Last posted
Total of 1000 posts
ดีลนึงที่สนุกสนานในสหรัฐ คือการสร้างสำนักงานใหม่ของบริษัท Amazon
เท้าความก่อนว่าสำนักงาน Amazon ในเมือง Seattle
จ้างงานและจ่ายภาษีเยอะมาก เป็นหน้าเป็นตาของเมือง
หน้าตาเหมือนบ้านต้นไม้ฟิวชั่วกระสวยอวกาศ
เมื่อต้องการขยับขยาย จึงเปิดประมูล
โดยให้นายกเทศมนตรีของแต่ละเมือง
เสนอว่ามีดีลอะไรจูงใจให้เราไปตั้งสำนักงานไว้กับคุณ
จาก 20 เมืองที่ใส่ซองเข้ามา ผู้ชนะก็คือนครนิวยอร์ก
ที่จะให้ Amazon ไปอยู่ในย่าน Queens
แลกกับการลดหย่อนภาษีประมาณ 1 แสนล้านบาท
ถึงตอนนี้คนก็เดือดดาล สื่อปั่นว่าเป็นการลดภาษีคนรวย
รังแกร้านโชห่วย เอื้อกันยิ่งกว่าธงฟ้าประชารัฐ
Amazon เห็นท่าไม่ดีก็เลยบอกว่า ช่างแม่ม ไม่ไปละ
ถามว่าตอนนี้คนนิวยอร์กได้เงิน 1 แสนล้านกลับมาไหม
1 แสนล้าน คือภาษีที่นครนิวยอร์กจะลดหย่อนให้
แต่ภาษีที่ Amazon จะจ่ายตลอด 25 ปี จะมากกว่า 8 แสนล้านบาท
ไม่นับการจ้างงานอีก 25,000 ตำแหน่ง ซึ่งมีเงินเดือนเฉลี่ย 4-5 แสนบาท
ก่อให้เกิด ภงด.บุคคล และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอีกมหาศาล
จริงอยู่ ที่ Amazon ซึ่งรวยล้นฟ้าอยู่แล้ว จะรวยขึ้นอีก 1 แสนล้าน
แต่นี่คือธรรมชาติของอำนาจต่อรองของบริษัทใหญ่
แต่ชาวนิวยอร์ก 20 ล้านคน ที่ตอนแรกจะรวยขึ้นอีกคนละ 40,000
ตอนนี้ปิ้วไปแล้ว ที่เจ็บคือตามผลโพลล์ คนนิวยอร์กมากกว่า 50%
เห็นด้วยกับดีลนี้ มีแค่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง
พยายามโหนให้มันเป็นเรื่องของ คนรวย vs คนจน
อันนี้คือปัญหา financial illiteracy (ความขาดการศึกษาทางการเงิน)
ธรรมชาติของการเมืองเป็น zero-sum
ธรรมชาติของการค้าเป็น win-win
เรื่องAmazonในนิวยอร์กมันไม่มีเหี้ยอะไรเลย แค่นักการเมืองSocialistจากพรรคDemocrat(นำโดยAOCขวัญใจร่านรุ่นใหม่)ร่านแตกอยากเอาหน้าแค่นั้นเอง
แล้วที่มึงพูดๆกันเรื่องเศรษฐศาสตร์เนี่ย ถามจริงว่าถ้ารู้เรื่องเศรษฐศาสตร์จะมาเป็นSocialistไหม ว่างๆลองไปอ่านนโยบายGreen New DealของอีAOCดู เพ้อฝันยิ่งกว่ากำแพงทรัมป์
>>894 พูดยังกะeconomicsมันวิเศษตายห่าแหละ เรื่องมันเกิดก่อนแล้วถึงจะได้statเอาไปmodelเดาไปเรื่อย ถ้าพวกมึงเก่งกันจริงๆจะระบบมันระเบิดกันตั้งหลายรอบ พอมันระเบิดบ่อยๆเข้าก็บอกว่าเป็นธรรมชาติของระบบ นี่ไม่เรียกปัญญาอ่อนแล้วจะเรียกอะไร ก็แต่หาข้อให้นายทุนล้มกระดานเอาตังล่ะวะ คนข้างล่างซวยยกเซ็ต ซักวันพวกมึงจะโดนพวกกูรุมฆ่า มีเงินก็อยู่ไม่ได้ไอ้สัส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>896 มึงอ่ะปัญญาอ่อน economicsมันมีสิ่งที่เรียกว่าinput lag ที่ป้อนคำสั่งไปแล้วมันจะใช้เวลานานกว่าจะเกิดผลเพราะความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจ คนหนึ่งคนเป็นตัวแปรหนึ่งตัว ทั้งระบบมีกี่ตัวแปรก็นับไป
เอาตรรกะโง่ๆของมึงมาเทียบ หมอก็ไม่เก่งดิ ต้องรอให้เกิดโรคก่อนแล้วถึงรักษา ถ้าเก่งจริงทำไมหมอไม่ทำวัคซีนเทพกันทุกโรคล่ะ โด่ว
ตำรวจก็ไม่เก่งดิ ต้องรอให้เกิดอาชญากรรมก่อนแล้วค่อยไปจับคนร้าย เก่งจริงต้องจับคนก่อนก่อเหตดิ
ช่างต่างๆก็ไม่เก่ง ต้องให้พังก่อนแล้วค่อยซ่อม
อนึ่ง ทุกอาชีพที่กล่าวมาทั้งหมดข้างบนมีมาตรการป้องกันปัญหาเกิดขึ้นหมด economicsก็มี ทำไมรัฐบาลถึงมีนโยบายBail outธนาคาร ทำไมรัฐบาลถึงมีReserve ทำไมรัฐบาลถึงไม่พิมพ์เงินออกมาเยอะๆ etc. นโยบายพวกนี้มาจากeconomistทั้งนั้น
รอฆ่าไปเหอะ หนูโง่ เรียนมาน้อยยังจะอวดฉลาด ถ้ายังไม่พัฒนาตัวเองก็ดิ้นแพร่ดๆรอผีไอ้มาร์กซ์มาช่วยมึงอยู่ตรงนั้นต่อไป
ทุกวันนี้ก็ไม่ต่างกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์นี่ครับ เผ่ามังกรฟ้ามีอำนาจล้นฟ้าตรวจสอบไม่ได้
นโยบายรัฐสวัสดิการนี่ปัญญาชนน่าจะทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดียัดเยียดให้กับชาวบ้านอ่ะครับ แท้จริงแล้วชาวบ้านเขาอาจอยากจะได้นายกทักษิณมากกว่ารัฐสวัสดิการ มีใครไปถามเขาจริงๆ จังแบบนี้หรือยัง
หรือเฉพาะหน้าเขาก็อาจเอา 300 500 มากกว่าเอารัฐสวัสดิการอ่ะครับ
ไปเจอรูปเบื้องหลัง โฆษณาวันทัชมา
วงการถ่ายหนังนี่เชื่อไม่ได้จริงๆ
ในฐานะคนที่เรียนมาทางประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่และทำอาชีพเลี้ยงปากท้องด้วยการสอนและทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่มาบ้าง รู้สึกหงุดหงิดที่สุดกับการยกจีนขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เป็นหลักฐานสนับสนุน หรือเป็นข้ออ้างใน 2 กรณีหลักซึ่งเห็นได้ใน Facebook บ่อยครั้งดังต่อไปนี้
1. จะบ้าคลั่งเรียกร้องประชาธิปไตยไปถึงไหน จีนเป็นเผด็จการยังเจริญมาเป็นคู่แข่งอเมริกาได้เลย
อธิบาย: จีนไม่ได้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองโลกดังเช่นที่เราเห็นกันในข่าวอย่างทุกวันนี้มาแต่ไหนแต่ไรนะคะ จริงๆ จีนเพิ่งเปิดประเทศสู่ระบบตลาดโลกเมื่อปี ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) นี้เอง ก่อนหน้านั้นจีนก็ผ่านการเป็นสังคมนิยมแบบเหมาอิสต์ซ้ายจัดที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม มายาวนานถึง 10 ปีเต็ม เป็นภาวะโกลาหลวุ่นวาย มีการล่าแม่มด ล้างสมอง และใช้ความรุนแรงปราบปรามกำจัดผู้เห็นต่างจนน่าจะมีคนตายไปเป็นหลัก 10 ล้าน (แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดเพราะรัฐบาลจีนปิดกั้นข้อมูล) และแม้เมื่อมาถึงทุกวันนี้จีนรวยแล้วจีนก็ยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ถ้าคุณเกิดในแผ่นดินจีนแล้วบังเอิญเป็นลูกนักธุรกิจผู้มีอันจะกินในเซี่ยงไฮ้ก็เป็นบุญของคุณ และคุณก็คงจะไม่คิดว่าเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ถ้าคุณเกิดเป็นมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียงคุณก็คงจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะคุณต้องโดนจับไปปรับทัศนคติด้วยวิธีการรุนแรงป่าเถื่อน หรือถ้าคุณเป็นเกษตรกรยากจนหรือแรงงานในภาคอุตสาหกรรม คุณก็อาจจะมีคุณภาพชีวิตที่แย่มากและจะต่อสู้เรียกร้องอะไรกับรัฐก็ไม่ได้เพราะรัฐเป็นเผด็จการ หรือจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากประชาคมโลกก็ยากอีก เพราะรัฐปิดกั้นควบคุมสื่อและข้อมูลข่าวสารทั้งที่จะเข้าและออกจากประเทศอย่างเข้มข้น คุณไม่น่าจะอยากให้ประเทศเราเป็นแบบจีนหรอกถ้าคิดดูดีๆ และโดยพื้นฐานที่สุดคนที่จะเรียกร้องให้ประเทศเราเป็นแบบจีนก็ควรจะระวัง ม.112 ด้วยนะคะ เพราะจะเป็นแบบจีนได้ต้องไม่มีสถาบันกษัตริย์ค่ะ
2. ประธานเหมาจงเจริญ เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ เราจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน คนรุ่นใหม่ต้องเป็นผู้นำในการสร้างสังคมใหม่ที่เท่าเทียมกัน แล้วโพสต์มีมปฏิวัติวัฒนธรรมกับแฟชั่นเรดการ์ดรัวๆ
อธิบาย: อันนี้พบมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าที่มีการศึกษาหน่อยและอยากจะคิดว่าตัวเอง “ก้าวหน้า” ขอความกรุณาจากก้นบึ้งของหัวใจว่าอย่า romanticize ทั้งเรดการ์ดและการปฏิวัติวัฒนธรรม เพราะไม่ว่ามันจะตั้งต้นด้วยความตั้งใจดีสักเท่าไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วมันก็ลงเอยด้วยการเป็นลัทธิบูชาตัวบุคคล และก็เหมือนดังเช่นทุกสถานการณ์ที่ลัทธิบูชาตัวบุคคลเข้ามาครอบงำการเมือง ไม่ว่าจะเป็นระบอบหรืออุดมการณ์ใดๆ ทั้งฟาสซิสต์ คอมมิวนิสต์ เหมาอิสต์ และระบอบกษัตริย์มันก็ล้วนแล้วแต่สร้างความฉิบหายวายป่วงให้สังคมนั้นๆ โดยสิ้นเชิงทั้งสิ้น สังคมไทยก็บอบช้ำมามากแล้วจากลัทธิบูชาตัวบุคคล ได้โปรดอย่าสนับสนุนแนวโน้มนั้นหรือทำให้ใครเข้าใจผิดว่ามันเท่อีกเลย ความฉิบหายมันเกิดกับสังคมจีนอยู่สิบปีเต็ม คนตายเป็นหลักสิบล้าน มันไม่เท่หรอกค่ะ มัน sick และ ignorant
ทั้งวิดิโอ ทั้งคอมเมนต์ไม่ได้พูดเลยแฮะว่าตัวเดียวที่ทำให้เวเนล่มจมคือSocialism
วิดิโอเน้นหนักไปที่Populism ในขณะที่คอมเมนต์ไปทางด่าลุง ด่าอเมริกา ด่าทักกี้
หรือเพราะว่าคนไทยเรารู้จักแต่คอมมี่ แต่ไม่รู้จักSocialism
https://www.youtube.com/watch?v=Yr1z7oRMLKo&ab_channel=MinuteVideosThailand
ลองเล่นดู โอ้ว์ ไอคิวกรู134 เลยเหรอ ถ้าจัดตามระดับไอคิวเกือบอัจฉริยะแล้ว อัจฉริยะคือ 140+
แต่เรื่องตัวเลขกรูง่อยมากเลยว่ะ แต่เก่งเรื่องอื่น มิน่าดนตรีก็เรียนรู้เร็ว หรือ ประวัติศาสตร์ การเมือง วิทย์ หรือ สมองประมวลเส้นทางถนนยังกะกูเกิลแม๊พ แต่เรื่องคำนวนกูนี่ง่อยสัส ได้ดาวเดียว5555+
140 ขึ้นไป อัจฉริยะ ฉลาดมากที่สุด (very superior)
120 - 139 ฉลาดมาก (superior)
110 - 119 ฉลาดกว่าระดับปกติ (higher average)
90 - 109 ฉลาดปานกลาง หรือระดับปกติ (average)
80 -89 ต่ำกว่าปกติ (low average)
ล้มเจ้า = คนชั่ว?
ผมชื่นชอบการมีอยู่ของระบบกษัตริย์ เรียกได้ว่าหลงไหลเลยดีกว่า ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับเจ้าตั้งแต่เด็ก จำได้ทุกราชสกุล รู้จักและอธิบายได้ทุกอิศริยยศ ใครลูกใคร พระมเหสีเทวีองค์ไหนผมจำได้หมด รู้จักเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกตระกูล ผมใช้คำราชาศัพท์คล่องแคล่วและเคยแข่งแฟนพันธุ์แท้รัชกาลที่ 6 ด้วย
เรียกได้ว่าถ้ายกชื่อเจ้านายมา 2 พระองค์ ผมสามารถเชื่อมโยงได้เลยว่าทรงเป็นพระประยูรญาติกันทางไหน
ผมมั่นใจว่าความรู้เรื่องราชวงศ์จักรีผมไม่แพ้ใคร
แต่ถึงผมจะชื่นชอบระบอบกษัตริย์ ผมก็ไม่เคยคิดว่าคนที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์คือคนชั่วคนเลว
ในโลกนี้ บางประเทศเป็นประชาธิปไตย บางประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ บางประเทศเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หลายประเทศถึงแม้จะมีกษัตริย์แต่แนวคิดกษัตริย์ของแต่ละประเทศก็ยังไม่เหมือนกันเลยสักประเทศ
อังกฤษก็แบบนึง ญี่ปุ่นก็แบบนึง ตองกาก็แบบนึง และก็ไม่มีประเทศไหนเหมือนไทยสักนิด
แต่ตอนนี้เรากลับเอาความเป็นไทยไปตัดสิน “ความเป็นมนุษย์” ของคนอื่นที่มีความคิดเห็นต่างจากเรา
ไปตัดสินคนอื่นว่าชั่ว ว่าเลวโดยไม่เคยคิดที่จะรับฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
เอาความคิดแบบไทยๆ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ใครคิดต่างจากนี้คือคนไม่รักเจ้าทั้งหมดและสมควรถูกตัดหัวเสียบประจานประหาร 7 ชั่วโคตร ไม่สนด้วยว่าคิดต่างมากหรือต่างน้อย
โดยลืมไปว่า ถ้าเอาคำว่า “ประเทศ” ออกไป แท้ที่จริงทุกคนคือ “มนุษย์บนโลกเดียวกัน” และยังเป็นมนุษย์โลกที่มีความเชื่อหลากหลายด้วย
นี่กะจะให้ใครที่ไม่รักเจ้าแบบไทย ก็คือคนชั่วหมดงั้นหรือ?
แถมในประวัติศาสตร์ ทุกประเทศก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองกันหมด ในสมัยหนึ่งระบอบหนึ่งก็ดี แต่ในสมัยหนึ่งระบอบนี้กลับใช้ไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่มีระบบไหนดีหรือเลวในตัวมันเองหรอก
แต่มันอยู่ที่ว่า ในประเทศนั้นระบอบไหนเป็นฝ่ายชนะต่างหาก
และยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าประเทศใดจะปกครองแบบไหนก็ตาม คนในประเทศเองก็ยังมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ชอบและไม่ชอบ ก็เพราะทุกคนคือ “มนุษย์” ไง มนุษย์ที่มีความหลากหลายทางความคิด
เขามีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์เชื่อ และมีสิทธิ์อภิปรายชี้แจงเหตุผลได้ ซึ่งถ้าเราเปิดใจยอมรับ เอาข้อดีข้อเสียมาปรับปรุงแก้ไข ระบอบที่มีอยู่ก็จะมั่นคงแข็งแรงขึ้นไปอีก
แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือการที่คนไทยบางกลุ่มกลับเอาเรื่องการรักเจ้าไม่รักเจ้ามาดิสเครดิตทางการเมือง ใส่ร้ายป้ายสีและปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังกัน
ผมว่า ถ้ายกเอาอัตตาออกไป คนที่โหนเจ้าเพื่อมาใส่ร้ายคนอื่นนี่แหละ...
คือคนชั่วในฐานะความเป็น “มนุษย์” อย่างแท้จริง
การปฎิวัติ2475 เกิดขึ้นเพราะ กระแสเศรษฐกิจตกต่ำ ทั่วโลก นี่คือภายนอก แต่ภายในก็มีปัญหา ปัญญาชนได้เรียนมาจากต่างประเทศ กลับต้องมาอยู่ในระบบที่ไม่ให้แสดงความคิดเห็น และใช้ความรู้ ทั้งทหาร ทั้งพลเมือง ทั้งประชาชน จึงรวมตัวกันปฎิวัติ 2475 ในนามคณะราษฎร ซึ่งแบ่งเป็นสาม กลุ่มใหญ่ คือ สายพลเรือนสังคมนิยม สายทหาร และสายเจ้านาย
การรัฐประหารครั้งแรกของไทย ต่างจากครั้งหลังๆ
เพราะเป็นการรัฐประหารเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูฯ2475(เกิดความขัดแย้งกับนายกที่ ฝ่ายเจ้านายแต่งตั้งมา) ไม่ใช่รัฐประหารเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญเหมือนสมัยหลัง
จอมพล ป. หนึ่งในคณะราษฎร ได้อำนาจหลังมีบทบาทเด่นในการปราบ กบฎบวรเดช ซึ่งนำโดยเจ้านาย
หลังจากนั้น ฝ่ายเจ้าหลายคนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ
พอสงครามโลกครั้งที่2จบลง จอมพล ป. ถูกมองว่าเข้าร่วมกับญี่ปุ่น ทรยศชาติ ปรีดีพนมยงค์ หนึ่งในคณะราฎ ได้หน้าแทน เพราะก่อตั้งเสรีไทย นี่คือความขัดแย้งหลัก ในคณะราษฎร
กลุ่มอนุรักษ์นิยม กลับมามีอำนาจหลัง รัฐประหาร2490 การสวรรคตของ ร8. ถูกพรรค ประชาธิปัตย์ ใช้ใส่ความว่า ปรีดี ต้องรับผิดชอบ ปรีดีจึงถูกทำลาย ออกไปนอกประเทศ
จอมพล ป. ถูกเชิญให้มาเป็นนายก แต่ไร้อำนาจกำลังทหารเหมือนเก่า
การทะเลาะเบาะแว้งกันเองของ สองผู้นำคณะราษฎร คือจุดเสื่อมของ ฝ่ายเสรี ประชาธิปไตยไทย
หลังการรัฐประหาร 2500 จอมพล จอมพลสฤษดิ์ ทำเพราะบอกว่า การเลือกตั้ง สมัยนั้นสกปรก เพราะ พรรคของ จอมพล ป. ชนะ. "ปฎิรูปก่อนเลือกตั้ง" มีคนพูดมาในยุคนั้นแล้วครับ ไม่ใช่เพิ่งมาอ้างในยุคเรา นักศึกษาในยุคที่ไร้internet ในยุคนั้นก็หลงเชื่อคำของจอมพลสฤษดิ์ ไปร่วมมือกันโจมตี จอมพล ป.
หลังการรัฐประหาร 2500 จอมพล ป. ต้องออกไปนอกประเทศ และอยู่ที่ญี่ปุ่นจนหมดอายุขัย นี่คือจุดจบของคณะราษฎร และหลังจากนั้น ประชาธิปไตยไทยก็ค่อยๆถูกทำลายเรื่อยมา วาทกรรม เหยียดหยาม ประชาธิปไตยเริ่มถูกผลิตขึ้น
อนึ่ง ก่อน จะมาถึง2500 มันคือยุคสงครามเย็น อเมริกา ไม่ชอบที่ จอมพล ป. กับฝ่ายสังคมนิยมของปรีดี แสดงความเห็นใจ ฝ่ายสังคมนิยม เช่นจีน เวียดนาม แต่ จอมพลสฤษดิ์ ยินดี รับใช้อเมริกา ถึงแม้ว่าต่อหน้าสื่อ จะพูดด่าอเมริกา แต่ลับหลังนี่ ทั้งเงิน ทั้งอาวุธ จากCIA ไหลมาท่วม ฝ่าย คอนเซอร์เวทีฟ ในไทย จึงฟื้นฟูอำนาจ เพราะอเมริกาต้องการเอาไว้ใช้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และนี่คือที่มา ของสนามบินอู่ตะเภาที่เอาไว้ไปทิ้งระเบิดเพื่อนบ้านเราเอง
พอสงครามเย็นจบ อเมริกาถอนกำลังไป ประเทศไทยก็ค่อยๆ หันหน้าจากวิทยาศาสตร์ไปหาไสยศาสตร์
จากที่เคยมีหนังแนวๆอย่าง กาเหล่าที่บางเพลง สมศรี422R โคลนนิ่ง เราก็ไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้นอีก
จากที่เคยเชื่อมั่นในสมัยใหม่ เสรีนิยม เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เราก็วนเวียนกับการรัฐประหาร ไม่รู้จบสิ้น เพราะ อะไร เท่านี้น่าจะรู้คำตอบแล้วนะครับ
เรื่องราวที่ใกล้ปัจจุบันที่สุด สำคัญที่สุด อย่างประวัติศาสตร์ ช่วง2475 - 2516 กลับไม่ได้รับความสนใจ อีกทั้งไม่เคยพูดถึง เหมือนไม่มีตัวตน กลับไปพูดถึงแต่ยุคสุโขมัย-อยุธยา
จุดประสงค์จริงๆของพรรคประชาธิปัตย์ คือทำลายประชาธิปไตย ไม่ใช่ส่งเสริม เป็นการเล่นละครอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย แม้กระทั่งชื่อพรรค ว่าประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตยเลยสักนิดเดียว ประชาธิปไตยจะถูกอ้างถึงจริงๆจากพรรคนี้ก็ต่อเมื่อมีทหารบางคนไม่อยู่ในโอวาท หลังจากนั้น พรรคนี้จะทำทุกอย่าง ตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่เปลือกนอก
พรรคประชาธิปัตย์ คือพรรค อนุรักษณ์นิยม ฝ่ายขวา และได้ประโยชน์เสมอจากการรัฐประหาร เป็นนักแสดงละคร ที่ต้องแสดงเพื่อหลอกเอาใจชาติตะวันตก ไม่ได้อยากแสดงจริงๆ สิ่งที่พรรคนี้เก่งจริงๆคือ การเป็นนักพูดจนลิงหลับ พูดเก่ง แต่ไม่มีนโยบายอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีความคิดริเริ่ม เพราะจะริเริ่มไม่ได้ มันต้องมีคนสั่งเบื้องหลัง
ตอนนี้โลกเรากำลังอยู่ในภาวะที่ทุนนิยมกำลังจนแผลงฤทธิ์อีกครั้ง นั้นคือความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนรวยคนน ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ และขอย้ำว่า "ไม่มีกลไกในตัวมันเองใดๆทั้งสิ้น" ของระบบทุนนิยมที่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำ นี้ ชนชั้นกลาง จะถูกทำลายไปเรื่อยๆ คือจะต้องกลายเป็นคนจน ไม่ก็คนรวย และนี่คือที่มาว่าทำไม ฝ่ายขวาจัดถึงได้กระแสกลับมาอีกครั้ง และพวกฝรั่งผิวขาวถึงพูดหาแต่ hitler
ย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ความเหลื่อมล้ำนี่ก็มหาศาลเหมือนกัน แต่จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็คือ สงครามโลกทั้งสองครั้งต่างหากที่ช่วยแก้ไขความเหลื่อมล้ำ เพราะรัฐบาลตั้งเก็บภาษีคนรวยอย่างหนัก และจัดสวัสดิการสูง แต่พอหลังจากนั้นเป็นตั้งมา เมื่อไม่มีสงคราม หากรัฐใดมีภาษีสูง เอกชนก็หนีไปลงทุนประเทศอื่น ผลลัพธ์ก็คือ ทุกประเทศแข่งันลดภาษีเอาใจนักลงทุน ยิ่งเมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์จบสิ้นไปแล้วหลังสงครามเย็น ฝ่ายทุนนิยมยิ่งไม่มีอะไรต้องเกรงใจใครอีกต่อไป
ไม่มีพรรคการเมืองไหนในไทยพูดเรื่องนี้หรือจะแก้เรื่องนี้อย่างจริงจังเท่าพรรคอนาคตใหม่ ที่ก่อตั้งโดยนายทุนอิสระ พรรคประชาธิปัตย์ คือพรรคนายทุนอนุรักษณ์นิยม ฝ่ายขวา ไม่เคยเห็นหัวประชาชนอยู่แล้ว ฝ่ายทหารที่เกาะกินกับคนพวกนี้ก็ไม่ต่างกัน ทักสินก็คือนายทุนที่ไม่เคยศึกษาประชาธิปไตย แต่ธนาธรไม่ใช่ เขาคือนายทุน ที่ศึกษาการเมืองมาอย่างทะลุปรุโปร่ง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำใมกองเชียร์พรรคนี้มีแต่พวกเบียวๆ นะ
คือผมมาย้อนนั่งฟังเพลง "หนักแผ่นดิน" ตามที่ท่่าน ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์เนี่ย
คือ มันเข้าตัวท่านนายพลทั้งหลายทุกท่อนเนื้อร้องเลยอ่ะครับ ทั้ง
เห็นไทยเป็นทาส (ทหารเกณฑ์ตัดหญ้าแก้ผ้าลุยโคลนรับใช้นายแถมโดนยึดเงินเดือนหลวง)
ฝังทำกินกอบโกยสินไทยไป (สมบัติเป็นร้อยล้านพันล้านรับราชการจนตายก็ไม่มีทางได้)
เหยียดคนไทยเป็นทาส (ไม่ยอมให้เลิกเกณฑ์ทหารไปรับใช้)
ยุยงปลุกปั่นไทยด้วยกันให้แตกกระจาย (สมรู้ร่วมคิดกับทั้งพันธมิตร และสุเทพ ตั้ง กปปส. สารภาพลงข่าว ปาร์ตี้ชุดพรางหลัง รปห.)
ปลุกระดมมวลชนวุ่นวาย หวังคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง (ส่งทั้งหน่วยซีลมาคุ้มกันพุทธอิสระ เปิด IO 2.4 และทีมโซเชียลใส่ร้ายคนไทยด้วยกัน)
หลงชมชาติอื่น ไทยด้วยกันยืนข่มเหง (ยิ้มหวานทำตามจีน ขึ้นภาษีคนไทยทุกหย่อมหญ้า)
ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารไทยกันเอง (ซื้ออาวุธเรือดำน้ำเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้าน คอมมิชชั่นเท่าไร)
คนใดขายตนขายชาติ (ให้สัมปทานเช่าที่ดิน 99 ปี EEC ลดภาษี 13 ปี ยกเว้น VAT อีก)
ฯลฯ
ดังนั้น ผมเห็นด้วยกับท่าน ผบ.ทบ.อย่างสุดใจครับ ว่า
"หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน" จริงๆ
ท่าน ผบ.ทบ.ชี้แนะถูกต้องมองเห็นปัญหาประเทศยาวไกลจริงๆ นับถือครับ
ใครมีโปรแกรมทำซับคาราโอเกะมั่งอ่ะ เพจคาราโอเกะชั้นใต้ดินน่าจะลองใส่ซับดูนะ เข้ากั๊น เข้ากัน
ลุงสนามหลวง หายไปไหน ใครรู้บ้าง (ไม่ผิดห้อง)
หมุดคณะราษฎร์หายไปไหน? ใครรู้บ้าง
ป้าสมจิตรหายไปไหน? ใครรู้บ้าง
ทั้งตัวมันและพ่อมันที่ตายไปแล้ว หนักแผ่นดินทั้งคู่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยากเจอพี่ค่ะ อยากพิสูจน์ว่าของพี่แน่นหนาจริงมั๊ย?
#มิตรสหายท่านเดียวกัน
การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเกมระหว่าง "พ่อของฟ้า" VS อ.อเนก
เพื่อนผมบอกว่า "อเนกพูดอะไรของแม่ง โง่ชิบหาย ขัดกับทุกอย่างที่ตัวเองเคยสอน เสียดายที่หลงอ่านตำราที่คนแบบนี้เขียนมา"
แต่ถ้าเราพิจารณาให้ดี อ.อเนก ไม่ได้โง่ขนาดนั้น แกแค่ทำในสิ่งที่
รู้ว่าทำแล้วได้ประโยชน์สูงสุดในเกมส์นี้
อย่างทฤษฎีที่ผมเคยเสนอไปว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็นสองปีก เอาที่เขาเรียกตัวเองคือ "ฝ่ายผู้รักชาติ" กับ "ฝ่ายประชาธิปไตย" เอาเข้าใจง่ายๆ คือสลิ่มกับแดง อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะดีกรีไปสุดทางขนาดไหน
ในการลงคะแนนครั้งนี้ คนจะเลือกข้างก่อนว่าจะอยู่ข้างไหน จากนั้นค่อยเลือกพรรค
พรรคอย่างเพื่อไทย มีฐานแฟนคลับที่แน่นอน แฟนคลับกลุ่มนี้ไม่มีทางไปเลือกพรรคฝั่งสลิ่ม คนที่อยู่เฉดสลิ่มก็ไม่มีทางเลือกเพื่อไทย ยกเว้นจะคอนเวิร์ด "ตาสว่าง" เสียก่อน
อย่างไรก็ตาม อนาคตใหม่ มีลักษณะพิเศษซึ่งต่างจากเพื่อไทย คือเป็นพรรคที่ดึงคนประเภทที่ไม่สนใจการเมือง คิดว่านักการเมืองเลว ซึ่งอยู่กลางๆค่อนไปทางสลิ่มได้
คิดแบบการตลาด อนาคตใหม่ไปแย่งฐานลูกค้าของพรรคฝ่ายสลิ่ม อย่าง ปชป. ACT พปชร.
ดังนั้นฝ่ายสลิ่มจำเป็นต้องป้องกันการย้ายค่ายของฐานเสียงพวกนี้ วิธีที่ง่ายที่สุดคือพยายามผลักธนาธรให้เป็นควา*แดง ซึ่งสลิ่มไม่มีทางเลือก
ACT เป็นพรรค กปปส. คำพูดของ อเนก ก็เป็นสิ่งที่ฐานสมาชิกอยากฟัง ฟังก์ชั่นของมันคือการปลุก กปปส. ที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้น ออกมาจากศูนย์ปฏิบัติธรรม และพร้อมจะกู้โลกอีกหน
move ของ อ.อเนก กำไรมากๆ คิดว่าอาทิตย์ที่แล้ว มีใครรู้จักบ้างว่า อเนกเป็นใคร? มีพรรค ACT อะไรนี่ด้วยเหรอ
การตอบโต้กลับไปกลับมาระหว่าง อเนก กับ ด้อมฟ้า สร้างการรับรู้ที่มีต่อพรรค ACT ถึงมันจะอยู่ในลักษณะตั้งรับ คือแค่กระตุ้นกลุ่มสมาชิกเดิมให้ตื่นขึ้น ไม่ได้สร้างสมาชิกใหม่ได้เพิ่ม แต่ก็เป็นคะแนนด้านบวกของ ACT
ในทางเดียวกัน ฝ่ายอนาคตใหม่ (Future Forward Party FFP) ก็ได้กำไรจากการตั้งรับการโจมตีของอเนก ด้อมฟ้าแข็งแกร่งขึ้น ได้แย่งชิงพื้นที่สื่อ และได้สร้างการรับรู้ที่มีต่อ FFP (ติ่งกับโอตะมันก็เหมือนแป้งบะหมี่อ่ะ ยิ่งด่ายิ่งนวดยิ่งแน่น)
เป็นการโจมตีกันที่ผลท้ายสุดแล้วเป็น win-win condition ในตลาดการเมือง ทั้ง FFP และ ACT ซึ่งเป็นพรรครองสำหรับเกมนี้ได้ทั้งพื้นที่สื่อและผู้สนับสนุนเพิ่มทั้งคู่ ประมาณเล่นโกะแล้วเมื่ออีกฝ่ายรับ เราตอบโต้ แล้วเติบโตจากกลุ่มเล็กเป็นกลุ่มใหญ่ทั้งสองฝ่าย
คำถามคือนับแต้มจริงๆแล้ว ฝ่ายไหนโกยแต้มได้เยอะกว่ากัน?
ผมเชื่อว่า FFP ค่อนข้างได้เปรียบ
เพราะ ACT เป็นการได้คะแนนเชิงรับ คือปลุกคะแนนเก่าของตัวเองกลับมา ซึ่งผมเชื่อว่าถึงไม่ทำอะไรเลย พอถึงวันเลือกตั้งอย่างไรพวกนี้ก็จะออกมาจากศูนย์ปฏิบัติธรรมแบบงงๆ เหมือนมาจากปี 2557 ถามเพื่อนว่าต้องเลือกใคร แล้วไปกาให้ลุงตู่อยู่ดี
แต่ FFP ดึงคะแนนที่ควรจะเป็นของฝ่ายตรงข้ามมา
วินาทีนี้เมื่อ ทษช. ยังไงก็น่าจะรอดยาก ชัยชนะของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" อยู่ที่ว่า FFP กับ เสรีรวมไทย ได้คะแนนเยอะขนาดไหน เนื่องจากเพื่อไทยส่งไม่ครบทุกเขต และน่าจะยากมากที่จะได้ปาร์ตีลิสม์เพราะจากกฏิกาของรัฐธรรมนูญนี้ (ส่วนประชาชาตินั้นมีคะแนนที่แน่นอนไม่เพิ่มไม่ลด)
ความหวือหว่าของเกมส์ฝ่ายเพื่อไทยอยู่ที่จะถ่ายคะแนนให้ FFP กับ เสรีรวมไทยยังไงให้พอดี และจะเดินเกมส์ยังไงให้ไม่เสี่ยงสะดุดอะไรเลย
.
.
.
ในสัปดาห์นี้ผมเดาว่าจะย้ายจากพรรครองตีกัน เป็นเกมส์ ทหาร VS เพื่อไทย ในเรื่องงบทหาร
วิธีคิดเหมือนเดิม คือฝ่ายทหารใช้วิธีปลุกสลิ่มฮาร์ทคอร์ให้ตื่นขึ้นมา และสร้างความไม่พอใจในฝ่ายขวาจัด
แต่งบทหารเนี่ย มันไม่ทำให้ใครได้ประโยชน์เลยนอกจากนายพล ดังนั้นเมื่อพิจารณาดีๆในเชิงการเมืองเลือกตั้งมันเป็น Move ที่ยิ่งเดินยิ่งช่วยโฆษณาให้ฝั่งตรงข้ามว่า "จะลดงบทหารนะ" เป็น thank you move
พวกนักการเมืองเพื่อไทยเห็นแล้วว่าเป็นโอกาส ทุกคนแย่งกันออกสื่อตอบโต้เกาะประเด็นนี้กันใหญ่
เดี๋ยวพรรคอื่นๆ จะต้องมาช่วยกระทืบชูนโยบายลดงบทหารขอแต้มด้วยแน่นอน
ยกเว้นจะบิ้วท์มาเพื่อชวนนายพลรัฐประหารอ่ะนะครับ อาจจะได้อยู่
ป.ล. เอ้อ แต่วิธีด่าสาดใส่ตัวคนแบบนี้ของ อ.อเนก มันอาจผิดกฎของ กกต. ได้นะ ลองไปยื่นรอง กกต. ขำๆไว้ดิครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ช่วงนี้ผมกำลังเรียน approximation algorithms โดยใช้หนังสือเล่มซ้ายมือ จริง ๆ คือ lecture notes Volume I ใช้สอนที่ Stanford เมื่อปี 1991 อ่านแล้วสนุกดีครับ เสียดายไม่มี Volume II เพราะคนแต่งเสียชีวิตไปก่อน
ส่วนเล่มทางขวามือ เป็นเล่มที่คนใช้กันเป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบันครับ ผลิตขึ้นเมื่อปี 2003 ต่างจากอล่มแรกประมาณ 10 ปี เนื้อหาจึงมีส่วนที่ใหม่กว่าเยอะมาก ผมว่าเป็นส่วนใหญ่เลยแหละ ผมตั้งใจว่าจะอ่านเล่มนี้ให้จบก่อนจะหมดก่อนเปิดเทอมใหม่
Approximation algorithms มี applications เยอะไปหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา optimizations ทาง Internet หรือ Human Genome แต่ก็มีหลายส่วนที่เกี่ยวกับ ideas ล้วน ๆ
เท่าที่ผมทราบ ยังไม่มีการสอนวิชานี้อย่างเป็นทางการในมหาวิทยาลัยไทยครับ อาจเป็นเพราะเนื้อหาของมันต้องใช้คณิตศาสตร์มากพอสมควร เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จึงไม่ชอบหรืออาจรับไม่ไหว หรืออาจไม่ทราบเลยก็ได้ว่ามีความรู้อะไรแบบนี้อยู่ด้วยในโลกนี้ครับ คือ ถ้ารู้ว่ามี ก็อาจอยากเรียน
ผมตั้งใจจะเปิดวิชานี้นะ แต่วันก่อนคุยกับหัวหน้าภาค หัวหน้าภาคบอกว่าจะต้องสอนในวิชา selected topic ซึ่งผมไม่ชอบ เพราะใน transcript ไม่ได้บอกว่าเรียนอะไร ผมอยากจะให้มีชื่อวิชา approximation algorithms ไปเลย ต้องรอดู
ถ้าใครชอบอะไรแบบนี้ ผมสนใจรับนักศึกษาปริญญาเอกอยู่นะครับ มีทุนให้ด้วย ติดต่อมาได้
กูชักคิดจริงจังแล้วนะว่าติ่งพรรคส้มมีพวกเบียวๆ เยอะ
People mistakes statistics for rules.
It is just a guidelines.
While you should not assume you are special,
you also should not assume you are normal.
I am Chris.
I like Thai food, just like normal Thai people.
I like Thai music, just like normal Thai people.
Unlike normal Thai people, I hate some Thai traditions.
Unlike normal Thai people, I like programming.
Should I assume that I am special?
Should I assume that I am normal?
Should I assume that I am weird?
Nothing make sense.
In the end, I am "Chris".
Some of my behaviour, life condition and preferences, going to be somewhere at the top of the bell-curve.
Some of my behaviour, life condition and preferences, going to be somewhere at tail of the bell-curve.
So, I can use statistics to determine some of my life choices.
So, I cannot use statistics to determine some of my life choices.
Then what?
Know yourself.
You can read guideline, statistics and principles all you want.
Some of those can be applied to your lives.
Some of those can't.
But which?
Can anybody answer this question?
Can anyone create rules or principle for me?
Can anyone use statistics calculation to determine which statistics can be apply to me personally?
The answer lies within.
ถาม : อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์
ตอบ : ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ดราม่า #อนาคตใหม่ คืองี้นะ ไหนๆ ก็ไหนๆละ จะเล่าที่มาให้ฟัง
1) ก่อนมันจะมาเป็นพรรคฟ้ารักพ่อที่ดูดีที่เธอเชียร์ได้ มันเริ่มมาจากความอยากทำ platform ทางการเมืองที่ใครๆ ก็มีส่วนร่วมได้และใส่ใจเรื่อง inclusive มากๆ เลยมีทั้งคนพิการ เด็ก คนอยู่ร่วมกับhiv คนทำงานสังคม มารวมกัน
2) ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นได้จากไฟจากความตั้งใจของคนที่จะทำล้วนๆ เป็นงารอาสาลงแรงฟรีส่วนมาก ก็ลากเข็นจนเปิดตัว อะไรต่างๆ ไปได้ จาก 24 ก็ถึงเวลาขยายเป็น 500 เพื่อให้ตั้งพรรคได้ตามกฎหมายระบุ
3) ช่วงขยายตัว คือมันเริ่มดังแล้วไง ตอนแรกอะไอเดียมันดูเป็นไปไม่ได้ พวกผู้ใหญ่ๆ เลยยังไม่ออกหน้ามาจับ พอดังแล้วคนเลยอยากเข้ามาช่วยเยอะขึ้น ความหลากหลายระดับ mass เข้ามา และก็เริ่มจัดระเบียบองค์กรให้มีฝ่าย มี พนง ประจำ มีกรรมการ เป็นเรื่องเป็นราวไป
4) ทีนี้พรรคมีคนสองแบบนะ อย่างแรกคือคนทำงานกึ่งอาสา (เช่นทีมนโยบาย ที่เค้าเอาเวลาไปทำมาหากินรวยกว่า) กับลูกจ้างพรรค (ที่อยู่ได้จากเงินเดือนของพรรคเช่นงานธุรการ งานสื่ออินเฮาส์)
5) คำว่าสมาชิกพรรค หมายถึง "ใครก็ได้" ที่สมัครสมาชิกพรรคเข้ามาทางเว็บไซต์ ทุกคนได้สิทธิทำ primary vote ในพรรคหมด ดังนั้รเวลาสื่อพูดถึงสมาชิกพรรค สถานะสมาชิกมันใครๆ ก็เป็นได้ มันไม่ต้องสอบเข้า
6) คือมันเริ่มมาจากความอยากให้ใครก็ได้มารวมกัน และมีกลไกกลางในการคานอำนาจ แต่ไปๆ มาๆ เข้าใจว่าปฏิบัติได้ยาก ทิศทางเลยจะเปลี่ยนจาก เปิดและขนาน ไปเป็นบนลงล่างตามสายงานเพื่อให้คุมได้รับมือกับดราม่าได้ ประเด็นคือ อีคนที่เข้ามาลงแรงเกือบฟรีเพราะการทำงานแนวขนาน ก็จะเซ็งกันไป
7) พรรคต้องยอมรับว่า "เริ่ม" กับ "ขยาย" ด้วยสปิริตคนละแบบจริงๆ คนที่เริ่มมันเริ่มแบบ อบากให้เป็นพรรคของคนธรรมดามากๆ พรรคที่ไม่ต้องเก๊ก เชื่อว่า ปชช แยกแยะได้ กับอีกสายคือจัดตั้ง คุมได้ และเชื่อในการทำให้พรรคมีความเป็นสถาบัน ซึ่งอย่างหลัง dominate พรรคอยู่
(มีต่อ)
(ต่อจาก >>933 )
8) พอสปิริตมันปรับไปสู่สปิริตองค์กร คนที่ก่อตั้งหรือเข้ามาด้วยสปิริตแบบที่เชื่อในความเป็นคนธรรมดา ก็โดนทอดทิ้งโดยการเติบโตของพรรคโดยพฤตินัย และ internal relationship มันก็ถูกรันโดยลูกจ้างพรรค ซึ่งพวกนี้โนสนโนแคร์ว่าใครจะทำอะไรมา เค้าสนแค่หน้าที่ตัวเองกับได้เงินเดือนต่อก่พอ
9) จึงไม่ต้องแปลกใจที่ transition ในช่วงนี้ของ #อนาคตใหม่ จะเขี่ยคนที่ดูมีปัญหาออกแบบเอาดีเข้าตัว และเอาใจแฟนคลับ คือฝ่ายที่ทำหน้าที่นี้เค้าก็ทำตามหน้าที่จริงๆ ให้ public relationship ดูดีที่สุด ถึงมันจะค้านสายตาคนเคยทำงานด้วยกันข้างในก็ตาม
10) และคิดว่า #อนาคตใหม่ ก็จะเจออะไรประมาณนี้ไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือสปิริตของคนประเภทเดียวกันอยู่ข้างในพรรค
สต้าทอัพเยอะแยะที่ไล่ผู้ก่อตั้งออกเพราะมันไปกันไม่ได้ตอนขยายองค์กร อยู่ที่เหตุผลในการไล่ มีความเป็นคนขนาดไหน แค่นั้น จบ
สุดท้ายจริงๆ : ทฤษฏีแก๊งกาณฑ์ เป็นหนึ่งในข้ออ้างที่ใช้ไล่เด็กๆ ออกแม้อีเด็กคนนั้นจะไม่เคยคุยกับกาณฑ์ก็ตาม :)
มันมีศาสตร์ของการไล่ออกอยู่ คนทำธุรกิจน่าจะคุ้นเคย แต่นักเรียนน่าจะไม่คุ้น
การเมืองเนี่ยมีหลายเวล มีทั้ง ประเทศ<>ประเทศ / พรรค<>พรรค / คน<>คน ในพรรคเดียวกัน ประมานนี้
คือนี่โอเคกับการปรับตัวเพื่อให้องค์กรอยู่รอด แต่นี่จะไม่โอเคกับมโนธรรมในการไล่ออก ด้วยเหตุผลที่เหี้ย หรือมีเหตุผลที่ดีได้มากกว่านี้
เพราะคนที่คุณไล่ออกไม่ใช่ลูกจ้าง และเขาเข้ามาลงแรงให้ฟรี ให้คุณเกาะเค้าดังฟรี ในวันที่คุณยังไม่มีอะไรเลย
ในวันที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ความน่าเชื่อถือหรือความเป็นไปได้ ไม่มีแม้แต่คนดังๆ คนมีเครดิตที่พร้อมออกหน้ามาสนับสนุน คนบ้าที่ออกหน้าเอาชื่อตัวเองมา "ตั้งพรรค" ทั้งที่ไม่รู้จักตื้นลึกหนาบางของคุณ มันต้องเป็นคนที่มีฝันหรือเหลืออดกับชีวิตของเค้าขนาดไหน
ลูกจ้างพรรคคงไม่เกท แต่เราคิดว่าคนที่ลงแรงมาด้วยกันเกท ทำไรได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง เป็น remark จากเราละกันว่าแอบดูการพัฒนาของพรรคอยู่
ทำพรรคมันยากตรงที่ มีลูกจ้าง กับมีอาสา แอดติจูดในการประคับประคองความสัมพันธ์ สื่อสารให้เข้าใจกัน สำคัญอะ ที่ผ่านมามันยุ่งมั้ง เลยไม่ทำ
ไว้ทวิตหน้าจะเล่าเรื่องฟังก์ชันของ ส่วนการเมือง (ฝ่ายเก็บคะแนนเสียงและทำหน้าที่ในสภา) กับส่วนบริหาร (หลังบ้านของฝ่ายแรก) ที่ต้องซิ้งกัน คือพรรคการเมืองเป็นองค์กรที่โครงสร้างไม่เหมือนบริษัท ไม่เหมือนเอนจีโอ สนุก
สรุป : พรรคอะจะไล่ใครออกก็ได้ แต่เหตุผลในการไล่ออกมันสะท้อนความ attitude ของทีมงานนาจา
สื่อสารไม่เหมาะสม จึงมีมติให้พักจากการเป็น representative ของพรรค = ได้
เป็นพวกเดียวกับที่ถูกไล่ออกไปก่อนหน้านี้ = เหี้ย
ไม่นับว่าไอ้ที่ถูกไล่ออกไปก่อนหน้านี้มันยังเรื่องไม่จบ มีพล็อตทวิสต์ได้อีกนะเค้าแค่ไม่พูดเพราะไม่อยากทำลายพรรคมากกว่านี้
ถ้าทีมงานมีปัญญา ก็ไม่ควรเอามาโยงกัน สื่อสารไม่เหมาะสม ก็สื่อสารไม่เหมาะสม อย่าเก๊กไปนอกเรื่อง มันตลก
จากที่ยังเมตตาเอ็นดู จะเป็นหมั่นไส้ละ
เอาจริงก็ยังแอบเชียร์อนาคตใหม่อยู่ เป็น love-hate relationship
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จริงๆ ฝ่ายขวาไทยไม่ได้โง่ พวกเขาแค่อยู่ในภาวะที่ไม่ต้องใช้สติปัญญามานาน มันเลยไม่พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
คือนี่ซีเรียส ไปดูฝ่ายขวาในโลกตะวันตก มันมีพัฒนาการทางความคิดกว่าเยอะ (แม้ว่าฝ่ายซ้ายจะว่ายังไง) ซึ่งเหตผลคือมันก็อยู่ในสังคมที่มีการถกเถียงตลอด คือมันพูดโง่โดยสิ้นเชิงเลย พวกเดียวกันมันก็ไม่หนุน ไอเดียมันเลยพัฒนาไปเรื่อยๆ
ในด้านตรงข้าม สังคมไทยมันอยู่ใต้แนวคิด "อำนาจนิยมของผู้ใหญ่" (ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ศาสนาประจำชาติจะเป็นนิกาย "เถรวาท" หรือ วาทะของผู้ใหญ่) มาตลอด มันเลยทำให้คนแก่ออกมาพูดจาโง่ๆ ในมาตรฐานปัจจุบันได้อย่างไม่น่าละอาย
ผมถึงยืนยันตลอดว่า "ความขบถต่อผู้ใหญ่" แม่งสำคัญที่สุด มันไม่ใช่เรื่อย General แบบการเชิดชูเหตุผล แต่เราต้องเชิดชู (ไม่ใช่แค่ "ให้พื้นที่") คนที่ขบถอย่างมีเหตุผลเป็นพิเศษ และให้โอกาสคนที่ขบถอย่างโง่ๆ พัฒนาตัวเอง
พูดอีกแบบคือเราต้องทำให้ผุ้ที่ "มีอำนาจ" ในการควบคุมภาวะทางกายภาพของผู้อื่นมันไร้อำนาจ ด้วยการไม่ปฏิบัติตาม เท่านั้นเองจริงๆ
เพราะก็อย่างที่เห็น อำนาจแทบทั้งหมดในสังคมเราแม่งอยู่บนฐานของการเกรงใจยอมทำตามเท่านั้นเอง มันไม่ได้มีกลไกอื่นๆ หนุน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ฝั่งซ้ายถ้าได้อำนาจหรือได้เปลี่ยนแปลงจนเป็นที่ต้องการแล้ว ก็จะใช้อำนาจรักษามันไว้
พวกนี้ก็จะค่อยๆ กลายเป็นคอนเซอร์เวทีฟตามกรอบที่ตัวเองขีดไว้ จนกลายเป็นซ้าย
ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แล้วรับแบบสมัครใจ คงได้แต่ลูกคนจนๆไป ลูกคนรวยๆอย่าหวัง นี่หรือเท่าเทียมกัน #อนาคตดับ
เห็นสถานะมิตรท่านหนึ่งแล้วนึกบางอย่าง
ประมาณปีที่แล้วผมไปร่วมงาน How to give feed back ของ Thoughtwork ซึ่งก็มีกลยุทธ์และวิธีสื่อสารหลายอย่าง ได้ประโยชน์มากทีเดียว
แต่เบสิคอันนึงที่ผมจะบอก เรียกว่าพื้นกว่า 101 เลยก็ได้คือ
“In order to give a feedback, you need to listen to feedback”
ผมพบว่า ถ้าเราฟังคู่สนทนาก่อน ต่อให้เราให้ฟีดแบ็คไม่ค่อยถูกวิธี เขาก็มักจะฟังเรา กระบวนท่าไม่ถูกก็มักจะไม่ถือสามากมายนัก
ตรงข้าม ถ้าเราไม่ยอมฟังคู่สนทนา กระบวนท่าไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่
ไม่ได้บอกว่าถ้าเราฟังเขา เขาจะฟังเรา เราฟังเขา อาจจะฟังหรือไม่ฟังเราก็ได้
แต่ถ้าเราไม่ฟังเขา เขาไม่ฟังเราเกือบจะแน่นอน
และถ้าเราคิดว่าอีกฝั่งจะ Bullshiting เรา เสียเวลาฟัง ผมว่าคุณไม่ต้อง Feedback เขาหรอกครับ เสียเวลาพูด คนที่ไม่มีค่าพอที่เราจะฟัง ก็มิได้มีค่าพอที่เราจะสนทนาพูดจาด้วยเช่นกัน
ถ้าจะทำ one-way แนะนำเขียน อีเมล์ จดหมาย message จะง่ายกว่านะครับ สนทนาหนึ่งฝั่งมันครึ่งๆ กลางๆ หรือเรียกมา “รับคำสั่ง” ก็ได้ครับ ถ้าไม่ถนัดเขียน หรือสั่งไม่ได้ ก็ต่อรอง ยื่นข้อเสนอ ถามแค่ “ตกลงจะเอาหรือไม่เอา” แค่นี้พอ
BRIEF: เอกชัย หงส์กังวาน บุกไปกองทัพบก เปิดเพลง ‘ประเทศกูมี’ ให้ทหารฟัง ถูกยึดตุ๊กตาหมีที่ใช้จำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา
.
กระแสคัดค้านการเปิดเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดนี้ นักกิจกรรมทางการเมือง เอกชัย หงส์กังวาน ได้เดินทางไปหน้ากองบัญชาการกองทัพบก เพื่อเปิดเพลง ‘ประเทศกูมี’ โต้ตอบ ผบ.ทบ.
.
เฟซบุ๊กของนักข่าวสายทหาร วาสนา นาน่วม ระบุเอาไว้ว่า เอกชัยได้เดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพบก นอกจากเปิดเพลง ประเทศกูมี ที่ด้านหน้าแล้ว เขายังนำตุ๊กตาหมีมาจำลองแขวนคอจากเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519
.
อย่างไรก็ดี วาสนา รายงานด้วยว่า ระหว่างนั้นได้มีตำรวจเข้ามาห้ามเอกชัย พร้อมกับยึดตุ๊กตาหมี และเชิญตัวเอกชัยไปที่ สน.นางเลิ้ง
.
เพลงประเทศกูมีที่เอกชัย นำมาเปิด เป็นผลงานของแร็ปเปอร์กลุ่ม Rap Against Dictatorship (RAD) ซึ่งในบทเพลงพูดถึงปัญหาในประเทศไทยหลายยัง ทั้งสังคม การเมือง และจุดยืนของกองทัพที่เข้ามาฉีกรัฐธรรมนูญ
.
เอกชัย เป็นนักกิจกรรมและเคลื่อนไหวเรื่องทางการเมืองอยู่หลายครั้ง ก่อนหน้านี้เคยเคลื่อนไหวประท้วงรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากกรณีนาฬิกาหรูอยู่หลายครั้ง
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/WassanaJournalist/posts/2193168094074970
https://www.youtube.com/watch?v=VZvzvLiGUtw
https://prachatai.com/journal/2018/03/75718
#Brief #TheMATTER
ความเชื่อสาธารณะหลายอย่าง มันไม่หมดไปง่ายๆ หรอก ตราบใดก็ตามที่ยังมีคน reinforce ความเชื่อนั้นๆ ให้กับสาธารณะ ไปเรื่อยๆ .....
ความเชื่อสาธารณะเหล่านั้น ไม่ได้ผิดซะทีเดียว แต่มันมักจะเป็น "ปลายเหตุ" หรือ "มีกรณีที่มันถูกและเป็นแบบนั้น" หรือ "คิดง่ายๆ แล้วมันก็ใช่" คนก็เลยเชื่อกันง่าย
ไม่แปลกหรอก เป็นพื้นฐานปกติของความคิดและความเชื่อของคนด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างก็คือ การที่บอกว่า "บิล เกตส์, สตีฟ จ๊อบ, มาร์ค ซักฯ เรียนไม่จบ ก็ประสบความสำเร็จได้" ... ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาเลือกที่จะไม่เรียนต่อในมหาลัย ไม่ได้แปลว่าเรียนไม่จบ (คือเลือกที่จะเรียน แต่ไม่จบสักที หรือไม่สามารถจบได้)
และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย (ประชาธิปไตย การเมือง วิทยาศาสตร์ ไอที การศึกษา ฯลฯ)
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมได้ยินมานานแล้ว และทุกวันนี้ก็ยังมีคนคิดแบบนี้เชื่อแบบนี้อยู่ ก็คือ "วิศวะคอมฯ เรียนฮาร์ดแวร์ วิทยาคอม เรียนซอฟต์แวร์" (คนที่เชื่อแบบนี้และพูดแบบนี้ บางคนเป็นอาจารย์มหาลัยด้วยซ้ำไป) .... ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีความแตกต่างกันแบบนั้นเลยสักนิด
หลายที่ ก็ไม่ได้ชื่อต่างกัน เพราะมันต่างกันหรอกนะ .... แต่เป็นเรื่องการเมืองและผลประโยชน์หรือแม้แต่ระบบระเบียบในมหาลัยด้วยซ้ำไป (ยกตัวอย่างเช่น: คนที่อยากเปิดหลักสูตร เป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ก็จะเปิด "วิศวะคอม" ไม่ได้ เพราะคณะวิศวะฯ จะโวย ในทางตรงข้ามก็เช่นกัน .... คนที่อยากเปิดอยู่คณะไหน ก็จะชื่อแบบคณะนั้นแหละ .... ส่วนวิชาพื้นฐานที่บอกว่าต้องเรียน หลายที่ก็มาจากระบบการเมืองและผลประโยชน์ของภาควิชาต่างๆ ในคณะนั้นๆ เอง)
ถ้าจะดูที่ปรัชญา มันก็ไม่ได้ต่างกันที่ความเป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ แต่เป็นการศึกษาความจริงของธรรมชาติ ในเชิง computational (ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของปัญหา ธรรมชาติของโครงสร้าง ธรรมชาติของข้อมูล .... และเราทำอะไรกับมันได้บ้าง) .... กับการสร้างของอย่างเป็นกิจลักษณะ (กระบวนการ การบริหารจัดการ รูปแบบการสร้าง ฯลฯ)
ตัวอย่าง เช่น "information" .... มองแบบ science ก็คือ ธรรมชาติของ information ตั้งแต่นิยามพื้นฐาน ไปจนถึงธรรมชาติของมันอันเกิดจากนิยามพื้นฐาน .... มองแบบ engineering ก็คือ กระบวนการประมวลผล เครื่องมือประมวลผล การสร้าง การเปลี่ยนแปลง การบริหารจัดการ pipeline ฯลฯ ....
อะไรแบบนี้แหละ
แต่นั่นล่ะครับ มันยากกว่าการคิดอะไรง่ายๆ ไปตามความเชื่อสาธารณะ (ที่เราอาจจะรู้สึกว่าเราถูกแล้ว เพราะคิดเหมือนกับคนอื่นที่คิดตามความเชื่อสาธารณะเหมือนกับเรา)
ตามข่าว #ดอมฟ้าปะทะคนแก่ตกยุค แล้วนึกถึงนิยายปัวโรต์เล่มโปรด One, Two, Buckle my Shoe
นิยายปี 1941 ของราชินีสืบสวนสอบสวนเล่มนี้มีประเด็นการเมืองมากกว่าเล่มอื่น ซ้ายหัวก้าวหน้า vs ขวาอนุรักษ์นิยม
เป็นที่รู้กันว่าคริสตีเป็นนักเขียนอนุรักษ์นิยม และนิยายนักสืบแบบของเธอ ก็เป็นฌองที่เอียงขวาตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ดี คริสตีแทบไม่เคยเขียนถึงการเมืองตรงๆ และแทบไม่เคยด่าฝ่ายซ้าย หรือโจมตีคอมมิวนิสต์ในงานเขียน
ใน One, Two, Buckly my Shoe หมอฟันของปัวโรต์โดนยิงตาย ใครคือฆาตกร
แน่นอนว่ายอดนักสืบต้องจับผู้ร้ายได้อยู่แล้ว ไม่สปอยรายละเอียดคดี แต่สิ่งที่ตรึงใจมากๆ คือคำพูดสุดท้ายของปัวโรต์ เมื่อเขายอมรับ "ความพ่ายแพ้" บางอย่าง
"The world is yours, the new heaven and the new earth. In your new world, my children, let there be freedom, and let there be pity...That is all I ask." / "โลกใบนี้เป็นของพวกเธอแล้ว ทั้งผืนพิภพและท้องนภา หนุ่มสาวเอ๋ย ขอให้โลกใบใหม่นี้มีอิสรภาพ และก็ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจกันด้วย...ผมขอพวกเธอเพียงเท่านี้"
ชอบความกำกวมของประโยคนี้ ปัวโรต์ (และคริสตี) ฉลาดเกินกว่าจะเชื่อว่าพวกเขาสามารถหยุดโลกไว้นิ่งๆ และสิ่งเดียวที่คนตกยุคเช่นพวกเขาจะทำได้คือ อวยชัยให้คนหนุ่มสาว และร้องขอความเห็นอกเห็นใจ
เราไม่ได้ต่อต้านฝ่ายขวาหรือผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคน ผู้ใหญ่ที่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง รับรู้ข้อจำกัดตัวเอง และไม่เคยหยุดเรียนรู้จะมีเสน่ห์สำหรับเราเสมอ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รู้หมือไร่!!??
การที่มนุษย์คนนึงเกิดขึ้นมาบนโลกและตายจากไป ไม่สามารถทำให้แผ่นดินหนักขึ้นหรือเบาลงแต่อย่างไร
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น??
"การที่มนุษย์เราแต่ละคนเกิดขึ้นมาได้นั้นก็เพราะ พ่อกับแม่เราปัมปั๊มกันด้วยวิธีที่ไม่ปลอดภัย ในวันที่ไม่ปลอดภัยครับ
ไม่ได้มีนกกระสาคาบมาให้จากสวรรค์ หรือตกมาจากอวกาศ
พอปัมปั๊มกันแล้ว อสุจิของพ่อ ก็ ผสมกับ ไข่ของแม่ เกิดเป็นทารกขึ้นมา
ช่วงที่อยูในท้องทารกก็ได้ส่วนแบ่งอาหารจากที่แม่กินเข้าไปและนำสารอาหารไปสร้างให้ร่างกายมีขนาดใหญ่ขึ้น และพอคลอดออกมาก็กินด้วยปากตัวเอง ซึ่งอาหารที่กินเข้าไปนั้นก็มาจากพืชและสัตว์ที่อยู่บนโลกทั้งสิ้น
นอกจากนี้กากอาหารที่เหลือยังถูกขับถ่ายออกมาและกลับลงสู่ดินและน้ำ รวมถึงซากศพหลังจากตายไปแล้วด้วย
ดังนั้นในภาพรวมก็ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นหรือลดลง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนไทยจำนวนไม่น้อยยังมองว่าตนเองเป็นทาสอยู่
คิดว่าถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้เป็นเรื่องปรกติ
คิดว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทำหน้าที่ก็อย่าไปว่าเขา ว่าตัวเรากันเองดีกว่า
กกต.วางระบบห่วยให้เว็บล่มก็โทษว่าไม่รีบไปลงชื่อกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เอง
กรณีหลังยกตัวอย่างว่ากกตเป็นครู เราเป็นนักเรียนอีก
ทั้งที่จริงมันต้องยกตัวอย่างว่ากกตเป็นเลขา เราเป็นเจ้าของบริษัทต่างหาก
"ชามิมา เบกัม ถูกอังกฤษถอดสัญชาติ"
ชามิมา เบกัมเป็นชาวอังกฤษหนีมาสวามิภักดิ์ ISIS เมื่ออายุ 15 ปี เธอเคยมีลูกสองคนล้วนตายในสงคราม ปัจจุบันอายุ 19 ปี แล้ว วันเสาร์ที่ผ่านมาพึ่งคลอดลูกคนที่สามในค่ายลี้ภัยของเคิร์ด
เธอเป็นคนท้ายๆ ที่ยอมแพ้ต่อทัพเคิร์ดในช่วงปลายสงคราม และบอกว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อกลับอังกฤษให้ได้ รับปากว่าจะไม่เผยแพร่แนวคิดก่อการร้าย อยากใช้ชีวิตอย่างสงบกับลูก พวกเคิร์ดก็อยากให้เธอไปอังกฤษ เพราะไม่อยากเลี้ยง
อย่างไรก็กระทรวงมหาดไทยอังกฤษกลับพยายามทุกวิถีทางที่จะถอดสัญชาติของเธอ ไม่ยอมให้เธอกลับบ้าน โดยบอกว่า "คนที่ไปสวามิภักดิ์ ISIS นั้นแปลว่าเกลียดอังกฤษมาก เอากลับมาก็มีอันตราย" อนึ่งภายใต้กฎหมายอังกฤษนั้นรัฐบาลสามารถถอนสัญชาติของพลเมืองได้ หากบุคคลนั้นเป็นภัยต่อมวลชน "แต่ในการถอนสัญชาตินั้นต้องไม่ทำให้บุคคลดังกล่าว กลายเป็นคนไร้สัญชาติใดๆ (stateless)"
เอาแล้วสิ จะทำอย่างไรดีล่ะ? เพราะประเทศ ISIS ที่เบกัมไปสวามิภักดิ์นั้นไม่ได้รับการยอมรับจากชาวโลก ทำให้ถือว่าเธอไม่เคยเปลี่ยนสัญชาติมาก่อน
อังกฤษบอกว่าแม่ของเบกัมเป็นชาวบังคลาเทศนะ เบกัมก็เป็นบังคลาเทศไปสิ ...แต่เบกัมบอกว่าฉันไม่เคยไปบังคลาเทศมาก่อน ฉันไม่ใช่บังคลาเทศว้อย! (ส่วนรัฐบาลบังคลาเทศบอกว่าเราไม่รู้จักเธอ ไม่รับว้อย)
เบกัมแต่งกับสามีชาวดัตช์ (เนเธอแลนด์) ที่มาสวามิภักดิ์ ISIS ด้วย เธอจึงบอกว่าเธอจะพยายามขอเป็นพลเมืองดัตซ์ ซึ่งก็ดูไม่มีความหวังนัก...
สุดท้ายแล้วเบกัมร้องทุกข์ว่าการกระทำของอังกฤษนั้น ช่างอยุติธรรมต่ำช้าเสียนี่กระไร ที่พรากเธอออกจากสิทธิพลเมืองอันเป็นความชอบธรรมทางกฎหมาย (อังกฤษบอก ดูผลงานที่ผ่านมาของแกก่อนสิ!)
สำหรับลูกของเบกัมนั้นแตกต่างไป เพราะกฎหมายบอกว่าลูกของชาวอังกฤษที่เกิดขณะยังไม่ถูกถอดสัญชาตินั้นยังถือเป็นคนอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษยากที่จะถอนสัญชาติเด็กคนนี้เพราะเขาไม่เคยทำความผิด (อังกฤษบอก อะไรนะ เด็กอังกฤษมีที่ไหน นี่มันเด็กบังคลาเทศ!)
เอาละสิครับ สรุปเบกัมจะได้เป็นชาวอังกฤษหรือไม่ ลูกของเธอจะเป็นชาวอะไร จะเป็นชาวอังกฤษตามแม่? ชาวดัตช์ตามพ่อ? ชาวบังคลาเทศตามยาย? หรือชาวเคิร์ดตามพื้นที่เกิด? (แต่เคิร์ดก็ยังไม่ได้เป็นประเทศน่ะนะ)
...โนตว่าถึงตอนนี้เบกัมก็ยังไม่ได้ขอโทษแทน ISIS ที่ไปก่อการร้ายสังหารชาวอังกฤษ เธอเพียงบอกว่าเสียใจที่มีชาวอังกฤษบริสุทธิ์ตายจากการก่อการร้าย แต่นั่นก็ยุติธรรมดี เพราะพวกตะวันตกสามานย์ก็มาฆ่าคนบริสุทธิ์ในประเทศ ISIS เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นตามที่ผมบอกว่าคนที่ยอมแพ้ในช่วงนี้เป็นพวกฮาร์ดคอร์สุดๆ ครับ
สุดท้ายฝากลูกเพจคิดว่าควรทำอย่างไรกับเบกัมดี? จะเอากลับมารับโทษทัณฑ์ในอังกฤษ หรือจะปล่อยให้กลายเป็นบุคคลไร้รัฐ แล้วคงเฉาตายอยู่สักที่ในแดนเคิร์ด? แล้วลูกของเธอล่ะ?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
If you choose Sanders over Warren, I will actually think you are sexist, yes.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Wouldn’t choosing Warren over Sanders be antisemetic then?
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เหม็นพวกโม่งการเมืองจังครับ ไม่เข้าใจว่าเค้าจะลอกความคิดที่ได้อ่านจากเฟซหรือทวิตมาโพสซ้ำทำไม
ดูพวกเค้าไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเลยนะครับ
"สังคมสูงอายุ"
เราจะมีวิธีการรับมือกับสังคมสูงอายุอย่างไรดีนะ ...... ผมขอแชร์ความคิดส่วนตัว ว่าผมชอบสิ่งที่ญี่ปุ่นทำ
ถ้าใครไปญี่ปุ่น ลองสังเกตว่าเขามีการ "จ้างงานผู้สูงอายุ" มากมาย เป็นงานที่ "ไม่หนักมาก ไม่ต้องคิดมาก และได้ออกกำลังกาย" เป็นส่วนมาก
ตั้งแต่ที่สนามบิน จะเห็นว่าคนที่บริหารจัดการคิว (เรียกคนไปเข้าคิว) จะเป็นผู้สูงอายุเป็นส่วนมาก คนที่ประจำเครื่องอ่าน passport เป็นผู้สูงอายุทั้งนั้น คุณตาคุณยายได้เลยแหละ
เข้าร้านสะดวกซื้อ ก็มีคุณตาคุณยายทำงานเป็นแคชเชียร์เยอะแยะ
จากรูปนี่ คือคนที่ช่วยโบกรถ ตามสถานที่ท่องเที่ยว (อันนี้คือ Shirakawago) ก็เป็นคุณปู่คุณตากันแทบทั้งนั้นเลย ....
ได้ทำงาน ไม่ใช่รอรับการช่วยเหลืออย่างเดียว .... ได้ออกกำลังกาย ได้เจอเพื่อนฝูง มีสังคม .... และไม่ต้องเปลืองแรงงานของคนรุ่นใหม่ (เด็กๆ อายุน้อยๆ) ที่ทำอย่างอื่นได้ ไปทำงานพวกนี้ .... แล้วก็ได้ใช้สมอง ความคิด การตัดสินใจ ตามสมควร .... ช่วยเรื่องความจำได้อีกตะหาก
BRIEF: นายพลระดับสูงของจีน โดนจำคุกตลอดชีวิตและยึดทรัพย์สิน หลังถูกพบว่า ร่ำรวยแบบไม่มีที่มาที่ไป
.
มาตรการปราบคอร์รัปชั่นของจีน ขึ้นชื่อถึงความโหดและเข้มข้น ล่าสุดนี้ มีกรณีใหม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อนายพลระดับสูงรายหนึ่ง ถูกศาลทหารพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต และยึดทรัพย์สินทั้งหมด จากกรณีร่ำรวยแบบที่ชี้แจงให้ชัดเจนไม่ได้
.
ประเด็นคือ พลเอก ฝาง เฟิงฮุย ซึ่งเป็นอดีตเสนาธิการทหาร ฝ่ายเสนาธิการแห่งคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (CMC) ของจีน เพิ่งถูกศาลทหารตัดสินความผิดหลายอย่าง ส่วนหนึ่งคือ ศาลพบว่า นายพล ฝาง ทำความผิดฐานรับและเสนอสินบน ที่สำคัญคือ ยังครอบครองทรัพย์สินจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยแหล่งที่มาให้ชัดเจนไม่ได้
.
ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตให้กับพลเอก ฝาง รวมถึงยึดทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ในตอนแรกทั้งหมด (ยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดว่าเยอะเท่าไหร่) และส่งคืนเข้ามายังหน่วยงานด้านการคลังส่วนกลาง
.
รัฐบาลจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง มีมาตรการเกี่ยวกับปราบคอร์รัปชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง มีข้อมูลที่พบว่า นับตั้งแต่ปี 2012 มีบุคลากรของกองทัพถูกดำเนินคดีไปแล้วกว่า 1.5 ล้านคนทั้งพลทหารชั้นผู้น้อย ตลอดจนทหารยศสูงในตำแหน่งบริหาร
.
อย่างไรก็ดี คำถามที่มักเกิดขึ้นเสมอคือ แล้วมาตรการปราบคอร์รัปชั่นแบบจีนนั้นจะเป็นโมเดลให้กับประเทศอื่นๆ (รวมถึงไทย) ได้แค่ไหน และวิธีการตามแบบของจีนมีข้อที่ต้องเป็นห่วงกันอย่างไรบ้าง?
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/…/chinas-former-military-chief-…
https://www.reuters.com/…/senior-chinese-general-jailed-for…
https://www.abc.net.au/…/chinese-general-jailed-fo…/10831672
#Brief #TheMATTER
ผมนั่งดูงานเขียนเก่าๆ ของตัวเองที่เขียนเกี่ยวกับสงครามซีเรีย พอเจอข่าวการตายของนายอนัส อัลบาชา แล้วสะท้อนใจ ตั้งแต่ติดตามข่าวสงครามซีเรียมา ยังไม่เคยอ่านเรื่องการตายคนๆ ไหนที่น่าเสียใจเท่านี้เลย เลยเอามาลงอีกครั้งนะครับ
::: ::: :::
"ตัวตลกแห่งอเลปโปถูกฆ่าตาย"
นายอนัส อัลบาชาเป็นนักสงคมสงเคราะห์ในเมืองอเลปโป ประเทศซีเรีย ตอนที่อเลปโปกลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญของสงครามซีเรียนั้น เขาเคยมีโอกาสหนีจากเมืองพร้อมพ่อแม่ แต่อนัสกลับเลือกที่จะรั้งอยู่ในเมืองเพื่อทำงานช่วยเหลือผู้คน
นอกจากงานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ แล้ว อนัสยังเอาสีมาเขียนหน้า แต่งตัวสีฉูดฉาด ใส่วิกอย่างตัวตลก แล้วออกไปแจกของขวัญ และเล่นสนุกกับเด็กๆ ที่ยังติดอยู่ในเมือง
แฟนๆ ตัวน้อยของอนัสขนานนามเขาว่า "ตัวตลกแห่งอเลปโป" ด้วยความรัก
เมื่อสมรภูมิอเลปโปนองเลือดมากขึ้น อนัสยังคงปลอบประโลมพวกเด็กๆ ในสถานการณ์ที่มืดมน และอันตรายที่สุด
จนกระทั่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ (29 พ.ย. 2016) อนัสได้ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดฆ่าตายขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ ทิ้งไว้เพียงเรื่องราวความพยายาม และความปรารถนาดีของคนตัวเล็กๆ ท่ามกลางความบ้าคลั่งในสงคราม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Networking is actually very easy to build. Just hop from event to event and keep talking to people. Trust is much harder to achieve and it takes time for the heart to build one.
คุนเย็ดกับคุนวัฒนาจริงเหรอ555
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จริงค่ะ
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เหม็นพวกโม่งการเมืองจังครับ ไม่เข้าใจว่าเค้าจะลอกความคิดที่ได้อ่านจากเฟซหรือทวิตมาโพสซ้ำทำไม
ดูพวกเค้าไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเลยนะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ฝ่ายนึงมี ประเทศกูมี ฝ่ายนึงมี หนักแผ่นดิน ...เพื่อความปรองดอง ก็ขอรวมเพลงว่า ##ประเทศกูมีคนหนักแผ่นดิน## ก็สิ้นเรื่อง"
#มิตรสหายท่านนึง
หนึ่งในหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผมไปเยอะมาก ..... และเป็นหนังสือที่ทำให้ผมตั้งคำถามเกี่ยวกับ "ชีวิต" ใหม่
เพราะมันฉีก paradigm ความคิดของ carbon-based lifeforms หรือ life as we know it, life as it is ... ลงไปถึงพื้นฐาน นิยาม ว่า ถ้ามันไม่มีพวกนี้อยู่เลย แล้ว "what is life?"
เรียกว่าลงไปตั้งแต่ first principle ....
เนื้อหาน่ะเหรอ ..... computation theory, information theory ...... self-replicating strings/codes ..... statistical physics & thermodynamics ... percolation theory ... complexity and complex systems .... self-organization to criticality .... fitness landscape .... learning .... information propagation .... evolution ...
เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มที่อาจารย์ที่ research group ผม ให้ทำ group study กันในตอนที่ผมเรียนปีสี่ที่มหาลัย
อ่านยากนะ เต็มไปด้วย Math ..... (อธิบายทุกอย่างเป็น Math หมด) .... คือแต่ละเรื่องนี่อาจจะต้องไปอ่านหนังสือเฉพาะทางเพิ่มอีกหลายเล่มกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
คือมัน "intro" ก็จริง แต่มัน intro ด้วยการเอาเรื่อง fundamentals + advanced ของแต่ละเรื่องมาใช้พอควร
ก็อารมณ์เดียวกับ "intro to quantum algorithms" นี่ถึงจะเป็น intro ก็ต้องรู้เรื่อง computation theory, quantum computing, algorithms มาบ้าง ถ้าไม่รู้เลยก็ "ยาก" แหละ
ก็ยังคงเป็นหนังสือที่มีผลกับชีวิตผมมากๆ และมีผลกับความคิดของผมมากๆ จนถึงทุกวันนี้
(นี่ซื้อครั้ง่ที่ 3 .... อ่านขาดคามือไปสองเล่มแล้ว)
>>973 คำว่าทั่วไปของกูหมายถึงว่า ถ้าคนเรียนสาขาเดียวกับมันมันก็เป็นเนื้อหาทั่วไป มึงอย่าคิดว่าถ้าสาขาอื่นไม่ได้เรียนหรือว่ามึงไม่เคยได้ยินแล้วมันจะไม่ใช่เนื้อหาทั่วไป มันก็อารมณ์เดียวกับการที่พวกที่เรียน biochem ได้เรียน crystallography แต่คนฟิลด์อืนที่ไม่ได้เรียนก็จะมองว่ามันไม่ทั่วไปนั้นแหละ ซึงถ้าจะให้พูดสั้นๆ คือ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาอวดหวะ
ตั้งแต่เรียนที่คาสะโxด คอร์สเดียวก็เปลี่ยนชีวิตผม
>>976 รู้จัก humble brag ไหมครับ ชัดๆเลยก็
"อ่านยากนะ เต็มไปด้วย Math ..... (อธิบายทุกอย่างเป็น Math หมด) .... คือแต่ละเรื่องนี่อาจจะต้องไปอ่านหนังสือเฉพาะทางเพิ่มอีกหลายเล่มกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่"
"(นี่ซื้อครั้ง่ที่ 3 .... อ่านขาดคามือไปสองเล่มแล้ว)"
หลังๆกระทู้นี้แม่งมีแต่ quote กลวงๆไม่ก็พวกขายคอร์สขายตรงมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ
pim tai mai dai
Math = เลข !!!
เฮ้ยยย กูเห็นควายด่าคนว่าโง่ว่ะ ฉงนยังฉลาดกว่านี้เลย
คนโง่อวดฉลาดเต็มโม่งเลยว่ะ
“เวลาเห็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย ประเทศไทย ความชาตินิยมของไทย ฯลฯ แล้วถูกหาว่าเป็นพวก 'ชังชาติ' จะนึกถึง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขึ้นมาทุกที
.
เพราะเป็นไปได้ไม่น้อย ที่คุณชายคึกฤทธิ์อาจเป็นคนแรกๆ ที่ถูก 'คนไทย' เหล่านั้นกล่าวหาว่าเป็นพวก 'ชังชาติ' แม้ว่าคุณชายคึกฤทธิ์จะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่ช่วย 'สร้าง' สิ่งที่เรียกว่า 'ความเป็นไทย' ขึ้นมาก็ตามที
.
ตัวอย่างที่จำได้ติดใจเลยก็คือการที่คุณชายคึกฤทธิ์วิจารณ์ตัวละครที่ตัวเองสร้างขึ้น คือ 'แม่พลอย' ที่คนไทยจำนวนมากมองว่าเป็นตัวละครที่เป็นแสนจะเป็นตัวแทนความเป็นไทย
.
เช่นบทสัมภาษณ์ 'คึกฤทธิ์คิดลึก ทศกัณฐ์วรรณกรรม' ใน ถนนหนังสือ 3, 1 กรกฎาคม 2528, หน้า 19 (เสิร์ชในอินเทอร์เน็ตก็พบได้ทั่วไป)
.
"แม่พลอยเป็นคนที่ไม่มีสิทธิของผู้หญิงเลย ไม่เคยเรียกไม่เคยร้อง แล้วแม่พลอยนี่เป็นคนเชยที่สุด คุณจะว่านางเอกก็นางเอก แต่เป็นคนที่เชยที่สุด แม่พลอยถ้าแกอยู่มาจนถึงทุกวันนี้แกก็ลูกเสือชาวบ้าน แกจะไปรำละครบ้าๆ บอๆ ถึงขนาดนั้น
.
"พลอยเป็นคนเชยมากนะครับ เป็นคนที่อยู่ในกรอบ ใจดี ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานก็รักคุณเปรมได้ ตามคติโบราณนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่งไปก่อนแล้วรักกันเองทีหลัง แม่พลอยก็เป็นอย่างนั้นทุกอย่าง ทีนี้คนอ่านคนไทยปลื้มอกปลื้มใจเห็นแม่พลอยเป็นคนประเสริฐเลิศลอย ก็เพราะคนไทยก็เป็นคนแบบนั้น ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย คนอ่านส่วนมากก็เป็นคนระดับแม่พลอยเท่านั้น (หัวเราะ)
.
โง่ยิ้มเลยจะบอกให้ สี่แผ่นดิน ถึงได้ดัง (หัวเราะ)"
.
หรืออีกตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์เดียวกันบอกว่า
.
"คนไทยนั้นหลอกง่าย เขียนหนังสือหลอกง่าย อยากมีชื่อมีเสียงง่ายที่สุด คนไทยนี่ ขอให้ไทยดี ไทยเก่ง รักชาติไทย พอแล้ว อะไรๆ เป็นชาติไทยหมด ชกมวยก็เป็นชาติไทย"
.
โดยส่วนตัวคิดว่า ในแง่หนึ่ง การวิจารณ์แบบนี้ของคุณชายคึกฤทธิ์ อาจมองว่าเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากการศึกษาในโลกตะวันตก (คือออกซ์ฟอร์ด) ที่เต็มไปด้วยการใช้เหตุผล คารม วาทะ รวมไปถึงการโต้วาที เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่วิถีตะวันตกจะถูกนำมาใช้วิจารณ์ความเป็นไทย และวิจารณ์กระทั่ง 'ตัวละคร' ที่ตัวเองเป็นผู้สร้างขึ้น โดยเปรียบกลับไปหาตัวโครงสร้างสังคมที่ 'สร้าง' หรือ 'ฟูมฟัก' ตัวละครพวกนี้ขึ้นมาด้วย
.
(ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ยังเคยบอกด้วยว่า นางเอกของ 'สี่แผ่นดิน' จริงๆ คือช้อย ไม่ใช่พลอย โดยอธิบายทำนองที่ว่า ช้อยเลือกชีวิตตัวเองได้ แต่พลอยเลือกไม่เป็น อยู่ไปโดยปล่อยให้ชีวิตพัดพาไปทางไหนก็ไปทางนั้น)
.
แต่ในอีกแง่หนึ่ง ถ้ามองว่า คุณชายคึกฤทธิ์เป็นคนหนึ่งที่สร้าง 'ความเป็นไทย' ขึ้นมา ก็อาจมองแบบโลกสวยได้ด้วยว่า อย่างน้อยที่สุด 'ความเป็นไทยแบบคึกฤทธิ์' นั้น คือความเป็นไทยที่ 'วิจารณ์' ตัวความเป็นไทยเองได้ และวิจารณ์ถึงขนาดบอกว่า 'ตัวแทนความเป็นไทย' แบบ 'แม่พลอย' นั้น 'เชย' และใช้คำว่า 'โง่ยิ้ม' ด้วย ซึ่งก็คือการ 'ยั่ว' ให้คนคิดและย้อนกลับมาตรวจสอบความชอบในทางวรรณกรรมของตัวเอง
.
ก็น่าสนใจดี ที่ความเป็นไทยยุคก่อนนั้นกว้างขวาง โอบรับความเป็นออกซ์ฟอร์ดและวัฒนธรรมการวิจารณ์เข้ามาไว้ในความเป็นไทย และทำถึงขั้นวิจารณ์ตัวเอง วิจารณ์สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ แต่ทำไม 'ความเป็นไทย' ยุคใหม่ ถึงได้ 'เรียวลง' จนแทบไม่มีที่ทางให้หายใจ อึดอัด คับแคบ และให้ความรู้สึก 'หนัก'
.
โดยส่วนตัวคิดว่า ความเป็นไทยควรเป็นเรื่องโปร่งเบาสบาย
.
อย่าทำให้ความเป็นไทยเป็นเรื่องหนักของแผ่นดินเลย”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นบริษัท Software house และ Startup หลายเจ้า พยายามโชว์ Culture บริษัท พยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเก๋ Cool มีโต๊ะปิงปอง โต๊ะ Pool งานสบายรายได้ดี Flaxi-hour บลาๆ
แล้วก็เริ่มมาบ่นว่า น้องๆ รักสบาย ไม่มีความรับผิดชอบ งานไม่ได้ตามเป้า สุดท้ายงานก็ไม่ได้สบายจริง Flaxi-hour ไม่จริง.. ลาไม่จำกัดที่ไม่มีจริง เพราะสร้างเงื่อนไขมากมาย ต้องแจ้งล่วงหน้า 2 วัน ต้องอย่างนั้นอย่างนี้
เอ้า.. ก็สร้างภาพว่างานสบายรายได้ดี เน้นเรื่องเล่น คนก็คาดหวังว่า จะเข้าไปเล่นไง :-) สุดท้ายก็มาด่าเด็กว่า ไม่โอเค ก็โปรโมทซะนึกว่าทำสวนสนุก ไม่ใช่ทำบริษัทเนอะ 🤫
ว้ายๆๆ math คือเลข
"นาฬิกาเลวไม่เท่าจำนำข้าวฮับ"
มิตร... ไม่ๆ มันไม่ใช่เพื่อนกู
ไอ้เหี้ยตัวหนึ่งกล่าวไว้ละกัน
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า รองเท้า Suede ต้องดูแลยาก พังง่าย ฯลฯ ...... นั่นก็เพราะว่าผมไม่รู้วิธีดูแลมันต่างหาก
จริงๆ แล้วรองเท้า Suede นี่ถือว่าทน และดูแลง่าย (แถมใส่สบายมากอีกตะหาก) เพียงแต่ว่ามันใช้วิธีการและเครื่องมือต่างจากรองเท้าหนังทั่วไปก็เท่านั้นเอง
ที่ต้องการ ก็คือ Omnidain (น้ำยาทำความสะอาด -- คล้ายๆ สบู่ -- มาพร้อมแปรงเล็กๆ) Renovetine (บำรุงหนัง) แปรง 2 อย่าง แล้วก็ยางลบ Suede (ทุกอย่างมีขายที่แผนกรองเท้าใน Central)
รูปที่สอง นี่เป็นรูปหลังจากที่ทำความสะอาดด้วยน้ำยาแล้ว แล้วก็ล้างด้วยน้ำเปล่าอีกรอบแล้ว (ไม่ได้เอาไปแช่น้ำหรือผ่านน้ำนะ แต่เอาแปรงชุบน้ำเปล่าปัดจนไม่มีฟองเหลือ) .... รอให้แห้งอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ก่อนจะพ่นสเปรย์ .... (ตอนถ่ายนี่ยังเปียกอยู่)
เห็นน้องๆ หลายคนดูถูกสุภาพสตรีว่าที่มาสนใจพี่ป๊อบนั้นเพราะพี่ป๊อปมีชื่อเสียงเงินทอง แนวคิดดูถูกทางเพศกันแบบนี้พี่โจวว่าไม่ควรมีพวกปัญญาชนเรานะครับ เพราะความจริงแล้วผู้หญิงอาจชอบพี่ป้อบเพราะว่าอวัยวะเพศของแกใหญ่ยาวก็เป้นได้ ไม่ใช่เรื่องเงินทองชื่อเสียงใดๆ
เรื่องคบซ้อนเราไม่จำเป็นต้องไปตัดสินแทนใคร ว่าใครดีไม่ดี ถูกไม่ถูก มันเป็นเรื่องของเขา มันเกิดขึ้นได้กับคนทุกระดับ ทุกฐานะนั่นแหละ มีรุ่นน้องให้นิยามกับผมกับว่า มันคือ "สัญญาใจ"
ผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีโอกาสเลือกคนที่คิดว่าใช่ที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา ในระหว่างเลือก ถ้าเลือกเยอะ ผู้ชายก็จะถูกเรียกว่า "เจ้าชู้" ผู้หญิงก็จะถูกเรียกว่า "ลัลลา" ต่อให้เป็นแฟนกันแล้ว ก็อาจจะถูกเปลี่ยนใจไปเลือกคนอื่น ชีวิตคู่มันก็ไม่ง่าย
การที่คนสองคนที่ไม่เหมือนกันมาคบกัน ต้องปรับตัวเข้าหากัน ต้องเรียนรู้อะไรที่อีกฝ่ายรับได้รับไม่ได้ แล้วปรับตัวเข้าหากันได้แล้วมั่นใจว่าอยู่กันได้ตลอดชีวิต ซึ่งในระหว่างคบกันก็ไม่ใช่ทุกคู่จะเห็นทุกอย่างจากอีกฝ่ายหมด พอคบกันแล้วก็มีเรื่องครอบครัวของอีกฝ่ายอีก
ผมก็มีแฟนมาหลายคน ในระหว่างที่มีแล้วเลิกไป ฝ่ายหญิงก็ไปมีคนใหม่ทั้งนั้น แล้วก็มีในระหว่างที่คบเราเป็นแฟน แต่เราไม่รู้ ถ้าจะไปโทษว่าอีกฝ่ายผิด ก็ต้องมองดูตัวเองว่ามีข้อบกพร่องอะไร ก็มีเต็มไปหมด ไม่เอาใจใส่ ทำแต่งาน หรืองานที่ทำเกี่ยวข้องกับการพบเจอผู้หญิง ฐานะไม่มั่นคง อะไรที่ทำให้อีกฝ่ายไม่มั่นใจก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เป็นเหตุที่ต้องหาทางเลือกใหม่เกิดขึ้น เราก็แค่หวังว่าทางเลือกใหม่ที่เขาเลือกจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ดีกว่าตอนที่คบกับเรา
ถึงแม้ว่าเราคาดหวังกันว่า การคบกันจะต้องให้เกียรติกัน เคารพในความเป็นตัวของตัวเองอีกฝ่าย ยอมรับซึ่งกันและกัน ซื่อสัตย์ แต่ในระหว่างที่คบกันเรามองเห็นสิ่งเหล่านั้นหมดหรือไม่ ถึงแต่งงานกันแล้ว การยอมรับซึ่งกันและกันก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ ตามสถานการณ์และเวลาที่ผ่านไป เพราะโลกมันหมุนทุกวัน อากาศเปลี่ยนแปลงทุกวัน
เรื่องการคบกัน มันอาจจะไม่ต้องใช้เหตุผลหรือตรรกะมาก มันเป็นเรื่องของหัวใจ วันหนึ่งที่สัญญาใจเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ ไม่ต้องไปตัดสินใครหรอก เราไม่ได้รู้เรื่องราวเขาดีพอ ดูแลคู่ของตัวเองให้ดีเถอะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.