ขณะทำงานกัน พวกเขาก็พูดเรื่อยเปื่อยไร้สาระกันไปด้วย ส่วนมากก็เป็นการแข่งขันควิดดิซของทีมต่างๆ แล้วก็วิชาที่เรียน
“จะว่าไปแล้ว...เมื่อครู่นี้ทุกคนได้กลิ่นอะไรจากน้ำยาลุ่มหลงเหรอครับ” หัวหน้าห้องถามขึ้นมาตอนเทรากไม้ใส่หม้อต้มยาแล้วกดมันให้จมลงไป “ผมได้กลิ่นของต้นสน กลิ่นต้นหญ้าที่เพิ่งตัด แล้วก็ทะเลล่ะครับ”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะ ฉันได้กลิ่นช็อคโกแลต กลิ่นกระดาษกับหมึก...” มาซายะที่กำลังกวนส่วนผสมให้เข้ากัน ดูกระตือรือร้นในการตอบคำถามขึ้นมากกว่าเมื่อครู่นี้ กระแอมไออีกนิดหน่อยเหมือนจะประกาศเรื่องสำคัญ “...แล้วก็กลิ่นวานิลา”
“เห ยอดไปเลยนะครับ” อิวามุโระทำท่าประทับใจ “ผมได้กลิ่นของแป้งฝุ่น กลิ่นคุกกี้ชินนามอน แล้วก็กลิ่นอโรม่าออยล์ที่คุณมาโฮะแบ่งมาให้ทามือเมื่อวันก่อนน่ะครับ เห็นคุณมาโฮะบอกว่าใช้ประจำ หอมมากเลย”
“ว่าไปแล้ว ฉันก็ได้กลิ่นวานิลาหอมๆจากตัวทาคามิจิเสมอเหมือนกัน” มาซายะพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ที่บ้านยัยนั่นเป็นร้านเบเกอรี่นี่นะ แถมยังทำขนมเก่ง จะได้กลิ่นขนมนมเนยจากตัวก็ไม่แปลกเท่าไหร่”
“กลิ่นทะเลผมก็นึกถึงคุณฮอนดะเหมือนกันครับ หอม เย็น สดชื่น” หัวหน้าห้องบิดตัวไปมาดูท่าทางจะเขินมาก “แต่ชื่อคุณฮอนดะก็แปลว่าเกลียวคลื่นที่งดงาม เลยเชื่อมโยงกับทะเล”
สามหนุ่มคุยกันเรื่องความรัก แต่ชูสุเกะกลับรู้สึกว่าเหมือนกำลังยืนอยู่ในดงสาวน้อยที่คอยเล่าเรื่องคนที่แอบชอบให้เพื่อนสาวฟังอย่างไรชอบกล
“แล้วชูสุเกะล่ะ”
“ผมได้กลิ่นกาแฟ กลิ่นฝนกับกลิ่นดอกไม้ที่ไม่รู้จักชื่อน่ะ”
“ชูสุเกะชอบกาแฟนี่นะ” มาซายะพยักหน้า “ว่าแต่ดอกไม้ที่ไม่รู้จักชื่อนี่มันอะไรกันล่ะ”
“ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าหอมมาก”
ชูสุเกะนึกอยากลองเดินไปหาเรย์กะเพื่อพิสูจน์ดูว่าสิ่งที่ได้กลิ่นจากน้ำยาลุ่มหลง จะเป็นกลิ่นเดียวจากตัวเธอหรือไม่ แต่ยังไม่มีโอกาสทำแบบนั้น
บทสนทนาหยุดลงเมื่ออาจารย์เริ่มการเดินดูผลงานของนักเรียนที่โต๊ะ จนมาหยุดที่โต๊ะของพวกเขา
มาซายะกับชูสุเกะได้ผลงานเป็นที่น่าพอใจเพราะสามารถผสมยาให้ออกมาให้ได้คุณสมบัติตามที่ระบุไว้บนกระดานได้ กริฟฟินดอร์กับสลิธีรีนเลยได้ไปกันอีกคนละ 10 แต้ม ส่วนหัวหน้าห้องกับอิวามุโระนั้นทำน้ำยาพอใช้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่อาจารย์จะประทับใจเท่าไหร่นัก
ชูสุเกะมองไปทางโต๊ะของเรย์กะซึ่งอยู่ห่างไกลจากโต๊ะเขามากที่สุด ตอนนี้เธอกำลังตักน้ำยาจากหม้อต้มของตัวเองใส่ขวดบรรจุเตรียมส่งอาจารย์ ดูจากสีหน้ายิ้มแย้มแล้วเธอคงทำผลงานออกมาได้ดีจนเขาต้องยิ้มตาม
“ยิ้มแบบนั้นมันทำให้หน้าของนายในตอนนี้ดูน่าขยะแขยงเป็นบ้า”
ชูสุเกะหุบยิ้มทันควัน มองมาซายะด้วยหางตา
“ก็น่าขยะแขยงน้อยกว่าตอนที่นายเดินไปสูดกลิ่นคุณทาคามิจิเมื่อกี้นี้ก็แล้วกัน”
“ฉันไปให้ความช่วยเหลือในเรื่องวิชาปรุงยาต่างหาก”
“อ้อเหรอ” ชูสุเกะพูดเสียงเยาะๆ “แล้วกลิ่นวานิลาหอมมั้ยล่ะ”
นิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง มาซายะก็พูดเสียงอุบอิบในลำคอเหมือนไม่อยากให้ได้ยิน
“...หอม”
ชูสุเกะกลอกตาขึ้นมองเพดานก่อนจะหันไปยิ้มให้แบบดูถูก
เมื่ออับจนถ้อยคำ มาซายะก็แยกเขี้ยว กระแทกเท้าเดินปึงปังออกไปจากที่ตรงนั้น ทำหน้าบึ้งกลบเกลื่อนความเขินไปตลอดมื้อเที่ยง ทำเอาพวกกริฟฟินดอร์ซุบซิบกันใหญ่ว่าท่านคาบุรากิไปโกรธใครที่ไหนมา แต่ไม่มีใครกล้าไปถามเพราะยังรักชีวิตกันอยู่
.
.
.
.
.
ตอนบ่ายหลังพักกลางวันก็คือวิชาดูแลสัตว์วิเศษ สัตว์ที่ได้เรียนในวันนี้คือนิฟเฟลอร์ที่เพิ่งออกลูก และพวกเขามีหน้าที่ต้องป้อนอาหารให้เหล่าลูกๆของมัน
อาจารย์อธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนและสาธิตวิธีการป้อนอาหารมันให้ดูก่อนหนึ่งรอบ ก่อนจะปล่อยให้พวกเด็กนักเรียนทำงานกัน
เมื่ออาจารย์ทำ ทุกอย่างล้วนดูง่ายดายไปหมด แต่เอาเข้าจริงมันไม่ง่ายเลยซักนิด พวกมันไม่ดุร้ายเป็นอันตรายก็จริง แต่ว่องไวมากและชอบดิ้นหนีออกจากมือไปหาอิสรภาพอยู่เรื่อย ต้องใช้สายสร้อยหรือเครื่องประดับล่อหลอกความสนใจเอาไว้ถึงจะอยู่นิ่งๆกันได้
ชูสุเกะและมาซายะทำงานเลี้ยงนิฟเฟลอร์กรงเดียวกัน พยายามจับเจ้าลูกตุ่นปากเป็ดตัวจิ๋วพวกนี้ป้อนอาหาร กลุ่มของเขาน่าจะเป็นกลุ่มที่ทำงานได้ราบลื่นที่สุดแล้ว
เสียงวี้ดว้ายของพวกผู้หญิงดังมาจากอีกฟากเรียกความสนใจให้พวกเขาหันไปมอง พบว่าเป็นเรย์กะที่ถูกเพื่อนๆผู้หญิงของเธอประคองอยู่ ดูเหมือนเมื่อครู่นี้เธอจะลื่นล้มจนก้นกระแทกพื้นจากการไล่จับเจ้านิฟเฟลอร์ที่หลุดมือ
ยืนดูกันอยู่ครู่หนึ่ง มาซายะก็เริ่มวิจารณ์การเคลื่อนไหวสุดแสนทุลักทุเลของเธอ เห็นได้ชัดว่าเรย์กะไม่ถูกกับอะไรแบบนี้เลยซักนิด แต่ก็ยังมาลงเรียนเกี่ยวกับสัตว์วิเศษที่ต้องออกแรง ช่างน่าประหลาด
พอชูสุเกะส่งยิ้มให้ มาซายะก็เงียบลงแล้วหันไปบีบน้ำนมจากขวดใส่ปากเจ้าตัวจิ๋วพวกนั้นต่อ ไม่พูดอะไรอีกเลย