กูพยายามหาว่าฉากที่ท่านเรย์กะแข่งวิ่งยืมของแล้วไปลากตัวคาบุรากิมามันอยู่ตอนที่เท่าไหร่ แต่พอกูกำลังจะเปิดสารบัญขึ้นมาหาก็นึกขึ้นได้ว่าฉากนั้นมันกาวไม่ใช่อฟช ถถถถ
กูพยายามหาว่าฉากที่ท่านเรย์กะแข่งวิ่งยืมของแล้วไปลากตัวคาบุรากิมามันอยู่ตอนที่เท่าไหร่ แต่พอกูกำลังจะเปิดสารบัญขึ้นมาหาก็นึกขึ้นได้ว่าฉากนั้นมันกาวไม่ใช่อฟช ถถถถ
เพิ่มมาเป็นโม่ง ครั้งแรก นี่ยังอยู่มู้ ที่5 กว่าจะมาถึงมู้นึ้ ทั้งคืนแน่เลย ซู๊ดดดดดดดด เจดแต่ละฟิค จนลืม อฟช เลยย ขอให้คนแต่ต่อไปผ่านไปจะปีแล้วว
ตอนงานโรงเรียนนี่ประมาณตอนไหนวะ กูอยากอ่านขึ้นมาเฉย
//เข้ามาปัดฝุ่นและสวดมนต์มอบแต้มบุญให้เอ็นโจซามะเงียบๆ
ป.ล กูเกิดมาจนอายุยี่สิบบวกๆยังไม่เคยมีแฟนสักคนเลย และก็ไม่เคยมีโมเม้นท์ใดๆทั้งสิ้น มีแต่แอบชอบเงียบๆ
แล้วก็นกเงียบๆ ใจกูปรารถนาเพียงแต่ว่าจะขอห้อยโหนอยู่บนคานเป็นเพื่อนท่านเรย์กะ กูไม่มีท่านเรย์กะก็ห้ามมี!
(หัาเราะบ้าคลั่ง)
สุขสันต์วันปีใหม่ค่า เหล่าโม่งซุยรันทั้งหลาย ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดียิ่งๆขึ้นไปสำหรับโม่งซุยรันทุกคน รักพวกมึงนะ
HNYเหล่าโม่งๆซุยรันค่ะ ขอให้ปีนี้มีอฟช ไม่มีอฟชก็ขอมีอาหาร มีกาวให้กวน แต่ที่แน่ๆขอให้มีพวกมึงอยู่ด้วยกันไปอีกปีนะ>__<
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ปีนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวกับเหล่าโม่งซุยรันอีกปีนะคะ
สวัสดีปีใหม่นะเพื่อนโม่ง
สวัสดีปีใหม่ เราอยู่ด้วยกันมาปีกว่าแล้วสินะ
กูสวัสดีปีใหม่ด้วย
ยังพิมพ์ไม่หมด ขอโทษนะ สวัสดีปีใหม่ด้วย กูรู้สึกว่าเราผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมาย ขอบคุณเพื่อนโม่งทุกคนที่มาหวีดด้วยกัน ขอบคุณที่ยังผลิตกาวออกมาบ้าง เพราะทางฝั่งนู้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย เอาจริงกูกล้าพูดเลยว่าถ้าไม่มีโม่งนี่เทท่านเรย์กะไปแล้ว เพราะฉะนั้นขอขอบคุณพวกมึงทุกคนอีกที ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีนะ
สวัสดีปีใหม่ครับทุกคน
สวัสดีปีใหม่ทุกคนนน ปีนี้จะได้อ่านตอนใหม่ไหมนะ ขอกูมีความหวังในชีวิตบ้างคงได้ใช่ไหม
สวัสดีปีใหม่โม่งซุยรันน ฮือออ เมื่อคืนกูฝันว่าเรย์กะ ชูสุเกะ มาซายะ แต่งชุดกิโมโนไปไหว้พระปีใหม่ด้วยกัน หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ เจ้าแม่ก็โดนมาซายะทักว่าทำไมไม่ใส่กิโมโนลายหมูป่ามา
เมื่อเช้าตื่นมากูรีบเข้าไปเช็ค เพราะคิดว่าอาจจะมีตอนพิเศษปีใหม่อัพ สุดท้ายก็ยังอยู่ที่ 299 เหมือนเดิม....
รบกวนโม่งฟิคเอาฝันกูไปต่อยอดให้ทีค่ะ TTUTT
กูเจอข่าวราชวงศ์ญี่ปุ่นแล้วกูก็นึกทฤษฎีบ้าบอออกมาได้ หรือว่าท่านฮิโยโกะจะเป็นเจ้าหญิงญี่ปุ่นวะ ประมาณว่าช่วงนี้เปลี่ยนรัชสมัยเลยไม่ได้มาต่อตอนที่ 300 แต่หลังจากเสร็จงานนี้ก็จะว่างมาต่อ // กูควรพอ ไม่ควรเอาเรื่องจริงมากาว
พวกมึงมันแย่! 555555555
หวัดดีปีใหม่จ้าโม่งซุยรันทั้งหลาย ขอให้เป็นปีที่ดีของทุกคน ขอให้มีตอนใหม่ออก ขอให้ไร่กัญชาและโรงงานกาวของเราเจริญยิ่งๆขึ้นไป
กูเพิ่งกลับมาจากเที่ยว ไม่ได้เขียนฟิคเลยซักแอะ คืนนี้ถ้าเขียนฟิคทันจะพยายามเอาลงให้อ่านเป็นของขวัญปีใหม่ให้นะ
Happy belated new year จ้าาาาา ขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันกาวมาตลอดนะ รักโม่งซุยรันจัง
เพิ่งกลับไปดูในมู้แรก แม่งตั้งแถวๆวันคริตมาสเมื่อสองปีที่แล้วเลยนะเนี่ย 5555
สองปีแล้วเหรอนานเหมือนกันนะ แต่หยุดอัพไปราวปีนึง
เมากาวมาครบปี ยังไม่มีเรือลง หึ้ยยยย
>>709 ก็ตอนตั้งกระทู้ทีแรกกูนึกว่าจะอยู่ได้อย่างมากก็สองสามกระทู้นี่หว่าเลยเสนอชื่อนั้นไป คิดไปคิดมากูน่าจะเอาคานซังขึ้นก่อนเพราะนี่พระเอกของเรื่องชัดๆ 555555
แต่พูดก็พูด กูไม่คาดฝันจริงๆนะว่ากระทู้เราจะดำเนินมาได้นานขนาดนี้ ขนาดยังไม่มีดิบออกใหม่ก็กาวกันได้เรื่อยๆ ในฐานะคนตั้งกระทู้แรกกูปลื้มใจเหลือหลาย//ซับน้ำตา
ขอให้เราอยู่กันไปนานๆนะมึง
ฟิคงานซัมเมอร์ในฝัน(?)
ต่อจากนี่ >>>/webnovel/6114/651-652
-----------------
เอาไงดีนะ
ฉันเห็นว่ามีคนยืนอยู่ก่อนแล้ว อาจจะกำลังรอใครก็ได้ คงไม่ดีแน่ถ้าหากฉันไปขัดจังหวะ
ว่าแล้วฉันก็หมุนตัวกลับหลังหันเตรียมเดินจากมา แต่คนที่ยืนอยู่กลับหันหน้ามามองเสียก่อน ใบหน้าครึ่งบนถูกบดบังไว้ด้วยหน้ากากสีขาว แต่งกายด้วยชุดสีดำชวนให้นึกถึงคุณแฟนธ่อมในเรื่อง The Phantom of the opera ขึ้นมา
“เอ่อ ขอโทษที่รบกวนค่ะ ฉันแค่เดินผ่านมาเฉยๆ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
ฉันโค้งหัวให้แบบขอโทษขอโพย แต่คนคนนั้นกลับส่ายหน้าแล้วแย้มรอยยิ้มที่ดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เอ้อ ช่างเหอะ ไปดีกว่า
ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพซุ้มกุหลาบเป็นครั้งสุดท้าย แต่จะให้ไปขัดจังหวะคนอื่นมันก็ไม่ดีเท่าไหร่ล่ะน้า
ฉันเดินกลับเข้ามาในงานอีกหนและพยายามเดินหาท่านพี่ แต่คนเยอะแบบนี้แถมใส่หน้ากากกันหมดก็ทำให้รู้สึกชักจะตาลายเลยนั่งพักก่อนชั่วคราว มองคนเดินไปเดินมาก็รู้สึกเพลินไปอีกแบบ
พวกเด็กๆจากเปอติต์วิ่งมาหาฉัน มาโอะจังดูจะตื่นเต้นกับงานเต้นรำหน้ากากนี้สุดๆ กล่าวชมความงดงามตระการตาของงานเลี้ยงไม่หยุดปาก ก็นะ งานเต้นรำหรูหราในหน้ากากนี่ก็เป็นความโรแมนติคของสาวน้อยอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน เป็นธีมยอดฮิตในการจัดงานเลยด้วย
ฉันรุนหลังให้มาโอะจังลงไปเต้นรำสร้างความทรงจำหวานแหววกับยูริคุงในงานปาร์ตี้หน้ากาก ทั้งคู่ดูเอียงอายแต่ก็เต้นรำกันอย่างเบิกบานท่ามกลางเพลงช้าๆทำนองหวานซึ้ง
ขณะที่มองคู่รักหวานแหววตัวน้อยๆเต้นรำกลางฟลอร์อยู่นั้น เสียงเล็กๆน่ารักของยูกิโนะคุงก็ดังขึ้นข้างๆ
“สวัสดีฮะ คุณพี่เรย์กะ”
“สวัสดีจ๊ะ ยูกิโนะคุง”
ฉันเรียกให้คนเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ยูกิโนะคุง แล้วก็หยิบให้ตัวเองด้วยอีกหนึ่งแก้ว นั่งคุยกับยูกิโนะคุงเรื่องงานดอกไม้ไฟที่ได้ไปชมมากับพี่น้องเอ็นโจอย่างเพลิดเพลิน ดอกไม้ไฟน่ะสวยจังเลยน้า ประทับใจสุดๆเลยล่ะ
“...แต่ก่อนมางานซัมเมอร์ก็เป็นหวัดนิดหน่อยล่ะฮะ ทีแรกทางบ้านก็เป็นห่วงกันเลยไม่อยากให้เข้าร่วม แต่ผมอยากมาเจอคุณพี่เรย์กะนี่ฮะ”
“แหม ตายจริง แล้วอาการเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“ดีขึ้นแล้วล่ะฮะ แต่คุณหมอก็บอกว่าอย่าเพิ่งออกแรงเคลื่อนไหวเยอะ ปีนี้คงไม่ได้เต้นวอลซ์กับคุณพี่เรย์กะแล้ว”
อ๊า!! อย่าทำเสียงสลดหดหู่แบบนั้นสิจ๊ะ เทวดาน้อย กะอีแค่เต้นวอลซ์น่ะเต้นเมื่อไหร่ก็ได้จ๊ะ
จะว่าไปแล้ว…ยังไม่เห็นเอ็นโจเลยนี่นะ
“ปีนี้ท่านเอ็นโจไม่มาเหรอจ๊ะ”
“ท่านพี่มีธุระนิดหน่อยฮะเลยให้ผมมาก่อน เดี๋ยวจะตามมาทีหลัง”
จะมีธุระอะไรสำคัญไปกว่ายูกิโนะคุงอีกเหรอ เอ็นโจนี่แย่จริงๆทิ้งน้องชายที่น่ารักแบบนี้ได้ลงคอ หรือธุระที่ว่านั่นจะเป็น….
ภาพคุณยุยโกะที่แย้มรอยยิ้มบางๆปรากฎในหัวของฉัน
หนอย!! อีตานั่นมัวแต่ไปเที่ยวกับสาวเลยปล่อยปละละเลยการดูแลน้องชายที่เพิ่งจะหายจากป่วยไข้สินะ ต้องใช่แน่ๆ ฮึ่ย!! เจ้าพวกหมู่บ้านมีรักนี่มันน่าหงุดหงิดชะมัดยาด
ฉันซัดเครื่องดื่มจนหมดแก้วในรวดเดียวก่อนจะคว้าอีกแก้ว อีกแก้ว แล้วก็อีกแก้ว…
“คุณพี่เรย์กะ…”
“เอ่อ..พี่แค่คอแห้งน่ะจ๊ะ”
“จริงเหรอฮะ”
ไม่ได้การล่ะ ทำให้เทวดาน้อยเป็นห่วงจนได้
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆเป็นการทำให้ตัวเองสงบลง หยิบเครื่องดื่มแก้วใหม่ขึ้นมาจากบริกร แต่คราวนี้ไม่กระดกพรวดเดียวหมดแก้วเหมือนเมื่อกี้อีกแล้ว
แต่แก้วนี้อร่อยจัง...หวานปนขม แต่ก็เป็นรสชาติที่ลงตัว อื้อ...ใช้ได้เลยล่ะ ดื่มแล้วรู้สึกร้อนๆในคอกับท้องนิดหน่อยแต่ก็เบาสบายดีจัง หรือความเบาสบายนี่จะเป็นเพราะคุยกับเทวดาน้อยกันนะ อื้อ ต้องใช่แน่ๆ
“ยูกิโนะ…” เสียงคุ้นหูดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทฉันเหมือนมาจากที่ไกลๆ ฉันพยายามจะนึกว่าเสียงใครแต่ก็นึกไม่ออก “เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“คือว่า คุณพี่เรย์กะเขาดื่มไปหลายแก้วแล้วก็เป็นแบบนี้เลยฮะ”
รู้สึกว่ามีใครเอาแก้วที่ฉันกำลังถืออยู่ออกไปจากมือ อ๋า ของกินก็มีตั้งเยอะตั้งแยะในงาน อย่ามาแย่งของฉันสิคะ
ฉันคว้ามือเปะปะไปข้างหน้า พยายามยื้อแย่งกลับมา แต่กลับโดนสอดประสานมือเข้ากับมือของฉัน อืม มือใหญ่จังเลยนะ
“ผสมเหล้านี่…”
เสียงนั่นพึมพำอยู่เหนือศีรษะฉัน อื๋อ เมื่อกี้ได้ยินว่าผสมเหล้าอย่างนั้นเรอะ มิน่าล่ะ…
ฉันอ้าปากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็นึกไม่ออก ก็ได้แต่พึมพำตามความรู้สึกในเวลานั้น “ร้อนจัง”
เครื่องปรับอากาศไม่ทำงานเหรอ งั้นออกไปรับลมข้างนอกดีกว่าเนอะ
ฉันลุกขึ้นยืน เดินไปทางสวนด้านนอกอีกรอบแต่กลับกลายเป็นว่าลากใครบางคนติดมือออกมาด้วย ...อ้อ จริงสิ มือฉันยังจับอยู่กับมืออีตานี่นี่นะ
แล้วมันใครกันล่ะเนี่ย
เออ นึกไม่ออก ช่างเหอะ
เมื่อเปิดประตูออกไปสู่สวน สายลมเอื่อยๆก็กำลังพัดเอาเจ้ากระดิ่งที่อยู่เหนือซุ้มกุหลาบให้ส่งเสียงดังกรุ้งกริ้ง น่ารักจังเลยน้า น่าดึงเล่นสุดๆเลยอ่ะ
ฉันกระตุกๆเจ้าริบบิ้นที่กำลังปลิวไสวตามแรงลม เอ้า นายคนนั้นน่ะมาลองทำด้วยสิ สนุกออกน้า
“อย่าดึงแรงแบบนั้นสิ เดี๋ยวมันหลุดออกมานะ”
“...จริงด้วย” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก ทำลายข้าวของนี่ไม่ดีเนอะ
“ทำแบบนี้ดีกว่านะ”
มือใหญ่ๆนั่นสอดประสานเข้ากับมือของฉัน ดึงริบบิ้นเส้นยาวสั่นกระดิ่งไปพร้อมกัน….เสียงเพราะจังเลย
ฉันจ้องกระดิ่งอย่างเคลิบเคลิ้ม กระตุกเล่นจนพอใจก็ออกเดินเล่นไปในสวน
คืนนี้ไม่ค่อยร้อน แถมยังมีพระจันทร์เต็มดวง เหมาะแก่การสร้างบรรยากาศโรแมนติคสุดๆ ฉันเลยฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีไปด้วย จนมาถึงลานน้ำพุที่รอบๆประดับประดาด้วยต้นไม้ที่ได้รับการตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ ทั้งยังได้ยินเสียงดนตรีแว่วมาคงจะอยู่ไม่ห่างจากห้องจัดเลี้ยงของปาร์ตี้ซัมเมอร์มากนัก
“...ค็อกเทลไม่กี่แก้วก็เมาแล้วเหรอ”
คนคนนั้นส่ายหน้า ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังแว่วมาด้วย
“อย่ามาขำนะ ไม่เห็นจะน่าขำตรงไหนเลย”
ฉันเบะปาก รู้สึกร้อนๆในกระบอกตาเลยถอดหน้ากากออก ขยี้ตาที่เริ่มมีน้ำตาซึมออกมา
“ฮึก ฉันน่ะ...ตอนอ่านการ์ตูนก็ฝันถึงงานเลี้ยงซัมเมอร์มาตลอด พอได้มาเจอของจริงแต่กลับไม่มีใครมาขอฉันเต้นเลย…อุตส่าห์แต่งตัวมาสวยๆ ฉันก็อยากมีเจ้าชายมาโค้งคำนับขอเต้นรำ เป็นเจ้าหญิงเฉิดฉายบนฟลอร์เหมือนวาคาบะจัง อยากมีชายหนุ่มแสนวิเศษมาคุกเข่าขอความรักกับเขาบ้างอ่า”
น้ำตาฉันร่วงเผาะๆลงมาอาบแก้ม
“หรือเพราะฉันไม่ใช่นางเอก เป็นนางร้ายอย่างนั้นเหรอ เลยต้องมีชะตากรรมแบบนี้”
เมื่อเอ่ยไปอย่างตัดพ้อแบบนั้น คนตรงหน้าก็ดึงฉันเข้าไปกอด ลูบหลังลูบหัวฉันเบาๆ
“ขอโทษนะ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้น” ปลายนิ้วของคนคนนั้นเกลี่ยซับน้ำตาฉันอย่างแผ่วเบา “ยกโทษให้ผมจะได้มั้ยนะ เจ้าหญิง”
...เจ้าหญิงอย่างนั้นเหรอ
“ก็ได้” ฉันพยักหน้าหงึกๆอย่างว่าง่าย ได้เป็นเจ้าหญิงด้วยล่ะ เย้!!
“เพื่อเป็นการไถ่โทษ...ได้โปรดให้เกียรติเต้นรำกับผมได้หรือไม่ครับ เจ้าหญิง”
คนคนนั้นโค้งให้ฉัน ท่าทางสง่างามเหมือนเจ้าชายที่ขอเต้นรำแบบที่เคยดูในหนัง พาให้หัวใจฉันเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ
รู้แล้วล่ะว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร ต้องเป็นเจ้าชายที่แสนอ่อนโยนและใจดี อย่างที่ฉันตามหามานานอย่างแน่นอน
ฉันพยักหน้า วางมือลงบนมือที่ยื่นออกมา ฝ่ายนั้นจับให้ฉันอยู่ในท่วงท่าเต้นรำของผู้หญิงอย่างชำนาญ รอเสียงดนตรีเพื่อเริ่มจังหวะแล้วเริ่มก้าวเดิน
เพลงวอลซ์อ่อนหวานดังแว่วมาให้ได้ยิน แม้ขาดๆหายๆไปในบางจังหวะ แต่เจ้าชายก็ยังพาฉันเต้นไปรอบๆลานน้ำพุได้ลื่นไหลไม่มีสะดุดเลยซักนิด จับฉันหมุนตัวเป็นวงกลมแล้วอุ้มยกขึ้นสูงๆแบบในหนังด้วยล่ะ เหมือนได้เป็นเจ้าหญิงแบบในหนังเลย จำไม่ได้ว่าเต้นกันไปกี่เพลง รู้แค่ว่าสนุกจัง
ฉันพยายามเพ่งมองใบหน้าของเจ้าชายที่ถูกหน้ากากบังไปครึ่งหน้า ก็เห็นแต่สายตาที่อ่อนโยนมองตอบกลับมา
ใครกันนะ
“...เรย์กะ” ใครเรียกฉันนะ ท่านพี่เหรอ
ฉันมองหาต้นเสียง พอกำลังจะอ้าปากตะโกนบอกท่านพี่ว่าฉันอยู่ตรงนี้ แต่กลับถูกประคองใบหน้าเอาไว้ แววตาอ่อนโยนของเจ้าชายใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนเห็นได้ชัดเจนถึงเงาสะท้อนของฉันในดวงตา
สัมผัสอุ่นๆที่ริมฝีปากปิดบังคำพูดฉันไม่ให้เล็ดรอดออกไป ทุกอย่างนุ่มนวลและเป็นไปอย่างเชื่องช้าแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆหนักหน่วงขึ้นพาฉันหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ หัวใจเต้นถี่รัวเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอก สองขาแทบพยุงตัวเองไม่อยู่ และไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยในตอนนี้
นี่คือมนต์สะกดอย่างนั้นเหรอ
เวทมนต์คลายลงเมื่อเจ้าชายถอนริมฝีปากออก ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติ ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และร่างของท่านพี่ก็ปรากฎให้เห็น
“เรย์กะ”
“ท่านพี่” ฉันยิ้มกว้างให้ท่านพี่ จะว่าไปแล้วฉันมานั่งที่ม้านั่งนี่ตั้งแต่ตอนไหนนะ
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ พี่ตามหาเราให้ทั่วเลยนะ” ท่านพี่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาดูท่าทางร้อนใจ
“ท่านพี่ขา น้องได้เต้นรำกับเจ้าชายด้วยล่ะ สนู้กสนุก” ฉันเกาะแขนท่านพี่ หัวเราะฮ่าๆแล้วหมุนตัวเป็นวงกลมให้ดูอย่างต้องการสาธิต
“เจ้าชาย” ท่านพี่เลิกคิ้ว มองไปรอบๆ “ไม่เห็นมีเลยนี่”
“ต้องมีสิคะ เจ้าชายน่ะทั้งอ่อนโยนและใจดีมากๆเลย” ฉันวาดมือไม้ไปในอากาศ “มาสิค้า น้องจะแนะนำให้ท่านพี่ได้รู้จัก…”
“เรย์กะ เราดูแปลกๆไปนะ หรือจะแอบดื่มเหล้า…”
“ไม่ได้แอบนะค้า ทานอย่างเปิดเผยเลยค่า”
ลิ้นฉันเริ่มพันกันแล้ว น่าจะเหนื่อยจากการออกแรงมากเกินไป จะว่าไปก็ชักจะง่วงๆขึ้นมาแล้วสิ
จากนั้น ท่านพี่พูดอะไรออกมาบ้างฉันก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว พอท่านพี่เข้ามาใกล้ๆฉันก็ซุกตัวลงแล้วหลับไปทั้งๆอย่างนั้น หลับไปด้วยความรู้สึกมีความสุข
ดีจังที่มางานซัมเมอร์ในปีนี้ ได้เป็นเจ้าหญิงเต้นรำกับเจ้าชายด้วยล่ะ
--------------------
จบความกาวของกูแล้วจ๊ะ
เป็นจอมฉวยโอกาสจริงๆนะครับ คุณเจ้าชาย!
แท้งกิ้วโม่งฟิค
ฟิคย้อนไปยุโรปยุคกลางกับท่านพี่สายดาร์คจบยังนะ กุหายไปนาน หาไม่เจอแล้ว
กูรอหลายฟิคเลย อยากอ่านเรย์กะเกอิชาต่อจุง ท่านพี่ดาร์กไซด์ก็อยากอ่านต่อ ฟิคเวียน ฟิคชากาแฟ มะหมา เรย์กะสามัญชน แบดเอนด์ โกลเด้นวีค เรย์กะความจำเสื่อม และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็รอให้มาต่ออยู่นะ//ปูเสื่อรอโม่งฟิคทั้งหลาย
กูเพิ่งมาตามอ่านจนถึงตอนล่าสุดมี 1คำถาม
คนแต่งเทแล้วใช่ไหม
อืม รอตอนใหม่ตั้งแต่ยังไม่คลอด จนตอนนี้ลูกกูเริ่มเกาะยืนแล้วล่ะ ไม่เป็นไร กูให้เวลาถึงลูกเข้าอนุบาลละกัน ถึงตอนนั้นลูกท่านฮิก็คงเข้าอนุบาลเหมือนกัน น่าจะพอมีเวลาหายใจหายคอมาแต่งต่อนะ *ทำหน้าครุ่นคิส*
เป็นคุณแม่มันก็วุ่นวายงี้แหละมึง เดี๋ยวว่างแล้วคงมาต่อ(...)
รู้สึกหดหู่จัง ตะก่อนเวลาหดหู่กูก็อ่านเจ้าแม่แก้เครียด แต่ก็อ่านซ้ำไปซ้ำมาจนรู้สึกหดหู่กว่าเดิมเพราะไม่มีตอนใหม่มาซะที ฮือ
จริงๆกูอยากให้แกออกมาบอกหน่อยนะว่าเป็นยังไงบ้าง บอกว่าไม่เขียนต่อเทแล้วจ้ากูก็รับได้ ไม่ใช่เงียบหายไปเลยแบบนี้มันใจคอไม่ค่อยดี กลัวแกจะเป็นอะไรไปมากกว่ากลัวไม่ได้อ่านอะ
กูกลับไปวนอ่านท่านเรย์กะอีกรอบแล้วก็จับสังเกตอะไรหลายๆอย่างได้ ถึงส่วนใหญ่พวกโม่งหลายคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วแต่กูก็อยากจะขุดมาเล่าใหม่
เช่นจากมุมมองของเรย์กะนี่เหมือนร้อยละแปดสิบเปอร์เซ็นจะเป็นการสังเกตชีวิตคาบุรากิตลอด อาจเพราะต้องการหลบเลี่ยงและสืบความเป็นไป มุมมองของนางไม่ค่อยเล่าถึงเอ็นโจสักเท่าไหร่เทียบกะคาบุ แต่พอเรื่องดำเนินไปเราก็จะเห็นว่าเรย์กะเองก็รู้เรื่องของเอ็นโจมากพอสมควรทั้งๆที่ไม่มีบทบรรยาย แล้วจริงๆก็เหมือนจะคุยกันบ่อยๆในห้องสโมสรด้วย ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ถึงจะเป็นพวกทักทายหรือจิบชาคุยเรื่อยเปื่อยแต่ก็น่าจะบ่อย เรย์กะก็มักจะหลุดคำอธิบายแบบ เอ็นโจบอกว่า... ข่าวจากเอ็นโจอะไรแบบนี้ บางทีท่านฮิโยโกะอาจจะเลี่ยงไม่อธิบายให้เราเห็นความสัมพันของสองคนนี้
ต่อไปคือเรื่องข่าวสารเกี่ยวกับท่านเรย์กะ อันนี้โม่งๆรู้กันอยู่แล้ว เอ็นโจนี่ข่าวไวเกี่ยวกับท่านเรย์กะมาก ทั้งเรื่องที่เรย์กะไปกินข้าวกับน้ามาโอะ เรื่องที่ชอบคนอายุมากกว่า เรื่องที่ชอบประธานอีก ตอนคาบุอกหักที่หมอนั่นรู้ว่าเรย์กะชอบประธานนี่เดาว่าเอ็นโจมาบอกให้ตาคาบุมันเข้าใจว่าเรย์กะอกหักตอนนั้นแหง สต็อคเกอร์ในตำนาน แถมสายข่าวให้นางนี่น่าจะมีอายาเมะจังแน่ๆ เพราะนางชงแรงมาก
ทีนี้คือจากที่อ่านก็น่าจะพอจับความรู้สึกกันได้ว่าเอ็นโจแม่งชอบเรย์กะแน่ๆ แต่ทำไมนางดูชอบจับคู่เรย์กะกับคาบุเหลือเกิน อันนี้กูเดาว่าประเด็นคงอยู่ที่แม่นางยุยโกะกะคุณพ่อเอ็นโจที่ไร้บท คู่เอ็นโจยุยโกะนี่น่าจะพอจับได้รางๆแล้วว่าเป็นคู่แต่งทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์แน่ๆ ทางบ้านอุริวคงมีประโยชน์กับบ้านเอ็นโจหรือมีสัญญาสักอย่าง ที่แน่ๆคือเอ็นโจคงปฏิเสธยาก ไม่งั้นนางคงไม่ยอมอยู่กับแม่นางยุยทั้งๆที่ไม่เต็มใจแน่ๆ ทีนี้เอ็นโจอาจจะคิดว่าตัวเองคงไม่ได้ลงเอยกับเรย์กะแน่ๆ แถมบ้านคาบุก็จับคู่คาบุเรย์กะขนาดนั้น นางอาจจะคิดว่าฟนึ่งคือคู่เรย์กะกับคาบุมันน่าสนุก ถ้าสองคนนี้คบกัน นางที่ดูอยู่ข้างๆอาจจะสนุกด้วย สองคือถ้าเรย์กะได้กะคาบุ ยังไมเรย์กะก็จะหนีจากวงสังคมใกล้ๆเอ็นโจไปไม่ได้ เพราะเอ็นโจเป็นเพื่อนสนิทกับคาบุ อารมณ์แบบตัวไม่ได้ครองก็ขออยู่ใกล้ๆ ดีกว่าให้เรย์กะไปได้กับคนอื่นแล้วหายไปจากชีวิตนาง เพราะเรย์กะแทบไม่ออกงานสังคม ถ้าไม่มีจุดเกี่ยวเนื่องคงหาตัวยากแน่ๆ
แต่บางทีจุดเปลี่ยนมันอาจจะอยู่ที่ถ้าเอ็นโจชอบเรย์กะมากจนไม่อยากปล่อยมือและเริ่มลงมือทำอะไรบ้าง แถมยิ่งถ้าคาบุได้กับวาคาบะจังจริง แผนจับคู่เพื่อนสนิทก็จะทำไม่ได้ มีแต่ต้องลงสนามเอาเองเท่านั้น ถ้ามีโอกาสได้อ่านตอนใหม่ กูก็อยากจะเห็นพัฒนาการในส่วนนี้จัง...
นี่คือการพร่ำเพ้อของชาวเรือเอ็นโจระหว่างการย้อนอ่านเหงาๆเท่านั้น ถ้าพวกมึงมีอะไรมาคุยโต้แย้งกันก็โอคะ
>>734 กูว่าเรย์กะรู้เรื่องเอ็นโจดีนะ อะไรเล็กๆน้อยๆก็รู้ อย่างเรื่องเขาไม่กินขนมหรือไม่เคยรินเครื่องดื่มบริการใคร รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหมือนนางหลุดปากออกมาเองไม่ได้บรรยายมุมมองแบบคาบุ
ส่วนเอ็นโจ กูว่าทีแรกที่ฮีจับคู่คาบุกับเรย์กะน่าจะออกแนวสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วตลกดี ถ้าได้คู่กันฮีน่าจะมีอะไรบันเทิงให้ดูได้ไม่เบื่อ แต่เอาเข้าจริงพอเขาอยู่ด้วยกันนี่เสือกทนไม่ได้ ปรี๊ดแตกระเบิดเรือเอง แบบตอนเกิดมาไม่เคยโดนใครทิ้งอะ กูว่าสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลมาจากแค่เขานั่งข้างๆกันเอง พอทะเลาะกับเขาก็คะแนนตก กูคิดว่าตรงนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ฮีแน่ใจความรู้สึกตัวเองว่าเรย์กะนางมีอิทธิพลต่อจิตใจขนาดไหน ถึงได้รุกแรงขึ้น อย่างเริ่มชวนเขาไปนั่นมานี่แล้วอย่างชวนไปอควอเรียม หน้าด้านตามไปกินราเม็งด้วย(แต่โดนสกัดดาวรุ่ง) ชวนไปกินคีช ชวนดูดอกไม้ไฟ แล้วตอนที่ 268 กูคิดว่าเหมือนตอกหมุดย้ำว่าคนนี้ล่ะ จากที่ชอบๆมันก็ก้าวไปสู่คำว่ารักแล้ว ดูตามติดมากขึ้น เห็นเขายืนดูมือถือนานก็ไปส่องจากด้านหลัง ขอสัมผัสเนื้อตัวทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยทำ ตอนนั้นอย่างมากก็ได้แค่แอบมองแล้วเอาไปคิดต่อว่าต้นคอเขาสวยนะ กูว่าต้องคิดอะไรหื่นๆอยู่แน่ ไม่งั้นไม่พูดออกมาว่าคิดมาตั้งนานแล้วว่าต้นคอเรียวระหง...คิดมาตั้งนานนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ 555555555555
กูก็อยากเห็นพัฒนาการเหมือนกัน ความสัมพันธ์มันซึมลึกแต่พอคิดตามแล้วรู้สึกหวานนะ
สรุป คาบุคือสตอล์คเกอร์แบบชัดเจน
ส่วนเอ็นโจเป็นสายซุ่มสตอล์คสินะ
>>734 เอ็นโจข่าวไวเพราะสายข่าวเยอะด้วยป่ะ ยิ่งเป็นประเภทตีเนียนคุยกับใครก็ได้อยู่ด้วย เรื่องรอบๆตัวก็อายาเมะจัง มาโอะก็คงเล่าเรื่องไปกินข้าวกับคุณน้าให้ยูกิโนะฟัง เรื่องที่โรงเรียนพิเศษก็ถามทาคากิได้ เผลอๆอาจจะมีคอนเนคชั่นลับๆกับอิมาริอยู่ด้วย
จะว่าไปพูดถึงพ่อเอ็นโจที่ยังไม่มีบท กูนึกภาพคุณอาผมทองหล่อลากแต่งตัวเนี้ยบทั้งเนื้อทั้งตัว เป็นเอ็นโจเวอร์ชั่นโอจิ นิสัยร้ายกว่าลูกชาย //แต่ถ้าออกมาตุ้ยนุ้ยเหมือนพ่อทานุกิของเรย์กะนี่ฮาเลยนะ 555555555
>>735 จะว่าไปช่วงเรย์กะกับคาบุสนิทกันมากขึ้นแล้วเอ็นโจนางเสนอหน้าตามประกบมานี่อย่างฮา ก็นะ ตลอดหลายปีมานี้พยายามหยอดสาวชมสาวแทบตายโดนปัดธงทิ้งหมด รุกมากสาวก็หนี ครั้นพอดูมีแววก็ดันมีว่าที่คู่หมั้นโผล่มาจากไหนไม่รู้ทำให้กระต่ายยิ่งถอยตัวออก เอ็นโจนี่น่าสงสารชอบกลนะ คาบุก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีคำแนะนำจากเรย์กะ ไม่แน่ก็อาจจะยิ่งจีบวาคาบะไม่ติดก็ได้ ทำไมสองหนุ่มหล่อหนึ่งสาวน่ารักสามผู้ยิ่งใหญ่ต้องมีชะตากรรมรักน่าสังเวชแบบนี้วะ
>>740 ทำไมน่ะเหรอ
ของคาบุ ก็คงเป็นเพราะ คราวยูริเอะนั้นคงเป็นเรื่องอายุที่ห่างกัน และเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยทำให้นางมองเป็นน้องชายมาตลอด คงจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นยาก ส่วนคราววาคาบะนั้นคงเป็นเพราะดันไปจีบแบบไม่สนความรู้สึกของฝ่ายหญิง และไม่สนบรรยากาศรอบตัวว่าถ้าไปยุ่งมากจะทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน
ของเอ็นโจก็คงเป็นเพราะเจ้าตัวดันไปทำให้อีกฝ่ายระแวงเอง บวกกลับเรย์กะฝังใจกับจุดจบในมังงะ ทำให้นางยิ่งจะหลีกหนี ถ้าไม่มียูกิโนะนะ ไม่มีทางคืบหน้าหร้อก
ส่วนของเรย์กะนะ บอกได้คำเดียวว่า "ซวย" พอชอบใคร หรือเริ่มจะชอบใคร อีกฝ่ายมีเจ้าของแล้วทั้งนั้น
>>741 เพราะคำสาปนางร้ายป่ะ ตัวละครนางร้ายส่วนใหญ่ก็จบไม่ดีอยู่ละ เบาหน่อยก็นก กินแห้ว โดนประนามหยามเหยียด สังคมรังเกียจเลิกคบ แรงๆก็มีทั้งตาย พิการ ติดคุก เป็นบ้า โดนข่มขืน(อันนี้กูเกลียดมาก) เรย์กะวิญญาณสามัญชนมาเกิดถึงจะเปลี่ยนนิสัยให้ดีขึ้น แต่ก็โดนคำสาปนางร้ายขั้นเบาะๆให้นกอยู่ร่ำไป
ท่านฮิโยโกะหายไปนาน ลืมพาสเวิร์ดป่าววะ
>>734 กูว่าตอนแรกๆเอ็นโจคงคิดว่าตัวเองคงไม่ได้สมหวังหรอก เพราะตัวเองก็มีชนักปักหลังชิ้นเบ้อเร่อ เลยพยายามจับคู่เรย์กะให้คาบุไป อย่างน้อยก็น่าจะได้เป็นแก๊งค์สามช่ากัน เป็นเพื่อนกันมันก็ความสัมพันธ์ยืนยาวกว่าด้วย แต่ถึงเวลาจริงๆก็รู้ว่าทำไม่ได้ไง แค่เขาไปนั่งข้างๆกันก็ออกอาการฉุนเฉียวขนาดนั้นละ หนังแต่ละเรื่องที่ฮีพูดมามีจุดร่วมที่เหมือนกันทุกเรื่องคือใครแย่งสาวที่พระเอกชอบ ทุกคนล้วนไม่ตายดี ถ้าต้องมาดูเรย์กะไปกับคาบุจริงๆกูว่าฮีทนไม่ได้ว่ะ อาจจะมีพังพินาศกันไปข้าง
ที่กูเดาไว้นะว่าสาเหตุหลักๆเลยก็การตกลงหมั้นหมายของผู้หลักผู้ใหญ่นั่นล่ะ แนวเครือญาติก็คงทำนองว่าเรือล่มในหนองทองไม่ไปไหน แต่ก็มี hint ที่เอ็นโจชอบพูดคือเรื่องบุญคุณ ทำอะไรก็บุญคุณตลอด น่าจะโดนปลูกฝังนิสัยอะไรแนวๆนี้มาหรือไม่ก็เจอเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าเอาบุญคุณมากดทับกัน แล้วก็มีเรื่องที่เอ็นโจขาเจ็บลงวิ่งไม่ได้ตอนประถม ทิ้ง hint ไว้ น่าจะเอามาใช้ ขนาดตัวประกอบจืดจางใช้แล้วทิ้งแบบคุณอิโคมะที่ออกมาไม่กี่ตอน คนอ่านก็ลืมกันไปหมดแล้ว อ.แกยังเอามาใช้ในตอนหลังเลย เรื่องเอ็นโจขาเจ็บนี่อาจจะเกี่ยวพันกับเรื่องบุญคุณหรือสัญญาอะไรกับทางอุริวก็ได้มั้ง
ตอนกูอ่านความสัมพันธ์ของเรย์กะ เอ็นโจ ยุยโกะ กูก็นึกถึงหน้ากากแก้วขึ้นมาว่ะ ที่คุณฮายามิซัพพอร์ตน้องมายะในเบื้องหลังตลอดเวลา ส่งดอกกุหลาบสีม่วงไปให้ เป็นแฟนคลับของคุณนะครับ แต่ต่อหน้าทำตัวร้ายๆ ขี้แกล้ง ดูเป็นคนเลือดเย็น น้องมายะก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าแต่ก็เชื่อใจเขา แล้วคุณฮายามิก็มีปมที่เป็นเด็กถูกรับมาเลี้ยง มีคู่หมั้นที่น่าตบมว๊ากกกกกกก ชอบเอาอาการป่วยอ่อนแอดูแลตัวเองไม่ได้มาเรียกร้องความสนใจตลอดเวลา ถึงจะรำคาญแต่กูก็อ่าน เพราะกูอยากรู้ว่าใครจะได้เป็นนางฟ้าสีแดง 555555555555555
แต่นี่มันเรื่องท่านเรย์กะ คงไม่ดราม่าขนาดข้างบนหรอกมั้งงงงงงงงง ต่อให้ดราม่าหนักขนาดไหนแต่กูเชื่อว่าต้องจบดีและมีทางออกดีๆสำหรับทุกฝ่ายในสไตล์ของนางแน่นอน ส่วนตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้มาต่อเถิด//กุมมือสวดอ้อนวอน
>>752 ฟิคมึง ฟิค 5555555555
บ้านคาบุกับบ้านวาคาบะนี่รู้ว่าที่บ้านทำงานทำการอะไร เป็นเจ้าของกิจการด้านไหน แต่บ้านเรย์กะกับเอ็นโจไม่มีหลุดออกมาซักนิด ก็ได้แต่เดากันไปว่าบ้านสองคนนี้ทำกิจการด้านไหน แต่ให้กูเดานะ กูว่าโรงบาลที่เรย์กะไปรักษาคิ้วร่วงนี่อยู่ในเครือเอ็นโจแน่ๆ ถถถถถถถถถถ
>>751 นึกถึงเรื่องพี่เซลล์แมนไปต่างโลกแล้วมันมีให้กรอกแต้มว่าจะให้เอาไปใช้ด้านไหนบ้าง พี่แกนึกว่าอำกันเล่นก็กรอกเกรียนๆไปให้หน้าตาติดลบสุดกู่กับห้ามมีอย่างว่ากับผู้หญิงไม่งั้นตาย แต่แลกมาด้วยพลังมหาศาลแล้วก็ความเทพ ตอนคาบุกับเอ็นโจจะลงมาเกิดอาจจะกรอกแต้มความรักติดลบเพราะเห็นว่าไร้สาระ หน้าตาหล่อแถมบ้านรวยเดี๋ยวสาวก็มาเองแหล่ะ แล้วสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นล่ะฮะท่านผู้ชม 5555555555
อ่านไปถึงช่วงที่คาบุเรย์กะพาทัวชิมอาหารแล้วก็กร๊าวใจดีจังเลยว่ะ คือถ้าไม่ใช่ว่าตัวอยู่เรือเอ็นโจแล้วกูคงอวยเรือคาบุเรย์กะน่าดูชมเหมือนกัน สองคนนี้มีอะไรคล้ายๆกันเยอะมาก ทั้งรสนิยมการกินและความบ้า
>>757 กูว่าเอาจริงๆถ้าบอกว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องฝาแฝดที่โตมาด้วยกันกูยังไม่แปลกใจเลยอ่ะ น้องชายรูปหล่อน่าเกรงขามแสนฉลาดแต่อายุสมองน้อยชอบทำตัวเอาแต่ใจกับพี่สาวท่าทางเป็นคุณหนูผู้เยื่อหยิ่งแต่จริงๆใจอ่อน เป็นสองฝาแฝดที่แชร์ทั้งความบ้าและความชอบกิน คือถ้าโตมาแบบสนิทๆกันนี่คงพาเที่ยวกันตั้งแต่ตัวกระจ้อยแน่ๆ นึกภาพเรย์กะตัวน้อยจูงมือมาซายะน้องชายและชูสึเกะผู้ติดสอยห้อยตามมาแอบเดินเข้าร้านสะดวกซื้อตอนป.1 สิ
>>759 ทั้งสองบ้านอาจจะคุยกันแต่ยังไม่ได้ตกลงจริงจัง แต่ทุกคนคงดูออกแล้วว่าเรย์กะนี่ต้องหมั้นกับคาบุแน่ๆ (ยกเว้นสองคนคือเรย์กะที่ไม่คิดว่าผู้ใหญ่จะตกลงปลงใจทั้งสองฝ่ายแล้วกับคาบุที่ไม่สะกิดใจ) มีชูสึเกะยืนยิ้มขื่นๆ อยู่วงนอกตอนเห็นคาบุไล่ตามยูริเอะและเรย์กะตกหลุมรักประธาน พอโตขึ้นหน่อยทั้งสองถึงได้สังเกตว่าพวกพ่อแม่เอาจริงแน่แล้วเลยรีบหาทางปฏิเสธกันใหญ่ เรย์กะก็รีบมองหาแฟนแถมช่วยจับคู่คาบุกับวาคาบะอย่างกะตือรือร้นงี้ โอ๊ย พร่ำไปมาอยากเขียนฟิคเลย อยากได้แก๊งสามช่าวัยละอ่อน
>>761 ถ้าเรย์กะตามไปซื้อกระดาษจดหมาย แก๊งค์สามช่าคงถือกำเนิดในวันนั้น เรย์กะน่าจะคิดว่าต้องตั้งตัวเองเป็นผู้ปกครองของสองคนนี้ คอยจับตาดูไว้ไม่ให้ไปก่อเรื่องหรือสร้างธงหายนะให้นาง พอยูกิโนะเกิดก็เฮโลกันไปเล่นกับน้องที่บ้านเอ็นโจ มาซายะก่อกวนยูกิโนะตอนหลับอาจจะโดนเรย์กะตบหัวทิ่มไรเงี้ย มีชูสุเกะมองยิ้มๆ เข้าไปช่วยเรย์กะเลี้ยงน้อง แต่แอบจิ้นไปไกลแล้วว่าถ้ามีลูกคงเป็นประมาณนี้ โอยยย อยากได้ฟิคจังข่ะ
>>758 กูนึกภาพเรย์กะวัยประถมแอบเอาขนมสามัญชนถูกๆที่ซื้อมาแบบยากลำบากมาหลบมุมกิน แต่สองหน่อมาเจอเลยโดนไถขนมไป มาซายะกินแล้วติดใจเลยบอกให้พาไปซื้อหน่อย กลายเป็นวางแผนการสุดเครียดในการเดินเข้าไปซื้อของในร้านมินิมาร์ท เหมาของที่อยากกินมาเปิดประชุมปาร์ตี้ขนมสามัญชนกันสามคน มีวาระการประชุม ลงบันทึกรายละเอียดว่าอันไหนอร่อยต้องซ้ำ อันไหนไม่อร่อยอย่าแดก พอขึ้นมัธยมก็ออกไปตะลอนทัวร์ชวนชิมตามร้านเกรดบีกันสามคน พอน้ำหนักขึ้นก็จับไดเอทไรเงี้ย 55555
>>765 กูว่าบล็อกชิมอาหารของราชินีโรโคโค่ที่เรากาวๆกันไว้แม่งได้เป็นจริงๆแน่ๆเลยว่ะ อาจจะเป็นบล็อคช็อปชิมชิลกับพระราชวังแวรซาย(?)อะไรแบบนี้ มีนักเขียนหลักสองคน คนนึงเขียนวิเคราะห์อย่างละเอียดทั้งขนมเลิศรสและระดับความอร่อย อีกคนอาจจะเป็นจัดอันดับความอร่อยและคุ้มค่า และเมนูก็จะหลากหลายกว่ามีตั้งแต่หรูยันขนมหลอกเด็ก อีกคนเป็นผู้ดูแลเว็บกับถ่ายรูปไป แล้วในเครื่องก็จะแอบมีรูปใครบางคนมากหน่อย ไม่ยอมเอาลงเว็บ
จะมีใครจัดทริปทัวร์กินตามเจ้าแม่(ที่ญี่ปุ่น)ไหมวะ น่าสนใจมาก
>>766 กูว่าถ้าสามหน่อนี้ไปด้วยกันตั้งแต่เด็กๆมันก็ต้องเกิดอีเวนท์ทัวร์ชวนชิมพวกนี้อยู่ดี แค่เกิดเร็วขึ้นเท่านั้นเอง 55555555555
ขอ ky แปป พอดีไปเจอคลิปนี้มา โอ๊ยยยย ใจละลายไปกับซามอยด์ ถ้าชูสุมอยไปอ้อนใส่เรย์ทันแบบนี้นี่กูตาย น่ารักโคตรรรรรรร
https://twitter.com/octobeary/status/1082240207712182272
>>734 ที่ฮีจับคู่คาบุกับเรย์กะน่าจะโดนผู้ใหญ่แบบมาดามคาบุกดดันมาด้วยป่ะวะ อาจจะไม่ได้กดดันหนักมากมายหรอก แต่ก็เปรยๆว่าอยากให้ช่วยชงสองคนนั้นหน่อย บ้านเอ็นโจอาจจะต้องพึ่งพาบ้านคาบุหรือบ้านยุยโกะ ชูสุเกะเลยต้องทำตามที่ผู้ใหญ่ขอร้องมา อีกอย่างกูว่าฮีอาจจะเข้าใจว่าเรย์กะแอบชอบมาซายะอยู่เลยคิดว่าตัวเองคงไม่มีหวัง หรือไม่ก็ชงให้สองคนนี้สนิทกันเพื่อที่ตัวเองจะได้เข้าใกล้ไปด้วย เราเข้าไปดุ่มๆตัวคนเดียวเดี๋ยวเขากลัว ต้องเอาน้องกับเพื่อนมาอ้างบังหน้าอยู่ร่ำไป
>>770 งู้ววววววว ชูสุมอยแบบโชตะ รู้สึกใจบางตอนฟุบกับพื้นเหลือเกิน
Fic
ไม่ใช่ว่าเพดานห้องมันสูงขึ้นสักหน่อยหรือเปล่าน้า
ฉันจ้องมองมันด้วยความสงสัย ดูเหมือนโคมไฟระย้าก็ยังดูใหม่อยู่ด้วยหรือว่าวันก่อนที่ออกไปดูดอกไม้ไฟกับยูกิโนะคุงท่านแม่จะให้ช่างเข้ามาทำอะไร
อุหวา หวังว่าคงไม่ได้เปิดตู้เสื้อผ้าออกมาด้วยหรอกนะ ในนั้นมีของที่ท่านแม่เห็นจะต้องกลายร่างได้อยู่เยอะแยะด้วยสิ แต่ว่าเมื่อคืนท่านแม่เองก็ไม่เห็นจะว่าอะไรนี่นา ช่างมันเถอะเน๊อะ
แต่จะว่าไปเตียงนี่มันก็เหมือนจะใหญ่ขึ้นนิดหน่อยหรือเปล่านะ ไม่สิ พอมาคิดดูแล้วไม่ใช่ว่ามันเหมือนเตียงสมัยเด็กเลยหรือไง เมื่อคืนจำไม่เห็นได้เลยว่าตอนที่นอนเป็นเตียงนี้
เอ๋
ประหลาดจังเลยนะ หรือว่ากำลังฝัน ฉันลองหยิกไปที่แก้มตัวเองดู
เจ็บอ่า
เอ๋
ไม่ใช่ว่ามือนี่เล็กลงไปหน่อยหรอกเหรอ ฉันมองมันด้วยความสนใจก่อนจะเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วไปส่องกระจกดู
พอเห็นตุ๊กตาฝรั่งเศสตัวน้อยในนั้นก็เริ่มพอจะเข้าใจ ดูเหมือนนี่จะเป็นวัยเด็กของฉันนี่แหละค่ะ
*************
"ท่านพี่ขา"
ฉันเมินเฉยสถานการณ์ที่ไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบก่อนจะใช้ชีวิตไหลไปตามเรื่องราว ท่านพี่ทาคาเทรุวัยเด็กล่ะ คิดถึงจัง! แม้จะยังเด็กแต่ก็เป็นท่านพี่ที่จริงจังดูเป็นผู้ใหญ่เหมือนเดิม หวา ไม่ใช่ว่าเครียดไปหน่อยหรือไงคะ ท่านพี่เพิ่งจะสิบเอ็ดขวบเท่านั้นเองนะคะ
"มีอะไรหรือเปล่า" ท่านพี่ทำหน้าประหลาดใจที่ถูกฉันกอดจากด้านหลัง อุแหะๆ ต้องเขย่งเท้าด้วยแหละถึงจะถึงเอวท่านพี่
"ไม่มีอะไรค่า"
"หืม วันนี้ดูแปลกๆ นะ มีไข้หรือเปล่า"
ท่านพี่ทำหน้าประหลาดใจก่อนจะลองใช้หลังมือสัมผัสหน้าผากฉัน ใจเต้นตึกตักนิดหน่อยเลยล่ะค่ะ
"ตัวร้อนนิดหน่อยนะ"
"ไม่เป็นไรค่า"
"อืม ไม่ได้หรอก ถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาจะแย่เอา เดี๋ยวพี่บอกท่านแม่ให้เตรียมรถไปโรงพยาบาล"
"ไม่เป็นไรจริงๆ ค่า หนูอยากอยู่กับท่านพี่มากกว่า"
"แต่ว่าวันนี้พี่มีเรียนพิเศษนะ"
อ๋า ใช่แล้วท่านพี่ต้องไปเรียนพิเศษตั้งแต่เด็กแถมต่อมายังแนะนำให้ฉันไปเรียนที่นั่นจนเจอกับซากุระจังด้วยนี่นะ
"เข้าใจแล้วค่า"
หลังจากท่านพี่ไปไม่นานท่านแม่ที่ออกไปงานเลี้ยงน้ำชาข้างนอกก็โทรมาให้คนขับรถพาฉันไปโรงพยาบาลทันที
แน่นอนว่าไม่ได้เป็นอะไรล่ะ!
คุณหมอให้วิตามินสำหรับเด็กมารับประทานสองถุงก่อน ในตอนที่ออกมาท่านแม่ก็โทรศัพท์เข้ามาถามอาการกับคุณพ่อบ้านที่มาด้วย พอเดินออกมาหน่อยก็เจอเด็กผู้ชายคุ้นตาสองคน
"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจมากนะมาซายะ"
"งั้นก็ดีแล้ว หืม จูโม่"
จูโม่อะไรยะ!
*หมายเหตุ จูโม่ มาจากตุ๊กตากระเบื้องเคลือบฝรั่งเศสของจูโม่
ฉันชักสีหน้าได้แวบเดียวก่อนจะหันหน้าหนี ไม่นึกว่าจะเจอตัวปัญหาในอนาคตที่นี่ได้ ปกติเราต้องเจอกันตอนช่วงประถมที่ซุยรันนี่นา
แต่ครั้งนี้ฉันย้อนมาก่อนจะถึงวัยประถมนานอีกดังนั้นไม่น่าจะเจอกันได้เลย
จะว่าไปท่านน้าซึ่งเป็นแม่ของท่านเอ็นโจก็เข้าโรงพยาบาลบ่อยนี่นะ อุหวา บังเอิญจริงๆ
หลังจากออกจากตึกโรงพยาบาลฉันอดจะเหลียวหน้าไปมองคาบุรากิกับเอ็นโจไม่ได้ จะตามมาทำไมกันยะ!
"มีอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ" ก็อยากจะด่าอยู่หรอกแต่ว่าตอนนี้พวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อนนี่นา คาบุรากิที่ภายนอกก็ดูเป็นคุณชายน้อยที่สง่างามอยู่แท้ๆ แต่เนื้อในเป็นสตอกเกอร์คลั่งรักเสียของสุดๆ
คาบุรากิยืนอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหันไปหาเอ็นโจแล้วบอก
"พูดได้ด้วย"
ก็ต้องพูดได้อยู่แล้วสิยะ! เจ้าหมอนี้นึกว่าฉันเป็นตุ๊กตาเคลือบนั่นจริงๆ เรอะ
"เอ๋ ก็ต้องพูดได้สิ เธอคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงไม่ใช่เหรอ" เอ็นโจตอบอย่างสบายๆ
คาบุรากิสมัยเด็กก็อ่านง่ายแบบนี้แต่แรกอยู่แล้วนี่นา! ไหงคนอื่นไม่รู้จักเนื้อในไม่ได้ความแบบนี้กันนะ นี่นายเชื่อจริงๆ เหรอว่าจะมีตุ๊กตาขนาดเด็กสี่ห้าขวบเดินเพ่นพล่านไปมาได้น่ะ เจ้าหมอนี่ตอนเด็กต้องเชื่อเรื่องซานตาคลอสแน่ๆ เลยใช่ไหม
"งั้นเหรอ"
"อื้อ ก็เธอคนนั้นผมสีดำนี่นา"
"อะ จริงด้วย ไม่ใช่งานของจูโน่นี่"
"จริงด้วยน้า"
อย่าไปเชื่อตานั่นสิยะ ไม่รู้เหรอว่ากำลังโดนเอ็นโจหลอกเอาอยู่ ต่อให้ย้อมผมเป็นสีทองแต่ฉันก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาเหมือนเดิมนะ
คุณพ่อบ้านที่ตามมาด้วยก็ยืนดูอยู่ห่างๆ พร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดู ไม่มาช่วยกันหน่อยเหรอคะ ดิฉันกำลังถูกรบกวนอยู่นะ
"นี่ๆ กำลังจะไปไหนน่ะ"
คาบุรากิถามขึ้นมาในขณะที่ฉันกำลังเดินหนีไปไกล ฉันมองดูร้านสะดวกซื้อข้างโรงพยาบาลก่อนจะหันไปทางคุณพ่อบ้านแล้วพูดออกมาว่า "จะไปร้านสะดวกซื้อสักหน่อยค่ะ"
คุณพ่อบ้านทำหน้าตะลึงใหญ่เลยแต่สองหน่อนี่ไม่มีอาการผิดปรกติอะไร
คุณพ่อบ้านเดินตามอยู่ห่างๆ ไม่ได้ว่าอะไร ขณะที่ฉันลองเข้าไปร้านสะดวกซื้อที่หรูหรากว่าร้านทั่วไปพอสมควร การจะมาตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลเลิศหรูแบบนี้ได้ก็คงต้องเป็นร้านระดับนี้แหละนะ
"เอ๋ ไม่ใช่บ้านตุ๊กตาฮินะหรอกเหรอ"
คาบุรากิทำเสียงเหลือเชื่ออีกครั้ง ในหัวหมอนี่คิดอะไรอยู่ยะ คิดว่าที่ๆ ฉันไปจะเป็นบ้านตุ๊กตาเรอะ
"บอกไปเมื่อกี้ว่าจะมาร้านสะดวกซื้อนี่คะ" ฉันทำใจเย็นตอบขณะที่อีกฝ่ายยังมองไปรอบๆ
เอะ หรือว่า
"ไม่รู้จักร้านสะดวกซื้อเหรอคะ" ฉันถามออกไป
"ตะ ต้องรู้จักอยู่แล้วล่ะน่ะ ร้านสะดวกซื้อใช่ไหมล่ะ เคยมาอยู่แล้วล่ะ"
อ่านง่ายชะมัด...ฉันเห็นท่าทีล่อกแล่กนั่นแล้วพลันรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา เมื่อก่อนทำไมถึงกลัวหมอนี่ได้นะ
ขณะที่เอ็นโจใช้สายตาสำรวจไปรอบๆ โดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนกำลังเรียนรู้ในการปฏิบัติของสถานที่นี้อยู่นะ
ฉันเดินไปดูรอบๆ ก่อนจะหยิบขนมออกมาสองสามห่อ ร้านสะดวกซื้อเลิศหรูแห่งนนี้มีขนมจากต่างประเทศที่ท่านแม่คงไม่เอ็ดใส่เมื่อกลับไป จากนั้นคาบุรากิก็เริ่มทำตาม ขณะที่เอ็นโจขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่ง
พวกเราไปยังเค้าเตอร์ชำระเงินก่อนที่คุณพ่อบ้านจะเดินเข้ามา ฉันก็หยิบเงินออกจากกระเป๋าสะพายออกมา จะไปรบกวนเงินคุณพ่อบ้านได้ยังไง
"อะ"
ขณะที่ฉันกำลังถูกคิดเงิน เสียงของเด็กน้อยคาบุรากิก็ดังขึ้นมาด้านหลังจนฉันเหลียวไปมองเห็นใบหน้าลนลานอีกฝ่าย
เอ๋
"ไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วยเหรอคะ"
เห็นใบหน้าช็อคของอีกฝ่ายฉันก็รู้สึกว่ามันตรงเผงเลยล่ะสิ จากนั้นเด็กน้อยคาบุรากิก็กระซิบถาม "ต้องทำยังไง"
เอ๋
อย่าบอกนะว่าใช้เงินไม่เป็น
ฉันใช้สายตาเหลือเชื่อมองอีกฝ่าย อาการเหมือนตอนพาไปร้านฟาสฟู๊ดแรกๆ เลย ไม่ใช่ว่าหมอนี่ไม่เคยจ่ายเงินเองมาก่อนหรอกนะ
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้โตไปจะต้องมีบาดแผลทางใจกับร้านสะดวกซื้อแน่ๆ
แต่ดูเหมือนสายตาของฉันจะทำให้เด็กน้อยคาบุรากิมีบาดแผลทางใจไปก่อนเสียแล้ว อีกฝ่ายทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนฉันจะหยิบเงินของตัวเองขึ้นมาส่งให้
"ใช้นี่ยื่นให้คนคิดเงินนะคะ"
"อะ อืม"
หลังจากออกจากร้านสะดวกซื้อ ท่าทีของเด็กน้อยคาบุรากิก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
"เป็นประสบการณ์ที่ดีนะ" เอ็นโจพูดขึ้นมา
"อา นั่นสิ" เด็กน้อยคาบุรากิพยักหน้าตอบ
อย่ามาทำเป็นเท่ตอนนี้สิยะ! เมื่อกี้เกือบจะมีบาดแผลทางใจไปแล้วแท้ๆ
ฉันหยิบช็อกโกแลตแท่งออกมาทานเล่นในตอนนั้นสายตาของคาบุรากิก็จับจ้องมายังขนมในมือของฉันด้วยความสนอกสนใจ
หืม ไม่ใช่ว่าคาบุรากิชอบช็อกโกแลตมากหรอกเหรอ เป็นไปได้ยังไงที่ไม่รู้จักช็อกโกแลต
"ลองทานสักหน่อยไหมคะ"
คาบุรากิพยักหน้าราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ชอบธรรมอยู่แล้วที่ฉันต้องยื่นขนมไปให้ ฉันใช้สายตาเวทนาหน่อยๆ มองอีกฝ่ายก่อนจะนึกไปว่าเพราะแบบนี้เลยไม่ค่อยมีเพื่อนสินะ
จากขนมเข้าปากไปสักพัก หว่างคิ้วของเด็กน้อยคาบุรากิก็ขมวดเข้าหากันแล้วแล้วบอกว่า
"ขม"
แน่นอนล่ะ ก็เป็นโก้โก้แท้ที่ไม่ได้เติมความหวานมากนัก ก็ต้องขมมากกว่าช็อกโกแลตปกติอยู่แล้ว
"เป็นรสชาติของผู้ใหญ่ค่ะ"
"อะ งั้นหรอกเหรอ"
จู่ๆ สีหน้าหมอนี่ก็เปลี่ยนเป็นขบคิดแล้วดื่มด่ำกับช็อคโกแลตเมื่อครู่แทน หวา เป็นเด็กน้อยที่โดนชี้นำง่ายจังเลยนะ
"แบบนี้เอง รสชาติไม่เลว"
"งั้นหรือคะ ที่จริงมีช็อคโกแลตที่รสชาติดีกว่านี้อีกเยอะเลย"
"งั้นเหรอ อันไหนล่ะ"
เด็กน้อยคาบุรากิดูกระตือรือร้นจนเกินไป แต่ในร้านสะดวกซื้อถึงจะมีหลายชนิดแต่จะไปมีช็อคโกแลตระดับมืออาชีพทำได้ยังไง
อะ ไม่สิ จะว่าไปก็พอมีวิธีอยู่นะ
"ขอตัวไปซื้อวัตถุดิบสักครู่นะคะ"
******************
จากนั้นฉันก็มาที่บ้านคาบุรากิ
"สวัสดีค่ะ" ฉันทักทายมาดามคาบุรากิ แม้จะเป็นครั้งแรกแต่ดูเหมือนเธอจะเคยพบหน้าฉันเมื่อตอนเด็กมาก่อนทั้งยังรู้จักคุณพ่อบ้านอีกฝ่ายจึงดูเหมือนไม่ได้ไม่พอใจอะไรทั้งยังยิ้มให้อีกด้วย
"ขอยืมครัวสักครู่นะคะ"
"ได้สิจ๊ะ"
หลังจากที่ได้รับการฝึกสอนจากลูกชายร้านขนมเค้กมาพอสมควร ฉันจึงได้ใช้ประสบการณ์ระดับลูกมือของมืออาชีพเพื่อทำ "มิราเคิลช็อกโกแลตแฟนตาซี" อืม ผสมรัมไปสักหน่อยดีหรือเปล่านะ แต่ใส่ส้มลงไปด้วยน่าจะสร้างรสชาติที่ดีได้ แต่ว่าตอนนี้พวกเรายังเด็กถ้าหากว่าผสมแครอทกับบ็อคโคลี่แล้วก็อโวคาโดลงไปน่าจะดีต่อสุขภาพ
ฉันตัดสินใจเลือกวัตถุดิบที่มีประโยชน์หลายอันผสมลงไปในช็อคโกแลตที่โดนความร้อนก่อนจนคนให้วัตถุดิบซ่อนตัวอยู่ภายใน เปลือกนอกถึงจะเป็นช็อคโกแลตแต่ความจริงแล้วก็อุดมด้วยประโยชน์สูงนะ!
"ถ้าหากว่าเย็นลงแล้วลองยกออกมาทานดูนะคะ"
ฉันบอกคาบุรากิก่อนจะขอตัวกลับบ้าน อีกฝ่ายเองก็ตอบรับอย่างกระตือรือร้น
"อื้ม"
ระหว่างทางฉันค่อยนึกได้ว่าคาบุรากิไม่ชอบกินขนมที่ทำจากมือสมัครเล่นนี่นา จะกินแต่ของเชฟมืออาชีพ ดูเหมือนอีกฝ่ายโตไปจะกลายเป็นพวกช่างเลือกนะ
**********************
พอตื่นมาอีกทีก็กลายเป็นตอนอยู่ ม.6 เหมือนเดิมแล้วสิ
พอไปห้องสโมสร เห็นคาบุรากิกำลังหยิบช็อคโกแลตออกมาทานค่อยนึกถึงความฝันเมื่อวานได้
"มีอะไรหรือเปล่าคิโชวอิน"
"ท่านคาบุรากิชอบช็อคโกแลตมานานหรือยังคะ"
คาบุรากิทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยบอกออกมา
"น่าจะตั้งแต่เด็กล่ะมั้ง เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วตอนที่ได้ลองทานช็อคโกแลตครั้งแรกแล้วรู้สึกประทับใจเป็นรสชาติที่ราวกับได้ลิ้มลองความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่ตอนนั้น"
"...งั้นหรือคะ"
ฉันหยิบนิตยสารออกมาอ่านโดยไม่พูดอะไร ความฝันบางทีก็อาจจะมีจุดร่วมอะไรแปลกๆ แบบนี้แหละนะ
"จะว่าไปฉันไม่ค่อยได้ไปร้านราเม็งเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันน่าสนใจ"
"งั้นหรือคะ...จะว่าไปท่านคาบุรากิไปร้านสะดวกซื้อครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไหร่คะ"
"อะไรกันเล่า ถ้าแค่ร้านสะดวกซื้อก็ไปเองเป็นตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ฉันเคยไปตั้งแต่ก่อนจะเข้าเรียนชั้นประถมเสียอีก"
"...งั้นหรือคะ"
*****จบ*****
.........ผู้ประเดิมชอคโกแลตมิราเคิลรายแรกสินะ ดีละที่อยูาในรพถถถถ
นี่สินะ เหตุผลที่ไม่กินของทำมือ!!!
ท่านเรย์กะว้อย5555555555555 เป็นกูก็เป็นปมอะ น่ากลัวชิบหาย แง
กูขอบ่นหน่อย รู้สึกตอนนี้ฟิลเหมือนเจ้าแม่ช่วงสอบเลยว่ะ จะสอบใบอนุญาตฯอีกไม่นานแล้วแท้ๆ แต่ดันหมดไฟ เห็นเรื่องนู้นเรื่องนี้สนุกตลอด นี่เพิ่งเผลอไปโต้รุ่งอ่านนิยายเกือบร้อยตอนจบในคืนเดียวแล้วก็มานั่งเฟล พอจะจุดไฟให้ตัวเองมือก็เผลอหาของแดกแทนงี้//เส้าสัส;__;
กูพึ่งวนอ่านจนถึงตอนล่าสุดซะที เดี๋ยวขอไปจุดประกายไฟกับเผางานให้เสร็จแล้วจะไปปั่นฟิค what if ไปซื้อกระดาษมานะ คไม่เกินวันอาทิตย์
จริงๆนับถือพวกโม่งฟิคจังทั้งหลายเลย แต่งกันเก่งจังวะ บางคนแต่งเก่งจนคิดว่าเริ่มเขียนนิยายตัวเองเถอะ
เพิ่งอ่าน 299 จบ เห็นเขาว่ามีกระทู้อยู่ในโม่งเลยมาส่องดู อะหือ ทำไมเยอะจังวะ ทีแรกนึกว่าจะมีอยู่แค่ไม่กี่กระทู้ 5555555
ไหนๆก็ไหนๆ มาแล้วกูเลยอยากมาเม้าท์มอยด้วย จะช้าไปมั้ย พอดีเพิ่งอ่านจบในรวดเดียวเลยอยากถามเยอะแยะ ที่เรย์กะวิ่งตื๋อไปเปิดตู้หาชุดนี่คือรีบร้อนอยากไปเดทกับเอ็นโจเหรอวะ หรือเรย์กะจะชอบเอ็นโจเพราะกูรู้สึกตงิดๆตั้งแต่นางเห็นยุยโกะแล้วหมดอาลัยตายอยาก แล้ววาคาบะนี่ยังไง ชอบคาบุรากิแล้วใช่ป่ะเพราะถ้าคิดแค่เพื่อนกันเขาไม่อาสาทำข้าวกล่องมาให้ แถมไปเดทกันตั้งหลายครั้งแล้วด้วย ตอนมีซีนกับคาบุรากิก็ดูพูดคุยแบบสนิทๆกันดีนะ อย่างตอนโยนผ้าขนหนูให้ใช้ ตอนฟังเรื่องไปเดทจากที่เล่ามาก็ดูเป็นโมเมนต์โชโจดีนะ อย่างตอนแบ่งของกินแล้วมือแตะกันเลยเขินกันทั้งคู่ แต่ถ้าถามว่าใครจะเข้าวินกับเรย์กะกูว่าวาคาบะมีความเป็นไปได้มากสุดแล้ว โมเมนต์เหมือนสามีภรรยาแต่งงานกันมาได้ซักพัก เวลาเรย์กะไปเที่ยวบ้านดูอบอุ่นผ่อนคลายดีจัง ขนาดกูไม่ได้เชียร์ยูริยังคิดแบบนี้เลยอ่า 555555555
>>790 ยินดีต้อนรับค่ะมึง มาตอนไหนก็ไม่มีคำว่าสาย เพราะมิติเวลามันโดนหยุดไว้ก่อนงานชมดอกไม้ไฟไงล่ะ (ฮึก..) สำหรับที่มึงถามมา กูเชื่อว่าส่วนใหญ่ก็คิดแบบนั้นเลยจ้าาาา และถ้าคนหมู่มากคิดแบบนั้น มันก็น่าจะเป็นแบบนั้นใช่ปะวะ 555
โดยเฉพาะโมเมนต์กับเอ็นโจ ถ้าให้กูตอบ มันก็คือ ใช่ ใช่แน่ๆ!! ล้านเปอร์เซ็นต์!!
>>791 จริงๆกูก็ไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษนะ ชอบความฮามากกว่าโดยเฉพาะตอนคาบุรากิมาทักว่าเก็บแต้มนักษัตรอยู่สินะ ฉากนั้นแม่งฮาฉิบหาย กูขำไปราวๆห้านาทีได้ แต่อ่านมาถึงตอนล่าสุดก็ตงิดๆใจว่านางชอบเอ็นโจป่ะหว่า เพราะดูนางจะหดหู่หมดอาลัยตายอยากหรือโกรธเวลาเอ็นโจอยู่กับยุยโกะตลอดเลย แต่ก็นางมีโมเมนต์กับคาบุรากิเยอะกว่าเอ็นโจอีกนะ เอ็นโจนี่จะดูผลุบๆโผล่ๆเหมือนจะเป็นตัวประกอบแต่หยอดไว้เยอะมากตามมุมมองตัวละครอื่น ส่วนคาบุรากิกูก็คิดว่าโมเมนต์เยอะก็จริงแต่สัมผัสไม่ได้ถึง passion หรือความเสน่หาแบบชายหญิงในตัวเรย์กะเลยว่ะ ได้ฟีลเพื่อนผู้ชายเฮไหนเฮนั่นมากกว่า หรือเพราะคุยกันทีไรถ้าไม่ตบมุขกันก็คุยแต่เรื่องวาคาบะทำนั่นนี่โน่นมาให้แล้วเรย์กะเกทับในใจจนกูคิดว่าสองคนนี้ตกลงจะแข่งจีบวาคาบะกันใช่มะ เรย์กะต้องชนะขาดลอยแน่ๆ แล้วยุยโกะนี่ยังไงหว่า ดูนางก็ยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดี แต่ยูกิโนะดูจะไม่ชอบนาง ที่เอ็นโจหนีออกจากบ้าน มันน่าจะเกี่ยวพันอะไรกับนางนะ กูอยากรู้ปมตรงนี้จัง ไม่มีให้อ่านต่อแล้วเหรอ
โมเม้นกับเอ็นโจมันของจริง แต่คนเข้าวินยังไงก็วาคาบะอะ เหมือนครอบครัวอบอุ่น
จะว่าไป...คันตะก็โอเคนะ
>>794 จริงๆกูค่อนข้างจะแน่ใจว่าใครเป็นพระเอกนะ เดาเอาจากปมต่างๆในเรื่องและตามมุมมองตัวละครที่ค่อยๆเผย แต่กูก็ชอบแบบที่เรย์กะฮาเรื่อยเปื่อยกินขนมไปวันๆเหมือนกัน โมเมนต์กับบ้านวาคาบะน่ารักดี เหมือนเรย์กะเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้าน อยู่กับกลุ่มเพื่อนแบบเซริกะก็เหมือนเป็นน้องเล็กของกลุ่ม กูก็คิดว่าเพราะนางดูเอ๋อๆเปิ่นก็เลยดูอ่อนต่อโลกไม่ค่อยทันคนรึเปล่าหว่า เอ็นโจถึงได้บอกว่ากลัวคนไม่ดีมาหลอก คาบุรากิก็ดูเป็นห่วงตอนเรย์กะบอกจะไปหาอิมาริหรือมีเด็กรุ่นน้องผู้ชายมาคุย พวกเซริกะก็ดูจะปกป้องแบบเกินเหตุไปนิด เหมือนทุกคนพยายามทนุถนอมนางแบบไข่ในหินไม่ให้เจอความลำบากน่ะ แต่ก็ดีใจนะที่นางเป็นที่รักขนาดนี้
จริงๆ ไล่ตามอ่านมู้ น่าจะ นานกว่า อ่านนิยายจริงอีก แะถม เอาฟิคไปปนกับ อฟช ด้วย จากตนที่เพิ่งเข้ามู้มาต้นปี 5555555
แนะนำฟิค เอ ถึง แซด
แบบเราลงเรือเอ็นโจนะ แต่แบบอ่านแล้วรู้สึกว่ากับคาบุก็เข้ากันได้แบบน่ารักดีนี่หว่า
(เอาจริงมาอ่านใหม่รอบที่สามสิบ ก็ชอบตอนท่านเรย์กะอยู่กับคาบุนะ ตลกดี 555)
ในนี้ก็มีฟิคหน่วงตับอยู่เยอะนะ อ่านแล้วเหมือนทำร้ายตัวเองแต่กูก็ชอบ 5555555555555555
>>798 บวกด้วย กูวงวารคนพึ่งตามจริงงง กูเข้ามาตอนมู้แบบมีอยู่สามสี่มู้ กูยังต้องตามคนเม้ากันสองสามวัน(แม้ตอนนั้นจะยังไม่ค่อยมีกาว) แต่คือเมากันเองกวนกันเองสั้นๆ ตลกดี//ว่าแล้วเราก็คือสิงห้องน้ำชาซุยรันเป็นปีแล้วสินะเนี่ย//เหม่อมองฟ้า
นึกถึงสมัยก่อนที่ต้องมีกฏบอกว่าเวลาดิบมาน่ะ ค่อยมาหวีดบ่ายกันจะได้ไม่ดันแปลไทยที่โม่งแปลแปลลงแปดโมง กูแบบ ขอโมเม้นนั้นกลับม๊าาาา ท่านฮิคะะะ
อ๊าาา กูพยายามปั่น what if แต่หัวไม่แล่นเลยอ่ะ ใครมีไอเดียไรเสนอบ้างมั้ย
เอากาวมาหย่อนยามดึกจ้า
KimiDolce ~after story (เกอิชา) >>>/webnovel/6040/520-524
-----------------
“ระยะนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่มีปัญหาค่ะ”
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามในชุดสีเขียวหม่นหมองคือท่านพ่อของฉัน ตรงกลางระหว่างเรามีกระจกใสเจาะรูไว้พอให้เสียงลอดผ่านสำหรับการพูดคุย มุมห้องมีพัศดียืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง
ฉันมาเยี่ยมท่านพ่อในทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ดูเหมือนฉันจะเป็นแขกเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ ท่านพี่เคยมาเยี่ยมอยู่ไม่กี่หนแล้วก็ไม่มาอีก และท่านพ่อก็ไม่พูดถึงเขาเหมือนว่าตัวเองไม่เคยมีลูกชายมาก่อน
พอเล่าเรื่องราวต่อจากครั้งก่อนที่ท่านอิมาริพาฉันไปทานดินเนอร์บนเรือครุยเซอร์ล่องแม่น้ำ บอกว่าได้ของขวัญเป็นกำไลข้อมือแพลตตินัม ท่าทางจะราคาเป็นแสนเยน มุมปากนั้นก็ยิ้มออกมา สายตาที่จ้องมองแบบประเมินค่าก็ดูจะพึงพอใจ
“สมกับเป็นลูกของพ่อจริงๆ เรย์กะ”
คำพูดนี้ฉันมักจะได้ยินเสมอเมื่อฉันเข้าไปออดอ้อนและเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของท่านคาบุรากิ เรื่องที่ฉันสั่งสอนพวกสามัญชนนั่นอย่างไรได้บ้าง ทุกครั้งที่พูดฉันก็จะได้รับการชมเชยและบอกให้ทำต่อไป เพื่อกำจัดพวกไม่เจียมตัวที่บังอาจเสนอหน้าเข้าใกล้ท่านคาบุรากิ และฉันก็ปฏิบัติตามเช่นนั้นมาตลอด
ท่านพ่อมักมีคำแนะนำดีๆให้ฉันเสมอ เป็นที่ปรึกษาให้ได้ในทุกอย่าง อย่างการแนะนำให้ฉันไปสมัครงานในร้านเกอิชาชั้นสูงก็เป็นท่านพ่ออีกเหมือนกัน นี่เป็นหนทางเข้าใกล้ผู้มีอำนาจแบบที่เปลืองเนื้อตัวน้อยที่สุดแล้ว และฉันก็เห็นด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้น
แต่ทุกครั้งที่มาเยี่ยมท่านพ่อ ฉันไม่ได้พูดถึงเอ็นโจเลยสักครั้งเพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่แล้วที่ฉันจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงผู้ชายคนนั้น
สำหรับฉัน เอ็นโจคือความผิดพลาดที่ฉันจะให้ท่านพ่อรู้ไม่ได้
ทุกครั้งที่ฉันกลั่นแกล้งทาคามิจิ เอ็นโจก็จะย้อนเอาคืนแบบเจ็บแสบหรือด่าว่าฉันต่อหน้าทุกคน บุตรสาวตระกูลคิโชวอินต้องอับอายขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการที่สองคนนั้นปกป้องยัยนั่น ท่านพ่อและท่านแม่ซึ่งเป็นผู้รักษาหน้าตาตัวเองยิ่งกว่าใครๆก็ไม่ยอมหักกับตระกูลคาบุรากิและตระกูลเอ็นโจเพื่อปกป้องฉัน มีแต่คำตำหนิอย่างรุนแรงและบอกให้ฉันทำให้มันแนบเนียนยิ่งขึ้น แล้วก็ไปเอาใจตระกูลคาบุรากิต่อ
มาคราวนี้ หากมีเอ็นโจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถึงเขาจะเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ตระกูลฉันล่มสลาย แต่ท่านพ่อคงจะบอกให้ฉันรีบคว้าเอาไว้เป็นตัวเลือกอีกทาง ซึ่งเรื่องมันอาจจะยุ่งยากขึ้นมาอีก ฉันเลยเลือกที่จะเงียบเอาไว้ไม่บอกให้รู้
“ว่าแต่ ผ่านมาครึ่งปีแล้วยังได้แค่นี้เองหรือ ไม่คิดว่ามันช่างน้อยนิดไม่คู่ควรกับลูกสาวบ้านคิโชวอินรึไง”
“คือว่า เรื่องนั้น….”
“ลูกคงจะไม่ลืมนะว่าสิ่งสำคัญคือต้องทำให้โมโมโซโนะ อิมาริหลงใหลลูกจนโงหัวไม่ขึ้นให้ได้” ท่านพ่อโน้มตัวลงมาใกล้ๆกับกระจก “ทีนี้ลูกจะเอาอะไรก็จะได้ทุกอย่าง”
พอฉันเงียบ ท่านพ่อก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“อย่าบอกนะว่าเรื่องง่ายๆแค่นี้ลูกก็ทำไม่ได้น่ะ เรย์กะ” นิ้วของท่านพ่อเคาะลงกับโต๊ะ ทำเหมือนกำลังเจรจาธุรกิจอยู่แบบในวันวาน
“ขอโทษค่ะ”
“มีความตั้งใจให้มากกว่านี้หน่อยสิ เรย์กะ” ท่านพ่อขมวดคิ้วใส่ ทำเหมือนฉันกำลังทำให้ผิดหวังอย่างมาก “ไม่ต้องไปหวงเนื้อหวงตัวให้มันมากหรอก เขาอยากจับนิดจับหน่อยก็ให้เขาจับไป จะเปลืองตัวก็ช่างแต่ต้องคิดถึงผลประโยชน์ในภายภาคหน้าเอาไว้ให้มากๆ อย่าลืมสิว่าลูกต้องช่วยพ่อออกไปจากที่นี่ให้ได้”
คำพูดและสายตาที่มอง กดทับลงมาจนรู้สึกหนักอึ้ง ฉันได้แต่ก้มหน้าฟังคำสั่งสอนจากท่านพ่อโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
“พ่อไม่ได้ทำเพื่อตัวเองคนเดียว แต่เพื่อให้ลูกกลับไปมีชีวิตสุขสบายเหมือนเดิมได้ คนที่เกิดมาเป็นคุณหนูอย่างลูกไม่สมควรจะไปทนความลำบากแบบนั้นหรอก”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เสียงออดเตือนว่าหมดเวลาเยี่ยมดังขึ้น ฉันจึงกล่าวคำอำลา มองพัศดีใส่กุญแจมือให้ท่านพ่อแล้วเดินออกไปจากห้อง
เมื่อเจอแสงแดดสว่างไสวหลังออกจากอาคารเรือนจำทำให้ต้องหยีตา ฉันหยิบร่มออกมากางกันแดดแล้วเดินไปตามถนนที่เลียบลำคลองเล็กๆเพื่อไปขึ้นรถโดยสารที่ปากทางเข้า
รอไม่นานนักรถก็มาถึง บนรถค่อนข้างจะโล่งด้วยว่าไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน ฉันเลือกที่นั่งใกล้ทางลงให้กับตัวเอง เหม่อมองทิวทัศน์ไปเรื่อย
ทีแรกฉันไม่รู้วิธีขึ้นรถประจำทางหรือรถไฟด้วยซ้ำ แต่นานๆไปก็ชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ เรื่องที่ฉันเคยนั่งรถคันหรูไปยังที่ต่างๆก็คล้ายกับเป็นเรื่องในความฝันที่ห่างไกล
พอกลับมาถึงที่ร้านในเวลาบ่ายสามฉันก็เข้าไปแต่งตัวและแต่งหน้าใหม่ มีเสียงซุบซิบค่อนขอดมาจากทางนั้นทางนี้แต่ฉันไม่สนใจ คืนนี้ฉันต้องสวยและดูดีที่สุดให้ท่านอิมาริเห็น
ท่านอิมาริมาเป็นแขกประจำของฉันนับจากวันนั้น มาเพื่อพูดคุยหรือฟังฉันร้องเพลง เหมือนกับแขกคนอื่นๆทั่วไป เขาเป็นคนที่คุยด้วยแล้วสนุก แถมรู้ใจผู้หญิงไปหมดทุกสิ่ง ฉันน่าจะคุยกับเขาจริงๆจังๆตั้งนานแล้ว ไม่น่าคิดว่าเขาเป็นเพื่อนท่านพี่เลยไม่อยากยุ่งด้วยเลย
เขาถามฉันเรื่องการทำงานและรับฟังอย่างสนอกสนใจ ท่านอิมาริดูจะทึ่งที่การเป็นไมโกะนั้นไม่ได้ง่ายแบบที่คิด แล้วก็มีคำพูดปลอบประโลมหวานๆหรือคำให้กำลังใจที่ฟังแล้วรื่นหู ไม่เคยพูดถึงอดีตของฉัน หรือสิ่งที่ทำให้ฉันต้องระคายใจเลยแม้แต่นิด
นอกจากคำพูดที่หวานหูแล้ว ทุกครั้งที่มา ท่านอิมาริก็จะมีของฝากหรือเครื่องประดับติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ บางครั้งก็พาฉันออกไปข้างนอกในวันหยุด ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ไปชอปปิ้งบ้าง หรือพาไปบิวตี้ซาลอนเสริมความงาม สารพัดจะเอาอกเอาใจ ทำเหมือนฉันเป็นเจ้าหญิงที่ต้องเทิดทูน
แต่ฉันจะตกหลุมพรางเขาไม่ได้ ผู้ชายที่พูดกับผู้หญิงได้หวานหูขนาดนี้ ชอบไปก็มีแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ
และบนโลกนี้คงไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ที่เขาเอาใจฉันขนาดนี้คงหวังสิ่งตอบแทนอยู่
และสิ่งตอบแทนที่ฉันสามารถให้ได้ก็มีแค่อย่างเดียวเท่านั้น
.
.
.
.
.
เรามีนัดทานอาหารค่ำกันในคืนนี้ ท่านอิมาริเลยมารับฉันตอนสี่โมงเย็นเพื่อไปทำสปาและเสริมความงาม ระหว่างที่รอการนวดขัดผิวก็มีพนักงานลากเอาราวแขวนเสื้อผ้ามาให้เลือก ทุกตัวล้วนเป็นของแบรนด์เนมคอลเลคชั่นใหม่ ฉันเลือกใส่ชุดสีแดงเหมือนเตรียมพร้อมออกรบ
ชุดนี้คว้านลึกโชว์เนินอกไปหน่อย แต่ก็ดูดีมีรสนิยม เป็นชุดแบบที่ฉันไม่เคยใส่ มันออกจะร้อนแรงและเซ็กซี่มากเกินไปสำหรับฉัน แต่ตอนนี้มีอะไรที่ใช้ได้ก็ต้องใช้ให้หมด
ท่านพ่อพูดถูก ฉันไม่ควรจะทำให้มันนานมากไปกว่านี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับท่านอิมาริให้ได้เพื่อที่ฉันจะได้บรรลุเป้าหมายเดิมสักที คุณหนูคิโชวอินอย่างฉันไม่สมควรจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะทาลิปสติกลงบนริมฝีปากเป็นอย่างสุดท้าย เตรียมใจกับเรื่องที่จะเกิดในค่ำคืนนี้
.
.
.
.
.
เมื่อพนักงานไปแจ้งว่าสามารถเข้าไปข้างในได้ ท่านอิมาริก็เข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อเห็นฉันใส่ชุดที่ว่านี่
“สวยมากเลยล่ะเรย์กะจัง ใส่ชุดสีแดงแบบนี้เผลอนึกไปว่าได้เห็นภูตกุหลาบในยามราตรีเลยล่ะ”
“แหม ท่านอิมาริก็...” ฉันแกล้งตีแขนท่านอิมาริเบาๆ “เพราะชุดสวยต่างหากล่ะคะ”
“ไม่ใช่หรอก ชุดน่ะคือสิ่งที่ขับความงามของคนใส่ต่างหาก”
ท่านอิมาริมายืนสำรวจตัวฉันด้วยแววตาที่ดูพึงพอใจ
“แต่เอ๊ะ รู้สึกว่าคอจะยังโล่งๆอยู่นะจ๊ะ” ปลายนิ้วของท่านอิมาริแตะเข้าที่ลำคอของฉัน “ต้องมีอะไรประดับหน่อยถึงจะดี”
กล่องกำมะหยี่แบนๆถูกยื่นมาตรงหน้าฉัน เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็นสร้อยไข่มุกสีขาวเส้นยาว มีต่างหูมุกและกำไลที่เข้าชุดกัน
“เห็นแว้บแรกในร้านก็รู้ทันทีเลยว่ามันเหมาะกับเรย์กะจัง”
“ของแพงๆอย่างนี้ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
ฉันยื่นกล่องกลับไปด้วยท่าทีขึงขัง แต่ก็ต้องไม่ให้มากเกินไปเพราะจะเสียกริยาเอาได้ ฉันต้องเล่นละครเป็นคุณหนูตกอับผู้น่าสงสาร แต่ก็หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยเช่นกัน
ผู้ชายเจ้าชู้แบบนี้ย่อมไม่ต้องการผู้หญิงที่อยากผูกมัดออกนอกหน้าหรือเรียกร้องเกินไปอยู่แล้ว ฉันต้องรักษาเขาไว้นานๆ
“อะไรกัน เพื่อเรย์กะจังแล้วล่ะก็ ราคามันก็เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากเลยนะ”
“แหม…”
ปฏิเสธอีกเล็กน้อยพอเป็นพิธี ฉันรู้ว่ายังไงเขาก็ต้องยัดเยียดสร้อยเส้นนั้นให้ฉันจนได้ ถึงต้องรับมาด้วยท่าทีลำบากใจ แต่ใจจริงแล้วฉันกำลังหัวเราะ
เมื่อเขาอาสาจะใส่ให้ ฉันก็รวบผมขึ้น นั่งนิ่งๆให้ท่านอิมาริคล้องสร้อยเข้ากับคอของฉัน ใบหน้าเขาอยู่ใกล้ฉันมาก แต่ฉันไม่ได้ทักท้วงอะไร ยอมๆให้มันเป็นไปเช่นนั้น
“สวยมาก เรย์กะจัง”
สายตาเขาที่มองในกระจกเงาดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก มองไล่ระจากความยาวของสร้อยไปตามที่ต่างๆในร่างกายฉัน
“ขอบคุณมากค่ะ ท่านอิมาริ” ฉันหันหน้าไปมองสบตากับเขา ทำเสียงจริงจังเล็กน้อย “แต่ว่านะคะ ท่านอิมาริคะ ฉันไม่อยากให้ท่านอิมาริซื้อของแพงๆแบบนี้มาให้ฉันหรอกค่ะ”
“ฉันอยากให้เรย์กะจังนี่นา เด็กผู้หญิงน่ะต้องมีเครื่องประดับเยอะๆสิ ถึงจะถูกต้อง” ท่านอิมาริขยิบตาให้ฉัน “อีกอย่างนะ สร้อยไข่มุกน่ะไม่ใช่ว่าใครก็ได้จะใส่ขึ้นนะจ๊ะ ต้องเป็นสาวงามแบบเรย์กะจัง ถึงจะขับความงามของไข่มุกออกมาได้เปล่งประกายที่สุด”
ตอนที่พูด ปลายนิ้วของท่านอิมาริก็ค่อยๆแตะเข้ากับลำคอของฉัน เลื่อนไปตามความยาวของสร้อย แต่ก็หยุดอยู่แถวๆไหล่ไม่เลื่อนลงไปต่ำกว่านั้น แล้วก็เลื่อนกลับขึ้นมาวนเวียนอยู่แถวๆใบหู หยิบต่างหูมุกขึ้นมาจากกล่องแล้วใส่ให้ฉัน
เมื่อสองเดือนก่อน ตอนที่เขาไปส่งฉันถึงที่พัก พอเห็นว่าฉันยังไม่ได้เจาะหูก็เปรยๆเรื่องต่างหูน่ารักๆที่อยากให้ฉันใส่ แล้วก็พาไปร้านเจาะหูในครั้งต่อไปที่นัดเจอกัน สัญญาว่าจะเอาต่างหูที่เหมาะสมกว่านี้มาให้แล้วก็เอามาจริงๆ
หากฉันไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของผู้ชายคนนี้ที่ร่ำลือกันมา ฉันคงคิดว่าเขาช่างดีแสนดี เป็นสุภาพบุรุษและเอาใจใส่ ทั้งที่จริงแล้วคงหวังผลแค่ให้ไปจบที่เรื่องบนเตียงก็เท่านั้น
แต่ก็น่าแปลก ถ้าท่านอิมาริหวังจะทำเรื่องแบบนั้นกับฉันจริงๆก็ไม่น่าจะปล่อยให้เวลาผ่านมาขนาดนี้ คนอย่างเขาน่าจะใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำในการพาใครซักคนขึ้นเตียง ถ้าแค่อยากจะทำ
ฉันไม่รู้ว่าเขาใจเย็นค่อยเป็นค่อยไปหรือเขายังเกรงใจที่ฉันคือน้องสาวของเพื่อนกันแน่ แต่ฉันจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว
ถ้าฉันจับผู้ชายคนนี้ได้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ถึงจะแก้แค้นไม่ได้ แต่ท่านพ่อก็จะได้ออกจากคุก ครอบครัวเราก็จะได้กลับมาอยู่กันเหมือนเดิม อาจจะไม่หรูหราเท่าเดิม แต่ฉันก็หวังอยากจะให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน
.
.
.
.
.
ร้านอาหารในคืนนี้ที่ท่านอิมาริพามาเป็นร้านอาหารอิตาลีที่ตกแต่งอย่างหรูหรามีรสนิยม ตั้งอยู่ในโรงแรมห้าดาว มีวงดนตรีคลาสสิควงเล็กๆคอยบรรเลงเพลงขับกล่อม เหมาะแก่การพาคนรักมาดื่มด่ำบรรยากาศโรแมนติค
คราวแรกฉันออกจะกังวลอยู่ไม่น้อยว่าจะมีใครจำฉันได้หรือไม่ แต่เมื่อไปกับท่านอิมาริหลายๆครั้งเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน แถมไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่คนรู้จักเข้ามาทักทายเลยสักครั้ง ฉันก็เลยออกจะวางใจอยู่พอสมควร
ท่านอิมาริเลื่อนเก้าอี้ให้ฉันนั่ง แล้วก็คอยแนะนำเมนูของร้าน ส่วนตัวเองก็สั่งไวน์มาดื่ม พูดเรื่องไวน์ให้ฟัง เห็นได้ชัดว่าเขามีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้เป็นเลิศ
“แหม ท่านอิมาริเก่งจังเลยค่ะ” ฉันสรรเสริญเยินยอ เขาก็ดูจะภาคภูมิใจที่ได้รับคำชม “ฉันไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย ฟังแล้วประทับใจเหลือเกินค่ะ”
“เอาไว้เรย์กะจังอายุครบยี่สิบเมื่อไหร่ ฉันจะแนะนำไวน์ที่เหมาะกับเรย์กะจังให้เองนะ”
“เอ...ท่านอิมาริคิดว่าไวน์แบบไหนเหมาะกับฉันอย่างนั้นเหรอคะ”
“ต้องโรเซ่ไวน์สิจ๊ะ สีชมพูหวานๆ เหมาะกับเรย์กะจังเป็นที่สุดเลยล่ะ”
“แหม…ฉันอยากลองดื่มจังเลยค่ะ”
“อื๋อ เรย์กะจังยังอายุไม่ถึงนี่จ๊ะ” เขาเลิกคิ้วขึ้น “จิบม็อคเทลหวานๆอร่อยๆไปก่อนดีกว่านะ”
“อีกไม่กี่เดือนฉันก็จะยี่สิบแล้วนะคะ ทานเร็วขึ้นอีกนิดก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
พอรบเร้าหนักๆเข้า ท่านอิมาริก็สั่งไวน์ให้ฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูลำบากใจเล็กน้อย รอไม่นานโรเซ่ไวน์สีชมพูอ่อนหวานก็มาตั้งอยู่ตรงหน้า เขาสอนวิธีการดื่มไวน์ให้ฉันและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และฉันก็เป็นนักเรียนที่ดีทำตามที่ถูกสอน
โรเซ่ไวน์ตัวนี้หวานและดีกรีไม่มากพอที่จะทำให้ฉันเมาได้ แต่ฉันจะแกล้งทำเป็นเมาแล้วใช้โอกาสนั้นในการออดอ้อนท่านอิมาริ จากนั้นฉันจะปล่อยให้มันเป็นเรื่องธรรมชาติระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง เขาว่าคนเมาทำอะไรก็ไม่ค่อยมีสตินี่นะ
จิบไวน์ไปได้สองสามแก้วฉันลุกขึ้นยืน ทำท่าเหมือนจะวิงเวียนแล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ท่านอิมาริจะเรียกให้พนักงานผู้หญิงไปเป็นเพื่อนแต่ฉันปฏิเสธ ขืนให้มีคนมาด้วยก็โดนจับได้กันพอดีสิว่าฉันไม่ได้เมาจริง
ฉันมานั่งในห้องน้ำ สูดลมหายใจเข้าลึกให้ใจสงบ กุมมือตัวเองไว้ไม่ให้สั่นกลัวกับสิ่งที่กำลังจะทำ
ท่านอิมาริก็ไม่ได้เลวร้าย หน้าตาก็ออกจะหล่อเหลา ฐานะและชาติตระกูลดี เรียนอยู่ซุยรันก็เป็น Pivoine เหมือนกัน และฉันเองก็เตรียมใจมาแล้วที่จะต้องตอบแทนด้วยเรื่องแบบนั้น แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ทำไมถึงทำใจไม่ได้สักที
หรือเป็นเพราะการพร่ำสอนของท่านพ่อและท่านแม่ที่คอยบอกอยู่เสมอว่าฉันเกิดมาเพื่อเป็นภรรยาของท่านคาบุรากิ ฉันเป็นคนเดียวที่คู่ควรกับเขา และฉันก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้นมาตลอดจึงไม่คิดมองใครแม้แต่นิด ฉันจะไปคว้ากรวดทรายไร้ค่ามาทำไมในเมื่อมีเพชรแท้อยู่ตรงหน้า
พอนึกถึงความหลังฉันก็อดที่จะแค่นยิ้มไม่ได้ ป่านนี้แล้วเขาคงมีความสุขไปกับนังผู้หญิงคนนั้น คนที่ฉันเห็นว่าต่ำต้อยไม่คู่ควร ท่านคาบุรากิผู้สูงส่งช่างตาต่ำจริงๆ
ข้างนอกมีเสียงเปิดก๊อกน้ำ ตามด้วยเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันบ่งบอกว่ามีคนเคลื่อนไหวไปมาอยู่ข้างนอก ตามมาด้วยเสียงดนตรี คงจะเป็นเสียงริงโทนมือถือ
ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปปลดล็อกกลอนประตู แต่เสียงที่ได้ยินกลับทำให้ตัวแข็งค้าง รู้สึกเย็นวาบจากปลายนิ้วจนไปถึงศีรษะ
“ฮัลโหลมาซายะคุง…..อื้อ อยู่ในห้องน้ำจ๊ะ”
เสียงนั่น...ทาคามิจิ วาคาบะไม่ใช่รึ!!
“อ๋อ ที่รับช้าเพราะกำลังล้างมืออยู่น่ะ แล้วเมื่อกี้ก็หลงทางด้วย ที่นี่มันกว๊างกว้างนี่นะ กว่าจะหาทางเข้าห้องน้ำเจอก็เดินผิดไปโน่นแน่ะ....เปล่านะ ไม่มีหรอก ฉันอยู่คนเดียวในห้องน้ำ จริงๆก็มีอีกคนเข้าอยู่ล่ะนะแต่เขาก็ไม่ได้มายุ่งกับฉันหรอก...เอ ไม่รู้สิ ใครก็ไม่รู้….ไม่มีใครรังแกฉันหรอกน่า กังวลเกินไปแล้วนะมาซายะคุง”
ทาคามิจิคุยไปหัวเราะไป ท่าทางอารมณ์ดีและมีความสุข แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนถูกฟาดเข้าอย่างจัง
“อื้อ เสร็จแล้วล่ะ กำลังกลับไปจ๊ะ….. ไม่เป็นไรหรอกน่า รับรองว่าคราวนี้ไม่หลงอีกแน่ๆ ไม่ต้องมารับหรอก...เอ๋ กลัวฉันจะเจอคุณคิโชวอินอย่างนั้นเหรอ คิดมากไปแล้วน่า”
ฉันยืนนิ่งอยู่ในห้องน้ำ ไม่กล้าแม้แต่จะกระดุกกระดิกเคลื่อนไหว ได้แต่รอจนกว่าทาคามิจิจะออกไป ฝ่ามือของฉันชื้นเหงื่อ หัวใจเต้นสั่นไปหมด แทบจะยืนไม่อยู่ด้วยซ้ำ
เขาอยู่ที่นี่ ท่านคาบุรากิคนนั้นอยู่ที่นี่
ความกลัวแล่นไปทั่วร่างเหมือนยาพิษ สายตาในวันนั้นที่เขามองเหมือนจะฆ่าฉันให้ตายคามือเลยถ้าทำได้ และเขาก็ฆ่าฉันจริงๆโดยการทำให้ตายทั้งเป็นอยู่แบบนี้
ถ้าเขารู้ว่าฉันอยู่ที่นี่จะทำยังไงดีล่ะ...
ฉันปลอบตัวเองให้ใจเย็นๆอย่าเพิ่งตื่นตูม จากบทสนทนาของสองคนนั้นดูเหมือนจะไม่รู้ข่าวของฉันเลยด้วยซ้ำ หรือเอ็นโจจะไม่ได้บอกเพื่อนกันนะ
ที่หมอนั่นไม่บอกคงเพราะมั่นใจมากว่าถึงอย่างไรฉันก็ไม่มีปัญญาแก้แค้นตามที่เคยได้ประกาศได้ล่ะมั้ง
ฉันค่อยๆแง้มประตู ชะโงกหน้าออกไปเพื่อดูว่าทาคามิจิไปหรือยัง ในห้องน้ำว่างเปล่าไม่มีใครอยู่จนเกือบจะนึกว่าเรื่องเมื่อครู่นี้เป็นความฝัน
เอาเถอะ ไปตั้งหลักด้วยการกลับไปหาท่านอิมาริก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที
นึกไม่ถึงว่าพอเปิดประตูห้องน้ำออกไป จะพบกับเอ็นโจยืนอยู่ตรงหน้า หมอนั่นก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เจอฉัน ทำตาโต ตัวแข็งทื่อแบบนั้น ท่าทางคงอึ้งไม่น้อย
ให้ตายสิ วันนี้มันอะไรกันเนี่ย
ฉันทำเป็นมองไม่เห็น ทำท่าจะเดินผ่านไป แต่เอ็นโจกลับเรียกฉันไว้ด้วยเรื่องของทาคามิจิที่ทำเอาต้องเบ้ปาก ปกป้องกันดีเหลือเกินนะ
เอ็นโจคาดคั้นเอาความจริง ฉันก็ได้แต่บอกไปว่าใครจะไปทำอะไรแม่นั่นได้กันล่ะ แต่พอตอบไปแบบนั้นเอ็นโจกลับปัดคำตอบทิ้ง หันมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ชุดของฉันแทนและเริ่มเทศนาที่ฉันใส่ชุดเปิดเนื้อหนังจนรู้สึกฉุนหน่อยๆ
หมอนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกันน่ะถึงมาห้ามไม่ให้ฉันแต่งตัวโป๊
ฉันชักจะรำคาญก็เลยบอกชื่อคนที่ซื้อให้ว่าไม่เห็นเขาจะเรื่องมากขนาดนี้ แต่พอพูดออกไป เอ็นโจก็ดูจะตกใจเอามากๆ แววตาดูสับสนแบบเห็นได้ชัด
ฉันป้องปากหัวเราะ แล้วก็แกล้งทำเป็นค้อมหัวลง กล่าวขอบคุณเอ็นโจที่แนะนำให้ท่านอิมาริมาเป็นลูกค้า
เอ็นโจพยายามพูดเตือนว่าท่านอิมาริเป็นคนอย่างไร แต่ฉันสวนกลับไปว่าฉันรู้ดีไม่ต้องมาบอก หมอนั่นก็เลยเงียบเหมือนไปต่อไม่ถูก นานๆทีฉันจะเห็นเอ็นโจอับจนคำพูดได้มีหรือจะปล่อยโอกาสไป
ฉันเล่นงานเอ็นโจต่อด้วยการหยามเหยียดเขาเรื่องทาคามิจิ สมัยเรียนหมอนั่นก็ตามติดยัยนั่นไม่ห่างและคอยขัดขวางไม่ให้ฉันเล่นงานได้ถนัด ปกป้องกันดีแบบนี้คงแอบรักผู้หญิงคนนั้นอยู่ล่ะสิท่า
เฮอะ ยัยทาคามิจินั่นมีดีอะไรกันแน่นะ ถึงมีแต่คนมารุมรัก ทั้งท่านคาบุรากิ มิซึซากิ แล้วยังจะเอ็นโจอีกคน...ผู้ชายพวกนี้ตาต่ำกันจริงๆ
แน่นอนว่าหมอนั่นต้องปฏิเสธว่าไม่ได้ชอบทาคามิจิ แต่ฉันไม่สนใจเรื่องนั้น ตอกหมุดย้ำลงไปว่าเอ็นโจน่ะด้อยค่ากว่าท่านคาบุรากิไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ทาคามิจิถึงไม่เอา ก็แหงล่ะ ใครจะสนตัวรองในเมื่อมีตัวเอกที่โดดเด่นและดีเลิศอย่างท่านคาบุรากิอยู่ให้เห็น
เอ็นโจหน้าเสียไปเลย ดูจะพูดอะไรไม่ออก ท่าทางหวั่นไหวแบบนั้นคงแทงใจดำล่ะสิท่า
ฉันเล่นงานเอ็นโจได้ก็รู้สึกสะใจไม่น้อย ความหดหู่หายไปเหมือนปลิดทิ้ง ขอตัวกลับไปหาท่านอิมาริที่กำลังรออยู่ด้วยอารมณ์เบิกบานสุดขีด
แต่ฉันคงลืมไปว่าหมอนี่พิษสงเยอะขนาดไหน เพราะเดินไปไม่กี่ก้าว เอ็นโจที่ดูจะฟื้นตัวได้เร็วจากคำพูดเมื่อครู่ก็ก้าวตามมา รั้งข้อมือฉันไว้ ดึงให้เข้าหาตัวจนเกือบจะเหมือนการกอด รอยยิ้มน่ารังเกียจปรากฎขึ้นบนใบหน้า
“แล้ว... คุณคิโชวอินไม่อยากรู้เหรอ ว่าวันนี้คุณวาคาบะมาที่นี่ทำไม”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่ได้อยากรู้”
“มาซายะพาคุณวาคาบะออกงานสังคมในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการยังไงล่ะ” เอ็นโจยังคงพูดต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจฉัน “คุณคงไม่ได้ตามข่าวสินะ แต่มาซายะน่ะเพิ่งจะหมั้นหมายกับคุณวาคาบะไปไม่กี่เดือนมานี้เอง คุณอิมาริก็ไปงานมาด้วยนะ...เขาไม่ได้บอกคุณเหรอ”
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ตอนที่ได้ยินเรื่องนั้น ร่างกายเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงอย่างน่าประหลาด แต่คำพูดของเอ็นโจก็ยังเชือดเฉือนฉันจนเจ็บไปหมด
“มาซายะนี่ก็ใจร้อนจริงๆ คุณวาคาบะบอกให้เรียนจบแล้วค่อยหมั้นกันแบบเป็นทางการก็ได้ แต่ยังไงมาซายะก็ไม่ยอมท่าเดียว บอกว่าประกาศไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้นก็ต้องทำให้เรียบร้อย...อ้อ...ตอนนั้นที่ว่าก็ตอนที่ยกเลิกการหมั้นกับคุณเพื่อคุณวาคาบะไงล่ะ”
ความทรงจำที่เลวร้ายที่ฉันพยายามจะลืมได้ย้อนกลับเข้ามาในหัว วันที่ฉันต้องสูญเสียทุกอย่าง ส่วนคนที่ฉันหลงรักมาตลอดชีวิต ประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเขารักใครที่ไม่ใช่ฉันและรังเกียจฉันเสียเต็มประดา รอบข้างก็มีแต่สายตาที่มองมาด้วยความสมเพชเวทนาและดูถูกเหยียดหยาม
เอ็นโจก้มลงมากระซิบข้างหูฉัน น้ำเสียงเย้ยหยันราวกับกำลังสาแก่ใจ
“แย่หน่อยน้า ที่เขาก็ไม่เอาคุณเหมือนกัน”
สองข้างแก้มฉันเปียกชื้นเพราะน้ำที่ไหลลงมาจากตา รู้สึกจุกแน่นในลำคอ ทั้งปากทั้งเนื้อตัวสั่นระริกไปหมด เอ็นโจจากที่ยิ้มๆอยู่ พอเห็นแบบนั้นก็ดูจะอึ้งไปเหมือนกัน
“คุณคิโชวอิน...ผม….”
ฉันถอยหลังไปสองสามก้าวพอให้พ้นระยะที่มือนั้นเอื้อมถึง แล้วก็ออกวิ่งไปข้างหน้า
สองขาของฉันวิ่งไปไม่มีจุดหมายปลายทาง คิดอยู่แค่เพียงว่าต้องไปจากที่นี่ ไปให้พ้นจากตรงนี้ ไปให้ไกลจากคนพวกนี้….
ใครบางคนชนกับฉันที่ตรงทางเดิน เป็นท่านอิมาริ พอเห็นว่าฉันร้องไห้ สีหน้าเขาก็ดูตกอกตกใจเป็นอย่างมาก
“เรย์กะจัง...เห็นหายมานาน ฉันเป็นห่วงเลยออกมาตามน่ะ” ท่านอิมาริดึงฉันเข้ามากอด ลูบหัวลูบไหล่ฉันแบบปลอบขวัญ “เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ ใครทำอะไรเรย์กะจัง บอกฉันได้รึเปล่า”
“พาฉันกลับทีค่ะ” ฉันเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก “...ขอร้องล่ะ”
ท่านอิมาริพยักหน้า ไม่ซักถามอะไรอีก ประคองฉันไปที่รถแล้วขับรถไปส่งตามที่ขอ ระหว่างทางก็เหลือบมองฉันเป็นระยะ
ฉันกลั้นน้ำตากับเสียงสะอื้นเอาไว้จนถึงที่พัก เอ่ยคำร่ำลากับท่านอิมาริอีกสองสามคำแล้วขอตัว ท่านอิมาริดูเหมือนอยากจะตามมาแต่ฉันอ้างว่าคนนอกเข้ามาไม่ได้ก็เลยต้องถอยกลับไป
ในห้องพักไม่มีใครอยู่เพราะรูมเมทของฉันออกไปทำงานในคืนนี้ ฉันกล้ำกลืนน้ำตาเงียบๆ พยายามปิดปากไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกไปให้ใครได้ยิน อาจจะมีคนอยู่ตรงทางเดินหรือห้องข้างๆ ก็ควรต้องระวังไว้
ถ้ามีคนรู้ว่าฉันร้องไห้คงจะพากันเยาะเย้ยสมน้ำหน้า ฉันจะเผยความอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงถูกเล่นงานจนยืนแทบไม่ไหวเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
ความรักนี่มันช่างน่ารำคาญเหลือเกิน สร้างจุดอ่อนให้ศัตรูอย่างเอ็นโจเอามาเล่นงานฉันได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ความรู้สึกนี้มันจะหายไปซักที
ผ่านมานานขนาดนั้นแต่ชื่อของท่านคาบุรากิก็ยังมีอิทธิพลในใจฉันถึงขนาดทำให้เสียน้ำตา แค่รู้ว่าเขากลายไปเป็นของคนอื่นโดยสมบูรณ์ หัวใจฉันก็เจ็บเหมือนถูกฉีกกระชากออก ฉันได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆว่าทำไมต้องรักผู้ชายคนนั้นมากถึงขนาดนี้ด้วย ขนาดถูกทำร้ายขนาดนั้นก็ยังรักไม่เลิก
แล้วนี่ฉันต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้อีกกี่ครั้งถึงจะพอกันแน่นะ
ฉันฟุบหน้าลงกับหมอน หลับไปโดยไม่แม้แต่จะเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนนอนด้วยซ้ำ
ในคืนนั้นฉันฝัน
ความฝันดูคล้ายเทพนิยายเรื่องเจ้าหญิงเงือกน้อย เธอหลงรักเจ้าชายถึงกับยอมเสียสละเสียงอันไพเราะเพื่อแลกกับขาที่ก้าวเดินแต่ละครั้งก็เจ็บปวด หวังจะได้อยู่บนบกเคียงข้าง แต่เขากลับไม่รับรู้ และแต่งงานกับหญิงสาวชาวมนุษย์โดยไม่เหลือบแลเธอแม้แต่นิด
เจ้าหญิงเงือกร้องไห้เหมือนจะขาดใจ แต่ร้องเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงออกมาเพราะถูกเอาไปแลกเป็นขาที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีที่สำหรับเธอบนบก เธอได้แต่ใช้มือปิดหน้าร้องไห้อยู่ข้างทะเลที่ไม่สามารถกลับไปได้อีก
แต่เมื่อเจ้าหญิงเงือกลดฝ่ามือลงเพื่อจ้องมองท้องทะเลที่โหยหา ฉันก็ได้เห็นใบหน้านั้นได้ถนัดตา
ใบหน้าของเจ้าหญิงเงือกที่สะท้อนในเงาของน้ำคือหน้าของฉันเอง
----------------------
พอดีฟังเพลงรถของเล่นเลยได้มู้ดเขียนก็เลยรีบเขียนตอนนี้ออกมา
กูนึกว่าตาฝาด โม่งฟิคเกอิชาาาาาาาาาา /กอดมึงงงงงงงงง กีสส ในที่สุด ตอนที่รอคอย ! อีตาคนนั้นก็ยังใจร้ายไม่เลิก เชียร์ท่านอิมาริค่ะ! ไหน ๆ ก็ไม่ได้รักทั้งคู่ เลือกคนที่รู้จักการทรีทผู้หญิงดีกว่านะ
กรี๊ดดดดด โม่งฟิคเกอิชาาาาาาาา ฮือออ กูเชียร์เอ็นโจจ ถึงจะปากร้ายแต่ก็นะ (TvT;; 💕
>>808 เปลือกไข่ช่วยจริงนะ มันเป็นแคลเซียมคอร์บอเนต ช่วยดึงสารในเม็ดกาแฟให้ออกมาละลายในน้ำได้มากขึ้น
อ้างอิง https://www.facebook.com/textile.phys.and.chem/photos/a.507291945975911/1574243115947450/
โฮวววว นี่มันโม่งฟิคเกอิชา ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อ เป็นพลังให้กูในวันที่ฝุ่นหมองมัวในวันนี้ ถ้าท่านเรย์กะเอาผ้าชุบน้ำมาโปะหน้าคาบุอ้างว่าเพื่อป้องกันฝุ่นกูจะไม่แปลกใจซักนิด โฮววววว
แปดน้อยกว่าแล้ว ร่วมแรงร่วมใจตั้งหัวมู้ใหม่กันพลางๆนะพวกมึง
ฟิคเกอิชากลับแล้ววววว..!! เย้ๆ😘
โม่งเกอิชาาาาา กูปลื้มมึงมากเลย มึงมาทำอารมณ์กูอินทูฟิคจนกูตื่นอย่างสดใสได้ แต่กูแม่งสงสารท่านเรย์กะ กูอ่านวนมาสองรอบกูแทบน้ำตาแตก แต่มึง มึง มึงทำดีมากเว่อร์อ่ะ ฮืออออออออออ
รอกูสอบเสร็จก่อนนะ กูจะปั่นฟิคแข่งกะมึง
โม่งฟิ๊คคคคคคคคคคคคคคคค ม่างเอ้ยยยยยย กูดีใจที่มึงอัพแต่อ่านแล้วสงสารท่านเรย์กะ ฮือออออ ชอบตอนจบของตอนนี้มากๆๆๆ ฟสาฟวฟมีพไสมำำยใพ
อ่านฟิคเกอิชาแล้วก็ปวดใจ แต่ก็อยากอ่านต่อ รู้สึกตัวเองมาโซ 555555555555
>>812 โม่งเกอิช๊าาาาาาาาาาา กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดสหบปบหลลหลฟลไลหลหลหลหลลหฃหงปงแวแสแวป
ฮืออออ กูรักมึงงงงงงงง ♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡
กูจะยังแอบโบกธงท่านพี่ต่อถึงธงกูจะปุปะจนแทบไม่เหลือซากแล้วก็เหอะ;__; แต่ถ้าไม่ไหวจริงก็อยู่กับท่านอิมาริไปก่อนเถอะนะ อย่าไปทรมานกับผู้ชายปากร้ายเลย ทรมานใจแค่เรื่องเดียวก็พอแล้วว
แท้งกิ้ววว โม่งเกอิชา~ งือ กุสงสารท่านเรย์กะ
กุขอเสนอหัวข้อกระมู้หน้า
ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชา กับโม่งซุยรันเรือแตกถ่อเรือบดเข้าทวีปคานที่ 30
ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรัน กับการประชุมเปิดบริษัทกวนกาวโม่งฟิคสาขาย่อยจากสาขาหลักฮิโยโกะซามะ เฮ้อ ขาดงบสนับสนุนเงินทุนไม่พอ [ ทุบโต๊ะครั้งที่30 ]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการคาดเดาตัวตนของท่านฮิ หรือว่าจะเป็น!!?!![ขอกาวโม่งฟิคครั้งที่ 30 ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ ]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : สโมสรน้ำ(กัญ)ชาซุยรัน เดตควงพี่น้องหนุ่มต่างวัยชวนใจเต้นโดกิโดกิใต้แสงดอกไม้ไฟ มาติดตามของกินใหม่ของเจ้าแม่กันเถอะ!!! [ ขอยากิโซบะจานที่ 30 ด้วยค่ะ! ]
มู้จะขึ้นเลขสามแล้วเหรอ กูซึ้งใจจัง
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับจิตวิญญาณแห่งการรอคอยที่โชติช่วงด้วยพลังเผาไหม้แห่งกาว [เช็กหน้าเว็บครั้งที่ 30xxxxxxxx ]
มู้ไม่เคยเงียบขนาดนี้มาก่อนเลย....
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการบริโภคกาวเป็นของว่างระหว่างรอท่านฮิโยโกะกลับมา [แค่คำเดียวนะคะรอบที่ 30]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันบนบานขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดลบันดาลให้ท่านฮิโยโกะกลับมา [ทานแกงกะหรี่มิราเคิลจานที่ 30]
บ้านพักคนชราของเจ้าแม่เรย์กะ : เชิญชวนมาร่วมจิบน้ำ(กัญ)ชารอท่านฮิโยโกะด้วยกันนะคะ! [ฉลอง(การรอ)ครบรอบปีที่ 30]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการรอคอยเหล่าโม่งฟิคและท่านฮิโยโกะ[มาแก้ความค้างครั้งที่30]
ปล.
-->>เพื่อให้ฟิคต่างๆทยอยมาโปรดมาด้วยเถอะ สาธุ~
♪\(*^▽^*)/\(*^▽^*)/
♪☆\(^0^\) ♪(/^-^)/☆
เพลงมา มา
รอฉันรอเธออยู่ แต่ไม่รู้เธออยู่แห่งใด เธอจะมา เธอจะมา เมื่อไร สร้างเอาไว้ ทำไมไม่ต่อ สร้างเอาไว้ ทำไมไม่ต่อ รอจนรากงอกแล้วค่าาา~( π ¤ π )
ขอถามคำถามไร้สาระหน่อยนะ ปกติเรย์กะชอบแขวะคาบุว่าไม่มีใครคบ ซึ่งกูก็สงสัยว่าอีตานี่มันไม่มีเพื่อนคบจริงดิ ระดับคาบุน่าจะมีคนเข้าหาเยอะมากๆนะ ทั้งชายทั้งหญิง ขนาดเรย์กะเพื่อนยังเยอะเลย แล้วคาบุที่เป็นร่าง c ของเรย์กะ//แค่กๆๆ จะไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากเอ็นโจเลยหรอม หรือไม่อยากคบใครนอกจากเอ็นโจ เพื่อนน่ะมีนายคนเดียวก็พอแล้ว//สูดกาวม่วง
>>849 กูว่าคนอื่นเขามองคาบุแบบนับถืออ่ะ ดูเหมือนเป็นคนที่สูงส่งกว่า เอาไว้มองอย่างเดียวไรงี้ เพราะเจ้าตัวไม่หลุดทำนิสัยประหลาดๆ ต่อหน้าคนอื่นแบบเจ้าแม่ด้วยแหละ
แล้วคาบุดูเป็นคนไม่สนใจคนอื่น(นอกจากคนที่ตัวเองชอบ)สักเท่าไหร่ด้วย 5555555
ปล. คาบุเหมาะกับฉายาไซซายะมากๆ...
กูว่าเพราะอีตานี่มันสมบูรณ์แบบเกินไปว่ะ หล่อ บ้านรวย เรียนเก่ง ทำอะไรก็ทุ่มเทจนเพอร์เฟคไปซะหมด ดูเป็นตัวตนที่เกินเอื้อมมากๆ ให้ไปตีสนิทก็อึดอัด กลัวเขารังเกียจกลับมาเลยได้แต่มองห่างๆกัน แถมคาบุหน้าดูไม่รับแขกด้วย ไม่รู้จะไม่พอใจที่เราตีซี้มั้ย ก็เลยเป็นตัวตนที่สูงส่งไม่มีใครเอาลงจากหิ้งต่อไป เลยไม่มีใครคบ ถถถถถถถถถ
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการรอคอยท่านฮิโยะต่อไป [ปีนี้กูก็อายุ 30 ซะแล้ว]
ท่านเรย์กะเห็นนางบรรยายเหมอนเพื่อนเยอะความจริงเพื่อนนางก็ไม่เยอะเถอะ5555555 มีคนเคารพเยอะกว่านะกูว่า ดูมุมมองไรจินหรือฟูจินตอนนั้นก็รู้แล้วว่าถึงตอนแรกจะมองเป็นเคารพแต่ตอนนี้มองเป็นเพื่อนก็ยังกึ่งๆเคารพอยู่นั่นแหล่ะ
อีกอย่างคาบุน่ะน่าจะสนิทกับพวกขี่ม้าส่งเมืองกันด้วยนะ…คิดว่าน่ะ
ตามเช็คทุกเดือน ยังไม่อัพต่ออีกหรอเนี้ย
เฝ้ารอคอยตอนที่ 300 ต่อไป
>>849 คาบุมันออร่าความเป็นบอสแรงอ่ะ คนรักคนนับถือคงไม่น้อย ประมาณว่ายอมพลีกายถวายชีวิตติดตามท่านผู้นี้ แต่คงไม่มีใครอาจเอื้อมกล้าตีเสมอ คนระดับเดียวกันที่พูดคุยด้วยได้ก็มีแต่เอ็นโจ ส่วนเจ้าแม่จริงๆก็คิดว่าสภาพใกล้เคียงกันนะ แต่นางปกปิดความรั่วได้ไม่ดีเท่าคาบุ คนอื่นเลยเอ็นดูแทน
ระดับนั้นมันหาคนที่เปิดเผยตัวตนยากว่ะกูว่า อย่างคนที่เจ้าแม่ไม่ได้เก๊กใส่จริงๆมีกี่คนเอง (ไม่นับพวกที่รู้เองอยู่แล้วนะ) ยิ่งพวกข้างนอกนิ่งแบบคาบุคนที่ไม่ได้เข้าหาเพราะอำนาจก็น้อยชิบหาย ไปๆมาๆเหลือแค่เอ็นโจกับเจ้าแม่(ที่เจ้าตัวไม่ยอมรับ)ก็ไม่แปลก
เออ แล้วเอ็นโจนี่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากคาบุมั้ยวะ หรือไม่มีใครคบก็คบกันเองอยู่สองคนเหมือนกัน 5555555
AU ฮอกวอตส์อีกครั้งค่า
ไม่ใช่ตอนต่อจากอันที่แล้วนะ
----------------------------------
ชั่วโมงแรกของวันศุกร์สำหรับปีห้าคือวิชาปรุงยา
นักเรียนทุกคนยืนอยู่ที่หน้าห้องฟังอาจารย์แนะนำเนื้อหาการเรียนสำหรับเทอมใหม่นี้ ตรงหน้าอาจารย์มีหม้อสามใบที่มีน้ำยาสามอย่างแตกต่างกันบรรจุอยู่
มาซายะดูเบื่อๆเล็กน้อยและเอาแต่มองไปทางทาคามิจิที่อยู่กับพรรคพวกเรเวนคลอและกำลังตั้งอกตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน เรย์กะดูวิตกกังวลกับหม้อสามใบที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอาจารย์ และชูสุเกะที่มองเรย์กะแบบยิ้มแย้ม
“มีใครบอกได้บ้างว่าน้ำยาสามอย่างตรงหน้านี่คืออะไร เริ่มจากทางซ้ายก่อน...มีใครอยากจะตอบมั้ย”
“ค่า ค่า” ทาคามิจิชูมือขึ้นสูงในอากาศ พอได้รับอนุญาตให้พูดก็เริ่มแจกแจง “ทางซ้ายคือน้ำยาสรรพรส เป็นน้ำยาที่จะทำให้เรากลายเป็นใครก็ได้ในหนึ่งชั่วโมงโดยใช้ส่วนผสมจากร่างกายของคนนั้นค่ะ”
“ถูกต้อง คุณทาคามิจิ สิบแต้มสำหรับเรเวนคลอ”
ทาคามิจิอมยิ้ม แก้มเป็นสีชมพูนิดๆเพราะได้รับคำชมและได้รับแต้มจากการตอบคำถาม
มาซายะยิ้มตาม ทำเหมือนตัวเองตอบคำถามถูกเองยังไงยังงั้น
ได้ยินเสียงซุบซิบทั้งหลายดังมาจากทั่วทุกมุมห้อง “อวดดี” “ยัยคนรู้มาก” หรืออะไรทำนองนั้น แต่ทาคามิจิไม่ได้สนใจมากนัก
“เอ้า แล้วตรงกลางนี่ล่ะ”
“ครับ…” มือที่ชูขึ้นมาในอากาศคราวนี้คือมือของมิซึซากิ อาจารย์วิชาปรุงยาจึงผายมือให้ตอบ “มันคือน้ำยานำโชคครับ เป็นน้ำยาที่จะทำให้คนดื่มโชคดี”
“นั่นคือคำตอบที่ถูกต้อง คุณมิซึซากิ” อาจารย์มีสีหน้าพึงพอใจและอธิบายต่อเกี่ยวกับตัวน้ำยานำโชคนี้ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วก็…. “...สิบแต้มสำหรับฮัฟเฟิลพัฟ”
ทาคามิจิหันไปชูนิ้วโป้งให้ ซึ่งมิซึซากิก็ยิ้ม พยักเพยิดหน้าตอบกลับไป แต่มาซายะตาลุกวาวด้วยความเดือดดาล
เมื่ออาจารย์ถามมาถึงน้ำยาตัวสุดท้ายที่เป็นสีชมพูอ่อนดูมันวาวเหมือนเคลือบด้วยไข่มุก มาซายะก็ชูมือขึ้นในอากาศสุดแขนแบบไม่รอให้ถามคำถามจบด้วยซ้ำ
“มันคือน้ำยาลุ่มหลงครับ” ทุกคนในห้องหันมามองมาซายะเป็นตาเดียว “เป็นยาเสน่ห์ที่แรงที่สุดในโลก จะได้กลิ่นแตกต่างกันไปตามความชอบของคนนั้นๆ”
“สมกับเป็นคุณคาบุรากิ สิบแต้มสำหรับกริฟฟินดอร์”
ทาคามิจิหันมามองมาซายะแล้วยิ้มให้ ดวงตาฉายแววชื่นชม
มาซายะยืดตัวขึ้น ดูท่าทางภูมิใจมากกว่าคำชมว่าสมเป็นท่านคาบุรากิที่ถูกส่งมาจากทั่วห้องเสียอีก
อาจารย์บอกให้พวกเขาเข้ามาใกล้ๆกับหม้อต้มที่มีน้ำยาลุ่มหลงบรรจุอยู่ บอกให้ลองสูดกลิ่นเข้าไปซึ่งทุกคนก็ทำตามแต่โดยดี
ชูสุเกะได้กลิ่นกาแฟ กลิ่นฝนตกใหม่ๆ และกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆผสมกับลูกพีชกลิ่นหวานหอมปะปนเข้ามา เป็นกลิ่นที่รู้สึกว่าเคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน
เขาชอบกลิ่นนี้ ดมแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนแบบน่าประหลาดที่ชวนให้รู้สึกรุ่มร้อนในตัว
“น้ำยาลุ่มหลงคือยาเสน่ห์ที่แรงที่สุดในโลก แค่หยดเดียวคนคนนั้นก็จะเป็นทาสของเธอไปตลอดกาล”
นักเรียนหญิงดูจะฮือฮากับคำอธิบายของอาจารย์ มองมาทางมาซายะกับชูสุเกะด้วยสายตาที่ดูมุ่งมั่นแปลกๆ
เขาสองคนมองหน้ากัน คิดว่าต่อจากนี้ต้องระวังอาหารหรืออะไรก็ตามที่มีคนยื่นให้กินเป็นพิเศษแล้ว
“..แต่อย่าลืมว่ายาเสน่ห์ก็ไม่สามารถสร้างความรักที่แท้จริงขึ้นมาได้ ต่อให้น้ำยาจะซับซ้อนแค่ไหนแต่ก็เลียนแบบความรักจริงๆไม่ได้ ความรักต้องใช้หัวใจของพวกเธอเองในการสร้างมันขึ้นมา…”
บรรดานักเรียนหญิงทำหน้าเคลิบเคลิ้มกับวาจาของอาจารย์ เรย์กะเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน
ชูสุเกะมองแล้วก็ได้แต่คิดว่าเธอน่าจะชอบอะไรหวานแหววโรแมนติคแบบนี้จริงๆ
เมื่ออาจารย์สั่งให้แยกย้ายกันไปปรุงยาตามที่ได้ให้โจทย์ไว้บนกระดาน น้ำยาสามอย่างที่อาจารย์เอามาเป็นตัวอย่างไม่ใช่น้ำยาที่พวกเขาต้องทำจริงๆ แต่แค่เอามาแนะนำให้ได้รู้จักไว้เฉยๆ และตอนนี้มันก็ถูกเอาไปเก็บ ปิดฝาไว้เรียบร้อยที่มุมในสุดของห้องเรียน
กลิ่นของกาแฟ ฝน และดอกไม้ผสมลูกพีชที่ชูสุเกะได้กลิ่นก็จางหายไป เหลือแต่กลิ่นสมุนไพรและควันจางๆที่ได้กลิ่นเป็นประจำเสมอในวิชาปรุงยา
มีนักเรียนบางคนชำเลืองไปทางหม้อต้มยาที่ถูกนำไปเก็บ ซึ่งอาจารย์ก็คงเหมือนจะรู้ทันเพราะได้อธิบายต่อว่าหม้อต้มยาพวกนี้ถูกลงคาถากำกับขโมยไว้หมดแล้ว อยากพิสูจน์ก็เอาเลย ความคิดของเหล่าหัวขโมยก็ต้องเป็นอันถูกพับเก็บไปโดยปริยาย
มาซายะและชูสุเกะทำงานอยู่โต๊ะตัวเดียวกัน มีสมาชิกอีกสองคนคืออิวามุโระที่อยู่กริฟฟินดอร์และหัวหน้าห้องที่อยู่ฮัฟเฟิลพัฟ ทั้งคู่ทักทายเขาอย่างยิ้มแย้มและเริ่มลงมือหั่นส่วนผสมที่ได้กำหนดไว้บนกระดาน
ขณะทำงานกัน พวกเขาก็พูดเรื่อยเปื่อยไร้สาระกันไปด้วย ส่วนมากก็เป็นการแข่งขันควิดดิซของทีมต่างๆ แล้วก็วิชาที่เรียน
“จะว่าไปแล้ว...เมื่อครู่นี้ทุกคนได้กลิ่นอะไรจากน้ำยาลุ่มหลงเหรอครับ” หัวหน้าห้องถามขึ้นมาตอนเทรากไม้ใส่หม้อต้มยาแล้วกดมันให้จมลงไป “ผมได้กลิ่นของต้นสน กลิ่นต้นหญ้าที่เพิ่งตัด แล้วก็ทะเลล่ะครับ”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะ ฉันได้กลิ่นช็อคโกแลต กลิ่นกระดาษกับหมึก...” มาซายะที่กำลังกวนส่วนผสมให้เข้ากัน ดูกระตือรือร้นในการตอบคำถามขึ้นมากกว่าเมื่อครู่นี้ กระแอมไออีกนิดหน่อยเหมือนจะประกาศเรื่องสำคัญ “...แล้วก็กลิ่นวานิลา”
“เห ยอดไปเลยนะครับ” อิวามุโระทำท่าประทับใจ “ผมได้กลิ่นของแป้งฝุ่น กลิ่นคุกกี้ชินนามอน แล้วก็กลิ่นอโรม่าออยล์ที่คุณมาโฮะแบ่งมาให้ทามือเมื่อวันก่อนน่ะครับ เห็นคุณมาโฮะบอกว่าใช้ประจำ หอมมากเลย”
“ว่าไปแล้ว ฉันก็ได้กลิ่นวานิลาหอมๆจากตัวทาคามิจิเสมอเหมือนกัน” มาซายะพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ที่บ้านยัยนั่นเป็นร้านเบเกอรี่นี่นะ แถมยังทำขนมเก่ง จะได้กลิ่นขนมนมเนยจากตัวก็ไม่แปลกเท่าไหร่”
“กลิ่นทะเลผมก็นึกถึงคุณฮอนดะเหมือนกันครับ หอม เย็น สดชื่น” หัวหน้าห้องบิดตัวไปมาดูท่าทางจะเขินมาก “แต่ชื่อคุณฮอนดะก็แปลว่าเกลียวคลื่นที่งดงาม เลยเชื่อมโยงกับทะเล”
สามหนุ่มคุยกันเรื่องความรัก แต่ชูสุเกะกลับรู้สึกว่าเหมือนกำลังยืนอยู่ในดงสาวน้อยที่คอยเล่าเรื่องคนที่แอบชอบให้เพื่อนสาวฟังอย่างไรชอบกล
“แล้วชูสุเกะล่ะ”
“ผมได้กลิ่นกาแฟ กลิ่นฝนกับกลิ่นดอกไม้ที่ไม่รู้จักชื่อน่ะ”
“ชูสุเกะชอบกาแฟนี่นะ” มาซายะพยักหน้า “ว่าแต่ดอกไม้ที่ไม่รู้จักชื่อนี่มันอะไรกันล่ะ”
“ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าหอมมาก”
ชูสุเกะนึกอยากลองเดินไปหาเรย์กะเพื่อพิสูจน์ดูว่าสิ่งที่ได้กลิ่นจากน้ำยาลุ่มหลง จะเป็นกลิ่นเดียวจากตัวเธอหรือไม่ แต่ยังไม่มีโอกาสทำแบบนั้น
บทสนทนาหยุดลงเมื่ออาจารย์เริ่มการเดินดูผลงานของนักเรียนที่โต๊ะ จนมาหยุดที่โต๊ะของพวกเขา
มาซายะกับชูสุเกะได้ผลงานเป็นที่น่าพอใจเพราะสามารถผสมยาให้ออกมาให้ได้คุณสมบัติตามที่ระบุไว้บนกระดานได้ กริฟฟินดอร์กับสลิธีรีนเลยได้ไปกันอีกคนละ 10 แต้ม ส่วนหัวหน้าห้องกับอิวามุโระนั้นทำน้ำยาพอใช้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่อาจารย์จะประทับใจเท่าไหร่นัก
ชูสุเกะมองไปทางโต๊ะของเรย์กะซึ่งอยู่ห่างไกลจากโต๊ะเขามากที่สุด ตอนนี้เธอกำลังตักน้ำยาจากหม้อต้มของตัวเองใส่ขวดบรรจุเตรียมส่งอาจารย์ ดูจากสีหน้ายิ้มแย้มแล้วเธอคงทำผลงานออกมาได้ดีจนเขาต้องยิ้มตาม
“ยิ้มแบบนั้นมันทำให้หน้าของนายในตอนนี้ดูน่าขยะแขยงเป็นบ้า”
ชูสุเกะหุบยิ้มทันควัน มองมาซายะด้วยหางตา
“ก็น่าขยะแขยงน้อยกว่าตอนที่นายเดินไปสูดกลิ่นคุณทาคามิจิเมื่อกี้นี้ก็แล้วกัน”
“ฉันไปให้ความช่วยเหลือในเรื่องวิชาปรุงยาต่างหาก”
“อ้อเหรอ” ชูสุเกะพูดเสียงเยาะๆ “แล้วกลิ่นวานิลาหอมมั้ยล่ะ”
นิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง มาซายะก็พูดเสียงอุบอิบในลำคอเหมือนไม่อยากให้ได้ยิน
“...หอม”
ชูสุเกะกลอกตาขึ้นมองเพดานก่อนจะหันไปยิ้มให้แบบดูถูก
เมื่ออับจนถ้อยคำ มาซายะก็แยกเขี้ยว กระแทกเท้าเดินปึงปังออกไปจากที่ตรงนั้น ทำหน้าบึ้งกลบเกลื่อนความเขินไปตลอดมื้อเที่ยง ทำเอาพวกกริฟฟินดอร์ซุบซิบกันใหญ่ว่าท่านคาบุรากิไปโกรธใครที่ไหนมา แต่ไม่มีใครกล้าไปถามเพราะยังรักชีวิตกันอยู่
.
.
.
.
.
ตอนบ่ายหลังพักกลางวันก็คือวิชาดูแลสัตว์วิเศษ สัตว์ที่ได้เรียนในวันนี้คือนิฟเฟลอร์ที่เพิ่งออกลูก และพวกเขามีหน้าที่ต้องป้อนอาหารให้เหล่าลูกๆของมัน
อาจารย์อธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนและสาธิตวิธีการป้อนอาหารมันให้ดูก่อนหนึ่งรอบ ก่อนจะปล่อยให้พวกเด็กนักเรียนทำงานกัน
เมื่ออาจารย์ทำ ทุกอย่างล้วนดูง่ายดายไปหมด แต่เอาเข้าจริงมันไม่ง่ายเลยซักนิด พวกมันไม่ดุร้ายเป็นอันตรายก็จริง แต่ว่องไวมากและชอบดิ้นหนีออกจากมือไปหาอิสรภาพอยู่เรื่อย ต้องใช้สายสร้อยหรือเครื่องประดับล่อหลอกความสนใจเอาไว้ถึงจะอยู่นิ่งๆกันได้
ชูสุเกะและมาซายะทำงานเลี้ยงนิฟเฟลอร์กรงเดียวกัน พยายามจับเจ้าลูกตุ่นปากเป็ดตัวจิ๋วพวกนี้ป้อนอาหาร กลุ่มของเขาน่าจะเป็นกลุ่มที่ทำงานได้ราบลื่นที่สุดแล้ว
เสียงวี้ดว้ายของพวกผู้หญิงดังมาจากอีกฟากเรียกความสนใจให้พวกเขาหันไปมอง พบว่าเป็นเรย์กะที่ถูกเพื่อนๆผู้หญิงของเธอประคองอยู่ ดูเหมือนเมื่อครู่นี้เธอจะลื่นล้มจนก้นกระแทกพื้นจากการไล่จับเจ้านิฟเฟลอร์ที่หลุดมือ
ยืนดูกันอยู่ครู่หนึ่ง มาซายะก็เริ่มวิจารณ์การเคลื่อนไหวสุดแสนทุลักทุเลของเธอ เห็นได้ชัดว่าเรย์กะไม่ถูกกับอะไรแบบนี้เลยซักนิด แต่ก็ยังมาลงเรียนเกี่ยวกับสัตว์วิเศษที่ต้องออกแรง ช่างน่าประหลาด
พอชูสุเกะส่งยิ้มให้ มาซายะก็เงียบลงแล้วหันไปบีบน้ำนมจากขวดใส่ปากเจ้าตัวจิ๋วพวกนั้นต่อ ไม่พูดอะไรอีกเลย
ชูสุเกะที่ทำงานในส่วนของตัวเองเสร็จก็วางนิฟเฟลอร์ที่ตัวเองกำลังดูแลลงใส่กรง ปัดๆฝุ่นตามตัวนิดหน่อยก่อนจะเดินไปทางเรย์กะ
ตอนนี้เธอกำลังไล่จับเจ้านิฟเฟลอร์ตัวหนึ่งที่พยายามวิ่งหนีออกจากมืออีกหน สีหน้าเลิกลั่กนั่นดูน่าสงสาร แต่เพื่อนนักเรียนหญิงของเธอหลายคนก็กำลังประสบปัญหาคล้ายๆกันเลยไม่ค่อยมีคนช่วยเธอเท่าไหร่นัก
“คุณคิโชวอิน” เขาส่งเสียงเรียก “เป็นยังไงบ้าง พอไหวมั้ย”
“เอ่อ...ก็พอได้ค่ะ” เธออ้อมแอ้มตอบตอนลุกตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นได้สำเร็จ
“ลองทำแบบนี้สิ”
เขาดึงสายสร้อยทองเส้นยาวที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมออกมาแกว่งต่อหน้า เจ้าลูกนิฟเฟลอร์มองตาแป๋วก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาหาคล้ายๆกับระแวดระวังภัย
เมื่อเข้ามาอยู่ในระยะที่มือเอื้อมถึง ชูสุเกะก็คว้าตัวมันไว้โดยที่ยังแกว่งสร้อยหลอกล่อความสนใจเอาไว้อยู่
“นิฟเฟลอร์พวกนี้ชอบของแวววาวหรือพวกของมีค่าน่ะ” เขาอธิบายรวบรัด “ถ้าอยากให้อยู่นิ่งๆก็ต้องทำแบบนี้ล่ะ”
“เห อย่างนั้นเหรอคะ”
“พอจับเคล็ดได้ก็น่าจะไม่ยากแล้ว” ชูสุเกะส่งเจ้าลูกนิฟเฟลอร์คืนให้ “เอ้า ทีนี้ลองป้อนอาหารดูสิ”
เรย์กะรับนิฟเฟลอร์มาอยู่ในอ้อมแขน ค่อยๆหยดน้ำนมใส่ปากมันทีละหยด มันอ้าปากรับแต่โดยดีไม่ดิ้นหนีแบบเมื่อครู่นี้ เพียงเท่านี้เธอก็ยิ้มกว้าง สายตาเป็นประกายด้วยความดีใจ
“ขอบคุณนะคะ ท่านเอ็นโจ”
ชูสุเกะยิ้มแทนคำตอบ มองเรย์กะที่ป้อนนมนิฟเฟลอร์อย่างทนุถนอม ลอบสำรวจเกี่ยวกับตัวเธอไปด้วย น้อยครั้งที่เขาจะมีโอกาสเข้าใกล้ได้ขนาดนี้โดยที่เธอไม่เผ่นหนีไปซะก่อน
จะว่าไปเธอตัวเล็กขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เขาจำได้ว่าปิดเทอมหน้าร้อนครั้งก่อนหน้านั้นเรายังสูงเท่ากันอยู่เลย แต่ตอนนี้ต้องก้มมองหน้าเธอแล้ว
เขาพยายามจะนึกแต่ก็นึกไม่ออก เพราะสายลมเอื่อยๆพัดโชยมา พาเอากลิ่นหอมของดอกไม้และลูกพีชมาให้ได้กลิ่นอยู่เรื่อย เป็นกลิ่นแบบเดียวกับที่ได้กลิ่นตอนดมน้ำยาลุ่มหลง
และต้นตอของกลิ่นก็อยู่นี่เอง
เขาจำได้ว่าเรย์กะมักจะรวบผมขึ้นมัดเป็นหางม้าเปิดต้นคอที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในวิชานี้เสมอ คงเพราะอยากให้ทะมัดทะแมงคล่องตัว เหงื่อที่ซึมนิดๆตามไรผม ต้นคอขาวๆ และใบหน้าที่เป็นสีชมพูระเรื่อจากการออกแรงออกจะเป็นภาพที่ดูดี ตอนนั้นเขาได้แต่มองไกลๆ ไม่เคยได้ใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อน
ในคอเขารู้สึกแห้งผากไปหมด อาจจะเป็นเพราะอากาศร้อนก็เป็นได้
...ไม่ใช่จินตนาการเตลิดเปิดเปิงตอนที่เห็นต้นคอเธอใกล้ๆหรอกนะ
ชูสุเกะรู้ดีว่านั่นเป็นคำโกหกคำโต เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ใต้ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา มีลมอ่อนๆพัดมาจากทะเลสาบอยู่ตลอด และอากาศไม่ได้ร้อนถึงขั้นที่จะทำให้เขารู้สึกกระหายน้ำได้
ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น เขาก็สนใจเพศตรงข้ามเพิ่มมากขึ้น อันที่จริงเขาไม่ได้สนเพราะว่าเป็นเพศตรงข้ามหรอก แต่เพราะเป็นเรย์กะต่างหากเขาถึงได้สนใจ
ชูสุเกะนึกสงสัยว่าเธอเอาน้ำยาลุ่มหลงให้เขาดื่มอย่างนั้นหรือ เขาถึงได้รู้สึกทุรนทุรายขนาดนี้
พอรู้ตัวว่าชอบ ใจมันก็คอยแต่จะคิดเรื่องไม่ดีไม่งามอยู่เรื่อย
ทุกอย่างของเรย์กะและทุกการกระทำนั้นเร้าอารมณ์ได้อย่างน่าประหลาด เขาอยากซุกหน้าเข้ากับต้นคอเธอ สูดดมพิสูจน์ใกล้ๆว่ามันคือกลิ่นของน้ำยาลุ่มหลงจริงหรือไม่ อยากแนบริมฝีปากชิมรสชาติเนื้อตัวเธอ ว่ามันจะหวานหอมเหมือนกลิ่นรึเปล่า ปากเธอจะนุ่มเหมือนมาร์ชเมลโลมั้ยนะ เขาไม่ค่อยชอบขนมหวานหรืออะไรหวานๆก็จริง แต่ถ้าเป็นเรย์กะเขาจะกินให้หมดไม่ให้เหลือแม้แต่คำเดียว
แค่ยื่นมือออกไป เขาก็สามารถรวบข้อมือเธอไว้ทั้งสองข้างได้ด้วยมือข้างเดียว แถวนี้ก็มีพุ่มไม้ที่เป็นจุดอับสายตาอยู่เพียบ แถมคนก็เยอะด้วย ทุกคนยุ่งงานของตัวเองกันหมด ไม่มีใครสังเกตหรอกว่านักเรียนหายไปไหนสองคน
ถ้าเพียงแค่ยื่นมือออกไป
เรย์กะเงยหน้ามองด้วยดวงตากลมโตที่ดูสงสัย เขาได้แต่ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ยามเมื่อได้สบตากัน
เขากลัวว่าเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่จะแสดงชัดออกมาให้เห็นว่าเขาอยากจะทำอะไรกับเธอบ้าง
และถ้าเธออ่านใจเขาได้ในตอนนี้ ได้เห็นว่าเขากำลังคิดอะไร คงจะหนีหายไปไม่ยอมมาให้เจอหน้าอีกเลยแน่ๆ
เรย์กะเลิกลั่กเล็กน้อยเมื่อสบตากับเขา มองซ้ายมองขวาเหมือนจะหาตัวช่วย แต่เพื่อนผู้หญิงของเธอกลับไปอยู่เสียห่างเหมือนไม่ต้องการจะรบกวน
“อะ เอ่อ...ใกล้จะได้เวลาเลิกเรียนแล้วนะคะ ไปกันเถอะค่ะ”
สัญชาตญาณระวังภัยของกระต่ายยังคงทำงานได้ดีเยี่ยม เรย์กะรีบร้อนลุกขึ้นยืน เดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนสาว
…...ไปซะแล้ว กระต่ายน้อย
ชูสุเกะได้แต่มองตาม รู้สึกเสียดายนิดๆ แต่การได้อยู่ใกล้ๆเธอในวันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า
และก็ต้องขอบคุณที่เรย์กะหนีไปก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงขาดสติเพราะกลิ่นหอมจนเผลอทำอะไรไม่ดีลงไปแหงๆ แถมยังต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการสะกดอารมณ์ที่มันก่อตัวอยู่ข้างใน อย่างน้อยก็ต้องห้ามตัวเองไม่ให้คว้าเธอมาจูบเดี๋ยวนั้นเลย
เขาน่าจะโดนน้ำยาลุ่มหลงจริงๆด้วย ไม่งั้นไม่เป็นเอามากขนาดนี้
จากวันนี้เขาก็คงไม่มีหน้าไปด่ามาซายะในเรื่องทำตัวเหมือนพวกโรคจิตแอบดมกลิ่นคนที่ชอบแล้ว ในเมื่อเขาก็เป็นเองเหมือนกัน...อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ
แล้วมาซายะตอนดมกลิ่นคุณทาคามิจิ จะคิดแบบเดียวกันกับตอนที่เขาดมกลิ่นของเรย์กะรึเปล่านะ
----------------------
ดูหนังเรื่องน้ำหอมมนุษย์เลยอยากลองเขียนอะไรเกี่ยวกับกลิ่นดู แต่รู้สึกติดๆขัดๆไม่ค่อยละเมียดเลยวุ้ย Orz
แท้งกิ้วโม่งฟิก. เจ้าแม่ในฟิกช่างนุ่มนิ่มเหลือเกิน
พวกมึง ฟิคกาวนอกมุมมองเอ็นโจมีใครจะแปลตอนที่23หรือยัง กูอยากลองฝึกแปลแล้วมาให้พวกมึงอ่านแล้วช่วยติช่วยชมหน่อย
มู้เงียบเหงา เศร้าเหลือเกิน แม้แต่กาวก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ แล้วเหรอ ไม่นะะะ ;_;!
เดี๋ยวๆ กำลังจะโหวตชื่อกระทู้ใหม่ ใจเย็นๆนะ
เหมือนกาวเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
หรือเพราะเริ่มอ่านแต่ตอนเดิมๆจนชอกช้ำแทนละวะ
>>877 ถ้ามีตอนใหม่ก็มีวัตถุดิบใหม่สำหรับกวนกาวเองล่ะน้า Orz
จะว่าไปเมื่อคืนกูฝันว่าเรื่องนี้เดินทางมาถึงตอนจบแล้วว่ะ เห็นคอมเมนต์ในแมวดุ้นแสดงความยินดีที่เจ้าแม่เป็นฝั่งเป็นฝากันใหญ่ จำได้ว่ามือไม้สั่นตื่นเต้นมาก แต่พอกูจะคลิกเข้าไปอ่านตอนจบ กูก็ตื่นซะก่อน ฮรือออออออออออ หรือจะเป็นเรื่องจริงในโลกคู่ขนานของกูวะ 5555555555
นี่พวกเราต้องจบสิ้นกันแค่นี้งั้นเหรอ โลกแห่งจริงมันโหดร้ายเกินไปแล้ว Orz
อย่า!!! หมด!!! หวัง!!!
เรา!!! จะ!!! อยู่!!! ใน!!! มู้!!! นี้!!!
ถึง!!! 120!!! ปี!!!
>>879 ในโลกคู่ขนานของกู เรื่องนี้เอาไปตีพิมพ์รวมเล่มทำยอดขายมหาศาลพิมพ์ซ้ำมากกว่าร้อยครั้ง ได้รับการแปลงเป็นคอมิค อนิเม และซีรี่ส์คนแสดง
คนแสดงเป็นท่านเรย์กะคือคิตาคาวะ เคโกะว่ะ ถึงตอนแรกๆ จะมีเสียงติเตียนบ้างว่านางน่าจะแก่เกินมารับเด็กม.ปลาย แต่ท่านเรย์กะหน้าแก่อยู่แล้วก็เลยเหมาะมากๆ เลยล่ะ
มีใครจะกรุณาช่วยไปไล่ใส่ชื่อคู่ในสารบัญเรย์กะ หมวดแฟนฟิคให้กูได้บ้างไหมวะ
หลังจากกูย้ายมาเรือคาบุรากิอย่างมั่นคง กูก็เสพเอ็นโจเรย์ไม่ได้อีกเลย //ทรุดฮวบ
ฟิคใหม่ๆ ที่ออกมาก็อยากอ่านนะ แต่น่าจะเป็นเรือเอ็นโจซะเยอะ กูเลยไม่กล้าอ่าน ขุดสารบัญก็ไม่มีชื่อคู่ชิปแปะไว้ ใจแหลกสลาย
กูคิดไว้ว่าถ้าไม่มาต่อภายในปีนี้กูคงทำใจและแต่งตอนจบต่อในหัวเองแล้ว คือออออ จะให้กูรอเป็นปีก็รอได้นะ แต่คนเขียนช่วยส่งสัญญาณมาหน่อยว่าจะทำอะไรกับเรื่อง จะบอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยว่างอะ ขอดรอปไว้ก่อนนะอะไรก็ว่าไป มาบอกว่าจะตัดจบกูยังไม่โกรธเลย ไม่ใช่ให้รอไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ พวกเบอร์เซิร์ก หน้ากากแก้ว กูรอมาสิบปีก็ยังรอได้เพราะอย่างน้อยก็ยังรู้ข่าวว่าคนเขียนโอเคอยู่ แต่เรื่องนี้กูรู้สึกเคว้งคว้างไม่มีจุดหมายเลย Orz
หรือที่ท่านฮิไม่ลงตอนใหม่เพราะท่านหลุดเข้าไปในโลกของนิยายเหมือนเจ้าแม่!?
แค่กๆๆ ตัวฉันมีความทรงจำของชาติที่แล้วอยู่ค่ะ
กูเพิ่งเข้ากระทู้มาหาฟิคอ่านหลังจากค้างเติ่งกับอฟช. ฟิคแรกที่สุ่มอ่านคือฟิคกาลครั้งหนึ่งในฝันกูก็เจอของดีเลยว่ะ กูอิ่มเอมใจมากๆ ฉากสารภาพรักกูว่ามันน่ารักกับอบอุ่นละมุนๆเหมือนได้ฟังพวกกล่องดนตรีไขลานง่ะ อ่านแล้วเหมือนมันคอมพลีท ได้รับการเติมเต็ม มีความสุขจากใจกันทั้งคู่ บรรยากาศมันคล้ายกับตอนที่ 268 ที่คุยความในใจกันแล้วหัวเราะเสียงดังๆด้วยกัน หัวใจกูพองฟูมากกกกกกก ฟินจนต้องมาเมนท์เลย ขอบคุณมากที่เขียนมาให้อ่านนะ
>>894 เวลคัมทูเดอะคลับค่ะมึง ในกระทู้ก็อุดมสมบูรณ์ด้วยฟิคกาวมีให้เลือกอ่านได้ตามอัธยาศัยระหว่างรอท่านฮิไปพลางๆ
ไม่แน่นะพวกมึง ท่านฮิอาจจะประทานตอนใหม่ให้ในวันวาเลนไทน์ก็ได้ เมื่อสองปีที่แล้วยังอัพตอนไปกินคีชในวันวาเลนไทน์เลยนี่นา คนเราต้องมีความหวังใช่มั้ย ;w;
ขอให้ท่านฮิจำพาสเพื่อเข้ามาอัพได้ไวๆ
เข้า pixiv ไปแล้วเจอนี่มา
https://www.pixiv.net/member_illust.php?mode=medium&illust_id=72667219
แค่ท่านพี่กับอิมาริยืนด้วยกันก็ให้ฟีลหยั่งกะหน้าปกการ์ตูนวายยังไงยังงั้นเลยว่ะ 555555555555
กูมีเวลาว่าง 1 คืน เลยมากวนกาวต่อ อาจจะได้ไม่กี่ตอนก่อนหายไปอีกรอบนะ
A&A - 48.
ตารางของฉันแน่นเอี๊ยดเพราะต้องอ่านหนังสือเป็นจำนวนมากเพื่อเตรียมฝึกสอนให้กับมาโอะจัง ฉันที่แม้จะทะลุมิติมายังยุคกลางแล้วกลับต้องเป็นนักเรียนเตรียมสอบอีกครั้ง ช่างน่าเศร้าจริง ๆ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าทำงานแรงงานทั้งวันเหมือนตอนถูกขัง
ในขณะที่กำลังค้นว่าควรจะจัดตารางเรียนยังไงดี ฉันก็ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับกุลสตรีชั้นสูงซึ่งเขียนโดยท่านหญิงผู้หนึ่ง เธอเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของเธอ อา ช่างเป็นชีวิตประจำวันที่ไร้สาระอะไรเช่นนี้นะ ถึงแม้ว่าฉันจะสบายจนเคยตัว แต่พอมาอ่านเรื่องของพวกเธอแล้วก็รู้สึกว่า จะดีจริง ๆ เหรอ พวกเธอไม่โดนราษฎรปฏิวัติหรือไง ทำไมถึงทำตัวเหลวแหลกกันอย่างนี้นะ นี่มันหนทางเดินขึ้นลานประหารโดนกิโยตินตัดคอชัด ๆ
ตัวอย่างเช่น
ในยามเช้าตั้งแต่ 9.00 นาฬิกา คุณเมดจะต้องมายืนอยู่หน้าเตียง ถ้าท่านหญิงตื่นก็ต้องปรนนิบัติ แต่ถ้าไม่ตื่นก็ต้องยืนรอ ห้ามนั่งเด็ดขาด ท่านหญิงจะตื่นจริง ๆ ก็ตอน 11.00 นาฬิกา ต้องรอให้ท่านหญิงเรียกก่อน ถึงค่อยยกอ่างน้ำอุ่น (ที่เตรียมรอไว้ตั้งแต่ 9.00 นาฬิกา ซึ่งต้องอังไฟให้อุ่นตลอดเวลา) มาช่วยปรนนิบัติท่านหญิงให้ล้างหน้าบ้วนปาก คุณเมดอีกคนก็จะยกถาดอาหารกับน้ำชามาให้บนเตียง ถ้าท่านหญิงยังตื่นไม่ดี ก็จะช่วยป้อนให้ แต่ถ้าตื่นดี แค่ยืนคอยเช็ดปากให้ก็พอ
ทานอาหารเสร็จ คุณเมดก็จะช่วยจัดการธุระเข้าห้องน้ำบนเตียงด้วยกระโถน จากนั้นก็ต้องทำการเช็ดร่างของท่านหญิงทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยน้ำอุ่น เสร็จแล้วท่านหญิงก็จะยืนให้คุณเมดแต่งหน้าแต่งตัว กว่าจะได้ออกจากห้องจริง ๆ ก็ตอน 14.00 นาฬิกา
ออกจากห้องไป ท่านหญิงก็จะตรวจดูบัญชีบ้าง แต่ส่วนมากเป็นการรับรายงานจากคุณพ่อบ้านเท่านั้นว่ามีเงินเข้าออกเท่าไหร่ แล้วในวันนั้นตารางเวลาเป็นอย่างไร มีเรื่องอะไรน่าสนใจ ในระหว่างรับฟังก็นั่งจิบชากินขนม ซักช่วง 16.00 นาฬิกา ท่านหญิงก็จะทำการเปลี่ยนชุดอีกครั้ง เพื่อไปดูการละเล่นในเมืองช่วง 17.00 นาฬิกา การละเล่นส่วนมากก็จะเป็นละครบ้าง โอเปร่าบ้าง หรือดูการขี่ม้าแข่งของพวกอัศวินในสนามที่จุดโคมอย่างสว่างไสว กว่าเสร็จก็ตอน 20.00 นาฬิกา หลังจากนั้นก็จะอพยพกันไปงานสังคมที่มีในวันนั้น ปกติแล้วจะมีงานเลี้ยงแทบทุกวันเพราะท่านหญิงแต่ละตระกูลจะผลัดกันจัดงานเลี้ยง ทำให้เมืองหลวงไม่เคยเงียบเหงา หรือถ้าไม่มี ก็จะไปดื่มเหล้าสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสนิทในซาลอนหรู ผลาญเงินไปกับการจับจ่ายซื้อของฟุ้งเฟ้อในขณะที่จิบชานินทาผู้คน อย่างไรก็ตาม ก่อนออกไปงานเลี้ยงหรือซาลอน ก็จะต้องเปลี่ยนชุดอีกครั้ง
ในสมัยของท่านหญิงที่เขียนหนังสือเล่มนี้ การเต้นรำยังคงเป็นที่นิยม เนื่องจากกระโปรงสุ่มยังพัฒนาไม่กว้างมากนักเหมือนในปัจจุบัน งานเลี้ยงดังกล่าวก็จะเต้นรำบ้าง พูดคุยกินดื่มบ้าง เริ่มงานเลี้ยงกันตอน 22.00 และมักจะแยกย้ายตอนเที่ยงคืน ทว่าที่พูดว่าแยกย้ายไม่ได้หมายถึงกลับบ้านไปพักผ่อน แต่แยกย้ายไปปาร์ตี้ส่วนตัวต่อที่บ้านของเพื่อน หรือไม่แยกย้ายไปจู๋จี๋กับคนรัก ท่านหญิงในหนังสือที่ฉันอ่านเหลวแหลกถึงขนาดเขียนว่า เพราะเธอคลอดลูกชายให้กับดยุกแล้ว จึงได้รับอิสระในการมีชู้รัก ขอเพียงแค่ไม่ท้อง ก็ไม่มีใครตำหนิอันใด เนื่องจากการแต่งงานสังคมเป็นแบบคลุมถุงชน ย่อมต้องมีสตรีหรือบุรุษที่ไม่พอใจกับสามีหรือภรรยาตนเอง ถ้าทำหน้าที่ไม่บกพร่อง จะมีชู้รักกี่คนก็ได้ (??!)
นอกจากนี้เธอยังเล่าอีกว่า สำหรับเด็กสาว ๆ การออกไปกับบุรุษที่พึงใจนั้นแม้จะเขียนข้อกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าไม่ควร และการอยู่กับบุรุษนั้นต้องมีเมดอยู่ด้วยเพื่อรักษาชื่อเสียง แต่ส่วนมากมักจะฝ่าฝืนกัน ขอเพียงแค่ไม่ทำจนถึงขั้นสุดจนเสียพรหมจารีย์และตั้งท้อง คนส่วนมากก็จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ดังนั้นนอกจากจะต้องดูต้นทาง คุณเมดที่น่าสงสารยังต้องคอยดูด้วยว่าคู่รักที่กำลังนัวเนียกันนั้นไปถึงขั้นไหนแล้ว (?!!!!)
กว่าจะได้เข้านอนจริง ๆ ก็ตอน 3.00 นาฬิกา ถ้าหากพาชู้รักมาที่บ้าน คุณพ่อบ้านก็จะต้องให้รถม้าไปส่งชู้รักของท่านหญิง ส่วนคุณเมดที่เหลือจัดการเปลี่ยนผ้าปูที่นอน อาบน้ำหรือเช็ดเนื้อตัวให้กับท่านหญิงที่สลบไสลไปจากการร่วมรัก จากนั้นก็พาท่านหญิงเข้านอน รอจนกระทั่งถึงวันใหม่ค่อยตื่นขึ้นมารับใช้อีกที
ในหนึ่งสัปดาห์ ชีวิตของท่านหญิงจะเป็นเช่นนี้ 5 วัน อีก 2 วันที่เหลือ วันหนึ่งใช้เวลาไปกับการเตรียมจัดงานปาร์ตี้ (ซึ่งหัวแรงหลักคือคุณพ่อบ้านกับคุณเมด) และอีกวันจะต้องเดินทางไปร่วมพิธีในโบสถ์ยามเช้า พักผ่อนตามอัธยาศัย ทำงานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการอ่านหนังสือหรือปักผ้า ในยามเย็น
โดยรวมแล้วช่างเป็นชีวิตที่...เหลวแหลก เกียจคร้าน เริ่ดหรู และไร้แก่นสารเสียจริง ๆ
ฉันปิดหนังสือลงด้วยความรู้สึกสะพรึง อันที่จริงทุกคนก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ท่านหญิงที่ฉันอ่านน่าจะเป็นตัวอย่างที่สุดขั้ว แต่เรื่องราวแบบนี้กลับได้จารึกและเก็บไว้ในหอหนังสือของราชวงศ์ แถมท่านพ่อของคาบุรากิยังเป็นคนแนะนำหนังสือเล่มนี้อีกต่างหาก นี่มันเป็นหนังสือที่ควรแนะนำให้เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนอ่านจริง ๆ เหรอ นอกจากความเหลวแหลกแล้ว ฉากบรรยายเกี่ยวกับเรื่องน่าอายก็ยังละเอียดยิบราวกับหนังสือนิยายทำมือแบบอันคัตสำหรับสาวฟุอีกต่างหาก หรือว่าเด็กสาวของที่นี่จะเรียนรู้เพศศึกษาผ่านหนังสือแบบนี้กันนะ!? น่าตกใจเกินไปแล้ว!!
ฉันวางหนังสือเล่มนี้ให้ห่างจากตัวที่สุด เพราะตั้งใจจะเอาไปคืน ไม่เก็บไว้ให้มาโอะจังเห็นเด็ดขาด และพอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็พบว่าเป็นตอนเย็นแล้ว
ฉันมองตารางเวลาที่ทำไว้สำหรับอ่านหนังสือเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ แล้วรู้สึกตกใจ จริง ๆ แล้ววันนี้ฉันต้องอ่านมารยาทบนโต๊ะอาหารให้จบ แต่ดันอ่านเรื่องของท่านหญิงผู้เหลวแหลกจนเพลินไปซะนี่ สงสัยพรุ่งนี้ต้องเร่งอ่านหนังสือแล้ว!
.....
A&A - 49.
นอกจากตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือแล้ว ฉันยังต้องฝึกแต่งหน้าด้วย เพราะฉันใช้นายตัวสำรองฝึกบ่อย เลยพาเขาไปเลี้ยงอาหารตามที่สัญญาไว้
วันนี้นายตัวสำรองออกกะ ฉันเลยแพลนเที่ยวตั้งแต่ช่วงบ่าย โดยที่เราจะไปซาลอนกันก่อน แล้วค่อยไปทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน ซึ่งวันนี้ฉันจะรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพทั้งหมด
ซาลอนที่พวกเราไปเป็นซาลอนทางด้านความงาม ที่นอกจากจะขายเครื่องสำอางแล้ว ยังมีครีมบำรุงผิว น้ำหอม และของจุกจิกหลายอย่าง ที่ฉันพานายตัวสำรองมาด้วย เพราะแอบฝันเล็ก ๆ ว่าในอนาคตจะใช้ให้เขาผลิตเครื่องประทินความงาม แล้วฉันเป็นทั้งคนคิดสูตรและนายหน้าในการขาย ถึงแม้ว่าฉันจะถูกตระกูลคิโชวอินตัดขาด แต่ถ้ามีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็ไม่น่าจะลำบากนัก
เนื่องจากตอนนี้ยังคงเป็นบ่ายอ่อน ๆ ซึ่งพวกท่านหญิงเหลวแหลกน่าจะยังคงนั่งอ้อยสร้อยจิบชากินขนมในบ้านตัวเอง ชาลอนเลยค่อนข้างจะโล่ง
ฉัน นายตัวสำรอง เซริกะจัง และคิคุโนะจัง ลงจากรถม้าเข้าไปในซาลอนที่แสนเริ่ด พนักงานที่ซาลอนนำเราไปยังชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับพักผ่อน เพราะว่าฉันอยากจะให้เซริกะจังและคิคุโนะจังได้ผ่อนคลาย เลยให้พวกเธอไปเดินดูเครื่องประทินโฉม โดยพื้นฐานของพวกเธอเป็นลูกสาวขุนนาง ย่อมต้องรักสวยรักงามและมีเงินจับจ่ายได้พอสมควร ถ้าเจ้านายอนุญาต ก็สามารถเดินซื้อของในซาลอนได้
มิซิซากินั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ฉัน ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ข้าง แต่ไม่ได้พูดอะไร พนักงานในร้านหลายคนมารับใช้ฉัน ทั้งยกขนมยกน้ำชามาจนเต็มโต๊ะ ก่อนที่คุณผู้ดูแลจะเข้ามาทักทายฉัน แล้วถามว่าวันนี้ฉันมีอะไรให้รับใช้รึเปล่า
ฉันบอกเธอว่ามาดูพวกครีมบำรุงผิว เธอจึงบอกให้ฉันรอซักครู่ แล้วเรียกให้คุณเมดไปยกถาดมาให้ ถาดครีมบำรุงผิวนั้นมีอยู่หลายถาด คุณผู้ดูแลแนะนำซักพัก ก็ทิ้งถาดให้ฉันเล่นครีมตามใจชอบ
แน่นอนว่านอกจากตัวฉันจะลองเล่นดูแล้ว ก็ยังให้มิซึซากิเล่นด้วย ฉันบอกกับเขาว่าอยากให้เขาลองทำครีมทาผิวดู เพราะโรสออยล์ที่เขาเอามาให้คราวก่อนถูกใจฉันมาก ฉันใช้ทุกวัน แม้แต่วันนี้ที่ออกมาก็ทามาด้วย
ฉันพูดกับเขาเกี่ยวกับครีมและบอกว่าอยากได้ครีมที่สำหรับลบเครื่องสำอาง เพราะตอนนี้การลบเครื่องสำอางนั้นยังใช้แค่น้ำ สบู่ และผ้าถูออกเท่านั้น ซึ่งทำให้ฉันกังวลว่าเครื่องสำอางจะตกค้างจนผิวเสียรึเปล่า
ในขณะที่กำลังเล่นครีมชนิดต่าง ๆ และฝันหวานเกี่ยวกับธุรกิจความงาม ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันต้องกลับมาปวดกระเพาะอีกครั้ง เมื่อประตูของซาลอนเปิดออก เผยให้เห็นคาบุรากิ วาคาบะจัง เอ็นโจ และคุณยุยโกะ เดินเข้ามา
ฉันที่คิดจะก้มหัวลงต่ำเพื่อหลบอยู่หลังพนักเก้าอี้หลบไม่ทัน เมื่อสายตาของเอ็นโจปะทะเข้ามาซะก่อน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาขยายออก ก่อนจะทักขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังพอจะให้ได้ยินกันทุกคน
“คุณเรย์กะนั่นเอง ช่างบังเอิญจริง ๆ”
.....
วี้ดดดด เรือตัวสำรองแล่นฉิวเลยค่าาาาาา
A&A - 50
จะทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่ได้ ฉันที่เสียมารยาทไปแล้วเพราะดันให้เอ็นโจเป็นฝ่ายทักก่อนต้องรีบยืนขึ้นมาถอนสายบัวทันที
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะท่านคาบุรากิ ท่านเอ็นโจ ท่านทาคามิจิ ท่านอุริว” โชคดีที่ไม่ได้ยกขโยงกันมาเป็นคณะ ไม่งั้นฉันต้องขานชื่อทุกคนเหมือนขานในชั่วโมงโฮมรูม เพราะนี่เป็นการพบหน้ากันส่วนตัว ไม่สามารถทักทายรวม ๆ ได้
คาบุรากิเห็นฉันก็หน้าตึง ดวงตาหรี่ลงราวกับระแวงว่าฉันจะรังแกอะไรวาคาบะจังรึเปล่า ส่วนวาคาบะจังในโลกนี้ดูกลัว ๆ ฉันหน่อย ผิดกับวาคาบะจังในโลกของฉันมาก อาจจะเป็นเพราะในโลกนี้เด็กผู้หญิงถูกเลี้ยงดูมาแบบให้หัวอ่อน แถมเรย์กะก็แผลงฤทธิ์แกล้งเธอหนักขนาดนั้น จะไม่กลัวเลยก็แปลกไปแล้ว
ส่วนคุณยุยโกะให้บรรยากาศเย็นเยือกเหมือนภูติพรายไม่ผิดกับในโลกก่อน เธอแตะมือลงบนแขนของเอ็นโจราวกับว่าถ้าไม่มีอะไรให้ยึด เธอจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ดูเป็นสาวงามที่บอบบางน่าปกป้องยิ่งนัก เอ็นโจเองก็แตะมือไว้ด้านหลังของเธอ
พอเห็นคู่รักเดินควงกระหนุงกระหนิงตรงหน้า ฉันก็นึกถึงเรื่องของคุณหญิงเหลวแหลก หรือว่าคนพวกนี้!!! พวกหมู่บ้านมีรักทำเรื่องน่าอับอายอย่างนั้นในที่ลับ ๆ เหรอเนี่ย?! ถึงคาบุรากิจะเป็นพวกใสซื่อ แต่ยังไงก็หมั้นกับวาคาบะจังแล้ว น่าจะต้องมีอะไรคืบหน้ามากกว่าแค่การจับมือ ส่วนเอ็นโจนี่ถึงจะดูเรียบร้อย แต่หมอนี่น่ะปีศาจ ยังไงก็ต้องเคยทำเรื่องบัดสีแน่ ๆ ฉันพยายามไม่มองตาพวกเขา รู้สึกเหมือนตัวเองตอนชั้นมัธยมต้นสมัยก่อนที่จะเป็นคิโชวอิน เรย์กะ ฉันที่อยู่โรงเรียนสหต้องเรียนเรื่องเพศศึกษารวมกับพวกผู้ชาย อ๊า นี่มันเกมลงทัณฑ์ชัด ๆ แค่คิดว่าพวกเขาซึ่งอายุเท่ากับฉันมีกิจกรรมเข้าจังหวะในเวลาส่วนตัวก็รู้สึกอายจนหัวจะระเบิดบึ้มออกมา
“ท่านคาบุรากิ ท่านเอ็นโจ เลดี้ทั้งสอง สายัณห์สวัสดิ์ครับ” นายตัวสำรองยืนขึ้นแล้วโค้งให้กับพวกนั้น ฉันมองนายตัวสำรองแล้วรู้สึกโล่งอก นายตัวสำรองที่หลงรักวาคาบะจังจะต้องถนอมตัวเองเอาไว้ให้เธอแน่ ๆ ถึงจะไม่สมหวัง เขาก็เป็นประเภทที่รักษาเวอร์จิ้นไปตลอดชาติเพื่อเธอ ฉันมองนายตัวสำรองแล้วอยากจะบอกเขาว่า เรามาใช้ชีวิตอย่างสะอาดบริสุทธิ์กันเถอะค่ะ...เรื่องแบบคุณหญิงเหลวแหลก ก็ปล่อยให้พวกหมู่บ้านมีรักทำกันไป...
อ๊า ไม่นะ ฉันยังอยากแต่งงานมีลูกอยู่นะคะ ถึงตอนนี้จะไม่มีผู้ชายซักคน แถมยังเสี่ยงโดนธงมรณะปักหัวก็เถอะ
พอคิดถึงธงมรณะ เรื่องฟุ้งซ่านในหัวของฉันก็กระเด็นหายไปจนหมด เลยทันได้ฟังว่าคุณยุยโกะพูดอะไร
“คุณเรย์กะวันนี้มาซื้อของหรือคะ?”
”ค่ะ องค์ราชินีมอบหมายให้ฉันเป็นเลดี้พี่เลี้ยงของเลดี้ซาวาราบิ ฉันเลยมาดูว่าในตอนนี้พวกเครื่องประทินโฉมมีอะไรใหม่ ๆ ออกมาบ้าง” นั่นก็เป็นเป้าหมายหลักของฉันล่ะนะ ถึงความสวยคลาสสิคจะดูมีราคา แต่ก็ไม่อยากให้ใครมองว่าล้าสมัย ดังนั้นเทรนด์ที่ควรตามก็จะต้องตาม หรือถ้าดียิ่งกว่านั้นคือการนำเทรนด์
ดวงตาของคุณยุยโกะมองมา แต่ฉันอ่านความรู้สึกของเธอไม่ออก “ช่างเป็นผู้ที่ขยันขันแข็งอะไรเช่นนี้ สมแล้วที่องค์ราชินีเลือกให้เป็นเลดี้พี่เลี้ยง ฉันเองไม่ค่อยถนัดการแต่งหน้าเท่าไหร่”
ฉันชะงัก วันนี้ได้ออกมาข้างนอกทั้งที ฉันก็เลยแต่งหน้ามาเต็มพอสมควร ถึงจะไม่ได้เข้มจัด แต่ด้วยเครื่องหน้าของเรย์กะ รวมกับริมฝีปากสีแดงจัดราวกับเชอร์รี่แล้ว ทำให้การแต่งหน้าของฉันเด่นกว่าของคุณยุยโกะมาก
“งั้นหรือคะ” ฉันตอบกลาง ๆ ไม่อยากจะสู้รบปรบมืออะไร จะบอกว่าตัวเองสวยธรรมชาติล่ะสิ แต่ฉันไม่สนหรอกนะ สวยก็คือสวย สวยธรรมชาติหรือสวยเพราะเครื่องสำอาง ขอให้ผลลัพธ์ออกมาดูดีก็พอย่ะ อย่างน้อยขนตายาว ๆ ของฉันก็ของจริงนะ
“แล้วนายล่ะ มิซึซากิ ทำไมถึงได้ออกมากับยัยนี่” คาบุรากิถามขึ้นอย่างไม่คิดจะอ้อมค้อม สมกับเป็นคนที่ไม่เคยดูสถานการณ์จริง ๆ
ตอนแรกฉันนึกว่านายตัวสำรองจะดูกระอักกระอ่วนที่ถูกเห็นคู่กับนักโทษที่เป็นอิสระชั่วคราวอย่างฉัน แต่เขาตอบด้วยสีหน้าปกติว่าฉันอยากตอบแทนที่เขาช่วยไว้ เลยพาออกมาเลี้ยงอาหาร เขาไม่อยากให้มีบุญคุณติดค้างกัน เลยรับคำชวนของฉันออกมา สมกับเป็นมิซึซากิที่ซื่อตรงจริง ๆ
เพราะโต๊ะนี้จะเป็นโต๊ะที่ดีที่สุด ตามมารยาทแล้วฉันควรจะลุกแล้วสละที่นั่งให้กับคนที่มียศสูงกว่า แต่อีตาคาบุรากิเต๊ะท่าจัดเหลือเกิน ฉันเลยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อันที่จริงก็ไม่มีกฏข้อไหนบอกว่าฉันต้องสละที่นั่งให้กับพวกเขา ดังนั้นตามคิวละกัน ที่อื่นก็ยังว่าง ๆ อีกตั้งเยอะ
ผิดคาด คาบุรากิกลับนั่งพรวดลงมา ฉันมองเขาด้วยสีหน้าตระหนก เฮ้ย จะนั่งโต๊ะเดียวกับฉันจริง ๆ ดิ โดยคอมมอนเซนส์แล้วไม่ควรให้ฉันที่เคยรังแกวาคาบะจังนั่งรวมกับเธอนะ ถ้าเธอเป็นประเภทชอบรังแกคนอื่น แล้วจะปล่อยให้เธอแกล้งฉันก็ว่าไปอย่าง แต่วาคาบะจังในโลกนี้เหมือนอาโออิจัง เธอน่ารักราวกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ ปล่อยให้นั่งโต๊ะเดียวกับแกะห่มหนังหมาป่าอย่างฉันนี่คิดดีแล้วเหรอ
อา...ลืมไปว่าหมอนี่ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้นี่นา ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองปวดกระเพาะ ในโลกก่อนไม่มีสามัญสำนึกยังไง ในโลกนี้สามัญสำนึกก็ไม่มีอย่างนั้นสินะ ช่างรักษาคาแรกเตอร์หล่อเสียของได้ดีจริง ๆ
เพราะคาบุรากินั่ง ทุกคนก็เลยต้องนั่งลงตาม ดังนั้นแทนที่ฉันจะได้มีวันหยุดหลั่นล้า นั่งดูครีมในซาลอนอย่างสบายใจ กลับต้องมานั่งอยู่ในเขตสงครามเสี่ยงธงมรณะปักหัวนี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รู้แบบนี้สละที่ให้ก็ดีหรอก! ไม่ได้การละ หนีไปที่อื่นดีกว่า!
ทว่าเอ็นโจเหมือนนกรู้ พูดดักคอฉันไว้ก่อน
“มีคุณเรย์กะก็ดีเลย เห็นว่าคุณวาคาบะกำลังสนใจเรื่องเครื่องประทินผิวนี่ ยุยโกะน่ะผิวแพ้ง่าย ไม่ค่อยใช้ของพวกนี้หรอกครับ คุณวาคาบะน่าจะให้คุณเรย์กะแนะนำนะ ยังไงเธอก็เป็นถึงเลดี้พี่เลี้ยง น่าจะพอช่วยเหลือเรื่องพวกนี้ได้”
คาบุรากิดูไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่อยากพูดขัดคอหรือยุ่งกับเรื่องของสาว ๆ ส่วนวาคาบะจังทำท่าลังเล แต่ก็พยักหน้าโดยดี ฉันมองเอ็นโจที่ยิ้มละไมแล้วได้แต่สาปแช่งในใจ
.....
กรี๊ดดดด โม่งฟิค A&A ;;-;;)!
A&A - 51
ทว่าแทนที่เราจะคุยกันเรื่องครีมที่ฉันเองก็เพิ่งมาดูเช่นกัน ฉันชวนเธอคุยเรื่องกลิ่นของครีมแทน
ในโลกนี้มีครีม มีสบู่ มีน้ำหอม แต่กลับไม่มีไม่มีครีมผสมน้ำหอม หรือสบู่ผสมน้ำหอม พอพูดถึงไอเดียนี้ออกไป วาคาบะจังที่เป็นนักทำสบู่ก็สนใจอย่างมาก จากที่ตัวเกร็งเพราะต้องคุยกับฉัน ก็เริ่มผ่อนคลายลง
“สบู่น่ะทำให้สะอาดก็จริง แต่ก็ทำให้ผิวกับผมแห้งมาก โดยเฉพาะเส้นผมค่ะ ถ้าไม่ชโลมน้ำมันให้ดี ๆ อาจจะทำให้ผมแห้งเสียได้ แต่ถ้าในหน้าร้อน การชโลมน้ำมันน่าจะเหนอะหนะน่าดู”
วาคาบะจังพยักหน้า “จริงค่ะ ฉันเองก็ไม่ชอบอะไรที่เหนอะหนะเช่นกัน ก็เลยไม่ชโลมน้ำมันเท่าไหร่ ทำให้ผมค่อนข้างแห้ง คุณเรย์กะคงรักเส้นผมมากสินะคะ เส้นผมเป็นประกายเงางามเหลือเกิน”
ถ้าเทียบผมของฉันในชาตินี้กับชาติก่อนแล้ว ชาติก่อนเงางามเป็นประกายกินขาดชาตินี้ แต่ก็ยังดีกว่าผมของวาคาบะจังหลายเท่า ดูเหมือนว่าชีวิตสามัญชนของวาคาบะจังจะทำให้ผมของเธอขาดการบำรุงมาอย่างยาวนาน จึงขาดประกายแม้ว่าจะพยายามชโลมน้ำมันก็ตาม
ฉันพยายามฝังความคิดเกี่ยวกับคอนดิชั่นเนอร์ให้กับวาคาบะจัง เพราะถ้าเป็นนางเอกอย่างเธอต้องทำได้อย่างแน่นอน วาคาบะจังดูสนใจมากขนาดย้ายฝั่งจากที่นั่งข้างคาบุรากิมานั่งข้าง ๆ ฉัน เพื่อที่จะได้คุยได้สะดวก ทำเอาฉันโดนคาบุรากิเขม่น อะไรเล่า นายอิจฉาก็หาความรู้เกี่ยวกับเรื่องสาว ๆ ใส่ตัวสิ จะมาเขม่นฉันหาอะไรล่ะ ฉันอยากจะจ้องตอบ แต่คนใจมดอย่างฉันได้แต่หลบตาเขา แล้วคุยกับวาคาบะจังเรื่องคอนดิชั่นเนอร์เท่านั้น
พวกเราคุยกันอยู่นาน วาคาบะเองก็ดูจะตกใจที่เธอสามารถคุยกับฉันได้อย่างคล่องปาก ไม่รู้สึกหวาดกลัวเหมือนตอนแรกเลยแม้แต่น้อย
“ฉันนี่เสียมารยาทจริง ๆ ค่ะ ชวนคุณเรย์กะคุยซะจนคุณไม่ได้ทำธุระของตัวเองเลย”
ฉันเห็นเธอที่กระตือรือล้นแล้วก็รู้สึกว่าเธอที่คุยอย่างสนุกสนานเหมือนวาคาบะจังในโลกของฉันมากขึ้น ฉันเลยบอกว่าไม่ได้รบกวนเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้สึกสนใจจริง ๆ ถ้าเธอจะทำคอนดิชั่นเนอร์ออกมา อีกอย่างฉันอยากได้สบู่ที่มีกลิ่นหอมด้วย
พอพูดถึงเรื่องกลิ่นต่าง ๆ ที่ควรจะใส่ลงไปในสบู่ พวกเราก็เปิดบทสนทนายาวยืดอีกครั้ง จนกระทั่งเอ็นโจใช้ช่วงที่พวกเรากำลังคิดว่าจะใส่ลาเวนเดอร์ผสมกับกลิ่นไหนดีบอกพวกเราว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
เมื่อเห็นวาคาบะจังมีสีหน้าเสียดาย เอ็นโจก็ชวนฉันกับมิซึซากิไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย
“อา...ไม่ดีหรอกค่ะ วันนี้ฉันรับปากไว้ว่าจะเลี้ยงมิซึซากิคุง” แน่นอนว่าไม่มีทางเจียดเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากเลี้ยงพวกนายหรอกนะ แล้วก็ไม่อยากให้ใครเลี้ยงด้วย อย่างเอ็นโจน่ะ ยึดเป็นบุญคุณแหง ๆ ตานี่ไม่เคยไว้ใจได้เลยซักครั้ง
“มิซึซากิก็คงไม่ได้ติดใจอะไรหรอกใช่ไหม ยังไงค่าธรรมเนียมเข้าซาลอนคุณเรย์กะก็จ่ายไปแล้วนี่” เอ็นโจหันไปถามมิซึซากิคุง ส่วนมิซึซากิคุงก็พาซื่อ บอกฉันว่าแค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว ฉันไม่จำเป็นจะต้องเลี้ยงมื้อค่ำเขาอีก
ดังนั้นฉันกับนายตัวสำรองก็เลยถูกหิ้วไปร่วมโต๊ะทานมื้อค่ำอย่างปฏิเสธไม่ได้
.....
A&A - 52.
ยังดีที่มื้อเย็นเราคุยกันเรื่องกลาง ๆ อย่างเรื่องอาหาร บทกลอน ละครที่กำลังแสดงอยู่ในโรงตอนนี้ งานเลี้ยงของขุนนาง และเทศกาลที่กำลังมาถึง ดังนั้นคาบุรากิคนขี้ใจน้อยที่ได้มีโอกาสได้เปิดปากบ้างเลยมีสีหน้าดีขึ้นมาก
ฉันปล่อยให้คนอื่นคุยกัน ตัวเองก็เดินหน้าสวาปามของกินที่อดอยากมานาน อา...ไม่น่าเชื่อว่าในโลกนี้ก็มีปูด้วย แถมปูยังสดอีกต่างหาก ฉันใช้คีมบีบขาปูอย่างเชื่องช้า แล้วยกใส่ปากอย่างเชื่องช้า กินอย่างเชื่องช้า แน่นอนว่ามารยาทบนโต๊ะอาหารของฉันสง่างามเป็นเอก แต่เทคนิคของการกินนั้น ไม่จำเป็นต้องกินให้เร็วก็ได้ แต่ต้องกินอย่างต่อเนื่อง อย่าได้เสียเวลาพูดคุยไร้สาระไม่เกิดประโยชน์เด็ดขาด
พนักงานเสิร์ฟที่นี่ก็รู้งานดีมาก จานว่างเมื่อไหร่เป็นเติม แถมการปรากฏตัวของพวกเขายังทำเสมือนหนึ่งไม่มีตัวตน ราวกับอาหารถูกเสกขึ้นในจากด้วยเวทย์มนต์ยังไงอย่างงั้น ฉันเดินหน้ากินอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งรู้สึกคับเอว
แม้ว่าเนื้อปูจะยังอยู่ตรงหน้า แต่คอร์เซ็ตที่รัดให้เอวเหลือสิบแปดนิ้วนั้นทำให้ฉันกินอะไรต่อไม่ลงอีก แถมตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนท้องอืดด้วย ถ้าเป็นชาติก่อน ก็ยังแอบ ๆ ปลดเข็มขัดได้ แต่ว่านี่มันคอร์เซ็ตทั้งชุดนี่นา!
ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนักเลยขอตัวออกไปห้องแต่งกาย ในโลกนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็มักจะมีห้องแต่งกายหรูหราให้สตรีชั้นสูงแต่งตัว เซริกะจังกับคิคุโนะจังตามฉันไปยังห้องแต่งตัวอย่างเป็นห่วง แต่จะให้บอกว่ากินจนเหมือนจะสำรอกออกมานี่ไม่มีทางเด็ดขาด
“ท่านเรย์กะ อดทนมาตลอดสินะคะ” เซริกะจังพึมพำ
ฉันสูดหายใจลึก อา...ใช่ ตอนนี้ฉันปวดท้องมาก ๆ เลย ปกติแล้วถ้าเป็นโลกก่อน อาหารแค่นั้นจิ๊บ ๆ แต่ฉันลืมไปว่าโลกนี้เรย์กะเอวเล็ก แถมยังมีคอร์เซ็ตรัด ดังนั้นเลยกินไม่ได้มากนัก
“ทั้ง ๆ ที่ฉันรู้ดีแท้ ๆ แต่กลับช่วยท่านเรย์กะไม่ได้เลย” คิคุโนะจังบอก ฉันเหลือบมองเธอ อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้นะ แค่คลายคอร์เซ็ตให้ฉัน ฉันก็น่าจะดีขึ้น แต่ชุดกระโปรงที่สวมอยู่ถูกตัดเย็บมาพอดีตัว ถ้าคลายออกมาแล้วรัดกลับเข้าไปเพื่อให้สามารถติดกระดุมชุดได้ ฉันคงอ๊อกออกมาอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่เอาดีกว่า
“ท่านเรย์กะ คงจะเจ็บปวดมากสินะคะที่เห็นท่านคาบุรากิอยู่กับนังจิ้งจอกนั่น ซ้ำยังต้องพูดคุยให้คำแนะนำ ท่านเอ็นโจก็ใจร้ายยิ่งนัก รู้ว่าท่านเรย์กะไม่ชอบยัยนั่น ก็ยังบังคับให้คุยด้วยอีก!”
เดี๋ยว ๆ
“ยัยนั่นก็อะไร รู้ตัวว่าท่านเรย์กะไม่ชอบ ก็ยังเสนอหน้ามานั่งข้าง ๆ ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!”
เดี๋ยว ๆ
ฉันฟังเซริกะยังและคิคุโนะจังบ่นเรื่องวาคาบะจัง ราวกับฉันเป็นนางเอกผู้น่าสงสารและเธอเป็นนางร้ายจอมวางแผน ทว่าฉันได้แต่นอนพังพาบอยู่บนม้านั่ง ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะถ้าเปิดปากพูดอะไรออกไป คงได้คายของเก่าต่อหน้าพวกเธอ
โชคยังดีที่ไม่มีเหตุการณ์แบบที่วาคาบะจังหรือใครมาได้ยิน ฉันเลยรอดพ้นธงมรณะน้อย ๆ ไปได้ แต่กว่าจะยืนขึ้นได้อีกครั้งแล้วกลับไปที่โต๊ะ ทุกคนก็กินจนอิ่มแล้ว
“เป็นอะไรน่ะ ไม่สบายอีกแล้วเหรอ?” นายตัวสำรองถามอย่างเป็นห่วง ให้ตายยังไงฉันก็บอกไม่ได้ว่ากินจนจุก ฉันส่ายหน้า บอกว่าวันนี้ออกมาข้างนอก เลยค่อนข้างเหนื่อย นายตัวสำรองมองฉันอย่างสงสัย เพราะเคยเห็นฉันขัดห้องน้ำเช้าจรดเย็นกับเขา ฉันมองเขาแล้วอยากลองจับเขายัดใส่คอร์เซ็ต ให้รู้ซะบ้างว่าจะแรงดีได้แค่ไหนในเครื่องทรมานอย่างนี้
วาคาบะจังก็ดูท่าทางเป็นห่วงเหมือนกัน อีตาคาบุรากิกับคุณยุยโกะไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรกับการหายตัวไปของฉัน ส่วนเอ็นโจทำหน้ากลั้นหัวเราะเต็มที่ คล้ายกับจะรู้ว่าที่ฉันหายไปเพราะอะไร
ในคืนนั้นฉันกลับที่พักอย่างสบายใจ โดยไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่า ได้เปิดรูทมรณะรูทใหม่เข้าให้แล้ว
.....
งวดนี้มาแค่นี้เพราะงานกูท่วมมาก ขอบพระคุณที่ติดตาม จะมาใหม่เมื่อมีเวลาพักหายใจ (กราบ)
รักมึงนะโม่งA&Aอยู่กับพวกกูไปนานๆนะ จุ๊บเหม่งทีดิ
โม่งฟิคคคค คราวนี้ขอเรือตัวสำรแงเถอะนะ //พนมมือ
//โบกมือจากเรือร้างๆที่ไม่มีใครสนใจ
เรือไหนก็ได้ที่ไม่ใช่คานค่ะ อุแง้
กูทีมเรือบาปอยู่กับท่านพี่ค่ะ รอท่านพี่ดาร์กๆอยู่นะคะ
ไม่เอาเรือเอ็นโจนะฟิคนี้ เพราะอวยไม่ลงจริงๆ ขอเรือนายตัวสำรองเถอะไม่ก็เรือท่านพี่ไปเลย!!
แท้งกิ้วโม่งฟิค!!!
พนมมือขอเรือนายตัวสำรองด้วยคน _/||\_
อ่านฟิคนี้แล้วกูขอก้าวขาไปอยู่เรือนายตัวสำรองชั่วคราวค่ะ โอยย~
/ปกติกูอยู่เรือเอ็นโจแบบเหนียวแน่นมากนะ แต่ฟิคนี้กูจะทรยศกัปตันเรือชูสุเกะ!
>>919 >>921 >>922 เอาด้วยคนจ้าา~อยากได้อ่ะ อยากได้
1เรือนายตัวสำรอง = กำลังแล่นชิว
2เรือยูกิโนะ = กระชุ่มกระชวยจริงๆ
3เรือท่านพี่ = อืม...ไม่รู้สิ
4เรือเคนตะ = น่าร๊ากกกดี
5เรืออุเมวากะ?นายบ้าหมา เปลี่ยนเป็น นายบ้าม้า แทน555+ = ตลก ฮาๆ
6เรือ ฯลฯ ? (@$+*/@-!?:#[>¤<]βα|\{π~•}`...€¥£¢√%_&¤™^\\{<&?'!@"#$--*+---@----$) = และเรือที่อาจยกโขยงกันมา เช่น คานซัง อาหารซัง ไขมันซัง ตัวประกอบคุง บ้านพักคนชรา คนต่างแดน,ต่างอาณาจักร,เมือง ตัวละครสมมุติ oc? คนที่ทะลุมิติมาเหมือนกัน ฝัน ประธานชมรมฟุตบอล,บาส,เบสบอล และอีกมากมาย~ ขอเชิญรอเหล่าโม่งฟิคมาแต่งต่อได้เลยค่าาา~
อย่าลืมโหวตชื่อมู้กันนะ•3•
มึงง พึ่งเคยเห็นงานนีดเดิ้ลเฟลท์ อีเหี้ย กูเป็นนายบ้าหมากูก็อยากได้ตุ๊กตานั่นกลับไปนอนกอดที่บ้านหว่ะ อห เหมือนโคตร ถึงฝีมือท่านเรย์กะจะดูพึ่งไม่ได้ แต่เราเชื่อในฝีมือท่านพี่และคุงเลขา https://twitter.com/jpizyplease/status/1090274789921439744?s=21
-------->ขอขอบคุณ>>924เกือบลืมล่ะ<--------
++++++++ส่วน>>925 รู้สึกจะมี+++++++++
>>828 ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชา กับโม่งซุยรันเรือแตกถ่อเรือบดเข้าทวีปคานที่ 30
>>831 ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรัน กับการประชุมเปิดบริษัทกวนกาวโม่งฟิคสาขาย่อยจากสาขาหลักฮิโยโกะซามะ เฮ้อ ขาดงบสนับสนุนเงินทุนไม่พอ [ ทุบโต๊ะครั้งที่30 ]
>>832 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการคาดเดาตัวตนของท่านฮิ หรือว่าจะเป็น!!?!![ขอกาวโม่งฟิคครั้งที่ 30 ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ ]
>>833 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : สโมสรน้ำ(กัญ)ชาซุยรัน เดตควงพี่น้องหนุ่มต่างวัยชวนใจเต้นโดกิโดกิใต้แสงดอกไม้ไฟ มาติดตามของกินใหม่ของเจ้าแม่กันเถอะ!!! [ ขอยากิโซบะจานที่ 30 ด้วยค่ะ! ]
>>836 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับจิตวิญญาณแห่งการรอคอยที่โชติช่วงด้วยพลังเผาไหม้แห่งกาว [เช็กหน้าเว็บครั้งที่ 30xxxxxxxx ]
>>844 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการบริโภคกาวเป็นของว่างระหว่างรอท่านฮิโยโกะกลับมา [แค่คำเดียวนะคะรอบที่ 30]
>>845 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันบนบานขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดลบันดาลให้ท่านฮิโยโกะกลับมา [ทานแกงกะหรี่มิราเคิลจานที่ 30]
>>846 บ้านพักคนชราของเจ้าแม่เรย์กะ : เชิญชวนมาร่วมจิบน้ำ(กัญ)ชารอท่านฮิโยโกะด้วยกันนะคะ! [ฉลอง(การรอ)ครบรอบปีที่ 30]
>>847 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการรอคอยเหล่าโม่งฟิคและท่านฮิโยโกะ[มาแก้ความค้างครั้งที่30]
-------->ทั้งหมดมีแค่นี้มั่ง?<----------
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
**ปล.**#จะเลือกอะไรกันดีอ่ะ?(/ >^<)/
+1 แกงกระหรี่มิราเคิล !!
คิดถึงว่ะ
โหวต836
มาแจกกาวก่อนนอนจ้า
KimiDolce ~after story (เกอิชา) >>>/webnovel/6114/812-816
Special Chapter : Imari POV.
---------------------
ตอนที่นั่งรถผ่านอาคารที่ล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐ แม่ก็ชี้ให้ผมดูว่านี่คือโรงเรียนที่ผมจะมาสอบเข้าเรียนในปีหน้า ญาติๆของเราก็จบจากที่นี่กันเกือบหมด ถ้าอยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับซุยรันล่ะก็ไปถามได้ และจะได้ฟังจนเบื่อแน่ๆล่ะ
ตัวผมน่ะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับอาคารที่งดงามเหมือนปราสาทกลางป่าที่แสนหรูหราอะไรนั่นหรอก สิ่งที่ผมสนคือเครื่องแบบน่ารักๆที่เหล่านักเรียนหญิงสวมอยู่ต่างหาก
ถ้าได้อยู่ในสถานที่ที่มีแต่สาวน่ารักๆแต่งเครื่องแบบน่ารักๆรายล้อมทุกวัน นั่นมันก็ยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่เหรอ
เอาเป็นว่าผมก็สอบผ่านเข้าซุยรัน ได้เป็นหนึ่งใน Pivoine ไปเรียบร้อย และ Pivoine ก็เป็นตัวตนที่อยู่เหนือนักเรียนทั้งปวงของซุยรัน ได้รับการปล่อยผ่านในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะทำอะไรร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม เรื่องนี้ออกจะทำให้นักเรียนทั้งหลายต่างก็หวาดกลัว Pivoine ไม่น้อยกันเลยล่ะ
ขณะที่กำลังกังวลนิดหน่อยว่าสถานะอันสูงส่งนี่จะทำให้นักเรียนหญิงไม่กล้าเข้าหารึเปล่า ผมควรจะวางตัวน่ารักกับพวกเธอใช่มั้ย สายตาผมก็เหลือบไปเห็นเด็กคนหนึ่งอยู่ในห้องสโมสร
หมอนี่จัดว่าหน้าตาดีเลยล่ะ แต่รู้สึกเหมือนบรรยากาศแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆเลยนะ
เขานั่งอยู่คนเดียวที่โซฟาข้างหน้าต่าง มีรอยยิ้มละมุนละไมประดับใบหน้า แสงแดดที่ส่องมาจากทางหน้าต่างทำให้เขาดูส่องสว่างเป็นประกาย
อืม...รู้สึกว่าถ้าผู้ชายหน้าตาดีสองคนอยู่ด้วยกันจะดึงดูดสาวๆให้เข้าหาเยอะด้วยนี่นา ถ้าได้เป็นเพื่อนกับคนแบบนี้ก็วิเศษไปเลยน้า
ผมเลยเดินเข้าไปทักทายเขา ยื่นมือออกไปตรงหน้าพร้อมกับแนะนำตัว เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ยื่นมือมาจับพร้อมกับรอยยิ้ม
“คิโชวอิน ทาคาเทรุ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เห...ทาคาเทรุเหรอ ส่องสว่างเป็นประกายสมชื่อเลยนะ
นั่นล่ะ คือครั้งแรกที่เราได้พบกัน
.
.
.
.
.
นับจากวันนั้น เราก็เป็นเพื่อนสนิทตัวติดกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
ทาคาเทรุเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ผลการเรียนก็อยู่ในลำดับต้นๆของชั้นปี เข้าชมรมยิงธนูก็ได้เป็นกัปตัน รุ่นน้องทุกคนล้วนให้ความเคารพนับถือและเชื่อฟัง เรียกได้ว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบแทบไม่มีข้อด่างพร้อยใดๆเลยสักนิด
ผมแทบไม่ค่อยเห็นเขาแสดงอารมณ์อะไรเท่าไหร่ และเขาปฏิบัติกับทุกคนอย่างสุภาพและมีมารยาท หายากมากที่เขาจะโมโหสักครั้ง
ถ้าไม่นับที่เขาโมโหใส่เพราะผมไปก่อเรื่องราวให้เขาตามแก้ปัญหา(โดยมากก็เรื่องผู้หญิง) ผมก็ได้เห็นอาการโกรธครั้งแรกของเขา ตอนที่ผมไปเที่ยวที่บ้านคิโชวอินเมื่อตอนม.2
ทาคาเทรุไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟังเกี่ยวกับบ้านตัวเองมากนัก แต่ผมรู้มาว่าเขามีน้องสาวที่อายุห่างกันเจ็ดปีอยู่หนึ่งคน เธอเป็นเด็กหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างปราณีต ผมม้วนเกลียวราวกับเจ้าหญิงตัวน้อยๆในนิทานภาพ
แต่ความน่ารักของเธอถูกทำลายด้วยความเอาแต่ใจและเย่อหยิ่งจองหอง จนทำลายเสน่ห์ตามธรรมชาติของเด็กไปจนหมด
เธอปฏิบัติตัวดีกับผม เป็นคุณหนูที่มารยาทงามสมบูรณ์แบบ แต่กลับใช้กริยาไม่น่ารักกับคนที่อยู่ต่ำกว่าอย่างพวกสาวใช้หรือคนขับรถ แถมไม่มีใครสามารถบอกหรือสอนเธอได้ แม้แต่ตัวทาคาเทรุที่เป็นพี่ชายเองก็ตาม
ผมยังจำสายตาเยียบเย็นที่เขาใช้มองน้องสาวตัวเองได้ มันเย็นชาและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ
ถึงผมจะมีน้องชายที่อวดดีและแก่แดดมากไปหน่อย บางครั้งเราก็ทะเลาะกันบ้าง แต่ผมก็คิดว่าเราเป็นพี่น้องที่รักกันดีพอสมควร อย่างน้อยผมก็ไม่เคยใช้สายตาแบบนั้นมองน้อง ซักครั้งก็ไม่เคย
.
.
.
.
ทาคาเทรุไม่ค่อยชอบที่จะอยู่บ้าน ผมก็เลยชวนเขาออกไปข้างนอกประจำ ไปที่ไหนก็ได้ที่เด็กอายุสิบห้าสามารถจะไปได้ในตอนนั้น
พออยู่นอกบ้าน ทาคาเทรุก็ดูผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว
ผมพาเขามาทะเล มองดูคลื่นซัดสาดเข้าใส่ชายหาด นั่งฟังเขาเล่าปัญหาครอบครัวที่ผมไม่เคยรู้
อาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อของใครบางคนที่ต้องมานั่งรับฟังปัญหาของเด็กวัยรุ่น แต่ผมกลับดีใจที่ทาคาเทรุเล่ามันให้ผมฟัง
ทาคาเทรุดูเผินๆภายนอกเหมือนจะเป็นคนอ่อนโยนและให้การยอมรับกับทุกคนที่เข้ามา แต่จริงๆแล้วคนที่เขาลดการป้องกันมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย การได้ฟังปัญหาจากเขา ผมก็รู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับและความไว้วางใจเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาจริงๆ
ผมอยากให้เขาพึ่งพิงผมให้มากกว่านี้ อยากช่วยแบ่งเบาภาระ ผมอยากช่วยเขา แต่ทาคาเทรุกลับไม่ยอมให้ช่วย...ทำได้แค่รับฟังอย่างเดียว
นอกจากนั้น เขาก็เล่าเรื่องน้องสาวที่ก่อปัญหาให้หนักใจไม่หยุดหย่อน แววตาดูเคร่งเครียด
ทางบ้านคิโชวอินอยากจะจับคู่เธอกับลูกชายบ้านคาบุรากิ แถมมาดามคาบุรากิก็ดูเหมือนจะอยากให้มาเป็นลูกสะใภ้ เพราะอย่างนั้น คุณน้องสาวก็เลยคิดว่ามาซายะคุงเป็นของเธอ เที่ยวหึงหวง อาละวาด ตามกลั่นแกล้งคนที่มาเข้าใกล้ผู้ชายของเธอ
ถึงจะไม่มีเรื่องของมาซายะคุง แต่เธอก็ยังใช้อิทธิพลของที่บ้านอวดเบ่งบารมีไปทั่ว เป็นเด็กผู้หญิงที่เจ้าอารมณ์ นิสัยแย่เหลือรับ และแน่นอนว่าพ่อและแม่ของเธอก็ล้วนแต่เห็นดีเห็นงามที่ทำแบบนี้ ให้ท้ายเธอจนกลายเป็นคนร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆแบบกู่ไม่กลับ
รู้สึกว่ามาซายะคุงคนนั้นจะมีคนรักอยู่แล้ว ความรักของคุณชายบ้านคาบุรากิน่ะดังกระฉ่อนไปทั่วซุยรันเลยล่ะ ขนาดผมที่จบมาหลายปียังได้ยินข่าวมาเข้าหูว่าจักรพรรดิคนดังแห่งซุยรันไปคว้าเอาเด็กสาวบ้านๆที่ไม่คู่ควรกับตระกูลคาบุรากิมาเป็นแฟน แถมยังหักหน้าคิโชวอิน เรย์กะอย่างยับเยินด้วยการออกตัวปกป้องเด็กคนนั้นทุกครั้งที่ถูกกลั่นแกล้ง
จากที่ทาคาเทรุเล่า เรื่องนี้เองก็ทำให้มาดามคาบุรากิเร่งรัดแผนการจับคู่หนักข้อขึ้น ตอนนี้ก็ถึงขั้นมาทาบทามด้วยตัวเองถึงบ้านแล้ว คิดว่าคงจะจัดงานหมั้นหมายอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้ มาซายะคุงก็คงโดนบังคับให้เลิกกับเด็กคนนั้นแล้วมาแต่งงานตามที่ทางบ้านจัดหาให้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่เมื่อเห็นแววตาของเขาในวันนั้น ผมคิดว่าเรื่องมันไม่น่าจะจบง่ายๆแค่นั้นหรอก
.
.
.
.
ทาคาเทรุทะเลาะกับพ่อ หนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่คราวนี้รุนแรงถึงขั้นออกจากบ้าน เป็นตายยังไงก็ไม่กลับไปอีก
ผมเลยไปหาเขา สอบถามสาเหตุที่มาที่ไป แต่ทำยังไงทาคาเทรุก็ไม่ยอมพูด ถึงจะรู้ว่าเป็นปัญหาส่วนตัวในครอบครัว แต่ก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน
แต่เขาก็ยอมเล่ามาหนึ่งเรื่อง นั่นคือเรื่องงานหมั้นของคุณน้องสาวกับมาซายะคุง
งานได้ถูกเตรียมการขึ้นแล้ว มาดามคาบุรากิบีบบังคับให้ลูกชายเลิกกับแฟนได้สำเร็จ คิดว่าการ์ดเชิญคงมาถึงมือผมในไม่ช้านี้
ดูท่าทางเขาคงไม่คิดจะไปร่วมงานหมั้นที่ว่านั่น ถ้าทาคาเทรุไม่ไป ผมเองก็ไม่ไปเหมือนกัน
จากนี้ไปเขาคงมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่เยอะ ผมเลยได้แต่เสนองานที่บริษัทให้ และบอกว่าที่ตรงนี้จะว่างสำหรับเขาเสมอ
.
.
.
.
.
ต่อมา ผมได้ยินข่าวที่น่าตกใจมากเรื่องหนึ่ง
คิโชวอินกรุ๊ปล้มละลายแล้ว
ผมที่กำลังท่องเที่ยวอยู่มัลดีฟส์ยกเลิกทริปที่เหลือทั้งหมดแล้วบินกลับญี่ปุ่นทันที ลองเช็คข่าวจากหลายๆที่ก็พบว่าประธานคิโชวอินโดนแฉเรื่องทุจริตด้วยฝีมือของมาซายะคุง แถมยังเป็นกลางงานหมั้นของลูกสาว เรียกได้ว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของตระกูลคิโชวอินโดนทำลายย่อยยับหมดทุกทาง
...แล้วทาคาเทรุตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ
ที่แรกที่ผมไปหลังจากแตะแผ่นดินญี่ปุ่นคือแมนชั่นของทาคาเทรุ ดูเหมือนเขาจะไม่อยู่ที่ห้อง โทรเข้ามือถือก็ไม่รับสาย
แต่จากที่อยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี ผมรู้ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนตอนที่ไม่สบายใจ พอลองไปที่นั่นดูก็เจอจริงๆด้วย
ภาพเขาที่เหม่อมองทะเลทำให้ผมรู้สึกปวดใจขึ้นมา ทาคาเทรุในตอนนี้ดูเปราะบางเหมือนพร้อมจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ
ผมถอดเสื้อโค้ตคลุมตัวเขา นั่งลงข้างๆมองทะเลไปด้วยกัน ให้ความเงียบไหลผ่านพวกเราไปช้าๆ ในตอนนี้ก็ทำได้แค่รอให้ทาคาเทรุเอ่ยปากพูดออกมาเอง
“รู้เรื่องหมดแล้วใช่มั้ย อิมาริ”
“ใช่”
“พอเดาออกสินะว่าฉันทำอะไรลงไป”
“ฉันอยากรู้จากปากทาคาเทรุมากกว่า”
“ถ้าฉันบอกไปนายจะเกลียดฉันมั้ย”
“นายก็รู้ว่าฉันไม่มีวันเกลียดนายได้หรอก”
“น่าแปลกนะ อิมาริ” ทาคาเทรุแค่นหัวเราะ “ทั้งๆที่ฉันน่ะคิดว่าตัวเองไม่เหลือเยื่อใยกับคนพวกนั้นแล้วแท้ๆ แต่ทำไมฉันต้องรู้สึกเจ็บขนาดนี้ก็ไม่รู้”
เขายังคงพึมพำคำว่า “ทำไมกันนะ” ซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มช้าๆโดยไร้เสียงสะอื้น ผมเลยดึงเขาเข้ามากอด
ผมกลัวว่าถ้าไม่จับเขาไว้ เขาอาจจะเดินลงทะเลไปต่อหน้าต่อตาเลยก็เป็นได้
อาจจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ในตอนนี้ผมก็นึกอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้วจริงๆ
.
.
.
ทาคาเทรุเริ่มทำงานกับผมในตำแหน่งเลขา แม้ผมจะรู้สึกแย่นิดหน่อยที่เพื่อนสนิทที่เคยมีสถานะเท่าเทียมกัน ต้องมาวิ่งวุ่นจองโรงแรม ร้านอาหารหรือส่งของขวัญไปให้บรรดาสาวๆที่กิ๊กกับผมอยู่ แต่เขาก็ยังจัดการทุกอย่างได้ดีเยี่ยมไร้ที่ติเหมือนเคยจนผมอยากคารวะ
บางครั้งผมเองก็ยังจำชื่อคนที่ผมนอนด้วยเมื่อคืนนี้ไม่ได้เลยนะ
และเนื่องจากเขาคือเลขาของผม บางทีก็ต้องพาไปงานเลี้ยงด้วยเหมือนกัน แม้ผมจะบอกว่าไม่ต้องไปก็ได้ เพราะยังไงก็มีคนจำเขาได้อยู่ดีว่านี่คือคุณชายของตระกูลคิโชวอินที่เพิ่งล้มละลายไป แต่ทาคาเทรุก็บอกว่าไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เลขาต้องตามไปดูแลความเรียบร้อยให้เจ้านาย และเดินเข้างานเลี้ยงอย่างสง่าผ่าเผยไม่หวาดหวั่นต่อเสียงซุบซิบนินทา
ในงานเลี้ยงผมแนะนำให้เขารู้จักกับผู้ประกอบการมากมายที่ตระกูลโมโมโซโนะมีคอนเนคชั่นด้วย เผื่อว่าวันหนึ่งทาคาเทรุอยากเปิดกิจการอะไรซักอย่างขึ้นมาก็จะได้ไม่ลำบาก และผมพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ในทุกๆด้าน เงินทุน เส้นสาย หรืออะไรก็ตามที่เขาต้องการ
ระหว่างที่คิดเรื่องนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องมาทางนี้ เป็นชูสุเกะคุงของตระกูลเอ็นโจที่มองมา
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มองผม แต่มองทาคาเทรุที่ยืนอยู่ด้านหลังของผมต่างหาก
อืมมมม รู้สึกว่าหมอนี่จะเป็นเพื่อนสนิทกับมาซายะคุง บางทีอาจจะมีส่วนทำให้คิโชวอินกรุ๊ปล้มละลายด้วยแน่ๆ
เมื่อเจอกันในงานเลี้ยงอีกหน ผมเลยเดินไปทักทาย และชูสุเกะคุงก็ตอบรับผมด้วยรอยยิ้มสุภาพที่ทำให้นึกถึงทาคาเทรุขึ้นมา
ตอนนี้ชูสุเกะคุงอยู่ในขั้นเรียนรู้งานบริหาร เราก็เลยคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระอย่างเรื่องสถานที่เที่ยวที่ต้องพาลูกค้าไปเอนเตอร์เทน ผมแนะนำเขาไปหลายที่ เขาก็แนะนำผมกลับมาอีกหลายที่เหมือนกัน
ก็ฟังดูเป็นร้านที่น่าสนใจ สัปดาห์ต่อมาผมก็เลยไปร้านที่มี “นกน้อยที่ร้องเพลงได้ไพเราะมาก” ตามที่ได้รับการแนะนำมา ถ้าเป็นร้านที่เข้าท่าจริงๆผมก็จะได้สถานที่พาลูกค้ามาเที่ยวเพิ่มอีกที่ ยังไงก็ต้องขอลองก่อน
บรรยากาศโดยรวมของร้านก็ดี อาจจะเก่าแก่สู้ย่านกิอนที่เกียวโตไม่ได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกสูงส่งสง่างาม เหมาะกับคนที่อยากสัมผัสเสน่ห์ของสาวญี่ปุ่นและศิลปะวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม
โอก้าซังแจ้งว่า “นกน้อยที่ร้องเพลงได้ไพเราะที่สุดในร้าน” ที่ผมเรียกหามารออยู่หน้าห้องแล้ว และปรบมือให้เธอเข้ามา
...นั่นมันน้องสาวของทาคาเทรุนี่
แม้จะตกใจนิดหน่อยที่ได้มาพบเธอในสถานที่ที่คาดไม่ถึงแบบนี้ แต่เธอไม่ได้แสดงออกว่ารู้จักกับผม มีแค่การโค้งคำนับให้และทักทายแนะนำตัวในตอนต้นก่อนจะออกไปร่ายรำให้ดู
ก็เป็นนาฎศิลป์ที่อ่อนช้อยงดงามตามแบบฉบับของกุลสตรีญี่ปุ่น แถมยังมีเสียงร้องที่ไพเราะคลอไปกับเสียงของซามิเซ็งที่เธอบรรเลงเอง ดูแล้วก็เพลิดเพลินดีสมกับที่ชูสุเกะคุงแนะนำมาจริงๆ
โอก้าซังบอกว่าเธอเป็นดาวเด่นที่น่าจับตามองที่สุดในร้าน อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้นจากไมโกะมาเป็นเกโกะเต็มตัว หากผมสนใจก็สามารถมารับชมการแสดงจากเธอได้ทุกเมื่อ
เมื่อเวลาหมดลง ผมก็ขอให้เธอเดินออกไปส่งขึ้นรถเพื่อจะสอบถามที่มาที่ไปว่าทำไมเธอถึงมาทำงานแบบนี้ได้
เธอทำท่าประหลาดใจตอนที่ผมบอกว่าชูสุเกะคุงแนะนำร้านนี้ให้ แต่พอพูดถึงทาคาเทรุ เธอก็ดูจะหงุดหงิดขึ้นมา เชิดหน้าขึ้นแบบถือดีว่าจะไม่รับฟังความคิดเห็นใดๆอีก เป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองอย่างที่ทาคาเทรุว่าไว้จริงๆ
“แต่ยังไงฉันก็เป็นห่วงเรย์กะจังนะ ทำอาชีพแบบนี้ก็ต้องเจอคนหลากหลายประเภทอยู่แล้ว อาจจะมีคนไม่ดีมาหลอกก็ได้”
“แล้วท่านอิมาริเป็นคนไม่ดีรึเปล่าล่ะคะ”
คุณน้องสาวช้อนตามองผมด้วยท่าทางที่ดูเหมือนกำลังยั่วยวน เอาเนื้อตัวมาเบียดแนบชิด แถมยังมีการเอานิ้วแตะปากผมเพื่อขอให้รักษาความลับไม่ให้บอกทาคาเทรุอีกต่างหาก
ในเมื่อเสนอมาขนาดนี้ ไม่สนองก็เสียเชิงชายแย่
ผมเลยกอดเธอไว้ด้วยสองแขน จงใจกดฝ่ามือเข้ากับสะโพกของเธอให้แนบชิดกับร่างกายท่อนล่างของผม เธอสะดุ้งทันที ตามมาด้วยอาการตัวแข็งทื่อ ไปต่อไม่ถูกเหมือนเพิ่งจะเคยถูกผู้ชายทำแบบนี้ด้วย
ก็นะ ….ถึงจะวางท่าเป็นสาวเจนจัดยั่วยวนผมขนาดไหน แต่เนื้อแท้เธอก็คือคุณหนูในห้องหอผู้อ่อนต่อโลกอยู่ดี
แถมในชีวิตอันแสนเย่อหยิ่งหัวสูงของเธอก็มีแต่การไล่ตามมาซายะคุงไม่เหลียวแลใครอื่น คงไม่ต้องคาดเดาให้เมื่อยหรอกว่าเธอจะได้ใกล้ชิดผู้ชายอื่นในลักษณะแบบนี้มั้ย
เมื่อตั้งสติได้ คุณน้องสาวผละตัวออกจากผมแล้วจ้ำอ้าวหนีกลับเข้าไปในร้าน ยิ้มที่ให้ก่อนจากก็ดูเป็นยิ้มฝืดๆเหมือนพยายามจะทำตัวให้เข้มแข็ง
ผมได้แต่หัวเราะอยู่ในใจกับความไร้เดียงสานั่น
คิดจะมาเล่นเกมแบบผู้ใหญ่กับผมน่ะ มันยังเร็วเกินไป
.
.
.
.
มื้อค่ำ ผมชวนทาคาเทรุออกไปทานข้าว คิดว่าจะลองเลียบๆเคียงๆถามเรื่องคุณน้องสาวดูซักหน่อย ผมเลือกร้านโปรดของเขาเพราะอยากให้อารมณ์ดีและผ่อนคลายบรรยากาศกับสิ่งที่จะพูดกันต่อจากนี้
พอได้ยินชื่อของน้องสาว ทาคาเทรุก็ดูเครียดขึ้นมาโดยพลัน
“ถามทำไม”
“แค่สงสัยว่านายยังติดต่อกับครอบครัวอยู่มั้ย”
“นายก็รู้ความสัมพันธ์ของครอบครัวฉันเป็นยังไงไม่ใช่เหรอ อิมาริ” ทาคาเทรุวางตะเกียบลงแล้วจ้องผมเขม็ง “และการที่อยู่ๆนายมาถามฉันเรื่องน้องสาวนี่มันแปลกๆนะ...นายไปรู้อะไรมาใช่มั้ย”
ฉลาดสมเป็นทาคาเทรุเลยแฮะ...ปิดบังอะไรไม่ได้เลย
“โว้ว ใจเย็นๆก่อน”
ผมยกมือขึ้นห้ามก่อนที่เขาจะกระชากคอเสื้อผมกลางร้านอาหารเพื่อเค้นคำตอบ
“คือ...ที่จริงแล้วฉันไปเจอเรย์กะจังทำงานอยู่ในร้านเกอิชาแถวๆอาซากุสะน่ะ”
ถึงเรย์กะจังจะบอกให้ผมเก็บเป็นความลับ แต่ทาคาเทรุสำคัญกว่า และหมัดของหมอนั่นก็หนักเสียด้วยสิ
ทาคาเทรุไม่มีปฏิกริยาอะไรตอนที่ได้ฟังเรื่องราว จิบสาเกไปเงียบๆ รอให้ผมพูดให้จบแล้วก็ลงมือทานข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จะไม่ไปห้ามหน่อยเหรอ”
“ทำไมต้องห้ามด้วยล่ะ” ทาคาเทรุตอบกลับมาด้วยทีท่าเฉยเมย “ก็ในเมื่อเลือกที่จะทำแบบนั้นเอง ฉันจะไปห้ามอะไรได้ อีกอย่างเกอิชาก็ไม่ใช่อาชีพไม่สุจริตซักหน่อย คนอย่างยัยนั่นรู้จักทำมาหากินด้วยตัวเองก็ดีแล้วนี่”
“เย็นชาจังเลยน้า”
ผมหยอกเขา ทาคาเทรุเลยปรายตามองมาด้วยความเย็นชาจริงๆก่อนจะปรบมือเรียกพนักงานให้เข้ามาในห้องเพื่อสั่งขนมหวาน
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับความอร่อยของวุ้นโยคังหลากสีสันในจานกระเบื้องเคลือบที่เหมือนจะมาจากฝีมือของศิลปินแห่งชาติ ทาคาเทรุก็ดูนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด
“อิมาริ”
“อื๋อ ว่าไง”
“นายบอกว่ารู้เรื่องนี้มาจากชูสุเกะคุงของตระกูลเอ็นโจใช่มั้ย”
“ใช่” ผมใช้ส้อมไม้อันเล็กๆตัดแบ่งขนมให้เป็นชิ้นเท่าๆกันก่อนลงมือทาน “แต่ฉันก็คิดว่ามันแปลกที่อยู่ๆหมอนั่นจะมาบอกฉันเรื่องนี้…”
“นั่นสิ” ทาคาเทรุจับคางตัวเองทำท่าครุ่นคิด “เท่าที่ฉันรู้ เด็กจากตระกูลเอ็นโจนั่นกับเรย์กะเป็นศัตรูกัน และหมอนั่นก็คอยผลักดันให้เพื่อนสนิทอย่างมาซายะคุงคบกับเด็กที่ชื่อทาคามิจิแบบเปิดเผยซะด้วย”
“หรือว่าชูสุเกะคุงอยากให้ฉันเอาเรื่องมาบอกนาย...ก็ทำสำเร็จอยู่นะ”
เพียงแค่ผลลัพธ์มันอาจจะเย็นชาไปซักหน่อยเพราะทาคาเทรุไม่สนใจไยดีคุณน้องสาวเลยแม้แต่นิด พี่ชายของเธอใจดำจริงๆนะเรย์กะจัง
“นั่นสิ...แต่บอกฉันไปจะมีประโยชน์อะไร”
“ไม่รู้สิ อาจจะอยากให้นายห้าม” ผมยักไหล่ “ฉันเองก็ยังอยากให้นายไปห้ามเลย เรย์กะจังถึงจะดูร้ายๆแต่ฉันว่าจริงๆแล้วเธออ่อนต่อโลกมากเลยนะ”
“นายโดนหลอกแล้วล่ะอิมาริ” ทาคาเทรุพ่นลมหายใจแบบดูถูก “เสียชื่อหมดแล้ว ผ่านผู้หญิงมาเยอะประสาอะไร แค่นี้ก็ดูไม่ออกว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังทำมารยาสาไถอยู่”
“อันนี้ฉันพูดจริงๆนะ…ตอนนั้นฉันแค่แกล้งแบบถึงเนื้อถึงตัวไปนิดๆหน่อยๆเอง แต่เธอดูตกใจมากจริงๆ ตัวนี่แข็งทื่อไปเลยล่ะ”
ทาคาเทรุขมวดคิ้วเข้าหากัน ผมเลยรีบพูดต่อ
“แค่กอดเฉยๆน่ะ สาบานได้ว่าไม่มีอะไรเกินเลยจากนี้จริงๆน้า”
“งั้นเหรอ”
เขาพยักหน้าเนิบๆแล้วยกแก้วชาเขียวขึ้นดื่ม ปล่อยผ่านไปในเรื่องนี้ ผมเลยแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นึกว่าจะโดนต่อยซะแล้ว
“แต่เรื่องนี้มันก็น่าสงสัยว่าทำไมยัยนั่นถึงไปทำงานแบบนี้ได้” ทาคาเทรุเคาะนิ้วลงกับโต๊ะแบบกำลังใช้ความคิด “ปกติอาชีพนี้ก็ไม่ได้ผุดขึ้นมาเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆเวลาคนเราจะหางานทำอยู่แล้วนี่”
“ไม่รู้สิ เรย์กะจังอาจจะคิดได้เองรึเปล่า ก็ดูเป็นอาชีพที่เหมาะกับเธอออกนะ”
“ไม่มีทางหรอก ฉันรู้จักนิสัยของผู้หญิงคนนั้น” เขาแค่นหัวเราะ “คนเย่อหยิ่งหัวสูงแบบนั้นน่ะ ยอมอดตายดีกว่าจะไปทำงานก้มหัวเอาอกเอาใจคนอื่น เป็นคนโง่ที่แบกอีโก้ตัวเองไว้สูงลิบลิ่วเลยล่ะ”
ผมรับฟังไปเงียบๆพร้อมกับจิ้มวุ้นเข้าปาก ยังไงซะก็เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้รู้ลึกตื้นหนาบางเท่าคนในครอบครัวอยู่แล้ว
“บางที...ฉันว่าพ่ออาจจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็ได้”
“ประธานคิโชวอินน่ะเหรอ”
“น้องฉันไม่ได้มีสมองพอจะคิดอะไรได้ด้วยตัวเองหรอกนะอิมาริ” ทาคาเทรุเหยียดยิ้ม “แล้วที่ผ่านมาเธอก็เอาแต่เชื่อฟังและรับคำสั่งจากพ่อนั่นล่ะ ถ้าพ่อบอกว่าดีเธอก็พร้อมจะเชื่อว่าดีหมดทุกอย่าง”
“แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเรื่องนี้อยู่ดีว่าประธานคิโชวอินจะทำแบบนั้นไปทำไม”
“ก็ไปสืบมาสิ” เขาตอบกลับมาแบบง่ายๆ “ฝากจัดการด้วยล่ะอิมาริ”
“เฮ้ย!!” ผมเกือบสำลักชาเขียวที่กำลังยกดื่ม “ทำไมฉันต้อง…”
“หรือนายมีปัญหา??” ทาคาเทรุเปลี่ยนมาเป็นยิ้มหวานหยดแบบที่เห็นแล้วเสียวสันหลัง
“...ไม่มีครับ ท่านทาคาเทรุ”
“ดี” เขาดูพอใจ เอนตัวลงนั่งกับกับพนักพิงเบาะ ลงมือทานขนมที่เหลืออยู่บนจานของตัวเองด้วยท่าทีรื่นรมย์ ทำเอาผมแอบบ่นปอดแปดอยู่ในใจ
ตกลงใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นเลขากันแน่นะ
.
.
.
.
.
การสืบของผมคือการไปพบกับคุณน้องสาวตามแต่จะหาเวลาว่างไปได้ แพทเทิร์นก็คล้ายๆกับผู้หญิงคนอื่นๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผมเลยไม่ต้องเสียเวลาเดาใจอะไรมาก ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบพวกดอกไม้ เครื่องประดับ สถานที่หรูๆและความสะดวกสบายกันอยู่แล้ว
ผมลองหาข้อมูลจากด้านอื่นดูด้วยก็พบว่าอาชีพนี้ถึงจะไม่ได้ขายเรือนร่าง ขายแต่ศิลปะก็จริง แต่ก็มีสิ่งที่เรียกว่าผู้อุปถัมภ์อยู่ โดยที่เธอจะนอนกับผู้อุปถัมภ์นี้เพียงแค่คนเดียว ส่วนผู้อุปถัมภ์ก็จะคอยสนับสนุนเรื่องการเงินให้เป็นการแลกเปลี่ยน
และผู้อุปถัมภ์ก็จำเป็นที่จะต้องร่ำรวย เพราะว่าค่าใช้จ่ายของเกโกะแต่ละเดือนนั้นก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อย ไหนจะชุดกิโมโนที่หรูหราและเครื่องประดับที่ต้องใส่ตามฤดูกาล ไหนจะค่าฝึกซ้อมศิลปะวัฒนธรรม ...ก็ยุ่งยากอยู่เหมือนกันนะ
พอบอกทาคาเทรุไปในเรื่องนี้ เขาก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้ว
“ฉันก็พอจะเดาได้ว่าพ่อให้เรย์กะไปทำงานแบบนี้ทำไม”
ผมก็เดาออกตั้งแต่เรื่องที่ต้องมีผู้อุปถัมภ์แล้ว ที่วางท่ายั่วยวนผมขนาดนั้นก็หมายความว่าเธอก็น่าจะกำลังมองหาอะไรทำนองนี้อยู่ ก็ฟังคล้ายพล็อตละครน้ำเน่าเหมือนกัน ที่คุณหนูตกอับต้องการผู้ชายร่ำรวยไว้ให้เกาะเพื่อจะได้กลับไปใช้ชีวิตสุขสบายเหมือนเดิม
“...แต่ที่ยังติดใจอยู่ก็คือเรื่องของเจ้าเด็กตระกูลเอ็นโจนั่น หมอนั่นวางแผนอะไรไว้ หรืออยากให้รู้ความเป็นไปของยัยนั่นและให้จับตามองว่าจะทำอะไร”
ทาคาเทรุหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบกำลังใช้ความคิด ผมเลยแกล้งแหย่เขาไปนิดหน่อย
“อ๋า ถ้าเป็นเซนส์ของฉันล่ะก็ มันบอกว่าชูสุเกะคุงกำลังแอบชอบน้องสาวนายอยู่น่ะ เลยกันทุกทางไม่ให้มาซายะคุงได้แต่งกับเรย์กะจังด้วยการยัดเยียดผู้หญิงคนอื่นให้เพื่อน แถมตอนนี้เรย์กะจังก็ทำงานที่ต้องเอาอกเอาใจผู้ชายตั้งเยอะเลยหึง อยากให้ฉันเอาเรื่องมาบอกนายเพื่อจะให้นายไปห้าม ...นายน่าจะได้น้องเขยจากตระกูลเอ็นโจแล้วล่ะทาคาเทรุ”
ทาคาเทรุปรายตามองด้วยท่าทีเย็นชาและไม่พูดด้วยอีกเลย จนผมต้องยกมือขึ้นทั้งสองข้างเพื่อยอมแพ้
“ขอโทษครับท่าน ไม่เล่นแล้วก็ได้” ผมกระแอมไอเพื่อปรับโทนเสียงให้เป็นการเป็นงานมากขึ้น “แล้วทาคาเทรุอยากรู้อะไรเพิ่มอีกล่ะ”
“นายนอนกับเรย์กะไปรึยัง”
“ถามกันตรงๆแบบนี้เลยเรอะ” ผมสะดุ้งนิดหน่อยแล้วรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังไม่ได้ทำอะไรเลยจ้า”
“ก็ดี”
“หึงเหรอ”
“ไม่” ทาคาเทรุตอบด้วยเสียงเย็นเยียบ “ถ้านายนอนกับยัยนั่นไปแล้ว เรื่องมันจะยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้นล่ะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้น่า”
ผมยิ้มเฝื่อนๆให้เขาแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่นายเถอะ จะให้ฉันช่วยอะไรบ้างเรื่องที่ศาลนัดไต่สวนคดีของพ่อนายในครั้งหน้า”
“ไม่เป็นไร ฉันทำเองได้”
“อย่าเพิ่งปฏิเสธสิ ทาคาเทรุ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อย่างน้อยก็ให้ฉันช่วยเรื่องทนาย…”
“ไม่เป็นไร นี่มันเรื่องในครอบครัวฉัน”
“แต่ว่า…”
“เรื่องนี้นายช่วยอะไรไม่ได้หรอก อิมาริ” ทาคาเทรุตอบห้วนๆ “พ่อไม่มีทางชนะคดีได้ต่อให้จะไปหาทนายเก่งที่สุดในโลกมาให้ พวกคาบุรากิจะไม่ยอมให้พ่อออกจากคุกมาเล่นงานพวกเขาหรอก”
จ้องกันอยู่ซักพัก ทาคาเทรุก็เป็นฝ่ายหลบตาก่อน เขาดันแว่นที่เลื่อนหลุดลงมาให้แนบกับสันจมูกแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อ
“ฉันรู้ว่านายหวังดีและอยากช่วยนะอิมาริ แต่ว่าเรื่องนี้อย่าลากตัวเองเข้ามายุ่งนักเลย นายคงไม่อยากมีปัญหากับเครือคาบุรากิหรอกใช่มั้ย”
“เข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้าแบบจำยอม “งั้นฉันไปก่อนล่ะ จะได้ไม่รบกวนเวลาอ่านเอกสาร”
ทาคาเทรุไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรตอบกลับมา ผมเลยลุกขึ้นจากโซฟาตัวที่นั่งอยู่ วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะของเขาแล้วโน้มตัวลงไปหา
“แต่อยากให้รู้ไว้นะ ที่ฉันยอมถอยเพราะทาคาเทรุขอร้องต่างหาก”
ทาคาเทรุนิ่งค้างไปตอนที่ผมก้มลงไปกระซิบข้างหู
“ฉันไม่กลัวพวกคาบุรากิหรอกนะ”
------------------------------------------------
รู้สึกว่าจะเขียนอิมาริดูไม่ค่อยเหมือนอิมาริเลยว่ะ หรือจะเลี่ยนน้อยไป คำหวานน้อยไป 5555555
บ้าเอ๊ย กูจิ้นแล้วค่าาา
อยากให้มีบทของนายตัวสำรองด้วยจังอยากอวยคู่นี้มากกว่ารู้สึกเอ็นโจร้ายไป!!
>>947-952 อิมารินี่ดูไม่ได้มีความสนใจผู้หญิงเท่าท่านพี่เลยว่ะ อะไรก็ทาคาเทรุๆๆมาก่อน แถมยังดูมีความเป็นพ่อบ้านใจกล้า ไปไหนก็รายงาน ยอมลงให้ไม่ขัดใจ แต่พออยากปกป้องภรรยาเอ้ยเพื่อนสนิท ก็พร้อมชนได้ตลอด เธอได้พี่เขยจากตระกูลโมโมโซโนะแล้วล่ะเรย์กะจัง 555555555555
เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ
ถ้า Kimi no Dolce ตั้งอยู่ในเซ็ตติ้งชิงรักหักสวาทในนิยายจีนโบราณ
1.
'เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ' เป็นนิยายจีนโบราณที่เขียนโดยนักเขียนมือสมัครเล่นชาวญี่ปุ่นตามเทรนด์กระแสนิยายจีนที่กำลังบูมอยู่ในตอนนี้ สาเหตุที่ทำให้เรื่องนี้โด่งดังนั้น นอกจากพล็อตแสนน้ำเน่าตามแบบฉบับ ก็คือความฟิวชั่นระหว่างเซ็ตติ้งจีนและตัวละครแบบญี่ปุ่น
"ชื่อจีนน่ะจำยากจะตาย"
ใครซักคนในอินเตอร์เน็ตเคยคอมเมนต์เอาไว้ ดังนั้นแม้ว่าจะมีชื่อญี่ปุ่นในนิยายจีน กลายเป็นนิยายจีนเสิ่นเจิ้น แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องย่อยง่าย จำชื่อตัวละครได้ไม่ยาก จึงทำให้นิยายติดตลาด ภายหลังจึงได้มีมังกะ อนิเมะ และทีวีซีรีย์ผลิตออกมาอีกด้วย
นั่นทำให้สาวกโชวโจมังกะอย่างฉันได้รู้จักเรื่องนี้ รวมถึงตามไปอ่านนิยายต้นฉบับในที่สุด
ดังนั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมาในร่างของคิโชวอิน เรย์กะ นางร้ายในเรื่อง 'เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ' สิ่งแรกที่ทำคือการขดอยู่ในห้องนอน กอดหมอนแข็งเป๊ก แล้วสติแตกโดยสมบูรณ์
.....
2.
นางเอกของเรื่อง 'เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ' คือ ทาคามิจิ วาคาบะ
วาคาบะจังเป็นลูกสาวคนโตของร้านทำของว่าง แม้ว่าจะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ก็เลื่องชื่อด้านความแปลกใหม่ ทางวังหลวงเลยเกณฑ์ให้ครอบครัวทาคามิจิเข้าไปทำอาหารในห้องเครื่อง
ด้วยฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ขนมของวาคาบะจังถูกใจองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทที่เย็นชาถึงกับเรียกวาคาบะจังมาตกรางวัลด้วยตนเอง ทำให้วาคาบะจังเป็นที่อิจฉาของบรรดาคุณหนูทั้งหลาย การกลั่นแกล้งเลยเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น
ในเรื่อง 'เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ' เมื่อถึงอายุที่เหมาะสม บรรดาคุณหนูจากบ้านขุนนางชั้นสูงทั้งหลายจะเข้าวังหลวงมาเรียนรู้มารยาทจากบรรดาผู้คุ้มกฏ รวมถึงสังสรรค์คลายเหงาให้กับพระสนมตำหนักใน จุดมุ่งหมายที่แท้จริงนั้นคือการคัดเลือกฮูหยินที่เหมาะสมให้กับบรรดาองค์ชายและท่านผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย รวมถึงสานสัมพันธ์ระหว่างตระกูลต่าง ๆ ด้วย
คิโชวอิน เรย์กะ ท่านหญิงบุตรีของเสนาบดีกรมคลัง ผู้ที่องค์ฮองเฮาหมายตาให้เป็นชายาเอกขององค์รัชทายาท เมื่อได้ทราบข่าวก็เป็นแกนนำในการวางแผนรังแกนางกำนัลห้องเครื่องผู้นี้ จนต้องสาวงามต้องระหกระเหินไปเป็นนางกำนัลลานซักล้าง และถูกระเห็ดออกจากวังหลวงในที่สุด
แม้ว่าจะกำจัดวาคาบะจังออกไปได้ แต่ยังมีสาวงามอีกนับร้อยที่หมายปองในตัวองค์รัชทายาท ในงานชมดอกไม้ที่ไว้แสดงฝีมือของบรรดาสาวงาม และเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ชนะจะได้ดื่มชาล่องเรือกับองค์รัชทายาท เรย์กะผู้ไร้ความสามารถจึงใช้แผนกลโกงสารพัดเพื่อให้ตัวเองชนะ คาบุรากิ มาซายะ ผู้เป็นรัชทายาทได้เห็นถึงแผนการและจิตใจอันชั่วร้ายของเรย์กะ จึงปฏิเสธที่จะล่องเรือด้วย
เรย์กะผู้ผูกใจแค้นการหักหน้าครั้งใหญ่ขององค์รัชทายาทได้ร่วมมือกับองค์ชายสี่ ใส่ร้ายองค์รัชทายาทว่าร่วมมือกับต่างชาติเพื่อโค่นล้มบัลลังก์พระบิดา เพราะไม่อาจทนรอให้ฮ่องเต้หนุ่มแก่ชราและสิ้นลงได้
บรรดาผู้ที่ไม่พอใจองค์รัชทายาทต่างรวมหัวกันสร้างหลักฐานปลอม ทั้งจดหมายติดต่อต่างชาติ และฎีการ้องทุกข์จากราษฎรที่ถูกองค์รัชทายาทวางอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแก รวมถึงสร้างเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์องค์ฮ่องเต้ในงานล่าสัตว์
นอกจากนั้น เรย์กะยังรวมหัวกับพระสนมผู้เกลียดชังฮองเฮา ลอบใส่ยาพิษลงในน้ำชาทีละน้อย ทำให้ฮองเฮาป่วยหนัก รวมถึงวางยาฮ่องเต้ให้อ่อนแอสติเลอะเลือน
องค์ฮ่องเต้ที่เสวยยาหลอนประสาทจนไม่อาจตัดสินพระทัยเรื่องใดได้ ถูกกดดันจากบรรดาขุนนางจึงสั่งกักบริเวณองค์รัชทายาท
ฮองเฮาป่วยหนักจนสิ้นพระชนม์ ตามหลักแล้วควรมีการไว้ทุกข์ แต่ในเรื่องกลับให้ขุนนางกดดันองค์ฮ่องเต้ให้รับบุตรีของเสนาบดีการคลังเข้าวัง เรย์กะผู้ที่เข้าวังก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งชั้นเฟยกุมอำนาจในวังได้อย่างเบ็ดเสร็จเนื่องจากฐานอำนาจจากครอบครัวและกุมข้อมูลความลับของบรรดาพระสนมไว้ในมือ
แม้องค์รัชทายาทจะถูกกักบริเวณ ทว่าความแค้นของเรย์กะยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เธอรวมหัวกับองค์ชายสี่สั่งให้นักฆ่าปลงพระชนม์องค์รัชทายาท แสร้งทำเป็นว่าเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ตำหนัก
โชคดีที่ชูสุเกะ องค์ชายรองผู้สนิทสนมกับองค์รัชทายาทล่วงรู้แผนการนั้น และลอบช่วยเหลือคาบุรากิ ทว่าทำได้แค่เพียงช่วยออกมาจากกองเพลิงเท่านั้น
องค์รัชทายาทพร้อมองครักษ์คุ้มกันหลบหนีจากบรรดานักฆ่าที่ตามล้างผลาญ สุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทหลบหนีได้แต่เพียงผู้เดียวเนื่องจากองครักษ์แลกชีวิตกับนักฆ่าจนหมดสิ้น หลังจากที่บาดเจ็บระหกระเหิน ก็ได้หมดสติไปในกลางป่า
และถูกวาคาบะช่วยไว้
วาคาบะที่ถูกขับไล่ออกจากวังมาเปิดร้านขายซาลาเปาในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งได้ทำการดูแลรัชทายาทที่ป่วยหนัก หลังจากที่องค์รัชทายาทหายดี ก็ติดต่อวางแผนกับองค์ชายรองเพื่อหาหลักฐานเปิดโปงเรย์กะ
ตอนที่องค์ชายสี่กำลังจะลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ องค์ชายรองพร้อมรัชทายาท รวมถึงขุนนางผู้สนับสนุน ก็ได้นำหลักฐานเปิดโปงองค์ชายสี่และเรย์กะต่อหน้าองค์ฮ่องเต้
องค์ฮ่องเต้ผู้ที่ในตอนนั้นสุขภาพย่ำแย่ใกล้สิ้นพระทัย ได้มอบตรามังกรให้กับคาบุรากิ ก่อนจะสิ้นพระชนม์ไป
หลังจากที่คาบุรากิขึ้นครองบัลลังก์ ก็ได้สั่งประหารองค์ชายสี่ และมอบผ้าแพรสามศอกให้กับเรย์กะ หลังจากนั้นจึงรับวาคาบะมาเป็นฮองเฮา ในวังหลังของพระองค์ไม่มีผู้ใดอีกนอกจากเธอ
เรื่อง 'เจ้าคือมธุรสหวานล้ำ' เป็นเรื่องราวรักใคร่ระหว่างชนชั้น สาวชาวบ้านผู้ดูแลองค์รัชทายาทในยามตกอับ และกลายเป็นฮองเฮาในยามที่องค์รัชทายาทชิงบัลลังก์คืนได้ในที่สุด
เรื่องราวซาบซึ้งตรึงใจ แม้จะน้ำเน่าไปหน่อย แต่ไม่ว่าสาว ๆ คนไหนก็อยากเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้หน้าตาดีอายุน้อยทั้งนั้น โดยเฉพาะฮ่องเต้ที่รักแต่เธอคนเดียว ไม่ได้หาสาวงามเข้าตำหนักในให้ต้องชิงรักหักสวาทแต่อย่างใด
ปัญหาคือฉันทะลุมิติเข้ามาในร่างของคิโชวอิน เรย์กะ ที่มีชะตากรรมต้องแขวนคอตายด้วยผ้าแพรสามศอกตอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดี และในตอนนี้เรย์กะก็อายุสิบสี่ปี ซึ่งเป็นอายุที่เธอจะต้องถูกเรียกเข้าวัง และตกหลุมรักองค์รัชทายาทซึ่งจะนำเธอไปสู่หนทางตายในอีกหกปีข้างหน้า
เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกจากสาวใช้ ทำให้ฉันซุกตัวลึกเข้าไปในเตียง ก่อนจะตะโกนออกไปว่าไม่สบายเมื่อได้ยินว่าวันนี้ฉันต้องแต่งตัว เพื่อไปอบรมมารยาทที่วังวันแรก ซึ่งเป็นวันที่จะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงและพบหน้ากับคาบุรากิ
ถึงแม้ฉันจะไม่มีอารมณ์พิศวาสผู้ชายที่สั่งประหารตัวเองในอีกหกปีข้างหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าในงานจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นถ้าเลี่ยงการพบหน้าได้ ยังไงฉันก็จะขอเลี่ยงจนถึงที่สุด!
.....
ไม่มีตอนที่ 3 กูแค่สติแตกจากการทำงาน เลยหนีมาแต่งฟิคค่ะ
สนุกดีนะผมว่า น่าจะมีต่ออีกซักตอน!!
มธุรสหวานล้ำนี่กูนึกถึงนิยายของบางค่ายเลย ต้องสลายกลายเป็นเถ้าราวน้ำค้างด้วยมั้ยวะ 555555555
ไม่มีต่อเรอะ สนุกดี ชิงไปจีบวาคาบะตัดหน้าองค์ชายรัชทายาทไปเลย ให้มาทำอาหารให้เรากินคนเดียวก็พอ ส่วนเรื่องในวังหลังก็ช่างมัน มีแค่ทุ่งดอกยูริก็โอเคแย้ว
เรย์กะกลายเป็นเถ้าน้ำค้างไปแร้วค่าาา
จริง ๆ แล้วกูพยายามแปล dolce อ่ะนะ แต่แบบ หาคำไม่เจอเลยยืมมา ไม่ได้บังเอิญเหมือนแต่อย่างใด แต่เนื้อหาไม่เกี่ยวกันแม้แต่น้อย
มึงปิดโหวตชื่อที่ 970 โอเคไหม 5555
Ky แค่มาบอกว่าประทับใจที่มู้นี้ยังแอคทีฟ จะขึ้น 30 แล้วด้วยทั้งที่นิยายไม่ขยับ /ปรบมือค่ะ
*
ฮิโยโกะซามะ กระทู้ 30 แล้ว ขอตอน 300 ด้วยค่ะ TTwTT
ฮึก กูไม่ได้เข้ามาเป็นเดือนแล้ว เรื่องหลักก็ยังไม่อัพหรอมมมมมมมมมม //ลงไปนั่งร้องห้ายยย
แต่ฟิคในกระทู้อัพ กูก็ดีใจที่พวกมึงยังแวะเวียนเข้ามานะ
ปีนี้จัมีมะหมาฉลองวาเลนไทน์มั้ยยนะ...
มาฆบูชาก็ไม่เลวนะ
วาเลนไทน์ปีนี้อยากได้ของขวัญจากอ.เป็นตอนใหม่จังเลยค่ะ แห้งเหี่ยวเหลือเกิน ณ จุดๆนี้ Orz
เนื่องจากฉันรู้สึกว่าการโรยเกลือและทานเยลลี่ลูกท้อ ไม่ค่อยช่วยไล่ปีศาจร้ายที่ชื่อว่าเอ็นโจและคาบุรากิออกไปจากตัวฉันสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันจึงตัดสินใจบินมาไหว้พระที่ประเทศไทยค่ะ เพราะได้ยินมาว่าที่นี่มีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามมากๆอยู่
แต่ทว่า.. ในตอนที่ฉันกำลังก้าวลงจากรถตุ๊กตุ๊กเพื่อเดินเข้าวัด ฉันดันเจอคนที่เป็นต้นเหตุให้ฉันมาไหว้พระที่นี่ทั้งสองคนจนได้! ต้องเป็นเพราะว่าวันนี้คือวันมาฆบูชาแน่ๆเลยค่ะ!!
หลังจากทำตัวเลิ่กลั่กจนคุณคนขับรถตุ๊กตุ๊กเป็นกังวลแล้ว ฉันพึ่งนึกได้ว่าตัวเองใส่ผ้าปิดปากกันฝุ่นอยู่ สองคนนั้นน่าจะไม่รู้ว่าเป็นฉันหรอก จึงเดินลงจากตุ๊กตุ๊กไปจนเกือบถึงประตูทางเข้าวัด
ฉันหันไปมองสองคนนั้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ไม่โดนจับได้ แต่ก็ดีใจอยู่ได้ไม่นาน เพราะจู่ๆตาเอ็นโจก็จ้องมองมาทางฉัน
" คุณคิโชวอิน..? "
" อุกี๊!? "
" คุณคิโชวอินใช่หรือเปล่าครับ? "
เมื่อพูดจบ เอ็นโจค่อยๆเดินตรงมาทางฉัน เหมือนจะมาเช็คให้แน่ใจและทักทาย แต่เขาจัรู้ได้ไงว่านี่เป็นฉัน ไม่มีทางอ่ะะ!
ระหว่างที่เอ็นโจเดินมาเกือบจะถึงตัวฉัน ฉันเหลือบเห็นกลุ่มผู้หญิงกลุ่มนึงกำลังเดินมาทางนี้ จึงหันไปโบกมือให้ และตีเนียนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปแฝงตัวเหมือนรู้จักกับพวกเขาในทันที
แต่เอ็นโจก็ยังคงมองอย่างงงๆ มาทางนี้อยู่ ส่วนกลุ่มผู้หญิงพวกนี้ก็งงว่าฉันเป็นใครมาจากไหน จะให้อธิบายก็คงจะยาก โชคดีที่คาบุรากิเข้าไปสะกิดถามเอ็นโจ ฉันจึงอาศัยจังหวะที่ทั้งสองคนคุยกันวิ่งหนีเข้าไปในวัด สงสัยต้องรีบเข้าไปให้หลวงพ่อพรมน้ำมนต์สักหน่อยแล้วล่ะค่ะ..
http://adrenalease.ca/series/70485
ตอนเห็นปกครั้งแรก นึกถึงเจ้าแม่กับจอมมารก่อนเลย
ทำไมตัวร้ายสไตล์คุณหนูต้องทำผมม้วนหลอดกันด้วยวะ เป็นแพทเทิร์นนิยมหรืออะไร แอบสงสัยมานานละ
เป็นทรงผมบอกความรวยและไฮโซไงมึง ส่วนนางเอกโชโจมังงะมักจะเป็นสาวน้อยธรรมดา ฐานะทางบ้านจนหรือไม่ก็ปานกลาง ไม่ค่อยมีเวลาไปเสริมสวยเท่าไหร่ เลยมักจะเจอนางเอกผมตรงธรรมดาไปจนถึงผมสั้นประบ่า ดูแลรักษาง่าย
เอาจริงๆผมม้วนมีขั้นตอนดูแลเยอะกว่าเพราะฉาบสารเคมีเลยต้องบำรุงกันสุดๆ ไหนจะต้องม้วนให้เป็นทรงตลอด ใช้เวลาเยอะแยะ เข้าร้านเพื่อม้วนผมก็แพงด้วย ดังนั้นเลยเหมาะกับคนมีกะตังและมีเวลาว่างเยอะ ผมตรงเรียบๆธรรมดาหนีบเอาก็ได้ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จัดทรงได้แล้ว
ว่าแล้วก็อยากเห็นภาพท่านเรย์กะที่ไม่ได้ม้วนผมเป๊ะ ปล่อยผมตรงสยายมั่ง กูว่าต้องสวยจนคนมองตาค้าง ไม่ก็อาจจะจำไม่ได้ไปเลย 555
มีใครจะโหวตเพิ่มมะ จะนับคะแนนแล้วนะ
>>828 ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชา กับโม่งซุยรันเรือแตกถ่อเรือบดเข้าทวีปคานที่ 30
>>831 ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรัน กับการประชุมเปิดบริษัทกวนกาวโม่งฟิคสาขาย่อยจากสาขาหลักฮิโยโกะซามะ เฮ้อ ขาดงบสนับสนุนเงินทุนไม่พอ [ ทุบโต๊ะครั้งที่30 ]
I = 1 คะแนน
>>832 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการคาดเดาตัวตนของท่านฮิ หรือว่าจะเป็น!!?!![ขอกาวโม่งฟิคครั้งที่ 30 ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ ]
I = 1 คะแนน
>>833 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : สโมสรน้ำ(กัญ)ชาซุยรัน เดตควงพี่น้องหนุ่มต่างวัยชวนใจเต้นโดกิโดกิใต้แสงดอกไม้ไฟ มาติดตามของกินใหม่ของเจ้าแม่กันเถอะ!!! [ ขอยากิโซบะจานที่ 30 ด้วยค่ะ! ]
III = 3 คะแนน
>>836 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับจิตวิญญาณแห่งการรอคอยที่โชติช่วงด้วยพลังเผาไหม้แห่งกาว [เช็กหน้าเว็บครั้งที่ 30xxxxxxxx ]
IIIIII = 6 คะแนน
>>844 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการบริโภคกาวเป็นของว่างระหว่างรอท่านฮิโยโกะกลับมา [แค่คำเดียวนะคะรอบที่ 30]
I = 1 คะแนน
>>845 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันบนบานขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดลบันดาลให้ท่านฮิโยโกะกลับมา [ทานแกงกะหรี่มิราเคิลจานที่ 30]
III = 3 คะแนน
>>846 บ้านพักคนชราของเจ้าแม่เรย์กะ : เชิญชวนมาร่วมจิบน้ำ(กัญ)ชารอท่านฮิโยโกะด้วยกันนะคะ! [ฉลอง(การรอ)ครบรอบปีที่ 30]
>>847 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการรอคอยเหล่าโม่งฟิคและท่านฮิโยโกะ[มาแก้ความค้างครั้งที่30]
สรุป >>836 คือชื่อกระทู้หน้า
เปิดวาร์ปกระทู้ใหม่ >>>/webnovel/6114
จากนี้เชิญวิ่งควายได้ตามสะดวก
เอ้ยยยย วาร์ปอันบนผิด ต้องอันนี้ต่างหาก >>>/webnovel/6627/
ซอรี่นาจา
ขอตอนใหมมมมม่ให้ด้วยยยยย
ตอนใหม่จะต้องมาเร็วๆนี้แล้วแหละะะะะ
ท่านฮิโยโกะ ลูกโตแล้ว มาแต่งต่อได้แล้วววววว
กาววววววว หนูอยากได้กาววววว
จะเรืออาหารหรือคานซังก็ได้ ช่วยมาต่อทีเถ้อออออ
ท่านเรย์กะเลือกชุดสำหรับดูดอกไม้ไฟนานเกินไปแล้วนะคะะะะะะะ
รอแกงกระหรี่มิราเคิลอยู่นะ----
วาเลนไทน์นี้จงนกไปซะ-----
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.