คุณอย่าคิดอะไรมาก ประเทศนี้ไม่ใช่ของคุณ อยู่ๆไปเถอะ คิดซะว่าเช่าเค้า ทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขไป สิ้นเดือนรับตังค์ แดกข้าว อยากไปเที่ยวไหนก็ไป ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อยู่ๆไปเหอะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Last posted
Total of 1000 posts
คุณอย่าคิดอะไรมาก ประเทศนี้ไม่ใช่ของคุณ อยู่ๆไปเถอะ คิดซะว่าเช่าเค้า ทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขไป สิ้นเดือนรับตังค์ แดกข้าว อยากไปเที่ยวไหนก็ไป ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อยู่ๆไปเหอะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แต่คนจนๆหลายตัวอยากได้นุ่นนี่ทั้งๆที่ไม่เสียภาษี
เออ กติกานี้พวกมึงเขียนเองไม่ใช่เหรอวะ ที่ให้คนนอกเป็นได้อ่ะ เกี่ยวไรชัชชาติ
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_1350316
และแล้วฝ่ายที่พยายามต่อสู้่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย
ก็ต้องยอมแพ้ ให้กับการแท็คทีมของเหล่านอมินีของซีกนายทุน
ที่สวมเสื้อ นักวิชาการบ้าง ข้าราชการบ้าง
แพ้ ... ทั้งๆที่ สามารถยกหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ชัดเจน
แพ้ ... ทั้งๆที่ มีเหตุผลอันน่าเชื่อถือ
และเป็นวิทยาศาสตร์มากมายสนับสนุน
แพ้ ... เพราะคนไทยจำนวนมาก ไม่ได้ตื่นตัว และไม่ได้ให้การสนับสนุนพวกเขาเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน และส่งผลกระทบถึงลูกหลานของเราอย่างมากมาย
วัฒนธรรม 'กูไม่เกี่ยว' ... วัฒนธรรม รอฮีโร่ ... วัฒนธรรม รอการปกป้อง หรือแล้วแต่ ชนชั้นปกครอง รวมถึง วัฒนธรรม รุนหลังคนอื่น ให้ออกหน้าไปตายแทนก่อน ... ได้กลายเป็นอัตลักษณ์ของคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว ... และขอให้ช่วยกันอย่าลืม ... เมื่อถึงวันที่มันส่งผลต่อชีวิตเราและคนที่เรารัก ... อย่าลืมว่า เราต่างเป็นส่วนหนึ่งที่ยอมให้มันเกิดขึ้น !!!
วันนี้ ... ขอแสดงความยินดีอย่างสุดขมขื่น กับคนไทย
ที่จะได้ใช้สารเคมีที่โลกเค้าแบนกันหมดแล้วต่อไป
เราจะมีพืชผักที่ทานกันประจำวัน ทานกันบ่อยๆ
ที่จะยังมีการปนเปื้อนสารพิษกันต่อไป
และลูกหลานของเราก็จะได้อยู่กับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในดิน
และลงไปถึงแหล่งน้ำใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆ
... อยากให้นึกถึง ปัญหาเรื่องฝุ่นที่เจอกันอยู่วันนี้
เราเดือดร้อนแค่ไหน ???
ลูกหลานและคนที่เรารักตกอยู่ในภาวะเสี่ยงระยะยาวขนาดไหน ???
เราจะเดือดร้อนกัน เพียงเพราะฝุ่นเป็นสิ่งที่เราเห็น
สูดหายใจเข้าไปแล้วเรารู้สึก ... เราจึงเดือดร้อน
ในขณะที่สารพิษปนเปื้อนก็ทำอย่างเดียวกัน แต่เรามองไม่เห็น
เราจึงไม่คิดจะเดือดร้อน .... เราจึงเต็มไปด้วยไทยเฉย ต่อเรื่องนี้
เราจะยังคง ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันต่อไปแบบนี้เรื่อยๆงั้นหรือ
... ถ้าประชากรของเรา ยังมีคุณภาพเท่านีั้ ... ยังไม่พัฒนาเป็นพลเมือง
ก็ขอยินดีด้วย และก็มีชีวิตอยู่กับระเบิดเวลาสารพัดลูกกันต่อไป
อย่าลืมแล้วกันว่า ปัญหานั้นสร้างได้เร็ว แต่แก้ได้ช้ามาก
และส่งผลต่อคนเป็นเจนเนอเรชั่นกันเลย ... แต่ก็นั่นแหละ
พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตัวเองอย่างถึงที่สุดก่อนแล้วเท่านั้น !!!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพิ่งรู้ว่าโหนเจ้าแล้วมันหอมหวานขนาดนี้ รู้แบบนี้เมื่อก่อนกูไปเป็นสลิ่มแล้วโหนรัวๆเลยก็ดี - มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อวาน 9 โมงแกนนำทษช ยิ้มแฉ่ง เป็นกระด้งยกเว้นอดีตแคนดิเดตบางคน
วันนี้ 9โมง นักข่าวบอกโทรไม่ติดเลยสักคน ส่วนแคนดิเดตท่านนั้นยิ้มแต่เงียบ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ความเบื่อเซ็งการเมืองอย่างที่มันเป็นในสองสามวันที่ผ่านมา
%%%%%
เพื่อนทาง Facebook ท่านหนึ่งบ่นมาว่า "...ทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทางการเมืองในวันสองวันที่ผ่านมาไม่ได้เลย. ตอนนี้blank มากๆ"
ผมจึงตอบกลับไปว่า:
สวัสดีครับคุณ... (ถ้าสะกดชื่อผิดขออภัยด้วย ว่าไปตามเสียงอ่านภาษาอังกฤษน่ะครับ)
ผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะครับว่าที่จะเขียนต่อไปนี้จะช่วยให้คุณ...ทำใจได้ดีขึ้นหรือไม่ แต่ถือว่าคุยกันฉันเพื่อนที่เห็นใจกันก็แล้วกัน
ผมคิดว่าเวทีการเมืองเป็นที่ ๆ เราไม่ควรแสวงหา ๒ อย่าง คือ ความดี กับ ความจริงใจ
ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี และคนที่อยู่ในวงการเมืองล้วนแต่เป็นคนไม่ดี หรือหลอกลวง แต่ตรรกะของการดำเนินงานทางการเมืองมันไม่อนุญาตให้ถือความดีและความจริงใจเป็นที่ตั้งได้ พูดให้เข้าใจง่ายก็คือมากที่สุดที่เราหวังได้ในการเมืองคือพลเมืองดี ไม่ใช่คนดี พลเมืองดีคือคนที่ทำตามกฎเกณฑ์กติกาของกฎหมายและสถาบันการเมือง แต่เขาอาจเป็นคนเลวร้ายก็ได้ แต่ตราบเท่าที่เขาอยู่ในวงการเมือง สิ่งที่เราเรียกร้องจากเขาได้ก็แค่พลเมืองดีเท่านั้น หากเราหวังมากกว่านั้น เราอาจผิดหวัง และทำใจไม่ได้ เพราะใจเราไม่ตรงกับธาตุแท้ของความเป็นจริงในทางการเมือง
ความจริงใจก็เช่นกัน ตรรกะของการเมืองคือการฉวยใช้กันและกันเป็นเครื่องมือ โดยตัวมันเองจึงยากจะหาความจริงใจต่อกันได้ อย่างดีที่เราหาได้คือเพื่อนที่มีความจริงใจต่อกันที่อยู่ในวงการเมือง แต่เมื่อเดินเข้าสู่ตรรกะนั้นแล้ว เขาและเราก็อาจต้อง/อยากใช้กันและกันเป็นเครื่องมือได้เสมอ
หากทำใจตรงนี้ได้ ก็สามารถ/มีทางใช้การเมืองให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ต่อคนส่วนใหญ่ได้ มันเป็นเครื่องมือที่สกปรก แต่มันก็เป็นเครื่องมือที่อาจอำนวยชีวิตที่ดีขึ้น ทุกข์ยากน้อยลงแก่คนส่วนมากได้ ผมคิดว่าที่เราคาดหวังจากการเมืองได้ก็แค่นี้
ผมจึงคิดว่าการเซ็งเป็ดต่อการเมืองเกิดขึ้นได้เสมอแหละครับ เพราะในเกมที่ไม่มีความดี/ความจริงใจเป็นสรณะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราจึงไม่ควรเอาใจไปวางไว้ที่นั่น เก็บใจไว้กับตัวเรา มองมันอย่างอุเบกขา พยายามเข้าใจมันอย่างที่มันเป็นจริง อย่างเลือดเย็น ถ้าทำได้ก็ช่วยให้คนอื่นเข้าใจมันยิ่งขึ้น เพื่อที่จะใช้มันเป็นเครื่องมืออย่างรู้เท่าทันไปทำสิ่งดีงามได้เท่าที่มันทำได้
การเซ็งการเมือง จิตตกจึงไม่ใช่ความผิดประหลาดนะครับ คนที่มีจิตใจดีงามต่อเพื่อนมนุษย์ควรจะรู้สึกจิตตกเมื่อเห็นคนด้วยกันเลวร้าย ปลิ้นปล้อน โหดร้าย หักหลังกันได้ขนาดนั้น แต่นั่นคือธรรมชาติของมัน มันเป็นอย่างนั้นของมันเอง ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม เราควรทำความรู้จักเข้าใจมันอย่างที่มันเป็นจริง และใช้มันทำสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้น ลดทุกข์ของคนอื่นลง เท่าที่เป็นได้ และเก็บชีวิตด้านอื่นไว้ด้วย เพื่อที่เราจะไม่มีแต่ชีวิตด้านการเมืองอย่างเดียว
อาจเพราะมันสกปรกโดยทั่วไป บางทีที่มีความดีงามเกิดขึ้น มันก็ทำให้เราซาบซึ้งได้ มันก็มีได้แหละครับ ทุกที่ก็มีคนดื้อ คนไม่ยอมสยบต่อตรรกะของระบบ และพยายามทำดี อย่างบริสุทธิ์ใจ เขามักตกเป็นเหยื่อ ถูกทำร้าย ผมคิดว่าหน้าที่ของเราก็คือให้กำลังใจเขา ปลอบโยนเขา เพื่อที่เขาจะไม่มองโลกมืดและมองตัวเองแย่เกินไป และให้เวลาเขาเรียนรู้ธรรมชาติของมันเอง
พูดมายาว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า "เกาถูกที่คัน" หรือไม่ ต้องขอโทษด้วยถ้าไม่ตรงประเด็นปัญหาและทำให้คุณ...รำคาญ แต่ก็อยากให้กำลังใจ เพราะผมคิดว่าเราก็คงต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยเหล่านี้ไปอีกพักใหญ่ในเวลาอันใกล้นี้
ขอให้สบายใจและสงบอยู่กับตัวขึ้นนะครับ ด้วยความหวังดี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยู่บนอวกาศแล้วหิวพิซซ่าหรอ ก็ส่งให้ขึ้นมาส่งเลยสิ
#Pizzaday 🍕
ย้อนไปในปี 2001 พิซซ่าฮัทได้ส่งพิซซ่าขึ้นไปพร้อมกับยานขนส่งเสบียง Progress (น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถส่งภายใน 30 นาทีแบบบนโลกได้) เพื่อให้คุณ Yuri Usachov นักบินอวกาศของรัสเซียได้ทาน ระหว่างกำลังปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศ ในภารกิจ Expedition 2
คุณ Usachov ไม่ได้ถูกชาร์จเงินปลายทางแต่อย่างใด เนื่องจากทางพิซซ่าฮัทได้จ่ายเงินราว 30 ล้านบาท เพื่อเป็นการโปรโมทแบรนด์ไปในตัว โดยพวกเขาได้แปะโลโก้ไว้ที่ข้างจรวด Soyuz ลำที่ส่งไป พร้อมกับภาพยกนิ้วของ Usachov หลังทางเสร็จนั่นเอง
แต่ไม่ใช่ว่าทางพิซซ่าฮัทจะแค่แพ็คพิซซ่าลงกล่องแบบปกติได้นะ เพราะการรับรสในอวกาศจะแย่กว่าบนโลก พวกเขาจึงเติมเครื่องปรุงลงไปมากเป็นพิเศษ และต้องปรับเปลี่ยนส่วนประกอบบางอย่างที่อาจเน่าเสียได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางนาซาเองกลับไม่อนุญาตให้นักบินอวกาศของพวกเขาอีก 2 คนไปร่วมวงทานได้ เพราะทางพิซซ่าฮัท (ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติสหรัฐ) เป็นคนจ่ายเงินให้กับรัสเซียเพื่อนำพิซซ่าขึ้นไป เนื่องจากนาซามีนโยบายต่อต้านการโฆษณาแอบแฝงบนยานอวกาศของพวกเขา ทำให้คุณ Usachov สามารถเหมาทั้งถาดไปทานได้เองคนเดียวเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทักษิณทวิตแบบเท่ ๆ ว่า "เรียนรู้จากประสบการณ์อดีต" ถามว่า ทักษิณเรียนรู้อะไรบ้างนอกจากดีลใต้โต๊ะและเกมลักไก่ที่ตัวเองถนัดจนรวยหมื่นล้าน แต่ฉิบหายทางการเมืองทุกครั้งเพื่อประโยชน์ตัวเองโดยเอาชีวิตคนอื่นเป็นของแลกเปลี่ยน?
ถ้าทำแล้วเสียหายเฉพาะตัว มันก็เรื่องของทักษิณ ไม่มีใครว่า แต่ทุกครั้งคือ เอาประชาชนไปแลก ปี 53 ชีวิตคนเสื้อแดงนับพันคน ดีลเหมาเข่ง 56 จนเกิดรัฐประหาร 57 เผด็จการทหารที่เลวร้ายที่สุด และดีลครั้งนี้ที่ความเสียหายต่อปชช.กำลังมาระลอกใหญ่
ทักษิณ "เรียนรู้จากอดีต" แค่ว่า ดีลล้มเหลวเพราะไพ่ในมือไม่ใหญ่พอ ต้องเดิมพันให้หนักขึ้น ๆ จากสมัคร สุนทรเวช (ต่อสายข้างในได้) ถึงยิ่งลักษณ์ (แก้ไขไม่แก้แค้น) และคราวนี้ยิ่งมั่นใจว่า มี Straight Flush สุดท้ายเจอไพ่เหนือ Royal Flush!
ทำกับคนในค่ายตัวเองเป็น "กระดาษทิชชู่" ขยี้ขยำยังไงก็ได้ ตอนนิรโทษกรรมเหมาเข่ง แกนนำนปช.ไม่ยกมือให้ ก็กระทืบไล่ส่งทั้งที่เขาสู้ติดคุกมาแทบตาย คราวนี้ทั้งสุดารัตน์ ชัชชาติ จาตุรนต์ยอมเสี่ยงเป็นเบอร์ 1 ลุยเต็มที่ นาทีสุดท้ายเป็นคนนอกพรรคเข้ามา ทั้งสามคนใบ้กิน! แต่นี่เป็นเรื่องภายในของเขา
เสนอคนนอกเป็นนายกฯทำลายหลักประชาธิปไตย เอาราชวงศ์มาลงการเมืองทำลายเจตนารมณ์ปฏิวัติ 2475
เตรียมเข้าไปลักไก่ในสภา เพื่อไทยแทนที่จะยกมือโหวตนายกฯให้สุดารัตน์ กลับโหวตให้ไทยรักษาชาติที่เสียงน้อยกว่า ผิดประเพณีทางรัฐสภาอีก เหมือนลักไก่ยัดไส้ผ่านพรบ.นิรโทษกรรมตอนตีสี่นั่นแหละ
ผลคราวนี้ก็เหมือนปี 56 ความเสียหายระยะยาวกำลังมา คนเกลียดทักษิณที่เคยกระจัดกระจายกลับมารวมตัวหนุนประยุทธ์เต็มที่ ประยุทธ์เข้มแข็งขึ้นทันที คนที่โดนบูชายัญคือแกนนำทษช.และปชช.ที่เสียโอกาสไล่เผด็จการ
ทักษิณเองต่อไปนี้แก้ตัวกับสาธารณชนไม่ได้แล้วว่า ไม่ได้เอาการเมืองมาวุ่นวายกับพระราชวงศ์ แต่ข้อนี้เป็นผลกระทำของทักษิณเอง ปชช.ไม่เกี่ยว
เราเรียนรู้ว่า การได้ประชาธิปไตยนั้นหวังพึ่งอำนาจวิเศษ พระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ และเกี้ยเซี้ยข้อตกลงลับไม่ได้ มีแต่ปชช.ต้องสู้ให้ได้มาด้วยตัวเองเท่านั้นไม่ว่ามันจะยาก ห่างไกลและยาวนานสักเท่าใด
#วิพากษ์ทักษิณ #ทรยศหักหลังประชาชน #การเมืองเป็นของประชาชน
BRIEF: นักธุรกิจอินเดียผู้เชื่อใน ‘Anti-Natalism’ เตรียมฟ้องร้องพ่อแม่ ที่ให้กำเนิดเขา โดยตัวเขาไม่ได้ยินยอม
.
คำถามเรื่องคุณค่าของชีวิต เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันเนิ่นนาน เช่นเดียวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในความคิดของ นักธุรชาวอินเดียคนหนึ่ง ที่เตรียมฟ้องร้องพ่อแม่ของตัวเอง ที่ทำให้เขาเกิดมาโดยปราศจากการยินยอมของเขาเอง
.
Raphael Samuel นักธุรกิจอินเดียวัย 27 ปี เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่จะให้กำเนิดคนหนึ่งคนมาใช้ชีวิตทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ต้องการ เป็นการมอบภาระให้เจ้าตัวไปตลอดชีวิต และยังเชื่ออีกว่าคนเราไม่ได้เลือกเกิดมาด้วยตัวเอง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นคนเลือกที่จะเกิดมา ก็ควรให้เงินเราเพื่อจะได้ใช้ชีวิต
.
Samuel เชื่อในสิ่งที่เรียกว่า Anti-Natalism แนวคิดที่ว่า ชีวิตนั้นโหดร้ายเหลือเกินจนคนเราควรเลิกให้กำเนิดชีวิตกันได้แล้ว เขายังเชื่ออีกด้วยว่าโลกจะดีขึ้นกว่าเดิมถ้าไม่มีมนุษย์
.
“มนุษยชาติไม่มีจุดหมายอะไรเลย หลายๆคนทุกข์ทรมาน ถ้าคนสูญพันธุ์ไปโลก และสัตว์ต่างๆจะมีความสุขยิ่งขึ้น อะไรๆจะดีกว่านี้ จะไม่มีมนุษย์ต้องทรมาน การมีอยู่ของมนุษย์มันไม่มีประโยชน์จริงๆ” Raphael กล่าว
.
เมื่อปีก่อน Raphael สร้างเพจเฟซบุ๊กขึ้นมาชื่อว่า Nihilanand ซึ่งมีการโพสต์รูปโปสเตอร์ของตัวเองติดหนวดปลอมขนาดใหญ่ ปิดตา พร้อมข้อความที่สนับสนุนแนวคิด Anti-Natalism เช่น ‘การบังคับให้เด็กเกิดมา และบังคับให้ทำงาน ไม่ใช่การลักพาตัว และใช้ชีวิตเยี่ยงทาสหรือไง?’ หรือ ‘พ่อแม่ของเรามีเราขึ้นมาแทนที่จะมีของเล่น หรือเลี้ยงสุนัข เราไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เราเป็นสิ่งบันเทิงของพวกเขา’
.
เพจของ Raphael มีทั้งผลตอบรับในด้านดี และด้านลบในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะในหมู่คุณแม่ทั้งหลายที่เป็นกังวล ว่าลูกของพวกเธอจะมาเห็นเนื้อหาในเพจนี้ บางฝ่ายก็คิดว่าเขาแค่เรียกร้องความสนใจจากสาธารณชน
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/world-asia-india-47154287…
http://time.com/5524869/india-anti-natalism-sue-parents/
#Brief #TheMATTER
ตัวย่อ
นผบ. = นวดแผนโบราณ
นนม. = นวดน้ำมัน
สส. = สาวสาว 20-30ปี
สว. = สูงวัย 30-45ปี
ซูเปอร์ ส.ว 45ปีขึ้นไป
คำศัพท์
ระดับ 1 (V1)= การใช้มือในการสำเร็จความใคร่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ชักว่าว นั่นเอง สนนราคา ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 500 บาท ไม่รวมค่านวด
ระดับ 1.5 (V1.5) = เหมือน ระดับ1 ทุกประการแต่ ที่เพิ่มมาคือ ถอดเสื้อผ้าออกหมดด้วย
ระดับ 2 (V2) = การใช้ปากในการสำเร็จความใคร่ หรือการสเป นั่นเอง สนนราคา ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 700-1000 บาท ไม่รวมค่านวด
ระดับ 2.5 (V2.5) = เหมือน ระดับ2 ทุกประการแต่ ที่เพิ่มมาคือ ถอดเสื้อผ้าออกหมดด้วย
ระดับ 3 (V3) = การใช้ปากล่างในการสำเร็จความใคร่ หรือการอึบ นาบ กันนั่นล่ะ สนนราคา มีตั้งแต่ 1,000-2,500up ไม่รวมค่านวด
ระดับ 4 (V4)= การใช้ทวารหนักในการสำเร็จความใคร่ หรือการเข้าประตูหลังนั่นเอง ตรงนี้ไม่มีสนนราคาชัดเจน เป็นเหมือน option
สำหรับน้องๆ บางคนที่พร้อมทำมากกว่า ...
รูดการ์ดหรือรูดบัตร คือ การที่โดนเอามือกรีดเข้ามาที่ร่องตุ๊ดและลากผ่านลงไปที่โคนตู้เย็นนั่นเองครับ..
สแควช คือ การใช้มือในการสำเร็จความใคร่ให้พนักงานนวด
ยิงกรอกปาก หรือ Carpark คือ การหลั่งใส่ปากพนักงานที่ทำระดับ 2 3
สาวแหนม ดึงสโตค ตำแตง คือ การใช้มือสำเร็จความใคร่(V1)
กระสุนด้าน คือ การที่ผู้ชายไม่เสร็จ
แพนด้า คือ เด็กขายบริการมาจากประเทศจีน แหล่งที่อยู่คือแถว เยาวราช
ออฟโรด ทางวิบาก คือ การร่วมเพศทางก้น ความหมายเดียวกับ ระดับ4
มันนี่ทอกค์ คือ พนักงานที่พูดเรื่องเงินเป็นหลักจนน่ารำคาญ
นวดกษัย คือ การนวดตรงบริเวณอวัยวะเพศ รักษาอาการไม่แข็งตัว ปัสสาวะกระปริดกระปรอย
กษัยแห้ง เหมือนการนวดกษัยทุกอย่างแต่ไม่ช่วยให้หลั่ง
กะเสียว เพี้ยนคำมาจาก กษัย ไม่เน้นรักษา เน้นหลั่ง
โลว์ครอส คือ สถานที่นวดหรือเน้นขายบริการทางเพศหรือเดินเตร่เต่ขายบริการตามถนน
พระเอก = บุคคลผู้นำเอารูปหรือกระทู้ผู้อื่น การบ้าน ไปเผยแพร่แก่น้องๆ เพื่อหวังบริการที่ดีหรืออะไรก็แล้วแต่
พระเอกตุ๊กตาทอง = เหมือนพระเอกทุกอย่าง ที่มากกว่าคือเน้นแจ้งข่าวให้ทางร้านทราบและแสร้งทำเป็นตีสนิทหวังเคลมเจ้าของร้านนวด
ลายแทง = รายละเอียดของผู้ที่เราไปใช้บริการ
การบ้าน คือ การเล่ารายละเอียดในการไปใช้บริการลงเวปหรือลงกลุ่ม
ลอกการบ้าน คือการไปตามสถานที่ ที่การบ้านระบุ
ปลาเค็ม เห็นหมี คือ กลิ่มเหม็นที่อวัยวะเพศหญิงโชยออกมา
ทอน = บริการดี ถูกใจ
หล่น = บริการแย่ ผิดหวัง
กรุ้งกริ้ง = บริการพอใช้ได้
สเปย์สด อมสด = oral sex ผู้หญิงทำให้ผู้ชาย โดยไม่ใส่ถุงยาง
สเปย์เปื่อยหรือแห้ง = oral sex ผู้หญิงทำให้ผู้ชาย โดยใส่ถุงยาง
ทาสี = oral sex ผู้ชายทำให้ผู้หญิง
ล้างตู้เย็น = เลียทวารหนัก
ล้างตู้ฟักไข่ = เลีย/ดูดถุงอัณฑะ
โอโม่ = ขาวจนแสบตา
ซีนอล = หัวนมเล็ก,ชมพู
เกาเหลา = ไม่มีเส้นขนที่อวัยวะเพศหญิง
ต่างกรรม ต่างวาระ คือ การไปนวดย่อมไม่มีอะไรแน่นอนเหมือนที่รู้มา
ไฟท์เตอร์ = น้องๆ พวกที่แบบสู้ตายน่ะครับ ประมาณว่าเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
4มือ คือ การนวดโดยใช้หมอนวด2คน
กั๊ก = ไม่บอกลายแทง ไม่ใบ้ด้วย
สายขาว = หมอนวดจริงๆไม่รับทำพิเศษ
สายดำ = หมอนวดที่ทำพิเศษควบคู่ไปด้วย
สายเทา = หมอนวด ที่ทำพิเศษบ้าง ไม่ทำบ้าง
ข้อดี / ข้อเสีย ของการเที่ยว นผบ.
ข้อดี
1. แน่นอน ไป นผบ. ข้อดี อันดับแรก ก็คือ ได้นวด ผ่อนคลาย นั่นเอง
2. เราสามารถเลือกได้ ว่าเราจะทำพิเศษในระดับไหน ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรา
3. น้องก็สามารถเลือกแขกได้ ว่าจะยอมเป็นของใคร ทำให้เวลามีอะไรๆกันนั้นมัน "สุดๆไปเล้ย"
เพราะเกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่าย มากกว่าที่เราจะไปลงอ่าง ซึ่งน้องบริการแขกทุกคน
(คือแขกได้ปรี้ทุกคน)
4. น้องหลายคนถูกใจเราด้วย สามารถเก็บไว้เป็น "ปิ่นโต" ได้โดยไม่ต้องจ่ายรายเดือน
ทำให้เราสามารถแร่ดไปได้เรื่อยๆ ทุกร้าน
ข้อเสีย
1. เนื่องด้วย การเที่ยว นผบ. ส่วนใหญ่ ในห้องจะไม่มีห้องน้ำส่วนตัว ทำให้ ไม่สะดวกในการทำความสะอาดทั้งก่อนและหลัง
2. แน่นอน เมื่อเราเลือกได้ น้องก็เลือกได้เช่นกัน ดังนั้น ต่อให้เราอยากทำพิเศษ แต่ถ้าน้องไม่ทำ เราก็บังคับน้องไม่ได้
ดังนั้น บางครั้ง จึงอาจเกิดอาการน้ำขังได้ ถ้าคุณต้องการจะไป ทำระดับ 3 only
3. บางครั้ง บางสถานที่ เรากะจะไปนวดก่อน แต่น้องอาจจะแทบไม่ได้นวดเลย แต่เน้น ทำพิเศษอย่างเดียว
และน้องอาจจะเอาแต่ชวนทำพิเศษ จนทำให้เราเสียอารมณ์ได้
4. ความเสี่ยงเยอะกว่าอ่าง เนื่องจาก นผบ. ส่วนใหญ่ ไม่มีการตรวจโรคเป็นประจำ หรือเข้มงวดเหมือนอ่าง
5. บางสถานที่ ไม่เหมาะกับการทำระดับ 3 ทำให้บางครั้ง การทำระดับ 3 ไม่ถึงอกถึงใจ (แต่บางคน ก็อาจชอบ เพราะต้องแอบๆทำ)
กับดักอย่างหนึ่งในชีวิตเราก็คือ...
.
เมื่อเราไปเห็นความรู้จากที่อื่นที่คุ้นๆกับสิ่งที่เราเคยสนใจ
.
เรามักจะชอบคิดว่าเรา "รู้แล้ว" และเราก็จะกลายเป็นน้ำเต็มแก้วทันทีโดยไม่รู้ตัว
.
จงตระหนักเสมอว่าสิ่งที่เรา "รู้แล้ว" มันคือสิ่งที่เรารู้ใน "นิยาม" ของเรา และแต่ละคนจะนิยามความรู้ไว้แตกต่างกันเสมอ แม้ว่าเราอาจจะเรียกชื่อความรู้นั้นเหมือนๆกันก็ตาม
.
หลายๆครั้งถ้าเราเปิดใจทำตัวเป็นแก้วที่ยังมีที่ว่างอยู่...
.
เราอาจจะได้พบว่าความแตกต่างชิ้นเล็กๆระหว่างนิยามของเรากับนิยามของคนอื่นนั้น...
.
มันสามารถเปิดอีกโลกให้กับเราได้เลย!
.
จงลดอัตตาและจง Be Humble เสมอๆ
.
ปล. เพิ่งโดนเปิดโลกมาสดๆร้อนๆ
เมื่อยามที่โลกแปรเปลี่ยนเพี้ยนไป
ตรรกะคนเป็นอะไรไม่เข้าท่า
เรื่องดีงามความถูกต้องไม่นำพา
ต่างคิดว่าข้าเลิศล้ำเมื่อทำเกรียน
ไม่รู้จักใช้ปัญญามาครุ่นคิด
ดัดจริตข้ารุ่นใหม่ให้ปวดเศียร
ปล่อยให้ถูกหลอกให้ฉงนวนเวียน
น่าอาเจียนรสนิยมต่ำตมจัง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
The longer the name, the worse the anime.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่นายธนาธรพยายามดึงตัวเองไปเกี่ยวข้องกับคำว่า”ฟ้า” นั้นเพราะว่านายธนาธรเคยเป็นกลุ่มทุนของนิตยสารฟ้าเดียวกันที่ออกมาโจทตีสถาบันในช่วงปี 54 พอ #พรรคไทยรักษาชาติ ดึงฟ้าต่ำอีกวันธนาธรก็ปั่น #ฟ้ารักพ่อ ขึ้นมาทันทีพวกนี้ทำเป็นกระบวนการสมควรยุบ #พรรคอนาคตใหม่ ทันที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
น่าสงสารนะ สู้เทียบไม่ได้ก็ไปกล่าวว่าเขา
อันนี้ พูดจริงๆนะ กับทั้งสองฝ่ายเลย
ไม่คุ้มหรอก ไปเจ็บไปตายในความขัดแย้งการเมืองไทยน่ะ สุดท้าย คนธรรมดาๆ ได้อะไรน้อยมาก โดยเปรียบเทียบ (อย่างสัมพัทธ์) น่ะ
อย่างทีผมเคยเขียนมาก่อนนะ
ชนชั้นนำไทย ทุกฝ่าย "ลงทุนน้อย" ได้ตอบแทนมาก
ประชาชนธรรมดาๆ ลงทุนมาก (ชีวิต อิสรภาพ ร่างกาย) ได้ตอบแทนน้อย
เสียดาย ประชาชน (ไม่วาฝ่ายไหน) มี "อำนาจต่อรอง" หรือ เป็นคน "กำหนด" อะไรน้อยมาก ส่วนใหญ่ ก็ไม่ค่อยมีสำนึกพอทีจะพยายาม exercise อำนาจต่อรองของตัวด้วย ผลคือ มีลักษณะคอย "ตามการนำ" ของชนชั้นนำเสียเยอะ พาไปทางไหน ก็ไปทางนั้น ลงเหว บาดเจ็บล้มตายกันโดยไม่ค่อยคุ้มอย่างที่ว่าเสียเยอะ ไม่ว่าฝ่ายไหนที่ผ่านๆมา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมของตะวันตก พัฒนามาจากมีนักปรัชญา นักคิด เกี่ยวกับเรื่องคนเรื่องสังคมความคิดการใช้เหตุผลต่างๆ สั่งสมช้านานจนเป็นยุคเอนไลนเทนที่ส่งเสริมให้คนคิดมากกว่าเชื่อถือจารีตต่างๆ
ซึ่งบ้านเราตามช้ากว่าเค้า มันมีหลักจารีตความเชื่อบางอย่างครอบงำอยู่ ถ้าไม่ใช่คนศึกษาโดยตรง ส่วนใหญ่ก็มาเรียนรู้กันในช่วงยุคโซเชี่ยลที่ความคิดแนวเอนไลนเทนมันกระจายผ่านสื่อนี่ละครับ
ชนชั้นนำของตะวันตกในยุคนั้นที่เชิญชวนให้ประชาชนตื่นรู้ในศักยภาพของมนุษย์และความคิดตนเอง จะมีลักษณะเป็นชนชั้นนำที่เป็นชาตินิยม ด้วยครับ กล่าวคือ มีไอเดียต้องการให้เพื่อนร่วมสังคมเจริญก้าวหน้าเดินไปด้วยกัน เพื่อยกระดับกันไปทั้งประเทศ
ปัญหาที่เราเจอยุคนี้ คือการเคลื่อนย้ายทุนข้ามชาติ เพราะไอเดียอภิชนหัวก้าวหน้ายกระดับประชาชนในสมัยนั้น มันก็เห็นหน้าเพื่อนร่วมชาติกันอยู่ได้แค่นั้น แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จก่อน globalization เข้ามา ซึ่งทำให้ทุนกับคนมันย้ายเคลื่อนย้ายได้ตลอด อีลีทหรือชนชั้นนำในยุคโลกาภิวัฒน์นี้อาจมีสำนึกแบบ transnational elite (อภิชนข้ามชาติ) คือเขาอาจไม่ได้มีสำนึกเป็นปึกแผ่นกับประชากรในชาติแล้วไปทะเลาะกับ elite ประเทศอื่นๆ แต่จะมองว่าตนเองสามารถย้ายไปอยู่ที่ใดก็ได้บนโลก
อาจจะมีโซนคนรวยสักแห่งในโลก ที่ไม่มีการเหยียดว่าคุณเป็นคนเชื้อชาติอะไร แต่ตัดสินจากระบบทุน เพราะคนมีปัญญาอาศัยโซนนี้คืออภิชนชั้นเดียวกันในระบบทุนโลก มาหาความร่วมมือหรือเจรจาการค้าการลงทุนดีกว่า ประมาณว่าไม่ได้กลัวหรอกถ้าเป็นสาวไทยแล้วเค้านึกว่ามาขายตัว ชั้นอยู่วิลล่าไพรเวทนี้นะยะ เธอซึ่งเป็นพลเมืองแท้ๆ ยังไม่มีปัญญาซื้อเลย ว่าแล้วก็ไปจิบไวน์กับลูกสาวอีลีทบ้านข้างๆ ที่มาจากเวียดนาม จีนแผ่นดินใหญ่ดีกว่า ว่าจะชวนกันเข้าสปาซะหน่อย พวกผู้ดีเก่าตะวันตกแบบบ้านหลังใหญ่ มีคนรับใช้ แล้วลูกชายลูกสาวไปแต่งงานลูกอีลีทไทย อีลีทจีน อีลีท ASEAN ที่ไปรู้จักกันขณะเรียนมหาลัยชัั้นนำของโลกจะเจอปัญหานี้บ้าง คือคนที่ทำงานให้ตระกูลทำใจไม่ได้ที่จะต้องมารับใช้บริการให้คนจากประเทศโลกที่สาม แต่คอนเซปต์ transnational elite ทำให้สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่า นั่นคืออภิชนคนหนึ่งเช่นกัน ใช้ค่าเงินอยู่ในระบบสากล ไม่ใช่ลูกชนเผ่าใช้เปลือกหอยแบบยุคก่อนล่าอาณานิคม ความเข้มข้นทางสาแหรก (Genealogy) ลดลง แต่ไปวัดความเป็นอภิชนกันที่ทุนแทน
ซึ่ง transnational elite ในยุคโลกาภิวัฒน์ จะรักษาผลประโยชน์ในวงกันเองแบบข้ามชาติด้วย พวกนี้ย้ายตัวเองย้ายเงินทุนทั้งเพื่ออาศัย พักผ่อน ฝากเงิน ลงทุน ถอนทุน ฟอกเงิน หลบซ่อน ทำได้หมด นั่นยิ่งทำให้ซับซ้อนเข้าไปอีก เอาตัวอย่างชัดๆ อีลีทตะวันตกบางคนยอมปิดบริษัทให้คนในชาติตัวเองตกงาน แล้วมาเจรจากับอีลีทไทยขอเปิดบริษัทจ้างงานด้วยค่าแรงถูกกว่า สั่งสมความมั่งคั่งเข้าไปอีก คือมันอยู่ในยุคมองการเลื่อนไหลของทุนก่อนปากท้องคนในสังคมไปแล้ว บางทีไอ้ที่ทำน่ะแค่พอให้คนมีกินประเทศไม่ล่ม ลับหลังบิ๊กดีลระหว่างใครกับใครบ้างทั่วโลกก็ไม่รู้ แล้วผลประโยชน์จะเข้าประชาชนหรือกลุ่ม transnational elite ด้วยกัน?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเลือกตั้งกับทฤษฏีเกม
ตรรกะแนว "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" ยังคงถูกใช้อยู่ในการเลือกตั้งครั้งนี้
ถ้าพูดในทางทฤษฏีการตัดสินใจ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นกลไกการตัดสินใจโดยอ้างอิงทฤษฏีเกม
ปกติแล้วทฤษฏีเกมจะใช้หลักการตัดสินใจโดยดูจาก reward ที่เราจะได้รับจากการเลือก โดยการวาด Payoff matrix เพื่อดูทางเลือกต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้เล่นตัดสินใจในรูปแบบที่แตกต่างกัน
"สมมติ" ว่าเราเป็นผู้เล่นที่ชื่นชอบในนโยบายของอนาคตใหม่
ในกรณีนี้ Optimal strategy ในเชิงอุดมคติคือ ถ้าชอบก็เลือกอนาคตใหม่ไปเลยไม่ต้องคิดมาก อนาคตใหม่ก็มีโอกาสได้ที่นั่งเยอะ ถ้ากระแสแรงๆ มากๆ คุณธนาธรอาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ประเด็นคือ Optimal strategy มันไม่น่าเวิร์คเพราะคนส่วนใหญ่มัวแต่ไปคิดว่า "ละถ้าคนอื่นไม่คิดแบบเราล่ะ..?"
ถ้าคุณชอบอนาคตใหม่ แต่เกลียดทักษิณ คุณอาจจะคิดว่า เลือกอนาคตใหม่ไป ก็ไม่ชนะหรอก เดี๋ยวเกิดคนเลือกเพื่อไทยมากๆ ทักษิณก็กลับมาครองอำนาจ น่ากลัวว่ะ ไปเลือกลุงดีกว่า ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่ได้ชอบเผด็จการ แต่คุณกลัวทักษิณมากกว่าลุง
ในทางกลับกัน ถ้าคุณชอบอนาคตใหม่ และเกลียดเผด็จการ คุณอาจจะคิดว่า เลือกอนาคตใหม่ไป ก็ไม่ชนะหรอก เดี๋ยวเกิดคนเลือกลุงมากๆ ลุงได้เป็นนายกต่อ ประเทศจะล่มจมหนักไปกว่านี้ น่ากลัวว่ะ ไปเลือกเพื่อไทยดีกว่า อย่างน้อยก็ป้องกันไม่ให้เผด็จการกลับมาครองอำนาจ
สุดท้ายคนส่วนใหญ่ที่ชอบพรรคเล็ก ก็จะตัดสินใจไม่เลือกพรรคเล็ก แต่ไปเลือกพรรคที่คานอำนาจพรรคที่ตัวเองเกลียดแทน
การเลือกแบบนี้เรียกว่า "ดุลยภาพของแนช" (Nash equilibrium) ก็คือ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย (เลือกเพื่อป้องกันคนที่เราไม่ชอบขึ้นมามีอำนาจ) พอเป็นแบบนี้ พรรคเล็กที่แม้จะมีคนชอบในนโยบายมาก แต่ถึงเวลาจริงๆ ก็มีโอกาสที่จะสอบตกสูง
แต่จริงๆ คนที่เลือก Nash equilibrium ลืมคิดไปเรื่องนึง ทฤษฏีเกมมันเป็นทฤษฏีที่มีข้อจำกัดคือ ผู้เล่นแต่ละฝ่ายไม่รับรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน ซึ่งการเลือกตั้งมันไม่ได้มีกฏข้อนี้..!!
คุณไม่ได้ถูกปิดหูปิดตาปิดปาก คุณสามารถพูด คุณสามารถฟังคนอื่นได้
ดังนั้นถ้าคุณชอบพรรคเล็ก สิ่งที่ควรทำคือ แทนที่คุณจะเลือก Nash equilibrium ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ได้ดีที่สุด แต่เป็นเพียงทางเลือกที่ปลอดภัย
คุณควรเปลี่ยนความคิด และใช้ "จุดอ่อนของเกม" ที่คุณสามารถสื่อสาร บอกเล่าสิ่งที่คุณเชื่อให้กับคนรอบตัว ถ้าคุณชอบพรรคเล็ก คุณควรจะพูดเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้สนับสนุนพวกเขาให้คนรอบข้างได้ยิน ได้รับรู้ ได้เข้าใจ
เมื่อเสียงดังมากขึ้นๆ เมื่อ information flow ไปสู่ผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกมส์ นั่นแปลว่าเราเริ่มจะ exploit ทางเลือกของคนหมู่มากได้ และมีโอกาสที่เราจะได้ Optimal strategy เพราะเรา "เชื่อใจกัน"
ทฤษฏีเกมถูกออกแบบมาบนพื้นฐานที่ว่า เราไม่สามารถเชื่อใจผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกมได้เลย แต่อนาคตของประเทศไม่ได้มีข้อจำกัดแบบนี้
เราเชื่อใจว่าคนไทยไม่ได้โง่ คนไทยไม่ได้ปิดหูปิดตา คนไทยไม่จำเป็นต้องเลือกทางที่ปลอดภัย แต่เราสามารถเลือกทางที่ดีที่สุด เพื่ออนาคตของพวกเราและลูกหลานได้
ทฤษฏีเกมเป็นทฤษฏีที่มีประโยชน์มหาศาล แต่อย่าเอามาใช้กับการเลือกตั้งเลยครับ
PS. ผมชอบอนาคตใหม่ จึงยกตัวอย่างอนาคตใหม่ แล้วก็อยากจะเชียร์ Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล เพื่อนอัสสัมที่เรียนด้วยกันมา แต่กรณีนี้ผมไม่ได้บอกให้พวกคุณเลือกอนาคตใหม่นะ อย่าเข้าใจผิด ผมพูดถึงทุกๆ พรรคเล็กที่ควรได้รับการสนับสนุน ถ้าคุณชอบในนโยบาย เลือกพวกเค้า ทำการเลือกตั้งครั้งนี้ให้สง่างามที่สุด พรรคไหนก็ได้ เลิกเล่นทฤษฏีเกมกันเถอะครับ
การเลือกตั้งกับทฤษฏีเกม
ตรรกะแนว "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" ยังคงถูกใช้อยู่ในการเลือกตั้งครั้งนี้
ถ้าพูดในทางทฤษฏีการตัดสินใจ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นกลไกการตัดสินใจโดยอ้างอิงทฤษฏีเกม
ปกติแล้วทฤษฏีเกมจะใช้หลักการตัดสินใจโดยดูจาก reward ที่เราจะได้รับจากการเลือก โดยการวาด Payoff matrix เพื่อดูทางเลือกต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้เล่นตัดสินใจในรูปแบบที่แตกต่างกัน
"สมมติ" ว่าเราเป็นผู้เล่นที่ชื่นชอบในนโยบายของอนาคตใหม่
ในกรณีนี้ Optimal strategy ในเชิงอุดมคติคือ ถ้าชอบก็เลือกอนาคตใหม่ไปเลยไม่ต้องคิดมาก อนาคตใหม่ก็มีโอกาสได้ที่นั่งเยอะ ถ้ากระแสแรงๆ มากๆ คุณธนาธรอาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ประเด็นคือ Optimal strategy มันไม่น่าเวิร์คเพราะคนส่วนใหญ่มัวแต่ไปคิดว่า "ละถ้าคนอื่นไม่คิดแบบเราล่ะ..?"
ถ้าคุณชอบอนาคตใหม่ แต่เกลียดทักษิณ คุณอาจจะคิดว่า เลือกอนาคตใหม่ไป ก็ไม่ชนะหรอก เดี๋ยวเกิดคนเลือกเพื่อไทยมากๆ ทักษิณก็กลับมาครองอำนาจ น่ากลัวว่ะ ไปเลือกลุงดีกว่า ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่ได้ชอบเผด็จการ แต่คุณกลัวทักษิณมากกว่าลุง
ในทางกลับกัน ถ้าคุณชอบอนาคตใหม่ และเกลียดเผด็จการ คุณอาจจะคิดว่า เลือกอนาคตใหม่ไป ก็ไม่ชนะหรอก เดี๋ยวเกิดคนเลือกลุงมากๆ ลุงได้เป็นนายกต่อ ประเทศจะล่มจมหนักไปกว่านี้ น่ากลัวว่ะ ไปเลือกเพื่อไทยดีกว่า อย่างน้อยก็ป้องกันไม่ให้เผด็จการกลับมาครองอำนาจ
สุดท้ายคนส่วนใหญ่ที่ชอบพรรคเล็ก ก็จะตัดสินใจไม่เลือกพรรคเล็ก แต่ไปเลือกพรรคที่คานอำนาจพรรคที่ตัวเองเกลียดแทน
การเลือกแบบนี้เรียกว่า "ดุลยภาพของแนช" (Nash equilibrium) ก็คือ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย (เลือกเพื่อป้องกันคนที่เราไม่ชอบขึ้นมามีอำนาจ) พอเป็นแบบนี้ พรรคเล็กที่แม้จะมีคนชอบในนโยบายมาก แต่ถึงเวลาจริงๆ ก็มีโอกาสที่จะสอบตกสูง
แต่จริงๆ คนที่เลือก Nash equilibrium ลืมคิดไปเรื่องนึง ทฤษฏีเกมมันเป็นทฤษฏีที่มีข้อจำกัดคือ ผู้เล่นแต่ละฝ่ายไม่รับรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน ซึ่งการเลือกตั้งมันไม่ได้มีกฏข้อนี้..!!
คุณไม่ได้ถูกปิดหูปิดตาปิดปาก คุณสามารถพูด คุณสามารถฟังคนอื่นได้
ดังนั้นถ้าคุณชอบพรรคเล็ก สิ่งที่ควรทำคือ แทนที่คุณจะเลือก Nash equilibrium ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ได้ดีที่สุด แต่เป็นเพียงทางเลือกที่ปลอดภัย
คุณควรเปลี่ยนความคิด และใช้ "จุดอ่อนของเกม" ที่คุณสามารถสื่อสาร บอกเล่าสิ่งที่คุณเชื่อให้กับคนรอบตัว ถ้าคุณชอบพรรคเล็ก คุณควรจะพูดเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้สนับสนุนพวกเขาให้คนรอบข้างได้ยิน ได้รับรู้ ได้เข้าใจ
เมื่อเสียงดังมากขึ้นๆ เมื่อ information flow ไปสู่ผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกมส์ นั่นแปลว่าเราเริ่มจะ exploit ทางเลือกของคนหมู่มากได้ และมีโอกาสที่เราจะได้ Optimal strategy เพราะเรา "เชื่อใจกัน"
ทฤษฏีเกมถูกออกแบบมาบนพื้นฐานที่ว่า เราไม่สามารถเชื่อใจผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกมได้เลย แต่อนาคตของประเทศไม่ได้มีข้อจำกัดแบบนี้
เราเชื่อใจว่าคนไทยไม่ได้โง่ คนไทยไม่ได้ปิดหูปิดตา คนไทยไม่จำเป็นต้องเลือกทางที่ปลอดภัย แต่เราสามารถเลือกทางที่ดีที่สุด เพื่ออนาคตของพวกเราและลูกหลานได้
ทฤษฏีเกมเป็นทฤษฏีที่มีประโยชน์มหาศาล แต่อย่าเอามาใช้กับการเลือกตั้งเลยครับ
PS. ผมชอบอนาคตใหม่ จึงยกตัวอย่างอนาคตใหม่ แล้วก็อยากจะเชียร์ Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล เพื่อนอัสสัมที่เรียนด้วยกันมา แต่กรณีนี้ผมไม่ได้บอกให้พวกคุณเลือกอนาคตใหม่นะ อย่าเข้าใจผิด ผมพูดถึงทุกๆ พรรคเล็กที่ควรได้รับการสนับสนุน ถ้าคุณชอบในนโยบาย เลือกพวกเค้า ทำการเลือกตั้งครั้งนี้ให้สง่างามที่สุด พรรคไหนก็ได้ เลิกเล่นทฤษฏีเกมกันเถอะครับ
"ว่าด้วยระบบการศึกษาด้วยตัวเอง (Self Learning ) ยุคใหม่"
เรียนฟิสิกส์เช้าๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นกันในเว็บ Khan Academy เว็บไซต์ที่สอนเด็กๆฟรีเป็นภาษาต่างๆหลายภาษา และหลายๆวิชาที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ประวัติศาสต์ และอื่นๆ (ภาษาไทยก็มีจร้าา) เราสามารถเปลี่ยนเป็นภาษาที่ต้องการได้สำหรับการฝึกภาษาในตัว จำลอง Environment เหมือนการเรียนในประเทศนั้นๆได้ อยากเก่งเยอรมันก็เปลี่ยนเมนูเป็นเยอรมัน อยากเก่งอังกฤษก็เปลี่ยนเป็นอังกฤษ อยากเก่งฝรั่งเศสก็เปลี่ยนเป็นฝรั่งเศส
ถ้าอยากฝึกภาษากับเจ้าของภาษาตัวจริง อยากจะแนะนำเว็บไซต์ https://italki.com แพล็ตฟอร์มการเรียนภาษากับเจ้าของภาษาที่ดีมากและน่าเชื่อถือระดับโลกเว็บไซต์หนึ่งก็ว่าได้ ขนาดว่า BBC, Business Insider ยังแนะนำ มีครูให้เลือกมากกว่า 10,000 คน เช่นอยากเรียนญี่ปุ่น ก็สมัครสมาชิก -> ซื้อเครดิต -> เลือกครูที่สนใจจากเครดิตและรีวิว -> นัดเวลาที่อาจารย์เขาว่างตามตารางที่เขาโชว์ไว้ -> หลังจากอาจารย์เขายืนยันนัดแล้ว -> ระบบจะตัดเงินอัตโนมัติ - > ถึงเวลาเรียนก็เรียนผ่าน Skype คุยกันได้เลย ..เรทชั่วโมงตั้งแต่ $10 ขึ้นไป (ประมาณ 340 บาทต่อชั่วโมง) ราคาพอๆกับติวเตอร์บ้านเราเลยจร้าาาแต่ได้พูดกับเจ้าของภาษาเลย
ระบบการเรียนของโลกตอนนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว ประเทศเรายังยึดติดกับเรียนในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ...ตอนนี้มหาวิทยาลัยทั่วโลกเริ่มเครียดกับหลักสูตรของตัวเอง เพราะตามหลังโลกการทำงานจริงหลายเท่า มหาวิทยาลัยที่มีอาจารย์ที่เป็นคนหัวก้าวหน้า อัพเดตโลก จะได้เปรียบมาก สามารถติดตามโลกแล้วแนะนำนิสิตนักศึกษาได้ว่าควรจะไปเรียนรู้เพิ่มเติมส่วนไหน ..ฉันอยากแนะนำให้อ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสาร international พวก TIME,The Economist, Forbes, National Geographic, Science Illustrated และอื่นๆ อ่านทุกวันอ่านบ่อยๆจะได้เข้าใจว่าโลกถึงไหนกันแล้ว
แพล็ตฟอร์มออนไลน์ทุกสำนักบอกได้เต็มปากว่าเนื้อหาไม่ได้ครอบคลุมเท่านิตยสารเฉพาะทาง ..อีกทางเลือกหนึ่งคือซื้อนิตยสารแบบ E-book อ่านในมือถือสำหรับคนที่อ้างว่าไม่อยากพก แต่ทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่งคือ เข้าห้องสมุดตามมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่เขาจะซื้อเก็บไว้หลายปกหลายนิตยสาร...ไว้จะมารีวิวว่ามีห้องสมุดที่ไหนน่าไปบ้าง (เริ่มจาก กทม.ก่อน)
"ยินดีต้อนรับสู่โลกการเรียนรู้ยุคใหม่ที่สถาบันการศึกษาในระบบอาจต้องสั่นคลอน"
ปล1. ถ้าอยากเรียนวิชาวิศวกรรมฉบับใช้งานจริงนอกคอกก็ไปตามฉันได้ที่เพจ "ลุงวิศวกร สอนคำนวณ"
ปล2. ใครอยากลองเรียนฟิสิกส์เป็นภาษาญี่ปุ่่นในเว็บ Khan Academy ลองดู: https://ja.khanacademy.org/science/physics
ไปถล่มเวปมันกันไหม นัดเวลาสักสี่ทุ่มแล้วช่วยกันf4เวปแม่งให้ล่มจะได้เลิกมาโฆษณาโง่ๆแถวนี้อีก
สมัยหมี่เกี้ยวมันมีกี่คนวะมันถึงทำเวปล่มได้
"เวลาเราพูดถึงปฏิวัติฝรั่งเศส เรามักจะพูดถึงบทบาทของ "ประชาชน" แต่จริงๆ คนที่มีบทบาทจริงๆ ในการเริ่มคือพวกอภิชนไปจนถึงคนที่เป็น "เจ้า"
Louis Philippe II เนี่ยเป็นเจ้าระดับสูงที่เป็นญาติกับ Louis XVI เป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดด้วย
บทบาททางการเมืองในการก่อให้เกิดปฏิวัติฝรั่งเศสของ Louis Phillippe II คนมักจะไม่พูดถึง แต่จริงๆ วัง Palais-Royal แม่งเป็นแหล่งสำคัญสัสๆ ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนของปัญญาชนที่มีแนวคิด Radical และวังของเขาบางส่วนก็ยังเป็น "แหล่งช็อปปิ้ง" ด้วย
ซึ่งในแหล่งนี้ พวก Radical แม่งก็จะไปซื้อ "หนังสือต้องห้าม" กัน เพราะในโซนนี้ตำรวจเข้าไม่ถึง
พูดอีกแบบหนังสือที่ขายแล้วตำรวจจับทั่วปารีส แม่งหาซื้อได้ในวัง
พูดง่ายๆ ไม่มี Louis Phillippe II แม่งไม่มีแหล่งบ่มเพาะทางความคิดเรื่องเสรีภาพและความเท่าเทียม อันนำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส
ตอนปฏิวัติแล้ว Louis Phillippe II ก็เป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญให้การพยายามเปลี่ยนฝรั่งเศสจากระบอบ Absolute Monarchy เป็น Constitutional Monarchy พูดง่ายๆ คือจะเอาอำนาจกษัตริย์ออกจากระบบให้ปกครองด้วยสภาที่มาจากประชาชน
ช่วงปฏิวัติ Louis Phillippe II นี่อินกับบรรยากาศคามเท่าเทียมช่วงปฏิวัติจนเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Philippe Égalité เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี ก็เดาไม่ยาก เขาก็พบจุดจบด้วยกิโยตินในการ Purge ครั้งใหญ่ในช่วง The Terror เนื่องจากเขา "ต้องสงสัย" ว่าภักดีกับระบอบเก่า เพียงเพราะว่าเขาเป็นเจ้า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>845 คำถามคือเราไว้ใจมนุษย์ด้วยกันได้แค่ไหน? ถ้ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไว้ใจกันได้จริง อาชีพทหารควรสูญสลายไปจากโลกได้แล้ว
การที่รัฐชาติต่างๆ มันยังมีอาชีพทหารอยู่ ก็เพราะเราไม่อาจไว้ใจกันได้นี่แหละ เพราะเรากลัวว่าจะถูกทำร้าย เราจึงต้องมีอาวุธไว้ป้องกันตัว การเลือกตั้งก็เหมือนกัน ทางไหนที่จะไม่นำไปสู่ความได้เปรียบของฝ่ายตรงข้าม แม้จะเป็นทางที่เจ็บปวดแต่มันก็ต้องเลือก
“มีน้องมาคุยแล้วก็ถามเรื่องการตัดสินอนาคตของประเทศด้วยสิทธิของเราในวันที่ 24 มีนาคม น้องพูดว่าเราต้องไปเลือกคนดีสินะครับ
เรารีบเบรคน้องว่า เราเลือกคนที่จะไปทำงาน เราเลือกคนที่ความสามารถ เราเลือกคนที่นโยบาย เราเลือกคนที่เล่นตามกติกา และมีจุดยืนที่ชัดเจน เราไม่เลือกเพียงเพราะความเป็นคนดี หรือภาพว่าเป็นคนดี
น้องถามว่า อ้าว แล้วถ้ามันไปโกงกินล่ะพี่
เราบอกว่า ไม่มีระบบไหนในโลกนี้ออกแบบมาโดยยึดความดีงามของมนุษย์ ถ้าการบำรุงรักษาเครื่องบินเชื่อใจว่ามนุษย์จะทำถูกต้อง ไม่ลักไก่ ไม่เผลอเรอ ไม่สะเพร่า ป่านนี้เครื่องบินร่วงระนาวจากท้องฟ้าแล้ว เพราะขันน็อตไม่แน่นแค่ตัวเดียว เครื่องบินตกคนตายทั้งลำได้เลย
ระบบทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่เคยเชื่อใจมนุษย์ว่าจะไร้ข้อบกพร่อง แต่เข้าใจว่ามนุษย์มีข้อบกพร่อง จึงต้องมีการออกแบบระบบเพื่อป้องกันความบกพร่องของมนุษย์และมีระบบมีกลไกในการตรวจสอบอยู่เสมอ
ทีนี้ในการทำงานจริง ระบบที่ออกแบบมารัดติ้วก็จะทำให้การทำงานไม่ลื่นไหล ระบบที่ดีต้องทำให้เกิด Flow ที่ดี ไม่มีอะไรที่ซ้ำซ้อน ทับซ้อน และขัดแย้งกันเองอีรุงตุงนัง ระบบต้องปล่อยให้คนทำงานได้จริง แต่กันการผิดพลาด และกันการทำงานอย่างไม่ถูกต้องด้วยการตรวจสอบเบื้องหลัง กลไกตรวจสอบต้องฟังก์ชั่นได้จริง และที่สำคัญคือความโปร่งใส และสุดท้ายคนที่ตัดสินใจว่าระบบไหนจะได้ไปต่อ ตรงไหนมีจุดบอดของระบบที่ต้องแก้ไขเพราะโลกนี้ไม่มีระบบที่สมบูรณ์แบบ ก็คือผู้ใช้งาน ซึ่งกรณีนี้คือประชาชน น้องก็ถึงบางอ้อ
สิ่งต่างๆในโลกนี้ดีกับผู้ใช้มากขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะอำนาจอยู่ที่ผู้ใช้ ผู้ซื้อ ผู้บริโภค ผู้ที่จะเลือกสนันสนุนหรือไม่สนับสนุนอะไร อะไรจะได้ไปต่อหรือไม่ เช่นเดียวกัน หากเราอยากให้บ้านเมืองที่เราอาศัยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีกับผู้อยู่อาศัยมากขึ้น อำนาจต้องอยู่ในมือของประชาชนที่มีสิทธิเลือก
อย่าหลงไปกับวาทกรรมคนดี คนที่อ้างความดี คุณไม่มีวันรู้หรอกความลึกอันยากจะหยั่งถึงของใจมนุษย์ คุณไม่มีวันรู้ทุกด้านของคนอื่น แม้แต่ตัวคุณเองคุณยังไม่รู้ทุกด้านของตัวเองหากไม่มีกระจกสะท้อนให้เห็นมุมที่คุณมองไม่เห็น คนดีที่ตรวจสอบไม่ได้นั้นน่ากลัวนัก...”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่ คาสะโต๊ด จะเน้นฝึกฝนทักษะที่ใช้ในการทำงานจริงครับ ตอนเปิดสอนใหม่ๆ คนจะบ่นว่าให้เรียน Unix Command Line ไปทำไม โชคดีที่ทุกวันนี้ไม่มีคนบ่นแบบนั้นอีกแล้ว เพราะทุกคนเข้าใจแล้วว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้จริง เมื่อฝึกฝนจนทำเป็นแล้วจะทำได้ตลอดไป ไม่มีการลืมครับ เหมือนกับการขับรถ หรือเล่นดนตรี ทำเป็นแล้วทำได้ตลอดไป
แป้นพิมพ์หรือ Keyboard ที่ คาสะโต๊ด จะถูกดึงออกวันละ 2 อันครับ อย่างอันนี้เรียนได้ 2 วันก็ดึงออกไป 4 อัน แล้วใส่สีชมพูเข้าไปแทน เพื่อให้ทุกคนที่มาเรียนได้ฝึกพิมพ์สัมผัสด้วยตัวเอง พอครบเดือนก็จะทำได้โดยอัตโนมัติ ส่วนอันล่างเป็นของคนสอนดึงออกไปหมดเลย ไม่มีการเอาเปรียบแน่นอนครับ ใครอยากเห็นการเขียนโค้ดที่พลิ้วไหวเหมือนเล่นเปียโน มายืนดูได้ครับ ที่นี่ไม่เคยมีความลับอะไร
อยากเรียนแล้วทำงานได้อีก 10 ปีขึ้นไป ไม่ต้องวิ่งตามเทคโนโลยีให้เหนื่อย มาเรียนที่ คาสะโต๊ด ได้ครับ ดูคอร์สเรียนและค่าสมัครได้ที่นี่ https://คาสะโต๊ด.work/register
การที่ Piam BNK48 ได้มีการ ”พักงาน” ขึ้น ซึ่งระยะ 2 เดือน ถ้าเป็นโรคทั่วไป ระยะคงไม่นานขนาดนี้ จนแอดได้เห็นกับ IG Story ของเปี่ยม ที่ลงไว้ดังรูปประกอบ...และสิ่งๆ นั้นเรียกว่า “Black Dog”
Black Dog คือ สัญลักษณ์ของ “โรคซึมเศร้า” เหตุการณ์คล้ายๆกันก่อนหน้านี้ มาจาก “จงฮยอน” นักร้องนำวง SHINee ที่ได้เสียชีวิตไปเนื่องจากโรคซึมเศร้า และก่อนหน้าที่เขาได้เสียชีวิต เขาได้โพสต์รูปเจ้าหมาดำไว้ด้วย
แต่เดิมแล้ว Black Dog มาจากหนังสือที่เขียนโดยชาวออสเตรเรีย เขียนและวาดโดย Matthew Johnstone โดยหนังสือมีชื่อว่า “I had a Black Dog: His name was depression” โดยผู้เขียนเผชิญกับโรคซึมเศร้าตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ และตอนนี้เขาก็อายุ 54 เข้าแล้ว และเขาก็ได้เขียนหนังสือเล่มใหม่ “Living With a Black Dog” เป็นเรื่องที่อยู่ร่วมกับโรคซึมเศร้า ให้กำลังใจ และเอาชนะแก่คนที่เป็นเช่นกัน (แต่ผู้เขียนยังไม่เสียชีวิตนะครับ)
ฉะนั้นแล้ว อฟช.ควรมีที่ปรึกษาทางด้านปัญหาสุขภาพจิตด้วยครับ ปัจจัยหลายๆ ด้านที่ทำให้เมมเบอร์เครียดจนเกินไป และเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
Link เพื่อศึกษากับเรื่องๆ นี้ : https://youtu.be/XiCrniLQGYc
เป็นพนักงานคนที่ 3 ของ startup ชื่อ Nutanix. เลือกเงินเดือนที่พออยู่ได้ ขอ stock option เยอะๆ ที่สำคัญที่สุดต้องวิเคราะห์บริษัทนั้นเป็นว่ามีโอกาสแค่ไหนที่ stock options จะ value เพิ่ม ผลลัพธ์คือตอนนี้บริษัทมูลค่า 30,000 ล้านบาท บริษัทใหม่ที่ผมเป็นผู้ร่วมก่อตั้งตอนนี้ กำลังหา software engineer อยู่นะครับ มี stock option ให้ และต้องการให้ stock option means something.
"ชำแหละ เครื่องทำน้ำพลังแม่เหล็ก"
เคยเตือนให้ระวังเรื่องพวกเครื่องปรับโครงสร้างน้ำเปล่า ทำน้ำพลังแม่เหล็ก ทำน้ำโมเลกุลเล็ก ทำน้ำโมเลกุลหลายเหลี่ยม ฯลฯ หรือสารพัดที่เค้าทำมาหลอกขายนั้น ว่าไม่ได้จะมีผลดีอะไรอย่างที่เค้าอวดอ้างหรอกนะ ... วันนี้ มีคนกล้าลองของ ไปซื้อเครื่องราคาเป็นหมื่น มาแกะดูข้างใน พบว่า มันก๊องแก๊ง แค่เอาก้อนแม่เหล็ก มาล้อมท่อน้ำไว้แค่นั้นแหละ !!
จากกระทู้นี้ในพันทิป "แกะเปลือก เครื่องทำน้ำพลังแม่เหล็ก เครื่องปรับโมเลกุลน้ำ ใครอยากรู้ ว่าข้างในมีอะไร มาดูกันเลยครับ" เจ้าของกระทู้เค้าติดเครื่องกรองน้ำไว้ใช้ที่คอนโด แล้วลองติด "เครื่องทำน้ำพลังแม่เหล็ก" พร้อมชุดกรองน้ำ เสร็จแล้ว ด้วยความสงสัยในหลักการทำงานของเครื่อง เค้าเลยตัดสินใจแกะเครื่องออกมาดู
ผลคือ ข้างในมีวาล์วให้น้ำไหลผ่านท่อน้ำสีเงิน ซึ่งมีก้อนแม่เหล็ก 2 ก้อนรัดไว้ ก่อนจะออกมาให้เราดื่ม .. มีแค่นั้นแหละ
ซึ่งผมฟังธงแทนเจ้าของกระทู้แทนให้ได้เลย ว่าพลังงานหรืออะไรก็ตามจากก้อนแม่เหล็ก 2 ก้อนนี้ ไม่ได้จะรุนแรงมากมายอะไรที่จะไปเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลของน้ำกรองที่เรากิน
(หรือถึงทำได้จริง ด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าก้อนยักษ์ๆ จนแขนของโมเลกุลไฮโดรเจนบิดตัวไปจากออกซิเจน พอน้ำเคลื่อนที่ผ่านออกมาลงไปอยู่ในแก้ว โครงสร้างโมเลกุลก็จะกลับมาเหมือนเดิมแน่ๆ )
ส่วนที่บอกว่าดื่มแล้วดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ก็เรื่องโม้ๆ จากคนขาย บวกกับพลังอุปปาทานยาเทียม (พลาเซโบ) ของคนดื่มน้ำนั้นเข้าไปครับ
สรุปคือ อย่าไปหลงเชื่อซื้อของทำนองนี้เลย ถ้ากังวลเรื่องสุขภาพ ก็เอาแค่ดื่มน้ำที่ผ่านการกรองให้สะอาด หรือฆ่าเชื้อแล้ว ก็พอครับ
ภาพและข้อมูลจาก https://pantip.com/topic/38528891
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเข้าสู่หน้าดังกล่าวไม่อาจกระทำได้
เนื่องจากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2560
The access to this page is denied
Due to improper or illegal content in breach of the computer crime act 2017
รับไปปฏิบัติครับ
ใครรักท่านประยุทธ์อยู่ก็ทำตามท่านแนะนำด้วยนะครับ
"อย่าเชื่อหรือฟังคนที่พูดเก่งอย่างเดียว แต่ความจริงกลับปฏิบัติไม่ได้หลายอย่าง"
ฟังมา 4 ปี รอดูผลงานตามที่แถลงมา 4 ปี
.... ทำไม ทำไม๊ รู้สึกว่า ของแพงขึ้น แต่รายได้เท่าเดิมครับเนี่ยยยย ภาษีที่ไม่เคยได้ยินก็ได้ยินเย๊อะขึ้น กฏหมายที่ปกติก็จำแทบไม่ได้ ตอนนี้แทบไม่ต้องจำ
มันไม่เรียกความรู้สึกหรอกสำหรับคนทั่วไป ใครจะเป็นนายกก็ได้ แต่ให้เค้ามีเงินเหลือเก็บ มีเงินซื้อข้าวกินได้ครบเดือน
ท่านจะเปิดคาสิโน จะเปิดเสรีกัญชา Rehab Center ก็ย่อมทำได้ แต่ทำแล้วเงินรายได้ต้องเข้ากระเป๋าประชาชน
ถ้าประชาชนกินดีอยู่ดี ท่านไม่ต้องทำกฏ กติกาเลย อยู่สักสองสมัย แล้วแก้กฏหมายแบบประธานาธิบดีจีนก็ไม่มีคนค้าน ซ้ำจะมีแต่คนรัก
ทำให้ประชาชนรัก แค่นั้นเลยง่ายๆ
หวังดีนะ
ลิงค์เหี้ยไรเยอะแยะวะ
อะเฮือก เราขอโทษจริงๆนะคะ ที่ต้องบอกว่า คนรู้จักเรา รวยเป็น 100 ล้านใน 2 ปี เพราะสอน forex (คอร์สละ แสน++) สอนนะคะ สอน...
และคนสนิทเรา เสีย 5 แสน ใน เอ่อ...ไม่ถึงเดือน (เขาศึกษา forex มา ตั้งเเต่ปี 54 แต่ลงเล่น ปี 58 เพราะเริ่มมีเงิน)
และ คนสนิทเรา อีกคน เคยมีร้านยา 5 ร้าน ชวนเราเล่นforex เเต่เราไม่เล่น ทุกวันนี้ เราไม่กล้าถามเลยว่า ร้านยาไปไหน เมียพี่ไปไหน ทำไมพี่มาทำงานตัวใหม่?
ส่วนตัวเราโง่เลขมากๆ เคยติด f calculus 2 รอบ ฟิสิกส์ เคมี อย่างละรอบ เเต่จบตรีมาได้
ไม่ได้เกลียดหุ้นและ forex เเค่เห็นตัวเลขเเล้วตาลาย ไม่คิดจะเล่นเลย
ขอโทษอีกครั้งที่เล่าความจริงให้ฟังค่ะ
การพยายามทำตัวสอนสั่งผู้อื่น มันเป็นเพียงแค่กลไกการประกาศตนที่แสดงออกถึงความกระหายที่อยากเอาชนะผู้อื่นเฉยๆ สำหรับคนที่คิดไปเองว่าตัวเองฉลาดเท่านั้น
แต่การเอาชนะผู้อื่นได้จริงๆ นั้น เราต้องนอบน้อมสอพลอให้ข้อมูลผิดๆ แก่เขา เพื่อให้เขาทำลายตัวเองไปช้าๆ อ่ะครับ
#จากงูพิษพี่โจวที่เซรุ่มตัวไหนก็เอาไม่อยู่
#ชายผู้สืบทอดองค์ความรู้จากขันทีโฉดมานับพันปีจากรุ่นสู่รุ่น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพื่อนกันสบายใจดี ไม่มีเลิกกัน
...
ไม่ จริง โว้ยยยยยย
เรื่องราวของนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine's story)
เนื่องในวันวาเลนไทน์ แอดมินเพจเลยขอนำเสนอเรื่องราวของนักบุญวาเลนไทน์สักหน่อย
จริงๆแล้วตำนานนักบุญวาเลนไทน์นั้นมีหลายแบบมากและมีข้อมูลค่อนข้างน้อย(น้อยมากจนไม่ทราบปีเกิดท่านที่ชัดเจนเลยล่ะ) อีกทั้งเนื่องจากมีคนชื่อ "วาเลนไทน์" ในยุคนั้นเป็นจำนวนมากอีกต่างหาก
แอดเลยเอาเรื่องราวที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดมาให้อ่านกัน
เรื่องเริ่มที่นักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นอดีตพระสังฆราชแห่งเทอร์นี นาร์เนีย และอาร์มีเลีย แคว้นอุมเบรีย ตอนกลางของอิตาลีในปัจจุบัน
ท่านก็ทำหน้าที่นักบวชตามปกตินี่ล่ะครับ มีเรื่องเล่าเยอะ อย่างวันหนึ่ง ท่านถูกจับที่บ้านพักของผู้พิพากษานามว่า "อัสเทอร์ริอุส" หลังถกกันเรื่องศาสนา เพราะท่านนั้นยืนกรานว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแท้จริงตามมุมมองของชาวคริสต์
ผู้พิพากษาอัสเทอร์ริอุสจึงทดสอบนักบุญวาเลนไทน์ทันที โดยการนำนักบุญวาเลนไทน์ไปหาลูกสาวของเขาซึ่งตาบอดแล้วบอกท่านให้ช่วยให้ตาของเธอกลับมามองเห็นได้อีกครั้งและสัญญาว่าถ้ารักษาได้จะทำทุกอย่างเพื่อท่านวาเลนไทน์
ปรากฏว่าเมื่อท่านวางมือไปที่ดวงตาของลูกสาวของอัสเทอร์ริอุส ตาของเธอก็กลับมามองเห็นอีกครั้งจริงๆ
อัสเทอร์ริอุสจึงทำตามสัญญา และทำสิ่งที่นักบุญวาเลนไทน์ขอร้องคือ...
"ขอให้อัสเทอร์ริอุสได้ทำลายรูปเคารพทั้งหมดรอบบ้านเขา อดอาหารสามวันและขอให้เขารับศีลล้างบาปพร้อมครอบครัวของเขาและสมาชิกในครัวเรือนอีก 44 คน"
ผู้พิพากษาเป็นผู้มีสัจจะและทำทุกอย่างที่ขอ ต่อมาเขายังได้ปล่อยผู้ต้องขังคริสเตียนทั้งหมดอีกด้วย
ทีนี้มาถึงเรื่องราวที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักท่านกัน
นักบุญวาเลนไทน์นี่ต้องถือว่าเป็นคนคุกจริงๆ เพราะเข้าออกบ่อยเหลือเกินจากงานประกาศศาสนาของท่าน
มีครั้งหนึ่ง กล่าวกันว่าท่านถูกจำคุกเพราะไปทำพิธีแต่งงานให้กับคู่รักที่คนหนึ่งเป็นชาวคริสต์และอีกคนซึ่งนับถือเทพโรมันอย่างลับๆ และช่วยเหลือชาวคริสต์ที่กำลังถูกข่มเหงในโรมซึ่งกระทำโดยจักรพรรดิคลอดิอุส ซึ่งการกระทำทั้งสองประการนี้จัดว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงในยุคนั้น
ความสัมพันธ์ของนักบุญวาเลนไทน์และจักรพรรดิแย่ลงเรื่อยๆ คือก่อขัดพระทัยจักรพรรดิบ่อยมาก จนถึงจุดพีคสุดเมื่อนักบุญวาเลนไทน์พยายามชักจูงคลอดิอุสให้หันมานับถือคริสตศาสนา (ถือว่ากล้ามากที่ชวนจักรพรรดิ)
แน่นอนครับ จักรพรรดิก็พิโรธสิ และสั่งประหารชีวิตนักบุญวาเลนไทน์เสียเลย แต่ก่อนประหาร คลอดิอุสได้สั่งให้นักบุญวาเลนไทน์เลือกระหว่างให้ละทิ้งความเชื่อของท่านเพื่อละเว้นโทษ
หรืออีกทาง คือถูกตีด้วยกระบองและตัดศีรษะ
แน่นอนครับ หากท่านเลือกอย่างแรก ก็คงไม่มีใครรู้จักท่านมาจนถึงทุกวันนี้ นักบุญวาเลนไทน์ได้ปฏิเสธที่จะละทิ้งความเชื่อและรับโทาประหารชีวิตที่นอกประตูเฟลมิเนียน (Flaminian Gate) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.269 (บางแห่งบอกไม่ใช่ปีนี้แต่เป็นปีอื่น)
ทำให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ได้กลายมาเป็นวันฉลองนักบุญวาเลนไทน์ตามปฏิทินศาสนจักรตะวันตก
แต่เนื่องจากว่าทางศาสนจักรโรมันคาทอลิกรู้เรื่องราวของท่านน้อยมาก จึงทำให้ในปี 1969 ทางโรมันคาทอลิกจึงนำชื่อนักบุญวาเลนไทน์ออกจากปฏิทินนักบุญทั่วไป
อย่างไรก็ตามศาสนจักรคาทอลิกยังคงยอมรับท่านเป็นนักบุญอยู่ โดยเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของคู่หมั้น คนเลี้ยงดูแลผึ้ง คนเป็นโรคลมชัก คนมีอาการเป็นลม การทักทาย การแต่งงานอย่างมีความสุข ความรัก คนรัก คนเป็นโรคระบาด นักเดินทางและคนหนุ่มสาว
และถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักมาจนถึงปัจจุบัน เพราะสิ่งที่ท่านได้ทำนั่นเอง
ส่วนศาสนจักรตะวันออกอย่างออร์โธด็อกซ์ยังคงมีวันฉลองท่านอยุ่ในปฏิทิน หากแต่เป็นวันที่ 6 กรกฎาคม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“เห็นลงรูปคู่ นั่นผัวหรือลูกค้า เอาดีๆ”
มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีเด็กผู้ชายอายุ11 ขวบ เดินเข้ามาในร้าน 👦🏻
.
น้อง:กระเป๋าจระเข้ใบเท่าไหร่ครับ?
พนง:2แสน....
น้อง:(ทำหน้าเศร้าๆ) ผมมีงบ4หมื่นซื้อใบไหนได้บ้างครับ?
พนง:ทำหน้างงๆ ซื้อให้ใคร?
น้อง:ซื้อให้แม่ครับ
พนง:คุณแม่แต่งตัวแนวไหน ชอบสีอะไร
น้อง:คุณแม่แต่งตัวสีสันสดใสครับ ไม่ชอบสีดำ
พนง: งั้นพี่แนะนำใบนี้.....
น้อง:ตกลงผมเอาใบนี้ครับ พร้อมกับ ควักเงินสดออกมาจากเป้สะพายหลัง
.
น้องบอกว่าผมเก็บเงินมา 3 ปี ค่อยๆเก็บเดือนละ2,3 พัน แล้วพอดีได้เงินประกันมาก้อนนึง เลยอยากซื้อของขวัญให้คุณแม่วันวาเลนไทน์ นี่แอบคุณแม่ขึ้นมาซื้อ คุณแม่ซื้อของอยู่ข้างล่าง 😊💕
.
#ขออนุญาตคุณแม่ของน้องด้วยนะครับ
#อยากแชร์จริงๆ
ไม่เคยเจออาการแบบนี้ใน YouTube มาก่อน
.
ลอง Search หาคำว่า "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" และอีกหลาย ๆ ชื่อ รวมถึง "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" และ "พงษ์สิทธิ์ คําภีร์" วีดีโอทุกตัวใน Search Result จะมีปัญหาแปลก ๆ เช่น
.
- ดูไม่ได้เลย
.
- วีดีโอไม่ Auto Play
.
- ตอนกด Play วีดีโอที่กดดูเป็นตัวนึง แต่วีดีโอที่เล่นเป็นอีกตัวนึง ไม่ตรงกัน (ส่วนใหญ่จะดึงวีดีโอที่เป็นตัวล่าสุดที่ดูมาเล่นแทน เช่น ถ้าเล่นคลิปแมวก่อนหน้านี้ แล้วไปกดดูคลิปธนาธร เราก็จะได้ดูคลิปแมวอีกรอบ)
.
- ต้องกด Hard Refresh ถึงจะดูได้ปกติ
.
- เป็นการ Desktop เท่านั้น มือถือไม่เป็น
.
ลอง Search ด้วย Keyword อื่นเช่น "ธนาธร" หรือ "ไอซ์ อภิษฎา" อันนี้ไม่เป็น กดเล่นได้ปกติ
.
ลองใน Incognito ก็เป็น แม้แต่ VPN ไปเมกา ก็เป็นอาการเดียวกัน
.
ยังไม่ได้ Investigate ละเอียด รู้แต่ว่ามันไม่ปกติ ...
.
ยังไงฝากลองว่าเป็นเหมือนกันมั้ย ๆ (เฉพาะบน Desktop นะ บนมือถือยังปกติอยู่)
.
ของเราเนต AIS Fibre
.
=== Update ===
.
== Keyword เหล่านี้ก็เป็น ==
.
- "ประยุทธ์ จันทร์โอชา"
.
- "สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์"
.
- "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์"
.
- "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"
.
- "พงษ์สิทธิ์ คําภีร์"
.
- "อิศรา กิจนิตย์ชีว์"
.
== Keyword ที่ "ไม่มีปัญหา" ==
.
- "ทักษิณ ชินวัตร"
.
- "แพรว คณิตกุล"
.
- "ธงไชย แมคอินไตย์"
.
ปล. อย่าเพิ่งสรุปเป็นเรื่องการเมือง กำลัง Crowdsource อยู่ว่าตกลงเกิดจากอะไร เผื่อเป็นบั๊ก YouTube จะได้เอาไปแก้
จะว่าไป establishment ไทยนี่เก่งมากนะที่ทำให้คนไทยเนี่ย เอะอะอะไรก็โทษประชาชนกันเองไว้ก่อน
ระบบสุขภาพเงินไม่พอ ก็บอกว่าเพราะรักษาฟรีแล้วคนไม่ดูแลสุขภาพ ไม่เคยสงสัยประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ความเหมาะสมของการจัดสรรงบประมาณ ฯลฯ
คนไทยยากจน เหลื่อมล้ำ ก็บอกว่าชาวบ้านขี้เกียจ ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ขยันทำงาน เอาแต่กินเหล้า เอาแต่แว๊น ไม่เคยสงสัยเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ การผูกขาด การกระจายทรัพยากร การกระจายโอกาสต่างๆ ฯลฯ
น้ำท่วม ก็เพราะคนตัดไม้ทำลายป่า คนทิ้งขยะทำให้ท่อระบายน้ำอุดตัน
มลพิษ ก็โทษคนใช้แต่รถส่วนตัว เผาขยะ สูบบุหรี่
คือพอจะพูดเรื่องที่ใหญ่กว่าปัจเจกนี่นึกภาพไม่ออกเลย เชื่อมโยงไม่ได้ พอพูดเรื่องการแก้ปัญหาที่โครงสร้างก็จะไม่เข้าใจ เพราะทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเรา ถ้าทุกคนเปลี่ยน ประเทศก็จะเปลี่ยน (แล้วลองสังเกตดู เวลาพูดว่าคนไทยเป็นต้นตอของปัญหานี่เราไม่เคยรวมตัวเองเข้าไปด้วยนะ คือเรานี่เป็นคนไทยที่เหนือค่าเฉลี่ย มีวินัย มีความรับผิดชอบ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา)
พอมันเป็นเสียอย่างนี้แล้วก็จะแบบเซ็งๆ เพราะมันคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดแล้วไม่เก็ท สุดท้ายคนที่ต้องเริ่มแก้ที่ตัวเองก็กูเนี่ยแหละ ควรจะเริ่มวางแผนอย่างเป็นระบบได้แล้วว่าจะฆ่าใครบ้างประเทศถึงจะเจริญ เพราะถ้าปัญหามันเกิดจากปัจเจกจริงๆ สิ่งที่เราต้องการคือระบบการฆ่าคนที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีที่ผู้หญิงไทยถูกฆ่าโดยนักศึกษาแพทย์ญี่ปุ่น
นายโยะโซะมิยะ นะโอะคิ (20 ปี) ผู้ต้องสงสัยนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยโชวะให้การก่อนถูกจับกุมว่า “ให้อภัยไม่ได้ที่คนต่างชาติทำงานในร้านอาบอบนวดและได้รายได้ต่อชั่วโมงเยอะ จึงคิดที่จะฆ่าทิ้ง”
นายโยะโซะมิยะได้ซื้อเครื่องมือช่างล่วงหน้า หลังจากนั้นก็เข้าไปในโรงแรมและใช้เครื่องมือช่างอันนั้นฟาดศีรษะของผู้หญิง
เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสืบสวนอย่างละเอียดโดยคาดการณ์ว่านายโยะโซะมิยะผู้ต้องสงสัยน่าจะเล็งฆ่าผู้หญิงต่างชาติโดยไม่เจาะจงตัว
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ท่าทางมันจะบ้า ถ้าจบเป็นหมอออกมา คนไข้จะไม่อันตรายเหรอ?
เครดิต
Yahoo Japan News
ความประหลาดก็คือ เราใส่โลโก้พรรค อนาคตใหม่ แทนภาพตัวเอง
เพื่อนอันเฟรนไปเป็นร้อยเลยทีเดียว...
เห้ยยยย โลโก้เฉยๆ อย่าขนาดนั้น
วันนี้ชอบ วันหน้าก็อาจไม่ชอบก็ได้นะ ธนาธรกับผมไม่ได้รู้จักกัน
เพียงแค่ชอบนโยบายพรรค แนวทางของพรรค
ก็ช่วยโปรโมท ส่งเสริมเท่านั้นเอง
นึกถึงสมัยก่อน เพื่อนสนิทกันคนหนึ่ง เลิกคบเพียงเพราะว่าไม่ไปร่วมม้อบเสื้อแดง กับมัน...
...
อย่าว่าแต่พรรคไหนเลย ถ้าใครชวนไปม้อบ ต่อให้เป็นพรรคที่ตนเองชอบ ก็ขอไม่ไป เพราะมองว่า ม้อบคือการทำให้คนเดือดร้อน
จะอ้างรักชาติ รักองค์เทพอะไรก็แล้วแต่
หากไปตั้งเวที แน่นอนชาวบ้านแถวนั้นเดือดร้อน เพราะเสียงดัง
คนไปมา ก็รถติดอีก
...
หลังเลือกตั้งแล้ว ค่อยแอดเฟรนมาใหม่ได้นะ สำหรับคนที่อันเฟรนไปแล้ว เราจะไม่โกรธเคืองพวกนาย
ไม่ว่าพวกนายจะชอบพรรคไหน เราก็จะไม่เคืองใดๆ เพราะมันเป็นเรื่องเสรีภาพในการเลือกศรัทธา ของแต่ละคน
https://www.prachachat.net/economy/news-288639
แต่ไม่เคยมีใครออกมาเต้น หรือ บอกเลยว่า
ผักผลไม้ราคาถูกที่เข้ามาจากจีน มีอะไรปนเปื้อนหรือเกินบ้าง
จนมาถึงทุกวันนี้ เราน่าจะเห็นกันแล้ว
ว่ารัฐราชการแบบไทยๆเรา มีอะไรให้เราเชื่อถือกันได้บ้าง
มีใครเชื่อบ้างว่า ผักผลไม้จากจีน ตรวจอย่างดีแล้วทุกตัว
และไม่เคยมีอะไรปนเปื้อน หรือพบแล้วมีการรีเจ็คของเกลี้ยงทุกครั้ง
????????
ใครมีเงินเหลือพอ ขอท้าให้ส่งแล็บเอกชนตรวจดู
เพื่อที่จะรู้ว่า ผักผลไม้สวยๆถูกๆ ที่เราซื้อให้ลูกหลานกินนั้น
แท้จริงแล้วดีเลวอย่างไร ???
ใครไม่มีเงิน ลองเอาผลไม้พวกนี้วางทิ้งไว้
ดูอายุการเก็บ ดูแพทเทิร์นการเน่าเสีย น่าจะบอกอะไรได้บางอย่าง !!!
อย่าลืมว่า แม้แต่ในประเทศที่มีกติกา มีรัฐบาลที่เข้มแข็งกว่าเรา ยังไม่ใช่ว่า จะต่อกรกับจีนได้ ในเมื่อ วัฒนธรรม เงินจ้างผีโม่แป้งได้
ได้กระจายตัวไปทั่ว ....
ตัวอย่างเช่น กระเทียม ซึ่งจีนมีอัตราส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งของโลก แม้จะมีหลักฐานที่มีคนเสี่ยงตาย ซ่อนกล้องเข้าไปถ่ายในคุก ให้เห็นการใช้แรงงานผู้ต้องขังแบบแรงงานทาส ให้ทำกระเทียมปอกเปลือก ... กัดเปลือกกันจนฟันกร่อน ... แต่อเมริกา ยังคงไม่สามารถแบนจีนได้ เนื่องจาก สิทธิในการฟ้องร้องและแบน อยู่กับสมาคมผู้ปลูกและค้ากระเทียมของอเมริกา แต่ประธานสมาคม คือหุ้นส่วนบริษัทผู้นำเข้า และ นอมินี จีน รายใหญ่ที่สุดของอเมริกา !!! ... เรื่องอื้อฉาวนี้ ยังคงครหากันมาจนทุกวันนี้
เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตกเป็นตลาดซื้อสินค้า ของจีนมานานแล้ว เนื่องด้วยเป็นภูมิภาคที่มีคอรัปชั่นสูง มีคนฐานะไม่ดีที่ต้องการของถูกเยอะ มีมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรฐานของประเทศเกือบด้อยพัฒนา ... รวมทั้งจีนยังมีคู่ค้า และ นอมินี เป็นบริษัทใหญ่ในแต่ละประเทศแถบนี้ ที่มีผลตอบแทนต่อกันสูง และจีนได้อาศัยช่องทางผ่านบริษัทเหล่านี้ ในการเข้ามีอิทธิพลเหนือตลาด ไปจนถึงเหนือรัฐบาลและการเมือง ซึ่งนับเป็นเงินลงทุนเพื่อครอบงำตลาดที่น้อยมาก
นอกจากนี้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเป็นประเทศที่นำเข้าเพื่อฟอกสินค้า เปลี่ยนแหล่งที่มา เปลี่ยนแหล่งผลิต เปลี่ยนเอกสาร เพื่อผ่านสินค้าสารพัดอย่าง ทั้งเข้าและออกจีนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ... ยกตัวอย่างเช่น น้ำผึ้ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก ... แต่เกือบทั้งหมดของน้ำผึ้งจากจีน ถูกพบว่ามีการผสมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานอื่นๆเป็นจำนวนมากอย่างกว้างขวาง ประเทศตะวันตกจึงแบนการนำเข้าน้ำผึ้งทั้งหมด ... และในทันทีทันใด มูลค่าการส่งออกสินค้าที่ถูกแบนเช่นน้ำผึ้ง จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้่ไปยังประเทศตะวันตก ก็จะพุ่งลิ่วๆยิ่งกว่ามีอินฟินิตี้สโตน ... เช่น มาเลเซีย สามารถส่งออกน้ำผึ้งซึ่งอ้างว่าได้ผลิตเอง ได้เป็นปริมาณถึงกว่า 1,000 เท่า ของที่มาเลเซียมีปัญญาผลิตได้จริงจากทั้งประเทศ !!!
ประเทศเรา ลูกหลานเรา คุณภาพชีวิตเรา
ไม่มีใครจริงใจดูแลไปกว่าตัวเราเอง ...
ฝุ่นควันที่เป็นปัญหาวันนี้ เป็นสิ่งที่มองเห็น ดมได้ และส่งผลไว
สารตกค้างในผักผลไม้ และอาหาร เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและตายผ่อนส่ง
เราต้องรอให้สถานการเลวร้ายระดับไหนหรือ จึงจะตื่นมาเต้นกัน ???
อยากอยู่โดยทำไม่รู้ไม่ชี้ ว่าไม่เห็นคือไม่มี ... หรือไม่เกี่ยวกับเรา
หรือเริ่มสร้างมาตรฐานของสังคมและประเทศที่ดีให้กับตัวเอง
และลูกหลาน ... ทางเลือกล้วนอยู่ที่เรา
จงเลือก และ รับผลของการเลือกนั้น !!!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ระหว่างต่อแถวซื้อชานม ที่ตึก AIA รัชดาตอน 4 โมงเย็น
เจอพนักงานออฟฟิศ 3 คน สั่งหลายแก้วเพราะที่ออฟฟิศฝากๆกันมา
ได้ยินประโยคนึงที่ว่า “มึงจะ 5 โมงแล้ว วันนี้กูยังไม่ได้ทำงานอะไรเลย” ผู้ชายอีกคนก็บอกว่า “เมิงไม่ทำอะไร วันนี้เมิงเป็นสายตรวจเฟซบุ๊คไปแล้ว กูเห็นเมิงไปคอมเมนท์พี่เค้ามา” ผู้หญิงอีกคนที่อวบๆหน่อยก็บอกว่า “กูก็ยังไม่ได้เริ่มทำงานเลยเหมือนกัน วันนี้เข้ามามีแต่ถามกูเรื่องดอกไม้กับหนุ่มเมื่อคืน และตอนเที่ยงกูรออาหารนาน แล้วนี่ไปส่งของให้ลูกค้าที่สั่งของ เสร็จก็ 4 โมงแล้วเมิง”
สามคน ดูเฮฮาดี ชีวิตชิวดีด้วย
บริษัทใหญ่อ่ะบอกเลย 🤔
เสียไป 500,000 ยักไหล่ ใช้หนี้ไป ใช้หมดแล้ว แต่ได้ประสบการณ์ การคบคนทำธุรกิจร่วมกัน เริ่มใหม่ สู้ต่อไป บางคนว่ามันน้อย แต่ไม่น้อยสำหรับพี่ ที่เอาเงินจากบัตรเครดิต มาลงทุน ตูไม่ได้มาจากศูนย์ ตูมาจากติดลบจ้า ✌️✌️✌️✌️✌️✌️
"It's really hard for women to understand what being rejected over and over feels like.
Society tells men they need to find a mate. But it's worse than that, if men sit around and wait it's more likely than not you will stay alone as a man since no one else will ever make that move for you.
It's easy to get into your 30's without having a date if you're a less attractive guy. If you picked a college major without any females in it it's almost an average experience. Once the feedback loop is established and you get it stuck in your head there is something wrong with you, it's like you can't participate anymore. Just the thought of going on a date and being found out as a "fraud" and reaffirming your worthlessness is enough to keep one from trying.
So then some men just are completely sure of the fact that they're an inconvenience to women. They view themselves as vile and try to hide from all girls since they feel so unworthy. Now at this point these guys are avoiding females altogether as a favor to them. This makes their chances even lower of ever finding a mate and helps reinforce their feelings of worthlessness.
It's just easier to off yourself at some point in this cycle."
เคยนะ แต่กว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้งมันก็เป็นปี
ความรู้สึกที่เจอเขาครั้งนั้น ต่างคนต่างเข้ามาคุยกันเหมือนเราไม่เคยโกดกันเลย
ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่สถานะเราไม่ได้คบกันแล้วแค่นั้น
ต่างคนต่างรู้สึกดีต่อกันแต่เราไม่สามารถกลับไปคบกันได้อีกแล้ว แค่นั้นที่เราคิดเหมือนกัน
ราวๆปี 2535 ผมจบมหาลัยในเทอมที่ 1 เพราะอาจารย์เสถียรปัดเกรดให้ 2 รอบจาก 1.9946 -> 1.995 ->2.00
โดยปรกติคนที่จบในเทอม 1 ราวๆเดือนตุลาคม จะไม่สามารถรับปริญญาในเดือน ธันวาคมได้ เนื่องจากมหาลัยจะต้องเตรียมการหลายขึ้นตอน ทั้งการพิมพ์ปริญญาบัตร การพิมพ์รายนามบัณฑิต เพื่อให้คณบดีอ่านเบิกตัวต่อหน้าพระที่นั่ง
บังเอิญว่าในปีนั้นผมเป็นคนเขียนโปรแกรม sorting รายชื่อและพิมพ์ออก พิมพ์ดีด olympia (หรือ laser printer ตัวแรกของหมาลัย หว่า) เรื่อง sorting นี่มีประเด็นคือ สมัยนั้นยังไม่มีการ sorting ภาษาไทยตามราชบัณฑิต ผมเลยเขียนระบบ index ขึ้นมาใหม่บน foxpro 2.0 ซึ่งสามารถสร้าง custom function มาใช้ทำ index ได้ ใช้แนวคิดจากการ sorting ภาษาไทยชอง dbase III+ ที่เขียนด้วย assembly ของท่าน อ.ยืน นอกจาก sorting ภาษาไทยตามพจนานุกรมแล้ว คนที่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1,2 จะต้องเรียงตามเกรด เกรดเยอะรับก่อน
เมื่อทำระบบเสร็จทดสอบใช้งานผมก็ถาม อ.สุกิจจา ผอ.สำนักทะเบียนว่า ผมใส่ชื่อผมรับในปีนี้ได้ไหม ท่านบอกเออว่ะ ไม่ได้ระเบียบห้ามไว้นะ เมื่อเช็ครายชื่อผู้จบการศึกษาว่าผมได้รับอนุมัติแล้ว รายชื่อผมก็ไหลมาอยู่ใน ฐานข้อมูลคนที่จะเข้ารับปริญญาทันที
ปัญหาใหญ่ของผมคือ ผมไม่มีชุดครุย เนื่องจาก มหาลัยขอนแก่น จะมีร้านจาก กทม. มาทำการวัดตัวบัณฑิต ราวๆกลางปี เสร็จไปหมดแล้ว เลยไม่รู้จะเริ่มที่ไหน เลยนั่งรถทัวร์มากทม. และไปที่ศึกษาภัณฑ์นี่แหละ ผมจำไม่ได้ว่าผมสั่งตัดที่นี่หรือเขาแนะนำร้านให้ แต่ประเด็นผมได้ครุยที่มีแถบสี แจ่มกว่าเพื่อนนิดหน่อย เท่ห์สุด
เล่ามาซะยาวจะบอกแค่ว่า เคยไปทีนึง จบข่าว
ธนาธร เคืองแค้นไทยไปทำไม
คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรค “อนาคตใหม่” ต้องการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ตามอุดมการณ์ของเขา จึงเอาแต่พาประชาชนให้โกรธประเทศนี้ คุณค่อนขอดความเป็นไทย ทำจนเป็น “ฮ้อบบี้” แต่ทั่วทั้งพรรคจะรู้กันไหม ตระหนักกันไหมว่า เมืองไทยนั้น ถึงจะมีจุดอ่อนข้อบกพร่อง แต่ก็ “ดี” ที่สุดแห่งหนึ่ง
ถ้าเมืองไทยไม่ดีคนอย่างคุณธนาธรและครอบครัวซึ่งมาจากเมืองจีนไม่นาน จะร่ำรวยขึ้นเป็นหมื่นล้าน ได้หรือ คุณธนาธร สนุกกับการวิพากษ์คุณลักณะของชาติ กับ สถาบัน-ประเพณีไทย อย่างโหดร้าย ขนาด “ยิ้มสยาม” คุณก็ไปแปลว่าไม่มีจุดยืน ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน
ในวันนี้ คุณธนาธรก็ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคและขึ้นเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีได้ ในประเทศที่คุณเองพร่ำบ่นว่า “เหลื่อมล้ำ” รับไม่ได้ ความสำเร็จ “จึงรุ่งเรืองกิจ” ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้ในไม่กี่ชั่วคน ไม่ถึงร้อยปีที่บรรพบุรุษคุณมาจากจีน ลองคิดดู หากบรรพชน “เสื่อใบหมอนใบ” ของพวกคุณไปขึ้นฝั่งที่อินโดนีเซียหรือมลายู หรือกัมพูชาแทนที่จะมาสยาม คุณจะมีชีวิต ฐานะ และบทบาท สูงเด่นอย่างทุกวันนี้ได้หรือ ? ไม่แน่นะครับ อาจถูกฆ่าทิ้งเสียที่อินโดนีเซีย ถูกเขมรแดงกวาดไปตายในป่าเขา หรือ พ่อแม่คุณ จะถูกรัฐมาเลเชียสั่งให้เป็นพลเมืองขั้นสอง ไม่ใช่ “ภูมิบุตร”ผู้สูงส่ง ก็เป็นได้
พระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณกาลท่านเป็น “พญาจักรพรรดิราช” ตามหลักนี้ท่านไม่มีแต่พสกนิกรที่เป็นไทยแท้เท่านั้น ท่านทรงโปรดปรานคนต่างชาติต่างภาษาให้เข้ามารวมอยู่ในพระบรมโพธิสมพารเดียวกัน ทรงเมตตาให้ความร่มเย็นเป็นธรรมแก่ราษฎรทุกชาติทุกพันธ์ ทุกศาสนาและ ทรงอนุญาตให้พวกเขาอยู่ในภาษาและวิถีชีวิตแบบเดิมได้ แต่ถ้าใครจะผสมกลมกลืนเป็นไทยด้วย ก็มิทรงรังเกียจเดียดฉันท์ จะเป็น มอญ พม่า เขมร ลาว มาก่อน จะเป็นแขก ฝรั่ง จีน มาแต่เดิม ก็ทรงชุบเลี้ยง จะเห็นได้ว่าเสนาบดี รัฐมนตรี อธิบดี เอกอัครราชทูต หรือ นับสูงขึ้น แม้กระทั่งองคมนตรี จนถึง ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หลายท่าน ก็ไม่ใช่ “ไทยแท้” ในสายเลือด แต่ท่านเลือกจะเป็น “ไทยแท้” ที่หัวใจ สนองพระเดชพระคุณสุดชีวิต ชั่วชีวิต
คุณธนาธร คุณเก่ง-กล้า จะมีอนาคตทางการเมืองอย่างแน่นอน ผมขออวยพร ผมเองก็มิต่างจากคุณมากนักทางชาติพันธ์ คุณทักษิณเรียกผมอย่างดูแคลนว่า “ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง” แต่ที่จริงเขาเองก็”ซินตึ๊ง” เช่นกัน พวกเรานั้นเป็น “ไทยผสม” เป็น “ไทยปนจีน” (ผมเองยังปนไทลื้อ-ไทยวน อีกด้วย) แต่ไม่มีแผ่นดินไหนที่จะให้โอกาสคนพันธ์อื่น คนพันธ์ใหม่ ได้ดีกว่าที่นี้ ..ประเทศไทย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มันเป็นอนิเมะที่ประสบความสำเร็จในภาพรวมน่ะ แผ่นขายได้เกิน 3000 เป็นเมะนิยมในตปท. คันนะขายดี คุ้มพอทีเกียวอนิจะจับมาทำต่อ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รูปที่คุณเห็นอยู่นี้ ไม่ใช่คนจริงๆ
โพสเรื่อง Game Theory ของผมเมื่อสัปดาห์ก่อนได้รับความสนใจเยอะมาก เลยอยากจะเอาเทคนิค AI ที่เอา Game Theory มาเล่าสู่กันฟัง
มีเทคนิคทาง Machine Learning ตัวนึงที่ได้รับความนิยมมากในปีที่ผ่านมาชื่อว่า GAN (Generative Adversarial Networks) เป็นอัลกอริทึ่มในการสร้าง "ของปลอม" เลียนแบบ "ของจริง"
เช่น สร้างหน้าคนปลอมๆ ที่ถอดแบบมาจากตัวอย่างหน้าคนจริงๆ นับล้านๆ หน้า
หรือ สร้างกราฟหุ้นปลอมๆ สร้างวิวปลอมๆ สร้างเพลง สร้างนิยาย ฯลฯ
ของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นนี้ จะมีลักษณะคล้ายของจริงจนคุณแทบจะแยกไม่ออก (ดูรูปตัวอย่างในโพส)
หลักการทำงานของ GAN ใช้เทคนิคทาง Game Theory เข้ามาช่วย เริ่มจาก GAN จะมีผู้เล่นสองตัว (agent) ตัวแรกคือ Generator ตัวที่สองคือ Discriminator
ยกตัวอย่างการสร้างหน้าคนปลอม
เกมของ GAN จะเป็น zero-sum non cooperative game หมายถึง ผู้เล่นจะไม่มีการได้ประโยชน์ร่วมกันแบบ win-win (คนนึงได้ คนนึงต้องเสีย)
เริ่มจาก Generator จะถูกฝึกด้วยการให้เรียนรู้หน้าคนเป็นจำนวนล้านๆ หน้า แล้วหลังจากนั้นลองสุ่มสร้างหน้าคนแบบมั่วๆ ขึ้นมา แล้วให้ Discriminator จับผิด ว่านี่เป็นของปลอมหรือของจริง
Discriminator ก็จะถูกฝึกด้วยการให้เรียนรู้หน้าคนจำนวนมากเช่นกัน แล้วมาจับผิด Generator หาก Discriminator จับผิดสำเร็จ Generator จะกลับไปสุ่มสร้างภาพใหม่แล้วให้ Discriminator จับผิดใหม่อีกรอบ วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เกมจะจบก็เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ Discriminator จับผิด Generator ไม่สำเร็จ
(ในทางทฤษฏีเกมก็คือ Nash Equilibrium นั่นเอง คือ action ของผู้เล่นหนึ่ง ไม่ทำให้อีกผู้เล่นเปลี่ยน action นั่นคือจุดสมดุลของเกม)
ด้วย GAN ทำให้เกิดนวัตกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็น Deepfake คือการเอาหน้าคนนึงไปแทนที่หน้าของอีกคน ที่ถูกนำไปใช้ตัดต่อคลิปโป้ดาราบ้าง ตัดต่อคลิปทรัมป์พูด speech ปลอมๆ บ้าง
ใครสนใจลองเข้าไปเล่นเว็บนี้ดู หน้าคนทุกหน้าที่เกิดจากเว็บนี้ ไม่มีตัวตนจริงๆ ทั้งสิ้น เป็นหน้าที่ถูก GAN สร้างขึ้นมา https://www.thispersondoesnotexist.com
ในอนาคตเราจะเห็น GAN รวมถึงวิวัฒนาการใหม่ๆ ที่ต่อยอดจาก GAN สร้างนวัตกรรมออกมาอีกมาก ทั้งดีและร้าย
และนี่เป็นอีกตัวอย่างของการใช้ทฤษฏีเกมในการสร้างสรรค์นวัตกรรมครับ
10 คำพูดที่ฟรีแลนซ์ เด็กจบใหม่หรือเด็กฝึกงานที่ได้ฟัง แล้วควรระวังเป็นอย่างยิ่ง พร้อมคำแปล
1. เรามาเติบโตไปด้วยกันนะ = [กูโต แต่มึงก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ]
2. ตอนนี้พี่ให้ได้แค่นี้ก่อน ไว้งานหน้าค่อยเอามากกว่านี้ = [จ้างมึงรอบนี้รอบเดียว เดี๋ยวรอบหน้ากูก็หาคนใหม่]
3. เราทำด้วยใจ ด้วยอุดมการณ์ เรื่องเงินไม่สำคัญ = [เบิกลูกค้ามาเต็มแล้ว มาหาแรงงานฟรีๆ]
4. ช่วยๆ กันหน่อย เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว = [ข้าวมือละสองร้อย แลกงานสองหมื่น]
5. งานนี้เร่งนิดนึง พี่ไม่ไหวจริงๆ = [ลูกค้าเร่งมา พร้อมค่าจ้างแพง แต่ค่าแรงเท่าเดิม]
6. ที่นี่เราอยู่เป็นครอบครัว = [อย่าหวังก้าวหน้าในสายงาน เพราะก็เป็นได้แค่ลูกหลานน้อง ไม่มีพัฒนา]
7. งานนี้จะได้เก็บเป็นพอร์ท = [ไม่มีค่าแรง อย่าคิดหวัง]
8. เพื่อคอนเนคชันในอนาคตนะ = [กูจะเอาหน้า]
9. ของานเป็นตัวอย่างก่อน แล้วค่อยดูต่อไป = [เอางานตัวอย่างไปใช้แล้วไม่จ่ายแน่นอน]
10. เราไม่ได้ขาย เราเป็นผู้สร้างเครือข่าย = [ขายตรง MLM แน่นอน 100%]
ร้อยละ 90 ถ้าเจอประโยคแบบนี้ รีบหนีให้ไกล
ยังมีหน่วยงานบริษัทธุรกิจมากมายที่ดีกว่ารอคุณอยู่ ถ้าคุณมีความสามารถ
องค์กรมืออาชีพ ที่พูดกันตรงไปตรงมา หาคนมีคุณภาพเสมอ
ขอให้นักศึกษาและมิตรสหายรุ่นน้องทุกคนโชคดี ในวาระจบการศึกษาและหางานใหม่ประจำปีนี้
มึงลองไม่มีเงินดูสิชีวิตนี้มึงจะสำคัญกับใครได้บ้าง
ดีลนึงที่สนุกสนานในสหรัฐ คือการสร้างสำนักงานใหม่ของบริษัท Amazon
เท้าความก่อนว่าสำนักงาน Amazon ในเมือง Seattle
จ้างงานและจ่ายภาษีเยอะมาก เป็นหน้าเป็นตาของเมือง
หน้าตาเหมือนบ้านต้นไม้ฟิวชั่วกระสวยอวกาศ
เมื่อต้องการขยับขยาย จึงเปิดประมูล
โดยให้นายกเทศมนตรีของแต่ละเมือง
เสนอว่ามีดีลอะไรจูงใจให้เราไปตั้งสำนักงานไว้กับคุณ
จาก 20 เมืองที่ใส่ซองเข้ามา ผู้ชนะก็คือนครนิวยอร์ก
ที่จะให้ Amazon ไปอยู่ในย่าน Queens
แลกกับการลดหย่อนภาษีประมาณ 1 แสนล้านบาท
ถึงตอนนี้คนก็เดือดดาล สื่อปั่นว่าเป็นการลดภาษีคนรวย
รังแกร้านโชห่วย เอื้อกันยิ่งกว่าธงฟ้าประชารัฐ
Amazon เห็นท่าไม่ดีก็เลยบอกว่า ช่างแม่ม ไม่ไปละ
ถามว่าตอนนี้คนนิวยอร์กได้เงิน 1 แสนล้านกลับมาไหม
1 แสนล้าน คือภาษีที่นครนิวยอร์กจะลดหย่อนให้
แต่ภาษีที่ Amazon จะจ่ายตลอด 25 ปี จะมากกว่า 8 แสนล้านบาท
ไม่นับการจ้างงานอีก 25,000 ตำแหน่ง ซึ่งมีเงินเดือนเฉลี่ย 4-5 แสนบาท
ก่อให้เกิด ภงด.บุคคล และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอีกมหาศาล
จริงอยู่ ที่ Amazon ซึ่งรวยล้นฟ้าอยู่แล้ว จะรวยขึ้นอีก 1 แสนล้าน
แต่นี่คือธรรมชาติของอำนาจต่อรองของบริษัทใหญ่
แต่ชาวนิวยอร์ก 20 ล้านคน ที่ตอนแรกจะรวยขึ้นอีกคนละ 40,000
ตอนนี้ปิ้วไปแล้ว ที่เจ็บคือตามผลโพลล์ คนนิวยอร์กมากกว่า 50%
เห็นด้วยกับดีลนี้ มีแค่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง
พยายามโหนให้มันเป็นเรื่องของ คนรวย vs คนจน
อันนี้คือปัญหา financial illiteracy (ความขาดการศึกษาทางการเงิน)
ธรรมชาติของการเมืองเป็น zero-sum
ธรรมชาติของการค้าเป็น win-win
เรื่องAmazonในนิวยอร์กมันไม่มีเหี้ยอะไรเลย แค่นักการเมืองSocialistจากพรรคDemocrat(นำโดยAOCขวัญใจร่านรุ่นใหม่)ร่านแตกอยากเอาหน้าแค่นั้นเอง
แล้วที่มึงพูดๆกันเรื่องเศรษฐศาสตร์เนี่ย ถามจริงว่าถ้ารู้เรื่องเศรษฐศาสตร์จะมาเป็นSocialistไหม ว่างๆลองไปอ่านนโยบายGreen New DealของอีAOCดู เพ้อฝันยิ่งกว่ากำแพงทรัมป์
>>894 พูดยังกะeconomicsมันวิเศษตายห่าแหละ เรื่องมันเกิดก่อนแล้วถึงจะได้statเอาไปmodelเดาไปเรื่อย ถ้าพวกมึงเก่งกันจริงๆจะระบบมันระเบิดกันตั้งหลายรอบ พอมันระเบิดบ่อยๆเข้าก็บอกว่าเป็นธรรมชาติของระบบ นี่ไม่เรียกปัญญาอ่อนแล้วจะเรียกอะไร ก็แต่หาข้อให้นายทุนล้มกระดานเอาตังล่ะวะ คนข้างล่างซวยยกเซ็ต ซักวันพวกมึงจะโดนพวกกูรุมฆ่า มีเงินก็อยู่ไม่ได้ไอ้สัส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>896 มึงอ่ะปัญญาอ่อน economicsมันมีสิ่งที่เรียกว่าinput lag ที่ป้อนคำสั่งไปแล้วมันจะใช้เวลานานกว่าจะเกิดผลเพราะความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจ คนหนึ่งคนเป็นตัวแปรหนึ่งตัว ทั้งระบบมีกี่ตัวแปรก็นับไป
เอาตรรกะโง่ๆของมึงมาเทียบ หมอก็ไม่เก่งดิ ต้องรอให้เกิดโรคก่อนแล้วถึงรักษา ถ้าเก่งจริงทำไมหมอไม่ทำวัคซีนเทพกันทุกโรคล่ะ โด่ว
ตำรวจก็ไม่เก่งดิ ต้องรอให้เกิดอาชญากรรมก่อนแล้วค่อยไปจับคนร้าย เก่งจริงต้องจับคนก่อนก่อเหตดิ
ช่างต่างๆก็ไม่เก่ง ต้องให้พังก่อนแล้วค่อยซ่อม
อนึ่ง ทุกอาชีพที่กล่าวมาทั้งหมดข้างบนมีมาตรการป้องกันปัญหาเกิดขึ้นหมด economicsก็มี ทำไมรัฐบาลถึงมีนโยบายBail outธนาคาร ทำไมรัฐบาลถึงมีReserve ทำไมรัฐบาลถึงไม่พิมพ์เงินออกมาเยอะๆ etc. นโยบายพวกนี้มาจากeconomistทั้งนั้น
รอฆ่าไปเหอะ หนูโง่ เรียนมาน้อยยังจะอวดฉลาด ถ้ายังไม่พัฒนาตัวเองก็ดิ้นแพร่ดๆรอผีไอ้มาร์กซ์มาช่วยมึงอยู่ตรงนั้นต่อไป
ทุกวันนี้ก็ไม่ต่างกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์นี่ครับ เผ่ามังกรฟ้ามีอำนาจล้นฟ้าตรวจสอบไม่ได้
นโยบายรัฐสวัสดิการนี่ปัญญาชนน่าจะทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดียัดเยียดให้กับชาวบ้านอ่ะครับ แท้จริงแล้วชาวบ้านเขาอาจอยากจะได้นายกทักษิณมากกว่ารัฐสวัสดิการ มีใครไปถามเขาจริงๆ จังแบบนี้หรือยัง
หรือเฉพาะหน้าเขาก็อาจเอา 300 500 มากกว่าเอารัฐสวัสดิการอ่ะครับ
ไปเจอรูปเบื้องหลัง โฆษณาวันทัชมา
วงการถ่ายหนังนี่เชื่อไม่ได้จริงๆ
ในฐานะคนที่เรียนมาทางประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่และทำอาชีพเลี้ยงปากท้องด้วยการสอนและทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่มาบ้าง รู้สึกหงุดหงิดที่สุดกับการยกจีนขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เป็นหลักฐานสนับสนุน หรือเป็นข้ออ้างใน 2 กรณีหลักซึ่งเห็นได้ใน Facebook บ่อยครั้งดังต่อไปนี้
1. จะบ้าคลั่งเรียกร้องประชาธิปไตยไปถึงไหน จีนเป็นเผด็จการยังเจริญมาเป็นคู่แข่งอเมริกาได้เลย
อธิบาย: จีนไม่ได้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองโลกดังเช่นที่เราเห็นกันในข่าวอย่างทุกวันนี้มาแต่ไหนแต่ไรนะคะ จริงๆ จีนเพิ่งเปิดประเทศสู่ระบบตลาดโลกเมื่อปี ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) นี้เอง ก่อนหน้านั้นจีนก็ผ่านการเป็นสังคมนิยมแบบเหมาอิสต์ซ้ายจัดที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม มายาวนานถึง 10 ปีเต็ม เป็นภาวะโกลาหลวุ่นวาย มีการล่าแม่มด ล้างสมอง และใช้ความรุนแรงปราบปรามกำจัดผู้เห็นต่างจนน่าจะมีคนตายไปเป็นหลัก 10 ล้าน (แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดเพราะรัฐบาลจีนปิดกั้นข้อมูล) และแม้เมื่อมาถึงทุกวันนี้จีนรวยแล้วจีนก็ยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ถ้าคุณเกิดในแผ่นดินจีนแล้วบังเอิญเป็นลูกนักธุรกิจผู้มีอันจะกินในเซี่ยงไฮ้ก็เป็นบุญของคุณ และคุณก็คงจะไม่คิดว่าเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ถ้าคุณเกิดเป็นมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียงคุณก็คงจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะคุณต้องโดนจับไปปรับทัศนคติด้วยวิธีการรุนแรงป่าเถื่อน หรือถ้าคุณเป็นเกษตรกรยากจนหรือแรงงานในภาคอุตสาหกรรม คุณก็อาจจะมีคุณภาพชีวิตที่แย่มากและจะต่อสู้เรียกร้องอะไรกับรัฐก็ไม่ได้เพราะรัฐเป็นเผด็จการ หรือจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากประชาคมโลกก็ยากอีก เพราะรัฐปิดกั้นควบคุมสื่อและข้อมูลข่าวสารทั้งที่จะเข้าและออกจากประเทศอย่างเข้มข้น คุณไม่น่าจะอยากให้ประเทศเราเป็นแบบจีนหรอกถ้าคิดดูดีๆ และโดยพื้นฐานที่สุดคนที่จะเรียกร้องให้ประเทศเราเป็นแบบจีนก็ควรจะระวัง ม.112 ด้วยนะคะ เพราะจะเป็นแบบจีนได้ต้องไม่มีสถาบันกษัตริย์ค่ะ
2. ประธานเหมาจงเจริญ เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ เราจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน คนรุ่นใหม่ต้องเป็นผู้นำในการสร้างสังคมใหม่ที่เท่าเทียมกัน แล้วโพสต์มีมปฏิวัติวัฒนธรรมกับแฟชั่นเรดการ์ดรัวๆ
อธิบาย: อันนี้พบมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าที่มีการศึกษาหน่อยและอยากจะคิดว่าตัวเอง “ก้าวหน้า” ขอความกรุณาจากก้นบึ้งของหัวใจว่าอย่า romanticize ทั้งเรดการ์ดและการปฏิวัติวัฒนธรรม เพราะไม่ว่ามันจะตั้งต้นด้วยความตั้งใจดีสักเท่าไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วมันก็ลงเอยด้วยการเป็นลัทธิบูชาตัวบุคคล และก็เหมือนดังเช่นทุกสถานการณ์ที่ลัทธิบูชาตัวบุคคลเข้ามาครอบงำการเมือง ไม่ว่าจะเป็นระบอบหรืออุดมการณ์ใดๆ ทั้งฟาสซิสต์ คอมมิวนิสต์ เหมาอิสต์ และระบอบกษัตริย์มันก็ล้วนแล้วแต่สร้างความฉิบหายวายป่วงให้สังคมนั้นๆ โดยสิ้นเชิงทั้งสิ้น สังคมไทยก็บอบช้ำมามากแล้วจากลัทธิบูชาตัวบุคคล ได้โปรดอย่าสนับสนุนแนวโน้มนั้นหรือทำให้ใครเข้าใจผิดว่ามันเท่อีกเลย ความฉิบหายมันเกิดกับสังคมจีนอยู่สิบปีเต็ม คนตายเป็นหลักสิบล้าน มันไม่เท่หรอกค่ะ มัน sick และ ignorant
ทั้งวิดิโอ ทั้งคอมเมนต์ไม่ได้พูดเลยแฮะว่าตัวเดียวที่ทำให้เวเนล่มจมคือSocialism
วิดิโอเน้นหนักไปที่Populism ในขณะที่คอมเมนต์ไปทางด่าลุง ด่าอเมริกา ด่าทักกี้
หรือเพราะว่าคนไทยเรารู้จักแต่คอมมี่ แต่ไม่รู้จักSocialism
https://www.youtube.com/watch?v=Yr1z7oRMLKo&ab_channel=MinuteVideosThailand
ลองเล่นดู โอ้ว์ ไอคิวกรู134 เลยเหรอ ถ้าจัดตามระดับไอคิวเกือบอัจฉริยะแล้ว อัจฉริยะคือ 140+
แต่เรื่องตัวเลขกรูง่อยมากเลยว่ะ แต่เก่งเรื่องอื่น มิน่าดนตรีก็เรียนรู้เร็ว หรือ ประวัติศาสตร์ การเมือง วิทย์ หรือ สมองประมวลเส้นทางถนนยังกะกูเกิลแม๊พ แต่เรื่องคำนวนกูนี่ง่อยสัส ได้ดาวเดียว5555+
140 ขึ้นไป อัจฉริยะ ฉลาดมากที่สุด (very superior)
120 - 139 ฉลาดมาก (superior)
110 - 119 ฉลาดกว่าระดับปกติ (higher average)
90 - 109 ฉลาดปานกลาง หรือระดับปกติ (average)
80 -89 ต่ำกว่าปกติ (low average)
ล้มเจ้า = คนชั่ว?
ผมชื่นชอบการมีอยู่ของระบบกษัตริย์ เรียกได้ว่าหลงไหลเลยดีกว่า ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับเจ้าตั้งแต่เด็ก จำได้ทุกราชสกุล รู้จักและอธิบายได้ทุกอิศริยยศ ใครลูกใคร พระมเหสีเทวีองค์ไหนผมจำได้หมด รู้จักเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกตระกูล ผมใช้คำราชาศัพท์คล่องแคล่วและเคยแข่งแฟนพันธุ์แท้รัชกาลที่ 6 ด้วย
เรียกได้ว่าถ้ายกชื่อเจ้านายมา 2 พระองค์ ผมสามารถเชื่อมโยงได้เลยว่าทรงเป็นพระประยูรญาติกันทางไหน
ผมมั่นใจว่าความรู้เรื่องราชวงศ์จักรีผมไม่แพ้ใคร
แต่ถึงผมจะชื่นชอบระบอบกษัตริย์ ผมก็ไม่เคยคิดว่าคนที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์คือคนชั่วคนเลว
ในโลกนี้ บางประเทศเป็นประชาธิปไตย บางประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ บางประเทศเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หลายประเทศถึงแม้จะมีกษัตริย์แต่แนวคิดกษัตริย์ของแต่ละประเทศก็ยังไม่เหมือนกันเลยสักประเทศ
อังกฤษก็แบบนึง ญี่ปุ่นก็แบบนึง ตองกาก็แบบนึง และก็ไม่มีประเทศไหนเหมือนไทยสักนิด
แต่ตอนนี้เรากลับเอาความเป็นไทยไปตัดสิน “ความเป็นมนุษย์” ของคนอื่นที่มีความคิดเห็นต่างจากเรา
ไปตัดสินคนอื่นว่าชั่ว ว่าเลวโดยไม่เคยคิดที่จะรับฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
เอาความคิดแบบไทยๆ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ใครคิดต่างจากนี้คือคนไม่รักเจ้าทั้งหมดและสมควรถูกตัดหัวเสียบประจานประหาร 7 ชั่วโคตร ไม่สนด้วยว่าคิดต่างมากหรือต่างน้อย
โดยลืมไปว่า ถ้าเอาคำว่า “ประเทศ” ออกไป แท้ที่จริงทุกคนคือ “มนุษย์บนโลกเดียวกัน” และยังเป็นมนุษย์โลกที่มีความเชื่อหลากหลายด้วย
นี่กะจะให้ใครที่ไม่รักเจ้าแบบไทย ก็คือคนชั่วหมดงั้นหรือ?
แถมในประวัติศาสตร์ ทุกประเทศก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองกันหมด ในสมัยหนึ่งระบอบหนึ่งก็ดี แต่ในสมัยหนึ่งระบอบนี้กลับใช้ไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่มีระบบไหนดีหรือเลวในตัวมันเองหรอก
แต่มันอยู่ที่ว่า ในประเทศนั้นระบอบไหนเป็นฝ่ายชนะต่างหาก
และยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าประเทศใดจะปกครองแบบไหนก็ตาม คนในประเทศเองก็ยังมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ชอบและไม่ชอบ ก็เพราะทุกคนคือ “มนุษย์” ไง มนุษย์ที่มีความหลากหลายทางความคิด
เขามีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์เชื่อ และมีสิทธิ์อภิปรายชี้แจงเหตุผลได้ ซึ่งถ้าเราเปิดใจยอมรับ เอาข้อดีข้อเสียมาปรับปรุงแก้ไข ระบอบที่มีอยู่ก็จะมั่นคงแข็งแรงขึ้นไปอีก
แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือการที่คนไทยบางกลุ่มกลับเอาเรื่องการรักเจ้าไม่รักเจ้ามาดิสเครดิตทางการเมือง ใส่ร้ายป้ายสีและปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังกัน
ผมว่า ถ้ายกเอาอัตตาออกไป คนที่โหนเจ้าเพื่อมาใส่ร้ายคนอื่นนี่แหละ...
คือคนชั่วในฐานะความเป็น “มนุษย์” อย่างแท้จริง
การปฎิวัติ2475 เกิดขึ้นเพราะ กระแสเศรษฐกิจตกต่ำ ทั่วโลก นี่คือภายนอก แต่ภายในก็มีปัญหา ปัญญาชนได้เรียนมาจากต่างประเทศ กลับต้องมาอยู่ในระบบที่ไม่ให้แสดงความคิดเห็น และใช้ความรู้ ทั้งทหาร ทั้งพลเมือง ทั้งประชาชน จึงรวมตัวกันปฎิวัติ 2475 ในนามคณะราษฎร ซึ่งแบ่งเป็นสาม กลุ่มใหญ่ คือ สายพลเรือนสังคมนิยม สายทหาร และสายเจ้านาย
การรัฐประหารครั้งแรกของไทย ต่างจากครั้งหลังๆ
เพราะเป็นการรัฐประหารเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูฯ2475(เกิดความขัดแย้งกับนายกที่ ฝ่ายเจ้านายแต่งตั้งมา) ไม่ใช่รัฐประหารเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญเหมือนสมัยหลัง
จอมพล ป. หนึ่งในคณะราษฎร ได้อำนาจหลังมีบทบาทเด่นในการปราบ กบฎบวรเดช ซึ่งนำโดยเจ้านาย
หลังจากนั้น ฝ่ายเจ้าหลายคนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ
พอสงครามโลกครั้งที่2จบลง จอมพล ป. ถูกมองว่าเข้าร่วมกับญี่ปุ่น ทรยศชาติ ปรีดีพนมยงค์ หนึ่งในคณะราฎ ได้หน้าแทน เพราะก่อตั้งเสรีไทย นี่คือความขัดแย้งหลัก ในคณะราษฎร
กลุ่มอนุรักษ์นิยม กลับมามีอำนาจหลัง รัฐประหาร2490 การสวรรคตของ ร8. ถูกพรรค ประชาธิปัตย์ ใช้ใส่ความว่า ปรีดี ต้องรับผิดชอบ ปรีดีจึงถูกทำลาย ออกไปนอกประเทศ
จอมพล ป. ถูกเชิญให้มาเป็นนายก แต่ไร้อำนาจกำลังทหารเหมือนเก่า
การทะเลาะเบาะแว้งกันเองของ สองผู้นำคณะราษฎร คือจุดเสื่อมของ ฝ่ายเสรี ประชาธิปไตยไทย
หลังการรัฐประหาร 2500 จอมพล จอมพลสฤษดิ์ ทำเพราะบอกว่า การเลือกตั้ง สมัยนั้นสกปรก เพราะ พรรคของ จอมพล ป. ชนะ. "ปฎิรูปก่อนเลือกตั้ง" มีคนพูดมาในยุคนั้นแล้วครับ ไม่ใช่เพิ่งมาอ้างในยุคเรา นักศึกษาในยุคที่ไร้internet ในยุคนั้นก็หลงเชื่อคำของจอมพลสฤษดิ์ ไปร่วมมือกันโจมตี จอมพล ป.
หลังการรัฐประหาร 2500 จอมพล ป. ต้องออกไปนอกประเทศ และอยู่ที่ญี่ปุ่นจนหมดอายุขัย นี่คือจุดจบของคณะราษฎร และหลังจากนั้น ประชาธิปไตยไทยก็ค่อยๆถูกทำลายเรื่อยมา วาทกรรม เหยียดหยาม ประชาธิปไตยเริ่มถูกผลิตขึ้น
อนึ่ง ก่อน จะมาถึง2500 มันคือยุคสงครามเย็น อเมริกา ไม่ชอบที่ จอมพล ป. กับฝ่ายสังคมนิยมของปรีดี แสดงความเห็นใจ ฝ่ายสังคมนิยม เช่นจีน เวียดนาม แต่ จอมพลสฤษดิ์ ยินดี รับใช้อเมริกา ถึงแม้ว่าต่อหน้าสื่อ จะพูดด่าอเมริกา แต่ลับหลังนี่ ทั้งเงิน ทั้งอาวุธ จากCIA ไหลมาท่วม ฝ่าย คอนเซอร์เวทีฟ ในไทย จึงฟื้นฟูอำนาจ เพราะอเมริกาต้องการเอาไว้ใช้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และนี่คือที่มา ของสนามบินอู่ตะเภาที่เอาไว้ไปทิ้งระเบิดเพื่อนบ้านเราเอง
พอสงครามเย็นจบ อเมริกาถอนกำลังไป ประเทศไทยก็ค่อยๆ หันหน้าจากวิทยาศาสตร์ไปหาไสยศาสตร์
จากที่เคยมีหนังแนวๆอย่าง กาเหล่าที่บางเพลง สมศรี422R โคลนนิ่ง เราก็ไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้นอีก
จากที่เคยเชื่อมั่นในสมัยใหม่ เสรีนิยม เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เราก็วนเวียนกับการรัฐประหาร ไม่รู้จบสิ้น เพราะ อะไร เท่านี้น่าจะรู้คำตอบแล้วนะครับ
เรื่องราวที่ใกล้ปัจจุบันที่สุด สำคัญที่สุด อย่างประวัติศาสตร์ ช่วง2475 - 2516 กลับไม่ได้รับความสนใจ อีกทั้งไม่เคยพูดถึง เหมือนไม่มีตัวตน กลับไปพูดถึงแต่ยุคสุโขมัย-อยุธยา
จุดประสงค์จริงๆของพรรคประชาธิปัตย์ คือทำลายประชาธิปไตย ไม่ใช่ส่งเสริม เป็นการเล่นละครอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย แม้กระทั่งชื่อพรรค ว่าประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตยเลยสักนิดเดียว ประชาธิปไตยจะถูกอ้างถึงจริงๆจากพรรคนี้ก็ต่อเมื่อมีทหารบางคนไม่อยู่ในโอวาท หลังจากนั้น พรรคนี้จะทำทุกอย่าง ตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่เปลือกนอก
พรรคประชาธิปัตย์ คือพรรค อนุรักษณ์นิยม ฝ่ายขวา และได้ประโยชน์เสมอจากการรัฐประหาร เป็นนักแสดงละคร ที่ต้องแสดงเพื่อหลอกเอาใจชาติตะวันตก ไม่ได้อยากแสดงจริงๆ สิ่งที่พรรคนี้เก่งจริงๆคือ การเป็นนักพูดจนลิงหลับ พูดเก่ง แต่ไม่มีนโยบายอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีความคิดริเริ่ม เพราะจะริเริ่มไม่ได้ มันต้องมีคนสั่งเบื้องหลัง
ตอนนี้โลกเรากำลังอยู่ในภาวะที่ทุนนิยมกำลังจนแผลงฤทธิ์อีกครั้ง นั้นคือความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนรวยคนน ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ และขอย้ำว่า "ไม่มีกลไกในตัวมันเองใดๆทั้งสิ้น" ของระบบทุนนิยมที่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำ นี้ ชนชั้นกลาง จะถูกทำลายไปเรื่อยๆ คือจะต้องกลายเป็นคนจน ไม่ก็คนรวย และนี่คือที่มาว่าทำไม ฝ่ายขวาจัดถึงได้กระแสกลับมาอีกครั้ง และพวกฝรั่งผิวขาวถึงพูดหาแต่ hitler
ย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ความเหลื่อมล้ำนี่ก็มหาศาลเหมือนกัน แต่จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็คือ สงครามโลกทั้งสองครั้งต่างหากที่ช่วยแก้ไขความเหลื่อมล้ำ เพราะรัฐบาลตั้งเก็บภาษีคนรวยอย่างหนัก และจัดสวัสดิการสูง แต่พอหลังจากนั้นเป็นตั้งมา เมื่อไม่มีสงคราม หากรัฐใดมีภาษีสูง เอกชนก็หนีไปลงทุนประเทศอื่น ผลลัพธ์ก็คือ ทุกประเทศแข่งันลดภาษีเอาใจนักลงทุน ยิ่งเมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์จบสิ้นไปแล้วหลังสงครามเย็น ฝ่ายทุนนิยมยิ่งไม่มีอะไรต้องเกรงใจใครอีกต่อไป
ไม่มีพรรคการเมืองไหนในไทยพูดเรื่องนี้หรือจะแก้เรื่องนี้อย่างจริงจังเท่าพรรคอนาคตใหม่ ที่ก่อตั้งโดยนายทุนอิสระ พรรคประชาธิปัตย์ คือพรรคนายทุนอนุรักษณ์นิยม ฝ่ายขวา ไม่เคยเห็นหัวประชาชนอยู่แล้ว ฝ่ายทหารที่เกาะกินกับคนพวกนี้ก็ไม่ต่างกัน ทักสินก็คือนายทุนที่ไม่เคยศึกษาประชาธิปไตย แต่ธนาธรไม่ใช่ เขาคือนายทุน ที่ศึกษาการเมืองมาอย่างทะลุปรุโปร่ง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำใมกองเชียร์พรรคนี้มีแต่พวกเบียวๆ นะ
คือผมมาย้อนนั่งฟังเพลง "หนักแผ่นดิน" ตามที่ท่่าน ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์เนี่ย
คือ มันเข้าตัวท่านนายพลทั้งหลายทุกท่อนเนื้อร้องเลยอ่ะครับ ทั้ง
เห็นไทยเป็นทาส (ทหารเกณฑ์ตัดหญ้าแก้ผ้าลุยโคลนรับใช้นายแถมโดนยึดเงินเดือนหลวง)
ฝังทำกินกอบโกยสินไทยไป (สมบัติเป็นร้อยล้านพันล้านรับราชการจนตายก็ไม่มีทางได้)
เหยียดคนไทยเป็นทาส (ไม่ยอมให้เลิกเกณฑ์ทหารไปรับใช้)
ยุยงปลุกปั่นไทยด้วยกันให้แตกกระจาย (สมรู้ร่วมคิดกับทั้งพันธมิตร และสุเทพ ตั้ง กปปส. สารภาพลงข่าว ปาร์ตี้ชุดพรางหลัง รปห.)
ปลุกระดมมวลชนวุ่นวาย หวังคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง (ส่งทั้งหน่วยซีลมาคุ้มกันพุทธอิสระ เปิด IO 2.4 และทีมโซเชียลใส่ร้ายคนไทยด้วยกัน)
หลงชมชาติอื่น ไทยด้วยกันยืนข่มเหง (ยิ้มหวานทำตามจีน ขึ้นภาษีคนไทยทุกหย่อมหญ้า)
ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารไทยกันเอง (ซื้ออาวุธเรือดำน้ำเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้าน คอมมิชชั่นเท่าไร)
คนใดขายตนขายชาติ (ให้สัมปทานเช่าที่ดิน 99 ปี EEC ลดภาษี 13 ปี ยกเว้น VAT อีก)
ฯลฯ
ดังนั้น ผมเห็นด้วยกับท่าน ผบ.ทบ.อย่างสุดใจครับ ว่า
"หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน" จริงๆ
ท่าน ผบ.ทบ.ชี้แนะถูกต้องมองเห็นปัญหาประเทศยาวไกลจริงๆ นับถือครับ
ใครมีโปรแกรมทำซับคาราโอเกะมั่งอ่ะ เพจคาราโอเกะชั้นใต้ดินน่าจะลองใส่ซับดูนะ เข้ากั๊น เข้ากัน
ลุงสนามหลวง หายไปไหน ใครรู้บ้าง (ไม่ผิดห้อง)
หมุดคณะราษฎร์หายไปไหน? ใครรู้บ้าง
ป้าสมจิตรหายไปไหน? ใครรู้บ้าง
ทั้งตัวมันและพ่อมันที่ตายไปแล้ว หนักแผ่นดินทั้งคู่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยากเจอพี่ค่ะ อยากพิสูจน์ว่าของพี่แน่นหนาจริงมั๊ย?
#มิตรสหายท่านเดียวกัน
การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเกมระหว่าง "พ่อของฟ้า" VS อ.อเนก
เพื่อนผมบอกว่า "อเนกพูดอะไรของแม่ง โง่ชิบหาย ขัดกับทุกอย่างที่ตัวเองเคยสอน เสียดายที่หลงอ่านตำราที่คนแบบนี้เขียนมา"
แต่ถ้าเราพิจารณาให้ดี อ.อเนก ไม่ได้โง่ขนาดนั้น แกแค่ทำในสิ่งที่
รู้ว่าทำแล้วได้ประโยชน์สูงสุดในเกมส์นี้
อย่างทฤษฎีที่ผมเคยเสนอไปว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็นสองปีก เอาที่เขาเรียกตัวเองคือ "ฝ่ายผู้รักชาติ" กับ "ฝ่ายประชาธิปไตย" เอาเข้าใจง่ายๆ คือสลิ่มกับแดง อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะดีกรีไปสุดทางขนาดไหน
ในการลงคะแนนครั้งนี้ คนจะเลือกข้างก่อนว่าจะอยู่ข้างไหน จากนั้นค่อยเลือกพรรค
พรรคอย่างเพื่อไทย มีฐานแฟนคลับที่แน่นอน แฟนคลับกลุ่มนี้ไม่มีทางไปเลือกพรรคฝั่งสลิ่ม คนที่อยู่เฉดสลิ่มก็ไม่มีทางเลือกเพื่อไทย ยกเว้นจะคอนเวิร์ด "ตาสว่าง" เสียก่อน
อย่างไรก็ตาม อนาคตใหม่ มีลักษณะพิเศษซึ่งต่างจากเพื่อไทย คือเป็นพรรคที่ดึงคนประเภทที่ไม่สนใจการเมือง คิดว่านักการเมืองเลว ซึ่งอยู่กลางๆค่อนไปทางสลิ่มได้
คิดแบบการตลาด อนาคตใหม่ไปแย่งฐานลูกค้าของพรรคฝ่ายสลิ่ม อย่าง ปชป. ACT พปชร.
ดังนั้นฝ่ายสลิ่มจำเป็นต้องป้องกันการย้ายค่ายของฐานเสียงพวกนี้ วิธีที่ง่ายที่สุดคือพยายามผลักธนาธรให้เป็นควา*แดง ซึ่งสลิ่มไม่มีทางเลือก
ACT เป็นพรรค กปปส. คำพูดของ อเนก ก็เป็นสิ่งที่ฐานสมาชิกอยากฟัง ฟังก์ชั่นของมันคือการปลุก กปปส. ที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้น ออกมาจากศูนย์ปฏิบัติธรรม และพร้อมจะกู้โลกอีกหน
move ของ อ.อเนก กำไรมากๆ คิดว่าอาทิตย์ที่แล้ว มีใครรู้จักบ้างว่า อเนกเป็นใคร? มีพรรค ACT อะไรนี่ด้วยเหรอ
การตอบโต้กลับไปกลับมาระหว่าง อเนก กับ ด้อมฟ้า สร้างการรับรู้ที่มีต่อพรรค ACT ถึงมันจะอยู่ในลักษณะตั้งรับ คือแค่กระตุ้นกลุ่มสมาชิกเดิมให้ตื่นขึ้น ไม่ได้สร้างสมาชิกใหม่ได้เพิ่ม แต่ก็เป็นคะแนนด้านบวกของ ACT
ในทางเดียวกัน ฝ่ายอนาคตใหม่ (Future Forward Party FFP) ก็ได้กำไรจากการตั้งรับการโจมตีของอเนก ด้อมฟ้าแข็งแกร่งขึ้น ได้แย่งชิงพื้นที่สื่อ และได้สร้างการรับรู้ที่มีต่อ FFP (ติ่งกับโอตะมันก็เหมือนแป้งบะหมี่อ่ะ ยิ่งด่ายิ่งนวดยิ่งแน่น)
เป็นการโจมตีกันที่ผลท้ายสุดแล้วเป็น win-win condition ในตลาดการเมือง ทั้ง FFP และ ACT ซึ่งเป็นพรรครองสำหรับเกมนี้ได้ทั้งพื้นที่สื่อและผู้สนับสนุนเพิ่มทั้งคู่ ประมาณเล่นโกะแล้วเมื่ออีกฝ่ายรับ เราตอบโต้ แล้วเติบโตจากกลุ่มเล็กเป็นกลุ่มใหญ่ทั้งสองฝ่าย
คำถามคือนับแต้มจริงๆแล้ว ฝ่ายไหนโกยแต้มได้เยอะกว่ากัน?
ผมเชื่อว่า FFP ค่อนข้างได้เปรียบ
เพราะ ACT เป็นการได้คะแนนเชิงรับ คือปลุกคะแนนเก่าของตัวเองกลับมา ซึ่งผมเชื่อว่าถึงไม่ทำอะไรเลย พอถึงวันเลือกตั้งอย่างไรพวกนี้ก็จะออกมาจากศูนย์ปฏิบัติธรรมแบบงงๆ เหมือนมาจากปี 2557 ถามเพื่อนว่าต้องเลือกใคร แล้วไปกาให้ลุงตู่อยู่ดี
แต่ FFP ดึงคะแนนที่ควรจะเป็นของฝ่ายตรงข้ามมา
วินาทีนี้เมื่อ ทษช. ยังไงก็น่าจะรอดยาก ชัยชนะของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" อยู่ที่ว่า FFP กับ เสรีรวมไทย ได้คะแนนเยอะขนาดไหน เนื่องจากเพื่อไทยส่งไม่ครบทุกเขต และน่าจะยากมากที่จะได้ปาร์ตีลิสม์เพราะจากกฏิกาของรัฐธรรมนูญนี้ (ส่วนประชาชาตินั้นมีคะแนนที่แน่นอนไม่เพิ่มไม่ลด)
ความหวือหว่าของเกมส์ฝ่ายเพื่อไทยอยู่ที่จะถ่ายคะแนนให้ FFP กับ เสรีรวมไทยยังไงให้พอดี และจะเดินเกมส์ยังไงให้ไม่เสี่ยงสะดุดอะไรเลย
.
.
.
ในสัปดาห์นี้ผมเดาว่าจะย้ายจากพรรครองตีกัน เป็นเกมส์ ทหาร VS เพื่อไทย ในเรื่องงบทหาร
วิธีคิดเหมือนเดิม คือฝ่ายทหารใช้วิธีปลุกสลิ่มฮาร์ทคอร์ให้ตื่นขึ้นมา และสร้างความไม่พอใจในฝ่ายขวาจัด
แต่งบทหารเนี่ย มันไม่ทำให้ใครได้ประโยชน์เลยนอกจากนายพล ดังนั้นเมื่อพิจารณาดีๆในเชิงการเมืองเลือกตั้งมันเป็น Move ที่ยิ่งเดินยิ่งช่วยโฆษณาให้ฝั่งตรงข้ามว่า "จะลดงบทหารนะ" เป็น thank you move
พวกนักการเมืองเพื่อไทยเห็นแล้วว่าเป็นโอกาส ทุกคนแย่งกันออกสื่อตอบโต้เกาะประเด็นนี้กันใหญ่
เดี๋ยวพรรคอื่นๆ จะต้องมาช่วยกระทืบชูนโยบายลดงบทหารขอแต้มด้วยแน่นอน
ยกเว้นจะบิ้วท์มาเพื่อชวนนายพลรัฐประหารอ่ะนะครับ อาจจะได้อยู่
ป.ล. เอ้อ แต่วิธีด่าสาดใส่ตัวคนแบบนี้ของ อ.อเนก มันอาจผิดกฎของ กกต. ได้นะ ลองไปยื่นรอง กกต. ขำๆไว้ดิครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ช่วงนี้ผมกำลังเรียน approximation algorithms โดยใช้หนังสือเล่มซ้ายมือ จริง ๆ คือ lecture notes Volume I ใช้สอนที่ Stanford เมื่อปี 1991 อ่านแล้วสนุกดีครับ เสียดายไม่มี Volume II เพราะคนแต่งเสียชีวิตไปก่อน
ส่วนเล่มทางขวามือ เป็นเล่มที่คนใช้กันเป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบันครับ ผลิตขึ้นเมื่อปี 2003 ต่างจากอล่มแรกประมาณ 10 ปี เนื้อหาจึงมีส่วนที่ใหม่กว่าเยอะมาก ผมว่าเป็นส่วนใหญ่เลยแหละ ผมตั้งใจว่าจะอ่านเล่มนี้ให้จบก่อนจะหมดก่อนเปิดเทอมใหม่
Approximation algorithms มี applications เยอะไปหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา optimizations ทาง Internet หรือ Human Genome แต่ก็มีหลายส่วนที่เกี่ยวกับ ideas ล้วน ๆ
เท่าที่ผมทราบ ยังไม่มีการสอนวิชานี้อย่างเป็นทางการในมหาวิทยาลัยไทยครับ อาจเป็นเพราะเนื้อหาของมันต้องใช้คณิตศาสตร์มากพอสมควร เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จึงไม่ชอบหรืออาจรับไม่ไหว หรืออาจไม่ทราบเลยก็ได้ว่ามีความรู้อะไรแบบนี้อยู่ด้วยในโลกนี้ครับ คือ ถ้ารู้ว่ามี ก็อาจอยากเรียน
ผมตั้งใจจะเปิดวิชานี้นะ แต่วันก่อนคุยกับหัวหน้าภาค หัวหน้าภาคบอกว่าจะต้องสอนในวิชา selected topic ซึ่งผมไม่ชอบ เพราะใน transcript ไม่ได้บอกว่าเรียนอะไร ผมอยากจะให้มีชื่อวิชา approximation algorithms ไปเลย ต้องรอดู
ถ้าใครชอบอะไรแบบนี้ ผมสนใจรับนักศึกษาปริญญาเอกอยู่นะครับ มีทุนให้ด้วย ติดต่อมาได้
กูชักคิดจริงจังแล้วนะว่าติ่งพรรคส้มมีพวกเบียวๆ เยอะ
People mistakes statistics for rules.
It is just a guidelines.
While you should not assume you are special,
you also should not assume you are normal.
I am Chris.
I like Thai food, just like normal Thai people.
I like Thai music, just like normal Thai people.
Unlike normal Thai people, I hate some Thai traditions.
Unlike normal Thai people, I like programming.
Should I assume that I am special?
Should I assume that I am normal?
Should I assume that I am weird?
Nothing make sense.
In the end, I am "Chris".
Some of my behaviour, life condition and preferences, going to be somewhere at the top of the bell-curve.
Some of my behaviour, life condition and preferences, going to be somewhere at tail of the bell-curve.
So, I can use statistics to determine some of my life choices.
So, I cannot use statistics to determine some of my life choices.
Then what?
Know yourself.
You can read guideline, statistics and principles all you want.
Some of those can be applied to your lives.
Some of those can't.
But which?
Can anybody answer this question?
Can anyone create rules or principle for me?
Can anyone use statistics calculation to determine which statistics can be apply to me personally?
The answer lies within.
ถาม : อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์
ตอบ : ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ดราม่า #อนาคตใหม่ คืองี้นะ ไหนๆ ก็ไหนๆละ จะเล่าที่มาให้ฟัง
1) ก่อนมันจะมาเป็นพรรคฟ้ารักพ่อที่ดูดีที่เธอเชียร์ได้ มันเริ่มมาจากความอยากทำ platform ทางการเมืองที่ใครๆ ก็มีส่วนร่วมได้และใส่ใจเรื่อง inclusive มากๆ เลยมีทั้งคนพิการ เด็ก คนอยู่ร่วมกับhiv คนทำงานสังคม มารวมกัน
2) ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นได้จากไฟจากความตั้งใจของคนที่จะทำล้วนๆ เป็นงารอาสาลงแรงฟรีส่วนมาก ก็ลากเข็นจนเปิดตัว อะไรต่างๆ ไปได้ จาก 24 ก็ถึงเวลาขยายเป็น 500 เพื่อให้ตั้งพรรคได้ตามกฎหมายระบุ
3) ช่วงขยายตัว คือมันเริ่มดังแล้วไง ตอนแรกอะไอเดียมันดูเป็นไปไม่ได้ พวกผู้ใหญ่ๆ เลยยังไม่ออกหน้ามาจับ พอดังแล้วคนเลยอยากเข้ามาช่วยเยอะขึ้น ความหลากหลายระดับ mass เข้ามา และก็เริ่มจัดระเบียบองค์กรให้มีฝ่าย มี พนง ประจำ มีกรรมการ เป็นเรื่องเป็นราวไป
4) ทีนี้พรรคมีคนสองแบบนะ อย่างแรกคือคนทำงานกึ่งอาสา (เช่นทีมนโยบาย ที่เค้าเอาเวลาไปทำมาหากินรวยกว่า) กับลูกจ้างพรรค (ที่อยู่ได้จากเงินเดือนของพรรคเช่นงานธุรการ งานสื่ออินเฮาส์)
5) คำว่าสมาชิกพรรค หมายถึง "ใครก็ได้" ที่สมัครสมาชิกพรรคเข้ามาทางเว็บไซต์ ทุกคนได้สิทธิทำ primary vote ในพรรคหมด ดังนั้รเวลาสื่อพูดถึงสมาชิกพรรค สถานะสมาชิกมันใครๆ ก็เป็นได้ มันไม่ต้องสอบเข้า
6) คือมันเริ่มมาจากความอยากให้ใครก็ได้มารวมกัน และมีกลไกกลางในการคานอำนาจ แต่ไปๆ มาๆ เข้าใจว่าปฏิบัติได้ยาก ทิศทางเลยจะเปลี่ยนจาก เปิดและขนาน ไปเป็นบนลงล่างตามสายงานเพื่อให้คุมได้รับมือกับดราม่าได้ ประเด็นคือ อีคนที่เข้ามาลงแรงเกือบฟรีเพราะการทำงานแนวขนาน ก็จะเซ็งกันไป
7) พรรคต้องยอมรับว่า "เริ่ม" กับ "ขยาย" ด้วยสปิริตคนละแบบจริงๆ คนที่เริ่มมันเริ่มแบบ อบากให้เป็นพรรคของคนธรรมดามากๆ พรรคที่ไม่ต้องเก๊ก เชื่อว่า ปชช แยกแยะได้ กับอีกสายคือจัดตั้ง คุมได้ และเชื่อในการทำให้พรรคมีความเป็นสถาบัน ซึ่งอย่างหลัง dominate พรรคอยู่
(มีต่อ)
(ต่อจาก >>933 )
8) พอสปิริตมันปรับไปสู่สปิริตองค์กร คนที่ก่อตั้งหรือเข้ามาด้วยสปิริตแบบที่เชื่อในความเป็นคนธรรมดา ก็โดนทอดทิ้งโดยการเติบโตของพรรคโดยพฤตินัย และ internal relationship มันก็ถูกรันโดยลูกจ้างพรรค ซึ่งพวกนี้โนสนโนแคร์ว่าใครจะทำอะไรมา เค้าสนแค่หน้าที่ตัวเองกับได้เงินเดือนต่อก่พอ
9) จึงไม่ต้องแปลกใจที่ transition ในช่วงนี้ของ #อนาคตใหม่ จะเขี่ยคนที่ดูมีปัญหาออกแบบเอาดีเข้าตัว และเอาใจแฟนคลับ คือฝ่ายที่ทำหน้าที่นี้เค้าก็ทำตามหน้าที่จริงๆ ให้ public relationship ดูดีที่สุด ถึงมันจะค้านสายตาคนเคยทำงานด้วยกันข้างในก็ตาม
10) และคิดว่า #อนาคตใหม่ ก็จะเจออะไรประมาณนี้ไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือสปิริตของคนประเภทเดียวกันอยู่ข้างในพรรค
สต้าทอัพเยอะแยะที่ไล่ผู้ก่อตั้งออกเพราะมันไปกันไม่ได้ตอนขยายองค์กร อยู่ที่เหตุผลในการไล่ มีความเป็นคนขนาดไหน แค่นั้น จบ
สุดท้ายจริงๆ : ทฤษฏีแก๊งกาณฑ์ เป็นหนึ่งในข้ออ้างที่ใช้ไล่เด็กๆ ออกแม้อีเด็กคนนั้นจะไม่เคยคุยกับกาณฑ์ก็ตาม :)
มันมีศาสตร์ของการไล่ออกอยู่ คนทำธุรกิจน่าจะคุ้นเคย แต่นักเรียนน่าจะไม่คุ้น
การเมืองเนี่ยมีหลายเวล มีทั้ง ประเทศ<>ประเทศ / พรรค<>พรรค / คน<>คน ในพรรคเดียวกัน ประมานนี้
คือนี่โอเคกับการปรับตัวเพื่อให้องค์กรอยู่รอด แต่นี่จะไม่โอเคกับมโนธรรมในการไล่ออก ด้วยเหตุผลที่เหี้ย หรือมีเหตุผลที่ดีได้มากกว่านี้
เพราะคนที่คุณไล่ออกไม่ใช่ลูกจ้าง และเขาเข้ามาลงแรงให้ฟรี ให้คุณเกาะเค้าดังฟรี ในวันที่คุณยังไม่มีอะไรเลย
ในวันที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ความน่าเชื่อถือหรือความเป็นไปได้ ไม่มีแม้แต่คนดังๆ คนมีเครดิตที่พร้อมออกหน้ามาสนับสนุน คนบ้าที่ออกหน้าเอาชื่อตัวเองมา "ตั้งพรรค" ทั้งที่ไม่รู้จักตื้นลึกหนาบางของคุณ มันต้องเป็นคนที่มีฝันหรือเหลืออดกับชีวิตของเค้าขนาดไหน
ลูกจ้างพรรคคงไม่เกท แต่เราคิดว่าคนที่ลงแรงมาด้วยกันเกท ทำไรได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง เป็น remark จากเราละกันว่าแอบดูการพัฒนาของพรรคอยู่
ทำพรรคมันยากตรงที่ มีลูกจ้าง กับมีอาสา แอดติจูดในการประคับประคองความสัมพันธ์ สื่อสารให้เข้าใจกัน สำคัญอะ ที่ผ่านมามันยุ่งมั้ง เลยไม่ทำ
ไว้ทวิตหน้าจะเล่าเรื่องฟังก์ชันของ ส่วนการเมือง (ฝ่ายเก็บคะแนนเสียงและทำหน้าที่ในสภา) กับส่วนบริหาร (หลังบ้านของฝ่ายแรก) ที่ต้องซิ้งกัน คือพรรคการเมืองเป็นองค์กรที่โครงสร้างไม่เหมือนบริษัท ไม่เหมือนเอนจีโอ สนุก
สรุป : พรรคอะจะไล่ใครออกก็ได้ แต่เหตุผลในการไล่ออกมันสะท้อนความ attitude ของทีมงานนาจา
สื่อสารไม่เหมาะสม จึงมีมติให้พักจากการเป็น representative ของพรรค = ได้
เป็นพวกเดียวกับที่ถูกไล่ออกไปก่อนหน้านี้ = เหี้ย
ไม่นับว่าไอ้ที่ถูกไล่ออกไปก่อนหน้านี้มันยังเรื่องไม่จบ มีพล็อตทวิสต์ได้อีกนะเค้าแค่ไม่พูดเพราะไม่อยากทำลายพรรคมากกว่านี้
ถ้าทีมงานมีปัญญา ก็ไม่ควรเอามาโยงกัน สื่อสารไม่เหมาะสม ก็สื่อสารไม่เหมาะสม อย่าเก๊กไปนอกเรื่อง มันตลก
จากที่ยังเมตตาเอ็นดู จะเป็นหมั่นไส้ละ
เอาจริงก็ยังแอบเชียร์อนาคตใหม่อยู่ เป็น love-hate relationship
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จริงๆ ฝ่ายขวาไทยไม่ได้โง่ พวกเขาแค่อยู่ในภาวะที่ไม่ต้องใช้สติปัญญามานาน มันเลยไม่พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
คือนี่ซีเรียส ไปดูฝ่ายขวาในโลกตะวันตก มันมีพัฒนาการทางความคิดกว่าเยอะ (แม้ว่าฝ่ายซ้ายจะว่ายังไง) ซึ่งเหตผลคือมันก็อยู่ในสังคมที่มีการถกเถียงตลอด คือมันพูดโง่โดยสิ้นเชิงเลย พวกเดียวกันมันก็ไม่หนุน ไอเดียมันเลยพัฒนาไปเรื่อยๆ
ในด้านตรงข้าม สังคมไทยมันอยู่ใต้แนวคิด "อำนาจนิยมของผู้ใหญ่" (ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ศาสนาประจำชาติจะเป็นนิกาย "เถรวาท" หรือ วาทะของผู้ใหญ่) มาตลอด มันเลยทำให้คนแก่ออกมาพูดจาโง่ๆ ในมาตรฐานปัจจุบันได้อย่างไม่น่าละอาย
ผมถึงยืนยันตลอดว่า "ความขบถต่อผู้ใหญ่" แม่งสำคัญที่สุด มันไม่ใช่เรื่อย General แบบการเชิดชูเหตุผล แต่เราต้องเชิดชู (ไม่ใช่แค่ "ให้พื้นที่") คนที่ขบถอย่างมีเหตุผลเป็นพิเศษ และให้โอกาสคนที่ขบถอย่างโง่ๆ พัฒนาตัวเอง
พูดอีกแบบคือเราต้องทำให้ผุ้ที่ "มีอำนาจ" ในการควบคุมภาวะทางกายภาพของผู้อื่นมันไร้อำนาจ ด้วยการไม่ปฏิบัติตาม เท่านั้นเองจริงๆ
เพราะก็อย่างที่เห็น อำนาจแทบทั้งหมดในสังคมเราแม่งอยู่บนฐานของการเกรงใจยอมทำตามเท่านั้นเอง มันไม่ได้มีกลไกอื่นๆ หนุน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ฝั่งซ้ายถ้าได้อำนาจหรือได้เปลี่ยนแปลงจนเป็นที่ต้องการแล้ว ก็จะใช้อำนาจรักษามันไว้
พวกนี้ก็จะค่อยๆ กลายเป็นคอนเซอร์เวทีฟตามกรอบที่ตัวเองขีดไว้ จนกลายเป็นซ้าย
ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แล้วรับแบบสมัครใจ คงได้แต่ลูกคนจนๆไป ลูกคนรวยๆอย่าหวัง นี่หรือเท่าเทียมกัน #อนาคตดับ
เห็นสถานะมิตรท่านหนึ่งแล้วนึกบางอย่าง
ประมาณปีที่แล้วผมไปร่วมงาน How to give feed back ของ Thoughtwork ซึ่งก็มีกลยุทธ์และวิธีสื่อสารหลายอย่าง ได้ประโยชน์มากทีเดียว
แต่เบสิคอันนึงที่ผมจะบอก เรียกว่าพื้นกว่า 101 เลยก็ได้คือ
“In order to give a feedback, you need to listen to feedback”
ผมพบว่า ถ้าเราฟังคู่สนทนาก่อน ต่อให้เราให้ฟีดแบ็คไม่ค่อยถูกวิธี เขาก็มักจะฟังเรา กระบวนท่าไม่ถูกก็มักจะไม่ถือสามากมายนัก
ตรงข้าม ถ้าเราไม่ยอมฟังคู่สนทนา กระบวนท่าไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่
ไม่ได้บอกว่าถ้าเราฟังเขา เขาจะฟังเรา เราฟังเขา อาจจะฟังหรือไม่ฟังเราก็ได้
แต่ถ้าเราไม่ฟังเขา เขาไม่ฟังเราเกือบจะแน่นอน
และถ้าเราคิดว่าอีกฝั่งจะ Bullshiting เรา เสียเวลาฟัง ผมว่าคุณไม่ต้อง Feedback เขาหรอกครับ เสียเวลาพูด คนที่ไม่มีค่าพอที่เราจะฟัง ก็มิได้มีค่าพอที่เราจะสนทนาพูดจาด้วยเช่นกัน
ถ้าจะทำ one-way แนะนำเขียน อีเมล์ จดหมาย message จะง่ายกว่านะครับ สนทนาหนึ่งฝั่งมันครึ่งๆ กลางๆ หรือเรียกมา “รับคำสั่ง” ก็ได้ครับ ถ้าไม่ถนัดเขียน หรือสั่งไม่ได้ ก็ต่อรอง ยื่นข้อเสนอ ถามแค่ “ตกลงจะเอาหรือไม่เอา” แค่นี้พอ
BRIEF: เอกชัย หงส์กังวาน บุกไปกองทัพบก เปิดเพลง ‘ประเทศกูมี’ ให้ทหารฟัง ถูกยึดตุ๊กตาหมีที่ใช้จำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา
.
กระแสคัดค้านการเปิดเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดนี้ นักกิจกรรมทางการเมือง เอกชัย หงส์กังวาน ได้เดินทางไปหน้ากองบัญชาการกองทัพบก เพื่อเปิดเพลง ‘ประเทศกูมี’ โต้ตอบ ผบ.ทบ.
.
เฟซบุ๊กของนักข่าวสายทหาร วาสนา นาน่วม ระบุเอาไว้ว่า เอกชัยได้เดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพบก นอกจากเปิดเพลง ประเทศกูมี ที่ด้านหน้าแล้ว เขายังนำตุ๊กตาหมีมาจำลองแขวนคอจากเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519
.
อย่างไรก็ดี วาสนา รายงานด้วยว่า ระหว่างนั้นได้มีตำรวจเข้ามาห้ามเอกชัย พร้อมกับยึดตุ๊กตาหมี และเชิญตัวเอกชัยไปที่ สน.นางเลิ้ง
.
เพลงประเทศกูมีที่เอกชัย นำมาเปิด เป็นผลงานของแร็ปเปอร์กลุ่ม Rap Against Dictatorship (RAD) ซึ่งในบทเพลงพูดถึงปัญหาในประเทศไทยหลายยัง ทั้งสังคม การเมือง และจุดยืนของกองทัพที่เข้ามาฉีกรัฐธรรมนูญ
.
เอกชัย เป็นนักกิจกรรมและเคลื่อนไหวเรื่องทางการเมืองอยู่หลายครั้ง ก่อนหน้านี้เคยเคลื่อนไหวประท้วงรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากกรณีนาฬิกาหรูอยู่หลายครั้ง
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/WassanaJournalist/posts/2193168094074970
https://www.youtube.com/watch?v=VZvzvLiGUtw
https://prachatai.com/journal/2018/03/75718
#Brief #TheMATTER
ความเชื่อสาธารณะหลายอย่าง มันไม่หมดไปง่ายๆ หรอก ตราบใดก็ตามที่ยังมีคน reinforce ความเชื่อนั้นๆ ให้กับสาธารณะ ไปเรื่อยๆ .....
ความเชื่อสาธารณะเหล่านั้น ไม่ได้ผิดซะทีเดียว แต่มันมักจะเป็น "ปลายเหตุ" หรือ "มีกรณีที่มันถูกและเป็นแบบนั้น" หรือ "คิดง่ายๆ แล้วมันก็ใช่" คนก็เลยเชื่อกันง่าย
ไม่แปลกหรอก เป็นพื้นฐานปกติของความคิดและความเชื่อของคนด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างก็คือ การที่บอกว่า "บิล เกตส์, สตีฟ จ๊อบ, มาร์ค ซักฯ เรียนไม่จบ ก็ประสบความสำเร็จได้" ... ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาเลือกที่จะไม่เรียนต่อในมหาลัย ไม่ได้แปลว่าเรียนไม่จบ (คือเลือกที่จะเรียน แต่ไม่จบสักที หรือไม่สามารถจบได้)
และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย (ประชาธิปไตย การเมือง วิทยาศาสตร์ ไอที การศึกษา ฯลฯ)
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมได้ยินมานานแล้ว และทุกวันนี้ก็ยังมีคนคิดแบบนี้เชื่อแบบนี้อยู่ ก็คือ "วิศวะคอมฯ เรียนฮาร์ดแวร์ วิทยาคอม เรียนซอฟต์แวร์" (คนที่เชื่อแบบนี้และพูดแบบนี้ บางคนเป็นอาจารย์มหาลัยด้วยซ้ำไป) .... ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีความแตกต่างกันแบบนั้นเลยสักนิด
หลายที่ ก็ไม่ได้ชื่อต่างกัน เพราะมันต่างกันหรอกนะ .... แต่เป็นเรื่องการเมืองและผลประโยชน์หรือแม้แต่ระบบระเบียบในมหาลัยด้วยซ้ำไป (ยกตัวอย่างเช่น: คนที่อยากเปิดหลักสูตร เป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ก็จะเปิด "วิศวะคอม" ไม่ได้ เพราะคณะวิศวะฯ จะโวย ในทางตรงข้ามก็เช่นกัน .... คนที่อยากเปิดอยู่คณะไหน ก็จะชื่อแบบคณะนั้นแหละ .... ส่วนวิชาพื้นฐานที่บอกว่าต้องเรียน หลายที่ก็มาจากระบบการเมืองและผลประโยชน์ของภาควิชาต่างๆ ในคณะนั้นๆ เอง)
ถ้าจะดูที่ปรัชญา มันก็ไม่ได้ต่างกันที่ความเป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ แต่เป็นการศึกษาความจริงของธรรมชาติ ในเชิง computational (ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของปัญหา ธรรมชาติของโครงสร้าง ธรรมชาติของข้อมูล .... และเราทำอะไรกับมันได้บ้าง) .... กับการสร้างของอย่างเป็นกิจลักษณะ (กระบวนการ การบริหารจัดการ รูปแบบการสร้าง ฯลฯ)
ตัวอย่าง เช่น "information" .... มองแบบ science ก็คือ ธรรมชาติของ information ตั้งแต่นิยามพื้นฐาน ไปจนถึงธรรมชาติของมันอันเกิดจากนิยามพื้นฐาน .... มองแบบ engineering ก็คือ กระบวนการประมวลผล เครื่องมือประมวลผล การสร้าง การเปลี่ยนแปลง การบริหารจัดการ pipeline ฯลฯ ....
อะไรแบบนี้แหละ
แต่นั่นล่ะครับ มันยากกว่าการคิดอะไรง่ายๆ ไปตามความเชื่อสาธารณะ (ที่เราอาจจะรู้สึกว่าเราถูกแล้ว เพราะคิดเหมือนกับคนอื่นที่คิดตามความเชื่อสาธารณะเหมือนกับเรา)
ตามข่าว #ดอมฟ้าปะทะคนแก่ตกยุค แล้วนึกถึงนิยายปัวโรต์เล่มโปรด One, Two, Buckle my Shoe
นิยายปี 1941 ของราชินีสืบสวนสอบสวนเล่มนี้มีประเด็นการเมืองมากกว่าเล่มอื่น ซ้ายหัวก้าวหน้า vs ขวาอนุรักษ์นิยม
เป็นที่รู้กันว่าคริสตีเป็นนักเขียนอนุรักษ์นิยม และนิยายนักสืบแบบของเธอ ก็เป็นฌองที่เอียงขวาตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ดี คริสตีแทบไม่เคยเขียนถึงการเมืองตรงๆ และแทบไม่เคยด่าฝ่ายซ้าย หรือโจมตีคอมมิวนิสต์ในงานเขียน
ใน One, Two, Buckly my Shoe หมอฟันของปัวโรต์โดนยิงตาย ใครคือฆาตกร
แน่นอนว่ายอดนักสืบต้องจับผู้ร้ายได้อยู่แล้ว ไม่สปอยรายละเอียดคดี แต่สิ่งที่ตรึงใจมากๆ คือคำพูดสุดท้ายของปัวโรต์ เมื่อเขายอมรับ "ความพ่ายแพ้" บางอย่าง
"The world is yours, the new heaven and the new earth. In your new world, my children, let there be freedom, and let there be pity...That is all I ask." / "โลกใบนี้เป็นของพวกเธอแล้ว ทั้งผืนพิภพและท้องนภา หนุ่มสาวเอ๋ย ขอให้โลกใบใหม่นี้มีอิสรภาพ และก็ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจกันด้วย...ผมขอพวกเธอเพียงเท่านี้"
ชอบความกำกวมของประโยคนี้ ปัวโรต์ (และคริสตี) ฉลาดเกินกว่าจะเชื่อว่าพวกเขาสามารถหยุดโลกไว้นิ่งๆ และสิ่งเดียวที่คนตกยุคเช่นพวกเขาจะทำได้คือ อวยชัยให้คนหนุ่มสาว และร้องขอความเห็นอกเห็นใจ
เราไม่ได้ต่อต้านฝ่ายขวาหรือผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคน ผู้ใหญ่ที่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง รับรู้ข้อจำกัดตัวเอง และไม่เคยหยุดเรียนรู้จะมีเสน่ห์สำหรับเราเสมอ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รู้หมือไร่!!??
การที่มนุษย์คนนึงเกิดขึ้นมาบนโลกและตายจากไป ไม่สามารถทำให้แผ่นดินหนักขึ้นหรือเบาลงแต่อย่างไร
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น??
"การที่มนุษย์เราแต่ละคนเกิดขึ้นมาได้นั้นก็เพราะ พ่อกับแม่เราปัมปั๊มกันด้วยวิธีที่ไม่ปลอดภัย ในวันที่ไม่ปลอดภัยครับ
ไม่ได้มีนกกระสาคาบมาให้จากสวรรค์ หรือตกมาจากอวกาศ
พอปัมปั๊มกันแล้ว อสุจิของพ่อ ก็ ผสมกับ ไข่ของแม่ เกิดเป็นทารกขึ้นมา
ช่วงที่อยูในท้องทารกก็ได้ส่วนแบ่งอาหารจากที่แม่กินเข้าไปและนำสารอาหารไปสร้างให้ร่างกายมีขนาดใหญ่ขึ้น และพอคลอดออกมาก็กินด้วยปากตัวเอง ซึ่งอาหารที่กินเข้าไปนั้นก็มาจากพืชและสัตว์ที่อยู่บนโลกทั้งสิ้น
นอกจากนี้กากอาหารที่เหลือยังถูกขับถ่ายออกมาและกลับลงสู่ดินและน้ำ รวมถึงซากศพหลังจากตายไปแล้วด้วย
ดังนั้นในภาพรวมก็ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นหรือลดลง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนไทยจำนวนไม่น้อยยังมองว่าตนเองเป็นทาสอยู่
คิดว่าถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้เป็นเรื่องปรกติ
คิดว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทำหน้าที่ก็อย่าไปว่าเขา ว่าตัวเรากันเองดีกว่า
กกต.วางระบบห่วยให้เว็บล่มก็โทษว่าไม่รีบไปลงชื่อกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เอง
กรณีหลังยกตัวอย่างว่ากกตเป็นครู เราเป็นนักเรียนอีก
ทั้งที่จริงมันต้องยกตัวอย่างว่ากกตเป็นเลขา เราเป็นเจ้าของบริษัทต่างหาก
"ชามิมา เบกัม ถูกอังกฤษถอดสัญชาติ"
ชามิมา เบกัมเป็นชาวอังกฤษหนีมาสวามิภักดิ์ ISIS เมื่ออายุ 15 ปี เธอเคยมีลูกสองคนล้วนตายในสงคราม ปัจจุบันอายุ 19 ปี แล้ว วันเสาร์ที่ผ่านมาพึ่งคลอดลูกคนที่สามในค่ายลี้ภัยของเคิร์ด
เธอเป็นคนท้ายๆ ที่ยอมแพ้ต่อทัพเคิร์ดในช่วงปลายสงคราม และบอกว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อกลับอังกฤษให้ได้ รับปากว่าจะไม่เผยแพร่แนวคิดก่อการร้าย อยากใช้ชีวิตอย่างสงบกับลูก พวกเคิร์ดก็อยากให้เธอไปอังกฤษ เพราะไม่อยากเลี้ยง
อย่างไรก็กระทรวงมหาดไทยอังกฤษกลับพยายามทุกวิถีทางที่จะถอดสัญชาติของเธอ ไม่ยอมให้เธอกลับบ้าน โดยบอกว่า "คนที่ไปสวามิภักดิ์ ISIS นั้นแปลว่าเกลียดอังกฤษมาก เอากลับมาก็มีอันตราย" อนึ่งภายใต้กฎหมายอังกฤษนั้นรัฐบาลสามารถถอนสัญชาติของพลเมืองได้ หากบุคคลนั้นเป็นภัยต่อมวลชน "แต่ในการถอนสัญชาตินั้นต้องไม่ทำให้บุคคลดังกล่าว กลายเป็นคนไร้สัญชาติใดๆ (stateless)"
เอาแล้วสิ จะทำอย่างไรดีล่ะ? เพราะประเทศ ISIS ที่เบกัมไปสวามิภักดิ์นั้นไม่ได้รับการยอมรับจากชาวโลก ทำให้ถือว่าเธอไม่เคยเปลี่ยนสัญชาติมาก่อน
อังกฤษบอกว่าแม่ของเบกัมเป็นชาวบังคลาเทศนะ เบกัมก็เป็นบังคลาเทศไปสิ ...แต่เบกัมบอกว่าฉันไม่เคยไปบังคลาเทศมาก่อน ฉันไม่ใช่บังคลาเทศว้อย! (ส่วนรัฐบาลบังคลาเทศบอกว่าเราไม่รู้จักเธอ ไม่รับว้อย)
เบกัมแต่งกับสามีชาวดัตช์ (เนเธอแลนด์) ที่มาสวามิภักดิ์ ISIS ด้วย เธอจึงบอกว่าเธอจะพยายามขอเป็นพลเมืองดัตซ์ ซึ่งก็ดูไม่มีความหวังนัก...
สุดท้ายแล้วเบกัมร้องทุกข์ว่าการกระทำของอังกฤษนั้น ช่างอยุติธรรมต่ำช้าเสียนี่กระไร ที่พรากเธอออกจากสิทธิพลเมืองอันเป็นความชอบธรรมทางกฎหมาย (อังกฤษบอก ดูผลงานที่ผ่านมาของแกก่อนสิ!)
สำหรับลูกของเบกัมนั้นแตกต่างไป เพราะกฎหมายบอกว่าลูกของชาวอังกฤษที่เกิดขณะยังไม่ถูกถอดสัญชาตินั้นยังถือเป็นคนอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษยากที่จะถอนสัญชาติเด็กคนนี้เพราะเขาไม่เคยทำความผิด (อังกฤษบอก อะไรนะ เด็กอังกฤษมีที่ไหน นี่มันเด็กบังคลาเทศ!)
เอาละสิครับ สรุปเบกัมจะได้เป็นชาวอังกฤษหรือไม่ ลูกของเธอจะเป็นชาวอะไร จะเป็นชาวอังกฤษตามแม่? ชาวดัตช์ตามพ่อ? ชาวบังคลาเทศตามยาย? หรือชาวเคิร์ดตามพื้นที่เกิด? (แต่เคิร์ดก็ยังไม่ได้เป็นประเทศน่ะนะ)
...โนตว่าถึงตอนนี้เบกัมก็ยังไม่ได้ขอโทษแทน ISIS ที่ไปก่อการร้ายสังหารชาวอังกฤษ เธอเพียงบอกว่าเสียใจที่มีชาวอังกฤษบริสุทธิ์ตายจากการก่อการร้าย แต่นั่นก็ยุติธรรมดี เพราะพวกตะวันตกสามานย์ก็มาฆ่าคนบริสุทธิ์ในประเทศ ISIS เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นตามที่ผมบอกว่าคนที่ยอมแพ้ในช่วงนี้เป็นพวกฮาร์ดคอร์สุดๆ ครับ
สุดท้ายฝากลูกเพจคิดว่าควรทำอย่างไรกับเบกัมดี? จะเอากลับมารับโทษทัณฑ์ในอังกฤษ หรือจะปล่อยให้กลายเป็นบุคคลไร้รัฐ แล้วคงเฉาตายอยู่สักที่ในแดนเคิร์ด? แล้วลูกของเธอล่ะ?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
If you choose Sanders over Warren, I will actually think you are sexist, yes.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Wouldn’t choosing Warren over Sanders be antisemetic then?
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เหม็นพวกโม่งการเมืองจังครับ ไม่เข้าใจว่าเค้าจะลอกความคิดที่ได้อ่านจากเฟซหรือทวิตมาโพสซ้ำทำไม
ดูพวกเค้าไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเลยนะครับ
"สังคมสูงอายุ"
เราจะมีวิธีการรับมือกับสังคมสูงอายุอย่างไรดีนะ ...... ผมขอแชร์ความคิดส่วนตัว ว่าผมชอบสิ่งที่ญี่ปุ่นทำ
ถ้าใครไปญี่ปุ่น ลองสังเกตว่าเขามีการ "จ้างงานผู้สูงอายุ" มากมาย เป็นงานที่ "ไม่หนักมาก ไม่ต้องคิดมาก และได้ออกกำลังกาย" เป็นส่วนมาก
ตั้งแต่ที่สนามบิน จะเห็นว่าคนที่บริหารจัดการคิว (เรียกคนไปเข้าคิว) จะเป็นผู้สูงอายุเป็นส่วนมาก คนที่ประจำเครื่องอ่าน passport เป็นผู้สูงอายุทั้งนั้น คุณตาคุณยายได้เลยแหละ
เข้าร้านสะดวกซื้อ ก็มีคุณตาคุณยายทำงานเป็นแคชเชียร์เยอะแยะ
จากรูปนี่ คือคนที่ช่วยโบกรถ ตามสถานที่ท่องเที่ยว (อันนี้คือ Shirakawago) ก็เป็นคุณปู่คุณตากันแทบทั้งนั้นเลย ....
ได้ทำงาน ไม่ใช่รอรับการช่วยเหลืออย่างเดียว .... ได้ออกกำลังกาย ได้เจอเพื่อนฝูง มีสังคม .... และไม่ต้องเปลืองแรงงานของคนรุ่นใหม่ (เด็กๆ อายุน้อยๆ) ที่ทำอย่างอื่นได้ ไปทำงานพวกนี้ .... แล้วก็ได้ใช้สมอง ความคิด การตัดสินใจ ตามสมควร .... ช่วยเรื่องความจำได้อีกตะหาก
BRIEF: นายพลระดับสูงของจีน โดนจำคุกตลอดชีวิตและยึดทรัพย์สิน หลังถูกพบว่า ร่ำรวยแบบไม่มีที่มาที่ไป
.
มาตรการปราบคอร์รัปชั่นของจีน ขึ้นชื่อถึงความโหดและเข้มข้น ล่าสุดนี้ มีกรณีใหม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อนายพลระดับสูงรายหนึ่ง ถูกศาลทหารพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต และยึดทรัพย์สินทั้งหมด จากกรณีร่ำรวยแบบที่ชี้แจงให้ชัดเจนไม่ได้
.
ประเด็นคือ พลเอก ฝาง เฟิงฮุย ซึ่งเป็นอดีตเสนาธิการทหาร ฝ่ายเสนาธิการแห่งคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (CMC) ของจีน เพิ่งถูกศาลทหารตัดสินความผิดหลายอย่าง ส่วนหนึ่งคือ ศาลพบว่า นายพล ฝาง ทำความผิดฐานรับและเสนอสินบน ที่สำคัญคือ ยังครอบครองทรัพย์สินจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยแหล่งที่มาให้ชัดเจนไม่ได้
.
ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตให้กับพลเอก ฝาง รวมถึงยึดทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ในตอนแรกทั้งหมด (ยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดว่าเยอะเท่าไหร่) และส่งคืนเข้ามายังหน่วยงานด้านการคลังส่วนกลาง
.
รัฐบาลจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง มีมาตรการเกี่ยวกับปราบคอร์รัปชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง มีข้อมูลที่พบว่า นับตั้งแต่ปี 2012 มีบุคลากรของกองทัพถูกดำเนินคดีไปแล้วกว่า 1.5 ล้านคนทั้งพลทหารชั้นผู้น้อย ตลอดจนทหารยศสูงในตำแหน่งบริหาร
.
อย่างไรก็ดี คำถามที่มักเกิดขึ้นเสมอคือ แล้วมาตรการปราบคอร์รัปชั่นแบบจีนนั้นจะเป็นโมเดลให้กับประเทศอื่นๆ (รวมถึงไทย) ได้แค่ไหน และวิธีการตามแบบของจีนมีข้อที่ต้องเป็นห่วงกันอย่างไรบ้าง?
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/…/chinas-former-military-chief-…
https://www.reuters.com/…/senior-chinese-general-jailed-for…
https://www.abc.net.au/…/chinese-general-jailed-fo…/10831672
#Brief #TheMATTER
ผมนั่งดูงานเขียนเก่าๆ ของตัวเองที่เขียนเกี่ยวกับสงครามซีเรีย พอเจอข่าวการตายของนายอนัส อัลบาชา แล้วสะท้อนใจ ตั้งแต่ติดตามข่าวสงครามซีเรียมา ยังไม่เคยอ่านเรื่องการตายคนๆ ไหนที่น่าเสียใจเท่านี้เลย เลยเอามาลงอีกครั้งนะครับ
::: ::: :::
"ตัวตลกแห่งอเลปโปถูกฆ่าตาย"
นายอนัส อัลบาชาเป็นนักสงคมสงเคราะห์ในเมืองอเลปโป ประเทศซีเรีย ตอนที่อเลปโปกลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญของสงครามซีเรียนั้น เขาเคยมีโอกาสหนีจากเมืองพร้อมพ่อแม่ แต่อนัสกลับเลือกที่จะรั้งอยู่ในเมืองเพื่อทำงานช่วยเหลือผู้คน
นอกจากงานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ แล้ว อนัสยังเอาสีมาเขียนหน้า แต่งตัวสีฉูดฉาด ใส่วิกอย่างตัวตลก แล้วออกไปแจกของขวัญ และเล่นสนุกกับเด็กๆ ที่ยังติดอยู่ในเมือง
แฟนๆ ตัวน้อยของอนัสขนานนามเขาว่า "ตัวตลกแห่งอเลปโป" ด้วยความรัก
เมื่อสมรภูมิอเลปโปนองเลือดมากขึ้น อนัสยังคงปลอบประโลมพวกเด็กๆ ในสถานการณ์ที่มืดมน และอันตรายที่สุด
จนกระทั่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ (29 พ.ย. 2016) อนัสได้ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดฆ่าตายขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ ทิ้งไว้เพียงเรื่องราวความพยายาม และความปรารถนาดีของคนตัวเล็กๆ ท่ามกลางความบ้าคลั่งในสงคราม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Networking is actually very easy to build. Just hop from event to event and keep talking to people. Trust is much harder to achieve and it takes time for the heart to build one.
คุนเย็ดกับคุนวัฒนาจริงเหรอ555
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จริงค่ะ
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เหม็นพวกโม่งการเมืองจังครับ ไม่เข้าใจว่าเค้าจะลอกความคิดที่ได้อ่านจากเฟซหรือทวิตมาโพสซ้ำทำไม
ดูพวกเค้าไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเลยนะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ฝ่ายนึงมี ประเทศกูมี ฝ่ายนึงมี หนักแผ่นดิน ...เพื่อความปรองดอง ก็ขอรวมเพลงว่า ##ประเทศกูมีคนหนักแผ่นดิน## ก็สิ้นเรื่อง"
#มิตรสหายท่านนึง
หนึ่งในหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผมไปเยอะมาก ..... และเป็นหนังสือที่ทำให้ผมตั้งคำถามเกี่ยวกับ "ชีวิต" ใหม่
เพราะมันฉีก paradigm ความคิดของ carbon-based lifeforms หรือ life as we know it, life as it is ... ลงไปถึงพื้นฐาน นิยาม ว่า ถ้ามันไม่มีพวกนี้อยู่เลย แล้ว "what is life?"
เรียกว่าลงไปตั้งแต่ first principle ....
เนื้อหาน่ะเหรอ ..... computation theory, information theory ...... self-replicating strings/codes ..... statistical physics & thermodynamics ... percolation theory ... complexity and complex systems .... self-organization to criticality .... fitness landscape .... learning .... information propagation .... evolution ...
เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มที่อาจารย์ที่ research group ผม ให้ทำ group study กันในตอนที่ผมเรียนปีสี่ที่มหาลัย
อ่านยากนะ เต็มไปด้วย Math ..... (อธิบายทุกอย่างเป็น Math หมด) .... คือแต่ละเรื่องนี่อาจจะต้องไปอ่านหนังสือเฉพาะทางเพิ่มอีกหลายเล่มกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
คือมัน "intro" ก็จริง แต่มัน intro ด้วยการเอาเรื่อง fundamentals + advanced ของแต่ละเรื่องมาใช้พอควร
ก็อารมณ์เดียวกับ "intro to quantum algorithms" นี่ถึงจะเป็น intro ก็ต้องรู้เรื่อง computation theory, quantum computing, algorithms มาบ้าง ถ้าไม่รู้เลยก็ "ยาก" แหละ
ก็ยังคงเป็นหนังสือที่มีผลกับชีวิตผมมากๆ และมีผลกับความคิดของผมมากๆ จนถึงทุกวันนี้
(นี่ซื้อครั้ง่ที่ 3 .... อ่านขาดคามือไปสองเล่มแล้ว)
>>973 คำว่าทั่วไปของกูหมายถึงว่า ถ้าคนเรียนสาขาเดียวกับมันมันก็เป็นเนื้อหาทั่วไป มึงอย่าคิดว่าถ้าสาขาอื่นไม่ได้เรียนหรือว่ามึงไม่เคยได้ยินแล้วมันจะไม่ใช่เนื้อหาทั่วไป มันก็อารมณ์เดียวกับการที่พวกที่เรียน biochem ได้เรียน crystallography แต่คนฟิลด์อืนที่ไม่ได้เรียนก็จะมองว่ามันไม่ทั่วไปนั้นแหละ ซึงถ้าจะให้พูดสั้นๆ คือ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาอวดหวะ
ตั้งแต่เรียนที่คาสะโxด คอร์สเดียวก็เปลี่ยนชีวิตผม
>>976 รู้จัก humble brag ไหมครับ ชัดๆเลยก็
"อ่านยากนะ เต็มไปด้วย Math ..... (อธิบายทุกอย่างเป็น Math หมด) .... คือแต่ละเรื่องนี่อาจจะต้องไปอ่านหนังสือเฉพาะทางเพิ่มอีกหลายเล่มกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่"
"(นี่ซื้อครั้ง่ที่ 3 .... อ่านขาดคามือไปสองเล่มแล้ว)"
หลังๆกระทู้นี้แม่งมีแต่ quote กลวงๆไม่ก็พวกขายคอร์สขายตรงมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ
pim tai mai dai
Math = เลข !!!
เฮ้ยยย กูเห็นควายด่าคนว่าโง่ว่ะ ฉงนยังฉลาดกว่านี้เลย
คนโง่อวดฉลาดเต็มโม่งเลยว่ะ
“เวลาเห็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย ประเทศไทย ความชาตินิยมของไทย ฯลฯ แล้วถูกหาว่าเป็นพวก 'ชังชาติ' จะนึกถึง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขึ้นมาทุกที
.
เพราะเป็นไปได้ไม่น้อย ที่คุณชายคึกฤทธิ์อาจเป็นคนแรกๆ ที่ถูก 'คนไทย' เหล่านั้นกล่าวหาว่าเป็นพวก 'ชังชาติ' แม้ว่าคุณชายคึกฤทธิ์จะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่ช่วย 'สร้าง' สิ่งที่เรียกว่า 'ความเป็นไทย' ขึ้นมาก็ตามที
.
ตัวอย่างที่จำได้ติดใจเลยก็คือการที่คุณชายคึกฤทธิ์วิจารณ์ตัวละครที่ตัวเองสร้างขึ้น คือ 'แม่พลอย' ที่คนไทยจำนวนมากมองว่าเป็นตัวละครที่เป็นแสนจะเป็นตัวแทนความเป็นไทย
.
เช่นบทสัมภาษณ์ 'คึกฤทธิ์คิดลึก ทศกัณฐ์วรรณกรรม' ใน ถนนหนังสือ 3, 1 กรกฎาคม 2528, หน้า 19 (เสิร์ชในอินเทอร์เน็ตก็พบได้ทั่วไป)
.
"แม่พลอยเป็นคนที่ไม่มีสิทธิของผู้หญิงเลย ไม่เคยเรียกไม่เคยร้อง แล้วแม่พลอยนี่เป็นคนเชยที่สุด คุณจะว่านางเอกก็นางเอก แต่เป็นคนที่เชยที่สุด แม่พลอยถ้าแกอยู่มาจนถึงทุกวันนี้แกก็ลูกเสือชาวบ้าน แกจะไปรำละครบ้าๆ บอๆ ถึงขนาดนั้น
.
"พลอยเป็นคนเชยมากนะครับ เป็นคนที่อยู่ในกรอบ ใจดี ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานก็รักคุณเปรมได้ ตามคติโบราณนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่งไปก่อนแล้วรักกันเองทีหลัง แม่พลอยก็เป็นอย่างนั้นทุกอย่าง ทีนี้คนอ่านคนไทยปลื้มอกปลื้มใจเห็นแม่พลอยเป็นคนประเสริฐเลิศลอย ก็เพราะคนไทยก็เป็นคนแบบนั้น ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย คนอ่านส่วนมากก็เป็นคนระดับแม่พลอยเท่านั้น (หัวเราะ)
.
โง่ยิ้มเลยจะบอกให้ สี่แผ่นดิน ถึงได้ดัง (หัวเราะ)"
.
หรืออีกตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์เดียวกันบอกว่า
.
"คนไทยนั้นหลอกง่าย เขียนหนังสือหลอกง่าย อยากมีชื่อมีเสียงง่ายที่สุด คนไทยนี่ ขอให้ไทยดี ไทยเก่ง รักชาติไทย พอแล้ว อะไรๆ เป็นชาติไทยหมด ชกมวยก็เป็นชาติไทย"
.
โดยส่วนตัวคิดว่า ในแง่หนึ่ง การวิจารณ์แบบนี้ของคุณชายคึกฤทธิ์ อาจมองว่าเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากการศึกษาในโลกตะวันตก (คือออกซ์ฟอร์ด) ที่เต็มไปด้วยการใช้เหตุผล คารม วาทะ รวมไปถึงการโต้วาที เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่วิถีตะวันตกจะถูกนำมาใช้วิจารณ์ความเป็นไทย และวิจารณ์กระทั่ง 'ตัวละคร' ที่ตัวเองเป็นผู้สร้างขึ้น โดยเปรียบกลับไปหาตัวโครงสร้างสังคมที่ 'สร้าง' หรือ 'ฟูมฟัก' ตัวละครพวกนี้ขึ้นมาด้วย
.
(ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ยังเคยบอกด้วยว่า นางเอกของ 'สี่แผ่นดิน' จริงๆ คือช้อย ไม่ใช่พลอย โดยอธิบายทำนองที่ว่า ช้อยเลือกชีวิตตัวเองได้ แต่พลอยเลือกไม่เป็น อยู่ไปโดยปล่อยให้ชีวิตพัดพาไปทางไหนก็ไปทางนั้น)
.
แต่ในอีกแง่หนึ่ง ถ้ามองว่า คุณชายคึกฤทธิ์เป็นคนหนึ่งที่สร้าง 'ความเป็นไทย' ขึ้นมา ก็อาจมองแบบโลกสวยได้ด้วยว่า อย่างน้อยที่สุด 'ความเป็นไทยแบบคึกฤทธิ์' นั้น คือความเป็นไทยที่ 'วิจารณ์' ตัวความเป็นไทยเองได้ และวิจารณ์ถึงขนาดบอกว่า 'ตัวแทนความเป็นไทย' แบบ 'แม่พลอย' นั้น 'เชย' และใช้คำว่า 'โง่ยิ้ม' ด้วย ซึ่งก็คือการ 'ยั่ว' ให้คนคิดและย้อนกลับมาตรวจสอบความชอบในทางวรรณกรรมของตัวเอง
.
ก็น่าสนใจดี ที่ความเป็นไทยยุคก่อนนั้นกว้างขวาง โอบรับความเป็นออกซ์ฟอร์ดและวัฒนธรรมการวิจารณ์เข้ามาไว้ในความเป็นไทย และทำถึงขั้นวิจารณ์ตัวเอง วิจารณ์สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ แต่ทำไม 'ความเป็นไทย' ยุคใหม่ ถึงได้ 'เรียวลง' จนแทบไม่มีที่ทางให้หายใจ อึดอัด คับแคบ และให้ความรู้สึก 'หนัก'
.
โดยส่วนตัวคิดว่า ความเป็นไทยควรเป็นเรื่องโปร่งเบาสบาย
.
อย่าทำให้ความเป็นไทยเป็นเรื่องหนักของแผ่นดินเลย”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นบริษัท Software house และ Startup หลายเจ้า พยายามโชว์ Culture บริษัท พยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเก๋ Cool มีโต๊ะปิงปอง โต๊ะ Pool งานสบายรายได้ดี Flaxi-hour บลาๆ
แล้วก็เริ่มมาบ่นว่า น้องๆ รักสบาย ไม่มีความรับผิดชอบ งานไม่ได้ตามเป้า สุดท้ายงานก็ไม่ได้สบายจริง Flaxi-hour ไม่จริง.. ลาไม่จำกัดที่ไม่มีจริง เพราะสร้างเงื่อนไขมากมาย ต้องแจ้งล่วงหน้า 2 วัน ต้องอย่างนั้นอย่างนี้
เอ้า.. ก็สร้างภาพว่างานสบายรายได้ดี เน้นเรื่องเล่น คนก็คาดหวังว่า จะเข้าไปเล่นไง :-) สุดท้ายก็มาด่าเด็กว่า ไม่โอเค ก็โปรโมทซะนึกว่าทำสวนสนุก ไม่ใช่ทำบริษัทเนอะ 🤫
ว้ายๆๆ math คือเลข
"นาฬิกาเลวไม่เท่าจำนำข้าวฮับ"
มิตร... ไม่ๆ มันไม่ใช่เพื่อนกู
ไอ้เหี้ยตัวหนึ่งกล่าวไว้ละกัน
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า รองเท้า Suede ต้องดูแลยาก พังง่าย ฯลฯ ...... นั่นก็เพราะว่าผมไม่รู้วิธีดูแลมันต่างหาก
จริงๆ แล้วรองเท้า Suede นี่ถือว่าทน และดูแลง่าย (แถมใส่สบายมากอีกตะหาก) เพียงแต่ว่ามันใช้วิธีการและเครื่องมือต่างจากรองเท้าหนังทั่วไปก็เท่านั้นเอง
ที่ต้องการ ก็คือ Omnidain (น้ำยาทำความสะอาด -- คล้ายๆ สบู่ -- มาพร้อมแปรงเล็กๆ) Renovetine (บำรุงหนัง) แปรง 2 อย่าง แล้วก็ยางลบ Suede (ทุกอย่างมีขายที่แผนกรองเท้าใน Central)
รูปที่สอง นี่เป็นรูปหลังจากที่ทำความสะอาดด้วยน้ำยาแล้ว แล้วก็ล้างด้วยน้ำเปล่าอีกรอบแล้ว (ไม่ได้เอาไปแช่น้ำหรือผ่านน้ำนะ แต่เอาแปรงชุบน้ำเปล่าปัดจนไม่มีฟองเหลือ) .... รอให้แห้งอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ก่อนจะพ่นสเปรย์ .... (ตอนถ่ายนี่ยังเปียกอยู่)
เห็นน้องๆ หลายคนดูถูกสุภาพสตรีว่าที่มาสนใจพี่ป๊อบนั้นเพราะพี่ป๊อปมีชื่อเสียงเงินทอง แนวคิดดูถูกทางเพศกันแบบนี้พี่โจวว่าไม่ควรมีพวกปัญญาชนเรานะครับ เพราะความจริงแล้วผู้หญิงอาจชอบพี่ป้อบเพราะว่าอวัยวะเพศของแกใหญ่ยาวก็เป้นได้ ไม่ใช่เรื่องเงินทองชื่อเสียงใดๆ
เรื่องคบซ้อนเราไม่จำเป็นต้องไปตัดสินแทนใคร ว่าใครดีไม่ดี ถูกไม่ถูก มันเป็นเรื่องของเขา มันเกิดขึ้นได้กับคนทุกระดับ ทุกฐานะนั่นแหละ มีรุ่นน้องให้นิยามกับผมกับว่า มันคือ "สัญญาใจ"
ผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีโอกาสเลือกคนที่คิดว่าใช่ที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา ในระหว่างเลือก ถ้าเลือกเยอะ ผู้ชายก็จะถูกเรียกว่า "เจ้าชู้" ผู้หญิงก็จะถูกเรียกว่า "ลัลลา" ต่อให้เป็นแฟนกันแล้ว ก็อาจจะถูกเปลี่ยนใจไปเลือกคนอื่น ชีวิตคู่มันก็ไม่ง่าย
การที่คนสองคนที่ไม่เหมือนกันมาคบกัน ต้องปรับตัวเข้าหากัน ต้องเรียนรู้อะไรที่อีกฝ่ายรับได้รับไม่ได้ แล้วปรับตัวเข้าหากันได้แล้วมั่นใจว่าอยู่กันได้ตลอดชีวิต ซึ่งในระหว่างคบกันก็ไม่ใช่ทุกคู่จะเห็นทุกอย่างจากอีกฝ่ายหมด พอคบกันแล้วก็มีเรื่องครอบครัวของอีกฝ่ายอีก
ผมก็มีแฟนมาหลายคน ในระหว่างที่มีแล้วเลิกไป ฝ่ายหญิงก็ไปมีคนใหม่ทั้งนั้น แล้วก็มีในระหว่างที่คบเราเป็นแฟน แต่เราไม่รู้ ถ้าจะไปโทษว่าอีกฝ่ายผิด ก็ต้องมองดูตัวเองว่ามีข้อบกพร่องอะไร ก็มีเต็มไปหมด ไม่เอาใจใส่ ทำแต่งาน หรืองานที่ทำเกี่ยวข้องกับการพบเจอผู้หญิง ฐานะไม่มั่นคง อะไรที่ทำให้อีกฝ่ายไม่มั่นใจก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เป็นเหตุที่ต้องหาทางเลือกใหม่เกิดขึ้น เราก็แค่หวังว่าทางเลือกใหม่ที่เขาเลือกจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ดีกว่าตอนที่คบกับเรา
ถึงแม้ว่าเราคาดหวังกันว่า การคบกันจะต้องให้เกียรติกัน เคารพในความเป็นตัวของตัวเองอีกฝ่าย ยอมรับซึ่งกันและกัน ซื่อสัตย์ แต่ในระหว่างที่คบกันเรามองเห็นสิ่งเหล่านั้นหมดหรือไม่ ถึงแต่งงานกันแล้ว การยอมรับซึ่งกันและกันก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ ตามสถานการณ์และเวลาที่ผ่านไป เพราะโลกมันหมุนทุกวัน อากาศเปลี่ยนแปลงทุกวัน
เรื่องการคบกัน มันอาจจะไม่ต้องใช้เหตุผลหรือตรรกะมาก มันเป็นเรื่องของหัวใจ วันหนึ่งที่สัญญาใจเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ ไม่ต้องไปตัดสินใครหรอก เราไม่ได้รู้เรื่องราวเขาดีพอ ดูแลคู่ของตัวเองให้ดีเถอะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.