Last posted
Total of 1000 posts
หมากรุกสากลเป็นวิชาบังคับที่นักเรียนทุกคนต้องเรียนในโรงเรียนในประเทศรัสเซีย!
เราก็เรียนหมากรุกฝรั่งจากการอ่านตำราหมากรุกสากลที่ chess grandmasters (เซียนหมากรุกสากล) ชาวรัสเซียเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
เรียนๆไปนะ มันกลายเป็นทำให้เราคิดอะไรแหกคอกมากๆ แบบตั้งหรือตอบกระทู้ pantip แนะนำเรื่องดีๆเกี่ยวกับสุขภาพหรือการเรียนรู้ ผลก็คือเราโดนคนไทยใน pantip นับพันๆคนกด "สยอง" ให้เรา555 แต่คนจำนวนหลายๆพันคนที่มากดสยองให้เราไม่รู้ว่า อีกหลายปีต่อมาเรื่องดีๆที่พวกเค้ากดสยองให้เรา มันกลายเป็นทำให้เราสุขภาพดีเยี่ยมและสมองเราคิดค้นและเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งๆขึ้นเรื่อยๆเมื่ออายุเรามากขึ้นเรื่อยๆ555
จะบอกให้ว่าเพราะอะไร
วิธีคิดของ chess grandmasters “ทำลายล้าง” สุภาษิตไทย ที่สอนว่า “ให้ดูตาม้าตาเรือ”
ให้ดูตาม้าตาเรือ ถ้าตีความตามหมากรุกไทย ก็คือว่า ก่อนจะเดินให้ดูว่าเดินหมากไปแล้ว ม้าหรือเรือของฝ่ายตรงข้ามจะกินหมากเราได้หรือเปล่า
^
นี่เป็นวิธีคิดแบบอยู่ในกรอบแบบการศึกษาแบบไทยๆ ที่ทำให้คนไม่กล้าคิดแหกคอก! ในประเทศไทยเวลามีใครทำอะไรแปลกๆแหกคอกก็มักจะถูกสังคมไทยประนามเอา
แต่พวก grandmasters สอนเด็กเล่นหมากรุกสากลตรงกันข้ามกับคนไทย (หลายๆคน แต่ไม่ทุกคน) ที่สอนหมากรุกไทย ตามสุภาษิตไทย นั่นก็คือ แทนที่จะสอนว่า ก่อนจะเดินหมากตัวไหนให้ดูดีๆว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามกินหรือเปล่า" กลายเป็นสอนว่า "ให้คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดว่าจะเดินหมากได้กี่วิธีที่จะให้หมากเราถูกฝ่ายตรงข้ามกินได้" และใช้ตรรกะคิดต่อไปว่า แต่เมื่อถูกกินแล้วเรา gain positional advantage (ความได้เปรียบในเชิงชัยภูมิ (ตำแหน่งที่ตั้ง)) เช่นทำให้หมากคู่ต่อสู้หลงทาง หรือเปล่า แล้วเรามีหมากที่เป็นอาวุธจ่อคอหอย king ของคู่ต่อสู้ ที่พร้อมที่จะ checkmate (รุกจน) ให้คู่ต่อสู้แพ้ได้หรือเปล่า แต่หลังจาก exhaust all possibilities (คิดทุกความเป็นไปได้) แล้วยังหาตาเดินแบบนั้น (เดินให้กินแล้วได้เปรียบ) ไม่เจอ ก็ให้เลือกวิธีเดินหมากแบบ overprotect the protectors นั่นก็คือเดินหมากผูกกันซ้อนๆกันหลายๆชั้นแบบใยแมงมุม
^
เกมหมากรุกฝรั่งที่จบลงแบบสวยงามมากๆ แบบที่ grandmasters เรียกว่า the cascade of brilliancies ส่วนใหญ่มักจะเป็นการเดินหมากให้ฝ่ายตรงข้ามกิน (ภาษาหมากรุกสากลเรียกว่า sacrifice) แต่ฝ่ายตรงข้ามพอกินเข้าไปแล้วกลายเป็นแพ้555
เราใช้ตรรกะของหมากรุกสากลสอนตัวเราเองให้เรียนรู้ศาสตร์ต่างๆหลายๆอย่าง เช่นเรียนวรยุทธ์จีน เรียนภาษาอังกฤษ และเรียนการแปล และทดสอบ applications เพื่อนำ applications มาใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงในการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ
ไปดูเราสาธิตวิธีใช้ตรรกะหมากรุกสากล ที่ grandmaster ชาวรัสเซียซึ่งเป็น computer programmer เขียนไว้ (ตอนเขียน flowchart สอนให้ computer เล่นหมากรุก) เพื่อเรียนการแปล เราเขียนแนวคิดเราเรื่องการเรียนการสอนการแปล เอาไว้ในหลายๆ คคห ที่กระทู้นี้ (ตอนนั้นเราใช้ login เก่า คือ fortuneteller)
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/06/K7934208/K7934208.html
ไปอ่านกระทู้ออกทะเล แต่สนุกอันนี้ ทีแรกคุยเรื่องการแปลภาพยนต์ แต่ดันออกทะเล กลายเป็นหมากรุกไป555 เราแสดงตอบไว้หลาย คคห เรื่องหมากรุกสากล (ตอนนั้นเราใช้ login เดิมอีกอันคือ tansy (iwrit4u) ลองไปอ่านดู ถ้าอยากได้ความรู้เรื่องหมากรุกสากล มันคือกระทู้นี้
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/10/K5974064/K5974064.html
วันนี้อ่านข่าวนี้จากหน้าผู้จัดการแล้วเกิดอาการอึ้งกิมกี่+ อึ้งเอี๊ยะซือ
เหตุเกิดที่เมืองจีน ในราวปี 2014 มีการเริ่มสร้างบ้านเดี่ยวหรูหราในพื้นที่ฉินหลิง
เป็นพื้นที่ที่มีความงดงามทางธรรมชาติ อากาศดี
ปัญหาคือมันเป็นเขตอนุรักษ์ สร้างบ้านไม่ได้
นายทุนพัฒนาจึงจ่ายเงินใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่เพื่อออกใบอนุญาต
ฉากนี้คุ้นๆ
แต่ฉากที่ไม่คุ้นคือ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกคำสั่งให้จัดการกรณีนี้อย่างไม่ไว้หน้า
ผลก็คือไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะรัฐบาลท้องถิ่นไม่ขยับตีน ฉากนี้ก็คุ้นๆ
การคอร์รัปชั่นฝังรากลึกทุกส่วน เจ้าหน้าที่จึงแกล้งไม่รู้ไม่ชี้
ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกคำสั่งใหม่รวมหกครั้ง ครั้งสุดท้ายส่งคนไปจัดการถึงที่
สั่งทุบบ้านไปหมื่นหลัง คืนพื้นที่ให้ระบบนิเวศเดิม
ลงโทษพวกคอร์รัปชั่นขั้นเด็ดขาด
อ่านแล้วอึ้งเหมือนผมแล้วยัง?
และรู้น่าว่าคิดอะไรอยู่
แต่อย่าเปรียบเทียบกับประเทศอื่นเลย เดี๋ยวไม่มีความสุขเปล่าๆ
(ข้อมูลจากผู้จัดการ New China Insights เขียนโดย ดร. ร่มฉัตร จันทรานุกุล)
………………….
วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
สหรัฐจะล้ม?? (อีกแล้วเหรอ)
มีคนพูดกันมาเป็น 10 ปี เรื่องสหรัฐหนี้สูง และจะล้มละลาย ดอลล่าร์จะด้อยค่า ฯลฯ
ผมให้ความเห็นแบบเป็นกลาง (ส่วนตัวผมก็เกลียดสหรัฐ แต่เอาข้อเท็จจริงมาพูดกัน)
ข้อเท็จจริงก็คือ หากเจ้าหนี้ยังยินดีให้กู้ ลูกหนี้ก็ไม่มีวันล้ม
ไม่ว่าดอกเบี้ยจะสูงแค่ไหน ไม่ว่ามูลหนี้จะมากขนาดไหน ถ้าเจ้าหนี้ยังเชื่อเครดิตและยังให้ยืม ลูกหนี้ก็ยังอยู่ต่อได้
สหรัฐจะล้มหรือไม่ มันไม่สำคัญว่าหนี้มากเท่าไหร่หรอกครับ
มันสำคัญว่า เจ้าหนี้จะหยุดให้สหรัฐกู้เมื่อไหร่ต่างหาก..
ผมไม่ปฏิเสธว่าสหรัฐกำลังเดินหน้าไปสู่จุดจบ แต่มันไม่น่าจะเป็นในระยะเวลาอันใกล้นี้แน่ๆ เพราะอะไร..?
เพราะเจ้าหนี้รายใหญ่ ยังไม่สามารถปล่อยให้สหรัฐล้มได้
ประกันสังคมหรือ FED ที่เป็นเจ้าหนี้ใหญ่สุดของสหรัฐ ก็เป็นเจ้าหนี้ในประเทศ ซึ่งอยู่ในการควบคุมของสหรัฐอยู่แล้ว
ส่วนเจ้าหนี้ต่างประเทศล่ะ สองรายใหญ่คือจีนและญี่ปุ่น ถือพันธบัตรสหรัฐอยู่ 1 ล้านล้านเหรียญโดยประมาณ
จีน ณ ตอนนี้ยังคงต้องพึ่งพาสหรัฐ จนกว่าจีนจะผลักดันการเติบโตจากภายในได้ (ซึ่งผมคิดว่าไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี)
บางคนคิดง่ายๆ ว่า แค่จีนเทขายพันธบัตรสหรัฐทั้งหมด สหรัฐก็ล้มละลายแล้ว เอาจริงๆ ต้องคิดย้อนกลับไปด้วยนะครับ "ขายให้ใคร..?" คนซื้อจะยอมซื้อในราคาเท่าไหร่ และจีนจะขาดทุนหนักแค่ไหนจากเกมส์นี้
ส่วนญี่ปุ่น ตั้งแต่ Plaza Accord เป็นต้นมา ญี่ปุ่นก็เหมือนลูกน้องสหรัฐ สั่งซ้ายหัน ขวาหันได้ตามใจ แทบเป็นไปไม่ได้ที่ญี่ปุ่นจะแปรพักตร์
ผมย้อนกลับมาคำถามเดิม สหรัฐจะล้มหรือไม่ "ขึ้นกับว่าเจ้าหนี้จะหยุดให้สหรัฐกู้เมื่อไหร่"
ลองคิดนะครับ เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเจ้าหนี้ไม่ถือพันธบัตรสหรัฐ จะเอาเงินไปวางบนสินทรัพย์ไหนได้..? ตราบใดที่โลกใบนี้ยังไม่มีที่วางเงินที่ขนาดใหญ่ระดับล้านล้านได้ด้วยความเสี่ยงต่ำ ก็เป็นเรื่องยากมากที่เงินจะถูกย้ายจากตลาดพันธบัตรสหรัฐรุนแรงจนถึงระดับที่สหรัฐจะล้ม
ในทางกลับกัน สหรัฐเป็นประเทศเดียวในบรรดามหาอำนาจที่อัตราดอกเบี้ยสูงถึง 3% ในขณะที่ ยูโร อังกฤษ ญี่ปุ่น อัตราดอกเบี้ยยังต่ำเรี่ยติดดิน การปรับขึ้นดอกของสหรัฐ แน่นอนว่ามันจะทำให้หนี้เพิ่ม และภาระสูงขึ้นแน่ๆ แต่มันก็ช่วยจูงใจให้เจ้าหนี้ วิ่งหนีจากพันธบัตรประเทศอื่นมาที่สหรัฐเพิ่มขึ้น
ความแข็งแกร่งที่สุดของสหรัฐก็คือ Trust ครับ ตราบใดที่คนยังเชื่อ สหรัฐก็ไม่พัง
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ Trust มันหาย เมื่อนั้นแหละ วิกฤติที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกจะตามมา
แต่อย่างที่ผมบอกในตอนต้นแหละครับ ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดเร็วๆ นี้หรอก อย่างน้อยวิกฤติสหรัฐก็ไม่น่าจะเกิดก่อน ญี่ปุ่น หรือยูโร
PS. สมมติเล่นๆ อีกข้อนะครับ ถ้าสมมติพรุ่งนี้ญี่ปุ่น หรือยูโรจะล้มละลาย คิดว่าเจ้าหนี้ที่ถือพันธบัตรญี่ปุ่น กับยูโร จะโยกเงินไปไว้ที่ไหนได้บนโลกใบนี้ ถ้าไม่ใช่พันธบัตรสหรัฐ..?
ใครบอกว่ากูไม่ดีเท่าพ่อ?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อาตมาว่า อาตมาจะไม่พูดถึงปวินแล้ว แต่ครั้งนี้เกินทนไปมาก เพราะปวินถ่อยทรามเกินกว่าจะปล่อยข้ามได้ จึงขอเขียนถึงปวินครั้งแรกและขอให้เป็นครั้งสุดท้าย
อาตมาเคยเห็นใจคนอย่างปวินนะ อันนี้พูดจากหัวใจ เห็นใจที่เขาถูกรัฐรังแกอย่างไม่เป็นธรรม และเห็นว่า การที่เขาแสดงความเห็นแม้จะด่าทอโกรธแค้นในการต่อต้านรัฐ ก็เป็นเรื่องที่ควรรับฟัง เพราะอย่างน้อยเขาก็กระทำในฐานะของคนที่พยายามต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง
แต่ตอนหลังมาปวินเหมือนคนเสียสติที่กัดเหวี่ยงคนอื่นไปทั่ว เกลียดคนอื่นที่พูดเรื่องเสียงไม่มีคุณภาพ แต่ตัวเองกับใช้วาทกรรมเดียวกันด่าคนอื่นเสียเอง มีปัญหากับการที่คนอื่นบ่นเหนื่อยผ่านเฟซบุ๊ก แต่ตัวเองบ่นเหนื่อยอย่างเดียวกัน ไม่รู้กี่สิบครั้ง
ตอนที่อาตมาโพสต์ข้อความธรรมะเป็นสาระ ปวินก็แขวะ ว่าเป็นพวกโพสต์ข้อความสวยสวยบ้าง เอาอะไรมาสอนชาวบ้านบ้าง ไปคิดเองว่าคนอื่นกำลังสอนเขาบ้าง
พออาตมาโพสต์เรื่อง 10 years challenge แม้จะประกอบการเขียนข้อความธรรมะพูดถึงความไม่เที่ยงของรูปร่างสังขารซึ่งเปลี่ยนไป ปวินก็มองไม่เห็นนะ แต่หาเรื่องที่จะแขวะว่า ไม่ใช้เฟซบุ๊กเป็นสื่อธรรมะ ถ้าอาตมาเป็นฆราวาส อาตมาคงจะถามคนอย่างปวินตรงตรงว่า (มึงต้องการอะไรจากกู ก็ตอนกูโพสต์ธรรมะ มึงก็ด่า ไม่โพสต์ธรรมะมึงก็ด่า ตกลงความผิดมันอยู่ที่ใคร)
ถ้าคนอย่างปวินมองคนกลุ่มอื่นว่า เป็นพวกแพร่เชื้อความเกลียดชังในสังคม อาตมาก็คงมองแบบเดียวกันว่า ในฝั่งประชาธิปไตยนี่เอง คนที่แพร่เชื้อโรคแห่งความเกลียดชังไม่แพ้กัน ก็คือคนอย่างปวิน
อาตมาเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่า เฟซบุ๊กเป็นพื้นที่ของคนคนนั้น อาตมาไม่เคยมีปัญหา ที่คนอย่างปวินหรือใครก็ตามซึ่งเคยพูดทำนองว่า ฉันจะโพสต์เรื่องอื่นอื่น ที่ไม่ใช่วิชาการก็ได้ เพราะฉันไม่ใช่นักวิชาการตลอดเวลา
อาตมาไม่มีปัญหาเลย ที่คนแบบปวินหรือคนอื่นอื่นจะเหวี่ยงวีน จะถ่ายรูปโชว์ตูด โชว์กางเกงใน กอดจูบอะไรกับใคร หรือเขียนข้อความจิกกัดกัดทอต่างต่างนานาบนพื้นที่เฟซบุ๊กของตนเอง เพราะอาตมาถือเป็นสิทธิ์ และเฟซบุ๊ก ก็ควรมีไว้เพื่อสิ่งเหล่านี้
เราจะใช้มันเพื่อสื่อสารเรื่องราวของเรา ความรู้สึกนึกคิดของเรา อารมณ์ในช่วงนั้นนั้นของเรา ความรัก ความสุข ความเศร้า หรืออะไรก็ตามที่เราอยากจะถ่ายทอดมัน
ทำไมเราไม่มองแบบนี้ ทำไมเราต้องไปคาดหวังให้ใครต้องโพสต์หรือเขียนอะไรในแบบที่เราต้องการ
อาตมาไม่อยากเห็นคนอย่างปวินถูกพิษของความโกรธเกลียดครอบงำหัวใจแบบนี้นะ แม้ปวินจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนมีศาสนาก็ตาม แต่อาตมาจะพูดในฐานะของเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง
ปล. ที่ปวินบอกว่า พ่อมึงตาย คือพ่ออาตมายังไม่ตายนะ และปวินก็ควรมาแช่งพ่ออาตมาด้วย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ลองนึกภาพตามนะ ถ้างานแต่งที่ไม่มีเพื่อนเจ้าบ่าวมาเลยจะเป็นยังไง"
บทสนทนาเริ่มประมาณนี้...
คนเล่า
จากการที่เป็นพิธีกรงานแต่งมาเกินยี่สิบงาน บอกเลยว่างานจะสนุกหรือน่าเบื่อมันขึ้นอยู่กับกลุ่มเพื่อนเจ้าบ่าว
เพราะบรรยากาศเฮฮาจะเริ่มตั้งแต่ตอนแห่ขันหมากฝ่าด่านประตูเงินประตูทอง สร้างเสียงหัวเราะกับผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานเช้า
เที่ยงก็ไปเปลี่ยนชุดเริ่มกินตั้งแต่หัววัน สังสรรค์นั่งกินกันเองจนถึงเย็น
พอถึงช่วงพิธีการก็แต่งตัวเต็มเอนเตอเทนแขกงานด้วยการตะโกนแซวเจ้าบ่าวบนเวทีเป็นช่วงๆ
พอหมดช่วงพิธีการก็รอเจ้าบ่าวสาวเปลี่ยนชุดลงมากินกันเต็มที่แบบทิ้งตัว ช่วง after party จนพนักงานโรงแรมต้องเปิดไฟไล่
ในทางตรงกันข้าม ลองนึกภาพตามนะ ถ้างานที่ไม่มีเพื่อนๆ ของเจ้าบ่าวจะเป็นยังไง
งานแต่งที่ไม่มีเพื่อนมัธยมและมหาลัยไปเลย อาหารเต็มโต๊ะแต่ไม่มีคนแย่งกันกิน เหล้าเบียร์เหลือเพียบเพราะไม่มีขี้เมาสั่งมาทีละถาดสองถาด
งานที่แทบไม่มีเสียงหัวเราะจากการคุยระลึกความหลังกันเลยมันจะสนุกมั๊ย?
งานแต่งที่ไร้เพื่อนเจ้าบ่าวผมเพิ่งเห็นมากับตา เพราะเจ้าสาวในงานนี้คือเจ้าบ่าวไปแย่งแฟนเพื่อนในกลุ่มเดียวกันมาเมื่อห้าปีที่แล้ว
ทั้งงานเลยมีแต่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายที่อาจจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย แต่พ่อกับแม่เจ้าบ่าวคงแอบสงสัยว่าทำไมเพื่อนสนิทลูกไม่มีใครมาเลย
ถ้าเลือกได้ผมไม่อยากไปงานแต่งบรรยากาศนี้อีกแล้ว
“งานจ๋อยๆ ที่ผู้ใหญ่เอาแต่นั่งกินโต๊ะจีน พิธีจบก็ทยอยลุกไปถ่ายรูปกันที่หน้างานแล้วก็แยกย้ายกลับบ้านตอนสองทุ่มกันหมดงาน”
คนฟัง
ฟังก็ไม่รู้จะแก้ตัวให้เจ้าบ่าวยังไงหวะ คิดอะไรไปจีบแฟนเพื่อน คบกันโดยไม่แคร์ใครจนถึงขั้นแต่งงาน
เป็นผู้ชายมันต้องรู้กันนะว่าไม่ควรล้ำเส้นกับเพื่อนเรื่องผู้หญิง จะรอให้เค้าเลิกกันก่อน ไปแอบคบกันมันไม่ใช่หวะ
แล้วเป็นไง เสียเพื่อนไปหลายสิบได้ผู้หญิงมาคนเดียว คืองงว่าคนแบบนี้เค้าอยู่กันสองคนในโลกกันได้ยังไง ชีวิตที่ไม่เหลือเพื่อนสนิทเลยมีความสุขเหรอ
ใจนึงก็สงสารนะ แต่อีกใจนึงก็สมน้ำหน้าที่ทำกับเพื่อนได้ลงคอ
พูดตรงๆนะ ไม่ว่าผู้หญิงจะสวยจะรวยแค่ไหนจะไม่มีวันไปจีบแฟนเพื่อนเด็ดขาด ไม่ว่าเค้าจะออกอาการหรือเมา จะเข้ากันได้ดีขนาดไหนก็ตาม
นึกภาพวันที่ทั้งชีวิตไม่มีเพื่อนสนิทไม่ออกเลยหวะว่าจะเป็นยังไง
“ชีวิตนี้จะไม่ทำเด็ดขาด การมีปัญหากับเพื่อนเรื่องผู้หญิง แฟนเพื่อนก็คือแฟนเพื่อน”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>599 The heck?? งานแต่งมันก็มีหลายจุดประสงค์หรือเปล่าหว่ะ ให้พ่อแม่ ให้ตัวเอง หรืออะไรก็ว่า ไปเรียกงานที่มีแต่ผู้ใหญ่ว่าจ๋อยๆนี่คืออะไร งานจำเป็นต้องมี After Party? สิ่งที่เกิดขึ้นก็ผลของการคบชู้นั่นแหละ แต่ตอกจากนี้มันก็ชีวิตคู่ ไม่ได้มีคำว่าเพื่อนมาอยู่ในนั้นเลย
ว่าแต่ งานจ๋อยๆแบบนี้แหละ กำไรหนักนะ lol
LINE เป็นหนึ่งใน App ที่ผมครีเอทนานแล้ว ใช้ password ที่ไม่ปลอดภัยด้วย ด้วยเหตุผลว่าตั้งยาวก็ไม่ได้ special character ก็ไมไ่ด้ แถมยังบังคับให้มีตัวเลขอีก ... คืออยากให้ Sittiphol Phanvilai รีวิวความแย่จัง เผื่อเสียงจะไปถึง
ฟังพอดแคสต์คุณทักษิณเรื่องการจัดการฝุ่น PM 2.5
มีทั้งมาตรการการจัดการรถเก่า รถดีเซล จัดการรถติด จัดการเปลี่ยนอุตสาหกรรมรถยนต์ ฯลฯ
แล้วก็มาย้อนๆคิดดูว่าจำนวนรถที่เพิ่มขึ้น การที่รถติดเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมาเกิดมาจากมาตรการรถคันแรกของน้องสาวคุณทักษิณเพื่อช่วยเหลือกลุ่มทุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไม่ใช่หรอ
แล้วก็....ได้มาย้อนคิดดูดีดีว่าสุดท้ายแล้วนี่แหละคือสิ่งที่นักการเมืองทำกันเป็นปกติ
เป็นข่าวใหญ่ทีเดียวกับกรณีที่มีข้อมูลส่วนตัวรวมถึง Password ของแอคเค้าท์เว็บต่าง ๆ จำนวน 773 ล้านแอคเค้าท์ถูกแฮคและโพสต์ลงเว็บสาธารณะ ซึ่งด้วยจำนวนแล้วถือว่าเป็นฐานข้อมูลแอคเค้าท์ที่โดนแฮคที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์รองจาก Yahoo เท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ฐานข้อมูลนี้ไม่ได้ถูกแฮคมาจากที่เดียว แต่เป็นการรวมจากเว็บที่ถูกแฮค 2,000 แหล่ง ฐานข้อมูลนี้ก็เลยได้ชื่อว่า "Collection #1" นั่นเอง
Collection #1 ถูกโพสต์แจกฟรีบนเว็บ Mega ก่อนจะถูกโหลดมาแล้วเผยแพร่ต่อใน Forum ของเว็บแฮคเกอร์ ดังนั้นตอนนี้อนุมานได้ว่าแฮคเกอร์ทั่วโลกน่าจะได้มันมาในครอบครองแล้ว
==== ข้อปฏิบัติเร่งด่วน ====
ในฐานะผู้ใช้ เราควรจะรับรู้เรื่องนี้แล้วเเข้าไปเช็คด่วนว่าแอคเค้าท์เมลเราถูกแฮคเอา Password ไปหรือไม่ โดยเช็คได้จาก https://haveibeenpwned.com/ เว็บจะให้ใส่อีเมลเราไป (ต้องไม่มีให้ใส่อย่างอื่น) ถ้ามันขึ้นว่า "Oh no, pwned" แปลว่าโดน ก็รีบเปลี่ยนพาสเวิร์ดด่วนก่อนจะเกิดความเสียหายใด ๆ ครับ โดยแนะนำให้เปลี่ยนพาสเวิร์ดของ "ทุกบริการที่เราใช้อยู่" อีเมล เฟสบุ๊ค ฯลฯ เปลี่ยนให้หมดครับ
ซึ่งถ้าเปลี่ยนแล้วกลับมาเช็คแล้วยังขึ้นว่าโดนก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ มันเช็คจากฐานข้อมูลที่ "ถูกแฮคมา" ไม่ได้เช็คแบบ Real Time ถ้าขึ้นว่าโดนก็จะขึ้นว่าโดนตลอดไป แค่เปลี่ยนพาสก็พอ
ทั้งนี้เว็บนี้ถูกเขียนโดย Troy Hunt ซึ่งเชื่อถือได้ และข้อมูลเดียวที่ให้เรากรอกคืออีเมลซึ่งสร้างความเสียหายไม่ได้ แต่ถ้ากังวลไม่ต้องเข้าไปเช็คก็ได้ครับ เปลี่ยนพาสเอาก็พอ
==== สิ่งที่เรียนรู้ ====
1) ทั่วโลกมีเว็บเปิดอยู่กว่าพันล้านเว็บ แต่มีเว็บเกินครึ่งที่ระบบ Security แย่ และทำ Password หลุดได้ง่าย ๆ ถ้าไปสมัครเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ แนะนำให้ใช้พาสเวิร์ดคนละตัวกับพาสเวิร์ดหลักครับ
2) ความจริงแนะนำให้ใช้ Password ต่างกันไปเลยในแต่ละบริการจะดีที่สุดครับ หากจำ Password ไม่ได้ แนะนำให้ใช้แอป ฯ อย่างเช่น 1-Password ช่วย
3) 2-Factor Authentication สำคัญมาก เปิดให้หมดทุกบริการ ต่อให้ Password หลุดเค้าก็ทำอะไรเราไม่ได้
4) มี Collection #1 แปลว่าอาจมี Collection #2
5) จะใส่ว่าเนยหน้าตาดีแต่กลัวมุขซ้ำ
6) เนยหน้าตาดี
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาบอกอีกทีครับว่าเว็บไทยที่โดนแฮคไปมีอะไรบ้าง .go.th เพียบเลยหละ 😒
Source: https://www.businessinsider.com.au/collection-one-data-breach-email-passwords-2019-1
เผื่อใครสงสัยความน่าเชื่อถือเว็บ HaveIBeenPwned เว็บนี้เขียนโดย Troy Hunt ซึ่งเป็น Security Researcher ครับ ลองไปดูข้อมูลกันได้ แล้วพิจารณาดูเอา https://www.troyhunt.com/the-773-million-record-collection-1-data-reach/
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ดูทรงแล้วท่าทางรถEVจะเกิดในไทย โดยเฉพาะกทม.ไวกว่าที่คิดนะ ได้หมอกฝุ่นมาช่วยกระตุ้น
ไอแหล่งกำเนิดเหมือนจะไปโบ้ยรถเก่ารถดีเซลกัน เออมันปล่อยเยอะกว่าแหละ แต่ขึ้นชื่อว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในมันก็ปล่อยหมดอะ
EEC สนับสนุนรถไฟฟ้าอยู่นะ แต่ค่ายรถยุ่นไม่ค่อยอยากสร้างรถไฟฟ้า ไทยเลยไปต่อเองยากหน่อย
รถ ev เดี๋ยวก็ตกรุ่นละ
อนาคตมันต้องรถตีนไถ
พอมีตังค์แล้วกลัวตาย กลัวป่วย และยิ่งเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันยาว คนพูดกันถึงอายุ 120 ปีแล้วเนี่ย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
โตโยต้าไม่เอามีปัญญาเกิดเร้อ
ปี 2018 บริษัทเน็ทซี่ #nextzy ได้ประเมินผลงานประจำปี โดยใช้ Concept Blockchain (Decentralized)
.
คือประเมินโดยไร้ศูนย์กลาง ทุกคนประเมินกันเอง น้องประเมินพี่ พี่ประเมินน้อง เพื่อนร่วมงานประเมินกันเอง และส่งกลับมาให้ผม โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าใครประเมินให้ใครคะแนนเท่าไร
.
เสร็จแล้วเอามาตรวจว่าเหตุผลกับคะแนนไปในทางเดียวกันไหม แล้วเอาเข้าสูตรค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก เอาผลกำไรมาเข้าสูตรทำให้ออกมาเป็นโบนัสและเงินเดือนในปีถัดไป
.
เงินเดือน คือสิ่งที่จะทำได้มากขึ้นในปีถัดไป เพราะเก่งขึ้น
.
โบนัส คือสิ่งที่ทำนอกเหนือจากงานปกติที่ทำอยู่ทุกๆวันและทำมากกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไป
--
โดยเกณฑ์ถูกคิดขึ้นมาจากคนในทีมเอง ไม่ได้มาจากผมอีกต่อไป
โดยหลักๆจากแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
.
Performance base และ Learning Base
.
Performance base คืองานเหมาะสมกับเงินเดือนปัจจุบันไหม รับผิดชอบงานไหม ทำงานหรือนำในส่วนงานที่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นของใครไหม หรืองานอื่นๆในบริษัทเช่นจัดงาน นำเที่ยว พาไปกิน
.
Learning Base คือความเร็วในการเรียนรู้(การพัฒนาตัวเอง)และภาวะการเป็นผู้นำซื้อคือการนำเรื่องต่างๆทั้งเรื่องงานและเรื่อง lifestyle เรียนรู้ทั้งกว้างและลึก และการเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน
.
แล้วขอบอกเลยว่า Nextzy ได้คะแนนกันสูงมาก
#แต่ขอโทษทีที่เราตัดเกรดครั้งนี้มันอิงกลุ่มไม่ได้อิงเกณฑ์
คนที่ทำงานปกติมันเลยต่ำกว่าฐานทันที
Dear Rehaf
ถ้าชายคนหนึ่ง ถือสัญชาติไทย แต่อยากสูบกัญชาอย่างเสรี อยากเล่นยาอี อยากเล่นยาไอซ์ หรือเฮโรอีน โดยไม่ต้องมีโทษอาญารุนแรง
แล้วขออพยพไปยังประเทศที่เปิดเสรีเรื่องแบบนี้ แค่เอ่ยปากบอกเหตุผลที่จะไปนี่ก็คงไม่มีใครที่ไหนอยากจะรับ หรือ อยากจะช่วยให้ได้ไป
Rehaf เธอบอกว่าอยากหนีออกจากประเทศเพราะเหตุผลเรื่องความเชื่อของเธอ คนทั่วโลกต่างเรียกร้องให้เธอได้ไป และประนามสาปแช่งศาสนาของประเทศเดิม เพราะความเชื่อนี้จะทำให้เธอกำลังจะตาย
สุดท้ายเธอได้ไปต่อ ตามหาอิสรภาพที่เธอต้องการ วิธีที่เธอฉลองอิสรภาพ คือการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กินเบคอน โชว์ซะเลย
พอตั้งเหตุผลเรื่องศาสนาความเชื่อ มีคนจำนวนมากพร้อมจะเชื่อทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงทันที เรื่องที่ครอบครัวเธอจะจับแต่งงานจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ และไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะถูกฆ่าจริงไหมถ้าถูกส่งกลับ
ส่วนเธอไม่น่าจะฉลองชัยของเธอด้วยรสนิยมที่ทำร้ายตัวเองเลย ตกลงเธอต้องการอพยพด้วยเรื่องความเชื่อทางศาสนา หรือรสนิยมส่วนตัวที่กฎหมายในประเทศไม่อนุญาต ถ้าเป็นเหตุผลข้างหลัง ประชาคมโลกที่อุตส่าเรียกร้องให้เธอได้อิสรภาพ จะเสียดายพลังใจกันไหม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กรณีราฮาฟนี่คนมองผ่านๆคงด่าศาสนา ทั้งๆที่ไอความจัญไรมันคือกฏระเบียบเฉพาะของซาอุ เน้นว่าซาอุที่เดียวที่อื่นๆไม่เห็นบ้าบอแบบนี้ แล้วไอระเบียบที่ว่านี่แม่งเพิ่งมามีตอนปลายยุค70ด้วยนะ ไม่ใช่ของเก่าอะไร
ถ้านางเกิดในประเทศอื่น ไม่ชอบพออะไรก็แค่บินไปอยู่ประเทศอื่น จบ เรื่องไม่ใหญ่โตแบบนี้หรอก
พยายามทำ Cashless แต่ยังไม่ทันเปลี่ยนพฤติกรรมผู้คนให้เป็นวงกว้างก็มาสกัดขาตัวเองด้วยภาษี คือควรเก็บภาษีเป็นเรื่องปกติแหละ แต่มันเร็วเกินไป ไม่คิดก่อนเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
องค์การอนามัยโลกแสดงความยินดีกับไทยที่กฎหมายห้ามใช้ไขมัน trans มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อ 9 มกราคม 2562 ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในอาเซียน
.
อนึ่ง จากการวิจัยพบว่าไขมัน trans เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตกว่า 500,000 คน ทั่วโลกในแต่ละปี
ประเทศคงเจริญขึ้นมากๆ ถ้าคนไทยรู้ว่า การทำบุญแล้วได้บุญจริงๆ ไม่ใช่การทำบุญให้วัด
แต่คือการนำเงินไปช่วยเหลือคนป่วย คนเจ็บ คนพิการ ผู้ประสบภัย เด็กกำพร้า นักเรียนยากจน โรงพยาบาล โรงเรียนกันดาน สัตว์ป่วย สัตว์พิการ สัตว์ป่า ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ต่างหาก
พูดง่ายๆคือ พวกมึงเอาเงินไปให้พระ เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน พอพวกมึงตาย สวรรค์ก็ไม่เปิดประตูให้หรอก เพราะมันไม่ได้บุญ สรุป เสียเงินฟรี
เหมือนพวกมึงจะขึ้น BTS แต่เสือกเอาเงินไปซื้อตั๋ว MRT
พระพุทธเจ้าสอนให้ช่วยเหลือผู้ลำบากยากไร้เดือดร้อน ไม่เคยสอนให้เอาเงินไปให้พระ ส่วนคนที่ยุให้คนเอาเงินทองไปบำเรอพระ คือ อีเทวทัต ที่ผลักหินลอบฆ่าพระพุทธเจ้า
>>620 มั่วนิ่ม จะบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้เอาเงินไปให้พระน่ะใช่ แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามทำบุญกับพระนะ เช่น เอาเงินไปให้วัดจ่ายค่าน้ำค่าไฟ สร้างศาลาสร้างโบสถ์ อันนี้เป็นบุญ พระจับเงิน = ผิดน่ะใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนให้เงินจะไม่ได้บุญนะ ถ้ามึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พระเอาเงินไปบำรุงพระพุทธศาสนา แล้วพระก็เอาไปทำตามนั้น มึงก็ได้บุญ
และตามหลักศาสนา ระหว่างมึงซื้อข้าวของจำเป็นไปถวายพระ กับซื้อข้าวของจำเป็นไปให้ขอทาน ให้พระได้บุญเยอะกว่า
ไม่กี่วันก่อน ด้วยการสนับสนุนของ ททท จัดงานขอบคุณ นทท จีน ด้วยเลี้ยงมะม่วง 5 ตัน ทำให้ย้อนนึกถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ว่ากันว่า งานเลี้ยงมะม่วงนี้ดราม่ากันมาก เพราะมีคนไปถ่ายภาพอาหารเหลือ ซึ่งเหลือแค่ข้าวเหนียวและน้ำตาลทรายสีเหลืองที่โรยเป็นอักษรไว้ อันเป็นส่วนที่จัดในกระบะไว้อวดเฉยๆ(และตักออกไปแล้วเกินครึ่งแทบไม่เหลือมะม่วงแล้ว) ส่วนข้าวเหนียวมะม่วงที่แจกคนจีนกว่าหมื่นคนเศษนั้นจัดสำรับไว้ต่างหาก
ก่อนจะพูดถึงยิ่งลักษณ์ที่รักยิ่ง ได้ข่าวโต๊ะจีนข้าวเหนียวมะม่วงใช้เงินไปราวๆ 7 ล้านบาท หรือเฉลี่ยค่าใช้จ่ายเลี้ยงแขก ราวๆ 7 ร้อยบาทต่อหัว ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้ค่าธรรมเนียมคนเข้าเมืองที่รัฐโขกสับ นทท จีน ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ขี้เหนียวไปด้วยซ้ำ
เอาหละเรื่องเลี้ยงขอบคุณ ถ้าจะดูตัวอย่างควรจะเรียนรู้จากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไว้บ้าง เมื่อคราวที่เกิดมหาอุทกภัยใหญ่ปีเถาะ ซึ่งรัฐประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทั้งในการป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย สร้างความวิบัติฉิบหายอย่างเป็นชิ้นเป็นอันให้กับคนค่อนประเทศ
กระนั้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 รัฐบาลได้จัดงานเลี้ยงขอบคุณคณะรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองความสำเร็จในความล้มเหลวของการแก้ไขภัยพิบัติ เมื่อ 3 เดือนก่อน ภายใต้วงเงินนับสิบล้านบาทซึ่งเป็นงบประมาณแผ่นดิน จัดเลี้ยงกินอยู่หรูหรา อาหารดี ดนตรีไพเราะ
ขนาดเลี้ยงขอบคุณ นทท จีน ใช้เงิน 7 ล้าน คนหมื่นคน ยังกินกันเหลือเฟือ แต่งานเลี้ยงขอบคุณน้ำท่วมแขกไม่ถึงพัน ใช้เงินแค่ 10 ล้าน ฟาดกันเรียบนะครับ แดรกกันสนุกจนไม่มีอาหารเหลือให้ฉาวโฉ่เลย
อนิจจา หลังน้ำท่วมใหญ่ 3 เดือน ประชาชนเดือดร้อนนับ 10ๆ ล้านคน ยังไม่มีใครได้เงินเยียวยากันสักบาท แต่ภายใต้ความล้มเหลวที่รัฐบาลถือเป็นความสำเร็จกลับเอาเงินภาษีประชาชนมาโซ้ยกันอิ่มถ้วนหน้าไปแล้ว
ในขณะที่การขอบคุณ นทท จีน ด้วยเงินเพียง 7 ล้านบาท มันน่าด่าจริงๆ คนตั้งหมื่นคน ใช้เงินน้อยกว่าเลี้ยงคนพันคน เฮ้ย ถึง ททท ใช้เงินแผ่นดิน แต่ในแต่ละปีเก็บค่าวีซ่าคนจีนได้ตั้งเกือบหมื่นล้านบาท เอามาขอบคุณเค้าแค่ 7 ล้าน มันจะขี้งกไปหน่อยไหมพ่อคุณ!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
- รำลึก ฮีธ เล็ดเจอร์: แบบอย่างของการแบ่งปันเพื่อนมนุษย์
.
หากเอ่ยถึง ฮีธ เล็ดเจอร์ สิ่งแรกๆ ที่จะแล่นเข้ามาในความคิดก็คงเป็นรอยยิ้มชวนละลายใน 10 Things I Hate About You (1999) หรือเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งใน The Dark Knight (2008) แต่ขณะเดียวกันสำหรับคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง พวกเขาจะนึกถึงฮีธในเรื่องของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่เคยได้รับ เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่สร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลให้กับอาชีพของพวกเขา ตลอดหลายปีนั้นฮีธได้ช่วยเหลือนักแสดงเพื่อนร่วมชาติไว้มากมายให้สามารถลืมตาอ้าปากได้ในฮอลลีวูด
.
“แต่ก่อนเรามักได้คุยเล่นหัวเราะกับคนแปลกหน้ามากมายที่มาอาศัยอยู่ในบ้านของเขาที่แอลเอ” เคต เล็ดเจอร์ นึกย้อนความทรงจำเมื่อครั้งได้เห็นผู้เป็นน้องชายเปิดบ้านต้อนรับคนพลัดถิ่นทั้งหลายที่หกเหินมาแสวงโชคกันในดินแดนแห่งความฝันเฉกเช่นเดียวกับตน “ปกติเราจะได้เห็นเขาแนะนำตัวกับทุกคนว่า ‘หวัดดีครับ ผมฮีธนะ นี่บ้านผมเอง’ ”
.
ไม่ว่าจะที่พักพิง ยานพาหนะ หรือปัจจัยอื่นๆ ที่จำเป็น ฮีธได้เสนอตัวสนับสนุนทุกทางเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้เหล่าคนที่กำลังตั้งหลักอาชีพนั้นอยู่รอดได้จนกระทั่งแข็งแรงพอจะยืนด้วยลำแข้งตัวเอง “บ้านเขาจะเต็มไปด้วยคนมากมายเสมอ ซึ่งครั้งนึงฉันคือหนึ่งในนั้น” โรส เบิร์น นักแสดงสาวออสซี่ผู้โด่งดังจาก Bridesmaids (2011) กล่าว “ถึงขั้นมีนโยบายเปิดประตูรับทุกคนเลยด้วยซ้ำ เขาช่วยตลอด ออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้”
.
ในฐานะที่ครั้งหนึ่งเคยต้องดิ้นรนทนกับความลำบากกว่าจะประสบความสำเร็จ ฮีธจึงเข้าใจหัวอกการเป็นคนต่างถิ่นไม่มีหัวนอนปลายเท้าดี เขาพยายามมอบความหวังให้กับผู้อื่น เพียงที่นอนอุ่นๆ หรืออาหารอิ่มๆ สักมื้ออาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนระหว่างความล้มเหลวหรือความสำเร็จของคนคนนั้นได้ทันที และตลอดเวลานั้น เขาให้โดยไม่เคยร้องขอสิ่งใดตอบแทน
.
“ฮีธไม่ได้เป็นนักแสดงเพราะอยากมีชื่อเสียงหรือร่ำรวยเงินทอง เขาแค่รักในศาสตร์ที่ตัวเองถนัดและก็รักการช่วยเหลือคนอื่นก็เท่านั้น” คิม เล็ดเจอร์ ผู้เป็นพ่อยืนยัน
.
ผลสุดท้ายการกระทำของฮีธก็ส่องประกายออกมาแม้ในวันที่เขาได้จากไปแล้ว เพราะหกเดือนหลังฮีธเสียชีวิต ได้มีการจัดตั้งกองทุน ฮีธ เล็ดเจอร์ สำหรับมอบทุน 10,000 ดอลลาร์ให้กับนักแสดงหนุ่มสาวชาวออสเตรเลียในทุกปีเพื่อเป็นกำลังทรัพย์ในการปักหลักสร้างอาชีพในฮอลลีวูดโดยมีบุคคลระดับแถวหน้าของวงการมากมายอาสามาเป็นกรรมการคัดเลือก เช่น นาโอมิ วัตต์ส, นิโคล คิดแมน, ฮิวจ์ แจ็คแมน รวมไปถึง โรส เบิร์น ที่มาสืบสานเจตจำนงของสหายผู้ครั้งหนึ่งได้สอนให้เธอรู้จักการให้
.
โดยหลังมีการมอบทุนเป็นประจำทุกปีได้มีนักแสดงจากออสเตรเลียเข้ามาประสบความสำเร็จในฝั่งอเมริกากันมากขึ้น ซึ่งในบรรดาผู้รับทุนคือ เบลล่า ฮีธโคต ที่มีผลงานเด่นอย่าง The Neon demon (2016), Pride and Prejudice and Zombies (2016) และซีรีส์ The Man in the High Castle
.
ขณะที่ผู้ชนะทุนปีล่าสุดเป็นนักแสดงหญิงลูกครึ่งออสซี่-ซิมบับเวนามว่า คาร์เมน บิงวา เธอทั้งผิวสีและเปิดเผยตัวในฐานะเพศที่สาม เป็นบุคคลที่จะถูกจำกัดโอกาสในอาชีพอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ด้วยชื่อของชายซึ่งประดับอยู่กับกองทุนแห่งความหวังนี้ เธอจึงกล้าก้าวออกมาพิสูจน์ตัวเองจนกลายเป็นนักแสดงผิวสีคนแรกที่คว้าทุน แรงบันดาลใจส่งต่อแรงบันดาลใจไม่รู้จบ
.
“ถ้าเขาได้เห็นว่าตอนนี้คนอื่นๆ กำลังช่วยเหลือกันและกันเพื่อให้บรรลุความฝัน เขาคงดีใจนะ” เคตผู้เป็นพี่กล่าวทิ้งท้าย
.
- 22 มกราคม ครบรอบ 11 ปีการเสียชีวิตของ ฮีธ เล็ดเจอร์
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพิ่งเห็นได้ดู series ฝรั่งเรื่อง the 100 ไป
เทียบกับปีที่ฉายแล้วกูเริ่มไม่แปลกใจว่าทำไมทรั้มป์ชนะเลือกตั้ง
ร่านแม่งก็เป็นซะอย่างงี้ กัดกันเองยังกะหมา
ไปดูสลิ่มเป็นตัวอย่างหน่อยดิ ใครทำเหี้ยอะไรแม่งยังอวยกันได้แบบไม่สนหีสนแตด
ถ้ามีสงครามร่านต้องแพ้แน่ๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันก่อนเพิ่งไปพูดประเด็นนี้ที่งาน Lit Fest หยกๆ
ทำไมยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คนยุโรปถึงต่อต้านเสรีภาพกันนัก และอีกด้านหนึ่ง มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรกับสภาวะในปัจจุบันที่ฝ่ายขวาค่อยๆ รุกคืบมาอย่างน่ากลัว
คนเราต่อต้านเสรีภาพ ส่วนใหญ่เพราะยังเข้าใจผิดว่าเสรีภาพให้หรือไม่ให้อะไรกับเราบ้าง
เสรีภาพให้อะไรหลายอย่างกับชีวิต กับสังคมที่เราอาศัยอยู่ แต่ที่แน่ๆ "ความสามัคคี" ไม่ใช่หนึ่งในนั้น (หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ความสามัคคีในความหมายทื่อๆ แบบที่เข้าใจกัน)
ดังนั้น ไม่แปลก ถ้าจะมีคนที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องความสามัคคี โดยพยายามลิดรอนเสรีภาพคนอื่น แบบที่เห็นอยู่ในขณะนี้
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Work For แตกต่างกับ Work With
- Work for จะเป็นการทำงานโดยมีคนอื่นเป็นคนตั้ง Goal แล้วเราต้องทำงานเพื่อให้เป็นไปตาม Goal นั้น ทุกอย่างถูกควบคุมด้วยอะไรหลายๆ อย่าง เช่น ทำงานกี่โมง ทำงานที่ไหน ทำงานกับใคร ผลลัพธ์คืออะไร
- Work with คือ การทำงานร่วมกัน เรา (แต่ละคน) มีหน้าที่ในการร่วมกับ Set Goal และมีการแชร์ Goal นั้นด้วยกัน พยายามทำงานเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย ไปถึงความสำเร็จนั้นไปด้วยกัน ไม่มีการควบคุมกันและกัน แต่มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือกันเสมอๆ
ใน Coraline เรา Work with เพราะเรามีการ Discuss กันอยู่เสมอ เพื่อให้งานมีคุณภาพ และได้ทำงานที่เราต่างมีความสุขกับการได้ทำงานไปพร้อมๆ กับการใช้ชีวิต
ดังนั้น สำหรับแป้ง กับลูกค้าก็เช่นกัน แป้ง Work with ลูกค้า หมายความว่า Goal ของลูกค้า ก็คือ Goal ของแป้งเช่นกัน แต่ถ้าเรามองไม่เห็น Goal นั้น เราก็จะแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อให้ไม่ต่างคนต่างเสียเวลา
คนส่วนใหญ่ก็อยากจะ Work with เพราะทุกคนต่างต้องการการยอมรับ แต่ Work with ไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกองค์กร ขึ้นอยู่กับ Culture ขององค์กรนั้นๆ
ลองหันมาลองสักนิด ตอนนี้ คุณกำลัง Work แบบไหนอยู่ และคุณจะ Work อย่างไร ให้มีความสุขกับการทำงานค่ะ :)
ศีลธรรมมันแค่คำสวยหรู เอาไว้ปกป้องคนอ่อนแอขี้แพ้ ช่วงสงครามโลก องค์ความรู้เรื่องสารเคมี ยารักษาโรค เจริญแบบก้าวกระโดด ก็เพราะได้ทดลองกับคนจริงๆนี้ละ อย่ากระแดะกันนักเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ริบร่านว่าไงคับ?
คนจีนบอกคอมมี่แบบจีนนี่แหละ ปชต ที่แท้จริง ทุกคนเท่าเทียมกันที่แท้ทรู
ที่จริงอยากจะพูดถึงประเด็นของน้องราฮาฟหลายครั้งแล้วแต่กลัวดราม่า เลยรอให้เรื่องเงียบก่อนค่อยพูดดีกว่า
สำหรับเราแล้วมองการทำงานของ UNHCR เป็นการเลือกปฏิบัติมากๆ มีผู้แสวงหาที่ลี้ภัยอีกมากมายหลายร้อยหลายพันคนที่เข้ามาในไทยก่อนหน้าน้องราฮาฟ แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลจาก UNHCR
หลายรายถูกปฏิเสธสถานะผู้ลี้ภัย รวมถึงปฏิเสธเรื่องลี้ภัยไปประเทศที่สาม ทั้งๆที่เรื่องราวและชีวิตพวกเค้าหนักหนาสาหัสกว่าราฮาฟเยอะมากๆ หลายรายถูกกักขังอยู่ใน ตม. ครอบครัวถูกแยกออกจากกัน มีความเป็นอยู่ที่เลวร้ายสุดๆ แต่ UNHCR หายหัวไปไหนล่ะ?
ผิดกับน้องราฮาฟที่เข้าไทยมาได้ไม่กี่วัน แต่โชคดีที่เมื่อกลายเป็นข่าวดังในหน้าสื่อ ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ และกลายเป็นกระแสในโซเชียลเนตเวิร์ค จึงทำให้ UNHCR รีบพุ่งเข้ามาให้การช่วยเหลืออย่างฉับพลัน คล้ายๆกับว่าต้องการให้องค์กรได้ชิงพื้นที่ในสื่อไว้ก่อน (เอาหน้า) ซึ่งผมก็ยินดีกับน้องราฮาฟด้วยที่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
แต่.... มันไม่ยุติธรรมกับผู้อพยพรายอื่นๆเลยที่เค้าทนทุข์รอการช่วยเหลืออยู่หลายปี แต่โชคร้ายที่พวกเค้าไม่ได้เป็นข่าวหรือไม่เป็นกระแสขึ้นมาเท่านั้นเอง ผมจึงมอง UNHCR ในทางลบมากๆว่า เลือกที่จะช่วยเหลือคนที่เป็นข่าวเพื่อที่จะอยู่ในหน้าสื่อ หรือผลประโยชน์ต่อองค์กรตัวเองเท่านั้นเหรอ?
การปฏิบัติกับน้องราฮาฟดั่งกับว่าเป็นผู้อพยพ VIP ดีๆนี่เอง ทั้งเรื่องการให้สถานะผู้ลี้ภัยในแบบที่แทบจะประเคนให้เลย แถมตอนเดินทางยังมีเจ้าหน้าที่ UNHCR เดินทางไปส่งถึงที่ประเทศปลายทางอีกด้วย นี่มันผู้อพยพระดับเอ็กซ์คลูซีฟชัดๆ ต่างจากผู้อพยพรายอื่นๆที่เวลาจะขอสถานะผู้ลี้ภัย จะต้องมีการนัดสัมภาษณ์ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นปีในการรอคิว สุดท้ายพอได้สัมภาษณ์ขึ้นมาก็ถูกปฏิเสธ จึงทำให้ต้องไปทำการนัดขอคิวใหม่แบบนี้เรื่อยๆในปีถัดไป
ยกตัวอย่างครอบครัวม้งที่ผมเพิ่งได้ช่วยให้ไปฝรั่งเศสเมื่อไม่นานนี้ พ่อถูกขังอยู่ใน ตม. 10 ปี ส่วนแม่และลูกๆ 6 คน ต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆอยู่ในซอกหลืบของกรุงเทพ ครอบครัวนี้ถูก UNHCR ปฏิเสธมาตลอดระยะเวลา 10 ปี จนผมและเพื่อนๆต้องก้าวขาเข้าไปให้ความช่วยเหลือพวกเค้ากันเอง โดยไร้การเหลียวแลจาก UNHCR ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งกว่านั้นยังโดนเจ้าหน้าที่ของ UNHCR กีดกันเรื่องการช่วยเหลืออีก (อย่าให้เล่าเลย เรื่องมันยาว เดี๋ยวรอเล่าในโพสต์ใหม่ทีเดียวเลย) ซึ่งตอนนี้ยังเจ็บใจอยู่ไม่หาย
จากข้อมูลที่ผมมีคือ สัดส่วนของผู้อพยพที่ UNHCR ได้ช่วยเหลือให้ไปประเทศที่สามนั้น มีน้อยกว่า 1% เท่านั้นเอง ที่เหลืออีก 99% คืออะไรล่ะ มันเลยทำให้ผมตั้งคำถามว่า UNHCR ในไทย ได้ทำหน้าที่ของตัวเองสุดความสามารถหรือไม่? หรือเลือกทำเฉพาะรายที่เป็นข่าวโด่งดังเท่านั้นหรือ?
ปล. ขอบคุณรูปประกอบโพสต์ จากอมรินทร์ทีวี ครับ
>>633 กูชอบ setting เรื่องนี่นะไอ้ยุคหลังยิงนิวเคลียร์ล้างโลกจนอยู่กันไม่ได้ แบบ fallout ไอ้พวกอยู่ได้ก็ย้อนอารยธรรมเป็นคนป่า
มีการผูกโยงไทมไลน์จาก SS1 ที่ไม่ได้อธิบายมาเสริมใน SS หลัง จะแปลกนิดหน่อยก็ตรงอเมริกามันดูเล็กๆเดินทางข้ามรัฐกันไวชิบหาย
เนื้อเรื่องก็แอบๆเสียดสีการเมืองอเมริกาแต่ละSS
ยกเว้น iq สมองตัวละครที่เวลาจะโง่ก็โง่กู่ไม่กลับ ถึงบางคนจะพอมีคำอธิบายก็เหอะ
动态网自由门 天安門 天安门 法輪功 李洪志 Free Tibet 六四天安門事件 The Tiananmen Square protests of 1989 天安門大屠殺 The Tiananmen Square Massacre 反右派鬥爭 The Anti-Rightist Struggle 大躍進政策 The Great Leap Forward 文化大革命 The Great Proletarian Cultural Revolution 人權 Human Rights 民運 Democratization 自由 Freedom 獨立 Independence 多黨制 Multi-party system 台灣 臺灣 Taiwan Formosa 中華民國 Republic of China 西藏 土伯特 唐古特 Tibet 達賴喇嘛 Dalai Lama 法輪功 Falun Dafa 新疆維吾爾自治區 The Xinjiang Uyghur Autonomous Region 諾貝爾和平獎 Nobel Peace Prize 劉暁波 Liu Xiaobo 民主 言論 思想 反共 反革命 抗議 運動 騷亂 暴亂 騷擾 擾亂 抗暴 平反 維權 示威游行 李洪志 法輪大法 大法弟子 強制斷種 強制堕胎 民族淨化 人體實驗 肅清 胡耀邦 趙紫陽 魏京生 王丹 還政於民 和平演變 激流中國 北京之春 大紀元時報 九評論共産黨 獨裁 專制 壓制 統一 監視 鎮壓 迫害 侵略 掠奪 破壞 拷問 屠殺 活摘器官 誘拐 買賣人口 遊進 走私 毒品 賣淫 春畫 賭博 六合彩 天安門 天安门 法輪功 李洪志 Winnie the Pooh 劉曉波动态网自由门
เริ่มเป็นเทรนด์ของเว็บ Tech เมืองนอกที่ทยอยเขียนวิเคราะห์ว่า Apple กำลังจะถึงจุดจบหรือไม่
.
เอาจริง ๆ ปีที่แล้วรายได้รวมของ Apple ก็ยังขึ้นจากปีก่อน ๆ อยู่ดีนะ แต่ก็เพราะว่าราคาไอโฟนสูงขึ้นนั่นแหละ ถึงเปิ้ลจะตัดสินใจไม่เปิดเผยตัวเลขยอดขายเครื่อง iPhone แต่ก็ชัดเจนว่ามันลดลงไปหลักสิบล้านเครื่องอยู่
.
ทางด้าน Revenue Breakdown ก็จะเห็นชัดเจนว่า iPhone เป็นรายได้หลักอยู่ถึง 63% รายได้ของส่วนนี้พุ่งทะยานมาก (เพราะขายแพง) แต่ตัว Mac และ iPad ยอดรายได้ค่อนข้างคงที่ค่อนไปทางร่วงลงอยู่
.
Other Products อย่าง AirPods, Apple TV, Apple Watch ฯลฯ ก็ดูจะได้รับความสนใจขึ้น ดูจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอยู่เรื่อย ๆ
.
แต่ที่ดูจะพุ่งและน่าสนใจกว่าชาวบ้านคือ "Services" ที่แอปเปิ้ลพยายามผลักดันรายได้มาสักพักนึง ยอดรายได้ล่าสุดก็สูงถึง $37.2B หรือ 14% และแอปเปิ้ลเล็งว่าจะทำให้สูงถึง $50B ให้ได้ภายในปี 2021
.
ฟังดูน่าสนใจดี แต่ปัญหานึงคือถ้าไปดูรายละเอียดจะพบว่า "Services มีแกนกลางหลักเป็น iPhone อยู่ดี" เพราะมันคือบริการที่คนใช้ผ่าน iPhone กัน เช่น iCloud, Apple Care, Apple Music, iTunes, App Store เป็นต้น อาจจะมีบ้างที่ใช้ผ่าน Mac หรือ iPad แต่ด้วยยอดขายแล้วถือว่าไม่มีนัยสำคัญ
.
ดังนั้นถ้ายอดขายของ iPhone ลดลง ตัวเลข Services ได้รับผลกระทบแน่นอน
.
ถามว่าแล้วทำไมปีที่แล้วยอดขาย iPhone ลดลง แต่รายได้ Services เพิ่มขึ้น ? นั่นก็เพราะว่าปีที่แล้วยอดการซื้อ Smartphone ทั่วโลกชะลอตัว คนไม่ซื้อมือถือใหม่กัน เอาง่าย ๆ คือใช้รุ่นเก่าต่อไป ดังนั้นคนใช้ iPhone 7-8 ก็ยังใช้อยู่ ดังนั้นจึงยังต้องพึ่งพา Services พวกนี้อยู่ รายได้ส่วนนี้จึงยังเพิ่มได้อยู่
.
สิ่งที่จะตัดสินว่ายอด Services จะเป็นยังไงต่อก็คือวันที่คนเริ่มซื้อมือถือใหม่ หากมีการเปลี่ยนค่ายจาก iPhone ไปแอนดรอยด์กันเยอะขึ้น ย่อมกระทบต่อยอดรายได้ Services ก้อนนี้แน่นอน
.
และสิ่งที่จะวัดว่าคนจะไหลออกมั้ยก็คือ "ปัจจัยเรื่องราคา" แต่ก่อนมีหลายปัจจัย แต่ตอนนี้มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ในวันที่เทคโนโลยีมีแต่ราคาถูกลง แต่มือถือแอปเปิ้ลกลับราคาแพงขึ้นจนเริ่มถึงจุดที่คน Agree ร่วมกันว่าแพงเกินไป จนเริ่มเกิดการพลิกผันของค่านิยม ถ้าคนมองว่ามือถือแอปเปิ้ลไม่เซ็กซี่ก็ถึงขาลงอย่างเป็นทางการเมื่อนั้น (ตอนนี้ยัง)
.
หากไม่มีการปรับเรื่องราคา บอกได้ว่าลำบาก
.
ไม่คิดว่า Apple จะถึงจุดจบ ยังไปต่อได้อีกไกล มีนวัตกรรมอีกหลายอย่างที่แอปเปิ้ลจะเข็นออกมาได้ แต่แอปเปิ้ลต้องตระหนักได้มากกว่านี้ว่ารายได้ส่วนอื่น ๆ จะขึ้นได้ก็ต่อเมื่อยอดขาย iPhone ขึ้น ไม่ใช่ลดลง
.
ไม่งั้นนวัตกรรมก็ไม่ช่วยอะไร เพราะระบบของ Apple เป็นระบบปิด
.
แต่ Apple กลับปิดไม่ให้คนเข้าระบบเสียเอง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"การที่ตอนเด็กๆ เราได้รับการรณรงค์ว่าโรคเอดส์เป็นแล้วตาย รักษาไม่หาย ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายของ World Bank ที่ฟันธงว่าสำหรับประเทศยังไม่พัฒนา นโยบายหลักที่จะเอาเงินอัดลงไปคือนโยบายเชิง"ป้องกัน" ไม่ใช่ "รักษา"
เพราะแม้ว่าจริงๆ การ "รักษา" เอดส์ (คือการกินยาต้านไวรัสไปเรื่อยๆ) แม่งจะทำได้ตั้งแต่กลางยุค 1980's แล้วในทางการแพทย์ แต่แม่งแพงมาก พวกองค์กรระหว่างประเทศแม่งแบกต้นทุนไม่ไหว และมองว่ามัน "ไม่คุ้ม" มันเลยเอาเงินไปอัดแนวทางแบบ "ป้องกัน" แบบให้ใส่ถุงยางแทน
ดังนั้นตอนเด็กๆ เราเลยจะเรียนรู้แต่ว่าเอดส์เป็นแล้วตาย ป้องกันได้ด้วยการใส่ถุงยางเท่านั้น Campaign แม่งมาแบบนี้
ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นมันคิดกันด้วยซ้ำว่าถ้าไปบอกคนว่ามีทางรักษา คนแม่งก็จะยิ่งปล่อยตัว ไม่ระวัง เพราะคิดว่าเดี๋ยวกินยาก็หาย ดังนั้นต้อง "หลอก" คนว่าเป็นแล้วตาย คนถึงจะกลัว
อย่างไรก็ดีภายหลัง แม่งวิจัยกันไปเยอะๆ พบว่ายิ่งไปบอกคนว่าเป็นแล้วยังไงก็ตาย คนแม่งยิ่งไม่ตรวจ เพราะคิดว่าไม่มีทางรักษา เลยช่างแม่งกันไปใหญ่ทำให้เอดส์ยิ่งระบาด
ดังนั้นตั้งแต่ต้น 2000's วิธีคิดมันเลยเริ่มเปลี่ยน เริ่มบอกให้คนรู้ว่ามีวิธีทำให้อยู่ได้ตลอดชีวิตนะ ยิ่งเจอเร็วยิ่งโอกาสใช้ชีวิตปกติได้สูง การไปตรวจและการรับยามันเลยมากขึ้น (ประกอบกับช่วงนี้ประกันสุขภาพทั่วโลกเริ่ม Support พวกยาต้านไวรัสด้วย)
ดังนั้นพอมาถึงยุคปัจจุบันเอดส์แม่งก็เลยไม่ใช่โรคที่แม่งระบาดเยอะอีก เพราะคนรู้ตัวว่าเป็นก็ไปรับยา อัดๆ เข้าไปจนไม่เป็นพาหะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อันนี้สงสัยมานานจริงๆว่า บรรดาเมียทั้วหลายของแม่งนี่ มันไม่กลัวติดเอดส์เลยเหรอครับ ซึ่งมันคงต้องติดอยู่แล้ว ละคนที่พึ่งเลิกไปอีกล่ะมันต้องเป็นใช่มั้ย
ฉันบินโดรนแบบอัตโนมัติมาหลายปี รู้สภาพว่ามันไม่คุ้มที่จะหิ้วน้ำ 5 ลิตรขึ้นไปฉีดน้ำท่ามกลางฝุ่นมหาศาล เหมือนปล่อยไก่ให้ฝรั่งเขาดูถูกคนไทยเล่นว่า บินเพื่อเอาหน้าเอาคำว่า 4.0 มาหลอกประชาชน แต่หลอกฉันไม่ได้หรอก 555
Trust me, I'm a Crazy Uncle Engineer...555
กูทึ่งจริงๆขนาดไม่บอกชื่อพวกมึงยังพร้อมใจกันรู้ว่าเอ่ยถึงใคร
เป้าหมายได้ผลเพียงระยะสั้น
passion มีผลต่อความสำเร็จน้อยกว่าที่คิด
.
...
.
ณ อุณหภูมิ 22 องศา -> ก้อนน้ำแข็งไม่ละลาย
25 องศา -> ก้อนน้ำแข็งไม่ละลาย
27 องศา -> ก้อนน้ำแข็งไม่ละลาย
29 องศา -> ก้อนนำ้แข็งไม่ละลาย
31 องศา -> ก้อนน้ำแข็งไม่ละลาย
และ
32 องศา -> ก้อนน้ำแข็งก็ละลายในที่สุด (แถมละลายกลายเป็นน้ำในพริบตา)
...
ไม้ไผ่ใช้เวลา 5 ปี ในการหยั่งราก
แต่ใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ในการแทงยอดจนสูงใหญ่
...
มะเร็งใช้เวลาทั้งชีวิตในการเพราะสร้าง "อาณาจักร" ของตัวเองโดยสามารถหลุดรอดจากการตรวจพบได้ตลอดเวลา
พอถึงจุดที่เครื่องมือสามารถตรวจพบได้ มันก็ลามไปทั่วทั้งอวัยวะเป้าหมายแล้ว
...
โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธ์ุ มีหนี้ของครอบครัว 18 ล้าน ใช้เวลานับ 10 ปีล้มลุกคลุกคลาน ก็ยังแก้หนี้ไม่หมด
จนเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ไม่เพียงโค้ชจะปลดหนี้ได้ แต่ยังกลายเป็นต้นแบบในการสร้างความร่ำรวยแบบพอเพียงให้กับคนไทย
ปัจจุบัน โค้ชหนุ่มกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินส่วนบุคคลที่กลายเป็นเซเลปที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบทุกด้าน (ทุกด้านจริง ๆ)
.
...
.
นี่คือความเป็นจริงของชีวิต
.
นี่คือธรรมชาติของโลกใบนี้
.
ในวันที่นิสัย เรายังไม่ก่อตัว เราต้องใช้เวลาในการค่อย ๆ สร้างนิสัยของเราขึ้นไปทีละน้อย ทีละน้อย
.
จนถึงวันหนึ่ง (ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าวันไหน) เมื่อนิสัย มันฟูมฟักจนหยั่งรากลึกมากพอ
.
มันจะ "ระเบิด" ขึ้นมาเอง
.
แต่ระหว่างนั้น คุณจะต้องทนกับภาวะ "ไร้ผลงาน" อยู่นาน
.
จนคุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมมันไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย (วะ)
.
...
.
คนเรามักจะเชื่อว่า
.
หากเรา take action อะไรที่มันยิ่งใหญ่ซักอย่างนึง มันจะต้องเกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ตามมา
.
เรามักจะเชื่อว่า
.
หากเราเข้าคอร์สที่ดีที่สุด จากอาจารย์ที่ดีที่สุดเพียง 3 วัน 7 วัน เราจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แล้วความสำเร็จจะอยู่ไม่ไกล
.
เราชอบคิดไปเองว่า
.
หากเราหา passion ของตัวเองเจอ ความสำเร็จของเราจะพุ่งทะยาน และนั่นคือจุดมุ่งหมายใหญ่ของชีวิต มันคือหน้าทีของชีวิตที่ต้องหามันให้เจอ
.
เรามักคิดเสมอว่า
.
หากตั้งเป้าใหญ่ และมีแรงบันดาลใจ ความสำเร็จของเราต้องไม่ธรรมดา
.
แต่ธรรมชาติ (และประสบการณ์ส่วนตัวของผม) ไม่ได้บอกแบบนั้น
.
...
.
สิ่งที่คุณเรียกเป็นความสำเร็จของคนอื่นทั้งหลาย
ทั้งธุรกิจที่เติบโต
ทั้งเงินเก็บนับหลายสิบล้าน
ทั้ง 6 packs ที่น่าลูบไล้
ทั้งครอบครัวแสนสุขสันต์
ทั้งชื่อเสียงอันหอมหวาน
.
มันไม่ได้เกิดจากการ Take Action ใหญ่เพียงครั้งเดียว
ไม่ได้เกิดจากการเข้าคอร์ส หรืออ่านหนังสือเปลี่ยนชีวิตเป็นหลัก
ไม่ได้เกิดจาก passion เพียงอย่างเดียว (และบางคนก็ไม่ได้ใช้ passion เป็นตัวนำทางด้วยซ้ำ)
ไม่ได้เกิดจากการตั้งเป้าใหญ่
.
แต่มันเกิดจาก...
.
การสะสมนิสัยทีละเล็ก ทีละน้อย
.
หากนิสัย หรือพฤติกรรมที่ส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ที่คุณต้องการมันมาถึงจุด "ระเบิด" ต่อให้คุณไม่อยากได้
ยังไงผลลัพธ์มันก็มา
.
หากนิสัยมันยังไม่หยั่งราก หรือพฤติกรรมของคุณยังไม่ได้เอื้อต่อการเป็นคนรวย ต่อให้คุณตะโกนจนปากฉีกว่า "ชาตินี้ผมจะมี 1,000 ล้านให้ได้"
คุณก็ไม่มีวันสำเร็จ
.
กุญแจมันจึงอยู่ที่การพัฒนานิสัยที่ดีให้มันดีขึ้นเพียงวันละ 1% และทำต่อเนื่องยาวนานพอ
.
แล้วปล่อยวางเป้าหมายใหญ่เอาไว้ก่อน
.
เป้าหมายอาจสำคัญจริง แต่ถึงไม่มีก็ยังสำเร็จได้ หากคุณเพาะสร้างนิสัย 1% อย่างต่อเนื่องมากพอ
.
นิสัยก็เหมือนกับการลงทุน หากคุณสะสมมัน มันจะพอกพูนแบบดอกเบี้ยทบต้น เหมือนเงินฝาก และเงินลงทุน
.
แต่อย่างที่ทุกคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วว่า
.
ดอกเบี้ยทบต้นจะไม่ให้ผลตอบแทนในระยะสั้น
.
ช่วงแรก ๆ เราแทบจะไม่เห็นน้ำเห็นเนื้อจากดอกเบี้ยทบต้นเลย
.
แต่พอถึง "ช่วงเวลาวิกฤต" ผลตอบแทนจะทบทวีจนน่าอัศจรรย์
.
เช่นเดียวกัน นิสัยเราก็ต้องใช้เวลาในการเพาะสร้าง
.
แล้วพอถึง "ช่วงเวลาวิกฤต" เราก็จะพบกับสิ่งที่เรียกว่า
.
ความสำเร็จชั่วข้ามคืน
.
เนื้อหาต่อจากนี้ไป เราจะนำวงจรสันดานจาก 3 ตอนแรก อันได้แก่
.
ตัวกระตุ้น -> ลงมือทำ -> รางวัล
.
มาขยี้หาวิธีในการสะสมนิสัยที่พึงประสงค์วันละ 1%
.
ลองคิดดูสิครับว่า หากคุณฝากเงินที่ให้ดอกเบี้ยวันละ 1%
.
ตอนสิ้นปีเงินของคุณจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่
.
...
.
ตอบ: 37 เท่าครับ
.
ผลลัพธ์จากนิสัยของเราก็เช่นเดียวกันครับ
.
หวังว่าที่ผมเขียนมายาวขนาดนี้ จะพอโน้มน้าวให้คุณลูกเพจทุกท่านอยากจะลุกขึ้นมาทำตามเทคนิคสร้างนิสัยที่ผมกำลังจะแบ่งปันต่อจากนี้ไปนะครับ
ข้าราชการชายแดนคนนี้กำลังจะหมดแรง..
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้โพสต์อะไรเลยค่ะเพราะเป็นช่วงตรวจราชการจังหวัดต้องเร่งทำข้อมูลและนำเสนอ เรียนจนมีความเชียวชาญต้องรับผิดชอบหลายงานก็เหนื่อยหน่อยแต่ก็ยังภูมิใจในการรับราชการในฐานะหมอคนหนึ่งเสมอที่นอกจากจะได้รักษาคนแล้วยังมีโอกาสวางแผนเชิงนโยบายเพื่อคนหมู่มาก..ประเด็นการตรวจราชการครั้งนี้มีเพิ่มเติมจากเรื่องอื่นๆคือ Border health ด้วยทางผู้ตรวจเห็นว่าพื้นที่แม่สอดชายแดนไทยพม่าเป็นเขตสุขภาพพิเศษเรามีภาระเพิ่มเติมจากประชากรแฝง ประชากรที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนแม้ว่าอยู่บนผืนแผ่นดินไทยมาช้านาน ปัญหาโรคติดต่อชายแดนที่นับวันสถานการณ์จะแย่ลงเพราะการคมนาคมสะดวกขึ้น เรายังต้องเป็นกำแพงสกัดกั้นโรคร้ายต่างๆไม่ให้เข้าประเทศ
ที่เราทำสำเร็จกันอย่างน่าชื่นชมในความคิดของฉันคือ
การกำจัดมาลาเรียจนเกือบจะหมดประเทศด้วยการตะลุยค้นหาเคสและรักษาอย่างทันที ปัจจุบันเหลือปีละไม่ถึงร้อยเคส
การสกัดกั้นวัณโรคในแรงงานต่างด้าวไม่ให้ขึ้นทะเบียน ไม่ให้เข้าไปทำงานในเมืองหลวง ต้องรักษาให้หายขาดโดยผ่านการคัดกรองกว่า 200,000 คนต่อปี
สกัดกั้นโรคเท้าช้างในแรงงานต่างด้าว ถ้าหลุดเข้าไปที่กรุงเทพก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง
โรคติดต่อร้ายแรง ทั้งเท้าช้าง คอตีบ แอนแทรกซ์ ไข้กาฬหลังแอ่น พิษสุนัขบ้า โรคหัด ก็ถูกกักกันไว้ที่ชายแดนไม่ให้เข้าไปในประเทศชั้นใน
ในบริบทการทำงานที่หนักหนาสาหัสยังซ่อนความภูมิใจเล็กๆไว้
วันนี้มีจดหมายด่วนฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ แจ้งกับฉันว่า..ทางราชการไทยจะหยุดสนับสนุนวัคซีนทุกชนิดกับคนต่างชาติ
เหมือนความย้อนแย้งรุนแรงเกิดขึ้น
ในขณะที่โรคที่ป้องกันด้วยวัคซีนยังคงระบาดต่อเนื่อง ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่มีการตัดฉับหยุดสนับสนุนวัคซีน..แม่ทัพจะออกรบได้อย่างไรถ้ายังขาดทหารและอาวุธ ทำเอาฉันกินข้าวไม่ลงเลยวันนี้
ข้อมูลล่าสุดเดือน ตค 2561 ประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวในประเทศรวม 2,117,716 คนมีแรงงานไหลเข้าผ่านชายแดนแม่สอดปีละสองแสนกว่าคน แน่นอนเกือบ 100% พวกเขา virgin ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนเพราะไม่มีโปรแกรมในประเทศของเขาและลูกหลานของพวกเขาที่พามาด้วยก็ไม่เคยฉีด มาทำงานเป็นภาคแรงงานซึ่งประเทศเราขาด พวกเขาไม่เกี่ยงงานหนัก บางคนมาทำงานดูแลลูกๆ ดูแลพ่อแม่ของคนไทยที่แก่เฒ่าติดเตียง อยู่กันหนาแน่นสุดก็ที่กรุงเทพและปริมณฑลถึง 1,247,082 คน เอาเป็นว่าอยู่กันแทบทุกซอยถ้ามีโรคติดต่อระบาดขึ้น หมอเก่งแค่ไหนก็ไม่รู้ว่าจะเอาอยู่หรือปล่าว
โรคบางโรคป้องกันด้วยวัคซีน..เกิดโรคระบาดเมื่อไหร่เราก็ต้องออกไปควบคุมโรคเหล่านี้ไม่มีวันหยุด เพราะเชื้อโรคไม่รอ บางครั้งฉีดกันหมดโรงงานเป็นร้อยๆคน แน่นอนเรามีปัญหาเรื่องวัคซีน ที่ผ่านมาไม่มีระเบียบใดๆรองรับไม่มีใครให้วัคซีนแก่คนไข้ต่างชาติ เราต้องอาศัยการแอบเนียนเบิกมาใช้ร่วมกับวัคซีนคนไทยโดยผ่าน สป.สช เราเป็นลูกอีช่างขอ..ขอทุกที่ที่จะให้โดยเฉพาะกรมควบคุมโรค แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันไปวันๆอย่างไม่ยั่งยืน บางครั้งก็ท้อเหมือนกันว่าประเทศนี้เราต้องมารับผิดชอบขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งๆที่ค่าวัคซีนก็ถูกแสนถูกคำนวนแล้ว 5 อำเภอชายแดนขอมีเงินแค่ 8ล้านบาทต่อปีเราก็สามารถสร้างกำแพงการควบคุมโรคให้คนไทยในประเทศได้แล้ว..ช่างน่าเศร้าใจที่เห็นถนนบางแห่งประโยชน์น้อยกว่านี้อีกยังได้รับการอนุมัติให้สร้างอย่างง่ายดายแถมใช้งบประมาณประเทศหลักร้อยล้าน
ความเหนื่อยของพวกเราที่ทำงานที่ชายแดนแห่งนี้ค่อยๆสะสมทีละน้อยๆแต่ก่อนที่มันจะถึงจุดที่ทนไม่ไหวเราก็จะมีความรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นี้แทนคนในประเทศมาทดแทนทันเวลาเสมอ ที่ชายแดนแห่งนี้..งานราชการหนักทุกส่วน ต้องทำงานมากขึ้นเป็น 3-4เท่า ในขณะที่ให้ตำแหน่งบุคลากรมาใช้สำหรับคนไทย 200,000 คนแต่ภาระงานจริง 500,000 คนถ้าใช้แต่แรงไม่ใช้ใจก็คงล่าถอยกันไปทุกคน
ณ เวลานี้พวกเราก็ยังไม่รู้ว่าทางออกของปัญหาขาดแคลนวัคซีนในคนต่างชาติคือทางไหน แต่ตราบใดที่ยังมีแรงก็สัญญาค่ะว่าจะทำหน้าที่กำแพงฝั่งตะวันตกอย่างเต็มความสามารถแม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นความสำคัญของเราก็ตาม
แม้ตัวเขาจะไม่ได้เกิดในอเมริกา แต่ก็ยินดีร่วมต่อสู้เคียงข้างชนผิวสีทุกคน
หากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง "Selma" ซึ่งได้ออกฉายเมื่อปี 2014 ถ้าจำกันได้ มันจะมีอยู่ฉากหนึ่งที่มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เดินนำขบวนจากเซลมาไปมอนต์โกเมอร์รี่ แล้วมี "พระออร์โธด็อกซ์" องค์หนึ่งเดินข้างกันด้วย
ผมเชื่อว่าฉากนี้คงเป็นที่สะดุดตาสำหรับใครหลายๆคน และทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเขาผู้นี้เป็นใครกัน?
เขาผู้นี้คืออาร์คบิชอปเอียโควอส (Archbishop Iaknovos) ผู้นำศาสนจักรกรีกออร์โธด็อกซ์ในสหรัฐอเมริกาครับ
ท่านเอียโควอส เดิมชื่อว่า เดมิทริออส คูคูซิส เกิดเมื่อ ค.ศ. 1911 เป็นชาวกรีกบนแผ่นดินจักรวรรดิออตโตมัน และได้ขึ้นเป็นอาร์คบิชอปของศาสนจักรประจำสหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1959 ซึ่งต้องทำหน้าที่ดูแลโบสถ์อารามกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ
ท่านเป็นผู้สนับสนุนขบวนการสิทธิพลเมืองอย่างเปิดเผยและไม่เกรงกลัวสิ่งใด เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ประกาศเดินขบวนจากเซลมาไปมอนต์โกเมอร์รี่ในปีค.ศ. 1965 ท่านเอียโควอสก็ตัดสินใจเข้าร่วมทันที โดยกล่าวว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่ท่านจะแก้แค้นผู้ใดก็ตามที่กดขี่มนุษย์ด้วยกันเอง จนเป็นภาพโด่งดังลงปกนิตยสาร LIFE ฉบับวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1965
ท่านได้กล่าวสนับสนุนบัญญัติสิทธิพลเมืองฉบับปี 1964 ด้วยว่า
"ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์ผู้สูงสุด! ขอให้บัญญัตินี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของมนุษย์ทุกคน ยุคที่พระวจนะของพระเจ้าได้ถูกนำมาปฏิบัติและนำทางชีวิตพวกเรา"
แต่เนื่องจากท่านสนับสนุนขบวนการสิทธิพลเมือง รวมถึงเอกภาพระหว่างนิกายในคริสตศาสนา ทำให้ท่านถูกโจมตีจากทั้งภายในและภายนอกศาสนจักร บางคนว่าท่านเป็นผู้ทรยศ ไม่ใช่ชาวอเมริกัน ไม่ใช่แม้กระทั่งชาวคริสต์
ชาวออร์โธด็อกซ์บางคนก็ไม่ปลื้มที่อาร์คบิชอปเอียโควอสไปร่วมสวดภาวนากับชาวคริสต์นิกายอื่นนอกจากตนเองอีกด้วย
กระนั้น ท่านก็ยังคงยืนหยัดสู้เพื่อสิทธิพลเมืองต่อไป เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของชาวคริสต์ที่พึงกระทำ จนเสียชีวิตในปีค.ศ. 2005 ด้วยวัย 93 ปี
"ศาสนจักรของเราไม่เคยลังเลที่จะสู้ เมื่อจำเป็นต้องสู้เพื่อสิทธิของมนุษย์"
- อาร์คบิชอปเอียโควอส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
DeepMind AI เล่น Starcraft แข่งกับโปรเมื่อคืน ผลลัพธ์
AlphaStar(AI) 10 - 1 มนุษย์
คืออย่างงี้นะ มันน่าสนใจสำหรับผมมากๆเพราะผมเคยพากย์ starcraft 2 มาก่อน แล้วผมก็รู้เรื่อง AI พอสมควร วันนี้จะมาเม้าให้ฟัง แมทช์แบบนี้เค้าจำกัดค่า Input ของ AI ให้ทำได้เท่าๆกับมนุษย์ รวมถึงค่าการตอบสนองใส่ delay ไว้หลาย microsecond เพื่อให้เท่าเทียมกัน รวมไปถึงข้อมูลในเกม AI ก็รู้เท่าที่ตัวเองมองเห็น ถ้าอยากรู้ข้อมูลก็ต้องส่งยูนิทไปสอดแนมเอง
มนุษย์คนแรก Liquid TLO โปรเผ่า Zerg แต่เล่น Protoss โดนไป 0-5 เค้าก็แบบว่า อ๋อ เออ AI มันเก่งนะ แต่ยังมีข้อผิดพลาดเยอะมาก เช่นไม่สร้างฐานบังเนิน ยังกรุปยูนิทเป็นก้อนๆ สร้างยูนิทเกินความจำเป็น แถมมนุษย์ไม่ได้เผ่าถนัด ก็เลยเฉยๆไป
DeepMind เลยเขิญ Liquid MaNa โปรเผ่า Protoss top 10 ของโลกแน่ๆมาวัดกันในอาทิตย์ต่อมา โดย AlphaStar ก็ไปเทรนมาใหม่ หลังจากสู้กับ TLO
เกมแรกต้องบอกว่า MaNa ประมาทไปหน่อย คิดว่า AlphaStar จะไม่กล้าขึ้น high ground ที่เค้าป้องกันด้วย Sentry อยู่ คือถ้าเป็นคนเล่นอะ ใครก็รู้ว่า ขึ้นไป โดนปิดหลัง ตายหมดแน่ๆ แต่ AI มันทะลึ่งขี้นมา แล้วไม่ได้ดู เลยทะลวงเข้ามาได้ GG เลย เราก็ว่าโห อันนี้คนพลาด ไม่เป็นไรหรอก รูปเกมสูสีว่ะ ใช้ได้
เกมต่อมา AI เล่น Mass stalker เว้ย MaNa เห็นก็ปั๊มยูนิท counter ใหญ่เลย (Immortal) ทุกคนดูรูปแบบยูนิทแล้ว ยังไง MaNa ก็ชนะ วัดกันตรงๆ แต่แม่ง ตอน MaNa เคลื่อนทัพ AlphaStar แม่งแบ่งยูนิทเป็นสามกอง แล้วตีโอบล้อมให้กองทัพ MaNa อยู่ตรงกลาง ซึ่งแม่งก็ยังชิวๆเพราะยูนิทเค้าได้เปรียบ ก็มาดิคับ!!
แต่!! AlphaStar แสดงอภินิหาร Micro stalker ตัวที่เจ็บให้เดินหนี ซึ่งเป็นปกติของโปรที่ทำกัน แค่ AlphaStar ไมโครได้พร้อมกัน 3 กอง! WTF บวกกันผลออกมาปรากฏว่า AlphaStar ชนะเหลือๆ MaNa ยอมใจกด GG ไป
เกม 2 3 4 5 เหมือน MaNa โดนตบเป็นลูกเลยครับ AI เล่นหลายแผน เกมนึงแผนทางอากาศ อีกเกมนึงเล่นออลอิน (เค้าเฉลยว่าจริงๆแล้ว AI มีหลายบุคลิก แล้วแต่ว่าแต่ละเกมเลือกเอาแผนไหนออกมา) แต่ว่าทั้งหมดนี้เล่ามานี้เป็น replay ที่เค้าเล่นกันมาก่อนแล้ว ถึงเวลาเล่นสด BO1 rematch วันนี้ ศึกล้างตาระหว่าง MaNa และ AlphaStar โดยเพิ่มข้อจำกัดของ AlphaStar ว่า มึงต้องขยับกล้องเหมือนมนุษย์ด้วยสิวะ! สามารถส่งคำสั่งแก่ยูนิทที่อยู่ในมุมมองของตัวเองเท่านั้น เอาล่ะสิ มาวัดกันใหม่
เปิดเกมมา MaNa โดนเล่นอย่างยับ คิดว่าตามหลังมากๆแล้ว แต่แสงแห่งความหวังส่องลงมาคือตอนที่ AlphaStar กำลังจะเคลื่อนทัพออกไป MaNa ส่ง unit อ้อมไปป่วนหลังบ้าน AlphaStar ก็ดึงยูนิทกลับมาทั้งหมด อ้าว! งี้ก็เกมดิวะ! ทุกครั้งที่ AlphaStar เคลื่อนทัพออก MaNa ก็วนไปตุ๋ย ทั้งกองทัพก็วกกลับมาอีก คราวนี้เหมือนติดลูปละ 555 เสร็จกู! วนไปงี้จนดึงเวลาสร้างกองทัพมาใหญ่กว่า ตี จบ เหมือนเล่นกับบอท Hard 55555
กู้หน้ามนุษยชาติพอได้ แต่เอาจริงๆไม่แน่ว่าถ้าเล่นกันห้าเกม ผลจะเป็นอย่างงี้มั้ยนะ จบ ตื่นเต้นว่ะ เด่วทำคลิปเล่าอีกที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สำหรับใครที่วิตกเรื่องฝุ่นอยู่ตอนนี้ ไม่ต้องกังวลไปนะครับ อากาศสดชื่นดี ไม่วิกฤต
ทางกรมฯ ได้ปรับค่ามาครฐาน PM 2.5 ให้สูงขึ้น 2 เท่า (ค่า AQI ลดลง น้อยกว่ามาตรฐานเมืองนอก) แล้วนะครับ จะได้ไม่ต้องเครียด ตัวแดง เพราะจะเขียวเสมอ
ส่วนใครจะแชร์ข้อมูลว่าอากาศไม่ดี ระวังจะโดนฟ้องร้องกันนะครับ
อากาศดีได้ ด้วยการแถลงข่าว และขู่ดำเนินคดี #ThailandOnly
Briffault is known for what is called Briffault's law:
The female, not the male, determines all the conditions of the animal family. Where the female can derive no benefit from association with the male, no such association takes place. — Robert Briffault, The Mothers, Vol. I, p. 191
กลัว PM2.5 พวกมึงก็มาต่างจังหวัดฟอกปอดกันสิครับ
เคยอ่านคอมเม้นใต้คลิปต่างๆใน Youtube ไหม (ไม่ว่าจะ คลิปหนัง คลิปรายการ คลิปเกม คลิปการ์ตูน คลิปตลก คลิปสารคดี คลิปท่องเที่ยว ฯลฯ) เราจะเห็นเด็กๆอายุ 10 - 17 มาคอมเม้นมากมาย
ซึ่งกูอยากจะบอกว่า ใครที่รณรงค์ให้ผู้ใหญ่ "รับฟังความคิดเห็นของเด็กๆ" ถ้าได้อ่านคอมเม้นเด็กๆพวกนี้ใน Youtube มึงแทบอยากเลิกรณรงค์เลย กลายเป็นสิ้นหวังอย่างแรง
เพราะมันเต็มไปด้วยคอมเม้นจากเด็กๆ ว่า "เงี่ยนโว้ย" "เงี่ยนควยว่ะ" "เงี่ยนหีค่ะ" "ขอเย็ดหน่อย" "เย็ดหนูที" "อยากเย็ด" "ใครอยากเย็ดหนู โทรเบอร์นี้" "ควยไรสัส" "เย็ดแม่สัส" "ดูควยหน่อย" "ขอดูหีหน่อย" "ไอ้เย็ดแม่" "หีแฉะแล้วอีเหี้ย" "เลียหีหนูที" "มาดูดควยกูหน่อย"
Growth mindset มันไม่ใช่เพียงแค่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงอย่างเดียว แต่คือเข้าใจความเปลี่ยนแปลงและเติบโตจากความเปลี่ยนแปลงด้วย มิใช่เปลี่ยนแปลงเพื่อแค่เอาตัวรอด
เอาง่ายๆ ขายของ ขายไม่ดีเลยลดราคา ออกโปรโมชั่น นั่นคือแค่เอาตัวรอด แต่ถ้าปรับราคาแล้วเข้าใจได้ว่าปัจจุบัน product ของเรามี optimal price ที่เท่าไหร่ ราคาไหนแพงไป ราคาไหนถูกไป แต่ละฤดูกาลมีผลเป็นอย่างไร ปัจจัยใดบ้างที่มีผล นั่นคือการเติบโต การ growth
ปรับตัวให้รอดแล้วอย่าลืมทำ retrospective ย้อนทวนทำความเข้าใจและเติบโตกันนะ อย่าแค่รอดแล้วพอจบเหนื่อย มันจะไม่เติบโตนะ
ผมเชื่อว่าขอแค่ retrospective มีคุณภาพ ที่เหลือจะตามมาอย่างมั่นคง
Humans get promoted if they suck at their job.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อแอดเจอน้องที่รู้จักมาแวะเวียนที่ทำงาน จู่ๆก็มีบทสนทนาเริ่มขึ้น
แอด : ไม่เจอกันนาน นี่ไปทำอะไรมา ดูขาวขึ้น??
น้อง : เฮ้ย จริงดิพี่
แอด : จริงดิ ใครจะไปโกหกล่ะ
น้อง : ก็มีบำรุงบ้างนิดหน่อยแหละ
ว่าแล้วน้องก็ยกแขนให้ดู...
แอด : ป่าว ไม่ได้หมายถึงแขน แต่หมายถึงเส้นผมอ่ะ
น้อง : !!!
#ทำไมน้องเงียบไป
#น้องไม่ยอมตอบ 😩😩😩
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
วันนี้เปิดดู LinkedIn แล้วเห็นประกาศรับโปรแกรมเมอร์แต่ละโฆษณา ก็ชวนสงสัยว่าที่เขาบอกกันในสมาคมโปรแกรมเมอร์กับพันทิพว่าโปรแกรมเมอร์ราคาถูกทำงานแทบตายเงินเดือนเป็นกรรมกรห้องแอร์ นี่เขาเอามาจากไหนกันนะ
หาประกาศโปรแกรมเมอร์ราคากรรมกรซักอันใน LinkedIn นี่อย่างยากเลย
แต่ถามว่าจะแชร์มั้ย ไม่อ่ะ เก็บไว้ดูเองดีกว่า
นึกถึงสมัยก่อน ตอนไม่รู้มันก็ไม่รู้จริงๆ พอเข้ามาในวงๆ หนึ่งได้ชีวิตก็เปลี่ยนจริงๆ เห็นอีกระดับจริงๆ ราคาโปรแกรมเมอร์ในเรทที่หลายปีที่แล้วคิดว่าไม่มีจริง ตอนนี้เห็นเป็นปกติเห็นชินตา
อยากบอกน้องที่เรียนจบเข้า Taskworld ทันที ว่าน้องโชคดีมากนะที่อยู่วงที่ดีแต่แรกเริ่ม วงการมันกว้างและถ้าอยู่ผิดที่ผิดทางมันลำบาก พี่เคยอยู่วงอื่นมาก่อน มันต่างกันมากมายจริงๆ นะ
แต่ในทางหนึ่ง ถ้าจะแชร์งานให้ใครก็อยากให้มั่นใจว่าแชร์ให้คนที่เราเห็นว่าเหมาะสมคู่ควรด้วยเช่นกัน
"วันนี้นั่งดูสารคดีสัตว์โลกแล้วก็คิดว่า ประเทศที่ไม่มีรัฐสวัสดิการต่างอะไรจากทุ่งหญ้าสะวันนาที่สัตว์มันก็ล่าๆ กันไปตามมีตามเกิด แข็งแรงก็รอด ไม่แข็งแรงก็ไม่รอด ไม่มีใครสนใจใคร ไม่ต่างอะไรยกเว้นแต่กลไกการล่ากันเองมันซับซ้อนขึ้น และประกอบด้วยเทคโนโลยีที่มากขึ้น
ถ้าไม่หลุดพ้นจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม นวัตกรรมทั้งปวงของเราที่สุดแล้วก็คงไม่เคยรับใช้อะไรมากไปกว่าความเป็นสัตว์ป่าในตัวของเราเอง กล่าวคือมีวิธีการที่เปลี่ยนไปด้วยเครื่องมือที่เปลี่ยนไป แต่ความเชื่อหรือข้อตกลงร่วมกันยังคงไม่ไปไหนไกลจากความเป็นธรรมชาติ -ในส่วนที่เราไม่มีเหตุใดๆ จะต้องยอมรับตามมัน-
เป็นมนุษย์มาถึงขนาดนี้ คิดนู่นคิดนี่มาได้เป็นพันเป็นหมื่นปี สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ยกระดับตัวเองออกมาจากความโหดร้ายของธรรมชาติเลย ระบบการปกครองควรจะมีไว้ฝืนความโหดร้ายของธรรมชาติ เช่น การห้ามฆ่ากัน การห้ามทำร้ายกัน สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นเรื่องที่ฟังดูเป็นไปไม่ได้เมื่อหลายพันปีก่อน (ก็คนจะฆ่าอ่ะ ไม่ให้ฆ่าได้ไง โมโหอ่ะ ฯลฯ) จนกระทั่งการห้ามฆ่ากลายเป็นหลักการที่ชนะ (แม้จะยังไม่หมด) มาจนถึงทุกวันนี้
ในอนาคต การโอบอุ้มกันและกันทางเศรษฐกิจ (ไม่ใช่แค่ทางกาย แต่รวมไปถึงทรัพยากร) และการกำจัดความเป็นสัตว์ป่าทางเศรษฐกิจ ก็ควรจะเกิดขึ้นได้สักวันเช่นกัน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
..เวลาเรายืมนาฬิกาจากเพื่อนมาใส่
เรากล้ายืมครั้งหนึ่ง 17 เรือนเลยหรือครับ
“เฮ้ย เพื่อน ขอยืมนาฬิกาสัก 17 เรือนนะ จะใส่วนๆ ไป”
ผมเชื่อว่า “ทศกัณฐ์” ก็ยังไม่กล้ายืมแบบนี้เลย
ขนาดมีตั้ง 20 มือ
แล้ว พล.อ.ประวิตรมีแค่ 2 มือ
ใส่นาฬิกาครั้งละ 1 เรือน
แต่ยืมเพื่อนทีเดียว 17 เรือน
ป.ป.ช.ไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างหรือครับ
ไม่มีสักแวบหนึ่งเลยหรือครับที่จะคิดว่า “นาฬิกา” นั้นไม่ใช่ของ “เพื่อน”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ข้าราชการชายแดนคนนี้กำลังจะหมดแรง..
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้โพสต์อะไรเลยค่ะเพราะเป็นช่วงตรวจราชการจังหวัดต้องเร่งทำข้อมูลและนำเสนอ เรียนจนมีความเชียวชาญต้องรับผิดชอบหลายงานก็เหนื่อยหน่อยแต่ก็ยังภูมิใจในการรับราชการในฐานะหมอคนหนึ่งเสมอที่นอกจากจะได้รักษาคนแล้วยังมีโอกาสวางแผนเชิงนโยบายเพื่อคนหมู่มาก..ประเด็นการตรวจราชการครั้งนี้มีเพิ่มเติมจากเรื่องอื่นๆคือ Border health ด้วยทางผู้ตรวจเห็นว่าพื้นที่แม่สอดชายแดนไทยพม่าเป็นเขตสุขภาพพิเศษเรามีภาระเพิ่มเติมจากประชากรแฝง ประชากรที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนแม้ว่าอยู่บนผืนแผ่นดินไทยมาช้านาน ปัญหาโรคติดต่อชายแดนที่นับวันสถานการณ์จะแย่ลงเพราะการคมนาคมสะดวกขึ้น เรายังต้องเป็นกำแพงสกัดกั้นโรคร้ายต่างๆไม่ให้เข้าประเทศ
ที่เราทำสำเร็จกันอย่างน่าชื่นชมในความคิดของฉันคือ
การกำจัดมาลาเรียจนเกือบจะหมดประเทศด้วยการตะลุยค้นหาเคสและรักษาอย่างทันที ปัจจุบันเหลือปีละไม่ถึงร้อยเคส
การสกัดกั้นวัณโรคในแรงงานต่างด้าวไม่ให้ขึ้นทะเบียน ไม่ให้เข้าไปทำงานในเมืองหลวง ต้องรักษาให้หายขาดโดยผ่านการคัดกรองกว่า 200,000 คนต่อปี
สกัดกั้นโรคเท้าช้างในแรงงานต่างด้าว ถ้าหลุดเข้าไปที่กรุงเทพก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง
โรคติดต่อร้ายแรง ทั้งเท้าช้าง คอตีบ แอนแทรกซ์ ไข้กาฬหลังแอ่น พิษสุนัขบ้า โรคหัด ก็ถูกกักกันไว้ที่ชายแดนไม่ให้เข้าไปในประเทศชั้นใน
ในบริบทการทำงานที่หนักหนาสาหัสยังซ่อนความภูมิใจเล็กๆไว้
วันนี้มีจดหมายด่วนฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ แจ้งกับฉันว่า..ทางราชการไทยจะหยุดสนับสนุนวัคซีนทุกชนิดกับคนต่างชาติ
เหมือนความย้อนแย้งรุนแรงเกิดขึ้น
ในขณะที่โรคที่ป้องกันด้วยวัคซีนยังคงระบาดต่อเนื่อง ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่มีการตัดฉับหยุดสนับสนุนวัคซีน..แม่ทัพจะออกรบได้อย่างไรถ้ายังขาดทหารและอาวุธ ทำเอาฉันกินข้าวไม่ลงเลยวันนี้
ข้อมูลล่าสุดเดือน ตค 2561 ประเทศไทยมีแรงงานต่างด้าวในประเทศรวม 2,117,716 คนมีแรงงานไหลเข้าผ่านชายแดนแม่สอดปีละสองแสนกว่าคน แน่นอนเกือบ 100% พวกเขา virgin ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนเพราะไม่มีโปรแกรมในประเทศของเขาและลูกหลานของพวกเขาที่พามาด้วยก็ไม่เคยฉีด มาทำงานเป็นภาคแรงงานซึ่งประเทศเราขาด พวกเขาไม่เกี่ยงงานหนัก บางคนมาทำงานดูแลลูกๆ ดูแลพ่อแม่ของคนไทยที่แก่เฒ่าติดเตียง อยู่กันหนาแน่นสุดก็ที่กรุงเทพและปริมณฑลถึง 1,247,082 คน เอาเป็นว่าอยู่กันแทบทุกซอยถ้ามีโรคติดต่อระบาดขึ้น หมอเก่งแค่ไหนก็ไม่รู้ว่าจะเอาอยู่หรือปล่าว
โรคบางโรคป้องกันด้วยวัคซีน..เกิดโรคระบาดเมื่อไหร่เราก็ต้องออกไปควบคุมโรคเหล่านี้ไม่มีวันหยุด เพราะเชื้อโรคไม่รอ บางครั้งฉีดกันหมดโรงงานเป็นร้อยๆคน แน่นอนเรามีปัญหาเรื่องวัคซีน ที่ผ่านมาไม่มีระเบียบใดๆรองรับไม่มีใครให้วัคซีนแก่คนไข้ต่างชาติ เราต้องอาศัยการแอบเนียนเบิกมาใช้ร่วมกับวัคซีนคนไทยโดยผ่าน สป.สช เราเป็นลูกอีช่างขอ..ขอทุกที่ที่จะให้โดยเฉพาะกรมควบคุมโรค แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันไปวันๆอย่างไม่ยั่งยืน บางครั้งก็ท้อเหมือนกันว่าประเทศนี้เราต้องมารับผิดชอบขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งๆที่ค่าวัคซีนก็ถูกแสนถูกคำนวนแล้ว 5 อำเภอชายแดนขอมีเงินแค่ 8ล้านบาทต่อปีเราก็สามารถสร้างกำแพงการควบคุมโรคให้คนไทยในประเทศได้แล้ว..ช่างน่าเศร้าใจที่เห็นถนนบางแห่งประโยชน์น้อยกว่านี้อีกยังได้รับการอนุมัติให้สร้างอย่างง่ายดายแถมใช้งบประมาณประเทศหลักร้อยล้าน
ความเหนื่อยของพวกเราที่ทำงานที่ชายแดนแห่งนี้ค่อยๆสะสมทีละน้อยๆแต่ก่อนที่มันจะถึงจุดที่ทนไม่ไหวเราก็จะมีความรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่นี้แทนคนในประเทศมาทดแทนทันเวลาเสมอ ที่ชายแดนแห่งนี้..งานราชการหนักทุกส่วน ต้องทำงานมากขึ้นเป็น 3-4เท่า ในขณะที่ให้ตำแหน่งบุคลากรมาใช้สำหรับคนไทย 200,000 คนแต่ภาระงานจริง 500,000 คนถ้าใช้แต่แรงไม่ใช้ใจก็คงล่าถอยกันไปทุกคน
ณ เวลานี้พวกเราก็ยังไม่รู้ว่าทางออกของปัญหาขาดแคลนวัคซีนในคนต่างชาติคือทางไหน แต่ตราบใดที่ยังมีแรงก็สัญญาค่ะว่าจะทำหน้าที่กำแพงฝั่งตะวันตกอย่างเต็มความสามารถแม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นความสำคัญของเราก็ตาม
โพสเตือนสติ
ในวันที่แป้งหยุดเล่นไตรกีฬา คือ วันที่แป้งสามารถแข่งระยะ Half Ironman จบได้ในเวลา 6 ชั่วโมง ส่วนระยะอื่นๆ สามารถเรียกได้ว่า ลุ้นถ้วยรางวัลในงานแข่งบางงานได้ เช่นเดียวกับงานวิ่ง
แป้งไม่ได้บอกว่าแป้งเก่งนะคะ แป้งกำลังจะสื่อว่า performanace ของแป้งตอนนั้น กำลังไปได้ดี
แต่แป้ง “หยุด” เพราะแป้งต้องการสร้างครอบครัว และทำให้หน้าที่การงานมั่นคง
เพราะงั้น แป้งอยากขอเตือน หลายๆ คน ที่กำลังอ้างว่า ต้องการความเข้าใจ ต้องการการสนับสนุน ได้ทำสิ่งที่ชอบ .... มันไม่ใช่นะคะ คุณกำลังเอาตัวเองมาเป็นที่ตั้ง
ถ้าต้องการออกกำลังกาย เต้นแอโรบิกในบ้านก็ถือว่าออกกำลังกายแล้ว
เพราะงั้น ลองไตร่ตรองดูให้ดี ว่าในชีวิตนี้ อะไรที่สำคัญที่สุด
ได้เล่นกีฬา แต่แฟนทิ้ง
ได้เล่นกีฬา แต่การงานไม่ดี
ได้เล่นกีฬา แต่ครอบครัวลำบาก
ทำสิ่งที่สำคัญให้ดีก่อน แล้วหากมีเวลาว่าง หรือมีกำลังทรัพย์ที่พร้อม คุณจะสามารถทำงานอดิเรกเท่าไหร่ อย่างไรก็ได้นะคะ
แป้งเอง ก็คงรับไม่ได้เหมือนกัน ถ้าแฟนของแป้ง ทิ้งให้แป้งทำงานหนักอยู่คนเดียว แล้วตัวเองไปวิ่งเล่น ปั่นเล่น ไม่สนใจความรู้สึกของกันและกันค่ะ
นายเอ็มมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้อนุมัตินโยบายการเกณฑ์ทหารฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการนำระบบการเกณฑ์ทหารกลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากการเกณฑ์ทหารถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปีพ.ศ. 2539 โดยที่นายฌัก ชีรัก (Jacques Chirac) ประธานาธิบดีฝรั่งเศสในขณะนั้น เป็นผู้ดำเนินการยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหาร
.
การเกณฑ์ทหาร ถือเป็นนโยบายที่นายมาครง เคยกล่าวไว้ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งปีพ.ศ. 2560 ซึ่งวัยรุ่นชาวฝรั่งเศสทุกคน ทั้งชายและหญิง อายุ 16 ปีบริบูรณ์ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง จะต้องเข้ารายงานตัวกับกองทัพฝรั่งเศส และเข้ารับการฝึกทหารเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน
.
ในรายงานระบุว่า แผนการฝึกทหารและหน้าที่ของทหารเกณฑ์ใหม่ จะเป็นรูปแบบผสมผสานของ “พลเรือนและกองทัพ” แต่มีการคาดการณ์ว่า การฝึกทหารเกณฑ์ฝรั่งเศสที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ น่าจะเป็นการฝึกทหารอย่างหนักและเคร่งครัดมากกว่าการฝึกแบบผสมผสาน
.
นโยบายการเกณฑ์ทหารฝรั่งเศส จะเริ่มทดลองใช้เป็นครั้งแรกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 หลังจากที่ว่างเว้นการเกณฑ์ทหารมานานถึง 23 ปี ซึ่งแผนการทดลองการเกณฑ์ทหารชุดแรก จะมีวัยรุ่นชายหญิงเข้าประจำการกับกองทัพฝรั่งเศสประมาณ 3,000 คน โดยที่แผนการเกณฑ์ทหารชุดแรก 3000 คน จะต้องใช้งบประมาณสูงถึง 1,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 36,000 ล้านบาท
.
การนำระบบเกณฑ์ทหารกลับมาใช้อีกครั้งในฝรั่งเศส นายมาครงมีจุดประสงค์เพื่อให้วัยรุ่นชาวฝรั่งเศสได้รับการฝึกฝนระเบียบวินัย โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “วัยรุ่นชาวฝรั่งเศสทุกคนจะได้รู้จักการใช้ชีวิตแบบทหาร เพื่อให้ประชาธิปไตยของเราเกิดความสามัคคีและเพื่อให้เกิดการปรับตัวในการอยู่ร่วมกันในสังคม”
.
นอกจากนั้นแล้ว ผู้ที่ผ่านการเกณฑ์ทหารในช่วงอายุ 16 ปี แล้วสนใจที่จะสมัครเป็นทหารประจำการเมื่ออายุย่างเข้า 18 ปี ก็จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ในการบรรจุเป็นทหารประจำการกองทัพฝรั่งเศส โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศสคาดหวังว่า ภายในพ.ศ. 2567 จะมีวัยรุ่นฝรั่งเศสเข้ารับการฝึกทหารมากกว่า 800,000 คน
.
แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่า การที่นายเอ็มมานูเอล มาครง นำนโยบายเกณฑ์ทหารกลับมาใช้อีกครั้ง ก็ย่อมมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยที่บางคนมองว่า เป็นนโยบายที่เหมาะสมสำหรับวัยรุ่นที่ต้องได้รับการฝึกฝนระเบียบวินัย แต่บางคนก็มองว่าไม่ควรใช้ระบบการเกณฑ์ที่เป็นการบังคับ ควรเป็นการสมัครใจเหมือนที่ผ่านมาถึงจะดี และบางคนก็มองในส่วนของงบประมาณ 1,000 ล้านยูโรที่อาจจะสิ้นเปลืองมากเกินไป
.
แต่ยังมีการวิเคราะห์ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ การนำระบบเกณฑ์ทหารกลับมาใช้อีกครั้ง อาจเป็นการเตรียมความพร้อมในการสร้างกองทัพสหภาพยุโรป (EU Army) และจุดนี้น่าจะเป็นนัยยะทางการเมืองที่แท้จริงของนายมาครง ในการดำเนินนโยบายเกณฑ์ทหารฝรั่งเศส
.
การวิเคราะห์ดังกล่าวยังสอดคล้องกับคำพูดของประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่กล่าวไว้ก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาสที่ผ่านมาว่า จำเป็นจะต้องมี “กองทัพยุโรป” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การบริหารงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะหันไปปกป้องประเทศของตนเอง มากกว่าปกป้องพันธมิตรเช่นในอดีต
.
นอกจากนั้นแล้ว นางอังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) ยังเห็นด้วยกับท่าทีของนายมาครง ที่พยายามผลักดันการสร้างกองทัพ EU โดยที่เยอรมันและฝรั่งเศสเป็นสมาชิกหลักของสหภาพยุโรป ที่พยายามอย่างมากในการสร้างกองทัพ EU ในขณะที่สมาชิกสหภาพยุโรปบางประเทศปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับกองทัพ EU
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไอ้พวกกระจอกโง่ๆจะเทิดทูนบูชาประชาธิปไตยและการเลือกตั้งว่าเป็นเป้าหมายสูงสุด
คนที่ไม่กระจอกไม่โง่รู้ว่าไม่ว่าประชาธิปไตย การเลือกตั้ง สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ เผด็จการ รัฐบาลทหาร เป็นแค่เครื่องมือที่ใช้เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความมั่นคง มีอนาคตที่ดี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
LUL
A : ตอนแรกอินกับไทยรบพม่ามากๆ จนกระทั่งถึงขึ้นได้ว่า ตอนที่กรุงศรีฯ โดนเผา เหล่าโจวก๋งกุน่าจะอยู่แถวกวางโจว ไอ้หยาา
B : กูนี่หนักกว่ามึงอีก บ้านกุเชื้อสายมอญ อพยพมาจากพม่า เผลอๆ ปู่ทวดกูนี่แหละเผากรุงศรีฯ ไอ้ซั้สส
C: คนเหนือทุกคนนี่ช่วยเผาหมดเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สำหรับผม โค้ดที่มี if นี่ก็ถือเป็น Logic ทันที
เวลาที่เจอ Framework ไหนบอกว่ามี Template language แยกจากโค้ด ทำให้สามารถแยกส่วนระหว่าง Logic กับ View/Presentation แต่กลายเป็นว่า Template มี if ให้ใช้ มันก็ขัดใจนะว่ามันแยกยังไง แล้วเส้นแบ่งอยู่ไหน
เดาว่าสำหรับบางคนเส้นแบ่ง หน้าตาเหมือน Javascript เป็น Logic, หน้าตาเหมือน HTML เป็น View/Presentation
ดังนั้นต่อให้ในอนาคตเนี่ย HTML มี if, for, switch-case หรือเขียน Function แยกได้ ทำ Recursive ได้ ก็ยังไม่ถือว่าเป็น Logic อยู่ดี ด้วยเส้นแบ่งนี้ ก็ยังถือเป็น View อยู่ดี (อันนี้เชื่อจริงๆ ว่าจะมีคนพูดว่า มันไม่มี Logic มันเป็นแค่ View)
เราไม่ชอบฝรั่งเอาศาสนา, กษัตริย์เรามาล้อเลียน ฝรั่งบอกเรื่องของเมิงกรูเสรี ฝรั่งไม่ชอบเราเอาสวัสติกะมาเล่น เราบอกครับท่านเด๋วผมด่าเพื่อนร่วมชาติผมให้ครับ ...
ผมว่าขนาดใส่ในบ้านตัวเองยังไม่ได้นี่ เราควรออกดหมายห้ามแล้วมากกว่าครับ เหมือนแก้ผ้าในบ้านก็ห้ามให้คนอื่นเห็นอะไรงี้
กูเกิ้ลก็เสิริชเจอ เฟสบุ๊คก็โพสได้ หนังก็ยังเอามาใช้ได้ ... พวกนี้ทำร้ายจิตใจด้วยมั้ย ... อย่าลืมแบนให้หมดด้วยมั้ยอิส
แค่ใส่เสื้อยังล่าแม่มดขนาดนี้ ...
แค่ใส่เสื้อยังล่าแม่มดขนาดนี้ ...
ออกกดหมายห้ามใช้สัญลักษณ์สวัสดิกะซะทีเถอะ ขอร้อง
สัญลักษณ์สวัสดิกะ สัญลักษณ์มงคลทางพุทธก่อนฮิตเลอร์จะเกิด แต่เพราะนีโอนาซีเอามาใช้ แล้วฝรั่งดันไม่ชอบ คนอื่นใส่เลยเชี่ยเลย
วัฒนธรรมเราชอบการตัดสินผิดถูก
เวลามีคนผิด ต้องย้ำเยอะๆ
จริงๆสัญลักษณ์มันก็เรื่องสมมุติ
เราว่าน้องทำไม่ถูก เพราะเรารู้ว่าคนยิวจะโกรธเมื่อเห็น ไม่ใช่เพราะสัญลักษณ์นั้นมันไม่ดีในตัวเอง
การรู้หรือไม่รู้เรื่องนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าคนนั้นจะดีเลว
รู้แล้วจะทำก็ได้ ก็แปลว่าคนนั้นไม่ได้แคร์คนยิวแค่นั้น มันไม่ได้ผิดจริยธรรมตรงไหน แค่ใจร้ายไม่แคร์เพื่อนร่วมโลกกลุ่มนึง
#คนไม่เกรียนท่านหนึ่งได้กล่าวไว้
ใส่เสื้อซ้อมเต้น สื่อเหี้ยๆ เห็นรีบเอามาทำข่าวเพราะรู้ว่ามาม่าแน่ ส่วนโซเชี่ยหรอ เรื่องอะไรโชว์ความเป็นผู้วิเศษของตัวเองได้ เด้งตูดรับกันไวจริงๆ
เมื่อไหร่วงนี้จะเลิกดังวะ ไร้สาระมาก สรรหาแต่วิธีดูดเงินจากเด็กๆวัยรุ่น ห่านอะไรก็เสียเงิน เด็กบางคนถึงกับขโมยเงินพ่อแม่ มาจับมือมึง มาซื้อบัตรซื้อการ์ดอะไรไม่รู้ ไร้ประโยชน์มาก
เขาก็ช่างคิดวิธีดูดเงินในกระเป๋าแฟนคลับเนาะ
น่าๆปกติครับ 48 กรุ๊ปเขาก็ทำอย่างนี้มากันเป็น10ปีละ ลองหาข้อมูลดู แล้วที่บอกว่าเอาเงินไปช่วยการกุศลดีกว่า แสดงว่าไม่เคยติดตามที่น้องๆเขาทำการกุศลเลยสินะ ล่าสุดก็แสดงคอนเสิร์ตหาเงินนับล้านไปช่วยลาวที่เขื่อนแตก อ่อแล้วก็โอตะไม่ได้ โง่หรืออ้วนขาเบียดกันทุกคนนะ บางคนนี่ระดับอ. วิศวะ ทนาย ศิลปิน ดารา ฯลฯ แล้วก็มีทั้งผอม อ้วน หุ่นดี เซ็กซี่ ล่ำ หล่อ สวย น่ารัก มีหมดและ แล้วก็เป็นวงที่สร้างชื่อเสียงดีๆให้ประเทศไทยในญี่ปุ่นหลายๆอย่างเลยแหละนะ อย่างล่าสุดก็ได้เกียรติรับเชิญไปงานขาวแดงซึ่งเป็นงานแสดงที่ถือว่าเป็นเกียรติอย่างนึงของญี่ปุ่นเลย อืม แค่อยากมาบอกข้อมูลให้รู้ไว้เฉยๆ แต่ถ้าอยากด่าอยู่แล้วก็ไม่เป็นไรนะ แล้วแต่ความคิดของแต่ละคนแล้วกัน😑
อาชีพดีไม่ได้ช่วยให้โอตะดูดีเพราะสันดานส่วนมากมันห่วย และการจัดการก็ห่วยแตกอย่างที่เห็น กูไม่สนของยุ่นเพราะกูกำลังด่าของไทย
กูไม่ได้ตามไอ้วงห่านี่ ไม่ได้จะเถียงกับมนุษย์คนไหนที่มองว่าการให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องกระแดะด้วย
แต่งานนี้ทำให้กูอายประเทศอื่นขึ้นไปอีกขั้น จะว่าคนไทยเหี้ย หรือคนไทยโง่ไม่มีการศึกษา แม่งได้ทั้งสองทางเลยว่ะ
วันนี้เป็นวันรำลึกการสังหารหมู่โดยนาซี ช่วงสงครามโลกที่เรียกกันว่า ฮอโลคอสต์ ครับ
จำนวนผู้เสียชีวิต
- 5-6 ล้านคน เป็นชาวยิว
- 1.8-1.9 ล้านคน เป็นชาว-คริสเตียนและผู้คนที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่ต่อต้านพรรคนาซี และประชาชนในประเทศที่ถูกนาซียึดครอง
- 200,000-800,000 คน เป็นชาวโรมาหรือชาวยิปซี
- 200,000-300,000 คน เป็นผู้ที่ไม่มีประโยชน์ในการใช้แรงงาน เช่นพิการ
- 80,000-200,000 คน เป็นผู้ที่มาจากสมาคมของยุโรปที่ต่อต้านการกระทำของพรรคนาซี
- 100,000 คน เป็นผู้ที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์
- 10,000-25,000 เป็น LGBTQ
- 2,500-5,000 เป็นชาวคริสเตียน นิกายพยานพระยะโฮวา (Jehovah's Witnesses)
ผมเจอคำถามสุด ignorance ว่าทำไมคนไทยต้องเกลียด ฮอโลคอสต์ไปตามฝรั่งด้วย นาซีไม่ได้ฆ่าคนไทยเสียหน่อย
แท้จริงแล้วการสังหารหมู่ทั้งหมดสมควรถูกรังเกียจ ไม่ว่าจะเขมรแดง นานกิง ค่ายกักกันแบบสตาร์ลิน หรือ ฮอโลคอสต์
แต่ ฮอโลคอสต์ เป็นการล้างเผ่าพันธุ์ที่ด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพราะได้ทำ กับ "พลเรือน" ในเป้าหมายเพื่อ "ล้างเผ่าพันธุ์""อย่างเป็นระบบ" "เป็นวิทยาศาสตร์" เป็น "อุตสาหกรรม" และมี "ประสิทธิภาพ"
คนที่ถูกฆ่าพวกนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แค่โดนสั่งว่า "เอาพวกมันไปฆ่าทั้งเผ่าพันธุ์หน่อยสิ อย่าให้ออกลูกออกหลานได้อีก" ก็เลยถูกฆ่า
ฮอโลคอสต์ ต่างจากการฆ่าศัตรูในสงคราม เพราะเป้าหมายพุ่งตรงไปยังพลเรือน
มีการสร้างระบบในการลำเลียงเหยื่อเข้ามาในค่ายกักกัน
มีการทดลองกับชีวิตของเหยื่อ
มีการนำเส้นผมหรือส่วนต่างๆไปใช้ประโยชน์
และมีการสังหารด้วยแก๊สพิษ โดยระบบไม่ต่างจากสายพานส่งคนเข้าห้องรมแก๊ส
ทั้งหมดเป็นไปเพื่อผลทางการเมือง และอุดมการณ์ที่เชื่อว่ามีสายพันธุ์บางชนิดของมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าสายพันธ์ุอื่น และต้องกำจัดสายพันธุ์ที่ด้อยออกไป ไม่ให้สืบพันธุ์ได้ต่ออีก
ฮอโลคอสต์ยังเป็นจุดกลับตัวทางปรัชญา
ก่อนสงคราม คนเชื่อกันว่ามนุษย์มีเหตุผล จะใช้เหตุผลและวิทยาศาสตร์มุ่งหน้าไปยังความเจริญงอกงาม
ฮอโลคอสต์แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ได้ดีงามอย่างที่คิด
วิทยาศาสตร์อาจถูกนำมาเป็นเหตุผลและเครื่องมือในการสังหาร
คนไทยตามอินเตอร์เน็ตที่เชียร์ฮิตเลอร์นั้น ignorance อย่างถึงที่สุด
นาซีมีแผนว่าคนที่ครองโลกควรจะเป็นอารยันเท่านั้น
ถ้านาซีชนะจริงๆ ที่สุดแล้วต่อไปคงจับคนผิวสีไปรมแก๊ส จากนั้นก็จับคนเอเชีย (รวมถึงคนไทยที่เชียร์ๆฮิตเลอร์ด้วย) ไปรมแก๊สอยู่ดี
ผมสนับสนุนให้โรงเรียนไทยเปิด เด็กชายในชุดนอนลายทาง (The Boy in the Striped Pyjamas) ให้เด็ก ม.ต้น ดู แล้วเขียนรายงานทุกคน เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก
ในวันลำลึกฮอโลคอสต์นี้ เราได้แต่หวังว่าผู้คนจะตระหนักถึงความเจ็บปวดนี้มากขึ้น และไม่ทำสิ่งผิดพลาดซ้ำอีก
ขอดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิต ได้สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์
และขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดอภัย ให้กับความโง่เขลาของมนุษยชาติด้วย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"พูดถึงกรณีธงนาซี สิ่งทีน่ากลัวที่สุด(จะว่าในประเด็นนี้แบบตรงๆก็ไม่ใช่)ในความเห็นส่วนตัวไม่ใช่พวกที่ออกมาแก้ตัวให้กับกรุ๊ปไอดอล หรือคนที่ออกมาพ่น false equivalence ฉอดๆ หรือพวกผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หีแตตอะไร แต่มันคือ upbringing ของพวกเจนนี้นี่แหละที่ไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมในอินเตอร์เน็ต หรือระบบการศึกษา หรือความไม่รู้จริงๆ เกิดเป็นเจนที่มีจำนวนคนที่มีแนวคิดแบบ "เออ อะไรก็ได้เหอะ มันไม่แย่กว่านี้ก็ดีแล้ว" หรือบางคนมาเป็นแบบ blind centrist จ๋าก็มี ยังไม่นับพวกเสพแต่มีม alt-right ขวาจัดที่เพจ/กลุ่มไทยแม่งชอบเอามาแปลให้อ่านกัน แล้วก็เสพกันไปไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้รู้บริบทหรือว่าพิจารณา nuance เล็กๆน้อยของประเด็นอะไรทั้งนั้น ก็ปลูกฝังกลายเป็นกลุ่มคนที่ฝั่งขวาขึ้นเรื่อยๆและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆที่พร้อมจะตะโกนคำว่า "snowflake" "SJW" "political correct" ทุกเมื่อและเดินหน้าต่อไปพร้อมอุดหูตัวเอง
เพราะว่ามีมมันตลกดี"
มิตรสหายท่านนึง
สวัสดิกะจีนกะสวัสดีกะนาซีหมุนคนละข้างกัน
>>689
"ถ้านาซีชนะจริงๆ ที่สุดแล้วต่อไปคงจับคนผิวสีไปรมแก๊ส จากนั้นก็จับคนเอเชีย (รวมถึงคนไทยที่เชียร์ๆฮิตเลอร์ด้วย) ไปรมแก๊สอยู่ดี"
ตรงนี้ผิดว่ะ
นาซีเชื่อว่าอารยัน(เยอรมัน)ดีที่สุดก็จริง แต่ที่เกลียดขนาดอยากเอาไปฆ่ามีแค่ยิวเพราะเรื่องหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ถ้านาซีชนะจริงๆก็คงลงเอยแค่สั่งสอนให้สีผิวอื่นเคารพอารยัน อยู่ให้เป็นที่เป็นทาง(know your place)
เพราะตอนฮิตเลอร์ไปเจอยุ่น แม่งทึ่งในความเป็นระเบียบ ความเนี้ยบของยุ่นจนเอ่ยปากชมว่าอย่างกับเป็นอารยัน เคยใส่กิโมโนให้ถ่ายรูปด้วยซ้ำ (แม่งโคตรweeb https://imgur.com/a/p9VbMqT )
แล้วฮิตเลอร์ก็ชื่นชอบมุสซี่อยู่พอสมควร เคยบอกว่ามุสซี่มีความใกล้เคียงกับอารยันมากกว่ายุโรเปี้ยนอย่างฝรั่งเศส
แถมเคยพูดว่าเยอรมันโชคร้ายที่นับถือศาสนาคริสต์ เพราะศาสนาคริสต์ชื่นชมความถ่อมตน ฮิตเลอร์พูดไว้ว่าศาสนาชินโตของยุ่นที่สอนให้เสียสละชีวิตเพื่อประเทศ หรืออิสลามที่ให้นักรบขึ้นสวรรค์เหมาะกับคนเยอรมันมากกว่า
Hitler did nothing wrong
ทำไมคนชอบคิดว่าฮิตเลอร์มันอยากครองโลกวะ แม่งสนใจแค่เอาดินแดนที่เสียจากสนธิสัญญาแวร์ซายคืนแท้ๆ
ติดแค่คู่สงครามแม่งเป็นเจ้าอาณานิคมทั้งโลก
>>701 ก็ปล่อยให้ anschluss เอาออสเตรียเข้าไปแล้วทำไมจะเอาดินแดนเดิมของ austria-hungary ไม่ได้วะ
ประชากรไม่ใช่เยอรมัน ?
https://en.wikipedia.org/wiki/Germans_in_Czechoslovakia_(1918–1938)
>>704 ตอนแรกมันจะเอาแค่ danzig ไปเชื่อมอาณาเขตเถอะ คือต่อให้ไม่ใช่นาซีก็ไม่มีประเทศไหนในโลกยอมให้ border ส้นตีนแบบนั้นหรอก
กูจะเอา"ขยักเข้ามาอีก" นี่มันเริ่มหลังโซเวียตบุกโปแลนนะ ทั้งของเชคทั้งโปแลนด์ต่อให้ไม่ใช่ฮิตเลอร์ก็ไม่มีผู้นำคนไหนปล่อยให้โซเวียตแดกไปฟรีๆหรอก
"ตอนแรกมันจะเอาแค่ danzig ไปเชื่อมอาณาเขตเถอะ คือต่อให้ไม่ใช่นาซีก็ไม่มีประเทศไหนในโลกยอมให้ border ส้นตีนแบบนั้นหรอก"
laugh in Alaska and Kaliningrad
สิ่งที่น่าหงุดหงิดเกี่ยวกับประเด็น 卍 คือ เรามีปัญหากับสัญลักษณ์นาซีมากเกินไป และมีปัญหากับแนวคิดแบบนาซีน้อยเกินไป ทั้งที่แนวคิดแบบนี้ลงรากในสังคมไทยอยู่เยอะมากๆ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>708 กูว่าพวกเด็กเจนที่ผ่านมารู้จัก 卍 ในความหมายอื่นนะ
และคงไม่รู้ว่าเกี่ยวเหี้ยอะไรกับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
https://imgur.com/FZRwPWf
ตามข่าวคือจะเปลี่ยนไปใช้ พลังงาน renewable ถึง 80%
ยกเลิกถ่านหิน กะ นิวเคลียร์ มีความสงสัยว่าแค่พวก ลม น้ำ แดด มันจะพอเหรอครับต้องสร้างใหญ่ขนาดไหนถึงจะทดแทนได้ แถมเทรนรถไฟฟ้ากำลังๆมา น่าจะบริโภคไฟฟ้ากันเยอะขึ้นอีกโข
ถ้าเราได้ที่หนึ่งแล้วจะมีใครยินดีกับเราไหม กลายเป็นประโยคสั้นๆ ที่บอกถึงความเจ็บปวดที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมากมาย หลังจากเฌอปราง อารีย์กุล ผู้ชนะผลโหวตได้ตำแหน่งเซนเตอร์กล่าวในงาน 6th Single Senbatsu General Election ของวงไอดอลชื่อดังของประเทศไทย BNK48
“จริง ๆ การเข้าร่วมอักษะของไทยมันมีความซับซ้อนกว่าที่เราทั่วไปเข้าใจกันไหมนะ คือมาตระหนักตอนฟังอ.วาสนาพูดเรื่องจีนในเมืองไทยเหมือนกัน เพราะเราต้อง aware กันหน่อยว่าในสมัยนั้นฝั่งตรงข้ามกับเยอรมันหรือฝ่ายสัมพันธมิตรเองคืออังกฤษกับฝรั่งเศส มันคือเจ้าอาณานิคมนะ เจ้าอาณานิคมที่ชนชั้นนำไทยก็วาดภาพเป็นตัวร้ายมาเอาดินแดนสยามไปอีกทีนะ แล้ว ณ ตอนนั้นระหว่างเจ้าอาณานิคมมหาอำนาจเก่าที่เป็นตัวร้ายเสียเต็มประดา กับประเทศที่เหมือนเป็นอำนาจกลุ่มใหม่ที่กำลังพุ่งตัวขึ้นมาคัดง้างกับระเบียบโลกแบบเดิมที่อังกฤษเป็นผู้นำ รัฐบาลไทยจะเลือกอะไรฦ คือถ้ายึดเอาตามบริบทจริง ๆ เราก็นึกไม่ออกหรอกว่ารัฐบาลไทยตอนนั้นจู่ ๆ มันจะไปจับมือกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ชาติมหาอำนาจ ณ ตอนนั้นทำไม และที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างเราอาจมีประวัติศาสตร์อีกแบบ ก็เพราะมันเป้นอาณานิคมไง agency ของ native มันถูกปกป้องจากการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์อีกแบบ "ฉันโดนอังกฤษ ฝรั่งเศส ดัทช์ อเมริกา โปรตุเกสยึดอยู่ แล้วญี่ปุ่นก็เข้ามายึดต่อ จริง ๆ ฉันจะเข้าข้างใครก็ไม่รู้ เพราะมหาอำนาจผลัดกันมาย่ำยีฉัน" (แต่มันก็แหละชนชั้นนำที่เข้าข้างญี่ปุ่น คือเอาญี่ปุ่นดีกว่าฝรั่ง แต่สักพักก็อาจจะรู้สึกแบบฝรั่งดีกว่าญี่ปุ่น)
แล้วสงครามโลกครั้งที่ 2 จริง ๆ มันไม่ใช่แบบสงครามที่จู่ ๆ เยอรมันจะลุกขึ้นมาฆ่ายิวทั้งยุโรปเฉย ๆ ด้วยหรือเปล่า (คือเราว่ามันก็โอเคถ้าจะพูดว่ารัฐบาลไทยนิยมฟาสซิสม์ แต่จะบอกว่าโอเครัฐบาลไทยโอเคกับการสังหารยิว มันก็แบบบเอ๊ะ จริงเหรอวะ 555 - แต่อันนี้พูดแบบไม่มีหลักฐานสนับสนุนอันไหนเลยนะ) คือการเกิดสงครามโลกมันมีลักษณะที่มาของการที่จักรวรรดิยุโรป (ที่นำโดยอังกฤษ ฝรั่งเศส) มันขยายจนเกือบทั้งโลก เยอรมันที่มาช้าสุดก็ได้ส่วนแบ่งน้อย สงครามมันเลยเป็นลักษณะของการเป็นงูกินหางของระบบจักรวรรดินิยมเอง สุดท้ายจักรวรรดิที่ไปขยายตัวในแอฟริกา เอเชียก็กลับมายึดกันเองในยุโรป ดังนั้นคนสมัยนี้มองให้ง่ายก็มองแบ่งอักษะ-พันธมิตรง่าย ๆ แต่จริง ๆ มันมีที่มาที่ไปที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่ อีชาติหัวฝ่ายอักษะทั้ง 3 นี่มัน latecomer ของเกมอาณานิคมทั้งนั้นเลย (เยอรมันได้แอฟริกาเสี้ยว ๆ กับหมู่เกาะแปซิฟิก อิตาลีมาแล้วไม่เหลืออะไรในแอฟริกานอกจากอาบิซีเนีย และยุโรปตะวันออกนิดหน่อย ไม่มีอาณานิคมในเอเชีย ส่วนญี่ปุ่นก็ตีเอาจากเขตอิทธิพลเก่าของจีน ทั้งเกาหลีและไต้หวัน และเกาะซาคาลินจากรัสเซีย) เกมอาณานิคมที่ฝ่ายสัมพันธมิตรมันก็สร้างและเป็นผู้ชนะอยู่ในเวลานั้น คือจะมองว่าผู้นำเยอรมันตอนนั้นมันเหี้ยเอง จู่ ๆ จะลุกขึ้นมาก่อสงครามเฉย ๆ โดยไม่ได้มองความเกี่ยวเนื่องอันอื่นเลยก็ง่ายไปหน่อย
พอบอกว่าไทยเข้าร่วมอักษะเฉย ๆ โดยไม่มีบริบทมันเลยดูลดทอนไปหน่อย คือมันไม่ได้เป็นตัวเลือกที่ตัวไทยตอนนั้นสามารถเลือกทุกอย่างได้เท่ากันหมด มันไม่ใช่จะสั่งข้าวผัดหมูหรือกะเพราไข่ดาว ที่ตัวเลือกมันเท่า ๆ กัน ไม่ได้เป็น choice ที่ free ขนาดนั้น แต่ประเด็นใหญ่ใจความหลักอีกอันคือการที่สังคมไทยโดยรวมไม่ได้มีเซ้นส์ทางประวัติศาสตร์อะไรอย่างมีสำหลักสำคัญแต่แรกอยู่แล้ว เราไม่ได้มีโอกาสพื้นที่จะคุยประเด็นอะไรแบบนี้อย่างลึกซึ้งทั้งในห้องเรียนหรือใด ๆ”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"คือผมก็ไม่ได้ไม่เก็ทนะว่าคนยิวนี่แม่งก็ต้องสู้กับ Holocaust Denier มาหลายสิบปีสัสๆ แต่ประเด็นคือ นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ Suffering ของมึงแม่งจะมากกว่าคนอื่นไง
และแมงก็ยังจริงอยู่ดีที่มึงมีทรัพยากรในการ "โฆษณา" Suffering ของมึงมากกว่าคนอื่นอะ
อันนี้ผมพูดในจุดยืนแบบโคตรซ้ายเลยนะ ว่าคนที่แม่งรู้ว่าตัวเองเสียงดังกว่าคนอื่น แล้วโวยวายว่าเรื่องของตัวเองใหญ่กว่าคนอื่น จนเรื่องของคนอืนแม่งถูกลืม แม่งคือคนเหี้ยอะ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ไอ้การที่ไทยไม่ค่อยมีแบบเรียนเจาะลึกประเทศต่างๆมันก็เข้าใจได้ไม่ยากเล้ย
ก็เราทำมาค้าขายลงทุนกับประเทศเหล่านั้น มึงจะเอาประวัติเหี้ยๆของลูกค้า ใส่ลงไปทำให้มีปัญหาทางการค้า ความสัมพันธ์ทำไมให้โง่วะ
อยากรู้ก็ไปค้นเอาเองแล้วโดนตีนเองคนเดียว ไม่ต้องลากพวกกูมาซวยด้วย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รีโพสต์: ในการอธิบายว่าเหตุใดฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีจึงมีความเกลียดชังยิวจนถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น มีสาเหตุอันซับซ้อน ผมจะพยายามจำแนกเป็นข้อๆดังนี้นะครับ
1. ฮิตเลอร์เติบโตขึ้นในสังคมที่มีแนวคิดเกลียดชังยิวอยู่แล้ว ความเกลียดดังกล่าวมีมาแต่ยุคกลาง โดยมีเหตุผลคือ ยิวมีศาสนา และวัฒนธรรมที่แตกต่างจากชาวยุโรปอื่นๆ ทั้งดื้อรั้นไม่ยอมผสมกลมกลืนด้วย นอกจากนั้นยังประกอบอาชีพเป็นคนปล่อยเงินกู้มาช้านาน ทำให้น่ารังเกียจ ตามประสาลูกหนี้ชิงชังเจ้าหนี้
2. สังคมเยอรมันยุคนั้นยังมีแนวคิดที่แพร่หลายอยู่อย่างหนึ่ง คือความเชื่อว่าชาติพันธุ์เยอรมันเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่งที่สุดในโลก ,การต่อสู้ระหว่างเชื้อชาติ เพื่อให้ยีนส์ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่รอดนั้นมีอยู่จริง (เป็นการนำทฤษฎีวิวัฒนาการของของชาลส์ ดาร์วินมาใช้อธิบายอย่างผิดๆ)
ในสงครามระหว่างเชื้อชาตินี้ เยอรมันจำต้องกำจัดสายพันธุ์ที่ต่ำต้อย เช่นพวกสลาฟ พวกยิว หรือพวกยิปซีไปเสีย เพื่อชำระยีนส์ของมนุษย์ให้บริสุทธิ์แข็งแรง (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้นไม่ได้เกิดกับยิวอย่างเดียว พวกสลาฟและยิปซีก็ถูกกวาดล้างไปหลายล้านคน)
3. อย่างที่กล่าวไปแล้วว่ายิวนั้นแบ่งเป็นหลายพวก ต่างก็ทำตามสิ่งที่ตนเห็นว่าดีทั้งยังกระทบกระทั่งกันเองบ่อยๆ
ในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น ยิวสายกลางอาศัยอยู่ประเทศไหนก็ออกรบปกป้องประเทศของตนเหมือนคนทั่วไป
ยิวไซออนนิสต์กระทำตนเป็นนกสองหัว เข้าข้างทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและมหาอำนาจกลาง และเมื่อเห็นชัดว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะชนะก็เข้าข้างเต็มที่
ส่วนยิวคอมมิวนิสต์ทำการเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ไปยังชาติอื่นๆ และได้ลุกลามจะให้ชนชั้นกรรมาชีพปฏิวัติในเยอรมันด้วย เป็นความวุ่นวายสับสนที่คนเยอรมันรังเกียจ
ฮิตเลอร์ยึดเอาพฤติกรรมนกสองหัวของยิวไซออนนิสต์ และการรุกรานทางลัทธิการเมืองของยิวคอมมิวนิสต์เป็นก้อนเดียวกัน บอกว่า "ยิวหักหลังเยอรมัน" โดยไม่มองว่ายิวสายกลางที่ออกไปรบปกป้องเยอรมันในสงครามโลกนั้นก็มีมากมาย
แม้อุดมการณ์โยนความผิดให้ยิวของฮิตเลอร์จะมีช่องโหว่อันไร้เหตุผลนับไม่ถ้วน แต่เมื่อเอามาพูดให้คนเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งฟังแล้วกลับตอบโจทย์ เพราะมันคือการปลดปล่อยพวกเขาที่กำลังบอบช้ำจากความรู้สึกผิดที่รบแพ้ (ทำให้เชื่อว่าไม่ได้รบแพ้เพราะฝีมือ แต่เพราะถูกหักหลัง) นอกจากนั้นยังเสริมกำลังใจ สร้างความเชื่อมั่น ชี้ให้เห็นความหวังที่จะสร้างชาติพันธุ์ให้เจริญก้าวหน้ากลับมาอีก
ทั้งหมดทั้งมวลคนเยอรมันจึงถูกอกถูกใจฮิตเลอร์และพลพรรคนาซียิ่งนัก ต่างเลือกให้ขึ้นมาปกครองบ้านเมือง นำสู่การกระทำอันโหดร้ายผิดมนุษย์ที่พวกเขาเข้าร่วมอย่างสบายใจ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หนังสือ: ไอ้แป๊ก แป๊กสมชื่อ...
May 22, 2013 ipag review รีวิว หนังสือ ไอ้แป๊ก
อันที่จริงตอนแรกไม่คิดว่าจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาเลย กะว่าจะไปซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านเล่นแต่ดันคว้าหนังสือเล่มนี่ที่วางอยู่ใกล้ๆกันมาแทน ผมเคยเห็นหนังสือเล่มนี้ตามชั้นหนังสือต่างๆมาหลายที่แล้ว แต่ไม่เคยคิดจะซื้อ ไม่เคยอยากจะแตะ ไม่ได้อ่านปก ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า “ปกมันไม่สวย”
แต่คราวที่ซื้อมั้นเป็นเพราะว่ารอบๆหนังสือเล่มนี้มันเป็นหนังสือธรรมะหมดเลย เลยหยิบขึ้นมาอ่านปกหลัง เปิดอ่านสองสามหน้าผ่านๆ จนวางไม่ลงเลยทีเดียว เนื้อหาเหมาะกับเด็กรุ่นใหม่แบบผมมากเลยทีเดียว
เดินออกมาจาก 7-11 พร้อมหนังสือหนึ่งเล่ม คนขายอาจงงๆว่าไอ้เด็กนี้บ้ารึเปล่า อ่านหนังสือแก่แดดแบบนี้ :P
ipag
มาเข้าสู่มุมตอบคำถาม
ทำไมต้องซื้อ
หากคุณเป็นคนที่อ่านหนังสือเร็วมากๆ คุณสามารถไปยืนอ่านที่ 7-11 ได้เลย ถ้าคุณหน้าด้านพอที่จะเล่นสงครามพลังจิตกับแคชเชียร์นะ อ่านเสร็จคุณก็เดินออกไปเลย ได้ตากแอร์เย็นสบาย แถมยังได้ความรู้ดีๆติดหัวกลับบ้านด้วย แต่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้อ่านเร็วเป็นหนอนหนังสือแบบนั้น ดังนั้นผมแนะนำให้คุณไปซื้อมาซะ ข้อดีของหนังสือเล่มนี้
1. <del>มันอาจทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐีได้เลย</del>
2. รู้ถึงความเลวร้ายของการศึกษาไทย
3. รู้ถึงอัตราการเปลี่ยนแปลง ของ 20 ปีที่ผ่านมา
4. สอนทำนายอนาคต
5. ความคิดแบบเดิมๆของคุณมันใช้ไม่ได้ในยุคนี้แล้ว
6. แค่เก็บเงิน ประหยัด อดออม มันรวยไม่ได้หรอก
7. และอีกหลายๆอย่างที่ไม่อยากสปอยล์
คุณจะได้รู้ว่า เศรษฐีหลายๆคนเขาคิดอย่างไร และทั้งหมดนี้ เขาขายคุณในราคา 150 บาท [ขณะนี้ไอ้แป๊กที่ว่า อยากไปไหน อยากขับรถอะไร อยากลงเรืออะไร อยากขึ้นเครือ่งบินอะไร มันสามารถเนรมิตได้หมด รายได้เขาเป็นนาที]
ข้อติติงอีกเยอะๆ
ข้างบนเขียนทำไมต้องซื้อไปแล้ว…
ใช้สำนวนเพ้อฝัน สมควรด่า “คนไทย ทีอายุน้อยที่สุด และเก่งที่สุด” สุดท้ายแล้วอ่านจบแล้ว คุณทำอาชีพอะไร ทำธุรกิจอะไร ผมยังไม่รู้เลย
หลายๆคนซื้อหนังสือนี้มาเพราะการทำตลาดแบบ Best Seller มีนักวิจารณ์หลายคนออกมาเขียนด่าเรื่องการตลาด เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอะไรหนังสือส่วนใหญ่เขาก็มีกันเช่น อย่าทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ให้มาทำธุรกิจดีกว่า
แก้กันโดนด่า: ทั้งนี้ ในส่วนข้อติติง ผมไปหาข้อมูลประกอบทางเน็ต ในหนังสือเล่มนี้ อาจให้แรงบันดาลใจในชีวิตได้ ถือเป็นหนังสือที่ดีสำหรับคนที่อยากออกมาทำธุรกิตส่วนตัวมากๆ เล่มนึงครับ
เวลาในการอ่าน
ผมไม่ใช่หนอนหนังสือ แต่ด้วยการเขี่ยนอันหน้าติดตาม ผมอ่านมันจบในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน [ระหว่างนั่งเล่น ระหว่างนั่งรถ ก่อนนอน กินข้าว มาม่า] รวมๆแล้วไม่เกิน 3 ชั่วโมง
จะจบแล้ว
หนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะกับคนที่เคยอ่านหนังสือธุรกิจ หรือหัวธุรกิจโดยกำเนิด ที่มีความรู้พวกนี้มาเยอะแล้ว ในบางหน้าอาจสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่!
ปล. ผมไปค้นเจอมาว่า ไอ้แป๊ก มันทำธุรกิจขายตรง [MLM] รวมถึงโรงเรียนที่เขาเปิด ก็เพื่อหา Downline ทำยอดให้ตัวเอง สรุปก็คือ เขาก็แค่คนโชคดีเท่านั้นละ
ปล2. แป๊กสมชื่อจริง
เรื่องเลือกตั้ง BNK48 ถ้ากูเป็นเณอปรางนะ จะขอใช้สิทธิไม่ลงเลือกตั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นๆในวงได้เกิดบ้าง
คือ ตอนนี้เหมือนกับว่า อะไรๆก็กู เอะอะก็ใช้แต่กู งานใหญ่ๆทุกงานต้องมีกู เพลงอะไรๆก็ตัองมีกู จนจะเป็นชื่อวง "เฌอปรางและคณะ BNK" อยู่แล้ว
แต่ก็นั่นแหละ ถึงขอไม่ลงลือกตั้ง ทางค่ายก็ต้องบังคับให้ลงอยู่ดี เพราะนางขายดี เรียกเงินโหวตจากโอตะได้เยอะ
นี่เชื่อนะ ว่าถ้าวันนึง เฌอปรางอายุขัยเกินวัยที่จะอยู่ BNK48 แล้ว ทางค่ายก็คงขอร้องไม่ให้นางออกอ่ะ ทุ่มเงินสุดชีวิตให้นางอยู่ต่อ ต้องเต้นโอนิกิริจนอายุ 30 อ่ะ
ตอนนี้พี่โจวกำลังหัดเขียนไร้โนเวลอยู่ จะเป็นโนเวลที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกไร้ความหมายและไร้ตัวหนังสือ ซึ่งมันเป็นไร้โนเวลตัวแรกของโลกอ่ะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
CHESS
GOOD Chess players are always portrayed as upper class. (Go to any tournament and see how many rich guys there are there. NONE! They're too busy chasing women and driving fast cars to play chess.)
Chess players in movies are always all around brilliant and charming people. (With very few exceptions, REAL chess players are introverted and so involved with chess they have little time to WASTE pursuing anything as trivial as LOVE, A PROFESSION, or SOCIAL GRACES. Exception: Computers! Most Chess players are, or will become, Computer nurds).
Great Chess players are always honored to play on some rich guy's fancy Philipino Art Set. (In reality, better players are almost always adament about playing on a plain, unadorned wood or plastic "Staunton" set. No red or blue pieces, no ceramic or metal, no elephants for rooks.)
The board is usually set up wrong, with the black square at the players lower right, or with one or both of the King/Queen set up backwards. (WHITE SQUARE GOES ON THE PLAYERS RIGHT. QUEENS on thier own color: white QUEEN on white, black QUEEN on black.)
Supposedly brilliant players usually miss one move checkmates in critical games. This is akin to a professional race car driver backing his station wagon into the garage door.
On the other hand, good players are often portrayed as seeing 15 or 20 moves ahead in detail from a middle game, when there are still many pieces on the board. (One could more easily predict the next president and all 535 congressmen correctly before the election. In the End Game, when the number of pieces is limited, looking ahead often becomes a question of counting moves, who can get to the critical square first, or of very limited numbers of moves, and is more feasible.)
Beginners usually beat experienced players, as a mechanism for showing the neophyte's native brilliance. (This is about as common as a tall, athletic man who's never seen a basketball beating an NBA player in one-on-one. It could happen, if the pro had a really bad day, but who would you bet on?)
Players who are really behind (have lost more pieces) come up with brilliant ways to win anyway. (If they're so good, how did they get behind in the first place?)
I have my own business and for the first few years, it was really rough. I could never keep up with all of the work that needed to be done. Then I had a realization. If I stop charging money for my services, then I dont need to send invoices, or follow up with delinquent clients, or balance my books, or pay taxes, etc, etc.
Now my business is completely free and I have time to work with all of the great clients and projects that I never had time for before!
Obviously, /s
Q&A เพื่อนๆถามมากันเยอะ ยองเจจะตอบทุกคำถาม
ใครไม่ชอบอ่านยาวๆหรือคิดว่าขายของก็เลื่อนผ่านไป
อากาศแบบนี้จริงๆบางคำถามไม่ต้องถามแล้วนะ มันขึ้นอยู่กะคุณคิดว่าระบบทางเดินหายใจคุณมันสำคัญรึป่าว ดิ้นรนหาหน้ากาก N95 มาใส่ตอนออกนอกบ้าน แต่อยู่ในบ้านในรถไม่คิดจะติดตั้งอะไรที่มันดูแลตัวคุณ...ผมคิดดังเฉยๆ 5555
Q1 ทำไมกูต้องใช้เครื่องกรองอากาศ (ใส่สีหน้าและน้ำเสียงมาด้วย)
A1 (ก็ถ้ามึงไม่ห่วงตัวเอง มึงก็ห่วงลูกหลาน ห่วงพ่อแม่มึงก็ได้...คิดดังเก่ง5555) อากาศแบบนี้ป้องกันไว้ดีกว่า อากาศมันแย่มาตั้งนานละแค่ช่วงนี้บ้านเราค่อยมาฮิต เวลาเป็นโรคทางเดินหายใจมา มันทรมาน รักษาก็ไม่หายขาด ค่าใช้จ่ายบานเบอะ
Q2 เครื่องกรองที่มึงใช้กรอง PM2.5 ได้ไม๊
A2 กรองได้ 100%
Q3 เครื่องกรองยี่ห้ออื่นก็กรอง PM2.5ได้ ทำไมกูต้องใช้แบบของมึง
A3 (เรื่องของมึง..คิดดังอีกแล้ว555) คือว่าผมซื้อเครื่องนี้ ไม่ใช่เพื่อแค่มากรอง PM2.5 แต่ผมซื้อมากรองสิ่งที่มันเล็กกว่านั้น คุณต้องเข้าใจก่อนอากาศมันมีสิ่งเจือปนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเขม่าดำ ควันบุหรี่ เชื่อโรคต่างๆซึ่งขนาดของมันเล็กมากๆ ที่ในเครื่องท้องตลาดกรองไม่ได้ ถ้าจะซื้อมากรองแค่ PM2.5 ใส่หน้ากาก N95 ดีกว่านะ ประหยัดกว่าเยอะ
Q4 เครื่องนี้ราคาสูงกว่ายี่ห้ออื่นนี่
A4 ย้อนกลับมาที่ เราต้องการจะดูแลปอดกับระบบทางเดินหายใจจริงๆรึป่าว เพราะถ้าจ่ายเงินน้อย แต่ประสิทธิภาพไม่ดี ก็จ่ายเงินฟรี ก็แค่หลอกตัวเองว่าใช้เครื่องกรองแล้ว จ่ายสูงขึ้นมาหน่อยแต่ได้ประสิทธิภาพสูง สบายใจกว่าเยอะ
มีอีกมากมายจำไม่ได้ ถ้าจำได้จะมาโพสอีกที
ปล.ขอบคุณที่เสียเวลาอ่านกันมาครับ
ปล.ขออภัยในการคิดดังไปบ้าง แต่อยู่ที่ทัศนคตินะครับ
As part of my master's I did an unpaid internship with a UN agency that was supposedly working to help some of the most vulnerable people on the planet. I did it because I wanted it on my resume so I could work for one of the major NGOs later on (still had some faith in the system back then), and even though it was a solid experience, I regret that I let them screw me over like that. I was doing proper, full-time work and should have gotten a full-time salary plus compensation for over time (there was plenty of that). If organizations like that really want to make the world a better place, they ought to start by setting an example. But in the end all they really want is free labor so they can pay management six/seven figure salaries. As a freelancer I've seen more shit like this. A while ago I was invited to apply to a job at a new NGO claiming to work toward improving the labor rights of people in the third world. Great, I'm all for that. Except when I did a little digging I discovered they were paying one of their new recruits less than a third of the minimum wage in her country. If you want to improve labor rights, maybe start by properly treating your own damn staff... I told them this and declined the job. Fucking scam artists.
Edit: Had to search for a bit, the NGO was Klooker.co.uk . They approached me claiming that "Klooker wants to change the status quo. We challenge people to live in a more sustainable and ethical way, and we show that it’s fun and easy to do so." And that "We check whether companies/brands/products are OK (= sustainable, good working conditions, animal-friendly)". I guess they forgot to check whether their own company was OK. Boycott that shit.
Thank god for internet pirates, I didn't pay for a single book nor did my girlfriend. Saved 700$
Out of all text books, any math related text book seems to be EXTREMELY over priced. A brand new "Applied Calculus, 2014 version" is 200$ retail. And it cost 70$ to rent it at my university.
Yeah fuck you, and fuck your monopoly.
Don't let your class mates and friend pay for a paper weight!!
Thank you Piracy!
ถ้าจะบอกว่า Fasting ไม่สามารถทำให้เราลดไขมันได้ตลอดไปล่ะ ?
.
ทฤษฏีต่างๆที่ญาดาเคยเชื่อ ญาดาเริ่มจะหักล้างตัวเองด้วย "ความสงสัย" ครั้งใหม่ๆที่เกิดขึ้น ความสงสัยนั้นญาดาขออนุญาตเล่าให้ฟังนะคะ อาจจะยาวนิดนึงนะ
.
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราถือกำเนิดขึ้นในทวีปแอฟริการาว 200,000 ปีที่แล้ว (Homo sapiens) มนุษย์ไม่สามารถกินอาหารให้ครบ 3 มื้อได้ เราเพิ่งเริ่มได้กินอิ่มเมื่อไม่ถึง 100 ปีมานี้เอง
.
ประเทศที่มีลูกง่ายและประสบปัญหาจำนวนประชากรล้นเกิน กลับเป็นประเทศที่อดอยากอย่างแอฟริกา แต่ประเทศไหนที่มีอาหารการกินอย่างอิ่มหนำสำราญกลับกลายเป็นประเทศที่มีลูกยาก และในปัจจุบันที่เราพบปัญหาการมีบุตรยากมากขึ้นจริงๆ เพราะปัจจุบันเรามีอาหารการกินอย่างอิ่มหนำสำราญมากจนเกินไป
.
สัตว์ทุกชนิดเกิดมาเพื่อมีชีวิตรอด เราจะเห็นได้จากสัตว์บางตัวที่เลือกวิธีจำศีลเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงฤดูหนาวไปได้ มนุษย์ก็เกิดมาเพื่อดำรงค์เผ่าพันธุ์และต้องมีชีวิตรอดเช่นเดียวกัน เมื่อไรที่มนุษย์ตกอยู่ในสภาพความอดอยากขาดแคลน จะเกิดการใช้ไขมันสะสมในร่างกายออกมาเป็นพลังงาน หรือที่เราเรียกกันว่า "คีโตน" นั่นแหละค่ะ
.
แต่การใช้ไขมันสะสมคือแหล่งพลังงานที่เอาไว้ใช้เพื่อให้มีชีวิตรอด ถ้าหากร่างกายยอมให้ใช้ไขมันสะสมจนหมดตัวเราก็จะตาย ซึ่งมันตรงข้ามกับ "กลไกการอยู่รอดของมนุษย์" หากเป็นเช่นนั้นจริงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เราก็จะสูญพันธุ์
.
เมื่อไรที่เราทำ Fasting ไปจนถึงจุดที่ร่างกาย Adapt แล้ว ประสิทธิภาพในการอยู่รอดก็จะสูงขึ้น ยีนส์เซอร์ทูอินจะทำงาน การลดไขมันต่อไปเรื่อยๆด้วยการทำ Fasting จะเริ่มไม่เห็นผลเหมือนตอนแรกที่เราเริ่มทำ เพราะร่างกายจะไม่ยอมให้เราใช้ไขมันจนหมดตัว แต่จะพยายามปรับตัวให้เราอยู่รอดได้เก่งขึ้น ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารให้ดีขึ้น และเรียกใช้พลังงานสะสมได้เสถียรมากขึ้น หรือที่เราเรียกกันในปัจจุบันว่า "ร่างกายเริ่มรู้จักใช้ไขมันเป็นแล้ว" นั่นแหละค่ะ
.
หากว่าตอนนี้ใครที่ทำ Fasting มาซักพักแล้วประจำเดือนก็ยังมาเป็นปกติ ผู้ชายอารมณ์ทางเพศก็ยังอยู่ ไม่หิวอาหาร ตื่นมามีพลัง การนอนหลับปกติ แต่กลับเจอสภาวะ "อ้วนขึ้น-ผอมลง" ในการทำ Fasting ได้ แปลว่าเราเข้าสู่จุดของการ Adapt อย่างแท้จริงแล้ว
.
ญาดาเคยเชื่อว่า Fasting คือเครื่องมือของการลดไขมันที่ทรงประสิทธิภาพ แต่แท้จริงแล้วมนุษย์กลับไม่ยอมให้เราสูญเสียไขมันจนหมดตัว ทำให้ไม่ว่าไดเอทใดก็ตามเมื่อถึงจุดๆนึง ร่างกายจะ Adapt ให้เข้ากับไดเอทนั้นๆ และเราจะลดไขมันยากขึ้นจากการทำสิ่งๆนั้น ยกตัวอย่างเช่น....
.
- ถ้าเราทำ Ketogenic Diet ช่วงแรกเราจะลดไขมันลงได้เยอะมากจากการการที่ร่างกายเบิร์น Fat เป็นพลังงานหลัก แต่พอไปถึงจุดนึงเราจะอ้วนขึ้นได้จากการกิน Fat เช่นกัน
- ถ้าเราทำ Intermittent Fasting ช่วงแรกเราจะลดไขมันลงได้เยอะมากจากการหยุดกินบ่อย แต่พอไปถึงจุดนึงร่างกายจะดูดซึมสารอาหารได้เก่งขึ้น แล้วเราก็สามารถอ้วนได้จากการกินเพียงไม่กี่มื้อ
.
แล้วเราจะแก้ไขปัญหายังไงดีล่ะ? เราจะต้องเปลี่ยนการไดเอทไปเรื่อยๆหรือ? หากทำให้ร่างกายไม่ Adapt ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้วค่ะ จริงๆมันไม่ได้ยากและน่ากลัวขนาดนั้น แต่เรื่องนี้ญาดายังให้รายละเอียดชัดเจนยังไม่ได้ เพราะกำลังยืนระยะเพื่อศึกษาทดลองการกินวันละมื้ออยู่ค่ะ ไว้ถ้ามีโอกาศจะทดลองทำเรื่องนี้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอนนะค้า
.
บทความนี้เพียงแค่มาเล่าในสิ่งที่ญาดาสงสัยเท่านั้น และไม่ขอให้ทุกคนเชื่อในบทความที่ญาดาเขียนวันนี้ด้วย เพราะแม้แต่พระพุทธศาสนาก็ไม่ได้สอนให้เราเชื่อแม้กระทั่งความคิดของตัวเอง
.
ในวันนี้ปัญญาของญาดามีเท่านี้ ญาดาเลยเข้าใจเรื่องบางเรื่องได้เท่ากับปัญญาที่มีอยู่ตอนนี้ หากวันข้างหน้าญาดามีปัญญามากกว่านี้ ญาดาก็จะเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นกว่านี้ค่ะ
.
เพราะฉะนั้นญาดาไม่ขอยึดติดแม้กระทั่ง "ความคิดของตัวเอง" ดังนั้นใครก็ตามที่ติดตามกันอยู่ ไม่ต้องยึดทุกอย่างตามที่ญาดาทำนะคะ เพราะแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังบางคนยังต้องล้มทฤษฎีเก่าๆที่ตัวเองเคยพูดไว้ก็มี ประสาอะไรกับคนธรรมดาอย่างญาดาล่ะคะ
.
The truth of a theory is in YOUR MIND, not in YOUR EYES. ความแท้จริงของทฤษฏีอยู่ภายในจิตใจ ไม่ใช่อยู่กับสิ่งที่มองเห็น คำพูดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังระดับโลกค่ะ :)
ไอ้สาระเลวบ้านเมืองที่มีปัญหาสารพัดส่วนมากมันจะเกิดจากนักการเมืองทั้งนั้นทแต่ทหารเข้ามาแก้วิกฤตให้ทุกที คิดดูสิถ้าทหารไม่เข้ามาแก้วิกฤตบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรไทยไม่ฆ่าไทยหรือ คิดสิคิดอย่าเอาหัวไว้คั่นหูอย่างเดียว
This happened at my old job:
During my annual review, boss did the standard “where do you see yourself in 5 years” question. I gave him a rather generic answer consistent with my goals. At the end of the review, I turned the question around and asked where he hoped to see me in 5 years.
He beat around the bush with it, but the answer was basically “doing the same exact thing”.
I left the job a couple months later
การใส่น้ำตาลใน้ำหวังเพิ่มความหนืดเพื่อพ่นแล้วดักจับมลพิษในอากาศได้
ไม่พูดถึงเรื่องของประสิทธิภาพในการลดมลพิษนะ แต่ประสิทธิภาพในแง่ของต้นทุน คิดว่าถ้าต้องการเพิ่มแค่ความหนืดของน้ำ ใส่น้ำตาลเท่าไหร่กว่าน้ำจะเริ่มหนืด เทียบกับใส่โพลิเมอร์โง่ ๆ ถูก ๆ สักตัวนึง ใส่ไปเสี้ยวเดียวก็ข้นขึ้นแล้ว จะถูกกว่าไหม
ไม่นับว่าน้ำตาลเป็นสารอาหาร พ่นไปจะไปเป็นอาหารจึลชีพบางอย่างโตจนเสียสมดุลในระบบไหม แล้วตกใส่คน ใส่หัว ใส่รถ ใส่อาคาร จะก่อผลเสียอะไรไหม
คือแบบ ไม่รู้จะด่าอะไรดี
เรื่องมลพิษจากฝุ่น PM2.5 มันมีวิธีแก้ที่หลายประเทศใช้กันอยู่
1..แก้ที่สาเหตุ ของการเกิดฝุ่นพิษ PM2.5 โดยการเข้มงวดกับ การปล่อยควันเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และการเผาหญ้า เผาไร่อ้อย เผาขยะทั่วประเทศ จับปรับอย่างจริงจัง
2..ส่งเสริมการใช้ รถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยประกาศลดภาษี เป็น0% และเปลี่ยนรถสาธารณะทั้งหมดที่วิ่งในเขตเมือง ให้เป็นรถไฟฟ้า อย่างเช่น รถเมล์ รถแท้กซี่
3 มอเตอร์ไซค์ ก็ต้องหนุนการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าด้วย
4 สนับสนุนผู้ประกอบการไทย ในการลงทุน ธุรกิจ รถEV
5 สนับสนุนการปลูกต้นไม้ ริมถนนในเมือง และงดการตัดกิ่งใบไม้ต้นไม้อย่างไร้รสนิยม เพื่อช่วยกรองฝุ่นและสร้างออกซิเจนให้ประชาชน
6 ลดภาษี นำเข้าหน้ากาก และเครื่องกรองอากาศทั้งหมด เพื่อไม่ให้ประชาชนรับภาระค่าใช้จ่าย
7 สนับสนุน การทำงานที่บ้าน โดยมีมาตรการลดหย่อนภาษีให้กับหน่วยงานที่ ใช้นโยบายนี้
คิดเร็วๆได้ประมาณนี้ครับ น่าจะมีอีกหลายข้อ ช่วยๆกันคิด ช่วยๆกันเสนอครับ
ในช่วงเวลาที่ไทยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติฝุ่น
แทนที่พวกเราจะช่วยเหลือกันให้ผ่านปัญหาและอุปสรรคไปได้ กลับเจอคนไทยโก่งราคาเครื่องฟอกอากาศ และหน้ากาก N95 หากำไรจากคนไม่มีที่พึ่ง
พวกเค้ากำลังบอกว่า “จ่ายกูมาซะ ไม่งั้นพวกมึงก็จงเป็นมะเร็งตายๆ ไปซะ”
เห็นแล้วก็เศร้าครับ ผมบอกเสมอ รัฐบาลแย่ๆ เป็นแค่ปลายเหตุของความด้อยพัฒนา ต้นเหตุคือ “คนไทย” จำนวนมากนี่แหละ ที่จิตใจยังไม่ยกระดับเหมือนประเทศที่เจริญแล้ว
ผมว่ามันเป็นตามกฎดีมานซัพพลายนะ ทุกประเทศก็เป็นงี้ถ้าไม่ควบคุม มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ปัญหามันคือรัฐต้องควบคุมเพราะมันถึงขั้นภัยพิบัติแล้วจะมาอ้างดีมานซัพพลายไม่ได้ ผมดู designated survivor มันมีตอนนึงที่รัฐต้องใช้ยาแก้ไวรัส แล้วบริษัทยาบอกว่าผมลงทุนไปเยอะ ให้รัฐหมดมันก็เจ๊งซิ ก็ชิงไหวชิงพริบกันไป สุดท้าย ปธน บอกมันมีกฎหมาย หรือ กฎรัฐธรรมนูญอะไรนี่แหละระบุว่าถ้าเป็นภัยระดับประเทศแล้ว รัฐมีสิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายเลยชนะช่วยชีวิตคนที่ติดเชื้อได้
มหาวิทยาลัยต้องปรับเปลี่ยนครับ จะต้องปรับหลักสูตร ปรับโครงสร้างของคณะและหน่วยงานต่างๆ เป้าหมายไม่ใช่เอาคนออก แต่คือการปรับหลักสูตรให้ทันสมัย สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก อาจารย์มหาวิทยาลัยจะต้องออกจาก comfort zone ครับ ถ้าจะอยู่แบบเดิมๆคงไปรอดยาก ที่ผ่านๆมานี่เผาหลอกครับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะเห็นของจริงครับ ปีนี้หลายหลักสูตรของหลายสถาบันอาจไม่มีคนเรียนเลยก็ได้ครับ ถ้าสาขาไม่มีคนเรียนแล้วบุคลากรจะอยู่ได้อย่างไร
แก้ที่ต้นเหตุ :
- ห้ามรถดีเซลวิ่ง ..ก็ไม่เอา (เศรษฐกิจพังพินาศหมด)
- ขึ้นภาษีน้ำมัน/รถดีเซล ..ก็ไม่เอา (มึงดูฝรั่งเศสดิ)
- ให้รถวิ่งสลับวันคู่คี่ ..ก็ไม่เอา (ซื้อสองคันหรือทะเบียนเถื่อน จบ)
- ห้ามรถเก่าเกิน 10 ปี วิ่ง ..ก็ไม่เอา (ติดแก๊สสิวะ)
- ห้ามเผาที่การเกษตร ..ก็ไม่เอา (รังแกคนจน ถุ้ย)
- ห้ามทำอาหารปิ้งย่าง(กลางแจ้ง) ..ก็ไม่เอา
- ห้าม จุดธูปไหว้พระ-เผากระดาษ ..ก็ไม่เอา
- ปิดแหล่งพลังงานเตาถ่าน ..ก็ไม่เอา (ไฟก็ดับดิ)
แก้ที่ปลายเหตุ :
- ใช้โดรนโปรยน้ำ ..ก็บอกไม่คุ้ม (เหมือนกับ อ. อะไรที่ให้เอาเครื่องบินมาโปรยน้ำ)
- ฉีดน้ำจากข้างล่าง(ล้างฝุ่นตามพื้นไม่ให้ฝุ้งขึ้นมา) ..ก็บอกไม่ได้ผล
- ฉีดน้ำจากยอดตึก(ควบคุมเฉพาะพื้นที่) ..ก็บอกไม่คุ้ม
- ให้ใส่หน้ากาก ..ก็ไม่ใส่ (เปลืองตังค์ โวยวายจะให้แจกฟรี)
ลองให้คิด-เสนอไอเดีย ..ก็ไม่คิด บอกไม่ใช่หน้าที่
คือ จะไม่เอาอะไรเลย สักอย่าง !!
จะ "ด่า" อย่างเดียว (สังคมเก่งแต่หน้าจอ)
#มิตรสหายทั่นหนึ่ง #(วงเล็บ)นั่นสหายโม่งใส่เพิ่มให้
>>741 จะว่าไปกูสงสัยระบบคิดของเจ้าของ qoute นั้นมากนะ (โจนูโว) https://www.matichon.co.th/social/news_1342334?fbclid=IwAR3HgDU5LHi5f-ED_uyK09dBqA772plkNXVpqsE5mvbaT4CF8o3RPTsO5WM
ก่อนหน้านี้ก็ยุให้เลิกเลือกตั้งไปเลย https://voicetv.co.th/read/fQozRlpoq
เจอคอมเมนท์ของมิตรสหายท่านหนึ่ง เห็นว่าเป็น guideline ที่ดี เลยขอ paraphrase และขยายข้อความสักหน่อย
"จ้างพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ .... น่าจะราคาเท่าไหร่"
"โห เป็นล้าน ทำไมแพงจัง แค่ 2 แสนก็พอแล้ว"
ก็ .... สมมติว่าเราจ้างนักศึกษาจบใหม่ เงินเดือน 20,000/คน/เดือน มา 2 คน ก็จะตกเดือนละ 40,000 บาท ... 2 แสน ก็ได้ 5 เดือน
ก็ถามอาจารย์มหาลัยดูครับ ว่าให้นักศึกษา 2 คน (ที่เพิ่งจะทำโปรเจ็คกับท่านไปก็ได้) ทำโปรเจ็คระยะเวลา 5 เดือน จะได้อะไรออกมา :-)
ถามผมก็ได้ครับ แต่ผมเป็นแค่อดีตอาจารย์นะครับ :P
เรามีผู้นำเทรนด์การทำงานที่บ้าน ก่อนปัญหาฝุ่นพิษมาตั้งนานแล้ว
ลองค้นข่าวเก่าๆสิ ว่ามีใครบ้างไม่ค่อยเข้าประชุมสภาฯ แต่ได้เงินเดือนเต็มๆ
Work From Home ที่แท้ทรู
ทำงานที่บ้านมันเอ้าท์ไปแล้ว เดี๋ยวนี้เขาอยู่ต่างประเทศแล้วสั่งงานคนอื่นไปทำกัน
เพราะ 9 ใน 10 ของคนทำออนไลน์ล้วนไปผิดทาง !!!
เขียนดีแต่ไม่รู้วิธีหาเงิน ?!?
สัมมนานี้จึงเกิดขึ้นมา, เล่าประสบการณ์จริงจาก Blogger ที่มีรายได้ 7 หลักต่อปี [มีเอกสารภาษีชัดเจน]
ไม่ใช้ศัพท์เทคนิคใดๆ
ไม่มีการเขียนโปรแกรม
ไม่แนะนำวิธีก่ออิฐสร้างตึกทีละก้อนๆ แต่เน้นสร้างรายได้ด้วยการใช้พื้นที่ฟรี, มีเงินเข้าแล้วค่อยไปสร้างตึกดีๆ ทีหลัง !!!
เหมาะทั้งกับคนที่อยากดัง
ไปจนถึงธุรกิจน้อยใหญ่
และผู้ค้าออนไลน์ที่สาหัสขึ้นทุกวัน
พบกันครั้งต่อไป 3 กุมภาฯ ติดรถไฟฟ้าเอกมัย
เพียง 5288 บาทเช่นเคย, โอนได้เลยที่ 0322724497 / KBank / Chaiwat Chantasakuldetch
*พิเศษ 9288 บาทเมื่อมาสองท่าน
**ท่านที่ไม่สะดวกเดินทางสามารถฟังออนไลน์ได้ในราคาพิเศษ 4288 บาท, รับรหัสทันที
*.**Update เนื้อหารับปี 2019 ว่า Blog สายไหนหาเงินง่ายสุด !
เมื่อแอดนำก้อนดับกลิ่นชักโครกสีฟ้ามาวางในโถฉี่ที่ทำงาน เพื่อให้ลดกลิ่นฉี่ในระหว่างวันนั้น ปรากฎว่ากลิ่นที่เคยมีนั้นหายไปเยอะเลยครับ 😁😁
"ดับกลิ่นดีเหรอ?"
"เปล่า!! คนฉี่มันสนุกตรงที่ได้เล็งองศาตรงก้อนฟ้านั่นแหละ มันก็เลยไม่กระเด็นเท่าไร เวลากดน้ำลงก็เลยไล่ฉี่ลงได้หมด"
#เปลี่ยนการฉี่ที่น่าเบื่อหน่ายให้เป็นความท้าทาย
#สัญชาตญาณนักสู้ติดตัวคนเรามาแต่กำเนิด 😔😔
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คือเราบอกตรงๆเลยนะ ว่าเราหงุดหงิดมาก เรารำคาญมาก กับคนที่ไปคอมเมนต์ ไปโพส ตามคอนเทนต์ที่เรียกร้องเรื่องการจัดการปัญหามลพิษ สิทธิในการมีอากาศที่ดีและสุขภาพที่ดี ว่าอยู่ที่จิตสำนึก อยู่ที่ทุกคนต้องทำ ต้องใช้ขนส่งสาธรณะ
คือประเทศพัฒนาแล้วในปัจจุบันที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะกันถ้วนหน้า บางเมืองรถยนต์เข้ามาใจกลางเมืองไม่ได้ เดินหรือปันจักรยานหรือใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างเดียวนั้น ทุกเมืองผ่านการมีรถยนต์ส่วนบุคคลล้นถนน ผ่านการมีควันพิษท่วมท้นมาทั้งนั้น
ทุกประเทศที่ว่ามา แก้ปัญหาด้วยการที่รัฐมีทางเลือกของระบบขนส่งสาธารณะที่ "ครอบคลุม" "มีราคาที่ย่อมเยาว์ ประหยัด" "มีคุณภาพดี" "เชื่อมต่อได้อย่างสะดวก" "คาดการณ์ได้" จนการไม่ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลไม่ไดทำใ้ห้เขายากลำบาก สามารถออกกฏในการจำกัดการใช้รถยนต์ได้โดยที่คนก็ยังสามารถใช้ชีวิตไปทำงานไปเรียนหรือดำเนินกิจกรรมในแต่ละวันได้ตามปกติ ไม่ทำให้เขาต้องจ่ายเงินเท่ากันหรือแพงกว่าเพื่อใช้ระบบขนส่งสาธารณะในการเดินทาง ไม่ต้องดมฝุ่น ดมควัน อาบเหงื่อตากน้ำ ไม่ต้องยืนรอแบบไม่รู้จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ จะถึงที่ทำงานตอนไหน คิดว่าระบบขนส่งในประเทศตอนนี้มีอันไหนที่มีครบทุกข้อบ้างวะ? ไม่มี!!!
มันน่าหงุดหงิดตรงที่ ทุกอย่างที่เราประสบ มีบทเรียนมาก่อนหน้าจากประเทศอื่นทั้งย้อนกลับไปห้าหกสิบ และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การแก้ไข เขาทำยังไงมีหมด แต่ถามว่าคนที่ทำหน้าที่ออกแบบกลไลต่าง ๆ ได้ทำอะไรเพื่อเตรียมรับมือไว้บ้าง?
คือการที่คนพวกนี้ออกมาโพสออกมาบอกว่า ประชาชนมัวแต่บ่นเรื่องมลพิษ ฝุ่นพิษ แต่ไม่ยอมแก้ที่ตัวเอง มัวแต่โทษรัฐ ขอให้ตระหนักรู้ตัวไว้ด้วยว่า นอกจากคุณจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลยสักนิด ยังทำให้คนที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างระบบที่จะแก้ปัญหามลพิษ สรา้งระบบที่ช่วยให้คนไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ลอยตัวจากปัญหา
คือมาพูดจาสวย ๆ หล่อ ๆ ต้องมีจิตสำนึก ต้องเริ่มที่ตัวเอง ต้องใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ถุ้ยยยย กลวง ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง ยิ่งถ้าคนที่พูดแบบนี้เป็นคนที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ยิ่งต้องตระหนักเลยถึงความไม่สะดวก ความลำบาก หรือความพิกลพิการในระบบที่ตัวเองใช้ คือถ้าไม่คิดจะทำความเข้าใจ ก็อย่ามาลดทอนสิทธิหรืออำนาจในการเรียกร้องของคนอื่น
คิดว่าทางเท้า ต้นไม้ริมถนน รถประจำทาง รถไฟ รถไฟฟ้า ข้อกำหนดเรื่องสิ่งมลพิษ คุณภาพ เครื่องยนต์ การกำหนดราคา การ Subsidise ค่าโดยสาร พวกมึงมาทำกันเองได้หรอ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐหรอ ถ้าพวกกูต้องทำกันเอง อยู่ที่ตัวเองทุกอย่างก็ไม่ต้องมีรัฐ ไม่ต้องจ่ายภาษี
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เธอถือเงินมา 150,000
บอกว่าจะให้ผมช่วยสร้างแบรนด์
เธออายุสามสิบต้น มีเงินหลักล้านที่จะผลิตสินค้า
ผมถามว่า สินค้าที่จะผลิต แก้ปัญหาอะไร
แก้ให้ใคร
เธอไม่ตอบ
แต่บอกว่า
จะผลิตเสื้อผ้ากีฬา
งบลงทุนเท่าไหร่
เธอตอบว่า...ยังไม่รู้ ค่อย ๆใส่
#คำตอบนี้ ผมแปลว่าฉิบหาย 1 ครับ เพราะคนเริ่มธุรกิจ มันต้องชัดเจนเรื่องงบลงทุนก่อน เพื่อจะได้รู้ R O I
(ผลตอบรับจากการลงทุน)ว่ามันคุ้มไหม
แต่ผมยังใส่ใจจี้ต่อ
เรื่อง 4 M
4 P
เธอตอบไม่ได้
ที่มีคือ
ความอยากที่จะทำ
มีเงินที่จะทำ
#ทุนเงินอาจสำคัญครับ
แต่ทุนความรู้ ความถึกสำคัญกว่า
ผมจึงเชิญเธอกลับ
และบอกว่าอย่าเพิ่งลงทุน
ให้ไปเป็นลูกจ้างเขาก่อน
#ถ้าคุณเอาเงินไปลงกับคนมีประสบการณ์
คุณจะได้ประสบการณ์
แต่เขาจะได้เงิน
ผมรักเงินครับ
แต่ผมมีเบนซ์สองคัน
ถ้าจะเอาเงินใคร
ถ้าต่อเงินให้เขาไม่ได้
เก็บความสบายใจ
ไปขับเบนซ์หรู ๆของผม
ไปกินลมเล่นดีกว่า
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ร้านอาหารตามสั่ง หรือร้านปิ้งย่างข้างทางจะมีค่าฝุ่น PM2.5 สูง ถึง 500 ได้เลย เพียงแค่เดินผ่าน!!! (ในคลิป)...
เมื่อกลางวันพี่หมึกวัดค่าฝุ่นที่ในรถและถนนกลางวันไปแล้ว คราวนี้มากลางคืนที่กรุงเทพฯ (ย่านปิ่นเกล้าบางพลัด) จะเห็นได้ว่าฝุ่นลดลงจริงๆครับ ค่าวิ่งอยู่ที่ 57-65 แม้จะมีรถสัญจร คนยังเดินไปมาอยู่ข้างนอก ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ถึงกับอันตรายมากเท่ากลางวัน...
แต่พอเดินผ่านร้านปิ้งย่างรถเข็น ที่ติดกับร้านอาหารผัดแบบกระทะ ค่าก็สูงดีดขึ้นมาทันทีทันใด 400 จนวิ่งไปแตะ 500 ได้ง่ายๆ เลย...
พอเดินผ่านออกมานิดเดียวค่าก็ลดฮวบละ...
ดังนั้นแสดงว่า ต้นกำเนิดฝุ่นเกิดได้จากหลายๆ อย่าง ไม่เพียงแต่การจราจร การเผาทำลาย การก่อสร้าล ฯลฯ อย่างเดียวเท่านั้นแน่นอน ปัจจัยเกิดจากหลายๆ อย่าง เพียงแต่ว่าปกติร่างกายเราไม่ได้รับฝุ่นพวกนี้อย่างต่อเนื่อง จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแบบเห็นผลเท่าไหร่ แต่ถ้าได้รับต่อเนื่องก็อันตรายครับ...
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตื่นตระหนกตกใจหนัก ที่ผ่านมาเราเจอฝุ่นพวกนี้ในชีวิตประจำวันกันมานานมากแล้วนั่นเอง และฝุ่นจากการปรุงอาหารมันประกอบจากละอองไอน้ำ, ไอน้ำมัน ประกอบ ไม่หนักเท่าฝุ่นจากเครื่องยนต์ และงานอุตสาหกรรม ที่ประกอบไปด้วยสารเคมี และโลหะหนัก...
แต่ถ้าต้องอยู่กับมันนานๆ เช่น ทำงานที่เสี่ยงต่อการอยู่กับจุดกำเนิดฝุ่น ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาหาร, ก่อสร้าง, เผางาน(อันนี้ไม่น่าจะใช่) ก็ป้องกันด้วยละกันครับ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมควันจากการปรุงอาหารให้ออกในที่ระบายที่ควรออก การคลุมพื้นที่ก่อสร้างต่างๆ ไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจายออกไป...
🆘ได้สอบถาม พี่หมอป็อปDietDoctor Thailand แล้วว่า
⚠️เจ้าฝุ่นพิษ pm.2.5มันสามารถเข้าสู่ร่างกายทางดวงตาได้ไหม?
👉พี่หมอป๊อบบอกว่าได้ครับ
เพราะบางคนก็ระคายเคืองทางตา
นั่นแสดงว่ามีผลแน่นอน
แต่จะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างของแต่ละคน
มันมีขนาดเล็กกว่าเส้นผมถึง 25 เท่า
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้ามันจะเข้าไปได้ทางดวงตา
ส่วน🙄ใครจะมองว่าเวอร์หรือกลัวเกินเหตุ
ก็แล้วแต่เลยครับ ผมขอใส่แว่นแบบมิดชิดไว้ก่อน
😭เพราะผมมีดวงตา👀อยู่แค่คู่เดียว
ขอเลือกที่จะเป็นตายตื่นตูม
ดีกว่าวัวหายแล้วล้อมคอกครับ
#เอาที่เราสบายใจ
หมอปลอม ช่วงนี้ของปีที่แล้ว คือราวๆต้นปี43 ผมเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย และยังตระเวณหางานอยู่ ซึ่งสายที่ผมจบมานั้นค่อนข้างเป็นสาขาวิชาจับฉ่ายไม่ใช่พวกสเปเชียลลิสต์ที่มีงานมารอ ดังนั้นผมจึงพบกับชะตากรรมตกงานเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นทั่วไป น้าชายของผมที่เป็นนายแพทย์มีชื่อเสียงด้านสูตินารี จึงชวนผมให้ไปทำงานด้วย โดยให้เป็นเสมียนประจำคลินิกไปพลางๆก่อน มีหน้าที่อำนวยการทั่วไป รับคนไข้เช็คระเบียนและทำงานไม้จิ้มฟันยันเรือรบทั่วไป ผมทำงานอยู่ได้สักประมาณ ๓ เดือน จนกระทั่งน้าแกเริ่มพอใจ เลยให้เข้าเป็นลูกมือเวลาตรวจรักษาด้วย นานๆครั้งถ้าพยาบาลที่จ้างไว้ไม่พอ คนไข้ที่มาหาน้าผมส่วนใหญ่เป็นคนมีสามีแล้ว หรือคุณน้าคุณป้าแก่ๆที่มาตรวจมะเร็ง ดังนั้นแม้ผมเห็นอะไรไปก็ไม่รู้สึกอะไรขึ้นมา เพราะความรู้สึกสลดสังเวชมีมากกว่า และไม่มีอะไรสวยๆงามๆมาให้ดู แต่กระทั่งวันนั้นก็มาถึง น้าของผมแกปวดท้องเป็นไส้ติ่งกระทันหัน จนต้องเรียกให้รถพยาบาลมารับ และให้ผมปิดคลินิคกลับบ้านได้เลย ขณะที่ผมเก็บกวาดทำความสะอาด และจัดเก็บเวชระเบียนอยู่นั้น ก็มีคนไข้หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งด้อมๆ มองๆอยู่หน้าประตูได้พักหนึ่งแล้ว ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในคลินิก เธอแต่งชุดนักศึกษาของมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง รูปร่างไม่สูงนักและออกจะผอม แต่หน้าอกไม่ใหญ่นักแต่ยังดูสมส่วน ผิวขาว หน้าตาน่ารักมากกว่าสวย ผมยาวสีน้ำตาล เธอดูลังเลนิดหนึ่งจึงเดินเข้ามาถามผมว่า คุณหมออยู่ไหม?” ผีบ้าซาตานที่ไหนก็ไม่รู้ ดลบันดาลให้ผมนึกพิเรนขึ้นมา แนะนำตัวไปว่า “”ผมเองครับ มีอะไรหรือ?”” น้องคนนั้นเลยเล่าให้ฟังว่า บ้านเธออยู่แถวลาดพร้าว แต่มาหาหมอแถวนี้เพราะอายไม่กล้าไปแถวบ้าน (คลินิกน้าผมอยู่แถวเมืองนนท์) และเพื่อนแนะนำว่าคุณหมอ (พี่เขย) เก่ง ปัญหาของเธอก็คือ เดือนนี้เมนส์เธอยังไม่มาเลย เลยกำหนดมาสองอาทิตย์แล้ว ผมก็ถามดูว่าเธอมีอะไรกับใครหรือเปล่า เธอก็ตอบอายๆว่าไม่เคยมี และยังไม่มีแฟน ตอนนั้นผมคิดพิเรนทร์แค่อยากจะดูของดีเธอเล่นเท่านั้นแหละ ไม่ได้คิดอะไรร้ายแรงกว่านั้น ผมจึงบอกให้เธอถอดกระโปรงและกางเกงในขึ้นไปรอบนเตียงในห้องตรวจ จริงๆคลินิคจะมีฉากให้ถอดเสื้อผ้าครับ แต่ผมทำเป็นเฉยเสียไม่เอาออกมากาง (เพราะเก็บไปแล้วตั้งแต่ตอนที่น้าไป ร.พ.) บอกให้เธอถอดต่อหน้าผม โดยแสร้งทำหน้าตาเฉยๆ เหมือนหมอจริงๆ เธอคงรู้สึกอย่างนั้นจึงกล้าถอดแบบเขินๆนิดๆ
หลักการมันเป็นแบบนี้ รัฐธรรมนูญและกฎหมายไม่มีฉบับไหนเขียนว่าเมื่อมีการเลือกตั้งผู้ที่อยู่ในรัฐบาลหากมีการเลือกตั้งต้องลาออก ใช่ไหมฝ่ายต่างประเทศ อย่าเอาเรื่องอื่นมาบังคับผมมากนัก ต้องดูประเทศชาติและหลักการว่าอย่างไร รัฐธรรมนูญไทย 2475 ถึงปัจจุบันก็ไม่ได้กำหนดว่าให้ลาออก และนายกฯ ก็ไม่มีใครลาออกเลยใช่หรือไม่ ปี 54 ใครเป็นนายกฯ ลาออกหรือเปล่า ก็ไม่ออก แล้วยังไปหาเสียง ครม.อีก ผมยังไม่เคยทำเลย ไม่ได้ไปแบบเขาเพราะยังไม่ไปร่วมกับพรรคการเมือง และต้องดูอีกทีว่าทำได้หรือไม่ ปี 2557 นายกฯ อีกคนกับครม.ลาออกไหม ไม่ออก จึงอย่ามาพูดส่งเดช ที่ออกไปก็เรื่องปลากระป๋อง เพราะมีความผิดก็ต้องออกไปสิ แต่ 4 รัฐมนตรียังไม่มีความผิดอะไรเลย ขอลาออกเพราะอยากไปทำการเมืองอย่างเต็มที่ ทั้งที่อยู่ได้ตามกฎหมาย จึงอย่าไปไล่ล่ากันมากนัก เดี๋ยวจะไล่ล่ารัฐมนตรีออก จะไล่นายกฯ ออก กฎหมายเขามาแบบนี้ มึงมาไล่ดูสิ ผมไม่ได้ท้าทาย แต่ผมไม่ออก
#ลุงข้างบ้านท่านนึง
>>758 จ้อจี้สัส ถ้ายังไม่เคยมีอะไรกับ ผช แล้วเมนส์ขาดไปแค่ 2 อาทิตย์ คงไม่มีใครคิดว่าจะต้องไปตรวจ หรือถ้าจะไปตรวจก็ไปตรวจแถวบ้านก็ได้ ไม่มีอะไรน่าอาย ไม่มีความจำเป็นต้องถ่อไปไกลๆ บ้าน เออ ถ้าเย็ดกับผัวแล้วกลัวท้อง ไม่กล้าไปตรวจแถวบ้านกลัวเจอว่าป่องก็ว่าไปอย่าง
- วิธีป้องกัน PM 2.5 แบบสั้นๆ และเข้าใจง่าย -
ติดตั้งอุปกรณ์กรองฝุ่น/เครื่องกรองอากาศที่มีคุณภาพ
ในบ้านและในรถยนต์ #AtmosphereDrive #AtmosphereSky
🥦🐟ดูแลตัวเองด้วยโภชนาการที่ดีตามหลัก VRLBodySolution
🏃♂️💨พยายามหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง
😷สวมหน้ากากที่มีมาตรฐาน N95
หนูน้อย 10 ขวบตอบแบบสอบถามของโรงเรียน
เรื่องการถูกกลั่นแกล้งว่าพ่อใช้ความรุนแรงกับหนูไม่ทราบว่าคุณครูพอจะช่วยหนูได้ไหมคะ
(แบบสอบถามระบุว่าจะเก็บทุกอย่างเป็นความลับ
ขอให้ทุกคนตอบได้ตามจริง)
พอทางโรงเรียนเห็นแบบสอบถาม
ก็ได้แจ้งคณะกรรมการการศึกษาทันที
แล้วก็มีการเรียกตัวคุณพ่อมาพูดคุย
แต่ทางคุณพ่อก็คุกคาม เรียกร้องขอดูตัวแบบสอบถาม
มีการขู่ว่าจะฟ้อง
ทางคณะกรรมการและทางโรงเรียนก็รู้สึกกลัวและกดดัน
เลยตัดสินใจส่งแบบสอบถามฉบับก็อปปี้ไปให้คุณพ่อ
สุดท้ายหนูน้อยดันกลายเป็นศพอยู่ในบ้าน
คุณพ่อเลยถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัย
เรื่อง People analytics ที่หัวหน้าเอามาเล่านี้
มาจากบทความใน Harvard Business Review
เดือนพฤศจิกา - ธันวา 2018
ชื่อเต็มๆ ก็คือ “Better People Analytics. Measure who they know, not just who they are”
หรือแปลเป็นไทยว่า การวิเคราะห์คนที่ดียิ่งขึ้น คือการวัดว่า เขารู้จักใคร มากกว่า เขาเป็นคนอย่างไร
อย่างที่รู้กันว่าทุกวันนี้ เทคโนโลยีเริ่มฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ
ระบบคอมพิวเตอร์เริ่มสามารถวิเคราะห์ประมวลผล
ข้อมูลที่ "ไม่มีความหมาย"
จนกลายเป็น insights เชิงลึกที่มีประโยชน์มาก
.
.
ยกตัวอย่างเช่น ในบทความนี้ เขาวิเคราะห์คนในองค์กรผ่านข้อมูลจาก
อีเมล์ / แชทที่พูดคุยในแต่ละวัน / และไฟล์งานที่ส่งหากัน
แค่ 3 อย่าง วิเคราะห์คนได้ด้วยหรอ ??!!??
.
จากร่องรอยทางดิจิตอล (digital footprints) แค่ 3 อย่างข้างต้น
ระบบคอมพิวเตอร์ใช้การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (relational analytics) จนแบ่งคนออกเป็น 6 ประเภท
1. คนประเภทที่ 1: Ideation ผู้สร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ
- ความสามารถพิเศษของคนกลุ่มนี้ คือ ชอบสังเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายทีม…แล้วพัฒนาเป็น concept ชิ้นงานใหม่ๆ หรือ ปรับวิธีการแก้ปัญหาของแผนกหนึ่งไปใช้กับอีกแผนกหนึ่ง พูดง่ายๆ คือ เป็นคนจับแพะชนแกะนั่นเอง
- สาเหตุเบื้องหลัง คือ คนกลุ่ม ideation ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนใน network อื่น ๆ ทำให้มีข้อมูลหลากหลาย และกลั่นรวมออกมาเป็นความคิดที่ดี
- มีตัวอย่างตลกๆ เช่น ค้นพบว่า R&D ของบริษัทหนึ่งโดนตั้งฉายาว่าเป็น “มนุษย์ถ้ำ” caveman world เพราะมีปฏิสัมพันธ์กับคนไม่เกิน 5 คน ทั้งที่มีหน้าที่คิดค้นสินค้าใหม่ๆให้กับบริษัท
2. คนประเภทที่ 2: Influence ผู้โน้มน้าวให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
- เรามักเข้าใจผิดว่า คนที่มีอำนาจมากที่สุด จะสามารถโน้มน้าวคนในบริษัทให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้มากที่สุด
- เรามักเข้าใจผิดว่า คนที่ popular มากที่สุด (รู้จักคนแนวกว้าง) จะสามารถโน้มน้าวคนในบริษัทให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้มากที่สุด
- ความจริงแล้ว คนที่ popular ทำหน้าที่ได้เพียงส่งสารกระจายออกไปสู่คนหมู่มาก แต่คนที่มีสายสัมพันธ์กับคนอื่นแข็งแรง (รู้จักคนแนวลึก) แม้ว่าจะรู้จักคนน้อยกว่า แต่กลับสามารถมีอิทธิพลให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมได้มากกว่า
- ดังนั้น ถ้าจะเปลี่ยน procedures บางอย่างในองค์กร อาจจะต้องเลือกตัวแทนให้เหมาะสม
3. คนประเภทที่ 3: Efficiency ผู้ทำให้งานสำเร็จ
- ทีมที่มีประสิทธิภาพ คือ ทีมที่ทำงานได้บรรลุเป้าหมาย ตามเวลาที่กำหนด และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
- Factor ที่ 1 ที่ช่วยให้ทีมมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น คือ มีการปฏิสัมพันธ์กันในทีมอย่างเข้มข้น (high internal density) ซึ่งสำคัญต่อความไว้เนื้อเชื่อใจ
- Factor ที่ 2 ที่ช่วยให้ทีมมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น คือ มีการปฏิสัมพันธ์กับคนนอกทีมอย่างเข้มข้น (high external density) คือ แต่ละคนในทีมต้องรู้จัก expert ข้างนอก ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านที่ไม่ซ้อนทับกับคนในทีม ซึ่งจะช่วยให้มองภาพได้รอบด้าน และมีทรัพยากรที่ครบถ้วนเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย
4. คนประเภทที่ 4: Innovation ผู้คิดนวัตกรรมใหม่ๆ
- ทีมที่มีประสิทธิภาพสูงมักไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นทีมคิดนวัตกรรม
- Innovation team มักมีธรรมชาติคือ เป็นทีมที่มีปฏิสัมพันธ์กันในทีมน้อย แต่สัมผัสกับคนข้างนอกทีมอย่างมาก (high external density but low internal density)
- ทีมที่สนิทสนมคลุกคลีกันมากจะกลายเป็นคนคิดคล้ายๆกัน มีความเห็นตรงกัน ประนีประนอมกัน ในขณะที่ innovation team ควรเป็นทีมที่มีความเห็นขัดแย้งกัน อาจถึงขั้นถกเถียง หรือทะเลาะกัน เพื่อบีบบังคับให้คิดวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ทุกมุมมอง
5. คนประเภทที่ 5: Silos ผู้ที่ทำงานในแนวดิ่ง
- คนที่ทำงานดำดิ่งในแผนกตนเองโดยไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นจะเป็นคนประเภท Silo
- ในบทความนี้ วัดคนที่ทำงานรูปแบบ Silo ด้วยอัตราการพูดคุยระหว่างคนในทีมกับคนนอกทีมประมาณ 5:1
- พบปัญหาในบริษัทที่ทำงานแบบ Silo คือ ไม่เชื่อมโยงกับแผนกอื่น เช่น แผนก call center มีข้อมูลเรื่องคำตำหนิ คำบ่น หรือคำชื่นชมจากลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่าย Marketing มองหา แต่กลับไม่เคยมานั่งแลกเปลี่ยข้อมูลกันเลย
6. คนประเภทที่ 6: Vulnerability ผู้ที่มีจุดเชื่อมต่อสำคัญ จนอาจทำให้องค์กรอ่อนแอได้
- คนประเภทนี้ อาจจะไม่ได้มีตำแหน่งอะไรใหญ่โต ถ้ามองเผิน ๆ ก็ดูเป็นพนักงานธรรมดาๆ แต่จริง ๆแล้ว คนพวกนี้เป็น connector สำคัญในการเชื่อมต่อกับแผนกต่าง ๆ หรือกับองค์กรภายนอก
- องค์กรควรตามหาคนประเภทนี้ให้เจอ และทำการ Back up connection ต่าง ๆ ที่คนพวกนี้มีเอาไว้ ไม่เช่นนั้น การสูญเสียคนเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมากกับองค์กร
#เมื่อเป็นหนี้
#สิ่งเร่งด่วนที่สุดไม่ใช่การใช้หนี้ครับ
คนที่เป็นหนี้ ทั้งไม่สบายใจทั้งอึดอัด
เมื่อได้เงินมา มักรีบใช้หนี้
แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พอใช้ ก็เป็นหนี้ใหม่
ท้ายที่สุดก็จมอยู่ในวงจรหนี้
สิ่งที่ควรทำก่อนใช้หนี้
1.ทำรายการทรัพย์สิน หนี้สิน ให้ชัดเจน
2.จดรายจ่ายคงที่ เช่นค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ ค่าเทอมลูก ค่ากินค่าอยู่ ค่าเรียนรู้ ค่าพาลูกไปเที่ยว ค่าน้ำไฟ ภาษีสังคม
3.เผื่อรายจ่ายผันแปรไว้
(ผันแปรคือเผื่อเหลือเผื่อขาด หรือเรื่องฉุกเฉิน)
4.พอทำรายการ ในหัวเราจะชัดว่าขาดว่าเกินเท่าไหร่
หนี้รถอย่าให้เกินสามเดือน
หนี้บ้าน เข้าไปคุยกับแบงค์ทันที ถ้าเข้าไปหา ทุกแบงค์จะช่วย
อย่ารีบใช้หนี้จนลูกไม่มีกิน
เป็นหนี้ อย่าทุกข์ให้โง่
ตั้งสติให้ได้
เอาสติมาวางแผนทางการเงิน
ยอมเหนื่อยวางแผนและกวดขันตัวเองสักที
จะได้สบายชั่วโคตร
หนี้ต้องใช้ แต่ถ้าไม่มีกินจะเอาแรงที่ไหนไปทำเงิน
จ่ายให้ครอบครัว
จ่ายให้ตัวเองก่อน
อย่าลืม เมื่อเป็นหนี้
สิ่งแรกที่ต้องมีคือสติ
วางแผนทางการเงิน
หาทางลดรายจ่าย
หาทางเพิ่มเงิน
เมื่อบริหารได้ ทางชัด ก็ค่อยใช้หนี้
ที่สำคัญคือวินัยทางการเงิน
ทำได้...คืออิสระครับ
@วิชาอาแปะ สอนรวย
ธวัชชัย พืชผล
เราไม่ควรเข้าสู่สังคมไร้เงินสด หากแบงค์ชาติยังไม่ดูแลปัญหาธนาคารล่ม
ปัญหาระบบธนาคารล่มเป็นปัญหาเรื้อรังในสังคมไทยมานานหลายปี และยิ่งนโยบายรัฐบาลสนับสนุนให้ใช้จ่ายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นผ่านโครงการพร้อมเพย์ ยิ่งทำให้คนจำนวนมากต้องอาศัยบริการธนาคารมากกว่าเดิม
ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นโครงการพร้อมเพย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงค์ชาติ) ระบุเหตุผลหนึ่งที่ควรสนับสนุนสังคมไร้เงินสด ว่าเป็นการลดต้นทุนการจัดการธนบัตร นับแต่การพิมพ์, เก็บรักษา, ขนส่ง, ไปจนถึงการทำลาย
แต่โครงสร้างพื้นฐานทางไอทีที่ไร้ความน่าเชื่อถือ กำลังทำให้ผู้บริโภคกลายเป็นผู้ประสบภัย ในรอบปีที่ผ่านมา เราพบปัญหาของระบบธนาคารสารพัดรูปแบบ นับแต่ระบบการเงินที่ใช้งานไม่ได้นานหลายชั่วโมง, ระบบโอนเงินที่ดูดเงินหายไปในหลุมดำได้ครึ่งค่อนวัน ไปจนถึงปัญหายิบย่อยการล่มครั้งละไม่กี่นาทีที่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใดบ้าง
ความผิดพลาดในระบบไอทีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แต่สิ่งที่น่าวิตกคือธนาคารแห่งประเทศไทยแทบไม่เคยมีท่าทีต่อสาธารณะในเรื่องนี้ ทั้งที่มีผู้บริโภคจำนวนมหาศาลได้รับผลกระทบในวงกว้าง เราไม่เคยเห็นธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาแสดงตัวในฐานะผู้กำกับดูแลระบบธนาคารให้มีความน่าเชื่อถือ และไม่เคยเห็นมาตรการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนทั้งระยะสั้นและระยะยาว
สิ่งที่เราเห็นกลับมีแต่การประกาศความสำเร็จในการผลักดันสังคมไร้เงินสด เรามักเห็นธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงตัวเลขผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น, ปริมาณเงินที่โอนผ่านระบบใหม่อย่างพร้อมเพย์ หรือสถิติอื่นๆ อย่างต่อเนื่องผ่านงานวิจัยและการแถลงในโอกาสต่างๆ แต่กลับไม่เคยแถลงสถิติว่าระบบต่างๆ ของธนาคารไทยมีปัญหากันแค่ไหน
การเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลปัญหาระบบธนาคารล่ม แม้ไม่ช่วยให้ธนาคารหายล่มไปในทันที แต่การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสว่าระบบล่มมากน้อยแค่ไหน ย่อมทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจเลือกผู้บริการได้อย่างถูกต้อง, มีการจัดการเมื่อเกิดปัญหาเพื่อผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และธนาคารมีแรงจูงใจอย่างสูงที่จะลงทุนเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว
สิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยควรบังคับธนาคารต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น ผมเสนอแนวทางดังนี้
1. เปิดเผยข้อมูลเสถียรภาพระบบไอทีธนาคาร ผมเชื่อว่าทุกครั้งที่ระบบไอทีธนาคารมีปัญหา ธนาคารต้องส่งรายงานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประจำอยู่แล้ว ผมเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยสถิติปัญหาของธนาคารแต่ละแห่งเป็นประจำตามห้วงเวลา รายไตรมาส, ครึ่งปี, หรือรายปี เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้บริการจากเสถียรภาพของการให้บริการเป็นอีกตัวแปร นอกจากโปรโมชั่น, การโฆษณา, หรือการจูงใจอื่น
2. กำหนดแนวทางการแจ้งเตือนประชาชนที่ชัดเจน ผมสังเกตพบว่าธนาคารหลายแห่งเปลี่ยนแนวทางการแจ้งข่าวระบบมีปัญหาไปมากในช่วงปีที่ผ่านมา หลายธนาคารเลิกโพสตามสื่อสังคมออนไลน์ชี้แจงปัญหา หลายธนาคารเลือกที่จะ “ตอบ” การร้องเรียนปัญหาทีละรายโดยไม่ยอมโพสแจ้งว่าระบบมีปัญหาตรงๆ ทำให้หน้า timeline ของธนาคารเหล่านี้ไม่ปรากฎข้อความแจ้งระบบมีปัญหาเลย การหนีปัญหาเช่นนี้สะท้อนการกำกับดูแลที่แย่ของธนาคารแห่งประเทศไทย จึงควรกำหนดให้มีมาตรฐานแจ้งต่อประชาชนเมื่อระบบมีปัญหาขนาดใหญ่พอ เช่น เมื่อระบบใช้งานไม่ได้เป็นเวลา 10 นาทีขึ้นไป ธนาคารต้องโพสผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์และหน้าเว็บหลักของธนาคาร, หากมีปัญหาเกิน 3 ชั่วโมงต้องออกจดหมายข่าวแจ้งสื่อมวลชนถึงแนวทางแก้ปัญหา เป็นต้น
3. ให้ธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างหน้าเว็บบอกสถานะบริการ การสร้างเว็บสถานะบริการเป็นเรื่องปกติของการให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น AWS Service Health Dashboard หรือ Google Cloud Status ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เช่น บริการไม่ตอบสนองไม่กี่นาทีอาจจะไม่ต้องการการแจ้งเตือนในวงกว้าง แต่ควรเปิดเผยให้ตรวจสอบได้ ระบบกลางเช่น ITMX ควรแสดงให้เห็นว่าการเชื่อมต่อกับธนาคารไหนยังอยู่และธนาคารใดถูกตัดออกจากระบบ เพื่อให้ประชาชนสามารถหาทางเลือกในการทำธุรกรรมต่อไป
ผมเชื่อว่าหน้าที่หลักของธนาคารแห่งประเทศไทยในการสร้างระบบการเงินที่มีเสถียรภาพ ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรกลัวว่าการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้จะสร้างความกังวลให้กับผู้ใช้ หรือทำให้ธนาคารบางแห่งเสียชื่อเสียง แต่ควรยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เปิดโอกาสให้ประชาชนตัดสินใจเข้าใช้เทคโนโลยีเมื่อมันมีความพร้อม และมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เมื่อเกิดปัญหา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
โมเดลแจกเงินดึงดูดคนได้เสมอ และถ้ามีเงินใครก็ทำได้ ไม่ต้องเก่งไม่ต้องอะไรเลย ไม่ได้พิสูจน์อะไรแม้แต่นิดเดียว (จริง ๆ คือเพราะไม่เก่งถึงต้องทำแบบนี้) ก็เหมือนที่ Uber และ eCommerce ทั้งหลายทำ
แต่สุดท้ายที่วัดกันจริงคือโมเดลที่ผู้ประกอบการได้เงินเพราะธุรกิจก็คือธุรกิจ นี่ตั้งแต่เห็นโมเดลของ Panya ก็เดาไว้แต่แรกละว่าต้องจบแบบนี้ ถึงไม่เคยพูดถึงแอป ฯ ตัวนี้เลย เพราะไม่อยากแนะนำให้ใครเล่น
ซึ่งจะบอกว่าจบแย่กว่าที่คิดไว้เสียอีก ... ถ้าไม่ยื่นล้มละลายก็คงเข้าข่ายหลอกลวงละนะ
"ห้ามเผาก็ไม่เอา ห้ามขับรถก็ไม่เอา แล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไง"
.
ใครที่คิดแบบนี้แปลว่าไม่เข้าใจสภาวะผู้นำเท่าไหร่นัก
.
สตีฟจ็อบส์เคยบอกไว้ว่า "ถ้าอยากทำให้ทุกคนมีความสุขให้ไปขายไอติม อย่ามาเป็นผู้นำ"
.
ไม่มีผู้นำคนไหนในโลกที่ทำให้ทุกคนมีความสุขได้ ทุกคนมี Agenda ต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญคือ "ต้องทำให้ภาพรวมไปต่อได้"
.
ถ้าเป็นบริษัท หากสนใจคำบ่นของพนักงานทุกคนแล้วทำตามทุกอย่างโดยไม่คิดถี่ถ้วน สุดท้ายบริษัทเจ๊งแน่นอนไม่ต้องตามสืบ
.
Policy ต่าง ๆ จึงต้องออกมาให้ทุกคนทำตามเพื่อภาพรวมของบริษัท บางคนอาจไม่พอใจในบางส่วนแต่ก็ต้องทำตามเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
.
เช่นเดียวกัน พอเป็นสเกลระดับประเทศ การสั่งห้ามอะไรก็ย่อมทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ถ้าแคร์หมดแล้วไม่ Take Action อะไรสักอย่างจนภาพรวมเสียหาย นี่แหละครับ "ขาดภาวะผู้นำอย่างหนัก"
.
หากพิจารณาแล้วว่าอะไรควรทำก็ควรประกาศ Take Action ไปเลยแล้วบังคับให้ทุกคนทำตามโดยถ้วนกัน ไม่ใช่มาโทษว่าคนไม่ชอบ มันมีอะไรที่คน 70 ล้านคนทั่วประเทศชอบพร้อมกันบ้างถามจริง
.
แล้วสุดท้ายก็ดันพยายามเลี่ยงไปทำสิ่งที่คนน่าจะบ่นน้อย ๆ อย่างฉีดน้ำอะไรงี้ ทั้ง ๆ ที่เปเปอร์มีให้ศึกษาเพียบว่าอะไรควรทำอะไรควรอยู่เฉย ๆ แต่ไม่ศึกษาให้ดีก่อน
.
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลถึงดูวิกฤติดว่าสภาพอากาศมาก คะแนนสอบภาวะผู้นำให้ 1 เต็ม 10 เลย
.
ที่ให้ 1 คะแนนคือจากที่เพิ่งมาขยับในสองสามวันให้หลังนะ ก่อนหน้านี้ให้ 0
หลายคนคงได้ยินว่ารัฐบาลอาจพิจารณานำ “มาตรการคุมรถวันคู่-คี่” มาใช้ หากฝุ่นพิษเข้าขั้นวิกฤติ แล้วมาตรการนี้จะสามารถลดฝุ่นพิษได้จริงหรือไม่? ลองมาดูงานวิจัยในต่างประเทศที่เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ของมาตรการในลักษณะนี้ในการลดมลพิษทางอากาศ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับทุกคนและผู้กำหนดนโยบายนะครับ ผลปรากฏว่า...
“มาตรการคุมรถวันคู่-คี่” ไม่สามารถลดมลพิษได้เสมอไป แต่อาจจะทำให้มลพิษยิ่งแย่กว่าเดิม!! ขออนุญาตยกตัวอย่างงานศึกษาของ Davis (2008) (อ้างอิงที่ 1) ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Political Economy ซึ่งเป็นวารสารชื่อดังทางเศรษฐศาสตร์ งานนี้ได้ทำการประเมินผลของ “มาตรการคุมรถโดยใช้เลขทะเบียนรถหลักสุดท้าย” ในประเทศเม็กซิโก หรือที่เรียกเป็นภาษาเม็กซิกันว่า มาตรการ “Hoy No Circula” มาตรการนี้ถูกนำมาใช้ในกรุงเม็กซิโกซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองหลวง และถูกจัดว่าเป็นเมืองที่มีปัญหารถติดเป็นอันดับที่ 16 ของโลก ขณะที่กรุงเทพฯ ของเราอยู่อันดับที่ 11 ของโลก (อ้างอิงที่ 2) มาตรการนี้ถูกนำมาใช้ในช่วงปลายปี ค.ศ.1989 เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงมากในกรุงเม็กซิโกซิตี้ช่วงฤดูหนาว เหมือนกรุงเทพเราที่เป็นช่วงอากาศตายและไม่มีลม โดยในแต่ละวันทำการ (จันทร์ถึงศุกร์) รถที่มีเลขทะเบียนลงท้ายที่แตกต่างกันจะได้รับสติ๊กเกอร์สีต่างๆ แปะไว้ที่รถ และได้รับอนุญาติให้วิ่งบนถนนได้เฉพาะในวันที่กำหนดตามสีของสติ๊กเกอร์เท่านั้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในอ้างอิงที่ 1 และ 3) งานวิจัยชิ้นนี้ใช้ข้อมูลคุณภาพอากาศรายชั่วโมงของมลพิษต่างๆ ได้แก่ CO NO2 O3 NOx และ SO2 และใช้เทคนิคการประเมินโครงการทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า “Regression Discontinuity Design”
ผลการศึกษาพบว่า มาตรการข้างต้นไม่สามารถลดมลพิษทางอากาศทั้ง 5 ตัวได้เลยในทุกกรณี แต่กลับทำให้มลพิษทางอากาศรุนแรงมากขึ้นในช่วงวันหยุด และวันธรรมดาช่วงที่ไม่ใช้ชั่วโมงเร่งด่วน เนื่องคนไม่ยอมหันไปใช้รถไฟใต้ดิน รถโดยสารสาธารณะ และรถโดยสารเอกชน ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ แต่กลับหันไปซื้อรถใหม่กันมากขึ้น และที่สำคัญรถใหม่บางส่วนที่ซื้อคือรถยนต์มือสองที่อายุการใช้งานนาน ทำให้ระบบการเผาไหม้ของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพน้อยกว่ารถใหม่ เพื่อให้สามารถมีรถยนต์ขับกันได้ทุกวัน เนื่องจากระบบขนส่งมวลชนยังขาดประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง ภาพที่ 1 ซึ่งแสดงว่ามาตรการดังกล่าวทำให้มลพิษจากไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) เพิ่มขึ้น ขณะที่ ภาพที่ 2 แสดงให้เห็นว่าจำนวนรถใหม่จดทะเบียนได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นหลังจากมีการใช้มาตรการนี้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ งานศึกษาในประเทศจีน ซึ่งมีการนำ “มาตรการคุมรถวันคู่-คี่” มาบังคับใช้ในกรุงปักกิ่งก็ไม่ประสบผลสำเร็จเช่นกัน (Wang, Xu & Qin, 2014; Xie, Tou, & Zhang) โดยงานวิจัยพบว่า สามารถทำให้รถยนต์ลดลงบนถนนได้เพียงเล็กน้อยในระยะสั้นเท่านั้น ระยะยาวแทบไม่ได้ผลเลย และมลพิษก็ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้นยังทำให้คนมีพฤติกรรมละเมิดกฎข้อบังคับที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 47.8 ของรถยนต์ที่ถูกควบคุม ในทางตรงกันข้ามนโยบายที่เน้นส่งเสริมให้ประชาชนใช้บริการระบบขนส่งมวลชนสามารถแก้ไขปัญหามลพิษได้ดีกว่าการบังคับใช้มาตรการคุมรถต่างๆ รวมถึงมาตรการวันคู่-คี่
ดังนั้น หากนำ “มาตรการคุมรถวันคู่-คี่”มาใช้จริง อาจต้องศึกษาประสบการณ์ในต่างประเทศให้รอบคอบ และพิจารณาปรับให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยทั้งพฤติกรรมของคนไทยและความพร้อมของโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนด้วยนะครับ นอกจากนั้นอาจพิจารณาใช้มาตรการอื่นควบคู่กันไป เช่น การจัดเก็บค่าผ่านทางในพื้นที่การจราจรแออัด ค่าธรรมเนียมการจอดรถ ภาษีพลังงาน ที่จอดรถส่วนบุคคลเพื่อใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เป็นต้น ไม่อย่างนั้นพวกเราคนไทยอาจจะเจอมลพิษหนักกว่าปัจจุบันก็เป็นได้
ช่วยกันหาแนวทางที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหานะครับ ขอบคุณมากครับ
อ้างอิง
Davis, L. W. (2008). The effect of driving restrictions on air quality in Mexico City. Journal of Political Economy, 116(1), 38-81.
City with the biggest traffic jam. https://www.google.com/search…:
Hoy No Circula . https://en.wikipedia.org/wiki/Hoy_No_Circula
Wang, L., Xu, J., & Qin, P. (2014). Will a driving restriction policy reduce car trips?—The case study of Beijing, China. Transportation Research Part A: Policy and Practice, 67, 279-290.
Xie, X., Tou, X., & Zhang, L. (2017). Effect analysis of air pollution control in Beijing based on an odd-and-even license plate model. Journal of Cleaner Production, 142, 936-945.
กรณีศึกษา ไม่รู้รหัส CRYPTO 4,000 ล้าน เพราะเจ้าของเสียชีวิต / โดย ลงทุนแมน
วันนี้มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
ตลาดซื้อขาย Crypto ที่ใหญ่สุดในประเทศแคนาดาชื่อ QuadrigaCX กำลังมีปัญหา
เรื่องเริ่มต้นขึ้นจาก เจ้าของบริษัทนี้เสียชีวิตเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว
แต่ประเด็นคือ Crypto ทั้งหมดในนี้ไม่สามารถเข้าถึงได้
เพราะมีแค่เจ้าของบริษัทคนเดียวที่รู้รหัส
ทำให้ตอนนี้บริษัทต้องเป็นหนี้มากถึง 6,000 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้มีสัญญาณไม่ดีคือ บริษัทประกาศปิดการซื้อขายโดยอ้างว่า ปรับปรุงระบบ
แต่ต่อมาบริษัทก็แจ้งในเว็บไซต์ว่าบริษัทไม่สามารถเข้าถึงกระเป๋าเงิน Cold Storage ได้ และทำให้ต้องยื่นพิทักษ์ทรัพย์จากเจ้าหนี้
Cold Storage คืออะไร ?
ในวงการ Crypto คำว่า Cold Storage คือ กระเป๋าเงินที่เก็บแยกต่างหากโดยไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เพื่อป้องกันการขโมยโดยแฮ็กเกอร์
แต่ปัญหาคือจะมีคนที่รู้รหัสเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึง Crypto เหล่านี้ได้
และ คนที่รู้รหัสมีคนเดียวที่เสียชีวิตไปแล้ว
แล้วมี Crypto อะไรอยู่ในนั้นบ้าง ?
26,500 Bitcoin มูลค่า 2,900 ล้านบาท
430,000 Ethereum มูลค่า 1,400 ล้านบาท
200,000 Litecoin มูลค่า 203 ล้านบาท
11,000 Bitcoin Cash มูลค่า 40 ล้านบาท
11,000 Bitcoin Cash SV มูลค่า 22 ล้านบาท
35,000 Bitcoin Gold มูลค่า 11 ล้านบาท
รวมทั้งหมดมูลค่า 4,500 ล้านบาท
โดยตลาดนี้มีบัญชีซื้อขายทั้งหมด 115,000 บัญชี ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
หลังจากนี้ บริษัทก็ต้องพยายามหาให้ได้ว่า จะทำอย่างไรที่จะเข้าถึง Crypto เหล่านี้
อีกทางเลือกก็คือ การขายแพลตฟอร์มซื้อขาย Crypto นี้ให้แก่ผู้อื่น เพื่อเอาเงินมาจ่ายเจ้าหนี้
เรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ซื้อขาย Crypto
การเก็บรหัสของเราไม่ให้คนอื่นรู้ อย่างน้อยเราควรวางแผนไว้บ้าง
ว่าถ้าเราไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ใครจะเป็นคนได้ Crypto นั้นไป..
----------------------
อ่านเรื่องน่าสนใจแบบนี้ได้อีกในแอป blockdit โหลดที่ blockdit.com
----------------------
References
-https://bcfocus.com/news/crypto-exchange-quadrigacx-unable-to-access-its-cold-wallet-owes-customers-190-million/48876/
-https://www.coindesk.com/quadriga-creditor-protection-filing
-https://www.coindesk.com/crypto-exchange-quadrigacx-files-for-creditor-protection
ดูข่าวนี้แล้วเศร้า วันนี้คอนเทนต์ #ญี่ปุ่นไม่เบา
.
เด็กนักเรียนหญิง อายุ 10 ขวบ ชื่อน้อง คุริฮาระ มิอะ ถูกพ่อทุบตี จนเสียชีวิตที่บ้านเมื่อ 24 มกราคมที่ผ่านมา
.
เรื่องนี้ทางหน่วยงานและโรงเรียนพลาดมาก เริ่มมาจากเมื่อช่วงพ.ย.ปี 2017 โรงเรียนประถมได้แจกแบบสอบถามเรื่องการโดนกลั่นแกล้งให้เด็กนักเรียนทุกคนทำ น้องตอบในช่อง “เรื่องที่กลุ้มใจอื่น ๆ” ว่า “ถูกพ่อทำร้าย โดนปลุกมากลางดึก หากตื่นอยู่ก็จะถูกเตะ ถูกต่อย คุณครูคะ พอจะช่วยอะไรหนูได้มั้ยคะ?” ครูเรียกไปพบและสอบถามเพิ่มเติม น้องก็บอกครูว่า “ถูกใช้กำปั้นต่อยหัว 10 ครั้ง ตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่”
.
ทางโรงเรียนได้รับแบบสอบถามก็ส่งเรื่องไปยังศูนย์ให้คำปรึกษาและดูแลเด็กของสำนักงานเขตการศึกษาของเมือง เจ้าหน้าที่ของที่นั่นเห็นว่าอาจจะเป็นการทารุณกรรมเด็ก ก็เลยกักตัวน้องเอาไว้ดูแลเกือบเดือน แต่พ่อบอกว่าไม่เคยทำร้ายลูก แล้วก็ขอดูแบบสอบถามที่ลูกเขียน แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ให้ดู จากนั้นทางศูนย์ก็ประเมินและพิจารณาว่าน้องสามารถกลับไปอยู่ในความดูแลของที่บ้านได้ เลยปล่อยให้กลับไป
.
พ่อของเด็กมาศูนย์เพื่อขอดูแบบสอบถามอีกครั้ง โดยครั้งนี้เอาหนังสือยินยอมที่น้องเป็นคนเขียนมาด้วย แม่ก็ยืนยันในหนังสือยินยอมอีก พวกคนที่สำนักงานก็ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกกดดันและกลัว เพราะพ่อข่มขู่จะไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่เลยเอาแบบสอบถาม (สำเนา) ที่น้องเขียนตอบส่งให้พ่อดู หลังจากนั้น พ่อก็ให้น้องย้ายโรงเรียนไปเรียนที่ใหม่ในเมืองเดียวกัน
.
พอมาโรงเรียนใหม่ ก็มีการตอบแบบสอบถามเดียวกันนี้อีก แต่ครั้งนี้น้องตอบว่า “ไม่ถูกกลั่นแกล้ง”
.
พอเข้าเดือนม.ค.ปีนี้ พ่อติดต่อโรงเรียนมาว่าจะให้ลูกลาหยุด 1 เดือน หลังจากหยุดไปได้ 2 สัปดาห์ โรงเรียนถึงโทรแจ้งเรื่องไปยังศูนย์ แต่ว่าศูนย์ก็ไม่เคยออกไปเยี่ยมน้องที่บ้านเลย ไม่ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่บ้านนี้ก็มีเรื่องน่าสงสัยมาก่อน
.
จนมาเป็นข่าวว่าน้องเสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อยู่ในห้องน้ำที่บ้าน ถูกพ่อใช้น้ำเย็นราดตัว(ตอนนี้เป็นหน้าหนาว) ตามตัวก็มีรอยเขียวช้ำ ตำรวจก็จับกุมคนเป็นพ่ออายุ 41 ไปแล้วเรียบร้อย พ่อคนนี้ชื่อ นายคุริฮาระ ยูอิจิโร่ ให้การว่า “สั่งสอนลูกเฉย ๆ ไม่ได้ตั้งใจทำให้บาดเจ็บ เธอไม่เชื่อฟังเลยโกรธแล้วดึงผมเธอ”
.
เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก ว่าทำไมถึงช่วยน้องไว้ไม่ได้ทั้งที่น้องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมาแล้ว (คนข้างบ้านก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้มาตลอด) และทำไมทางเจ้าหน้าที่ต้องเอาแบบสอบถามที่น้องทำให้พ่อดูด้วย ทั้งที่ตรงหัวของแบบสอบถาม มีการเขียนกำกับไว้แท้ ๆ ว่า “เราจะเก็บข้อมูลเป็นความลับ กรุณาตอบตามความจริง”
.
เมื่อ 31 มกราคม ที่ผ่านมา พวกเจ้าหน้าที่เมืองที่เกี่ยวข้องก็ออกมาแถลงข่าวขอโทษ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พบทูตเยอรมันคนใหม่โดยบังเอิญบนรถไฟฟ้าใต้ดิน ระหว่างเดินทางไปดูการแสดง Jesus Christ Superstar ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยคืนก่อน ท่านทูต ฯพณฯ เกออร์ค ชมิดท์ เอาจริงเอาจังกับการเลี่ยงใช้รถบีเอ็มหรูซีรีย์ 7 ประจำตำแหน่งมากเพราะมีสกุตเตอร์ไฟฟ้าหนักกว่า 10 กิโลพร้อมหมวกกันน็อคติดตัว
ในสังคมที่มีผู้นำเผด็จการที่ตั้งตนเป็นนายกฯบอกให้ประชาชนใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษและมลภาวะแต่ตนยังนั่งรถประจำตำแหน่งเผด็จการอย่างไม่รู้สึกละอาย ผมอดคิดมิได้ว่านี่คือพีอาร์ ความชอบส่วนตัวหรือความห่วงใยในสิ่งแวดล้อมในสังคมไทยกันแน่ เพราะไทยเป็นสังคมที่บ่อยครั้งให้คุณค่าความเป็นคนติดอยู่กับยี่ห้อและรุ่นรถที่ขับหรือมีคนขับให้อย่างแยกไม่ออก
ปล. ในสังคมที่ค่าของคนมักอยู่ที่ยี่ห้อและราคาของรถที่ขับหรือมีคนขับให้อย่างแกะไม่ออก ผมแซวท่านทูตเล่นว่าควรติดธงจิ๋วให้รถสกูตเตอร์ประจำตำแหน่งราคา 15,000 บาทที่ชาร์จทีแล้ววิ่งได้ 25 กิโลเมตรได้แล้ว
#ป #รถยนต์ #ชีวิต #เยอรมนี #ไทย
Met new German Ambassador Georg Schmidt by chance on Friday night on the underground. He is very serious about his electric scooter as he often avoid using his official BMW limousine. In a society where Thai dictator preaches people to use public transport while he still use his official dictator limo without shame, I wonder if it's Schmidt's habit, PR offensive, concerns for the environment or a bit of all three. After all, this is Thailand, a society where one's worth is often judge by the car he or she drives or owns.
PS. I teased the Ambassador saying he needs a German flag on his official scooter. #Thailand #Germany
สิ่งที่เสียใจที่สุดในขณะนี้ คือการตีตัวออกห่างเพื่อนที่พยายามขาย Amway ให้เมื่อหลายปีก่อน
ถึงตอนนี้มันจะไม่คุยกับผมแล้ว ก็อยากบอกมันว่า
“กูขอโทษ ที่ขับไสไล่ส่งมึงในตอนนั้น กูรู้แล้วว่ามึงหวังดีกับกูแค่ไหน ถึงพยายามยัดเยียดเครื่องฟอกอากาศให้ ถ้าช่วงนี้มึงมีของ ก็ติดต่อมานะ”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
5 หลักการหาเงิน ของคนติสท์
ผู้ใหญ่มักพูดว่า อย่าติสท์มาก เดี๋ยวก็ไม่มีใครจ้าง ..เดี๋ยวก็หาเงินไม่ได้หรอก
แต่คำถามคือ จริงเหรอที่คนติสท์ หาเงินยาก ?
ผมว่า ติสท์ มีหลายแบบนะ ..ถ้าเทียบกับคน แอกทีฟ Active พวกกระตือรือร้น โดยปกติจะหาเงินเก่งกว่า เพราะ คน Active จะวิ่งเข้าหาโอกาสมากกว่า ...ว่าแต่ยุคนี้ มันเป็นยุคที่ผมเชื่อว่า คนติสท์ บางประเภท กลายเป็นคนที่เกิดถูกที่ถูกเวลา
ใช่!! ยุคนี้ คนติสท์ ก็สามารถหาเงินเก่งได้ ถ้าใช้หลักการ 5 ข้อนี้
1. ‘ถ้าจะทำเฉพาะสิ่งที่ชอบ ต้องแน่ใจว่า เรื่องที่ชอบ เราเก่งจริงๆ’ ...ถ้าเราชอบทุกเรื่อง แปลว่า ไม่ใช่ติสท์ แต่เราแค่ไม่รู้จักตัวเอง
2. ‘ด้วยเวลาที่เท่ากัน คุณต้องใส่ใจกับการสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าคนอื่น’ ...คนเก่งต้องสามารถสร้างผลลัพธ์ที่มากกว่า ในเวลาที่เท่ากัน
3. ‘ให้แน่ใจว่า ความติสท์ ของคุณ เป็นความติสท์จริงๆ ไม่ใช่แต่เรื่องที่แห่ทำตามคนอื่นๆ’ ...คนติสท์ คือ ผู้นำกระแส ทำอะไรก่อนใคร ในเรื่องเฉพาะที่เขาชอบ อย่างเชี่ยวชาญและชัดเจน ...คนส่วนใหญ่ เป็นแค่คนตามกระแส
4. ‘คนติสท์ ต้องกระหาย ใคร่รู้ หมั่นศึกษา และ ค้นคว้า เพิ่มเติม ความรู้ และ ความเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราชอบจริงๆ’ ...ถ้าชอบจริง ต้องอยากรู้จริง และ ต้องเก่งจริง ...ติสท์ คือ Producer ‘ผู้ผลิต / ผู้สร้าง’ ..ไม่ใช่ User ‘ผู้บริโภค’
5. ‘ทำงานติสท์ได้ แต่เรื่องเงินห้ามติสท์ ..ต้องใส่ใจเรื่องเงิน แบบจริงจัง’ ...ไม่ว่า คุณจะทำงาน แนวแต่ไหน แต่เรื่องเงิน คุณห้ามแนว ...ต้องเรียนรู้ การลงทุน วางเงินทำงานให้เป็น
ติสท์ยุคใหม่ ต้องแนว และ รวยด้วย จร้าา !!
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม
น่าตกใจที่ยังพบคนจำนวนมาก "ไม่เชื่อ" ว่าฝุ่น PM2.5 มาจากควันรถ โดยเฉพาะตามเพจข่าวใหญ่ๆ อย่างทุยรัฐ กับข่าวสัส
มีกระทั่ง "ควันรถมันจะกลายเป็นฝุ่นได้ไง" "ฝุ่นมาจากขยะฝังกลบรึเปล่า"
คือ ควันรถมันก็คือฝุ่นนี่ล่ะครับไอ้สัส ถ้ามันมีแต่ก๊าซมึงจะเห็นมันเป็นควันไหมวะครับ (เอ่อ มันก็อาจจะมีละอองน้ำอยู่หรอก แต่ควันดำๆมึงคิดว่ามันดำจากอะไรวะเฮ้ย)
แล้วขยะฝังกลบอะไรมันก่อฝุ่น PM2.5 ฟระ?
พอจะควบคุม พอจะจับ ก็ด่ากันตรึม ว่าวัวหายล้อมคอก (หะ?) ไม่โทษสภาวะของโลกบ้าง (หะ?)
มีคนบอกว่ารถเดือนเดียวก็ควันดำแล้ว จะให้เปลี่ยนรถใหม่ทุกเดือนเหรอ....เอ่อคือถ้ามึงทำรถควันดำตั้งแต่เดือนแรกได้แล้วแก้ไม่หายนี่ควรพิจารณาตัวเองแล้วนะ
มีกระทั่งโยงไปกระทั่ง "โทษแต่รถ ก่อนหน้านี้อุบัติเหตุเยอะก็ห้ามนั่งกระบะ คิดได้แค่นี้เหรอ"......เอ่อ คือมันก็ถูกแล้วรึเปล่าวะ?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Lepa Radic หญิงสาวอายุเพียง 17 ปี สมาชิกของผู้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย เธอถูกแขวนคอเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 เนื่องจากใช้อาวุธเข้าต่อต้านพวกนาซี ฝ่ายนาซีเสนอไว้ชีวิตเธอหากเธอตกลงที่จะเปิดเผยชื่อสมาชิกในขบวนการ แต่เธอตอบอย่างเรียบๆ ว่า "สหายของฉันจะให้ชื่อพวกเขา เมื่อพวกเขามาล้างแค้นใหกับความตายของฉัน"
เครดิตเพจ 100 Year Challenge
หรือโลกกำลังกลายเป็นดินแดนที่เราไม่รู้จักอีกต่อไป
ออสเตรเลียกำลังเผชิญกับคลื่นความร้อนขนาดที่คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าร้อนกว่านรก หลายเมืองมีอุณหภูมิทะลุ 50 องศา ค้างคาวแม่ไก่ร่วงลงมาตายหลายหมื่นตัวเพราะทนความร้อนไม่ไหว ร้อนขนาดเอาไข่ใส่กระทะมาวางบนถนนก็สุกเอง และตอนนี้ยังเกิดไฟป่าขนาดใหญ่หลายจุดบนเกาะแทสมาเนีย
ภาคกลางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาและแคนาดากำลังเผชิญกับ Polar Vortex กระแสลมกรดขั้วโลก ที่นำเอาสภาพอากาศเย็นยะเยือกแบบขั้วโลกเคลื่อนลงมาต่ำผิดปกติ อันเป็นผลมาจากกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมอ่อนกำลัง กระแสลมขั้วโลกจึงเคลื่อนต่ำส่งผลให้อุณหภูมิติดลบในระดับ 40-50 องศา ไม่แนะนำให้อยู่กลางแจ้งเกิน 5 นาที เพราะอาจแข็งตายได้ เช่นเมืองชิคาโกแช่แข็ง
ปลายปีที่แล้ว หลายพื้นที่ทั่วโลกเผชิญกับพายุที่ซัดเข้าฝั่ง (Storm surge) ที่รุนแรงมาก ดังภาพพายุซัดถล่มชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐอเมริกา เนื่องมาจากพายุที่มีกำลังแรงขึ้นเพราะน้ำทะเลอุ่นขึ้นเร็วกว่าที่เคยคาดไว้ถึง 40% ในขณะที่ระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากน้ำทะเลอุ่นที่ขยายตัว และแผ่นน้ำแข็งจากสองขั้วโลกที่ละลายเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่กรุงเทพมหานคร และเมืองใหญ่อีกหลายเมืองในเอเชีย กำลังเผชิญกับควันพิษ มลภาวะ และฝุ่น PM2.5 จากการจราจร การเผาไหม้ทั้งในที่โล่งและโรงงานอุตสาหกรรม เมื่ออากาศไม่หมุนเวียน เกิดความผกผันของอุณหภูมิ (Inversion) เป็นฝาโดมดักหมอกควันพิษ จนการหายใจกลายเป็นภัยต่อสุขภาพ
ความจริงเราอยู่ในวิกฤติอย่างนี้มานานแล้ว และมีแต่จะวิกฤติขึ้นเรื่อยๆ เพราะการทำลายระบบนิเวศที่คอยค้ำจุนชีวิต และการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สภาพอากาศสุดขั้ว ขยะพลาสติกที่ท้วมท้นมหาสมุทร และฝุ่นควันพิษที่กำลังกัดกินปอดคนเมือง คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ทำให้ประเด็นสิ่งแวดล้อมต้องเป็นหัวข้อที่นักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ นักพัฒนา และประชาชนให้ความสำคัญและลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร และอยู่มุมไหนของโลก
ถ้าใครยังนึกไม่ออก อยากเชิญให้ออกไปยืนริมถนนสูดควันพิษให้เต็มปอด และนึกถึงคำกล่าวของชาวอินเดียนแดงที่ว่า
“Only when the last tree is cut down.
Only when the last river is poisoned.
Only when the last fish has been caught.
Only then will you realize that money cannot be eaten.”
"เมื่อธรรมชาติสูญสิ้น คนจะได้รู้ว่าเงินนั้นกินไม่ได้"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"เรื่องฝุ่น pm 2.5 นี่เอามาสอนเรื่องสุขภาพได้เยอะเลย
- Social determinants of health ชัดเจนมากๆ ปัจจัยสังคม/สิ่งแวดล้อมส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจริงๆแบบอยากจะหลุดมจากผลกระทบก็ต้องย้ายประเทศกันเลยทีเดียว
- เรื่องสุขภาพเป็นประเด็นสาธารณะ เป็นสิ่งที่สังคมต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่สิ่งที่ปัจเจกคนใดคนหนึ่งจะรับผิดชอบกันเองได้ รัฐบาลมีส่วนสำคัญมากที่ต้องทำหน้าที่ตอบสนองปัญหาสุขภาพ การดูแลตัวเองของประชาชนไม่ช่วยให้ปัญหามันดีขึ้น
- ความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพมีอยู่จริง เราอยู่ในเมืองที่มีฝุ่นเหมือนกัน แต่เราได้รับผลกระทบไม่เท่ากันตามต้นทุนที่เรามี คนที่ทำงานในอาคารกับพี่ๆที่ทำงานกลางแจ้ง คนที่มีเงินซื้อฟอกอากาศ ซื้อหน้ากากกันฝุ่นอันละเกือบร้อย กับคนที่แค่จะได้รับข่าวสารคำเตือนยังยาก คนที่มีรถส่วนตัวกับคนที่ต้องนั่งรถเมล์ นี่คือความเหลื่อมล้ำที่จับต้องได้ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
- ประชาธิปไตยนั้นสำคัญ อันนี้ไม่ได้พูดเวอร์ๆ ถ้าเป็นรัฐบาลปกติป่านนี้มีม๊อบไปแล้ว จะดีจะชั่วยังไงรัฐบาลก็ต้องตอบสนองเสียงของประชาชนบ้าง ไม่อย่างนั้นก็สอบตกแน่ๆ แต่ปัจจุบันนี่ลองไปประท้วงดูอาจจะโดนจับเอาง่ายๆ การตอบสนองต่อวิกฤติก็เชื่องช้าและไม่เข้าท่าแบบระบบราชการ
- กลไกตลาดมีอยู่จริง เครื่องฟอกอากาศ/มาสก์ขาดตลาด ซับพลายน้อยดีมานด์สูง ราคาพุ่ง ไม่ต้องตั้งคำถามเรื่องจริยธรรมอะไร มือใครยาวสาวได้สาวเอา
ฯลฯ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
" วาทะเด็ด " ของ พญาหมีขาว
- ประธานาธบดีปูติน กล่าวอย่างสั้นสุดและเฉียบที่สุดต่อสมาชิกในรัฐสภารัสเซียเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยมุสลิมในรัสเซียว่าดังนี้ :
" ในรัสเซีย ขอให้ชนกลุ่มน้อยมุสลิม จงดำรงค์ชีวิตเหมือนคนรัสเซียในการใช้ภาษาพูด ทำงาน กินอาหาร และเคารพกฎหมายรัสเซีย. หากมุสลิมคนใด ใคร่ในกฎหมาย Shariaและใคร่ในวิถีชีวิตแบบมุสลิม ก็ขอให้จงย้ายออกจากรัสเซียไปอยู่ในที่ๆตนปรารถนา.
ว่าไปแล้วรัสเซียไม่จำเป็นต้องพึ่งคนกลุ่มน้อยมุสลิม แต่คนกลุ่มน้อยต้องพึ่งรัสเซีย. ดังนั้น จะไม่มีสิทธิพิเศษให้แก่คนกลุ่มน้อยมุสลิม หรือดัดแปลงกฎหมายให้เหมาะเพื่อคนเหล่านี้. ทั้งนี้ ต่อให้คนเหล่านี้จะตะโกนโอดครวญแค่ไหนก็ตาม และก็จะไม่ทนกับความไม่เคารพต่อวัฒนธรรมของรัสเซีย เราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ทำโทษตัวเองและฆ่าตัวเองตายของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และจำต้องจัดการให้รัสเซียอยู่รอดปลอดภัย สิ่งที่ปรากฎเกิดขึ้นกับหลายประเทศดังกล่าว ก็คือพวกมุสลิมกำลังยึดครองประเทศเหล่านี้ แต่จะไม่มีทางทำกับรัสเซียได้ ประเพณีและวัฒนธรรมของเราไม่อาจอยู่คู่กับกฎและกฎหมายอันป่าเถี่อนของ Sharia Law และของมุสลิมได้
เมื่อสภาของเราดำริร่างกฎหมายฉบับใหม่ครั้งใดเราต้องนึกถึงผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองรัสเซีย โดยไม่ต้องคำนึงถึงชนกลุ่มน้อยมุสลิมอันมิใช่คนรัสเซีย"
ทุกคนในสภารัสเซียต่างชื่นชอบการพูดจาสั้นๆของนายปูตินและยืนปรบมืออย่างท่วมท้น นาน 5 นาที.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นพวกเพจ io โจมตีนโยบายพรรคอนาคตใหม่ว่าใช้เงินเท่านั้นเท่านี้ต่อปี ยุบกระทรวงกลาโหมมาแจกก็ไม่พอ แบบจงใจตัดทอนว่าพรรคเขาจะมีภาษีมรดกภาษีที่ดินตัดสิทธิ BOI
พวกมนุษย์ที่ไม่สนใจการเมืองมา 4-5 ปีแชร์มาเหน็บแนมกันเลอะเทอะ แล้วแค่นหัวเราะ
ไม่รู้สำเนียกกันบ้างหรือเปล่า ว่าบัตรคนจนของรัฐบาลนี้ที่หลับหูหลับตาชื่นชมกันนักหนา ต้องจ่ายปีละเท่าไร
บัตร 14.5 ล้านใบ แจกเงินใบละ 500 บาทต่อเดือนให้รูดซื้อสินค้า ก็เท่ากับ 7,250 ล้านบาทต่อเดือน 87,000 ล้านบาทต่อปี แบบเงินพุ่งตรงเข้ากระเป๋าเจ้าสัวประชารัฐเต็มตีนเตี่ยไม่หลุดกระเด็นมาหาชาวบ้านจริงสักสลึงเฟื้อง แถมยังเว้นภาษีให้เพราะเข้าร่วมโครงการประชารัฐเป็นพิเศษอีก กู้มาโปะขาดดุลประจำปีบานทะโร่ไปเท่าไรแล้วไม่เคยดู
เรื่องอุดหนุนค่าน้ำค่าไฟค่ารถจะไม่พูดถึง เพราะก่อนนี้ก็ทำมาก่อนถือเป็นสวัสดิการประชาชนเท่าเทียมกัน
ไม่ประชานิยม ไม่ทำให้คนจนเสียนิสัยแบมือขอ ไม่เสียหายการเงินการคลังเลยจริงจริ๊ง!
ตอนแรกนั่งคิดแคปชั่นแซะยังไงดี แบบไม่ไปกระทบน้องควาย กูสงสารน้องควายจริง ๆ
เอาเป็นว่ากูให้ความรู้ก็แล้วกัน
๑. มึงต้องแยกระหว่างเรื่องที่อยู่ระหว่างการสอบสวนและเรื่องที่ระหว่างอยู่ในศาลให้ได้ก่อน
๒. การใส่พันธนาการระหว่างมาขึ้นศาลก็เป็นวิธีปฏิบัติสากล ภาพล่างนั่นมันราชทัณฑ์ไทยมั้ง
#กูเบื่อ
>>783 มิตรสหายท่านนี้เชื่อhoax
https://www.snopes.com/fact-check/false-vladimir-putin-anti-muslim-speech/
กูต้องเป็นห่วงเพื่อนกูป่าววะ
คือปกติเนี่ยเพื่อนกูมันจะเป็นคนห้าวๆ ชอบทำอะไรคนเดียว ไปตปท.คนเดียว พูดจาตรงไปตรงมา
แล้วคือมันมีปัญหากับที่ทำงานจนไปทำขายตรง แล้วแม่งเหมือนมันเปลี่ยนไปเป็นอีกคน
เช่นทำตัวเป็นจุดเด่นมากๆ เปลี่ยนทรงผมทุกวัน เสื้อผ้าไม่เคยใส่ซ้ำ (จนกูคิดว่าพวกขายตรงมันมีร้านเสื้อให้เช่าข้างในป่าววะ หรือเค้ามีโครงการยืมกันใส่),
ตัดสินใจอะไรไวแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง อันนี้กูดูว่าเป็นปัญหามาก ตัวอย่างเช่น แต่งกับฝรั่งที่มึงคุยวีดีโอคอลมาปีนึงกับเค้ามาหาได้ไม่กี่วัน
เงินไม่ได้มีเยอะแถมต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถอีก แต่เอาไปลงทุนแปลกๆเช่นซื้อปล่อยเช่าคอนโด(ตจว.) แต่จุดที่คอนโดมึงอยู่เนี่ยมันไม่ใช่ทางหลักโว้ยคงจะมีคนมาเช่าอ่ะ
แล้ววันนี้อะไรคือการที่มึงใส่กี่เผ้ามาทำงานคนเดียววะ ไม่มีนัดเพื่อน??? มึงเป็นไรมากป่าววะเนี่ย - -a
ในปี 2007 นาซาได้ประกาศไล่สองนักบินอวกาศออก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งเหตุในครั้งนี้เกิดจากรักสามเส้า และเกือบจะจบลงด้วยการฆาตกรรมแล้ว
Lisa Nowak และ William Oefelein คืออดีตทหารเรือ ที่สมัครเข้าเป็นนักบินอวกาศในสังกัดของนาซาในปี 1996 และ 1998 ตามลำดับ โดยทั้งคู่ได้มาพบกันระหว่างการฝึกซ้อม ก่อนจะเกิดความรักขึ้นกับทั้งสองคนเป็นเวลากว่า 2 ปี
หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็ดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งปี 2007 Lisa Nowak ถูกตำรวจจับในรัฐฟลอริดา ด้วยข้อหาพยายามฆ่า Colleen Shipman แฟนสาวของ Oefelein ในขณะนั้น
Nowak ขับรถข้ามรัฐจากฮูสตันไปฟลอริดา พร้อมกับปืน BB Gun มีดพับ สเปรย์พริกไทย ถุงดำ วิกผม และอุปกรณ์อื่น ๆ โดยมีรายงานว่าเธอได้ใส่ผ้าอ้อมระหว่างขับรถ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องหยุดพักระหว่างทาง
และเมื่อเธอมาถึงสนามบิน Orlando ในฟลอริดา Nowak ก็ได้สะกดรอบตาม Shipman ที่เพิ่งลงจากเครื่องไปยังลานจอดรถ ก่อนจะฉีดสเปรย์พริกไทยใส่เธอ ขณะที่เธอกำลังจะขับรถออกจากลานจอด และนั่นทำให้ Nowak ถูกจับในที่สุด
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ทางนาซาและกองทัพเรือตกลงที่จะปลอด Nowak ออกจากการเป็นนักบินอวกาศในเดือนมีนาคม 2007 ก่อนจะตามด้วย Oefelein ในเดือนพฤษภาคมของปีเดียวกัน ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่มีนักบินอวกาศถูกไล่ออก และส่งผลให้นาซาต้องสร้าง Code of Conduct หรือหลักจริยธรรมสำหรับนักบินอวกาศขึ้นมาในทันที
ดังนั้นต่อให้คุณจะดำรงตำแหน่งดีแค่ไหน ก็อย่าไปทำอะไรผิดเข้าล่ะกัน เดี๋ยวจะโดนไล่โดยไม่ต้องไปท้าให้ใครมาไล่ออกได้นะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ก็ถ้า Australia Interpol Police แจ้งขอให้จับ เพื่อรักษาหน้าประเทศ ก็ใส่ตรวนส่งขึ้นเครื่องกลับไป Australia ไป แล้วประกาศว่าจับเพราะตำรวจสากล ออสเตรเลียแจ้งมา แล้วให้เค้าพิจารณาเองว่าจะส่งคืนให้ประเทศที่แจ้งจับหรือไม่ ให้เป็นปัญหาของเค้า
- รักษาหน้าประเทศ และความสัมพันธ์กับอีกประเทศ
- เอาคืนได้แสบด้วย
หลักของความสุขง่ายๆ “อย่าเอาปัญหาผู้อื่นมาเป็นปัญหาเรา แต่จงช่วยหาทางออกให้กับปัญหาผู้อื่น” (ยกเว้นเรื่องเงินทองๆ 😅)
"ฝุ่นพิษเป็นตัวอย่างที่ดีในการบอกว่า แม้ทุกคนจะต่างก็มีปัญหา และแม้บางทีต่างเจอปัญหาเดียวกัน แต่คนจนจะได้รับผลกระทบหนักกว่า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนไทยมีค่านิยมการเลี้ยงลูกแบบLoserคับ
แก้มาหลายชั่วอายุคนแล้วก็ยังไม่หาย
ชอบด่าบอกว่าเป็นการกระตุ้น
โดยไม่ได้ดูเลยว่าเด็กอายุแค่นั้นเขาจะคิดได้แค่ไหน
เราเป็นผู้ใหญ่โดนด่ายังไม่ชอบเลย ใช่ม่ะ
ส่วนใหญ่พ่อแม่มักจะมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนในวัยเด็ก พอถึงเจนตัวเองมันเลยติดอยู่ในนิสัย ในเรื่องของการมองโลกในแง่ร้ายและการใช้คำหยาบ จะเกิดกับพวกตลาดล่างซะเป็นส่วนใหญ่
เพราะการจะเข้าใจกันด้วยเหตุผลและทัศนคติ ยิ่งโดยเฉพาะช่วงวัยที่ต่างกันอีก
นับเป็นเรื่องยากสำหรับคนพวกนี้😔😔😔
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อย่าถามราคาค่าส่งนะ
ตู้เย็นๆที่เค้าพูดๆกันว่าเวลาของหมดมันจะสั่งให้อัตโนมัติอย่างนมกล่อง หรือ น้ำผลไม้ ที่วางไว้ประตูข้างอันนี้ไม่คาใจเพราะน่าจะมี sensor กับ พวก barcode
แต่ firmware ใหม่กับกลัองในตู้เย็นตัวใหม่ของ Viomi นี่เจ๋งกว่า คุณจะวางมั่วซั่วยังไงก็ได้ ถ้าเป็นของที่กินใช้บ่อยๆ มันจะเตือนและค้นหาที่ราคาถูกสุดใส่ใน shopping cart เข้าแอพที่คุณมีอยู่ในมือถือ (action ได้หลาย app เน้นว่า SKUs ไหนมีราคาสินค้าถูกสุด)
เช่นเจอว่านม ยี่ห้อนี้มากินประจำ ถูกใน Taobao ก็จะแอดเข้ามาในตระกร้า app Taobao ได้เลย
ระบบ barcode / QR code รอบบรรจุภัณฑ์ไร้ความหมาย เพราะเล่นใช้ รูปภาพแทน
ทีมพัฒนาบอกว่าต่อไปจะสามารถ suggest ความคุ้มค่าที่ราคา/ปริมาตร ได้ คือ ถ้าซื้อนมขนาด 1 ลิตร ราคา 8 RMB แต่ไปเจอว่าถ้าขนาด 1.5 ลิตรราคา 11.25 RMB จะประหยัดกว่าที่ 0.0005 RMB ต่อ 100 มิลลิลิตร
หรือรวมไปถึงพวก Price change ถ้าแบบ suggest ด้วยการใส่ basket แล้ว แต่ platform ไหนปรับราคาสินค้า ก็จะมีการ refresh ให้ด้วย เช่นเอา นม ออกจากตระกร้า Taobao แล้วหยิบของ JD แทน (ถ้าถูกกว่า ณ ขณะที่เรากำลังเปิดดูรีวิวรายการสินค้าที่จะซื้อ)
ผมนี่รอใช้เลย ปฏิวัติวงการค้าปลีกแน่นอน แล้วก็ back to basic เลย ผู้ใช้แบบ ตา ยาย ปู่ ย่า นี่สบายเลย
ภาพตัด - ประเทศเราจะมีเลือกตั้งแล้ววว
นี่คือสาเหตุที่ต้องคบเพื่อนหลายๆวงการ
ทะเลาะกะแฟน อารมณ์ไม่ดี เดินเข้าโรงแรมห้าดาวหาของแพงกินประชดชีวิต กุ้งมังกร ปูเนื้อแน่นก้ามโต หูฉลามแผ่นใหญ่ เป๋าฮื้อเม็กซิโก ตามด้วยเหล้าเหมาไถ๋อย่างเจ๋งไว้กลั้วคอ
อิ่มจริงๆ พอเอามือล้วงกระเป๋า วายวอดแน่แล้วกู ดันลืมเป๋าตังค์ไว้ที่ทำงาน
ทำไงดี โทรหาเพื่อนซี้ที่เป็นตำรวจ ขอร้องให้รีบหาเงินมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ด่วน
เพื่อนมาพร้อมลูกน้องอีกสองนายในชุดตำรวจเต็มยศ มาถึงก็เอากุญแจมือสับใส่ข้อมือเราทันที พร้อมตะโกนเสียงดัง "ตามตัวมานานแล้ว ได้ตัวซะที เออ แล้วแถวนี้ใครรู้จักไอ้หมอนี่เป็นการส่วนตัวบ้าง"
ผู้จัดการและพนักงานทุกคนที่กำลังตกตะลึงรีบถอยห่างออกไปโดยไม่ต้องนัดหมาย
หลังถูกคุมตัวขึ้นรถตำรวจ เพื่อนไขกุญแจมือออกให้ พร้อมบอกว่า กูไม่มีตังค์พอ เลยต้องเล่นลูกนี้ อย่าโกรธกันนะเว้ย
อย่าว่าแต่โกรธเลยครับ ซาบซึ้งวะ เพื่อนรัก
***********
วันนี้อากาศร้อนฉิบ อารมณ์หงุดหงิด เดินเข้าภัตตาคารหรูอีกเช่นเคย สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ พอใกล้อิ่ม เพิ่งนึกออกว่าลืมพกเป๋าตังค์เหมือนเคย
แถวนี้ใกล้โรงพยาบาลที่เพื่อนสนิทเป็นหมอทำงานอยู่ โทรหาหมอขอความช่วยเหลือด่วน
หมอสั่งให้เราแกล้งทำเป็นปวดท้อง ชักดิ้นชักงออยู่แถวนั้นก่อน เดี๋ยวจะรีบไปหา
ไม่กี่อึดใจเพื่อนมาถึงพร้อมรถพยาบาลฉุกเฉิน รีบปลิ้นดูเปลือกตาเราก่อน บอกกับผู้จัดการภัตตาคารว่า สงสัยอาหารเป็นพิษอย่างเฉียบพลันและรุนแรง สั่งให้พยาบาลรีบนำเราขึ้นนอนบนเปลเตรียมหามขึ้นรถ พร้อมสั่งให้พนักงานห่ออาหารทุกอย่างที่เหลืออีกเยอะและเหล้าอีกครึ่งขวดบนโต๊ะใส่ถุงให้หมด จะนำไปตรวจหาเชื้อในห้องแล็บ
ผู้จัดการรีบเอาเงินยัดใส่มือเราสองพัน บอกช่วยแชร์ค่ารักษา พร้อมขอโทษที่ไม่มีเวลาตามไปดูแล
พอขึ้นรถ เพื่อนชมว่าเราดิ้นได้สมจริง บอกให้เราหิ้วอาหารและเหล้ากลับไปกินต่อที่บ้านให้อร่อย ส่วนเขาต้องขอตัวไปเข้าเวรต่อ
เออ มีเพื่อนก็เหมือนมีพี่น้อง เยี่ยมจริงๆ
***********
สันดานชอบกินของแพงเหมือนเป็นสิ่งเสพติด วันนี้นิสัยเก่ากำเริบ สั่งของดีๆรสเลิศมาบานเบอะ ตอนเช็คบิล ไม่ได้ลืมเป๋าตังค์เหมือนทุกครั้ง แต่เงินไม่พอ เครดิตการ์ดก็รูดเต็มวงเงินไปแล้วทุกใบ
นาทีนี้ไม่พึ่งเพื่อนแล้วจะไปพึ่งใคร รีบโทรหาเพื่อนที่ทำงานการไฟฟ้า ขอยืมเงินมาสมบทหน่อย เพื่อนบอกมีตังค์ติดตัวนิดเดียว ไม่พอวะ แต่พอดีคืนนี้มาทำงานอยู่แถวนี้ เอาอย่างงี้แล้วกัน เอ็งมองหาประตูทางออกให้ดี ข้าจะเริ่มนับจากหนึ่งถึงสิบ พอข้านับถึงสิบ เอ็งรีบวิ่งออกสู่นอกร้านอย่างไวที่สุด
โอเค ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผน แล้วเพื่อนก็เริ่มนับจากหนึ่ง พอนับถึงสิบป๊าป ไฟดับทั้งถนน ในร้านก็มืดมิดไปหมด เรารีบเปิดไฟฉายบนมือถือคลำหาทางออกนอกร้านทันที
เพื่อนรีบฉุดตัวเราขึ้นรถของการไฟฟ้าที่จอดอยู่ข้างฟุตบาท ผ่านไปแป๊ปเดียว ไฟฟ้าทั้งถนนก็กลับมาสว่างไสวเหมือนเดิน แกชี้ให้เราเงยหน้ามองดูลูกน้องของแกที่กำลังทำงานอยู่กับหม้อแปลงไฟฟ้าเครื่องใหญ่บนเสาไฟฟ้า แกบอกว่า ไม่มีตังค์พอจะช่วยเอ็ง เลยต้องใช้วิธีนี้ โทษที
เราซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล มีเพื่อนเยอะๆมันก็ดีอย่างงี้แหละ ยิ่งมีเพื่อนอยู่หลายๆวงการก็ยิ่งเป็นเรื่องประเสริฐสุดๆ
********
อ่านแล้วอย่ามัวแต่อมยิ้มอยู่คนเดียว
ก็แชร์ให้เพื่อนต่อสิครับ รอทำไม
"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
18/7/17
www.facebook.com/Flintlibrary
เรื่องการปั้นมนุษย์ออกด้วยมาด้วยอำนาจชีวญาณ (Biopolitics) ตามแนวทางของฟูโกต์ นี่ ใช้ได้กับทั้งระดับไมโคร (ครอบครัว) ไปจนถึงระดับมาโคร คือสังคม เลยครับ
หลักๆ เลยคือสายตาที่เรามองชีวิตคนอื่นเป็นการ crafting (แกะสลัก) ผ่านอำนาจที่เรามีในฐานะผู้ปกครอง จะปกครองบุตรธิดาหรือปกครองพลเมืองก็ด้วยคอนเซปต์ไม่ต่างกันนัก คือตัดสินหรือควบคุมในบงการของผู้มีอำนาจ
ตรงนี้ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องบวกหรือลบ แต่อยากให้มองเป็นการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ (phenomenon) มากกว่า
ลักษณะภาษาทางกายภาพเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงอำนาจ คือส่วนสูง คนมีรูปร่างสูงจะถูกมองว่ามีอำนาจทางความรู้สึกมากกว่า เช่น สายตาทอดลงล่าง คนเตี้ยมากๆ ต้องแหงนมอง
คอนเซปต์เรื่องความสูงใหญ่ โอ่โถงนี้ไม่ใช่แค่กับคน ในยุคบูชาศาสนจักร สิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่จะแสดงถึงความแรงกล้า ศรัทธาที่แข็งแกร่งจะต้องสร้างในลักษณะสูงเทียมฟ้า เข้าไปในห้องโถงต้องแหงนหน้ามอง เพื่อศิโรราบยอมสำเหนียกว่าตัวเองเป็นแค่สิ่งเล็กๆ อยู่ต่อหน้าอำนาจเทียมฟ้า
ซึ่งคอนเซปต์นี้อ.วรเจตน์ (ท่านเป็นคนตัวเตี้ย) เคยถอดรื้อให้ฉุกคิดกัน ว่าศาลในไทย มีลักษณะจัดวางบัลลังก์ให้สูงแบบลูกความต้องแหงนหน้ามอง ขณะที่ศาลใน ตปท ที่พ้นเรื่องนี้ไปแล้ว จะจัดวางสิ่งแวดล้อมทางกระบวนการยุติธรรม รวมถึงโต๊ะศาล โต๊ะรัฐสภา ให้อยู่ในระนาบเดียวกันทั้งผู้ใช้อำนาจและลูกความ
อย่างไรก็ตามลักษณะ "ความสูง" ทางกายภาพของพลเมือง ก็ยังเป็นภาษากายแสดงอำนาจที่ผู้คนเฝ้าฝัน เกาหลี ญี่ปุ่น บ้าการสร้างประชากรให้สูงผ่านกลไกรัฐเพื่อควบคุมทางโภชนาการมานุษยวิทยา ( Nutritional Anthropology ) เกาหลีมีนมรสกล้วยช่วยรณรงค์ให้ประชากรหันมาดื่มนม ส่วนญี่ปุ่นก็มีให้เห็นกันอยู่ ของไทยก็มี สมัย จอมพล ป. ท่านชาตินิยมมากๆ หวังจะเห็นให้ประชากรไทย รูปร่างสูงใหญ่ทัดเทียมนานาอารยะประเทศ ไม่หงอไหล่ห่อเสียแต้มต่อประชากรตะวันตก จึงสร้างนโยบายที่เน้นโภชนาการและพลานามัยจัดระเบียบร่างกายเยาวชนขึ้นมาในโรงเรียน
http://digi.library.tu.ac.th/thesis/so/0121/01ชื่อเรื่อง.pdf
ปล. ปัจจุบัน ลืมจอมพล ป. ไปซะ สภาพการเมืองเศรษฐกิจปัจจุบันลูกเด็กเล็กแดงคนไทยอยู่ในภาวะ malnutrition ขาดสารอาหาร แดกนมข้นหวาน กินขนมกรุบกรอบ เอาตรงๆ อนาถกว่ายุคก่อนที่ป้อนกล้วย แกะปลาทูให้กินด้วยซ้ำ ก็อาจจะเป็นปัญหาเรื่องทุนนิยมกับการบีบคั้นในชีวิตที่ส่งผลต่อภาวะทุพโภชนาการของเด็ก ก็ขอให้สู้ต่อไปนะทาเคชิ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
พ่อแม่: โตขึ้นก็ทำธุรกิจของตัวเอง อยากหยุดเมื่อไหร่ก็ได้หยุด
ตัดภาพมาที่พ่อแม่คนพูดทำงานทุกวัน ทั้งปีหยุดวันตรุษจีน 1 วัน
พ่อแม่: หยุดแล้วจะเอาเงินจากที่ไหน
จบ.
>>798 tbf คนทำธุรกิจส่วนตัวที่ขายดีวันหยุดแบบนี้จะหยุดวันอื่นที่มนุษย์เงินเดือนไม่หยุดกัน คือซักวันนึงในช่วงจ-ศ ตัวอย่างที่ quote มาเองก็เหอะแอบแวบหยุดวันที่ตัวเองอยากหยุดทั้งนั้น แต่คนพูดไม่รู้/ไม่ได้ถาม/ไม่จำ แล้วก็สรุปแบบส่งเสริมแนวคิดตัวเอง ที่จริงมันคือเวลาว่างไม่ตรงกันแค่นั้นแหล่ะ
<Dropdown.Menu>
<Dropdown.Item href="#/action-1">Action</Dropdown.Item>
<Dropdown.Item href="#/action-2">Another action</Dropdown.Item>
<Dropdown.Item href="#/action-3">Something else</Dropdown.Item>
</Dropdown.Menu>
#มิตรสห่ายท่านหนึ่ง
เมื่อก่อนทำงานออฟฟิศ ได้เงินเฉลี่ยวันล่ะ 700 แต่ใช้เงินเหมือนได้วันล่ะ 3,000 บาท
พอได้ทำธุรกิจเอง ถ้าทำงานได้วันล่ะ 10,000 จะใช้เงินแค่วันล่ะ 300 บาท
เพราะอะไรรู้ไหม?? เพราะว่าตอนทำงานออฟฟิศ อยากใช้ไรใช้เพราะ รู้ว่า ยังไงสิ้นเดือนก็มีเงินเข้า แต่สุดท้ายก็หมด ไม่เหลือเก็บ
แต่พอทำธุรกิจเอง เราไม่มีทางรู้ได้ว่าวันไหนเราจะขายของได้หรือไม่ได้ จะมีเงินพอไหม เพราะเงินที่ได้มาต้องเอาไว้ต่อยอดสำหรับขายของ
ทุกวันนี้ที่ผ่านมา เจอมาทุกรูปแบบ เงินไม่มี ขายของไม่ได้ ขายน้อย มันทำให้รู้จักใช้เงิน พยายามไม่ติดหรู รถอะไรก็ขับได้ กินข้าวข้างทางก็ได้ เพราะความสุข ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ แต่อยู่ที่ "ความพอใจของเรา"
ทุกวันนี้มีความสุข ไม่เครียด มีรถเล็กๆขับ มีรถขี่ ได้ทำงานที่ชอบ หลับสนิท ตื่นสดใส ไร้ทุกข์ สบายสุดแล้ว
ไปกินข้าวกับแม่ นั่งรออาหาร กำลังหิวได้ที่ ก็มีวัยรุ่นประมาณ 8 คนมานั่งโต๊ะข้างๆ พวกนังก็เสียงดังโวยวายกันตามประสา นี่ก็พยายามไม่สนใจ จนกระทั่งอีผู้ชายคนนึงในกลุ่มตะโกนขึ้นมาว่า "เห้ย มีแมลงสาบอยู่ในข้าว" ทุกคนก็คือหันมอง แต่ความจริงคือนังตอแหล ตะโกนเล่นๆ พอพนักงานเดินมาถามก็หัวเราะกันคิกคัก นี่หันมองหน้าแม่ด้วยสายตาแบบเอือมๆ แม่ก็ทำมือเป็นสัญญาณว่าให้ใจเย็น
พักนึงพนักงานก็ยกต้มยำหม้อไฟมาเสิร์ฟโต๊ะนี่ ซึ่งอีหม้อไฟคือจะต้องเอาปืนไฟมายิงจุด จังหวะพนักงานจะจุด อีโต๊ะข้างๆขอเมนู พนักงานก็ยื่นให้ พอจะจุดอีกที อีโต๊ะข้างๆจะสั่งเมนูเพิ่ม แต่ก็กวนตีนด้วยการสั่งโดยใช้เสียงไม่ชัดล้อเลียนพนักงานที่เป็นคนพม่า 2019 แล้วยังเหยียดอยู่อีกเหรออีควาย พนักงานก็ล่กเหลือเกิน ไม่จุดไฟให้กูซักที แม่กูถือช้อนรอจนเมื่อยมือแล้วยังไม่ได้แดกเลย นี่รำคาญเลยแย่งปืนไฟมาจากมือแล้วจุดเองแม่งเลย มึงไปทะเลาะกับอีโต๊ะนู้นต่อนู่น กูจะกิน
ซักพักพวกนางก็เริ่มเล่นกัน มีการหยอกล้อตั่งต่าง ตั้งแต่เอาตะเกียบเขี่ยตูดเพื่อน โยนจานแบบนินจา เหี้ยสุดคือปาน้ำแข็งเล่นแล้วกระเด็นมาตกบนจานไก่ผัดเม็ดมะม่วงกู อีคนปาก็ตะโกนมาว่าขอโทษค่ะ แต่ยังเล่นต่อ พวกนางโยนของกันเล่นอย่างสนุกสนานจนกระทั่งตะเกียบข้างนึงที่เลอะอาหารแล้วลอยมาโดนไหล่กู เท่านั้นแหละกูหยิบที่คีบน้ำแข็งปาไปกลางโต๊ะแม่งเลย พร้อมหันไปด่าว่า "อีเหี้ย"
ทั้งร้านคือเงียบ ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว ยกเว้นแม่กูที่กำลังตักหัวปลาช่อนในหม้อต้มยำ หลังจากนั้นประมาณ 5 วินาทีทุกอย่างก็กลับเข้าอยู่สภาวะปกติ ยกเว้นอีโต๊ะข้างๆที่นั่งก้มหน้าก้มตากินกันแบบไม่พูดไม่จา ตักข้าวแผ่วเบาเหมือนกลัวว่าถ้าช้อนกระทบจานเสียงดังแล้วกูจะสาดต้มยำ ไม่มีแม้แต่เสียงเคี้ยวเหมือนพยายามบดอาหารด้วยปุ่มเหงือก จนกระทั่งกินเสร็จแล้วเช็คบิลออกจากร้านไป
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเล่นอย่างนี้ไปเล่นกันที่บ้านพ่อมึงนู่น อีเหี้ย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผมอายุ 18 ปี มาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง โดยไปอาศัยอยู่กับลุงซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณพ่อของผม คุณลุงมีลูกชายกับลูกสาวอย่างละคน ลูกชายเรียนจบแล้วและได้ทำงานธนาคารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ที่จะเล่าเป็นเรื่องของลูกสาวของคุณลุงอายุ 21 ปี เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยที่มีชื่อมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย อยู่ชั้นปีที่ 4 คณะแพทย์ศาสตร์ ผมขอสมมุติชื่อว่า พี่พลอยนะครับ พี่พลอยเป็นสาวสวย ผมยาว หน้าตาน่ารัก ยิ่งหุ่นไม่ต้องพูดถึง หน้าอกใหญ่ สะโพกผาย ขาอวบกลมกลึง เธอเป็นคนที่เรียนเก่งมากคนหนึ่ง ตอนเธออยู่ชั้นมัธยมปลายก็ได้อยู่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆ ของประเทศ เธอได้ไปประกวดตอบปัญหาในงานต่างๆ อยู่เป็นประจำ ครั้นพอสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ เธอก็เรียนได้ในระดับเกียรตินิยม ซึ่งผิดกับผมที่เรียนไม่ค่อยเอาไหน ตอนที่ผมอยู่ต่างจังหวัด ชื่อเสียงของพี่พลอยก็โด่งดังไปในหมู่ญาติ ทำให้ผมรู้สึกอิจฉาพี่พลอยอยู่ลึกๆ แบบว่าคนอะไร ทั้งสวย ทั้งเก่ง ก็สาวแบบนี้แหละที่หนุ่มๆ เขาปรารถนากัน เวลาอยู่บ้านพี่พลอยชอบนุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อยึดรัดๆ เห็นอะไรต่อมิอะไรถนัดตาดีนัก ซึ่งตรงข้ามกับเวลาเธอออกนอกบ้าน เธอจะใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิดเรียบร้อยมาก เล่นเอาผมอยู่บ้านต้องทำร้ายตัวเองไปหลายหน พี่พลอยได้ให้ความสนิทสนมกับผมเป็นพิเศษ เธอช่วยติววิชาต่างๆ ให้ ผมสอบถามอะไรก็ตอบ และบางทีก็ช่วยสอนบางวิชาที่ผมไม่เข้าใจให้อีกด้วย จริงๆ แล้วผมชอบพี่พลอย แต่พี่พลอยมีแฟนแล้วเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 4 เหมือนกัน และแล้ววันหนึ่งวันแห่งความฝันไม่รู้ลืมก็มาถึง เย็นวันนั้นพี่พลอยกลับมาบ้านแล้วบอกว่าอ่อนเพลียมาก ก็เลยเข้าห้องนอนไปเลย ตกเย็นทานข้าวก็ยังไม่ลงมา คุณลุงให้ผมขึ้นไปตาม ผมไปเคาะประตูเบาๆ ก็ไม่เปิด ลองบิดลูกบิดดู ปรากฏว่าประตูไม่ได้ล๊อค หลุดออกโดยง่าย แล้วภาพที่ปรากฏแก่สายตาผมก็เล่นเอาผมตาลุกโพลงเลย เพราะพี่พลอยนอนหลับในชุดนักศึกษา แล้วกระโปรงมันร่นไปที่สะโพก ขางี้ขาวจั๊ว อวบและเรียวงามจริงๆ
เจ้านายเคยบอกว่าถ้าคุณทำ Product ถึงจุดคุณมีคู่แข่งก็ต้องนั่งทำ R&D อีก คุณคิดดู Cost เท่าไร อย่าหลอกตัวเอง คือนะ มันคือโลกแห่งความเป็นจริง แต่ถ้าคุณทำงานพัฒนาระบบ มันเหมือนงานก่อสร้าง กินได้ตลอด แล้วแต่คนถนัด สุดท้ายก็เทียบกัน ต้นทุน ยอดขาย ตายที่ Margin เท่าไร 😁😁😁😁😁😁 Focus และรู้ลึก จึงเข้าใจ วิชาการตลาดเรียนง่าย แต่ ทำให้ได้กำไรสูงไม่เคยง่ายจ้า
ทนเทน เป็นเกมที่ตอนแรกได้เข้ามาสัมผัสแล้วได้เห็นพัฒนาการที่ดี ถึงแม้มีผิดไปบ้างแต่เราเหล่าผู้เล่นก้อได้พยายามให้กำลังใจเฉกเช่นทุกๆเกมเพื่อให้เกมดำเนินต่อไปได้ และทุกคนมีความสุข
แต่ผมไม่คิดว่าเทนเทนจะหักหลังพวกเราเหล่าผู้เล่นกันเช่นนี้ได้ กับการแจ้งเรื่องปิดเกมอย่างกระชั้นชิด รวมถึงไม่ชี้แจงให้ชัดเจนในเรื่องกฎเพิ่มเติม ถึงเรื่องเงินรางวัลที่คงเหลือ ไร้ซึ่งคำขอโทษอย่างจริงใจ รวมถึงไม่ใส่ใจในจุดเล็กๆน้อยๆหรือจุดใหญ่อื่นๆ ณ วันนี้ ผมจะไม่ขอกลับมาเล่นกับเกมคุณอีกในภายภาคหน้า หากคุณยังกระทำการเช่นนี้อีกในเกมถัดๆไป
อย่าได้มาเจอกันอีกเลยนะครับ เทนเทน ผมรู้สึกผิดหวังจริงๆ 10 10 เทน เทน
https://www.bbc.com/thai/46969830
ผมถึงได้ตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกตมานานแสนนานแล้วว่า
ไอ้พวกมาตรฐานการปนเปื้อนต่างๆในอาหาร
หรือระดับความปลอดภัยในการบริโภคต่างๆของเรานั้น
เค้าอิงตามอะไร อิงใคร ใครเป็นคนเคาะตัวเลข
แล้วมันจริง มันเป็นสากลไหม
มันเป็นตัวเลขที่ยึดความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก
หรือยึดเพื่ออำนวยให้ทุนใหญ่สามารถประกอบธุรกิจได้เป็นหลัก ?
แล้วเราควรเย็นใจว่า เค้าตรวจแล้วไม่เป็นไร เค้าว่าเท่าไหร่ก็เท่านั้น
อย่างนั้นหรือไม่ ???
ในเมื่อรัฐราชการไทย แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยแสดงให้เห็นว่า
ตั้งอยู่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน
แต่ตั้งอยู่เพื่อเป็นมือไม้แขนขา และทำงานแอดมิน
ทำงานเอกสาร เป็นแบ็คออฟฟิศ ให้กับกลุ่มทุน
เสมอมาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เกิดกี่ชาติก็ขอเกิดเป็นคนไทยถึงแมเไม่ได้ร่ำรวยแต่ภูมใจที่เกิดในผืนแผ่นดินไทย
ดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกอิพ่ออิแม่
“ตลอดระยะเวลาที่ตรวจผู้ป่วยจิตเวชเด็กที่มาด้วยเรื่องกังวล ซึมเศร้า จะพบลักษณะที่คล้ายๆกันของผู้เลี้ยงดู
เด็กมักจะมาด้วยการไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ตำหนิตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรดีเลย มีแต่ข้อเสียเต็มไปหมด
หลายเหตุการณ์จะคล้ายกับบทสนทนาที่จะเล่าต่อไปนี้
ผม : เท่าที่ผมฟังน้องคงรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอะไร น้องคิดว่าตัวน้องไม่มีอะไรดีเลยใช่ไหม ผมอยากทราบความเห็นจากคุณแม่ ว่าจริงๆแล้วน้องไม่มีอะไรดีอย่างที่น้องคิดไหม
แม่ : เขาเป็นยังงั้นจริงๆแหละหมอ ไม่ค่อยเอาไหน ขี้เกียจ
ผม : ตอนอยู่บ้านคุณแม่ก็พูดกับน้องประมาณนี้รึเปล่าครับ
แม่ : ...
ผม : บางทีคำถามผมในตอนแรกมันยากไป เปลี่ยนเป็นถามง่ายๆว่า "แม่คิดว่าลูกตัวเองมีอะไรดีบ้าง"
แม่ : ก็.... มันไม่มีเลยจริงๆ เฉื่อย ขี้เกียจ เก็บตัว ไม่มีเพื่อน
ผม : แม่แน่ใจหรอว่า ไม่มีจริงๆ ไม่ใช่ว่าแม่มองไม่เห็น ผมเพิ่งรู้จักน้องไม่นาน ผมยังเห็นเลย
แม่ : ....
ผม : ลูกแม่ไปโรงเรียนทุกวันไหม
แม่ : ไป
ผม : ลูกแม่เคยใช้ยาเสพติดอะไรสักอย่างไหม
แม่ : ไม่
ผม : ลูกแม่ช่วยงานบ้านไหม
แม่ : ช่วย
ผม : ที่ผมพูดทั้งหมดนี้ เป็นความดีที่น้องเขาทำไหม
แม่ : ใช่
ผม : ถ้ายังงั้น แม่ลองชมลูกให้หมอฟังหน่อยซิ่
แม่ : ชมยังไงอ่ะหมอ
ผม : ....(เริ่มหงุดหงิด แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันคือสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย)
ผม : งั้นแม่พูดตามหมอนะ "แม่ภูมิใจมากนะ ที่ลูกเป็นเด็กดี ลูกขยันไปโรงเรียน และชอบช่วยงานบ้าน"
แม่ : "แม่ภูมิใจมากนะ ที่ลูกเป็นเด็กดี ลูกขยันไปโรงเรียน และชอบช่วยงานบ้าน"
ลูก : (ยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบปี)
การเห็นคุณค่าของเด็กๆเป็นของขวัญที่มีค่ามากจากผู้ใหญ่ เพราะมันจะไปสร้างความมั่นใจให้กับเด็กว่า "ตัวเขามีค่าจริงๆ"”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
หมากเกมส์นี้ของทักษิณ ซูฮกเลยว่าเหนือชั้นมาก
อีกฝ่ายทำทุกวิถีทาง วางกติกาเพื่อที่จะอยู่ในอำนาจ เจอไม้นี้เข้าไปกติกาที่วางมาทั้งหมดเข้าทางทษช.หมดเลย #respect
ยิงปืนนัดเดียวได้นกครบทุกตัว ใครกล้าหาว่าทิกษิณล้มเจ้าอีก
เผลอๆ แพคกระเป๋าเตรียมกลับไทยได้เลย
PS. ที่น่ากลัวคือพวกที่เกลียดทักษิณแบบหน้ามืดตามัว และรับความจริงไม่ได้ จะเริ่มลงมาโจมตีทูลกระหม่อมแบบเสียๆ หายๆ และพยายามแยกทูลกระหม่อมออกจากราชวงศ์จักรี
ดีเบทคราวหน้า อยากเห็นคุณธนาธรบอกว่า เราต้องกำจัดทุนผูกขาด บนเวทีรวมแคนดิเดทนายกอะครับ
คุณอย่าคิดอะไรมาก ประเทศนี้ไม่ใช่ของคุณ อยู่ๆไปเถอะ คิดซะว่าเช่าเค้า ทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตให้มันมีความสุขไป สิ้นเดือนรับตังค์ แดกข้าว อยากไปเที่ยวไหนก็ไป ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก อยู่ๆไปเหอะ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
แต่คนจนๆหลายตัวอยากได้นุ่นนี่ทั้งๆที่ไม่เสียภาษี
เออ กติกานี้พวกมึงเขียนเองไม่ใช่เหรอวะ ที่ให้คนนอกเป็นได้อ่ะ เกี่ยวไรชัชชาติ
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_1350316
และแล้วฝ่ายที่พยายามต่อสู้่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย
ก็ต้องยอมแพ้ ให้กับการแท็คทีมของเหล่านอมินีของซีกนายทุน
ที่สวมเสื้อ นักวิชาการบ้าง ข้าราชการบ้าง
แพ้ ... ทั้งๆที่ สามารถยกหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ชัดเจน
แพ้ ... ทั้งๆที่ มีเหตุผลอันน่าเชื่อถือ
และเป็นวิทยาศาสตร์มากมายสนับสนุน
แพ้ ... เพราะคนไทยจำนวนมาก ไม่ได้ตื่นตัว และไม่ได้ให้การสนับสนุนพวกเขาเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน และส่งผลกระทบถึงลูกหลานของเราอย่างมากมาย
วัฒนธรรม 'กูไม่เกี่ยว' ... วัฒนธรรม รอฮีโร่ ... วัฒนธรรม รอการปกป้อง หรือแล้วแต่ ชนชั้นปกครอง รวมถึง วัฒนธรรม รุนหลังคนอื่น ให้ออกหน้าไปตายแทนก่อน ... ได้กลายเป็นอัตลักษณ์ของคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว ... และขอให้ช่วยกันอย่าลืม ... เมื่อถึงวันที่มันส่งผลต่อชีวิตเราและคนที่เรารัก ... อย่าลืมว่า เราต่างเป็นส่วนหนึ่งที่ยอมให้มันเกิดขึ้น !!!
วันนี้ ... ขอแสดงความยินดีอย่างสุดขมขื่น กับคนไทย
ที่จะได้ใช้สารเคมีที่โลกเค้าแบนกันหมดแล้วต่อไป
เราจะมีพืชผักที่ทานกันประจำวัน ทานกันบ่อยๆ
ที่จะยังมีการปนเปื้อนสารพิษกันต่อไป
และลูกหลานของเราก็จะได้อยู่กับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในดิน
และลงไปถึงแหล่งน้ำใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆ
... อยากให้นึกถึง ปัญหาเรื่องฝุ่นที่เจอกันอยู่วันนี้
เราเดือดร้อนแค่ไหน ???
ลูกหลานและคนที่เรารักตกอยู่ในภาวะเสี่ยงระยะยาวขนาดไหน ???
เราจะเดือดร้อนกัน เพียงเพราะฝุ่นเป็นสิ่งที่เราเห็น
สูดหายใจเข้าไปแล้วเรารู้สึก ... เราจึงเดือดร้อน
ในขณะที่สารพิษปนเปื้อนก็ทำอย่างเดียวกัน แต่เรามองไม่เห็น
เราจึงไม่คิดจะเดือดร้อน .... เราจึงเต็มไปด้วยไทยเฉย ต่อเรื่องนี้
เราจะยังคง ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตากันต่อไปแบบนี้เรื่อยๆงั้นหรือ
... ถ้าประชากรของเรา ยังมีคุณภาพเท่านีั้ ... ยังไม่พัฒนาเป็นพลเมือง
ก็ขอยินดีด้วย และก็มีชีวิตอยู่กับระเบิดเวลาสารพัดลูกกันต่อไป
อย่าลืมแล้วกันว่า ปัญหานั้นสร้างได้เร็ว แต่แก้ได้ช้ามาก
และส่งผลต่อคนเป็นเจนเนอเรชั่นกันเลย ... แต่ก็นั่นแหละ
พระเจ้าจะช่วยคนที่ช่วยตัวเองอย่างถึงที่สุดก่อนแล้วเท่านั้น !!!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพิ่งรู้ว่าโหนเจ้าแล้วมันหอมหวานขนาดนี้ รู้แบบนี้เมื่อก่อนกูไปเป็นสลิ่มแล้วโหนรัวๆเลยก็ดี - มิตรสหายท่านหนึ่ง
เมื่อวาน 9 โมงแกนนำทษช ยิ้มแฉ่ง เป็นกระด้งยกเว้นอดีตแคนดิเดตบางคน
วันนี้ 9โมง นักข่าวบอกโทรไม่ติดเลยสักคน ส่วนแคนดิเดตท่านนั้นยิ้มแต่เงียบ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ความเบื่อเซ็งการเมืองอย่างที่มันเป็นในสองสามวันที่ผ่านมา
%%%%%
เพื่อนทาง Facebook ท่านหนึ่งบ่นมาว่า "...ทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทางการเมืองในวันสองวันที่ผ่านมาไม่ได้เลย. ตอนนี้blank มากๆ"
ผมจึงตอบกลับไปว่า:
สวัสดีครับคุณ... (ถ้าสะกดชื่อผิดขออภัยด้วย ว่าไปตามเสียงอ่านภาษาอังกฤษน่ะครับ)
ผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะครับว่าที่จะเขียนต่อไปนี้จะช่วยให้คุณ...ทำใจได้ดีขึ้นหรือไม่ แต่ถือว่าคุยกันฉันเพื่อนที่เห็นใจกันก็แล้วกัน
ผมคิดว่าเวทีการเมืองเป็นที่ ๆ เราไม่ควรแสวงหา ๒ อย่าง คือ ความดี กับ ความจริงใจ
ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี และคนที่อยู่ในวงการเมืองล้วนแต่เป็นคนไม่ดี หรือหลอกลวง แต่ตรรกะของการดำเนินงานทางการเมืองมันไม่อนุญาตให้ถือความดีและความจริงใจเป็นที่ตั้งได้ พูดให้เข้าใจง่ายก็คือมากที่สุดที่เราหวังได้ในการเมืองคือพลเมืองดี ไม่ใช่คนดี พลเมืองดีคือคนที่ทำตามกฎเกณฑ์กติกาของกฎหมายและสถาบันการเมือง แต่เขาอาจเป็นคนเลวร้ายก็ได้ แต่ตราบเท่าที่เขาอยู่ในวงการเมือง สิ่งที่เราเรียกร้องจากเขาได้ก็แค่พลเมืองดีเท่านั้น หากเราหวังมากกว่านั้น เราอาจผิดหวัง และทำใจไม่ได้ เพราะใจเราไม่ตรงกับธาตุแท้ของความเป็นจริงในทางการเมือง
ความจริงใจก็เช่นกัน ตรรกะของการเมืองคือการฉวยใช้กันและกันเป็นเครื่องมือ โดยตัวมันเองจึงยากจะหาความจริงใจต่อกันได้ อย่างดีที่เราหาได้คือเพื่อนที่มีความจริงใจต่อกันที่อยู่ในวงการเมือง แต่เมื่อเดินเข้าสู่ตรรกะนั้นแล้ว เขาและเราก็อาจต้อง/อยากใช้กันและกันเป็นเครื่องมือได้เสมอ
หากทำใจตรงนี้ได้ ก็สามารถ/มีทางใช้การเมืองให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ต่อคนส่วนใหญ่ได้ มันเป็นเครื่องมือที่สกปรก แต่มันก็เป็นเครื่องมือที่อาจอำนวยชีวิตที่ดีขึ้น ทุกข์ยากน้อยลงแก่คนส่วนมากได้ ผมคิดว่าที่เราคาดหวังจากการเมืองได้ก็แค่นี้
ผมจึงคิดว่าการเซ็งเป็ดต่อการเมืองเกิดขึ้นได้เสมอแหละครับ เพราะในเกมที่ไม่มีความดี/ความจริงใจเป็นสรณะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราจึงไม่ควรเอาใจไปวางไว้ที่นั่น เก็บใจไว้กับตัวเรา มองมันอย่างอุเบกขา พยายามเข้าใจมันอย่างที่มันเป็นจริง อย่างเลือดเย็น ถ้าทำได้ก็ช่วยให้คนอื่นเข้าใจมันยิ่งขึ้น เพื่อที่จะใช้มันเป็นเครื่องมืออย่างรู้เท่าทันไปทำสิ่งดีงามได้เท่าที่มันทำได้
การเซ็งการเมือง จิตตกจึงไม่ใช่ความผิดประหลาดนะครับ คนที่มีจิตใจดีงามต่อเพื่อนมนุษย์ควรจะรู้สึกจิตตกเมื่อเห็นคนด้วยกันเลวร้าย ปลิ้นปล้อน โหดร้าย หักหลังกันได้ขนาดนั้น แต่นั่นคือธรรมชาติของมัน มันเป็นอย่างนั้นของมันเอง ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม เราควรทำความรู้จักเข้าใจมันอย่างที่มันเป็นจริง และใช้มันทำสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้น ลดทุกข์ของคนอื่นลง เท่าที่เป็นได้ และเก็บชีวิตด้านอื่นไว้ด้วย เพื่อที่เราจะไม่มีแต่ชีวิตด้านการเมืองอย่างเดียว
อาจเพราะมันสกปรกโดยทั่วไป บางทีที่มีความดีงามเกิดขึ้น มันก็ทำให้เราซาบซึ้งได้ มันก็มีได้แหละครับ ทุกที่ก็มีคนดื้อ คนไม่ยอมสยบต่อตรรกะของระบบ และพยายามทำดี อย่างบริสุทธิ์ใจ เขามักตกเป็นเหยื่อ ถูกทำร้าย ผมคิดว่าหน้าที่ของเราก็คือให้กำลังใจเขา ปลอบโยนเขา เพื่อที่เขาจะไม่มองโลกมืดและมองตัวเองแย่เกินไป และให้เวลาเขาเรียนรู้ธรรมชาติของมันเอง
พูดมายาว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า "เกาถูกที่คัน" หรือไม่ ต้องขอโทษด้วยถ้าไม่ตรงประเด็นปัญหาและทำให้คุณ...รำคาญ แต่ก็อยากให้กำลังใจ เพราะผมคิดว่าเราก็คงต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยเหล่านี้ไปอีกพักใหญ่ในเวลาอันใกล้นี้
ขอให้สบายใจและสงบอยู่กับตัวขึ้นนะครับ ด้วยความหวังดี"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยู่บนอวกาศแล้วหิวพิซซ่าหรอ ก็ส่งให้ขึ้นมาส่งเลยสิ
#Pizzaday 🍕
ย้อนไปในปี 2001 พิซซ่าฮัทได้ส่งพิซซ่าขึ้นไปพร้อมกับยานขนส่งเสบียง Progress (น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถส่งภายใน 30 นาทีแบบบนโลกได้) เพื่อให้คุณ Yuri Usachov นักบินอวกาศของรัสเซียได้ทาน ระหว่างกำลังปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศ ในภารกิจ Expedition 2
คุณ Usachov ไม่ได้ถูกชาร์จเงินปลายทางแต่อย่างใด เนื่องจากทางพิซซ่าฮัทได้จ่ายเงินราว 30 ล้านบาท เพื่อเป็นการโปรโมทแบรนด์ไปในตัว โดยพวกเขาได้แปะโลโก้ไว้ที่ข้างจรวด Soyuz ลำที่ส่งไป พร้อมกับภาพยกนิ้วของ Usachov หลังทางเสร็จนั่นเอง
แต่ไม่ใช่ว่าทางพิซซ่าฮัทจะแค่แพ็คพิซซ่าลงกล่องแบบปกติได้นะ เพราะการรับรสในอวกาศจะแย่กว่าบนโลก พวกเขาจึงเติมเครื่องปรุงลงไปมากเป็นพิเศษ และต้องปรับเปลี่ยนส่วนประกอบบางอย่างที่อาจเน่าเสียได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทางนาซาเองกลับไม่อนุญาตให้นักบินอวกาศของพวกเขาอีก 2 คนไปร่วมวงทานได้ เพราะทางพิซซ่าฮัท (ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติสหรัฐ) เป็นคนจ่ายเงินให้กับรัสเซียเพื่อนำพิซซ่าขึ้นไป เนื่องจากนาซามีนโยบายต่อต้านการโฆษณาแอบแฝงบนยานอวกาศของพวกเขา ทำให้คุณ Usachov สามารถเหมาทั้งถาดไปทานได้เองคนเดียวเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทักษิณทวิตแบบเท่ ๆ ว่า "เรียนรู้จากประสบการณ์อดีต" ถามว่า ทักษิณเรียนรู้อะไรบ้างนอกจากดีลใต้โต๊ะและเกมลักไก่ที่ตัวเองถนัดจนรวยหมื่นล้าน แต่ฉิบหายทางการเมืองทุกครั้งเพื่อประโยชน์ตัวเองโดยเอาชีวิตคนอื่นเป็นของแลกเปลี่ยน?
ถ้าทำแล้วเสียหายเฉพาะตัว มันก็เรื่องของทักษิณ ไม่มีใครว่า แต่ทุกครั้งคือ เอาประชาชนไปแลก ปี 53 ชีวิตคนเสื้อแดงนับพันคน ดีลเหมาเข่ง 56 จนเกิดรัฐประหาร 57 เผด็จการทหารที่เลวร้ายที่สุด และดีลครั้งนี้ที่ความเสียหายต่อปชช.กำลังมาระลอกใหญ่
ทักษิณ "เรียนรู้จากอดีต" แค่ว่า ดีลล้มเหลวเพราะไพ่ในมือไม่ใหญ่พอ ต้องเดิมพันให้หนักขึ้น ๆ จากสมัคร สุนทรเวช (ต่อสายข้างในได้) ถึงยิ่งลักษณ์ (แก้ไขไม่แก้แค้น) และคราวนี้ยิ่งมั่นใจว่า มี Straight Flush สุดท้ายเจอไพ่เหนือ Royal Flush!
ทำกับคนในค่ายตัวเองเป็น "กระดาษทิชชู่" ขยี้ขยำยังไงก็ได้ ตอนนิรโทษกรรมเหมาเข่ง แกนนำนปช.ไม่ยกมือให้ ก็กระทืบไล่ส่งทั้งที่เขาสู้ติดคุกมาแทบตาย คราวนี้ทั้งสุดารัตน์ ชัชชาติ จาตุรนต์ยอมเสี่ยงเป็นเบอร์ 1 ลุยเต็มที่ นาทีสุดท้ายเป็นคนนอกพรรคเข้ามา ทั้งสามคนใบ้กิน! แต่นี่เป็นเรื่องภายในของเขา
เสนอคนนอกเป็นนายกฯทำลายหลักประชาธิปไตย เอาราชวงศ์มาลงการเมืองทำลายเจตนารมณ์ปฏิวัติ 2475
เตรียมเข้าไปลักไก่ในสภา เพื่อไทยแทนที่จะยกมือโหวตนายกฯให้สุดารัตน์ กลับโหวตให้ไทยรักษาชาติที่เสียงน้อยกว่า ผิดประเพณีทางรัฐสภาอีก เหมือนลักไก่ยัดไส้ผ่านพรบ.นิรโทษกรรมตอนตีสี่นั่นแหละ
ผลคราวนี้ก็เหมือนปี 56 ความเสียหายระยะยาวกำลังมา คนเกลียดทักษิณที่เคยกระจัดกระจายกลับมารวมตัวหนุนประยุทธ์เต็มที่ ประยุทธ์เข้มแข็งขึ้นทันที คนที่โดนบูชายัญคือแกนนำทษช.และปชช.ที่เสียโอกาสไล่เผด็จการ
ทักษิณเองต่อไปนี้แก้ตัวกับสาธารณชนไม่ได้แล้วว่า ไม่ได้เอาการเมืองมาวุ่นวายกับพระราชวงศ์ แต่ข้อนี้เป็นผลกระทำของทักษิณเอง ปชช.ไม่เกี่ยว
เราเรียนรู้ว่า การได้ประชาธิปไตยนั้นหวังพึ่งอำนาจวิเศษ พระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ และเกี้ยเซี้ยข้อตกลงลับไม่ได้ มีแต่ปชช.ต้องสู้ให้ได้มาด้วยตัวเองเท่านั้นไม่ว่ามันจะยาก ห่างไกลและยาวนานสักเท่าใด
#วิพากษ์ทักษิณ #ทรยศหักหลังประชาชน #การเมืองเป็นของประชาชน
BRIEF: นักธุรกิจอินเดียผู้เชื่อใน ‘Anti-Natalism’ เตรียมฟ้องร้องพ่อแม่ ที่ให้กำเนิดเขา โดยตัวเขาไม่ได้ยินยอม
.
คำถามเรื่องคุณค่าของชีวิต เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันเนิ่นนาน เช่นเดียวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในความคิดของ นักธุรชาวอินเดียคนหนึ่ง ที่เตรียมฟ้องร้องพ่อแม่ของตัวเอง ที่ทำให้เขาเกิดมาโดยปราศจากการยินยอมของเขาเอง
.
Raphael Samuel นักธุรกิจอินเดียวัย 27 ปี เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่จะให้กำเนิดคนหนึ่งคนมาใช้ชีวิตทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ต้องการ เป็นการมอบภาระให้เจ้าตัวไปตลอดชีวิต และยังเชื่ออีกว่าคนเราไม่ได้เลือกเกิดมาด้วยตัวเอง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นคนเลือกที่จะเกิดมา ก็ควรให้เงินเราเพื่อจะได้ใช้ชีวิต
.
Samuel เชื่อในสิ่งที่เรียกว่า Anti-Natalism แนวคิดที่ว่า ชีวิตนั้นโหดร้ายเหลือเกินจนคนเราควรเลิกให้กำเนิดชีวิตกันได้แล้ว เขายังเชื่ออีกด้วยว่าโลกจะดีขึ้นกว่าเดิมถ้าไม่มีมนุษย์
.
“มนุษยชาติไม่มีจุดหมายอะไรเลย หลายๆคนทุกข์ทรมาน ถ้าคนสูญพันธุ์ไปโลก และสัตว์ต่างๆจะมีความสุขยิ่งขึ้น อะไรๆจะดีกว่านี้ จะไม่มีมนุษย์ต้องทรมาน การมีอยู่ของมนุษย์มันไม่มีประโยชน์จริงๆ” Raphael กล่าว
.
เมื่อปีก่อน Raphael สร้างเพจเฟซบุ๊กขึ้นมาชื่อว่า Nihilanand ซึ่งมีการโพสต์รูปโปสเตอร์ของตัวเองติดหนวดปลอมขนาดใหญ่ ปิดตา พร้อมข้อความที่สนับสนุนแนวคิด Anti-Natalism เช่น ‘การบังคับให้เด็กเกิดมา และบังคับให้ทำงาน ไม่ใช่การลักพาตัว และใช้ชีวิตเยี่ยงทาสหรือไง?’ หรือ ‘พ่อแม่ของเรามีเราขึ้นมาแทนที่จะมีของเล่น หรือเลี้ยงสุนัข เราไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เราเป็นสิ่งบันเทิงของพวกเขา’
.
เพจของ Raphael มีทั้งผลตอบรับในด้านดี และด้านลบในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะในหมู่คุณแม่ทั้งหลายที่เป็นกังวล ว่าลูกของพวกเธอจะมาเห็นเนื้อหาในเพจนี้ บางฝ่ายก็คิดว่าเขาแค่เรียกร้องความสนใจจากสาธารณชน
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.bbc.com/news/world-asia-india-47154287…
http://time.com/5524869/india-anti-natalism-sue-parents/
#Brief #TheMATTER
ตัวย่อ
นผบ. = นวดแผนโบราณ
นนม. = นวดน้ำมัน
สส. = สาวสาว 20-30ปี
สว. = สูงวัย 30-45ปี
ซูเปอร์ ส.ว 45ปีขึ้นไป
คำศัพท์
ระดับ 1 (V1)= การใช้มือในการสำเร็จความใคร่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ชักว่าว นั่นเอง สนนราคา ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 500 บาท ไม่รวมค่านวด
ระดับ 1.5 (V1.5) = เหมือน ระดับ1 ทุกประการแต่ ที่เพิ่มมาคือ ถอดเสื้อผ้าออกหมดด้วย
ระดับ 2 (V2) = การใช้ปากในการสำเร็จความใคร่ หรือการสเป นั่นเอง สนนราคา ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 700-1000 บาท ไม่รวมค่านวด
ระดับ 2.5 (V2.5) = เหมือน ระดับ2 ทุกประการแต่ ที่เพิ่มมาคือ ถอดเสื้อผ้าออกหมดด้วย
ระดับ 3 (V3) = การใช้ปากล่างในการสำเร็จความใคร่ หรือการอึบ นาบ กันนั่นล่ะ สนนราคา มีตั้งแต่ 1,000-2,500up ไม่รวมค่านวด
ระดับ 4 (V4)= การใช้ทวารหนักในการสำเร็จความใคร่ หรือการเข้าประตูหลังนั่นเอง ตรงนี้ไม่มีสนนราคาชัดเจน เป็นเหมือน option
สำหรับน้องๆ บางคนที่พร้อมทำมากกว่า ...
รูดการ์ดหรือรูดบัตร คือ การที่โดนเอามือกรีดเข้ามาที่ร่องตุ๊ดและลากผ่านลงไปที่โคนตู้เย็นนั่นเองครับ..
สแควช คือ การใช้มือในการสำเร็จความใคร่ให้พนักงานนวด
ยิงกรอกปาก หรือ Carpark คือ การหลั่งใส่ปากพนักงานที่ทำระดับ 2 3
สาวแหนม ดึงสโตค ตำแตง คือ การใช้มือสำเร็จความใคร่(V1)
กระสุนด้าน คือ การที่ผู้ชายไม่เสร็จ
แพนด้า คือ เด็กขายบริการมาจากประเทศจีน แหล่งที่อยู่คือแถว เยาวราช
ออฟโรด ทางวิบาก คือ การร่วมเพศทางก้น ความหมายเดียวกับ ระดับ4
มันนี่ทอกค์ คือ พนักงานที่พูดเรื่องเงินเป็นหลักจนน่ารำคาญ
นวดกษัย คือ การนวดตรงบริเวณอวัยวะเพศ รักษาอาการไม่แข็งตัว ปัสสาวะกระปริดกระปรอย
กษัยแห้ง เหมือนการนวดกษัยทุกอย่างแต่ไม่ช่วยให้หลั่ง
กะเสียว เพี้ยนคำมาจาก กษัย ไม่เน้นรักษา เน้นหลั่ง
โลว์ครอส คือ สถานที่นวดหรือเน้นขายบริการทางเพศหรือเดินเตร่เต่ขายบริการตามถนน
พระเอก = บุคคลผู้นำเอารูปหรือกระทู้ผู้อื่น การบ้าน ไปเผยแพร่แก่น้องๆ เพื่อหวังบริการที่ดีหรืออะไรก็แล้วแต่
พระเอกตุ๊กตาทอง = เหมือนพระเอกทุกอย่าง ที่มากกว่าคือเน้นแจ้งข่าวให้ทางร้านทราบและแสร้งทำเป็นตีสนิทหวังเคลมเจ้าของร้านนวด
ลายแทง = รายละเอียดของผู้ที่เราไปใช้บริการ
การบ้าน คือ การเล่ารายละเอียดในการไปใช้บริการลงเวปหรือลงกลุ่ม
ลอกการบ้าน คือการไปตามสถานที่ ที่การบ้านระบุ
ปลาเค็ม เห็นหมี คือ กลิ่มเหม็นที่อวัยวะเพศหญิงโชยออกมา
ทอน = บริการดี ถูกใจ
หล่น = บริการแย่ ผิดหวัง
กรุ้งกริ้ง = บริการพอใช้ได้
สเปย์สด อมสด = oral sex ผู้หญิงทำให้ผู้ชาย โดยไม่ใส่ถุงยาง
สเปย์เปื่อยหรือแห้ง = oral sex ผู้หญิงทำให้ผู้ชาย โดยใส่ถุงยาง
ทาสี = oral sex ผู้ชายทำให้ผู้หญิง
ล้างตู้เย็น = เลียทวารหนัก
ล้างตู้ฟักไข่ = เลีย/ดูดถุงอัณฑะ
โอโม่ = ขาวจนแสบตา
ซีนอล = หัวนมเล็ก,ชมพู
เกาเหลา = ไม่มีเส้นขนที่อวัยวะเพศหญิง
ต่างกรรม ต่างวาระ คือ การไปนวดย่อมไม่มีอะไรแน่นอนเหมือนที่รู้มา
ไฟท์เตอร์ = น้องๆ พวกที่แบบสู้ตายน่ะครับ ประมาณว่าเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
4มือ คือ การนวดโดยใช้หมอนวด2คน
กั๊ก = ไม่บอกลายแทง ไม่ใบ้ด้วย
สายขาว = หมอนวดจริงๆไม่รับทำพิเศษ
สายดำ = หมอนวดที่ทำพิเศษควบคู่ไปด้วย
สายเทา = หมอนวด ที่ทำพิเศษบ้าง ไม่ทำบ้าง
ข้อดี / ข้อเสีย ของการเที่ยว นผบ.
ข้อดี
1. แน่นอน ไป นผบ. ข้อดี อันดับแรก ก็คือ ได้นวด ผ่อนคลาย นั่นเอง
2. เราสามารถเลือกได้ ว่าเราจะทำพิเศษในระดับไหน ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรา
3. น้องก็สามารถเลือกแขกได้ ว่าจะยอมเป็นของใคร ทำให้เวลามีอะไรๆกันนั้นมัน "สุดๆไปเล้ย"
เพราะเกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่าย มากกว่าที่เราจะไปลงอ่าง ซึ่งน้องบริการแขกทุกคน
(คือแขกได้ปรี้ทุกคน)
4. น้องหลายคนถูกใจเราด้วย สามารถเก็บไว้เป็น "ปิ่นโต" ได้โดยไม่ต้องจ่ายรายเดือน
ทำให้เราสามารถแร่ดไปได้เรื่อยๆ ทุกร้าน
ข้อเสีย
1. เนื่องด้วย การเที่ยว นผบ. ส่วนใหญ่ ในห้องจะไม่มีห้องน้ำส่วนตัว ทำให้ ไม่สะดวกในการทำความสะอาดทั้งก่อนและหลัง
2. แน่นอน เมื่อเราเลือกได้ น้องก็เลือกได้เช่นกัน ดังนั้น ต่อให้เราอยากทำพิเศษ แต่ถ้าน้องไม่ทำ เราก็บังคับน้องไม่ได้
ดังนั้น บางครั้ง จึงอาจเกิดอาการน้ำขังได้ ถ้าคุณต้องการจะไป ทำระดับ 3 only
3. บางครั้ง บางสถานที่ เรากะจะไปนวดก่อน แต่น้องอาจจะแทบไม่ได้นวดเลย แต่เน้น ทำพิเศษอย่างเดียว
และน้องอาจจะเอาแต่ชวนทำพิเศษ จนทำให้เราเสียอารมณ์ได้
4. ความเสี่ยงเยอะกว่าอ่าง เนื่องจาก นผบ. ส่วนใหญ่ ไม่มีการตรวจโรคเป็นประจำ หรือเข้มงวดเหมือนอ่าง
5. บางสถานที่ ไม่เหมาะกับการทำระดับ 3 ทำให้บางครั้ง การทำระดับ 3 ไม่ถึงอกถึงใจ (แต่บางคน ก็อาจชอบ เพราะต้องแอบๆทำ)
กับดักอย่างหนึ่งในชีวิตเราก็คือ...
.
เมื่อเราไปเห็นความรู้จากที่อื่นที่คุ้นๆกับสิ่งที่เราเคยสนใจ
.
เรามักจะชอบคิดว่าเรา "รู้แล้ว" และเราก็จะกลายเป็นน้ำเต็มแก้วทันทีโดยไม่รู้ตัว
.
จงตระหนักเสมอว่าสิ่งที่เรา "รู้แล้ว" มันคือสิ่งที่เรารู้ใน "นิยาม" ของเรา และแต่ละคนจะนิยามความรู้ไว้แตกต่างกันเสมอ แม้ว่าเราอาจจะเรียกชื่อความรู้นั้นเหมือนๆกันก็ตาม
.
หลายๆครั้งถ้าเราเปิดใจทำตัวเป็นแก้วที่ยังมีที่ว่างอยู่...
.
เราอาจจะได้พบว่าความแตกต่างชิ้นเล็กๆระหว่างนิยามของเรากับนิยามของคนอื่นนั้น...
.
มันสามารถเปิดอีกโลกให้กับเราได้เลย!
.
จงลดอัตตาและจง Be Humble เสมอๆ
.
ปล. เพิ่งโดนเปิดโลกมาสดๆร้อนๆ
เมื่อยามที่โลกแปรเปลี่ยนเพี้ยนไป
ตรรกะคนเป็นอะไรไม่เข้าท่า
เรื่องดีงามความถูกต้องไม่นำพา
ต่างคิดว่าข้าเลิศล้ำเมื่อทำเกรียน
ไม่รู้จักใช้ปัญญามาครุ่นคิด
ดัดจริตข้ารุ่นใหม่ให้ปวดเศียร
ปล่อยให้ถูกหลอกให้ฉงนวนเวียน
น่าอาเจียนรสนิยมต่ำตมจัง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
The longer the name, the worse the anime.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่นายธนาธรพยายามดึงตัวเองไปเกี่ยวข้องกับคำว่า”ฟ้า” นั้นเพราะว่านายธนาธรเคยเป็นกลุ่มทุนของนิตยสารฟ้าเดียวกันที่ออกมาโจทตีสถาบันในช่วงปี 54 พอ #พรรคไทยรักษาชาติ ดึงฟ้าต่ำอีกวันธนาธรก็ปั่น #ฟ้ารักพ่อ ขึ้นมาทันทีพวกนี้ทำเป็นกระบวนการสมควรยุบ #พรรคอนาคตใหม่ ทันที
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
น่าสงสารนะ สู้เทียบไม่ได้ก็ไปกล่าวว่าเขา
อันนี้ พูดจริงๆนะ กับทั้งสองฝ่ายเลย
ไม่คุ้มหรอก ไปเจ็บไปตายในความขัดแย้งการเมืองไทยน่ะ สุดท้าย คนธรรมดาๆ ได้อะไรน้อยมาก โดยเปรียบเทียบ (อย่างสัมพัทธ์) น่ะ
อย่างทีผมเคยเขียนมาก่อนนะ
ชนชั้นนำไทย ทุกฝ่าย "ลงทุนน้อย" ได้ตอบแทนมาก
ประชาชนธรรมดาๆ ลงทุนมาก (ชีวิต อิสรภาพ ร่างกาย) ได้ตอบแทนน้อย
เสียดาย ประชาชน (ไม่วาฝ่ายไหน) มี "อำนาจต่อรอง" หรือ เป็นคน "กำหนด" อะไรน้อยมาก ส่วนใหญ่ ก็ไม่ค่อยมีสำนึกพอทีจะพยายาม exercise อำนาจต่อรองของตัวด้วย ผลคือ มีลักษณะคอย "ตามการนำ" ของชนชั้นนำเสียเยอะ พาไปทางไหน ก็ไปทางนั้น ลงเหว บาดเจ็บล้มตายกันโดยไม่ค่อยคุ้มอย่างที่ว่าเสียเยอะ ไม่ว่าฝ่ายไหนที่ผ่านๆมา
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมของตะวันตก พัฒนามาจากมีนักปรัชญา นักคิด เกี่ยวกับเรื่องคนเรื่องสังคมความคิดการใช้เหตุผลต่างๆ สั่งสมช้านานจนเป็นยุคเอนไลนเทนที่ส่งเสริมให้คนคิดมากกว่าเชื่อถือจารีตต่างๆ
ซึ่งบ้านเราตามช้ากว่าเค้า มันมีหลักจารีตความเชื่อบางอย่างครอบงำอยู่ ถ้าไม่ใช่คนศึกษาโดยตรง ส่วนใหญ่ก็มาเรียนรู้กันในช่วงยุคโซเชี่ยลที่ความคิดแนวเอนไลนเทนมันกระจายผ่านสื่อนี่ละครับ
ชนชั้นนำของตะวันตกในยุคนั้นที่เชิญชวนให้ประชาชนตื่นรู้ในศักยภาพของมนุษย์และความคิดตนเอง จะมีลักษณะเป็นชนชั้นนำที่เป็นชาตินิยม ด้วยครับ กล่าวคือ มีไอเดียต้องการให้เพื่อนร่วมสังคมเจริญก้าวหน้าเดินไปด้วยกัน เพื่อยกระดับกันไปทั้งประเทศ
ปัญหาที่เราเจอยุคนี้ คือการเคลื่อนย้ายทุนข้ามชาติ เพราะไอเดียอภิชนหัวก้าวหน้ายกระดับประชาชนในสมัยนั้น มันก็เห็นหน้าเพื่อนร่วมชาติกันอยู่ได้แค่นั้น แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จก่อน globalization เข้ามา ซึ่งทำให้ทุนกับคนมันย้ายเคลื่อนย้ายได้ตลอด อีลีทหรือชนชั้นนำในยุคโลกาภิวัฒน์นี้อาจมีสำนึกแบบ transnational elite (อภิชนข้ามชาติ) คือเขาอาจไม่ได้มีสำนึกเป็นปึกแผ่นกับประชากรในชาติแล้วไปทะเลาะกับ elite ประเทศอื่นๆ แต่จะมองว่าตนเองสามารถย้ายไปอยู่ที่ใดก็ได้บนโลก
อาจจะมีโซนคนรวยสักแห่งในโลก ที่ไม่มีการเหยียดว่าคุณเป็นคนเชื้อชาติอะไร แต่ตัดสินจากระบบทุน เพราะคนมีปัญญาอาศัยโซนนี้คืออภิชนชั้นเดียวกันในระบบทุนโลก มาหาความร่วมมือหรือเจรจาการค้าการลงทุนดีกว่า ประมาณว่าไม่ได้กลัวหรอกถ้าเป็นสาวไทยแล้วเค้านึกว่ามาขายตัว ชั้นอยู่วิลล่าไพรเวทนี้นะยะ เธอซึ่งเป็นพลเมืองแท้ๆ ยังไม่มีปัญญาซื้อเลย ว่าแล้วก็ไปจิบไวน์กับลูกสาวอีลีทบ้านข้างๆ ที่มาจากเวียดนาม จีนแผ่นดินใหญ่ดีกว่า ว่าจะชวนกันเข้าสปาซะหน่อย พวกผู้ดีเก่าตะวันตกแบบบ้านหลังใหญ่ มีคนรับใช้ แล้วลูกชายลูกสาวไปแต่งงานลูกอีลีทไทย อีลีทจีน อีลีท ASEAN ที่ไปรู้จักกันขณะเรียนมหาลัยชัั้นนำของโลกจะเจอปัญหานี้บ้าง คือคนที่ทำงานให้ตระกูลทำใจไม่ได้ที่จะต้องมารับใช้บริการให้คนจากประเทศโลกที่สาม แต่คอนเซปต์ transnational elite ทำให้สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่า นั่นคืออภิชนคนหนึ่งเช่นกัน ใช้ค่าเงินอยู่ในระบบสากล ไม่ใช่ลูกชนเผ่าใช้เปลือกหอยแบบยุคก่อนล่าอาณานิคม ความเข้มข้นทางสาแหรก (Genealogy) ลดลง แต่ไปวัดความเป็นอภิชนกันที่ทุนแทน
ซึ่ง transnational elite ในยุคโลกาภิวัฒน์ จะรักษาผลประโยชน์ในวงกันเองแบบข้ามชาติด้วย พวกนี้ย้ายตัวเองย้ายเงินทุนทั้งเพื่ออาศัย พักผ่อน ฝากเงิน ลงทุน ถอนทุน ฟอกเงิน หลบซ่อน ทำได้หมด นั่นยิ่งทำให้ซับซ้อนเข้าไปอีก เอาตัวอย่างชัดๆ อีลีทตะวันตกบางคนยอมปิดบริษัทให้คนในชาติตัวเองตกงาน แล้วมาเจรจากับอีลีทไทยขอเปิดบริษัทจ้างงานด้วยค่าแรงถูกกว่า สั่งสมความมั่งคั่งเข้าไปอีก คือมันอยู่ในยุคมองการเลื่อนไหลของทุนก่อนปากท้องคนในสังคมไปแล้ว บางทีไอ้ที่ทำน่ะแค่พอให้คนมีกินประเทศไม่ล่ม ลับหลังบิ๊กดีลระหว่างใครกับใครบ้างทั่วโลกก็ไม่รู้ แล้วผลประโยชน์จะเข้าประชาชนหรือกลุ่ม transnational elite ด้วยกัน?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเลือกตั้งกับทฤษฏีเกม
ตรรกะแนว "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" ยังคงถูกใช้อยู่ในการเลือกตั้งครั้งนี้
ถ้าพูดในทางทฤษฏีการตัดสินใจ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นกลไกการตัดสินใจโดยอ้างอิงทฤษฏีเกม
ปกติแล้วทฤษฏีเกมจะใช้หลักการตัดสินใจโดยดูจาก reward ที่เราจะได้รับจากการเลือก โดยการวาด Payoff matrix เพื่อดูทางเลือกต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้เล่นตัดสินใจในรูปแบบที่แตกต่างกัน
"สมมติ" ว่าเราเป็นผู้เล่นที่ชื่นชอบในนโยบายของอนาคตใหม่
ในกรณีนี้ Optimal strategy ในเชิงอุดมคติคือ ถ้าชอบก็เลือกอนาคตใหม่ไปเลยไม่ต้องคิดมาก อนาคตใหม่ก็มีโอกาสได้ที่นั่งเยอะ ถ้ากระแสแรงๆ มากๆ คุณธนาธรอาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ประเด็นคือ Optimal strategy มันไม่น่าเวิร์คเพราะคนส่วนใหญ่มัวแต่ไปคิดว่า "ละถ้าคนอื่นไม่คิดแบบเราล่ะ..?"
ถ้าคุณชอบอนาคตใหม่ แต่เกลียดทักษิณ คุณอาจจะคิดว่า เลือกอนาคตใหม่ไป ก็ไม่ชนะหรอก เดี๋ยวเกิดคนเลือกเพื่อไทยมากๆ ทักษิณก็กลับมาครองอำนาจ น่ากลัวว่ะ ไปเลือกลุงดีกว่า ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่ได้ชอบเผด็จการ แต่คุณกลัวทักษิณมากกว่าลุง
ในทางกลับกัน ถ้าคุณชอบอนาคตใหม่ และเกลียดเผด็จการ คุณอาจจะคิดว่า เลือกอนาคตใหม่ไป ก็ไม่ชนะหรอก เดี๋ยวเกิดคนเลือกลุงมากๆ ลุงได้เป็นนายกต่อ ประเทศจะล่มจมหนักไปกว่านี้ น่ากลัวว่ะ ไปเลือกเพื่อไทยดีกว่า อย่างน้อยก็ป้องกันไม่ให้เผด็จการกลับมาครองอำนาจ
สุดท้ายคนส่วนใหญ่ที่ชอบพรรคเล็ก ก็จะตัดสินใจไม่เลือกพรรคเล็ก แต่ไปเลือกพรรคที่คานอำนาจพรรคที่ตัวเองเกลียดแทน
การเลือกแบบนี้เรียกว่า "ดุลยภาพของแนช" (Nash equilibrium) ก็คือ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย (เลือกเพื่อป้องกันคนที่เราไม่ชอบขึ้นมามีอำนาจ) พอเป็นแบบนี้ พรรคเล็กที่แม้จะมีคนชอบในนโยบายมาก แต่ถึงเวลาจริงๆ ก็มีโอกาสที่จะสอบตกสูง
แต่จริงๆ คนที่เลือก Nash equilibrium ลืมคิดไปเรื่องนึง ทฤษฏีเกมมันเป็นทฤษฏีที่มีข้อจำกัดคือ ผู้เล่นแต่ละฝ่ายไม่รับรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน ซึ่งการเลือกตั้งมันไม่ได้มีกฏข้อนี้..!!
คุณไม่ได้ถูกปิดหูปิดตาปิดปาก คุณสามารถพูด คุณสามารถฟังคนอื่นได้
ดังนั้นถ้าคุณชอบพรรคเล็ก สิ่งที่ควรทำคือ แทนที่คุณจะเลือก Nash equilibrium ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ได้ดีที่สุด แต่เป็นเพียงทางเลือกที่ปลอดภัย
คุณควรเปลี่ยนความคิด และใช้ "จุดอ่อนของเกม" ที่คุณสามารถสื่อสาร บอกเล่าสิ่งที่คุณเชื่อให้กับคนรอบตัว ถ้าคุณชอบพรรคเล็ก คุณควรจะพูดเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้สนับสนุนพวกเขาให้คนรอบข้างได้ยิน ได้รับรู้ ได้เข้าใจ
เมื่อเสียงดังมากขึ้นๆ เมื่อ information flow ไปสู่ผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกมส์ นั่นแปลว่าเราเริ่มจะ exploit ทางเลือกของคนหมู่มากได้ และมีโอกาสที่เราจะได้ Optimal strategy เพราะเรา "เชื่อใจกัน"
ทฤษฏีเกมถูกออกแบบมาบนพื้นฐานที่ว่า เราไม่สามารถเชื่อใจผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกมได้เลย แต่อนาคตของประเทศไม่ได้มีข้อจำกัดแบบนี้
เราเชื่อใจว่าคนไทยไม่ได้โง่ คนไทยไม่ได้ปิดหูปิดตา คนไทยไม่จำเป็นต้องเลือกทางที่ปลอดภัย แต่เราสามารถเลือกทางที่ดีที่สุด เพื่ออนาคตของพวกเราและลูกหลานได้
ทฤษฏีเกมเป็นทฤษฏีที่มีประโยชน์มหาศาล แต่อย่าเอามาใช้กับการเลือกตั้งเลยครับ
PS. ผมชอบอนาคตใหม่ จึงยกตัวอย่างอนาคตใหม่ แล้วก็อยากจะเชียร์ Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล เพื่อนอัสสัมที่เรียนด้วยกันมา แต่กรณีนี้ผมไม่ได้บอกให้พวกคุณเลือกอนาคตใหม่นะ อย่าเข้าใจผิด ผมพูดถึงทุกๆ พรรคเล็กที่ควรได้รับการสนับสนุน ถ้าคุณชอบในนโยบาย เลือกพวกเค้า ทำการเลือกตั้งครั้งนี้ให้สง่างามที่สุด พรรคไหนก็ได้ เลิกเล่นทฤษฏีเกมกันเถอะครับ
การเลือกตั้งกับทฤษฏีเกม
ตรรกะแนว "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" ยังคงถูกใช้อยู่ในการเลือกตั้งครั้งนี้
ถ้าพูดในทางทฤษฏีการตัดสินใจ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นกลไกการตัดสินใจโดยอ้างอิงทฤษฏีเกม
ปกติแล้วทฤษฏีเกมจะใช้หลักการตัดสินใจโดยดูจาก reward ที่เราจะได้รับจากการเลือก โดยการวาด Payoff matrix เพื่อดูทางเลือกต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้เล่นตัดสินใจในรูปแบบที่แตกต่างกัน
"สมมติ" ว่าเราเป็นผู้เล่นที่ชื่นชอบในนโยบายของอนาคตใหม่
ในกรณีนี้ Optimal strategy ในเชิงอุดมคติคือ ถ้าชอบก็เลือกอนาคตใหม่ไปเลยไม่ต้องคิดมาก อนาคตใหม่ก็มีโอกาสได้ที่นั่งเยอะ ถ้ากระแสแรงๆ มากๆ คุณธนาธรอาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ประเด็นคือ Optimal strategy มันไม่น่าเวิร์คเพราะคนส่วนใหญ่มัวแต่ไปคิดว่า "ละถ้าคนอื่นไม่คิดแบบเราล่ะ..?"
ถ้าคุณชอบอนาคตใหม่ แต่เกลียดทักษิณ คุณอาจจะคิดว่า เลือกอนาคตใหม่ไป ก็ไม่ชนะหรอก เดี๋ยวเกิดคนเลือกเพื่อไทยมากๆ ทักษิณก็กลับมาครองอำนาจ น่ากลัวว่ะ ไปเลือกลุงดีกว่า ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่ได้ชอบเผด็จการ แต่คุณกลัวทักษิณมากกว่าลุง
ในทางกลับกัน ถ้าคุณชอบอนาคตใหม่ และเกลียดเผด็จการ คุณอาจจะคิดว่า เลือกอนาคตใหม่ไป ก็ไม่ชนะหรอก เดี๋ยวเกิดคนเลือกลุงมากๆ ลุงได้เป็นนายกต่อ ประเทศจะล่มจมหนักไปกว่านี้ น่ากลัวว่ะ ไปเลือกเพื่อไทยดีกว่า อย่างน้อยก็ป้องกันไม่ให้เผด็จการกลับมาครองอำนาจ
สุดท้ายคนส่วนใหญ่ที่ชอบพรรคเล็ก ก็จะตัดสินใจไม่เลือกพรรคเล็ก แต่ไปเลือกพรรคที่คานอำนาจพรรคที่ตัวเองเกลียดแทน
การเลือกแบบนี้เรียกว่า "ดุลยภาพของแนช" (Nash equilibrium) ก็คือ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย (เลือกเพื่อป้องกันคนที่เราไม่ชอบขึ้นมามีอำนาจ) พอเป็นแบบนี้ พรรคเล็กที่แม้จะมีคนชอบในนโยบายมาก แต่ถึงเวลาจริงๆ ก็มีโอกาสที่จะสอบตกสูง
แต่จริงๆ คนที่เลือก Nash equilibrium ลืมคิดไปเรื่องนึง ทฤษฏีเกมมันเป็นทฤษฏีที่มีข้อจำกัดคือ ผู้เล่นแต่ละฝ่ายไม่รับรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน ซึ่งการเลือกตั้งมันไม่ได้มีกฏข้อนี้..!!
คุณไม่ได้ถูกปิดหูปิดตาปิดปาก คุณสามารถพูด คุณสามารถฟังคนอื่นได้
ดังนั้นถ้าคุณชอบพรรคเล็ก สิ่งที่ควรทำคือ แทนที่คุณจะเลือก Nash equilibrium ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ได้ดีที่สุด แต่เป็นเพียงทางเลือกที่ปลอดภัย
คุณควรเปลี่ยนความคิด และใช้ "จุดอ่อนของเกม" ที่คุณสามารถสื่อสาร บอกเล่าสิ่งที่คุณเชื่อให้กับคนรอบตัว ถ้าคุณชอบพรรคเล็ก คุณควรจะพูดเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้สนับสนุนพวกเขาให้คนรอบข้างได้ยิน ได้รับรู้ ได้เข้าใจ
เมื่อเสียงดังมากขึ้นๆ เมื่อ information flow ไปสู่ผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกมส์ นั่นแปลว่าเราเริ่มจะ exploit ทางเลือกของคนหมู่มากได้ และมีโอกาสที่เราจะได้ Optimal strategy เพราะเรา "เชื่อใจกัน"
ทฤษฏีเกมถูกออกแบบมาบนพื้นฐานที่ว่า เราไม่สามารถเชื่อใจผู้เล่นคนอื่นๆ ในเกมได้เลย แต่อนาคตของประเทศไม่ได้มีข้อจำกัดแบบนี้
เราเชื่อใจว่าคนไทยไม่ได้โง่ คนไทยไม่ได้ปิดหูปิดตา คนไทยไม่จำเป็นต้องเลือกทางที่ปลอดภัย แต่เราสามารถเลือกทางที่ดีที่สุด เพื่ออนาคตของพวกเราและลูกหลานได้
ทฤษฏีเกมเป็นทฤษฏีที่มีประโยชน์มหาศาล แต่อย่าเอามาใช้กับการเลือกตั้งเลยครับ
PS. ผมชอบอนาคตใหม่ จึงยกตัวอย่างอนาคตใหม่ แล้วก็อยากจะเชียร์ Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล เพื่อนอัสสัมที่เรียนด้วยกันมา แต่กรณีนี้ผมไม่ได้บอกให้พวกคุณเลือกอนาคตใหม่นะ อย่าเข้าใจผิด ผมพูดถึงทุกๆ พรรคเล็กที่ควรได้รับการสนับสนุน ถ้าคุณชอบในนโยบาย เลือกพวกเค้า ทำการเลือกตั้งครั้งนี้ให้สง่างามที่สุด พรรคไหนก็ได้ เลิกเล่นทฤษฏีเกมกันเถอะครับ
"ว่าด้วยระบบการศึกษาด้วยตัวเอง (Self Learning ) ยุคใหม่"
เรียนฟิสิกส์เช้าๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นกันในเว็บ Khan Academy เว็บไซต์ที่สอนเด็กๆฟรีเป็นภาษาต่างๆหลายภาษา และหลายๆวิชาที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ประวัติศาสต์ และอื่นๆ (ภาษาไทยก็มีจร้าา) เราสามารถเปลี่ยนเป็นภาษาที่ต้องการได้สำหรับการฝึกภาษาในตัว จำลอง Environment เหมือนการเรียนในประเทศนั้นๆได้ อยากเก่งเยอรมันก็เปลี่ยนเมนูเป็นเยอรมัน อยากเก่งอังกฤษก็เปลี่ยนเป็นอังกฤษ อยากเก่งฝรั่งเศสก็เปลี่ยนเป็นฝรั่งเศส
ถ้าอยากฝึกภาษากับเจ้าของภาษาตัวจริง อยากจะแนะนำเว็บไซต์ https://italki.com แพล็ตฟอร์มการเรียนภาษากับเจ้าของภาษาที่ดีมากและน่าเชื่อถือระดับโลกเว็บไซต์หนึ่งก็ว่าได้ ขนาดว่า BBC, Business Insider ยังแนะนำ มีครูให้เลือกมากกว่า 10,000 คน เช่นอยากเรียนญี่ปุ่น ก็สมัครสมาชิก -> ซื้อเครดิต -> เลือกครูที่สนใจจากเครดิตและรีวิว -> นัดเวลาที่อาจารย์เขาว่างตามตารางที่เขาโชว์ไว้ -> หลังจากอาจารย์เขายืนยันนัดแล้ว -> ระบบจะตัดเงินอัตโนมัติ - > ถึงเวลาเรียนก็เรียนผ่าน Skype คุยกันได้เลย ..เรทชั่วโมงตั้งแต่ $10 ขึ้นไป (ประมาณ 340 บาทต่อชั่วโมง) ราคาพอๆกับติวเตอร์บ้านเราเลยจร้าาาแต่ได้พูดกับเจ้าของภาษาเลย
ระบบการเรียนของโลกตอนนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว ประเทศเรายังยึดติดกับเรียนในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ...ตอนนี้มหาวิทยาลัยทั่วโลกเริ่มเครียดกับหลักสูตรของตัวเอง เพราะตามหลังโลกการทำงานจริงหลายเท่า มหาวิทยาลัยที่มีอาจารย์ที่เป็นคนหัวก้าวหน้า อัพเดตโลก จะได้เปรียบมาก สามารถติดตามโลกแล้วแนะนำนิสิตนักศึกษาได้ว่าควรจะไปเรียนรู้เพิ่มเติมส่วนไหน ..ฉันอยากแนะนำให้อ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสาร international พวก TIME,The Economist, Forbes, National Geographic, Science Illustrated และอื่นๆ อ่านทุกวันอ่านบ่อยๆจะได้เข้าใจว่าโลกถึงไหนกันแล้ว
แพล็ตฟอร์มออนไลน์ทุกสำนักบอกได้เต็มปากว่าเนื้อหาไม่ได้ครอบคลุมเท่านิตยสารเฉพาะทาง ..อีกทางเลือกหนึ่งคือซื้อนิตยสารแบบ E-book อ่านในมือถือสำหรับคนที่อ้างว่าไม่อยากพก แต่ทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่งคือ เข้าห้องสมุดตามมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่เขาจะซื้อเก็บไว้หลายปกหลายนิตยสาร...ไว้จะมารีวิวว่ามีห้องสมุดที่ไหนน่าไปบ้าง (เริ่มจาก กทม.ก่อน)
"ยินดีต้อนรับสู่โลกการเรียนรู้ยุคใหม่ที่สถาบันการศึกษาในระบบอาจต้องสั่นคลอน"
ปล1. ถ้าอยากเรียนวิชาวิศวกรรมฉบับใช้งานจริงนอกคอกก็ไปตามฉันได้ที่เพจ "ลุงวิศวกร สอนคำนวณ"
ปล2. ใครอยากลองเรียนฟิสิกส์เป็นภาษาญี่ปุ่่นในเว็บ Khan Academy ลองดู: https://ja.khanacademy.org/science/physics
ไปถล่มเวปมันกันไหม นัดเวลาสักสี่ทุ่มแล้วช่วยกันf4เวปแม่งให้ล่มจะได้เลิกมาโฆษณาโง่ๆแถวนี้อีก
สมัยหมี่เกี้ยวมันมีกี่คนวะมันถึงทำเวปล่มได้
"เวลาเราพูดถึงปฏิวัติฝรั่งเศส เรามักจะพูดถึงบทบาทของ "ประชาชน" แต่จริงๆ คนที่มีบทบาทจริงๆ ในการเริ่มคือพวกอภิชนไปจนถึงคนที่เป็น "เจ้า"
Louis Philippe II เนี่ยเป็นเจ้าระดับสูงที่เป็นญาติกับ Louis XVI เป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดด้วย
บทบาททางการเมืองในการก่อให้เกิดปฏิวัติฝรั่งเศสของ Louis Phillippe II คนมักจะไม่พูดถึง แต่จริงๆ วัง Palais-Royal แม่งเป็นแหล่งสำคัญสัสๆ ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนของปัญญาชนที่มีแนวคิด Radical และวังของเขาบางส่วนก็ยังเป็น "แหล่งช็อปปิ้ง" ด้วย
ซึ่งในแหล่งนี้ พวก Radical แม่งก็จะไปซื้อ "หนังสือต้องห้าม" กัน เพราะในโซนนี้ตำรวจเข้าไม่ถึง
พูดอีกแบบหนังสือที่ขายแล้วตำรวจจับทั่วปารีส แม่งหาซื้อได้ในวัง
พูดง่ายๆ ไม่มี Louis Phillippe II แม่งไม่มีแหล่งบ่มเพาะทางความคิดเรื่องเสรีภาพและความเท่าเทียม อันนำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส
ตอนปฏิวัติแล้ว Louis Phillippe II ก็เป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญให้การพยายามเปลี่ยนฝรั่งเศสจากระบอบ Absolute Monarchy เป็น Constitutional Monarchy พูดง่ายๆ คือจะเอาอำนาจกษัตริย์ออกจากระบบให้ปกครองด้วยสภาที่มาจากประชาชน
ช่วงปฏิวัติ Louis Phillippe II นี่อินกับบรรยากาศคามเท่าเทียมช่วงปฏิวัติจนเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Philippe Égalité เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี ก็เดาไม่ยาก เขาก็พบจุดจบด้วยกิโยตินในการ Purge ครั้งใหญ่ในช่วง The Terror เนื่องจากเขา "ต้องสงสัย" ว่าภักดีกับระบอบเก่า เพียงเพราะว่าเขาเป็นเจ้า"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>845 คำถามคือเราไว้ใจมนุษย์ด้วยกันได้แค่ไหน? ถ้ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไว้ใจกันได้จริง อาชีพทหารควรสูญสลายไปจากโลกได้แล้ว
การที่รัฐชาติต่างๆ มันยังมีอาชีพทหารอยู่ ก็เพราะเราไม่อาจไว้ใจกันได้นี่แหละ เพราะเรากลัวว่าจะถูกทำร้าย เราจึงต้องมีอาวุธไว้ป้องกันตัว การเลือกตั้งก็เหมือนกัน ทางไหนที่จะไม่นำไปสู่ความได้เปรียบของฝ่ายตรงข้าม แม้จะเป็นทางที่เจ็บปวดแต่มันก็ต้องเลือก
“มีน้องมาคุยแล้วก็ถามเรื่องการตัดสินอนาคตของประเทศด้วยสิทธิของเราในวันที่ 24 มีนาคม น้องพูดว่าเราต้องไปเลือกคนดีสินะครับ
เรารีบเบรคน้องว่า เราเลือกคนที่จะไปทำงาน เราเลือกคนที่ความสามารถ เราเลือกคนที่นโยบาย เราเลือกคนที่เล่นตามกติกา และมีจุดยืนที่ชัดเจน เราไม่เลือกเพียงเพราะความเป็นคนดี หรือภาพว่าเป็นคนดี
น้องถามว่า อ้าว แล้วถ้ามันไปโกงกินล่ะพี่
เราบอกว่า ไม่มีระบบไหนในโลกนี้ออกแบบมาโดยยึดความดีงามของมนุษย์ ถ้าการบำรุงรักษาเครื่องบินเชื่อใจว่ามนุษย์จะทำถูกต้อง ไม่ลักไก่ ไม่เผลอเรอ ไม่สะเพร่า ป่านนี้เครื่องบินร่วงระนาวจากท้องฟ้าแล้ว เพราะขันน็อตไม่แน่นแค่ตัวเดียว เครื่องบินตกคนตายทั้งลำได้เลย
ระบบทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่เคยเชื่อใจมนุษย์ว่าจะไร้ข้อบกพร่อง แต่เข้าใจว่ามนุษย์มีข้อบกพร่อง จึงต้องมีการออกแบบระบบเพื่อป้องกันความบกพร่องของมนุษย์และมีระบบมีกลไกในการตรวจสอบอยู่เสมอ
ทีนี้ในการทำงานจริง ระบบที่ออกแบบมารัดติ้วก็จะทำให้การทำงานไม่ลื่นไหล ระบบที่ดีต้องทำให้เกิด Flow ที่ดี ไม่มีอะไรที่ซ้ำซ้อน ทับซ้อน และขัดแย้งกันเองอีรุงตุงนัง ระบบต้องปล่อยให้คนทำงานได้จริง แต่กันการผิดพลาด และกันการทำงานอย่างไม่ถูกต้องด้วยการตรวจสอบเบื้องหลัง กลไกตรวจสอบต้องฟังก์ชั่นได้จริง และที่สำคัญคือความโปร่งใส และสุดท้ายคนที่ตัดสินใจว่าระบบไหนจะได้ไปต่อ ตรงไหนมีจุดบอดของระบบที่ต้องแก้ไขเพราะโลกนี้ไม่มีระบบที่สมบูรณ์แบบ ก็คือผู้ใช้งาน ซึ่งกรณีนี้คือประชาชน น้องก็ถึงบางอ้อ
สิ่งต่างๆในโลกนี้ดีกับผู้ใช้มากขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพราะอำนาจอยู่ที่ผู้ใช้ ผู้ซื้อ ผู้บริโภค ผู้ที่จะเลือกสนันสนุนหรือไม่สนับสนุนอะไร อะไรจะได้ไปต่อหรือไม่ เช่นเดียวกัน หากเราอยากให้บ้านเมืองที่เราอาศัยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีกับผู้อยู่อาศัยมากขึ้น อำนาจต้องอยู่ในมือของประชาชนที่มีสิทธิเลือก
อย่าหลงไปกับวาทกรรมคนดี คนที่อ้างความดี คุณไม่มีวันรู้หรอกความลึกอันยากจะหยั่งถึงของใจมนุษย์ คุณไม่มีวันรู้ทุกด้านของคนอื่น แม้แต่ตัวคุณเองคุณยังไม่รู้ทุกด้านของตัวเองหากไม่มีกระจกสะท้อนให้เห็นมุมที่คุณมองไม่เห็น คนดีที่ตรวจสอบไม่ได้นั้นน่ากลัวนัก...”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ที่ คาสะโต๊ด จะเน้นฝึกฝนทักษะที่ใช้ในการทำงานจริงครับ ตอนเปิดสอนใหม่ๆ คนจะบ่นว่าให้เรียน Unix Command Line ไปทำไม โชคดีที่ทุกวันนี้ไม่มีคนบ่นแบบนั้นอีกแล้ว เพราะทุกคนเข้าใจแล้วว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้จริง เมื่อฝึกฝนจนทำเป็นแล้วจะทำได้ตลอดไป ไม่มีการลืมครับ เหมือนกับการขับรถ หรือเล่นดนตรี ทำเป็นแล้วทำได้ตลอดไป
แป้นพิมพ์หรือ Keyboard ที่ คาสะโต๊ด จะถูกดึงออกวันละ 2 อันครับ อย่างอันนี้เรียนได้ 2 วันก็ดึงออกไป 4 อัน แล้วใส่สีชมพูเข้าไปแทน เพื่อให้ทุกคนที่มาเรียนได้ฝึกพิมพ์สัมผัสด้วยตัวเอง พอครบเดือนก็จะทำได้โดยอัตโนมัติ ส่วนอันล่างเป็นของคนสอนดึงออกไปหมดเลย ไม่มีการเอาเปรียบแน่นอนครับ ใครอยากเห็นการเขียนโค้ดที่พลิ้วไหวเหมือนเล่นเปียโน มายืนดูได้ครับ ที่นี่ไม่เคยมีความลับอะไร
อยากเรียนแล้วทำงานได้อีก 10 ปีขึ้นไป ไม่ต้องวิ่งตามเทคโนโลยีให้เหนื่อย มาเรียนที่ คาสะโต๊ด ได้ครับ ดูคอร์สเรียนและค่าสมัครได้ที่นี่ https://คาสะโต๊ด.work/register
การที่ Piam BNK48 ได้มีการ ”พักงาน” ขึ้น ซึ่งระยะ 2 เดือน ถ้าเป็นโรคทั่วไป ระยะคงไม่นานขนาดนี้ จนแอดได้เห็นกับ IG Story ของเปี่ยม ที่ลงไว้ดังรูปประกอบ...และสิ่งๆ นั้นเรียกว่า “Black Dog”
Black Dog คือ สัญลักษณ์ของ “โรคซึมเศร้า” เหตุการณ์คล้ายๆกันก่อนหน้านี้ มาจาก “จงฮยอน” นักร้องนำวง SHINee ที่ได้เสียชีวิตไปเนื่องจากโรคซึมเศร้า และก่อนหน้าที่เขาได้เสียชีวิต เขาได้โพสต์รูปเจ้าหมาดำไว้ด้วย
แต่เดิมแล้ว Black Dog มาจากหนังสือที่เขียนโดยชาวออสเตรเรีย เขียนและวาดโดย Matthew Johnstone โดยหนังสือมีชื่อว่า “I had a Black Dog: His name was depression” โดยผู้เขียนเผชิญกับโรคซึมเศร้าตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ และตอนนี้เขาก็อายุ 54 เข้าแล้ว และเขาก็ได้เขียนหนังสือเล่มใหม่ “Living With a Black Dog” เป็นเรื่องที่อยู่ร่วมกับโรคซึมเศร้า ให้กำลังใจ และเอาชนะแก่คนที่เป็นเช่นกัน (แต่ผู้เขียนยังไม่เสียชีวิตนะครับ)
ฉะนั้นแล้ว อฟช.ควรมีที่ปรึกษาทางด้านปัญหาสุขภาพจิตด้วยครับ ปัจจัยหลายๆ ด้านที่ทำให้เมมเบอร์เครียดจนเกินไป และเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
Link เพื่อศึกษากับเรื่องๆ นี้ : https://youtu.be/XiCrniLQGYc
เป็นพนักงานคนที่ 3 ของ startup ชื่อ Nutanix. เลือกเงินเดือนที่พออยู่ได้ ขอ stock option เยอะๆ ที่สำคัญที่สุดต้องวิเคราะห์บริษัทนั้นเป็นว่ามีโอกาสแค่ไหนที่ stock options จะ value เพิ่ม ผลลัพธ์คือตอนนี้บริษัทมูลค่า 30,000 ล้านบาท บริษัทใหม่ที่ผมเป็นผู้ร่วมก่อตั้งตอนนี้ กำลังหา software engineer อยู่นะครับ มี stock option ให้ และต้องการให้ stock option means something.
"ชำแหละ เครื่องทำน้ำพลังแม่เหล็ก"
เคยเตือนให้ระวังเรื่องพวกเครื่องปรับโครงสร้างน้ำเปล่า ทำน้ำพลังแม่เหล็ก ทำน้ำโมเลกุลเล็ก ทำน้ำโมเลกุลหลายเหลี่ยม ฯลฯ หรือสารพัดที่เค้าทำมาหลอกขายนั้น ว่าไม่ได้จะมีผลดีอะไรอย่างที่เค้าอวดอ้างหรอกนะ ... วันนี้ มีคนกล้าลองของ ไปซื้อเครื่องราคาเป็นหมื่น มาแกะดูข้างใน พบว่า มันก๊องแก๊ง แค่เอาก้อนแม่เหล็ก มาล้อมท่อน้ำไว้แค่นั้นแหละ !!
จากกระทู้นี้ในพันทิป "แกะเปลือก เครื่องทำน้ำพลังแม่เหล็ก เครื่องปรับโมเลกุลน้ำ ใครอยากรู้ ว่าข้างในมีอะไร มาดูกันเลยครับ" เจ้าของกระทู้เค้าติดเครื่องกรองน้ำไว้ใช้ที่คอนโด แล้วลองติด "เครื่องทำน้ำพลังแม่เหล็ก" พร้อมชุดกรองน้ำ เสร็จแล้ว ด้วยความสงสัยในหลักการทำงานของเครื่อง เค้าเลยตัดสินใจแกะเครื่องออกมาดู
ผลคือ ข้างในมีวาล์วให้น้ำไหลผ่านท่อน้ำสีเงิน ซึ่งมีก้อนแม่เหล็ก 2 ก้อนรัดไว้ ก่อนจะออกมาให้เราดื่ม .. มีแค่นั้นแหละ
ซึ่งผมฟังธงแทนเจ้าของกระทู้แทนให้ได้เลย ว่าพลังงานหรืออะไรก็ตามจากก้อนแม่เหล็ก 2 ก้อนนี้ ไม่ได้จะรุนแรงมากมายอะไรที่จะไปเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลของน้ำกรองที่เรากิน
(หรือถึงทำได้จริง ด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าก้อนยักษ์ๆ จนแขนของโมเลกุลไฮโดรเจนบิดตัวไปจากออกซิเจน พอน้ำเคลื่อนที่ผ่านออกมาลงไปอยู่ในแก้ว โครงสร้างโมเลกุลก็จะกลับมาเหมือนเดิมแน่ๆ )
ส่วนที่บอกว่าดื่มแล้วดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ก็เรื่องโม้ๆ จากคนขาย บวกกับพลังอุปปาทานยาเทียม (พลาเซโบ) ของคนดื่มน้ำนั้นเข้าไปครับ
สรุปคือ อย่าไปหลงเชื่อซื้อของทำนองนี้เลย ถ้ากังวลเรื่องสุขภาพ ก็เอาแค่ดื่มน้ำที่ผ่านการกรองให้สะอาด หรือฆ่าเชื้อแล้ว ก็พอครับ
ภาพและข้อมูลจาก https://pantip.com/topic/38528891
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
การเข้าสู่หน้าดังกล่าวไม่อาจกระทำได้
เนื่องจากมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2560
The access to this page is denied
Due to improper or illegal content in breach of the computer crime act 2017
รับไปปฏิบัติครับ
ใครรักท่านประยุทธ์อยู่ก็ทำตามท่านแนะนำด้วยนะครับ
"อย่าเชื่อหรือฟังคนที่พูดเก่งอย่างเดียว แต่ความจริงกลับปฏิบัติไม่ได้หลายอย่าง"
ฟังมา 4 ปี รอดูผลงานตามที่แถลงมา 4 ปี
.... ทำไม ทำไม๊ รู้สึกว่า ของแพงขึ้น แต่รายได้เท่าเดิมครับเนี่ยยยย ภาษีที่ไม่เคยได้ยินก็ได้ยินเย๊อะขึ้น กฏหมายที่ปกติก็จำแทบไม่ได้ ตอนนี้แทบไม่ต้องจำ
มันไม่เรียกความรู้สึกหรอกสำหรับคนทั่วไป ใครจะเป็นนายกก็ได้ แต่ให้เค้ามีเงินเหลือเก็บ มีเงินซื้อข้าวกินได้ครบเดือน
ท่านจะเปิดคาสิโน จะเปิดเสรีกัญชา Rehab Center ก็ย่อมทำได้ แต่ทำแล้วเงินรายได้ต้องเข้ากระเป๋าประชาชน
ถ้าประชาชนกินดีอยู่ดี ท่านไม่ต้องทำกฏ กติกาเลย อยู่สักสองสมัย แล้วแก้กฏหมายแบบประธานาธิบดีจีนก็ไม่มีคนค้าน ซ้ำจะมีแต่คนรัก
ทำให้ประชาชนรัก แค่นั้นเลยง่ายๆ
หวังดีนะ
ลิงค์เหี้ยไรเยอะแยะวะ
อะเฮือก เราขอโทษจริงๆนะคะ ที่ต้องบอกว่า คนรู้จักเรา รวยเป็น 100 ล้านใน 2 ปี เพราะสอน forex (คอร์สละ แสน++) สอนนะคะ สอน...
และคนสนิทเรา เสีย 5 แสน ใน เอ่อ...ไม่ถึงเดือน (เขาศึกษา forex มา ตั้งเเต่ปี 54 แต่ลงเล่น ปี 58 เพราะเริ่มมีเงิน)
และ คนสนิทเรา อีกคน เคยมีร้านยา 5 ร้าน ชวนเราเล่นforex เเต่เราไม่เล่น ทุกวันนี้ เราไม่กล้าถามเลยว่า ร้านยาไปไหน เมียพี่ไปไหน ทำไมพี่มาทำงานตัวใหม่?
ส่วนตัวเราโง่เลขมากๆ เคยติด f calculus 2 รอบ ฟิสิกส์ เคมี อย่างละรอบ เเต่จบตรีมาได้
ไม่ได้เกลียดหุ้นและ forex เเค่เห็นตัวเลขเเล้วตาลาย ไม่คิดจะเล่นเลย
ขอโทษอีกครั้งที่เล่าความจริงให้ฟังค่ะ
การพยายามทำตัวสอนสั่งผู้อื่น มันเป็นเพียงแค่กลไกการประกาศตนที่แสดงออกถึงความกระหายที่อยากเอาชนะผู้อื่นเฉยๆ สำหรับคนที่คิดไปเองว่าตัวเองฉลาดเท่านั้น
แต่การเอาชนะผู้อื่นได้จริงๆ นั้น เราต้องนอบน้อมสอพลอให้ข้อมูลผิดๆ แก่เขา เพื่อให้เขาทำลายตัวเองไปช้าๆ อ่ะครับ
#จากงูพิษพี่โจวที่เซรุ่มตัวไหนก็เอาไม่อยู่
#ชายผู้สืบทอดองค์ความรู้จากขันทีโฉดมานับพันปีจากรุ่นสู่รุ่น
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เพื่อนกันสบายใจดี ไม่มีเลิกกัน
...
ไม่ จริง โว้ยยยยยย
เรื่องราวของนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine's story)
เนื่องในวันวาเลนไทน์ แอดมินเพจเลยขอนำเสนอเรื่องราวของนักบุญวาเลนไทน์สักหน่อย
จริงๆแล้วตำนานนักบุญวาเลนไทน์นั้นมีหลายแบบมากและมีข้อมูลค่อนข้างน้อย(น้อยมากจนไม่ทราบปีเกิดท่านที่ชัดเจนเลยล่ะ) อีกทั้งเนื่องจากมีคนชื่อ "วาเลนไทน์" ในยุคนั้นเป็นจำนวนมากอีกต่างหาก
แอดเลยเอาเรื่องราวที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดมาให้อ่านกัน
เรื่องเริ่มที่นักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นอดีตพระสังฆราชแห่งเทอร์นี นาร์เนีย และอาร์มีเลีย แคว้นอุมเบรีย ตอนกลางของอิตาลีในปัจจุบัน
ท่านก็ทำหน้าที่นักบวชตามปกตินี่ล่ะครับ มีเรื่องเล่าเยอะ อย่างวันหนึ่ง ท่านถูกจับที่บ้านพักของผู้พิพากษานามว่า "อัสเทอร์ริอุส" หลังถกกันเรื่องศาสนา เพราะท่านนั้นยืนกรานว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแท้จริงตามมุมมองของชาวคริสต์
ผู้พิพากษาอัสเทอร์ริอุสจึงทดสอบนักบุญวาเลนไทน์ทันที โดยการนำนักบุญวาเลนไทน์ไปหาลูกสาวของเขาซึ่งตาบอดแล้วบอกท่านให้ช่วยให้ตาของเธอกลับมามองเห็นได้อีกครั้งและสัญญาว่าถ้ารักษาได้จะทำทุกอย่างเพื่อท่านวาเลนไทน์
ปรากฏว่าเมื่อท่านวางมือไปที่ดวงตาของลูกสาวของอัสเทอร์ริอุส ตาของเธอก็กลับมามองเห็นอีกครั้งจริงๆ
อัสเทอร์ริอุสจึงทำตามสัญญา และทำสิ่งที่นักบุญวาเลนไทน์ขอร้องคือ...
"ขอให้อัสเทอร์ริอุสได้ทำลายรูปเคารพทั้งหมดรอบบ้านเขา อดอาหารสามวันและขอให้เขารับศีลล้างบาปพร้อมครอบครัวของเขาและสมาชิกในครัวเรือนอีก 44 คน"
ผู้พิพากษาเป็นผู้มีสัจจะและทำทุกอย่างที่ขอ ต่อมาเขายังได้ปล่อยผู้ต้องขังคริสเตียนทั้งหมดอีกด้วย
ทีนี้มาถึงเรื่องราวที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักท่านกัน
นักบุญวาเลนไทน์นี่ต้องถือว่าเป็นคนคุกจริงๆ เพราะเข้าออกบ่อยเหลือเกินจากงานประกาศศาสนาของท่าน
มีครั้งหนึ่ง กล่าวกันว่าท่านถูกจำคุกเพราะไปทำพิธีแต่งงานให้กับคู่รักที่คนหนึ่งเป็นชาวคริสต์และอีกคนซึ่งนับถือเทพโรมันอย่างลับๆ และช่วยเหลือชาวคริสต์ที่กำลังถูกข่มเหงในโรมซึ่งกระทำโดยจักรพรรดิคลอดิอุส ซึ่งการกระทำทั้งสองประการนี้จัดว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงในยุคนั้น
ความสัมพันธ์ของนักบุญวาเลนไทน์และจักรพรรดิแย่ลงเรื่อยๆ คือก่อขัดพระทัยจักรพรรดิบ่อยมาก จนถึงจุดพีคสุดเมื่อนักบุญวาเลนไทน์พยายามชักจูงคลอดิอุสให้หันมานับถือคริสตศาสนา (ถือว่ากล้ามากที่ชวนจักรพรรดิ)
แน่นอนครับ จักรพรรดิก็พิโรธสิ และสั่งประหารชีวิตนักบุญวาเลนไทน์เสียเลย แต่ก่อนประหาร คลอดิอุสได้สั่งให้นักบุญวาเลนไทน์เลือกระหว่างให้ละทิ้งความเชื่อของท่านเพื่อละเว้นโทษ
หรืออีกทาง คือถูกตีด้วยกระบองและตัดศีรษะ
แน่นอนครับ หากท่านเลือกอย่างแรก ก็คงไม่มีใครรู้จักท่านมาจนถึงทุกวันนี้ นักบุญวาเลนไทน์ได้ปฏิเสธที่จะละทิ้งความเชื่อและรับโทาประหารชีวิตที่นอกประตูเฟลมิเนียน (Flaminian Gate) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.269 (บางแห่งบอกไม่ใช่ปีนี้แต่เป็นปีอื่น)
ทำให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ได้กลายมาเป็นวันฉลองนักบุญวาเลนไทน์ตามปฏิทินศาสนจักรตะวันตก
แต่เนื่องจากว่าทางศาสนจักรโรมันคาทอลิกรู้เรื่องราวของท่านน้อยมาก จึงทำให้ในปี 1969 ทางโรมันคาทอลิกจึงนำชื่อนักบุญวาเลนไทน์ออกจากปฏิทินนักบุญทั่วไป
อย่างไรก็ตามศาสนจักรคาทอลิกยังคงยอมรับท่านเป็นนักบุญอยู่ โดยเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของคู่หมั้น คนเลี้ยงดูแลผึ้ง คนเป็นโรคลมชัก คนมีอาการเป็นลม การทักทาย การแต่งงานอย่างมีความสุข ความรัก คนรัก คนเป็นโรคระบาด นักเดินทางและคนหนุ่มสาว
และถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักมาจนถึงปัจจุบัน เพราะสิ่งที่ท่านได้ทำนั่นเอง
ส่วนศาสนจักรตะวันออกอย่างออร์โธด็อกซ์ยังคงมีวันฉลองท่านอยุ่ในปฏิทิน หากแต่เป็นวันที่ 6 กรกฎาคม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“เห็นลงรูปคู่ นั่นผัวหรือลูกค้า เอาดีๆ”
มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีเด็กผู้ชายอายุ11 ขวบ เดินเข้ามาในร้าน 👦🏻
.
น้อง:กระเป๋าจระเข้ใบเท่าไหร่ครับ?
พนง:2แสน....
น้อง:(ทำหน้าเศร้าๆ) ผมมีงบ4หมื่นซื้อใบไหนได้บ้างครับ?
พนง:ทำหน้างงๆ ซื้อให้ใคร?
น้อง:ซื้อให้แม่ครับ
พนง:คุณแม่แต่งตัวแนวไหน ชอบสีอะไร
น้อง:คุณแม่แต่งตัวสีสันสดใสครับ ไม่ชอบสีดำ
พนง: งั้นพี่แนะนำใบนี้.....
น้อง:ตกลงผมเอาใบนี้ครับ พร้อมกับ ควักเงินสดออกมาจากเป้สะพายหลัง
.
น้องบอกว่าผมเก็บเงินมา 3 ปี ค่อยๆเก็บเดือนละ2,3 พัน แล้วพอดีได้เงินประกันมาก้อนนึง เลยอยากซื้อของขวัญให้คุณแม่วันวาเลนไทน์ นี่แอบคุณแม่ขึ้นมาซื้อ คุณแม่ซื้อของอยู่ข้างล่าง 😊💕
.
#ขออนุญาตคุณแม่ของน้องด้วยนะครับ
#อยากแชร์จริงๆ
ไม่เคยเจออาการแบบนี้ใน YouTube มาก่อน
.
ลอง Search หาคำว่า "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" และอีกหลาย ๆ ชื่อ รวมถึง "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" และ "พงษ์สิทธิ์ คําภีร์" วีดีโอทุกตัวใน Search Result จะมีปัญหาแปลก ๆ เช่น
.
- ดูไม่ได้เลย
.
- วีดีโอไม่ Auto Play
.
- ตอนกด Play วีดีโอที่กดดูเป็นตัวนึง แต่วีดีโอที่เล่นเป็นอีกตัวนึง ไม่ตรงกัน (ส่วนใหญ่จะดึงวีดีโอที่เป็นตัวล่าสุดที่ดูมาเล่นแทน เช่น ถ้าเล่นคลิปแมวก่อนหน้านี้ แล้วไปกดดูคลิปธนาธร เราก็จะได้ดูคลิปแมวอีกรอบ)
.
- ต้องกด Hard Refresh ถึงจะดูได้ปกติ
.
- เป็นการ Desktop เท่านั้น มือถือไม่เป็น
.
ลอง Search ด้วย Keyword อื่นเช่น "ธนาธร" หรือ "ไอซ์ อภิษฎา" อันนี้ไม่เป็น กดเล่นได้ปกติ
.
ลองใน Incognito ก็เป็น แม้แต่ VPN ไปเมกา ก็เป็นอาการเดียวกัน
.
ยังไม่ได้ Investigate ละเอียด รู้แต่ว่ามันไม่ปกติ ...
.
ยังไงฝากลองว่าเป็นเหมือนกันมั้ย ๆ (เฉพาะบน Desktop นะ บนมือถือยังปกติอยู่)
.
ของเราเนต AIS Fibre
.
=== Update ===
.
== Keyword เหล่านี้ก็เป็น ==
.
- "ประยุทธ์ จันทร์โอชา"
.
- "สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์"
.
- "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์"
.
- "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"
.
- "พงษ์สิทธิ์ คําภีร์"
.
- "อิศรา กิจนิตย์ชีว์"
.
== Keyword ที่ "ไม่มีปัญหา" ==
.
- "ทักษิณ ชินวัตร"
.
- "แพรว คณิตกุล"
.
- "ธงไชย แมคอินไตย์"
.
ปล. อย่าเพิ่งสรุปเป็นเรื่องการเมือง กำลัง Crowdsource อยู่ว่าตกลงเกิดจากอะไร เผื่อเป็นบั๊ก YouTube จะได้เอาไปแก้
จะว่าไป establishment ไทยนี่เก่งมากนะที่ทำให้คนไทยเนี่ย เอะอะอะไรก็โทษประชาชนกันเองไว้ก่อน
ระบบสุขภาพเงินไม่พอ ก็บอกว่าเพราะรักษาฟรีแล้วคนไม่ดูแลสุขภาพ ไม่เคยสงสัยประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ความเหมาะสมของการจัดสรรงบประมาณ ฯลฯ
คนไทยยากจน เหลื่อมล้ำ ก็บอกว่าชาวบ้านขี้เกียจ ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ขยันทำงาน เอาแต่กินเหล้า เอาแต่แว๊น ไม่เคยสงสัยเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ การผูกขาด การกระจายทรัพยากร การกระจายโอกาสต่างๆ ฯลฯ
น้ำท่วม ก็เพราะคนตัดไม้ทำลายป่า คนทิ้งขยะทำให้ท่อระบายน้ำอุดตัน
มลพิษ ก็โทษคนใช้แต่รถส่วนตัว เผาขยะ สูบบุหรี่
คือพอจะพูดเรื่องที่ใหญ่กว่าปัจเจกนี่นึกภาพไม่ออกเลย เชื่อมโยงไม่ได้ พอพูดเรื่องการแก้ปัญหาที่โครงสร้างก็จะไม่เข้าใจ เพราะทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเรา ถ้าทุกคนเปลี่ยน ประเทศก็จะเปลี่ยน (แล้วลองสังเกตดู เวลาพูดว่าคนไทยเป็นต้นตอของปัญหานี่เราไม่เคยรวมตัวเองเข้าไปด้วยนะ คือเรานี่เป็นคนไทยที่เหนือค่าเฉลี่ย มีวินัย มีความรับผิดชอบ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา)
พอมันเป็นเสียอย่างนี้แล้วก็จะแบบเซ็งๆ เพราะมันคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดแล้วไม่เก็ท สุดท้ายคนที่ต้องเริ่มแก้ที่ตัวเองก็กูเนี่ยแหละ ควรจะเริ่มวางแผนอย่างเป็นระบบได้แล้วว่าจะฆ่าใครบ้างประเทศถึงจะเจริญ เพราะถ้าปัญหามันเกิดจากปัจเจกจริงๆ สิ่งที่เราต้องการคือระบบการฆ่าคนที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มีข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีที่ผู้หญิงไทยถูกฆ่าโดยนักศึกษาแพทย์ญี่ปุ่น
นายโยะโซะมิยะ นะโอะคิ (20 ปี) ผู้ต้องสงสัยนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยโชวะให้การก่อนถูกจับกุมว่า “ให้อภัยไม่ได้ที่คนต่างชาติทำงานในร้านอาบอบนวดและได้รายได้ต่อชั่วโมงเยอะ จึงคิดที่จะฆ่าทิ้ง”
นายโยะโซะมิยะได้ซื้อเครื่องมือช่างล่วงหน้า หลังจากนั้นก็เข้าไปในโรงแรมและใช้เครื่องมือช่างอันนั้นฟาดศีรษะของผู้หญิง
เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสืบสวนอย่างละเอียดโดยคาดการณ์ว่านายโยะโซะมิยะผู้ต้องสงสัยน่าจะเล็งฆ่าผู้หญิงต่างชาติโดยไม่เจาะจงตัว
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
ท่าทางมันจะบ้า ถ้าจบเป็นหมอออกมา คนไข้จะไม่อันตรายเหรอ?
เครดิต
Yahoo Japan News
ความประหลาดก็คือ เราใส่โลโก้พรรค อนาคตใหม่ แทนภาพตัวเอง
เพื่อนอันเฟรนไปเป็นร้อยเลยทีเดียว...
เห้ยยยย โลโก้เฉยๆ อย่าขนาดนั้น
วันนี้ชอบ วันหน้าก็อาจไม่ชอบก็ได้นะ ธนาธรกับผมไม่ได้รู้จักกัน
เพียงแค่ชอบนโยบายพรรค แนวทางของพรรค
ก็ช่วยโปรโมท ส่งเสริมเท่านั้นเอง
นึกถึงสมัยก่อน เพื่อนสนิทกันคนหนึ่ง เลิกคบเพียงเพราะว่าไม่ไปร่วมม้อบเสื้อแดง กับมัน...
...
อย่าว่าแต่พรรคไหนเลย ถ้าใครชวนไปม้อบ ต่อให้เป็นพรรคที่ตนเองชอบ ก็ขอไม่ไป เพราะมองว่า ม้อบคือการทำให้คนเดือดร้อน
จะอ้างรักชาติ รักองค์เทพอะไรก็แล้วแต่
หากไปตั้งเวที แน่นอนชาวบ้านแถวนั้นเดือดร้อน เพราะเสียงดัง
คนไปมา ก็รถติดอีก
...
หลังเลือกตั้งแล้ว ค่อยแอดเฟรนมาใหม่ได้นะ สำหรับคนที่อันเฟรนไปแล้ว เราจะไม่โกรธเคืองพวกนาย
ไม่ว่าพวกนายจะชอบพรรคไหน เราก็จะไม่เคืองใดๆ เพราะมันเป็นเรื่องเสรีภาพในการเลือกศรัทธา ของแต่ละคน
https://www.prachachat.net/economy/news-288639
แต่ไม่เคยมีใครออกมาเต้น หรือ บอกเลยว่า
ผักผลไม้ราคาถูกที่เข้ามาจากจีน มีอะไรปนเปื้อนหรือเกินบ้าง
จนมาถึงทุกวันนี้ เราน่าจะเห็นกันแล้ว
ว่ารัฐราชการแบบไทยๆเรา มีอะไรให้เราเชื่อถือกันได้บ้าง
มีใครเชื่อบ้างว่า ผักผลไม้จากจีน ตรวจอย่างดีแล้วทุกตัว
และไม่เคยมีอะไรปนเปื้อน หรือพบแล้วมีการรีเจ็คของเกลี้ยงทุกครั้ง
????????
ใครมีเงินเหลือพอ ขอท้าให้ส่งแล็บเอกชนตรวจดู
เพื่อที่จะรู้ว่า ผักผลไม้สวยๆถูกๆ ที่เราซื้อให้ลูกหลานกินนั้น
แท้จริงแล้วดีเลวอย่างไร ???
ใครไม่มีเงิน ลองเอาผลไม้พวกนี้วางทิ้งไว้
ดูอายุการเก็บ ดูแพทเทิร์นการเน่าเสีย น่าจะบอกอะไรได้บางอย่าง !!!
อย่าลืมว่า แม้แต่ในประเทศที่มีกติกา มีรัฐบาลที่เข้มแข็งกว่าเรา ยังไม่ใช่ว่า จะต่อกรกับจีนได้ ในเมื่อ วัฒนธรรม เงินจ้างผีโม่แป้งได้
ได้กระจายตัวไปทั่ว ....
ตัวอย่างเช่น กระเทียม ซึ่งจีนมีอัตราส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งของโลก แม้จะมีหลักฐานที่มีคนเสี่ยงตาย ซ่อนกล้องเข้าไปถ่ายในคุก ให้เห็นการใช้แรงงานผู้ต้องขังแบบแรงงานทาส ให้ทำกระเทียมปอกเปลือก ... กัดเปลือกกันจนฟันกร่อน ... แต่อเมริกา ยังคงไม่สามารถแบนจีนได้ เนื่องจาก สิทธิในการฟ้องร้องและแบน อยู่กับสมาคมผู้ปลูกและค้ากระเทียมของอเมริกา แต่ประธานสมาคม คือหุ้นส่วนบริษัทผู้นำเข้า และ นอมินี จีน รายใหญ่ที่สุดของอเมริกา !!! ... เรื่องอื้อฉาวนี้ ยังคงครหากันมาจนทุกวันนี้
เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตกเป็นตลาดซื้อสินค้า ของจีนมานานแล้ว เนื่องด้วยเป็นภูมิภาคที่มีคอรัปชั่นสูง มีคนฐานะไม่ดีที่ต้องการของถูกเยอะ มีมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภค ตามมาตรฐานของประเทศเกือบด้อยพัฒนา ... รวมทั้งจีนยังมีคู่ค้า และ นอมินี เป็นบริษัทใหญ่ในแต่ละประเทศแถบนี้ ที่มีผลตอบแทนต่อกันสูง และจีนได้อาศัยช่องทางผ่านบริษัทเหล่านี้ ในการเข้ามีอิทธิพลเหนือตลาด ไปจนถึงเหนือรัฐบาลและการเมือง ซึ่งนับเป็นเงินลงทุนเพื่อครอบงำตลาดที่น้อยมาก
นอกจากนี้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเป็นประเทศที่นำเข้าเพื่อฟอกสินค้า เปลี่ยนแหล่งที่มา เปลี่ยนแหล่งผลิต เปลี่ยนเอกสาร เพื่อผ่านสินค้าสารพัดอย่าง ทั้งเข้าและออกจีนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ... ยกตัวอย่างเช่น น้ำผึ้ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก ... แต่เกือบทั้งหมดของน้ำผึ้งจากจีน ถูกพบว่ามีการผสมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานอื่นๆเป็นจำนวนมากอย่างกว้างขวาง ประเทศตะวันตกจึงแบนการนำเข้าน้ำผึ้งทั้งหมด ... และในทันทีทันใด มูลค่าการส่งออกสินค้าที่ถูกแบนเช่นน้ำผึ้ง จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้่ไปยังประเทศตะวันตก ก็จะพุ่งลิ่วๆยิ่งกว่ามีอินฟินิตี้สโตน ... เช่น มาเลเซีย สามารถส่งออกน้ำผึ้งซึ่งอ้างว่าได้ผลิตเอง ได้เป็นปริมาณถึงกว่า 1,000 เท่า ของที่มาเลเซียมีปัญญาผลิตได้จริงจากทั้งประเทศ !!!
ประเทศเรา ลูกหลานเรา คุณภาพชีวิตเรา
ไม่มีใครจริงใจดูแลไปกว่าตัวเราเอง ...
ฝุ่นควันที่เป็นปัญหาวันนี้ เป็นสิ่งที่มองเห็น ดมได้ และส่งผลไว
สารตกค้างในผักผลไม้ และอาหาร เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและตายผ่อนส่ง
เราต้องรอให้สถานการเลวร้ายระดับไหนหรือ จึงจะตื่นมาเต้นกัน ???
อยากอยู่โดยทำไม่รู้ไม่ชี้ ว่าไม่เห็นคือไม่มี ... หรือไม่เกี่ยวกับเรา
หรือเริ่มสร้างมาตรฐานของสังคมและประเทศที่ดีให้กับตัวเอง
และลูกหลาน ... ทางเลือกล้วนอยู่ที่เรา
จงเลือก และ รับผลของการเลือกนั้น !!!
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ระหว่างต่อแถวซื้อชานม ที่ตึก AIA รัชดาตอน 4 โมงเย็น
เจอพนักงานออฟฟิศ 3 คน สั่งหลายแก้วเพราะที่ออฟฟิศฝากๆกันมา
ได้ยินประโยคนึงที่ว่า “มึงจะ 5 โมงแล้ว วันนี้กูยังไม่ได้ทำงานอะไรเลย” ผู้ชายอีกคนก็บอกว่า “เมิงไม่ทำอะไร วันนี้เมิงเป็นสายตรวจเฟซบุ๊คไปแล้ว กูเห็นเมิงไปคอมเมนท์พี่เค้ามา” ผู้หญิงอีกคนที่อวบๆหน่อยก็บอกว่า “กูก็ยังไม่ได้เริ่มทำงานเลยเหมือนกัน วันนี้เข้ามามีแต่ถามกูเรื่องดอกไม้กับหนุ่มเมื่อคืน และตอนเที่ยงกูรออาหารนาน แล้วนี่ไปส่งของให้ลูกค้าที่สั่งของ เสร็จก็ 4 โมงแล้วเมิง”
สามคน ดูเฮฮาดี ชีวิตชิวดีด้วย
บริษัทใหญ่อ่ะบอกเลย 🤔
เสียไป 500,000 ยักไหล่ ใช้หนี้ไป ใช้หมดแล้ว แต่ได้ประสบการณ์ การคบคนทำธุรกิจร่วมกัน เริ่มใหม่ สู้ต่อไป บางคนว่ามันน้อย แต่ไม่น้อยสำหรับพี่ ที่เอาเงินจากบัตรเครดิต มาลงทุน ตูไม่ได้มาจากศูนย์ ตูมาจากติดลบจ้า ✌️✌️✌️✌️✌️✌️
"It's really hard for women to understand what being rejected over and over feels like.
Society tells men they need to find a mate. But it's worse than that, if men sit around and wait it's more likely than not you will stay alone as a man since no one else will ever make that move for you.
It's easy to get into your 30's without having a date if you're a less attractive guy. If you picked a college major without any females in it it's almost an average experience. Once the feedback loop is established and you get it stuck in your head there is something wrong with you, it's like you can't participate anymore. Just the thought of going on a date and being found out as a "fraud" and reaffirming your worthlessness is enough to keep one from trying.
So then some men just are completely sure of the fact that they're an inconvenience to women. They view themselves as vile and try to hide from all girls since they feel so unworthy. Now at this point these guys are avoiding females altogether as a favor to them. This makes their chances even lower of ever finding a mate and helps reinforce their feelings of worthlessness.
It's just easier to off yourself at some point in this cycle."
เคยนะ แต่กว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้งมันก็เป็นปี
ความรู้สึกที่เจอเขาครั้งนั้น ต่างคนต่างเข้ามาคุยกันเหมือนเราไม่เคยโกดกันเลย
ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่สถานะเราไม่ได้คบกันแล้วแค่นั้น
ต่างคนต่างรู้สึกดีต่อกันแต่เราไม่สามารถกลับไปคบกันได้อีกแล้ว แค่นั้นที่เราคิดเหมือนกัน
ราวๆปี 2535 ผมจบมหาลัยในเทอมที่ 1 เพราะอาจารย์เสถียรปัดเกรดให้ 2 รอบจาก 1.9946 -> 1.995 ->2.00
โดยปรกติคนที่จบในเทอม 1 ราวๆเดือนตุลาคม จะไม่สามารถรับปริญญาในเดือน ธันวาคมได้ เนื่องจากมหาลัยจะต้องเตรียมการหลายขึ้นตอน ทั้งการพิมพ์ปริญญาบัตร การพิมพ์รายนามบัณฑิต เพื่อให้คณบดีอ่านเบิกตัวต่อหน้าพระที่นั่ง
บังเอิญว่าในปีนั้นผมเป็นคนเขียนโปรแกรม sorting รายชื่อและพิมพ์ออก พิมพ์ดีด olympia (หรือ laser printer ตัวแรกของหมาลัย หว่า) เรื่อง sorting นี่มีประเด็นคือ สมัยนั้นยังไม่มีการ sorting ภาษาไทยตามราชบัณฑิต ผมเลยเขียนระบบ index ขึ้นมาใหม่บน foxpro 2.0 ซึ่งสามารถสร้าง custom function มาใช้ทำ index ได้ ใช้แนวคิดจากการ sorting ภาษาไทยชอง dbase III+ ที่เขียนด้วย assembly ของท่าน อ.ยืน นอกจาก sorting ภาษาไทยตามพจนานุกรมแล้ว คนที่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1,2 จะต้องเรียงตามเกรด เกรดเยอะรับก่อน
เมื่อทำระบบเสร็จทดสอบใช้งานผมก็ถาม อ.สุกิจจา ผอ.สำนักทะเบียนว่า ผมใส่ชื่อผมรับในปีนี้ได้ไหม ท่านบอกเออว่ะ ไม่ได้ระเบียบห้ามไว้นะ เมื่อเช็ครายชื่อผู้จบการศึกษาว่าผมได้รับอนุมัติแล้ว รายชื่อผมก็ไหลมาอยู่ใน ฐานข้อมูลคนที่จะเข้ารับปริญญาทันที
ปัญหาใหญ่ของผมคือ ผมไม่มีชุดครุย เนื่องจาก มหาลัยขอนแก่น จะมีร้านจาก กทม. มาทำการวัดตัวบัณฑิต ราวๆกลางปี เสร็จไปหมดแล้ว เลยไม่รู้จะเริ่มที่ไหน เลยนั่งรถทัวร์มากทม. และไปที่ศึกษาภัณฑ์นี่แหละ ผมจำไม่ได้ว่าผมสั่งตัดที่นี่หรือเขาแนะนำร้านให้ แต่ประเด็นผมได้ครุยที่มีแถบสี แจ่มกว่าเพื่อนนิดหน่อย เท่ห์สุด
เล่ามาซะยาวจะบอกแค่ว่า เคยไปทีนึง จบข่าว
ธนาธร เคืองแค้นไทยไปทำไม
คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรค “อนาคตใหม่” ต้องการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ตามอุดมการณ์ของเขา จึงเอาแต่พาประชาชนให้โกรธประเทศนี้ คุณค่อนขอดความเป็นไทย ทำจนเป็น “ฮ้อบบี้” แต่ทั่วทั้งพรรคจะรู้กันไหม ตระหนักกันไหมว่า เมืองไทยนั้น ถึงจะมีจุดอ่อนข้อบกพร่อง แต่ก็ “ดี” ที่สุดแห่งหนึ่ง
ถ้าเมืองไทยไม่ดีคนอย่างคุณธนาธรและครอบครัวซึ่งมาจากเมืองจีนไม่นาน จะร่ำรวยขึ้นเป็นหมื่นล้าน ได้หรือ คุณธนาธร สนุกกับการวิพากษ์คุณลักณะของชาติ กับ สถาบัน-ประเพณีไทย อย่างโหดร้าย ขนาด “ยิ้มสยาม” คุณก็ไปแปลว่าไม่มีจุดยืน ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน
ในวันนี้ คุณธนาธรก็ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคและขึ้นเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีได้ ในประเทศที่คุณเองพร่ำบ่นว่า “เหลื่อมล้ำ” รับไม่ได้ ความสำเร็จ “จึงรุ่งเรืองกิจ” ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้ในไม่กี่ชั่วคน ไม่ถึงร้อยปีที่บรรพบุรุษคุณมาจากจีน ลองคิดดู หากบรรพชน “เสื่อใบหมอนใบ” ของพวกคุณไปขึ้นฝั่งที่อินโดนีเซียหรือมลายู หรือกัมพูชาแทนที่จะมาสยาม คุณจะมีชีวิต ฐานะ และบทบาท สูงเด่นอย่างทุกวันนี้ได้หรือ ? ไม่แน่นะครับ อาจถูกฆ่าทิ้งเสียที่อินโดนีเซีย ถูกเขมรแดงกวาดไปตายในป่าเขา หรือ พ่อแม่คุณ จะถูกรัฐมาเลเชียสั่งให้เป็นพลเมืองขั้นสอง ไม่ใช่ “ภูมิบุตร”ผู้สูงส่ง ก็เป็นได้
พระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณกาลท่านเป็น “พญาจักรพรรดิราช” ตามหลักนี้ท่านไม่มีแต่พสกนิกรที่เป็นไทยแท้เท่านั้น ท่านทรงโปรดปรานคนต่างชาติต่างภาษาให้เข้ามารวมอยู่ในพระบรมโพธิสมพารเดียวกัน ทรงเมตตาให้ความร่มเย็นเป็นธรรมแก่ราษฎรทุกชาติทุกพันธ์ ทุกศาสนาและ ทรงอนุญาตให้พวกเขาอยู่ในภาษาและวิถีชีวิตแบบเดิมได้ แต่ถ้าใครจะผสมกลมกลืนเป็นไทยด้วย ก็มิทรงรังเกียจเดียดฉันท์ จะเป็น มอญ พม่า เขมร ลาว มาก่อน จะเป็นแขก ฝรั่ง จีน มาแต่เดิม ก็ทรงชุบเลี้ยง จะเห็นได้ว่าเสนาบดี รัฐมนตรี อธิบดี เอกอัครราชทูต หรือ นับสูงขึ้น แม้กระทั่งองคมนตรี จนถึง ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน หลายท่าน ก็ไม่ใช่ “ไทยแท้” ในสายเลือด แต่ท่านเลือกจะเป็น “ไทยแท้” ที่หัวใจ สนองพระเดชพระคุณสุดชีวิต ชั่วชีวิต
คุณธนาธร คุณเก่ง-กล้า จะมีอนาคตทางการเมืองอย่างแน่นอน ผมขออวยพร ผมเองก็มิต่างจากคุณมากนักทางชาติพันธ์ คุณทักษิณเรียกผมอย่างดูแคลนว่า “ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง” แต่ที่จริงเขาเองก็”ซินตึ๊ง” เช่นกัน พวกเรานั้นเป็น “ไทยผสม” เป็น “ไทยปนจีน” (ผมเองยังปนไทลื้อ-ไทยวน อีกด้วย) แต่ไม่มีแผ่นดินไหนที่จะให้โอกาสคนพันธ์อื่น คนพันธ์ใหม่ ได้ดีกว่าที่นี้ ..ประเทศไทย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
มันเป็นอนิเมะที่ประสบความสำเร็จในภาพรวมน่ะ แผ่นขายได้เกิน 3000 เป็นเมะนิยมในตปท. คันนะขายดี คุ้มพอทีเกียวอนิจะจับมาทำต่อ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รูปที่คุณเห็นอยู่นี้ ไม่ใช่คนจริงๆ
โพสเรื่อง Game Theory ของผมเมื่อสัปดาห์ก่อนได้รับความสนใจเยอะมาก เลยอยากจะเอาเทคนิค AI ที่เอา Game Theory มาเล่าสู่กันฟัง
มีเทคนิคทาง Machine Learning ตัวนึงที่ได้รับความนิยมมากในปีที่ผ่านมาชื่อว่า GAN (Generative Adversarial Networks) เป็นอัลกอริทึ่มในการสร้าง "ของปลอม" เลียนแบบ "ของจริง"
เช่น สร้างหน้าคนปลอมๆ ที่ถอดแบบมาจากตัวอย่างหน้าคนจริงๆ นับล้านๆ หน้า
หรือ สร้างกราฟหุ้นปลอมๆ สร้างวิวปลอมๆ สร้างเพลง สร้างนิยาย ฯลฯ
ของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นนี้ จะมีลักษณะคล้ายของจริงจนคุณแทบจะแยกไม่ออก (ดูรูปตัวอย่างในโพส)
หลักการทำงานของ GAN ใช้เทคนิคทาง Game Theory เข้ามาช่วย เริ่มจาก GAN จะมีผู้เล่นสองตัว (agent) ตัวแรกคือ Generator ตัวที่สองคือ Discriminator
ยกตัวอย่างการสร้างหน้าคนปลอม
เกมของ GAN จะเป็น zero-sum non cooperative game หมายถึง ผู้เล่นจะไม่มีการได้ประโยชน์ร่วมกันแบบ win-win (คนนึงได้ คนนึงต้องเสีย)
เริ่มจาก Generator จะถูกฝึกด้วยการให้เรียนรู้หน้าคนเป็นจำนวนล้านๆ หน้า แล้วหลังจากนั้นลองสุ่มสร้างหน้าคนแบบมั่วๆ ขึ้นมา แล้วให้ Discriminator จับผิด ว่านี่เป็นของปลอมหรือของจริง
Discriminator ก็จะถูกฝึกด้วยการให้เรียนรู้หน้าคนจำนวนมากเช่นกัน แล้วมาจับผิด Generator หาก Discriminator จับผิดสำเร็จ Generator จะกลับไปสุ่มสร้างภาพใหม่แล้วให้ Discriminator จับผิดใหม่อีกรอบ วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เกมจะจบก็เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ Discriminator จับผิด Generator ไม่สำเร็จ
(ในทางทฤษฏีเกมก็คือ Nash Equilibrium นั่นเอง คือ action ของผู้เล่นหนึ่ง ไม่ทำให้อีกผู้เล่นเปลี่ยน action นั่นคือจุดสมดุลของเกม)
ด้วย GAN ทำให้เกิดนวัตกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็น Deepfake คือการเอาหน้าคนนึงไปแทนที่หน้าของอีกคน ที่ถูกนำไปใช้ตัดต่อคลิปโป้ดาราบ้าง ตัดต่อคลิปทรัมป์พูด speech ปลอมๆ บ้าง
ใครสนใจลองเข้าไปเล่นเว็บนี้ดู หน้าคนทุกหน้าที่เกิดจากเว็บนี้ ไม่มีตัวตนจริงๆ ทั้งสิ้น เป็นหน้าที่ถูก GAN สร้างขึ้นมา https://www.thispersondoesnotexist.com
ในอนาคตเราจะเห็น GAN รวมถึงวิวัฒนาการใหม่ๆ ที่ต่อยอดจาก GAN สร้างนวัตกรรมออกมาอีกมาก ทั้งดีและร้าย
และนี่เป็นอีกตัวอย่างของการใช้ทฤษฏีเกมในการสร้างสรรค์นวัตกรรมครับ
10 คำพูดที่ฟรีแลนซ์ เด็กจบใหม่หรือเด็กฝึกงานที่ได้ฟัง แล้วควรระวังเป็นอย่างยิ่ง พร้อมคำแปล
1. เรามาเติบโตไปด้วยกันนะ = [กูโต แต่มึงก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ]
2. ตอนนี้พี่ให้ได้แค่นี้ก่อน ไว้งานหน้าค่อยเอามากกว่านี้ = [จ้างมึงรอบนี้รอบเดียว เดี๋ยวรอบหน้ากูก็หาคนใหม่]
3. เราทำด้วยใจ ด้วยอุดมการณ์ เรื่องเงินไม่สำคัญ = [เบิกลูกค้ามาเต็มแล้ว มาหาแรงงานฟรีๆ]
4. ช่วยๆ กันหน่อย เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว = [ข้าวมือละสองร้อย แลกงานสองหมื่น]
5. งานนี้เร่งนิดนึง พี่ไม่ไหวจริงๆ = [ลูกค้าเร่งมา พร้อมค่าจ้างแพง แต่ค่าแรงเท่าเดิม]
6. ที่นี่เราอยู่เป็นครอบครัว = [อย่าหวังก้าวหน้าในสายงาน เพราะก็เป็นได้แค่ลูกหลานน้อง ไม่มีพัฒนา]
7. งานนี้จะได้เก็บเป็นพอร์ท = [ไม่มีค่าแรง อย่าคิดหวัง]
8. เพื่อคอนเนคชันในอนาคตนะ = [กูจะเอาหน้า]
9. ของานเป็นตัวอย่างก่อน แล้วค่อยดูต่อไป = [เอางานตัวอย่างไปใช้แล้วไม่จ่ายแน่นอน]
10. เราไม่ได้ขาย เราเป็นผู้สร้างเครือข่าย = [ขายตรง MLM แน่นอน 100%]
ร้อยละ 90 ถ้าเจอประโยคแบบนี้ รีบหนีให้ไกล
ยังมีหน่วยงานบริษัทธุรกิจมากมายที่ดีกว่ารอคุณอยู่ ถ้าคุณมีความสามารถ
องค์กรมืออาชีพ ที่พูดกันตรงไปตรงมา หาคนมีคุณภาพเสมอ
ขอให้นักศึกษาและมิตรสหายรุ่นน้องทุกคนโชคดี ในวาระจบการศึกษาและหางานใหม่ประจำปีนี้
มึงลองไม่มีเงินดูสิชีวิตนี้มึงจะสำคัญกับใครได้บ้าง
ดีลนึงที่สนุกสนานในสหรัฐ คือการสร้างสำนักงานใหม่ของบริษัท Amazon
เท้าความก่อนว่าสำนักงาน Amazon ในเมือง Seattle
จ้างงานและจ่ายภาษีเยอะมาก เป็นหน้าเป็นตาของเมือง
หน้าตาเหมือนบ้านต้นไม้ฟิวชั่วกระสวยอวกาศ
เมื่อต้องการขยับขยาย จึงเปิดประมูล
โดยให้นายกเทศมนตรีของแต่ละเมือง
เสนอว่ามีดีลอะไรจูงใจให้เราไปตั้งสำนักงานไว้กับคุณ
จาก 20 เมืองที่ใส่ซองเข้ามา ผู้ชนะก็คือนครนิวยอร์ก
ที่จะให้ Amazon ไปอยู่ในย่าน Queens
แลกกับการลดหย่อนภาษีประมาณ 1 แสนล้านบาท
ถึงตอนนี้คนก็เดือดดาล สื่อปั่นว่าเป็นการลดภาษีคนรวย
รังแกร้านโชห่วย เอื้อกันยิ่งกว่าธงฟ้าประชารัฐ
Amazon เห็นท่าไม่ดีก็เลยบอกว่า ช่างแม่ม ไม่ไปละ
ถามว่าตอนนี้คนนิวยอร์กได้เงิน 1 แสนล้านกลับมาไหม
1 แสนล้าน คือภาษีที่นครนิวยอร์กจะลดหย่อนให้
แต่ภาษีที่ Amazon จะจ่ายตลอด 25 ปี จะมากกว่า 8 แสนล้านบาท
ไม่นับการจ้างงานอีก 25,000 ตำแหน่ง ซึ่งมีเงินเดือนเฉลี่ย 4-5 แสนบาท
ก่อให้เกิด ภงด.บุคคล และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอีกมหาศาล
จริงอยู่ ที่ Amazon ซึ่งรวยล้นฟ้าอยู่แล้ว จะรวยขึ้นอีก 1 แสนล้าน
แต่นี่คือธรรมชาติของอำนาจต่อรองของบริษัทใหญ่
แต่ชาวนิวยอร์ก 20 ล้านคน ที่ตอนแรกจะรวยขึ้นอีกคนละ 40,000
ตอนนี้ปิ้วไปแล้ว ที่เจ็บคือตามผลโพลล์ คนนิวยอร์กมากกว่า 50%
เห็นด้วยกับดีลนี้ มีแค่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง
พยายามโหนให้มันเป็นเรื่องของ คนรวย vs คนจน
อันนี้คือปัญหา financial illiteracy (ความขาดการศึกษาทางการเงิน)
ธรรมชาติของการเมืองเป็น zero-sum
ธรรมชาติของการค้าเป็น win-win
เรื่องAmazonในนิวยอร์กมันไม่มีเหี้ยอะไรเลย แค่นักการเมืองSocialistจากพรรคDemocrat(นำโดยAOCขวัญใจร่านรุ่นใหม่)ร่านแตกอยากเอาหน้าแค่นั้นเอง
แล้วที่มึงพูดๆกันเรื่องเศรษฐศาสตร์เนี่ย ถามจริงว่าถ้ารู้เรื่องเศรษฐศาสตร์จะมาเป็นSocialistไหม ว่างๆลองไปอ่านนโยบายGreen New DealของอีAOCดู เพ้อฝันยิ่งกว่ากำแพงทรัมป์
>>894 พูดยังกะeconomicsมันวิเศษตายห่าแหละ เรื่องมันเกิดก่อนแล้วถึงจะได้statเอาไปmodelเดาไปเรื่อย ถ้าพวกมึงเก่งกันจริงๆจะระบบมันระเบิดกันตั้งหลายรอบ พอมันระเบิดบ่อยๆเข้าก็บอกว่าเป็นธรรมชาติของระบบ นี่ไม่เรียกปัญญาอ่อนแล้วจะเรียกอะไร ก็แต่หาข้อให้นายทุนล้มกระดานเอาตังล่ะวะ คนข้างล่างซวยยกเซ็ต ซักวันพวกมึงจะโดนพวกกูรุมฆ่า มีเงินก็อยู่ไม่ได้ไอ้สัส
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>896 มึงอ่ะปัญญาอ่อน economicsมันมีสิ่งที่เรียกว่าinput lag ที่ป้อนคำสั่งไปแล้วมันจะใช้เวลานานกว่าจะเกิดผลเพราะความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจ คนหนึ่งคนเป็นตัวแปรหนึ่งตัว ทั้งระบบมีกี่ตัวแปรก็นับไป
เอาตรรกะโง่ๆของมึงมาเทียบ หมอก็ไม่เก่งดิ ต้องรอให้เกิดโรคก่อนแล้วถึงรักษา ถ้าเก่งจริงทำไมหมอไม่ทำวัคซีนเทพกันทุกโรคล่ะ โด่ว
ตำรวจก็ไม่เก่งดิ ต้องรอให้เกิดอาชญากรรมก่อนแล้วค่อยไปจับคนร้าย เก่งจริงต้องจับคนก่อนก่อเหตดิ
ช่างต่างๆก็ไม่เก่ง ต้องให้พังก่อนแล้วค่อยซ่อม
อนึ่ง ทุกอาชีพที่กล่าวมาทั้งหมดข้างบนมีมาตรการป้องกันปัญหาเกิดขึ้นหมด economicsก็มี ทำไมรัฐบาลถึงมีนโยบายBail outธนาคาร ทำไมรัฐบาลถึงมีReserve ทำไมรัฐบาลถึงไม่พิมพ์เงินออกมาเยอะๆ etc. นโยบายพวกนี้มาจากeconomistทั้งนั้น
รอฆ่าไปเหอะ หนูโง่ เรียนมาน้อยยังจะอวดฉลาด ถ้ายังไม่พัฒนาตัวเองก็ดิ้นแพร่ดๆรอผีไอ้มาร์กซ์มาช่วยมึงอยู่ตรงนั้นต่อไป
ทุกวันนี้ก็ไม่ต่างกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์นี่ครับ เผ่ามังกรฟ้ามีอำนาจล้นฟ้าตรวจสอบไม่ได้
นโยบายรัฐสวัสดิการนี่ปัญญาชนน่าจะทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดียัดเยียดให้กับชาวบ้านอ่ะครับ แท้จริงแล้วชาวบ้านเขาอาจอยากจะได้นายกทักษิณมากกว่ารัฐสวัสดิการ มีใครไปถามเขาจริงๆ จังแบบนี้หรือยัง
หรือเฉพาะหน้าเขาก็อาจเอา 300 500 มากกว่าเอารัฐสวัสดิการอ่ะครับ
ไปเจอรูปเบื้องหลัง โฆษณาวันทัชมา
วงการถ่ายหนังนี่เชื่อไม่ได้จริงๆ
ในฐานะคนที่เรียนมาทางประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่และทำอาชีพเลี้ยงปากท้องด้วยการสอนและทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่มาบ้าง รู้สึกหงุดหงิดที่สุดกับการยกจีนขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เป็นหลักฐานสนับสนุน หรือเป็นข้ออ้างใน 2 กรณีหลักซึ่งเห็นได้ใน Facebook บ่อยครั้งดังต่อไปนี้
1. จะบ้าคลั่งเรียกร้องประชาธิปไตยไปถึงไหน จีนเป็นเผด็จการยังเจริญมาเป็นคู่แข่งอเมริกาได้เลย
อธิบาย: จีนไม่ได้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองโลกดังเช่นที่เราเห็นกันในข่าวอย่างทุกวันนี้มาแต่ไหนแต่ไรนะคะ จริงๆ จีนเพิ่งเปิดประเทศสู่ระบบตลาดโลกเมื่อปี ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) นี้เอง ก่อนหน้านั้นจีนก็ผ่านการเป็นสังคมนิยมแบบเหมาอิสต์ซ้ายจัดที่เรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม มายาวนานถึง 10 ปีเต็ม เป็นภาวะโกลาหลวุ่นวาย มีการล่าแม่มด ล้างสมอง และใช้ความรุนแรงปราบปรามกำจัดผู้เห็นต่างจนน่าจะมีคนตายไปเป็นหลัก 10 ล้าน (แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดเพราะรัฐบาลจีนปิดกั้นข้อมูล) และแม้เมื่อมาถึงทุกวันนี้จีนรวยแล้วจีนก็ยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ถ้าคุณเกิดในแผ่นดินจีนแล้วบังเอิญเป็นลูกนักธุรกิจผู้มีอันจะกินในเซี่ยงไฮ้ก็เป็นบุญของคุณ และคุณก็คงจะไม่คิดว่าเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นเรื่องเลวร้าย แต่ถ้าคุณเกิดเป็นมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียงคุณก็คงจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะคุณต้องโดนจับไปปรับทัศนคติด้วยวิธีการรุนแรงป่าเถื่อน หรือถ้าคุณเป็นเกษตรกรยากจนหรือแรงงานในภาคอุตสาหกรรม คุณก็อาจจะมีคุณภาพชีวิตที่แย่มากและจะต่อสู้เรียกร้องอะไรกับรัฐก็ไม่ได้เพราะรัฐเป็นเผด็จการ หรือจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากประชาคมโลกก็ยากอีก เพราะรัฐปิดกั้นควบคุมสื่อและข้อมูลข่าวสารทั้งที่จะเข้าและออกจากประเทศอย่างเข้มข้น คุณไม่น่าจะอยากให้ประเทศเราเป็นแบบจีนหรอกถ้าคิดดูดีๆ และโดยพื้นฐานที่สุดคนที่จะเรียกร้องให้ประเทศเราเป็นแบบจีนก็ควรจะระวัง ม.112 ด้วยนะคะ เพราะจะเป็นแบบจีนได้ต้องไม่มีสถาบันกษัตริย์ค่ะ
2. ประธานเหมาจงเจริญ เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ เราจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน คนรุ่นใหม่ต้องเป็นผู้นำในการสร้างสังคมใหม่ที่เท่าเทียมกัน แล้วโพสต์มีมปฏิวัติวัฒนธรรมกับแฟชั่นเรดการ์ดรัวๆ
อธิบาย: อันนี้พบมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าที่มีการศึกษาหน่อยและอยากจะคิดว่าตัวเอง “ก้าวหน้า” ขอความกรุณาจากก้นบึ้งของหัวใจว่าอย่า romanticize ทั้งเรดการ์ดและการปฏิวัติวัฒนธรรม เพราะไม่ว่ามันจะตั้งต้นด้วยความตั้งใจดีสักเท่าไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วมันก็ลงเอยด้วยการเป็นลัทธิบูชาตัวบุคคล และก็เหมือนดังเช่นทุกสถานการณ์ที่ลัทธิบูชาตัวบุคคลเข้ามาครอบงำการเมือง ไม่ว่าจะเป็นระบอบหรืออุดมการณ์ใดๆ ทั้งฟาสซิสต์ คอมมิวนิสต์ เหมาอิสต์ และระบอบกษัตริย์มันก็ล้วนแล้วแต่สร้างความฉิบหายวายป่วงให้สังคมนั้นๆ โดยสิ้นเชิงทั้งสิ้น สังคมไทยก็บอบช้ำมามากแล้วจากลัทธิบูชาตัวบุคคล ได้โปรดอย่าสนับสนุนแนวโน้มนั้นหรือทำให้ใครเข้าใจผิดว่ามันเท่อีกเลย ความฉิบหายมันเกิดกับสังคมจีนอยู่สิบปีเต็ม คนตายเป็นหลักสิบล้าน มันไม่เท่หรอกค่ะ มัน sick และ ignorant
ทั้งวิดิโอ ทั้งคอมเมนต์ไม่ได้พูดเลยแฮะว่าตัวเดียวที่ทำให้เวเนล่มจมคือSocialism
วิดิโอเน้นหนักไปที่Populism ในขณะที่คอมเมนต์ไปทางด่าลุง ด่าอเมริกา ด่าทักกี้
หรือเพราะว่าคนไทยเรารู้จักแต่คอมมี่ แต่ไม่รู้จักSocialism
https://www.youtube.com/watch?v=Yr1z7oRMLKo&ab_channel=MinuteVideosThailand
ลองเล่นดู โอ้ว์ ไอคิวกรู134 เลยเหรอ ถ้าจัดตามระดับไอคิวเกือบอัจฉริยะแล้ว อัจฉริยะคือ 140+
แต่เรื่องตัวเลขกรูง่อยมากเลยว่ะ แต่เก่งเรื่องอื่น มิน่าดนตรีก็เรียนรู้เร็ว หรือ ประวัติศาสตร์ การเมือง วิทย์ หรือ สมองประมวลเส้นทางถนนยังกะกูเกิลแม๊พ แต่เรื่องคำนวนกูนี่ง่อยสัส ได้ดาวเดียว5555+
140 ขึ้นไป อัจฉริยะ ฉลาดมากที่สุด (very superior)
120 - 139 ฉลาดมาก (superior)
110 - 119 ฉลาดกว่าระดับปกติ (higher average)
90 - 109 ฉลาดปานกลาง หรือระดับปกติ (average)
80 -89 ต่ำกว่าปกติ (low average)
ล้มเจ้า = คนชั่ว?
ผมชื่นชอบการมีอยู่ของระบบกษัตริย์ เรียกได้ว่าหลงไหลเลยดีกว่า ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับเจ้าตั้งแต่เด็ก จำได้ทุกราชสกุล รู้จักและอธิบายได้ทุกอิศริยยศ ใครลูกใคร พระมเหสีเทวีองค์ไหนผมจำได้หมด รู้จักเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกตระกูล ผมใช้คำราชาศัพท์คล่องแคล่วและเคยแข่งแฟนพันธุ์แท้รัชกาลที่ 6 ด้วย
เรียกได้ว่าถ้ายกชื่อเจ้านายมา 2 พระองค์ ผมสามารถเชื่อมโยงได้เลยว่าทรงเป็นพระประยูรญาติกันทางไหน
ผมมั่นใจว่าความรู้เรื่องราชวงศ์จักรีผมไม่แพ้ใคร
แต่ถึงผมจะชื่นชอบระบอบกษัตริย์ ผมก็ไม่เคยคิดว่าคนที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์คือคนชั่วคนเลว
ในโลกนี้ บางประเทศเป็นประชาธิปไตย บางประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ บางประเทศเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หลายประเทศถึงแม้จะมีกษัตริย์แต่แนวคิดกษัตริย์ของแต่ละประเทศก็ยังไม่เหมือนกันเลยสักประเทศ
อังกฤษก็แบบนึง ญี่ปุ่นก็แบบนึง ตองกาก็แบบนึง และก็ไม่มีประเทศไหนเหมือนไทยสักนิด
แต่ตอนนี้เรากลับเอาความเป็นไทยไปตัดสิน “ความเป็นมนุษย์” ของคนอื่นที่มีความคิดเห็นต่างจากเรา
ไปตัดสินคนอื่นว่าชั่ว ว่าเลวโดยไม่เคยคิดที่จะรับฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
เอาความคิดแบบไทยๆ เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ใครคิดต่างจากนี้คือคนไม่รักเจ้าทั้งหมดและสมควรถูกตัดหัวเสียบประจานประหาร 7 ชั่วโคตร ไม่สนด้วยว่าคิดต่างมากหรือต่างน้อย
โดยลืมไปว่า ถ้าเอาคำว่า “ประเทศ” ออกไป แท้ที่จริงทุกคนคือ “มนุษย์บนโลกเดียวกัน” และยังเป็นมนุษย์โลกที่มีความเชื่อหลากหลายด้วย
นี่กะจะให้ใครที่ไม่รักเจ้าแบบไทย ก็คือคนชั่วหมดงั้นหรือ?
แถมในประวัติศาสตร์ ทุกประเทศก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองกันหมด ในสมัยหนึ่งระบอบหนึ่งก็ดี แต่ในสมัยหนึ่งระบอบนี้กลับใช้ไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่มีระบบไหนดีหรือเลวในตัวมันเองหรอก
แต่มันอยู่ที่ว่า ในประเทศนั้นระบอบไหนเป็นฝ่ายชนะต่างหาก
และยิ่งกว่านั้น ไม่ว่าประเทศใดจะปกครองแบบไหนก็ตาม คนในประเทศเองก็ยังมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ชอบและไม่ชอบ ก็เพราะทุกคนคือ “มนุษย์” ไง มนุษย์ที่มีความหลากหลายทางความคิด
เขามีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์เชื่อ และมีสิทธิ์อภิปรายชี้แจงเหตุผลได้ ซึ่งถ้าเราเปิดใจยอมรับ เอาข้อดีข้อเสียมาปรับปรุงแก้ไข ระบอบที่มีอยู่ก็จะมั่นคงแข็งแรงขึ้นไปอีก
แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือการที่คนไทยบางกลุ่มกลับเอาเรื่องการรักเจ้าไม่รักเจ้ามาดิสเครดิตทางการเมือง ใส่ร้ายป้ายสีและปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังกัน
ผมว่า ถ้ายกเอาอัตตาออกไป คนที่โหนเจ้าเพื่อมาใส่ร้ายคนอื่นนี่แหละ...
คือคนชั่วในฐานะความเป็น “มนุษย์” อย่างแท้จริง
การปฎิวัติ2475 เกิดขึ้นเพราะ กระแสเศรษฐกิจตกต่ำ ทั่วโลก นี่คือภายนอก แต่ภายในก็มีปัญหา ปัญญาชนได้เรียนมาจากต่างประเทศ กลับต้องมาอยู่ในระบบที่ไม่ให้แสดงความคิดเห็น และใช้ความรู้ ทั้งทหาร ทั้งพลเมือง ทั้งประชาชน จึงรวมตัวกันปฎิวัติ 2475 ในนามคณะราษฎร ซึ่งแบ่งเป็นสาม กลุ่มใหญ่ คือ สายพลเรือนสังคมนิยม สายทหาร และสายเจ้านาย
การรัฐประหารครั้งแรกของไทย ต่างจากครั้งหลังๆ
เพราะเป็นการรัฐประหารเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูฯ2475(เกิดความขัดแย้งกับนายกที่ ฝ่ายเจ้านายแต่งตั้งมา) ไม่ใช่รัฐประหารเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญเหมือนสมัยหลัง
จอมพล ป. หนึ่งในคณะราษฎร ได้อำนาจหลังมีบทบาทเด่นในการปราบ กบฎบวรเดช ซึ่งนำโดยเจ้านาย
หลังจากนั้น ฝ่ายเจ้าหลายคนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ
พอสงครามโลกครั้งที่2จบลง จอมพล ป. ถูกมองว่าเข้าร่วมกับญี่ปุ่น ทรยศชาติ ปรีดีพนมยงค์ หนึ่งในคณะราฎ ได้หน้าแทน เพราะก่อตั้งเสรีไทย นี่คือความขัดแย้งหลัก ในคณะราษฎร
กลุ่มอนุรักษ์นิยม กลับมามีอำนาจหลัง รัฐประหาร2490 การสวรรคตของ ร8. ถูกพรรค ประชาธิปัตย์ ใช้ใส่ความว่า ปรีดี ต้องรับผิดชอบ ปรีดีจึงถูกทำลาย ออกไปนอกประเทศ
จอมพล ป. ถูกเชิญให้มาเป็นนายก แต่ไร้อำนาจกำลังทหารเหมือนเก่า
การทะเลาะเบาะแว้งกันเองของ สองผู้นำคณะราษฎร คือจุดเสื่อมของ ฝ่ายเสรี ประชาธิปไตยไทย
หลังการรัฐประหาร 2500 จอมพล จอมพลสฤษดิ์ ทำเพราะบอกว่า การเลือกตั้ง สมัยนั้นสกปรก เพราะ พรรคของ จอมพล ป. ชนะ. "ปฎิรูปก่อนเลือกตั้ง" มีคนพูดมาในยุคนั้นแล้วครับ ไม่ใช่เพิ่งมาอ้างในยุคเรา นักศึกษาในยุคที่ไร้internet ในยุคนั้นก็หลงเชื่อคำของจอมพลสฤษดิ์ ไปร่วมมือกันโจมตี จอมพล ป.
หลังการรัฐประหาร 2500 จอมพล ป. ต้องออกไปนอกประเทศ และอยู่ที่ญี่ปุ่นจนหมดอายุขัย นี่คือจุดจบของคณะราษฎร และหลังจากนั้น ประชาธิปไตยไทยก็ค่อยๆถูกทำลายเรื่อยมา วาทกรรม เหยียดหยาม ประชาธิปไตยเริ่มถูกผลิตขึ้น
อนึ่ง ก่อน จะมาถึง2500 มันคือยุคสงครามเย็น อเมริกา ไม่ชอบที่ จอมพล ป. กับฝ่ายสังคมนิยมของปรีดี แสดงความเห็นใจ ฝ่ายสังคมนิยม เช่นจีน เวียดนาม แต่ จอมพลสฤษดิ์ ยินดี รับใช้อเมริกา ถึงแม้ว่าต่อหน้าสื่อ จะพูดด่าอเมริกา แต่ลับหลังนี่ ทั้งเงิน ทั้งอาวุธ จากCIA ไหลมาท่วม ฝ่าย คอนเซอร์เวทีฟ ในไทย จึงฟื้นฟูอำนาจ เพราะอเมริกาต้องการเอาไว้ใช้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และนี่คือที่มา ของสนามบินอู่ตะเภาที่เอาไว้ไปทิ้งระเบิดเพื่อนบ้านเราเอง
พอสงครามเย็นจบ อเมริกาถอนกำลังไป ประเทศไทยก็ค่อยๆ หันหน้าจากวิทยาศาสตร์ไปหาไสยศาสตร์
จากที่เคยมีหนังแนวๆอย่าง กาเหล่าที่บางเพลง สมศรี422R โคลนนิ่ง เราก็ไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้นอีก
จากที่เคยเชื่อมั่นในสมัยใหม่ เสรีนิยม เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เราก็วนเวียนกับการรัฐประหาร ไม่รู้จบสิ้น เพราะ อะไร เท่านี้น่าจะรู้คำตอบแล้วนะครับ
เรื่องราวที่ใกล้ปัจจุบันที่สุด สำคัญที่สุด อย่างประวัติศาสตร์ ช่วง2475 - 2516 กลับไม่ได้รับความสนใจ อีกทั้งไม่เคยพูดถึง เหมือนไม่มีตัวตน กลับไปพูดถึงแต่ยุคสุโขมัย-อยุธยา
จุดประสงค์จริงๆของพรรคประชาธิปัตย์ คือทำลายประชาธิปไตย ไม่ใช่ส่งเสริม เป็นการเล่นละครอย่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย แม้กระทั่งชื่อพรรค ว่าประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตยเลยสักนิดเดียว ประชาธิปไตยจะถูกอ้างถึงจริงๆจากพรรคนี้ก็ต่อเมื่อมีทหารบางคนไม่อยู่ในโอวาท หลังจากนั้น พรรคนี้จะทำทุกอย่าง ตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่เปลือกนอก
พรรคประชาธิปัตย์ คือพรรค อนุรักษณ์นิยม ฝ่ายขวา และได้ประโยชน์เสมอจากการรัฐประหาร เป็นนักแสดงละคร ที่ต้องแสดงเพื่อหลอกเอาใจชาติตะวันตก ไม่ได้อยากแสดงจริงๆ สิ่งที่พรรคนี้เก่งจริงๆคือ การเป็นนักพูดจนลิงหลับ พูดเก่ง แต่ไม่มีนโยบายอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีความคิดริเริ่ม เพราะจะริเริ่มไม่ได้ มันต้องมีคนสั่งเบื้องหลัง
ตอนนี้โลกเรากำลังอยู่ในภาวะที่ทุนนิยมกำลังจนแผลงฤทธิ์อีกครั้ง นั้นคือความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนรวยคนน ที่ห่างออกไปเรื่อยๆ และขอย้ำว่า "ไม่มีกลไกในตัวมันเองใดๆทั้งสิ้น" ของระบบทุนนิยมที่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำ นี้ ชนชั้นกลาง จะถูกทำลายไปเรื่อยๆ คือจะต้องกลายเป็นคนจน ไม่ก็คนรวย และนี่คือที่มาว่าทำไม ฝ่ายขวาจัดถึงได้กระแสกลับมาอีกครั้ง และพวกฝรั่งผิวขาวถึงพูดหาแต่ hitler
ย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ความเหลื่อมล้ำนี่ก็มหาศาลเหมือนกัน แต่จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ความจริงก็คือ สงครามโลกทั้งสองครั้งต่างหากที่ช่วยแก้ไขความเหลื่อมล้ำ เพราะรัฐบาลตั้งเก็บภาษีคนรวยอย่างหนัก และจัดสวัสดิการสูง แต่พอหลังจากนั้นเป็นตั้งมา เมื่อไม่มีสงคราม หากรัฐใดมีภาษีสูง เอกชนก็หนีไปลงทุนประเทศอื่น ผลลัพธ์ก็คือ ทุกประเทศแข่งันลดภาษีเอาใจนักลงทุน ยิ่งเมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์จบสิ้นไปแล้วหลังสงครามเย็น ฝ่ายทุนนิยมยิ่งไม่มีอะไรต้องเกรงใจใครอีกต่อไป
ไม่มีพรรคการเมืองไหนในไทยพูดเรื่องนี้หรือจะแก้เรื่องนี้อย่างจริงจังเท่าพรรคอนาคตใหม่ ที่ก่อตั้งโดยนายทุนอิสระ พรรคประชาธิปัตย์ คือพรรคนายทุนอนุรักษณ์นิยม ฝ่ายขวา ไม่เคยเห็นหัวประชาชนอยู่แล้ว ฝ่ายทหารที่เกาะกินกับคนพวกนี้ก็ไม่ต่างกัน ทักสินก็คือนายทุนที่ไม่เคยศึกษาประชาธิปไตย แต่ธนาธรไม่ใช่ เขาคือนายทุน ที่ศึกษาการเมืองมาอย่างทะลุปรุโปร่ง
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ทำใมกองเชียร์พรรคนี้มีแต่พวกเบียวๆ นะ
คือผมมาย้อนนั่งฟังเพลง "หนักแผ่นดิน" ตามที่ท่่าน ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์เนี่ย
คือ มันเข้าตัวท่านนายพลทั้งหลายทุกท่อนเนื้อร้องเลยอ่ะครับ ทั้ง
เห็นไทยเป็นทาส (ทหารเกณฑ์ตัดหญ้าแก้ผ้าลุยโคลนรับใช้นายแถมโดนยึดเงินเดือนหลวง)
ฝังทำกินกอบโกยสินไทยไป (สมบัติเป็นร้อยล้านพันล้านรับราชการจนตายก็ไม่มีทางได้)
เหยียดคนไทยเป็นทาส (ไม่ยอมให้เลิกเกณฑ์ทหารไปรับใช้)
ยุยงปลุกปั่นไทยด้วยกันให้แตกกระจาย (สมรู้ร่วมคิดกับทั้งพันธมิตร และสุเทพ ตั้ง กปปส. สารภาพลงข่าว ปาร์ตี้ชุดพรางหลัง รปห.)
ปลุกระดมมวลชนวุ่นวาย หวังคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง (ส่งทั้งหน่วยซีลมาคุ้มกันพุทธอิสระ เปิด IO 2.4 และทีมโซเชียลใส่ร้ายคนไทยด้วยกัน)
หลงชมชาติอื่น ไทยด้วยกันยืนข่มเหง (ยิ้มหวานทำตามจีน ขึ้นภาษีคนไทยทุกหย่อมหญ้า)
ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารไทยกันเอง (ซื้ออาวุธเรือดำน้ำเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้าน คอมมิชชั่นเท่าไร)
คนใดขายตนขายชาติ (ให้สัมปทานเช่าที่ดิน 99 ปี EEC ลดภาษี 13 ปี ยกเว้น VAT อีก)
ฯลฯ
ดังนั้น ผมเห็นด้วยกับท่าน ผบ.ทบ.อย่างสุดใจครับ ว่า
"หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน" จริงๆ
ท่าน ผบ.ทบ.ชี้แนะถูกต้องมองเห็นปัญหาประเทศยาวไกลจริงๆ นับถือครับ
ใครมีโปรแกรมทำซับคาราโอเกะมั่งอ่ะ เพจคาราโอเกะชั้นใต้ดินน่าจะลองใส่ซับดูนะ เข้ากั๊น เข้ากัน
ลุงสนามหลวง หายไปไหน ใครรู้บ้าง (ไม่ผิดห้อง)
หมุดคณะราษฎร์หายไปไหน? ใครรู้บ้าง
ป้าสมจิตรหายไปไหน? ใครรู้บ้าง
ทั้งตัวมันและพ่อมันที่ตายไปแล้ว หนักแผ่นดินทั้งคู่
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
อยากเจอพี่ค่ะ อยากพิสูจน์ว่าของพี่แน่นหนาจริงมั๊ย?
#มิตรสหายท่านเดียวกัน
การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเกมระหว่าง "พ่อของฟ้า" VS อ.อเนก
เพื่อนผมบอกว่า "อเนกพูดอะไรของแม่ง โง่ชิบหาย ขัดกับทุกอย่างที่ตัวเองเคยสอน เสียดายที่หลงอ่านตำราที่คนแบบนี้เขียนมา"
แต่ถ้าเราพิจารณาให้ดี อ.อเนก ไม่ได้โง่ขนาดนั้น แกแค่ทำในสิ่งที่
รู้ว่าทำแล้วได้ประโยชน์สูงสุดในเกมส์นี้
อย่างทฤษฎีที่ผมเคยเสนอไปว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็นสองปีก เอาที่เขาเรียกตัวเองคือ "ฝ่ายผู้รักชาติ" กับ "ฝ่ายประชาธิปไตย" เอาเข้าใจง่ายๆ คือสลิ่มกับแดง อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะดีกรีไปสุดทางขนาดไหน
ในการลงคะแนนครั้งนี้ คนจะเลือกข้างก่อนว่าจะอยู่ข้างไหน จากนั้นค่อยเลือกพรรค
พรรคอย่างเพื่อไทย มีฐานแฟนคลับที่แน่นอน แฟนคลับกลุ่มนี้ไม่มีทางไปเลือกพรรคฝั่งสลิ่ม คนที่อยู่เฉดสลิ่มก็ไม่มีทางเลือกเพื่อไทย ยกเว้นจะคอนเวิร์ด "ตาสว่าง" เสียก่อน
อย่างไรก็ตาม อนาคตใหม่ มีลักษณะพิเศษซึ่งต่างจากเพื่อไทย คือเป็นพรรคที่ดึงคนประเภทที่ไม่สนใจการเมือง คิดว่านักการเมืองเลว ซึ่งอยู่กลางๆค่อนไปทางสลิ่มได้
คิดแบบการตลาด อนาคตใหม่ไปแย่งฐานลูกค้าของพรรคฝ่ายสลิ่ม อย่าง ปชป. ACT พปชร.
ดังนั้นฝ่ายสลิ่มจำเป็นต้องป้องกันการย้ายค่ายของฐานเสียงพวกนี้ วิธีที่ง่ายที่สุดคือพยายามผลักธนาธรให้เป็นควา*แดง ซึ่งสลิ่มไม่มีทางเลือก
ACT เป็นพรรค กปปส. คำพูดของ อเนก ก็เป็นสิ่งที่ฐานสมาชิกอยากฟัง ฟังก์ชั่นของมันคือการปลุก กปปส. ที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้น ออกมาจากศูนย์ปฏิบัติธรรม และพร้อมจะกู้โลกอีกหน
move ของ อ.อเนก กำไรมากๆ คิดว่าอาทิตย์ที่แล้ว มีใครรู้จักบ้างว่า อเนกเป็นใคร? มีพรรค ACT อะไรนี่ด้วยเหรอ
การตอบโต้กลับไปกลับมาระหว่าง อเนก กับ ด้อมฟ้า สร้างการรับรู้ที่มีต่อพรรค ACT ถึงมันจะอยู่ในลักษณะตั้งรับ คือแค่กระตุ้นกลุ่มสมาชิกเดิมให้ตื่นขึ้น ไม่ได้สร้างสมาชิกใหม่ได้เพิ่ม แต่ก็เป็นคะแนนด้านบวกของ ACT
ในทางเดียวกัน ฝ่ายอนาคตใหม่ (Future Forward Party FFP) ก็ได้กำไรจากการตั้งรับการโจมตีของอเนก ด้อมฟ้าแข็งแกร่งขึ้น ได้แย่งชิงพื้นที่สื่อ และได้สร้างการรับรู้ที่มีต่อ FFP (ติ่งกับโอตะมันก็เหมือนแป้งบะหมี่อ่ะ ยิ่งด่ายิ่งนวดยิ่งแน่น)
เป็นการโจมตีกันที่ผลท้ายสุดแล้วเป็น win-win condition ในตลาดการเมือง ทั้ง FFP และ ACT ซึ่งเป็นพรรครองสำหรับเกมนี้ได้ทั้งพื้นที่สื่อและผู้สนับสนุนเพิ่มทั้งคู่ ประมาณเล่นโกะแล้วเมื่ออีกฝ่ายรับ เราตอบโต้ แล้วเติบโตจากกลุ่มเล็กเป็นกลุ่มใหญ่ทั้งสองฝ่าย
คำถามคือนับแต้มจริงๆแล้ว ฝ่ายไหนโกยแต้มได้เยอะกว่ากัน?
ผมเชื่อว่า FFP ค่อนข้างได้เปรียบ
เพราะ ACT เป็นการได้คะแนนเชิงรับ คือปลุกคะแนนเก่าของตัวเองกลับมา ซึ่งผมเชื่อว่าถึงไม่ทำอะไรเลย พอถึงวันเลือกตั้งอย่างไรพวกนี้ก็จะออกมาจากศูนย์ปฏิบัติธรรมแบบงงๆ เหมือนมาจากปี 2557 ถามเพื่อนว่าต้องเลือกใคร แล้วไปกาให้ลุงตู่อยู่ดี
แต่ FFP ดึงคะแนนที่ควรจะเป็นของฝ่ายตรงข้ามมา
วินาทีนี้เมื่อ ทษช. ยังไงก็น่าจะรอดยาก ชัยชนะของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" อยู่ที่ว่า FFP กับ เสรีรวมไทย ได้คะแนนเยอะขนาดไหน เนื่องจากเพื่อไทยส่งไม่ครบทุกเขต และน่าจะยากมากที่จะได้ปาร์ตีลิสม์เพราะจากกฏิกาของรัฐธรรมนูญนี้ (ส่วนประชาชาตินั้นมีคะแนนที่แน่นอนไม่เพิ่มไม่ลด)
ความหวือหว่าของเกมส์ฝ่ายเพื่อไทยอยู่ที่จะถ่ายคะแนนให้ FFP กับ เสรีรวมไทยยังไงให้พอดี และจะเดินเกมส์ยังไงให้ไม่เสี่ยงสะดุดอะไรเลย
.
.
.
ในสัปดาห์นี้ผมเดาว่าจะย้ายจากพรรครองตีกัน เป็นเกมส์ ทหาร VS เพื่อไทย ในเรื่องงบทหาร
วิธีคิดเหมือนเดิม คือฝ่ายทหารใช้วิธีปลุกสลิ่มฮาร์ทคอร์ให้ตื่นขึ้นมา และสร้างความไม่พอใจในฝ่ายขวาจัด
แต่งบทหารเนี่ย มันไม่ทำให้ใครได้ประโยชน์เลยนอกจากนายพล ดังนั้นเมื่อพิจารณาดีๆในเชิงการเมืองเลือกตั้งมันเป็น Move ที่ยิ่งเดินยิ่งช่วยโฆษณาให้ฝั่งตรงข้ามว่า "จะลดงบทหารนะ" เป็น thank you move
พวกนักการเมืองเพื่อไทยเห็นแล้วว่าเป็นโอกาส ทุกคนแย่งกันออกสื่อตอบโต้เกาะประเด็นนี้กันใหญ่
เดี๋ยวพรรคอื่นๆ จะต้องมาช่วยกระทืบชูนโยบายลดงบทหารขอแต้มด้วยแน่นอน
ยกเว้นจะบิ้วท์มาเพื่อชวนนายพลรัฐประหารอ่ะนะครับ อาจจะได้อยู่
ป.ล. เอ้อ แต่วิธีด่าสาดใส่ตัวคนแบบนี้ของ อ.อเนก มันอาจผิดกฎของ กกต. ได้นะ ลองไปยื่นรอง กกต. ขำๆไว้ดิครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ช่วงนี้ผมกำลังเรียน approximation algorithms โดยใช้หนังสือเล่มซ้ายมือ จริง ๆ คือ lecture notes Volume I ใช้สอนที่ Stanford เมื่อปี 1991 อ่านแล้วสนุกดีครับ เสียดายไม่มี Volume II เพราะคนแต่งเสียชีวิตไปก่อน
ส่วนเล่มทางขวามือ เป็นเล่มที่คนใช้กันเป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบันครับ ผลิตขึ้นเมื่อปี 2003 ต่างจากอล่มแรกประมาณ 10 ปี เนื้อหาจึงมีส่วนที่ใหม่กว่าเยอะมาก ผมว่าเป็นส่วนใหญ่เลยแหละ ผมตั้งใจว่าจะอ่านเล่มนี้ให้จบก่อนจะหมดก่อนเปิดเทอมใหม่
Approximation algorithms มี applications เยอะไปหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา optimizations ทาง Internet หรือ Human Genome แต่ก็มีหลายส่วนที่เกี่ยวกับ ideas ล้วน ๆ
เท่าที่ผมทราบ ยังไม่มีการสอนวิชานี้อย่างเป็นทางการในมหาวิทยาลัยไทยครับ อาจเป็นเพราะเนื้อหาของมันต้องใช้คณิตศาสตร์มากพอสมควร เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จึงไม่ชอบหรืออาจรับไม่ไหว หรืออาจไม่ทราบเลยก็ได้ว่ามีความรู้อะไรแบบนี้อยู่ด้วยในโลกนี้ครับ คือ ถ้ารู้ว่ามี ก็อาจอยากเรียน
ผมตั้งใจจะเปิดวิชานี้นะ แต่วันก่อนคุยกับหัวหน้าภาค หัวหน้าภาคบอกว่าจะต้องสอนในวิชา selected topic ซึ่งผมไม่ชอบ เพราะใน transcript ไม่ได้บอกว่าเรียนอะไร ผมอยากจะให้มีชื่อวิชา approximation algorithms ไปเลย ต้องรอดู
ถ้าใครชอบอะไรแบบนี้ ผมสนใจรับนักศึกษาปริญญาเอกอยู่นะครับ มีทุนให้ด้วย ติดต่อมาได้
กูชักคิดจริงจังแล้วนะว่าติ่งพรรคส้มมีพวกเบียวๆ เยอะ
People mistakes statistics for rules.
It is just a guidelines.
While you should not assume you are special,
you also should not assume you are normal.
I am Chris.
I like Thai food, just like normal Thai people.
I like Thai music, just like normal Thai people.
Unlike normal Thai people, I hate some Thai traditions.
Unlike normal Thai people, I like programming.
Should I assume that I am special?
Should I assume that I am normal?
Should I assume that I am weird?
Nothing make sense.
In the end, I am "Chris".
Some of my behaviour, life condition and preferences, going to be somewhere at the top of the bell-curve.
Some of my behaviour, life condition and preferences, going to be somewhere at tail of the bell-curve.
So, I can use statistics to determine some of my life choices.
So, I cannot use statistics to determine some of my life choices.
Then what?
Know yourself.
You can read guideline, statistics and principles all you want.
Some of those can be applied to your lives.
Some of those can't.
But which?
Can anybody answer this question?
Can anyone create rules or principle for me?
Can anyone use statistics calculation to determine which statistics can be apply to me personally?
The answer lies within.
ถาม : อะไรคือเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับสัตว์
ตอบ : ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ดราม่า #อนาคตใหม่ คืองี้นะ ไหนๆ ก็ไหนๆละ จะเล่าที่มาให้ฟัง
1) ก่อนมันจะมาเป็นพรรคฟ้ารักพ่อที่ดูดีที่เธอเชียร์ได้ มันเริ่มมาจากความอยากทำ platform ทางการเมืองที่ใครๆ ก็มีส่วนร่วมได้และใส่ใจเรื่อง inclusive มากๆ เลยมีทั้งคนพิการ เด็ก คนอยู่ร่วมกับhiv คนทำงานสังคม มารวมกัน
2) ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นได้จากไฟจากความตั้งใจของคนที่จะทำล้วนๆ เป็นงารอาสาลงแรงฟรีส่วนมาก ก็ลากเข็นจนเปิดตัว อะไรต่างๆ ไปได้ จาก 24 ก็ถึงเวลาขยายเป็น 500 เพื่อให้ตั้งพรรคได้ตามกฎหมายระบุ
3) ช่วงขยายตัว คือมันเริ่มดังแล้วไง ตอนแรกอะไอเดียมันดูเป็นไปไม่ได้ พวกผู้ใหญ่ๆ เลยยังไม่ออกหน้ามาจับ พอดังแล้วคนเลยอยากเข้ามาช่วยเยอะขึ้น ความหลากหลายระดับ mass เข้ามา และก็เริ่มจัดระเบียบองค์กรให้มีฝ่าย มี พนง ประจำ มีกรรมการ เป็นเรื่องเป็นราวไป
4) ทีนี้พรรคมีคนสองแบบนะ อย่างแรกคือคนทำงานกึ่งอาสา (เช่นทีมนโยบาย ที่เค้าเอาเวลาไปทำมาหากินรวยกว่า) กับลูกจ้างพรรค (ที่อยู่ได้จากเงินเดือนของพรรคเช่นงานธุรการ งานสื่ออินเฮาส์)
5) คำว่าสมาชิกพรรค หมายถึง "ใครก็ได้" ที่สมัครสมาชิกพรรคเข้ามาทางเว็บไซต์ ทุกคนได้สิทธิทำ primary vote ในพรรคหมด ดังนั้รเวลาสื่อพูดถึงสมาชิกพรรค สถานะสมาชิกมันใครๆ ก็เป็นได้ มันไม่ต้องสอบเข้า
6) คือมันเริ่มมาจากความอยากให้ใครก็ได้มารวมกัน และมีกลไกกลางในการคานอำนาจ แต่ไปๆ มาๆ เข้าใจว่าปฏิบัติได้ยาก ทิศทางเลยจะเปลี่ยนจาก เปิดและขนาน ไปเป็นบนลงล่างตามสายงานเพื่อให้คุมได้รับมือกับดราม่าได้ ประเด็นคือ อีคนที่เข้ามาลงแรงเกือบฟรีเพราะการทำงานแนวขนาน ก็จะเซ็งกันไป
7) พรรคต้องยอมรับว่า "เริ่ม" กับ "ขยาย" ด้วยสปิริตคนละแบบจริงๆ คนที่เริ่มมันเริ่มแบบ อบากให้เป็นพรรคของคนธรรมดามากๆ พรรคที่ไม่ต้องเก๊ก เชื่อว่า ปชช แยกแยะได้ กับอีกสายคือจัดตั้ง คุมได้ และเชื่อในการทำให้พรรคมีความเป็นสถาบัน ซึ่งอย่างหลัง dominate พรรคอยู่
(มีต่อ)
(ต่อจาก >>933 )
8) พอสปิริตมันปรับไปสู่สปิริตองค์กร คนที่ก่อตั้งหรือเข้ามาด้วยสปิริตแบบที่เชื่อในความเป็นคนธรรมดา ก็โดนทอดทิ้งโดยการเติบโตของพรรคโดยพฤตินัย และ internal relationship มันก็ถูกรันโดยลูกจ้างพรรค ซึ่งพวกนี้โนสนโนแคร์ว่าใครจะทำอะไรมา เค้าสนแค่หน้าที่ตัวเองกับได้เงินเดือนต่อก่พอ
9) จึงไม่ต้องแปลกใจที่ transition ในช่วงนี้ของ #อนาคตใหม่ จะเขี่ยคนที่ดูมีปัญหาออกแบบเอาดีเข้าตัว และเอาใจแฟนคลับ คือฝ่ายที่ทำหน้าที่นี้เค้าก็ทำตามหน้าที่จริงๆ ให้ public relationship ดูดีที่สุด ถึงมันจะค้านสายตาคนเคยทำงานด้วยกันข้างในก็ตาม
10) และคิดว่า #อนาคตใหม่ ก็จะเจออะไรประมาณนี้ไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะเหลือสปิริตของคนประเภทเดียวกันอยู่ข้างในพรรค
สต้าทอัพเยอะแยะที่ไล่ผู้ก่อตั้งออกเพราะมันไปกันไม่ได้ตอนขยายองค์กร อยู่ที่เหตุผลในการไล่ มีความเป็นคนขนาดไหน แค่นั้น จบ
สุดท้ายจริงๆ : ทฤษฏีแก๊งกาณฑ์ เป็นหนึ่งในข้ออ้างที่ใช้ไล่เด็กๆ ออกแม้อีเด็กคนนั้นจะไม่เคยคุยกับกาณฑ์ก็ตาม :)
มันมีศาสตร์ของการไล่ออกอยู่ คนทำธุรกิจน่าจะคุ้นเคย แต่นักเรียนน่าจะไม่คุ้น
การเมืองเนี่ยมีหลายเวล มีทั้ง ประเทศ<>ประเทศ / พรรค<>พรรค / คน<>คน ในพรรคเดียวกัน ประมานนี้
คือนี่โอเคกับการปรับตัวเพื่อให้องค์กรอยู่รอด แต่นี่จะไม่โอเคกับมโนธรรมในการไล่ออก ด้วยเหตุผลที่เหี้ย หรือมีเหตุผลที่ดีได้มากกว่านี้
เพราะคนที่คุณไล่ออกไม่ใช่ลูกจ้าง และเขาเข้ามาลงแรงให้ฟรี ให้คุณเกาะเค้าดังฟรี ในวันที่คุณยังไม่มีอะไรเลย
ในวันที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ความน่าเชื่อถือหรือความเป็นไปได้ ไม่มีแม้แต่คนดังๆ คนมีเครดิตที่พร้อมออกหน้ามาสนับสนุน คนบ้าที่ออกหน้าเอาชื่อตัวเองมา "ตั้งพรรค" ทั้งที่ไม่รู้จักตื้นลึกหนาบางของคุณ มันต้องเป็นคนที่มีฝันหรือเหลืออดกับชีวิตของเค้าขนาดไหน
ลูกจ้างพรรคคงไม่เกท แต่เราคิดว่าคนที่ลงแรงมาด้วยกันเกท ทำไรได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง เป็น remark จากเราละกันว่าแอบดูการพัฒนาของพรรคอยู่
ทำพรรคมันยากตรงที่ มีลูกจ้าง กับมีอาสา แอดติจูดในการประคับประคองความสัมพันธ์ สื่อสารให้เข้าใจกัน สำคัญอะ ที่ผ่านมามันยุ่งมั้ง เลยไม่ทำ
ไว้ทวิตหน้าจะเล่าเรื่องฟังก์ชันของ ส่วนการเมือง (ฝ่ายเก็บคะแนนเสียงและทำหน้าที่ในสภา) กับส่วนบริหาร (หลังบ้านของฝ่ายแรก) ที่ต้องซิ้งกัน คือพรรคการเมืองเป็นองค์กรที่โครงสร้างไม่เหมือนบริษัท ไม่เหมือนเอนจีโอ สนุก
สรุป : พรรคอะจะไล่ใครออกก็ได้ แต่เหตุผลในการไล่ออกมันสะท้อนความ attitude ของทีมงานนาจา
สื่อสารไม่เหมาะสม จึงมีมติให้พักจากการเป็น representative ของพรรค = ได้
เป็นพวกเดียวกับที่ถูกไล่ออกไปก่อนหน้านี้ = เหี้ย
ไม่นับว่าไอ้ที่ถูกไล่ออกไปก่อนหน้านี้มันยังเรื่องไม่จบ มีพล็อตทวิสต์ได้อีกนะเค้าแค่ไม่พูดเพราะไม่อยากทำลายพรรคมากกว่านี้
ถ้าทีมงานมีปัญญา ก็ไม่ควรเอามาโยงกัน สื่อสารไม่เหมาะสม ก็สื่อสารไม่เหมาะสม อย่าเก๊กไปนอกเรื่อง มันตลก
จากที่ยังเมตตาเอ็นดู จะเป็นหมั่นไส้ละ
เอาจริงก็ยังแอบเชียร์อนาคตใหม่อยู่ เป็น love-hate relationship
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"จริงๆ ฝ่ายขวาไทยไม่ได้โง่ พวกเขาแค่อยู่ในภาวะที่ไม่ต้องใช้สติปัญญามานาน มันเลยไม่พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
คือนี่ซีเรียส ไปดูฝ่ายขวาในโลกตะวันตก มันมีพัฒนาการทางความคิดกว่าเยอะ (แม้ว่าฝ่ายซ้ายจะว่ายังไง) ซึ่งเหตผลคือมันก็อยู่ในสังคมที่มีการถกเถียงตลอด คือมันพูดโง่โดยสิ้นเชิงเลย พวกเดียวกันมันก็ไม่หนุน ไอเดียมันเลยพัฒนาไปเรื่อยๆ
ในด้านตรงข้าม สังคมไทยมันอยู่ใต้แนวคิด "อำนาจนิยมของผู้ใหญ่" (ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ศาสนาประจำชาติจะเป็นนิกาย "เถรวาท" หรือ วาทะของผู้ใหญ่) มาตลอด มันเลยทำให้คนแก่ออกมาพูดจาโง่ๆ ในมาตรฐานปัจจุบันได้อย่างไม่น่าละอาย
ผมถึงยืนยันตลอดว่า "ความขบถต่อผู้ใหญ่" แม่งสำคัญที่สุด มันไม่ใช่เรื่อย General แบบการเชิดชูเหตุผล แต่เราต้องเชิดชู (ไม่ใช่แค่ "ให้พื้นที่") คนที่ขบถอย่างมีเหตุผลเป็นพิเศษ และให้โอกาสคนที่ขบถอย่างโง่ๆ พัฒนาตัวเอง
พูดอีกแบบคือเราต้องทำให้ผุ้ที่ "มีอำนาจ" ในการควบคุมภาวะทางกายภาพของผู้อื่นมันไร้อำนาจ ด้วยการไม่ปฏิบัติตาม เท่านั้นเองจริงๆ
เพราะก็อย่างที่เห็น อำนาจแทบทั้งหมดในสังคมเราแม่งอยู่บนฐานของการเกรงใจยอมทำตามเท่านั้นเอง มันไม่ได้มีกลไกอื่นๆ หนุน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ฝั่งซ้ายถ้าได้อำนาจหรือได้เปลี่ยนแปลงจนเป็นที่ต้องการแล้ว ก็จะใช้อำนาจรักษามันไว้
พวกนี้ก็จะค่อยๆ กลายเป็นคอนเซอร์เวทีฟตามกรอบที่ตัวเองขีดไว้ จนกลายเป็นซ้าย
ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แล้วรับแบบสมัครใจ คงได้แต่ลูกคนจนๆไป ลูกคนรวยๆอย่าหวัง นี่หรือเท่าเทียมกัน #อนาคตดับ
เห็นสถานะมิตรท่านหนึ่งแล้วนึกบางอย่าง
ประมาณปีที่แล้วผมไปร่วมงาน How to give feed back ของ Thoughtwork ซึ่งก็มีกลยุทธ์และวิธีสื่อสารหลายอย่าง ได้ประโยชน์มากทีเดียว
แต่เบสิคอันนึงที่ผมจะบอก เรียกว่าพื้นกว่า 101 เลยก็ได้คือ
“In order to give a feedback, you need to listen to feedback”
ผมพบว่า ถ้าเราฟังคู่สนทนาก่อน ต่อให้เราให้ฟีดแบ็คไม่ค่อยถูกวิธี เขาก็มักจะฟังเรา กระบวนท่าไม่ถูกก็มักจะไม่ถือสามากมายนัก
ตรงข้าม ถ้าเราไม่ยอมฟังคู่สนทนา กระบวนท่าไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่
ไม่ได้บอกว่าถ้าเราฟังเขา เขาจะฟังเรา เราฟังเขา อาจจะฟังหรือไม่ฟังเราก็ได้
แต่ถ้าเราไม่ฟังเขา เขาไม่ฟังเราเกือบจะแน่นอน
และถ้าเราคิดว่าอีกฝั่งจะ Bullshiting เรา เสียเวลาฟัง ผมว่าคุณไม่ต้อง Feedback เขาหรอกครับ เสียเวลาพูด คนที่ไม่มีค่าพอที่เราจะฟัง ก็มิได้มีค่าพอที่เราจะสนทนาพูดจาด้วยเช่นกัน
ถ้าจะทำ one-way แนะนำเขียน อีเมล์ จดหมาย message จะง่ายกว่านะครับ สนทนาหนึ่งฝั่งมันครึ่งๆ กลางๆ หรือเรียกมา “รับคำสั่ง” ก็ได้ครับ ถ้าไม่ถนัดเขียน หรือสั่งไม่ได้ ก็ต่อรอง ยื่นข้อเสนอ ถามแค่ “ตกลงจะเอาหรือไม่เอา” แค่นี้พอ
BRIEF: เอกชัย หงส์กังวาน บุกไปกองทัพบก เปิดเพลง ‘ประเทศกูมี’ ให้ทหารฟัง ถูกยึดตุ๊กตาหมีที่ใช้จำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา
.
กระแสคัดค้านการเปิดเพลง ‘หนักแผ่นดิน’ ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดนี้ นักกิจกรรมทางการเมือง เอกชัย หงส์กังวาน ได้เดินทางไปหน้ากองบัญชาการกองทัพบก เพื่อเปิดเพลง ‘ประเทศกูมี’ โต้ตอบ ผบ.ทบ.
.
เฟซบุ๊กของนักข่าวสายทหาร วาสนา นาน่วม ระบุเอาไว้ว่า เอกชัยได้เดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพบก นอกจากเปิดเพลง ประเทศกูมี ที่ด้านหน้าแล้ว เขายังนำตุ๊กตาหมีมาจำลองแขวนคอจากเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519
.
อย่างไรก็ดี วาสนา รายงานด้วยว่า ระหว่างนั้นได้มีตำรวจเข้ามาห้ามเอกชัย พร้อมกับยึดตุ๊กตาหมี และเชิญตัวเอกชัยไปที่ สน.นางเลิ้ง
.
เพลงประเทศกูมีที่เอกชัย นำมาเปิด เป็นผลงานของแร็ปเปอร์กลุ่ม Rap Against Dictatorship (RAD) ซึ่งในบทเพลงพูดถึงปัญหาในประเทศไทยหลายยัง ทั้งสังคม การเมือง และจุดยืนของกองทัพที่เข้ามาฉีกรัฐธรรมนูญ
.
เอกชัย เป็นนักกิจกรรมและเคลื่อนไหวเรื่องทางการเมืองอยู่หลายครั้ง ก่อนหน้านี้เคยเคลื่อนไหวประท้วงรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากกรณีนาฬิกาหรูอยู่หลายครั้ง
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/WassanaJournalist/posts/2193168094074970
https://www.youtube.com/watch?v=VZvzvLiGUtw
https://prachatai.com/journal/2018/03/75718
#Brief #TheMATTER
ความเชื่อสาธารณะหลายอย่าง มันไม่หมดไปง่ายๆ หรอก ตราบใดก็ตามที่ยังมีคน reinforce ความเชื่อนั้นๆ ให้กับสาธารณะ ไปเรื่อยๆ .....
ความเชื่อสาธารณะเหล่านั้น ไม่ได้ผิดซะทีเดียว แต่มันมักจะเป็น "ปลายเหตุ" หรือ "มีกรณีที่มันถูกและเป็นแบบนั้น" หรือ "คิดง่ายๆ แล้วมันก็ใช่" คนก็เลยเชื่อกันง่าย
ไม่แปลกหรอก เป็นพื้นฐานปกติของความคิดและความเชื่อของคนด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างก็คือ การที่บอกว่า "บิล เกตส์, สตีฟ จ๊อบ, มาร์ค ซักฯ เรียนไม่จบ ก็ประสบความสำเร็จได้" ... ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาเลือกที่จะไม่เรียนต่อในมหาลัย ไม่ได้แปลว่าเรียนไม่จบ (คือเลือกที่จะเรียน แต่ไม่จบสักที หรือไม่สามารถจบได้)
และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย (ประชาธิปไตย การเมือง วิทยาศาสตร์ ไอที การศึกษา ฯลฯ)
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมได้ยินมานานแล้ว และทุกวันนี้ก็ยังมีคนคิดแบบนี้เชื่อแบบนี้อยู่ ก็คือ "วิศวะคอมฯ เรียนฮาร์ดแวร์ วิทยาคอม เรียนซอฟต์แวร์" (คนที่เชื่อแบบนี้และพูดแบบนี้ บางคนเป็นอาจารย์มหาลัยด้วยซ้ำไป) .... ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีความแตกต่างกันแบบนั้นเลยสักนิด
หลายที่ ก็ไม่ได้ชื่อต่างกัน เพราะมันต่างกันหรอกนะ .... แต่เป็นเรื่องการเมืองและผลประโยชน์หรือแม้แต่ระบบระเบียบในมหาลัยด้วยซ้ำไป (ยกตัวอย่างเช่น: คนที่อยากเปิดหลักสูตร เป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ ก็จะเปิด "วิศวะคอม" ไม่ได้ เพราะคณะวิศวะฯ จะโวย ในทางตรงข้ามก็เช่นกัน .... คนที่อยากเปิดอยู่คณะไหน ก็จะชื่อแบบคณะนั้นแหละ .... ส่วนวิชาพื้นฐานที่บอกว่าต้องเรียน หลายที่ก็มาจากระบบการเมืองและผลประโยชน์ของภาควิชาต่างๆ ในคณะนั้นๆ เอง)
ถ้าจะดูที่ปรัชญา มันก็ไม่ได้ต่างกันที่ความเป็นฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ แต่เป็นการศึกษาความจริงของธรรมชาติ ในเชิง computational (ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติของปัญหา ธรรมชาติของโครงสร้าง ธรรมชาติของข้อมูล .... และเราทำอะไรกับมันได้บ้าง) .... กับการสร้างของอย่างเป็นกิจลักษณะ (กระบวนการ การบริหารจัดการ รูปแบบการสร้าง ฯลฯ)
ตัวอย่าง เช่น "information" .... มองแบบ science ก็คือ ธรรมชาติของ information ตั้งแต่นิยามพื้นฐาน ไปจนถึงธรรมชาติของมันอันเกิดจากนิยามพื้นฐาน .... มองแบบ engineering ก็คือ กระบวนการประมวลผล เครื่องมือประมวลผล การสร้าง การเปลี่ยนแปลง การบริหารจัดการ pipeline ฯลฯ ....
อะไรแบบนี้แหละ
แต่นั่นล่ะครับ มันยากกว่าการคิดอะไรง่ายๆ ไปตามความเชื่อสาธารณะ (ที่เราอาจจะรู้สึกว่าเราถูกแล้ว เพราะคิดเหมือนกับคนอื่นที่คิดตามความเชื่อสาธารณะเหมือนกับเรา)
ตามข่าว #ดอมฟ้าปะทะคนแก่ตกยุค แล้วนึกถึงนิยายปัวโรต์เล่มโปรด One, Two, Buckle my Shoe
นิยายปี 1941 ของราชินีสืบสวนสอบสวนเล่มนี้มีประเด็นการเมืองมากกว่าเล่มอื่น ซ้ายหัวก้าวหน้า vs ขวาอนุรักษ์นิยม
เป็นที่รู้กันว่าคริสตีเป็นนักเขียนอนุรักษ์นิยม และนิยายนักสืบแบบของเธอ ก็เป็นฌองที่เอียงขวาตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ดี คริสตีแทบไม่เคยเขียนถึงการเมืองตรงๆ และแทบไม่เคยด่าฝ่ายซ้าย หรือโจมตีคอมมิวนิสต์ในงานเขียน
ใน One, Two, Buckly my Shoe หมอฟันของปัวโรต์โดนยิงตาย ใครคือฆาตกร
แน่นอนว่ายอดนักสืบต้องจับผู้ร้ายได้อยู่แล้ว ไม่สปอยรายละเอียดคดี แต่สิ่งที่ตรึงใจมากๆ คือคำพูดสุดท้ายของปัวโรต์ เมื่อเขายอมรับ "ความพ่ายแพ้" บางอย่าง
"The world is yours, the new heaven and the new earth. In your new world, my children, let there be freedom, and let there be pity...That is all I ask." / "โลกใบนี้เป็นของพวกเธอแล้ว ทั้งผืนพิภพและท้องนภา หนุ่มสาวเอ๋ย ขอให้โลกใบใหม่นี้มีอิสรภาพ และก็ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจกันด้วย...ผมขอพวกเธอเพียงเท่านี้"
ชอบความกำกวมของประโยคนี้ ปัวโรต์ (และคริสตี) ฉลาดเกินกว่าจะเชื่อว่าพวกเขาสามารถหยุดโลกไว้นิ่งๆ และสิ่งเดียวที่คนตกยุคเช่นพวกเขาจะทำได้คือ อวยชัยให้คนหนุ่มสาว และร้องขอความเห็นอกเห็นใจ
เราไม่ได้ต่อต้านฝ่ายขวาหรือผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคน ผู้ใหญ่ที่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง รับรู้ข้อจำกัดตัวเอง และไม่เคยหยุดเรียนรู้จะมีเสน่ห์สำหรับเราเสมอ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
รู้หมือไร่!!??
การที่มนุษย์คนนึงเกิดขึ้นมาบนโลกและตายจากไป ไม่สามารถทำให้แผ่นดินหนักขึ้นหรือเบาลงแต่อย่างไร
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น??
"การที่มนุษย์เราแต่ละคนเกิดขึ้นมาได้นั้นก็เพราะ พ่อกับแม่เราปัมปั๊มกันด้วยวิธีที่ไม่ปลอดภัย ในวันที่ไม่ปลอดภัยครับ
ไม่ได้มีนกกระสาคาบมาให้จากสวรรค์ หรือตกมาจากอวกาศ
พอปัมปั๊มกันแล้ว อสุจิของพ่อ ก็ ผสมกับ ไข่ของแม่ เกิดเป็นทารกขึ้นมา
ช่วงที่อยูในท้องทารกก็ได้ส่วนแบ่งอาหารจากที่แม่กินเข้าไปและนำสารอาหารไปสร้างให้ร่างกายมีขนาดใหญ่ขึ้น และพอคลอดออกมาก็กินด้วยปากตัวเอง ซึ่งอาหารที่กินเข้าไปนั้นก็มาจากพืชและสัตว์ที่อยู่บนโลกทั้งสิ้น
นอกจากนี้กากอาหารที่เหลือยังถูกขับถ่ายออกมาและกลับลงสู่ดินและน้ำ รวมถึงซากศพหลังจากตายไปแล้วด้วย
ดังนั้นในภาพรวมก็ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นหรือลดลง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
คนไทยจำนวนไม่น้อยยังมองว่าตนเองเป็นทาสอยู่
คิดว่าถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้เป็นเรื่องปรกติ
คิดว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทำหน้าที่ก็อย่าไปว่าเขา ว่าตัวเรากันเองดีกว่า
กกต.วางระบบห่วยให้เว็บล่มก็โทษว่าไม่รีบไปลงชื่อกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เอง
กรณีหลังยกตัวอย่างว่ากกตเป็นครู เราเป็นนักเรียนอีก
ทั้งที่จริงมันต้องยกตัวอย่างว่ากกตเป็นเลขา เราเป็นเจ้าของบริษัทต่างหาก
"ชามิมา เบกัม ถูกอังกฤษถอดสัญชาติ"
ชามิมา เบกัมเป็นชาวอังกฤษหนีมาสวามิภักดิ์ ISIS เมื่ออายุ 15 ปี เธอเคยมีลูกสองคนล้วนตายในสงคราม ปัจจุบันอายุ 19 ปี แล้ว วันเสาร์ที่ผ่านมาพึ่งคลอดลูกคนที่สามในค่ายลี้ภัยของเคิร์ด
เธอเป็นคนท้ายๆ ที่ยอมแพ้ต่อทัพเคิร์ดในช่วงปลายสงคราม และบอกว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อกลับอังกฤษให้ได้ รับปากว่าจะไม่เผยแพร่แนวคิดก่อการร้าย อยากใช้ชีวิตอย่างสงบกับลูก พวกเคิร์ดก็อยากให้เธอไปอังกฤษ เพราะไม่อยากเลี้ยง
อย่างไรก็กระทรวงมหาดไทยอังกฤษกลับพยายามทุกวิถีทางที่จะถอดสัญชาติของเธอ ไม่ยอมให้เธอกลับบ้าน โดยบอกว่า "คนที่ไปสวามิภักดิ์ ISIS นั้นแปลว่าเกลียดอังกฤษมาก เอากลับมาก็มีอันตราย" อนึ่งภายใต้กฎหมายอังกฤษนั้นรัฐบาลสามารถถอนสัญชาติของพลเมืองได้ หากบุคคลนั้นเป็นภัยต่อมวลชน "แต่ในการถอนสัญชาตินั้นต้องไม่ทำให้บุคคลดังกล่าว กลายเป็นคนไร้สัญชาติใดๆ (stateless)"
เอาแล้วสิ จะทำอย่างไรดีล่ะ? เพราะประเทศ ISIS ที่เบกัมไปสวามิภักดิ์นั้นไม่ได้รับการยอมรับจากชาวโลก ทำให้ถือว่าเธอไม่เคยเปลี่ยนสัญชาติมาก่อน
อังกฤษบอกว่าแม่ของเบกัมเป็นชาวบังคลาเทศนะ เบกัมก็เป็นบังคลาเทศไปสิ ...แต่เบกัมบอกว่าฉันไม่เคยไปบังคลาเทศมาก่อน ฉันไม่ใช่บังคลาเทศว้อย! (ส่วนรัฐบาลบังคลาเทศบอกว่าเราไม่รู้จักเธอ ไม่รับว้อย)
เบกัมแต่งกับสามีชาวดัตช์ (เนเธอแลนด์) ที่มาสวามิภักดิ์ ISIS ด้วย เธอจึงบอกว่าเธอจะพยายามขอเป็นพลเมืองดัตซ์ ซึ่งก็ดูไม่มีความหวังนัก...
สุดท้ายแล้วเบกัมร้องทุกข์ว่าการกระทำของอังกฤษนั้น ช่างอยุติธรรมต่ำช้าเสียนี่กระไร ที่พรากเธอออกจากสิทธิพลเมืองอันเป็นความชอบธรรมทางกฎหมาย (อังกฤษบอก ดูผลงานที่ผ่านมาของแกก่อนสิ!)
สำหรับลูกของเบกัมนั้นแตกต่างไป เพราะกฎหมายบอกว่าลูกของชาวอังกฤษที่เกิดขณะยังไม่ถูกถอดสัญชาตินั้นยังถือเป็นคนอังกฤษ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษยากที่จะถอนสัญชาติเด็กคนนี้เพราะเขาไม่เคยทำความผิด (อังกฤษบอก อะไรนะ เด็กอังกฤษมีที่ไหน นี่มันเด็กบังคลาเทศ!)
เอาละสิครับ สรุปเบกัมจะได้เป็นชาวอังกฤษหรือไม่ ลูกของเธอจะเป็นชาวอะไร จะเป็นชาวอังกฤษตามแม่? ชาวดัตช์ตามพ่อ? ชาวบังคลาเทศตามยาย? หรือชาวเคิร์ดตามพื้นที่เกิด? (แต่เคิร์ดก็ยังไม่ได้เป็นประเทศน่ะนะ)
...โนตว่าถึงตอนนี้เบกัมก็ยังไม่ได้ขอโทษแทน ISIS ที่ไปก่อการร้ายสังหารชาวอังกฤษ เธอเพียงบอกว่าเสียใจที่มีชาวอังกฤษบริสุทธิ์ตายจากการก่อการร้าย แต่นั่นก็ยุติธรรมดี เพราะพวกตะวันตกสามานย์ก็มาฆ่าคนบริสุทธิ์ในประเทศ ISIS เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นตามที่ผมบอกว่าคนที่ยอมแพ้ในช่วงนี้เป็นพวกฮาร์ดคอร์สุดๆ ครับ
สุดท้ายฝากลูกเพจคิดว่าควรทำอย่างไรกับเบกัมดี? จะเอากลับมารับโทษทัณฑ์ในอังกฤษ หรือจะปล่อยให้กลายเป็นบุคคลไร้รัฐ แล้วคงเฉาตายอยู่สักที่ในแดนเคิร์ด? แล้วลูกของเธอล่ะ?
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
If you choose Sanders over Warren, I will actually think you are sexist, yes.
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Wouldn’t choosing Warren over Sanders be antisemetic then?
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เหม็นพวกโม่งการเมืองจังครับ ไม่เข้าใจว่าเค้าจะลอกความคิดที่ได้อ่านจากเฟซหรือทวิตมาโพสซ้ำทำไม
ดูพวกเค้าไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเลยนะครับ
"สังคมสูงอายุ"
เราจะมีวิธีการรับมือกับสังคมสูงอายุอย่างไรดีนะ ...... ผมขอแชร์ความคิดส่วนตัว ว่าผมชอบสิ่งที่ญี่ปุ่นทำ
ถ้าใครไปญี่ปุ่น ลองสังเกตว่าเขามีการ "จ้างงานผู้สูงอายุ" มากมาย เป็นงานที่ "ไม่หนักมาก ไม่ต้องคิดมาก และได้ออกกำลังกาย" เป็นส่วนมาก
ตั้งแต่ที่สนามบิน จะเห็นว่าคนที่บริหารจัดการคิว (เรียกคนไปเข้าคิว) จะเป็นผู้สูงอายุเป็นส่วนมาก คนที่ประจำเครื่องอ่าน passport เป็นผู้สูงอายุทั้งนั้น คุณตาคุณยายได้เลยแหละ
เข้าร้านสะดวกซื้อ ก็มีคุณตาคุณยายทำงานเป็นแคชเชียร์เยอะแยะ
จากรูปนี่ คือคนที่ช่วยโบกรถ ตามสถานที่ท่องเที่ยว (อันนี้คือ Shirakawago) ก็เป็นคุณปู่คุณตากันแทบทั้งนั้นเลย ....
ได้ทำงาน ไม่ใช่รอรับการช่วยเหลืออย่างเดียว .... ได้ออกกำลังกาย ได้เจอเพื่อนฝูง มีสังคม .... และไม่ต้องเปลืองแรงงานของคนรุ่นใหม่ (เด็กๆ อายุน้อยๆ) ที่ทำอย่างอื่นได้ ไปทำงานพวกนี้ .... แล้วก็ได้ใช้สมอง ความคิด การตัดสินใจ ตามสมควร .... ช่วยเรื่องความจำได้อีกตะหาก
BRIEF: นายพลระดับสูงของจีน โดนจำคุกตลอดชีวิตและยึดทรัพย์สิน หลังถูกพบว่า ร่ำรวยแบบไม่มีที่มาที่ไป
.
มาตรการปราบคอร์รัปชั่นของจีน ขึ้นชื่อถึงความโหดและเข้มข้น ล่าสุดนี้ มีกรณีใหม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เมื่อนายพลระดับสูงรายหนึ่ง ถูกศาลทหารพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต และยึดทรัพย์สินทั้งหมด จากกรณีร่ำรวยแบบที่ชี้แจงให้ชัดเจนไม่ได้
.
ประเด็นคือ พลเอก ฝาง เฟิงฮุย ซึ่งเป็นอดีตเสนาธิการทหาร ฝ่ายเสนาธิการแห่งคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (CMC) ของจีน เพิ่งถูกศาลทหารตัดสินความผิดหลายอย่าง ส่วนหนึ่งคือ ศาลพบว่า นายพล ฝาง ทำความผิดฐานรับและเสนอสินบน ที่สำคัญคือ ยังครอบครองทรัพย์สินจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยแหล่งที่มาให้ชัดเจนไม่ได้
.
ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตให้กับพลเอก ฝาง รวมถึงยึดทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้ในตอนแรกทั้งหมด (ยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดว่าเยอะเท่าไหร่) และส่งคืนเข้ามายังหน่วยงานด้านการคลังส่วนกลาง
.
รัฐบาลจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง มีมาตรการเกี่ยวกับปราบคอร์รัปชั่นออกมาอย่างต่อเนื่อง มีข้อมูลที่พบว่า นับตั้งแต่ปี 2012 มีบุคลากรของกองทัพถูกดำเนินคดีไปแล้วกว่า 1.5 ล้านคนทั้งพลทหารชั้นผู้น้อย ตลอดจนทหารยศสูงในตำแหน่งบริหาร
.
อย่างไรก็ดี คำถามที่มักเกิดขึ้นเสมอคือ แล้วมาตรการปราบคอร์รัปชั่นแบบจีนนั้นจะเป็นโมเดลให้กับประเทศอื่นๆ (รวมถึงไทย) ได้แค่ไหน และวิธีการตามแบบของจีนมีข้อที่ต้องเป็นห่วงกันอย่างไรบ้าง?
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/…/chinas-former-military-chief-…
https://www.reuters.com/…/senior-chinese-general-jailed-for…
https://www.abc.net.au/…/chinese-general-jailed-fo…/10831672
#Brief #TheMATTER
ผมนั่งดูงานเขียนเก่าๆ ของตัวเองที่เขียนเกี่ยวกับสงครามซีเรีย พอเจอข่าวการตายของนายอนัส อัลบาชา แล้วสะท้อนใจ ตั้งแต่ติดตามข่าวสงครามซีเรียมา ยังไม่เคยอ่านเรื่องการตายคนๆ ไหนที่น่าเสียใจเท่านี้เลย เลยเอามาลงอีกครั้งนะครับ
::: ::: :::
"ตัวตลกแห่งอเลปโปถูกฆ่าตาย"
นายอนัส อัลบาชาเป็นนักสงคมสงเคราะห์ในเมืองอเลปโป ประเทศซีเรีย ตอนที่อเลปโปกลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญของสงครามซีเรียนั้น เขาเคยมีโอกาสหนีจากเมืองพร้อมพ่อแม่ แต่อนัสกลับเลือกที่จะรั้งอยู่ในเมืองเพื่อทำงานช่วยเหลือผู้คน
นอกจากงานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ แล้ว อนัสยังเอาสีมาเขียนหน้า แต่งตัวสีฉูดฉาด ใส่วิกอย่างตัวตลก แล้วออกไปแจกของขวัญ และเล่นสนุกกับเด็กๆ ที่ยังติดอยู่ในเมือง
แฟนๆ ตัวน้อยของอนัสขนานนามเขาว่า "ตัวตลกแห่งอเลปโป" ด้วยความรัก
เมื่อสมรภูมิอเลปโปนองเลือดมากขึ้น อนัสยังคงปลอบประโลมพวกเด็กๆ ในสถานการณ์ที่มืดมน และอันตรายที่สุด
จนกระทั่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ (29 พ.ย. 2016) อนัสได้ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดฆ่าตายขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ ทิ้งไว้เพียงเรื่องราวความพยายาม และความปรารถนาดีของคนตัวเล็กๆ ท่ามกลางความบ้าคลั่งในสงคราม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
Networking is actually very easy to build. Just hop from event to event and keep talking to people. Trust is much harder to achieve and it takes time for the heart to build one.
คุนเย็ดกับคุนวัฒนาจริงเหรอ555
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
จริงค่ะ
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
เหม็นพวกโม่งการเมืองจังครับ ไม่เข้าใจว่าเค้าจะลอกความคิดที่ได้อ่านจากเฟซหรือทวิตมาโพสซ้ำทำไม
ดูพวกเค้าไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตัวเองเลยนะครับ
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
"ฝ่ายนึงมี ประเทศกูมี ฝ่ายนึงมี หนักแผ่นดิน ...เพื่อความปรองดอง ก็ขอรวมเพลงว่า ##ประเทศกูมีคนหนักแผ่นดิน## ก็สิ้นเรื่อง"
#มิตรสหายท่านนึง
หนึ่งในหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผมไปเยอะมาก ..... และเป็นหนังสือที่ทำให้ผมตั้งคำถามเกี่ยวกับ "ชีวิต" ใหม่
เพราะมันฉีก paradigm ความคิดของ carbon-based lifeforms หรือ life as we know it, life as it is ... ลงไปถึงพื้นฐาน นิยาม ว่า ถ้ามันไม่มีพวกนี้อยู่เลย แล้ว "what is life?"
เรียกว่าลงไปตั้งแต่ first principle ....
เนื้อหาน่ะเหรอ ..... computation theory, information theory ...... self-replicating strings/codes ..... statistical physics & thermodynamics ... percolation theory ... complexity and complex systems .... self-organization to criticality .... fitness landscape .... learning .... information propagation .... evolution ...
เป็นหนึ่งในหนังสือเล่มที่อาจารย์ที่ research group ผม ให้ทำ group study กันในตอนที่ผมเรียนปีสี่ที่มหาลัย
อ่านยากนะ เต็มไปด้วย Math ..... (อธิบายทุกอย่างเป็น Math หมด) .... คือแต่ละเรื่องนี่อาจจะต้องไปอ่านหนังสือเฉพาะทางเพิ่มอีกหลายเล่มกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
คือมัน "intro" ก็จริง แต่มัน intro ด้วยการเอาเรื่อง fundamentals + advanced ของแต่ละเรื่องมาใช้พอควร
ก็อารมณ์เดียวกับ "intro to quantum algorithms" นี่ถึงจะเป็น intro ก็ต้องรู้เรื่อง computation theory, quantum computing, algorithms มาบ้าง ถ้าไม่รู้เลยก็ "ยาก" แหละ
ก็ยังคงเป็นหนังสือที่มีผลกับชีวิตผมมากๆ และมีผลกับความคิดของผมมากๆ จนถึงทุกวันนี้
(นี่ซื้อครั้ง่ที่ 3 .... อ่านขาดคามือไปสองเล่มแล้ว)
>>973 คำว่าทั่วไปของกูหมายถึงว่า ถ้าคนเรียนสาขาเดียวกับมันมันก็เป็นเนื้อหาทั่วไป มึงอย่าคิดว่าถ้าสาขาอื่นไม่ได้เรียนหรือว่ามึงไม่เคยได้ยินแล้วมันจะไม่ใช่เนื้อหาทั่วไป มันก็อารมณ์เดียวกับการที่พวกที่เรียน biochem ได้เรียน crystallography แต่คนฟิลด์อืนที่ไม่ได้เรียนก็จะมองว่ามันไม่ทั่วไปนั้นแหละ ซึงถ้าจะให้พูดสั้นๆ คือ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าเอามาอวดหวะ
ตั้งแต่เรียนที่คาสะโxด คอร์สเดียวก็เปลี่ยนชีวิตผม
>>976 รู้จัก humble brag ไหมครับ ชัดๆเลยก็
"อ่านยากนะ เต็มไปด้วย Math ..... (อธิบายทุกอย่างเป็น Math หมด) .... คือแต่ละเรื่องนี่อาจจะต้องไปอ่านหนังสือเฉพาะทางเพิ่มอีกหลายเล่มกว่าจะเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่"
"(นี่ซื้อครั้ง่ที่ 3 .... อ่านขาดคามือไปสองเล่มแล้ว)"
หลังๆกระทู้นี้แม่งมีแต่ quote กลวงๆไม่ก็พวกขายคอร์สขายตรงมาจากไหนไม่รู้เยอะแยะ
pim tai mai dai
Math = เลข !!!
เฮ้ยยย กูเห็นควายด่าคนว่าโง่ว่ะ ฉงนยังฉลาดกว่านี้เลย
คนโง่อวดฉลาดเต็มโม่งเลยว่ะ
“เวลาเห็นคนที่วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย ประเทศไทย ความชาตินิยมของไทย ฯลฯ แล้วถูกหาว่าเป็นพวก 'ชังชาติ' จะนึกถึง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขึ้นมาทุกที
.
เพราะเป็นไปได้ไม่น้อย ที่คุณชายคึกฤทธิ์อาจเป็นคนแรกๆ ที่ถูก 'คนไทย' เหล่านั้นกล่าวหาว่าเป็นพวก 'ชังชาติ' แม้ว่าคุณชายคึกฤทธิ์จะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่ช่วย 'สร้าง' สิ่งที่เรียกว่า 'ความเป็นไทย' ขึ้นมาก็ตามที
.
ตัวอย่างที่จำได้ติดใจเลยก็คือการที่คุณชายคึกฤทธิ์วิจารณ์ตัวละครที่ตัวเองสร้างขึ้น คือ 'แม่พลอย' ที่คนไทยจำนวนมากมองว่าเป็นตัวละครที่เป็นแสนจะเป็นตัวแทนความเป็นไทย
.
เช่นบทสัมภาษณ์ 'คึกฤทธิ์คิดลึก ทศกัณฐ์วรรณกรรม' ใน ถนนหนังสือ 3, 1 กรกฎาคม 2528, หน้า 19 (เสิร์ชในอินเทอร์เน็ตก็พบได้ทั่วไป)
.
"แม่พลอยเป็นคนที่ไม่มีสิทธิของผู้หญิงเลย ไม่เคยเรียกไม่เคยร้อง แล้วแม่พลอยนี่เป็นคนเชยที่สุด คุณจะว่านางเอกก็นางเอก แต่เป็นคนที่เชยที่สุด แม่พลอยถ้าแกอยู่มาจนถึงทุกวันนี้แกก็ลูกเสือชาวบ้าน แกจะไปรำละครบ้าๆ บอๆ ถึงขนาดนั้น
.
"พลอยเป็นคนเชยมากนะครับ เป็นคนที่อยู่ในกรอบ ใจดี ถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานก็รักคุณเปรมได้ ตามคติโบราณนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่งไปก่อนแล้วรักกันเองทีหลัง แม่พลอยก็เป็นอย่างนั้นทุกอย่าง ทีนี้คนอ่านคนไทยปลื้มอกปลื้มใจเห็นแม่พลอยเป็นคนประเสริฐเลิศลอย ก็เพราะคนไทยก็เป็นคนแบบนั้น ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย คนอ่านส่วนมากก็เป็นคนระดับแม่พลอยเท่านั้น (หัวเราะ)
.
โง่ยิ้มเลยจะบอกให้ สี่แผ่นดิน ถึงได้ดัง (หัวเราะ)"
.
หรืออีกตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์เดียวกันบอกว่า
.
"คนไทยนั้นหลอกง่าย เขียนหนังสือหลอกง่าย อยากมีชื่อมีเสียงง่ายที่สุด คนไทยนี่ ขอให้ไทยดี ไทยเก่ง รักชาติไทย พอแล้ว อะไรๆ เป็นชาติไทยหมด ชกมวยก็เป็นชาติไทย"
.
โดยส่วนตัวคิดว่า ในแง่หนึ่ง การวิจารณ์แบบนี้ของคุณชายคึกฤทธิ์ อาจมองว่าเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากการศึกษาในโลกตะวันตก (คือออกซ์ฟอร์ด) ที่เต็มไปด้วยการใช้เหตุผล คารม วาทะ รวมไปถึงการโต้วาที เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่วิถีตะวันตกจะถูกนำมาใช้วิจารณ์ความเป็นไทย และวิจารณ์กระทั่ง 'ตัวละคร' ที่ตัวเองเป็นผู้สร้างขึ้น โดยเปรียบกลับไปหาตัวโครงสร้างสังคมที่ 'สร้าง' หรือ 'ฟูมฟัก' ตัวละครพวกนี้ขึ้นมาด้วย
.
(ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ยังเคยบอกด้วยว่า นางเอกของ 'สี่แผ่นดิน' จริงๆ คือช้อย ไม่ใช่พลอย โดยอธิบายทำนองที่ว่า ช้อยเลือกชีวิตตัวเองได้ แต่พลอยเลือกไม่เป็น อยู่ไปโดยปล่อยให้ชีวิตพัดพาไปทางไหนก็ไปทางนั้น)
.
แต่ในอีกแง่หนึ่ง ถ้ามองว่า คุณชายคึกฤทธิ์เป็นคนหนึ่งที่สร้าง 'ความเป็นไทย' ขึ้นมา ก็อาจมองแบบโลกสวยได้ด้วยว่า อย่างน้อยที่สุด 'ความเป็นไทยแบบคึกฤทธิ์' นั้น คือความเป็นไทยที่ 'วิจารณ์' ตัวความเป็นไทยเองได้ และวิจารณ์ถึงขนาดบอกว่า 'ตัวแทนความเป็นไทย' แบบ 'แม่พลอย' นั้น 'เชย' และใช้คำว่า 'โง่ยิ้ม' ด้วย ซึ่งก็คือการ 'ยั่ว' ให้คนคิดและย้อนกลับมาตรวจสอบความชอบในทางวรรณกรรมของตัวเอง
.
ก็น่าสนใจดี ที่ความเป็นไทยยุคก่อนนั้นกว้างขวาง โอบรับความเป็นออกซ์ฟอร์ดและวัฒนธรรมการวิจารณ์เข้ามาไว้ในความเป็นไทย และทำถึงขั้นวิจารณ์ตัวเอง วิจารณ์สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ แต่ทำไม 'ความเป็นไทย' ยุคใหม่ ถึงได้ 'เรียวลง' จนแทบไม่มีที่ทางให้หายใจ อึดอัด คับแคบ และให้ความรู้สึก 'หนัก'
.
โดยส่วนตัวคิดว่า ความเป็นไทยควรเป็นเรื่องโปร่งเบาสบาย
.
อย่าทำให้ความเป็นไทยเป็นเรื่องหนักของแผ่นดินเลย”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เห็นบริษัท Software house และ Startup หลายเจ้า พยายามโชว์ Culture บริษัท พยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเก๋ Cool มีโต๊ะปิงปอง โต๊ะ Pool งานสบายรายได้ดี Flaxi-hour บลาๆ
แล้วก็เริ่มมาบ่นว่า น้องๆ รักสบาย ไม่มีความรับผิดชอบ งานไม่ได้ตามเป้า สุดท้ายงานก็ไม่ได้สบายจริง Flaxi-hour ไม่จริง.. ลาไม่จำกัดที่ไม่มีจริง เพราะสร้างเงื่อนไขมากมาย ต้องแจ้งล่วงหน้า 2 วัน ต้องอย่างนั้นอย่างนี้
เอ้า.. ก็สร้างภาพว่างานสบายรายได้ดี เน้นเรื่องเล่น คนก็คาดหวังว่า จะเข้าไปเล่นไง :-) สุดท้ายก็มาด่าเด็กว่า ไม่โอเค ก็โปรโมทซะนึกว่าทำสวนสนุก ไม่ใช่ทำบริษัทเนอะ 🤫
ว้ายๆๆ math คือเลข
"นาฬิกาเลวไม่เท่าจำนำข้าวฮับ"
มิตร... ไม่ๆ มันไม่ใช่เพื่อนกู
ไอ้เหี้ยตัวหนึ่งกล่าวไว้ละกัน
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า รองเท้า Suede ต้องดูแลยาก พังง่าย ฯลฯ ...... นั่นก็เพราะว่าผมไม่รู้วิธีดูแลมันต่างหาก
จริงๆ แล้วรองเท้า Suede นี่ถือว่าทน และดูแลง่าย (แถมใส่สบายมากอีกตะหาก) เพียงแต่ว่ามันใช้วิธีการและเครื่องมือต่างจากรองเท้าหนังทั่วไปก็เท่านั้นเอง
ที่ต้องการ ก็คือ Omnidain (น้ำยาทำความสะอาด -- คล้ายๆ สบู่ -- มาพร้อมแปรงเล็กๆ) Renovetine (บำรุงหนัง) แปรง 2 อย่าง แล้วก็ยางลบ Suede (ทุกอย่างมีขายที่แผนกรองเท้าใน Central)
รูปที่สอง นี่เป็นรูปหลังจากที่ทำความสะอาดด้วยน้ำยาแล้ว แล้วก็ล้างด้วยน้ำเปล่าอีกรอบแล้ว (ไม่ได้เอาไปแช่น้ำหรือผ่านน้ำนะ แต่เอาแปรงชุบน้ำเปล่าปัดจนไม่มีฟองเหลือ) .... รอให้แห้งอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ก่อนจะพ่นสเปรย์ .... (ตอนถ่ายนี่ยังเปียกอยู่)
เห็นน้องๆ หลายคนดูถูกสุภาพสตรีว่าที่มาสนใจพี่ป๊อบนั้นเพราะพี่ป๊อปมีชื่อเสียงเงินทอง แนวคิดดูถูกทางเพศกันแบบนี้พี่โจวว่าไม่ควรมีพวกปัญญาชนเรานะครับ เพราะความจริงแล้วผู้หญิงอาจชอบพี่ป้อบเพราะว่าอวัยวะเพศของแกใหญ่ยาวก็เป้นได้ ไม่ใช่เรื่องเงินทองชื่อเสียงใดๆ
เรื่องคบซ้อนเราไม่จำเป็นต้องไปตัดสินแทนใคร ว่าใครดีไม่ดี ถูกไม่ถูก มันเป็นเรื่องของเขา มันเกิดขึ้นได้กับคนทุกระดับ ทุกฐานะนั่นแหละ มีรุ่นน้องให้นิยามกับผมกับว่า มันคือ "สัญญาใจ"
ผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีโอกาสเลือกคนที่คิดว่าใช่ที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา ในระหว่างเลือก ถ้าเลือกเยอะ ผู้ชายก็จะถูกเรียกว่า "เจ้าชู้" ผู้หญิงก็จะถูกเรียกว่า "ลัลลา" ต่อให้เป็นแฟนกันแล้ว ก็อาจจะถูกเปลี่ยนใจไปเลือกคนอื่น ชีวิตคู่มันก็ไม่ง่าย
การที่คนสองคนที่ไม่เหมือนกันมาคบกัน ต้องปรับตัวเข้าหากัน ต้องเรียนรู้อะไรที่อีกฝ่ายรับได้รับไม่ได้ แล้วปรับตัวเข้าหากันได้แล้วมั่นใจว่าอยู่กันได้ตลอดชีวิต ซึ่งในระหว่างคบกันก็ไม่ใช่ทุกคู่จะเห็นทุกอย่างจากอีกฝ่ายหมด พอคบกันแล้วก็มีเรื่องครอบครัวของอีกฝ่ายอีก
ผมก็มีแฟนมาหลายคน ในระหว่างที่มีแล้วเลิกไป ฝ่ายหญิงก็ไปมีคนใหม่ทั้งนั้น แล้วก็มีในระหว่างที่คบเราเป็นแฟน แต่เราไม่รู้ ถ้าจะไปโทษว่าอีกฝ่ายผิด ก็ต้องมองดูตัวเองว่ามีข้อบกพร่องอะไร ก็มีเต็มไปหมด ไม่เอาใจใส่ ทำแต่งาน หรืองานที่ทำเกี่ยวข้องกับการพบเจอผู้หญิง ฐานะไม่มั่นคง อะไรที่ทำให้อีกฝ่ายไม่มั่นใจก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เป็นเหตุที่ต้องหาทางเลือกใหม่เกิดขึ้น เราก็แค่หวังว่าทางเลือกใหม่ที่เขาเลือกจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ดีกว่าตอนที่คบกับเรา
ถึงแม้ว่าเราคาดหวังกันว่า การคบกันจะต้องให้เกียรติกัน เคารพในความเป็นตัวของตัวเองอีกฝ่าย ยอมรับซึ่งกันและกัน ซื่อสัตย์ แต่ในระหว่างที่คบกันเรามองเห็นสิ่งเหล่านั้นหมดหรือไม่ ถึงแต่งงานกันแล้ว การยอมรับซึ่งกันและกันก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ ตามสถานการณ์และเวลาที่ผ่านไป เพราะโลกมันหมุนทุกวัน อากาศเปลี่ยนแปลงทุกวัน
เรื่องการคบกัน มันอาจจะไม่ต้องใช้เหตุผลหรือตรรกะมาก มันเป็นเรื่องของหัวใจ วันหนึ่งที่สัญญาใจเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ ไม่ต้องไปตัดสินใครหรอก เราไม่ได้รู้เรื่องราวเขาดีพอ ดูแลคู่ของตัวเองให้ดีเถอะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.