Last posted
Total of 1000 posts
ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แล้วรับแบบสมัครใจ คงได้แต่ลูกคนจนๆไป ลูกคนรวยๆอย่าหวัง นี่หรือเท่าเทียมกัน #อนาคตดับ
เห็นสถานะมิตรท่านหนึ่งแล้วนึกบางอย่าง
ประมาณปีที่แล้วผมไปร่วมงาน How to give feed back ของ Thoughtwork ซึ่งก็มีกลยุทธ์และวิธีสื่อสารหลายอย่าง ได้ประโยชน์มากทีเดียว
แต่เบสิคอันนึงที่ผมจะบอก เรียกว่าพื้นกว่า 101 เลยก็ได้คือ
“In order to give a feedback, you need to listen to feedback”
ผมพบว่า ถ้าเราฟังคู่สนทนาก่อน ต่อให้เราให้ฟีดแบ็คไม่ค่อยถูกวิธี เขาก็มักจะฟังเรา กระบวนท่าไม่ถูกก็มักจะไม่ถือสามากมายนัก
ตรงข้าม ถ้าเราไม่ยอมฟังคู่สนทนา กระบวนท่าไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่
ไม่ได้บอกว่าถ้าเราฟังเขา เขาจะฟังเรา เราฟังเขา อาจจะฟังหรือไม่ฟังเราก็ได้
แต่ถ้าเราไม่ฟังเขา เขาไม่ฟังเราเกือบจะแน่นอน
และถ้าเราคิดว่าอีกฝั่งจะ Bullshiting เรา เสียเวลาฟัง ผมว่าคุณไม่ต้อง Feedback เขาหรอกครับ เสียเวลาพูด คนที่ไม่มีค่าพอที่เราจะฟัง ก็มิได้มีค่าพอที่เราจะสนทนาพูดจาด้วยเช่นกัน
ถ้าจะทำ one-way แนะนำเขียน อีเมล์ จดหมาย message จะง่ายกว่านะครับ สนทนาหนึ่งฝั่งมันครึ่งๆ กลางๆ หรือเรียกมา “รับคำสั่ง” ก็ได้ครับ ถ้าไม่ถนัดเขียน หรือสั่งไม่ได้ ก็ต่อรอง ยื่นข้อเสนอ ถามแค่ “ตกลงจะเอาหรือไม่เอา” แค่นี้พอ
BRIEF: เอกชัย หงส์กังวาน บุกไปกองทัพบก เปิดเพลง ‘ประเทศกูมี’ ให้ทหารฟัง ถูกยึดตุ๊กตาหมีที่ใช้จำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา
.
กระแสคัดค้านการเปิดเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดนี้ นักกิจกรรมทางการเมือง เอกชัย หงส์กังวาน ได้เดินทางไปหน้ากองบัญชาการกองทัพบก เพื่อเปิดเพลง ‘ประเทศกูมี’ โต้ตอบ ผบ.ทบ.
.
เฟซบุ๊กของนักข่าวสายทหาร วาสนา นาน่วม ระบุเอาไว้ว่า เอกชัยได้เดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพบก นอกจากเปิดเพลง ประเทศกูมี ที่ด้านหน้าแล้ว เขายังนำตุ๊กตาหมีมาจำลองแขวนคอจากเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519
.
อย่างไรก็ดี วาสนา รายงานด้วยว่า ระหว่างนั้นได้มีตำรวจเข้ามาห้ามเอกชัย พร้อมกับยึดตุ๊กตาหมี และเชิญตัวเอกชัยไปที่ สน.นางเลิ้ง
.
เพลงประเทศกูมีที่เอกชัย นำมาเปิด เป็นผลงานของแร็ปเปอร์กลุ่ม Rap Against Dictatorship (RAD) ซึ่งในบทเพลงพูดถึงปัญหาในประเทศไทยหลายยัง ทั้งสังคม การเมือง และจุดยืนของกองทัพที่เข้ามาฉีกรัฐธรรมนูญ
.
เอกชัย เป็นนักกิจกรรมและเคลื่อนไหวเรื่องทางการเมืองอยู่หลายครั้ง ก่อนหน้านี้เคยเคลื่อนไหวประท้วงรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากกรณีนาฬิกาหรูอยู่หลายครั้ง
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/WassanaJournalist/posts/2193168094074970
https://www.youtube.com/watch?v=VZvzvLiGUtw
https://prachatai.com/journal/2018/03/75718
#Brief #TheMATTER
ความเชื่อสาธารณะหลายอย่าง มันไม่หมดไปง่ายๆ หรอก ตราบใดก็ตามที่ยังมีคน reinforce ความเชื่อนั้นๆ ให้กับสาธารณะ ไปเรื่อยๆ .....
ความเชื่อสาธารณะเหล่านั้น ไม่ได้ผิดซะทีเดียว แต่มันมักจะเป็น "ปลายเหตุ" หรือ "มีกรณีที่มันถูกและเป็นแบบนั้น" หรือ "คิดง่ายๆ แล้วมันก็ใช่" คนก็เลยเชื่อกันง่าย
ไม่แปลกหรอก เป็นพื้นฐานปกติของความคิดและความเชื่อของคนด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างก็คือ การที่บอกว่า "บิล เกตส์, สตีฟ จ๊อบ, มาร์ค ซักฯ เรียนไม่จบ ก็ประสบความสำเร็จได้" ... ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาเลือกที่จะไม่เรียนต่อในมหาลัย ไม่ได้แปลว่าเรียนไม่จบ (คือเลือกที่จะเรียน แต่ไม่จบสักที หรือไม่สามารถจบได้)
และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย (ประชาธิปไตย การเมือง วิทยาศาสตร์ ไอที การศึกษา ฯลฯ)
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมได้ยินมานานแล้ว และทุกวันนี้ก็ยังมีคนคิดแบบนี้เชื่อแบบนี้อยู่ ก็คือ "วิศวะคอมฯ เรียนฮาร์ดแวร์ วิทยาคอม เรียนซอฟต์แวร์" (คนที่เชื่อแบบนี้และพูดแบบนี้ บางคนเป็นอาจารย์มหาลัยด้วยซ้ำไป) .... ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีความแตกต่างกันแบบนั้นเลยสักนิด
หลายที่ ก็ไม่ได้ชื่อต่างกัน เพราะมันต่างกันหรอกนะ .... แต่เป็นเรื่องการเมืองและผลประโยชน์หรือแม้แต่ระบบระเบียบในมหาลัยด้วยซ้ำไป (ยกตัวอย่างเช่น: คนที่อยากเปิดหลักสูตร เป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ก็จะเปิด "วิศวะคอม" ไม่ได้ เพราะคณะวิศวะฯ จะโวย ในทางตรงข้ามก็เช่นกัน .... คนที่อยากเปิดอยู่คณะไหน ก็จะชื่อแบบคณะนั้นแหละ .... ส่วนวิชาพื้นฐานที่บอกว่าต้องเรียน หลายที่ก็มาจากระบบการเมืองและผลประโยชน์ของภาควิชาต่างๆ ในคณะนั้นๆ เอง)
ถ้าจะดูที่ปรัชญา มันก็ไม่ได้ต่างกันที่ความเป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ แต่เป็นการศึกษาความจริงของธรรมชาติ ในเชิง computational (ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของปัญหา ธรรมชาติของโครงสร้าง ธรรมชาติของข้อมูล .... และเราทำอะไรกับมันได้บ้าง) .... กับการสร้างของอย่างเป็นกิจลักษณะ (กระบวนการ การบริหารจัดการ รูปแบบการสร้าง ฯลฯ)
ตัวอย่าง เช่น "information" .... มองแบบ science ก็คือ ธรรมชาติของ information ตั้งแต่นิยามพื้นฐาน ไปจนถึงธรรมชาติของมันอันเกิดจากนิยามพื้นฐาน .... มองแบบ engineering ก็คือ กระบวนการประมวลผล เครื่องมือประมวลผล การสร้าง การเปลี่ยนแปลง การบริหารจัดการ pipeline ฯลฯ ....
อะไรแบบนี้แหละ
แต่นั่นล่ะครับ มันยากกว่าการคิดอะไรง่ายๆ ไปตามความเชื่อสาธารณะ (ที่เราอาจจะรู้สึกว่าเราถูกแล้ว เพราะคิดเหมือนกับคนอื่นที่คิดตามความเชื่อสาธารณะเหมือนกับเรา)
ตามข่าว #ดอมฟ้าปะทะคนแก่ตกยุค แล้วนึกถึงนิยายปัวโรต์เล่มโปรด One, Two, Buckle my Shoe
นิยายปี 1941 ของราชินีสืบสวนสอบสวนเล่มนี้มีประเด็นการเมืองมากกว่าเล่มอื่น ซ้ายหัวก้าวหน้า vs ขวาอนุรักษ์นิยม
เป็นที่รู้กันว่าคริสตีเป็นนักเขียนอนุรักษ์นิยม และนิยายนักสืบแบบของเธอ ก็เป็นฌองที่เอียงขวาตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ดี คริสตีแทบไม่เคยเขียนถึงการเมืองตรงๆ และแทบไม่เคยด่าฝ่ายซ้าย หรือโจมตีคอมมิวนิสต์ในงานเขียน
ใน One, Two, Buckly my Shoe หมอฟันของปัวโรต์โดนยิงตาย ใครคือฆาตกร
แน่นอนว่ายอดนักสืบต้องจับผู้ร้ายได้อยู่แล้ว ไม่สปอยรายละเอียดคดี แต่สิ่งที่ตรึงใจมากๆ คือคำพูดสุดท้ายของปัวโรต์ เมื่อเขายอมรับ "ความพ่ายแพ้" บางอย่าง
"The world is yours, the new heaven and the new earth. In your new world, my children, let there be freedom, and let there be pity...That is all I ask." / "โลกใบนี้เป็นของพวกเธอแล้ว ทั้งผืนพิภพและท้องนภา หนุ่มสาวเอ๋ย ขอให้โลกใบใหม่นี้มีอิสรภาพ และก็ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจกันด้วย...ผมขอพวกเธอเพียงเท่านี้"
ชอบความกำกวมของประโยคนี้ ปัวโรต์ (และคริสตี) ฉลาดเกินกว่าจะเชื่อว่าพวกเขาสามารถหยุดโลกไว้นิ่งๆ และสิ่งเดียวที่คนตกยุคเช่นพวกเขาจะทำได้คือ อวยชัยให้คนหนุ่มสาว และร้องขอความเห็นอกเห็นใจ
เราไม่ได้ต่อต้านฝ่ายขวาหรือผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคน ผู้ใหญ่ที่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง รับรู้ข้อจำกัดตัวเอง และไม่เคยหยุดเรียนรู้จะมีเสน่ห์สำหรับเราเสมอ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รู้หมือไร่!!??
การที่มนุษย์คนนึงเกิดขึ้นมาบนโลกและตายจากไป ไม่สามารถทำให้แผ่นดินหนักขึ้นหรือเบาลงแต่อย่างไร
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น??
"การที่มนุษย์เราแต่ละคนเกิดขึ้นมาได้นั้นก็เพราะ พ่อกับแม่เราปัมปั๊มกันด้วยวิธีที่ไม่ปลอดภัย ในวันที่ไม่ปลอดภัยครับ
ไม่ได้มีนกกระสาคาบมาให้จากสวรรค์ หรือตกมาจากอวกาศ
พอปัมปั๊มกันแล้ว อสุจิของพ่อ ก็ ผสมกับ ไข่ของแม่ เกิดเป็นทารกขึ้นมา
ช่วงที่อยูในท้องทารกก็ได้ส่วนแบ่งอาหารจากที่แม่กินเข้าไปและนำสารอาหารไปสร้างให้ร่างกายมีขนาดใหญ่ขึ้น และพอคลอดออกมาก็กินด้วยปากตัวเอง ซึ่งอาหารที่กินเข้าไปนั้นก็มาจากพืชและสัตว์ที่อยู่บนโลกทั้งสิ้น
นอกจากนี้กากอาหารที่เหลือยังถูกขับถ่ายออกมาและกลับลงสู่ดินและน้ำ รวมถึงซากศพหลังจากตายไปแล้วด้วย
ดังนั้นในภาพรวมก็ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นหรือลดลง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนไทยจำนวนไม่น้อยยังมองว่าตนเองเป็นทาสอยู่
คิดว่าถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้เป็นเรื่องปรกติ
คิดว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทำหน้าที่ก็อย่าไปว่าเขา ว่าตัวเรากันเองดีกว่า
กกต.วางระบบห่วยให้เว็บล่มก็โทษว่าไม่รีบไปลงชื่อกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เอง
กรณีหลังยกตัวอย่างว่ากกตเป็นครู เราเป็นนักเรียนอีก
ทั้งที่จริงมันต้องยกตัวอย่างว่ากกตเป็นเลขา เราเป็นเจ้าของบริษัทต่างหาก
"ชามิมา เบกัม ถูกอังกฤษถอดสัญชาติ"
ชามิมา เบกัมเป็นชาวอังกฤษหนีมาสวามิภักดิ์ ISIS เมื่ออายุ 15 ปี เธอเคยมีลูกสองคนล้วนตายในสงคราม ปัจจุบันอายุ 19 ปี แล้ว วันเสาร์ที่ผ่านมาพึ่งคลอดลูกคนที่สามในค่ายลี้ภัยของเคิร์ด
เธอเป็นคนท้ายๆ ที่ยอมแพ้ต่อทัพเคิร์ดในช่วงปลายสงคราม และบอกว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อกลับอังกฤษให้ได้ รับปากว่าจะไม่เผยแพร่แนวคิดก่อการร้าย อยากใช้ชีวิตอย่างสงบกับลูก พวกเคิร์ดก็อยากให้เธอไปอังกฤษ เพราะไม่อยากเลี้ยง
อย่างไรก็กระทรวงมหาดไทยอังกฤษกลับพยายามทุกวิถีทางที่จะถอดสัญชาติของเธอ ไม่ยอมให้เธอกลับบ้าน โดยบอกว่า "คนที่ไปสวามิภักดิ์ ISIS นั้นแปลว่าเกลียดอังกฤษมาก เอากลับมาก็มีอันตราย" อนึ่งภายใต้กฎหมายอังกฤษนั้นรัฐบาลสามารถถอนสัญชาติของพลเมืองได้ หากบุคคลนั้นเป็นภัยต่อมวลชน "แต่ในการถอนสัญชาตินั้นต้องไม่ทำให้บุคคลดังกล่าว กลายเป็นคนไร้สัญชาติใดๆ (stateless)"
เอาแล้วสิ จะทำอย่างไรดีล่ะ? เพราะประเทศ ISIS ที่เบกัมไปสวามิภักดิ์นั้นไม่ได้รับการยอมรับจากชาวโลก ทำให้ถือว่าเธอไม่เคยเปลี่ยนสัญชาติมาก่อน
อังกฤษบอกว่าแม่ของเบกัมเป็นชาวบังคลาเทศนะ เบกัมก็เป็นบังคลาเทศไปสิ ...แต่เบกัมบอกว่าฉันไม่เคยไปบังคลาเทศมาก่อน ฉันไม่ใช่บังคลาเทศว้อย! (ส่วนรัฐบาลบังคลาเทศบอกว่าเราไม่รู้จักเธอ ไม่รับว้อย)
เบกัมแต่งกับสามีชาวดัตช์ (เนเธอแลนด์) ที่มาสวามิภักดิ์ ISIS ด้วย เธอจึงบอกว่าเธอจะพยายามขอเป็นพลเมืองดัตซ์ ซึ่งก็ดูไม่มีความหวังนัก...
สุดท้ายแล้วเบกัมร้องทุกข์ว่าการกระทำของอังกฤษนั้น ช่างอยุติธรรมต่ำช้าเสียนี่กระไร ที่พรากเธอออกจากสิทธิพลเมืองอันเป็นความชอบธรรมทางกฎหมาย (อังกฤษบอก ดูผลงานที่ผ่านมาของแกก่อนสิ!)
สำหรับลูกของเบกัมนั้นแตกต่างไป เพราะกฎหมายบอกว่าลูกของชาวอังกฤษที่เกิดขณะยังไม่ถูกถอดสัญชาตินั้นยังถือเป็นคนอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษยากที่จะถอนสัญชาติเด็กคนนี้เพราะเขาไม่เคยทำความผิด (อังกฤษบอก อะไรนะ เด็กอังกฤษมีที่ไหน นี่มันเด็กบังคลาเทศ!)
เอาละสิครับ สรุปเบกัมจะได้เป็นชาวอังกฤษหรือไม่ ลูกของเธอจะเป็นชาวอะไร จะเป็นชาวอังกฤษตามแม่? ชาวดัตช์ตามพ่อ? ชาวบังคลาเทศตามยาย? หรือชาวเคิร์ดตามพื้นที่เกิด? (แต่เคิร์ดก็ยังไม่ได้เป็นประเทศน่ะนะ)
...โนตว่าถึงตอนนี้เบกัมก็ยังไม่ได้ขอโทษแทน ISIS ที่ไปก่อการร้ายสังหารชาวอังกฤษ เธอเพียงบอกว่าเสียใจที่มีชาวอังกฤษบริสุทธิ์ตายจากการก่อการร้าย แต่นั่นก็ยุติธรรมดี เพราะพวกตะวันตกสามานย์ก็มาฆ่าคนบริสุทธิ์ในประเทศ ISIS เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นตามที่ผมบอกว่าคนที่ยอมแพ้ในช่วงนี้เป็นพวกฮาร์ดคอร์สุดๆ ครับ
สุดท้ายฝากลูกเพจคิดว่าควรทำอย่างไรกับเบกัมดี? จะเอากลับมารับโทษทัณฑ์ในอังกฤษ หรือจะปล่อยให้กลายเป็นบุคคลไร้รัฐ แล้วคงเฉาตายอยู่สักที่ในแดนเคิร์ด? แล้วลูกของเธอล่ะ?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
If you choose Sanders over Warren, I will actually think you are sexist, yes.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Wouldn’t choosing Warren over Sanders be antisemetic then?
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เหม็นพวกโม่งการเมืองจังครับ ไม่เข้าใจว่าเค้าจะลอกความคิดที่ได้อ่านจากเฟซหรือทวิตมาโพสซ้ำทำไม
ดูพวกเค้าไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเลยนะครับ
"สังคมสูงอายุ"
เราจะมีวิธีการรับมือกับสังคมสูงอายุอย่างไรดีนะ ...... ผมขอแชร์ความคิดส่วนตัว ว่าผมชอบสิ่งที่ญี่ปุ่นทำ
ถ้าใครไปญี่ปุ่น ลองสังเกตว่าเขามีการ "จ้างงานผู้สูงอายุ" มากมาย เป็นงานที่ "ไม่หนักมาก ไม่ต้องคิดมาก และได้ออกกำลังกาย" เป็นส่วนมาก
ตั้งแต่ที่สนามบิน จะเห็นว่าคนที่บริหารจัดการคิว (เรียกคนไปเข้าคิว) จะเป็นผู้สูงอายุเป็นส่วนมาก คนที่ประจำเครื่องอ่าน passport เป็นผู้สูงอายุทั้งนั้น คุณตาคุณยายได้เลยแหละ
เข้าร้านสะดวกซื้อ ก็มีคุณตาคุณยายทำงานเป็นแคชเชียร์เยอะแยะ
จากรูปนี่ คือคนที่ช่วยโบกรถ ตามสถานที่ท่องเที่ยว (อันนี้คือ Shirakawago) ก็เป็นคุณปู่คุณตากันแทบทั้งนั้นเลย ....
ได้ทำงาน ไม่ใช่รอรับการช่วยเหลืออย่างเดียว .... ได้ออกกำลังกาย ได้เจอเพื่อนฝูง มีสังคม .... และไม่ต้องเปลืองแรงงานของคนรุ่นใหม่ (เด็กๆ อายุน้อยๆ) ที่ทำอย่างอื่นได้ ไปทำงานพวกนี้ .... แล้วก็ได้ใช้สมอง ความคิด การตัดสินใจ ตามสมควร .... ช่วยเรื่องความจำได้อีกตะหาก
BRIEF: นายพลระดับสูงของจีน โดนจำคุกตลอดชีวิตและยึดทรัพย์สิน หลังถูกพบว่า ร่ำรวยแบบไม่มีที่มาที่ไป
.
มาตรการปราบคอร์รัปชั่นของจีน ขึ้นชื่อถึงความโหดและเข้มข้น ล่าสุดนี้ มีกรณีใหม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อนายพลระดับสูงรายหนึ่ง ถูกศาลทหารพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต และยึดทรัพย์สินทั้งหมด จากกรณีร่ำรวยแบบที่ชี้แจงให้ชัดเจนไม่ได้
.
ประเด็นคือ พลเอก ฝาง เฟิงฮุย ซึ่งเป็นอดีตเสนาธิการทหาร ฝ่ายเสนาธิการแห่งคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (CMC) ของจีน เพิ่งถูกศาลทหารตัดสินความผิดหลายอย่าง ส่วนหนึ่งคือ ศาลพบว่า นายพล ฝาง ทำความผิดฐานรับและเสนอสินบน ที่สำคัญคือ ยังครอบครองทรัพย์สินจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยแหล่งที่มาให้ชัดเจนไม่ได้
.
ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตให้กับพลเอก ฝาง รวมถึงยึดทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ในตอนแรกทั้งหมด (ยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดว่าเยอะเท่าไหร่) และส่งคืนเข้ามายังหน่วยงานด้านการคลังส่วนกลาง
.
รัฐบาลจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง มีมาตรการเกี่ยวกับปราบคอร์รัปชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง มีข้อมูลที่พบว่า นับตั้งแต่ปี 2012 มีบุคลากรของกองทัพถูกดำเนินคดีไปแล้วกว่า 1.5 ล้านคนทั้งพลทหารชั้นผู้น้อย ตลอดจนทหารยศสูงในตำแหน่งบริหาร
.
อย่างไรก็ดี คำถามที่มักเกิดขึ้นเสมอคือ แล้วมาตรการปราบคอร์รัปชั่นแบบจีนนั้นจะเป็นโมเดลให้กับประเทศอื่นๆ (รวมถึงไทย) ได้แค่ไหน และวิธีการตามแบบของจีนมีข้อที่ต้องเป็นห่วงกันอย่างไรบ้าง?
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/…/chinas-former-military-chief-…
https://www.reuters.com/…/senior-chinese-general-jailed-for…
https://www.abc.net.au/…/chinese-general-jailed-fo…/10831672
#Brief #TheMATTER
ผมนั่งดูงานเขียนเก่าๆ ของตัวเองที่เขียนเกี่ยวกับสงครามซีเรีย พอเจอข่าวการตายของนายอนัส อัลบาชา แล้วสะท้อนใจ ตั้งแต่ติดตามข่าวสงครามซีเรียมา ยังไม่เคยอ่านเรื่องการตายคนๆ ไหนที่น่าเสียใจเท่านี้เลย เลยเอามาลงอีกครั้งนะครับ
::: ::: :::
"ตัวตลกแห่งอเลปโปถูกฆ่าตาย"
นายอนัส อัลบาชาเป็นนักสงคมสงเคราะห์ในเมืองอเลปโป ประเทศซีเรีย ตอนที่อเลปโปกลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญของสงครามซีเรียนั้น เขาเคยมีโอกาสหนีจากเมืองพร้อมพ่อแม่ แต่อนัสกลับเลือกที่จะรั้งอยู่ในเมืองเพื่อทำงานช่วยเหลือผู้คน
นอกจากงานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ แล้ว อนัสยังเอาสีมาเขียนหน้า แต่งตัวสีฉูดฉาด ใส่วิกอย่างตัวตลก แล้วออกไปแจกของขวัญ และเล่นสนุกกับเด็กๆ ที่ยังติดอยู่ในเมือง
แฟนๆ ตัวน้อยของอนัสขนานนามเขาว่า "ตัวตลกแห่งอเลปโป" ด้วยความรัก
เมื่อสมรภูมิอเลปโปนองเลือดมากขึ้น อนัสยังคงปลอบประโลมพวกเด็กๆ ในสถานการณ์ที่มืดมน และอันตรายที่สุด
จนกระทั่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ (29 พ.ย. 2016) อนัสได้ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดฆ่าตายขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ ทิ้งไว้เพียงเรื่องราวความพยายาม และความปรารถนาดีของคนตัวเล็กๆ ท่ามกลางความบ้าคลั่งในสงคราม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Networking is actually very easy to build. Just hop from event to event and keep talking to people. Trust is much harder to achieve and it takes time for the heart to build one.
คุนเย็ดกับคุนวัฒนาจริงเหรอ555
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จริงค่ะ
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เหม็นพวกโม่งการเมืองจังครับ ไม่เข้าใจว่าเค้าจะลอกความคิดที่ได้อ่านจากเฟซหรือทวิตมาโพสซ้ำทำไม
ดูพวกเค้าไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเลยนะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ฝ่ายนึงมี ประเทศกูมี ฝ่ายนึงมี หนักแผ่นดิน ...เพื่อความปรองดอง ก็ขอรวมเพลงว่า ##ประเทศกูมีคนหนักแผ่นดิน## ก็สิ้นเรื่อง"
#มิตรสหายท่านนึง
หนึ่งในหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผมไปเยอะมาก ..... และเป็นหนังสือที่ทำให้ผมตั้งคำถามเกี่ยวกับ "ชีวิต" ใหม่
เพราะมันฉีก paradigm ความคิดของ carbon-based lifeforms หรือ life as we know it, life as it is ... ลงไปถึงพื้นฐาน นิยาม ว่า ถ้ามันไม่มีพวกนี้อยู่เลย แล้ว "what is life?"
เรียกว่าลงไปตั้งแต่ first principle ....
เนื้อหาน่ะเหรอ ..... computation theory, information theory ...... self-replicating strings/codes ..... statistical physics & thermodynamics ... percolation theory ... complexity and complex systems .... self-organization to criticality .... fitness landscape .... learning .... information propagation .... evolution ...
เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มที่อาจารย์ที่ research group ผม ให้ทำ group study กันในตอนที่ผมเรียนปีสี่ที่มหาลัย
อ่านยากนะ เต็มไปด้วย Math ..... (อธิบายทุกอย่างเป็น Math หมด) .... คือแต่ละเรื่องนี่อาจจะต้องไปอ่านหนังสือเฉพาะทางเพิ่มอีกหลายเล่มกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
คือมัน "intro" ก็จริง แต่มัน intro ด้วยการเอาเรื่อง fundamentals + advanced ของแต่ละเรื่องมาใช้พอควร
ก็อารมณ์เดียวกับ "intro to quantum algorithms" นี่ถึงจะเป็น intro ก็ต้องรู้เรื่อง computation theory, quantum computing, algorithms มาบ้าง ถ้าไม่รู้เลยก็ "ยาก" แหละ
ก็ยังคงเป็นหนังสือที่มีผลกับชีวิตผมมากๆ และมีผลกับความคิดของผมมากๆ จนถึงทุกวันนี้
(นี่ซื้อครั้ง่ที่ 3 .... อ่านขาดคามือไปสองเล่มแล้ว)
>>973 คำว่าทั่วไปของกูหมายถึงว่า ถ้าคนเรียนสาขาเดียวกับมันมันก็เป็นเนื้อหาทั่วไป มึงอย่าคิดว่าถ้าสาขาอื่นไม่ได้เรียนหรือว่ามึงไม่เคยได้ยินแล้วมันจะไม่ใช่เนื้อหาทั่วไป มันก็อารมณ์เดียวกับการที่พวกที่เรียน biochem ได้เรียน crystallography แต่คนฟิลด์อืนที่ไม่ได้เรียนก็จะมองว่ามันไม่ทั่วไปนั้นแหละ ซึงถ้าจะให้พูดสั้นๆ คือ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาอวดหวะ
ตั้งแต่เรียนที่คาสะโxด คอร์สเดียวก็เปลี่ยนชีวิตผม
>>976 รู้จัก humble brag ไหมครับ ชัดๆเลยก็
"อ่านยากนะ เต็มไปด้วย Math ..... (อธิบายทุกอย่างเป็น Math หมด) .... คือแต่ละเรื่องนี่อาจจะต้องไปอ่านหนังสือเฉพาะทางเพิ่มอีกหลายเล่มกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่"
"(นี่ซื้อครั้ง่ที่ 3 .... อ่านขาดคามือไปสองเล่มแล้ว)"
หลังๆกระทู้นี้แม่งมีแต่ quote กลวงๆไม่ก็พวกขายคอร์สขายตรงมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ
pim tai mai dai
Math = เลข !!!
เฮ้ยยย กูเห็นควายด่าคนว่าโง่ว่ะ ฉงนยังฉลาดกว่านี้เลย
คนโง่อวดฉลาดเต็มโม่งเลยว่ะ
“เวลาเห็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย ประเทศไทย ความชาตินิยมของไทย ฯลฯ แล้วถูกหาว่าเป็นพวก 'ชังชาติ' จะนึกถึง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขึ้นมาทุกที
.
เพราะเป็นไปได้ไม่น้อย ที่คุณชายคึกฤทธิ์อาจเป็นคนแรกๆ ที่ถูก 'คนไทย' เหล่านั้นกล่าวหาว่าเป็นพวก 'ชังชาติ' แม้ว่าคุณชายคึกฤทธิ์จะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่ช่วย 'สร้าง' สิ่งที่เรียกว่า 'ความเป็นไทย' ขึ้นมาก็ตามที
.
ตัวอย่างที่จำได้ติดใจเลยก็คือการที่คุณชายคึกฤทธิ์วิจารณ์ตัวละครที่ตัวเองสร้างขึ้น คือ 'แม่พลอย' ที่คนไทยจำนวนมากมองว่าเป็นตัวละครที่เป็นแสนจะเป็นตัวแทนความเป็นไทย
.
เช่นบทสัมภาษณ์ 'คึกฤทธิ์คิดลึก ทศกัณฐ์วรรณกรรม' ใน ถนนหนังสือ 3, 1 กรกฎาคม 2528, หน้า 19 (เสิร์ชในอินเทอร์เน็ตก็พบได้ทั่วไป)
.
"แม่พลอยเป็นคนที่ไม่มีสิทธิของผู้หญิงเลย ไม่เคยเรียกไม่เคยร้อง แล้วแม่พลอยนี่เป็นคนเชยที่สุด คุณจะว่านางเอกก็นางเอก แต่เป็นคนที่เชยที่สุด แม่พลอยถ้าแกอยู่มาจนถึงทุกวันนี้แกก็ลูกเสือชาวบ้าน แกจะไปรำละครบ้าๆ บอๆ ถึงขนาดนั้น
.
"พลอยเป็นคนเชยมากนะครับ เป็นคนที่อยู่ในกรอบ ใจดี ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานก็รักคุณเปรมได้ ตามคติโบราณนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่งไปก่อนแล้วรักกันเองทีหลัง แม่พลอยก็เป็นอย่างนั้นทุกอย่าง ทีนี้คนอ่านคนไทยปลื้มอกปลื้มใจเห็นแม่พลอยเป็นคนประเสริฐเลิศลอย ก็เพราะคนไทยก็เป็นคนแบบนั้น ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย คนอ่านส่วนมากก็เป็นคนระดับแม่พลอยเท่านั้น (หัวเราะ)
.
โง่ยิ้มเลยจะบอกให้ สี่แผ่นดิน ถึงได้ดัง (หัวเราะ)"
.
หรืออีกตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์เดียวกันบอกว่า
.
"คนไทยนั้นหลอกง่าย เขียนหนังสือหลอกง่าย อยากมีชื่อมีเสียงง่ายที่สุด คนไทยนี่ ขอให้ไทยดี ไทยเก่ง รักชาติไทย พอแล้ว อะไรๆ เป็นชาติไทยหมด ชกมวยก็เป็นชาติไทย"
.
โดยส่วนตัวคิดว่า ในแง่หนึ่ง การวิจารณ์แบบนี้ของคุณชายคึกฤทธิ์ อาจมองว่าเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากการศึกษาในโลกตะวันตก (คือออกซ์ฟอร์ด) ที่เต็มไปด้วยการใช้เหตุผล คารม วาทะ รวมไปถึงการโต้วาที เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่วิถีตะวันตกจะถูกนำมาใช้วิจารณ์ความเป็นไทย และวิจารณ์กระทั่ง 'ตัวละคร' ที่ตัวเองเป็นผู้สร้างขึ้น โดยเปรียบกลับไปหาตัวโครงสร้างสังคมที่ 'สร้าง' หรือ 'ฟูมฟัก' ตัวละครพวกนี้ขึ้นมาด้วย
.
(ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ยังเคยบอกด้วยว่า นางเอกของ 'สี่แผ่นดิน' จริงๆ คือช้อย ไม่ใช่พลอย โดยอธิบายทำนองที่ว่า ช้อยเลือกชีวิตตัวเองได้ แต่พลอยเลือกไม่เป็น อยู่ไปโดยปล่อยให้ชีวิตพัดพาไปทางไหนก็ไปทางนั้น)
.
แต่ในอีกแง่หนึ่ง ถ้ามองว่า คุณชายคึกฤทธิ์เป็นคนหนึ่งที่สร้าง 'ความเป็นไทย' ขึ้นมา ก็อาจมองแบบโลกสวยได้ด้วยว่า อย่างน้อยที่สุด 'ความเป็นไทยแบบคึกฤทธิ์' นั้น คือความเป็นไทยที่ 'วิจารณ์' ตัวความเป็นไทยเองได้ และวิจารณ์ถึงขนาดบอกว่า 'ตัวแทนความเป็นไทย' แบบ 'แม่พลอย' นั้น 'เชย' และใช้คำว่า 'โง่ยิ้ม' ด้วย ซึ่งก็คือการ 'ยั่ว' ให้คนคิดและย้อนกลับมาตรวจสอบความชอบในทางวรรณกรรมของตัวเอง
.
ก็น่าสนใจดี ที่ความเป็นไทยยุคก่อนนั้นกว้างขวาง โอบรับความเป็นออกซ์ฟอร์ดและวัฒนธรรมการวิจารณ์เข้ามาไว้ในความเป็นไทย และทำถึงขั้นวิจารณ์ตัวเอง วิจารณ์สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ แต่ทำไม 'ความเป็นไทย' ยุคใหม่ ถึงได้ 'เรียวลง' จนแทบไม่มีที่ทางให้หายใจ อึดอัด คับแคบ และให้ความรู้สึก 'หนัก'
.
โดยส่วนตัวคิดว่า ความเป็นไทยควรเป็นเรื่องโปร่งเบาสบาย
.
อย่าทำให้ความเป็นไทยเป็นเรื่องหนักของแผ่นดินเลย”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นบริษัท Software house และ Startup หลายเจ้า พยายามโชว์ Culture บริษัท พยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเก๋ Cool มีโต๊ะปิงปอง โต๊ะ Pool งานสบายรายได้ดี Flaxi-hour บลาๆ
แล้วก็เริ่มมาบ่นว่า น้องๆ รักสบาย ไม่มีความรับผิดชอบ งานไม่ได้ตามเป้า สุดท้ายงานก็ไม่ได้สบายจริง Flaxi-hour ไม่จริง.. ลาไม่จำกัดที่ไม่มีจริง เพราะสร้างเงื่อนไขมากมาย ต้องแจ้งล่วงหน้า 2 วัน ต้องอย่างนั้นอย่างนี้
เอ้า.. ก็สร้างภาพว่างานสบายรายได้ดี เน้นเรื่องเล่น คนก็คาดหวังว่า จะเข้าไปเล่นไง :-) สุดท้ายก็มาด่าเด็กว่า ไม่โอเค ก็โปรโมทซะนึกว่าทำสวนสนุก ไม่ใช่ทำบริษัทเนอะ 🤫
ว้ายๆๆ math คือเลข
"นาฬิกาเลวไม่เท่าจำนำข้าวฮับ"
มิตร... ไม่ๆ มันไม่ใช่เพื่อนกู
ไอ้เหี้ยตัวหนึ่งกล่าวไว้ละกัน
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า รองเท้า Suede ต้องดูแลยาก พังง่าย ฯลฯ ...... นั่นก็เพราะว่าผมไม่รู้วิธีดูแลมันต่างหาก
จริงๆ แล้วรองเท้า Suede นี่ถือว่าทน และดูแลง่าย (แถมใส่สบายมากอีกตะหาก) เพียงแต่ว่ามันใช้วิธีการและเครื่องมือต่างจากรองเท้าหนังทั่วไปก็เท่านั้นเอง
ที่ต้องการ ก็คือ Omnidain (น้ำยาทำความสะอาด -- คล้ายๆ สบู่ -- มาพร้อมแปรงเล็กๆ) Renovetine (บำรุงหนัง) แปรง 2 อย่าง แล้วก็ยางลบ Suede (ทุกอย่างมีขายที่แผนกรองเท้าใน Central)
รูปที่สอง นี่เป็นรูปหลังจากที่ทำความสะอาดด้วยน้ำยาแล้ว แล้วก็ล้างด้วยน้ำเปล่าอีกรอบแล้ว (ไม่ได้เอาไปแช่น้ำหรือผ่านน้ำนะ แต่เอาแปรงชุบน้ำเปล่าปัดจนไม่มีฟองเหลือ) .... รอให้แห้งอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ก่อนจะพ่นสเปรย์ .... (ตอนถ่ายนี่ยังเปียกอยู่)
เห็นน้องๆ หลายคนดูถูกสุภาพสตรีว่าที่มาสนใจพี่ป๊อบนั้นเพราะพี่ป๊อปมีชื่อเสียงเงินทอง แนวคิดดูถูกทางเพศกันแบบนี้พี่โจวว่าไม่ควรมีพวกปัญญาชนเรานะครับ เพราะความจริงแล้วผู้หญิงอาจชอบพี่ป้อบเพราะว่าอวัยวะเพศของแกใหญ่ยาวก็เป้นได้ ไม่ใช่เรื่องเงินทองชื่อเสียงใดๆ
เรื่องคบซ้อนเราไม่จำเป็นต้องไปตัดสินแทนใคร ว่าใครดีไม่ดี ถูกไม่ถูก มันเป็นเรื่องของเขา มันเกิดขึ้นได้กับคนทุกระดับ ทุกฐานะนั่นแหละ มีรุ่นน้องให้นิยามกับผมกับว่า มันคือ "สัญญาใจ"
ผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีโอกาสเลือกคนที่คิดว่าใช่ที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา ในระหว่างเลือก ถ้าเลือกเยอะ ผู้ชายก็จะถูกเรียกว่า "เจ้าชู้" ผู้หญิงก็จะถูกเรียกว่า "ลัลลา" ต่อให้เป็นแฟนกันแล้ว ก็อาจจะถูกเปลี่ยนใจไปเลือกคนอื่น ชีวิตคู่มันก็ไม่ง่าย
การที่คนสองคนที่ไม่เหมือนกันมาคบกัน ต้องปรับตัวเข้าหากัน ต้องเรียนรู้อะไรที่อีกฝ่ายรับได้รับไม่ได้ แล้วปรับตัวเข้าหากันได้แล้วมั่นใจว่าอยู่กันได้ตลอดชีวิต ซึ่งในระหว่างคบกันก็ไม่ใช่ทุกคู่จะเห็นทุกอย่างจากอีกฝ่ายหมด พอคบกันแล้วก็มีเรื่องครอบครัวของอีกฝ่ายอีก
ผมก็มีแฟนมาหลายคน ในระหว่างที่มีแล้วเลิกไป ฝ่ายหญิงก็ไปมีคนใหม่ทั้งนั้น แล้วก็มีในระหว่างที่คบเราเป็นแฟน แต่เราไม่รู้ ถ้าจะไปโทษว่าอีกฝ่ายผิด ก็ต้องมองดูตัวเองว่ามีข้อบกพร่องอะไร ก็มีเต็มไปหมด ไม่เอาใจใส่ ทำแต่งาน หรืองานที่ทำเกี่ยวข้องกับการพบเจอผู้หญิง ฐานะไม่มั่นคง อะไรที่ทำให้อีกฝ่ายไม่มั่นใจก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เป็นเหตุที่ต้องหาทางเลือกใหม่เกิดขึ้น เราก็แค่หวังว่าทางเลือกใหม่ที่เขาเลือกจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ดีกว่าตอนที่คบกับเรา
ถึงแม้ว่าเราคาดหวังกันว่า การคบกันจะต้องให้เกียรติกัน เคารพในความเป็นตัวของตัวเองอีกฝ่าย ยอมรับซึ่งกันและกัน ซื่อสัตย์ แต่ในระหว่างที่คบกันเรามองเห็นสิ่งเหล่านั้นหมดหรือไม่ ถึงแต่งงานกันแล้ว การยอมรับซึ่งกันและกันก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ ตามสถานการณ์และเวลาที่ผ่านไป เพราะโลกมันหมุนทุกวัน อากาศเปลี่ยนแปลงทุกวัน
เรื่องการคบกัน มันอาจจะไม่ต้องใช้เหตุผลหรือตรรกะมาก มันเป็นเรื่องของหัวใจ วันหนึ่งที่สัญญาใจเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ ไม่ต้องไปตัดสินใครหรอก เราไม่ได้รู้เรื่องราวเขาดีพอ ดูแลคู่ของตัวเองให้ดีเถอะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.