>>639 กูคือโม่งเฉาะผู้ใจดี ความจริงในโม่งมันไม่ควรมีชื่อ แต่เวลาเฉาะกูจะใส่ไว้ เพราะคนตามอ่านจะได้รู้ว่าโม่งเฉาะเน้นแบบไหน ใครไม่ชอบนิยายสไตล์เดียวกับกูจะได้ไม่หลงไปอ่าน รู้สึกว่าโม่งตอดมันก็จะใจดีเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมา
กูข้ามพวกคำโปรยกับการตกแต่งไปเลยนะ เพราะมึงเป็นนักเขียนแล้ว มีผลงานแล้ว มึงรู้ดีว่าควรทำยังไง แล้วมึงก็เป็นคนเปิดใจมากด้วย กล้าเข้ามาขอคำแนะนำจากคนกลุ่มน้อย
มาที่บทนำ กูข้ามเรื่องสำนวน เพราะมึงมีสำนวนเป็นของตัวเองแล้ว และมันไม่ใช่สำนวนที่ต้องติ แต่แน่นอนว่ามันคือสำนวนที่ค่อนข้างไทย รวมทั้งบทสนทนาด้วย แต่กูย้ำอีกทีว่าไม่ใช่ข้อเสีย ถ้ากลุ่มคนอ่านของมึงชอบก็คือใช้ได้ แต่คนชอบงานจีนที่มีกลิ่นอายจีนก็จะเบ้ปากรัว ๆ สิ่งที่กูคิดว่ามึงทำดีได้มากกว่านี้คือ เลิกเขียนประโยคยาว ๆ ติดกันเป็นพืด อย่างเช่น
“จางเยี่ย...” เด็กหญิงหลังโต๊ะหนังสือตัวเตี้ยพึมพำชื่อของเด็กรับใช้ข้างกายคนใหม่ก่อนพยักหน้า “ใช้ชื่อเดิมนั่นละ...”
ประโยคแบบนี้อ่านรู้เรื่องมั้ย อ่านรู้เรื่อง แต่มันมีคำขยายรุงรังมากมายเกินจำเป็น ใช้แค่ “จางเยี่ย...” เด็กหญิงพึมพำก่อนจะพยักหน้า “ใช้ชื่อเดิมนั่นละ...” แค่นี้ก็พอแล้ว เพราะจากประโยคของมึงบรรทัดนี้ คนอ่านรู้อยู่แล้วว่าเด็กหญิงพึมพำอะไร ไม่จำเป็นต้องขยายความเลยว่าพึมพำชื่อเด็กรับใช้ข้างกายคนใหม่ แล้วถ้ามึงอยากให้รู้ว่าเด็กหญิงอยู่หลังโต๊ะหนังสือตัวเตี้ย มึงควรอธิบายไว้ก่อน หรืออธิบายออกมาทีละนิด ไม่ใช่มาใส่ในประโยคคำพูดที่ต้องการความต่อเนื่อง ทำให้ไม่เห็นความสำคัญว่าประโยคนี้ต้องการอะไร คนอ่านลืมไปหมดแล้ว เจอประโยคแบบนี้แล้วอ่านเหนื่อย และทำให้คนข้ามสิ่งที่มึงเขียนไปด้วย เพราะมันเยอะเกิน
มึงมีประโยคแบบนี้เต็มไปหมด เหมือนมึงติดว่าต้องขยายความ ยกตัวอย่างเพิ่มอีกเช่น
ชายวัยห้าสิบปีเศษท่าทางกระฉับกระเฉงทำความเคารพคุณหนูใหญ่ของตนก่อนชำเลืองมองไปยังเด็กชายเนื้อตัวมอมแมมซึ่งนั่งอยู่ที่พื้น
จูหรงเยี่ยซึ่งตามมาสมทบกับเจ้านายของตนและบ่าวไพร่คนอื่นแล้วลอบมองสตรีในชุดสีน้ำเงินเข้มท่าทางกระวนกระวายก้าวมาทางนี้
อย่างที่กูบอก อ่านรู้เรื่องมั้ย อ่านรู้เรื่อง แต่มันรุงรัง มันไม่เน้นความสำคัญในประโยคนั้น ทำให้งานเยิ่นเย้อเกิน
ยาวแล้ว กูไม่อยากเขียนยาวเกินไป เรื่องสำคัญที่กูอยากบอกมึงอีกอย่างคือแนวคิดของคนจีนโบราณ คนจีนโบราณมีเรื่องของชนชั้นเหมือนคนไทยโบราณ มึงเริ่มต้นด้วยการที่พระเอกมากับขบวนค้าทาส แต่ใช้การค้าแพรพรรณขนสัตว์บังหน้า ความจริงแล้วการค้าทาสยุคโบราณมันไม่ต้องปกปิด นอกจากมึงไปกวาดต้อนคนในปกครองของคนอื่นมาขาย ชนชั้นทาสมีค่าเท่าหมูหรือวัวควาย การค้าแพรพรรณต่างหากที่อาจจะต้องปกปิด เพราะราชสำนักหลายยุคผูกขาดสินค้าประเภทนี้ แต่นิยายมึงสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ กูถือว่าผ่าน เพราะมึงจะเซ็ตติ้งให้อะไรสำคัญกว่าย่อมได้หมด กูเพียงแต่บอกไว้ในแง่ความเป็นจีน
อีกกรณี ตอนคุณหนูมาซื้อทาส สั่งให้เอาน้ำให้ทาสกิน แล้วพ่อค้าคิดว่า ผู้ดีชอบแสดงน้ำใจพร่ำเพรื่อ ตรงนี้ก็เป็นหลักการคิดแบบไทยปัจจุบัน เพราะจีนโบราณมีชนชั้นชัดเจนอย่างที่กูบอก ทาสมีค่าเท่าหมูหมา ผู้ดีหรือคนรวยจะไม่แสดงน้ำใจพร่ำเพรื่อต่อทาสจนถึงขนาดพ่อค้าเก็บมาคิด เพราะถ้าใครทำแบบนั้นจะดูประหลาด หรือไม่ก็จะถูกยกย่องเป็นตำนาน คนส่วนใหญ่ไม่ทำ วิธีคิดของคนโบราณกับคนปัจจุบันต่างกัน มึงเอาน้ำใจในปัจจุบันไปใช้กับคนโบราณ มันก็จะไม่ใช่ รวมทั้งกรณีคุณหนูมาเลือกซื้อทาสเองด้วย มันเป็นไปไม่ได้เลย แต่เรื่องแบบนี้มึงจะมองข้ามไปก็ได้ มึงสามารถใช้จินตนาการให้เหนือความจริงได้ กูแค่บอกให้ฟังเฉย ๆ [พอดีกูนึกถึงเรื่อง Roots ที่เป็นซีรีย์ทาสคนดำ นั่นแหละ แนวคิดโบราณเป็นแบบนั้นทุกชาติ เจ้านายอาจจะรักทาสชิบหาย ไปไหนไปด้วยกัน แต่ถ้าทาสทำผิดหรือทำให้ไม่พอใจขึ้นมา เจ้านายสามารถตีทาสหรือทำทารุณโดยไม่รู้สึกอะไร เพราะค่าของคนมันไม่เท่ากัน มึงต้องนึกถึงจุดนี้ด้วยถ้าต้องการให้สมจริงแบบโบราณ แต่มึงไม่จำเป็นต้องแก้นะ กูบอกแล้ว]
พอดีกว่า เอาไว้คนอื่นมาเฉาะมาสับมั่ง อ้อ "ฟูเหริน" ต้องเขียนแบบนี้ ไม่ใช่ฟู่เหริน (จริง ๆ ต้องอ่านฟู้เหริน แต่มึงสะกด "ฟูเหริน" ก็ใช้ได้ เพราะราชบัณฑิตวางหลักให้ใช้แบบนั้น)