Fanboi Channel

[นิยาย] ไม่มีชื่อหมายเลข 25

Last posted

Total of 22 posts

1 Nameless Fanboi Posted ID:DC+TQr737

XA25
Theme: Post-Apocalypse, teen romance-comedy
Status: แช่แข็ง
Cause: ไม่สามารถหาจุดเด่นได้, cliche มากเกินไป

ไฟในห้องดับลง
ทั้งห้องสั่นไหวอย่างรุนแรง ตามด้วยความรู้สึกตกวูบ
ความมืดเข้าปกคลุมห้องขังสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้นชั่วครู่หนึ่งก่อนที่ไฟจะติดขึ้นอีกครั้ง
เพียงจากหลอดไฟทังสแตนสีเหลืองนวล เปลี่ยนเป็นไฟฉุกเฉินสีแดงสลัวพร้อมกับเสียงสัญญาณเตือน
เสียงนั้นเรียกให้ผมลืมตาขึ้น พร้อมกับที่ประตูนิรภัยบานใหญ่เลื่อนเปิดออก
เบื้องหน้าผมคือทหารสองนายในเกราะชุดป้องกันเต็มตัวและหน้ากากแก๊สที่ดูน่ากลัว กำลังเล็งปืนไรเฟิลเข้ามาในห้อง
ผมจึงค่อยๆ ยืนขึ้น
"ต้องขอโทษด้วยนะคะ"
เสียงไพเราะของเด็กสาวแว่วมาตามโถงทางเดิน เจ้าของเสียงหยุดยืนนอกประตูห้องพร้อมกับที่นายทหารทั้งสองฉากออกไป
แสงไฟสว่างตามปกติอีกครั้ง เผยให้เห็นเด็กสาวเจ้าของเสียง เธอมีใบหน้าอ่อนเยาว์ ผมบ๊อบสั้นเสมอไหล่สีดำเข้ากับใบหน้านั้น และอยู่ในชุดเดรสแขนกุดสีดำ ถุงมือและรองเท้าบู๊ทยาวสีดำ
"เพราะสถานะของคุณยังไม่เสถียร เรากลัวว่าคุณจะอาละวาดขึ้นมา จึงต้องทำให้คุณสลบแล้วขังไว้เพื่อดูอาการก่อนค่ะ"
เด็กสาวสีดำอธิบาย
แม้จะมีใบหน้าคมเข้มและสีหน้าดูจริงจัง แต่ผมสั้นเสมอไหล่จะทำให้ดูเหมือนเด็กมัธยมต้น
"กำลังคิดว่าดูเด็กสินะคะ เสียมารยาทที่สุด"
"...ขอโทษครับ เดี๋ยวสิ เดาออกได้ไงเนี่ย"
"เพราะ'เธอ'เคยเล่าให้ฟังค่ะ ว่าคุณเป็นคนชอบคิดอะไรไร้มารยาทแบบนั้น"
คนรู้จักของยัยนั่นสินะ อย่างนี้นี่เอง
"งั้นเหรอ เสียใจด้วยนะ"
"ฉันควรจะเป็นคนพูดคำนั้นกับคุณมากกว่าค่ะ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ แล้วก็เชิญค่ะ"
เด็กสาวหลบออกจากประตู เป็นสัญญาณให้ผมออกจากห้องได้ ตอนนั้นเองที่ห้องสั่นไหวแล้วโยกอย่างรุนแรงจนผมเสียหลัก จึงพยายามใช้มือยันผนังห้องไว้
โครม!
ไม่ใช่เสียงระเบิด แต่เป็นเสียงยุบตัวลงของโลหะเมื่อผมออกแรงยันผนังเหล็กกล้าของห้องขัง
ผมหันไปหาเด็กสาวที่ยืนนิ่งราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอไม่อธิบายอะไรเพราะไม่จำเป็นต้องอธิบายเกี่ยวกับสภาพร่างกายของผม
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมฉุกคิดขึ้นมา
"เมื่อกี้เธอบอกว่ากลัวว่าฉันจะอาละวาด....แล้วถ้าฉันอาละวาดพวกเธอจะทำยังไงเหรอ"
"เรื่องนั้นช่วยออกมาจากห้องก่อนค่ะ"
ผมทำตามคำสั่งของเธออย่างว่าง่าย ด้านนอกเป็นทางเดินแคบและยาวกั้นด้วยช่องประตูเหล็กเหมือนกับภายในเรือรบหรือเรือดำน้ำ
พอประตูเหล็กกล้าเลื่อนปิดอยู่ที่ด้านหลัง เด็กสาวก็เรียกจอภาพโปร่งแสงขึ้นมาในอากาศ
บนจอฉายภาพจากมุมด้านบนในห้องขังเมื่อครู่
"ถ้าคุณอาละวาดล่ะก็ เราจะทำแบบนี้ค่ะ"
เธอกดปุ่มบนจอ โถงทางเดินสั่นวูบเล็กน้อย พร้อมกับพื้นห้องที่ผมอยู่จนถึงเมื่อครู่เปิดออกเหมือนกับดักประตูกล
ด้านล่างคือพื้นโลกที่อยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร
"..."
ผมมองมองภาพบนจออยู่ครู่หลายวินาที ก่อนจะหันไปมองเด็กสาว
"เป็นมาตรการเพื่อความปลอดภัยค่ะ"
เด็กสาวย้ำหน้าตาย

2 Nameless Fanboi Posted ID:DC+TQr737

ต่อจาก >>1

หลังจากนั้นผมก็ได้รับคำอธิบายจากนายทหารที่ท่าทางผ่อนคลายลงมากแล้ว ว่าผมอยู่บน B-52 สตราทอสฟอร์สเทรส เครื่องบินทิ้งระเบิดที่หลงเหลือจากสงครามเย็น ที่ถูกดัดแปลงเป็นฐานปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วในกรณีฉุกเฉิน
เขาอธิบายอย่างภาคภูมิใจว่า ป้อมปราการลอยฟ้าลำนี้ถูกดัดแปลงให้บินได้สูงที่สุด นานที่สุด ติดตั้งอาวุธสนับสนุนรอบตัว และยังบินอยู่เหนือระยะโจมตีของศัตรูทุกประเภทที่เคยปรากฎออกมา
มันจึงมีชื่อเล่นในกองทัพว่า "ป้อมปราการไร้เทียมทาน"
ถึงจะรู้สึกขัดใจที่ว่าป้อมไร้เทียมทานไม่น่าจะบินหลบศัตรูอยู่นอกระยะแล้วคอยตอดเล็กตอดน้อยหรือลอบกันเหมือนเรือดำน้ำ แต่เมื่อเดินผ่านบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมระบบต่างๆ อย่างจริงจังผ่านหน้าจอซับซ้อนมากมาย ก็รู้สึได้ถึงความล้ำสมัยของเครื่องบินลำนี้ขึ้นมา
ระหว่างนั้นเด็กสาวเพียงเดินนำเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
เมื่อนึกถึงว่าเด็กสาวเพื่อนของเธอคนนั้น หมายความว่าเด็กสาวรู้จักกับเธอมานานกับผม บางทีอาจจะเป็นเพื่อนที่ต่อสู้ร่วมกันมาตลอด
ความรู้สึกสูญเสียของเธออาจจะมากกว่าผมหลายเท่าก็ได้
"ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ พอทำงานนี้นานเข้า ทุกคนก็คุ้นชินกับการจากลาและการสูญเสียค่ะ"
"โดนเดาออกอีกแล้วเหรอเนี่ย"
"เป็นเพราะเธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับคุณให้ฟังค่ะ...รวมถึงเรื่องที่คุณเป็นคนช่างห่วงใยคนอื่นด้วย"
แม้จะอยากรู้ว่าเด็กสาวพูดด้วยสีหน้าแบบไหน ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ยัยนั่นเล่าเรื่องของผมให้คนอื่นฟังถึงขนาดไหนกันเนี่ย
ทางเดินแคบยาวสิ้นสุดลงที่ห้องโถงเพดานสูง รอบห้องประกอบไปด้วยเครื่องกลและหน้าจอต่างๆ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ในชุดอัดอากาศพร้อมหน้ากากหายใจนั่งประจำอยู่อย่างเงียบๆ ไร้เสียงพูดคุย ให้ความรู้สึกชวนขนลุก
กลางห้องตี้เส้นสีเหลืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ที่มีรูปพื้นรองเท้าทาไว้ตรงกลาง
"ช่วยยืนตรงนั้นด้วยค่ะ"
เด็กสาวออกคำสั่ง ผมทำตามโดยไปยืนอยู่เหยียบจุดรูปเท้านั้น
เมื่อผมยืนเข้าที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็เริ่มงานของตน สังเกตได้จากเส้นลำแสงที่เริ่มแสกนทั่วร่างกายของผม
ระหว่างนั้น เด็กสาวหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม ด้านนอกกรอบสี่เหลี่ยม
"เรามีเวลาไม่มาก ดิฉันจะอธิบายสถานการณ์ไปด้วยเลยนะคะ"
เธอขยับมือเรียกหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นมา มันแสดงภาพให้ผมเห็นจุดที่เครื่องบินอยู่ จุดเป้าหมายพร้อมเวลานับถอยหลังอีกไม่กี่นาที
และจุดสุดท้ายที่มีขนาดใหญ่และอยู่ไกลออกไป คือเมืองปราการที่ผมอาศัยอยู่
อีกจอขนาดเล็กแสดงภาพการต่อสู้จากมุมสูง ผมรู้ดีว่าเหตุการณ์นั้นลงเอยอย่างไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นกับตา
ศัตรูที่เหมือนกิ้งก่าขนาดยักษ์ยาวหลายสิบเมตร กำลังต่อสู้กับมนูษย์ตัวเล็กๆ สามคน
แม้จะเป็นภาพมุมสูงจากดาวเทียม ผมก็จดจำเงาร่างหนึ่งในนั้นได้
เด็กสาวรออยู่หลายวินาทีจึงบรรยายต่อ แต่ผมแทบไม่ได้ตั้งใจฟังเลย
"เมื่อสิบสองชั่วโมงก่อน ศัตรูระดับ A ที่มุ่งหน้ามาทางเมืองปราการแอลวันเข้าได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ของเราสามนาย แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่ของเรากำลังได้เปรียบ ศัตรูก็วิวัฒนาการขึ้นเป็นระดับ S..."
ภาพหยุดลงขณะที่กิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างบิดเบี้ยว ผมจึงรู้สึกตัวและกันกลับมาสนใจเด็กสาว
"เรื่องหลังจากนั้นก็ตามที่คุณทราบจากศาสตราจารย์ค่ะ"
เมื่อเห็นเธอเอ่ยถึงเรื่องนั้นอย่างเลี่ยงๆ ผมจึงเพียงพยักหน้ารับ
"ส่วนที่เหลือหลังจากนั้น คือศัตรูกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองด้วยความเร็วคงที่ ซึ่งด้วยกำลังป้องกันของเมืองนี้ ไม่สามารถป้องกันศัตรูระดับ S ได้ค่ะ"
เส้นสมมุติถูกลากขึ้นจากทิศทางการเคลื่อนที่ของศัตรู เส้นนั้นพาดผ่านเมืองของผม
การแสกนหยุดลง เด็กสาวปิดหน้าจอทั้งหมด เหลือเพียงเวลานับถอยหลัง
"และในบริเวณนี้ของโลก คนที่เข้าถึงสถานที่ได้เร็วที่สุด และคนที่น่าจะหยุดสิ่งนั้นได้ มีแค่คุณเท่านั้นขะ"

3 Nameless Fanboi Posted ID:DC+TQr737

ต่อจาก >>1 >>2

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งส่งกล่องโลหะให้เด็กสาว เธอเปิดมันออก แล้วหยิบสิ่งที่อยู่ภายในออกมา
"ปกติแล้วอาวุธของเจ้าหน้าที่แต่ละคนจะถูกออกแบบโดยเครื่องคำนวนจิตนภาพ แต่เราไม่มีเวลาพอ ศาสตราจารย์เลยเสนอให้ใช้วิธีพิเศษกับคุณค่ะ"
สิ่งนั้นคือเข็มฉีดยาที่หน้าตาเหมือนปืนพก รังเพลิงของมันเป็นหลอดแก้วแสดงให้เห็นของเหลวภายใน
"นี่เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับยาที่เจ้าหน้าที่จะได้รับค่ะ มันคือนาโนแมชชีนที่จะเร่งปฏิกิริยาของไวรัสในตัวคุณให้ถึงระดับวิกฤติ เมื่อถึงระดับนั้น ไวรัสจะตอบสนองสัญชาตญาณของคุณแล้วสร้างอาวุธของคุณขึ้นมาเองค่ะ นอกจากนี้ โดยทฤษฏีแล้วความแข็งแกร่งของคุณจะเพิ่มขึ้นขนาดที่มากพอจะล้มศัตรูระดับ S ได้เลยค่ะ"
"ฟังดูสะดวกสบายจังนะ แต่ของพรรค์นี้คงไม่ปลอดภัยสินะ"
เด็กสาวพยักหน้าแล้วอธิบาย
"เซลของร่างกายคุณจะถูกไวรัสสร้างและดัดแปลงจนถึงขีดสุดค่ะ ตอนนี้เราไม่รู้ขอบเขตที่แน่ชัด แต่คิดว่าถ้าการต่อสู้ยืดเยื้อเกินห้านาที ร่างกายของคุณจะถึงจุดเสื่อมสลายค่ะ"
"ฟังดูเลวร้ายแฮะ แต่อย่างน้อยก็มากกว่าสามนาทีล่ะนะ"
"น่าเสียดายนะคะที่เกินสามนาทีแล้วจะไม่กลับร่างเป็นมนุษย์"
"เธอรับมุขได้ดวยเหรอเนี่ย"
"ไม่มีแสงกระพริบเตือนด้วยค่ะ"
ผมถึงกับยิ้มแหยเมื่อทราบว่าเด็กสาวดูมีนิสัยจริงจังน้อยกว่าที่คาด
"เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่อย่างน้อยก็อยากรู้ว่ามีวิธีสังเกตจุดวิกฤติไหมน่ะ"
เด็กสาวแตะที่ด้านหลังใบหูข้างซ้ายของตน
"ตอนที่คุณหลับเราติดชิปสื่อสารไว้ตรงนั้น คุณจะได้ยินเสียงของฉันผ่านหูโดยตรง แล้วก็สามารถติดต่อกับฉันได้ทุกเมื่อค่ะ"
เมื่อผมเอื้อมมือแตะที่ด้านหลังของใบหูก็รู้สึกได้ถึงแผ่นสี่เหลี่ยมล็กๆ ที่ให้สัมผัสสากๆ ชวนระคายเคืองที่ติดแนบอยู่ตรงนั้น....ที่ยัยนั่นแตะด้านหลังหูเป็นประจำเพราะแบบนี้นี่เองสินะ
"ถามอะไรหน่อยสิ"
"ไม่ใช่เวลาจีบสาวนะคะ"
เด็กสาวเดินเข้ามาตรงหน้าผมโดยไม่ทันตั้งตั มือสีขาวอ่อนนุ่มนั้นจับยกท่อนแขนของผมขึ้น
"เธอเป็นออเปอเรเตอร์ของยัยนั่นสินะ"
"ใช่แล้วค่ะ"
เด็กสาวแนบปืนฉีดยาเข้ากับท่อนแขนของผม แล้วกดไกโดยไม่ลังเล
ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ไม่มีความรู้สึกถึงสิ่งที่หลั่งไหลเข้ามา ที่สังเกตได้มีเพียงของเหลวในหลอดยาที่ค่อยๆ ลดลง
"เธออยู่กับยัยนั่นในตอนนั้นสินะ"
"ค่ะ"
ตาของเด็กสาวจับจ้องเพียงของเหลวทีค่อยๆ ลดลง สิ่งที่อยู่ในหลอดจะส่งผ่านเข้ามาในร่างของผมอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน
"ขอบใจนะ...ที่อยู่กับยัยนั่นจนถึงที่สุด"
เพราะผมไม่สามารถอยู่ตรงนั้น
ผมไม่สามารถอยู่กับเธอในช่วงเวลานั้นได้
ผมจึงขอบคุณเด็กสาวด้วยใจจริง
เมื่อได้ยินคำของผม เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้น
เธอเอ่ยด้วยสีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง
"ฉันจะอยู่กับคุณจนถึงวาระสุดท้ายเช่นกันค่ะ"
ยาในหลอดหมดลงแล้ว เด็กสาวปล่อยแขนของผม เธอถอยออกไปอยู่นอกกรอบสี่เหลี่ยม
ความรู้สึกของผมยังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่านาโนแมชชีนนั่นทำงานหรือยัง
"ขั้นต่อไปคือทำให้คุณปลดล็อคสัญชาตญาณเอาตัวรอดของไวรัส แล้วส่งคุณไปเผชิญหน้ากับศัตรูค่ะ"
"แล้วจะทำยังไงล่ะ เอาไฟฟ้าช็อตหรือเอาปืนยิงใส่แสกกลางหน้าดี"
"เรื่องนั้นเราจะทำสลับกันค่ะ"
ส่งไปเผชิญหน้าก่อนแล้วค่อยปลุกสัญชาติญาณเรอะ ส่งไปยังไงล่ะ? เดี๋ยวสิ...
ผมมองใต้เท้าตัวเอง แล้วหันไปมองเด็กสาว
เด็กสาวยิ้มตอบรับความคิดของผม
เมื่อสังเกตรอบๆ ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ทุกคนจะใช้สายรัดตัวเองเข้ากับผนังห้องหมดแล้ว
"ไม่ต้องห่วงค่ะ นาโนแมชชีนจะทำงานสมบูรณ์ก่อนถึงพื้น ไวรัสจะแสดงสัญชาติญาณปกป้องคุณไว้เองค่ะ"
"ถ้ายังไม่ทำงานล่ะ?"
"ไม่ต้องห่วงค่ะ"
ไม่ได้ช่วยให้หายข้องใจเล้ย~
ผมได้แต่ถอนหายใจ เอาเถอะ ยังไงก็ใช้เวลาในห้องขังเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว
"ขอถามอีกอย่างได้ไหม"
"หมดเวลาจีบแล้วนะคะ"
ผมรีบถามต่อโดยทำเป็นไม่สนใจเวลานับถอยหลังอีกไม่กี่วินาที
"เธอคิดว่าฉันจะเอาชนะมันได้ไหม"
"ตามทฤษฏีแล้ว คุณในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าสิ่งนั้นค่ะ"
"แล้ว...เธอคิดว่าฉันจะมีชีวิตรอดไหม"
"ไม่ค่ะ ฉันไม่คิดว่าคุณจะรอด ร่างกายของคุณจะทนรับการปรับสภาพไม่ไหวแล้วเริ่มเสื่อมสลาย แต่ถ้าคุณก้าวข้ามจุดนั้นไปได้ เรามีเลเซอร์ความแรงสูงบนเครื่องบินลำนี้พร้อมจะทำลายคุณก่อนที่จะก้าวข้ามไปค่ะ"
อย่างนั้นหรอกเหรอ ด็อกเตอร์นั่นคงคิดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วสินะ
มิน่าถึงพูดว่า จะอยู่ด้วยจนวาระสุดท้าย
"งั้นคงต้องบอกลากันตรงนี้สินะ"
"ค่ะ"
"อืม ลาก่อนนะ จนกว่าจะพบกันอีก..ยังไงทุกคนก็ต้องตายอยู่แล้วสินะ"
ความเงียบน่าอึดอัดดำเนินไปขณะเวลานับถอยหลังสิบวินาทีสุดท้าย
แล้วผมนึกขึ้นได้ ผมยังไม่รู้ชื่อของเธอ
ขณะกำลังจะอ้าปากถาม เด็กสาวก็พูดขึ้น พร้อมกับที่ภาพรับรู้ของผมค่อยๆ เลื่อนต่ำลง

"อย่างน้อยก็ช่วยตายอย่างมีชั้นเชิงหน่อยนะคะ"

==============================

4 Nameless Fanboi Posted ID:DC+TQr737

ต่อจาก >>1 >>2 >>3

==============================

ฟราน-ฟรานเชสก้ากำลังฝัน
เธอฝันเห็นความทรงจำในอดีตที่เต็มไปด้วยความสุข
ในชั้นเรียนมัธยมต้นที่เธอไม่ค่อยเข้าเรียนเพราะงานที่ทำ ทำให้ไม่มีเพื่อนสนิทในห้อง
ทั้งรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของเธอ ทำให้กลายเป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของนักเรียนหญิงที่อิจฉา
ซ้ำร้ายเธอยังถูกทิ้งระยะห่างโดยนักเรียนชายที่หวาดกลัวเพราะการที่เธอทำให้นักเลงในโรงเรียนที่มาลวนลามจนบาดเจ็บสาหัส
แต่ฟรานก็ไม่ใส่ใจ การใช้ชีวิตเสี่ยงตาย เห็นเพื่อนร่วมงานต้องตายเป็นประจำ ทำให้เธอชืดชากับมนุษย์รอบข้าง
เพื่อปิดกั้นความรู้สึกสูญเสีย เธอจึงเปลี่ยนโลกรอบตัวเป็นสีชามืดหม่น
ชีวิตในโรงเรียนที่ถูกบังคับให้มานั้นหดหู่และน่าเบื่อหน่าย จนกระทั่งหมดนั่นเข้ามา
หมอนั่นค่อยๆ ใช้เวลาเปิดใจของฟรานออกทีละนิด ค่อยๆ ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับนักเรียนคนอื่น
เพราะหมอนั่นเข้ามาจู้จี้น่ารำคาญ เธอจึงรู้สึกว่าโลกรอบตัวอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง
นับแต่นั้น ทุกครั้งที่ออกไปต่อสู้ ฟรานจะนึกถึงห้องเรียนที่เพื่อนทุกคนรออยู่
ที่หมอนั่นรออยู่
ไวรัสตอบสนองความต้องการนั้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากขนาดไหน ฟรานก็สามารถพ้นผ่านไปได้อย่่างง่ายดาย
เมื่อรู้สึกตัวอีกอีกที ฟรานก็กลายเป็นเอสของหน่วย และในโรงเรียน ฟรานก็กลายเป็นนักเรียนที่โดดเด่น เป็นที่รักของอาจารย์และเพื่อนทุกคน
ฟรานกลายเป็นความหวังของกำลังป้องกันมนุษยชาติ และเป็นแสงสว่างภายในห้องเรียน
แต่ฟรานกลับห่างเหินจากหมอนั่นที่อยู่นอกแสงสว่าง จนในที่สุดฟรานก็พูดทำร้ายจิตใจหมอนั่น
กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็สายไปแล้ว ทั้งคู่เข้าโรงเรียนมัธยมปลายต่างโรงเรียน ในเวลาที่ไม่มีหมอนั่นอยู่ใกล้ตัวนี่เอง ที่ฟรานได้รู้ถึงความรู้สึกของตนเอง
เธอจึงพยายามคืนดีกับหมอนั่น แม้ต้องแลกด้วยทุกสิ่งก็ตาม
ฟรานทำสำเร็จ ฟรานคืนดีกับหมอนั่น สารภาพความรู้สึก เล่าทุกสิ่งที่เกี่ยวกับงานที่ทำ รวมทั้งตัวตนที่แท้จริงของเธอ
หมอนั่นยอมรับในตัวฟราน และตอบรับความรู้สึกของเธอ
ทั้งคู่สัญญากันว่าจะย้ายไปเรียนในโรงเรียนเดียวกัน
วันเปิดเทอมใกล้เข้ามาแล้ว ฟรานรู้สึกว่าต้องรีบกลับไป
ไวรัสตอบสนองความต้องการนั้น
มันนำฟรานกลับสู่เมืองที่มีชายคนนั้นอยู่

==============================

หัดเขียนนิยายสำนวนแบบไลท์โนเวล (จริงๆ มันก็ไม่มีข้อกำหนดหรอกว่ายังไง แต่ก็ลอกสำนวนมาจากพวก LN แปลไทย) จะหาคนอ่านก็ไม่รู้จะเอาไปลงที่ไหนดี เด็กดีแม่งก็เกมออนไลน์อย่างเดียวเลย เห็นเพื่อนโม่งเคยช่วยแต่งฟิคต่อกันมา เลยคิดว่าเอาเรื่องที่หัดแต่งมาลงที่นีดู
ยังไม่คิดจะเขียนต่อหรอก แล้วก็อย่างที่น่าจะมองออก คือหยิบไอ้โน่นไอ้นี่มาจาก god eater กับ pacific rim มาแต่งๆ ดู
เรื่องก็เริ่มจากที่เพื่อนพูดขึ้นในตอนหลังออกจากโรงเกี่ยวกับคริมสันไทพูนว่า "น่าจะตายอย่างมีชั้นเชิงหน่อย" แล้วทางนี้นึกขึ้นมาเป็นหน้านางเอกพูดด้วยเสียงเย็นชา เลยเป็นที่มาของเรื่องนี้

5 Nameless Fanboi Posted ID:DC+TQr737

ป.ล. เพิ่งรู้ว่าที่นี่บังคับอักษรไม่เกิน 4,000
ป.ล.ล. ไหนๆ ก็โม่งอยู๋แล้ว วิจารณ์ตามสบาย
ป.ล.ล.ล. ถ้าหาจุดเด่นเรื่องที่มันต่างจากแนวนี้เรื่องอื่นๆ ได้ก็จะลองแต่งต่อ

6 Nameless Fanboi Posted ID:PRmOAeomq

ทังสเตน
คำนวณ
จินตภาพ
โอเปอเรเตอร์
สัญชาตญาณ
พาร์ทท้ายสุดดูยังเลือกใช้คำแปลกๆ เรียบเรียงแปลกๆ ไม่ต้องรวบเยอะหรอก เขียนให้ยาวกว่านี้หน่อยก็ได้ มีคนอ่านอยู่แล้ว

ป.ล.เพิ่งรู้ว่าที่นี่บังคับอักษรไม่เกิน 4,000 --- ยินดีด้วย Achievement unlocked!
http://imgur.com/12N1aXh
ป.ล.ล.ล. ถ้าหาจุดเด่นเรื่องที่มันต่างจากแนวนี้เรื่องอื่นๆ ได้ก็จะลองแต่งต่อ -- ระวังกลายเป็นไซด์สตอรี่ของน้อง K

7 Nameless Fanboi Posted ID:Q94Zo0jhq

รอแป๊บ ว่างแล้วจะมาอ่า

8 Nameless Fanboi Posted ID:JwlzGgdrq

กูรอvออกอยู่นะ

9 Nameless Fanboi Posted ID:/aMMCxtLv

น้องKจะมาป่าว

10 Nameless Fanboi Posted ID:8BzzOju4F

อย่าลืมเลียรักแร้

11 Nameless Fanboi Posted ID:+57MiEAH4

ตอนแรกกะว่าแต่งเสร็จแล้วค่อยจะตอบ แต่ผ่านวัน ID เปลี่ยน เลยตอบก่อน
ขอบคุณ >>6-10 มากๆ ได้ไอเดียแต่งเรื่องยาวแล้ว ตอนแรกแต่งตามน้ำเล่นๆ แก้เซ็ง
เพิ่งจะเข้าใจตอนนี้แหละว่าแต่งไม่ออกเพราะไม่มีคอมเมนต์คนอ่าน แต่งๆ ไปก็เน่าคาเครื่อง (คิดถึงสมัยที่มีบอร์ดลงนิยายเยอะๆ จัง)
>>6 ขอบคุณเป็นพิเศษเรื่องคำผิด เรื่องในช่องคอมเมนต์น่าอ่านจัง

เรื่องยาวก็ทำเป็นไม่เห็น >>1-4 ละกัน

12 Nameless Fanboi Posted ID:+57MiEAH4

เน็ตตัดไปเรอะเนี่ย ID เปลี่ยนซะแล้ว orz
>>6 หาเจอแล้ว https://fanboi.ch/animanga/2/157/

13 Nameless Fanboi Posted ID:LxNRKWnYT

ต่อจาก >>4

เสียงลมกึกก้องและแรงลมที่พุ่งเข้าปะทะกับตัวขณะที่ตัวเองถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบินในระดับความสูงกว่า 50000 ฟุตในสภาพที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันอะไรเลย มนุษย์ธรรมดาคงไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากปล่อยให้ตัวเองร่วงลงไปกระแทกพื้นตามยถากรรม แต่สำหรับผมนั้นไม่ใช่ ผมในตอนนี้สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมด้านล่างได้ชัดราวกับเป็นภาพนิ่ง โดยไม่ถูกรบกวนจากกระแสลมแต่อย่างใด

"นี่ก็เป็นผลจากไวรัสด้วยรึเปล่านะ"

ผมค่อยๆกางแขนขาออกไปเพื่อชลอความเร็วในการตก มองออกไปทางซ้ายมือเห็นแสงไฟจากเมืองที่อยู่ห่างออกไปไกลลิบ ใกล้ๆแสงไฟจากเมืองคือเงาของภูเขาที่ตั้งตะหง่านเป็นแนวสุดลูกหูลูกตา ส่วนทางซ้ายมือมีประกายแสงไฟนับร้อยสว่างวาบขึ้นมาอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความมืดของผืนป่า แสงไฟจากปากกระบอกปืนใหญ่นับร้อยที่ตั้งเป็นแนวหลายชั้นกำลังระดมยิงใส่เจ้านั่น สัตว์ประหลาดระดับ S ที่กำลังพุ่งตรงเข้าใส่เพื่อทำลายแนวปืนใหญ่อย่างไม่สะทกสะท้านต่อห่ากระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งเข้าหามัน เสียงวัตถุแหวกอากาศที่ดังมาเข้าหูทำให้ผมหันไปเห็นเครื่องบินรบ 12 ลำกำลังบินพุ่งเข้าหาเจ้านั่น ก่อนจะระดมยิงแสงสีแดงสดสาดเข้าใส่

YQF-00S "Ghoul" เครื่องบินรบโปรโตไทป์ไร้นักบินรุ่นล่าสุด ติดตั้งแกตลิ่งเลเซอร์ความเข้นข้นสูงที่กำลังพัฒนาอยู่ในกองทัพ ผมไม่คิดว่ามันจะถูกนำออกมาใช้ในการต่อต้านเจ้านั่น แต่ดูเหมือนความพยายามนั้นจะไร้ผล เมื่อแกตลิ่งเลเซอร์ไม่สามารถทำอะไรต่อเจ้านั่นได้ แม้จะลดความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันลดสักนิดก็ยังไม่ได้ ฝูงบินนั้นบินออกฉีกออกไป เปลี่ยนฟอร์เมชั่นเป็นแบบ Arrow ก่อนจะตั้งวงเลี้ยวกลับมาเพื่อเข้าโจมตีใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เจ้านั่นเบนหัวหันมาทางฝูงบินรบ กลางหลังของมันมีวัตถุที่คล้ายๆแผงหลังของไดโนเสาร์สเตโกเซารัส 2 แถวเรียงกันตั้งแต่หัวจรดหาง ประกายแสงสีขาวเงินสั่นไหววูบวาบราวกับประจุไฟฟ้าก่อตัวอยู่ระหว่างแผงหลังของเจ้านั่น ก่อนจะเปลี่ยนสภาพพุ่งเป็นลำแสงเข้าใส่ฝูงบินรบ บังเกิดการระเบิดขึ้นทันทีที่ลำแสงเหล่านั้นกระทบเข้ากับฝูงบินรบ หลายเครื่องเริ่มบินคว้างสะเปะสะปะไร้ทิศทาง บ้างก็บินชนกัน ก่อนจะร่วงลงกระแทกพื้น ก่อให้เกิดเสียงระเบิดและเปลวไฟสว่างสไว

หลังจากฝูงบินรบไม่เป็นอุปสรรคต่อมันแล้ว เจ้านั่นหันหัวกลับมาแล้วเริ่มเคลื่อนที่ไปตามทิศทางเดิม ทิ้งแนวปืนใหญ่ป้องกันเมืองที่กลายสภาพเป็นเศษเหล็กไว้เบื้องหลัง

"ดูท่าจะต้องรีบแล้วสินะ ก่อนที่เจ้านั่นจะไปถึงเมือง"

ผมปรับท่าทางใหม่ กางแขนเพื่อปรับทิศทางตามที่ต้องการ ก่อนจะเก็บแขนแนบข้างลำตัว ทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพื่อเร่งความเร็วในการตก เป้าหมายของผมคือ ลงไปดักหน้าเจ้านั่น
ความเร็วในการตกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่กี่วินาทีก็จะถึงพื้นแล้ว ผมปรับท่าทางใหม่เพื่อเตรียมรับแรงกระแทก

"ว่าแต่............ไวรัสทำงานรึยังหว่า?"

................................................................................
ลองแต่งเล่นๆดูมั่ง

14 Nameless Fanboi Posted ID:Da4j1of1o

>>13 ตกลงนี่มันกระทู้ฟิคเวียนหรอกเรอะ

15 Nameless Fanboi Posted ID:YNB2b8eYK

คนแต่ง >>1-5 เนื่องจากแอบเอาไปโพสไว้ในอีกที่ก่อนแล้ว ดังนั้น Claim Copyright ได้ในส่วนของตัวเอง (ฮา)

=================================
ต่อจาก >>13 ไปเลยละกัน

บน AC-52S อินวินซิเบิลฟอร์สเทรส

เด็กสาวจับจ้องขอภาพมากมายรอบตัวพร้อมกับคอยสั่งการเจ้าหน้าที่ในห้องบัญชาการ
“ส่งฝูงบินที่สามเข้าโจมตีค่ะ ต้องเบี่ยงความสนใจให้ได้นานที่สุด”
สมาธิของเด็กสาวถูกเบี่ยงเบนด้วย
“ทำไมต้องทำอะไรยุ่งยากขนาดนี้ด้วย ถ้าเป็นเธอล่ะก็แค่ลงมือนิดเดียวก็กำจัดอสูรตัวนั้นได้อย่างง่ายดายไม่ใช่เหรอ โยมิ?”
วัยสูงวัยบนรถเข็น ‘ศาสตราจารย์’ ที่มอบพลังให้กับเด็กหนุ่มพูดออกมา ไม่ เขาไม่ได้พูด เนื่องจากร่างกายทั้งหมดของเขาเป็นอัมพาตตั้งแต่ยังหนุ่ม เสียงนั้นออกมาทางลำโพงคอมพิวเตอร์ที่เชี่ยมต่อเข้ากับสมองของนักวิทยาศาสตร์
“ในเวลางานต้องเรียกว่า Y สิคะ”
เด็กสาวทวนเอเจนท์เล็ทเทอร์ของตนเอง
“อ้อ โทษทีๆ เอาล่ะ ตอบคำถามฉันได้ไหม Y”
“ถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วถือว่าฟาวส์นะคะ”
ถ้ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของศาสตราจารย์ขยับได้ล่ะก็ เขาคงกำลังยิ้ม
“ถึงฉันจะคิดอะไรได้มากมาย แต่ก็ไม่ได้เข้าใจมนุษย์ทั้งหมดหรอกนะ ยิ่งเธอถึงขนาดใช้ชื่อฉันหลอกพ่อหนุ่มคนนั้นให้ไปตายอย่างไม่จำเป็น ยังไงก็ช่วยสงเคราะห์คนแก่สักทีได้ไหม”
เด็กสาวยังคงควบคุมบัญชาการด้วยคีย์บอร์ดโปร่งแสงตรงหน้าขณะที่ศาสตราจารย์นั่งรอคำตอบอย่างใจเย็น
แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่เพียงแวบหนึ่ง เด็กสาวก็กลั้นหายใจ ราวกับกำลังพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อพูดออกมา
“ถึงคนเป็นล้านต้องตายก็ตาม ฉันก็ทำใจฆ่าสิ่งนั้นไม่ได้ค่ะ...”
เด็กสาวหยุดมือจากการควบคุมหน้าจอโปร่งใสตรงหน้า
“เพราะเธอเป็นเพื่อนคนสำคัญที่สุดของฉันค่ะ”
ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มลงถึงพื้น

16 Nameless Fanboi Posted ID:YNB2b8eYK

ต่อจาก >>15
==============================

แผละ!

ตะกี้ได้ยินเสียงแบบนั้นแน่ๆ แถมยังเจ็บแทบตายเสียด้วย ไม่สิ ผมตายไปแล้วแน่ๆ
ทำไมผมถึงยืนอยู่ตรงนี้?
“นาโนแมชชีนทำงานสมบูรณ์ดี ยินดีด้วยค่ะ”
...หมายความว่ามีโอกาสไม่ทำงานด้วยสินะ...
เสียงของเด็กสาวดังขึ้นมา ผมนั่งลงแล้วใช้มือแตะด้านหลังใบหู แต่พอทำแบบนั้นก็ถูกบ่นใส่ทันที
“ท่าทางตกยุคแบบนั้นไม่มีผลกับสัญญาณ ไม่ต้องทำก็ได้ค่ะ”
“จะจำไว้ละกัน แต่ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหม”
“เพราะมีเวลาไม่มาก จะอธิบายสั้นๆ นะคะ ปกติเราจะใช้วิธีซับซ้อนปลุกสัญชาตญาณไวรัสขึ้นมา แต่ครั้งนี้ไม่มีเวลา เราเลยใช้วิธีที่ดีที่สุดคือปล่อยคุณตกลงมาให้ตาย แล้วปล่อยให้ไวรัสทำตามสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดค่ะ ถ้าทุกเซลของคุณได้รับไวรัสเต็มเปี่ยมแล้วล่ะก็ มันจะพยายามสร้างคุณขึ้นมาใหม่เพื่อให้สามารถอยู่ต่อไปได้ค่ะ”
ผมมองตัวเอง เสื้อผ้ายังอยู่ครบไม่มีเลือดแม้แต่น้อย
“แม้แต่เสื้อผ้าก็ด้วยเรอะ สะดวกดีจัง”
“เพราะไวรัสของคุณทำงานเต็มที่จึงสามารถสร้างเสื้อผ้าขึ้นมาได้ตามความคิดคุณ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงล่ะก็จะกลายเป็นฉากแฟนเซอร์วิสค่ะ”
....เป็นไวรัสที่ดีจริงๆ....
“และเมื่อไวรัสสร้างร่างกายของคุณขึ้นมาใหม่ทั้งหมด มันจะสร้างในระดับที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าถ้าคุณตกจากเครื่องบินครั้งต่อไปจะไม่ตาย ดังนั้นตอนนี้ร่างกายของคุณจึงแข็งแกร่งและทรงพลังมากค่ะ ถ้าลองกระโดดตอนนี้ล่ะก็อาจจะได้สูงถึงสามสิบเมตรนะคะ”
“เยี่ยมไปเลย ถ้าฉันโดนโจมตีก็จะรักษาตัวเองได้สินะ”
“ถ้าเป็นตัวคุณในตอนนี้ล่ะก็ ไวรัสจะดูดคาร์บอนและแร่ธาตุในบรรยากาศมารักษาแผลได้ในทันทีค่ะ แต่ว่าเฉพาะในตอนนี้นะคะ ปกติพวกเราไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดขนาดคุณหรอกค่ะ”
สัตว์ประหลาดงั้นเหรอ...ผมยิ้มออกมาแห้งๆ
อสูรที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อต่อกรกับอสูร
เพื่อต่อสู้กับบาปที่ตนเองสร้างขึ้น
F.E.V. – Force Evolution Virus – ไวรัสบังคับวิวัฒนาการ
มีแต่มนุษย์ที่ได้รับ FEV เท่านั้นที่จะเอาชนะอสูร FEV ได้
แต่ต้องทำยังไงล่ะ?
พื้นรอบตัวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดูเหมือนมันจะมาถึงแล้ว
แม้จะอยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตร ผมก็เห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นอย่างชัดเจน ตอนนี้มันเป็นกิ้งก่าโคโมโดติดแผงหลังขนาดยักษ์ที่สูงเกือบเท่าตึกห้าชั้น ลำตัวเป็นเคลือบด้วยเกล็ดแข็งสีขาวสะท้อนกับแสง ที่คงวิวัฒนาการขึ้นมาต่อต้านอาวุธเลเซอร์ และเกล็ดหนาขนาดนั้น อาวุธทั่วไปก็คงจะเจาะไม่เข้า
“เอ่อ ขอคำแนะนำหน่อยได้ไหมครั”
“จะอธิบายสั้นๆ พอให้เข้าใจนะคะ สิ่งที่ฆ่าไวรัสได้มีแต่ไวรัสเท่านั้น คุณต้องสร้างอาวุธจากไวรัสในตัวคุณขึ้นมาค่ะ”
“เหมือนในอนิเมน่ะเหรอ”
“คิดแบบนั้นจะเข้าใจง่ายขึ้นค่ะ คิดว่าตัวคุณเป็นพระเอกนิยายวัยรุ่นที่พลังตื่นขึ้นมา แล้วจู่ๆ ก็เรียกอาวุธสุดเท่ออกมาปราบบอสสิคะ”
เข้าใจง่ายดีแฮะ ผมลองยกมือขึ้นแล้วรวบรวมสมาธิ นึกภาพอาวุธขึ้นมาแล้วชูมือขึ้น
....
ผมยืนทำท่าทางน่าอับอายนั้นอยู่ห้าวินาที ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น….
“เอ่อ...ขอคำแนะนำอีกทีได้ไหมครับ”
“คุณคงคิดถึงอาวุธหลายอย่างมากเกินไปสินะคะ งั้นลองกำหนดขอบเขตดูค่ะ ถ้ามีภาพที่ชัดเจน นาโนแมชชีนจะช่วยควบคุมไวรัสให้สร้างอาวุธออกมาตามจินตภาพของคุณค่ะ”
“นั่นสิ คิดถึงหลายอย่างเกินไปจริงๆ ด้วย ขอคำแนะนำหน่อยได้ไหมว่าอาวุธแบบไหนดี”
“ดาบค่ะ ดาบเท่านั้น”
“ทำไมล่ะ?”
“ถ้าเป็นพระเอกก็ต้องใช้ดาบสิคะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว รีบๆ สร้างอาวุธขึ้นมาเถอะค่ะ”
อสูรยักษ์กำลังใกล้เข้ามา มันยังไม่สังเกตเห็นผม แต่แค่ตอนนี้เท่านั้น
ผมหลับตา...
ในบรรดาดาบที่เคยเห็นนั้น มีอยู่เล่มหนึ่งที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผม
ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่เริ่มแปรปรวน ดูเหมือนพื้นดินจะค่อยๆ ยุบลง อากาศรอบตัวถูกดูดและหมุนเป็นเกลียว
ไวรัสเริ่มทำงานรวบรวมวัตถุดิบ มันเปลี่ยนอนุภาคของอากาศและดินกลายเป็นคาร์บอนแล้วดูดซึมเข้ามาในร่างของผม
ผมรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ค่อยๆ งอกออกมาจากฝ่ามือ จากคมดาบเล็กเรียว
ใบดาบโลหะสีขาวเล็กเรียวที่ยาวเกือบหนึ่งวา
กั่นดาบหรูหราประดับอัญมณี
และด้ามจับยาวสีขาว ฝังมุกที่ปลายสุด
ผมลืมตาขึ้น หยิบจับดาบเล่มนั้น ด้ามดาบให้ความรู้สึกเหมาะมือสมกับที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผม ผมรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แค่อาวุธ แต่เป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมต่อกับร่างกายของผมเป็นหนึ่งเดียว
“รูปร่างแบบนั้น....กำลังประชดสินะคะ”
“ไม่หรอก ถ้าจะแก้แค้นให้ยัยนั่นล่ะก็ ต้องดาบเล่มนี้สิ”
ดาบของเธอ
“เฮ้อ จะเป็นยังไงไม่รับรู้แล้วนะคะ เพราะต่อจากนี้คุณต้องลงมือด้วยตัวเองแล้วค่ะ”
ผมยกดาบขึ้น ตั้งท่าเตรียมจู่โจม
“ขอบใจนะ สำหรับทุกอย่าง”
ฝูงบินสุดท้ายร่วงลงไปแล้ว เจ้ากิ้งก่ายักษ์คงสังเกตเห็นผมแล้วล่ะ
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ จะตอบแทนด้วยการดูจนจบค่ะ”

เรื่องนั้นแหละที่ผมต้องขอบคุณเป็นพิเศษเลย

==========

17 Nameless Fanboi Posted ID:YNB2b8eYK

==============================

ตัวละคร
พระเอก - ขี้เกียจคิดชื่อ แฟนโดนกิ้งก่าเวรนี่ฆ่าไป
ศาสตราจารย์ - เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาไม่ใช่ควันตั้มฟิสิกส์
โยมิ - a.k.a.Agent Y เพื่อนของแฟนของพระเอก ทำหน้าที่เป็นโอเปอเรเตอร์ สมาชิกหลักของหน่วยพิเศษทุกคนจะเรียกด้วยรหัสตัวอักษร จบบทอาจจะมีเอเจนท์ K, M, S, V โผล่ออกมา (ผมเป็นแฟนคลับ V ครับ)
F.E.V. - ไวรัสเร่งวิวัฒนาการ ไวรัสสารพัดประโยชน์ใช้อธิบายได้ทุกอย่างตั้งแต่พลังเหนือมนุษย์ยันสัตว์ประหลาด เอาชื่อมาจาก Fallout อย่างหน้าด้านๆ

ไปทำงานต่อก่อน ถ้ามีคนมาต่อจะพยายามต่อดู ถ้าไม่ไหวจริงๆ จะ ignore ข้ามไปละกัน

18 Nameless Fanboi Posted ID:J4tQf6yDt

ตอนต้นๆที่เป็นมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ไมค่อยใส่ความรู้สึกของตัวเอกลงไป
มีบทบรรยายสภาพแวดล้อมเยอะเกิน ทำให้ไม่มีอารมณ์ร่วมกับตัวเอกเท่าที่ควร

19 Nameless Fanboi Posted ID:j.wElnARb

ต่อจาก >>15 ข้ามฉากบู๊ทั้งหมดเอาไว้แต่งภาค 0
==============================

สัมผัสของเตียงแข็งๆ เพดานสีขาว กับกลิ่นยาฆ่าเชื้อ...
เดี๋ยวสิ แล้วการต่อสู้สุดอีพิคของผมหายไปไหน?
"ฟื้นซะทีนะคะ"
ผมหันไปทางต้นเสียงก็พบเด็กสาวชุดดำนั่งอยู่ข้างเตียง ด้วยความที่เธอยังคงสีหน้าเรียบเฉย ผมจึงเดาไม่ออกว่าผลการต่อสู้เป็นอย่างไร
"ทำหน้าแบบนั้นคงจำไม่ได้สินะคะ ถึงจะมีความเสียหายอยู่บ้าง แต่คุณปกป้องเมืองไว้ได้ค่ะ"
เด็กสาวลุกจากเก้าอี้ เปิดม่านและบานหน้าต่างออก เผยให้ผมเห็นทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง กำแพงเมืองที่พังไปบางส่วนกำลังถูกซ่อมแซม ตัวเมืองก็ยังดูสงบสุขไร้วี่แววความโกลาหล
เด็กสาวยืนพิงขอบหน้าต่าง มองดูทิวทัศน์ของเมืองเช่นกัน เราต่างชมภาพนั้นอยู่หลายนาที ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาก่อน
"จากตอนนั้นก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วค่ะ"
ดูเหมือนผมปกป้องเมืองสำเร็จ แต่ว่า...
"สุดท้ายก็ไม่ให้มันมาถึงเมืองไม่สำเร็จสินะ"
"อ้าว จำไม่ได้เลยเหรอคะ?"
เด็กสาวเอียงคอเล็กน้อยขณะถามด้วยสีหน้าจริงจัง ดูไปแล้วก็แปลกตาดี ปกติเห็นเธอวางท่ารู้ทุกอย่างตลอดแท้ๆ
ผมพยายามนึก แต่ทุกอย่างดูเลือนลางไปหมด
ถึงจะจำอะไรไม่ได้ ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู๋ก่อนหน้านั้นก็หายไปหมดแล้ว
ส่วนที่เหลือเล็กน้อยกลายเป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ระหว่างเศร้ากับสบายใจ
ที่พอจะไล่ลำดับเหตุการณ์ได้ คือตอนที่รู้เรื่องของฟรานก่อนจะถูกจับตัวมาหลังจากได้รับไวรัส แล้วก็ถูกปล่อยลงมาจากเครื่องบิน แล้วก็ฟื้นคืนชีพ
"นึกออกถึงแค่ก่อนจะสู้น่ะ ที่เหลือนึกยังไงก็นึกไม่ออก"
ใบหน้าของหญิงสาวคลายความตึงเครียดลงเล็กน้อย
"อย่างนั้นเหรอคะ ถึงจะมีเรื่องอยากจะถามคุณให้แน่ใจ แต่แบบนี้อาจจะดีกว่าก็ได้"
"เรื่องอะไรเหรอ"
"ถ้านึกไม่ออกก็ไม่ถามหรอกค่ะ"
เรื่องที่เธอคงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แต่ช่างเถอะ ยังไงผมก็จำเรื่องทั้งหมดไม่ได้อยู่แล้ว
"ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าฉันเท่ขนาดไหน"
"ช่วงแรกมีวิดีโอบันทึกไว้ค่ะ ถ้าอยากดูขนาดนั้นก็จะอัดส่งไปให้ที่บ้านภายหลังค่ะ แต่หลังจากห้านาทีแรก อสูรตัวนั้นก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าจนระบบจับภาพเสียหายทั้งหมดค่ะ"
แค่ห้านาทีงั้นเหรอ แย่จัง แต่ว่า
"ตามที่เธออธิบายบนเครื่อง ถ้าเกินห้านาที ฉันก็ควรจะตายไปแล้วนี่นา"
เด็กสาวเสมองออกไปนอกหน้าต่าง
"บางทีเรื่องเกินการคาดคำนวณก็เกิดขึ้นได้ค่ะ แต่กรณีของคุณ น่าจะเรียกว่าปาฏิหาริย์ซ้ำซ้อนมากกว่า คุณรอดจากการเสื่อมสลาย ดูเหมือนคุณจะวิวัฒนาการต่อไปจนสามารถเอาชนะสิ่งนั้นได้ แต่สุดท้่ายก็ยังอยู่ในขอบเขตของมนุษย์ค่ะ"
มนุษย์งั้นเหรอ ตั้งแต่ได้รับไวรัสแล้วรอดมาได้ก็ไม่น่าจะถูกเรียกว่ามนุษย์แล้ว
ที่สำคัญเธอเรียกผมว่าสัตว์ประหลาดด้วยซ้ำนี่นา
"เอ เธอเคยบอกว่าคุณคนไม่ค่อยคิดอะไรนี่คะ ทำหน้าแบบนั้นไม่น่ารักเลยนะคะ "
ยัยนั่นมองว่าผมเป็นพวกหัวกลวงเหรอเนี่ย...

20 Nameless Fanboi Posted ID:j.wElnARb

ต่อจาก >>19

"เกิดเรื่องขนาดนี้ก็ต้องคิดบ้างล่ะน่า แล้วพวกเธอจะทำไงกับผมล่ะ"
"นั่นสินะคะ ไวรัสของคุณจะกลับสู่สภาพก่อนถูกเร่งปฏิกิริยาแล้ว ตอนนี้ระดับพลังไม่น่าจะต่างจากเอเจนท์ทั่วไป แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าไวรัสของคุณกลายพันธุ์ไปถึงขนาดไหนเหมือนกัน คงต้องขอให้อยู่ที่นี่ไปอีกสักพัก อ้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องสอบซ่อมนะคะ เราจัดการให้เรียกร้อยแล้วค่ะ"
"หมายความว่าจะกลับไปโรงเรียนได้สินะ"
"นโยบายของหัวหน้าหน่วยคือเอเจนท์ทุกคนต้องจบการศึกษาภาคบังคับค่ะ"
"เข้าท่าดีนะ เดี๋ยว...เอเจนท์งั้นเหรอ"
"ค่ะ คุณไม่มีสิทธิปฏิเสธค่ะ ปกติแล้วคนที่ปฏิเสธจะถูกจับขังไว้ในห้องทดลองไปตลอดชีวิต แต่กรณีของคุณ ตอนนี้เรากำลังขาดคนอย่างที่รู้ ดังนั้นคุณปฏิเสธไม่ได้ค่ะ"
ย้ำซะสองครั้งเชียวแม่คุณ
"ไอ้เรื่องไปยืนประจันหน้ากับสัตว์ประหลาดพรรค์นั้นน่ะ ถึงจะจำไม่ได้ก็เถอะ แต่เป็นไปได้ก็ไม่อยากทำอีกแล้วล่ะ"
ที่ยอมไปสู้ก็เพราะอยากระบายอารมณ์ที่แน่นอยู่ในออกออกมาเท่านั้นเอง
"ถ้าเป็นอสูรขนาดใหญ่นอกเมืองล่ะก็ยังสามารถขอกำลังสนับสนุนจากเมืองอื่นให้ช่วยจัดการได้ค่ะ แต่ว่าตอนนี้เรามีปัญหาอื่น"
เด็กสาวปิดม่านหน้าต่าง แล้วเปิดจอภาพกึ่งโปร่งใสขึ้นมา
วิดีโอบนจอแสดงภาพของมนุษย์ที่มีแววตาเลื่อนลอย บางคนรูปร่างบิดเบี้ยว กำลังไล่โจมตีคนที่แตกตื่นหลบหนี
ผมจำเหตุการณ์ในภาพได้ นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ผมพบกับฟราน...ฟรานเชสก้าอีกครั้งหลังจากจบมัธยมต้น
ใครจะลืมภาพแฟนตัวเองถือดาบไล่ฆ่าคนได้ล่ะ
"สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่นอกเมืองก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่ไวรัสเข้ามาแพร่ในเมืองเป็นเรื่องไม่ปกติค่ะ"
ยัยนั่นก็พูดแบบนั้น รู้สึกจะบอกว่าเป็นลัทธิก่อการร้ายอะไรสักอย่าง
"เพราะตอนนั้นเกิดเรื่องหลายอย่างซ้ำซ้อนขึ้นมาอย่างที่คุณทราบดี เราจึงไม่ได้ดำเนินการสอบสวนค่ะ แต่เราเชื่อว่าในสถานการณ์ที่หน่วยกำลังอ่อนแอ คนร้ายต้องลงมืออีกครั้งแน่นอนค่ะ"
"ถึงต้องบังคับให้มือสมัครเล่นอย่างฉันเข้าหน่วยสินะ"
"ได้โปรดเถอะนะคะ อย่างน้อยก็จนกว่าจะหาคนแทนได้ หลังจากนั้นถ้าอยากอยู่ในห้องทดลองใต้ดินไปตลอดชีวิตก็ไม่ขัดข้องค่ะ"
ผมถอนหายใจออกมา ก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว ไม่ต้องขู่ย้ำก็ได้
"เข้าใจแล้วๆ ต้องเริ่มงานเลยสินะ"
"ค่ะ ที่บอกว่าให้อยู่โรงพยาบาลเป็นฉากบังหน้าครอบครัวของคุณค่ะ เบื้องหลังคือคุณต้องรับการฝึกทุกวันนับตั้งแต่วันนี้จนกว่าจะผ่านการทดสอบในฐานะเอเจนท์ค่ะ"
โหดเหี้ยมที่สุด
"เฮ้อ...จะยังไงก็ได้ แต่วันนี้ขอพักอีกสักวันได้ไหม"
"เอายังไงดีนะคะ อืม...จะให้พักเป็นรางวัลที่ตกลงแต่โดยดีแล้วกันนะคะ อีกสักครู่น้องสาวของคุณจะมาเยี่ยมค่ะ"
เด็กสาวก้าวเดินอย่างสง่างาม ผ่านปลายเตียงผมไปยังประตูห้อง
"พักผ่อนให้สบายนะคะ คุณ..."
เธอพูดชื่อของผมเป็นครั้งแรก ชื่องั้นเหรอ?
"ขอโทษที่เสียมารยาทนะ คือ ฉันยังไม่รู้ชื่อของเธอเลย"
"เพิ่งจะนึกออกเหรอคะ ดีจัง กำลังลำบากใจอยู่เลยว่าจะแนะนำตัวตอนไหนดีถึงจะประทับใจ"
เด็กสาวหันกลับมา
"ฉันชื่อยูริค่ะ ในเวลางานขอให้เรียกว่าเอเจนท์ Y
บนใบหน้างดงามมีรอยยิ้มเล็กน้อย
"รบกวนฝากตัวด้วยนะคะ เอเจนท์ A"

XA25 - PILOT "BOY A" - END

==========
Canonize - เอเจนท์ Y เปลี่ยนชื่อเป็นยูริ ตอนแรกสุ่มเอา กลับมาอ่านแล้วชื่อฟังดูเลมชิบเป้ง

หลังจากตรงนี้จะเข้าเนื้อเรื่อง แต่ยังไม่ได้คิดเลย ต้องไปคิดให้ดีๆ ก่อน
มุมมองเล่าเรื่องที่เหมาะสมเอย ตัวละครเอย เมนพล็อตเอย
แต่อยากคงสปีด 2วัน: ตอน ไว้ให้ได้ก่อน ให้เป็นนิสัย

เข้าเรื่องอยากแต่งเป็นสคูลไลฟ์คอมิดี้ แอคชั่นเล็กน้อย กับแฟนเซอร์วิสเยอะๆ จังเลย

21 Nameless Fanboi Posted ID:bW5MXJSAV

หายไปหลายวันแล้วนะ 2 วันต่อตอนมันก็ไหวอยู่หรอก แต่จะสต็อกทันเหรอ

22 Nameless Fanboi Posted ID:usSN.c6KC

>>21 ติด God Eater เอ้ย หาข้อมูลมอยู่

Topic expired

Topic has reached inactivity threshold.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.