Fanboi Channel

รวมพลนักเขียน แชร์เทคนิคประสบการณ์และข่าวสาร [กระทู้ที่ 4]

Last posted

Total of 1000 posts

971 Nameless Fanboi Posted ID:mBXR5dnUfY

กูอยากรู้ว่าขายใน meb มันขึ้นชื่อคนซื้อเปล่าอ่ะ หรทอขึ้นแต่ยอดซื้อ??

972 Nameless Fanboi Posted ID:0i+iSDRT8Z

>>971 ถ้าคนซื้อไม่แวะมารีวิวก็ไม่เห็น คนขายจะเห็นแค่ยอดกับสถิติลูกค้าที่สนใจงานเรานิด ๆ หน่อย ๆ

973 Nameless Fanboi Posted ID:OB+zzP5CkI

>>970 แต้งมาก ต้นฉบับกูมีประมาณ 220 กว่าหน้า A5 คิดว่าจะขายสัก 270 (รวมส่ง)

974 Nameless Fanboi Posted ID:mnSMVimRQ.

>>973 220 หน้าของมึงนี่กี่คำล่ะ ถ้ามึงจัดหน้าแบบย่อหน้าหน้าเยอะๆ ช่องว่างระหว่างบรรทัดกว้างๆ หรือตัวอักษรใหญ่ๆ มึงก็ต้องพิจารณากับจำนวนคำ ไม่ใช่หน้า

975 Nameless Fanboi Posted ID:B5ToKxPYIA

>>974 อักษร 14 ไม่เว้นระยะบันทัด ก็มาตรฐานแหละ

976 Nameless Fanboi Posted ID:XLURhR8mTJ

>>975 มันจะมาตรฐานได้ยังไง บางคนบรรทัดนึงพิมพ์ว่า
"ค่ะ"

บางคนบรรทัดนึงพิมพ์ว่า
"ค่ะ" บุษบาตอบ หล่อนฉีกยิ้มกว้างจนปากแทบถึงหู ก่อนจะตีลังกาห้าตลบลงมายืนอย่างสวยงาม กรรมการกดแต้มให้เต็มสิบ

เห็นมะ พอจัดหน้าเป็นอีบุ๊คจำนวนบรรทัดกับจำนวนคำก็ต่างกันแล้ว

977 Nameless Fanboi Posted ID:Ygthg0EiBN

>>976 อ๋อ ครับ...

978 Nameless Fanboi Posted ID:XcD9YZZvDp

คือมึงแค่ดูจำนวนคำในเวิร์ดอะ มันมีบอกอยู่แล้ว

979 Nameless Fanboi Posted ID:UN.Y.kWHhj

พวกมึงเป็นกันปะวะ เขียนนิยายเรื่องนึง แรก ๆ ก็สำนวนอีกแบบ กลาง ๆ เรื่องสำนวนอีกแบบ เห้อ กูเบื่อที่ต้องมารีไรท์ให้สำนวนมันเท่ากันอะ

980 Nameless Fanboi Posted ID:qiJjqJxYxi

>>979 กูเคย โทนเรื่องกับนิยายที่อ่านช่วงนั้นทำให้สำนวนเปลี่ยนไม่รู้ตัวจากตอนแรกเน้นคำพูดกลายเป็นเน้นบรรยาย บางทีรูปแบบจัดหน้าก็เปลี่ยนเหมือน 976 เคยเขียนอยู่ฉากหนึ่งเพชรพระอุมาก็ลอยเข้ามาในหัว สรุปบทนั้นเป็นสำนวนพนมเทียน พระเอกกุพูดจายังกับพระเอกยุค90

981 Nameless Fanboi Posted ID:INiPBOKy6S

>>979 เป็นเหมือนกัน เรื่องกูรีไรท์แม่ง 4-5 รอบ เขียนๆไปสักพักสำนวนเปลี่ยนอีกละ นักอ่านบางคนหาว่ากูรีไรท์เรียกยอด กูหงุดหงิดมากเลย กูนี่อยากจะบอกมากว่า มึงดูหน่อยได้ว่าสำนวนแต่ละตอนมันต่างกันแบบไปคนละหมวด เขียนไทยโบราณดีๆ กูก็เผลอเอาการพูดแบบจีนมาใส่บ้าง แฟนตาซีมาใส่บ้าง มึงอ่านๆกันนี่ไม่รู้สึกเลยหรอ กูกลับมาย้อนอ่านซ้ำยังอยากกดปิดเลย คิดว่ากูอยากรีไรท์บ่อยๆนักรึไง เหนื่อยจะตายห่า ถ้าเลือกได้กูก็ไม่อยากรีไรท์หรอก

982 Nameless Fanboi Posted ID:apleyq/oEK

สำนวนกุสลับไทยกับแก้วกานต์ว่ะ แต่ก็ยังเขียนไปๆๆ ไม่สน เอาให้จบก่อนค่อยรีไรท์ ยากสุดในการเขียนคือแม่งไม่จบสักทีนี่ละ พล็อตยังกะถั่ว งอกได้งอกดี

983 Nameless Fanboi Posted ID:sHuZIum.za

กูหนักใจแฮะ
คือแม่งช่วงนี้รู้สึกเพลียๆ กับงานประจำจนไม่ได้เขียนนิยายเลย แล้วก็ไม่รู้บังเอิญเป็นเหี้ยอะไรที่ตรงจังหวะมาก สื่อรอบตัวกูแม่งชอบประโคมเนื้อหาทำนอง "จงเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะชีวิตมันคือความไม่นแน่นอน" อะไรทำนองนั้น ซึ่งแม่งก็เสือกกระตุ้น "ต่อมอยากเขียน" กูขึ้นมาพร้อมกับความที่คิดว่า "ลาออกจากงานดีกว่า" ซะงั้น!!

สัด!! ถ้ากูไม่ทำงานก็ไม่มีแดกอะดิ!! ...แต่ถ้าทำงานก็ไม่มีเวลาเขียนนิยายนะ~ ฮ่วย!

984 Nameless Fanboi Posted ID:kmRh9RpfIg

>>983 กูยิ่งเพลีย ยิ่งเครียด ยิ่งเขียนได้เยอะ เหมือนถูกบำบัด เพราะได้มาอยู่ในโลกของตัวเอง (กูไม่ใช่นข.มืิออาชีพ) ตอนที่ว่างมากๆ จะอ่านนิยาย

985 Nameless Fanboi Posted ID:yJ1FNvxvin

>>984 กูก็เคยเป็นงั้นแหละ
แต่งานกูนี่แม่งไม่มีเวลาว่างเลย สัดหมาเอ้ย!!

986 Nameless Fanboi Posted ID:IhbUP8yljX

>>983 กูขอบอกว่างานประจำมีไว้ดีกว่า​ มึงจะเปลี่ยนที่ทำงานก็อาจช่วย​ แล้วมึงแบ่งเวลาเขียนดีๆทำให้สมำ่เสมอจนมึงแน่ใจในรายได้กับรายจ่ายมึงแล้ว​ มึงถึงจะมาคิดว่าออกมาเต็มตัวดีมั้ย​ เอาใจช่วยนะมึง

987 Nameless Fanboi Posted ID:yS.vrYFi.F

>>986 กูก็สนับสนุน มีงานประจำไว้ดีกว่า

988 Nameless Fanboi Posted ID:2IwlRkuvin

ถ้ามึงคิดจะเป็นนักเขียน แต่มึงค่อนข้างจะโนเนม
สมมุตขายเล่มนึงได้กำไร 100 บาท
มึงใช้เวลาเขียน อย่างเก่งก็สองเดือนต่อเล่ม สมมุติเล่มนึงมึงขายได้ร้อยคน 100x100 = 10000
ปีนึงมึงปั่นได้ 6 เล่ม 10000x6 = 60000 เฉลี่ยแล้ว มึงมีรายได้ 60000/12 = 5000 บาทต่อเดือน
แค่ค่าแดกก็หมดแล้วม้าง 5555555

989 Nameless Fanboi Posted ID:0QaUj82peo

กูเห็นด้วยนะ งานประจำไปก่อนถึงจะเหนื่อยเวลาเขียนน้อย ไว้มั่นใจว่ามั่นคงระดับนึง
เมื่อไหร่ค่อยออกมาเขียนอย่างเดียวยังไม่สาย

990 Nameless Fanboi Posted ID:Ga52U2xXvI

คุมตีมไม่อยู่ เปิดด้วยคอเมดี้ ไปๆ มาๆ ดราม่าเฉย แถมหาทางลง HE ไม่เจอ //ท้อแล้ว

991 Nameless Fanboi Posted ID:pjUMuqgQwZ

>>990 มึงจะเขียนคอมเมดี้ แต่เสือกใส่เรื่องเศร้าเข้าไป ????

992 Nameless Fanboi Posted ID:Y3rwikOm41

กูรู้นะว่ามันกว้างมาก แต่ทำยังไงให้วรรณศิลป์อยู่ในระดับเทพๆว่ะ

993 Nameless Fanboi Posted ID:F/FH6e.4Ds

>>992 ที่กูเคยเรียนมาในคลาส มึงต้องอ่านเยอะ ๆ สังเกตเยอะ ๆ ว่ะ โดยเฉพาะอ่านวรรณคดี แต่ก็อีกนั่นแหละ พวกวรรณคดี มึงต้องมีคนสอน คนชี้แนะ คนพาให้รู้ว่าตรงนี้มีวรรณศิลป์อะไร อะไรแบบนี้ ง่าย ๆ คือต้องมีอาจารย์อะ แต่ถ้ามึงจะลองเองก็ได้ แต่มึงต้องอ่านเยอะ ช่างสังเกต เอามาปรับใช้

994 Nameless Fanboi Posted ID:jRN5uuC5ea

>>992 มึงต้องอ่านเยอะและหลากหลายแนวด้วย​แต่ละแนวมันมีการปูความ​ เร้าอารมณ์ที่ต่างๆกัน​ และต้องหัดวิเคราะห์การใช้ภาษา​ อย่าแค่อ่านเอาเรื่อง​ คนอ่านมีตั้งแต่อ่านเอาเรื่อง​ อ่านเพื่อบันเทิง​ อ่านเพื่อขบคิด​ คนเขียนต่อให้เพื่อบันเทิงเป็นหลัก
ก็จำเป็นต้องขบคิดว่าจะสร้างความบันเทิงที่ซับซ้อนกว่าการเล่าเรื่องอย่างไร

995 Nameless Fanboi Posted ID:pjUMuqgQwZ

พูดถึงเรื่อง วรรณศิลป์ แล้ว อยากให้พูดถึงเรื่องชั่นเชิงการเล่าด้วย
เป็นศาสตร์ที่กูไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่

996 Nameless Fanboi Posted ID:LxkEGzs/ar

กูคิดว่าวรรณศิลป์คือสิ่งที่มันมีอยู่แล้วคนค่อยอธิบายมันออกมา ไม่ควรใช้อาจารย์สอนอะ เพราะเป็นการสร้างกรอบการมองเห็นสิ่งนั้น เล่าได้ ชี้แนะได้แต่คนเรียนมันต้องเห็นสิ่งนั้นด้วย กูว่าที่สอนๆ กันมาเป็นแบบแผนในโรงเรียนหรืออะไรทำนองนี้มันเป็นการจำกัดความงามเอาไว้ สมมุติมีคนบอกว่าผู้หญิงสวยต้องผมยาว แล้วแบบนั้นผู้หญิงผมสั้นจะสวยไม่ได้เลยหรือ เราสอนกันมาเป็นแบบแผน เป็นกรอบจำกัดความคิด ต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้จึงงาม กูว่ากระดุมเม็ดแรกแม่งก็ผิดไปไกลแล้ว ความงามมันต้องเห็นได้ เข้าใจได้ แม้จะอธิบายออกมาไม่ได้แต่พบงานเขียนที่มีคุณค่าทางวรรณศิลป์แล้วมันก็บอกได้เลยว่าอันนี้งาม เหมือนเจอผู้หญิงคนหนึ่งแต่แรกพบก็บอกได้แล้วว่ารูปร่างหน้าตาสวยไหม กูเห็นการสอนนี่แหละบิดเบือนความงามที่แท้จริงไปมากเพราะคนสอนส่วนใหญ่แม่งให้ความสำคัญกับแบบแผน แต่เหมือนไม่เข้าใจความงาม

เช่นตอนนี้กูเห็นคนคิดว่างานมีคุณค่าทางวรรณศิลป์คือต้องใช้ภาษาเก่า ต้องมีภาษาโบราณสักหน่อย ต้องบรรยายเยอะเข้าไว้แล้วคิดว่าภาษาสวย กูไม่เห็นด้วย ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น ถ้าจะบรรยายเยอะมันต้องเข้าใจความงดงามของมันเสียก่อนซึ่งหลายคนสักแต่เขียนโดยไม่เข้าใจ บรรยายโดยคิดแค่ต่อคำให้เยอะๆ เขียนให้ละเอียดมากๆ จบหนึ่งเล่มเขียนไปสามแสนคำแต่ไม่มีเนื้อหาสาระอะไร สัมผัสความงามในงานก็ไม่ได้ มีแต่น้ำแบบนี้น่าตีมือ กูเห็นนักเขียนใหม่ๆ หลายคนโอดครวญ แต่ละตอนเขียนก็เยอะภาษาก็ดีทำไมคนอ่านน้อย กูลองดูแล้วก็ไม่เห็นความงามในงานเลย หาสิ่งนั้นได้น้อย ภาษาที่ว่าดีก็แค่พยายามเขียนให้ถูกกับบรรยายให้มากๆ เท่านั้น ยังไม่ถึงกับมีความงาม ถ้างานมันมีความงามจริงๆ เขียนไปไม่มากก็ต้องมีคนมาติดบ่วงส่วนหนึ่งแล้ว

จะยกระดับวรรณศิลป์ อย่างแรกกูว่าควรเข้าใจวรรณศิลป์ก่อน เข้าใจในสิ่งที่มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่เข้าใจตามแบบแผนที่สอนกันมา พอเข้าใจแล้วมันจะพิจารณางานตัวเองออกว่าที่เขียนไปมันดีแล้วหรือยัง บางคนเขียนรอบเดียวก็ออกมาดีได้ บางคนเขียนเป็นร้อยรอบถ้ามันไม่ดีก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ดี ความงามไม่ใช่เรื่องกระบวนการ ไม่ใช่เรื่องความพยายาม เป็นเรื่องที่ผลที่ออกมา แต่กระบวนการกับความพยายามทำให้เกิดโอกาสออกมาได้มาก

ส่วนชั้นเชิงการเล่า ตามความเข้าใจกูนะ คือคนเขียนมีสิ่งหนึ่งอยากจะเล่าแต่มีวิธีการเล่าที่สนุกสนาน น่าตื่นเต้น มีความน่าสนใจ รวมๆ แล้วคือเล่าดีและเล่าให้ใครฟัง กูยกตัวอย่างเรื่องอยากเล่าเรื่องความพยายาม มึงคงเคยได้ยินนิทานกระต่ายกับเต่า นิทานก็เป็นชั้นเชิงการเล่าแบบหนึ่ง เป็นการเล่าเรื่องความพยายามกับความประมาท มึงเห็นภาพไหม มึงบอกเด็กว่าเราต้องมีความพยายามและไม่ประมาทในชีวิต จบแล้ว เรื่องเดียวกันเลย บอกตรงๆ เด็กอาจจะเข้าใจแต่เด็กจะสนใจไหม กูว่าคงไม่เท่าเล่าเป็นนิทาน นี่คือความเข้าใจของกู คนเขียนอยากจะเล่าอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วก็หาวิธีให้สิ่งที่ถูกเล่านั้นน่าสนใจ นักเขียนบางคนแค่บรรยายพระอาทิตย์ขึ้นแม่งก็เหมือนกับเราไปอยู่ในจุดๆ นั้นด้วยแล้ว ทำให้คนสนใจ ทำให้คนดื่มด่ำหรือคล้อยตามไปด้วย นั่นคือเขามีชั้นเชิง ส่วนวิธีการเขียนนั้นเป็นเรื่องของตัวนักเขียนที่ต้องแสวงหาด้วยตัวเอง งานศิลปะหลายๆ อย่างมันมีชั้นเชิงการเล่าในตัวงานเอง ลองดูภาพวาดสวยๆ ที่เห็นแล้วรู้สึกอารมณ์ในภาพ ดูรูปถ่ายที่เห็นสตอรี่ของมัน งานโฆษณาก็เป็นตัวอย่างได้ ลองสังเกตความต่างของการพูดคุยธรรมดากับการเล่าด้วยกลวิธีแบบนั้นดูอาจจะช่วยให้เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น

997 Nameless Fanboi Posted ID:F/FH6e.4Ds

>>996 +1
กูคือ 993 แต่กูก็เห็นด้วยกับมึง อาจารย์แค่ชี้แนะเฉย ๆ และยิ่งถ้าเขียนนิยายโดยพิงกับกรอบมากเกินไป สุดท้ายจะหาตัวเองไม่เจอ

กูว่าวรรณศิลป์เป็นเรื่องการสะสมอะ โดยเฉพาะการมีคลังคำเยอะ ๆ คลังคำเยอะไม่ได้หมายความว่าต้องรู้ศัพท์โบราณ คำไวพจน์นะ เอาจริง ๆ วรรณศิลป์จะสวยไม่สวยขึ้นกับว่าคนอ่านได้อะไรไปจากการอ่านเรื่องของมึง มันจับใจคนอ่านอยู่มั้ย มันคล้อยตามมั้ย มันจินตนาการได้มั้ย มีความคิดสร้างสรรค์พอหรือยัง

ทุกอย่างมันต้องสะสม หัดเขียน ต่อให้อ่านมาพันเรื่องแต่ไม่เคยลงมือเขียน เขียนครั้งแรก ๆ กูว่ายังไงก็ไม่ดี เพราะตอนเราอ่าน เราอ่านในฐานะนักอ่าน แต่ถ้าอ่านในฐานะนักเขียน มึงจะช่างสังเกตขึ้น เอามาปรับใช้กับนิยายของมึงได้

แจ่ม ๆ เลย ที่กูว่าวรรณศิลป์ดีคือของคุณวีรพร นิติประภา เอาจริง ๆ นักอ่านทั่วไปมองว่าเวิ่น เยิ่น แต่เด็กอักษรแบบกูกับพี่ในคณะคือชอบมาก เค้าใช้ภาษาได้มีมิติในแบบที่พวกกูคิด แต่คนอื่นอาจจะมองว่าเวิ่น

จริง ๆ วรรณศิลป์จะสวยไม่สวย กูว่าขึ้นกับคนอ่านอะว่าจะมองวรรณศิลป์ของมึงเป็นยังไง มันขึ้นกับผลลัพธ์จริง ๆ อย่างแรกที่ควรมีถ้าอยากวรรณศิลป์สวยคือคลังคำอะ ต้องคลังคำเยอะก่อน แล้วการสร้างประโยคให้กินใจคนอ่านได้มันจะมาทีหลัง

วรรณศิลป์คือการสะสม การฝึกฝน

998 Nameless Fanboi Posted ID:Y3rwikOm41

ขอบคุณทุกคอมเม้นท์น๊ะค่ะ

999 Nameless Fanboi Posted ID:taFzJYr8p4

>>994 สนับสนุนความเห็นนี้ เวลาอ่านแล้วสำหรับนักเขียนต้องไม่แค่อ่านเอาเรื่อง แต่ต้องดูการใช้ภาษา การลำดับเรื่อง ว่าเขาไป 1-2-3-4-5 หรือ 5-1-3-4-2 เพื่อหลอกล่อหรือทำให้คนอ่านอยากติดตามและอยากรู้เรื่องต่อ เวลาเราอ่านนิยายบางเรื่องแล้วเราติดใจเห็นว่าฉากนี้ดีมากๆ ก็ต้องพยายามมองให้ออกว่าเขาใช้เทคนิคยังไงทำไมถึงทำให้คนอ่านรู้สึกแบบนั้น อีกอย่าง ถ้าจะเขียนก็ต้องอ่านสิ่งที่คนอื่นไม่อ่านกัน เรียกว่าต้องอ่านรอบด้านเลยละ

1000 Nameless Fanboi Posted ID:kH3i3MvMSc

มู้หมดแล้ว ตั้งมู้ใหม่ซะที~

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.