย "เอาไงก็เอา"สินะ
"ตกลงกันได้แล้วงั้นหรือ" เมย์ลินดีดนิ้วดังเป๊าะกลางอากาศ ในตอนนั้นเองบนฝ่ามือเธอได้มีมวลพลังานสีขาวรวมตัวกันจนเกิดเป็นทรงกลม ก่อนเมย์ลินประทับปากบนสิ่งนั้นเบาๆ
โอมกลืนน้ำลายก้อนโตลงคอพลางคิดในใจว่าสายตาของแม่หมอสาวที่มองมวลพลังงานบนมือนั้นช่างดูเย้ายวนเหลือเกิน อย่างกับว่าเธอจะกลืนกินมันซะอย่างงั้น
"บอกข้าทีสิ" เมย์ลินเผยอปากสีแดงสด ดวงตาคู่งามจ้องมองลึกเข้าไปที่ทรงกลม "ถึงเรื่องของบุตรทั้งเจ็ดที่จะมาเป็นผู้กล้าให้กับพวกเขา"
คนแคระทั้งเจ็ดปราบจอมมาร กู้โลก 55555
ทำไมต้อง 7 คนวะ 555
กุมาอ่านต่อแล้วงงนิดนึงว่ะ องค์หญิงชื่ออะไรแน่วะ
มีใครอยากอ่านฉากเย็ดไหมครับ
อยากอ่านต่อว่ะ หายไปไหนกันหมดดด
>>81
"ท่านพี่! เจ้านั่นคือผู้กล้าจริงหรือ" เสียงทุ้มของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขัดจังหวะอย่างไม่พอใจ ส่งผลให้สายตาทั้งสามคู่ต้องหันหลังไปมองเจ้าของเสียงในทีนที
ชายหนุ่มผู้เรือนผมสัน้ำตาลเข้มยาวระต้นคอและไว้ผมหน้าม้ายาวปิดบังใบหน้าซีกขวา ทว่าก็ไม่อาจปกปิดความหล่อเหลาราวเทพบุตรของเขาได้ ดวงตาสีม่วงเข้มเช่นเดียวกับทีราเลนเซียถลึงตามองโอมอย่างไม่พอใจ ซึ่งโอมก็มองตอบกลับด้วยความงุนงงปนสงสัย ไอ้หน้าหล่อนี่เป็นใคร ทำไมถึงหน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
"โอ้ ท่านเทลาเรนเซ่ อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ" เมย์ลินทักทานด้วยรอยยิ้มอันหวานใสไร้เดียงสาและเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนหวาน สายตาและสีหน้าเจ้าเล่ห์แปรเปลี่ยนเป็นความเมตตาอ่อนโยนประดุจนักบุญ ดูราวกับคนละคนก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
เมื่อเห็นการเปลี่ยนบุคลิกที่รวดเร็วเพียงหนึ่งการกะพริบตา โอมถึงกับเงิบไปช่วยขณะ ยัยแม่มดตัวร้ายกลายเป็นแม่พระใจบุญในหนึ่งย่อหน้าได้ไงวะ!
"ใช่ แล้วน้องมาทำอะไรที่นี่" ทีราเลนเซียมองหน้าน้องชายฝาแฝดอย่างไม่เข้าใจในท่าทางฮึดฮัดของอีกฝ่าย
"ไม่จริง! ถ้างั้นท่านพี่ก็ต้องมีลูกกับไอ้หน้าปลาทูต้มให้ครบเจ็ดคนตามคำทำนายน่ะสิ" เทลาเรนเซ่เมินคำถามพี่สาวแล้วเริ่มโวยวายอย่างสติแตก
"ไอ้เวรนี่! กล้าดียังไงถึงมาดูถูกหน้าตากัแบบนี้วะหา" โอมแย้งขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจ เลยได้รับการมองเหยียดอย่างสง่างามจากเจ้าชายผู้หล่อเหลาอย่างหาที่ติมิได้
"นอกจากหน้าตาจะหาดีมิได้แล้ว การพูดจายังต่ำชั้นยิ่งกว่าทาสไร้การศึกษา"
โอมอ้าปากจะสวนกลับ ทว่าก็ถูกพลังจากสายลมของคนที่คุณก็รู้ว่าใครพุ่งอัดท้องจนจุกพูดไม่ออกไปหลายนาที ระหว่างนี้ทีราเลนเซียก็ขมวดคิ้วมองหน้าน้องชายด้วยความสงสัยในบางอย่าง
" นี่น้องรู้เรื่องคำทำนายได้ไง" พลันนั้นเจ้าหญิงก็หันขวับไปมองเมย์ลินทันที
"เมย์ลิน!" หญิงสาวผู้ถูกเรียกสะดุ้งเฮือก และด้วยการแสดงระดับดาราชั้นนำรางวัลออสก้ายังต้องสยบ แม่มดสาวน้ำตาซึมและเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ร่างบางสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น
"ขะ ขออภัยเพคะ มะ หม่อมฉันแค่อยากผ่อนคลายความกังวลในใจของท่านเทลาเรนเซ่ที่ต้องเฝ้าระวังการมาเยือนของจอมมาร พะ เพื่อไม่ให้ท่านต้องวิตกมากเกินไป หม่อมฉันจึงได้บอกถึงการมาเยือนของผู้กล้าและคำทำนายที่จะช่วยแบ่งเบาภาระขององค์รัชทายาทแห่งเอสเปอร์รัญญ่า ผู้ที่จะต้องแบกรับภาระหนักในอนาคตต่อจากองค์ราชา เนื่องจากหม่อมฉันทำงานรับใช้ราชวงศ์มาหลายรุ่น กะ การช่วยแบ่งเบาภาระของว่าที่ผู้นำประเทศในอนาคตก็ถือว่าเป็นหน้าที่หนึ่งที่สำคัญ มะ มากนะเพคะ" กล่าวจบแม่มดสาวก็มีท่าทีหงอยเหงาราวกับสุนัขที่ถูกเจ้านายจับได้ว่าทำผิด ทว่าก็ไม่อาจปิดโอมที่มองเห็นสายร้อนแรงประดุจสาวน้อยแรกรุ่นเจอชายในฝันของเมย์ลินที่มองเทลาเรนเซ่ผ่านม่านน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาด้วยการแสดงชั้นครู
นี่...ยัยแม่มดวิปริตนี่คงไม่ได้หลงรักไอ้เจ้าชายปากปลาร้านี่ใช่ไหม โอมครุ่นคิดในใจด้วยความสงสัยยิ่ง
"ท่านพี่อย่าไปต่อว่านางเลย นางทำไปเพราะหวังดีต่อข้า" เทลาเรนเซ่มองเมย์ลินอย่างสงสารเมื่อเห็นหญิงสาวผู้อ่อนโยนมีท่าทีกลัวมากจนหลั่งน้ำตาออกมาไม่ขาดสาย ทีราเลนเซียผู้รู้ธาตุแท้ของเมย์ลินถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย โอมกลอกตามองบน ส่วนเมย์ลินนั้นลอบยิ้มอย่างชั่วช้าในหัวใจที่เบิกบานประหนึ่งผีเสื้อโบยบินในทุ่งดอกไม้สีชมพู
มาต่อยาวหน่อยนะงิ
เปิดตัวตัวละครใหม่แฮะ
"ฮึ่ย!" เอมลุกพรวดขึ้นจากเตียงพลางยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง "ฝันบ้าๆ อีกแล้ว"
ความฝันนั่นทำให้เธอหัวเสียเป็นบ้า ผู้หญิงคนนั้นมันอะไรกัน มายาร้อยเล่มเกวียนชะมัด เอมขบคิดสีหน้าขุ่นมัว
"แปลกจริง ทำไมเราถึงฝันต่อเนื่องอะไรแบบนี้ล่ะ" เธอนั่งเม้มปากอยู่บนเตียง มือกำชุดนอนแน่นจนเกิดรอยยับ "แถมยังรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องจริงมากกว่าความฝันอีก..."
"ถูกแล้วนั่นคือเรื่องจริง" เสียงปริศนาดังมาจากหน้าต่างที่เธอเปิดทิ้งไว้รับสายลมโชยยามค่ำคืน
เอมหันควับมองอีกฝ่าย ทว่าก่อนจะได้กรีดร้องออกมา บุคคลที่ควรจะอยู่ตรงหน้าต่างกลับไม่มีอยู่ และในตอนนั้นเองเอมก็ได้ถูกปิดปากด้วยฝ่ามือหนา
"อย่าร้องไปเลยชิ้นส่วนแห่งประตูเอ๋ย" ชายหนุ่มผมสีดำเข้มยาวเกือบกลางหลังบอก "ใครจะคิดกันว่าชิ้นส่วนแห่งประตูจะกลับชาติมาเกิดเป็นผู้หญิงที่ต่างโลกกัน"
เอมดิ้นรนพยายามสลัดการจับกุมของเขา แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ "อื้อ!" เธอเปล่งเสียงออกมาไม่เป็นคำพูด
"เป็นชิ้นส่วนที่น่ารำคาญชะมัด" ชายผู้มีตาสีเขียวทอประกายบ่น "ทั้งช่วยส่งผู้กล้าไปให้อีกฝ่าย ทั้งขัดขืนผู้ใต้บังคับบัญชาท่านจอมมารอย่างฉัน เธออยู่ฝั่งไหนกันแน่ ยัยชิ้นส่วนปิศาจ?" สบถอย่างไม่พอใจแล้วเหยียดตามอง
เอมขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แม้จะเข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกมาเลยสักนิด เขาพูดบ้าอะไรอยู่ เธอตั้งคำถามในใจ
"ได้เวลาไปหาท่านจอมมารแล้วสิ" ชายแปลกหน้ายกเอมขึ้นพาดบ่า เดินไปเหยียบขอบหน้าต่างเตรียมพุ่งตัวออกไปด้านนอก
"คุณเป็นใคร แล้วจะพาฉันไปไหนกัน!" เมื่อมีที่ปิดปากอยู่หายไป เอมจึงพ่นสิ่งที่นึกในใจออกมาไม่หยุด
"อยากรู้มากก็ไปด้วยกันสิ" ชายหนุ่มแค่นหัวเราแล้วกระโจนตัวออกนอกหน้าต่างสู่กลางอากาศอันว่างเปล่า...
ขุด
ดินด้วยพลั่วไม้
จนด้ามหัก
เอาจริงดิ ;-;
ดินชื้นๆ ปูทับด้วยฟางเก่าหยาบ ผนังหินขึ้นตะไคร่เขียวรายล้อมทั้งสี่ด้าน ถังรองรับอาจมถูกวางส่งๆ อยู่ที่มุมห้อง ประกอบกับกลิ่นสาบหนูอบอวล นี่คือสภาพของคุกใต้ดิน สถานที่ๆโอมเคยลั่นวาจาไว้ในใจว่าจะไม่มีวันหวนย้อนกลับมาอีก
หากแต่ถูกบังคับ จะแข็งขืนอย่างไรได้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาเพิ่งถูกประกาศว่าจะต้องแต่งงานกับเจ้าหญิง ห้านาทีต่อมามีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาอาละวาด ประกาศว่าอย่างไรก็ตามจะไม่ขออยู่ร่วมชายคาเดียวกับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นเขาแน่
และนี่คือสิ่งที่เจ้าหญิงประทานให้กับว่าที่พระสวามีเช่นเขา ห้องพักที่มีความเป็นส่วนตัวที่สุดของปราสาทเนื่องจากห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม ด้านหน้ามีทหารรูปร่างบึกบึนห้าคนคอยยืนยามเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหนือกว่าคีย์การ์ดและระบบแสกนนิ้วมือ ยังดีที่เอสเปอร์รัญญ่ายังมีเมตตาให้ปลดตรวน หาไม่แล้วเขาคงคิดสั้นเอาหัวโขกกำแพงตายแต่แรกเป็นแน่
เสียงทุบประตูดังขึ้นสองครั้ง โอมเงยหน้าอมทุกข์ขึ้นจากการนั่งจ้องพื้นอย่างไร้จุดหมาย “กินข้าว” ทหารยามขานเสียงห้วน “มารับถาดที่หน้าประตู”
โอมค่อยๆลุกเดินตรงไปยังหน้าประตู หวนระลึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาได้กินอาหาร นั่นคงเป็นมื้อเย็นกับครอบครัวกระมัง เขาจำไม่ได้แล้วว่าเอมได้แบ่งของกินจากร้านสะดวกซื้อให้เขาหรือไม่
ประตูบานเล็กถูกเปิดออกพอที่จะเสือกถาดอาหารเข้ามาได้ ภายในถาดบุบๆ บรรจุขนมปัง ซุปข้นและเนื้อตากแห้ง โอมรีบหยิบอาหารขึ้นมากัดกินอย่างหิวโหย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะหิวหรืออื่นใด เขารู้สึกว่าอาหารมื้อนี้อร่อยราวกับเป็นอาหารทิพย์ก็มิปาน
เมื่อท้องหายว่างชายหนุ่มก็กลับไปนั่งบนกองฟาง อย่างไรเสียสุดท้ายคนพวกนั้นก็ต้องเอาเขาออกไปจากที่นี่ เขาจะต้องกำเนิดบุตรให้องค์หญิงเจ็ดคน หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องแต่งงานหลอกๆ แล้วรับบุตรบุญธรรมเอา เอสเปอร์รัญญ่าคงจะไม่ใจร้ายทิ้งพระสวามีของนางไว้ในคุกใต้ดินอันอับชื้นเช่นนี้ตลอดไปแน่
ในขณะที่โอมเตรียมกายจะเอนลงพักผ่อน เสียงฝีเท้าย่ำมาตามทางเดินด้านนอกก็ดังกระทบโสต ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งอีกครั้งอย่างประหลาดใจ ทหารยามไม่น่าที่จะมีธุระกับเขาอีกและเขาก็ถูกสั่งห้ามเยี่ยม เสียงฝีเท้าหนักนั้นเป็นของบุรุษแน่ ใครกันที่มีอำนาจมากพอจะแข็งขืนต่อคำสั่งขององค์หญิง
คำตอบนั้นมาถึงในอีกอึดใจต่อมา โอมได้ยินเสียงไขกุญแจก่อนที่ประตูจะเปิดออก ชายผมทองหน้าตาหล่อเหลาในชุดอัศวินสีขาวยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ที่ปากประตู ที่เบื้องหลังของเขามีผู้คุมร่างยักษ์สองคนยืนคุมเชิงอยู่พร้อมกับคบเพลิงในมือ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง อัศวินขาวพัลพาทีนก็สาวเท้ายาวๆ ตรงมายังนักโทษก่อนสาวหมัดเข้าใส่ใบหน้าของเขาเต็มรัก โอมกระเด็นไปกระแทกกับผนังหินร้องโอดโอย เหมือนว่าจะยังไม่หนำใจ ชายผมทองปั้นหน้าเคียดแค้นกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้น “ผู้กล้าจากต่างมิติเช่นเจ้ามีปัญญาแค่นี้เองหรือ”
“แกเป็นบ้าอะไร” โอมแค่นเสียงใส่ก่อนที่จะถูกชกใส่อีกหมัดหนึ่ง “ฉันไม่ใช่กระสอบทรายนะโว้ย ใช่ว่าแกคิดจะซ้อมเมื่อไหร่ก็ซ้อมได้”
คำพูดอวดดีนั้นทำให้โอมได้รับหน้าแข้งเข้าที่ท้องน้อย บัดนี้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะยันร่างขึ้นจากพื้น พลันความคิดวูบหนึ่งก็แล่นเข้าสู่สมอง ที่อีกฝ่ายโกรธแค้นเขาเช่นนี้คงเป็นเพราะได้ข่าวว่าเขาจะได้ตบแต่งกับเจ้าหญิงที่เขาแอบหลงรักอยู่เป็นแน่
แม้จะจับต้นชนปลายได้ถูก แต่ก็จนใจที่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าลงได้อย่างไร พัลพาทีนยังคงไม่หายแค้น ประเคนทั้งหมัดทั้งเท้าใส่โอมที่หมอบกระแตอยู่บนพื้นอย่างไม่ไว้ไมตรี พลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นที่ด้านนอก ทหารยามที่ยืนคุมเชิงอยู่หันไปมองตามทางเดินก่อนเบิกตากว้าง เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่ากำลังเดินตรงมาตามทางเดินอันมืดสลัวในคุกใต้ดินพร้อมกับทหารติดตามอีกหลายนาย
อัศวินขาวยังคงเมามันอยู่กับการซ้อมนักโทษจนไม่ได้สังเกตว่าบัดนี้คุกใต้ดินไม่ได้มีแต่คนของเขาแล้ว เจ้าหญิงกระแอมดังๆครั้งหนึ่งฝ่ายนั้นจึงค่อยรู้สึกตัว ใบหน้าหล่อเหลาดูตกใจถึงขีดสุดเมื่อหันหน้ากลับมาประจันหน้ากับเจ้าของดวงตาสีม่วงคู่สวยนั้น “เจ้าหญิง” พัลพาทีนพูดตะกุกตะกัก “ข้า ข้าอธิบายได้”
“เก็บคำอธิบายของท่านไว้กับตัวเถิด” เจ้าหญิงผู้เลอโฉมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงกระด้าง “ข้าสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามายังที่นี่ ท่านไม่นำพาซ้ำยังมาทำร้ายว่าที่สวามีของข้าอีก เช่นนี้จะแก้ตัวอันใด”
ไม่ใช่แค่เพียงพัลพาทีนที่ตื่นตะลึง แม้แต่โอมที่นอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่บนพื้นก็อดตกใจไม่ได้ที่จู่ๆ เจ้าหญิงก็เรียกขานเขาเป็นว่าที่สวามีของพระองค์อย่างชัดถ้อยชัดคำ อัศวินขาวก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างลืมตัว “ท่าน เจ้าหญิง” เขาพูดตะกุกตะกัก “พระองค์รักมันเช่นนั้นหรือ”
“คนเราคงแต่งงานอยู่กินกันไม่ได้หากปราศจากความรัก” เอสเปอร์รัญญ่าพูดพร้อมเดินตรงเข้ามาหาโอมที่ล้มคว่ำอยู่ “ท่านไปเถิดพัลพาทีน เห็นแก่ตำแหน่งของท่าน ครานี้ข้าจะยกโทษให้”
อัศวินขาวถอยฉากไป สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นตื่นตะลึงจนน่าหัวร่อ โอมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าหญิงที่แสดงกิริยาอ่อนหวานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง เอสเปอร์รัญญ่าตอบกลับสายตาสงสัยคู่นั้นด้วยการเบะปากพร้อมเชิดจมูกรั้นๆของนาง แสดงให้ว่าที่พระสวามีของนางเห็นว่าที่พูดและทำไปเมื่อครู่ก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง
ถึงแม้จะเป็นแค่การเล่นละครแต่นั่นก็ทำให้โอมเกิดปฏิภาณวูบ เขาเบี่ยงสายตากลับไปมองอัศวินขาวที่กำลังค่อย ๆ ก้าวออกจากห้องไป ก่อนรวบรวมพลังเสียงร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมา
พัลพาทีนชะงักเท้า หันหลังกลับมามองด้วยแววตาเคืองขุ่น ในขณะที่เขากำลังจะกระชากเสียงถามว่ามีเรื่องอันใด นักโทษบนพื้นก็รวบรวมเรี่ยวแรงเท่าที่มีอยู่ลุกขึ้นโอบรัดเจ้าหญิงที่ไม่ทันได้ระวังตัวเข้าสู่อ้อมอก ประทับจูบเข้าที่ริมฝีปากคู่งามของหญิงสาว ต่อหน้าของอัศวินขาวที่ผงะถอยด้วยความตื่นตะลึง
เช้ดดดดดด ดีงามมม
ฝ่ามือของหญิงสาวฟาดเข้าที่ใบหน้าของโอมแทบจะพร้อม ๆกับที่อัศวินขาวคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงเคืองแค้น แรงนั้นถึงกับทำให้ชายหนุ่มเซไปพิงผนังเบื้องหลัง เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเผือดขาวหากแต่นัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยโทสะของทีราเลนเซียด้วยความพอใจ แววตานั้นดูราวกับว่าปราถนาจะให้เขาตายไปเสียตรงนั้น โอมแค่นยิ้ม มองเห็นทหารผู้ติดตามเบื้องหลังที่บัดนี้ชักดาบออกมาจ่อแล้วก็นึกรู้ว่าถ้ายังไม่รีบพูดอะไรออกไป เห็นทีเงาหัวก็คงจะไม่เหลือแล้ว
"ไหนบอกว่ารักฉันไง"
โอมกำลังเสี่ยงโชค
มาตอนนี้ ชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าตนเองมาอยู่ในต่างโลกจริง ๆ ไม่ใช่ละครบ้าบออะไรแต่อย่างใด เขาเป็นคนธรรมดา เป็นผู้ชายอนาคตไกลคนหนึ่ง จู่ๆก็ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถูกชักจูงใช้เป็นหุ่นเชิดไปตามความต้องการของคนแปลกหน้า ช่วยปกป้องโลกที่เขาไม่่ได้ผูกพันธ์ไม่ได้ไยดีอะไร คนสติดีที่ไหนก็คงไม่เอาด้วย แต่.ยังไงก็คง้องเล่นตามน้ำไปก่อนถ้ายังไม่อยากตาย
ใบหน้าของทีราเลนเซียมีแววอับอายจางๆยามได้ยินคำพูดนั้น ท่าทางของหญิงสาวน้ำท่วมปากจนพูดไม่ออกดูน่าสงสารยิ่ง โอมแน่ใจแล้ว เขายังมีประโยชน์กับคนในโลกนี้อยู่ ถึงอย่างไรก็จะตายไมได้ หญิงสาวจึงต้องมาช่วยเขา โอมไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไรกับทีราเลนเซียเป็นพิเศษ อย่างมากก็เห็นว่าการล่วงเกินเมื่อกี้นี่ยั่วโมโหไอ้อัศวินอันธพาลนั่นได้ก็แค่นั้น
โอมค่อย ๆลุกขึ้นท่ามกลางสายตาหวาดระแวงของคนทั้งห้อง เขายืนพิงผนัง เริ่มรู้สึกปวดร้าวตามร่างกายขึ้นมา แม้แต่ลมหายใจยามนี้ยังมีเสียงหวีดเบา ๆ ยามสูดสมหายใจเข้าทีก็เจ็บปวดจนต้องค่อยสูดอากาศ ตามใบหน้าและร่างกายมีรอยฟกช้ำม่วง ๆ เขียว ๆดูน่าเวทนา แต่ท่วงท่าของชายหนุ่มกลับมีความถือดีปนอยู่ในนั้น เตือนให้รู้ว่าใครก็อย่าบังอาจมาสงสารเขาเป็นอันขาด
แววตาของทีราเลนเซียอ่อนลงเล็กน้อย
"เอ้า" ชายหนุ่มพูด ทำลายบรรยากาศที่ตนเองสร้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่เสียสิ้น "รีบ ๆ พาฉันไปให้พ้น ๆ ไอ้ห้องเหม็นนี่ซะทีสิ"
ในหนึ่งวันมานี้ เขาเข้าคุกมามากกว่าที่ตัวเองเคยเข้ามาทั้งชีวิตซะอีก
โอมคิดขณะเดินตามหลังทีราเลนเซียไปเรื่อย ๆ ชายหนุ่มหันไปมองซ้ายทีขวาที ก่อนหน้านี้เขยังสับสนอยู่ รอบข้างก็ไม่ได้พิจารณาให้ชัดเจน มาตอนนี้จิตใจสงบขึ้นบ้างหลังได้เข้าไปนั่งพิจารณาตัวเองอยู่ในคุกใต้ดินมาระยะหนึ่ง จึงมองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น
จะว่าไปก็ต้องขอบคุณแม่เจ้าหญิงนี่กับยัยแม่มดที่เถียงกันไม่เลิกจนต้องเอาโอมไปโยนไว้ในคุกตัดปัญหาก่อน
"เธอจะพาฉันไปไหน" จู่ ๆ เขาก็นึกสงสัยขึ้น
หญิงสาวชายตากลับมามองเขาเล็กน้อย ท่าทางควบคุมอารมณ์ได้บ้างแล้ว และแล้วองค์หญิงก็ชะงักไปน้อย ๆ จยแทบไม่เป็นที่สังเกต
"...." ทีราเลนเซียไม่พูดอะไร เพียงแต่ยื่นมือมาข้างหน้า โอมก้มลงมองฝ่ามือเรียวบางขาดสะอาดที่ก่อนหน้านี้เลยประทับอยู่บนหน้าเขาด้วยความงุนงง
"...มือมา"
โอมยืนนิ่ง
"ข้าบอกให้เจ้ายื่นมือมา" คราวนี้น้ำเสียงของทีราเลนเซียเย็นขึ้นอีกระดับ "ข้าจะใช้เวทมนต์รักษาเจ้า ไม่อยากเดินกะเผลกไปมาก็จับมือข้าซะ"
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะดวงตาสีม่วงคู่สวยหรือพวงแก้มแดงระเรื่อของเจ้าหญิงที่ทำให้โอมยอมทำตามคำสั่งของเจ้าหล่อนอย่างว่าง่าย เขายื่นมือทั้งสองข้างไปเบื้องหน้า ปล่อยให้เอสเปอร์รัญญ่าใช้นิ้วเรียวงามของนางแตะสัมผัส
เมื่อผิวกายของคนทั้งสองกระทบกันก็พลันเกิดแสงสีขาวสว่างวาบขึ้น โอมรู้สึกถึงไออุ่นจางๆ ที่กำลังไล้ผ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ก่อนที่อึดใจต่อมาแสงนั้นจะหายวับไปพร้อมกับความเจ็บปวดตามร่างกายที่มลายสิ้น
ในขณะที่โอมกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ พลันดวงตาสีม่วงคู่นั้นก็ทอประกายเปลี่ยนไป ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าผิดท่า รีบชักมือออกแต่ก็ไม่ทันการ แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันขดตัวเป็นเส้นเชือก มัดข้อมือทั้งสองข้างของเขาเข้าไว้ด้วยกัน
“ไม่ตัดมือเจ้าเสียก็นับเป็นบุญคุณมากแล้ว” เอสเปอร์รัญญ่ารีบแหวใส่ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูด “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกันถึงได้บังอาจใช้มือโสโครกนั่นมาสัมผัสตัวข้า”
คำว่า “ก็เป็นว่าที่สามีท่านไง” กำลังจะหลุดออกมาจากปากของโอม แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหญิงจะรู้ทันคำพูดของเขา นางสะบัดมืออีกครั้งหนึ่ง คราวนี้แสงสีขาวเปลี่ยนสภาพกลายเป็นก้อนกลม พุ่งเข้าไปยัดอยู่ในปากที่เผยอขึ้นของชายหนุ่ม บีบบังคับให้เขาไม่สามารถเอื้อนเอ่ยถ้อยวจีใดออกมาได้
เจ้าหญิงไม่สนใจสายตาขุ่นแค้นของว่าที่พระสวามี นางฉุดกระชากเขาไปตามทางเดินที่ปราศจากผู้คนจนมาถึงห้องเล็กๆ ใต้บันไดห้องหนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บไม้กวาดก่อนผลักไสร่างที่ไร้ทางสู้เข้าไปไว้ข้างในนั้น “พรุ่งนี้เราจะเข้าพิธีแต่งงานกันอย่างลับๆ” เอสเปอร์รัญญ่าพูดรัวเร็ว “ข้าจะไปเตรียมการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย เจ้าเองก็สงบปากสงบคำให้มาก หากทำตัวดีๆ เครื่องพันธการพวกนั้นก็จักหายไปเอง”
โอมกำลังเดือดดาลถึงขีดสุด
คนบ้านนี้เมืองนี้มันเป็นอย่างไรกัน เรียกเขาข้ามมิติมาอวยยศเป็นผู้กล้าแท้ๆ แต่สิ่งที่กระทำต่อเขาก็ราวกับกำลังปฏิบัติต่อสัตว์ ต่อมาจู่ๆ จะให้เขาเป็นพระสวามีของเจ้าหญิง แต่สิ่งที่ได้รับในคืนก่อนวันแต่งงานกลับเป็นการส่งเขาเข้าที่คุมขังครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายหนุ่มใช้เท้าเตะทุกอย่างที่ขวางหน้าเป็นการระบายอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นถังน้ำหรือด้ามไม้กวาดเก่าๆล้วนถูกหวดจนล้มกองระเนระนาดกับพื้น ในที่สุดข้าวของภายในห้องก็พังเละสมใจ โอมทรุดตัวลงกับพื้น น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อล้นออกมาจากดวงตา
พลันเกิดลมหอบใหญ่พัดเข้ามาในห้องเก็บไม้กวาด ซากของที่กองอยู่บนพื้นถูกลมหมุนพัดวนกระเด็นกระดอน เมื่อลมสงบลงก็ปรากฏร่างในชุดคลุมสีดำขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า ร่างนั้นสะบัดมือหนึ่งครั้ง แสงสีขาวที่พันธนาการมือและปากของโอมก็สลายกลายเป็นควันไปในทันที
ผู้มาใหม่ดึงหมวกที่คลุมศีรษะเปิดออก เผยให้เห็นเรือนผมสีดำขลับคู่กับดวงตา ริมฝีปากรูปกระจับเข้ากับจมูกเล็กๆ ขับให้ใบหน้ารูปไข่นั้นดูงดงามผุดผาดโดยไม่ต้องแต่งเติม
โดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเปิดปากถาม หญิงสาวผู้นั้นก็เอ่ยแนะนำตัวขึ้นก่อน “ข้าชื่อนัวร์” ดวงตาของนางพินิจสำรวจใบหน้าของชายหนุ่ม “ท่านคงรู้จักข้าในนามของจอมมารสินะ ท่านผู้กล้า”
เมื่อพูดจบหญิงสาวก็ย่อกายถอนสายบัวเป็นการทำความเคารพโอมครั้งหนึ่ง ดวงตาสีดำคู่สวยนั้นทอประกายพิสดาร ชายหนุ่มกลืนน้ำลายขณะเหม่อมองดวงหน้าอันงดงามนั้น ยามกะทันหันไม่อาจเอ่ยวาจาใดได้
จอมมารเอียงศีรษะอย่างสงสัยเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยโต้ตอบอะไร อากัปกิริยานั้นยิ่งทำให้นางดูงามพิลาสขึ้นอีก “มีเรื่องอันใดหรือท่านผู้กล้า” เจ้าหล่อนกล่าวต่อ “หรือข้ามาขัดจังหวะอันใดท่าน ต้องขออภัย”
“เปล่า เปล่าครับ” โอมละล่ำละลักตอบเมื่อตั้งสติได้ “ไม่ได้ขัด ไม่ได้อะไรเลย ผมก็แค่ตกใจนิดหน่อย”
“คงเป็นความผิดของข้าเองที่เลือกปรากฏกายด้วยวิธีนี้” จอมมารค้อมศีรษะเป็นการขอโทษ “ความจริงไม่ได้อยากจะมารบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน แต่จำต้องนำสิ่งนี้มาให้”
นัวร์ล้วงมือเข้าไปในชุดคลุม ก่อนหยิบแหวนไข่มุกวงหนึ่งออกมาจากด้านในนั้น “ท่านผู้กล้า ข้านับถือในความกล้าหาญของท่านที่ปรารถนาจะต่อกรกับตัวข้า” สีหน้าของนางดูเอียงอายเล็กน้อยเมื่อยื่นแหวนวงนั้นส่งให้ชายหนุ่ม “จึงอยากจะให้ท่านพกมันติดตัวไว้ เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาของสองเรา”
โอมรับแหวนวงนั้นมาถือไว้ในมือก่อนที่จะสังเกตว่าจอมมารก็มีแหวนลักษณะเดียวกันนี้ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของนาง “ขอบคุณ” เขาพูดเบาๆ “ข้าจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี”
ใบหน้าของนัวร์ขึ้นสีเข้ม “นอกจากจะเป็นแหวนแห่งพันธสัญญาของเราแล้ว มันยังมีคุณสมบัติพิเศษในการซึมซับเวทมนตร์” จอมมารเอ่ยเสียงค่อย “มันสามารถลอกเลียนเวทมนตร์ของใครก็ตามที่ท่านต้องการ”
ยังไม่ทันที่โอมจะได้พูดอะไรอื่นจอมมารสาวก็ก้าวเท้าถอยหลัง “ข้าจะรอวันที่ท่านออกตามหาข้า” นางพูด “ก่อนจะได้พบกันอีกครั้ง โปรดรักษาตัว ท่านผู้กล้า”
ลมหอบใหญ่พัดอีกวูบหนึ่ง ข้าวของปลิวสะบัดไปตามแรงลมอีกครั้งก่อนที่อึดใจต่อมาทุกอย่างจะเงียบลง เหลือชายหนุ่มที่คุกเข่ากำแหวนอยู่บนพื้นแต่เพียงผู้เดียว
เสียงระฆังวิวาห์ในโบสถ์ลับใต้ดิน ดังสนั่นไปทั่วชั้นใต้ดินของพระราชวัง หากแต่บนผืนอาณาจักรกลับไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงพระราชพิธีสำคัญระหว่างหนึ่งผู้กล้าและหนึ่งราชนิกูลเลย เพราะโบสถ์ลับใต้ดินเอสเปอรัญญ่า เป็นหนึ่งในหกโบราณสถานวิเศษ ที่มีลักษณะเฉพาะ และยินยอมให้กับผู้ที่มีพลังกล้าแกร่งพอที่จะดึงดูดมิติแห่งทวารบานให้เปิดออกต้อนรับเท่านั้น
แต่ก็ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่จะได้ยินเสียงระฆังวิเศษนี้ ที่ๆ ดำดิ่งลึกลงไป ลึกลงไปกว่าเปลือกโลก สถานที่ที่ไม่มีมนุษย์ปกติคนไหนสามารถเดินทางไปถึง สถานที่ที่จิตใจของมนุษย์ปกติไม่อาจตั้งมั่น และอาจพังทลายได้ทุกเมื่อ สถานที่บั่นทอนความประเสริฐใดๆ
สถานที่อาศัยของจอมมารผู้ยิ่งใหญ่คับผืนดิน
..นรก
หายไปไหนกันอีกแล้วมึง มาต่อหน่อยสิ
ไหนตอนแรกบอกจะเบียวหมดทั้งพลอตทั้งภาษาไง นี่ภาษาดีเกินไปนะ 555
เห็นไม่มีใครเม้นอะไรนึกว่าไม่มีใครติดตามละ
พยายามเบียวแต่เขียนไปมามันเริ่มหลุดออกมาอะมึง ต่อเบียวๆกันเลยดิ
ต่อปกติก็ได้มั้งมึง กูสงสารเขียนเบียวแม่งปวดหัวกว่าเขียนธรรมดาอีก
เสียงระฆังวิวาห์ที่ดังแว่วมาไม่ได้ทำให้นัวร์หวั่นไหว เจ้าแห่งความมืดกำลังง่วนอยู่กับม้วนเอกสารตรงหน้าพอดีกับที่ทหารองค์รักษ์ร้องแจ้งให้ทราบว่า ดารัค หนึ่งในสี่จตุรมารของนางได้เดินทางมาขอเข้าพบ
ประตูไม้หนาหนักถูกผลักเปิดออก ชายร่างยักษ์ในชุดคลุมเดินทางสีดำสนิทเดินตรงเข้ามายังห้องหนังสืออย่างองอาจ ในอ้อมแขนของเขากำลังโอบอุ้มหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ในภาวะหลับไหลไม่ได้สติ
ดารัคคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าจอมมารสาว “ข้าแต่ท่านหญิงผู้ชั่วช้า” เขาเอ่ย “ข้าได้นำชิ้นส่วนของประตูมามอบแก่ท่านตามคำสั่ง”
นัวร์หยุดสนใจม้วนกระดาษตรงหน้า หล่อนวางมันลงก่อนที่จะเดินอ้อมโต๊ะหนังสือตรงมายังยอดขุนพลที่ยังคงคุกเข่าคำนับ จอมมารดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เบาะกำมะหยี่อันอ่อนนุ่มก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างของเอมถูกวางลงบนเบาะสีแดงนั้นอย่างนุ่มนวล
จอมมารใช้นิ้วเรียวสัมผัสพวงแก้มของหญิงสาวผู้หลับใหล เกิดแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นก่อนที่เปลือกตาของเอมจะเผยอเปิดออก “สวัสดี นางงาม” นัวร์เอ่ยขึ้นก่อน “เจ้าจำข้าได้หรือไม่”
ดวงตาสีดำของเอมจับจ้องไปที่ใบหน้าเรียวของอีกฝ่าย “เธอเป็นใคร” หญิงสาวร้องถามเบาๆ ขณะยันกายขึ้นนั่ง “เขาเป็นใคร แล้วฉันอยู่ที่ไหน”
จอมมารไม่สนใจคำถามนั้น เจ้าหล่อนหันหน้าไปหาขุนพลที่ก้มหน้าต่ำ “ข้าคิดว่านางจำพวกเราไม่ได้หรอกขอรับ ท่านหญิง” ดารัคพูด “ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะส่งผู้กล้ามา”
“นั่นคงเป็นเพราะพวกเราไม่อาจฝืนโชคชะตา” นัวร์เอ่ยตอบเบาๆ ก่อนหันหน้ากลับมาหาเอม “ไม่ต้องกังวล เจ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่”
“เธอพูดเรื่องอะไร” เอมขมวดคิ้ว สีหน้ายังคงมึนงงคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน “ฉันอยู่ที่ไหน พวกเธอเป็นใครกันแน่”
จอมมารยังคงไม่ตอบคำถามนั้น เจ้าหล่อนใช้ฝ่ามือทาบสัมผัสเข้ากับหน้าผากของเอม ก่อนที่จะใช้ริมฝีปากเรียวทาบกับริมฝีปากของอีกฝ่ายเบาๆ พลันร่างนั้นก็ผล็อยเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้งแทบจะในทันที
“เจ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่” นัวร์ย้ำคำพูดนั้นอีกครั้งก่อนหันกลับไปหาดารัคที่ยังคงคุกเข่าอยู่ “เพื่อนของท่านทั้งสามยังคงสบายดีหรือไม่”
หนึ่งในจตุรมารก้มศีรษะรับคำ “ยังอยู่ดีขอรับท่านหญิง” เขาเหลือบมองไปยังร่างที่กำลังหลับใหลอย่างไม่วางใจ “ขออภัยที่ข้าต้องพูดเช่นนี้ แต่ท่านหญิงแน่ใจแล้วหรือว่า— ”
จอมมารขมวดคิ้ว “เจ้าสงสัยในข้อวินิจฉัยของข้าหรือ”
ใบหน้าของดารัคซีดเผือด เข้าก้มต่ำลงอีก “ข้าไม่ได้— ขออภัยขอรับท่านหญิง ท่านผู้ชั่วช้า ข้ามิอาจสงสัยอันใดอีกแล้ว”
“ข้าต้องการให้เจ้านำคำสั่งของข้าไปแจ้งต่อจตุรมารทั้งหมด” นัวร์พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “เจ้าจักทำมันหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำตอบรับจากอีกฝ่าย จอมมารก็เอ่ยต่อ “ข้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งสี่คลายการป้องกันป้อมปราการต่างๆลง เมื่อผู้กล้าเดินทางมาถึง เขาจักได้ไม่ต้องเปลืองแรงต่อกร”
ใบหน้าของดารัคซีดเผือด “แต่— ท่านหญิง” เขาละล่ำละลักพูด “เรื่องนั้น ข้าเกรงว่า”
“สั่งการลงไป” นัวร์ไม่สนใจข้อโต้แย้ง เจ้าหล่อนเผลอยกมือขึ้นคลำแหวนไข่มุกบนนิ้วนางข้างซ้ายอย่างลืมตัว “หากมีผู้ใดแข็งขืน ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ให้ประหารฆ่าพวกมันทั้งตระกูล”
“เอาล่ะ คราวนี้เราก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว” เจ้าหญิงพูดเรียบๆ แหวนเพชรวงน้อยส่องประกายอยู่บนนิ้วของนาง “เมย์ลิน ข้าจักต้องทำเช่นใดต่อไป”
ริมฝีปากสีชาดของแม่มดเหยียดยิ้ม “ท่านคงไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ประสากระมัง”
เอสเปอร์รัญญ่าถลึงตาคู่สวย “ใช่เรื่องที่เจ้าควรล้อข้าเล่นอย่างนั้นหรือ” นางแหว “ข้าหมายถึงเรื่องลูกบุญธรรมที่เจ้ารับปากอย่างไรเล่า”
เมย์ลินอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้ารับปากอันใดกับท่านหรือเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวาน “ข้าไม่ยักจำได้ว่าเคยพูดไว้”
เจ้าหญิงนิ่งอึ้งไป เพิ่งตระหนักได้ว่าเรื่องรับบุตรบุญธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ตนเอ่ยปากขึ้นเอง ในขณะที่หญิงสาวนิ่งค้างอยู่นั้น โอมที่ยืนเงียบมาตลอดก็เอ่ยถามขึ้น “เมย์ลิน ถ้างั้นก็หมายความว่าฉันจะต้องมีลูกกับ— กับยายเจ้าหญิงโรคประสาทนี่น่ะเหรอ”
แม่มดฉีกยิ้มเป็นคำตอบ ในขณะที่เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าหันกลับมาทำตาเขียวใส่ “เจ้าเพ้อเจ้ออะไร ข้าไม่มีวันยอม— ”
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ผู้กล้าจำเป็นที่บัดนี้ปลงตกแล้วก็รวบเอาร่างบางขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน ดวงตาสีดำของโอมจ้องลึกลงไปในดวงตาสีม่วงที่ฉายแววตื่นตะลึง “ฟังให้ดี เจ้าหญิง” เขาพูดเรียบๆ “สำหรับฉัน เธอไม่ได้น่าพิศวาสเลยสักนิด และถ้าเลือกได้ฉันขอเลือกที่จะไม่ต้องเจอเธอตลอดไปเสียดีกว่าที่จะต้องมาอยู่กินกับเธอ เพราะฉะนั้น ฉันจึงตัดสินใจที่จะยอมโอนอ่อนตามพวกเธอแค่ปีเดียว เข้าใจไหมเจ้าหญิง ครั้งนี้เธอจะต้องมีลูกแฝดเจ็ดให้ฉัน”
เจ้าหญิงอุทานออกมา “เจ้าจะบ้าอย่างนั้นหรือผู้กล้า” นางร้องลั่น “แฝดเจ็ด ผีห่าตนใดเจาะปากให้เจ้าพูดออกมากัน”
โอมเลิกคิ้ว “มีปัญหาอะไรเหรอ” เขาเหยียดยิ้ม “หรือเจ้าหญิงคนเก่งก็มีสิ่งที่ทำไม่ได้เหมือนกัน”
“เจ้ามันบ้าไปแล้ว” เอสเปอร์รัญญ่ายังไม่หยุดโวยวาย “ใครกันจะไปมีลูกครั้งเดียวเจ็ดคนได้ เจ้าเห็นข้าเป็นตัวอะไรกัน”
“ก็เห็นเป็นภรรยาสุดที่รักของฉันน่ะสิ” ไม่พูดเปล่า คราวนี้โอมถึงกับโน้มตัวลงไปจุมพิตหน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ “เอาล่ะเมย์ลิน เป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องนำฉันกับเจ้าหญิงไปส่งที่เรือนหอแล้ว”
แม่มดผู้ทรงเสน่ห์ถึงกับนิ่งตะลึงเมื่อเห็นฉากตรงหน้า ใครจะไปคาดคิดว่าชายหนุ่มที่ปั้นหน้ามึนตึงมาตลอดทั้งพิธีจะมีวิธีตลบหลังประหลาดๆ เช่นนี้ แต่ด้วยเหตุการณ์ที่กะทันหันย่อมไม่อาจคิดวิธีแก้ไขได้ นางจึงได้แต่ก้มศีรษะรับก่อนเดินนำชายหนุ่มผู้อุ้มร่างที่แข็งขืนของหญิงสาวขึ้นไปตามบันไดเวียนที่ทอดสู่หอคอยปราสาท
ห้องชั้นบนสุดของหอคอยตะวันตกถูกออกแบบให้เป็นห้องนอนขนาดใหญ่ หรืออย่างน้อยในตอนนี้มันก็มีรูปแบบการใช้งานเช่นนั้น ฟูกหนานุ่มขนาดหกฟุตถูกจัดวางอยู่บนตั่งเตียงไม้เข้าคู่กับโต๊ะหัวเตียง ริมผนังห้องเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่พร้อมฉากกั้น เครื่องเรือนทุกชิ้นถูกตกแต่งด้วยริบบิ้นและดอกไม้สีสันสดใสละลานตา
หญิงรับใช้ทั้งสี่เปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อมโรยกลีบกุหลาบลงบนเตียง เมย์ลินเดินตามเข้าไป สะบัดมือเบาๆด้วยท่วงท่าสง่างาม “ข้าขออวยพรให้เจ้าหญิงผู้เป็นที่รักของเรา ประสบโชคดีในการครองเรือน มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
โอมหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ในขณะที่เจ้าหญิงในอ้อมแขนของเขาส่งสายตาเขียวปั๊ดให้กับคนทั้งสอง “พวกเจ้าเลิกบ้ากันได้แล้ว” นางแหว “ข้าไม่ยอม— ไม่มีวันมีลูกให้กับเขาแน่”
ไม่มีใครสนใจคำพูดนั้น ผู้กล้าจำเป็นปั้นสีหน้าจริงจังขณะหันไปสบตากับแม่มดสาว “เมย์ลิน ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ในพิธีเมื่อครู่ฉันถูกอวยยศให้เป็นเจ้าชายใช่ไหม”
แม้อีกฝ่ายจะประหลาดใจกับคำถามนั้นแต่ก็พยักหน้ารับ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองควรแสดงกิริยาที่นอบน้อมกว่านั้น “ใช่สิเพคะ” นางเอ่ยเสียงหวาน “ในตอนนี้ท่านถือเป็นเจ้าชายของพวกเราแล้ว”
โอมเผยอยิ้มออกมา เอ่ยถามต่อ “งั้นตอนนี้พวกเธอก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉันแล้วสิ”
หญิงรับใช้ทั้งสี่ก้มศีรษะต่ำเป็นเชิงรับคำทันที ในขณะทีเมย์ลินขมวดคิ้วเนื่องด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน “ใช่เพคะ” ในที่สุดนางก็เอ่ยตอบ “แต่ต้องเป็นคำสั่งที่มีเหตุผลรองรับด้วย”
“งั้นก็ดี มีเหตุผลแน่” โอมเกือบที่จะหัวเราะออกมาเมื่อพูดคำนั้น “งั้นนับแต่บัดนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า ฉันขอห้ามทุกผู้คนย่างเข้ามาในหอคอยตะวันตกนี้ แม้แต่ทหารยามก็ให้ไปเฝ้าอยู่ที่ด้านล่างของหอคอย”
เมย์ลินเลิกคิ้ว “แล้วเหตุผลล่ะเพคะ”
แทนคำตอบ โอมชม้ายตาไปยังดวงหน้าของหญิงสาวในอ้อมแขน เมื่อหญิงรับใช้เห็นดังนั้นก็อดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้ รีบแจ้นออกจากห้องไปในทันที
แม่มดสาวยังคงขมวดคิ้วไม่ขยับไปจากที่ “ท่านผู้กล้า ข้าไม่เข้าใจการกระทำของท่าน— ”
“จะมีอันใดให้ต้องเข้าใจอีก ก็เขามันเป็นคนเลวน่ะสิ” เอสเปอร์รัญญ่าร้องออกมาทันที “เมย์ลิน เจ้าต้องช่วยข้า— ”
โอมโน้มศีรษะลงไปทำท่าจะจุมพิต เจ้าหญิงเห็นดังนั้นจึงรีบเม้มริมฝีปากแน่นทันที “ดีทีเดียวที่เห็นเธอหยุดพูดได้สักที” ชายหนุ่มหัวเราะ “เอาล่ะเมย์ลิน ถ่ายทอดคำสั่งของฉันลงไป แม้แต่เธอก็ห้ามกลับเข้ามาที่นี่จนถึงพรุ่งนี้เช้า”
ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ทันคิดคำพูดอื่น โอมรีบส่งสายตาไปยังประตูเป็นเชิงไล่ เมื่อเห็นว่าตนเองพ่ายแพ้แล้วแม่มดสาวก็ทำได้เพียงแต่ถอนใจ พยายามไม่สบตาเจ้าหญิงที่กำลังร้องโวยวายขณะหันหลังออกจากห้องไป
ประตูไม้บานหนักถูกดึงปิด โอมใช้มือข้างหนึ่งลงกลอนอย่างแน่นหนาในขณะที่มืออีกข้างกำลังกอดรัดร่างของผู้เป็นภรรยาที่กำลังดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุมอย่างสุดชีวิต
เขาวางร่างของเจ้าหญิงลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล “ถ้าเธอสัญญาว่าจะไม่ขัดขืน ฉันจะไม่ทำอะไรรุนแรง” โอมพูด
เจ้าหญิงรีบพยักหน้ารับคำทันที แต่ในชั่วพริบตาที่ชายหนุ่มปล่อยนางจากการเกาะกุมนั้น ดวงตาของหญิงสาวก็เป็นประกายวูบ เอสเปอร์รัญญ่ายิ้มเหี้ยมเกรียมในขณะที่สะบัดมือ แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นกลายเป็นเชือกพันธนาการร่างของผู้กล้าหนุ่มไว้แน่น
“เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแรงกว่าอย่างนั้นหรือ” เจ้าหญิงร้องอย่างมีชัย “ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีปัญญาหลุดจากการถูกเชือกมนตราของข้ารัดรึงหรือไม่”
ถึงแม้จะถูกมัดแน่น แต่โอมก็ยังคงยิ้มได้ “ฉันคิดแล้วว่าเธอมันต้องเลี้ยงไม่เชื่อง” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันรู้ดีว่าลำพังแค่แรงของฉันน่ะคงสู้เวทมนตร์ของเธอไม่ได้หรอก แต่ก็นะ ของแบบนี้มันก็มีจุดอ่อน”
แววตาแห่งชัยชนะของหญิงสาวสลายไปในทันทีเมื่อเห็นว่าเชือกแสงที่รัดร่างของอีกฝ่ายอยู่นั้นกำลังสลายกลายเป็นควันไปอย่างช้าๆ โอมรีบกอดรัดร่างของเจ้าหญิงที่มีทีท่าว่าจะกระโดดหนีไว้แน่น “เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเธอเพิ่งกล่าวคำสาบาน ว่าจะรัก และไม่มีวันที่จะคิดทำร้ายฉัน”
บัดนี้เจ้าหญิงก็รู้แล้วว่าเวทมนตร์ของตนเองคงไม่สามารถทำอันตรายแก่ชายตรงหน้าได้อีก คงต้องโทษชะตาของฟ้าไม่ก็ใครก็ตามที่เป็นคนเขียนบทพูดในพิธีแต่งงานของเธอ โอมได้ทีที่เห็นหญิงสาวเสียขวัญ รีบปีนขึ้นนั่งบนเตียง โอบกอดร่างที่ไม่มีทางสู้เข้ามาไว้ในอ้อมอก
ในตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าหญิงสาวผู้นี้คงจะร้องไห้ออกมา แต่ปรากฏว่าเอสเปอร์รัญญ่านั้นเข้มแข็งกว่าที่เขาคิด เมื่อเห็นว่าคงไม่มีทางสู้แรงของเขาได้ นางก็นั่งนิ่งเป็นหุ่นไม้อยู่ในอ้อมอก ยอมให้เขาเอาเปรียบอย่างไม่สะทกสะท้าน เมื่อเห็นดังนั้นโอมจึงถอนหายใจเบาๆ พร้อมหยุดมือที่กำลังรุกไล่ “เอาล่ะ ฉันว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องคุยกัน”
“มีอันใดต้องเอ่ยอีก” เจ้าหญิงเอ่ยตอบเสียงเรียบ ไม่มีแสดงอาการยินดียินร้ายในน้ำเสียง “เจ้าชนะแล้ว ทำสิ่งที่เจ้าต้องการเถอะ”
โอมถอนหายใจอีกครั้ง เขาพลิกร่างของหญิงสาวให้หันกลับมาเผชิญหน้ากันโดยยังไม่ยอมปล่อยให้นางหลุดออกจากอ้อมกอด “ฉันขอโทษที่ล่วงเกินเธอ” ชายหนุ่มพูด “แต่ถ้าอยากจะคุยกับเธอแบบเป็นผู้เป็นคน ก็มีแค่วิธีนี้นี่แหละที่ฉันนึกออก”
ดวงตาสีดำจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีม่วง เจ้าหญิงพยายามหันหน้าหนีแต่ก็ถูกมือใหญ่เชยคางให้จ้องตรง “อย่าหลบหน้าฉัน เจ้าหญิง— ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ โอมก็ชะงักไป “จริงสิ ฉันยังจำชื่อเธอไม่ได้เลย”
“สามีข้าช่างความจำสั้นยิ่งนัก” แม้ท่าทีของนางจะอ่อนลง แต่น้ำเสียงก็ยังฟังดูกระด้าง “นามของข้าคือ ทีราเลนเซีย ฟราดิก้า เอสเปอร์รัญญ่า”
โอมพ่นลมหายใจขำ “ชื่อยาวขนาดนี้ ใครมันจะไปจำได้” เขาพูด “ไม่มีชื่อเล่นเหรอ บอกฉันซิ เพื่อนๆของเธอเรียกเธอว่ายังไง”
“เพื่อน” เมื่อหญิงสาวทวนคำนี้ ก็ดูเหมือนว่าดวงตาที่เคยแข็งกำลังค่อยๆรื้นไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่มีเพื่อน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่มีเพื่อน” เขาถาม “แล้วตอนเด็กๆ เธอโตมากับใคร”
เจ้าหญิงสะบัดหน้าหนีไม่ยอมตอบ บัดนี้โอมสังเกตเห็นแล้วว่าน้ำตาอุ่นๆ กำลังค่อยๆ ไหลออกจากดวงตาของอีกฝ่าย “เจ้าหญิง” ชายหนุ่มคลายมือจากการโอบกอดลง ก่อนที่จะใช้มือหนึ่งล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในอกเสื้อออกมาช่วยซับน้ำตา “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉัน— ”
“ขอโทษข้าทำไมหรือผู้กล้า” เจ้าหญิงยังคงเอียงหน้าหลบสายตา “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เชิญท่านรุกไล่ข้าต่อไปเถอะ”
เห็นท่าทางดื้อรั้นทั้งน้ำตาของอีกฝ่ายแล้วโอมก็อดนึกถึงเอมไม่ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็เอนตัวลงนอนโอบกอดร่างบางที่กำลังสั่นเทิ้มไว้อย่างหลวมๆ “อย่าเรียกฉันว่าผู้กล้า เพราะฉันมันไม่ใช่” เขาพูดเบาๆ “ฉันชื่อโอม เรียกฉันว่าโอม หยุดร้องให้เถอะเจ้าหญิง ฉันจะไม่รังแกเธออีกต่อไปแล้ว”
ดวงตาสีม่วงช้อนมองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ “เจ้ากำลังวางแผนอันใด” นางเอ่ยถาม “ผู้กล้า ข้าควรเชื่อเจ้าหรือ”
ชายหนุ่มพลิกตัวกลับมาประจันหน้ากับหญิงสาว “ฉันบอกให้เธอเรียกชื่อฉัน” เขาพูดเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง “และฉันก็จะเรียกเธอด้วยชื่อเหมือนกัน เธอชื่อทีราเลเซียใช่ไหม”
“ทีราเลนเซีย”
“นั่นแหละ” โอมยิ้มออกมา ใช้นิ้วชี้ป้ายน้ำตาออกจากขนตางอนยาวของหญิงสาว “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกเธอว่าทีร่า ดีไหมทีร่า ฉันว่าจำง่ายดี”
“ทีร่า” หญิงสาวทวนคำเบาๆ ไม่มีใครทราบได้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไร “เจ้าจะเรียกข้าว่าทีร่าอย่างนั้นหรือ”
“ตอนพวกเราอยู่ข้างนอก เธอจะเรียกฉันว่าอะไรก็สุดแล้วแต่ความคิดเธอ” โอมยังคงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ถ้าเราอยู่กันสองคนเช่นในตอนนี้ ฉันคือโอมของเธอ และเธอคือทีร่าของฉัน”
ใบหน้าของเจ้าหญิงขึ้นสีเข้มทันที “เจ้าพูดบ้าอันใด” หญิงสาวกัดริมฝีปาก พลิกตัวหนีไปอีกทาง “จะเรียกข้าอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าเถิด แต่อย่ามาตู่เอาว่าข้าเป็นของเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้”
โอมหัวเราะพร้อมรวบร่างบางเข้ามาแนบอก “ก็ได้พะย่ะค่ะองค์หญิง” เขาพูดยิ้มๆ “ฉันจะไม่ล่วงเกินเธอ เธอไม่จำเป็นที่จะต้องมีลูกให้ฉัน แค่สัญญาว่าจะหาทางพาฉันกลับบ้านให้เร็วที่สุดก็พอแล้ว”
พิมพ์ 69 ไอ้โอมเย็ดเจ้าหญิง
พิมพ์ 44 ไอ้โอมเย็ดมือ
เสียวเกิน เดี๋ยวเถอะ555555
กลายเป็นยอดนักเย็ดต่างมิติไปละโอมเอ้ย 5555555
696969696969696969
เมื่อเมย์ลินออกมาจากเขตหอคอยที่กลายเป็นเรือนหอ ก็พบเทลาเรนเซ่ยืนรอด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
"นี่ข้าต้องมีพี่เขยเป็นคนไร้สกุลนั่นจริงหรือ" เจ้าชายรูปงามเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
"เพคะ เพราะคำทำนายกำหนดไว้เช่นนั้น บุตรทั้งเจ็ดคนของเจ้าหญิงทีราเลนเซียกับชายผู้มาต่างโลกคือผู้ที่จะปราบจอมมารได้" เมย์ลินกล่าวตอบอย่างนอบน้อม ด้วยการใส่มารยาหญิงอีกเล็กน้อย ทำให้ความขุ่นเคืองใจของเทราเลนเซ่จางหายไปทันทีเมื่อแม่มดสาวเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันหวานใสและช้อนตามองด้วยสายตาอันใสซื่อที่สั่นไหวราวกับสาวน้อยบ้านนอกที่ประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าว่าที่ราชาคนต่อไป
"ท่านพอจะมีเวลาว่างร่วมจิบน้ำชายามบ่ายกับข้าหรือไม่" เป็นคำถามที่ทำให้หัวใจของเมย์ลินลิงโลดอย่างยินดี แม่มดสาวซ่อนรอยยิ้มไว้แล้วแสร้งเอ่ยตอบอย่างหวั่นเกรง
"ให้แม่มดผู้ต่ำต้อยอย่างข้าร่วมโต๊ะจิบน้ำชากับองค์ชายผู้สูงส่งอย่างท่านดูจะไม่เหมาะสมนะเพคะ"
"ไม่เป็นไร เราไม่ถือ และท่านเองก็ไม่ใช่แม่มดชั้นต่ำ แต่เป็นถึงนักพยากรณ์ประจำราชวงศ์ที่มีอำนาจรองเพียงราชา ที่เราชวนท่านก็เพื่อปรึกษาเรื่องการเคลื่อนไหวของจอมมาร"
"อะ...อ๋อ เพคะ เรื่องที่หนึ่งในจตุรมารได้เริ่มสร้างกองทัพออร์คเมื่อสองเดือนก่อนสินะเพคะ" เมย์ลินแสร้งถาม พลางเก็บซ่อนความเสียดายเมื่อภาพมโนอันแสนหวานถูกทำลาย
"ใช่ และตอนนี้กองทัพออร์คส่วนหนึ่งได้แล่นเรือผ่านทะเลดำเข้าใกล้อาณาจักรของเรา คาดว่าจะเทียบชายฝั่งในอีกเจ็ดวัน" เทลาเรนเซ่ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
"อีกหนึ่งเดือนกว่าท่านพ่อจะกลับมาจากการประชุมกับอาณาจักรปากิป้า สามแม่ทัพผู้เก่งกาจก็มีภารกิจวุ่นวายอยู่กับการปราบชนเผ่าและฝูงอสูรที่ถูกจอมมารปลดปล่อยออกมาจากนรก ท่านจะช่วยข้ารับมือกับกองทัพออร์คได้ไหม แม่หมอเมย์ลิน"
เมย์ลินปั้นสีหน้าอ่อนโยนประดุจแม่พระ รอยยิ้มอ่อนหวานราวกับดอกไม้บานในยามเช้าตรู่ แล้วเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลชวนให้ผู้ฟังรู้สึกจิตใจผ่อนคลาย
"ได้สิเพคะ เราไปคุยกันในช่วงจิบชายามบ่ายกันดีกว่า การที่ท่านมายืนตากแดดตากลมรอข้าเช่นนี้เดี๋ยวร่างกายจะแย่นะเพคะ ถึงหม่อมฉันจะเป็นแค่แม่หมอ แต่ก็ขอช่วยท่านให้สุดความสามารถ"
ชายหนุ่มหลับสนิทไปแล้ว แต่หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาหาข่มตาลงได้ไม่
เจ้าหญิงพยายามที่จะพลิกตัวหนีหลายครั้ง หากแต่ต้องจนใจเมื่อทุกครั้งที่นางขยับ คนชั่วช้าที่กำลังกอดรัดนางก็สะดุ้งขึ้นคล้ายจะตื่นทุกครั้งไป เจ้าหล่อนจึงทำได้เพียงแค่ทอดถอนใจจ้องมองใบหน้าของชายผู้เอาเปรียบเธอเท่านั้น
แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ทีราเลนเซียก็จำต้องยอมรับว่าชายตรงหน้านั้นถือว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง อาจไม่ใช่เจ้าชายผู้แข็งแรงองอาจอย่างที่เธอวาดฝันไว้ว่าจะได้เจอ แต่เขาก็ดูอ่อนโยน เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาในยามนิทราเช่นนี้
หญิงสาวรีบข่มตาไล่ความคิดนั้นออกไปจากสมอง คงไม่มีเด็กน้อยไร้เดียงสาที่ไหนอุกอาจรุกไล่เธอให้จนตรอกได้ถึงขนาดนี้ ทั้งขโมยจูบแรก ทำเธออับอายจนแทบต้องแทรกแผ่นดินหนีต่อหน้าธารกำนัล รวมไปถึงใช้เธอเป็นหมอนข้างกอดนอนอยู่ในขณะนี้
แต่เจ้าหญิงก็อดรู้สึกจั๊กจี้ในใจไม่ได้ ถึงอีกฝ่ายจะคุกคามเธอเพียงใด แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีด้านที่อ่อนโยน กอดปลอบและคอยเช็ดน้ำตาให้เธอ ซ้ำยังบังอาจตั้งชื่อเล่นให้เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์อย่างเธอ และที่สำคัญที่สุด ชายตรงหน้าไม่ได้บีบบังคับให้เธอมอบพรหมจรรย์อันแสนล้ำค่าให้กับเขา— อย่างน้อยก็ในตอนนี้
แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาอาบห้องหอจนเปลี่ยนเป็นสีส้ม บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แน่ทีเดียวว่าเป็นเพราะคำสั่งของโอมที่ห้ามไม่ให้ใครเข้ามายุ่มย่าม เจ้าหญิงถลึงตาให้กับร่างที่กำลังหลับสนิทอีกครั้ง ด้วยคำสั่งงี่เง่าของเขา ไม่ทราบว่าป่านฉะนี้พวกปากหอยปากปูในปราสาทจะนำเรื่องของเธอไปเติมแต่งเสียจนพังพินาศไปเท่าใดแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ดึงแขนที่กอดรัดตัวนางอยู่ให้หลุดออก สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มครางออกมาครั้งหนึ่ง หัวใจของเจ้าหล่อนเต้นโครมครามด้วยอารามกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางถอนหายใจอย่างโล่งอก ลุกขึ้นจัดแต่งอาภรณ์ให้ดูเรียบร้อยก่อนค่อยๆ ย่องตรงไปยังประตู
ยังไม่ทันที่มือของเจ้าหญิงจะได้ทันสัมผัสกับกลอนประตู เสียงกระแอมก็ดังมาจากทางด้านหลัง ทีราเลนเซียกรีดร้องในใจขณะหันกลับไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง “ทีร่า” โอมร้องเรียกด้วยน้ำเสียงง่วงงุน “นั่นเธอจะไปไหนน่ะ”
“ข้าจะไปที่ใดมันก็เรื่องของข้า” เจ้าหญิงเชิดเสียงตอบ “เจ้ามีสิทธิอันใดมากล่าวห้าม”
โอมอ้าปากหาว “นี่เช้าแล้วงั้นเหรอทีร่า” เขาถาม “เธออย่าลืมสิว่าฉันสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้ามารบกวนพวกเราที่นี่”
หญิงสาวยิ้มเมื่อได้ยินคำนั้น “นั่นก็ใช่ แต่เจ้าก็ไม่เคยสั่งห้ามใครลงไปก่อนเช้านี่”
ชายหนุ่มหัวเราะ ใช้ดวงตาของเขาจ้องเข้าไปในดวงตาสีม่วงที่พยายามหลบเลี่ยง “งั้นฉันขอสั่งไม่ให้ใครลงไปจากที่นี่ก่อนที่จะเช้า”
“เหลวไหล” เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าแหวทันที “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครถึงคิดมาออกคำสั่งเช่นนั้นกับข้า”
แทนคำตอบ โอมหยิบหมอนอิงที่หล่นอยู่บริเวณนั้นขึ้นมาวางพิงไว้กับหัวเตียงแล้วเอนหลังลงเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ก่อนใช้มือซ้ายตบลงบนฟูกที่นอนข้างกาย “ทีร่า” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “มานอนตรงนี้”
อากัปกิริยานั้นแทบทำให้เจ้าหญิงเดือดดาลจนเต้นเร่า “เจ้าคนชั่วช้า” นางร้อง “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะลงไป ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะทำอันใดข้าได้”
โอมผายมือไปทางประตู “งั้นฉันก็แนะนำให้เธอลองดู” เขาพูด “ฉันจะปล่อยให้เธอลงไปพักหนึ่งก่อน จากนั้นฉันจึงค่อยลงไปตามหาเธอ จะเรียกหายอดรักให้ทั่วทั้งปราสาท เมื่อเจอก็จะโอบอุ้มเธอกลับขึ้นมาบนห้องนี้ใหม่ นั่นฟังดูดีหรือไม่ ทีร่า”
หญิงสาวยกชายกระโปรงยาวขึ้นสูงไม่ให้เกะกะขณะเร่งรีบลงจากหอคอย ใจหนึ่งก็โมโหอีกใจหนึ่งก็หวาดกลัว ด้วยไม่อาจคาดเดาได้ว่าคนชั่วช้าด้านบนนั่นจะคิดวางแผนทำสิ่งใดอีก
ไม่นานเจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าก็ลงมาถึงด้านล่างของหอคอย ตลอดทางที่ผ่านไร้สุ้มเสียงของสิ่งมีชีวิต ทหารองครักษ์ทำตามคำสั่งของโอมโดยเคร่งครัด นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าหล่อนหวาดกลัว ถึงแม้คนในปราสาทจะเป็นคนที่นางมักคุ้นมานาน และหลายๆ คนก็ไม่ใคร่ที่จะชอบชายผู้มาจากต่างมิตินัก แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนในปราสาทอีกเป็นจำนวนมากที่เชื่อในเรื่องของคำทำนายและศรัทธาในตัวของผู้กล้าผู้นี้
เจ้าหญิงก้าวเท้าออกไปยังลานด้านนอก ทหารยามห้าคนที่นั่งจับกลุ่มคุยกันต่างแตกฮือพรวดขึ้นทำความเคารพ “ขออภัยที่พวกกระหม่อมหย่อนยาน— ” หัวหน้าชุดเฝ้ายามละล่ำละลักพูด “คือกระหม่อมหมายถึง ไม่มีใครคาดคิดว่าพระองค์จะลงมาก่อนเช้าวันพรุ่ง”
ทีราเลนเซียทำตาขวางค้อนใส่วงใหญ่ “สามหาวยิ่งนัก” นางตวาด “พวกเจ้าฟังคำสั่งข้า ให้ยืนยามอยู่ตรงนี้โดยแข็งขัน หาก— หากผู้กล้าลงมาเมื่อไร ให้ขัดขวางมิให้เขาติดตามข้ามาได้”
เมื่อได้ฟังคำสั่ง ใบหน้าของเหล่ายามก็พลันซีดขาวเสียยิ่งกว่าเดิม “แต่พระองค์” ทหารยามคนเดิมร้องเสียงสั่น “พวกกระหม่อมจะขัดขวางท่านผู้กล้า— เจ้าชายได้อย่างไร”
“นั่นเป็นปัญหาของพวกเจ้า” เจ้าหญิงยังได้ทีตะเบ็งเสียงต่อไป ยามนี้นางต้องการหาใครเป็นที่ระบายสักคน “ถ้าพวกเจ้าปล่อยให้ผู้กล้าตามมาถึงตัวข้าได้ รับรองว่าเราจะได้เห็นดีกันแน่”
ไม่รอฟังคำตอบ เจ้าหญิงรีบสาวเท้าเดินต่อไป ตลอดทางที่ลงบันไดเวียนมานางก็นึกหาสถานที่ปลอดภัยภายในปราสาทมาโดยตลอด สถานที่ๆ ไม่ว่าอย่างไรผู้กล้าก็คงไม่มีวันที่จะมาฉุดรั้งนางให้กลับไปได้ และแน่นอนว่าสถานที่แห่งนั้นคือหอคอยทิศเหนือ อันอยู่ในความควบคุมของเจ้าชายเทลาเรนเซ่ผู้เป็นพระอนุชาของนางนั่นเอง
ด้วยท่าทางอันรีบเร่งและผมเผ้าที่ดูยุ่งเหยิงทำให้เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าหญิงรับใช้และทหารองครักษ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หญิงสาวพยายามตีสีหน้าเรียบเฉยในขณะก้าวตรงไปข้างหน้า ทั้งที่ในใจของเจ้าหล่อนกำลังก่นด่าคนชั่วช้าผู้นั้นที่ทำให้นางต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ในที่สุดเจ้าหญิงก็เดินทางไปถึงห้องทรงหนังสือของพระอนุชา ประตูเปิดออกแทบจะในทันทีที่ทหารยามขานชื่อของนางออกมา เจ้าชายเทลาเรนเซ่โผล่พรวดมายังหน้าประตูจนแทบจะชนโครมกับผู้เป็นพี่ “ท่านพี่ ไฉนท่านถึงมาหาข้ายามค่ำเช่นนี้” เจ้าชายร้อง กวาดตามองร่างของคนตรงหน้า “สภาพของท่านดูไม่ได้เลย เจ้าคนถ่อยนั่นได้ล่วงเกินท่านพี่หรือไม่”
ทีราเลนเซียอึกอักไม่รู้จะตอบกลับคำถามนั้นอย่างไร พอดีกับที่มีสุ้มเสียงหวานของเมย์ลินดังขึ้นขัดจังหวะ “ถามเช่นนั้นไม่สุภาพเลยนะเพคะองค์ชาย” นางพูดพร้อมรอยยิ้ม “โดยเฉพาะในคืนส่งตัวเข้าหอเช่นนี้”
ใบหน้าของเจ้าหญิงขึ้นสี “เหลวไหล เจ้าน่ะเงียบไปเลยนะเมย์ลิน” นางแหวด้วยแรงอารมณ์ “เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“คำทำนาย— ”
“เหลวไหล คำทำนายของเจ้าน่ะข้าไม่เชื่อถืออีกต่อไปแล้ว”
เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มแย่ลง เจ้าชายก็จำใจที่จะต้องยกมือขึ้นห้ามทัพ “ใจเย็นก่อนเถิดท่านพี่ เมย์ลินนั้นเพียงแต่ทำตามหน้าที่ของนาง” เขาพูดช้าๆ “ท่านนั่งลงก่อนดีหรือไม่ เราสองคนกำลังสนทนากันเรื่องพวกออร์คอยู่พอดี”
“พวกเราคงคร่ำเคร่งเกินไป คุยกันตั้งแต่ยามบ่ายคล้อย บัดนี้ดวงอาทิตย์ก็ได้อัสดงเสียแล้ว” นักพยากรณ์สาวเอ่ยเสียงใส “ข้าเกรงว่าอาจดูไม่งาม คงต้องขอตัวก่อน” ว่าแล้วเมย์ลินก็ลุกขึ้นถอนสายบัวหนึ่งครั้ง ก่อนเยื้องย่างออกจากห้องไป
เมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง หยดน้ำตาก็ร่วงหล่นออกมาจากดวงตาสีม่วงเป็นสาย “เทลาเรนเซ่” นางร้องเสียงค่อย “พี่— พี่ทนรับมันไม่ไหวอีกแล้ว”
เจ้าชายยังคงยืนนิ่ง แววตาที่จับจ้องใบหน้าของพี่สาวดูไม่ใคร่พึงใจ “ท่านพี่หยุดร้องไห้ก่อนเถอะ” เขาพูดเสียงเรียบ “ลืมไปแล้วหรือว่าท่านพ่อสอนพวกเราอย่างไร เราเหล่าขัตติยะเสียได้แต่เพียงเลือด ไม่มีวันที่จะหลั่งน้ำตา”
คำพูดนั้นทำให้ทีราเลนเซียเงียบไป เจ้าหล่อนยกมือขึ้นปาดน้ำตาครั้งหนึ่งก่อนพยายามปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉย “เรื่องของพี่นั้นพักไว้ก่อนเถอะ” นางพูดฝืนพูด “พวกออร์คมันเป็นอย่างไร วานน้องช่วยขยายความให้ฟัง”
เจ้าชายหนุ่มทอนหายใจก่อนผายมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง “ข่าวไม่ค่อยดีนัก” เขาพูดพร้อมหยิบถ้วยชาขึ้นริน “ท่านคงรู้จักเลอดุ๊กกระมัง มันเป็นหนึ่งในจตุรมารที่กำลังนำกองทัพออร์คข้ามทะเลดำอยู่ในขณะนี้”
“กองทัพออร์ค” เจ้าหญิงทวนคำ “ธรรมชาติของพวกออร์คมักอยู่รวมกันเป็นเผ่าเล็กๆ กระจัดกระจายกันไป ที่น้องว่ากองทัพออร์คนั้นมันมีจำนวนสักเท่าใดกัน”
สีหน้าของอีกฝ่ายเครียดเขม็ง “ข้าเข้าใจที่ท่านพี่พูด ข้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกันที่พวกสัตว์ร้ายนั่นรวมตัวกันได้เป็นกลุ่มก้อนเช่นนี้ คงไม่แคล้วเป็นฝีมือของจอมมาร” เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ “ทัพของพวกมันคะเนแล้วคงไม่ต่ำกว่าสามหมื่น”
“สามหมื่น” ทีราเลนเซียร้อง “ด้วยกำลังของมนุษย์เราสักห้าคนจึงจะเทียบได้กับออร์คตนหนึ่ง นี่มากันถึงสามหมื่น แล้วเราจะมีกำลังเพียงพอรับมือพวกมันหรือน้องพี่”
“เรื่องนั้นข้าได้ปรึกษากับเมย์ลินแล้ว” เจ้าชายตอบกลับแทบจะในทันที “หากปล่อยให้พวกมันขึ้นฝั่ง ถึงเราจะสามารถเอาชนะพวกมันได้ แต่จะต้องมีสักกี่เมืองเล่าที่จะต้องแหลกลาญ ข้าเห็นว่าเราควรที่จะแต่งทัพเรือออกไปสู้กับพวกมันกลางสมุทร ถึงพวกออร์คจะแรงเยอะแต่ก็โง่เขลานัก ซ้ำยังมีเรื่องปัญหาชนเผ่าที่คอยระแวงกัน การบัญชาการรบของพวกมันกลางทะเลคงจะเป็นเรื่องที่วุ่นวายน่าดูชม”
“พี่เห็นว่านั่นเป็นความคิดที่ดี” เจ้าหญิงตอบรับ “แล้วน้องคิดจะแต่งทัพออกไปเมื่อใดกัน”
“ท้องน้ำนั้นกว้างใหญ่นัก พวกมันคงไม่มีทางเดินทางข้ามทะเลดำมาถึงดินแดนของพวกเราได้ในเวลาอันใกล้” ชายหนุ่มตอบ “แต่อย่างไรข้าจะไม่ประมาท จะเร่งฝึกซ้อมกำลังพล ซ่อมบำรุงเรือแลตระเตรียมเสบียง คงได้ฤกษ์ออกเดินทางภายในครึ่งเดือนนี้” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “ข้าคงต้องนำกำลังพลออกสู้รบ เป็นห่วงก็แต่ท่านพี่ ท่านต้องรักษาตัว อย่าให้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นเอาเปรียบได้”
ผู้เป็นพี่สาวชะงักไป ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นแย้มยิ้ม “เหลวไหล นี่เจ้าคิดว่าพี่เป็นผู้หญิงอ่อนแอหรือไร” นางพูด “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พี่สิต้องเป็นห่วงน้อง ต้องรอนแรมจากบ้านออกไปสู้รบกลางทะเล”
“เป็นเลือดขัตติยะก็ต้องรักษามาตุภูมิ” ชายหนุ่มพูดอย่างภูมิใจ “ท่านพี่เองก็เช่นกัน อย่าให้คนถ่อยนั่นเห็นความอ่อนแอของท่าน มันจะใช้ช่องว่างเหล่านั้นมาทำร้ายทั้งตัวท่าน และอาณาจักรของเราได้”
เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าหลบสายตาผู้เป็นน้องชายโดยทำทีเป็นสนใจกาน้ำชาบนโต๊ะ “พี่รู้ดี ต้องขอบใจน้องที่เตือน” นางพูด “นี่ก็ดึกแล้ว พี่คง— พี่คงต้องกลับก่อน เชิญน้องตามสบาย”
เทลาเรนเซ่ลุกขึ้นโค้งคำนับก่อนที่จะเดินไปส่งผู้เป็นพี่สาวจนถึงลานหน้าหอคอย ก่อนจากกันชายหนุ่มก็กุมมือของหญิงสาวไว้แน่น “ท่านพี่” เขากล่าวย้ำ “ท่านต้องอดทน อย่าให้มันเห็นว่าท่านอ่อนแอ ข้าสาบานว่าจะต้องช่วยท่านพี่ให้พ้นจากเงื้อมมือของเจ้าคนชั้นต่ำนั่นให้ได้”
หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองกำลังมุ่งหน้าสู่ลานประหาร ดวงตาทั้งคู่สอดส่ายไปตามทางเดินด้วยกลัวว่าชายผู้นั้นจะแอบเข้ามารังแกต่อหน้าธารกำนัล ยิ่งเมื่อก้าวเท้าไปจนเห็นหอคอยตะวันตกได้ถนัดตา ความประหวั่นพรั่นพรึงก็ยิ่งระบายอยู่บนใบหน้าจนเห็นได้ชัดเจน
ทหารยามทั้งห้ามองเห็นนายเหนือหัวแต่ไกล พวกเขาทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงเมื่อทีราเลนเซียเดินมาถึง “สถานการณ์ปกติพะยะค่ะ” หัวหน้าชุดรีบกล่าวรายงาน “เจ้าชายไม่ได้ติดตามพระองค์ลงมา”
เจ้าหญิงมองเห็นสายตาโล่งใจของคนทั้งห้าได้ชัดเจน จึงเชื่อว่าชายหนุ่มด้านบนคงไม่ได้ทำให้คนเหล่านี้ต้องลำบากใจ เจ้าหล่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “พวกเจ้าทำดีมาก” นางพูด “คอยเฝ้ายามต่อไป หลีกทาง”
หัวหน้าชุดเฝ้ายามรีบก้าวเท้าถอยหลังทันที โชคร้ายที่ลูกน้องเจ้ากรรมคนหนึ่งกลับพูดสวนขึ้นมา “แต่เจ้าชายมีรับสั่งไม่ให้ใครขึ้นไปรบกวน”
ทีราเลนเซียชะงักเท้า หันหน้าไปจ้องมองทหารยามผู้นั้นที่ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าพูดผิดไป หัวหน้าของเขารีบหันกลับไปตวาดใส่ทันที “ไอ้โง่ เจ้าชายหมายถึงคนอื่น นี่เขาจะขึ้นไปพลอดรักกัน”
ชายผู้หน้าสงสารรู้ทันทีว่าตนเองนั้นพูดผิดไป แต่โชคก็ยังคงเข้าข้างอยู่บ้างเมื่อฝ่ายหญิงสาวนั้นรู้สึกอับอายจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดผ่านริมฝีปากออกมาได้ เท่าที่นางจะทำได้ก็เพียงแต่ถลึงตาใส่ก่อนพาใบหน้าที่แดงก่ำราวพระอาทิตย์ขึ้นไปบนหอคอย
ยิ่งก้าวขึ้นไปเท่าไหร่ ความคิดของเจ้าหล่อนก็ยิ่งตีบตัน การที่วิ่งหนีลงมาดื้อๆ ก็นับว่าเสียหน้าพออยู่แล้ว แต่การที่จะกลับขึ้นไปใหม่นั้นย่อมทำได้ยากกว่า ในขณะที่หญิงสาวกำลังสองจิตสองใจว่าจะเดินต่อไปดีไหมนั่นเอง เสียงเหมือนคนกำลังคุยกันก็แว่วเข้ามากระทบโสตประสาท ทีราเลนเซียหยุดเดินในทันทีพร้อมเงี่ยหูฟัง แน่ชัดแล้วว่าเสียงพูดคุยนั้นดังมาจากห้องบนสุดของหอคอยเป็นแน่แท้
เจ้าหญิงขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ สงสัยในใจว่าคนชั่วช้าผู้นั้นอาจกลายเป็นบ้าพูดโต้ตอบกับตัวเอง แต่เมื่อนางเดินไปหยุดลงตรงหน้าประตูที่เปิดแง้มก็พบว่าไม่ใช่ แม้จะจับความใดๆ จากคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ แต่ก็มั่นใจว่าเสียงที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นมีเสียงหนึ่งที่เป็นเสียงของผู้หญิง
แต่ก่อนที่หญิงสาวจะได้ทำอะไรต่อไป เสียงในห้องก็พลันเงียบลง ก่อนเกิดเสียงดังเหมือนมีพายุลูกใหญ่กำลังหมุนวนอยู่ในห้อง ประตูที่แง้มอยู่ก็พลันเปิดผางออก เผยให้เห็นสภาพห้องที่ดอกไม้และริบบิ้นปลิวว่อนกระจัดกระจายเกลื่อนเต็มพื้น
ใบหน้าของชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงฉายแววประหลาดใจ เขายิ้มฝืนๆ ขณะพูด “เธอกลับมาแล้วเหรอ”
ทีราเลนเซียไม่ตอบคำ ตอนนี้ความใคร่รู้ของนางอยู่เหนือความหวาดกลัว หญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาในห้องพร้อมกวาดสายตามองสภาพที่ยุ่งเหยิงบนพื้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้น” นางถาม
“แย่หน่อยที่ฉันเผลอเปิดหน้าต่างกว้างเกินไป” โอมบุ้ยใบ้ไปยังหน้าต่างที่อ้ากว้าง “ไอ้ลมบ้ามันก็เลยพัดเอา ดูซิเนี่ยห้องเละเทะหมด”
หญิงสาวหรี่ตามองชายตรงหน้า “อย่างนั้นเองหรือ” น้ำเสียงนั้นมีความไม่เชื่อถือปนอยู่อย่างเห็นได้ชัด “แล้วเมื่อครู่เจ้ากำลังสนทนาอยู่กับใคร”
ชายหนุ่มผงะไปอย่างเห็นได้ชัด เป็นครั้งแรกที่เขาหลบตาขณะเอ่ยตอบ “ฉันพูดเหรอ คงร้องด่าลมที่ทำห้องพังล่ะมั้ง”
ดวงตาสีม่วงคู่สวยหรี่ลง “คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ” ไม่พูดเปล่า หญิงสาวกระโดดขึ้นไปบนเตียง ใช้มือจับคางอีกฝ่ายเป็นเชิงบังคับให้หันหน้ากลับมา “บอกความจริงกับข้ามา ไม่เช่นนั้นเจ้าอย่าหวังว่าจะได้นอน”
โอมดึงมือเจ้าหญิงออกอย่างง่ายดาย “ไม่ได้นอนเชียวหรือทีร่า” ดวงตาสีดำแฝงแววซุกซนขณะพูด “ลงไปดื่มยาปลุกกำหนัดมาหรืออย่างไร”
ใบหน้าของหญิงสาวขึ้นสีเข้ม ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากร้องด่าชายหนุ่มก็ชิงสะบัดตัว คว้าผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ไม่คิดที่จะหันกลับไปโต้ตอบกับคำพูดของอีกฝ่ายอีก
ขณะที่ชะตาฟากหนึ่งของแผ่นดิน ถูกฝากไว้กับการพลอดรักอันรุ่มร้อนซุกซน ใต้หนึ่งของแผ่นดินกำลังระอุร้อนเร่งเร้าสร้างกองทัพปีศาจ เหนือหนึ่งของแผ่นดิน บนฟ้าสูงเกินกว่าเมฆ แต่ไม่อาจเกินเลยไปกว่าชั้นดวงดาว 'สวรรค์' สถานที่ชุมนุมของเหล่าเทพเจ้า เทพี และชาวสวรรค์ผู้รับใช้ใต้เบื้องดวงดาราอันเหนือกว่าโลกนี้จะเทียบเทียมได้ กำลังเป็นทองไม่รู้ร้อนว่า ผืนดินกำลังจะลุกเป็นไฟจากคำทำนายมั่วซั่ว ที่เกิดจากความสนุกของกีฬาสวรรค์ ฟุตบอลชิงแชมป์ประเพณี ระหว่างทีมเทพฤดูกาลและทีมเทพธรณี ที่ดันแข่งเสมอ แต่ไม่อยากยิงลูกโทษเพราะเบื่อ จนเป็นที่ไม่พอใจไปทั่วแดนสวรรค์ ทำให้ฝ่ายกรรมการคิดหาวิธีแก้ไข โดยใช้แผ่นดินเป็นนัดตัดสินแทน ฝ่ายนรกเป็นตัวแทนทีมเทพฤดูกาล ฝ่ายมนุษย์เป็นตัวแทนทีมเทพธรณี
กรรมการใช้อำนาจพรวิเศษสร้างคำทำนายเก๊ เพื่อสร้างเรื่อง ให้ทุกอย่างวุ่นวาย ชาวสวรรค์จะได้มีอะไรดูกัน โดยตัดสินกันว่า ทุกอย่างจบเมื่อไหร่ ไม่ว่าใครชนะ ก็จะใช้เวทย้อนกลับ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และให้ผลของสงครามเป็นตัวกำหนดดรรชนีการเจริญเติบโตของผลผลิตเกษตรกรรมในปีถัดๆ ไป
“ฮาเดรียน”
ผู้ถูกเรียกหันกลับไปหาต้นเสียง เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มผมทองกำลังก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา “ลูคัส” ฮาเดรียนเอ่ยชื่อของอีกฝ่าย “ไยเจ้าถึงมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้”
ลูคัสขยิบดวงตาสีฟ้าซุกซนของเขาทีหนึ่ง “เช้านี้ข้ามีนัดกับท่านเจ้าสวรรค์” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม “และตอนบ่ายยังมีนัดกับเลขาของเขา”
ฮาเดรียนเผยสีหน้าระอา เขาเสยผมสีเพลิงของตนไม่ให้ตกลงมาปรกหน้า “นี่เจ้าก็เป็นไปกับเขาอีกคนแล้วหรือนี่” ชายหนุ่มถาม “เอวาน่ะอสรพิษในคราบนางฟ้า เทพบุตรตั้งมากมายหวังจะแอ้มนางแล้วเป็นอย่างไร เจ้าไม่เห็นชะตากรรมที่เกิดกับพวกเขาหรอกหรือ”
“พวกนั้นน่ะมันโง่ คอยดูทีของข้าเถอะ” ลูคัสตอบกลับอย่างมั่นใจขณะหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ “ว่าแต่เจ้าเถอะ ไยเมื่อคืนไม่ยอมกลับวิมาน ท่านเจ้าสวรรค์จ่ายค่าล่วงเวลาให้มากนักหรือ”
ฮาเดรียนถอนใจขณะพยักพเยิดไปยังลูกแก้ววิเศษที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ “ก็เรื่องเดิมพันบ้าบอนั่นน่ะทำเอาฝ่ายรักษาความสงบอย่างพวกข้าหัวหมุน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “พวกเทพธรณีบัดซบ พวกเทพฤดูกาลเฮงซวย ไม่คิดหน่อยหรือว่าสมดุลที่พวกเรารักษากันมากว่าหมื่นปีจะถูกทำลายเพราะเรื่องงี่เง่านั่น”
เทพบุตรผมทองหัวเราะ ยกมือขึ้นตบบ่าเพื่อนหนุ่มด้วยท่าทีสนุกสนาน “เอาน่า ฮาเดรียน” เขาพูดยิ้มๆ “อย่างไรสงครามข้างล่างนั่นก็ต้องเกิดขึ้นสักวันอยู่แล้ว เราก็รอพวกมันตีกันจนเละแล้วค่อยลงไปห้ามทัพ ฟื้นฟูโลกขึ้นมาใหม่ก็ได้มิใช่หรืออย่างไร”
“เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่พวกเจ้าคิด” ฮาเดรียนตอบกลับอย่างหัวเสีย “พวกเทพอย่างเจ้ามักมองว่าสมดุลของโลกเป็นเรื่องของมนุษย์กับปีศาจ ทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเราเหล่าเทพเองก็เป็นหนึ่งในกงล้อนั้นด้วย”
เทพเจ้าสำราญเลิกคิ้ว “เจ้ากำลังหมายความว่า— ”
“หน้าที่ของพวกข้าเหล่าเทพสันติสุขไม่ใช่การสร้างสันติภาพระหว่างพื้นพิภพกับเมืองบาดาล แต่เป็นการสร้างความระหองระแหงให้ทั้งสองเผ่าแคลงใจกัน พวกมันจะได้ไม่มีกำลังพอบุกขึ้นแดนสวรรค์ของพวกเราได้”
“ถ้าเช่นนั้นให้พวกมันเข่นฆ่ากันก็ยิ่งดี จะได้ไม่มีกำลังอันใดเหลือไว้ต่อกรกับพวกเรา” ลูคัสเอ่ยปาก “เรื่องไม่ได้เป็นเช่นนี้หรือ”
ชายผมแดงแค่นเสียงหัวเราะ เขาหยิบลูกแก้ววิเศษบนโต๊ะขึ้นหมุนสามครั้ง พลันปรากฏภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่บนเตียง “ผู้หญิงคนนั้นคือจอมมารนี่” ลูคัสอุทานเสียงค่อย “แล้วผู้ชายคนนั้น— ”
“ผู้ชายคนนั้นคือผู้กล้าของเหล่ามนุษย์” ฮาเดรียนตอบสหายหนุ่มเบาๆ “วันนี้เจ้ามีนัดกับท่านเจ้าสวรรค์ก็ดี ฝากบอกท่านด้วยว่าความพิเรนทร์นั่นได้ชักศึกเข้าบ้านเราเสียแล้ว”
สวัสดี นี่โม่งใหม่ ขอตามเรื่องนี้ด้วยคนเผลอกดเข้ามาอ่านแล้วมัน อมกกกมาก ดีงามม
ชายหนุ่มรู้สึกหนาวกาย เมื่อปรือเปลือกตาขึ้นก็พบว่าผ้าห่มที่เคยคลุมตัวอยู่บัดนี้ได้ถูกหญิงสาวข้างกายรวบเอาไปใช้แต่เพียงผู้เดียวเสียแล้ว
โอมถอนหายใจยาวขณะพยายามแกะผ้าห่มที่ห่อร่างของทีราเลนเซียให้หลุดออก ไม่ทราบแน่ว่านางเป็นคนขี้หนาวหรือกลัวเขาคิดทำมิดีมิร้าย ผ้าห่มผืนนั้นถึงได้ม้วนแน่นแนบกับลำตัวของนางจนยากที่จะชิงคืนมาได้โดยไม่ทำให้ตื่นเสียก่อน
เมื่อเห็นใบหน้าหลับอย่างเป็นสุขของหญิงสาวได้ถนัดตา ชายหนุ่มก็ไม่คิดที่จะทำศึกแย่งผ้าห่มกับนางอีก เขาถอนใจยาวอีกครั้งขณะเดินตรงไปยังบานหน้าต่างที่แง้มเปิดอยู่ ในขณะที่เขาคิดจะปิดมันลงนั้นเอง แสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับดาวหาง ก่อนที่ก้อนกลมประหลาดจะมาหยุดลงตรงหน้าบานหน้าต่างบานนั้นพอดี
ก้อนสีทองพลันสว่างวาบก่อนที่ในอึดใจต่อมามันจะกลายมาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรผู้หนึ่ง ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะคงไม่มีมนุษย์หรือปีศาจตนใดที่มีปีกขนนกสีขาวบริสุทธ์ขนาดกว้างสองเมตรติดอยู่บนหลังเป็นแน่ เทพบุตรผู้นั้นสะบัดผมสีทองของตนอย่างสง่างามก่อนเปล่งวาจา “ขอคารวะท่านผู้กล้า” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ย “นามของข้าคือลูคัส เทพส่งสารแห่งอาณาจักรสวรรค์”
ด้วยการปรากฏตัวที่น่าตื่นตาตื่นใจ รวมทั้งรูปลักษณ์อันงามสง่าของเขาทำให้ลูคัสอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงจะตกตะลึงจนถึงกับต้องคุกเข่าภาวนา แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ผู้กล้าหนุ่มเพียงชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยเสียงเรียบตอบกลับมา “เทพเจ้ามีอะไรที่ต้องการติดต่อกับฉัน”
แม้จะผิดคาดไปบ้างแต่เทพบุตรก็ยังรักษาท่าทีเยือกเย็นเอาไว้ได้ “ท่านผู้กล้า ศึกครั้งนี้เหล่าชาวสวรรค์เห็นว่าพวกปีศาจทำไม่ถูกต้อง” เขาพูดเข้าประเด็นทันที “ท่านเจ้าสวรรค์เรียกประชุมจนได้ข้อยุติแล้ว นับแต่บัดนี้อาณาจักรสวรรค์จะอยู่เคียงข้างพวกท่านในการต่อกรกับเหล่าปีศาจ ขอเพียงท่านร้องขอ เราจะส่งขุนพลสวรรค์ทั้งหกของเราลงมาช่วยเหลือพวกท่านทันที”
“ดีจัง” โอมตอบเสียงเนือย “แล้วอย่างนี้ผลการแข่งขันฟุตบอลจะว่ายังไง”
ประโยคเรียบง่ายประโยคเดียวนั้นทำเอาลูคัสเสียศูนย์ ในขณะที่เขาอ้าปากจะแกล้งทำเป็นไขสือก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างไรก็คงไม่ทันแล้ว จึงเปลี่ยนมาเป็นแก้ต่างแทน “นั่นเป็นความโง่เขลาของพวกเราเหล่าเทพ” เทพบุตรพูด “แต่อย่างไรก็ตามพวกปีศาจก็หวังจะบุกแดนมนุษย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมิใช่หรือ ให้พวกเราได้ไถ่โทษด้วยการช่วยพวกท่านป้องกันดินแดนเถิด”
“เรื่องนั้นก็เป็นแค่ปัญหาชาติพันธุ์ธรรมดา” โอมตอบกลับอย่างไม่ไยดี “ปีศาจกับมนุษย์ก็มีปัญหากันเรื่อยมาอยู่แล้ว แต่ที่มันวุ่นวายแบบนี้ก็เริ่มมาจากไอ้คำทำนายบ้าบอที่พวกท่านกรอกหูเมย์ลินมาไม่ใช่รึยังไง”
ลูคัสกลายเป็นฝ่ายโดนไล่ต้อน “เมย์ลินเป็นนักพยากรณ์ที่มีพรสวรรค์ นางหยั่งรู้ฟ้าดิน” เขาพูด “คำทำนายของนาง—”
“น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้รู้จักเขา” โอมยังคงกล่าวตัดบทอย่างไม่แยแส “เพราะเมย์ลินตัวจริงถูกพวกนายฆ่าตายไปก่อนหน้านี้แล้ว ที่เห็นตะแล๊ดแต๊ดแต๋อยู่ตอนนี้คงไม่พ้นนางฟ้าสักคนหนึ่งที่จำแลงกายลงมาสวมตัวเป็นเธอ จริงไหม”
คราวนี้เทพบุตรถึงขั้นลืมกระพือปีกจนเกือบร่วงลงไปยังสวนด้านล่าง โอมยิ้มให้กับท่าทางนั้นก่อนเอ่ยปากต่อ “พวกนายก็แค่กลัวว่าฉันกับนัวร์จะร่วมมือกันจัดการกับชาวสวรรค์ใช่ไหมล่ะ” เขายิ้ม “จริงๆ ก็ว่าจะทำอยู่หรอกนะ ก็พวกนายน่ะมันน่าหมั่นไส้ชะมัด”
“ท่านผู้กล้าก็รู้ดีว่าการทำสงครามระหว่างสวรรค์ พิภพ และบาดาลจะทำให้โลกใบนี้เสียสมดุลแค่ไหน” ลูคัสที่เพิ่งตั้งสติได้รีบพูดขึ้นทันที “ข้า— ท่านเจ้าสวรรค์มีข้อเสนอ ไม่ว่าท่านมีความปรารถนาใดท่านก็จะได้ตามคำขอทุกประการ”
โอมหัวเราะ “งั้นขอเป็นเจ้าสวรรค์ได้ไหม”
“ท่านผู้กล้าช่างมีอารมณ์ขัน” ลูคัสยิ้มแห้งๆ “ข้าเสนออย่างนี้ดีกว่า เราชาวสวรรค์จะส่งขุนพลมาช่วยท่านรบอย่างที่พูดไป ท่านจะได้ชัยในสงคราม ได้ทั้งหญิงงามและเกียรติยศ รวมไปถึงตำแหน่งกษัตริย์องค์ต่อไปของอาณาจักรแห่งนี้อีกด้วย”
โอมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา “พวกนายนี่มันเป็นเทพจริงๆ อย่างนั้นเหรอ” เขาส่ายหัว “คิดว่าฉันต้องการของแบบนั้นรึยังไงกัน”
“ได้โปรดเถอะท่านผู้กล้า” เทพบุตรหนุ่มร้อง “ชะตาของโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว ท่านคิดจะร่วมมือกับจอมมาร ทำลายล้างโลกนี้ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นคืนแห่งความมืดมิดอนันตกาลหรืออย่างไร”
“จะมืดหรือสว่างก็ช่างหัวมันปะไร” ชายหนุ่มสบถ “อย่างเดียวที่ฉันต้องการน่ะคือกลับบ้านโว้ย พวกนายสามารถช่วยฉันได้รึเปล่าล่ะ”
ลูคัสมีสีหน้าแปลกไปเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม เทพหนุ่มเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาทันที
"ท่านคือผู้กล้าของพวกเรา" เขาพูดเสียงนุ่มนวล "ขอเพียงช่วยเหลือโลกไว้จากภัยมืดได้ ความปราถนาทุกอย่างของท่านก็จะเป็นจริง"
"......" โอมหรี่ตามองคนเบื้องหน้าน้อย ๆ เป็นอย่างที่นัวร์บอกไว้จริงเสียด้วย
เรื่องลวงโลกชัด ๆ
“ฉันก็อยากที่จะเชื่อคำพูดของนายหรอกนะ” โอมหรี่ตามองคู่สนทนา “แต่จอมมาร ผู้ซึ่งเป็นปรปักษ์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังให้เกียรติมาพูดคุยกับฉันด้วยตัวเอง แต่ทำไมเจ้าสวรรค์ของพวกนายถึงได้ส่ง— ขอโทษทีนะ ถึงได้ส่งเทพชั้นล่างๆ อย่างนายมาแทน”
ใบหน้าของลูคัสขึ้นสี เทพชั้นต่ำอันใดจะมีรัศมีพลังสีทองอร่ามห่อหุ้มตัวอย่างที่เขาเป็นอยู่ “ท่านเจ้าสวรรค์มีภารกิจมากมาย” เทพบุตรตอบ “ข้ามาในนามของพระองค์ คำพูดทุกคำของท่านจะถูกบอกต่อแก่ท่านเจ้าสวรรค์โดยไม่ผิดเพี้ยน ท่านผู้กล้าโปรดวางใจ”
โอมถอนหายใจยาว “ตอนนี้พวกเราทุกคนก็ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันทั้งนั้น” ชายหนุ่มพูด “ฉันเองก็อยากกลับบ้านใจจะขาด แต่พวกมนุษย์ไม่มีวันส่งฉันกลับไปก่อนที่จะจัดการพวกปีศาจได้แน่ ฝ่ายจอมมารเองก็ต้องการให้ฉันชักจูงพวกมนุษย์ให้เข้าร่วมกับปีศาจเพื่อบุกสวรรค์ คงไม่ปล่อยให้ฉันกลับไปอีก พอมาตอนนี้พวกนายก็กลัวว่าถ้าฉันกลับไปก่อน พวกมนุษย์จะเสียขวัญจนยอมร่วมมือกับปีศาจ มันน่าตลกสิ้นดีที่ฉันต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่ทั้งๆ ที่คาถาย้ายมิติแค่บทเดียวก็จบเรื่องนี้ได้แล้วแท้ๆ”
“ข้าเข้าใจดีในความลำบากของท่าน” ลูคัสเอ่ยตอบด้วยเสียงทุ้ม “อันที่จริงก็เป็นความผิดของเราชาวสวรรค์เองที่ไม่คิดหน้าคิดหลังเสียก่อน ท่านเจ้าสวรรค์เองก็ทราบดีว่าท่านคงไม่ให้อภัยและคิดร่วมมือกับเราโดยง่าย จึงได้ประทานสิ่งนี้มาให้ท่าน”
เทพบุตรวาดมือขึ้นกลางอากาศ พลันปรากฏจี้ห้อยคอรูปดาวห้าแฉกประดับเพชรเส้นหนึ่งขึ้น “นี่คือจี้เพชรประกายดาว” ลูคัสอธิบาย “มันมีคุณสมบัติที่จะปกป้องผู้สวมใส่จากสิ่งชั่วร้าย หากแม้ปีศาจตนใดบังอาจแตะตัวท่าน ร่างกายของพวกมันจะปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกน้ำร้อนราดก็มิปาน”
ชายหนุ่มรับสร้อยมาถือไว้ในมือขณะที่อีกฝ่ายสะบัดปีกถอยหลังกลับไป “ข้าจะนำคำพูดของท่านกลับไปหารือกับท่านเจ้าสวรรค์อีกครั้ง” เขาพูด “ในเร็ววันนี้เราคงได้พบกันใหม่ ขอโชคดีจงนำทางท่าน”
แสงสีทองสว่างวาบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ร่างหล่อเหล่าจะกลายสภาพไปเป็นก้อนกลม พุ่งย้อนกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นแทบจะพร้อมกับที่แสงแรกของดวงอาทิตย์แตะขอบฟ้า เจ้าหญิงผุดลุกขึ้นทั้งๆ ที่ยังมีผ้าห่มผืนหนาม้วนรัดลำตัวเอาไว้ “ใครน่ะ” ทีราเลนเซียร้อง “เมย์ลินหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายตอบรับ เจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าก็รีบลงจากเตียง จัดแต่งทรงผมให้เป็นทรงอย่างรวดเร็วขณะที่ใช้มืออีกข้างคว้าเอาเสื้อคลุมชุดนอนขึ้นสวมก่อนที่จะออกปากอนุญาตให้คนภายนอกเข้ามาได้
เสียงประตูเปิดปลุกให้ชายหนุ่มตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา เขาขยี้ตาขณะใช้มือยันกายขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล “นี่มันเช้าแล้วเหรอ” โอมปิดปากหาว “อรุณสวัสดิ์ ยอดรัก”
เจ้าหญิงหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ในขณะที่นักพยากรณ์สาวยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ แววตาที่นางจ้องมายังชายหนุ่มนั้นดูแปลกประหลาดนัก “ข้ากลัวท่านทั้งสองหิว จึงได้จัดสำรับอาหารขึ้นมาให้” เมย์ลินพูด หญิงรับใช้เกือบสิบคนถือถาดอาหารตรงเข้ามาจัดวางบนโต๊ะตัวยาว “ทั้งหมดเป็นอาหารที่มีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง พวกท่านต้องรับประทานให้มาก”
โอมหัวเราะลั่นในขณะที่ทีราเลนเซียแยกเขี้ยวใส่ “ข้าไม่หิว ขอบใจเจ้ามาก เมย์ลิน” นางแหว “นอกจากเรื่องอาหารแล้วเจ้ามีเรื่องอื่นจะหารือหรือไม่”
“มีแน่นอนเพคะ” นักพยากรณ์เอ่ยเสียงหวาน “หลังจากที่องค์ราชาทราบเรื่องของท่านผู้กล้า งานแต่งงาน และกองทัพออร์ค พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยที่จะกลับมายังปราสาทก่อนกำหนด คาดว่าคงจะมาถึงภายในสามหรือสี่วันนี้”
“ท่านพ่อจะกลับมาแล้วเช่นนั้นหรือ” เจ้าหญิงทวนคำ “แล้วเรื่องการเตรียมพิธีต้อนรับเล่า”
เมย์ลินก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ข้ามาเพื่อที่จะแจ้งให้องค์ชายทราบว่า หลังมื้ออาหารนี้ให้ท่านเตรียมตัวลงไปซักซ้อมในพิธีการต้อนรับ” นางพูด “สำหรับเจ้าหญิงและเจ้าชายเทลาเรนเซ่นั้นไม่น่าเป็นห่วง แต่ท่านผู้กล้านั้นยังใหม่อยู่มาก คงต้องซักซ้อมเรื่องขั้นตอนในพิธีไม่ให้เกิดผิดพลาดได้”
“องค์ราชางั้นเหรอ” โอมทวนคำหลังจากสำรวจสำรับอาหารเสร็จสิ้น “หมายความว่าเขาเป็นพ่อตาของฉันสินะ”
เมย์ลินพยักหน้ารับ “ใช่เพคะ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็ง ปกครองอาณาจักรแห่งนี้สืบต่อจากพระบิดามากว่ายี่สิบปีแล้ว” นางพูด “พระองค์เข้มงวดกับเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติมาก เพราะฉะนั้นข้าถึงได้มานัดเวลาซักซ้อมกับท่าน”
“ฉันรู้แล้ว ไว้กินข้าวเสร็จจะลงไป” ชายหนุ่มพูดเป็นเชิงไล่ “เธอก็ลงไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยแล้วกัน คงรู้นะว่าเธอมีคำถามมากมายที่ต้องตอบฉัน”
นักพยากรณ์สาวก้มหน้าต่ำ “คำถามของท่านข้าทราบดี” นางพูด “เช่นนั้นข้าขอตัว”
หลังจากเมย์ลินและหญิงรับใช้ล่าถอยออกไปหมดแล้ว โอมก็ค่อยๆ ยันกายขึ้นจากเตียง ตรงไปวักน้ำสะอาดในอ่างหินขึ้นล้างหน้า “นั่งโต๊ะเถอะทีร่า” เขาหันกลับมาบอกหญิงสาวที่ยังยืนนิ่ง “ฉันรู้ว่าเธอหิวมาก ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วก็ลงมือเถอะ”
“ข้าไม่หิวเท่าใด” ทีราเลนเซียตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็ยอมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง “ข้ากำลังคิดถึงเสด็จพ่อ พระองค์ต้องไม่ชอบใจเจ้าแน่”
“ไม่ชอบฉัน” ชายหนุ่มทวนคำขณะหย่อนกายลงบนเก้าอี้ข้างกายหญิงสาว “ไม่แปลกนะ พ่อตากับลูกเขยก็ไม่ถูกกันทั้งจักรวาลนั่นล่ะ ยิ่งฉันเป็นพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าเสียด้วย”
เจ้าหญิงเผลอหลุดหัวเราะออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย “ก็แน่ล่ะ อย่างที่เมย์ลินบอก เสด็จพ่อเคร่งเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติมากๆ” นางใช้ข้อศอกกระทุ้งเอวของอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง “หากเจ้าร่วมโต๊ะอาหารกับคนๆ หนึ่ง ตามมารยาทแล้วเจ้าก็ควรที่จะนั่งด้านตรงกันข้าม มิใช่นั่งเสียชิดข้าอย่างนี้”
“ต้องสนใจด้วยเหรอ” โอมคว้าส้อมคันหนึ่งขึ้นจิ้มไส้กรอกย่างในจาน “ถ้าจะให้ไปนั่งฝั่งตรงข้าม แล้วฉันจะโอบเอวพร้อมป้อนอาหารภรรยาสุดที่รักได้อย่างไร”
ทีราเลนเซียถลึงตาคู่สวยใส่ “เลิกเรียกข้าด้วยสรรพนามชวนอาเจียนเช่นนั้นเถอะ” นางพูด “และที่เจ้าถืออยู่นั่นคือส้อมสลัด เจ้าควรใช้ส้อมอีกคันพร้อมมีดตัดแบ่งให้เป็นชิ้นพอคำก่อนรับประทาน”
โอมส่ายศีรษะ “วุ่นวายเป็นบ้า” เขาบ่น แต่ก็ยอมทำตามวิธีของหญิงสาว หั่นไส้กรอกชิ้นโตให้เป็นท่อนพอคำ “เอาล่ะทีร่า อ้าปากสิ”
“เจ้าเอาเถอะ” นางพูด หยิบส้อมของตนขึ้นมาบ้าง “ข้าจัดการส่วนของข้าเองได้”
เจ้าหญิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าเอวบางของนางกำลังถูกมือใหญ่เกี่ยวกระหวัด “กินหน่อยเถอะ ทีร่า” โอมพูดเบาๆ ขณะโน้มใบหน้าลงใกล้ “ไหนๆ ฉันก็ยอมหั่นตามที่เธอบอกแล้วนี่”
ทีราเลนเซียเผยสีหน้าอ่อนใจด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึกพิเรนทร์อะไรขึ้นมาได้อีก หญิงสาวตัดสินใจงับไส้กรอกที่ถูกจ่อจนเกือบจะสัมผัสกับริมฝีปาก ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นนางยอมเคี้ยว “อร่อยไหม” เขาถาม
เจ้าหญิงยิ้มออกมาไม่ตอบคำ รอจนกลืนอาหารในปากลงไปแล้วจึงเอ่ยปาก “เจ้าจะถามไปเพื่อเหตุใด” น้ำเสียงนั้นฟังดูอารมณ์ดีแม้จะมีมือของอีกฝ่ายสัมผัสอยู่ที่เอว “เจ้าไม่ใช่คนปรุงเสียหน่อย จะอร่อยหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
โอมยิ้ม “ถ้าอร่อยฉันจะได้ป้อนเธออีกไง”
ดวงตีสีม่วงถลึงใส่ คราวนี้ดูแง่งอนมากกว่าที่จะโกรธเคือง “มือซ้ายของเจ้าโอบเอวข้าอยู่ ไฉนเลยจะมีมือจับส้อมเสียบไส้กรอกอีก”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ เขาปล่อยมือจากเอวของหญิงสาวก่อนที่จะไพล่มันข้ามขึ้นไปจับข้อมือซ้ายของอีกฝ่ายไว้ “ก็ใช้มือนี้จับไง” เขาพูดพร้อมบังคับให้มือที่ถือส้อมของหญิงสาวเสียบไส้กรอก ก่อนใช้มีดในมือขวาของตนหั่น “เอาล่ะเรียบร้อย ทีนี้ก็อ้าปาก”
แม้เจ้าหญิงจะส่งสายตาขุ่นเคืองใส่แต่ก็ยอมอ้าปากตามคำสั่งของอีกฝ่ายโดยไม่เอ่ยปัด แต่ขณะที่นางกำลังจะงับชิ้นไส้กรอก เสียงกระแทกส้นเท้าดังโครมครามก็ดังสนั่นมาตามบันได ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดผางออกโดยไม่มีการเอ่ยขอ เจ้าชายเทลาเรนเซ่ก้าวอาดๆ เข้ามาในห้อง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความโกรธมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นภาพของคู่ชายหญิงตรงหน้า “เจ้าตัวชั่วช้า” เขาร้อง “เอามือโสโครกของเจ้าออกไปจากตัวของพี่สาวข้าเดี๋ยวนี้”
"นี่! เขียนถึงไหนแล้ว" หญิงสาวผู้มีฐานะเป็นบก.ของชาวหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งกล่าวถาม "ใกล้เดดไลน์แล้วนะคุณนักเขียน เมื่อไหร่จะส่งตัวเต็มให้สักที"
นักเขียนหนุ่มจ้องมองหญิงสาวใต้ชุดสูทรัดรูปสีดำเข้ม แล้วก้มหน้าลงพิมพ์งานเขียนของตนในโน้ตบุ๊คต่อ "พี่มุขอย่าเร่งมากสิครับ ผมก็เขียนเต็มที่แล้วนะ แล้วไหนตอนแรกบอกว่าวันนี้แค่จะมาเช็คความคืบหน้าไง..."
"ยังไงก็เถอะนิยายเรื่อง 'ผู้กล้าวายร้ายทะลุมิติ' เนี่ย ถ้าไม่รีบเข็นออกไปพิมพ์ขายตอนนี้มันจะหมดกระแสเอานะตะไคร้" ไข่มุกเริ่มบ่นเสียงอิดออด เธอกอดอดแน่น จนหน้าอกเริ่มล้นหลามออกนอกแขน "ยังไงวันนี้ฉันก็ขอตรวจตอนล่าสุดก่อนละกัน"
"ครับพี่ๆ" ตะไคร้ตอบรับลนลาน พลางหมุนโน้ตบุ้คเครื่องโตไปทางอีกฝ่าย นั่งลุ้นอย่างจดจ่อเมื่อเห็นเธอเริ่มกวาดสายตาอ่านจริงจัง จนเขาใจเต้นตุ๊บๆ
เจ้าหญิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่น้องชายของตนโผล่เข้ามาอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางพยายามจะผุดลุกขึ้น แต่ก็ถูกมือใหญ่ที่โอบรอบเอวรั้งเอาไว้
“นายขึ้นมามีธุระอะไร” น้ำเสียงของโอมฟังดูไม่สบอารมณ์ “แล้วพวกทหารยามหายหัวไปไหนหมด ทำไมถึงปล่อยให้เข้ามาเงียบๆ ได้”
“ทหารยามพวกนั้นเป็นตัวอะไรถึงคิดจะขวางทางข้า” เทลาเรนเซ่กล่าวอย่างโอหัง “ข้ามาตามพี่สาวของข้าไปร่วมโต๊ะอาหารเช้า คลายมือโสโครกของเจ้าออกได้แล้ว”
“พี่สาวของนายก็กำลังกินข้าวเช้าอยู่นี่ไง” โอมโต้ตอบอย่างไม่กลัวเกรง “ไหนว่าเป็นผู้ดีมีมารยาทกัน ทำไมถึงได้ทรามขนาดมาขัดจังหวะคู่รักข้าวใหม่ปลามันแบบนี้”
“นี่เจ้า” เจ้าชายหนุ่มถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล มือข้างถนัดเลื่อนไปจับด้ามดาบที่ข้างเอว “คนต่ำช้า คุกเข่าขอโทษข้าเดี๋ยวนี้”
อันที่จริงแล้วโอมก็ไม่ได้คิดอยากจะรับประทานอาหารกับเจ้าหญิงเพียงลำพังในเชิงชู้สาว เพียงแค่ต้องการสนทนาถึงเสด็จพ่อของนางเท่านั้น หากแม้เจ้าชายผู้นี้ขึ้นมาเชิญนางลงไปดีๆ เขาก็พร้อมที่จะยอมยกโทษให้กับเรื่องแย่ๆ ที่ผ่านมา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีไม่ยอมลดราวาศอกเช่นนี้ ต่อให้เอาช้างมาลาก ชายหนุ่มก็ไม่มีวันปล่อยมือจากหญิงสาวเป็นอันขาด
“พวกเจ้าน่ะ พอกันเสียที”
ดูเหมือนว่าน้ำเสียงของเจ้าหญิงจะมีผลต่อโอมมากกว่าแรงช้างลาก ชายหนุ่มคลายมือออกจากข้างเอวของหญิงสาวที่ก้าวเดินอย่างแช่มช้าตรงไปยังน้องชายที่กำลังทำท่าจะกระชากดาบออกจากฝัก “เราไปกันเถอะ เจ้าอย่าได้มีเรื่องกันที่นี่เลย”
เจ้าชายเทลาเรนเซ่ทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมปล่อยมือจากด้ามดาบตามคำของพี่สาว ก่อนที่จะยอมให้อีกฝ่ายลากแขนเดินออกจากห้องไปอย่างว่าง่าย ในขณะที่โอมทำได้แต่นั่งมองคนทั้งคู่ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูไป
เขาไม่ชอบน้ำเสียงที่เพิ่งได้ยิน มันเป็นเสียงพูดขณะกลั้นน้ำตาของเอมที่เขาเคยได้ยินเมื่อหลายปีก่อน โอมรู้ดีว่าเพื่อนสาวของเขาไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา การที่จะบีบให้เธอแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาได้นั้นต้องเป็นอะไรที่จี้ใจดำของเธอจริงๆ และทีราเลนเซียเองก็คงเป็นแบบเดียวกัน
ปมของเอมคือการที่ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท อาจเป็นเพราะเธอหน้าตาดีเกินกว่าใครในกลุ่ม เลยมักถูกตามเอาใจจากชายหนุ่มมากหน้าหลายตาจนอาจทำให้ใครหลายๆ คนอิจฉา ครั้งหนึ่งเอมเคยถูกเพื่อนที่คิดว่าสนิทส่งกรรไกรมาให้เป็นของขวัญวันเกิด หลังจากที่ผู้ชายที่เพื่อนคนนั้นชอบเข้ามาจีบเธอ
โอมมองตามเจ้าหญิงที่กำลังจะหายลับไปจากสายตา ปมของเจ้าหล่อนก็คงไม่พ้นเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว กอปรกับภาระหน้าที่ต่างๆ ที่ราชนิกุลอย่างเธอต้องแบกรับเอาไว้ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ตกลงปลงใจยอมแต่งงานกับเขาตามคำทำนายบ้าๆ เช่นนี้
ดวงตาสีม่วงคู่นั้นเหลือบกลับเข้ามาในห้อง นัยน์ตาของเจ้าหล่อนฉายแววประหลาดออกมาเมื่อประสานสายตาเข้ากับโอมที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ก่อนที่เทลาเรนเซ่จะกระตุกแขนพี่สาวให้ก้าวลงบันไดหายลับไป
เมย์ลินยืนรออยู่แล้วเมื่อโอมปรากฏตัวขึ้นที่ท้องพระโรง หญิงสาวโปรยยิ้มหยาดเยิ้มขณะย่อกายถอนสายบัวทำความเคารพ “อาหารเช้าเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางที่ดูกระเซ้าทำให้ชายหนุ่มเข้าใจได้ว่านางคงทราบเรื่องที่เทลาเรนเซ่ขึ้นไปอาละวาดแล้ว โอมเลิกคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ขณะที่เอ่ยปาก “จริงๆแล้วเธอเป็นใคร”
“ข้าคือเทพธิดานามว่าอาเฟรเนียส” นักพยากรณ์สาวตอบโดยไม่ปิดบัง “นับแต่นี้ข้าได้รับคำบัญชาจากท่านเจ้าสวรรค์ให้ช่วยท่านในทุกเรื่อง มีสิ่งใดขาดเหลือโปรดบอกข้า”
“ยกเว้นเรื่องกลับบ้าน”
เทพธิดาสาวหัวเราะคิก “ใช่เพคะ องค์ชาย” นางยิ้ม “หรือจะให้ข้าเรียกท่านว่าผู้กล้าดี”
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะอย่างหัวเสีย “เรียกฉันว่าโอมเฉยๆ ก็พอ” เขาพูด “เอาล่ะ มาเข้าเรื่องเถอะ เธอมีอะไรจะให้ฉันทำ”
“ข้าต้องมาช่วยเตรียมตัวท่านให้พร้อมรับเสด็จองค์ราชา” อาเฟรเนียสพูด “อันดับแรก คำพูดของท่านช่างแสลงหูเสียเหลือเกิน ต่อจากนี้โปรดเรียกตัวเองว่า ‘ข้า’ แทนตัวผู้ต่ำศักดิ์กว่าว่า ‘ท่าน’ หรือ ‘พระองค์’ ในกรณีที่พูดกับองค์ราชา”
“เรื่องสำนวนลิเกน่ะฉันพูดได้—”
“ต้องเป็น ’ข้า’ พูดได้ สิเพคะ”
“เออ ก็ได้ ข้าพูดได้” โอมยอมแก้ตามที่อีกฝ่ายแย้ง “มาพูดถึงพิธีกันต่อเถอะ หลังจากที่พระราชามาถึงแล้วๆ ไงต่อ”
“องค์ราชาจะเสด็จลงจากม้าที่หน้าประตูปราสาท เจ้าหญิงทีราเลนเซียและเจ้าชายเทลาเรนเซ่จะรอรับเสด็จพ่อของพวกเขาอยู่ที่นั่น” หญิงสาวบรรยาย “ส่วนท่านจะรออยู่ตรงหน้าบัลลังก์ ในท้องพระโรงแห่งนี้”
ชายหนุ่มเหลียวไปมองบัลลังก์ไม้ประดับอัญมณีที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง “ให้ฉัน— ให้ข้ายืนตรงนี้สินะ” เขาถาม “แล้วยังไงต่อ”
“องค์ราชาจะเดินตรงเข้ามา ขุนนางที่ตั้งแถวรออยู่ทั้งสองข้างจะโค้งคำนับเมื่อพระองค์เดินผ่าน” อาเฟรเนียสพูดต่อ “แต่ท่านไม่ต้องรีบคำนับตามคนพวกนั้น รอจนกระทั่งองค์ราชามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าท่านก่อนแล้วจึงค่อยโค้งคำนับ”
ไม่พูดเปล่า เทพธิดาในคราบนักพยากรณ์ยกมือขวาขึ้นแนบอกซ้าย ในขณะที่ค่อยๆ ค้อมศีรษะลงเป็นตัวอย่าง “แบบนี้คือการคำนับเพคะ” นางพูด “ท่านคงจะเคยถูกขุนนางในปราสาทคำนับทำความเคารพอยู่บ้าง วิธีที่เหมาะสมสำหรับท่านคือการโค้งต่ำๆ ตอบ หรืออย่างน้อยก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก็ยังดี”
ชายหนุ่มลองทำตามด้วยการยกมือขวาขึ้นแตะที่หัวใจพร้อมก้มศีรษะลง “แบบนี้น่ะเหรอ” โอมถามเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “ข้าทำถูกหรือเปล่า”
เป็นฝ่ายหญิงสาวที่ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา “พอดูได้เพคะ” นางพูด “แต่วันนี้ยังมีเวลาเหลืออีกมาก เราซักซ้อมกันอีกสักหลายรอบก็คงดี”
กูอ่านแล้วโคตรเพลินจนไม่อยากแต่งต่อ กูติดตามอยู่นะ
บนโต๊ะอาหารตัวยาวเรียงรายไปด้วยอาหารหลายสิบชนิดที่ถูกปรุงขึ้นอย่างประณีต ภาพนั้นช่างขัดกับจำนวนผู้ร่วมรับประทานอาหารที่มีเพียงแค่เจ้าหญิงและเจ้าชายผู้สูงศักดิ์แห่งราชสกุลเอสเปอร์รัญญ่าเท่านั้น
สีหน้าของเทลาเรนเซ่ยังคงขุ่นมัว เขาใช้ส้อมแทงใส่ไส้กรอกชิ้นหนึ่งราวกับแค้นเคืองกันมาแต่ปางก่อน “เจ้าคนชั้นต่ำนั่นมันช่างโอหังยิ่งนัก” เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “หากไม่ติดว่ามันเป็นผู้กล้าตามคำทำนายล่ะก็ ข้าจะสั่งประหารมันเสียเดี๋ยวนั้นเลย”
เจ้าหญิงยังคงเคี้ยวอาหารต่อไปอย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าอันเรียบเฉย เมื่อกลืนอาหารคำนั้นลงไปแล้วจึงค่อยเปิดปากพูด “น้องอย่าย้อนความอีกเลย” น้ำเสียงของทีราเลนเซียฟังดูไม่ยินดียินร้าย “ยังมีเรื่องอีกมากที่จะต้องจัดเตรียมมิใช่หรือ”
เทลาเรนเซ่พ่นลมหายใจยาว “บ่ายนี้ข้ามีนัดลงตรวจกองทัพ” เขาพูดก่อนหันไปหาอัศวินผมทองที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลัง “พัลพาทีน เรื่องที่ข้าสั่งเจ้าไว้เมื่อคืนดำเนินการไปถึงไหนแล้ว”
อัศวินขาวชิดเท้าตรง ตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ “กระหม่อมได้จัดเตรียมม้าพันธุ์ดีไว้ฝูงหนึ่งตามคำสั่งแล้วพะยะค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างพึงใจ ในขณะที่พี่สาวของเขาเผยสีหน้าฉงนออกมา “ม้าพันธุ์ดีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถาม “น้องจะออกทำยุทธนาวี ไฉนถึงต้องการม้า”
เทลาเรนเซ่ยิ้มกริ่ม “วิธีที่ดีที่สุดที่จะสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กองทัพคือการจัดงานประลองยุทธ์” เขาพูดพร้อมยกถ้วยใส่เหล้าองุ่นขึ้นดื่ม “ข้าจะลงแข่งขันทั้งด้านเพลงอาวุธ ขี่ม้า และยิงธนู ย่อมแน่ว่าผู้ชนะสมควรจะเป็นข้าซึ่งเป็นแม่ทัพ เช่นนี้แล้วความภักดีของเหล่าทหารจะไปไหนเสีย”
เจ้าหญิงพยักหน้ารับ “เรื่องการทหารพี่จะไม่ขอยุ่ง” นางพูด “แต่เสด็จพ่อจะกลับมาในไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว น้องได้คิดเผื่อถึงเรื่องนี้ไว้หรือไม่”
“ข้าไม่เห็นว่าเรื่องของเสด็จพ่อจะมีอะไรน่าห่วง” ผู้เป็นน้องชายตอบกลับแทบจะในทันที “คนที่ควรกังวลน่ะคือเจ้าคนชั้นต่ำนั่นเสียมากกว่า ท่านพ่อต้องไม่ชอบใจมันอย่างมากแน่ ถึงจะต้องฝืนยอมรับมันในฐานะผู้กล้าตามคำทำนายก็ตาม”
“แน่ทีเดียวขอรับ ข้าไม่เห็นว่าเจ้านั่นจะมีอะไรพิเศษ” อัศวินขาวอดพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาไม่ได้ “ดูท่าแล้วไม่เหมือนคนมีฝีมืออันใด นอกจากใช้ความต่ำช้าปลิ้นปล้อนหากินไปวันๆ เท่านั้น
เจ้าชายหนุ่มตบโต๊ะหัวเราะ ไม่ได้รู้สึกว่าการที่อีกฝ่ายเอ่ยปากพูดในสิ่งที่ตนไม่ได้ถามในคราวนี้นั้นจะเป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด นั่นผิดกับสีหน้าของทีราเลนเซีย เจ้าหญิงนิ่วหน้าขณะหันสายตาคู่สวยของนางไปยังอัศวินผู้นั้น “ท่านควรระวังคำพูดเสียหน่อย” เจ้าหล่อนเอ่ย “ไม่ว่าจะอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นเจ้าชายคนหนึ่งของอาณาจักรเรา ซ้ำเขายังเป็นผู้กล้าตามคำทำนายอีก คงไม่ใช่คนไม่ได้เรื่องถึงขนาดที่ท่านว่าแน่”
แม้จะไม่พอใจที่ได้ยินคำพูดนั้นแต่ด้วยศักดิ์แล้วพัลพาทีนก็จำต้องก้มศีรษะขอโทษที่ล่วงเกิน แต่สิ่งที่ทีราเลนเซียเพิ่งพูดไม่ได้มีความหมายอะไรกับพระอนุชาของนาง เจ้าชายหนุ่มจ้องหน้าพี่สาวเขม็งก่อนแค่นเสียงออกมา “นี่มันอะไรกัน”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เจ้าหญิงถามกลับ “พี่ก็พูดไปตามความจริงเท่านั้น ฐานะของเขาตอนนี้เทียบเท่าพวกเราทั้งสองคน จะปล่อยให้คนอื่นมาพูดไม่เหมาะสมเช่นนี้ได้หรือ”
“ถ้ามันเป็นเรื่องจริงแล้วไยต้องปกปิดมัน”
“เจ้าแน่ใจแค่ไหนกันว่านั่นเป็นเรื่องจริง”
เทลาเรนเซ่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะกระดกมุมปากยิ้ม “ข้าคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้แล้ว” เจ้าชายพูด “ในงานประลองยุทธ์ เจ้าคนชั้นต่ำนั่นจะต้องร่วมการประลองด้วย ถือเสียว่าเป็นการเปิดตัวให้ประชาชนและพวกเราได้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วนั้นฝีมือของมันเป็นเช่นไร”
ทีราเลนเซียชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ในขณะที่พระอนุชาของนางยังคงพูดต่อไปด้วยรอยยิ้มเย็น “เสด็จพ่อเองก็คงอยากรู้ถึงฝีมือของมันเช่นกัน ท่านต้องไม่คัดค้านแน่” เขาวางแผนต่อไปเป็นฉากๆ “ต่อให้มันเก่งอย่างไรสุดท้ายก็จำต้องแพ้ให้แก่ข้าในรอบชิงชนะเลิศ แต่เชื่อเถอะ มันไม่มีทางมาถึงรอบนั้นได้หรอก”
หายไปไหนกันแล้วอะพวกมึง รออยู่นะ
"ไม่ไหวๆ ยิ่งเขียนยิ่งหัวตื้อไปหมดเลย" ตะไคร้บ่นกับตัวเองขณะนั่งพิมพ์นิยายอยู่ในห้องส่วนตัวหลังกลับถึงห้อง
"ต่อไปก็..." เขายกมือขึ้นเตรียมกดแป้นพิมพ์เว้นบรรทัด
ทันใดนั้นเองเมื่อเขาได้นิ้วได้สัมผัสลงไปบนปุ่ม 'enter' แสงสว่างวาบได้พลันส่องขึ้นทะลุออกจากหน้าจอ
"เวรแล้ว!" ตะไคร้ร้องตกใจ พร้อมยกแขนทั้งสองขึ้นบังหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
หลังรู้สึกได้ว่าแสงนั้นจางหายไป และตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะบาดเจ็บอะไรเลย จึงค่อยๆ ยกแขนออกแล้วลอบมองตรงหน้า "ไม่ระเบิด?" แต่ว่าภาพตรงหน้านั้นกลับยิ่งทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าเดิม
มันไม่ใช่โน้คบุ้คบ้านๆ ในห้องเก่าๆ อย่างที่เขาเห็นเมื่อไม่นานนี้ แต่มันกลับเป็นดวงตากลมสีม่วงงามที่กำลังประสานตาเข้ากับเขาอยู่ ทั้งยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รินรดใบหน้า กลิ่มหอมหวานคล้ายเช่นดอกไม้ และสัมผัสนุ่มนิ่มบนริมฝีปาก!
"เฮ้ย" ตะไคร้ร้องเสียงหลง พร้อมถอนใบหน้ากลับ "เธอเป็นใคร ทำไมฉันถึง..."
หญิงสาวคนนั้นนั่งหน้าชาชะงัก เธอเผยอริฝีปากขึ้น ยกมือผลักเข้าเต็มแรงที่อกตะไคร้จนเขาเซล้มลงพื้น "เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงถึงโผล่มานั่งอยู่บนตักข้า...ไม่สิ ควรถามว่าเจ้ามานั่งอยู่บนตักข้าได้ยังไงมากกว่า!"
"เดี๋ยวสิๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน เธอเป็นใคร แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่กลางมื้ออาหารสุดหรูได้ล่ะ" คะไคร้หันรีมองชายอีกคนที่จ้องเขาด้วยใบหน้าตื่นวิตกอยู่
"อยากรู้มากใช่มั้ย?" เธอคนนั้นถามพร้อมลุกขึ้นยืน "ในนามของทีราเลนเซีย ฟราดิก้า เอสเปอร์รัญญ่า ข้าขอทำการจับกุมเจ้า ทหาร!"
"ทีราเลนเซีย?" ตะไคร้เบิกตาโต ขยับแว่นจ้องมองเธออย่างไม่อยากเชื่อ "ตัวละครในนิยายของฉันนี่"
"เดี๋ยวก่อนท่านพี่!" ชายคนที่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันสั่งห้ามขัดจังหวะ "ข้ารู้สึกเหมือนมันคล้ายกับเหตุการณ์ที่ท่านพี่เล่าให้ฟัง"
"เหตุการณ์ไหนกันน้องข้า" ทีราเลนเซียพยายามสะกดกั้นอารมณ์ตัวเองถาม
"ตอนที่ท่านพี่ไปอัญเชิญผู้กล้ายังไงล่ะ" ชายคนนั้นเผยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความตกใจยิ่งกว่าเดิม "หรือเขาจะเป็นผู้กล้า"
"ผู้กล้า" ทีราเลนเซียทวนคำเสียงหน่าย "ชักเริ่มขยะแขยงคำนี้เต็มทนแล้วสิ"
หายเงี่ยนเลย 55555
คนพวกนี้มีพิธีรีตองมากกว่าที่ชายหนุ่มคิด เขาต้องจำตำแหน่งต่างๆ ของขุนนางในปราสาทกว่าร้อยตำแหน่ง แม้กระทั่งการที่เขาจะขอพักดื่มน้ำ นักพยากรณ์กำมะลอผู้นี้ยังไม่วายหาทางสอนเขาถึงการจับถ้วยแก้วแต่ละประเภทให้ถูกต้อง
“จะให้ฉัน— ให้ข้าเรียนรู้อะไรอีกล่ะ” โอมพูดอย่างหัวเสีย ขณะวางแก้วน้ำในมือลงด้วยท่วงท่าที่ถูกสอน “เราเรียนวิธีก้าวเท้า วิธีก้มหัวผ่านประตูมาแล้วนี่ ต่อไปจะเป็นอะไร วิธีเดินลงบันไดอย่างงั้นเหรอ”
เทพธิดาสาวหัวเราะเป็นเชิงพึงใจ “องค์ชายก็ประชดหม่อมฉันเกินไป” เจ้าหล่อนทำเสียงฉอเลาะ “วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้เพคะ ท่านเรียนรู้เร็วทีเดียว พรุ่งนี้ซักซ้อมกันอีกสักรอบสองรอบก็คงใช้ได้แล้ว”
“พรุ่งนี้อีกเหรอ” ชายหนุ่มกลอกตา “เอาเถอะ ถ้ามันจะช่วยให้ฉัน— ให้ข้ากลับบ้านได้เร็วขึ้นล่ะก็นะ”
อาเฟรเนียสย่นจมูก “ท่านก็พูดแต่เรื่องกลับบ้าน” นางเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงตัดพ้อ “องค์หญิงไม่งดงามพอหรือไร หรือท่านไม่ได้รับความสะดวกอื่นใด ท่านบอกกล่าวกับข้าได้ตลอดเวลา”
“อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรา” โอมเอ่ย สีหน้าบึ้งตึง “ที่โลกของฉันเรื่องมันกำลังไปได้สวย ฉันได้ทุนไปเรียนต่อนอก พ่อแม่ก็กำลังดีใจ เพื่อนๆ ก็กำลังฉลอง— เอาเถอะ ใช่ว่าเมืองนอกจะไปยากกว่าโลกต่างมิติเสียเมื่อไหร่”
นักพยากรณ์สาวหัวเราะเบาๆ ก่อนขอตัวจากไป ปล่อยให้โอมได้เดินสำรวจปราสาทอย่างอิสระเป็นครั้งแรกนับแต่ถูกส่งมายังโลกแห่งนี้
เขาก้าวเท้าไปตามโถงทางเดิน ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ตามจุดโค้งคำนับให้เขาทันทีเมื่อเห็นหน้า ชายหนุ่มเองก็พยักหน้าตอบอย่างสุขุมเมื่อเดินผ่านเช่นกัน ในที่สุดขาของเขาก็นำร่างมาสู่อุทยานแห่งหนึ่ง กลิ่นหอมของปวงบุปผาและเสียงเจื้อยแจ้วของนกน้อยเรียกให้เขาหยุดยืนอยู่กับที่
แต่อารมณ์สุนทรีย์ของชายหนุ่มก็คงอยู่ได้ไม่นาน เสียงร้องโวยวายจากทางด้านหลังดังขึ้นกลบเสียงสกุณา โอมขมวดคิ้วเมื่อหลุดจากภวังค์ก่อนหันกายกลับไปมอง เห็นเป็นทหารองครักษ์ร่างกำยำกลุ่มหนึ่งกำลังหิ้วปีกชายแต่งตัวประหลาดไปตามทางเดิน
ขณะที่โอมกำลังจะชักสายตากลับ ร่างของเขาก็พลันสะท้านขึ้น ชายหนุ่มเพ่งสายตาไปยังนักโทษที่กำลังถูกหิ้วปีกผู้นั้นอีกครั้ง ที่เห็นแวบแรกว่าแต่งตัวประหลาดนั่นคงเป็นเพราะเขาใช้คนในโลกนี้เป็นมาตรฐาน แต่จริงๆ แล้วไอ้หมอนั่นมันใส่เสื้อยืดกับกางเกงบอลอยู่ไม่ใช่หรือ
โอมคิดจะร้องเรียกแต่ขบวนนั้นก็เดินลับมุมไปเสียแล้ว ในขณะที่จะวิ่งตามก็พลันคิดได้ว่าเป็นกริยาที่ไม่เหมาะสมไปเสียอีก เขาร้องด่าธรรมเนียมปฏิบัติพวกนั้นอยู่ในใจขณะที่ก้าวเดินไปตามทางอย่างสุขุม เดาได้ไม่ยากว่านักโทษคนนั้นคงจะถูกส่งไปยังที่ๆ เหมาะสม— คุกใต้ดิน
คุกใต้ดินไม่ใช่ที่น่าอภิรมย์อย่างยิ่งไม่ว่าจะสำหรับใครก็ตาม แต่ถ้าต้องการรู้คำตอบ เขาก็ต้องเข้าไป โอมเดินตรงไปยังปากทางเข้า ทหารที่เฝ้ายามอยู่รีบทำความเคารพเขาทันที “เมื่อครู่มีนักโทษถูกพาตัวเข้าไปใช่หรือไม่” เขาถาม “มันเป็นใคร”
“อ่า เรื่องนั้นข้า— เอ๊ย กระหม่อมก็ไม่ทราบพะยะค่ะองค์ชาย” ทหารผู้นั่นละล่ำละลักตอบ “แต่องค์หญิงมีคำสั่งว่าห้ามใคร— ได้พะยะค่ะ กระหม่อมจะเปิดให้เข้าไปเดี๋ยวนี้”
โอมรับตะเกียงมาถือไว้ในมือขณะที่ก้าวเท้าลงไปยังคุกใต้ดิน กลิ่นสาบหนูอันคุ้นเคยโชยแตะจมูกเขาทันที ชายหนุ่มนิ่วหน้าขณะก้าวตรงไป พยายามยกเท้าหลบไม่ให้เผลอเหยียบขี้หนูหรือเมือกโคลน
เขาสวนทางเข้ากับกลุ่มทหารที่นำนักโทษเข้ามาส่งพอดี แค่เห็นหน้าเพียงพริบตาเดียวโอมก็สามารถจดจำได้ว่า หนึ่งในนั้นเป็นทหารคนสนิทของพัลพาทีนที่เคยเฝ้าดูเขาถูกซ้อม “ท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ทหารผู้นั้นร้อง “เจ้าหญิงมีรับสั่งไม่ให้ใครเข้ามายังที่แห่งนี้”
“ข้ามาเยี่ยมนักโทษ” โอมตอบเสียงเย็น “เจ้าไปรายงานนางเถิดว่าข้าเข้ามา หากมีเรื่องอันใดให้มาบอกกับข้าได้โดยตรง”
แม้ทหารนายนั้นจะดูไม่พอใจ แต่อย่างไรก็ยังข่มสติเอาไว้ได้ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรายงานให้ท่านอัศวินขาวทราบตามขั้นตอน” เขาพูด “เชิญท่านเถอะ”
โอมพยักหน้ารับคำนั้นก่อนก้าวเดินต่อไป พวกทหารที่เหลือดูไม่แข็งกร้าวเท่าชายคนแรก พวกเขาก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงทำความเคารพเมื่อผู้กล้าเดินผ่านก่อนเดินอย่างเป็นระเบียบกลับขึ้นไปด้านบน
เสียงร้องโวยวายช่วยนำทางให้ชายหนุ่มมาถึงจุดหมายได้ไม่ยาก ใช่อย่างที่เขาคิด นักโทษรายนั้นสวมเสื้อยืดกับกางเกงบอลอยู่จริงๆ ชายในห้องกรงเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนก่อนเบิกตากว้าง “นายคือโอมอย่างนั้นเหรอ”
แม้โอมจะเดาได้ไม่ยากว่าชายตรงหน้าคงเป็นคนที่ข้ามมิติมาเหมือนกับเขา แต่ก็ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะรู้ชื่อของเขาด้วย “นายเป็นใคร” เขาถาม “รู้จักฉันได้ยังไง”
“ก็ฉันเป็นคนเขียนเรื่องบ้าๆ นี่ขึ้นมาน่ะสิ” นักโทษร้องอย่างสติแตก “โอม ขอร้องล่ะ เอาฉันออกไปจากที่บ้าๆ แบบนี้ที”
“ใจเย็นๆ ฉันช่วยนายแน่” โอมพูดปลอบเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มจะพูดไม่เป็นภาษาคน “นายว่ายังไงนะ นายเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างงั้นเหรอ มันหมายความว่ายังไงกัน”
“ก็หมายความว่าฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมายังไงเล่า” ฝ่ายนั้นยังไม่เลิกสติแตก “เรื่องของโลกนี้ จอมมาร เจ้าหญิง ผู้กล้าจากต่างมิติ ฉันเขียนมันขึ้นมาเอง”
โอมนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก็จะเผยอยิ้มน้อยๆ ออกมา “สรุปว่าที่นี่ไม่ใช่โลกต่างมิติ แต่เป็นโลกในนิยายที่นายเขียนอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ จะพูดแบบนั้นก็ได้” นักโทษร้อง ดูสงบจิตใจลงได้บ้างแล้ว “แต่มันก็ไม่ถูกเสียทีเดียว พูดให้ถูกจริงๆคือนี่เป็นโลกต่างมิติของนาย แต่เป็นโลกในนิยายของฉัน”
ผู้กล้าหนุ่มขมวดคิ้ว “นายพูดอะไร” เขาถาม “โลกต่างมิติของฉัน ในนิยายของนาย”
“ฉันสร้างนายขึ้นมา โอม นายเป็นตัวละครตัวหนึ่งในนิยายของฉัน” นักโทษพูดรัวเร็ว “ฉันชื่อตะไคร้ เข้าใจไหม ฉันสร้างนายขึ้นมา”
โอมเลิกคิ้ว มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าอีกฝ่ายกำลังสับสนอะไรบางอย่าง “แล้วเรื่องมันเป็นยังไง ฉันหมายความถึงตอนจบน่ะ”
“ตอนจบนายจะรู้ว่าตัวเองไม่มีอยู่จริง โลกของนายก็ไม่มีอยู่จริงเหมือนกัน หลังจากปราบจอมมารได้แล้วร่างของนายก็จะหายไป เจ้าหญิงพยายามวิ่งเข้ามากอดนายแต่ก็กอดไม่ได้ จากนั้นนาย— ”
“กระโดดลงทะเลเหรอ ฟังดูเหมือนตอนจบไฟนอลสิบนะ”
“ใครสนวะ ขายได้ก็พอแล้วน่า”
โอมหลุดหัวเราะออกมาขณะสาวเท้าถอยหลัง “เอาเป็นว่าฉันจะไปบอกให้เจ้าหญิงปล่อยตัวนายออกมาก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพูด “ระหว่างนี้นายก็ตั้งสมาธิดีๆ ทำใจให้สงบ เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีก”
“ฉันไม่ได้บ้านะเฮ้ย” ตะไคร้ร้องสุดเสียงเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันหลังกลับ “กลับมาก่อน อย่าทิ้งฉันไว้ในนี้คนเดียว ฉันกลัวความมืด”
โอมเอียงศีรษะกลับมา “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ฉันไม่มีกุญแจสักหน่อย” เขายิ้ม “อดทนหน่อยน่าเพื่อน ฉันไม่ปล่อยให้นายตายในนี้หรอก”
เจ้าหญิงยืนรอเขาอยู่ในโถงปราสาทนานแล้ว “เจ้าคนชั่วช้านั่นพูดอะไรบ้าง” นางเอ่ยถามเมื่อเห็นโอมเดินตรงเข้ามา “มันแย่เสียยิ่งกว่าเจ้า นอกจากจะล่วงเกินข้าแล้ว ยังสติแตกอย่างกับอะไรดี”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “มันล่วงเกินเจ้าหรือ” เขาถาม “อย่างไรกัน”
ทีราเลนเซียมองค้อนก่อนเผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “สำนวนเจ้าผิดแปลกไป” นางทัก “แค่เพียงครึ่งวันเศษ เมย์ลินก็เป่ามารยาทใส่ตัวเจ้าได้แล้วหรือนี่ เห็นทีว่าข้าต้องเลื่อนตำแหน่งให้นาง”
“ตำแหน่งนักพยากรณ์ยังไม่สูงศักดิ์พออีกหรือ”
“ดูจากเจ้าแล้ว ข้าว่านางเหมาะที่จะฝึกสุนัขหลวงมากกว่า”
โอมพ่นลมหายใจยาว ดูขบขันมากกว่าที่จะโกรธเคือง “คำพูดเช่นนั้นไม่เหมาะจะออกจากปากเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์มิใช่หรือ”
ดวงตาสีม่วงค้อนใส่อีกวงหนึ่ง ไม่ตอบคำ “ตอบคำถามข้าก่อนเถิด เจ้าคนชั่วช้านั่นพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”
“เจ้าหมอนั่นมันสติแตกทีเดียว” ชายหนุ่มกล่าวตอบ “คุยตรงนี้คงไม่เหมาะ เจ้าพอจะรู้จักที่สงบๆ ที่จะไม่มีใครผ่านไปมาบ้างหรือไม่”
“คงเป็นที่ห้อง— เจ้าคนชั่วช้า ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” เจ้าหญิงแหวเมื่อเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของโอม “ข้าคิดออกแล้ว เราไปที่อุทยานกันเถอะ ที่นั่นคงพอจะสนทนากันอย่างเงียบๆ ได้ และไม่ลับตาคนดีด้วย”
“เจ้าจะสนใจสายตาผู้อื่นทำไม” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่โอมก็ยอมเดินเคียงคู่กับหญิงสาวไปอย่างว่าง่าย “เจ้าเข้าพิธีแต่งงานกับข้าแล้ว ยังจะให้คนอื่นคิดว่าเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่อีกอย่างนั้นเหรอ”
ใบหน้าของเจ้าหญิงแดงก่ำ “ดูเจ้าพูด” นางกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงดุร้าย “ข้ายังไม่ได้— เจ้ายังไม่— ”
โอมส่ายศีรษะ “ช่างเถอะ” เขาพูดเบาๆ “แล้วสรุปว่าไอ้หมอนั่นมันทำอะไรเจ้า”
พวกเขาเดินทางมาถึงอุทยานดอกไม้แห่งนั้นอีกครั้ง ทีราเลนเซียทำทีเป็นสนใจหมู่ผกาในขณะที่กระซิบตอบกลับมา “มันลอบจุมพิตข้า”
เมื่อเห็นสีหน้าคับแค้นใจของหญิงสาวก็ทำให้โอมอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ “หมอนั่นก็เป็นคนในโลกของข้าเนี่ยล่ะ รอให้มันหายสติแตกก่อนแล้วไว้ข้าจะคุยกับมันอีกที” เขาพูดขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้ “จะยังไงเจ้าก็สั่งปล่อยมันออกมาจากคุกใต้ดินก่อนเถอะ ในนั้นไม่น่าอยู่หรอก เจ้าก็รู้”
“ไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดก็แล้วกัน” เจ้าหญิงเอ่ยตอบ “มันบังอาจล่วงเกินข้า อย่างไรก็ต้องได้รับโทษบ้าง”
โอมถอนหายใจพร้อมยิ้มกว้าง “เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง ทีร่า” เขานั่งยองลงข้างหญิงสาว “มันแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ”
“แย่เสียยิ่งกว่าเจ้าทำร้อยเท่า”
ชายหนุ่มหัวเราะ “หมายความว่าเจ้ายินดีที่จะให้ข้าจุมพิตมากกว่า”
“ขี้ตู่ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ทีราเลนเซียแหว “แล้วเรื่องมีเพียงเท่านี้หรือ ไยไม่พูดให้จบเสียตั้งแต่แรก”
“ก็ข้าอยากจะเที่ยวชมปราสาทพร้อมภรรยาที่รัก” โอมยิ้มแป้นขณะเอี้ยวตัวหลบศอกที่ชักใส่ “แล้วน้องชายของเจ้าเล่า หายหัวไปที่ใดแล้ว”
“เทลาเรนเซ่ไปตรวจความเรียบร้อยหลายๆ อย่าง” เมื่อพูดถึงตรงนี้เจ้าหญิงก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “อีกไม่นานจะมีงานประลองยุทธ์ เจ้าจะต้องเข้าร่วมแข่งขันด้วย”
ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของตัวเอง “ประลองยุทธ์ ข้าเนี่ยเหรอ”
“เจ้าโดนอัดน่วมแน่” สีหน้าของหญิงสาวดูชื่นมื่นเมื่อได้พูดคำนั้น “หมั่นฝึกซ้อมให้มาก สามีข้า งานนี้ไม่มีคำว่าออมมือหรอกนะ”
"แล้วนายจะเชื่อฉัน...โอม หึๆๆ" ตะไคร้หัวเราะคนเดียวเงียบๆ ในคุก พร้อมเหลือบตามองไปตาหน้าลูกกรงเหล็กหลังได้ยินเสียงฝีเท้าขยับเข้าใกล้
"ผ่านไปหนึ่งคืนแล้วสินะ" เจ้าของเสียงฝีเท้าหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าตะไคร้โดยมีเหล็กซี่คั่นระหว่างกลางเอาไว้ "ทีนี้เจ้า...นายคงหายบ้าสักที เอาล่ะลองพูดคามจริงทั้งหมดมา" โอมนั่งชันเข่าจ้องลึกเข้าไปในแววตานั้นไม่ไหวติง
"นายอาจจะคิดว่ามันบ้า แต่ว่าจะฉันจะทำให้นายเชื่อฉันเอง!" ตะไคร้กำลูกกรงแน่น แผดเสียงพูดอย่างมั่นใจ "ความจริงตอนที่ฉันเขียนนิยายเรื่องนี้อยู่ กองบก.ได้สั่งให้ฉันเขียนตอนพิเศษที่เล่าถึงเรื่องน่าอายหรือความลับของตัวละครแต่ละตัวไว้ด้วย"
โอมเลิกคิ้วสูงกวนประสาท เขายกยิ้มมุมปากแล้วกล่าวต่อ "นายจะบอกว่ารู้ความลับของฉันแล้วกะจะใช้ตรงนั้นยืนยันความจริงงั้นสิ" เขาหัวเราะแล้วกุมท้องแน่น "เอาสิ ถ้านายพูดถูกฉันจะยอมเชื่อ"
"ก็ขอให้จริงเถอะไอ้โรคจิต" ตะไคร้วางมาด ขยับขาแว่นตาเบาๆ "นายเคยแอบหอมแก้มเอมตอนเธอหลับทั้งหมด7ครั้ง มีทั้งที่บ้าน บนรถ หรือแม้กระทั่งที่ห้องสมุด!"
โอมสำลักน้ำลายดออกมาพรูดใหญ่ ใบหน้าของเขาเริ่มแสดงออกถึงความหวั่นเกรงต่อชายแปลกหน้าคนนี้ "นาย..."
"เดี๋ยวก่อน!" ตะไคร้ยกมือขึ้นเป็นสัณญาณให้อีกฝ่ายเงียบปาก "ไม่ใช่แค่นั้นนะ นายยังชอบแอบส่องชุดชั้นในเวลาเอมเผลอแล้วจด..."
"พอได้เแล้ว! หยุด!" โอมตะคอกเสียงดังจนทหารที่ยืนเวรอยู่ด้านหน้าเกิดความสงสัย
เขาโบกมือไล่ทหารให้อย่าใส่ใจแล้วก้มลงแนบชิดลูกกรงยิ่งกว่าเดิมพร้อมพูดเสียงต่ำ "นี่นายเขียนฉันขึ้นมาจริงๆหรอวะเนี่ย?"
"แน่นอน" ตะไคร้เอามือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ถอนหายใจยาวเหยียด "โชคดีจริงๆที่ยอมเขียนบทนี้ตามที่พี่มุกขอ"
ฝ่ามือหนาลอดผ่านซี่ลูกกรงไปฟาดเข้าที่ขมับของนักโทษเต็มรัก ตะไคร้ร้องโอดโอยยกมือขึ้นกุมหัว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยถามอะไร โอมก็เอ่ยตอบออกมาก่อนแล้ว “ได้สติกลับมารึยัง” เขาขู่ฟ่อ “เรื่องบ้าบอแบบนั้นเคยมีที่ไหนกัน”
“อะไร” นักเขียนหนุ่มส่งสายตาค้อนขณะที่มือยังคงกุมขมับของตัวเองอยู่ “ผิดตรงไหน ฉันเขียนตอนพิเศษพวกนั้นขึ้นมากับมือ”
ตะไคร้รีบไถลบั้นท้ายหนีเมื่อเห็นว่าฝ่ามือพิฆาตกำลังลอดผ่านลูกกรงมาอีกครั้ง “ถ้ายังเหลวไหลไม่เลิกพ่อจะฟาดให้สมองกลับไปเลย” โอมขู่ “เรื่องนี้ฉันไม่ตลกด้วยหรอกนะ”
“ก็ไม่ตลกนี่โว้ย” นักเขียนจากต่างมิติตะโกนตอบเมื่อเห็นว่าตัวเองถอยพ้นระยะมือของอีกฝ่ายแล้ว “ฉันพูดจริงทุกอย่างนะ ทั้งโลกนี้ ทั้งตัวนาย ฉันเป็นคนเขียนมันขึ้นมาเองกับมือ”
“กะอีแค่เรื่องของฉันยังต้องกุอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ทำเพื่อสนองตัณหาของตัวเองรึไง” โอมตะโกนตอบ “เอาเถอะพ่อนักเขียน ถ้าเก่งจริงก็หาทางออกไปจากที่นี่เองแล้วกัน”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ” ตะไคร้ร้องลั่น รีบคลานมายังลูกกรงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเดินจากไป “นายต้องปล่อยฉันไปนะ ฉัน— ฉันช่วยนายได้ นายต้องประลองยุทธ์ไม่ใช่เหรอ”
โอมหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยตอบโดยไม่หันหลังกลับ “เรื่องนั้นฉันคิดไว้แล้ว ไม่ต้องถึงมือนายหรอก”
ทหารยามยกมือขึ้นแตะที่หัวใจเป็นเชิงทำความเคารพเมื่อเห็นเจ้าชายของเขากลับขึ้นมาจากคุกใต้ดิน โอมก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นการตอบรับก่อนหันไปส่งยิ้มให้เจ้าหญิงที่ยืนทำสีหน้าบูดบึ้งคอยเขาอยู่ไม่ห่างนัก “นักโทษว่าอย่างไรบ้าง” นางถาม
“ดูเหมือนว่าสติมันจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนเดิม” โอมยักไหล่ขณะเดินตรงไปโอบเอวหญิงสาวที่เอี้ยวตัวหลบอย่างรู้ทัน “ไว้พรุ่งนี้เราค่อยลงไปด้วยกัน ดูซิว่ามันจะพูดอะไร”
“ข้างในนั้นเหม็นเหมือนหนูตายซาก” เจ้าหญิงย่นจมูกพลางทำสีหน้าครุ่นคิด “ข้าไม่ลงไปกับเจ้าหรอก มีเรื่องอันใดก็นำมาบอกข้าก็แล้วกัน”
ผู้กล้าจำเป็นเห็นสีหน้าเอาแต่ใจเช่นนั้นก็อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ เขาโค้งต่ำเป็นเชิงรับคำแบบประชด “ตามพระบัญชาเลย องค์หญิงคนสวย แม้จะต้องบุกน้ำลุยไฟ กระหม่อมก็ไม่เคยคิด—”
คำพูดกวนโทสะเหล่านั้นถูกหยุดลงด้วยการถองศอกใส่แรงๆ ครั้งหนึ่ง โอมที่ยังไม่หมดลายแสร้งปั้นสีหน้าเจ็บปวดเกินพรรณนาทรุดตัวลงกับพื้น ทำเอาหญิงรับใช้ที่ยืนกลั้นขำอยู่แถวนั้นต้องกุลีกุจอเข้ามาช่วยตามหน้าที่ เมื่อเห็นดังนั้นทีราเลนเซียก็แหวใส่ “อย่าไปช่วยเขา” นางร้อง “เดี๋ยวจะเคยตัวกันเสียเปล่าๆ”
“ข้าไม่ใช่เด็กๆ นะ จะกลัวเคยตัวอะไรอีก” โอมหัวเราะ เลิกแสร้งเจ็บพร้อมยันกายขึ้นยืน “โถทีร่า ทำไมเจ้าถึงใจร้ายกับพระสวามีอย่างข้าเช่นนี้นะ”
เจ้าของดวงตาสีม่วงหันกลับมาประจันหน้ากับพระสวามีพร้อมเลิกคิ้วขึ้นสูง “แล้วพระสวามีจะมีปัญหาอันใดกับข้าล่ะเพคะ” นางพ่นเสียงขู่ลอดไรฟัน “เจ้าอย่าทำอะไรให้มันดูล้นเกินไปหน่อยเลยน่า เจ้าเป็นเจ้าชายนะ ไม่ใช่ตัวตลกหลวง”
“ตัวตลกหลวงยังมีข้ามากกว่ามันเลยท่านพี่ ไม่สิ แม้แต่สุนัขล่าเนื้อยังมีค่ามากกว่าไอ้คนไร้หัวนอนปลายเท้าคนนี้เสียอีก”
คนทุกผู้หันไปหาต้นเสียง ไม่มีทางเป็นใครอื่นนอกจากเจ้าชายเทลาเรนเซ่ที่เดินนำขบวนทหารองค์รักษ์ออกมาจากตัวปราสาท “สวัสดียามเที่ยง พี่เขย” เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นเมื่อพูดประโยคนั้นจบ “ขอโทษที่ข้าแสดงกริยาไม่งาม แต่ดูเหมือนคำเรียกเมื่อครู่จะทำให้เสนียดมันติดอยู่ในคอ”
โอมไม่มีทีท่าโกรธเคืองต่อวาจาดูถูกนั้น “เกรงว่าถ้าเจ้าจะเอาเสนียดออกให้หมด คงต้องเผาตัวเองไปด้วยกระมัง” เขายิ้มน้อยๆ “คงต้องเปลืองแรงขัดล้างปราสาทกันน่าดูเลยล่ะ”
สีหน้าของเจ้าหญิงซีดลงเมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่เริ่มปะทะคารมกันอีกครั้ง แต่คราวนี้น้องชายของนางไม่พลาดระเบิดอารมณ์ออกมาง่ายๆ อีกแล้ว “โดยเฉพาะที่หอคอยที่ใช้เป็นรังรักของเจ้ากระมัง” เจ้าชายยิ้มเหี้ยม “เสนียดจากพวกชั้นต่ำที่บังอาจคิดชั่วช้าคงไม่อาจขัดออกได้ง่ายๆ แน่”
“นั่นฟังดูแปลกๆ อยู่นะ” ฝ่ายผู้กล้าเอ่ยตอบ “เหมือนตีวัวกระทบคราดอย่างไรก็ไม่รู้ พูดแบบนี้ไม่ใช่พี่สาวเจ้าจะเสื่อมเสียไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ที่พี่สาวข้าต้องเสื่อมเสีย ทั้งหมดมันก็เป็นเพราะความต่ำช้าของเจ้า” เจ้าชายขู่ฟ่อ “บรรพชนคงกำลังหัวเราะเยาะเราที่ต้องเสียรู้ให้กับพวกชั้นต่ำ เอาสายเลือดกษัตริย์มาเกลือกกลั้วกับโคลนตม”
ขณะที่โอมอ้าปากจะโต้ตอบ สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นสีหน้าที่คลับคล้ายว่ากำลังกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดความสามารถ ชายหนุ่มถอนหายใจยาวพร้อมกลืนเอาคำพูดเผ็ดร้อนที่คิดใช้ตอบโต้กลับเข้าไปในลำคอ “เจ้าไปเถอะ มาโต้เถียงกันตรงนี้ไม่อายข้าราชบริพารบ้างหรือ” เขาพูด “ไว้เราค่อยคุยกันในงานประลองก็ยังไม่สาย”
“โอ้ เจ้ารู้เรื่องงานประลองยุทธ์แล้วอย่างนั้นหรือ” เจ้าชายเหยียดยิ้มกว้างด้วยคิดว่าตัวเองชนะในการดวลคารม “ก็ดี ผู้กล้า ไว้เราจะได้รู้กันว่าเพลงดาบข้างถนนของเจ้ามันจะวิเศษสักเท่าไร”
รอจนขบวนของเทลาเรนเซ่หายลับไปแล้ว โอมจึงเอื้อมมือไปจับแขนหญิงสาวที่ยืนนิ่งเป็นรูปสลักให้ก้าวเดินตามเขาไปตามทาง “เรากลับกันก่อนเถอะ”
มือใหญ่เอื้อมไปปิดตาของหญิงสาว ทีราเลนเซียชะงักไปก่อนเผยอริมฝีปากน้อยๆ คล้ายมีบางอย่างจะพูด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เปล่งเสียงอะไรออกมา
เห็นดังนั้นโอมก็คลายมือออก เขาใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งข้างกายเจ้าหญิง ดวงตาทั้งคู่จ้องตรงไปยังกระจกเงาเหนือโต๊ะเครื่องแป้งที่สะท้อนเงาร่างของคนทั้งสองกลับมา
สีหน้าของเจ้าหญิงเอสเปอร์รัญญ่าเรียบเฉย ดวงตาสีม่วงคู่งามจ้องตรงไปยังเงาในกระจกคล้ายไม่ต้องการสนใจสิ่งอื่น เมื่อเห็นท่าทางนั้นชายหนุ่มก็อดยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้ “ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาทุกเรื่องมาเป็นอารมณ์ก็ได้นี่นา”
ทีราเลนเซียยังคงนิ่งอยู่ แม้จะได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเต็มสองรูหูแต่ก็ยังทำทีเป็นเฉื่อยชา ท่าทางดังกล่าวกวนใจโอมยิ่งนัก เขาเอนตัวเข้าใกล้ ใช้ปลายจมูกดุนใบหูของหญิงสาวเบาๆ “จะนั่งเงียบไปถึงเมื่อไหร่กัน”
เจ้าหญิงยังคงไม่พูดอะไร แม้ริมฝีปากคู่สวยจะเม้มชิดกันมากขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มยิ้มเมื่อเห็นอาการนั้น เขารุกไล่ต่อโดยใช้ปลายจมูกไล้ไปตามหลังใบหู นั่นได้ผลชะงัดนัก หญิงสาวจำต้องเบี่ยงตัวหลบแม้จะไม่ยอมส่งเสียงใดออกมา โอมรีบใช้มือใหญ่จับหัวไหล่ของอีกฝ่ายไม่ให้ขยับหนีไปได้อีก นั่นทำให้ทีราเลนเซียต้องส่งเสียงร้องออกมา “ปล่อย”
ชายหนุ่มปล่อยมือจากการเกาะกุมนั้นทันที เขายิ้มกริ่มเมื่อถูกดวงตาของอีกฝ่ายถลึงมองมา “ก็พูดได้นี่นา คนสวย” โอมเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ไม่เห็นต้องคิดมากขนาดนี้เลยนี่นา”
“เจ้าเป็นใครหรือถึงบังอาจมาคิดแทนข้า” นางแหวใส่ “มันไม่ใช่ธุระกงการใดของเจ้า”
“ฉันเป็นสามีของเธอนะ”
“สามีปลอมๆ อย่างเจ้าไม่ควรที่จะมีสิทธิแม้แต่มาแตะตัวข้า”
“สามีปลอมแล้วยังไง มันไม่ได้หมายความว่าความปรารถนาดีที่ฉันมีให้เธอจะต้องเป็นของปลอมไปด้วยสักหน่อย” โอมเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นโอบเอวของหญิงสาวก่อนพูดต่อ “หรือว่าต้องให้เป็นสามีจริงๆ ก่อน เธอถึงจะเชื่อ”
ทีราเลนเซียดันกายออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม น้ำตาสายหนึ่งไหลลงอาบแก้มของนาง “เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้” น้ำเสียงนั้นฟังดูคล้ายตัดพ้อมากกว่าต่อว่า “เพียงแค่ข้าต้องมานั่งร้องไห้ต่อหน้าเจ้าทุกวี่วันก็ทำให้บรรพชนของข้าต้องอับอายพออยู่แล้ว”
โอมไม่รุกไล่ต่อ เขาขมวดคิ้วก่อนเอ่ยปาก “ทำไมแค่การร้องไห้ต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่” ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจ “ใครๆ เขาก็ร้องไห้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เสียใจหรือดีใจ”
“นั่นเป็นคนอื่น ไม่ใช่สายเลือดขัตติยะอย่างข้า” เจ้าหญิงตวาด ยกมือขึ้นลูบน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลออกจากพวงแก้ม “ใครใคร่จะร้องไห้ก็ร้องไป แต่ต้องไม่ใช่เรา เหล่าสกุลเอสเปอร์รัญญ่า”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ให้กับดวงหน้านั้น “ไร้สาระน่า” เขาบ่น “มีเหตุผลอะไรเหรอที่จะห้ามไม่ให้ร้องไห้”
“หากผู้ปกครองยังหลั่งน้ำตา แล้วจะทำให้ผู้อื่นเชื่อมั่นได้อย่างไร”
“แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้ปกครองนี่” โอมแย้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนเราอยู่กันแค่สองคน เธออยากจะร้องไห้มากแค่ไหนก็ร้องออกมาเถอะ ฉันไม่เห็นประโยชน์ที่จะกลั้นมันเอาไว้เลย”
เจ้าหญิงช้อนตาขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่าย “ดูท่าว่าเจ้าจะอยากเห็นข้าร้องไห้เสียเต็มทน”
“ฉันชอบตอนที่เธอร้องไห้” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปสัมผัสเรือนผมสีทองของหญิงสาวก่อนใช้นิ้วมือสางมันเบา ๆ “เพราะมันเป็นเวลาเดียวที่เธอเป็นเธอ ไม่ใช่ใครอีกคนที่คอยแต่ใส่หน้ากากชูคอ จนลืมนึกถึงสิ่งที่ใจของตนเองต้องการ”
ทีราเลนเซียเรียกดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์มาไว้ในกำมือแล้วแทงเข้ากลางหัวใจชายหนุ่ม...
อยู่ดีๆ โลกก็ระเบิด...
ทุกคนตายไม่เหลือซาก
จบบริบูรณ์...
เปิดเรื่องใหม่เว้ยยย
ไหนบอกว่าจะไม่เล่นมุกฝันไปกับระเบิดโลกไง
>>157 ได้ จะเอาเบียวๆ ใช่มะ
ในโลกแห่งโลกต่างมิติที่มีธีมเป็นเกมออนไลน์ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นทุกผู้นามล้วนมีพลังปราณวิเศษเป็นของตนเอง ปราณวิเศษนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 7ขั้น ขั้นแรกมีชื่อว่าปราณทารก ขั้นสูงสุดคือปราณจอมสวรรค์ ส่วนที่เหลืออีกห้าขั้นไม่ต้องสนใจ เพราะเดี๋ยวพระเอกของเราก็จะได้ปราณขั้นสุดท้ายมาแบบง่ายๆ อยู่ดี
พระเอกของเรามีชื่อว่าไคกิระ เป็นชื่อที่พยายามตั้งเลียนแบบญี่ปุ่นด้วยการเอาคำสามพยางค์มาเรียงต่อกันโดยไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร บัดนี้ไคกิระน้อยอายุได้สามปี พ่อกับแม่ของมันชื่อเฉินหวิ่นและสเตฟานี่ พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชายป่ามนต์ดำ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวหาเลี้ยงทั้งสามชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่าไปขายในเมือง
ไคกิระนั้นดูเผินๆ คล้ายกับเด็กน้อยสามัญทั่วไป แต่แท้ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น...
สามปีก่อน ในดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงหนึ่งที่เรียกว่าโลก
หวอออออออออ
"เกิดเหตุคนร้ายปล้นธนาคารค่ะ" นักข่าวสาวผู้หนึ่งกรอกเสียงใส่ไมโครโฟนด้วยความตื่นเต้น "ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปิดล้อมธนาคารไว้ทุกทิศทาง แต่ฝั่งโจรจับพนักงานและลูกค้าไว้เป็นตัวประกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถบุกจู่โจมได้ค่ะ"
ภายในธนาคาร
"เอาไงดีลูกพี่" ชายสวมโม่งดำคลุมหน้าส่งเสียงตื่นเมื่อมองเห็นไฟกระพริบและได้ยินเสียงไซเรนที่ดังมาจากด้านนอก "พวกหมาต๋าแม่งไวฉิบหายเลย เดี๋ยวพวกมันคงบุกเข้ามาแน่"
"มึงใจเย็นๆ" ผู้เป็นลูกพี่พูดเสียงเข้มขณะกระชากเอาเด็กผู้ชายร่างผอมบางคนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น "ตัวประกันเยอะขนาดนี้พ่อมึงไม่บุกเข้ามาหรอก เฮ้ยให้เหี้ยชิต มึงตะโกนบอกพวกเหี้ยนั่นไปสิว่าถ้าแม่งยังไม่หลบไปกูจะยิงตัวประกันทีละคน"
โจรอีกคนหนึ่งพยักหน้าก่อนคว้าเอาเครื่องขยายเสียงที่หามาได้จากที่ไหนก็ไม่รู้ตะโกนข้อความเมื่อครู่ออกไป ฝั่งลูกพี่เองก็ต้องการให้คำขู่นั้นมีน้ำหนัก เขาลากตัวเด็กผู้ชายคนนั้นไปชิดหน้าต่าง รัดคอของเด็กคนนั้นให้กระชับตัวเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีการยิงเข้ามา "ถ้าภายในสิบนาทีรถทุกคนยังไม่ถอยออกไป" มันตะโกนลั่นขณะยกปืนพกในมือจ่อเข้าที่ขมับของเด็กชาย "กูจะเป่าหัวแม่งให้กระจุย"
เมื่อพูดจบหัวหน้าโจรก็หัวเราะร่าพร้อมขยับกายถอยกลับเข้ามายังที่กำบังด้านใน ตัวประกันภายในธนาคารร่างสั่นระริก ทุกคนถูกจับมัดมือไพล่หลังนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะผงกศีรษะขึ้นมามองสถานการณ์
แต่ในชั่วขณะที่ฝ่ายโจรกำลังชะล่าใจนั้น สายตาของเด็กชายตัวน้อยก็พลันกระจ่างวูบ เขาพลิกตัวออกจากการรัดรึงของหัวหน้าโจรก่อนบิดแขนอีกฝ่ายไพล่หลัง เสียงกร็อบดังลั่นเมื่อกระดูกหัวไหล่ของชายผู้นั้นหักสะบั้นลง "อ๊าคคคคคคคคคคค" หัวหน้าโจรร้องลั่น ในขณะที่โจรคนอื่นๆ กำลังชะงักไปด้วยความประหลาดใจนั่นเอง เด็กชายก็ฟันศอกซ้ำลงไปที่กลางศีรษะของหัวโจก เลือดฉีดพุ่งราวน้ำพุกระเซ็นเปรอะไปทั่วอาคาร มันสมองสีขาวอมเหลืองผุดออกมาจากบาดแผล
เด็กชายไม่รอให้คนอื่นได้ทันตั้งตัว เขาคว้าปากกาที่ตกอยู่บริเวณนั้นกระโจนเข้าใส่โจรอีกคนหนึ่ง ใช้มันแทงซ้ำๆ เข้าไปที่ลูกตา โจรผู้นั้นร้องเสียงหลง ร่างสั่นเป็นเจ้าเข้าเมื่อถูกโจมตีอย่างเหี้ยมโหด
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนรัวขึ้นสามนัด เด็กชายกระโดดหลบอย่างชำนาญก่อนที่จะตีลังกากลับหลังเข้าใส่โจรคนสุดท้าย ใช้ส้นเท้ากระแทกปลายคางของฝ่ายนั้นจนปืนในมือกระเด็นตกลงพื้น เด็กชายพลิกตัวกลางอากาศ ใช้มือทั้งสองข้างง้างปากของโจรออกพร้อมใช้กำลังแขนกระชากอย่างแรง ฉีกศีรษะของผู้ร้ายออกเป็นสองส่วน
ความเงียบเข้าปกคลุมภายในธนาคารอยู่อึดใจหนึ่งก่อนที่พนักงานคนหนึ่งจะกล้าเงยหน้าขึ้นจากพื้น แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นค้อนปอนด์อันหนึ่งที่กำลังฟาดลงมาอย่างแรง
โพล๊ะ
ศีรษะนั้นถูกทุบราวกับลูกแตงโม เศษกระโหลก เลือดและเนื้อสมองถูกบดกระจายเกลื่อนพื้น เด็กชายยิ้มเหี้ยมเกรียมขณะที่เดินตรงไปทุบศีรษะของผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกมัดคว่ำหน้าอยู่กับพื้นคนแล้วคนเล่า "ตัวตุ่นๆ" เด็กชายหัวเราะ ใช้ลิ้นเลียริมฝีปากที่มีเศษเนื้อและเลือดสดๆ เปรอะอยู่ "อยากตีตัวตุ่น"
ไม่กี่อึดใจต่อมา ธนาคารก็ปราศจากเสียงหวีดร้องอีก เด็กชายเหยียบย่ำไปท่ามกลางกองศพที่ยากจะจำแนกได้ว่าใครเป็นใคร รอยยิ้มที่มุมปากดูเคลิบเคลิ้มคล้ายกับเด็กที่ได้ไปเที่ยวสวนสนุกเป็นครั้งแรก
เด็กชายเดินตรงไปยังประตู ในใจคิดปั้นเเต่งเรื่องที่จะใช้โกหกตำรวจ โดยไม่ทันมองว่าตรงหน้าของเขามีปากกาด้ามหนึ่งหล่นอยู่
เด็กชายเผลอเหยียบปากกาด้ามนั้นจนลื่นล้ม โชคไม่ดีที่จังหวะนั้นมือของเขาไพล่ไปโดนไกปืนที่ตกอยู่บริเวณนั้นพอดี เสียงปืนคำรามขึ้นหนึ่งนัด ส่งกระสุนนัดหนึ่งเข้าใส่สมองของเขา
เขาเสียชีวิตโดยที่ไม่ทันรู้ตัว เรียกได้ว่าแทบไม่เกิดความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
"ที่นี่ที่ไหน" เด็กชายคิดในขณะที่เหลือบมองความมืดรอบตัว "อะไรกัน นี่ฉันตายแล้วงั้นเหรอ"
พลันแสงสว่างดวงหนึ่งก็เกิดขึ้นท่ามกลางความมืด พร้อมกับที่ชายชราผมขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากแสงนั่น "ข้ารอเจ้ามานานแล้ว โดวาคิน" เขาพูด "เจ้าคือตัวแทนแห่งโชคชะตา ผู้ที่จะมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของสปีร่า"
"อะไรนะ" เด็กชายร้องถามกลับ "เปลี่ยนประวัติศาสตร์อะไร แล้วนี่ลุงเรียกชื่อผมว่าไงนะ"
"โดวาคิน ข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว" ชายชราพูดซ้ำอีกครั้ง "ในฐานะดราก้อนบอร์น เจ้าจะต้องเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้"
"ลุงพูดเรื่องอะไรกันน่ะ" เด็กชายร้องถามอีกครั้ง "เปลี่ยนประวัติศาสตร์อะไร ดราก้อนบอร์นอะไร แล้วที่นี่ที่ไหน เอ้อ แล้วลุงเป็นใครกัน"
"ที่นี่คือช่องว่างระหว่างมิิติ" ชายชราพูด "โดวาคิน เราไม่ได้เพิ่งจะคุยกันเป็นครั้งแรก เพียงแต่เจ้าจำไม่ได้ ข้าคือพระเจ้าแห่งจักรวาลนี้ ผู้ซึ่งเรียกตัวเจ้ามาเพื่อเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของสปีร่า"
"พระเจ้างั้นเหรอ ถ้าลุงเป็นพระเจ้าจริงทำไมไม่ไปทำเองล่ะ" เด็กชายตะคอกกลับ "ส่งผมกลับบ้านได้แล้ว เย็นนี้เพื่อนผมชวนไปตีดอท"
"โดวาคิน ที่นั่นไม่ใช่บ้านของเจ้า" พระเจ้าตะคอก "เจ้ามีพันธะที่ต้องทำ ข้าจะส่งเจ้าไปยังสปีร่า เพื่อทำหน้าที่นั้นให้สำเร็จ"
"สปีร่าพ่อมึงดิ ซินตายไปตั้งแต่ไฟนอล 10 แล้วโว้ย"
พระเจ้าชะงักกึก เขาล้วงมือลงไปในอกเสื้อ หยิบเอาสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกดู "เออจริงด้วย" ชายชราตบหน้าผากตัวเอง "งั้นเดี๋ยวจะส่งไปอินซอมเนีย"
"อินซอมเนียพ่อง เขาเคลียร์กันไปตั้งนานละ"
พระเจ้าปากอ้าตาค้างเมื่ออ่านข้อความในสมุด "นี่มัน... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย" ชายชราร้องออกมา "ทำไมกัน ทำไมทุกที่มีคนจัดการไปเรียบร้อยหมดแล้วล่ะ"
"จะไปรู้ลุงเหรอ ถ้าทุกอย่างจบแล้วก็ส่งผมกลับบ้านสักทีสิโว้ย" เด็กชายตะโกน "ไอ้บ้าเอ้ย เป็นพระเจ้าจริงรึเปล่าวะ ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงพลาด"
พระเจ้ากระแอม "เอาน่า โดวาคิน คนเรามันก็ต้องพลาดกันได้ โบราณว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" เขาโบกมือครั้งหนึ่ง "เอาล่ะ ตอนนี้ข้าสร้างโลกใบใหม่ขึ้นแล้ว นามของมันคือ... คือ... ช่างเถอะ เอาเป็นว่าข้าจะส่งเจ้าเข้าไปข้างในนั้นแล้วกัน"
พระเจ้าสะบัดมืออีกครั้ง ร่างกายของเด็กหนุ่มเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาทันที "โดวาคิน ในฐานะดราก้อนบอร์น เจ้าห้ามทำให้ข้าผิดหวัง" ชายชรากำชับ "ข้าจะมอบพรวิเศษให้เจ้าสามข้อ ข้อแรก ข้าจะให้เจ้าเป็นชายผู้มีพลังปราณแก่กล้าที่สุดในโลกใบนั้น"
"ข้อที่สอง ข้าจะให้เจ้าเป็นชายที่หน้าตาดีที่สุด ใครเห็นใครก็หลงรัก ถ้าเจ้ามีความต้องการ ขอแค่กระดิกนิ้ว ผู้หญิงทั่วทั้งโลกก็พร้อมที่จะแบให้เจ้าโดยที่ไม่ต้องพูดให้มากความ"
"ส่วนข้อสาม ข้าจะเติมทรูให้เจ้าสัปดาห์ละสองพัน รับรองว่าบอทได้ จีเอ็มไม่แบนแน่"
"นี่ลุงจะส่งผมไปไหนเนี่ย"
"ข้าจะส่งเจ้าไปเป็นเด็กผู้หนึ่ง ชื่อของมันคือไคกิระ"
สัส กาวดีมากมึง อ่านแล้วโคตรฮา จิกกัดนิยายกากๆ ในเว็บได้แม่งเกือบครบ โดยเฉพาะเรื่องชื่อ กับพ่อจีนแม่ฝรั่งลูกเสือกชื่อยุ่น อห.ขำมาก
ต่อดิวะ
เขียนตอนต่อไปไม่ออกว่ะ แม่งเหี้ยเกิน คือรู้ล่ะว่าปกติแม่งต้องตามพ่อออกไปล่าสัตว์ แล้วโชว์เทพ กลับมาเจอหมู่บ้านถูกไฟไหม้ จากนั้นแม่งก็เผยสันดานดิบฆ่าโหดคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ แล้วก็บังเอิญตกเขา ลงไปเจอกล่องสมบัติเทพ แต่เขียนไม่ไหวจริงๆ
ไอสัส กุอ่านผ่านๆนึกว่ามันมาเกิดเป็นชาย เยดดดดดดดดด
ไม่มีใครลงมือเขียนเลยเหรอ
อยากเขียนต่อแต่แทนที่จะเป็นจิกกัดนิยายกากๆมันจะกลายเป็นนิยายกากๆซะเองเนี่ยสิ
รออ่านอยู่นะ
โม่งเขียนแน่ๆ ดูสิ https://writer.dek-d.com/bushido24685/story/view.php?id=1630115
>>176 คงจิกกัดแหละ แต่อาจหมดมุกไง คือไอ้นิยายต่างโลกออนไลน์แม่งก็เดิมๆอะ มีมุกเท่านั้นแหละ ชาติก่อนดวงซวยตายง่าย พระเจ้าให้พร บังเอิญเจอของดี เก่งเทพ ทำตัวถ่อย สาวติด สะสมฮาเร็มเดินทาง ไม่งั้นก็ต้องมีแกล้งทำเป็นอ่อนแอ ให้คนอื่นดูถูก แต่จริงๆเก่ง แล้วรอไปโชว์เทพทีหลังเพื่อให้ไอ้คนที่ดูถูกเงิบไป
มันสะท้อนได้หลายอย่างเลยนะ กลุ่มคนที่ชอบอ่านถ้าไม่ใช่เด็ก ก็ต้องเป็นคนที่คล้ายว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต จนคิดไปว่าอยากจะไปเกิดชาติใหม่ที่หล่อ รวย เก่ง สาวติด อะไรๆก็เพอร์เฟค และก็อยากจะตอกหน้าไอ้คนที่ชอบดูถูก (ที่เจอในโรงเรียน ที่ทำงาน) ให้หงาย ประมาณนั้น
ไม่ต่อแล้วหรอเพื่อน ฮือๆ
3 ปี ที่ผ่านมาถึงแม้ไคกิระจะยังมีความทรงจำในชาติก่อน
แต่ด้วยร่างกายของเด็กแบเบาะ ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากนักและอีกทั้งยังปัญหาเรื่องภาษา
ที่ทำให้ไม่สามารถเข้าใจในบทสนทนาของผู้อื่นได้ทั้งหมดด้วยสัญชาตญาณเขาพยายามทำตัวให้สมอายุเข้าไว้
ถึงเมื่อชาติที่แล้วจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม แต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยกำลังได้
เขายังต้องการคำอธิบายในคำพูดของคนที่ส่งเขามาในโลกนี้
อะไรคือปราณ? อะไรคือโดวาคิน? อะไรคือดรากอนบอร์น? บอท? เติมทรู? จีเอม?
แผนในหัวของเขาตอนนี้คือ ต้องออกเดินทาง ถ้าการดำรงอยู่ของเขาเกี่ยวกับชะตากรรมของโลกนี้จริง
คำตอบน่าจะอยู่กับชนชั้นปกครองของโลกนี้ แต่ตอนนี้ ที่เขาอยู่คือ หมู่บ้านเล็ก ๆ สุดขอบชายแดน
ถึงแม้จะเป็นชายแดน แต่ก็เป็นที่ ที่สงบสุข ด้วยด้านหนึ่งเป็นอาณาเขตของป่ามนตร์ดำ ที่เป็นชายแดนธรรมชาติ
ป่ามนตร์ดำดูภายนอกเป็นป่าฝนธรรมดา แต่พอเมื่อเดินเข้าไปลึกๆ จะมีหมอกปกคลุมหนาขึ้น
จนสิ่งมีชีวิตทั่วไปไม่สามารถอาศัยอยู่หรือเดินทางผ่านป่านี้ได้
ทั้งๆที่ควรจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาจปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมนี้ได้ แต่กลับไม่มีเลย และนั้นคือที่มาของชื่อป่ามนตร์ดำ
และด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของป่า ทำให้มีพืชพันธุ์ที่เติบเฉพาะในป่านี้เท่านั้น ซึ่งคนในหมู่บ้าน รวมทั้งพ่อของไคกิระ
จะเข้ามาเก็บเกี่ยวเดือนละครั้งในบริเวณชายป่าที่หมอกยังไม่เป็นอุปสรรค
ซึ่งวันนี้เป็นวันเข้าป่า ทำให้ตอนนี้ไคกิระอยู่ที่บ้านกับสเตฟานี่ แม่ของเขาในโลกนี้
สเตฟานี่ทำงานบ้านพลางเหม่อออกนอกหน้าต่าง อาจเป็นเพราะเฉินหวิ่นและคนอื่น ๆ กลับหมู่บ้านช้ากว่าปกติ
จนพระอาทิตย์คล้อยต่ำท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม ในตอนนั้นเริ่มมีเสียงผู้คนจากในหมู่บ้าน
ชาวบ้านที่เหลือในหมู่บ้านกำลังจะรวมอาสาสมัครอีกกลุ่มเพื่อออกตามหา
เพราะว่ากลุ่มที่ไปเก็บเกี่ยวไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะเดินทางตอนกลางคืน
กลุ่มอาสาสมัครมีทั้งหมด 6 คน และหนึ่งในนั้นคือ สเตฟานี่ นั่นเอง
เธอรวบผมหางม้า และเปลี่ยนเป็นใส่ชุดหนังสำหรับนักผจญภัย พร้อมด้วยธนูล่าสัตว์และลูกธนูพาดไว้ที่หลัง
และมีดสั้นเหน็บไว้ที่เอว และในมือหนึ่งถือคบเพลิง ดูทะมัดทะแมงผิดกับตอนปกติ ซึ่งเป็นภาพที่ไคกิระไม่คุ้นเคยมาก่อน
ไคกิระได้ถูกฝากไว้กับอีกครอบครัวพร้อมกับเด็กคนอื่น ๆ ที่น่าจะเป็นคนในครอบครัวของกลุ่มที่กำลังจะเดินทาง
หลังสเตฟานีฝากฝังผมกับอีกครอบครัวพอเป็นมารยาท แล้วจึงออกเดินทางไปที่ป่ามนตร์ดำ
---------------------------------
โทษทีนะถ้างงๆ ไม่ใช่สายเขียนน่ะแต่เห็นกระทู้ไม่ขยับสักที
ถ้าชอบก็ช่วยกันต่อสิ จะได้มีให้อ่านกัน
อู๊ววววววววววววววววววว เสียงของอสูรกายทมึนตัวใหญ่ร้องอย่างโหยหูนและน่าขนลุก มันเดินย่องไปช้าๆตามด้วยเหล่าสมุนมากมายที่คล้ายกับมันเพียงแต่ตัวเล็กกว่า พวกมันออกล่าเหยื่อกันเป็นปกติ แต่วันนี้พิเศษกว่าเพราะพวกมันเจอเหยื่อที่เป็นมนุษย์จำนวนมากจากการรับกลิ่นที่สามารถแยกแยะได้ว่ามีจำนวนร่วมสิบ และที่สำคัญเหยื่อพวกนี้อ่อนแอ
แก้มของเธอแดงเรื่อ แม้แต่ลมหายใจก็ยังเจือกลิ่นของแอลกอฮอล์
หญิงสาวยิ้มพราย ซุกใบหน้านั้นลงกับอกเสื้อของเพื่อนสนิท "กอดหน่อย"
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ดันร่างนั้นออกห่างจากอก ก่อนยิ้มให้ใบหน้าที่คล้ายว่าจะเลอะเลือนนั้น "นี่เมาขนาดนั้นเลย? ช่วยตั้งสติหน่อยได้ไหม"
หญิงสาวส่ายศีรษะพร้อมขืนแรงอีกฝ่ายเพื่อซุกใบหน้ากลับลงไปยังอ้อมอกนั้นอีกครั้ง "เมาก็ได้ แต่กอดหน่อยสิ"
อาณาจักรแห่งนึงจะสือทอดความเป็นกษัตริย์ด้วยแหวนแห่งราชา
องค์ชายขอดูแหวนจากพระราชาแต่เกิดอุบัติเหตุ แหวนถูกกลืนลงไปในท้องขององค์ชาย
รอให้องค์ชายถ่ายออกมา แล้วตรวจอุจจาระแล้วก็ไม่พบ
จนองค์ชายต้องให้ข้ารับใช้ล้วงก้นให้ ถูกล้วงทุกวันจนองค์ชายรู้สึกดีและเป็นเกย์
จวบจนพระราชาองค์ปัจจุบันสิ้นพระชน แต่ไม่สามารถมีผู้ปกครองใหม่ได้เพราะไม่มีแหวน
บ้านเมืองถูกชักนำด้วยนักการเมืองผู้มากเล่ห์เหลี่ยม
เจ้าชายถูกไล่ออกจากเมือง เป็นเกย์ผู้ยากจนและถูกรังเกียจ
จนเช้าชายตายและร่างกายเน่าเปื่อนแล้ว จึงพบว่าแหวนแห่งราชายังติดอยู่ภายในลำส่วนนึงของลำไส้องค์ชายนั่นเอง
Wtf 🤔
กลายเป็นโครงการเรื่องสั้นจัญไรไปแล้ว
กุว่าจะฝึกเขียน อยากเอาพล็อตจากโดจินมาฝึก
มั่ยต่อกันแร้วอ่อ 😶
>>185 "ช่วยไม่ได้ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับยอมแพ้ พร้อมกับยื่นมือโอบกอดร่างบางของหญิงสาว
ภายใต้อ้อมกอดนั้น หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุขกับการแลกไออุ่น หน้าสีแดงระเรื่อของเธอคลอเคลียไปกับหน้าอกของชายหนุ่ม
ในมุมมองของชายหนุ่ม ตอนนี้เพื่อนสนิทของเขาไม่ต่างอะไรไปกับลูกแมวขี้อ้อนที่เขาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ด้วยความเอ็นดูเขายื่นมาไปลูบหัวหญิงสาวอย่างแผ่วเบา "เหมือนเด็กจังเลยนะ"
หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ผลักตัวออกจากชายหนุ่มพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง "ไม่ใช่เด็กซักหน่อย"
ชายหนุ่มได้ยินก็หัวเราะอย่างชอบใจ "ไม่หรอก ดูยังไงเธอตอนนี้ก็แค่เด็กน้อยขี้อ้อนคนหนึ่งเท่านั้นแหละ"
หญิงสาวไม่พอใจเป็นอย่างมาก เธอดันตัวของชายหนุ่มลงไปนอนกับโซฟา "ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่เด็กแล้วนะ !! "
-----------
เห็นแล้วอยากต่อ แต่สกิลความมุ้งมิ้งไม่ถึงอะ
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.