สปอยเทียนกวาน อาร์ค 2 ต่อจาก >>>/801/7776/975 เทียนกวาน Part.55
.
.
.
.
.
เมื่อเซี่ยเหลียนเห็นปริมาณเลือดที่ไหลจากตัวเด็กชายเขาก็ตัดสินใจตะโกนบอกชาวบ้านว่าความเสียหายทั้งหมดเขาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง ก่อนบอกให้เฟิงซิ่นกับมู่ฉิงจับฉีหรงไว้แล้วตามเขามา เขารีบอุ้มเด็กชายวิ่งไปหาหมอหลวง แต่เด็กชายกลับไม่ยอมเอามือออกจากใบหน้าข้างขวา เซี่ยเหลียนพยายามทำให้อีกฝ่ายสบายใจโดยการถามชื่อ เด็กชายพึมพำออกมาว่าหง (แดง) เมื่อถามอายุก็บอกว่า 10 ขวบ แต่พอเซี่ยเหลียนบอกให้เอามือออกจากหน้าให้หมอดูก็ได้รับการปฏิเสธ เด็กชายอ้างว่ามันน่าเกลียด เขาจึงบอกว่าจะหันหลังให้ระหว่างที่อีกฝ่ายตรวจ เด็กชายเลยยอมให้หมอดูอาการ และหมอหลวงก็อดเอ่ยด้วยความทึ่งไม่ได้ว่าอาการบาดเจ็บของเด็กชายหนักมาก แต่อีกฝ่ายกลับยังมีสติ ยังพูดคุยได้อย่างปรกติ
ตอนที่หมอหลวงทำแผลให้เด็กชายเรียบร้อย ราชากับราชินีที่นึกว่าลูกชายได้รับบาดเจ็บก็เข้ามาพอดี เช่นเดียวกับฉีหรงที่ร้องเรียกให้ป้าช่วยเหลือ เซี่ยเหลียนเล่าเรื่องที่ลูกพี่ลูกน้องทำลงไปให้พ่อแม่ฟัง ราชาโกรธมาก เขาสั่งยึดรถม้าและกักบริเวณฉีหรง 1 เดือน ฉีหรงโวยวาย แต่แล้วเขากลับยอมรับโทษง่ายๆ ก่อนเอ่ยให้ลงโทษเฟิงซิ่นที่ทำแขนของเขาหักด้วย เมื่อถูกราชาต่อว่า แม้เซี่ยเหลียนจะห้ามเฟิงซิ่นก็รีบคุกเข่า ท่าทางต่อต้านไม่เชื่อฟังของลูกชายทำให้ราชาไม่พอใจ บอกว่าหากเขาจะสั่งโบยเฟิงซิ่น 100 ครั้งก็ไม่ได้เป็นเรื่องไม่เหมาะสม ฉีหรงรีบเอ่ยเสริมว่าถ้าเฟิงซิ่นหักแขนตัวเอง เขาจะยอมไม่เอาเรื่อง เซี่ยเหลียนไม่พอใจมาก บอกว่าหากจะลงโทษเฟิงซิ่นต้องลงโทษเขาก่อน เพราะเขาเป็นคนสั่งให้เฟิงซิ่นทำเช่นนั้น เขาจะรับโทษของเฟิงซิ่นไว้เอง
ราชายิ่งโกรธลูกชาย เมื่อตอนยังเล็กเซี่ยเหลียนมองพ่อเป็นไอดอลจึงเชื่อฟังทุกอย่าง แต่ยิ่งโตขึ้น เขาก็ยิ่งมีคำถามเกี่ยวกับการการกระทำของผู้เป็นบิดา บางครั้งก็ถึงขั้นรังเกียจ และเหตุผลหลักที่เขาไปบำเพ็ญที่เขาไท่ชางก็เป็นเพราะรู้สึกว่าตนเข้ากับราชาไม่ได้ ทั้งคู่ไม่ยอมคุยกันนัก ทำให้ราชินีต้องคอยเป็นสื่อกลางให้ แล้วพ่อลูกก็เริ่มทะเลาะกันจนราชินีกังวล เมื่อเห็นดังนั้นเฟิงซิ่นเลยหักแขนตัวเอง ทั้งยังคุกเข่าโขกหัวให้ฉีหรงเพื่อจบปัญหา ขณะที่มู่ฉิงยืนนิ่งหน้าเครียด เซี่ยเหลียนก็หันไปหาพ่อ ตะโกนด้วยความโกรธ เฟิงซิ่นกับราชินีจึงมาช่วยกันจับแขนเขาไว้ เมื่อราชาไปแล้ว ราชินีก็เอ่ยขอโทษเฟิงซิ่น เซี่ยเหลียนต่อว่าแม่ว่าถ้าจัดการฉีหรงไม่ได้ก็ให้ขังอีกฝ่ายไว้ ราชินีถอนหายใจ พยักหน้าก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินจากไป
เฟิงซิ่นเตือนเซี่ยเหลียนว่าคนรุ่นก่อนมีวิธีคิดไม่เหมือนพวกตน และบอกว่าราชินีก็ลำบากใจเช่นกัน เซี่ยเหลียนเองก็พอเข้าใจความรู้สึกของแม่ ราชินีกับน้องสาวสนิทกันมาก แม่ของฉีหรงเป็นคนเชื่อมั่นในรักแท้ ไม่ยอมฟังคำของผู้ใหญ่ สุดท้ายก็หนีตามกันไปกับคนรักซึ่งเป็นองครักษ์ ทว่าหลังจากครึ่งปีผ่านไปฝ่ายชายก็เริ่มเผยธาตุแท้ออกมา เขาเป็นคนขี้เหล้าชอบทำร้ายผู้อื่น ในที่สุดฝ่ายหญิงก็ทนไม่ไหวตัดสินใจอุ้มลูกชายวัย 5 ขวบกลับบ้านของตน แต่การที่เธอทำเรื่องเสื่อมเสียให้กับราชวงศ์ทำให้แม่ของฉีหรงได้แต่อยู่ในห้องไม่กล้าออกไปพบหน้าผู้ใด ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างหดหู่ซึมเศร้า มีเพียงความรักให้ลูกชาย ทว่าในช่วงที่เกิดความโกลาหลในราชวัง แม่ของฉีหรงได้สละชีพช่วยเหลือพี่สาว ราชินีจึงเลี้ยงดูฉีหรงนับแต่นั้น ด้วยความที่มีบิดาเช่นนั้นทำให้ฉีหรงติดนิสัยไม่ดีมา แต่อย่างไรฉีหรงก็ไม่ใช่ลูกชายของตัวเอง หากเข้มงวดเกินไปจะถูกหาว่ารังแกหลานซึ่งกำพร้าไร้ทั้งพ่อและแม่ สุดท้ายก็เลยทำให้ฉีหรงกลายเป็นเด็กเปรตลูกเทพอย่างในปัจจุบัน
เซี่ยเหลียนนึกได้ว่าลืมเด็กชายที่ช่วยเหลือมา เขาหันมาปลอบอีกฝ่ายที่ทำให้ต้องเห็นภาพคนทะเลาะกัน แล้วถามถึงบ้านของเด็กชาย แต่เด็กชายกลับบอกว่าตนไม่มีบ้าน เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจเป็นเด็กเร่ร่อน เขาก็ตั้งใจจะพาเด็กชายกลับเขาไท่ชางด้วย แต่ตอนนั้นเองมู่ฉิงที่เงียบมานานก็พูดขึ้นมาว่าเด็กชายโกหก เพราะเด็กเร่ร่อนในเมืองหลวงมักรวมกลุ่มกันเป็นแก็งค์ อีกทั้งเขาก็รู้จักเด็กพวกนั้นทุกคน หากแต่ไม่เคยเห็นหน้าเด็กชายตรงหน้ามาก่อน
.
.
.
.
.