>>652 วงการนิยายไทยเริ่มซบเซามาก่อนที่วงการอีบุคจะบูม ถ้ากูจำไม่ผิด ไทม์ไลน์วงการนิยายไทยน่าจะประมาณนี้
2001 คลื่นลูกแรกสำหรับนักเขียนออนไลน์เกิดเมื่อนิยายเรื่องเดอะไวท์โรดได้รับการตีพิมพ์ ตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่ เพราะนักเขียนยังวัยรุ่น และเริ่มเขียนออนไลน์ ทำให้คนที่อยากเป็นนักเขียนเห็นความหวังว่าน่าจะลองมาทางนี้ได้ หลังจากนั้นกระแสนิยายไทยก็เริ่มโตจนมาบูมสุดๆเมื่อ->
2005-2008 ช่วงนี้ยอดขายนิยายไทยสูงมาก คนไปเดินงานหนังสือชนิดแออัด กำลังซื้อสูง นักเขียนเกิดใหม่เพียบ ยอดพิมพ์นิยายไทยพ็อกเก็ตบุคของสนพแห่งหนึ่งเริ่มที่ประมาณ 10,000 เล่ม ทั้งนิยายทั่วไปและนิยายลูกกวาด แต่->
2009-2010 มีคอมเมนต์ในเว็บไซต์ของสนพ.แห่งหนึ่งทำนองว่า "อยากได้หวานๆ ไม่ได้อยากได้พระเอกนางเอกทำงาน มันอ่านแล้วเครียด" อยู่มาก ซึ่งสนพก็สนองให้ด้วยการลดยอดพิมพ์นิยายทั่วไปลงเหลือ 6,000 เล่ม ออกเดือนละ 3-4 ปกเป็นอย่างมาก แต่นิยายลูกกวาดยังอยู่ที่ 10,000 ออกเดือนๆนึงเกือบสิบปกได้มั้ง ซึ่งก็ตามยอดขายเขาน่ะนะ แต่ช่วงนี้ยังมีสนพ.ใหม่ๆอยู่หลายแห่งที่เปิดตัวรับตีพิมพ์นิยายไทย นักเขียนบางคนที่ถูกลดยอดบางคนก็ย้ายไปสนพ.อื่น บางคนไปหางานใหม่เลย นักเขียนที่กูตามอยู่หลายคนก็เริ่มหายหน้าหายตาไปช่วงนี้ แต่ก็ยังมีผลงานออกมาให้เห็นบ้างปีละเล่มสองเล่ม
2010-2011 สนพ.แห่งเดิมเริ่มลดยอดพิมพ์นิยายไทยสายผู้ใหญ่จาก 6,000 เล่มเหลือ 5,000 เล่ม จำนวนปกที่พิมพ์ลดลงจากเดือนละ 2-3 เล่มเป็นเดือนละ 1-2 เล่มได้มั้ง บางเดือนก็ไม่มีเลย แต่นิยายสายลูกกวาดยังได้ 10,000 เล่ม - ปีนี้เป็นปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้สนพ.บางแห่งเสียหาย สนพ.บางแห่งลดโปรเจ็กท์ตีพิมพ์นิยาย บริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มอีบุคเริ่มเปิดตัวในช่วงนี้ แต่ช่วงต้นๆลูกค้ายังไม่มาก จะสังเกตได้ว่า ยอดนิยายไทยแนวอื่นๆเริ่มขายได้น้อยลงแล้ว ตั้งแต่ก่อนอีบุคจะบูม แล้วอยู่ๆ ->
2013 ยอดขายนิยายแนวลูกกวาดก็ลดฮวบ นักอ่านหันไปอ่านลูกกวาดจากไต้หวันที่เริ่มทำตลาดมาได้สักสองสามปีแล้วแทน เพราะ "มันมีสาระมากกว่า" "นิยายไทยมีแต่อะไรก็ไม่รู้ น่าเบื่อ" <- อันนี้ไม่ได้พูดเอง เคยเห็นคอมเมนต์ในหลายๆเว็บ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า "นิยายที่ไร้สาระและน่าเบื่อ ถูกเหมารวมว่าเป็นตัวแทนของนิยายไทยทั้งหมด" ทำให้นิยายไทยโดนมองด้วยสายตาอคติ แต่อย่างไรก็ดี -> เหตุการณ์นี้ได้รับการตอบสนองจากสนพ.รวดเร็วมาก ด้วยการลดยอดพิมพ์ลูกกวาดไทยกับยอดพิมพ์นิยายทั่วไปลง นิยายไทยทั่วไปเหลือพิมพ์ครั้งละ 3,000-4,000 เล่ม ลูกกวาดไทยประมาณ 6,000-8,000 เล่ม ไม่ชัวร์ ส่วนลูกกวาดไต้หวัน แว่วมาว่าน่าจะหลักหมื่น พอถึงตอนนี้ วงการนิยายไทยก็เริ่มเข้าสู่ช่วงซบเซาอย่างเห็นได้ชัด สนพ.ที่เปิดใหม่ช่วง 2009-2010 บางแห่งทยอยปิดตัว นักเขียนที่ได้รับเงินตามเปอร์เซ็นต์คูณยอดพิมพ์ก็รายได้ลดลงไปกว่าครึ่ง หลายๆคนอยู่ไม่ได้ ก็เริ่มหันมาใช้แพลตฟอร์มอีบุค
2014 นักอ่านที่ได้ปรับตัวกับลูกกวาดไต้หวันจนมีประสบการณ์การอ่านที่หลากหลาย และเริ่มต้องการอะไรที่มากกว่าลูกกวาด ก็ทะลักไปสู่แนวอื่นๆ ซึ่งตอนนั้นก็จะเป็นนิยายแนวจอมนางวังหลังนี่แหละ จนนิยายจีนโรแมนซ์สำหรับผู้ใหญ่แย่งส่วนแบ่งตลาดจากแนวลูกกวาดได้ในที่สุด ส่วนนิยายไทยก็ซบเซาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สนพ.ใหญ่ที่เคยตีพิมพ์นิยายไทยแทบจะไม่พิจารณาต้นฉบับใหม่ๆเลย เรียกว่าเกือบจะหยุดขายยนิยายไทยแล้วไปขายนิยายแปลจากตะวันตกอย่างเดียวก็ยังได้ อ้อ ปีนี้เป็นปีที่มีสนพ.ใหญ่เจ้านึงล้มกลางงานหนังสือด้วย น่าจะเป็นช่วงที่หลายๆคนกำลัง struggling
ทั้งหมดนี้คือไทม์ไลน์เท่าที่กูจำได้ตั้งแต่ช่วงนิยายไทยเริ่มบูมจนเข้าสู่ยุคตกต่ำ หลังจากนี้ถึงค่อยเข้ายุคอีบุค สำหรับกู กูยังยืนยันคำเดิมว่าวงการมันตกต่ำเพราะการไร้ความรับผิดชอบในการคัดสรรเรื่อง จนทำให้นักอ่านซึ่งเติบโตขึ้น (แต่นักเขียนไม่โตขึ้น) ต้องการอะไรที่มากกว่านิยายลูกกวาด และหันไปหานิยายแปล ดูถูกนิยายไทยแบบเหมารวม
ไม่ต้องเชื่อกูก็ได้นะ แต่ลองไปค้นเว็บบอร์ดต่างๆที่พูดถึงนิยายไทยในแต่ละช่วงดู แล้วพวกมึงก็พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน
อ้อ กระแสตีกลับเรื่องนิยายกลวง บ้ง ท็อกซิก ไม่รู้สมัยโน้นชอบอ่านเข้าไปได้ยังไง ฯลฯ มันเริ่มช่วง 2018 ละมั้ง จะอ่านช่วงนี้ด้วยก็ได้ เผื่อเห็นอะไรชัดขึ้น