200k มันก็น่าจะมีแหละแต่ก็ต้องระดับเฮด หรือ สเปเชียลลิสมากๆนะแหละ
กุซีเนียร์ธรรมดาก็เกิน 100k มาได้พอควรอยู่นะ
Last posted
Total of 1000 posts
200k มันก็น่าจะมีแหละแต่ก็ต้องระดับเฮด หรือ สเปเชียลลิสมากๆนะแหละ
กุซีเนียร์ธรรมดาก็เกิน 100k มาได้พอควรอยู่นะ
ต่อจากโพสที่แล้ว โพสนี้จะพูดถึงว่า Culture ของ Facebook แย่ยังไงถึงทำให้ตัดสินใจลาออก แต่ในทางตรงข้ามทำไมก็ยังเชื่อว่า Facebook ก็ยังจะสามารถจ้าง Engineer เก่งๆได้
หมายเหตุ: บางอันอาจจะเว่อร์ไปหน่อย และไม่จริงในหลายๆทีม แต่อันนี้รวบรวมจากที่ประสบพบเองและที่ฟังมา
สิ่งที่ไม่ชอบ:
1) การตัดสินว่าใครจะได้เลื่อนขั้น ใครจะโดนไล่ออก แทบจะวัดด้วยอย่างเดียวคือ impact
- ซึ่ง impact เนื่องจากมันเป็น OKR ก็คือต้องวัดได้ เพราะฉะนั้นคุณจะแบบไม่ช่วยใครอะไรทั้งสิ้นก็ได้ เขียน code ห่วยยังไงก็ได้ hacky ยังไงก็ได้ (ตราบใดที่ยังมีคนกด code review ผ่านให้) แต่ถ้าคุณทำสิ่งที่วัดได้นั้นให้มันดี improve metrics ได้ ด้วยวิธีใดๆก็ตาม คุณก็จะได้เลื่อนขั้น แต่ในทางตรงข้าม ถ้าคุณเขียน code ได้ดีแต่ไม่มี metrics รองรับ คุณก็จะไม่ได้ promote และอาจจะโดน PIP + ไล่ออกในไม่ช้า
- ได้ข่าวว่าบางคน manager บอกมาเลยว่า "ถ้าทีมอื่นให้ช่วยทำอะไร อย่าไปช่วยเค้า การช่วยทีมอื่นจะไม่ช่วยให้คุณได้เลื่อนขั้น"
2) ไม่มี ownership code ที่ชัดเจน
- ในหลายๆบริษัทเช่น Quora ทุกอย่างจะมี DRI หรือพูดง่ายๆคือเจ้าของ Code ที่คอยดูแล แต่ที่ Facebook แทบทุกอย่างอาจจะมีทีมที่ดูแล แต่ทีมก็อาจจะใหญ่มาก หรือหลายๆส่วนก็คือไม่มีเจ้าของเลย การที่มีเจ้าของร่วมเยอะๆและไม่มีคนต้องรับผิดชอบ ทำให้ทุกคนไม่มีใครแคร์ว่าของมันจะดีมั้ย ยิ่งคุณภาพของ code เป็นสิ่งที่วัดไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งไม่มีคนสนใจ เพราะสนใจไปก็ไม่มี "impact" แม้ว่า Facebook แกนหนึ่งในการพิจารณาก็คือ engineering excellece แต่เอาเข้าจริง อะไรที่วัดไม่ได้ คนก็จะไม่สนใจ เพราะมันไม่มีผลอะไรกับชีวิต
3) ความคาดหวังว่า Senior Engineer จะต้อง lead project ทั้งในทาง technical และ non technical
- สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ได้เลื่อนขั้นโดยเฉพาะจาก Senior -> Staff++ ที่ Facebook คือคุณจะต้อง lead project ขนาดใหญ่ขึ้น scope กว้างขึ้น แต่ถ้าของมันก็มีอยู่เท่าเดิมจะเกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทุกคน ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้า คอยสั่ง คอยกดดันให้คนอื่นทำทุกสิ่งที่ตัวเองสัญญาไว้ใน OKR เพื่อที่ตัวเองจะได้ promote ไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าทุกคนอยากสั่งคนอื่น แต่ไม่มีใครอยากทำอะไร
- "เพราะการทำอะไรหนะ มันเป็นงาน E3-E4 แต่การสั่งชาวบ้านหนะมันเป็นงานของ E5+"
4) manager ไม่มีหน้าที่กันเราจากทีมอื่น
- ในที่อื่นๆที่เคยทำมาปกติถ้ามีคนมาสั่งเราในงานที่ไม่เกี่ยวข้อง manager มักจะช่วยปกป้องเรา หรือไปเคลียกับคนอื่นให้ แต่ที่ Facebook ที่พบมาคือ manager ไม่มีความเข้าใจด้าน technical และไม่มีความคาดหวังที่จะต้องเข้าใจด้วยซ้ำ (เป็น people management ล้วนๆ) เพราะฉะนั้นเค้าก็จะแบบเหมือนเป็นที่ปรึกษาชีวิตแบบได้แต่บอกแบบ "สู้ๆนะ" แต่ช่วยอะไรแทบไม่ได้ พอรวมกับข้อ (3) ก็ยิ่งแย่ไปกันใหญ่
5) code quality นรกมาก
- อาจจะไม่น่าเชื่อ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าบริษัทอื่นๆแม้แต่บริษัทเล็กๆในไทยก็น่าจะ code quality ดีกว่าใน Facebook ซึ่งแย่เพราะไม่มีใครแคร์ ถ้าเปิด code Facebook ดูจะเห็นความก็อปแปะ ทุกอย่างเละแทะมาก
- "แต่จะสนใจไปทำไมหละ ตราบใดที่ยังมี impact เราก็ได้ promote ยิ่ง code ไม่มี ownership ด้วยก็ไม่ใช่หน้าที่เราในการไปทำให้มันดีขึ้น"
6) สิ่งที่เรียนรู้ไม่สามารถนำไปใช้ในงานต่อไปได้
- ข้อนี้จริงๆอาจจะเป็นบริษัทใหญ่ๆแทบทั้งหมด คือ tool/abstraction ต่างๆ ของ Facebook คือมีของตัวเองหมด เพราะฉะนั้นถ้าย้ายงานก็เหมือนที่เรียนรู้ไปแบบศูนย์เปล่า คือคนอาจจะบอกว่า concept ต่างๆมันก็เอาไปใช้ในงานต่อๆไปได้ แต่คือมันก็คงได้สักแบบ 20% อะไรงี้มั้ง ซึ่งแบบการเรียนรู้อะไรก็รู้สึกเสียเวลาเปล่ามากๆ
===
แล้วทำไมยังเชื่อว่า Facebook ก็ยังจะสามารถจ้าง Engineer เก่งๆได้
1) รวย
- ข้อนี้จริงๆสำคัญแทบจะที่สุดในโลกทุนนิยม Facebook จ่ายได้ไม่อั้น จ้างคนเก่งๆได้ไม่จำกัดมาทำงานโง่ขนาดไหนก็ได้ อยากได้อะไรก็เปย์ๆๆ แล้ว benefit perk อื่นๆก็สู้กับทุกคนได้หมดจริงๆ ไม่ใช่แค่เงินเดือน แต่ประกันสุขภาพ ออฟฟิศและอื่นๆ ก็สู้ได้จริงๆ
2) ชื่อเสียง
- เอาจริงๆใน FAANG Facebook ก็น่าจะเป็นอันที่ชื่อเสียงด้าน engineer ดูดีเป็นอันดับต้นๆ การมีชื่อ Facebook แปะก็มีคนสนใจมากมาย ไปทำอะไรต่อในอนาคตก็ง่ายจริงๆ
3) culture fit
- สิ่งที่เป็นข้อเสียที่ว่ามาทั้งหมด ความวุ่นวายแบบนี้ก็คงมีคนชอบแหละ ยิ่งคนที่อยู่ใน Facebook มาตั้งแต่จบใหม่ก็อาจจะไม่รู้สึกว่าที่ว่ามาเป็นปัญหาอะไรด้วยซ้ำ เผลอๆถือว่าเป็น feature ของบริษัท เพราะถ้าแบบ exploit ตรงนี้ได้ก็เจริญก้าวหน้ารัวๆได้เลย E6-E7 ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่ส่วนตัวอยู่แบบนี้ไม่ได้จริงๆ
200k ถ้าเป็นสาย devops นี่ยังไงก็มีถึงว่ะ สายนี้แม่งหาคนเก่งๆได้น้อยชิบหาย ต่อให้มีตังบางทีก็จ้างไม่ได้เพราะไปติดทำกับที่อื่นอยู่แล้ว
devops นี่ด้วยความที่งานมันความรับผิดชอบสูง+ต้องทำนอกเวลา บางคนทำได้ก็ไม่อยากทำด้วย
บ. เก่ากู devops ระดับเทพคนนึงถึงขนาดยอมลาออกแบบลดเงินเดือนไปเป็น dev ธรรมดาที่อื่น
ทำงานวันละ 18 ชมอาทิตย์ละ 7 วัน จะเข้าห้องน้ำหรือนอน มีสะดุ้งจะโทรมาหรือเปล่าวะ แบบนี้ก็ไม่ไหวนะ
มีใครทำงานwork from homeบ้างปะ กูอยากรู้ว่าถ้าจัดโต๊ะคอมเเล้วปิดไฟรอบข้าง ชอบไฟสลัวๆ เเต่ติดไฟเเค่หน้าโต๊ะคอม,หน้าจอพอ
เเบบนี้มีผลเสียไหมกับสายตา หรือมีโคมไฟ ,การจัดโต๊ะทำงานเเบบไม่ได้เปิดไฟบนเพดานบ้างไหม กูรู้สึกชอบความมืดๆสลัวๆ อยู่เเล้วสมองเเล่นอะ
https://www.blognone.com/node/131247
มีใครรู้อะไรมั่งป่ะ มีแต่คนคอมเม้นว่า อืม ข้างในน่าจะปัญหาเยอะสินะ
who the fuck need jira these day.
ไปช่วยชี้ทางสว่างให้คนในบอร์ดเกมส์เลิกเล่นเกมส์กันเถอะ https://fanboi.ch/game/8282/
มาเขียนโปรแกรมดีกว่าเยอะเลย
คุณอ๊บแกมีเรื่องทุกวันเลยหรอ ทำไมสามารถมีเรื่องมาโพสเรื่องในกลุ่มได้ตลอด ดูเจนโลกดี หรือมันเป็นเรื่องปกติของคนที่เป็น CEO
เห็นมีกระทู้เกี่ยวกับโปรแกรมเมอร์ แต่เราไม่ใช่นะ แต่ตอนนี้เรางงกับโปรแกรมของทางบริษัทนิดหน่อย คือบริษัทจะเป็นการหาข้อมูล การเก็บข้อมูล จากสื่อต่างๆ พวกรายการทีวี เว็บไซต์ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ คือจะตามเก็บข้อมูลจำเพาะบางอย่างทั้งหมดที่ไปลงตามสื่อทุกอย่าง ทีนี่มันมีปัญหาตรง นิตยสาร และ นสพ. คือทางบริษัทจะมีโปรแกรมตัวนึง เอาไว้ใช้ ก๊อปปี้ตัวหนังสือ ตัว text ออกมาจากไฟล์สแกน ไฟล์ภาพ อะไรแบบนั้นอ่ะ สมมติ มีแผ่นป้ายโฆษณานึง หรือพวกแผ่นป้ายโครงการก่อสร้าง ทางบริษัทไปถ่ายมาเป็นภาพ ส่งภาพเข้าโปรแกรม มันก็จะได้ตัวหนังสือที่เห็นทั้งหมดในภาพออกมาจัดเก็บเป็นข้อมูล หรือพวก นสพ. มีข่าวอสังหานึง ก็สแกนจากนสพ.มา เอาภาพที่สแกนเข้าโปรแกรม ก็จะได้เนื้อหาข่าวนั้นมาทั้งหมด ทีนี้จู่ๆ ไม่รู้มันเกิดอะไร โปรแกรมมันอ่าน text ออกมาเพี้ยนบ้าง บางทีอ่านแค่บางบรรทัดบ้าง เลยทำให้มีปัญหาเวลาจัดเก็บ ต้องมานั่งตรวจ ไม่พอ ถ้ามันขาดๆ หรือเนื้อหาผิดเพี้ยน ต้องมานั่งตามพิมพ์ให้มันถูก แต่ก่อนมันเคยเป็นแบบนี้มาบ่อยๆ เหมือนกันนะ แต่ทางโปรแกรมเมอร์บริษัทก็แก้ไขอัปเดต font หรืออะไรนี่ล่ะให้มันไม่มีปัญหามาตลอด แบบ แก้แปปๆ ก็อ่านค่าได้ปกติ ทีนี้ จู่ๆมันก็เกิดแบบนั้นขึ้นอีก เป็นแบบนี้จนมาจะเกือบปีแล้ว คือทางบริษัทต้องรับสมัครคนมานั่งพิมพ์ คีย์ text เพิ่มเลยอ่ะ แล้วตัวโปรแกรมก็ไม่มีแก้ไขอะไรเหมือนแต่ก่อน เพราะโปรแกรมเมอร์ทีมเดิมออกไปแล้ว พวกที่มาใหม่ก็บอกว่า เดี๋ยวแก้ เดี๋ยวแก้ แล้วก็บอกว่าเป็นงานยาก ต้องใช้เวลาเป็นปี คือ หลายคนก็งง เพราะ คนก่อนทำ ก็แปปๆ ใช้งานได้ปกติ
คือ เราซึ่งไม่มีความรู้ด้านโปรแกรมเมอร์อะไรนะ อยากรู้ว่า มันยาก มันใช้เวลานานจริงมั้ย เห็นแผนกนั้นไม่ได้ทำงานอะไรเท่าไรเลย เห็นลงไปนั่งกินกาแฟข้างล่างกันจนหมดเวลางานก็กลับเกือบทุกวัน ก็เลยสงสัย
>>905 ยาวหน่อยแต่อ่านให้จบนะ
เวลาเป็นปี = เอางี้โปรแกรมเมอร์เป็นงานกับไม่เป็นงาน ค่าจ้างแพงกับค่าจ้างถูก มันต่างกันตรงนี้น่ะ ตอบแบบนี้เข้าข่ายไม่อยากทำ หรือทำไม่เป็นเลยมั่วให้นานแล้วจะได้ไม่ต้องทำมากกว่า
ส่วนวิธีต้อง update font ไปเรื่อย อันนี้เดาว่าโปรแกรมทำมานานแล้ว สมัยก่อนยังไม่มี Machine learning มันต้องคอย updage font ตามเรื่อยๆ แต่มันไม่ใช่เอา font ใส่ได้เลยต้องไปยัดโปรแกรมแปลงอีกรอบ คนใหม่หาไม่เจอเลยโบ้ยมั่วซั่ว
ถ้ายังเหลือโค้ดเก่าอยู่ ปรับปรุงระบบใหม่แบบไม่ต้องแก้ซ้ำบ่อยๆ มันทำได้อยู่ อาจจจะมีค่าใช้จ่ายนิดหน่อย ไปใช้ API จาก third party จบไม่ต้องคอย update font ตามเรื่อยๆ ด้วย google ก็ได้ มันมีตัว clound vision api ให้ใช้เพียงแต่ต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนนิดหน่อย ยังไงก็ถูกกว่าจ้างคนมีคีย์อ่ะ
ส่วนถ้าไม่มีงบ หรืออยากลองทำด้วยตัวเองดูก่อน เอางี้ google drive มันแปลงรูปเป็น text ได้นะ เอารูปใส่ google drive คลิกขวาเปิดด้วย google docs มันก็แปลงรูปเป็น text อัตโนมัติ ไม่ต้องมานั่งคีย์ ถ้าไม่เข้าใจก็ลองดูนี่ https://www.iphonemod.net/change-file-picture-to-text.html
* ปล.แต่ไงต้องตรวจทานเอาหน่อยกันพลาดนะ
>>905 กูไม่เคยทำโปรแกรมแนวๆนั้น แถมไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยโปรแกรมเมอร์คนนั้น ไม่ได้เห็นโค้ดหน้างาน ก็คงตอบได้แค่กลางๆนะ
กูแชร์ความคิดเห็นของกูจากที่อ่านเป็นข้อๆละกัน มันมีประเด็นย่อยๆจุกจิกเยอะ แล้วกูไม่รู้จะเรียงยังไง
- ไอ้ปัญหาคนเก่าออกแล้วคนใหม่เข้ามาแทนแก้ของเดิมไม่ได้เป็นปัญหาคลาสสิคของวงการนี้อยู่แล้ว ซึ่งมันก็เกิดได้จากหลายสาเหตุประกอบกัน
มีทั้งปัญหาที่เกิดจากคนเก่า เช่นวางโครงไว้ไม่ดี ไม่ยืดหยุ่น ไม่ทำอะไรอย่างที่ควรจะทำจนคนมาทีหลังทำความเข้าใจได้ยาก ปัญหาที่การส่งต่อความรู้จากคนเก่าไปให้คนใหม่ไม่ดี ไม่มีเอกสารทิ้งไว้ให้ ปัญหาที่คนใหม่มันไม่มีความรู้หรือไม่เก่งจริงๆ แต่เวลาเกิดปัญหาคนใหม่มักจะซวย เพราะภาพที่คนเห็นมันคือคนใหม่ทำงานไม่ได้
- เรื่องต้องใส่ font เข้าไปเนี่ย กูแค่รู้สึกว่ามันฟังดูแปลกๆ เดาว่ามันอาจจะไม่ใช่การใส่ font เข้าไปจริงๆ แต่เค้าอธิบายแบบง่ายๆให้คนนอกเข้าใจ เนื้องานที่ต้องทำอาจจะมีอะไรมากกว่านั้น แล้วสำหรับรูปที่มันมีปัญหาตอนคนใหม่เข้ามาแล้วมันอาจจะแก้ยากกว่าจริงๆก็ได้
- เป็นไปได้มั้ยว่าปัญหาบางส่วนอาจจะเกิดจากรูปที่ป้อนเข้าไปช่วงหลังๆด้วย เช่นรูปเบลอ สแกนมาความละเอียดไม่ชัดเท่าของเก่า โปรแกรมที่เคยอยู่ของมันดีๆเลยทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิม
- ถ้าแก้ของเก่ามันยาก อาจจะเพราะเทคโนโลยีหรือแนวทางเดิมที่วางไว้มันไม่ดีก็ตาม ลองยอมให้รื้อทิ้งทำใหม่มั้ย บางทีดูเหมือนยากและเปลืองกว่า แต่เป็นผลดีกว่าในระยะยาวก็ได้
- เรื่องที่บอกว่านานแล้วไม่ทำซะทีเนี่ย จากที่อ่านกูเดาว่าโปรแกรมเมอร์ไม่ได้ดูแค่ระบบนี้ แต่น่าจะมีงานอื่นๆด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการลำดับความสำคัญของงานด้วยว่าใครเป็นคนจัด เค้าให้อันนี้อยู่ต่ำเพราะมองว่าไม่แก้มันก็มีทางออกด้วยการกรอกมือไปก่อนรึเปล่า แล้วมีงานอื่นที่มันสำคัญกว่าเข้ามาตลอดจนไม่ได้เอาอันนี้มาทำซักที ถ้ามึงเดือดร้อนก็ต้องไปเจรจากับคนจัดลำดับว่าให้เค้าเลื่อนลำดับงานนี้ขึ้นมาได้มั้ยเอา
- เรื่องไปนั่งร้านกาแฟมันก็เป็นได้ทั้งนั่งในออฟฟิซแล้วมีคนมาถามหรือขอให้ทำนู่นนี่จนไม่มีสมาธิทำต้องหนีไปทำที่อื่น หรือจริงๆไปนั่งอู้งานให้ไกลหูตาไกลตาคนอื่น
เอาเรื่องบ่นไปเมื่อวาน วันนี้อัปเดท ใช้งานได้ปกติแล้ว
https://youtu.be/m8Icp_Cid5o
system design
https://narunc.medium.com/เงินถูกดูดหายหมดบัญชี-จริงๆแล้วเกิดอะไร-ยังไง-a070fee9e1c7
https://www.blognone.com/node/132272
บทความเกี่ยวกับเรื่องแฮคดึงเงินจากแอพธนาคารที่เป็นข่าวบ่อยๆ ที่ตอนแรกกูก็งงว่าในทางเทคนิคมันทำยังไง
เจอ 2 อันนี้อธิบายได้ดี เห็นน่าสนใจเลยมาแชร์
เรื่องเล่าโปรแกรมเมอร์ ตอน "จากติดลบสู่ โปรแกรมเมอร์ 100 ล้าน"
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนครับ วันนี้ขอพาทุกท่านย้อนเวลากลับไป 7 ปีก่อน
วันนั้นเพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ซอฟแวร์เฮ้าส์แห่งนึง
ได้ทักมาหาพูดคุยกันตามปกติ แล้วตบท้ายด้วยเรื่องราวน่าสนใจกับไอเดียใหม่ของเขา นั่นคือ การทำระบบร้านค้าออนไลน์ แบบจัดการออเดอร์จาก woo, magento ในที่เดียว แม้จะมีเป็นสิบเว็บ ก็จัดการแค่จุดเดียวจบ
ตอนนี้ได้เงินจากนักลงทุนมาแล้วก้อนนึงเล็กๆ 2 ล้าน
...
ในนาทีนั้นยอมรับเลยว่าผมมองไม่เห็นว่ามันคืออะไร ก็แค่ระบบจัดการออเดอร์ไปต่อ API ของ Woo, Magento ไม่มีตรงไหนว้าวเลย
...
และแล้ววันเวลาผ่านไป
1 ปีนับจากวันนั้น เขาได้เริ่มสร้างตัวเว็บออกมาเป็นเรื่องเป็นราว ใช้งานได้ระดับนึง แต่มันก็ยังขาดทุนนะ คือยังไม่ทำกำไรนั่นล่ะพูดง่ายๆ งบที่มีก็เผาหมดสิ้นไปแล้วเรียบร้อย
เอาจริงๆ นะเงิน 2 ล้านจ้างคนเขียนโปรแกรมแค่ 1-2 คนกับ SA, Designer 1 คนนี่ก็แทบจะหมดละ ยังต้องมาจ่ายค่าโสหุ้ยต่างๆ อีกสารพัดในออฟฟิศ มันไม่แปลกอะไรเลยที่เงินจะหมดสิ้นไปก่อนทำกำไร
ผมก็หัวเราะในใจ เห็นมะ กรูว่าแล้วไหมล่ะ อีกหน่อยแม่มเจ้งแน่ไอ้โปรเจคนี้ เขาเจ้งกันเยอะแยะพวกสตาทอัพ ไม่ดูข่าวบ้างหรือไง เห้อ
...
เพื่อนผมไปขอเงินนักลงทุนเพิ่มอีก ก็คนเดิมนั่นล่ะเขาลงเงินมาอีกก้อนนึง คราวนี้ได้มา 10 ล้าน คงเพราะเขาเห็นตัวเลข user ที่เข้ามาใช้ระบบ กับได้เห็นตัวงานแล้วว่ามันใช้ได้จริงๆ ทำออกมาได้ ไม่ใช่การเอาเงินไปเผาเล่น
วันเวลาผ่านไปอีก 1 ปี
ก็ยังขาดทุนอยู่อีก (คือไม่มีกำไร) และเงินก็หมดไปพร้อมกองกำลังทีม Dev เต็มออฟฟิศ ผมเคยไปเยี่ยมเยือนที่ออฟฟิศช่วงนั้น เห็นมีกันเยอะนะ น่าจะราว 20-30 คน ทีมการตลาด ทีมเซลด้วย แล้วก็ทีมเทรนนิ่งลูกค้า
...
แต่แล้วผ่านไปอีกปี ถ้าผมจำตัวเลขไม่ผิดนะ โปรเจคนี้ก็ยังคงขาดทุน (ไม่มีกำไร) 3 ปีรวด รู้สึกจะติดลบไปหลายล้านเลยแหละ
ในหัวผมคิดเลยว่าคงมีแต่คนบ้าเท่านั้นล่ะ ที่เล่นเสียแล้วเสียอีกก็ยังจะลงไปเล่น รอให้หมดตัวก่อนหรือไงถึงจะเลิก
...
วันเวลาของเขามาถึงแล้ว
ในปีต่อมาของโปรเจคนี้ฐานลูกค้าแน่นเข้าเรื่อยๆ โปรดักเองก็มีฟังชั่นเยอะมากขึ้น มีทั้งพวก Sale Page, E-Commerce ต่อกับ Lazada, Shoppee ต่อกับ PEAK Account, Flow Account, Zort, และอื่นๆ เรียกว่าเกาะทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับโลกการซื้อขายออนไลน์
โยงไปถึง Facebook Page, Live และอะไรอีกเต็มไปหมด
นั่นล่ะฮะท่านผู้ชม กำไรของปีที่ 4 ฟาดไป 20 กว่าล้าน
และในปีต่อๆ มาก็โดดไปเรื่อยๆ 35 ล้าน 50 ล้าน และไปจนหลักร้อยล้าน
...
แต่ก่อนไปกรุงเทพ ผมจะได้แวะหาเพื่อนคนนี้เป็นประจำ
ดื่ม กินเที่ยว ด้วยกันเสมอ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนร้อยล้าน ที่ไม่มีเวลาได้คุยกันอีก และผมเข้าไม่ถึงตัวเขาแล้ว หวังใจว่าสักวันเราจะได้พบกันในบรรยากาศเก่าๆ ที่เคยได้สนุกสนานแบบเป็นกันเอง
เรื่องราวของเพื่อนคนนี้สอนให้ผมรู้ว่า
โลกของการทำธุรกิจ แพ้ 10 ครั้งไม่เป็นไร ขอแค่เพียงชนะหนเดียวก็คุ้มแล้ว
และอีกหนึ่งบทเรียนที่ได้รับ
มันไม่ได้สำคัญหรอกว่าเราหมัดหนักแค่ไหน
แต่สำคัญว่าเรารับหมัดได้หนักและนานแค่ไหนต่างหาก
...
ทิ้งท้าย
ผมขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเพื่อนคนนี้
ถ้าหากเขามาอ่านบทความนี้ ก็จะรู้ว่าผมเขียนเรื่องราวของเขาอยู่
อยากบอกกับนายว่า นายคืออีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้เราต่อสู้ยามท้อ
ความสำเร็จที่นายพิสูจน์ให้เราได้เห็นกับตา
มีค่ากว่าพวกตำราเรียน หรือคำสวยๆ จากไลฟ์โค้ชเป็นร้อยเท่า
ขอบคุณกับเบียร์ทุกขวดที่เคยเลี้ยง
ขอบคุณเรื่องราวที่นายไม่ได้เล่า แต่เราเห็นด้วยตัวเอง
นาทีนี้ ขอยอมรับและคารวะจากใจ อย่างไร้ข้อกังขาทุกประการ
นายไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมเมอร์ที่เก่ง
แต่นายเป็นผู้บริหาร นักการตลาด ที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง
...
กำแพงเมืองจีนไม่ได้สร้างในวันเดียวฉันใด
ความฝันอันยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้สร้างกันในวันเดียวฉันนั้น
เอาบทความดีๆ จากอาจารย์ท่านนึงมาฝากจวั๊ฟ
วันนี้มีประชุมใหญ่ประจำปีของบริษัท แล้วมีพูดเรื่องนวัตกรรม แต่ละเรื่องที่พูดยังวนเวียนอยู่กับเรื่อง เงินคริปโต NFT Metaverse กันอยู่เลย
คืออยากโชว์ว่าตามเทรนด์ก็ช่วยอัพแพทช์กันหน่อยเถอะ ชาวบ้านชาวช่องเค้าถอนสมอหนีเรื่องพวกนี้กันไปถึงไหนแล้ว
ที่หนักสุดคือคนนึงออกมาพูดชื่นชมนวัตกรรมเครื่องตรวจเลือดของ Elizabeth Holmes คือเค้านอนหลับไปหลายปีแล้วเพิ่งถูกปลุกให้ขึ้นมาพูดหรอ
สวัสดีครับ มีพี่ๆเพื่อนๆคนไหนพอจะแนะนำเกี่ยวกับ bootcamp ของ Generation Thailand หน่อยได้ไหมครับ หารีวิวมาหลายที่แล้วก็ไม่เจอ เห็นเปิดมา 4 ครั้งแล้ว มันดีไหมครับ
รู้สึกหมดไฟจริงจังว่ะ จากตอนแรกแค่ขี้เกียจทำงาน ตอนนี้งานอดิเรกเขียนโปรแกรมเล่นๆที่แต่ก่อนทำได้ไม่มีเบื่อก็ขี้เกียจทำซะแล้ว
อัพเดตชีวิตตอนนี้ อายุ 30 แล้ว อยากหางานประจำ อยู่ยาวเกษียณ ตอนนี้ทำ outsource บริษัท finance, banking อยุ่ ได้แค่เกือบๆ 70k เอง (เหมือนที่นี่เงินเดือนที่เค้าให้ได้ใกล้ตันแล้ว แล้วเงินนี้มันน้อยไปไหมถ้าเทียบกับพวกนาย ประสบการณ์ 6 ปีครึ่ง) เอายังไงกับชีวิตดี พี่ พนง ประจำ ที่เคยทำงานด้วยกันที่ลาออกไป ก็แนะนำว่า เรามาสายนี้ก็ไปสาย finance banking ต่อไปเถอะ เงินดี พวกนายคิดว่าไงบ้าง
ไม่ได้มาบอร์ดนี้นาน
>>917 ไหนๆก็มาทางนี้แล้วถ้าไม่รังเกียจก็ทำสายนี้ต่อก็ได้มั้ง
ถ้าไม่ชอบความเรื่องเยอะของแบงค์ เดี๋ยวนี้ก็มีที่ๆเค้าปรับเปลี่ยนแนวทางแล้ว หรือไม่ก็ไปอยู่บริษัทลูกของแบงค์แทนได้
เปลี่ยนเป็นประจำแล้วเรื่องเงินเดือนอย่าดูแค่ตัวเลข อย่าลืมเทียบปัจจัยอื่นๆด้วย
อย่างสวัสดิการ โบนัส (ซึ่งเอาจริงๆแม่งก็เอาแน่นอนไม่ค่อยได้) ความหนักของงาน โอกาสเติบโต ฯลฯ
โม่งกุถามหน่อย
อุปกรณ์ iot ที่กุใช้อยู่มันมีให้เลือกส่งค่าเป็น json โดยใช้ https protocol
ถ้ากุอยากจะอ่านค่าที่ส่งไปต้องทำยังไงบ้าง
เพื่อนโม่ง ในนี้มีใครทำงาน/มีเพื่อนทำงานสาย IT ในบริษัทรถไฟฟ้า B*S,M*T มั่งปะ อยากรู้ว่าเงินเดือนกับสภาพแวดล้อมเป็นไงมั่ง เห็นเขาเปิดรับสมัครอยู่ อยากไปลอง แต่ก็อยากได้ข้อมูลไว้เตรียมตัวด้วย
kbtg ดีไหมพี่โม่ง
ต้องทำงานกับคนแผนกอื่นที่ตำแหน่งและอายุก็ไม่ได้น้อยแล้ว แต่ต้องมาเถียงกับมันเพราะมันไม่เข้าใจว่า empty string กับ null ไม่เหมือนกัน กูจะบ้าตาย
กุอยากรุ้พวกหา โปรแกรมเมอร์ที่ใน กลุ่ม job for thai programmer เช่น salary up to 100k 120k 150k มันเอาโปรแกรมเมอร์ไปทำไมวะ โค้ดเฉยๆ ทำทุกอย่าง เป็น lead, senior หรืออะไร ทำไม
>>927 ลองเข้าไปดูต้นทางสิงาน recruit ทั้งนั้นแหละ หามาหลายคนแล้วกรองๆ จับส่งให้ บริษัทที่ต้องการด่วนอีกที และถ้าเงินเดือนให้สูงผิดปรกติให้เข้าใจไว้ก่อนมักเป็น contract ที่เช็นไว้รัดกุมมาก ถ้าว่ากันง่ายๆ คนมาพัฒนา software มันถูกกว่าจ้างบริษัทข้างนอกทำให้ไง แล้วก็ระวังไว้หน่อยว่าถ้าชื่อโนเนมก็ one for all ไปประชุม แล้วทำทุกอย่างเองเลยจนส่งงาน รวมทั้ง present เองด้วย ไม่ต้องมี lead senior อะไรทั้งนั้น
กุรุ้สึกตันๆกับงานที่ทำอยู่
ทุกวันนี้ทำเกี่ยวกับพวก iot ดูทั้ง hardware พวก sensor gateway router, software ก็พวก database api dashboard
มันพอจะไปต่อทางไหนได้อีกไหมวะ
พี่โม่ง น้องทำงานมาปีครึ่ง ยังไม่มีโบ ไม่มีปรับเงินเดือน ย้ายเลยดีไหม หรืออยู่ต่ออีกหน่อย
ขอ how to ทำงานกับ ux/ui แบบไม่ให้หงุดหงิดหน่อย
อย่าหาว่าโม่งสอน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนหรอกคอร์สเทสเตอร์ไรพวกนี้ ส่งไปกี่บ.เขาก็ไม่เอา คอร์สขายฝันหลอกคนจบไม่ตรงสายย้ายงานไปไอที หมดค่าคอร์สเรียนเป็นหมื่นได้ใบเซอร์มาแต่สมัครงานไปหลายที่เขาก็ไม่เอา โดนตอกกลับมาว่ารับแค่คนจบตรงสายอยู่ดี
>>938 ปกติสัมภาษณ์ไม่ดูผิวเผินแค่จบที่ไหนมาหรอก สายนี้โดยมาก (ย้ำว่าโดยมากนะ) ไม่ได้สนใจเรื่องวุฒิมากมายอะไรด้วย
มันต้องให้ทำข้อสอบ ถามทดสอบความรู้ ความสามารถ ดูทัศนคติก่อนถึงจะเทียบว่าได้จะเลือกคนไหน
แต่ปัญหาคือเด็กจบมหาลัยไม่ดังแล้วเป็นเด็กจบใหม่อีก กับคนย้ายสายที่เอา cer คอร์สขายฝันมาแปะ
มันก็มีสิทธิที่ resume จะโดนเขี่ยออกตั้งแต่ยังไม่สัมภาษณ์สูงทั้งคู่เลย
แล้ววงการนี้มักไม่รับเด็กจบใหม่กันด้วย ส่วนมากเค้าอยากเลือกคนที่มีประสบการณ์ประมาณนึงแล้วมากกว่า
พวกบูชาใบปริญญาหลุดมาจากไหนวะ 🤮
https://twitter.com/remino/status/1702108812873011316?s=20
เรื่องแค่นี้ต้องดราม่าเลยเรอะ กูเห็นแอค htmx ก็ชอบเล่นมุกอะไรแบบนี้อยู่แล้ว
ไม่แน่ใจว่าฝั่ง bun ไม่เก็ทว่าเป็นแค่มุกเล่นเอาฮาเลยดราม่า หรือจริงๆรู้อยู่แล้วแต่ก็จะดราม่าอยู่ดี
>>944 ไอที มันมีหลายสาขา ถ้าพวก network / system ที่ทำแบบเป๊ะๆ มีรูปแบบตายตาย พวกนี้ใบเซอร์มีค่าในการพิจารณา มากกว่าวุฒิ
คือวุฒิมันจะพิจารณายังไง ในเมื่อวิชาที่เรียนอยู่กับงานที่ใช้มันไม่ตรงกันเลย (ยกเว้นส่วนภาษา)
ส่วนโปรแกรมเมอร์ อันนี้เนื่องจากภาษา กับเครื่องมือ มันเปลี่ยนบ่อย แล้วโปรแกรมมันแตกเป็นหลายรูปแบบ ทำเกม ทำเวป ธรุกิจ โรงงาน โรงแรม บัญชี ทำเครื่องมือ ระบบอัตโนมัต ระบบขนส่ง..... etc ดังนั้นวิธีคัดคนฝั่งโปรแกรมเมอร์ถ้าเคยมีพอร์ทงานอะไรคล้ายๆ กัน ก็รับมาทำแค่นั้นแหละ หรือถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็ทำข้อสอบในส่วนระบบที่คิดว่าต้องใช้เอา
ส่วนซัพพอร์ต อันนี้ฐานต่ำสุด มึงประกอบคอมลง windows ได้ เข้าหัว lan ได้หน่อยก็รับ แถมวุฒิไม่ต้องใช้ด้วย พวกนี้เน้นถูกเป็นหลัก
และส่วนมากพวกนี้ก็ไม่ได้ทำตลอดชีพหรอก ทำได้ซักพักมักหนีไปสอบ network / system เอาทีหลัง
https://twitter.com/java/status/1704127335983644701
Java LTS ใหม่ออกแล้ว ที่ออฟฟิซ service เก่าๆบางตัวยัง Java 8 อยู่เลย 555
งานสาย DevOps มีอนาคตแค่ไหน กูไม่ชอบและพยายามจะหนีแต่ก็หนีไม่รอด ทำงานที่ไหนเขาตำแหน่งอะไรก็ลากกูมาทำอยู่ดี จนตอนนี้ชื่อตำแหน่งกลายเป็น DevOps ไปแล้ว, head hunters ก็ทักมาแต่ตำแหน่ง senior devops engineer เอาดีไปเลยดีไหม
สัมภาษณ์เส้นทางชีวิต ก่อนจะมาเป็น Software Engineer ที่ Google Switzerland (Part 1)
https://www.youtube.com/watch?v=GDjqr8klJOA
WFH ก็ดีอย่างนึง บางวันกุปวดหัว เปื่อยๆ ถ้างานไม่เยอะ หรือไม่รีบเท่าไหร่ก็พอได้พักบ้างแบบไม่ต้องใช้วันลา แต่มา recovery ทีหลัง หลังจากหายป่วยเพื่อให้งานเสร็จทัน
มีใครเคยทำระบบแนวๆที่ต้องมี notification คล้ายๆที่มีในพวก SNS บ้างมั้ย
สงสัยว่าเวลาเก็บข้อมูลลงว่า notification ของ user แต่ละคนใครมี notification อะไรบ้าง อันไหนเห็นไปแล้วหรือยังไม่เห็นนี่มันเก็บกันแบบไหน
ถ้าเก็บลง Database ดื้อๆมันน่าจะเยอะมากจน query ช้าเป็นคอขวดของระบบ
จากที่หลายคนไปเจอมีม ว่ามีเดฟทำรายได้วันละ 100,000 โดยการทำงานละ 100 บาท ทำแค่วันละ 1,000 งาน ก็ได้ละวันละแสน
ถามว่าเป็นไปได้ไหม
ในหลักการปกติ เป็นไปได้ยากเพราะแต่ละงานใช้เวลาเขียนเยอะ
แต่ถ้าเราใช้แนวคิดใหม่ สร้างงานเดียวพอ ขายสัก 100 บาท เหมือนกัน แต่ขายคนได้ 1,000 คนในวันเดียว (ได้นะ เช่น แอพ หรือพวก SAAS) พวกนี้ เพียงแค่ว่ามันก็ไม่มีอะไรการันตีหรอกว่าคุณจะได้แบบนี้ทุกวัน
เรื่องของรายได้มัน dynamic อยู่แล้ว คนทำงานสายนี้เขารู้กันหมด
คำถามก็เลยกลายเป็นว่า ตกลงมันเป็นไปได้ หรือไม่ได้กันแน่
คำตอบคือมันเป็นไปได้ แต่ว่าคุณจะต้องสร้างอะไรบางอย่างให้มีคนอยากโหลด และยอมจ่ายเงินให้สิ่งนั้นวันละ 1,000 คน คนละ 100 บาท
หรืออาจจะปรับใหม่ ขาย 1,000 บาท ให้คน 100 คน (เออ ค่อยดูเหนื่อยน้อยลงหน่อย)
เรามองกันว่าพันบาทแพงไปไหม สำหรับผมนะ ไม่แพง ผมเองเคยซื้อแอพ ซื้อเซอวิส ซื้อโปรแกรมบางอย่างแพงกว่านี้ด้วยซ้ำ เช่น โปรแกรมอัดวีดีโอ ผมซื้อ 4,000 กว่าบาท หรือแอพพวก ToDoList, Mail Service และอื่นๆ ในราคาแพงกว่า 1,000 บาท
ลองดูครับ
ไอเดียเล็กๆ เป็นไปได้เสมอ แค่มองหาจุดขายให้เจอ
วันละ 100,000 ก็เดือนละ 3 ล้าน ปีนึง 36 ล้าน
ไปส่องรายได้ บ. เทคกันใน DBD มีคนทำได้เยอะแยะเลย ถ้านึกไม่ออก ไปดูของ อ. เล็ก แห่ง CodeMobiles ครับ เจ้านั้นเขาก็ทำรายได้อยู่ประมาณนี้
ขออนุญาตินะครับท่านเทพ อ. เล็ก เพราะข้อมูลพวกนี้ไม่ได้เป็นความลับอะไร ก็เลยขออ้างอิงหน่อย
แล้วก็มีอีกเยอะแยะหลายเจ้าเต็มไปหมด บางเจ้าเขาทำรายได้วันละ 1,000,000+ ก็มี อันนั้นเราจะไม่พูดกันละกันเนาะว่าเจ้าไหน
จะไปลงวิทย์คอมของ มสธ เอาวุฒิดีมั้ยพี่โม่งแนะนำหน่อย แต่หนังสือแต่ละเล่มเนื้อหาทำไมมันเยอะนักวะ https://readonline.ebookstou.org/flipbook/22069/mobile/index.html#p=1
>>959 เห็นคำว่าเอาวุฒิเลยไม่แน่ใจว่าอันนี้คือมึงอยู่ ม.6 กำลังจะเข้ามหาลัย
หรือทำงานแล้ว แต่อยู่สายอื่นแล้วอยากย้ายมาทำ IT
หรือเขียนโปรแกรมเป็นอยู่แล้ว แต่อยากได้วุฒิมาเพิ่มความน่าเชื่อถือเวลาหางาน
เรื่องหนังสือเรียนกูว่าจะหนังสือไทยหรือของนอกมันน้ำเยอะเป็นปกติอยู่แล้วอ่ะ
ถ้าเน้นรู้เรื่องแนะนำว่าหาตามเว็บที่มีให้อ่านฟรี / tutorial วีดีโอบน youtube ดีกว่าอ่านหนังสือเรียนพวกนี้เยอะ
และนำแนะว่าอยากให้อ่านภาษาอังกฤษมากกว่า สำหรับคนไม่ได้ภาษาแรกๆมันก็ฝืนหน่อย แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง
เพราะในการทำงานจริงมันต้องหาข้อมูลด้วยภาษาอังกฤษตลอกเวลา เอกสารก็เป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าเรียนด้วยภาษาไทยมันจะงงคำศัพท์ และมีปัญหาอื่นๆตามมา และทำให้การทำงานติดขัดมาก
>>963 วุฒิจำเป็นแค่ไหนนี่กูคิดว่าก็ไม่เท่าไหร่ แต่ของแบบนี้มันก็แล้วแต่ที่ด้วย
มันจะยากเป็นพิเศษตอนหางานแรกที่เค้าจะรับคนไม่มีทั้งใบปริญญาและประสบการณ์การทำงานนี่แหละ
ต้องหาที่ๆใจกว้างประมาณนึง ยินดีสอนงานคน และทำให้คนรับเค้าเชื่อว่ามึงทำงานได้โดยไม่มีทั้ง 2 อย่างนี้ให้ได้
ซึ่งเวลาสมัครงานมีโอกาสที่ไม่ถูกเรียกสัมตั้งแต่แรก เลยจบตั้งแต่ไม่มีโอกาสได้โชว์ความสามารถ
แต่การมีโปรเจคส่วนตัวไปแปะใน resume มันก็ช่วยทำให้ดูดีขึ้นอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาสก็ลองทำอะไรเล่นๆแล้วแปะไปเพิ่มดู
หรือเบื่อๆ ฝึกเขียน malware หรือ trojan ก็สนุก เอาไปปล่อยใน discord
https://www.blackbox.chat/
>>967 จากประสบการณ์ส่วนตัวกูคิดว่ามันน้อยที่ที่จะต้อง design Database ใหญ่ๆ
ถ้าไม่นับพวกงานสาย data ที่ต้องเรียนเรื่องพวกนี้มาเฉพาะอยู่แล้ว
แต่ก็คิดเหมือนกันว่าเรียนจากคอร์สออนไลน์ดีๆนี่ดีกว่าการไปอ่านหนังสือเรียน หรือเรียนมหาลัย โดยเฉพาะถ้าไม่มีปัญหาเรื่องจะเอาวุฒิ
รู้สึก project manager นี่แม่งหาคนพอดีๆยากจังวะ เจอประเภทไม่ใส่ใจ (เสือก) มากเกินไป ก็เป็นประเภทไม่ทำห่าอะไรเลย
มีใครทำบ.ต่างชาติที่ไม่มี hq ในไทยบ้าง ได้ยินว่าภาษีโหดกว่าทำบ.ที่มีสาขาในไทยนี่จริงรึเปล่า
.....
พี่โม่งคนไหนเคยมีประสบการณ์ title ไม่ตรงงานที่ทำไหม กำลังสงสัยว่าตัวเองกำลังถูกลิมิตเงินเดือนด้วย title: developer ทำดา แต่ทุกวันนี้เขียน ai/ml อะ แปลกป่ะ
>>969 เห็นข้อความนี้แล้วกูอยากจะร้องไห้ เพราะตอนนี้กูเจอประเภทหลังอยู่ ไม่เห็นทำห่าไรเลยอ่ะ มีแต่ถามว่าตอนนี้กูทำอะไรอยู่ แต่ถึงรับรู้ไปมันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีกว่ากูทำอะไรอยู่ คือสรุปตำแหน่งนี้มันมีไว้ทำไมวะ ? รู้สึกเหมือนแม่งทำนาบนหลัง dev ยังไงก็ไม่รู้ หรือกูเจอคนเหี้ย
DEV ที่กูเคยเจอไร้ประโยชน์กว่า AI อีก
>>975 หลักๆ เลยตำแหน่งนี้เอาไว้คุยอย่างเดียว ไม่ว่ากับกับลูกค้า คุยกับเซล ทำงานกึ่ง AE หา Supplier ติดต่อปริษัท server / service / license ต่อรองกำหนดส่ง ประสานงานข้ามสาขา จัดคิวงาน
ไอ้ตำแหน่งนี้ไม่ต้องมีก็ได้ถ้า Dev ทำงานพร้อมคุยได้ตลอดวัน
กูเคยทำควบ PM กับ Dev นะ สรุปคือไม่รอดจ้า ประสาทจะแดกเอา ระชุมทั้งวันอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เพราะต้องผ่านลูกค้าประสาทแดก Supplier ห่วยแตกนั่นแหละ ได้มาทำงาน Dev ได้ทำเอาตอนทุ่มนึงตอนนั้นก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว สุดท้ายต้องโอนงาน PM ไปให้คนอื่นแทน
ปล. เวลาทำงานส่วนมากมันก็บ่นว่างานกูหนักสุดทุกคนนั่นแหละ เพราะมันมองเห็นแค่งานตัวเองไง เอาแบบ Sale ก็ได้ถ้าดูผ่านๆ ไอ้นี่งานไม่หนักเลยได้ยอดได้เงินเพิ่มและ บริษัทก็โอ๋มากไม่ต้องเข้างานก็ได้ แต่ถ้าลองไปทำจริงจะรู้ว่าเครียสชิบหาย บุคคลิกบางคนนี่ไม่เหมาะทำไม่ได้
>>977 กูคือคนที่บ่นนะ ขยายความเพื่อความเคลียร์ละกันว่าไอ้งานคุย+ทำเอกสารตาม process ของบริษัท ซึ่งเป็นหน้าที่ของมันโดยตรงมันยังไม่ทำเลย เฉไฉโยนให้คนอื่นคุยแทน/ทำแทน มีคนเหลืออดไปจี้ในที่ประชุมว่าแต่นี่มันหน้าที่มึงนะมันยังหน้าด้านหาข้ออ้างไม่ยอมทำเลย ส่วนถามว่าทำไมไม่ฟ้องผู้ใหญ่ คือนึกภาพบริษัทใหญ่มากๆ แถมในโปรเจคคือคนทีมไหนก็ไม่รู้มีเป็นสิบทีม ไม่รู้จะฟ้องใคร ฟ้องผู้ใหญ่ไปก็ดูเป็นคนขี้ฟ้องเปล่าๆอีก
>>977 PM ที่กูเจอไม่ทำอะไรเลยอ่ะมึง ไม่ต้องติดต่ออะไรด้วย ซึ่งจริง ๆ ต้องทำเอกสารนะแล้วก็ต้องช่วยทีมตัดสินใจในบางเรื่อง แล้วทีมกูก็เล็กมากมันไม่ต้องมีก็ได้อ่ะ เอา dev มาเพิ่มยังทำให้งานออกมาเยอะกว่าอีกอ่ะแต่ไม่เอา เอาคนไม่รู้ห่าอะไรมาเป็น PM ก็ไม่ได้เพิ่ม productivity ทีมอะไรอยู่ดี สรุปคือกูเห็นด้วยกับมึงตรงที่ว่าถ้า dev พร้อมคุยก็ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ถ้าทีมใหญ่ stakeholder เยอะก็ควรมีอ่ะ มันจะทำให้การทำงานราบรื่นขึ้นมาก ๆ แต่ถ้ามีแล้วเหมือนไม่มีไม่ต้องมีดีกว่า
>>978 มึงเจอคนเหมือนกูเลยนะ คนที่กูเจอก็โยนแม่งตลอด เบลมเก่งเป็นที่หนึ่ง งานตัวเองไม่ทำไรเลยดีแต่พูดอย่างเดียว พูดทีก็ถามว่า dev จะเสร็จเมื่อไหร่ ทำไมอันนี้ไม่เสร็จ ทำไมอันนี้บอกเวลาเลยไม่ได้ แต่ไม่เคยคิดจะเข้าใจห่าไรเลย ลอยตัวเหนือทุกอย่าง กูก็อยากถามมากว่าจะมีไว้ทำไม แบบที่ดี ๆ ก็คงมีมั้ง แต่กูโชคร้ายไม่เจอ ดันเจอพวก free rider
Complex System, Emergent
นอกเรื่องหน่อยเพื่อนโม่ง กูจะไปสาย FullStack ยุคนี้เวบมันมีโฮสเจ้าใหนดีๆบ้างสำหรับเวบแอป
แล้ว docker / kuber aws เรียนตัวใหนดี หางานในไทย
แล้วเวบขนาดใหญ่ lazada shopee nocnoc ใช้ตัวใหน
มือใหม่เปิดโลกทำเวบจ้า
คือกูจะทำ demo project webapp + mobile + backend กะทำไว้ต่อยอดเป็น pitching project ด้วยเลย
แต่กูโง่เรื่องเวบมาก เพราะบ้านไม่รวย สมัยเรียนค่าโฮสแพงๆไม่มีจ่าย ทำได้แค่พวกโมบาย ตอนนี้มีตังแล้ว หน้าใหม่หัด FS
กึ่งๆโดนบังคับให้มาเป็น team lead แล้วรู้สึกไม่ค่อยชอบเลยว่ะ อยากทำงานนั่งเขียนโค้ดเงียบๆ ไม่ต้องยุ่งคนอื่นเกินจำเป็น
ไม่อยากมาเข้าประชุม ทำดีไซน์ ทำสไลด์ บรีฟงานน้อง ตรวจงานน้อง คุยกับคนทีมอื่นแล้ว...
>>987 ก่อนจะมางอแง มึงลองสมัครแล้วเข้าไปอ่านก่อนเถอะโยม
ตัวที่ใช้งานมันก็แค่ตัวติดตั้งนะ สมมุติ html / css / javascript มึงก็ไปใช้ codepen เขียนบนเว็ปได้เลย กะอีแค่เปิดเว็ปอะไรก็ได้มือถือ table ได้หมด
ส่วน requirement มันคืกกรณี run บนเครื่อง ส่วนเหตุผลมันก็เขียนบอกว่าไม่อยากยุ่งยากเสียเวลาไล่เพราะแต่ละเครื่องชอบลงเหี้ยอะไรไว้หลากหลายต้องมา support พวกโง่งอแง config มั่วซั่วไป Mac / Linux จบๆ อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรไปป่วนระบบมัน กรณีใช้ Win ก็ลง Virtual Machine รัน Linux ไปดิ
ปล. อยากให้สอนส่วนติดตั้งบน win ตรงๆ เริ่มต้นด้วยพื้นฐาน แล้วถ้ามึงเป็น newbie ด้วย กูแนะนำให้มึงไปซื้อ course udemy เหอะ
hello พี่โม่ง ว่าจะเรียนโทไอที เรียนที่ไหนดีครับ เล็ง ลาดบังกะ มศว ไว้อยู่
เห็นมีคุยกันเรื่อง front end สายเว็บ สงสัยว่าเวลาพวกมึงจะเลือก framework นี่เลือกจากอะไร
แล้วเคยรู้สึกว่าตัวเองเลือกผิด ต้องมาเริ่มเรียนรู้ใหม่หมดจนเสียเวลาเสียโอกาสบ้างมั้ย
คือกูเป็น backend แล้วเวลาฟังคนเป็น front end สายเว็บ คุยกันแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน
ทั้ง framework เลือกผิดชีวิตเปลี่ยน กับเทรนด์ที่แม่งเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่น
>>991 มองแนวกว้างดูไม่ว่าภาษาไหน หรือจะวาดกระดาษ concept responsive ภาษาไหนก็เหมือนกันหมด ส่วนที่เหลือถ้าพวก web / app ยิ่งง่าย ให้ยึดหลัก html css ธรรมดาที่เหลือมันแค่ตัวช่วย (บางที framework เสือกช้ากว่าเขียนดิบ) วางโครงได้ที่เหลือ animation มันแค่แฟชั่น แฟนซี เอาจริง timing ถ้ามึงเคยเขียนเกมนี้หมูเข้าปาก
ส่วน backend web ช่วงหลัง ส่วนตัวแล้วถ้าไม่ใด้ทำอะไรบ้าบอคอแตก กูใช้ wordpress ปิดงานซะส่วนมากว่ะ เพราะถ้าใช้ framework เป็นทางการ รู้สึกเปลือง ในเมื่อส่วนที่จะใช้เดี๋ยวนี้มันมีให้ครบหมดแล้ว ต่อ firebase / cronjob / ap / แบ่งระดับ account มันทำได้หมด เลยใช้อะไรที่ปิดงานไวดีกว่า
Agoda เปนไงบ้างพี่โม่ง รีวิวหน่อย
มีใครเคยสัม lseg/abacus/techx บ้างอ่ะ อยากรู้สัมเป็นไงบ้าง
เราจะวิจารณ์หรือด่า Solution ได้ยังไงถ้าเรายังไม่เข้าใจเลยว่าเขาจะแก้ปัญหาอะไร
สมัยก่อนคนหลายคนวิจารณ์ Go ว่าห่วยเพราะไม่มี Generic โดยไม่เข้าใจว่า Go มันออกแบบมาเพื่อเน้นแก้ปัญหาอะไร คือเขาต้องการ System programming language ที่มี Dev productivity ที่ดีและ Learning curve ต่ำ เขาก็เลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นจนมันมาหลังๆ
สมัยนี้เห็นคนบ่นว่าเว็บ Complex กว่าทำ UI สมัยก่อน แต่ไม่ได้เข้าใจว่า Web app เดี๋ยวนี้มันมี Brand identity ที่ต้องใส่เข้าไปในแต่ละเว็บไซต์หรือแม้แต่เว็บแอพ ลองทำ ปุ่ม Label Textbox ที่แบบต้องได้สีได้ลุคแอนด์ฟีลที่ใช่ที่เข้ากับ Brand identity ในสมัยที่เรามี Winform ดิ เหนื่อยมากนะ
(นี่ผมยังไม่นับเรื่อง Interactivity นะ เว็บเดี๋ยวนี้กรอกฟอร์มเป็น Wizard แบบสมัยก่อนไม่ได้แล้วนะ)
บางคนอาจจะเถียงกลับว่า UI ที่ดีควรล้อเข้ากับ Native อะไรที่อยู่บนแมคก็ควรมี Look & Feel แบบแมค อะไรบนแอนดรอยด์ต้องเป็นตาม Guideline ของแอนดรอยด์ดิวะ ทำไมคนสมัยนี้ UX ทำตามใจแบรนด์ตัวเองหมดไม่เคารพแพลตฟอร์มเลย
อันนี้คือข้อแตกต่างระหว่างโจทย์ที่ว่า
"เราให้ความสำคัญกับปัญหานี้เยอะไปมั้ยทำไมเราต้องมาบ้าเรื่องทำ Custom UI ที่ตรงกับแบรนด์ Identity ขนาดนี้ มันใช่มั้ยเนี่ยที่จะเอาปัญหานี้มาเป็นจุดโฟกัสของงานแล้วสร้างเฟรมเวิร์คเยอะแยะไปหมด"
กับ
"ปํญหานี้ที่เราเลือกมาแล้วว่าจะแก้ เราจะสร้าง Custom UI ให้ได้แล้วเนี่ย เราได้สร้าง Solution ที่ดีสมเหตุสมผลมั้ย มัน Unnecessary bloat, ไร้ประสิทธิภาพและซับซ้อน complex เกินไปมั้ย"
เนี่ยเป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนมาก คำถามแรกคือ Design question ส่วนคำถามที่สองคือ Problem solving question สองโจทย์นี้เป็นโจทย์คนละระดับกันเลย มันเอามาปนกันแล้วจะงงไปหมด
มันเหมือนคุณวิจารณ์ว่าค้อนแม่งแย่เพราะเอามาใช้ตีลูกปิงปองแล้วมันตีไม่เป็นโดนเลยเงี้ย มันไม่ได้เว้ย เออ คุณไม่สนใจเรื่องตอกตะปูสนใจแต่เรื่องตีปิงปองก็ไม่ผิดอะไรนะ แต่วิจารณ์ค้อนในกรอบที่ราวกับว่าคนสร้างและใช้ค้อนเขาไม่ได้อยากตอกตะปูแต่อยากตีปิงปองเนี่ยมัน..... ผิดที่ผิดทางไปหมด
ในซอฟต์แวร์นี่เจอบ่อยมากที่คนใช้เลนส์แบบฉันอยากจะตีปิงปองเลยวิจารณ์ทุก Design decision ราวกับว่าทุกๆ System ออกแบบมาตีปิงปอง
"Go ไม่มี Generic ไม่มี Type system ที่ดี กาก" โปรแกรมเมอร์ที่คิดว่าโลกนี้ Type safety เท่านั้นคือปัญหาที่สำคัญ
"Ruby on Rails ช้า กาก" โปรแกรมเมอร์ที่คิดว่า Machine performance เท่านั้นคือปัญหาที่สำคัญ
(ซึ่งแปลกไอ้แนวคิดแบบที่ว่าปัญหาที่กูสนใจเท่านั้นคือปัญหาสำคัญของโลกนี้ที่ทุกระบบต้องออกแบบโดยใส่ใจสิ่งนี้เป็นที่สุดนะเว้ย เจอบ่อยในโปรแกรมเมอร์ต่างชาติมากกว่าไทยแฮะ ถ้าจะมีอะไรที่คิดว่าโปรแกรมเมอร์ไทยโดยเฉลี่ยทำได้ดีกว่าก็เรื่องนี้)
"Modern web development สมัยนี้มัน Bloat และซับซ้อนไปหมด" เนี่ยเจอคนที่วิจารณ์อย่างเข้าใจว่า Modern tooling มันมีไว้แก้ปัญหาอะไรน้อยมากๆ คือผมก็คิดว่า Modern tooling มันมีอะไรให้พัฒนาได้เยอะและก็มีข้อให้ติเยอะมากเลยนะ
แต่เจอแบบ "ทุกคนควรกลับมาทำ DOM Manipulation เพราะมันเร็วกว่าเปลืองทรัพยากรน้อยกว่าและไม่ซับซ้อน" อันนี้คือดูไม่เข้าใจไปเลยว่านี่มันค้อนตอกตะปู ไม่ใช่ไม้ปิงปองเว้ย
คือผมคิดว่าเราจำเป็นจะต้องเข้าใจว่า
1. Design กับ Problem solving มันเป็นโจทย์คนละแบบ การเลือกปัญหาที่ใช่ กับการแก้ปัญหาที่เลือกมาแล้ว มันคือโจทย์คนละอย่างกันเลย ถ้าไม่เข้าใจว่ามันคนละเรื่องก็จะมองหรืออ่าน Solution แบบผิดเพี้ยนไปหมด ยังไม่ต้องพูดถึงการวิจารณ์
2. การเลือกปัญหาให้มันทำผ่านการเข้าใจว่ามนุษย์เรามี Unmet need อะไรบ้างที่เป็นไปได้
3. ความสามารถในการเข้าใจ Empathize กับ Unmet need ที่ "ตัวฉัน" รู้สึกเฉยๆ เป็นทักษะสำคัญที่ต้องมีในการทำงาน Design Software, Solution and Architecture มากกกก มากกว่าที่หลายคนอาจจะตระหนักรู้ (อย่างเช่นหลายคนที่ทำงาน low-level ก็มีที่มองว่าไอ้พวกที่มันโอดร้องว่าอยากได้เครื่องมือที่ช่วยทำงานง่ายขึ้น ต้องการ Garbage collector มันก็แค่คนขี้เกียจไม่มีทักษะในการจัดการเมมโมรี่! เราต้องทำของที่ไวสิวะแล้วต้องเข้าใกล้ Machine level ให้มากที่สุดสิวะ! อันนี้ก็คือขาดสามารถในการ Empathize ไปเลย)
เลือกปัญหามาแก้ถูก บางทีทำงานไม่ตรงเป๊ะลูกค้ายังเซ็นผ่านเลย เลือกปัญหาผิดมาแก้ ตรงตามสโคปในสัญญาทุกตัวอักษรยังไฝว้กันได้เลย (ผมไม่ตัดสินละกันว่าอันนี้ดีหรือไม่ดี แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง)
นั่นแหละที่สอน Humanistic architecture ก็คือตั้งใจจะ Address เรืองนี้ เป็นคอร์สที่ผมอยากสอนที่สุด คิดเอาเองว่ามีประโยชน์กับโปรแกรมเมอร์ที่พร้อมรับ อย่างน้อยผมก็พบว่าสำหรับตัวเองมันเป็นแกนกลางการทำงานของผมเลย
บางคนอ่านคอร์สและอ่านรีวิวอาจจะงงว่าเรื่องแบบจิตวิทยา การเข้าใจตัวเอง การเข้าใจคุณค่าและพื้นฐานของความต้องการมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกับ Software architecture design ยังไง งาน Software Architecture มันน่าจะเรียนเรื่องแบบ Distributed system, database, horizontal scaling, idempotency, design pattern อะไรพวกนี้ไม่ใช่เหรอ
ผมคิดว่ามันเกี่ยวอย่างที่สุดแล้ว เกี่ยวแบบคือ Step 0 ในระดับรากฐานที่สุดเลย คุณเลือกปัญหาอะไรมาแก้ก่อนล่ะ ปัญหาระบบล่ม? ปัญหาต้นทุน? ปัญหาฟีเจอร์ออกช้า? หรือไม่เลือกอะไรเลยออกแบบไปเรื่อยเปื่อย? ถัดมา คุณ Trade อะไรทิ้งไป ลดความสำคัญของปัญหาอะไรลงไปบ้าง
นี่อ่ะคือแกนกลางของงานออกแบบ Architecture ชัดๆ
ทั้งทักษะการ Problem solving และทักษะการ Design มันสำคัญทั้งคู่ แต่ที่สำคัญเลย มันเป็นคนละทักษะกันครับ และถ้าไม่เข้าใจ คิดว่าโลกซอฟต์แวร์มีชุดปัญหาชุดเดียวเท่านั้นที่สำคัญ (เช่นระบบไม่ล่มบ้างล่ะ ความมี Resource efficient บ้าง ต้นทุนการรันอินฟรา ความปลอดภัยขั้นเทพบ้าง) คุณจะไม่สามารถเห็นคุณค่าของ Solution หรืองานออกแบบที่ออกแบบมาแก้ปัญหาที่คุณไม่ได้เลือกได้เลย
ในประเทศไทยผมยกและซูฮกให้พี่เดฟไปแล้วเรื่องการสอนทักษะ Problem solving ผมว่าผมสอนได้ทั้งไม่ดีและไม่ลึกเท่าแกหรอก ให้แกดีกว่า
(ถ้าพี่ผ่านมาอ่านแล้วอยากให้ Tag บอกได้ เผื่อให้คนตามไปดูพี่ออกคอร์ส)
ผมอยากเสริมจุดที่ผมว่านักพัฒนาหลายคนมองข้ามคือจุดของงาน Design เวลามีคนความต้องการขมุกขมัวที่อึดอัดไปหมดจนพร้อมจ่างเงินมากมาย เราจะออกแบบว่า Concrete problem ที่ช่วยเยียวยาความต้องการนั้นได้คืออะไรนะ
แล้วจากจุดนั้น จึงทำการ Problem solving ต่อไป
(นี่เริ่มมาจากฟังคลิปใหม่ของ Theo ที่นั่ง Defend web development จากพวก "ปรมาจารย์ด้าน Performance" ต่างๆ ที่นั่งด่าว่าทำเว็บสมัยนี้มัน Bloat มัน Complex ช้าไปหมดมีแต่เครื่องมือไร้สาระแก้ปัญหาไร้สาระ ก็แบบ..... ของขึ้นอ่ะนะ เข้าอกเข้าใจในโจทย์กันก่อนดีมั้ยคะ)
มันมีหลายภาษาและหลาย Solution design ที่ผมกล้าพูดว่ามันออกแบบมาโคตรดีและงดงามจัดๆ แต่ผมไม่ชอบ เพราะมันไม่ได้แก้ชุดของ Problem ที่ผมคิดว่า Matter ในประสบการณ์ส่วนตัว ผมก็สามารถซาบซึ้งในความสวยงามของมันได้ และเลือกใช้มันได้เวลาที่ต้องการอ่ะครับ
1000
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.