Last posted
Total of 1000 posts
เดี๋ยวนี้ตลาดแนวสืบสวนเป็นไงบ้างวะ ถ้ากูทำเป็นอีบุ๊คแล้วจะพอขายได้ไหม
พอดีกูเข้าเว็ปอีบุ๊คแล้วเจอแต่แนวรัก เห็นแล้วอยากจะร้อง
กูชอบอ่านนะพวกสืบสวน มึงเขียนแล้วมาเรียกไปอ่านด้วย
โม่ง มีใครมีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารจีนสมัยก่อนใหม่จะเว็บหรือหนังสือก็ได้
ถ้าสืบสวนล้วนมึงขายยากแน่ ต้องรักปนสืบสวนขายได้ ถ้าปมดีเน้นปมสืบสวน ถ้าปมอ่อนเน้นคสพ.
ปรึกษาหน่อย พวกนิทานดัง ๆ อย่าง ซินเดอร์เดร่า อะลาดิน หนูน้อยหมวกแดง มันมีลิขสิทป่าววะ
ถ้ากูเอามาทำใหม่เป็นเวอร์ชั่นของกู จะผิดไรป่าว
ถ้าเอานิสัยของคนที่เรารู้จักในชีวิตจริง (รวมถึงตัวเราด้วย) มาสร้างเป็นคาร์แรคเตอร์ในนิยายแบบนี้นี่จะผิดไหมวะ แบบเอามาแค่นิสัยนะ
พอดีกูเป็นนักเขียนหน้าใหม่แบบเพิ่งคลอดจากท้องแม่แล้วอยู่ ๆ ก็ปิ๊งพล็อตเข้ามาในหัวอะ
นอกจากแว่นแก้วกับพานแว่นฟ้าแล้ว ตอนนี้มีงานประกวดไหนที่รับงานประเภทนวนิยายอีกไหมวะ
มึง ใครรู้ระบบสำนักพิมพ์ สถพ มั่งวะ กูมีนิยายที่เขียนจบ 1 เรื่อง กำลังจะส่งสนพ. กูอยากรู้ว่าที่นี่ตีพิมพ์ขั้นต่ำเท่าไร มีใครรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของที่นี่บ้าง โปรดสงเคราะห์กูหน่อย เห็นเขามีดราม่ากันเยอะเหลือเกินงี้ กราบบงบ
>>775 กูเหมือนมึงเลยจ้า ขายเล่มละ 299 แบบโนเนมมาก ไม่โปรโมตไม่หีไม่แตด สามเดือนละได้มา 20 โหลด (อี 15 โหลดแรกได้เพราะจัดโปรเหลือ 199) ตอนนี้กูหันมาเขียนเรื่องสั้น 18 บวก ขายเล่มละ 29 บาท ถถถ ยังขายได้จิ๋มมดเลยมึง ตอนนี้คือกูหวังกับสนพ.อย่างเดียวแล้วละ มึงลองหาแนวทางอื่น ๆ ดู เฟลได้ แต่มึงต้องรู้ว่าชีวิตมีทางเดินให้เดินอีก สู้ ๆ นะคะ
ใครเป็นเหมือนกูบ้างวะ พอมีความรักแล้วเขียนนิยายรักไม่ดีเลย อ่านงานตัวเองแล้วมันไม่อิน ไม่ฟินเหมือนตอนโสดๆ เหงาๆ นี่กูเลยเทคนคุยไปหลายคนแล้วเพราะทำงานไม่ได้ดั่งใจ เศร้าว่ะ ต้องขึ้นคานแลกกับเงิน
กูเป็นนักเขียนมือใหม่ คิดพล็อตได้เยอะมาก วางโครงเรื่องได้จนจบ แต่การอธิบายออกมามันยากสำหรับกู กูจะสื่อว่าตลค.ทำแบบนี้คิดแบบนี้ แต่พอพิมพ์ออกมาแล้วภาษามันธรรมดามาก คำเชื่อมก็ซ้ำๆ ย้อนไปอ่านที่ตัวเองเขียนแล้วรู้สึกว่าดูเร็วไปหมด อยากได้แบบเนิบๆแต่ก็ไม่รู้จะใส่อะไร ควรทำไงดี
ค่อยๆเขียน ใจเย็นๆ ลองเขียนฉากเดียวด้วยการบรรยายหลายๆแบบดู แบ้วมึงจะเจอจังหวะการเล่าเรื่องที่มึงชอบเอง
เอ้อ ขอถามหน่อย มีใครที่ลงขายอีบุ๊คทั้งที่ไม่มีฐานแฟนคลับไหมวะ แบบหน้าใหม่ ยอดเม้นน้อยๆไรงี้ หรือคนที่ไม่ได้เอานิยายลงเว็บแต่แต่งจบละมาขายเลย (แบบไม่ได้มีชื่อมาก่อนอะนะ) ยอดเป็นยังไงกันมั่งวะ แบ่งปันกูหน่อย กูนี้ดข้อมูลมากๆ
แล้วทำไมมึงไม่ลงเว็บวะ คือยุคนี้มันก็มีแพลตฟอร์มให้มึงใช้ประโยชน์เยอะแยะในการโปรโมทก่อนลงขาย ใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ดิ ทำเพจ กดโฆษณา ถ้ามึงอยากได้ยอดจริงๆ มึงก็ต้องทำอะ จะมาเหนียมๆ เก็บตัวแล้วหวังให้คนมาเจอมันเป็นไปไม่ได้
กู 808 นะ คือกูก็ลงนะ สองสมที่ได้ ยอดเฟบถือว่าโอเคอยู่(สำหรับกูนะ คือกูก็ไม่รู้ว่ามันนับว่าน้อยหรือมาก ถ้าเทียบกับจำนวนตอน กูกะไม่เป็น) แต่ยอดเม้นนี่น้อยนิด ตอนนี้ลงได้ 10 ตอน มีเฟบ 85 ยอดเม้น 44 ซึ่งกูคิดว่าคนที่มาเม้นๆนี่ก็ไม่ชัวร์ว่าถ้ากูลงอีบุ๊ค เขาจะมาซื้อไหมอะ เลยอยากรู้ว่าของคนอื่นๆเป็นไงกันมั่ง
แง โคตรเงียบเลย
>>814 แบบนั้นถ้าหน้าใหม่แกะกล่องก็ถือว่าพอใช้ แต่พูดถึงยอดขายจริงจังกูว่าเป็นจำนวนคนติดตามที่น้อยไปหน่อยนะ สำหรับกูคิดว่าเรื่องไหนคนติดตามไม่ถึง 3 พัน จะให้ขายดี มีป้ายการันตีเป็นเรื่องยากพอสมควร งานบางงานคนตามห้าหกพันขายไม่ค่อยดีก็มี (กูชอบส่องบ่อยว่างานใครขายดีบ้าง ช่วงไหนลงเล่มก็เอางานตัวเองเป็นตัววัดเพราะลำดับมันก็เห็นๆ กันอยู่ งานหน้าใหม่บางคนขายดีกว่ากูก็มี) เว้นแต่งานมันมีอะไรบางอย่างดึงดูดคนได้อะ คือดูปก อ่านโปรย อ่านแล้วตัวอย่างก็รู้ว่างานมันขายได้เลยแบบนั้นก็มีโอกาสอยู่ ส่วนหน้าเก่าบางคนไม่ได้อัพบ่อยๆ ลงเล่มเลยโอกาสขายดีก็มีมากกว่า เอาเฟบมาชี้วัดลำบาก
หน้าใหม่กูว่าจะให้ขายดี เฟบ 20 ตอนควรหลักพันแล้วอะ แสดงว่างานมีอะไรดีให้คนตาม แห่ตามกันมาอ่าน แต่ที่ดีที่สุดมึงเขียนจบก่อนลงตอนสักหน่อยแล้วลง ebook ไปเลย ไม่ต้องรอเฟบเยอะ ใครทนไม่ไหวเขาไปซื้อ ebook อ่านต่อเอง มึงรอคนเฟบมากถ้าเนื้อหาไปเยอะแล้วคนเฟบๆ ไว้อาจจะไม่ซื้องานมึงแล้วก็ได้ หลายคนคิดว่ามันไม่คุ้มเงินเพราะได้อ่านนิดเดียว มึงไม่ต้องลังเลในการลง ebook ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ปิดเล่มไปแล้วก็เปิดเล่มใหม่ โอกาสมันมาเรื่อยๆ เท่าที่มึงปิดเล่มแล้วเปิดใหม่นั่นแหละ บางคนปังแต่แรก บางคนปังเรื่องสองเรื่องสาม
กูขอบ่นได้ไหมว่ะ นิยายกูยอดวิวตอน1-8มันเยอะนะมึง แต่ตอนหลัง10-20กลับน้อยลงมากกว่าครึ่งเหลืออีก เหมือนคนอ่านของกูแค่เปิดมาอ่าน2-3บทแรกแล้วก็ปิด ทำเอารู้สึกว่านิยายกูแม่งยังไม่ดีพอ คนอ่านเลยไม่สนใจตามต่อ กูอยากจะปิดแล้วแก้ใหม่หมดแต่กูก็อยากลงให้ขาประจำที่ตามเม้นกูตลอด กูพยายามที่ไม่สนใจยอดวิวแล้วเเขียนตามใจรักแต่แม่งทำใจยากสัส
ขอตอบมุมนักอ่าน คือเป็นคนเปิดเข้าไป ถ้าก๊อปมาแล้วลงพลั่วเลย เราไม่อ่านต่อนะ แต่ถ้าน่าสนใจคือ fav ไว้ ถ้ามันเป็นเล่มถึงจะซื้อมาอ่าน
สำหรับเราที่จะทำให้ยอมอ่านหน้าเว็บ ตัวขนาด 18 ปรับเป็นสีดำ ตัวอกษรถ้าได้คลอเดียจะดี แน่จะเปนอังสนาก็ยังไหว คือมันดูสบายตาดี พวกพิมพ์ในคอมแล้วลงเลยขนาด 14 กูไม่อ่านอะ แถมปล่อยไม่เปลี่ยนสี รู้ว่าปรับขนาดได้ แต่เสียสละอีกสักนิด นักอ่านเข้ามาไม่น้องควานหาปุ่มกดจะดีกว่ไหม
อันนี้พูดถึงอ่านหน้าเว็บ
จังหวะการเขียนกูไปคอมเมดี้ไม่ได้เลยว่ะ ลากเข้าดราม่าตลอด เฮ้อ
"ภาษาดี" ในความคิดของพวกมึงเป็นไงวะ
ช่วยแนะนำ นิยายภาษาดีให้หน่อย ถ้าไม่มีในเว็ปเอาเป็นเล่มก็ได้
เอาที่ซื้ออ่านง่าย ๆ นะ
>>824 ภาษาดี อันดับแรกคือ อ่านแล้วลื่นไหล รื่นรมย์ ใช้คำได้ถูกบริบท ไม่รวบรัดเกิน ไม่เยิ่นเย้อเกิน
ถ้าจะแนะนำนิยายภาษาดี ก็คงต้องเป็นของนักเขียนรุ่นใหญ่ ถ้าให้แนะนำนะ
ปิยะพร ศักดิ์เกษม...คนนี้ภาษาสละสลวย
กฤษณา อโศกสิน.....คนนี้ภาษามีเอกลักษณ์ มากอ่ะ คืออ่านแล้วดี แต่โทนเรื่องเค้าจะหนัก
โบตั๋น......คนนี้คือใช้ภาษาโครตธรรมดาเลย ไม่ใช่ภาษาแบบสละสลวยอะไร แต่วิธีเล่าเรื่องมันได้....สามารถทำให้ตัวละครดูหยาบคาย โดยไม่ต้องใช้คำหยาบ.. แต่ก็นะเรื่องเค้าหนักกว่าป้ากฤษณา อีก
>>831 กฤษณานี่รักหรอ ออกแนว slice of life นะเราว่า ชอบงานโบตั๋น โทนเรื่องคือบ้านมาก บ้านแบบชีวิตชนชั้นกลางเลยอะ อ่านแล้วมันชวนเอาใจช่วย จะผูกพันธ์กับตัวละครของโบตั๋นมากเพราะรู้สึกเหมือนเพื่อน ของปิยะพรเราชอบถึงขั้นรักเลยคือเรื่องใต้ร่มไม้เลื้อย อันนี้อ่านซ้ำกี่ทีร้องไห้ทุกครั้ง ทมยันตีนี่เราไม่อินกับแนวคิดเค้านะ แต่ยอมรับว่าเค้าเขียนได้เนียนและกล่อมได้อยู่ เรื่องค่าของคนเนี่ยตอนเด็กๆชอบมาก พระเอกเฮี้ยวน่ารัก อ่าานตอนนี้หรอ มึงไปตายซะไอ้เหี้ยยยยย 555555
ภาษาสวย สำหรับเรา คือปิยะพร ศักดิ์เกษม
ขอถามหน่อย เพื่อนโม่งมีใครใช้แท็บเลตเขียนนิยายมั่ง ปกติกูใช้โน้ตบุ๊ก แต่เจ๊งแล้วต้องซื้อใหม่ ช่วงนี้ไม่มีตังแล้วไม่อยากยืมคอมคนในบ้านด้วย เลยจะสอยแท็บเลตมาแก้ขัดก่อน กะเอารุ่นราคาเบาๆสีกสามพันอะ ถ้าพ่วงคีย์บอร์ดหรือไม่พ่วงเลยพอใช้พิมพ์สะดวกปะ มันจะมีแัญหาตอนอัปลงเว็บมั้ย
ห้องเซินเจิ้น กับ ตู้นิยาย ชอบหาว่านข.แปลงร่างมาอวยตัวเอง พวกมึงเคยแอบทำปะ
กูไม่เคยทำอะ ให้อวยนิยายตัวเองให้คนอื่นฟังไม่เขินเหรอ 55
>>843 กูเคยนั่งมองคนอื่นโดนด่าว่าเป็นกูด้วยนะ หาว่าโปรโมตนิยาย โดน 2-3 ครั้งแหนะ กูนี่แบบเฟลชิบหาย คือกูไม่ได้ทำอะ แล้วจะไปออกตัวว่าอิคนที่โดนด่าไม่ใช่กู กูตัวจริงอยู่นี่ต่างหาก ก็ไม่ใช่อะ เดี๋ยวจะพลอยโดนด่าว่าเข้ามาโปรโมตนิยายก่อนหน้านี้ใช่มั้ยอีก บอกไว้ตรงนี้เลยนะ กูคิดเหมือน >>847 คือไม่อยากให้นิยายตัวเองมีชื่อในนี้ด้วยซ้ำ คนติ 10 คนชม 5 งี้ ละคนติอะดีๆ ติเพื่อก่ออะ มันมีนะ อันนี้กูไม่ว่าหรอก แต่บางคนมันชอบติแบบแซะบ้างล่ะ ติมั่วบ้างล่ะ บางทีอิตัวคนตินั้นแหละเป็นคนที่ไม่ได้รู้ข้อมูลเอง พอมีคนมาบอกก็แค่ อ้อ กูเพิ่งรู้นะเนี่ยความรู้ใหม่ เออแล้วที่ด่ากูไปก่อนหน้านั้นล่ะว่ะ อิคนที่เข้ามาเห็นแต่ข้อความมึงแล้วไม่เห็นข้อความที่มีคนมาอธิบายล่ะ อย่าลืมดิ่คนเล่นโม่งบางคนแม่งไม่ได้เล่นทุกวัน บางคนก็ไม่ได้ย้อนอ่าน คนซวยมันคือกูอะ แล้วพอคนชมบ้างเสือกโดนหาว่าเป็นกูมาโปรโมตนิยายอีก กูนี่ก็แบบเชี่ยไรวะเนี่ย
นี่ละกูถึงคุยกับห้องนั้นอย่างไม่เคยมีความสุข ระแวงงงสูงว่าจะโดน ตอนนี้คนที่ชอบหาว่า นข เข้ามาโปรโมทคงเข้าใจอะไรมากขึ้น
นข.ใจบางไม่ควรเข้าห้องนั้นนะ แบบถ้าเจอคนติแรงๆนี่มีน้ำตาคลอแน่ๆกูว่า
>>850 กูว่าไอ่เรื่องติไม่เท่าไหร่ว่ะมึง อาจจะมีเฟลบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ต้องยอมรับแหละมึง แต่อันไหนที่มันเกินเบอร์ ติเอามันส์ก็ปล่อยผ่านบ้างก็ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่กูอยากบอกนักเขียนใจบางที่หลงเข้ามาในโม่งทุกคนเลย วิเคราะห์เอาอันไหนเขาไม่ได้หวังดีก็ไม่ต้องไปใส่ใจ
แต่กูเกลียดสุด เรื่องที่แม่งชอบหาว่านักเขียนคนนั้นคนนี้มาโปรโมตนิยาย มึงคิดดูถ้าคนที่มันโดนกล่าวหาว่าเป็นนักเขียน มันทำพฤติกรรมเหี้ยๆ นักเขียนที่โดนปรักปรำก็ซวยอีก มันเสียหายอะมึง ตัวอย่างจากเรปบนๆก็แสดงให้เห็นว่ามันมีคนเดือดร้อน จากพฤติกรรมของพวกที่สักแต่พูดอย่างไร้ความรับผิดชอบพวกนี้จริงๆ
>>847 จริงงง กูนี่ขอเลยว่าอย่าโผล่ บางทีเกริ่นชื่อมาเรื่องนึง โดนโม่งสาวประวัติยาวเหยียดไปถึงเรื่องก่อนๆ ยันเรื่องส่วนตัว มันไม่เคยจบที่นิยายเรื่องเดียวเลย รอดออกไปแบบศพสวยมีน้อยมาก เหมือนคนในนี้จ้องแต่จะด่าอยู่แล้ว กูขออยู่เงียบๆ จ่ายเงินยิงโฆษณาให้นักอ่านกูดีกว่ามาแปะให้ใครไม่รู้ในโม่งเห็น
ในนี้แม่งแหล่งรวมอคติ วิธีแก้เผ็ดคือถามแม่งกลับรัว ๆ บทนี้เป็นไงหรอ ตัวละครนี้เป็นไงบ้าง บทนำควรปรับยังไง
พวกนี้แม่งอ่านผ่าน ๆ เท่านั่นแหละ พอเจอซักแบบละเอียด หายเงียบทุกราย
กูเป็นคนอ่านที่ติเพื่อก่อตลอด แบบกูอ่านมาเยอะ กูเกลียดพวกติไม่สนสี่สนแปด ติไม่มีเหตุผล มาด่าทิ้งระเบิดโครมแล้วจบ นักเขียนกับแฟนคลับที่เค้าชอบมาอธิบายก็ไม่ฟัง กูไม่ให้ราคาพวกนั้น พวกมึงที่เป็นนักเขียนก็อย่าไปให้ราคา คนอ่านซื้อเรื่องของมึงถ้าเค้าจะซื้อ คนไม่ซื้อแม่งก็ไม่ซื้อ บางเรื่องกูรู้เลยว่าติเพราะอคติ ติเพราะเวลมึงอ่านไม่ถึงเอง อ่านไม่รู้เรื่อง
>>853 ใครมันจะไปตอบละเอียดๆ ให้วะ คนปกติก็อ่านกันผ่านๆ ว่ากันตามที่อ่านนั่นแหละ มึงจะเอาละเอียดเป็นการเป็นงานก็ให้บรรณาธิการมาตรวจดีกว่านะในโม่งคงไม่มีใครเสียเวลามาตอบให้มึงละเอียดขนาดนั้นหรอก
เรื่องนิยายนี่ในโม่งมันก็คนอ่านคนเขียนปกติ มีคนชอบมีคนไม่ชอบ ยิ่งเรื่องไหนคนอ่านเยอะความเห็นต่างมันก็เยอะตาม พวกอคติชอบดราม่าก็มาก มึงจะขอนิยายแนะนำนิยายกูว่าไปเข้ากลุ่มในเฟสดีกว่าถ้าเป็นนิยายไทย
นักเขียนที่ทำมือเขาจ้างพิสูจน์อักษรกันปะวะ
หรือเขียนเอง ตรวจเอง พิมเอง
>>863 ได้หมดถ้ามีความสามารถ แต่พิสูจน์อักษรนี่มันไม่ใช่สักแต่ว่าตรวจคำผิดอะ มันมีหลักการใช้ภาษาไทยที่ต้องเข้าใจหลักการจริงๆ ด้วย เหมือนคนเรียนอักษรเขาไม่ได้เรียนมาตรวจคำผิด เขาเรียนพวกทฤษฎีของภาษาด้วยซึ่งคนปกติก็จะใช้ผิดอยู่บ่อยๆ
ปัญหาหลักๆ คือการทำงานร่วมกัน บางทีนักเขียนไม่โอเคอยากใช้คำผิดที่คนทั่วไปเข้าใจว่าถูก ซึ่งมันขัดกับสิ่งที่พิสูจน์อักษรเรียนมา เข้าใจก็เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ พิสูจน์บางคนแม่งก็ไปเปลี่ยนสำนวนคนอื่นเขา การทำงานมันเลยสำคัญที่ตัวบุคคลระดับหนึ่ง ไม่ใช่ใครก็มาเป็นพิสูจน์ได้ หรือเรียนอักษรมาแล้วจะเป็นพิสูจน์อักษรได้เลยเหมือนงานแปลบางคนแปลทื่อบางคนสละสลวยก็แปลเหมือนกันแต่มันก็ไม่ได้เหมือนกัน การทำงานถ้าทำงานร่วมกันไม่ได้มันก็ไม่ได้อะ ถ้าแค่ตรวจคำผิดมันไม่ต้องเรียนมาก็ได้
ส่วนราคามันก็หลายแบบ เอาพวกรับอิสระนะแบบประจำสำนักพิมพ์ที่ไม่ใช่คนนอกเขารับเงินเดือนของเขาอยู่แล้ว พวกรับอิสระมีแบบคิดเหมาเป็นเล่ม คิดเป็นหน้า (ปกติก็ a4 ขนาดอักษรเท่าไหร่ก็ว่าไป) คิดเป็นจำนวนคำ คิดเป็นอักษร แล้วแต่คนจะคิด มันไม่ตายตัว พอมึงเริ่มทำมาหลายเล่มก็อาจจะเจอราคาเหมาให้แบบคุยง่ายๆ คิดง่ายๆ แต่แม่งต้องเกรงใจกัน ไม่ใช่เล่มแรก 150 หน้า ราคานี้ เล่มต่อมา 300 หน้าจะเอาราคาเดิมมันก็ไม่ใช่ บางทีเกินมานิดหน่อยเขาไม่คิดมาก ขาดไปนิดหน่อยไปขอต่อพิสูจน์อักษรแม่งก็อาจลาขาดเหมือนกัน อยู่ที่ดีลแล้วพอใจกันไหม พวกใหม่ๆ ก็จะหาที่ถูกๆ ก่อน พวกจ้างบ่อยก็เริ่มคิดแล้ว คนนี้ทำงานโอเคไหม คนนี้ทำงานเร็วไหม คนนี้ชอบดองงานไหม ราคาแม่งจะเริ่มเป็นปัจจัยรองคุณภาพงานจะเริ่มเป็นปัจจัยหลัก
กูขอถามเกี่ยวกับ สนพ. หนึ่งหน่อยได้ไหมอ่ะ ไม่รู้จะไปถามที่มู้ไหนดี Orz
คือ สนพ.สถาwร เนี้ย ชอบเทนักเขียนหรอวะ แบบ ไม่มีการติดตามงานนักเขียนให้เขียนต่อ บางเรื่องพอทำรูปเล่มออกมาไม่ดี ออกไม่กี่เล่มก็เทเขาเฉย ทั้งๆ ที่นักเขียนเขายังเขียนต่ออยู่ ส่วนนักเขียนบางคนที่ไปเปิดเรื่องใหม่ เพราะเรื่องเก่าตัน สนพ. ไม่มีการกำหนดเดดไลน์ หรือวิธีกระตุ้นนักเขียนอะไรเลยหรอ ปล่อยให้หายไปเฉยๆ สุดท้ายก็ตัดทิ้ง ลบหนังสือของนักเขียนคนนั้นออกจากเว็บ ไม่ประกาศไรต่อสักอย่าง
กูเฟลมาก กูอยากอ่านต่อ
เดี๋ยวนี้เราตามนักเขียน ไม่ได้ตาม สนพ.แล้ว ถ้าเจอที่ชอบ ถ้าสนพ.ไม่ตีพิมพ์ให้ เราก็พร้อมเปย์งานทำมือ หรือออกกับที่อื่น เราก็ตามไปซื้อ หรือจะออกแค่อีบุ๊คก็ตามไปสุดหล้า อยากให้ นข มีกำลังใจทำต่อ เพราะบางครั้งถึงจะปวดใจแทนนักเขียน แต่ก็เรื่องจริงของนักเขียนที่เราชอบเขาเขียนงานใสๆ แล้วไม่ดัง จากนั้นก็หายไปกับสายลม 😭
บางทีคนเขียนก็ตันไปต่อไม่ได้ นักเขียนไม่ใช่พนักงานตามได้แต่เขาไม่ทำหรือทำออกมาไม่ได้มันก็ไม่มีต้นฉบับให้ทำเล่ม บางทีทำออกมาแล้วขาดทุนสะสมหนักเกินก็ต้องตัดจบ งานนิยายสมัยนี้ความสัมพันธ์คนเขียนคนทำมันไม่ได้ผูกพันอะไรกันขนาดนั้น อยู่กันด้วยผลประโยชน์จากกันด้วยผลประโยชน์ คือทุกคนก็ต้องเอาตัวเองให้รอดกันก่อน บางทีนักเขียนเขาเขียนออกมาได้แต่โดนลดยอดพิมพ์เขาก็ไม่อยากเขียน ได้ตังค์น้อยไปเขียนเรื่องอื่นดีกว่าไหม ระบบสำนักพิมพ์แต่ก่อนนี่คือต้องรอหนังสือวางร้านสักระยะคนเขียนค่อยได้รับเงิน แล้วหนังสือกว่าจะทำลงร้านได้เสียเวลากันไปอีกหลายเดือน บางคนเขารอไม่ได้ บางคนเขาก็ไม่ไหว หลายเดือนไม่มีเงินมาหมุนจะอยู่กันยังไง เล่มหนึ่งกว่าจะเขียนออกมาได้ใช้เวลาไปเท่าไหร่แล้ว ส่วนสำนักพิมพ์ถ้าจ่ายเงินให้มากตัวเองขาดทุนจะทำไปทำไม ทำออกมาแล้วขาดทุนหนักจะทำยังไงต่อ อันนี้พูดรวมๆ หลายที่นะไม่เจาะจง เหตุผลเรื่องไม่เขียนต่อมันเยอะ แต่หลักๆ ก็เรื่องผลประโยชน์ ไม่ของนักเขียนก็ของสำนักพิมพ์
สอบถามหน่อย เรามีวิธีเช็กไหมว่า สนพ. เอานิยายเราไปตีพิมพ์ครั้งต่อไป แค่สงสัยน่ะ สมมติตีพิมพ์1000เล่ม ละขายหมดพันเล่ม ก็ต้องพิมพ์ครั้งที่2 ใช่มะ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า สนพ. มันพิมพ์ ไฟล์เลยไรก็อยู่กะทางนั้นหมด คือไม่มีประสบการณ์เลย
ขอบคุณสำหรับคำตอบล่วงหน้านะ
พวกมึงคิดว่าต้องเขียนขนาดไหนถึงจะเรียกตัวเองว่า "นักเขียน" ได้วะ
หรือแค่เริ่มเขียนบันทัดแรก ก็เป็นนักเขียนได้เลย
ความคาดหวังของคนช่างน่ากลัว ของกูอะเหรอ เปล่าเลย ของนักอ่านต่างหาก
ปกติเขียนตอนละกี่คำกันเหรอ กูล่อไป 4-5 พันคำเลยอ่า แต่เวลาอัพก็แบ่งอยู่นะ
>>881 ของกูไม่นับอะ กูไม่ชอบกะเกณฑ์ว่ะ กูรู้สึกว่า เวลาไปกำหนดมากๆ แล้วมันจะลดความสมบูรณ์ของจินตนาการ เวลาเขียนก็จะกดดันด้วยว่ามันจะเกินมั้ย ในหัวกูยังเขียนไม่หมดเลยทำไง ตัดตอนไปไว้อีกตอนหรอ แต่เนื้อหามันต่อเนื่องกันยุนะ บลาๆๆๆ อันนี้คือส่วนตัวกูนะ ส่วนคนอื่นมันก็แล้วแต่สไตล์การเขียนของแต่ละคนด้วย แต่ใส่หมดก็ไม่ใช่ว่ายัดเยียดลงไปให้เยอะไว้ก่อน ของกูถ้าตอนไหนแม่งได้ 10000 ก็ตามนั้น ตอนไหนได้ 2000 ก็ตามนั้น ไม่ตัดและไม่ยัดเยียดเนื้อหาเพิ่ม
มีปัญหาคำนับญาติว่ะ ช่วยที เด็กจะเรียกเมียของลุงว่าอะไรวะ แต่เมียลุงอายุน้อยกว่าแม่มันนะ อธิบายงง เอาแผนภาพไปดีกว่า
https://uppicimg.com/v/2gH4Qf6k
>>887 เว็บกาก เอาใหม่ https://m.imgur.com/a/SrwLnEB
เเล้วเมียลุง ไม่ใช่พี่น้องกะแม่มันใช่ปะละ
Ky พวกมึงเคยเจอนักอ่านเม้นด่าให้เปลี่ยนcharacter ตัวละครกันบ้างมั้ยวะ ทำนองว่านางเอกงี่เง่าปัญญาอ่อน รบกวนปรับปรุงนิสัยนางใหม่ด้วยนะคะ กูแบบเหวอมาก ไม่เคยเจอ จู่ๆ ก็โดนด่า แล้วเหมือนเขาอ่านตอนนั้นไม่ละเอียด กูใส่เหตุผลอธิบายไว้เรียบร้อยแล้ว พอด่าเสร็จก็หายเข้ากลีบเมฆ เหมือนเห็นนิยายกูเป็นถังขยะมาระบายอารมณ์ใส่อ่ะ เฟลมาก
>>894 เจอบ่อยมาก แต่มึงต้องเข้าใจว่าทุกคนไม่ได้ชอบเหมือนกัน นางเอกมึงอาจจะน่ารักสำหรับคนกลุ่มหนึ่งแต่อาจน่าหมั่นไส้ในสายตาคนอีกกลุ่มก็ได้ เป็นนักเขียนก็เหมือนดารา ต้องทำใจว่ะ แต่เดี๋ยวนี้นักอ่านคอมเม้นฮาร์ดคอร์ขึ้นเยอะจริงๆ ถ้าจะลงไปโต้ตอบก็ไม่รุ้มหรอก ชื่อเสียงสร้างยากแต่ทำลายง่ายนิดเดียว ถ้ามึงไม่ชอบก็เมินไป ใส่ใจกับนักอ่านที่คอยติดตามมึงดีกว่า
มึง พวกมึงชอบอ่านนิยายแบบไหนกัน มีบทบรรยายเยอะ ๆ มีบทสนทนาน้อยกว่า แต่เป็นบทสนทนาที่มีแต่เนื้อ ไม่มีการให้ตัวละครคุยสัพเพเหระ กับการบรรยายน้อย แต่ตัวละครสื่อสารกันเยอะ คุยกันเยอะ ๆ ขอถามหน่อย
ชอบแบบพอดีๆ สนทนากับบรรยายทำได้พอดีลงตัว สนทนาแล้วมีบรรยายเสริมบรรยากาศบ้างไรงี้
กูได้ยินมาว่าเด็กสมัยนี้ติดจอยจนอ่านนิยายบรรยายไม่ได้แล้ว ตกใจนิดนึงเพราะกูสายนิยายเน้นโวหารบรรยาย ไอ้พวกที่มีแต่บทพูดล้วนกูไม่ชอบอ่ะนะ
พวกมึงคือกูถามหน่อยสิ กูเจอนิยายเรื่องนึงในดด. ของนขคนหนึ่ง ออกแนววัยรุ่นๆ หน่อย ตอนแรกกูเข้าไปดูเพราะกูเห็นยอดเมนต์เขามากกว่ายอดเฟบ กูเลยแปลกใจ เพราะไม่ค่อยเจออะไรแบบนี้ แต่พอกูลองอ่านเมนต์ มึงเอ๊ยคนละสองร้อยเม้นท์อะ คือเม้นติดๆ กันถี่ๆ กูงงมาก แบบนี้ก็ได้เหรอ เหมือนนขเขาขอร้อยเม้นท์ คนเม้นเลยเม้นท์ให้ไปสองร้อยข้อความเดิมเป๊ะ ด้วย กูไม่ค่อยชอบพฤติกรรมแบบนี้เท่าไหร่ว่ะ เวลากูเขียนกูก็รอฟีดแบล็กกลับมา มาถามมู้นี้ว่าพวกมึงเคยเจออะไรแบบนี้ป่าว แล้วทำแบบนี้มันได้อะรายยยยย
>>902 มีบ่อยไป เม้นท์ถึงเท่านี้เท่านั้นจะมาอัพ หรือแบบขอกำลังใจหน่อยค่ะ อันนี้ขอแบบเลี่ยงๆ แต่ก่อนเคยหลงไปอ่านของ นข วัยรุ่น ของแจ่ม คุณ Hi เขาจะแบบมาอัพ แต่แบบ Loading จะมาแบบเนี่ย คนก็ รอค่ะ เป็นกำลังใจค่ะ เขาขอกะลังใจในการอัพ คือเขียนต้นฉบับแล้วนะ แต่ขอก่อน ยอดเมนท์พอใยแล้วจะมา คนอื่นกูเปิดเข้าไปดูก็เจอบ่อย พวกที่ดังๆ พระเอกถ่อยๆ แต่กูว่าอาจได้ตัวอย่างมากจากคุณ Hi นี่แหละ เพราะแตาละคน นิยายเหมือนจะได้แรงบันดาลใจมากจากคุณ Hi เพราะพระเอกสไตล์ หล่อ ฮอต ร้าย เลว เหมือนกันหมด
>>903 อันนี้กูยืนยันอีกเสียง คุณฮสมัยนั้นอัพหลอกบ่อยชิบหาย แบบเม้นถึงเท่านี้จะมาลงเนื้อเรื่องนะ ฟคก็รอนะคะ ติดตามนะคะ สู้ๆนะคะ
รำคาญสัส กูไม่ได้อ่านนิยายเค้านะ แต่เค้าอัพหลอกบ่อยจนอยู่ในหน้าอัพเดทตลอด เวลากูจะลองหาเรื่องใหม่ๆแต่มาเจอแต่เรื่องเดิมๆมันน่ารำคาญอ่ะ
ขอถามหน่อย เราควรลงจนจบเรื่องเลยแล้วค่อยเอาลงขาย หรือลงแบบไม่จบแล้วขายดีวะ
กูแนะให้ลงจนจบแล้วทยอยปิด คนที่ตามงานสนับสนุนกันมาควรได้อ่านจนจบ ้พราะกูว่านักอ่านเหล่านี้ช่วยให้เรามีกำลังใจเข็นมันจนจบ คนที่พึ่งมาตามถ้าเค้าชอบเค้าก็จะไปเก็บต่อเอง
บางเรื่องกูอ่านนะแต่ถ้าซื้ออ่านจบแล้วก็ถอนเฟ็บอ่ะ แบบกูขี้เกียจเช็คอัพเดทหลายๆเรื่องอันไหนอ่านจบแล้วคือถอนออกเลย
อยากให้คนอ่านเม้นต์ให้มากกว่านี้อะ บางทีแต่งตอนนึงตั้งนานได้รับคอมเม้นต์มาว่า รอนะ รอตอนต่อไป
กูก็ดีใจแหละ ดีใจมากๆ ที่มีคนรออยู่ มีแรงฮึดแต่งตอนใหม่ แต่บางทีก็อยากให้เขาหวีดๆ หรือพูดถึงฉากที่กูแต่งในตอนนั้นบ้าง T.T คิดไปคิดมาก็แอบเครียด เอ หรือว่านิยายกูมันไม่สนุกวะ เขาก็เลยเม้นต์ส่งๆ ไป ไม่ประทับใจอะไรเป็นพิเศษ
เคยมีคนเม้นต์ชมว่าพระเอกนิสัยน่ารัก ตอนนั้นกูยิ้มดีใจหน้าบานไปทั้งวันเลย ฮืออ นานๆ ทีจะมีคนเม้นต์อะไรที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
>>915 ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะ ย้อนไปก่อนหน้านี้ประมาณปีกว่า กู...เป็นนักเขียนที่เม้นไม่มีเลยครับ เข้าใจดีที่สุดของที่สุด คืองานของกูไม่ใช่แนวตลาด ลงแรก ๆ ไม่มีคนเม้นเลย ต้องลงไปเรื่อย ๆ เกือบปีถึงจะมีแฟนประจำมาคอยเม้นให้
กูก็เคยคิดแบบนี้แหละ "คนเม้นอยู่ไหนวะ วิวก็เยอะแต่คนเม้นไม่มี"
กูเลยลองไปเป็นคนอ่านบ้าง ปรากฏว่าแม่มเจอปัญหาสารพัด บางเรื่องในแต่ละตอนมันธรรมดามาก ไม่มีอะไรน่าพูดถึง (จะบ่นก็ไม่ได้โดนไล่อีก) หรือบางทีจะเม้นให้กำลังใจ อีระบบเว็ปแม่งก็ค้าง สุดท้ายไม่เม้นแม่งเลย ไปเม้นตอนจบทีเดียว
แล้วระบบแม่งต้องค้างเฉพาะตอนเม้นยาวด้วยนะ ค้างทีจากสิบบรรทัดกูลดเหลือสองบรรทัดอะ บางที
เรื่องเม้นเนี่ยคือต้องทำใจมากๆถ้ามีก็ดี ไม่มีก็สู้ต่อไป
ขอบคุณที่ตอบนะ ก่อนจะมาลองเขียนกูก็เป็นนักอ่านมาก่อนเหมือนกัน ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เข้าใจทั้งสองฝ่ายอะ
ตอนนี้กูคิดได้ละ เพราะลองไปไล่อ่านนิยายตัวเองดูก็รู้สึกว่าแม่งไม่มีจุดพีคที่น่าสนใจจริงๆ นั่นแหละ จะร้อง...
ปกติเวลาคอมเม้นต์ยาวๆ กู copy เม้นต์ตัวเองเก็บไว้เลย ทำบ่อยจนชินเพราะรู้ว่าเว็บมันต้องล่ม ต้องค้าง ข้อความต้องหาย ต้องเกิดอะไรสักอย่างให้กูเม้นต์ไม่ได้แน่ๆ เว็บเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย บางทีเม้นต์ตอบนักอ่านก็ไม่ได้55555
มึงคือกูมีปัญหาว่ะ แต่งนิยายแล้วเวลามาอ่านทวนรู้สึกว่าสำนวนตัวเองมันแปลก ๆ คือสำนวนกูมันจะคล้ายกลอน กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสำนวนกูถึงเป็นแบบนั้น แต่อ่านแล้วแม่งไม่คุ้นตาซิบหาย กูก็เลยกลัวว่าคนอ่านเขาจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ กลัวว่าจะสื่อเหตุการณ์แต่ละฉากได้ไม่ถูกต้อง ทำเอากูไม่กล้าแต่งนิยายต่อเลยว่ะ
เจอเมนต์มาแนวๆ ถามสปอยล์นี่จะตอบยังไงให้น่ารักวะ เพิ่งเจอแบบนี้ ไม่อยากเสียคนอ่าน ยิ่งมีน้อยๆ อยู่
เออ ถามหน่อยพวกมึงซีเรียสเรื่องการบรรยายการงานตัวเอกแค่ไหนกัน กูน่ะแค่ต้องการบอกว่าที่ตัวเอกเรียนมาคนละสายกับกิจการที่บ้านเลยไม่ได้ไปทำด้วย อย่างสมมติที่บ้านเป็นเจ้าของห้าง แต่ตัวเอกเรียนโบราณคดี/วิศวะ/เภสัชทำนองนี้เลยไปสมัครงานที่อื่นทำเอา แต่กูไม่ได้พูดถึงไอ้พวกฉากโชว์เมพลงลึกเรื่องสาขาอาชีพมันนี่จะรู้สึกตะหงิดๆ ป่ะวะ แค่บรรยายว่าอ่ะมันเข้าบ.ทำงานของมันไปละมีไปวันๆ ละก้เป็นฉากดำเนินเรื่องทั่วไป
กูว่ามึงแต่งให้พระเอกจบมาอย่างทำอีกอย่างเพื่ออะไรสำคัญกว่า
มันมีผลกับคาร์หรือเนื้อเรื่องในอนาคตรึเปล่า ต้องมีฉากที่พระเอกโชว์สกิลของที่เรียนมามั้ย ถ้าบรรยายความเทพโดยไม่มีจุดหมายก็ไม่ต้องเสียเวลา ไม่เป็นไรหรอก
กูเขียนตัวละครไม่มีสกิลอะ ทำงานตามหน้าที่ไปวันๆ เลยง่ายหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกะเช้าชามเย็นชา
Meb นี่มันโอนเงินทุกวันที่เท่าไหร่นะ
แก้ๆ แล้วมันดูได้มะว่าในแต่วันว่าวันนี้ขายได้กี่เล่มแล้ว หรือต้องรอสรุปยอดเป็นรายเดือนอะ
คนอ่านซื้อหนังสือไปเรื่องนึง มีสิทธิ์วิจารณ์ได้ขนาดไหนวะ กูเฟลมาก รำคาญมาก มีคนไปคอมเม้นท์นิยายเรื่องล่าสุดของกู ว่าเคยอ่านเรื่องแรกแล้วไม่ชอบ เชี่ยเอ๊ย มันคนละเรื่องกันป่ะ
>>944 มึงลงขายในไหนวะเพื่อน กูลงในเมบ มีนักอ่านคอมเมนต์ว่าสั้นไป กูแบบอ้าว สั้นไปก็ไม่ได้ราคาเท่านี้ กูอยากขายถูก ๆ แต่กูก็ต้องคำนึงถึงปากท้องตัวเองบ้างอะ ให้เขียนเยอะ ๆ แต่ขายถูกมาก ๆ แล้วกูจะเหลืออะไรวะ
หลัง ๆ กูไม่อยากลงเมบละ บอกตรง ๆ กลัวประสาทแดก ความคิดคนขายกับคนซื้อมันต่างกันเกินไป หาจุดลงตัวไม่ได้อีเหี้ย รำคาญ ต่อไปนี้ส่งสนพ.อย่างเดียว
เดือนแรกพวกมึงขายได้เท่าไหร่กันบ้างวะ อยากรู้
คือ บางทีกูก็งงใจกับนักเขียน มึงทำงานศิลปะนะ เปิดใจหน่อยค่ะ มันก็มีทั้งชอบและไม่ชอบปนๆ กันไป คือถ้ามันอ่านแล้วไม่สนุก จะให้เขาไปบอกต่อว่าสนุกเหรอ สิ่งที่มึงทำได้อะ ตั้งสติแล้วมองดูนิยายตัวเองอีกทีสิ หาความแปลกใหม่ พัฒนาตัวเอง คนที่เขาไม่ชอบงานมึงอะเขาก็คงไม่กลับมาแล้วละ แต่ตอนที่มันไปบอกคนอื่นว่ามันไม่ชอบ มันไม่ดี ถ้าเขาเชื่อมันก็เรื่องของเขาบางครั้งข้อไม่ดีที่เขาบอกไป มันก็ไปช่วยคนอ่านตัดสินใจ เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็คงแล้วแต่คนที่มาอ่านรีวิวอ่านคอมเม้นท์ บางคนเคยเห็นคอมเม้นท์แล้วกูคนละเทสกัน เล่มไหนเขาบอกไม่ชอบ แต่กูอ่านรอด บางคนเขาก็ไปลองของมึง เอาเวลาที่มึงบ่นเขียนงานใหม่ คนอื่านใหม่ๆ เดี๋ยวก็มา เขาก็จะไปตามซื้ออีก พอนานไปมึงมีคนชอบเยอะขึ้น เดี๋ยวก็มีคนช่วยเถียงอิคนนั้นเองแหละว่า เราอ่านแล้วชอบค่ะ เพราะ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กูไม่ใช่นักเขียน แต่เสือกผ่านมา อ่านจะเขียนงงๆ
>>952 เป็นโรคชนิดหนึ่งมั้ง กูก็ไม่รู้เหมือนกัน เวลามีคนชมนิยายกู กูก็พิมตอบ "ขอบคุณ" ปกติ
แต่พอมีคนมาเม้นในแง่ลบ กูนี่ตอบยาวสี่ห้าหน้า เช่น มีคนมาบ่นเรื่องความไม่สมเหตุสมผล ถ้ากูสามารถแถได้ กูก็จะแถจนกว่าแม่งจะเข้าใจ หรือเงียบหายไป
กูว่ามันต้องเป็นโรคอย่างหนึ่งแน่เลย
กูว่าไม่ควรแถนะ ควรตอบขอบคุณสำหรับคำแนะนำ หรือถ้ามันมีจุดผิดพลาดจริงๆก็ควรบอกว่าน้อมรับแล้วจะนำไปปรับปรุงในเรื่องต่อไป
เอาจริง ๆ ถ้าตามเมนต์ไปทุกเรื่องแบบนั้นกูก็รำคาญว่ะ กูเป็นพวกความอดทนต่ำด้วยนะ ใครมาเมนต์นิยายที่กูลงให้อ่านในเว็บแบบในแง่ลบ แนว ๆ ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต้องอ่าน กูแบบปรี๊ดมากอีเห้ แต่สุดท้ายกูก็ลบเมนต์นั่นทิ้งอะมึง บั่นทอนจิตใจ กูไม่ชอบ เกลียด และไม่อยากเห็นด้วย
พวกมึงขายหนังสือในเมพเดือนแรกปกติขายกันได้ประมาณกี่เล่มวะ กูอยากรู้เป็นแนวทางอะ กูเห็นยอดขายตัวเองละท้อมาก
ปรึกษาหน่อยว่ะ คือกูจะพิมพ์นิยายเล่มแรก พอบวกลบคูณหารนู้นนี่ ต้นทุนแม่งเยอะชิบหาย แถมพิมพ์น้อยอีกต่างหาก
คือถ้ากูตั้งราคาปก แพงกว่าจำนวนหน้านี่ ถือว่าน่าเกลียดปะวะ เคยเห็นมีคนบอกว่าราคานิยายไม่ควรแพงกว่าจำนวนหน้า
>>967 กูว่าน่าเกลียดว่ะมึง เว้นแต่มึงจะมั่นใจว่างานมึงเจ๋งคูลมาก ซึ่งอันนี้ต้องอยู่ที่ลูกค้า/นักอ่านมองด้วย แต่กูเห็นใน meb โดนนักอ่านเม้นว่าหลายราย พวกที่ราคาแพงกว่าจำนวนหน้าอะ อย่างกูเอง ขนาดว่าจำนวนหน้าตั้ง 400 กว่า กูขาย 299 ยังโดนนักอ่านว่าเลยว่าแพงไปสำหรับนักเขียนโนเนม กูก็เฟลไปสักพักเหมือนกัน
>>966 ขายดีพอประมาณ มีป้ายแดงติด และมีคนขายดกว่ากับดีกว่ามาก หมวดที่คนอ่านค่อนข้างเยอะ(ไม่ใช่วายนะ) กูประมาณ 150 -300 เล่ม แต่ยอดประมาณนี้กูคิดว่าไม่ได้มีมากอะ จากที่สังเกตนิยายที่อยู่เหนือกูนะ แล้วทุกเล่มต้องติด top paid หน้าแรกอันดับบนๆ ด้วย ยอดประมาณนี้ ยอดจะตกลงทุกเดือน ขายพอได้แต่ละเล่มประมาณ 3 เดือน ยอดจากนั้นจะเริ่มช้าแล้ว
>>967 มีงไปเขียนตอนพิเศษเพิ่มหน้ากระดาษ เรื่องที่แพงกว่าหน้ามันก็มี แนววายกูเห็นหลายเรื่อง สุดท้ายมันก็ดูกันที่ยอดขาย ขายแพงโดนด่าแต่ขายดีก็แสดงว่าคนอ่านส่วนใหญ่เขาคิดว่าคุ้มเงินเขา มึงอย่าเอาความเห็นคนโดนด่าเป็นที่ตั้ง ทำแล้วขาดทุนอย่าไปทำ ให้ดูยอดขายเป็นหลักว่าคนอ่านเขาโอเคไหม คนซื้อเขาชอบแล้วไม่พูดอะไรเยอะแยะ คนไม่ซื้อด่าฉิบหายก็เยอะแยะเหมือนกัน แต่ถ้ามันน่าเกลียดมากไปในความคิดมึงก็อย่าไปทำ เช่นมีสองร้อยหน้ามึงขายสามร้อยห้าสิบงี้ สำหรับกูก็เกินไป ถ้ามีสักสามร้อยหน้าขายสามร้อยห้าสิบ ถ้าสนุกกูก็ไม่ซีเรียสที่จะอุดหนุน
กูอยากรู้ว่าขายใน meb มันขึ้นชื่อคนซื้อเปล่าอ่ะ หรทอขึ้นแต่ยอดซื้อ??
คือมึงแค่ดูจำนวนคำในเวิร์ดอะ มันมีบอกอยู่แล้ว
พวกมึงเป็นกันปะวะ เขียนนิยายเรื่องนึง แรก ๆ ก็สำนวนอีกแบบ กลาง ๆ เรื่องสำนวนอีกแบบ เห้อ กูเบื่อที่ต้องมารีไรท์ให้สำนวนมันเท่ากันอะ
>>979 เป็นเหมือนกัน เรื่องกูรีไรท์แม่ง 4-5 รอบ เขียนๆไปสักพักสำนวนเปลี่ยนอีกละ นักอ่านบางคนหาว่ากูรีไรท์เรียกยอด กูหงุดหงิดมากเลย กูนี่อยากจะบอกมากว่า มึงดูหน่อยได้ว่าสำนวนแต่ละตอนมันต่างกันแบบไปคนละหมวด เขียนไทยโบราณดีๆ กูก็เผลอเอาการพูดแบบจีนมาใส่บ้าง แฟนตาซีมาใส่บ้าง มึงอ่านๆกันนี่ไม่รู้สึกเลยหรอ กูกลับมาย้อนอ่านซ้ำยังอยากกดปิดเลย คิดว่ากูอยากรีไรท์บ่อยๆนักรึไง เหนื่อยจะตายห่า ถ้าเลือกได้กูก็ไม่อยากรีไรท์หรอก
สำนวนกุสลับไทยกับแก้วกานต์ว่ะ แต่ก็ยังเขียนไปๆๆ ไม่สน เอาให้จบก่อนค่อยรีไรท์ ยากสุดในการเขียนคือแม่งไม่จบสักทีนี่ละ พล็อตยังกะถั่ว งอกได้งอกดี
กูหนักใจแฮะ
คือแม่งช่วงนี้รู้สึกเพลียๆ กับงานประจำจนไม่ได้เขียนนิยายเลย แล้วก็ไม่รู้บังเอิญเป็นเหี้ยอะไรที่ตรงจังหวะมาก สื่อรอบตัวกูแม่งชอบประโคมเนื้อหาทำนอง "จงเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะชีวิตมันคือความไม่นแน่นอน" อะไรทำนองนั้น ซึ่งแม่งก็เสือกกระตุ้น "ต่อมอยากเขียน" กูขึ้นมาพร้อมกับความที่คิดว่า "ลาออกจากงานดีกว่า" ซะงั้น!!
สัด!! ถ้ากูไม่ทำงานก็ไม่มีแดกอะดิ!! ...แต่ถ้าทำงานก็ไม่มีเวลาเขียนนิยายนะ~ ฮ่วย!
ถ้ามึงคิดจะเป็นนักเขียน แต่มึงค่อนข้างจะโนเนม
สมมุตขายเล่มนึงได้กำไร 100 บาท
มึงใช้เวลาเขียน อย่างเก่งก็สองเดือนต่อเล่ม สมมุติเล่มนึงมึงขายได้ร้อยคน 100x100 = 10000
ปีนึงมึงปั่นได้ 6 เล่ม 10000x6 = 60000 เฉลี่ยแล้ว มึงมีรายได้ 60000/12 = 5000 บาทต่อเดือน
แค่ค่าแดกก็หมดแล้วม้าง 5555555
กูเห็นด้วยนะ งานประจำไปก่อนถึงจะเหนื่อยเวลาเขียนน้อย ไว้มั่นใจว่ามั่นคงระดับนึง
เมื่อไหร่ค่อยออกมาเขียนอย่างเดียวยังไม่สาย
คุมตีมไม่อยู่ เปิดด้วยคอเมดี้ ไปๆ มาๆ ดราม่าเฉย แถมหาทางลง HE ไม่เจอ //ท้อแล้ว
กูรู้นะว่ามันกว้างมาก แต่ทำยังไงให้วรรณศิลป์อยู่ในระดับเทพๆว่ะ
>>992 ที่กูเคยเรียนมาในคลาส มึงต้องอ่านเยอะ ๆ สังเกตเยอะ ๆ ว่ะ โดยเฉพาะอ่านวรรณคดี แต่ก็อีกนั่นแหละ พวกวรรณคดี มึงต้องมีคนสอน คนชี้แนะ คนพาให้รู้ว่าตรงนี้มีวรรณศิลป์อะไร อะไรแบบนี้ ง่าย ๆ คือต้องมีอาจารย์อะ แต่ถ้ามึงจะลองเองก็ได้ แต่มึงต้องอ่านเยอะ ช่างสังเกต เอามาปรับใช้
>>992 มึงต้องอ่านเยอะและหลากหลายแนวด้วยแต่ละแนวมันมีการปูความ เร้าอารมณ์ที่ต่างๆกัน และต้องหัดวิเคราะห์การใช้ภาษา อย่าแค่อ่านเอาเรื่อง คนอ่านมีตั้งแต่อ่านเอาเรื่อง อ่านเพื่อบันเทิง อ่านเพื่อขบคิด คนเขียนต่อให้เพื่อบันเทิงเป็นหลัก
ก็จำเป็นต้องขบคิดว่าจะสร้างความบันเทิงที่ซับซ้อนกว่าการเล่าเรื่องอย่างไร
พูดถึงเรื่อง วรรณศิลป์ แล้ว อยากให้พูดถึงเรื่องชั่นเชิงการเล่าด้วย
เป็นศาสตร์ที่กูไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่
กูคิดว่าวรรณศิลป์คือสิ่งที่มันมีอยู่แล้วคนค่อยอธิบายมันออกมา ไม่ควรใช้อาจารย์สอนอะ เพราะเป็นการสร้างกรอบการมองเห็นสิ่งนั้น เล่าได้ ชี้แนะได้แต่คนเรียนมันต้องเห็นสิ่งนั้นด้วย กูว่าที่สอนๆ กันมาเป็นแบบแผนในโรงเรียนหรืออะไรทำนองนี้มันเป็นการจำกัดความงามเอาไว้ สมมุติมีคนบอกว่าผู้หญิงสวยต้องผมยาว แล้วแบบนั้นผู้หญิงผมสั้นจะสวยไม่ได้เลยหรือ เราสอนกันมาเป็นแบบแผน เป็นกรอบจำกัดความคิด ต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้จึงงาม กูว่ากระดุมเม็ดแรกแม่งก็ผิดไปไกลแล้ว ความงามมันต้องเห็นได้ เข้าใจได้ แม้จะอธิบายออกมาไม่ได้แต่พบงานเขียนที่มีคุณค่าทางวรรณศิลป์แล้วมันก็บอกได้เลยว่าอันนี้งาม เหมือนเจอผู้หญิงคนหนึ่งแต่แรกพบก็บอกได้แล้วว่ารูปร่างหน้าตาสวยไหม กูเห็นการสอนนี่แหละบิดเบือนความงามที่แท้จริงไปมากเพราะคนสอนส่วนใหญ่แม่งให้ความสำคัญกับแบบแผน แต่เหมือนไม่เข้าใจความงาม
เช่นตอนนี้กูเห็นคนคิดว่างานมีคุณค่าทางวรรณศิลป์คือต้องใช้ภาษาเก่า ต้องมีภาษาโบราณสักหน่อย ต้องบรรยายเยอะเข้าไว้แล้วคิดว่าภาษาสวย กูไม่เห็นด้วย ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น ถ้าจะบรรยายเยอะมันต้องเข้าใจความงดงามของมันเสียก่อนซึ่งหลายคนสักแต่เขียนโดยไม่เข้าใจ บรรยายโดยคิดแค่ต่อคำให้เยอะๆ เขียนให้ละเอียดมากๆ จบหนึ่งเล่มเขียนไปสามแสนคำแต่ไม่มีเนื้อหาสาระอะไร สัมผัสความงามในงานก็ไม่ได้ มีแต่น้ำแบบนี้น่าตีมือ กูเห็นนักเขียนใหม่ๆ หลายคนโอดครวญ แต่ละตอนเขียนก็เยอะภาษาก็ดีทำไมคนอ่านน้อย กูลองดูแล้วก็ไม่เห็นความงามในงานเลย หาสิ่งนั้นได้น้อย ภาษาที่ว่าดีก็แค่พยายามเขียนให้ถูกกับบรรยายให้มากๆ เท่านั้น ยังไม่ถึงกับมีความงาม ถ้างานมันมีความงามจริงๆ เขียนไปไม่มากก็ต้องมีคนมาติดบ่วงส่วนหนึ่งแล้ว
จะยกระดับวรรณศิลป์ อย่างแรกกูว่าควรเข้าใจวรรณศิลป์ก่อน เข้าใจในสิ่งที่มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่เข้าใจตามแบบแผนที่สอนกันมา พอเข้าใจแล้วมันจะพิจารณางานตัวเองออกว่าที่เขียนไปมันดีแล้วหรือยัง บางคนเขียนรอบเดียวก็ออกมาดีได้ บางคนเขียนเป็นร้อยรอบถ้ามันไม่ดีก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ดี ความงามไม่ใช่เรื่องกระบวนการ ไม่ใช่เรื่องความพยายาม เป็นเรื่องที่ผลที่ออกมา แต่กระบวนการกับความพยายามทำให้เกิดโอกาสออกมาได้มาก
ส่วนชั้นเชิงการเล่า ตามความเข้าใจกูนะ คือคนเขียนมีสิ่งหนึ่งอยากจะเล่าแต่มีวิธีการเล่าที่สนุกสนาน น่าตื่นเต้น มีความน่าสนใจ รวมๆ แล้วคือเล่าดีและเล่าให้ใครฟัง กูยกตัวอย่างเรื่องอยากเล่าเรื่องความพยายาม มึงคงเคยได้ยินนิทานกระต่ายกับเต่า นิทานก็เป็นชั้นเชิงการเล่าแบบหนึ่ง เป็นการเล่าเรื่องความพยายามกับความประมาท มึงเห็นภาพไหม มึงบอกเด็กว่าเราต้องมีความพยายามและไม่ประมาทในชีวิต จบแล้ว เรื่องเดียวกันเลย บอกตรงๆ เด็กอาจจะเข้าใจแต่เด็กจะสนใจไหม กูว่าคงไม่เท่าเล่าเป็นนิทาน นี่คือความเข้าใจของกู คนเขียนอยากจะเล่าอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วก็หาวิธีให้สิ่งที่ถูกเล่านั้นน่าสนใจ นักเขียนบางคนแค่บรรยายพระอาทิตย์ขึ้นแม่งก็เหมือนกับเราไปอยู่ในจุดๆ นั้นด้วยแล้ว ทำให้คนสนใจ ทำให้คนดื่มด่ำหรือคล้อยตามไปด้วย นั่นคือเขามีชั้นเชิง ส่วนวิธีการเขียนนั้นเป็นเรื่องของตัวนักเขียนที่ต้องแสวงหาด้วยตัวเอง งานศิลปะหลายๆ อย่างมันมีชั้นเชิงการเล่าในตัวงานเอง ลองดูภาพวาดสวยๆ ที่เห็นแล้วรู้สึกอารมณ์ในภาพ ดูรูปถ่ายที่เห็นสตอรี่ของมัน งานโฆษณาก็เป็นตัวอย่างได้ ลองสังเกตความต่างของการพูดคุยธรรมดากับการเล่าด้วยกลวิธีแบบนั้นดูอาจจะช่วยให้เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น
>>996 +1
กูคือ 993 แต่กูก็เห็นด้วยกับมึง อาจารย์แค่ชี้แนะเฉย ๆ และยิ่งถ้าเขียนนิยายโดยพิงกับกรอบมากเกินไป สุดท้ายจะหาตัวเองไม่เจอ
กูว่าวรรณศิลป์เป็นเรื่องการสะสมอะ โดยเฉพาะการมีคลังคำเยอะ ๆ คลังคำเยอะไม่ได้หมายความว่าต้องรู้ศัพท์โบราณ คำไวพจน์นะ เอาจริง ๆ วรรณศิลป์จะสวยไม่สวยขึ้นกับว่าคนอ่านได้อะไรไปจากการอ่านเรื่องของมึง มันจับใจคนอ่านอยู่มั้ย มันคล้อยตามมั้ย มันจินตนาการได้มั้ย มีความคิดสร้างสรรค์พอหรือยัง
ทุกอย่างมันต้องสะสม หัดเขียน ต่อให้อ่านมาพันเรื่องแต่ไม่เคยลงมือเขียน เขียนครั้งแรก ๆ กูว่ายังไงก็ไม่ดี เพราะตอนเราอ่าน เราอ่านในฐานะนักอ่าน แต่ถ้าอ่านในฐานะนักเขียน มึงจะช่างสังเกตขึ้น เอามาปรับใช้กับนิยายของมึงได้
แจ่ม ๆ เลย ที่กูว่าวรรณศิลป์ดีคือของคุณวีรพร นิติประภา เอาจริง ๆ นักอ่านทั่วไปมองว่าเวิ่น เยิ่น แต่เด็กอักษรแบบกูกับพี่ในคณะคือชอบมาก เค้าใช้ภาษาได้มีมิติในแบบที่พวกกูคิด แต่คนอื่นอาจจะมองว่าเวิ่น
จริง ๆ วรรณศิลป์จะสวยไม่สวย กูว่าขึ้นกับคนอ่านอะว่าจะมองวรรณศิลป์ของมึงเป็นยังไง มันขึ้นกับผลลัพธ์จริง ๆ อย่างแรกที่ควรมีถ้าอยากวรรณศิลป์สวยคือคลังคำอะ ต้องคลังคำเยอะก่อน แล้วการสร้างประโยคให้กินใจคนอ่านได้มันจะมาทีหลัง
วรรณศิลป์คือการสะสม การฝึกฝน
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์น๊ะค่ะ
>>994 สนับสนุนความเห็นนี้ เวลาอ่านแล้วสำหรับนักเขียนต้องไม่แค่อ่านเอาเรื่อง แต่ต้องดูการใช้ภาษา การลำดับเรื่อง ว่าเขาไป 1-2-3-4-5 หรือ 5-1-3-4-2 เพื่อหลอกล่อหรือทำให้คนอ่านอยากติดตามและอยากรู้เรื่องต่อ เวลาเราอ่านนิยายบางเรื่องแล้วเราติดใจเห็นว่าฉากนี้ดีมากๆ ก็ต้องพยายามมองให้ออกว่าเขาใช้เทคนิคยังไงทำไมถึงทำให้คนอ่านรู้สึกแบบนั้น อีกอย่าง ถ้าจะเขียนก็ต้องอ่านสิ่งที่คนอื่นไม่อ่านกัน เรียกว่าต้องอ่านรอบด้านเลยละ
มู้หมดแล้ว ตั้งมู้ใหม่ซะที~
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.