"ลองนึกภาพตามนะ ถ้างานแต่งที่ไม่มีเพื่อนเจ้าบ่าวมาเลยจะเป็นยังไง"
บทสนทนาเริ่มประมาณนี้...
คนเล่า
จากการที่เป็นพิธีกรงานแต่งมาเกินยี่สิบงาน บอกเลยว่างานจะสนุกหรือน่าเบื่อมันขึ้นอยู่กับกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าว
เพราะบรรยากาศเฮฮาจะเริ่มตั้งแต่ตอนแห่ขันหมากฝ่าด่านประตูเงินประตูทอง สร้างเสียงหัวเราะกับผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานเช้า
เที่ยงก็ไปเปลี่ยนชุดเริ่มกินตั้งแต่หัววัน สังสรรค์นั่งกินกันเองจนถึงเย็น
พอถึงช่วงพิธีการก็แต่งตัวเต็มเอนเตอเทนแขกงานด้วยการตะโกนแซวเจ้าบ่าวบนเวทีเป็นช่วงๆ
พอหมดช่วงพิธีการก็รอเจ้าบ่าวสาวเปลี่ยนชุดลงมากินกันเต็มที่แบบทิ้งตัว ช่วง after party จนพนักงานโรงแรมต้องเปิดไฟไล่
ในทางตรงกันข้าม ลองนึกภาพตามนะ ถ้างานที่ไม่มีเพื่อนๆ ของเจ้าบ่าวจะเป็นยังไง
งานแต่งที่ไม่มีเพื่อนมัธยมและมหาลัยไปเลย อาหารเต็มโต๊ะแต่ไม่มีคนแย่งกันกิน เหล้าเบียร์เหลือเพียบเพราะไม่มีขี้เมาสั่งมาทีละถาดสองถาด
งานที่แทบไม่มีเสียงหัวเราะจากการคุยระลึกความหลังกันเลยมันจะสนุกมั๊ย?
งานแต่งที่ไร้เพื่อนเจ้าบ่าวผมเพิ่งเห็นมากับตา เพราะเจ้าสาวในงานนี้คือเจ้าบ่าวไปแย่งแฟนเพื่อนในกลุ่มเดียวกันมาเมื่อห้าปีที่แล้ว
ทั้งงานเลยมีแต่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายที่อาจจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย แต่พ่อกับแม่เจ้าบ่าวคงแอบสงสัยว่าทำไมเพื่อนสนิทลูกไม่มีใครมาเลย
ถ้าเลือกได้ผมไม่อยากไปงานแต่งบรรยากาศนี้อีกแล้ว
“งานจ๋อยๆ ที่ผู้ใหญ่เอาแต่นั่งกินโต๊ะจีน พิธีจบก็ทยอยลุกไปถ่ายรูปกันที่หน้างานแล้วก็แยกย้ายกลับบ้านตอนสองทุ่มกันหมดงาน”
คนฟัง
ฟังก็ไม่รู้จะแก้ตัวให้เจ้าบ่าวยังไงหวะ คิดอะไรไปจีบแฟนเพื่อน คบกันโดยไม่แคร์ใครจนถึงขั้นแต่งงาน
เป็นผู้ชายมันต้องรู้กันนะว่าไม่ควรล้ำเส้นกับเพื่อนเรื่องผู้หญิง จะรอให้เค้าเลิกกันก่อน ไปแอบคบกันมันไม่ใช่หวะ
แล้วเป็นไง เสียเพื่อนไปหลายสิบได้ผู้หญิงมาคนเดียว คืองงว่าคนแบบนี้เค้าอยู่กันสองคนในโลกกันได้ยังไง ชีวิตที่ไม่เหลือเพื่อนสนิทเลยมีความสุขเหรอ
ใจนึงก็สงสารนะ แต่อีกใจนึงก็สมน้ำหน้าที่ทำกับเพื่อนได้ลงคอ
พูดตรงๆนะ ไม่ว่าผู้หญิงจะสวยจะรวยแค่ไหนจะไม่มีวันไปจีบแฟนเพื่อนเด็ดขาด ไม่ว่าเค้าจะออกอาการหรือเมา จะเข้ากันได้ดีขนาดไหนก็ตาม
นึกภาพวันที่ทั้งชีวิตไม่มีเพื่อนสนิทไม่ออกเลยหวะว่าจะเป็นยังไง
“ชีวิตนี้จะไม่ทำเด็ดขาด การมีปัญหากับเพื่อนเรื่องผู้หญิง แฟนเพื่อนก็คือแฟนเพื่อน”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง