>>576-577 ดีจังงงงง ชอบๆๆๆเขียนอีกนะะะ
กุเคยคิดจะเขียนauร้านกาแฟเหมือนกัน แต่ของกุคือ เจ้าของร้านขยันม่อจนลูกค้าสาวไม่ยากเข้าร้านเพราะกลัวหัวใจวาย(?) แต่เค้กอร่อยมากเลยยอมมา(ก็ได้) ส่วนร้านข้างๆเป็นร้านดอกไม้ที่เพื่อนสนิทเจ้าของร้านกาแฟขยันไปซื้อดอกไม้ทุกวัน พอไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลยรับจ็อบตกแต่งร้านกาแฟให้ในแต่ละวันไปเลย
แต่กุหมดอารมณ์สูดกาวจริงๆ เขียนไม่ออกเลย U___U (ถ้าใครอ่านแล้วสนใจจะเอาไปเขียนก้เอาไปเรยนะ กุรออ่าน)
อยากได้ฟิกเจ้าเวอชั้นจีนกำลังภายในบ้างอะแบบเจ้าแม่ได้ฉายาราชินีพัดเหล็ก ไรเงี้ย!!
รึไม่ก็ฟิกคันตะxเรกะ บ้างอะไรอ้างนะครับฟากเพื่อนๆด้วยนะครับ
>>583 กูคิดว่าคาบุรากิเปิดร้านขายประเภทแก้วเป่าแบบแฮนด์เมดอ่ะ (เขาว่าอะไรน่ะ..) ไม่ก็ร้านจิวเวอร์รี่แฮนด์เมด แต่จะออกแนวไฮโซหน่อย ขายความเนี้ยบ + ความโอเวอร์ของคนขาย(?)
ร้านของคาบุรากิก็จะประดับร้านด้วยดอกไม้ และของตกแต่งที่เปลี่ยนไปตามเทศกาลหรือฤดูกาลต่างๆ โดยมีวาคาบะมาเป็นคนตกแต่งให้
ระหว่างวันก็อาจจะเดินไปเยี่ยมเจ้าของร้านกาแฟใกล้ๆ สั่งกาแฟ สั่งขนมมาทานชิลๆ ระหว่างที่ทานก็จะตินู่นตินี่ไปเรื่อยๆ พลางชม(อ่านว่า อวย)ฝีมือของวาคาบะ พร้อมกับโดนเอ็นโจไล่ออกจากร้านไรงี้
หลังจากโดนเอ็นโจไล่ออกไปนอกร้าน คาบุรากิก็จะบ่นงุบงิบแล้วกลับไปอ้อนวาคาบะจัง แต่วันต่อๆมาก็จะวนลูปแบบเดิมไปเรื่อยๆ—-
อยู่ๆก็ได้ไอเดียฟิคอ่ะ อยากแต่งมากแต่ไม่ว่าง แง
…ทุกคนถ้ากูกาวแบบไม่บาปมาก(แบบว่าไม่ได้มีซีนอะไรทั้งนั้น ค่อนข้างเป็น platonic relationship) แต่ก็บาปอยู่(ลังเลระหว่างแต่งsoulmate auกะอมกว ที่สองคนเป็นคู่กัน) ของคู่ท่านพี่กะท่านเรย์กะ กูควรลงเป็นลิ้งก์ใช่มะะ
น้ำชาและกาแฟ
ตอนก่อนหน้านี้ >>>/webnovel/6114/576-577
-----------------------------
เมื่อกลับเข้ามาในร้าน เจ้าน้องชายตัวแสบของเขาก็มายืนยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่หน้าประตูเป็นการต้อนรับ
“ร้านเรามีบัตรสะสมแต้มตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะฮะ”
“พี่เป็นเจ้าของร้านจะให้มีตอนไหนก็ได้” เขายิ้มตอบกลับไป
อันที่จริง ร้าน Castle ไม่เคยมีบัตรสะสมแต้มมาก่อน เพราะเขาไม่ได้คิดว่าจะต้องทำการส่งเสริมการขายอะไรทั้งนั้น ที่เปิดร้านกาแฟอยู่นี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกทำฆ่าเวลาอีกอย่างหนึ่งก็เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นเขาคงย้ายไปเปิดในที่ที่จะค้าขายทำกำไรได้ดีกว่านี้ตั้งนานแล้ว
อาชีพจริงๆของเขาน่าจะเป็นการเล่นหุ้นมากกว่า เดือนหนึ่งๆเขาก็ทำกำไรจากการเทรดหุ้นได้มากพอจะอยู่สบายๆไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ แต่การมีเวลาว่างเยอะเกินไปมันก็น่าเบื่อ เพราะฉะนั้นเขาก็เลยหาเงินจากสิ่งที่เขาชอบอีกอย่าง นั่นก็คือกาแฟ
ชูสุเกะชอบกาแฟมาก สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เคยไปทำงานพาร์ทไทม์ร้านกาแฟเพื่อเรียนรู้ระบบการทำงาน เมื่อเรียนจบก็ไปลงเรียนคอร์สสอนชงกาแฟต่ออีกหลายที่ ฝึกชงเครื่องดื่มให้ตัวเองและคนรอบข้างดื่มจนมั่นใจว่ากินได้ไม่ท้องเสียหรือต้องเททิ้ง ก็จัดแจงซื้อบ้านสองชั้นจากเจ้าของเก่ามารีโนเวททำร้านกาแฟ ชั้นบนก็ทำเป็นห้องนอนของตัวเองและน้องชาย และเปิดร้านมาได้หลายปีแล้ว
แต่ละวันก็ผ่านไปอย่างสงบราบรื่นดี ลูกค้าที่มาซื้อก็คนในละแวกนี้และฟรีแลนซ์ที่มาหาที่นั่งทำงาน แต่ก็ไม่ได้เยอะมากมายอะไร
ชีวิตของชูสุเกะเงียบสงบราบเรียบและคงจะเป็นเช่นนั้นไปตลอด จนกระทั่งมีคนคนหนึ่งก้าวเข้ามาสั่นคลอนมันจนรู้สึกว่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ตอนที่กำลังก้มลงเขียนเมนูประจำวันเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองอยู่ พอหันไปก็เห็นผู้หญิงผมม้วนใส่ชุดเดรสสีขาวจ้องเป๋งมาทางนี้ ชูสุเกะมองเธอกลับไปแบบพิศวง
...เจ้าหญิงองค์ไหนเสด็จมาเยือนร้านเล็กๆของเขากันล่ะนั่น
แน่นอนว่าเธอเป็นคนสวย แต่ผมม้วนๆและชุดของเธอทำเอานึกถึงพวกสมุดภาพระบายสีแบบโบราณๆขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ดูเหมือนสิ่งที่เธอสนใจจะไม่ใช่เขา แต่เป็นกระดานดำที่เขากำลังเขียนอยู่ต่างหาก
พอรู้ตัวว่าถูกจับได้ว่ามอง เธอคนนั้นก็เลิกลั่กโบกไม้โบกมือไปมา บอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะมอง แค่อ่านเมนูวันนี้เฉยๆ…
เขาและน้องชายมองหน้ากัน ซักพักยูกิโนะก็วิ่งไปหาเธอคนนั้น ยิ้มหวานเชิญชวนให้เข้าร้าน และเธอก็เดินตามมาอย่างว่าง่าย ถ้าเป็นผู้หญิงมักจะใจอ่อนกับยูกิโนะอยู่เสมอ
เมื่อเข้ามาในร้าน เธอก็ยังไม่ได้สนใจเขามากไปกว่าเมนูที่เขียนไว้เหนือเคาน์เตอร์อยู่ดี ชูสุเกะเลยต้องเดินไปอยู่ตรงหน้าเธอคนนั้น ถามด้วยเสียงนุ่มนวลว่าจะรับอะไรดี
“เอ่อ...ขอเป็นชาร้อนจะได้มั้ยคะ…คือพอดีฉันไม่ค่อยถูกกับกาแฟ” เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ
….ขนตายาวจังเลยนะ คือสิ่งแรกที่เขานึกออกเมื่อได้มองใกล้ๆ
เมื่อมองจ้องเข้าไปในดวงตากลมโต ตัวที่สั่นหน่อยๆรวมกับชุดเดรสสีขาวก็ทำให้เขานึกถึงกระต่ายขึ้นมา
“รับทราบครับ”
เขาตอบรับเธอด้วยรอยยิ้ม เดินไปหลังเคาน์เตอร์ เธอไม่ได้ระบุว่าอยากได้ใบชาแบบไหนเขาจึงหยิบกระปุกชาออกมาเรียงรายเพื่อให้เลือก และเธอก็เลือกเอิร์ลเกรย์ที่เป็นตัวยอดนิยมในการดื่ม
ยูกิโนะเข้าไปคุยต่อหลังจากที่เขาตั้งสมาธิชงชา ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าน้องชายตัวแสบแนะนำเค้กประจำวันเหมือนเป็นประชาสัมพันธ์ร้านเค้ก คลอมากับเสียงหัวเราะของเธอก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
ระหว่างที่รอให้กาอุ่นจากน้ำร้อน ชูสุเกะก็ลอบมองเธอไปด้วยแบบเนียนๆ
ตอนนี้เธอก้มตัวมองเค้กในตู้ เอานิ้วเกี่ยวปอยผมที่ปรกลงมาขึ้นทัดใบหู ยิ้มกับยูกิโนะตอนสั่งขนมตามที่ได้รับการแนะนำ เมื่อจ่ายเงินค่าน้ำชาและขนมเสร็จก็เดินไปหาที่นั่ง ไม่ได้ชายตามองเขาหรือพยายามจะเข้าหาเหมือนที่ลูกค้าผู้หญิงคนอื่นๆชอบทำเวลาเข้ามาซื้อของในร้าน
เมื่อชูสุเกะเดินเข้าไปหาเธอพร้อมกับกาน้ำชาและโถใส่นมกับน้ำผึ้ง เธอก็ยิ้มขอบคุณแล้วหันไปสนใจหนังสือในมือต่อ เขาชำเลืองมองหน้าปกว่าเธออ่านอะไรอยู่และคิดว่าจะมาคุยด้วยเรื่องนี้ แต่ด้วยลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาในร้านแบบไม่ขาดสายทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ทำอย่างที่ใจคิด
เขาก็หันไปมองเธอบ้างบางครั้ง เธอดูจะชอบชาและเค้กมากทีเดียว เห็นภาพเธอจิบชาที่เป็นฝีมือของเขาแล้วมีรอยยิ้มเล็กๆด้วยความพึงพอใจก็ทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
เมื่อเธอทานเค้กหมดเรียบร้อย และเดินมาหาน้องชายของเขาเพื่อสั่งกลับบ้านอีกสี่ชิ้น นั่นแปลว่าเธอกำลังจะกลับแล้ว ชูสุเกะก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาหน่อยๆ
เขายังไม่ได้คุยกับเธอเลย ยังไม่รู้จักชื่อ และยังไม่รู้ว่าจะดึงตัวเธอไว้ได้ยังไงด้วย เธอเป็นขาจรที่ไม่รู้จะแวะมาอีกเมื่อไหร่ ยังไงก็ต้องทำให้เธอนึกถึงร้านนี้ให้ได้ก่อน
ลองรื้อค้นลิ้นชักอื่นๆดู ก็เจอนามบัตรกับตรายางลบแกะสลักเป็นโลโก้ร้านที่มาซายะเพื่อนของเขามาทำทิ้งเอาไว้เล่นๆเมื่อนานมาแล้ว
ผู้หญิงน่าจะชอบของลดราคาหรือไม่ก็ของแถม...เขาก็เลยปิ๊งไอเดียหนึ่งขึ้นมา มันก็ไม่ใช่ไอเดียใหม่อะไรหรอกเพราะร้านกาแฟที่ไหนก็ทำกันอย่างเรื่องบัตรสะสมแต้ม แต่บังเอิญร้านเขาไม่มีโปรโมชั่นอะไรแบบนั้น
และตอนนี้มันจะมีแล้ว
โชคดีที่ตัวนามบัตรเป็นสีครีมและด้านหลังโล่งว่างเลยประทับตราได้ง่าย แต่ก็เป็นนามบัตรที่ไม่มีอะไรไปมากกว่าโลโก้ร้านและที่อยู่ เขานึกเสียใจอยู่หน่อยๆที่ตอนนั้นไม่ได้สั่งให้ใส่เบอร์ติดต่อเอาไว้ด้วย
ชูสุเกะประทับตราหมึกลงไปด้านหลังนามบัตร คิดว่าต่อจากนี้คงต้องสั่งทำบัตรสะสมแต้มและตรายางดีๆมาใช้ กับเลี้ยงกาแฟและขนมมาซายะทั้งสัปดาห์เป็นการตอบแทนเรื่องตรายางลบนี่
เธอเปิดประตูและกำลังจะก้าวออกจากร้าน ชูสุเกะเดินตามไป ทำเป็นเมินๆสายตาล้อเลียนของยูกิโนะ และส่งบัตรสะสมแต้มที่เพิ่งทำขึ้นมาสดๆร้อนๆให้
“บัตรสะสมแต้มครับ สิบแก้วฟรีหนึ่ง จะสั่งเมนูอะไรในร้านก็ได้”
“เอ่อ ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณที่มาใช้บริการนะครับ โอกาสหน้าขอเชิญมาที่ร้านของเราอีกนะ”
“เอ่อ..ค่ะ” เธอก้มหัวให้เขาอีกหนแล้วเดินออกจากร้านไป
จะยังไงก็ตาม ชูสุเกะก็หุบยิ้มไม่ได้เลยทั้งวัน เหมือนได้เจอของที่หายไปกลับคืนมาอีกหน ความดีใจนั้นคงจะออกนอกหน้ามากเกินไปจนลูกค้าประจำบางคนก็แซวว่าเขาไปอารมณ์ดีมาจากไหน
“พี่เขาเจอนางในฝันฮะ” ยูกิโนะตอบแทนเขาเมื่อถูกคุณป้าที่เป็นลูกค้าขาประจำซักถาม “วันนี้ถึงกับเพ้อทั้งวันเลยล่ะ”
“ยูกิโนะ”
“อ๊ะ ผมไปเสิร์ฟกาแฟก่อนนะฮะ”
เจ้าตัวแสบเผ่นแผลวลงจากเก้าอี้ ทิ้งเขาไว้ให้ตอบคำถามคุณป้าที่อยากรู้เรื่องรักๆใคร่ๆของหนุ่มสาว ซึ่งกว่าจะตัดบทได้ก็แทบแย่
ชูสุเกะก็เกือบจะคล้ายๆคนดังในละแวกนี้ มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาทอดสะพานให้อย่างเปิดเผย อย่างเบาสุดก็ส่งสายตาเชิญชวนหรือให้เบอร์โทรกันโต้งๆ แต่บางคนก็ใจกล้าขนาดบุกมาหาถึงร้านด้วยชุดวาบหวิวเปิดเผยเนื้อหนัง ซึ่งเขาก็ได้แต่ปฏิเสธไม่ตอบรับไมตรีจากใครทั้งนั้น จนบางคนคิดว่าเขาเป็นเกย์ และมาซายะที่เข้านอกออกในบ้านเขาอย่างอิสระเหมือนบ้านตัวเองคือคู่ขา
เขาไม่สนใจข่าวลือนั่น ดีเสียอีกที่ไม่มีผู้หญิงมาตามวอแวให้รู้สึกรำคาญ
แต่กับเธอคนนั้น ผู้หญิงที่ดูเหมือนกระต่ายนั่น...ไม่รู้ทำไมถึงทำให้ใจเขาหวั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด
ชูสุเกะเจอผู้หญิงสวยมามากมาย สวยกว่าเธอคนนั้นก็มีเยอะแยะ แต่เธอเป็นคนแรกที่เขารู้สึกว่าอยากทำความรู้จัก อยากเห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะของเธอก็รื่นหูจนอยากได้ยินอีกหลายๆหน
เขานี่ท่าทางจะเป็นเอามาก
.
.
.
หนึ่งทุ่มคือเวลาที่ร้านปิด และเป็นเวลาทำอาหารเย็นของสองพี่น้อง วันนี้ยูกิโนะรีเควสต์ว่าเป็นพาสต้าคาโบนาร่าที่ทำไม่ยากเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พาสต้าสำหรับสองที่ก็เสร็จสรรพ
“นี่ พี่ฮะ” ยูกิโนะยกจานอาหารที่ทำเสร็จไปวางไว้บนโต๊ะ “พี่ชอบพี่สาวผมม้วนคนเมื่อเช้าจริงๆเหรอ”
“จะบอกว่าชอบก็ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ชูสุเกะถอดผ้ากันเปื้อนแล้วแขวนไว้กับที่แขวนบนผนัง นั่งลงบนเก้าอี้ “เอาเป็นว่าถูกใจก็เลยอยากทำความรู้จักกับศึกษานิสัย”
“ว้าววว รักแรกพบเหรอฮะ ไม่เห็นพี่พูดแบบนี้กับใครมาก่อนเลย”
ยูกิโนะฉีกยิ้มล้อเลียน เขาเลยเอื้อมมือไปผลักหัวน้องชายเบาๆแบบหมั่นไส้นิดๆในความแก่แดด ยูกิโนะหัวเราะร่วน ดูชอบอกชอบใจ
“ฟังดูโรแมนติคเหมือนในนิทาน...แต่พี่สาวคนนั้นก็สวยเหมือนเจ้าหญิงเลยเนอะ”
“ก็นะ” เขาพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าเห็นด้วยกับน้อง
“พี่ว่าเธอจะมาอีกมั้ยฮะ”
“ไม่รู้สิ...อาจจะไม่มาก็ได้”
“แต่ผมว่าเธอต้องมาแน่ๆฮะ” ยูกิโนะม้วนเส้นพาสต้าเข้ากับส้อม “ก็ดูเธอจะชอบชาที่พี่ชงมากเลยนี่นา เห็นดื่มแล้วยิ้มด้วยล่ะ ถ้าชอบขนาดนั้นก็น่าจะกลับมาใช้บริการอีก”
“อืม” ชูสุเกะอมยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น
“แถมเจ้าชายในปราสาทของเราก็รอคอยเจ้าหญิงอยู่หลายปีด้วยนี่ฮะ” เจ้าน้องชายตัวแสบยักคิ้วให้ “เธอจะมาเป็นเจ้าหญิงให้พี่รึเปล่านะ”
“มันก็ต้องดูกันไปก่อน” ชูสุเกะยกแก้วน้ำดื่มขึ้นจิบ “ไม่แน่เธออาจจะครองรักกับเจ้าชายที่ไหนซักแห่งไปแล้วก็ได้นะ”
“มองโลกในแง่ร้ายจังเลยฮะ”
“เอาล่ะ รีบๆทานซะ แล้วก็ไปเอาการบ้านมาให้ดูหน่อย” เขาตัดบทสนทนาที่พอนึกแล้วอาจจะทำให้รู้สึกอกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มได้ “ตั้งแต่ปิดเทอมมายังไม่ได้ทำการบ้านเลยซักวิชาไม่ใช่เหรอ อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ”
ยูกิโนะทำหน้ามู่ทู่เมื่อถูกพูดถึงการบ้าน แต่ก็เอามาให้สอนแต่โดยดีหลังทานอาหารเสร็จ เขาช่วยน้องทำการบ้านจนถึงสามทุ่มก็พาเข้านอน แล้วมาทำความสะอาดร้านต่อจนถึงห้าทุ่ม
ชูสุเกะบิดขี้เกียจเมื่อทำความสะอาดเสร็จ เดินสำรวจตรวจตราว่าไม่ลืมล็อคกลอนหรือลืมเสียบปลั๊กตรงไหน แล้วก็เดินไปปิดไฟที่ส่องป้ายร้าน Castle ก่อนจะขึ้นไปนอนเหมือนอย่างทุกวัน แต่เมื่อเห็นคำนี้ก็อดที่จะนึกถึงเรื่องที่คุยกับยูกิโนะเมื่อตอนหัวค่ำไม่ได้
ปราสาทอย่างนั้นเหรอ
ถึงจะเป็นเรื่องที่ดูเลื่อนลอยไร้ความหวัง แต่ถ้าเกิดเป็นไปได้ล่ะก็...เธอคนนั้นจะมาเป็นเจ้าหญิงในปราสาทของเขาได้มั้ยนะ
-----------------------------------------
เรื่องนี้จะจีบกันแบบสโลว์ไลฟ์ ไม่ค่อยมีแก่นสารมากนะ จีบกันเรื่อยๆเราไม่เหนื่อยเราไม่เมื่อย//ไม่เกี่ยว
นิยายหยุดไปเป็นปีๆแล้วก็ยังมีฟิคอยู่เนอั
นานๆ กลับมา ลืมเนื้อเรื่องหมดละ
>>596 ก็ ก็...เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผ่านประสบการณ์มาเยอะ น่าจะมีวิธีต้อนกระต่ายไม่ให้โดดหนี ตอนเด็กพลาดไง ไปเผยโฉมหน้าจอมมารให้เห็นก่อน ไม่มีสกิลปกปิดอำพราง นุ้งต่ายเลยเผ่น
>>597 เออ กูเข้าใจนะ เพราะตอนนั้นกูคลั่งไคล้แฮร์รี่มากแต่พอให้กลับไปอ่านอีกทีก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าตอนอ่านแรกๆแล้ว ถามว่าไม่ชอบแล้วเหรอก็ไม่ถึงขั้นนั้น กูยังชอบอยู่แต่ไม่ได้อินจัดๆเท่าเมื่อก่อนแล้ว
>>603 ชาแบบลิมิเต็ด/small-lot เหมือนเมล็ดกาแฟสตาบัคส์รีเสิร์ฟงี้หรอ กูว่าเจ้าแม่ต้องบวมขึ้นเพราะมาลองของใหม่ๆที่ร้านนี้แน่เลย!
" วันนี้ผมมีชาเข้ามาใหม่ด้วยครับ ชาตัวนี้ทานคู่กับช็อกโกแลตมัฟฟิน หรืออัลมอนด์ครัวซ็องก็เข้ากันนะครับ "
" ถ้างั้นเอาชาตัวนี้ แล้วก็มัฟฟินกับครัวซ็องอย่างละหนึ่งชิ้นค่ะ อ๊ะ เค้กอันนั้นก็น่าทาน เอาเค้กเพิ่มอีกชิ้นนึงด้วยค่ะ "
น้ำชาและกาแฟ
ตอนก่อนหน้านี้ >>>/webnovel/6114/587-589
----------------------
วันเสาร์ที่เป็นวันหยุดและเป็นวันว่าง เรย์กะที่ไม่ได้มีเป้าหมายอยากจะทำอะไรเป็นพิเศษก็คิดว่าจะไปที่ร้านกาแฟ Castle อีกหน
เค้กร้านนั้นมีตั้งหลายอย่างที่เธอยังไม่ได้ลอง แล้วชาก็อร่อย บรรยากาศก็ดี ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กลับไปนี่นา แถมร้านก็ไม่ได้ไกลจากบ้านมากด้วย นั่งรถไฟไปสี่สถานีก็ถึง
ไม่ได้เกี่ยวกับบาริสต้ายิ้มหวานคนนั้นจริงๆนะ
เมื่อจิตใจเรียกร้องอยากกินของอร่อยก็ต้องออกเดินทาง เรย์กะมุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟที่ว่า ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสอง อากาศก็ร้อนนิดหน่อย เหมาะแก่การจิบอะไรเย็นๆให้ชื่นใจพอดี
“ยินดีต้อนรับครับ”
เมื่อเรย์กะผลักประตูเข้าไป เสียงกระดิ่งและตามมาด้วยเสียงพูดทุ้มต่ำนุ่มหูก็ดังขึ้นเป็นการต้อนรับ
“สวัสดีครับ”
“เอ่อ..สวัสดีค่ะ” เรย์กะโค้งตัวเป็นการทักทาย
“วันนี้จะรับอะไรดีครับ ชาเหมือนเดิมดีมั้ย”
“เอ๋!!” เรย์กะเลิกคิ้วขึ้น “จำได้ด้วยเหรอคะ”
….มันก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วนะ ยังจำได้อยู่เหรอ
“จำได้สิครับ” คุณบาริสต้าส่งยิ้มละมุนละไม “วันนี้อากาศข้างนอกค่อนข้างจะร้อน ถ้ายังไงรับเป็นเครื่องดื่มเย็นๆดีมั้ยครับ”
“เอ ก็ฟังดูน่าสนใจนะคะ”
“งั้นผมแนะนำเป็นชาผลไม้อย่างเลมอนราสเบอร์รี่หวานอมเปรี้ยวหน่อยๆ แต่ถ้าไม่ชอบราสเบอร์รี่จะรับเป็นชาฮิบิคัส ทานคู่กับเค้กชิฟฟ่อนรสส้มที่เพิ่งได้มาวันนี้ก็เข้ากันดีนะครับ”
เอายังไงดีนะ…
เรย์กะคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแพ้ข้อเสนอที่เย้ายวน สั่งมาลองชิมตามที่บาริสต้ายิ้มหวานแนะนำ แถมยังเลือกเอาเค้กอีกหลายชิ้นจากหน้าตู้มาทานเพิ่มด้วย
ก็รู้ว่าทานเค้กเยอะๆมันไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ แต่...นานๆจะมาทีนี่นะ ก็ต้องทานให้คุ้มกับที่มา
ระหว่างยืนชำระเงินค่าสินค้า เรย์กะก็มองซ้ายมองขวาไปด้วย
“มองหาอะไรอยู่รึเปล่าครับ” คุณบาริสต้าเลิกคิ้ว
“เอ่อ...เด็กคนนั้นไปไหนแล้วเหรอคะ…”
“เด็กคนนั้น…. หมายถึงยูกิโนะน่ะเหรอครับ”
เมื่อได้รู้ชื่อ เรย์กะก็แอบคิดในใจว่าช่างเป็นชื่อที่น่าเอ็นดูสมกับเจ้าตัวอะไรเช่นนี้...แถมผิวก็ขาวผ่องเหมือนหิมะอีกต่างหาก
“พอดีวันจันทร์หน้าจะเปิดเทอมแล้วก็ให้กลับบ้านไปเตรียมตัวไปโรงเรียนน่ะครับ”
“เอ...อย่างนั้นเหรอคะ” นึกว่าที่นี่คือบ้านของยูกิโนะคุงซะอีกนะนี่ แต่ดูเหมือนจะมีหลายบ้านสินะ
“ถ้ายังไงเสาร์หน้าก็ลองมาที่ร้านสิครับ น้องของผมชอบมาเที่ยวเล่นที่ร้านตอนวันหยุดตลอดนั่นล่ะ”
“จะดีเหรอคะ”
“ดีสิครับ”
เรย์กะยืนมองคุณบาริสต้าที่ชงเครื่องดื่มให้หลังจากจ่ายเงินเสร็จ ทุกอย่างดูว่องไวและคล่องแคล่วเหมือนร่ายมนต์ ชงชา ใส่น้ำเชื่อม เทน้ำหวานลงไป ใช้เวลาไม่นาน ชาเลมอนราสเบอร์รี่ที่สั่งก็มาอยู่ตรงหน้า
...นี่ก็อร่อย
“รสชาติเป็นยังไงครับ”
“อร่อยมากเลยค่ะ หวานอมเปรี้ยว ได้รสชาติราสเบอร์รี่กับมะนาวที่สดชื่น แล้วก็สีสวยมากๆ”
“ดีจังที่ชอบ”
คุณบาริสต้าเท้าคางมองยิ้มๆ ทำเอาเรย์กะหัวใจกระตุกไปวูบหนึ่ง ต้องแกล้งทำเป็นก้มหน้าจิบเครื่องดื่มหลบสายตา
ไม่ไหว อยู่ตรงนี้ไม่ดีต่อหัวใจเลยซักนิด กลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิมดีกว่า...อย่างน้อยมันก็ห่างไกลจากเคาน์เตอร์ที่สุด
เรย์กะกำลังจะยกถาดเครื่องดื่มและเค้กหนี แต่ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านบนเหมือนมีคนกำลังเดินลงบันไดมา
พอหันไปมองตามต้นเสียงก็เห็นผู้ชายตัวสูง ผมสีดำ เดินออกมาจากประตูที่อยู่ใกล้เคาน์เตอร์ ถึงจะหน้าตาดูเหวี่ยงๆไม่รับแขกแต่ก็จัดว่าเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ยิ่งใส่สีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนี้ทำให้นึกถึงเสือดำที่ดูปราดเปรียวขึ้นมา
นี่มันร้านกาแฟหรือโมเดลลิ่งกันแน่เนี่ย มีหนุ่มหล่อโผล่มาอีกคนแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอ” คุณบาริสต้าเงยหน้าขึ้นมอง
“ชูสุเกะ”
เสียงทุ้มต่ำแหบห้าวออกมาจากปากนั่น เป็นเสียงคนละโทนกับคุณบาริสต้ายิ้มหวานโดยสิ้นเชิง มันดูทรงพลังกว่าและเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ ต่างจากคุณบาริสต้าที่ฟังดูนุ่มนวลและอ่อนโยน
ว่าแต่ชูสุเกะนี่...ชื่อของคุณบาริสต้าอย่างนั้นสิ
“คาราเมลมัคคิอาโต้ ใส่ไซรัปสาม ชินนามอนด้วย”
“ให้ใส่อัลมอนด์ด้วยมั้ย”
“ถ้าได้ก็ดี” ว่าแล้วเจ้าของเสียงทรงพลังก็เดินดุ่มๆไปที่ตู้ใส่เค้ก “วันนี้มีเค้กอะไรให้กินบ้าง”
“มาซายะก็ดูเอาสิ” คุณบาริสต้าหันไปชงเครื่องดื่มตามรีเควสต์
สนิทกันขั้นเรียกชื่อตัวเลยเหรอ สองคนนี้มีความสัมพันธ์ยังไงกันเนี่ย
“ชูสุเกะ ได้เก็บมัฟฟินช็อคโกแลตไว้ให้ฉันมั้ย”
“อยู่ในตู้เย็น จะกินก็เอาไปอุ่นในไมโครเวฟก็แล้วกัน”
“แทงกิ้ว”
เรย์กะรู้สึกผิดคาด คนที่ดูดุดันขนาดนั้นแต่สั่งเครื่องดื่มหวานเจี๊ยบ ทั้งๆที่อิมเมจให้แต่การสั่งกาแฟดำอย่างเดียวแท้ๆ แถมบทสนทนายังดูเป็นเรื่องมุ้งมิ้งอย่างการกินเค้กอีกต่างหาก
เหมือนอีกฝั่งจะรู้ว่าเธอแอบนินทาอยู่ในใจ เพราะอยู่ๆสายตาคมกริบนั่นก็หันมาจ้องเขม็ง
...อะ อะไรกัน สัญชาตญาณสัตว์ป่าเรอะ
เรย์กะตัวสั่นหน่อยๆแล้วหลบตา จ้องแต่เครื่องดื่มในมือไม่กล้าเงยหน้าขึ้น รู้สึกว่าคนคนนี้น่ากลัวสุดๆ เหมือนแผ่รังสีกดดันคุกคามออกมาไม่หยุดเลย
“อย่าไปทำเธอกลัวสิ มาซายะ”
“ยังไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย” คนที่ชื่อมาซายะกลอกตาขึ้นมองเพดาน หยิบแก้วคาราเมลมัคคิอาโต้ใส่ถาดที่มีจานเค้กวางรออยู่ เดินฉับๆไปที่มุมในสุดของร้าน นั่งลงบริเวณใกล้ๆกับโซฟาตัวที่หมายตาเอาไว้
อ๊าก!! ไปนั่งตรงนั้นแล้วเธอจะไปนั่งได้ยังไงล่ะ
“ขอโทษแทนเพื่อนของผมด้วยนะ หมอนั่นหน้าเหวี่ยงไปงั้นเอง จริงๆไม่มีอะไรหรอก”
“อะ เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
สุดท้ายเรย์กะก็ต้องนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ไม่ได้ไปนั่งโซฟาตัวนั้นอย่างที่ตั้งใจไว้ แม้จะเป็นอันตรายต่อใจนิดหน่อย แต่ก็ได้เห็นการทำงานของคุณบาริสต้าใกล้ๆ ชงเครื่องดื่ม บดเมล็ดกาแฟ ตีฟองนมด้วยนิ้วเรียวยาวที่ขยับอย่างคล่องแคล่วนั่น
….ก็เท่เหมือนกันนะ
คุณบาริสต้าถือถาดใส่เค้กและเครื่องดื่มแก้วใหม่เดินเข้าไปหาคนที่ชื่อมาซายะ คุยอะไรกันเธอก็ไม่ทราบ แต่เห็นว่ามีรอยยิ้มด้วยกันทั้งคู่ ก็เป็นภาพที่ดูดี แต่บรรยากาศมันชักจะคล้ายๆกับการ์ตูน Boy’s Love ที่เธออ่าน
นี่อย่าบอกนะว่า…สองคนนี้เขา...เป็นแฟนกันน่ะ
แม้จะปลื้มใจในความหล่อ แต่เรย์กะก็อดเสียดายไม่ได้ที่โลกได้สูญเสียประชากรชายหน้าตาดีให้กับทุ่งดอกกุหลาบแห่งความลับไปอีกสองคน
....ไม่ได้สิ ความรักคือสิ่งสวยงาม เราควรจะสนับสนุนความรักของทุกเพศบนโลกใบนี้ต่างหาก คือสิ่งที่ถูกต้อง
ละเลียดเค้กมาจนถึงคำสุดท้ายก็คิดว่าน่าจะได้เวลากลับ แต่ชิฟฟ่อนรสส้มนี่อร่อยชะมัด...สั่งกลับบ้านอีกดีกว่า
คราวก่อนที่เอาเค้กลูกพลัมกลับไปฝากคนที่บ้านก็ได้รับคำชมเชยอย่างมากในด้านรสชาติ เพราะฉะนั้น เรย์กะก็คิดว่าจะสั่งกลับไปให้กินอีก พี่ชายของเธอต้องชอบแน่ๆ
“ขอโทษนะคะ ขอสั่งเค้กกลับบ้านหน่อย”
“ครับ”
คุณบาริสต้าคีบเค้กจากตู้ใส่กล่องตามที่สั่งแล้วคิดเงิน
“ไม่ทราบว่าเค้กนี่...ทางร้านทำเองรึเปล่าคะ”
“เปล่าหรอกครับ ขนมส่วนใหญ่รับมาจากร้านของเพื่อนน่ะ แต่บางอันผมก็ทำเอง...อย่างคีชผักโขมเมื่อตอนนั้น”
“เอ๋!! จริงเหรอคะ”
“อื้อ แต่ทำไว้ไม่เยอะหรอก ประมาณสามสี่อัน ให้ขายหมดในแต่ละวันเป็นพอ”
“คีชอร่อยมากเลยล่ะค่ะ”
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ”
"คนที่ทำของอร่อยขึ้นมาก็ต้องได้รับคำชมสิคะ"
“อ้อ จริงสิ” คุณบาริสต้าเปิดลิ้นชักแล้วหยิบสิ่งที่หน้าตาเหมือนนามบัตรขึ้นมา “พอดีบัตรสะสมแต้มอันเก่ามันมีข้อผิดพลาดในการพิมพ์นิดหน่อย...เอาใบใหม่ไปแทนนะครับ”
บัตรสะสมแต้มใบใหม่ก็ไม่ค่อยต่างอะไรจากของเดิมมากนัก เรย์กะลองพลิกดูก็พบว่ามีเบอร์โทรของร้านเพิ่มมาด้วย
“ถ้าจะมาทานก็โทรบอกตามเบอร์นี้ได้เลยนะ ผมจะเก็บไว้ให้”
“ขอบคุณมากนะคะ” เรย์กะโค้งหัวให้
แต่ก่อนออกจากร้านก็เหลือบมองผู้ชายผมดำที่ดูเหมือนเสือดำนั่น ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นนั่งเอกเขนกไขว่ห้าง จิบชา อ่านหนังสือเหมือนกับอยู่ในห้องนั่งเล่นบ้านตัวเองยังไงยังงั้น
เหมือนรู้ตัวว่าถูกมอง เพราะคนชื่อมาซายะละสายตาจากหนังสือขึ้นมาสบตากับเธอ คิ้วขมวดหน่อยๆอย่างไม่พอใจแล้วหันกลับไปสนใจหนังสือต่อ ไม่มองมาทางนี้อีก
แค่นั้นก็ทำเรย์กะกลัวลนลานต้องรีบออกจากร้านแล้ว
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เรย์กะลองมาคิดๆดูถึงสาเหตุของสายตาคมปลาบที่มองมานั่น...
เอ...หรือว่าคนที่ชื่อมาซายะจะไม่พอใจเพราะเห็นเธอเข้าใกล้แฟนหนุ่มของตัวเองมากเกินไป ใช่มั้ยนะ
เอาไงดี อยากกินเค้กก็อยากกิน แต่ควรจะอธิบายให้เข้าใจกันไปเลยมั้ยนะว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับคุณบาริสต้าเลยซักนิด อย่าหึงหวงเธอเลย และเธอยินดีสนับสนุนความรักของทั้งคู่อย่างเต็มที่
เรย์กะกลับบ้านไปพร้อมกับกล่องเค้กและความคิดที่สับสนว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้ผู้ชายคนนั้นเข้าใจ
-------------------------
ชื่อยังไม่ถาม แต่แจกเบอร์โทรไว้อ่อยซะแล้ว ชูสุเกะคุงงงงง
คุณบาริสต้านี่ขยันล่อลวงลูกค้ามากค่ะ เซอร์วิสกันดีสุดๆ แถมยังมีการอ่อยด้วยเบอร์โทร ชวนแล้วชวนอีกให้มาหา แต่ดันโดนเข้าใจว่าเป็นเกย์.... มีเพื่อนชายที่สนิทกันมากไปก็แย่หน่อยน้าา//ตบบ่า
ถ้าอ่านเพลินๆเป็นคาบุเข้ามาจากประตูด้านในแล้วถามว่าตื่นแล้วเหรอจะได้หนังคนละม้วนเลยนะถถถถ
สอบไฟนอลเสร็จแล้วก็เลยเข้ามาดูหลังจากหายไปเดือนนึง ได้ฟิคร้านกาแฟมาเยียวยาพอดี เขินหมอนบิดเลย ว้ายยยยยย
อ่านฟิคร้านกาแฟนี่ ตอนแรกก็สงสัยว่าตัวละครน่าจะจบมหาลัยแล้ว แต่ทำไมยูกิโนะยังเรียนประถมอยู่เลย น่าจะสักมอต้น
แต่คิดไปคิดมา ให้เป็นเด็กน้อยน่ะดีแล้ว โตกว่านี้เดี๋ยวพี่ชายจะใช้น้องล่อลวงสาวยากขึ้น
น้ำชาและกาแฟ
ตอนก่อนหน้านี้ >>>/webnovel/6114/607-609
----------------------
พอโทรศัพท์ไปบอกเรื่องนี้กับยูกิโนะว่าลูกค้าสาวผมม้วนคนนั้นมาที่ร้านอีกหน น้องชายเขาก็หัวเราะร่วน แทบจะเห็นตัวอักษรคำว่ารื่นเริงลอยมาปรากฎตรงหน้า
“เห็นมั้ยล่ะฮะ บอกแล้วว่าพี่สาวคนนั้นต้องมาอีกแน่ๆ”
“อือ” ชูสุเกะยิ้มนิดๆกับโทรศัพท์
“แล้ว...เธอชื่ออะไรเหรอฮะ”
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้ถาม”
“เอ๋ อะไรกัน ทำไมไม่ถามล่ะฮะ”
“ก็คิดว่าจะถามครั้งต่อไปนี่ล่ะ แหม เจอกันครั้งสองครั้งจะให้ถามชื่อเลย เดี๋ยวเธอจะคิดว่าพี่เป็นคนไม่น่าไว้ใจไปนั่น ต้องให้คุ้นเคยกันกว่านี้ก่อนสิ”
ผู้หญิงคนนั้นท่าทางจะขี้อายและขี้กลัว ตอนถูกมาซายะจ้องก็หลบตาแล้วตัวสั่น ยิ่งมองก็ยิ่งคิดว่าเหมือนกระต่ายไม่มีผิด
ถ้าบุ่มบ่ามทำอะไรไป เขาก็กลัวว่าเธอจะเผ่นหนีไปซะก่อน เลยต้องค่อยๆตะล่อมด้วยของกินไปทีละอย่าง ตอนที่เขาเสนอเมนูให้เลือก สายตาเธอนี่เป็นประกายเชียวล่ะ
แถมเวลาที่ได้ทานของอร่อย ริมฝีปากนั่นก็จะแย้มรอยยิ้มออกมา พอได้มองใกล้ๆในวันนั้น เขาก็เห็นว่าเธอมีลักยิ้มเล็กๆที่แก้มด้วย เป็นการค้นพบเกี่ยวกับตัวเธออีกอย่างที่น่าประทับใจ
“ใจเย็นเกินไปแล้วนะฮะ”
“แต่พี่ก็ให้เบอร์เธอไปแล้วนะ..ชวนมาทานอาหารเช้าที่ร้านแล้วด้วย”
“ว้าว ไม่เลวเลยนี่ฮะ”
คุยกันไปอีกซักพัก ยูกิโนะก็ตอบตกลงเรื่องที่จะมาที่ร้านในวันเสาร์หน้าก่อนจะวางสายไป ส่วนเขาก็ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น
มันต้องเป็นวันที่ดีอีกวันในชีวิตของเขาอย่างแน่นอน
.
.
.
.
ชูสุเกะไม่เคยตั้งหน้าตั้งตารอให้วันเสาร์มาถึงมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ละวันที่ผ่านไปรวดเร็วก็กลับดูเชื่องช้ายาวนานขึ้นมาเสียอย่างนั้น
แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็สั่งซื้อใบชาใหม่ คิดค้นเมนูใหม่ที่เธออาจจะชอบ แล้วก็สั่งขนมไม่ซ้ำชนิดมาจากร้านทาคามิจิเพื่อให้เธอชิม ถ้าเหลือก็ไม่เป็นไรเพราะยังไงก็มีมาซายะที่เป็นหน่วยเก็บกวาดขนมเหลือๆอยู่แล้ว
ปกติเขาจะตื่นสายในวันเสาร์ แต่วันนี้เขากลับตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านจนถูกยูกิโนะแซวในความรีบร้อนนั่น
แม้จะตื่นเช้าแค่ไหน แต่ชูสุเกะก็เปิดร้านตามเวลาปกติ ที่ตื่นเช้าน่ะก็เพื่อเตรียมตัวต้อนรับลูกค้าคนพิเศษที่จะมาในวันนี้ต่างหาก และทุกอย่างก็พร้อมแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีลูกค้าประจำที่แวะมาสั่งกาแฟก่อนไปทำงานอย่างทุกครั้ง และตามมาด้วยลูกค้าคนแล้วคนเล่าเดินผ่านเข้าประตูมา
...แต่ไม่มีเธอคนนั้น
จากเช้ามาจนบ่าย อารมณ์ที่เบิกบานของชูสุเกะก็ค่อยๆหดหายลงไปทุกที
เขาได้แต่ยิ้มขื่นๆให้ตัวเอง นึกอยู่แล้วว่านี่มันงี่เง่าสุดๆ และเธอก็ไม่ได้รับปากว่าจะมาด้วย แค่ตอบรับเป็นมารยาทไปอย่างนั้นเอง
สงสัยความหดหู่ของเขาคงแผ่ออกไปแบบเห็นได้ชัด เพราะยูกิโนะกระตุกชายเสื้อเขา สีหน้าดูเป็นกังวล
“พี่ฮะ ยังไหวรึเปล่าน่ะ”
“ก็...ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”
“อย่าเพิ่งหมดหวังสิฮะ นี่เพิ่งจะบ่ายสาม ยังไม่หมดวันเลยนะ”
ชูสุเกะพยักหน้าเนิบๆกับคำปลอบใจของน้องชาย ก่อนจะหันไปล้างแก้วกาแฟใช้แล้วที่ยูกิโนะเก็บมาจากโต๊ะของลูกค้าเมื่อครู่
เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นในตอนที่เขาล้างแก้วใบสุดท้ายเสร็จแล้วเตรียมเอาไปเก็บอยู่พอดี
“ยินดีต้อนรับฮะ เข้ามาข้างในก่อนสิฮะ”
เมื่อได้ยินเสียงของยูกิโนะพูดต้อนรับ ชูสุเกะเลยหมุนตัวกลับมาเตรียมจะทักทายลูกค้าอย่างเคย
แก้วกาแฟที่เขาถืออยู่ในมือเกือบร่วงเมื่อได้เห็นว่าลูกค้าคนที่ว่านั่น หัวใจในตอนนี้ทั้งพองโตและเต้นระรัวด้วยความยินดีอย่างที่สุด
“ยินดีต้อนรับครับ”
เขายิ้มให้กับสาวกระต่าย วันนี้เธอใส่เดรสยาวสีน้ำตาลอ่อน คาดริบบิ้นบนผม ชวนให้นึกถึงกระต่ายพันธุ์ฮอลแลนด์ลอปขึ้นมา
“เอ่อ สวัสดีค่ะ” เธอโค้งหัวให้ แล้วก็หันไปมองยูกิโนะที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ ส่งยิ้มที่ดูสดใส
“สวัสดีฮะ คุณพี่สาว ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีมั้ยฮะ”
“สบายดีจ๊ะ”
“คุณพี่สาวทานอะไรมารึยังฮะ ถ้าของทานเล่นมีแซนด์วิชสโมคแซลมอน ส่วนของหวานวันนี้มีเค้กช็อกโกแลตลาวาฮะ คุณพี่สาวสนใจมั้ยเอ่ย เค้กลาวาทานคู่กับวิปครีมหรือไอศกรีมวานิลาน่ะอร่อยมากเลยนะฮะ”
“แหม ถ้าพูดถึงขนาดนั้นคงจะต้องลองชิมทั้งสองอย่างแล้วล่ะเนอะ”
“งั้นผมเอาเค้กไปอุ่นให้ก่อน คุณพี่สาวรอสักครู่นะฮะ”
ชูสุเกะมองเธอที่อมยิ้มให้ยูกิโนะ แต่พอเธอหันหน้ามาสบตากับเขา รอยยิ้มนั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจื่อนๆอย่างไรชอบกล
“วันนี้จะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ” เขาส่งยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น แม้จะรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม “ถ้าสั่งแซนด์วิชสโมคแซลมอนกับเค้กช็อคโกแลตลาวา ผมแนะนำเป็นชาเลดี้เกรย์ที่ให้ความเป็นซิตรัสเหมือนเอิร์ลเกรย์แต่อ่อนโยนกว่า ทานคู่อาหารทะเลและเบเกอรี่ได้ดีเยี่ยม”
“เอ่อ...ถ้าคุณบาริสต้าว่าอย่างนั้นก็เอาตามนั้นเลยก็ได้ค่ะ”
เธอโค้งหัวให้หน่อยๆ หยิบกระเป๋าสตางค์มาจ่ายเงินแล้วกระเถิบตัวออกห่าง
มันยังไงกันนะ…
ชูสุเกะชงชาไป คิดทบทวนอยู่ในหัวไปว่าเขาไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจรึเปล่า แต่ก็นึกไม่ออกเลยสักนิด
เขาละสายตาจากกาน้ำชาเพื่อมองเธอ แต่ก็เห็นเธอมองเหม่อไปยังที่ประจำที่มาซายะชอบนั่งเวลามาที่ร้าน
เพียงแค่นั้นอารมณ์ของชูสุเกะก็ขุ่นมัวได้อย่างรวดเร็ว
“มองอะไรอยู่รึครับ”
“เอ่อ...เปล่านะคะ ไม่ได้มองหาเลยซักนิดค่ะ” เธอปฏิเสธ ดูท่าทางลนลาน
….ว่าแต่มองหาอย่างนั้นเหรอ
“คุณมองหามาซายะอยู่เหรอ วันนี้เขาไม่มาหรอก”
ชูสุเกะรู้สึกไม่ค่อยพอใจขึ้นมาหน่อยๆ เขายืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่เธอกลับมองหาแต่คนอื่นไม่สนใจเขาเลย ยูกิโนะก็ทีหนึ่งแล้ว ยังจะมีมาซายะอีก
“งะ งั้นเหรอคะ”
ชั่วแว้บหนึ่ง ชูสุเกะเห็นเธอทำท่าเหมือนจะโล่งอก แต่สีหน้ากลัดกลุ้มกับวิตกกังวลก็ตามมาอย่างรวดเร็ว ตอนเงยหน้าสบตากับเขาก็ดูคล้ายๆกับจะขอโทษขอโพยออกมา
ไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้เลยแฮะ
ถ้าเกิดเธอเห็นเพื่อนของเขาเป็นเป้าหมาย เธอก็น่าจะทำสีหน้าผิดหวังตอนที่รู้ว่ามาซายะไม่มาที่ร้านสิ แต่ท่าทางโล่งใจแบบนั้นมันคืออะไร แถมยังท่าทางแปลกๆเหมือนไม่อยากยุ่งเกี่ยวตอนเขาเข้าใกล้อีก
มันต้องมีสาเหตุสิ
ชูสุเกะคิดหาวิธีตะล่อมเอาคำตอบอยู่หลายวิธี ส่วนยูกิโนะพอเอาเค้กไปเสิร์ฟก็เหมือนจะถือโอกาสนั่งคุยกับคุณพี่สาวผมม้วนไปด้วย ท่าทางเพลิดเพลินสนุกสนาน
ดีล่ะ ใช้ยูกิโนะก็แล้วกัน
เขาถือชาร้อนไปให้น้องชายอีกแก้ว ตอนนี้เจ้าตัวแสบกำลังถือเข็มที่หน้าตาเหมือนเข็มนิตติ้ง ทิ่มลงไปในก้อนที่คล้ายๆสำลีสีขาว
“ยูกิโนะ รบกวนลูกค้าได้ยังไง”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็วางแก้วชาตรงหน้ายูกิโนะอยู่ดี แถมยังถือโอกาสลากเก้าอี้มานั่งเนียนไปด้วยอีกคน
“พี่ฮะ ดูสิๆ กระต่ายหิมะล่ะ” ยูกิโนะชูสิ่งที่กำลังทำให้เขาดู “คุณพี่เรย์กะเพิ่งสอนผมเมื่อกี้นี้ สนุกมากเลยฮะ”
“คุณพี่เรย์กะ”
เขาทวนคำแล้วหันไปมองเธอที่ถืออุปกรณ์งานฝีมือแบบเดียวกับยูกิโนะเหมือนกัน
“อ๊ะ ขอโทษที่แนะนำตัวช้าไปหน่อยค่ะ” เธอลุกขึ้นยืนแล้วก้มหัวลง “ฉันคิโชวอิน เรย์กะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เอ็นโจ ชูสุเกะครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” เขาโค้งหัวกลับไป นึกดีใจขึ้นมาที่ได้รู้จักชื่อเธอแล้ว “และผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่น้องชายไปรบกวน”
ชูสุเกะกำลังคิดอยู่เลยว่าจะหาจังหวะแนะนำตัวอย่างไรดีถึงจะดูไม่น่าเกลียด ยังไงเขากับเธอก็ยังมีความสัมพันธ์แค่ลูกค้าที่แวะมาที่ร้านไม่กี่ครั้งนี่นะ จะให้แนะนำตัวกันโต้งๆเลยก็ดูแปลกๆ
“ไม่ได้รบกวนซักหน่อย” ยูกิโนะทำปากยื่น หันไปพยักเพยิดหน้าให้พี่สาวผมม้วนเหมือนจะหาพวก “เนอะ คุณพี่เรย์กะ”
“ใช่ค่ะ ไม่ได้รบกวนเลยซักนิด”
“ว่าแต่กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ”
“เขาเรียกว่านีดเดิลเฟลท์น่ะค่ะ ใช้เข็มพิเศษจิ้มผ้าขนแกะให้เป็นรูปร่าง ทำเพลินๆฆ่าเวลาก็สนุกดีนะคะ”
“เห แล้วจะทำเป็นรูปอะไรเหรอครับ”
“ตัวทานุกิน่ะค่ะ” เธอหัวเราะนิดๆแล้วหันไปมองยูกิโนะแบบเอ็นดู “ยูกิโนะคุงน่ะเก่งมากเลยนะคะ สอนแป๊บเดียวก็ขึ้นรูปได้แล้ว”
ชูสุเกะคิดจะเกลี้ยกล่อมให้เธอลองทำกระต่าย...จะบอกว่าจ้างทำเพื่อเอามาตกแต่งร้านจะดีมั้ยนะ
แต่ถึงอย่างนั้น ชูสุเกะก็ยังไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับเธอเท่าไหร่นัก เพราะมีลูกค้าเข้ามาสั่งกาแฟอยู่เรื่อยๆ ยูกิโนะพอเสิร์ฟกับเก็บโต๊ะเสร็จก็ยังสามารถเข้าไปนั่งเล่นกับเธอได้ แต่เขานี่สิแทบไม่ได้ออกห่างจากเคาน์เตอร์เลย
เหมือนฟ้าจงใจแกล้งกันยังไงก็ไม่รู้
----------------------------------------
กูพยายามจะไม่หักธงอย่างเต็มที่ในฟิคนี้ แต่ทำได้ยากจัง 555555555555
กลัวยูกิโนะแย่งจีบเองนะเนี้ย!!
>>620 -621 ช่วงแรกแอบเห็นความวงวารพี่ตัวเองของยูกิโนะเลย55555 ปากบอกให้เบอร์ไปแต่สาวเจ้าเค้ายังไม่น่ารู้เรื่องเลยนะ555555555
ส่วนเรื่องเค้ก มาซาย๊าาาาา เพื่อนนายเห็นว่าเป็นคนกวาดของเหลือแล้ว55555555555 แต่วงวารเอ็นโจ ตัวปัญหาไม่มาแต่ทิ้งประเด็นไว้ให้เป็นอุปสรรคการจีบไปอีก
ตอนไปคุยนี่อะไรรรร๊ เห็นความใช้น้องเป็นเครื่องมือชัดมาก ไปเลยยูกิโนะ!ชั้นเลือกนาย!!
เงียบเหงาเหลือเกิน โม่งซุยรันคะ หมดหวังกันแล้วเหรอ ไม่นะ!!! T-T!!!
ม่ายย เราจะดมกาวที่มีเพื่อยืดความหวังต่อไปปป///สูดดดด
กูเริ่มคิดจริงจังแล้วนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านฮิโยโกะรึเปล่า หรือแค่ติดเลี้ยงลูกตามทฤษฎีโม่งซุยรัน
กูว่าจะให้โอกาสตัวเองในการตามเรื่องนี้อีกปี ถ้าไม่มาต่อกูจะถือว่าตัดจบไปเรียบร้อยในสมองกูละ ที่เหลือก็ตามอ่านฟิคกาวที่กูชอบในกระทู้นี้พอ
(un)sweet
_______
วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบของการสอบเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากหลายๆครั้งที่ผ่านมา คะแนนสอบของฉันไม่ติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของชั้นเรียน ทำให้เมื่อวานในขณะกำลังรับประทานอาหารเย็นด้วยกันกับท่านพี่และท่านแม่ จู่ๆท่านแม่ก็พูดขึ้นมาว่า
" ที่ผ่านๆมา ถึงคุณเรย์กะจะดูบวมขึ้นบ้าง แต่ก็ยอมปล่อยผ่านเรื่องขนมหวานและของว่างให้เป็นบางครั้ง แต่ถ้าครั้งนี้คุณเรย์กะยังไม่มีรายชื่อบนบอร์ดอีกล่ะก็ คงจะต้องงดขนมเป็นเวลาสองอาทิตย์แล้วล่ะค่ะ "
สองอาทิตย์?! ท่านแม่ขา งดขนมนานขนาดนั้นหนูต้องลงแดงตายแน่ๆเลย.. ขนาดท่านพี่ที่นั่งอยู่ด้วยกันยังไม่ช่วยพูดเลย ท่านพี่ไม่รักน้องแล้วหรอคะ...
หลังจากรับประทานทานอาหารเสร็จ ขนมปิดท้ายมื้ออาหารก็มาเสิร์ฟ ฉันค่อยๆละเลียดทานและลิ้มรสอย่างช้าๆ นี่อาจจะเป็นขนมมื้อสุดท้ายก็ได้นี่นา.. ท่านแม่ใจร้าย ท่านพี่ก็ใจร้าย ไม่ช่วยน้องเลย!
...แต่ทว่า ตอนกำลังจะเข้านอน ด้วยความเครียดหรือความอาลัยต่อขนมหวานก็ไม่ทราบ ฉันเลยแอบลงมาหาอะไรทานในห้องครัว...
_______
ในเวลานี้เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนคาบ เซริกะจังกับคิคุโนะจังและฉัน จึงเดินไปดูรายชื่อที่บอร์ด ที่เป็นเหมือนการพาฉันไปสู่นรก ไม่มีขนมสองอาทิตย์เลยนะ.. ขนมที่แอบไว้ในห้องพึ่งหมดไปเมื่อสองสามวันก่อนเองด้วย...
" ท่านเรย์กะต้องมีชื่อติดอยู่แน่ๆเลยค่ะ! "
" ใช่แล้วล่ะค่ะ! ต้องมีแน่ๆค่ะ! "
ขอบคุณนะคะทั้งสองคน รู้สึกมีความหวังขึ้นมานิดนึงเลยล่ะค่ะ มีเพื่อนดีๆมันเป็นแบบนี้สินะ อ๊ะ น้ำตาจะไหลออกมาอยู่แล้วล่ะค่ะ..
ในที่สุดก็เดินมาถึงแล้วสินะ.... อ่า ฉันค่อยๆกวาดสายตามองจากล่างขึ้นบน เมื่อไม่เห็นชื่อตัวเองจึงมองจากข้างบนลงมาอีกที เผื่อจะข้ามชื่อตัวเองไป
" ไม่มี.. "
ฉันพึมพำออกมาหลังจากที่กวาดตามองขึ้นๆลงๆกว่าสิบรอบแล้ว คราวนี้น้ำตาจะไหลแบบจริงๆแล้วล่ะค่ะ ฮึก.. บ๊ายบายคุณขนมหวานและคุณของว่าง เราจะได้เจอกันอีกทีหลังจากนี้สองอาทิตย์นะคะ แง...
เมื่อทั้งสองคนเห็นฉันทำสีหน้าไม่ค่อยดี จึงเสนอตัวพาไปพักที่ห้องพยาบาล แต่ฉันบอกว่าจะไปพักที่สโมสรแทน ให้ทั้งคู่กลับห้องเรียนไปก่อนได้เลย ถึงจะโดนงดขนม แต่ไปดื่มชาสักหน่อยก็ยังดี
_______
ที่ห้องสโมสร ฉันเจอกับคนที่ไม่คาดว่าจะเจอในเวลานี้
" สวัสดีค่ะท่านเอ็นโจ "
" สวัสดีครับคุณคิโชวอิน "
เอ็นโจที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงที่นั่งประจำของตนเงยหน้าขึ้นมาทักทายฉันพร้อมกับรอยยิ้ม
คนที่ได้ที่ 2 นี่ดูมีความสุขจังเลยนะ นั่นต้องเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยคนที่ไม่ติดอันดับแถมโดนงดขนมสองอาทิตย์อย่างฉันแน่ๆ
" ท่านเอ็นโจไม่เข้าเรียนหรอคะ? "
" พอดีมีอะไรนิดหน่อยน่ะ แล้วคุณคิโชวอินล่ะครับ ไม่เข้าเรียนหรอ? "
" พอดีมีอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะ "
ฉันตอบคำถามด้วยประโยคเดียวกันกับเขา ไม่บอกให้รู้ว่าเครียดเรื่องโดนงดขนมหรอก! จากนั้นเอ็นโจก็ปิดหนังสือวางบนโต๊ะข้างตัว และชวนให้ฉันไปนั่งข้างๆ ฉันจึงต้องเดินไปนั่งด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะขอน้ำชาจากคุณบริกร
เอ็นโจเห็นว่าฉันไม่ได้พูดถึงขนม ด้วยความหวังดีหรืออะไรไม่ทราบ จึงพูดแนะนำเมนูของวันนี้ให้ แค่ฟังเขาแนะนำก็อยากทานมากพอแล้ว ตาเอ็นโจดันมารีวิวความอร่อยที่ฟังมาจากคนอื่นให้ฟังอีก ทำไมทำตัวเหมือนรู้ว่าฉันโดนงดขนมล่ะค๊าา!!
เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง ฉันจึงบอกไปว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เลยไม่ค่อยอยากทาน แทนที่จะโวยวายใส่คนตรงหน้า แต่สิ่งที่เอ็นโจทำเพียงแค่ทำสีหน้าเห็นใจฉัน
" น่าเสียดายจังเลยนะ เห็นมาซายะบอกว่าเมนูของวันนี้อร่อยมาก ถึงขั้นยกให้เป็นอันดับ 1 ของเดือนเลยแท้ๆ "
จริงๆถ้าแค่คำเดียว.. ไม่สิ ไม่ๆๆๆ ไหนๆก็โดนท่านแม่ลงโทษแบบนี้ ถือโอกาสลดเจ้านิ่มๆตรงเอวนี่ไปด้วยดีกว่า แต่ก็อยากชิมจังน้า..~
ระหว่างที่เรย์กะด้านดีกับด้านร้ายกำลังตีกันอยู่ในหัว เอ็นโจก็แอบสั่งขนมจากคุณบริกรโดยที่ฉันไม่ทันได้สังเกต
รู้สึกตัวอีกที คุณบริกรก็นำน้ำชาและขนมมาเสิร์ฟให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว..
" ท่านเอ็นโจไม่ชอบของหวานไม่ใช่หรอคะ? "
" ผมอยากลองทานขนมที่มาซายะยกให้เป็นที่ 1 ของเดือนนี้ดูน่ะ "
ทางนี้ก็อยากลองทานเหมือนกันค่ะ! แต่ฉันก็ทำได้แค่ตะโกนในใจเท่านั้นแหละ.. ถึงคาบุรากิจะเป็นเจ้าบ้า แต่เซ้นส์เรื่องขนมของหมอนั่นถือว่าดีมาก แสดงว่าอันนี้ต้องอร่อยจริง
" จะไม่ทานจริงๆหรอครับ? "
" ค..ค่ะ! "
รู้สึกเหมือนเมื่อกี้อีตาเอ็นโจหลุดหัวเราะออกมาด้วย ฉันเห็นนะ! จงใจแกล้งกันชัดๆ! หนอยย..!!
ฉันจ้องมองเอ็นโจที่กำลังตักขนมเข้าปากด้วยสายตาอาฆาตเล็กน้อย ผสมไปกับความโมโหหิว(ของว่าง)
" จ้องกันแบบนี้ผมก็ไม่กล้าทานสิ "
เอ็นโจพูดพลางหัวเราะ ก่อนจะวางส้อมลง เขาทำฉันสะดุ้งเลยนะ รู้ตัวได้ไง!
" ถ้าแค่คำเดียวก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ "
" พูดถึงเรื่องอะไรกันคะ? "
" ไม่รู้สิครับ "
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นคืออะไรกันคะ แกล้งกันชัดๆเลยง่าา ยังไงก็จะล่อลวงให้ฉันทานขนมให้ได้ใช่มั้ย? นายเป็นงูที่มาหลอกอีฟให้กินผลไม้วิเศษของพระเจ้าจะได้โดนขับไล่หรอ! ฉันไม่หลงกลหรอกย่ะะะ
..หลังจากนั้นฉันกับเขาไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลยจนกระทั่งใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนคาบถัดไป ฉันจึงขอตัวกลับเข้าห้องเรียน เพราะถ้าอยู่นานกว่านี้เซริกะจังกับคิคุโนะจังอาจจะเป็นห่วงก็ได้
เฮ้อ... ตอนแรกฉันคิดว่าจะได้มานั่งสบายๆในสโมสรเสียอีก ทำไมต้องมาเจอเอ็นโจด้วยก็ไม่รู้ เครียดจนปวดท้องแล้วค่ะ..
_______
(un)sweet Enjou’s POV
_______
เรื่องของที่บ้านหลายๆอย่างทำให้ผมอยากหนีไปอยู่ในที่ที่สงบๆสักพัก ดังนั้นผมจึงมานั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสโมสร ไม่นานนักก็มีคนเปิดประตูเข้ามา ซึ่งผมไม่ได้สนใจจนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยทัก
" สวัสดีค่ะท่านเอ็นโจ "
" สวัสดีครับคุณคิโชวอิน "
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็พบกับคนที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ คุณกระต่ายน้อย.. ไม่สิ คุณคิโชวอิน วันนี้หน้าตาเธอดูไม่สดใสเลย เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ
" ท่านเอ็นโจไม่เข้าเรียนหรอคะ? "
" พอดีมีอะไรนิดหน่อยน่ะ แล้วคุณคิโชวอินล่ะครับ ไม่เข้าเรียนหรอ? "
" พอดีมีอะไรนิดหน่อยน่ะค่ะ "
ผมคงพูดว่าเครียดเรื่องที่บ้านไม่ได้หรอก แต่ดูท่าคุณคิโชวอินกำลังมีเรื่องเครียดอยู่จริงๆด้วย อาจจะเป็นเพราะคิดมากเรื่องไม่มีรายชื่อบนบอร์ดก็ได้ ผมจึงปิดหนังสือวางบนโต๊ะข้างตัว และชวนให้เธอมานั่งข้างๆ เผื่อเธอจะอยากระบายอะไรออกมา
เมื่อคุณคิโชวอินมานั่งกับผม เธอขอน้ำชาจากคุณบริกรเพียงอย่างเดียว นี่มันแปลกมาก หรือว่าเธอมีเรื่องหนักใจมากเสียจนลืมเรื่องขนม ด้วยความหวังดีผมจึงแนะนำเมนูของวันนี้ให้เธอเผื่อเธอลืม แต่เธอตอบกลับมาว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย เลยไม่ค่อยอยากทาน
โธ่ คุณกระต่ายน้อย นี่คุณเครียดจนถึงขั้นไม่อยากทานขนมเลยหรอครับ ของหวานๆน่าจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นนะ ผมจึงพูดเพื่อยุให้เธออยากทานมากขึ้น
" น่าเสียดายจังเลยนะ เห็นมาซายะบอกว่าเมนูของวันนี้อร่อยมาก ถึงขั้นยกให้เป็นอันดับ 1 ของเดือนเลยแท้ๆ "
หลังจากผมพูดจบ คุณคิโชวอินทำท่าทางลังเล ผมจึงแอบสั่งขนมจากคุณบริกรโดยที่เธอไม่ทันได้สังเกต
สักครู่หนึ่งคุณบริกรก็นำน้ำชาและขนมมาเสิร์ฟให้พวกเรา คุณคิโชวอินก็มีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเขาเสิร์ฟขนมให้กับผม
" ท่านเอ็นโจไม่ชอบของหวานไม่ใช่หรอคะ? "
" ผมอยากลองทานขนมที่มาซายะยกให้เป็นที่ 1 ของเดือนนี้ดูน่ะ "
ผมให้เขาเอามาให้ด้วย เผื่อคุณจะเปลี่ยนใจอยากทานต่างหากล่ะ สำหรับคุณคิโชวอิน ขนมก็เป็นเหมือนกับสิ่งเยียวยาจิตใจนี่นา ถ้าคุณทานเข้าไปอาจจะอารมณ์ดีขึ้นก็ได้ สักนิดนึงก็ยังดี
" จะไม่ทานจริงๆหรอครับ? "
" ค..ค่ะ! "
นั่นไง ที่คุณลังเลเมื่อกี้เป็นเพราะว่าจริงๆก็อยากทานใช่มั้ยล่ะ ปากไม่ตรงกับใจเลยนะ นั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าตัวเองเดาฝ่ายตรงข้ามถูก แต่ดูแล้วเธอไม่พอใจเท่าไหร่ที่ผมหัวเราะ..
ระหว่างที่ผมกำลังตักเจ้าขนมนี่เข้าปาก ก็รู้สึกได้ถึงสายตาของคุณคิโชวอินที่จ้องมา
" จ้องกันแบบนี้ผมก็ไม่กล้าทานสิ "
ผมพูดพลางหัวเราะ ก่อนจะวางส้อมลง เผลอไปยั่วให้ไม่พอใจจริงๆหรือเปล่าเนี่ย.. กำลังฝืนตัวเองไม่ให้ทาน แต่คนอื่นมาทานต่อหน้าก็น่าจะเป็นอย่างนี้แหละ เหมือนเวลาที่ผมเห็นคุณพูดคุยอย่างสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น แต่พอเป็นผม คุณกลับทำเหมือนไม่อยากคุยด้วย มัน..ทำให้อารมณ์ไม่ดีจริงๆนั่นแหละ
" ถ้าแค่คำเดียวก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ "
ใช่แล้ว กระตือรือร้นที่จะคุยกับผมแบบที่คุยกับคนอื่นบ้างไม่ได้หรอครับ? อ่า คำถามเมื่อกี้นี้หมายถึงขนมนะ ไม่ใช่ผม
" พูดถึงเรื่องอะไรกันคะ? "
" ไม่รู้สิครับ "
..หรือบางที่อาจจะเป็นทั้งสองอย่างก็ได้ ผมอยากจะเป็นคนที่ทำให้คุณรู้สึกดี อยากให้คุณยิ้มเวลาอยู่กับผมเหมือนเวลาทานขนม
ผมส่งยิ้มไป เเต่ดูเหมือนว่าเธอจะหนักแน่นในอุดมการณ์ที่จะไม่ทานขนมจริงๆ ดื้อด้านจริงๆเลยนะคุณกระต่าย ผมไม่ตื้อแล้วก็ได้ครับ
หลังจากนั่งเงียบกันไปสักพัก คุณคิโชวอินก็ขอตัวกลับไปที่ห้องเรียน เวลาของผมหมดลงแล้วสิ เมื่อเธอออกจากห้องสโมสรไป ผมเลยหยิบหนังสือรวบรวมบทกลอนที่มาซายะเคยอ่านตอนอกหักจากยูริเอะ ที่ผมวางไว้ข้างตัวขึ้นมาอ่านต่อ
..อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าการอยู่และพูดคุยกับคุณคิโชวอินเพียงลำพังในห้องสโมสร แม้จะเป็นเวลาไม่นาน แต่แค่นี้ผมก็รู้สึกมีความสุขมากพอแล้ว..
_______
มาระบายอารมณ์หลังไฟนอลด้วยฟิคค่ะ ;______;)/
เจ้าไก่อ่อนเอ็นโจเอ๊ย!!!!
สรุปนายอ่านรวมกลอนจริงด้วยเรอะเอ็นโจ......ไม่กลัวคำสาปนกตากมาซายะรึไงถถถถ
รอฟิคนำ้ชากับกาแฟ โม่งคนแต่งสู้ๆๆๆ อัญเชิญรับประทานกระทิงแดงสามขวดทางนี้ค่ะ
น้ำชาและกาแฟ [5]
ตอนก่อนหน้านี้ >>>/webnovel/6114/620-622
----------------------
เรย์กะไม่รู้จะมีใครซวยไปกว่าเธออีกรึเปล่าในชั่วโมงนี้ เพราะตอนที่กำลังเดินทางมาที่ร้านกาแฟ Castle อย่างที่ทำเป็นประจำทุกวันเสาร์ เดินมาเกือบๆจะถึงร้านอยู่แล้ว ก็เห็นป้ายคำว่า Close คล้องอยู่กับลูกบิดประตู เป็นเหมือนคำปฏิเสธที่ประทับโป้งลงไปบนหน้าผากจนรู้สึกช็อคพอสมควร
โอเค เป็นความผิดพลาดของเธอเองที่ไม่ได้โทรถามก่อนว่าวันนี้ร้านเปิดรึเปล่า เพราะปกติที่มา ร้านก็ไม่เคยปิดเลยซักครั้ง แต่วันนี้กลับ…
อุตส่าห์เดินทางมาแต่อดทานของอร่อย เธอน่ะตั้งหน้าตั้งตารอเมนูที่คุณบาริสต้าจะเสนอให้ในแต่ละสัปดาห์แท้ๆ อะไรก็ตามที่คุณบาริสต้าเสนอให้น่ะอร่อยทั้งนั้น เชื่อฝีมือได้
เรย์กะยอมรับว่าชอบร้านนี้มาก ชาอร่อย ขนมอร่อย บรรยากาศดี มีเมนูให้เลือกหลากหลาย แล้วก็ยังสองพี่น้องเจ้าของร้านที่ใส่ใจเทคแคร์ลูกค้าดีเยี่ยมอีก ไม่แปลกที่เธอจะกลายเป็นลูกค้าประจำอีกคน และการเดินทางมาที่ร้านในทุกวันเสาร์ตลอดสี่เดือนมานี้ก็เหมือนกิจวัตรที่เธอต้องทำอีกอย่างไปแล้ว
อยากดื่มมัทฉะลาเต้ที่คุณบาริสต้าบอกจะชงให้ชิมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วจัง
เธอบ่นพึมพำกับตัวเองตอนหมุนตัวกลับหลังหันเดินออกจากร้าน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็สะดุดล้ม ดีที่คว้าต้นไม้แถวๆนั้นไว้ได้ทัน แต่ก็ยังได้รอยฟกช้ำมาประดับที่ขาเพราะไปกระแทกกับกระถาง ยังดีที่มีกระโปรงคลุมไว้รองรับแรงกระแทกทำให้เลือดไม่ออก แต่ก็เจ็บพอสมควร
เรย์กะหน้าเสียนิดหน่อยตอนสำรวจรอยช้ำสีแดงจ้ำๆนั่น หยิบมือถือขึ้นมาหาร้านขายยาที่อยู่ในละแวกนี้ จากตรงนี้ไปไม่ไกลเท่าไหร่ยังพอเดินไหว
ขณะที่กำลังเดินกะเผลกๆลากขาไปตามถนนอยู่นั้น อะไรบางอย่างเหลวๆก็หยดแปะลงมาที่หัว
อย่าบอกนะว่า….
เรย์กะควานมือเข้าไปในกระเป๋าสะพาย หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับในจุดต้องสงสัย
คราบสีเขียวอ่อนปนขาวติดผ้าเช็ดหน้ามา...อึนกพิราบสดๆเหลวเป๋วได้มาสถิตอยู่บนหัว แถมเธอรู้สึกว่าบางส่วนมันกำลังไหลลงมาเลอะหน้าด้วย แค่นี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะกรี๊ดได้แล้ว
เธอหันรีหันขวางมองหาอะไรที่พอจะล้างได้ จะห้องน้ำสาธารณะหรือตู้กดน้ำอัตโนมัติแต่ก็ไม่มีเลย
แถวนี้มีแต่บ้านคน จะเดินเข้าไปกดกริ่งขอความช่วยเหลือ หรือจะยอมวิ่งไปมินิมาร์ทที่อยู่ไกลออกไปดีนะ แต่กว่าจะไปถึงมีหวังอึนกแห้งแข็งติดหัวเธอก่อนแหงๆ แล้วยังจะกลิ่นอีก...
เรย์กะได้แต่ซับเอาอึนกออกจากหัวอย่างลนลาน แต่ยิ่งแก้ก็ดูจะยิ่งแย่ขึ้นทุกที จากที่เปื้อนหย่อมเดียวมันก็เริ่มเลอะไปส่วนอื่นแล้ว แถมยังกระเด็นเลอะชุดเดรสเป็นหย่อมๆตรงบ่า ความรู้สึกขยะแขยงพวยพุ่งขึ้นมาในตัวจนขนลุกเกรียวไปหมด
เอาไงดี จะร้องไห้แล้วนะ
“อ้าว คุณคิโชวอิน”
เสียงนุ่มนวลที่เธอจำได้ดังขึ้นจากทางด้านหลัง หันกลับไปมองก็เห็นคุณบาริสต้าแต่งตัวเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอกยืนอยู่ตรงนั้น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ร้องไห้ทำไม” คุณบาริสต้าทำตาโตอย่างตกใจ ก้าวเท้าเร็วๆมาหา “ใครทำอะไรคุณ”
“คือว่า….”
วินาทีนี้คงต้องโยนความอายทิ้งไป เรย์กะค่อยๆเปิดผ้าเช็ดหน้าออกให้เห็นถึงปัญหาที่ว่านั่น
“นกมัน...อึใส่หัวฉันน่ะค่ะ”
คุณบาริสต้ายืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาเหมือนจะปลอบ
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมาล้างออกที่บ้านผมก่อน” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าตัวเองออกมาส่งให้ “เอานี่ไว้ใช้ก่อนสิ ผืนของคุณคิโชวอินน่าจะเลอะหมดแล้วล่ะ”
“ขอบคุณนะคะ”
เรย์กะเดินยักแย่ยักยันตามคุณบาริสต้ากลับไปที่ร้าน ยืนรอให้เขาไขกุญแจเข้าไป
พอได้เข้ามาในร้านที่มีกลิ่นหอมจางๆของกาแฟแล้วก็รู้สึกสงบใจได้อย่างประหลาด ทั้งที่เมื่อครู่นี้เธอยังตื่นตระหนกเพราะนกอึใส่เลยแท้ๆ
“มาทางนี้สิ” เขาเปิดประตูด้านหลังเคาน์เตอร์ให้ เป็นประตูที่เรย์กะเห็นยูกิโนะคุงกับผู้ชายที่ชื่อมาซายะเดินผ่านเข้าออก คงเป็นทางเข้าที่พักของสองพี่น้อง
ข้างในตกแต่งสไตล์ Cozy โทนสีขาวดูเรียบง่ายและอบอุ่นแบบที่เธอเคยเห็นในนิตยสารแต่งบ้าน แต่เรย์กะยังไม่มีเวลาชื่นชมความงามของมัน ได้แต่ถอดรองเท้าไว้บนชั้นวาง สวมรองเท้าแตะใส่ในบ้านที่อยู่แถวๆนั้น ก่อนจะเดินตามเจ้าของบ้านต้อยๆขึ้นชั้นสองไปจัดการธุระที่เร่งรีบ
“ห้องน้ำอยู่ตรงนี้” คุณบาริสต้าเปิดประตูบานหนึ่งให้ “เดี๋ยวผมไปเอาผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้ามาให้ก่อน รอเดี๋ยวนะ”
เขาหายไปในห้องตรงมุมสุดไม่กี่นาทีก็กลับมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวสีขาวที่ดูนุ่มฟูกับเสื้อยืดสีเทาและกางเกงขาสั้นแบบผูกเชือก
“เสื้อผมเอง ถ้าไม่รังเกียจก็เอาไว้เปลี่ยนก่อนได้นะ”
“ไม่หรอกค่ะ ยังไงก็ต้องขอบคุณในความกรุณามากเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ใช้พวกสบู่แชมพูหรือไดร์เป่าผมในห้องน้ำได้ตามสบายเลยนะ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“แล้วเดรสที่เปื้อนนั่น…”
“เอ่อ เดี๋ยวฉันเอาน้ำเปล่าล้างออกก็ได้ค่ะ แค่นี้เอง”
“ไม่ดีหรอก ยิ่งเป็นสีขาวแบบนี้ ทิ้งไว้มันจะเป็นคราบฝังลึกนะ แล้วยังจะกลิ่นอีก” คุณบาริสต้าหยิบมือถือออกมา “เดี๋ยวผมโทรเรียกร้านซักรีดแถวนี้ให้มารับไปก็แล้วกัน ไม่กี่ชั่วโมงน่าจะเสร็จ”
“....รบกวนด้วยนะคะ”
คุณบาริสต้าที่เดินลงบันไดไปแล้ว เรย์กะก็เข้าไปจัดการล้างเนื้อตัวในห้องน้ำ ถอดชุดเดรสตัวโปรดออกมาแบบหดหู่นิดๆ แต่ก็เอาใส่ตะกร้าไปวางไว้หน้าห้องน้ำตามที่ถูกบอก
เมื่อได้อาบน้ำสระผมใหม่ จิตใจของเรย์กะก็เบิกบานขึ้น กลิ่นของสบู่และแชมพูก็ทำให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย ถึงขนาดต้องฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดีตอนที่เป่าผม
คุณบาริสต้ามีรสนิยมดีอย่างยิ่งในการเลือกใช้ของใช้ส่วนตัว ทุกอย่างที่ใช้ล้วนแต่เป็นของดีแบรนด์เลิศหรูทั้งสิ้น บางตัวก็น่าจะลองซื้อมาใช้ตามเพราะเธอชอบกลิ่นของมัน แถมยังติดผิวนานอีกต่างหาก
เป่าผมจนแห้งก็เห็นว่าลอนผมที่ม้วนมาได้คลายตัวออกเล็กน้อย แต่ที่นี่ไม่มีเครื่องม้วนผม เรย์กะก็ปล่อยให้มันเป็นลอนสบายๆแบบนั้นไป และมองตัวเองในกระจก
เสื้อตัวใหญ่แล้วก็หลวม แต่ไม่ได้มากมายขนาดที่กลายเป็นเสื้อเปิดไหล่อะไรแบบนั้น แต่ยังไงผมม้วนนี่ก็ไม่เข้ากับเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่ดี
เดินลงมาชั้นล่างก็ได้กลิ่นหอมๆของอาหารโชยมาเข้าจมูกมาเป็นอันดับแรก แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ท้องไส้ก็เกิดร้องโครกครากขึ้นมา...หวังว่าคุณบาริสต้าคงไม่ได้ยินนะ
พอลองชะโงกหน้าเข้าไปในครัวก็เห็นเขากำลังง่วนผัดอะไรอยู่ในกระทะแล้วตักใส่จานสองจาน
….กลิ่นหอมจัง
“อ้าว มาแล้วเหรอ” คุณบาริสต้าเงยหน้าขึ้น เห็นเธอยืนอยู่ตรงประตูก็ยิ้มให้ “ข้าวเสร็จพอดีเลยแน่ะ เป็นข้าวผัดเบคอนง่ายๆ ไม่รู้จะถูกปากมั้ย”
“เอ่!!” เรย์กะเลิกคิ้วขึ้น โบกไม้โบกมือไปมา “คือว่าคงจะไม่รบกวน…”
เสียงท้องร้องดังขึ้นขัดกับคำพูดปฎิเสธ เธอหน้าแดงแจ๋แบบอับอาย และยิ่งอายมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอของคุณบาริสต้า
“เอ้า มาทานกันเถอะ ผมเองก็หิวเหมือนกัน”
ด้วยเหตุนี้ เรย์กะเลยได้มาร่วมโต๊ะอาหารกับคุณเจ้าของร้าน แม้จะรู้สึกผิด แต่ข้าวผัดเบคอนที่ได้ทานก็อร่อยเยี่ยมยอดไม่แพ้บรรดาขนมและอาหารทั้งหลายที่เคยทานมาจากร้านนี้เลยล่ะ
“ยังมีอยู่อีกนะ จะรับเพิ่มมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว” เธอรวบช้อนส้อมอย่างสงบเสงี่ยมแล้วโค้งหัวให้ จะมาทานสองสามจานต่อหน้าผู้ชายมันไม่ดีต่อภาพลักษณ์ “ต้องขอโทษที่รบกวนนะคะ ถ้ายังไงฉันจะจ่ายค่าอาหาร ค่าซักรีดกับค่าที่ให้ยืมใช้ห้องน้ำด้วย...”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง” คุณบาริสต้าส่ายหน้ายิ้มๆ “ว่าแต่คุณคิโชวอินชอบแพนเค้กมั้ย”
“ก็ชอบนะคะ”
“โอเค”
คุณบาริสต้าลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารไปที่เคาน์เตอร์ครัวอีกครั้ง หยิบส่วนผสมอย่างแป้ง นม ไข่ออกมาแล้วลงมือผสมอย่างคล่องแคล่วแล้วเริ่มตักแป้งหยอดลงในกระทะก้นแบน ไม่นานก็ได้กลิ่นหอมของนมและเนยฟุ้งไปทั่วบริเวณ
“เอาท็อปปิ้งเป็นอะไรดี ช็อคโกแลต น้ำผึ้ง เมเปิ้ลไซรัป...”
“...เมเปิ้ลไซรัปก็ได้ค่ะ”
“รับทราบ”
อีกสิบห้านาทีให้หลัง แพนเค้กสามชั้นมีเนยก้อนอยู่ตรงกลาง ราดด้วยเมเปิ้ลไซรัปเหมือนภาพที่เห็นตามโฆษณาอาหารก็มาวางตรงหน้า ดูสวยสมบูรณ์แบบจนไม่กล้ากิน
“ต้องขอโทษด้วยนะ พอดีปิดร้านตั้งแต่เมื่อวานซืน ขนมเก่าๆในตู้ก็แจกไปหมดเลยไม่มีอะไรให้คุณคิโชวอินทาน”
“เอ่อ ไม่หรอกค่ะ นี่เป็นแพนเค้กที่วิเศษมากเลยล่ะ”
“ดีใจนะที่ได้ยินแบบนั้น” คุณบาริสต้าเท้าคางมองยิ้มๆ
เรย์กะลงมือทานแพนเค้ก รสชาติของนมและเนยแผ่ซ่านไปทั่วปากจนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ให้ทานอีกจานก็ยังไหว
แต่ก็ยังตงิดสงสัยอยู่เรื่องที่ร้านปิดตั้งแต่เมื่อวานซืนอยู่ดี มีเรื่องอะไรรึไงกันนะ
“วันนี้ยูกิโนะคุงไม่มาเหรอคะ”
“อ๋อ พอดียูกิโนะเข้าโรงพยาบาล ผมเลยต้องปิดร้านไปเฝ้าน่ะ”
“เอ๋!! ว่ายังไงนะคะ” เรย์กะอุทานเสียงแหลม ตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน กระเถิบตัวเข้าไปใกล้ๆแบบต้องการคำตอบ “ตอนนี้ยูกิโนะคุงเป็นยังไงบ้างคะ”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ยูกิโนะก็ออกจากโรงพยาบาลวันนี้แล้วด้วย” คุณบาริสต้าหัวเราะนิดๆ “คุณคิโชวอินก็ทำใจให้สบายแล้วก็ทานแพนเค้กก่อนเถอะนะ”
พอเห็นเรย์กะทำหน้ากลัดกลุ้ม เขาเลยอธิบายต่อแบบยิ้มๆ
“น้องชายผมเป็นโรคหอบน่ะ ช่วงนี้พายุเข้าอาการก็เลยกำเริบ แต่ก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะนะ”
“งั้นเหรอคะ” เรย์กะนึกสงสารยูกิโนะคุงขึ้นมาจับใจ “คงลำบากแย่เลย”
“ไม่หรอก ที่บ้านก็ชินแล้วน่ะ ยูกิโนะเข้าๆออกๆโรงพยาบาลแบบนี้ประจำ แล้วมาซายะก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเล่นด้วยทุกวัน บางวันก็นอนเฝ้าแทนผม ถึงจะอยู่โรงพยาบาลเด็กคนนั้นก็ไม่เหงาหรอก เพราะงั้นคุณคิโชวอินก็ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ”
“อื๋อ…”
ถึงขนาดไปนอนเฝ้าไข้ยูกิโนะคุงได้ ท่าทางคนชื่อมาซายะจะได้การยอมรับจากครอบครัวของคุณบาริสต้าให้คบหา และสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วยแล้ว
ก็เป็นความรักที่น่ายินดีนะ
เมื่อแพนเค้กหมดจากจาน เรย์กะก็ลุกขึ้นยืน บอกด้วยเสียงแข็งขัน “ฉันช่วยล้างจานให้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอก คุณคิโชวอินนั่งเฉยๆดีกว่า”
“ไม่ได้หรอกค่ะ มารบกวนไว้ตั้งเยอะ ยังไงก็ขอให้ฉันได้ช่วยอะไรบ้างเถอะค่ะ”
เมื่อเธอยืนกรานแบบนั้น คุณบาริสต้าก็ผุดรอยยิ้มลำบากใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าตกลง
ในระหว่างที่กำลังเก็บรวบรวมจานอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงอุทานเบาๆจากคุณบาริสต้า
“รอยช้ำนั่น…”
“เอ๋ เอ่อ….” เธอก้มลงมองขาตัวเอง “เมื่อกี้ก็ล้มเข่ากระแทกน่ะค่ะ แต่ไม่เจ็บแล้วนะคะ แล้วก็ฟอกสบู่ล้างแผลไปแล้วด้วย”
“เดี๋ยวผมทำแผลให้ก็แล้วกัน” คุณบาริสต้าลุกขึ้นยืน เปิดตู้เอากล่องปฐมพยาบาลออกมาแล้วคุกเข่าลงตรงหน้า “ขออนุญาตนะครับ”
“เอ่อ...ค่ะ”
เขาค่อยๆจับขาเธอขึ้นมาแบบเบามือ อธิบายให้ฟังอย่างนุ่มนวลว่ารอยช้ำแบบนี้ต้องประคบเย็นก่อน
เรย์กะอดที่จะใจเต้นไม่ได้ ฉากแบบนี้ช่างเหมือนกับในนิยายหรือการ์ตูนที่เธอเคยอ่าน เจ้าชายรูปงามคุกเข่าขอความรักจากนางเอกของเรื่อง
แถมยังสัมผัสจากมือนั่นอีก...เธอรู้สึกว่าต้องพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองส่งเสียงแปลกๆออกไป
แต่พอนึกขึ้นได้ว่าคนคนนี้เป็นเกย์ก็พอจะสงบใจได้อยู่ ถ้าคิดซะว่าเป็นเพื่อนสาวอีกคน การถูกจับเนื้อต้องตัวแบบนี้ก็ไม่ต้องคิดมากเท่าไหร่
-------------------
แน่ใจเร้อออออ นี่ตัวอันตรายเลยน้าาาา
ขอบคุณสำหรับฟิคค่าาาา
วันนี้คริสต์มาสอีฟ อ.ฮิโยโกะจะประทานของขวัญมาให้รึเปล่าคะ ;w;
วันนี้วันเกิดกระทู้ครบรอบ 2 ปี กูเลยเอาของขวัญวันเกิดมาให้ เกิดจากแรงมโนถึงงานซัมเมอร์ปาร์ตี้ของปีนี้ว่าวาคาบะจังจะไปงานได้ยังไง แล้วก็เลยบรู้ม ออกมาเป็นฟิคนี่ล่ะ
------------------------------
ถึงจะมีเรื่องวุ่นๆเกิดขึ้นมากมาย แต่ในที่สุดซัมเมอร์ปาร์ตี้ Pivoine ของปีนี้ก็มาถึงจนได้
ประธานจัดงานคือคาบุรากิ ทุกอย่างก็เลยดูยิ่งใหญ่อลังการมากกว่าทุกครั้ง ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของคนจัดอะเน้อ เป็นถึงนายน้อยของตระกูลคาบุรากิจะให้ออกมาน้อยหน้าชาวบ้านเขาได้ยังไงกันล่ะ
และปีนี้พิเศษกว่าทุกครั้งคือมีธีมการแต่งตัวแนบไปในบัตรเชิญด้วยคำว่า “งานเต้นรำในหน้ากาก”
ท่านแม่ที่ชอบแต่งตัวและงานเลี้ยงอยู่แล้ว พอมีธีมแบบนี้ก็ดูจะคึกคักมากกว่าทุกครั้ง จับฉันไปลองชุดมากมาย แต่ถึงจะแต่งสวยแค่ไหนก็โดนปิดไว้ด้วยหน้ากากครึ่งหน้าอยู่ดีอะน้า
แต่ว่าปีนี้พิเศษสุดๆสำหรับฉัน เพราะท่านพี่ยอมไปงานด้วยในฐานะศิษย์เก่าหลังจากที่ไม่ได้ไปมาหลายปียังไงล่ะ ดีใจสุดๆไปเลย
ฉันเองก็พลอยคึกคักไปกับท่านแม่ด้วย เลือกเสื้อผ้าให้เข้าคู่กับท่านพี่ ได้เป็นชุดเดรสผ้าไหมสีเขียวอ่อน คล้ายๆกับชุดตอนที่ใส่เข้าร่วมปาร์ตี้ซัมเมอร์ครั้งแรกในชีวิตของฉัน และยังประดับประดาผมด้วยดอกไม้กับไข่มุก หวา หวา อย่างกับเจ้าหญิงเลยแน่ะ
“พร้อมรึยังเรย์กะ”
“พร้อมแล้วค่า”
ฉันตรงดิ่งเข้าไปควงแขนท่านพี่ขึ้นรถ ระหว่างทางที่นั่งรถไปโรงแรมที่จัดเลี้ยงก็พูดคุยถึงความหลังอย่างครึกครื้น
พอไปถึงโรงแรมที่จัดงาน ฉันก็พาท่านพี่ตรงดิ่งไปยังซุ้มดอกกุหลาบเป็นที่แรก ไหนๆก็ไหนๆ ฉันมองไปทางท่านพี่ ส่งสายตาปริบๆแบบออดอ้อน
“ท่านพี่ขา”
“จ้า จ้า”
ไม่ต้องพูดกันมากความ ท่านพี่ก็จับมือฉันดึงกระดิ่งไปด้วยกัน ฟังกี่ครั้งก็รู้สึกว่าเสียงเพราะจังเลยน้า
ได้มาทำแบบนี้อีกครั้งก็คิดถึงจัง ตอนนั้นฉันน่ะตื่นเต้นสุดๆไปเลยล่ะ ก็เป็นงานซัมเมอร์ปาร์ตี้ครั้งแรกในชีวิตทั้งที เป็นงานเลี้ยงหรูหราที่ฉันใฝ่ฝันมาตั้งแต่ตอนอ่านการ์ตูนแล้ว ฉากงานเต้นรำที่งดงามของคาบุรากิกับวาคาบะจังน่ะประทับใจฉันมากจนถึงกับเพ้อฝันว่าซักวันจะมีผู้ชายมาโค้งขอเต้นรำแบบนี้ แม้ความเป็นจริงจะได้เต้นรำแค่ท่านพี่กับยูกิโนะคุงก็ตาม...แต่ก็ถือว่าได้เต้นอะเน้อ
จะว่าไป วาคาบะจังพอเข้ามาในงานปุ๊บก็โดนกลุ่มของเรย์กะตรงมาเล่นงานเลยนี่นะ ตอนนั้นฉันกรี๊ดกร๊าดใจเต้นกับความเร่าร้อนของคาบุรากิที่ต้องการจะปกป้องวาคาบะจังมากๆ ฉากนั้นเท่สุดๆไปเลย สมเป็นการ์ตูนโชโจแห่งความฝันของสาวน้อยจริงๆ ท่านจักรพรรดิขา
แต่พอนึกถึงเรื่องนั้นอีกทีแล้ว กระเพาะก็เริ่มจะปวดแปลบขึ้นมา
หวังว่าตานั่นจะไม่ทำอะไรงี่เง่าหลุดสามัญสำนึกอย่างในการ์ตูน ต่อให้เป็นคาบุรากิก็เถอะ แต่การถูกคนทั้ง Pivoine เขม่นเอาไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ อุก แค่คิดก็สยองแล้ว
“เป็นอะไรไปเรย์กะ”
“คะ…”
“เห็นกำแขนเสื้อพี่แน่นเชียว มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”
พอลองก้มมองดูก็เห็นตามที่บอกจริงๆด้วย อุหวา ขอโทษค่ะท่านพี่
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น้องแค่คิดถึงเรื่องงานซัมเมอร์ครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมเท่านั้นเอง”
ไม่ได้โกหกนะคะ ก็คิดถึงเรื่องงานซัมเมอร์ครั้งแรกจริงๆนี่นา
“งั้นเหรอ” ท่านพี่ยิ้มแย้มอ่อนโยน “จะว่าไปตอนนั้นเรย์กะก็ตื่นเต้นน่าดูเลยนี่นะ”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก แล้วก็ตรงเข้าไปซบไหล่ “ท่านพี่ขา…ไหนๆปีนี้ก็ปีสุดท้ายในชีวิตม.ปลายของน้องแล้ว ท่านพี่จะเต้นวอลซ์กับน้องแบบตอนนั้นอีกได้มั้ยคะ”
ท่านพี่ทำท่าเหมือนจะเลี่ยง แต่ฉันดึงแขนไว้สุดกำลัง
“แค่เพลงเดียวก็ได้ค่ะ นะคะ นะคะ นะ”
ช่วยตอบตกลงเพื่อให้น้องสาวคนนี้มีความทรงจำดีๆบ้างเถอะค่ะ นอกจากการเต้นรำกับท่านพี่และยูกิโนะคุงแล้ว ยังไม่เคยมีชายไหนมาขอฉันเต้นรำเลยนะคะ
พอตื๊อเข้าหน่อย ท่านพี่ก็พยักหน้าตกลง ยอมให้ฉันลากไปกลางฟลอร์แบบว่าง่าย ตอนนี้มีคนลงไปเต้นรำบ้างแล้ว แถมใส่หน้ากากแบบนี้ก็ช่วยพรางความอายได้ดีเหมือนกันนะ
1 2 3….1 2 3
ฉันนับจังหวะในใจแล้วหมุนตัวไปกับการเต้นนำของท่านพี่ เชิดหน้าไว้ อย่าให้ไหล่ตก แล้วก็หมุน...ฮ้า สนุกจัง
เขาว่ากันว่าเวลาที่แสนสนุกมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ฉันรู้สึกว่าเต้นมาได้แค่แป๊บเดียวเองก็จบเพลงซะแล้ว ฉันถอนสายบัวย่อขาลงขอบคุณท่านพี่ ได้ยินเสียงปรบมือดังมาด้วยล่ะ
ท่านพี่พาฉันไปนั่งพัก เรียกบริกรเอาเครื่องดื่มมาให้ น้ำพันซ์นี่อร่อยจัง
ระหว่างนั้นก็มีคนที่จำฉันได้เข้ามาทักทายอยู่เป็นระยะ อย่างท่านฟุยุโกะหรือท่านโยโกะ ขนาดใส่หน้ากากก็ยังจำได้อีก หรือจะเพราะผมม้วนๆที่เป็นเอกลักษณ์นี้กันนะ
“เป็นการเต้นรำที่วิเศษมากเลยค่ะ ท่านเรย์กะ ท่านคิโชวอิน” ท่านโยโกะหัวเราะเสียงสดใส ข้างๆตัวก็รายล้อมด้วยเหล่าผู้ติดตามที่สนิทมักคุ้นเหมือนอย่างทุกที
“แหม ขอบคุณมากเลยนะคะ”
สนทนาปราศรัยกันพอหอมปากหอมคอ ท่านพี่ก็ขอตัวไปทักทายเพื่อนๆศิษย์เก่าคนอื่นสมัยเรียนซุยรันก่อน ให้ฉันอยู่กับกลุ่มสาวๆไป...ท่านพี่เป็นผู้ชายก็คงไม่อยากจะยืนในดงเม้ามอยของสาวๆอะนะ
“สมกับเป็นท่านคาบุรากิเลยล่ะค่ะที่จัดงานเลี้ยงหน้ากากแสนวิเศษนี้ขึ้นมา”
“ใช่แล้วล่ะค่ะ พวกเราก็เห็นตรงกันว่าเปลี่ยนบรรยากาศก็ดีเหมือนกันนะ”
“ฉันตื่นเต้นขนาดที่สั่งตัดชุดใหม่เลยนะคะ”
ฉันหัวเราะๆไปกับเหล่าสาวๆที่พูดถึงงานเลี้ยงในคืนนี้ บรรยากาศครึกครื้นสนุกสนาน
แต่จะว่าไปแล้ว...ยังไม่เห็นคาบุรากิกับเอ็นโจเลยนี่นะ หรือว่าจะไม่มางานกัน
แต่คาบุรากิเป็นประธาน ถึงก่อนหน้านั้นจะโดดงานเลี้ยงหรือไม่มายังไง แต่ปีนี้เป็นปีสุดท้ายยังไงก็ต้องมา แถมเจ้าตัวเป็นคนคิดเรื่องงานเลี้ยงหน้ากากนี่อีก ไม่มาไม่ได้หรอก
ฉันชะงักไปนิดหน่อยเมื่อนึกถึงคำว่างานเลี้ยงหน้ากาก...งานเลี้ยงหน้ากากอย่างนั้นเหรอ อย่าบอกนะว่า...
สายตาของฉันสอดส่ายหาคนที่คิดว่าน่าจะเป็นคาบุรากิโดยพลัน แต่ว่ามีหน้ากากสวมทับกันครึ่งหน้ากันแทบทุกคน แถมผู้ชายก็ใส่ชุดคล้ายๆกันแบบนี้แยกออกได้ยากมาก ฉันเลยตัดชอยส์เอาเฉพาะคนที่มีคู่ควงอยู่ข้างๆ
ใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ ฉันก็หาคนที่คิดว่าน่าจะเป็นคาบุรากิเจอ ข้างๆมีผู้หญิงสวมชุดราตรีสีขาว เธอคนนั้นก็ใส่หน้ากากครึ่งหน้าเหมือนกัน
นั่นน่าจะใช่นะ
ตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่ใกล้ประตูทางออกสู่สวนที่มีซุ้มกุหลาบที่ฉันเพิ่งไปสั่นระฆังกับท่านพี่เมื่อตอนหัวค่ำ ท่าทางจะเพิ่งกลับมาจากสวนกันนะ
เพื่อความชัวร์ ฉันเลยกะว่าจะไปเช็คดูก่อนเลยขอตัวจากวงสนทนาของทุกท่านโดยอ้างว่าจะไปรับลม แล้วก็เดินเฉียดๆไปบริเวณที่คาบุรากิยืนอยู่ ทำเป็นเตร็ดเตร่เลือกเครื่องดื่มจากบริกรเพื่อถ่วงเวลา ขอเสียมารยาทแอบฟังบทสนทนาซักนี้ดนะคะเพื่อยืนยันตัว
“...จะดีเหรอ คาบุรากิคุง” แม้จะเสียงเบาแค่ไหน แต่ว่าเสียงนั่นก็ใช่วาคาบะจังจริงๆด้วย
“อื้อ ดีสิ”
“แต่ฉันเต้นรำไม่เก่งนะ แล้วก็กลัวจะเหยียบเท้าคาบุรากิคุงด้วย”
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก ทำใจให้สบายๆ” คาบุรากิพูดด้วยเสียงนุ่มนวลกว่าปกติ คงจะปลอบวาคาบะจังที่กำลังวิตกกังวลอยู่สินะ “เต้นวอลซ์น่ะ คือหน้าที่ของผู้ชายที่ต้องเต้นนำอยู่แล้ว”
“เอ่อ แต่ว่า”
“ไม่ทราบว่าพอจะให้เกียรติผมเป็นคู่เต้นให้คุณในค่ำคืนนี้ได้หรือไม่ครับ คุณผู้หญิง”
ว่าแล้วคาบุรากิก็โค้งให้วาคาบะจังด้วยท่วงท่าสง่างาม คำพูดคำจาและการกระทำสมกับเป็นพระเอกการ์ตูนสาวน้อยจริงๆ ดูเป็นธรรมชาติไม่ติดขัดเลยซักนิด
จากนั้นทั้งคู่จะคุยอะไรกันฉันก็ไม่ทราบ เพราะได้รู้ในสิ่งที่สงสัยแล้วฉันก็เลยเดินออกมาจากตรงนั้น ไม่อยากให้ถูกจับได้ว่ามาแอบฟังด้วยล่ะน้า
ฉันเดินออกมาที่สวนอีกครั้งแล้วนั่งลงบนม้านั่งแถวๆนั้น ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
คาบุรากิลงทุนจัดปาร์ตี้เต้นรำในหน้ากากขึ้นมาเพื่อจะให้วาคาบะจังมางานปาร์ตี้ซัมเมอร์อย่างนั้นเหรอ คิดอะไรเป็นชิ้นเป็นอันใช้ได้เหมือนกันนี่นา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนตานี่คงพาวาคาบะจังเข้างานโต้งๆไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้ว แล้ววาคาบะจังก็จะจุดยืนย่ำแย่มากขึ้นไปอีกในซุยรัน อย่างในการ์ตูนเรย์กะก็ตรงเข้ามาหาเรื่องทันทีที่เห็นหน้า แถมหลังจากเหตุการณ์นี้วาคาบะจังก็ยิ่งโดนแกล้งหนักข้อขึ้นนี่นะ
ลองเหลียวหลังกลับไปมองผ่านหน้าต่างก็เห็นคาบุรากิโอบประคองวาคาบะจังเต้นรำไปรอบๆฟลอร์ด้วยความสง่างาม ท่าทางจะไปได้สวยไม่มีอะไรต้องห่วง แล้วคืนนี้ก็ไม่มีใครไปรังแกวาคาบะจังแบบในต้นฉบับด้วย
แต่พอมองแล้วก็ได้แต่คิดว่าดีจังน้า ดีจังเลยน้า ชีวิตวัยรุ่นเปรี้ยวอมหวานแบบนั้นน่ะ ฉันก็อยากสัมผัสเหมือนกันนะ
ตอนเต้นรำกับท่านพี่น่ะฉันก็แอบคิดว่าจะเป็นยังไงน้าถ้าอยู่ๆมีชายลึกลับโผล่มาชิงคู่เต้นไปกลางฟลอร์แบบที่เคยดูในหนัง ฉันคงจะขัดขืนและพยายามกลับไปหาท่านพี่ แต่กลับถูกเกาะกุมมือไว้ไม่ยอมปล่อย
ฉันถึงขั้นคิดเพ้อเจ้อไปเลยล่ะว่างานเต้นรำหน้ากากนี่ล่ะจะเผยตัวชายที่แอบหมายปองฉันอยู่ให้ปรากฎออกมา เราจะคุยกันได้ดีภายใต้หน้ากากโดยไม่สนรูปลักษณ์ มีแค่ตัวตนจริงๆที่อยู่ภายใน ใช่แล้ว นี่คือรักแท้ไงล่ะ!!
แต่ความเป็นจริงนั้น...ฮึก แห้งแล้งจนอยากจะร้องไห้เลยล่ะ
พระเจ้าขา นี่งานซัมเมอร์ครั้งสุดท้ายในชีวิตม.ปลายของหนูแล้วนะคะ ได้โปรด ได้โปรดดลบันดาลความรักมาให้หนูด้วยเถิดเจ้าค่าาาา
ในสวนไม่มีคนอยู่แล้ว เพราะทุกคนเข้าไปในงานกันหมด ฉันเลยลุกขึ้นยืน คิดว่าจะเดินไปดูซุ้มกุหลาบเป็นหนสุดท้ายเพื่อเก็บเป็นภาพความทรงจำก่อนจะเข้าไปหาท่านพี่ แต่คาดไม่ถึงว่าตรงซุ้มนั่นมีใครบางคนยืนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
-----------------
เขาเป็นใครหนอ เขามาจากไหน ใครมาทำอะไรยังไงทำไมและเมื่อไหร่
ความจริงอาจมีคนที่มีเป้าหมายนั้นอยู่แต่ถูกสายตาของท่านพี่จับเชือดไปแล้วรึเปล่าคะ55555
กูนับถือเพื่อนโม่งห้องซุยรันกัญชาจัง ทั้งๆที่นิยายไม่อัพมาปีกว่าแล้วแต่ห้องโม่งเราก็ยังมีกาวมีคนคัย กระซิกๆ ว่าแล้วกูก็ขอตัวกลับไปขุดเจ้าแม่มาอ่านใหม่ครั้งที่ N
ดูซีรีย์ netflix เรื่อง you ดูไปกูนึกถึงแต่ใครบางคนแถวๆนี้ทั้งเรื่องเลยว่ะ สตอล์กเกอร์นี่มันน่ากลัวชิบหาย กูหวังว่าฮีจะไม่อัพเกรดเทียบเท่าไอ้พระเอกเรื่องนี้นะ โคตรน่ากลัวเลย
ปล.ถ้าเผื่อใครสนใจอยากหามาดู เป็นซีรีย์ของ netflix ที่กำลังฉายในตอนนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับความรัก(?)ของชายหนุ่มรูปหล่อที่หลงรักสาวผมบลอนด์คนหนึ่ง เฝ้าตามดูชีวิตเธอ ปกป้องเธอในแบบของเขา และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอทุกฝีก้าว ...ฟังดูคุ้นๆเนอะ
กูพยายามหาว่าฉากที่ท่านเรย์กะแข่งวิ่งยืมของแล้วไปลากตัวคาบุรากิมามันอยู่ตอนที่เท่าไหร่ แต่พอกูกำลังจะเปิดสารบัญขึ้นมาหาก็นึกขึ้นได้ว่าฉากนั้นมันกาวไม่ใช่อฟช ถถถถ
เพิ่มมาเป็นโม่ง ครั้งแรก นี่ยังอยู่มู้ ที่5 กว่าจะมาถึงมู้นึ้ ทั้งคืนแน่เลย ซู๊ดดดดดดดด เจดแต่ละฟิค จนลืม อฟช เลยย ขอให้คนแต่ต่อไปผ่านไปจะปีแล้วว
ตอนงานโรงเรียนนี่ประมาณตอนไหนวะ กูอยากอ่านขึ้นมาเฉย
//เข้ามาปัดฝุ่นและสวดมนต์มอบแต้มบุญให้เอ็นโจซามะเงียบๆ
ป.ล กูเกิดมาจนอายุยี่สิบบวกๆยังไม่เคยมีแฟนสักคนเลย และก็ไม่เคยมีโมเม้นท์ใดๆทั้งสิ้น มีแต่แอบชอบเงียบๆ
แล้วก็นกเงียบๆ ใจกูปรารถนาเพียงแต่ว่าจะขอห้อยโหนอยู่บนคานเป็นเพื่อนท่านเรย์กะ กูไม่มีท่านเรย์กะก็ห้ามมี!
(หัาเราะบ้าคลั่ง)
สุขสันต์วันปีใหม่ค่า เหล่าโม่งซุยรันทั้งหลาย ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดียิ่งๆขึ้นไปสำหรับโม่งซุยรันทุกคน รักพวกมึงนะ
HNYเหล่าโม่งๆซุยรันค่ะ ขอให้ปีนี้มีอฟช ไม่มีอฟชก็ขอมีอาหาร มีกาวให้กวน แต่ที่แน่ๆขอให้มีพวกมึงอยู่ด้วยกันไปอีกปีนะ>__<
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ปีนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวกับเหล่าโม่งซุยรันอีกปีนะคะ
สวัสดีปีใหม่นะเพื่อนโม่ง
สวัสดีปีใหม่ เราอยู่ด้วยกันมาปีกว่าแล้วสินะ
กูสวัสดีปีใหม่ด้วย
ยังพิมพ์ไม่หมด ขอโทษนะ สวัสดีปีใหม่ด้วย กูรู้สึกว่าเราผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมาย ขอบคุณเพื่อนโม่งทุกคนที่มาหวีดด้วยกัน ขอบคุณที่ยังผลิตกาวออกมาบ้าง เพราะทางฝั่งนู้นไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย เอาจริงกูกล้าพูดเลยว่าถ้าไม่มีโม่งนี่เทท่านเรย์กะไปแล้ว เพราะฉะนั้นขอขอบคุณพวกมึงทุกคนอีกที ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีนะ
สวัสดีปีใหม่ครับทุกคน
สวัสดีปีใหม่ทุกคนนน ปีนี้จะได้อ่านตอนใหม่ไหมนะ ขอกูมีความหวังในชีวิตบ้างคงได้ใช่ไหม
สวัสดีปีใหม่โม่งซุยรันน ฮือออ เมื่อคืนกูฝันว่าเรย์กะ ชูสุเกะ มาซายะ แต่งชุดกิโมโนไปไหว้พระปีใหม่ด้วยกัน หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ เจ้าแม่ก็โดนมาซายะทักว่าทำไมไม่ใส่กิโมโนลายหมูป่ามา
เมื่อเช้าตื่นมากูรีบเข้าไปเช็ค เพราะคิดว่าอาจจะมีตอนพิเศษปีใหม่อัพ สุดท้ายก็ยังอยู่ที่ 299 เหมือนเดิม....
รบกวนโม่งฟิคเอาฝันกูไปต่อยอดให้ทีค่ะ TTUTT
กูเจอข่าวราชวงศ์ญี่ปุ่นแล้วกูก็นึกทฤษฎีบ้าบอออกมาได้ หรือว่าท่านฮิโยโกะจะเป็นเจ้าหญิงญี่ปุ่นวะ ประมาณว่าช่วงนี้เปลี่ยนรัชสมัยเลยไม่ได้มาต่อตอนที่ 300 แต่หลังจากเสร็จงานนี้ก็จะว่างมาต่อ // กูควรพอ ไม่ควรเอาเรื่องจริงมากาว
พวกมึงมันแย่! 555555555
หวัดดีปีใหม่จ้าโม่งซุยรันทั้งหลาย ขอให้เป็นปีที่ดีของทุกคน ขอให้มีตอนใหม่ออก ขอให้ไร่กัญชาและโรงงานกาวของเราเจริญยิ่งๆขึ้นไป
กูเพิ่งกลับมาจากเที่ยว ไม่ได้เขียนฟิคเลยซักแอะ คืนนี้ถ้าเขียนฟิคทันจะพยายามเอาลงให้อ่านเป็นของขวัญปีใหม่ให้นะ
Happy belated new year จ้าาาาา ขอบคุณทุกคนที่ร่วมกันกาวมาตลอดนะ รักโม่งซุยรันจัง
เพิ่งกลับไปดูในมู้แรก แม่งตั้งแถวๆวันคริตมาสเมื่อสองปีที่แล้วเลยนะเนี่ย 5555
สองปีแล้วเหรอนานเหมือนกันนะ แต่หยุดอัพไปราวปีนึง
เมากาวมาครบปี ยังไม่มีเรือลง หึ้ยยยย
>>709 ก็ตอนตั้งกระทู้ทีแรกกูนึกว่าจะอยู่ได้อย่างมากก็สองสามกระทู้นี่หว่าเลยเสนอชื่อนั้นไป คิดไปคิดมากูน่าจะเอาคานซังขึ้นก่อนเพราะนี่พระเอกของเรื่องชัดๆ 555555
แต่พูดก็พูด กูไม่คาดฝันจริงๆนะว่ากระทู้เราจะดำเนินมาได้นานขนาดนี้ ขนาดยังไม่มีดิบออกใหม่ก็กาวกันได้เรื่อยๆ ในฐานะคนตั้งกระทู้แรกกูปลื้มใจเหลือหลาย//ซับน้ำตา
ขอให้เราอยู่กันไปนานๆนะมึง
ฟิคงานซัมเมอร์ในฝัน(?)
ต่อจากนี่ >>>/webnovel/6114/651-652
-----------------
เอาไงดีนะ
ฉันเห็นว่ามีคนยืนอยู่ก่อนแล้ว อาจจะกำลังรอใครก็ได้ คงไม่ดีแน่ถ้าหากฉันไปขัดจังหวะ
ว่าแล้วฉันก็หมุนตัวกลับหลังหันเตรียมเดินจากมา แต่คนที่ยืนอยู่กลับหันหน้ามามองเสียก่อน ใบหน้าครึ่งบนถูกบดบังไว้ด้วยหน้ากากสีขาว แต่งกายด้วยชุดสีดำชวนให้นึกถึงคุณแฟนธ่อมในเรื่อง The Phantom of the opera ขึ้นมา
“เอ่อ ขอโทษที่รบกวนค่ะ ฉันแค่เดินผ่านมาเฉยๆ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
ฉันโค้งหัวให้แบบขอโทษขอโพย แต่คนคนนั้นกลับส่ายหน้าแล้วแย้มรอยยิ้มที่ดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เอ้อ ช่างเหอะ ไปดีกว่า
ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพซุ้มกุหลาบเป็นครั้งสุดท้าย แต่จะให้ไปขัดจังหวะคนอื่นมันก็ไม่ดีเท่าไหร่ล่ะน้า
ฉันเดินกลับเข้ามาในงานอีกหนและพยายามเดินหาท่านพี่ แต่คนเยอะแบบนี้แถมใส่หน้ากากกันหมดก็ทำให้รู้สึกชักจะตาลายเลยนั่งพักก่อนชั่วคราว มองคนเดินไปเดินมาก็รู้สึกเพลินไปอีกแบบ
พวกเด็กๆจากเปอติต์วิ่งมาหาฉัน มาโอะจังดูจะตื่นเต้นกับงานเต้นรำหน้ากากนี้สุดๆ กล่าวชมความงดงามตระการตาของงานเลี้ยงไม่หยุดปาก ก็นะ งานเต้นรำหรูหราในหน้ากากนี่ก็เป็นความโรแมนติคของสาวน้อยอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน เป็นธีมยอดฮิตในการจัดงานเลยด้วย
ฉันรุนหลังให้มาโอะจังลงไปเต้นรำสร้างความทรงจำหวานแหววกับยูริคุงในงานปาร์ตี้หน้ากาก ทั้งคู่ดูเอียงอายแต่ก็เต้นรำกันอย่างเบิกบานท่ามกลางเพลงช้าๆทำนองหวานซึ้ง
ขณะที่มองคู่รักหวานแหววตัวน้อยๆเต้นรำกลางฟลอร์อยู่นั้น เสียงเล็กๆน่ารักของยูกิโนะคุงก็ดังขึ้นข้างๆ
“สวัสดีฮะ คุณพี่เรย์กะ”
“สวัสดีจ๊ะ ยูกิโนะคุง”
ฉันเรียกให้คนเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ยูกิโนะคุง แล้วก็หยิบให้ตัวเองด้วยอีกหนึ่งแก้ว นั่งคุยกับยูกิโนะคุงเรื่องงานดอกไม้ไฟที่ได้ไปชมมากับพี่น้องเอ็นโจอย่างเพลิดเพลิน ดอกไม้ไฟน่ะสวยจังเลยน้า ประทับใจสุดๆเลยล่ะ
“...แต่ก่อนมางานซัมเมอร์ก็เป็นหวัดนิดหน่อยล่ะฮะ ทีแรกทางบ้านก็เป็นห่วงกันเลยไม่อยากให้เข้าร่วม แต่ผมอยากมาเจอคุณพี่เรย์กะนี่ฮะ”
“แหม ตายจริง แล้วอาการเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
“ดีขึ้นแล้วล่ะฮะ แต่คุณหมอก็บอกว่าอย่าเพิ่งออกแรงเคลื่อนไหวเยอะ ปีนี้คงไม่ได้เต้นวอลซ์กับคุณพี่เรย์กะแล้ว”
อ๊า!! อย่าทำเสียงสลดหดหู่แบบนั้นสิจ๊ะ เทวดาน้อย กะอีแค่เต้นวอลซ์น่ะเต้นเมื่อไหร่ก็ได้จ๊ะ
จะว่าไปแล้ว…ยังไม่เห็นเอ็นโจเลยนี่นะ
“ปีนี้ท่านเอ็นโจไม่มาเหรอจ๊ะ”
“ท่านพี่มีธุระนิดหน่อยฮะเลยให้ผมมาก่อน เดี๋ยวจะตามมาทีหลัง”
จะมีธุระอะไรสำคัญไปกว่ายูกิโนะคุงอีกเหรอ เอ็นโจนี่แย่จริงๆทิ้งน้องชายที่น่ารักแบบนี้ได้ลงคอ หรือธุระที่ว่านั่นจะเป็น….
ภาพคุณยุยโกะที่แย้มรอยยิ้มบางๆปรากฎในหัวของฉัน
หนอย!! อีตานั่นมัวแต่ไปเที่ยวกับสาวเลยปล่อยปละละเลยการดูแลน้องชายที่เพิ่งจะหายจากป่วยไข้สินะ ต้องใช่แน่ๆ ฮึ่ย!! เจ้าพวกหมู่บ้านมีรักนี่มันน่าหงุดหงิดชะมัดยาด
ฉันซัดเครื่องดื่มจนหมดแก้วในรวดเดียวก่อนจะคว้าอีกแก้ว อีกแก้ว แล้วก็อีกแก้ว…
“คุณพี่เรย์กะ…”
“เอ่อ..พี่แค่คอแห้งน่ะจ๊ะ”
“จริงเหรอฮะ”
ไม่ได้การล่ะ ทำให้เทวดาน้อยเป็นห่วงจนได้
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆเป็นการทำให้ตัวเองสงบลง หยิบเครื่องดื่มแก้วใหม่ขึ้นมาจากบริกร แต่คราวนี้ไม่กระดกพรวดเดียวหมดแก้วเหมือนเมื่อกี้อีกแล้ว
แต่แก้วนี้อร่อยจัง...หวานปนขม แต่ก็เป็นรสชาติที่ลงตัว อื้อ...ใช้ได้เลยล่ะ ดื่มแล้วรู้สึกร้อนๆในคอกับท้องนิดหน่อยแต่ก็เบาสบายดีจัง หรือความเบาสบายนี่จะเป็นเพราะคุยกับเทวดาน้อยกันนะ อื้อ ต้องใช่แน่ๆ
“ยูกิโนะ…” เสียงคุ้นหูดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทฉันเหมือนมาจากที่ไกลๆ ฉันพยายามจะนึกว่าเสียงใครแต่ก็นึกไม่ออก “เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“คือว่า คุณพี่เรย์กะเขาดื่มไปหลายแก้วแล้วก็เป็นแบบนี้เลยฮะ”
รู้สึกว่ามีใครเอาแก้วที่ฉันกำลังถืออยู่ออกไปจากมือ อ๋า ของกินก็มีตั้งเยอะตั้งแยะในงาน อย่ามาแย่งของฉันสิคะ
ฉันคว้ามือเปะปะไปข้างหน้า พยายามยื้อแย่งกลับมา แต่กลับโดนสอดประสานมือเข้ากับมือของฉัน อืม มือใหญ่จังเลยนะ
“ผสมเหล้านี่…”
เสียงนั่นพึมพำอยู่เหนือศีรษะฉัน อื๋อ เมื่อกี้ได้ยินว่าผสมเหล้าอย่างนั้นเรอะ มิน่าล่ะ…
ฉันอ้าปากจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็นึกไม่ออก ก็ได้แต่พึมพำตามความรู้สึกในเวลานั้น “ร้อนจัง”
เครื่องปรับอากาศไม่ทำงานเหรอ งั้นออกไปรับลมข้างนอกดีกว่าเนอะ
ฉันลุกขึ้นยืน เดินไปทางสวนด้านนอกอีกรอบแต่กลับกลายเป็นว่าลากใครบางคนติดมือออกมาด้วย ...อ้อ จริงสิ มือฉันยังจับอยู่กับมืออีตานี่นี่นะ
แล้วมันใครกันล่ะเนี่ย
เออ นึกไม่ออก ช่างเหอะ
เมื่อเปิดประตูออกไปสู่สวน สายลมเอื่อยๆก็กำลังพัดเอาเจ้ากระดิ่งที่อยู่เหนือซุ้มกุหลาบให้ส่งเสียงดังกรุ้งกริ้ง น่ารักจังเลยน้า น่าดึงเล่นสุดๆเลยอ่ะ
ฉันกระตุกๆเจ้าริบบิ้นที่กำลังปลิวไสวตามแรงลม เอ้า นายคนนั้นน่ะมาลองทำด้วยสิ สนุกออกน้า
“อย่าดึงแรงแบบนั้นสิ เดี๋ยวมันหลุดออกมานะ”
“...จริงด้วย” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก ทำลายข้าวของนี่ไม่ดีเนอะ
“ทำแบบนี้ดีกว่านะ”
มือใหญ่ๆนั่นสอดประสานเข้ากับมือของฉัน ดึงริบบิ้นเส้นยาวสั่นกระดิ่งไปพร้อมกัน….เสียงเพราะจังเลย
ฉันจ้องกระดิ่งอย่างเคลิบเคลิ้ม กระตุกเล่นจนพอใจก็ออกเดินเล่นไปในสวน
คืนนี้ไม่ค่อยร้อน แถมยังมีพระจันทร์เต็มดวง เหมาะแก่การสร้างบรรยากาศโรแมนติคสุดๆ ฉันเลยฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีไปด้วย จนมาถึงลานน้ำพุที่รอบๆประดับประดาด้วยต้นไม้ที่ได้รับการตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ ทั้งยังได้ยินเสียงดนตรีแว่วมาคงจะอยู่ไม่ห่างจากห้องจัดเลี้ยงของปาร์ตี้ซัมเมอร์มากนัก
“...ค็อกเทลไม่กี่แก้วก็เมาแล้วเหรอ”
คนคนนั้นส่ายหน้า ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังแว่วมาด้วย
“อย่ามาขำนะ ไม่เห็นจะน่าขำตรงไหนเลย”
ฉันเบะปาก รู้สึกร้อนๆในกระบอกตาเลยถอดหน้ากากออก ขยี้ตาที่เริ่มมีน้ำตาซึมออกมา
“ฮึก ฉันน่ะ...ตอนอ่านการ์ตูนก็ฝันถึงงานเลี้ยงซัมเมอร์มาตลอด พอได้มาเจอของจริงแต่กลับไม่มีใครมาขอฉันเต้นเลย…อุตส่าห์แต่งตัวมาสวยๆ ฉันก็อยากมีเจ้าชายมาโค้งคำนับขอเต้นรำ เป็นเจ้าหญิงเฉิดฉายบนฟลอร์เหมือนวาคาบะจัง อยากมีชายหนุ่มแสนวิเศษมาคุกเข่าขอความรักกับเขาบ้างอ่า”
น้ำตาฉันร่วงเผาะๆลงมาอาบแก้ม
“หรือเพราะฉันไม่ใช่นางเอก เป็นนางร้ายอย่างนั้นเหรอ เลยต้องมีชะตากรรมแบบนี้”
เมื่อเอ่ยไปอย่างตัดพ้อแบบนั้น คนตรงหน้าก็ดึงฉันเข้าไปกอด ลูบหลังลูบหัวฉันเบาๆ
“ขอโทษนะ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้น” ปลายนิ้วของคนคนนั้นเกลี่ยซับน้ำตาฉันอย่างแผ่วเบา “ยกโทษให้ผมจะได้มั้ยนะ เจ้าหญิง”
...เจ้าหญิงอย่างนั้นเหรอ
“ก็ได้” ฉันพยักหน้าหงึกๆอย่างว่าง่าย ได้เป็นเจ้าหญิงด้วยล่ะ เย้!!
“เพื่อเป็นการไถ่โทษ...ได้โปรดให้เกียรติเต้นรำกับผมได้หรือไม่ครับ เจ้าหญิง”
คนคนนั้นโค้งให้ฉัน ท่าทางสง่างามเหมือนเจ้าชายที่ขอเต้นรำแบบที่เคยดูในหนัง พาให้หัวใจฉันเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ
รู้แล้วล่ะว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร ต้องเป็นเจ้าชายที่แสนอ่อนโยนและใจดี อย่างที่ฉันตามหามานานอย่างแน่นอน
ฉันพยักหน้า วางมือลงบนมือที่ยื่นออกมา ฝ่ายนั้นจับให้ฉันอยู่ในท่วงท่าเต้นรำของผู้หญิงอย่างชำนาญ รอเสียงดนตรีเพื่อเริ่มจังหวะแล้วเริ่มก้าวเดิน
เพลงวอลซ์อ่อนหวานดังแว่วมาให้ได้ยิน แม้ขาดๆหายๆไปในบางจังหวะ แต่เจ้าชายก็ยังพาฉันเต้นไปรอบๆลานน้ำพุได้ลื่นไหลไม่มีสะดุดเลยซักนิด จับฉันหมุนตัวเป็นวงกลมแล้วอุ้มยกขึ้นสูงๆแบบในหนังด้วยล่ะ เหมือนได้เป็นเจ้าหญิงแบบในหนังเลย จำไม่ได้ว่าเต้นกันไปกี่เพลง รู้แค่ว่าสนุกจัง
ฉันพยายามเพ่งมองใบหน้าของเจ้าชายที่ถูกหน้ากากบังไปครึ่งหน้า ก็เห็นแต่สายตาที่อ่อนโยนมองตอบกลับมา
ใครกันนะ
“...เรย์กะ” ใครเรียกฉันนะ ท่านพี่เหรอ
ฉันมองหาต้นเสียง พอกำลังจะอ้าปากตะโกนบอกท่านพี่ว่าฉันอยู่ตรงนี้ แต่กลับถูกประคองใบหน้าเอาไว้ แววตาอ่อนโยนของเจ้าชายใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนเห็นได้ชัดเจนถึงเงาสะท้อนของฉันในดวงตา
สัมผัสอุ่นๆที่ริมฝีปากปิดบังคำพูดฉันไม่ให้เล็ดรอดออกไป ทุกอย่างนุ่มนวลและเป็นไปอย่างเชื่องช้าแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆหนักหน่วงขึ้นพาฉันหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ หัวใจเต้นถี่รัวเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอก สองขาแทบพยุงตัวเองไม่อยู่ และไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยในตอนนี้
นี่คือมนต์สะกดอย่างนั้นเหรอ
เวทมนต์คลายลงเมื่อเจ้าชายถอนริมฝีปากออก ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติ ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และร่างของท่านพี่ก็ปรากฎให้เห็น
“เรย์กะ”
“ท่านพี่” ฉันยิ้มกว้างให้ท่านพี่ จะว่าไปแล้วฉันมานั่งที่ม้านั่งนี่ตั้งแต่ตอนไหนนะ
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ พี่ตามหาเราให้ทั่วเลยนะ” ท่านพี่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาดูท่าทางร้อนใจ
“ท่านพี่ขา น้องได้เต้นรำกับเจ้าชายด้วยล่ะ สนู้กสนุก” ฉันเกาะแขนท่านพี่ หัวเราะฮ่าๆแล้วหมุนตัวเป็นวงกลมให้ดูอย่างต้องการสาธิต
“เจ้าชาย” ท่านพี่เลิกคิ้ว มองไปรอบๆ “ไม่เห็นมีเลยนี่”
“ต้องมีสิคะ เจ้าชายน่ะทั้งอ่อนโยนและใจดีมากๆเลย” ฉันวาดมือไม้ไปในอากาศ “มาสิค้า น้องจะแนะนำให้ท่านพี่ได้รู้จัก…”
“เรย์กะ เราดูแปลกๆไปนะ หรือจะแอบดื่มเหล้า…”
“ไม่ได้แอบนะค้า ทานอย่างเปิดเผยเลยค่า”
ลิ้นฉันเริ่มพันกันแล้ว น่าจะเหนื่อยจากการออกแรงมากเกินไป จะว่าไปก็ชักจะง่วงๆขึ้นมาแล้วสิ
จากนั้น ท่านพี่พูดอะไรออกมาบ้างฉันก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว พอท่านพี่เข้ามาใกล้ๆฉันก็ซุกตัวลงแล้วหลับไปทั้งๆอย่างนั้น หลับไปด้วยความรู้สึกมีความสุข
ดีจังที่มางานซัมเมอร์ในปีนี้ ได้เป็นเจ้าหญิงเต้นรำกับเจ้าชายด้วยล่ะ
--------------------
จบความกาวของกูแล้วจ๊ะ
เป็นจอมฉวยโอกาสจริงๆนะครับ คุณเจ้าชาย!
แท้งกิ้วโม่งฟิค
ฟิคย้อนไปยุโรปยุคกลางกับท่านพี่สายดาร์คจบยังนะ กุหายไปนาน หาไม่เจอแล้ว
กูรอหลายฟิคเลย อยากอ่านเรย์กะเกอิชาต่อจุง ท่านพี่ดาร์กไซด์ก็อยากอ่านต่อ ฟิคเวียน ฟิคชากาแฟ มะหมา เรย์กะสามัญชน แบดเอนด์ โกลเด้นวีค เรย์กะความจำเสื่อม และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็รอให้มาต่ออยู่นะ//ปูเสื่อรอโม่งฟิคทั้งหลาย
กูเพิ่งมาตามอ่านจนถึงตอนล่าสุดมี 1คำถาม
คนแต่งเทแล้วใช่ไหม
อืม รอตอนใหม่ตั้งแต่ยังไม่คลอด จนตอนนี้ลูกกูเริ่มเกาะยืนแล้วล่ะ ไม่เป็นไร กูให้เวลาถึงลูกเข้าอนุบาลละกัน ถึงตอนนั้นลูกท่านฮิก็คงเข้าอนุบาลเหมือนกัน น่าจะพอมีเวลาหายใจหายคอมาแต่งต่อนะ *ทำหน้าครุ่นคิส*
เป็นคุณแม่มันก็วุ่นวายงี้แหละมึง เดี๋ยวว่างแล้วคงมาต่อ(...)
รู้สึกหดหู่จัง ตะก่อนเวลาหดหู่กูก็อ่านเจ้าแม่แก้เครียด แต่ก็อ่านซ้ำไปซ้ำมาจนรู้สึกหดหู่กว่าเดิมเพราะไม่มีตอนใหม่มาซะที ฮือ
จริงๆกูอยากให้แกออกมาบอกหน่อยนะว่าเป็นยังไงบ้าง บอกว่าไม่เขียนต่อเทแล้วจ้ากูก็รับได้ ไม่ใช่เงียบหายไปเลยแบบนี้มันใจคอไม่ค่อยดี กลัวแกจะเป็นอะไรไปมากกว่ากลัวไม่ได้อ่านอะ
กูกลับไปวนอ่านท่านเรย์กะอีกรอบแล้วก็จับสังเกตอะไรหลายๆอย่างได้ ถึงส่วนใหญ่พวกโม่งหลายคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วแต่กูก็อยากจะขุดมาเล่าใหม่
เช่นจากมุมมองของเรย์กะนี่เหมือนร้อยละแปดสิบเปอร์เซ็นจะเป็นการสังเกตชีวิตคาบุรากิตลอด อาจเพราะต้องการหลบเลี่ยงและสืบความเป็นไป มุมมองของนางไม่ค่อยเล่าถึงเอ็นโจสักเท่าไหร่เทียบกะคาบุ แต่พอเรื่องดำเนินไปเราก็จะเห็นว่าเรย์กะเองก็รู้เรื่องของเอ็นโจมากพอสมควรทั้งๆที่ไม่มีบทบรรยาย แล้วจริงๆก็เหมือนจะคุยกันบ่อยๆในห้องสโมสรด้วย ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ถึงจะเป็นพวกทักทายหรือจิบชาคุยเรื่อยเปื่อยแต่ก็น่าจะบ่อย เรย์กะก็มักจะหลุดคำอธิบายแบบ เอ็นโจบอกว่า... ข่าวจากเอ็นโจอะไรแบบนี้ บางทีท่านฮิโยโกะอาจจะเลี่ยงไม่อธิบายให้เราเห็นความสัมพันของสองคนนี้
ต่อไปคือเรื่องข่าวสารเกี่ยวกับท่านเรย์กะ อันนี้โม่งๆรู้กันอยู่แล้ว เอ็นโจนี่ข่าวไวเกี่ยวกับท่านเรย์กะมาก ทั้งเรื่องที่เรย์กะไปกินข้าวกับน้ามาโอะ เรื่องที่ชอบคนอายุมากกว่า เรื่องที่ชอบประธานอีก ตอนคาบุอกหักที่หมอนั่นรู้ว่าเรย์กะชอบประธานนี่เดาว่าเอ็นโจมาบอกให้ตาคาบุมันเข้าใจว่าเรย์กะอกหักตอนนั้นแหง สต็อคเกอร์ในตำนาน แถมสายข่าวให้นางนี่น่าจะมีอายาเมะจังแน่ๆ เพราะนางชงแรงมาก
ทีนี้คือจากที่อ่านก็น่าจะพอจับความรู้สึกกันได้ว่าเอ็นโจแม่งชอบเรย์กะแน่ๆ แต่ทำไมนางดูชอบจับคู่เรย์กะกับคาบุเหลือเกิน อันนี้กูเดาว่าประเด็นคงอยู่ที่แม่นางยุยโกะกะคุณพ่อเอ็นโจที่ไร้บท คู่เอ็นโจยุยโกะนี่น่าจะพอจับได้รางๆแล้วว่าเป็นคู่แต่งทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์แน่ๆ ทางบ้านอุริวคงมีประโยชน์กับบ้านเอ็นโจหรือมีสัญญาสักอย่าง ที่แน่ๆคือเอ็นโจคงปฏิเสธยาก ไม่งั้นนางคงไม่ยอมอยู่กับแม่นางยุยทั้งๆที่ไม่เต็มใจแน่ๆ ทีนี้เอ็นโจอาจจะคิดว่าตัวเองคงไม่ได้ลงเอยกับเรย์กะแน่ๆ แถมบ้านคาบุก็จับคู่คาบุเรย์กะขนาดนั้น นางอาจจะคิดว่าฟนึ่งคือคู่เรย์กะกับคาบุมันน่าสนุก ถ้าสองคนนี้คบกัน นางที่ดูอยู่ข้างๆอาจจะสนุกด้วย สองคือถ้าเรย์กะได้กะคาบุ ยังไมเรย์กะก็จะหนีจากวงสังคมใกล้ๆเอ็นโจไปไม่ได้ เพราะเอ็นโจเป็นเพื่อนสนิทกับคาบุ อารมณ์แบบตัวไม่ได้ครองก็ขออยู่ใกล้ๆ ดีกว่าให้เรย์กะไปได้กับคนอื่นแล้วหายไปจากชีวิตนาง เพราะเรย์กะแทบไม่ออกงานสังคม ถ้าไม่มีจุดเกี่ยวเนื่องคงหาตัวยากแน่ๆ
แต่บางทีจุดเปลี่ยนมันอาจจะอยู่ที่ถ้าเอ็นโจชอบเรย์กะมากจนไม่อยากปล่อยมือและเริ่มลงมือทำอะไรบ้าง แถมยิ่งถ้าคาบุได้กับวาคาบะจังจริง แผนจับคู่เพื่อนสนิทก็จะทำไม่ได้ มีแต่ต้องลงสนามเอาเองเท่านั้น ถ้ามีโอกาสได้อ่านตอนใหม่ กูก็อยากจะเห็นพัฒนาการในส่วนนี้จัง...
นี่คือการพร่ำเพ้อของชาวเรือเอ็นโจระหว่างการย้อนอ่านเหงาๆเท่านั้น ถ้าพวกมึงมีอะไรมาคุยโต้แย้งกันก็โอคะ
>>734 กูว่าเรย์กะรู้เรื่องเอ็นโจดีนะ อะไรเล็กๆน้อยๆก็รู้ อย่างเรื่องเขาไม่กินขนมหรือไม่เคยรินเครื่องดื่มบริการใคร รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหมือนนางหลุดปากออกมาเองไม่ได้บรรยายมุมมองแบบคาบุ
ส่วนเอ็นโจ กูว่าทีแรกที่ฮีจับคู่คาบุกับเรย์กะน่าจะออกแนวสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วตลกดี ถ้าได้คู่กันฮีน่าจะมีอะไรบันเทิงให้ดูได้ไม่เบื่อ แต่เอาเข้าจริงพอเขาอยู่ด้วยกันนี่เสือกทนไม่ได้ ปรี๊ดแตกระเบิดเรือเอง แบบตอนเกิดมาไม่เคยโดนใครทิ้งอะ กูว่าสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลมาจากแค่เขานั่งข้างๆกันเอง พอทะเลาะกับเขาก็คะแนนตก กูคิดว่าตรงนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ฮีแน่ใจความรู้สึกตัวเองว่าเรย์กะนางมีอิทธิพลต่อจิตใจขนาดไหน ถึงได้รุกแรงขึ้น อย่างเริ่มชวนเขาไปนั่นมานี่แล้วอย่างชวนไปอควอเรียม หน้าด้านตามไปกินราเม็งด้วย(แต่โดนสกัดดาวรุ่ง) ชวนไปกินคีช ชวนดูดอกไม้ไฟ แล้วตอนที่ 268 กูคิดว่าเหมือนตอกหมุดย้ำว่าคนนี้ล่ะ จากที่ชอบๆมันก็ก้าวไปสู่คำว่ารักแล้ว ดูตามติดมากขึ้น เห็นเขายืนดูมือถือนานก็ไปส่องจากด้านหลัง ขอสัมผัสเนื้อตัวทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยทำ ตอนนั้นอย่างมากก็ได้แค่แอบมองแล้วเอาไปคิดต่อว่าต้นคอเขาสวยนะ กูว่าต้องคิดอะไรหื่นๆอยู่แน่ ไม่งั้นไม่พูดออกมาว่าคิดมาตั้งนานแล้วว่าต้นคอเรียวระหง...คิดมาตั้งนานนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ 555555555555
กูก็อยากเห็นพัฒนาการเหมือนกัน ความสัมพันธ์มันซึมลึกแต่พอคิดตามแล้วรู้สึกหวานนะ
สรุป คาบุคือสตอล์คเกอร์แบบชัดเจน
ส่วนเอ็นโจเป็นสายซุ่มสตอล์คสินะ
>>734 เอ็นโจข่าวไวเพราะสายข่าวเยอะด้วยป่ะ ยิ่งเป็นประเภทตีเนียนคุยกับใครก็ได้อยู่ด้วย เรื่องรอบๆตัวก็อายาเมะจัง มาโอะก็คงเล่าเรื่องไปกินข้าวกับคุณน้าให้ยูกิโนะฟัง เรื่องที่โรงเรียนพิเศษก็ถามทาคากิได้ เผลอๆอาจจะมีคอนเนคชั่นลับๆกับอิมาริอยู่ด้วย
จะว่าไปพูดถึงพ่อเอ็นโจที่ยังไม่มีบท กูนึกภาพคุณอาผมทองหล่อลากแต่งตัวเนี้ยบทั้งเนื้อทั้งตัว เป็นเอ็นโจเวอร์ชั่นโอจิ นิสัยร้ายกว่าลูกชาย //แต่ถ้าออกมาตุ้ยนุ้ยเหมือนพ่อทานุกิของเรย์กะนี่ฮาเลยนะ 555555555
>>735 จะว่าไปช่วงเรย์กะกับคาบุสนิทกันมากขึ้นแล้วเอ็นโจนางเสนอหน้าตามประกบมานี่อย่างฮา ก็นะ ตลอดหลายปีมานี้พยายามหยอดสาวชมสาวแทบตายโดนปัดธงทิ้งหมด รุกมากสาวก็หนี ครั้นพอดูมีแววก็ดันมีว่าที่คู่หมั้นโผล่มาจากไหนไม่รู้ทำให้กระต่ายยิ่งถอยตัวออก เอ็นโจนี่น่าสงสารชอบกลนะ คาบุก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีคำแนะนำจากเรย์กะ ไม่แน่ก็อาจจะยิ่งจีบวาคาบะไม่ติดก็ได้ ทำไมสองหนุ่มหล่อหนึ่งสาวน่ารักสามผู้ยิ่งใหญ่ต้องมีชะตากรรมรักน่าสังเวชแบบนี้วะ
>>740 ทำไมน่ะเหรอ
ของคาบุ ก็คงเป็นเพราะ คราวยูริเอะนั้นคงเป็นเรื่องอายุที่ห่างกัน และเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยทำให้นางมองเป็นน้องชายมาตลอด คงจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นยาก ส่วนคราววาคาบะนั้นคงเป็นเพราะดันไปจีบแบบไม่สนความรู้สึกของฝ่ายหญิง และไม่สนบรรยากาศรอบตัวว่าถ้าไปยุ่งมากจะทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อน
ของเอ็นโจก็คงเป็นเพราะเจ้าตัวดันไปทำให้อีกฝ่ายระแวงเอง บวกกลับเรย์กะฝังใจกับจุดจบในมังงะ ทำให้นางยิ่งจะหลีกหนี ถ้าไม่มียูกิโนะนะ ไม่มีทางคืบหน้าหร้อก
ส่วนของเรย์กะนะ บอกได้คำเดียวว่า "ซวย" พอชอบใคร หรือเริ่มจะชอบใคร อีกฝ่ายมีเจ้าของแล้วทั้งนั้น
>>741 เพราะคำสาปนางร้ายป่ะ ตัวละครนางร้ายส่วนใหญ่ก็จบไม่ดีอยู่ละ เบาหน่อยก็นก กินแห้ว โดนประนามหยามเหยียด สังคมรังเกียจเลิกคบ แรงๆก็มีทั้งตาย พิการ ติดคุก เป็นบ้า โดนข่มขืน(อันนี้กูเกลียดมาก) เรย์กะวิญญาณสามัญชนมาเกิดถึงจะเปลี่ยนนิสัยให้ดีขึ้น แต่ก็โดนคำสาปนางร้ายขั้นเบาะๆให้นกอยู่ร่ำไป
ท่านฮิโยโกะหายไปนาน ลืมพาสเวิร์ดป่าววะ
>>734 กูว่าตอนแรกๆเอ็นโจคงคิดว่าตัวเองคงไม่ได้สมหวังหรอก เพราะตัวเองก็มีชนักปักหลังชิ้นเบ้อเร่อ เลยพยายามจับคู่เรย์กะให้คาบุไป อย่างน้อยก็น่าจะได้เป็นแก๊งค์สามช่ากัน เป็นเพื่อนกันมันก็ความสัมพันธ์ยืนยาวกว่าด้วย แต่ถึงเวลาจริงๆก็รู้ว่าทำไม่ได้ไง แค่เขาไปนั่งข้างๆกันก็ออกอาการฉุนเฉียวขนาดนั้นละ หนังแต่ละเรื่องที่ฮีพูดมามีจุดร่วมที่เหมือนกันทุกเรื่องคือใครแย่งสาวที่พระเอกชอบ ทุกคนล้วนไม่ตายดี ถ้าต้องมาดูเรย์กะไปกับคาบุจริงๆกูว่าฮีทนไม่ได้ว่ะ อาจจะมีพังพินาศกันไปข้าง
ที่กูเดาไว้นะว่าสาเหตุหลักๆเลยก็การตกลงหมั้นหมายของผู้หลักผู้ใหญ่นั่นล่ะ แนวเครือญาติก็คงทำนองว่าเรือล่มในหนองทองไม่ไปไหน แต่ก็มี hint ที่เอ็นโจชอบพูดคือเรื่องบุญคุณ ทำอะไรก็บุญคุณตลอด น่าจะโดนปลูกฝังนิสัยอะไรแนวๆนี้มาหรือไม่ก็เจอเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าเอาบุญคุณมากดทับกัน แล้วก็มีเรื่องที่เอ็นโจขาเจ็บลงวิ่งไม่ได้ตอนประถม ทิ้ง hint ไว้ น่าจะเอามาใช้ ขนาดตัวประกอบจืดจางใช้แล้วทิ้งแบบคุณอิโคมะที่ออกมาไม่กี่ตอน คนอ่านก็ลืมกันไปหมดแล้ว อ.แกยังเอามาใช้ในตอนหลังเลย เรื่องเอ็นโจขาเจ็บนี่อาจจะเกี่ยวพันกับเรื่องบุญคุณหรือสัญญาอะไรกับทางอุริวก็ได้มั้ง
ตอนกูอ่านความสัมพันธ์ของเรย์กะ เอ็นโจ ยุยโกะ กูก็นึกถึงหน้ากากแก้วขึ้นมาว่ะ ที่คุณฮายามิซัพพอร์ตน้องมายะในเบื้องหลังตลอดเวลา ส่งดอกกุหลาบสีม่วงไปให้ เป็นแฟนคลับของคุณนะครับ แต่ต่อหน้าทำตัวร้ายๆ ขี้แกล้ง ดูเป็นคนเลือดเย็น น้องมายะก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าแต่ก็เชื่อใจเขา แล้วคุณฮายามิก็มีปมที่เป็นเด็กถูกรับมาเลี้ยง มีคู่หมั้นที่น่าตบมว๊ากกกกกกก ชอบเอาอาการป่วยอ่อนแอดูแลตัวเองไม่ได้มาเรียกร้องความสนใจตลอดเวลา ถึงจะรำคาญแต่กูก็อ่าน เพราะกูอยากรู้ว่าใครจะได้เป็นนางฟ้าสีแดง 555555555555555
แต่นี่มันเรื่องท่านเรย์กะ คงไม่ดราม่าขนาดข้างบนหรอกมั้งงงงงงงงง ต่อให้ดราม่าหนักขนาดไหนแต่กูเชื่อว่าต้องจบดีและมีทางออกดีๆสำหรับทุกฝ่ายในสไตล์ของนางแน่นอน ส่วนตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาให้มาต่อเถิด//กุมมือสวดอ้อนวอน
>>752 ฟิคมึง ฟิค 5555555555
บ้านคาบุกับบ้านวาคาบะนี่รู้ว่าที่บ้านทำงานทำการอะไร เป็นเจ้าของกิจการด้านไหน แต่บ้านเรย์กะกับเอ็นโจไม่มีหลุดออกมาซักนิด ก็ได้แต่เดากันไปว่าบ้านสองคนนี้ทำกิจการด้านไหน แต่ให้กูเดานะ กูว่าโรงบาลที่เรย์กะไปรักษาคิ้วร่วงนี่อยู่ในเครือเอ็นโจแน่ๆ ถถถถถถถถถถ
>>751 นึกถึงเรื่องพี่เซลล์แมนไปต่างโลกแล้วมันมีให้กรอกแต้มว่าจะให้เอาไปใช้ด้านไหนบ้าง พี่แกนึกว่าอำกันเล่นก็กรอกเกรียนๆไปให้หน้าตาติดลบสุดกู่กับห้ามมีอย่างว่ากับผู้หญิงไม่งั้นตาย แต่แลกมาด้วยพลังมหาศาลแล้วก็ความเทพ ตอนคาบุกับเอ็นโจจะลงมาเกิดอาจจะกรอกแต้มความรักติดลบเพราะเห็นว่าไร้สาระ หน้าตาหล่อแถมบ้านรวยเดี๋ยวสาวก็มาเองแหล่ะ แล้วสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นล่ะฮะท่านผู้ชม 5555555555
อ่านไปถึงช่วงที่คาบุเรย์กะพาทัวชิมอาหารแล้วก็กร๊าวใจดีจังเลยว่ะ คือถ้าไม่ใช่ว่าตัวอยู่เรือเอ็นโจแล้วกูคงอวยเรือคาบุเรย์กะน่าดูชมเหมือนกัน สองคนนี้มีอะไรคล้ายๆกันเยอะมาก ทั้งรสนิยมการกินและความบ้า
>>757 กูว่าเอาจริงๆถ้าบอกว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องฝาแฝดที่โตมาด้วยกันกูยังไม่แปลกใจเลยอ่ะ น้องชายรูปหล่อน่าเกรงขามแสนฉลาดแต่อายุสมองน้อยชอบทำตัวเอาแต่ใจกับพี่สาวท่าทางเป็นคุณหนูผู้เยื่อหยิ่งแต่จริงๆใจอ่อน เป็นสองฝาแฝดที่แชร์ทั้งความบ้าและความชอบกิน คือถ้าโตมาแบบสนิทๆกันนี่คงพาเที่ยวกันตั้งแต่ตัวกระจ้อยแน่ๆ นึกภาพเรย์กะตัวน้อยจูงมือมาซายะน้องชายและชูสึเกะผู้ติดสอยห้อยตามมาแอบเดินเข้าร้านสะดวกซื้อตอนป.1 สิ
>>759 ทั้งสองบ้านอาจจะคุยกันแต่ยังไม่ได้ตกลงจริงจัง แต่ทุกคนคงดูออกแล้วว่าเรย์กะนี่ต้องหมั้นกับคาบุแน่ๆ (ยกเว้นสองคนคือเรย์กะที่ไม่คิดว่าผู้ใหญ่จะตกลงปลงใจทั้งสองฝ่ายแล้วกับคาบุที่ไม่สะกิดใจ) มีชูสึเกะยืนยิ้มขื่นๆ อยู่วงนอกตอนเห็นคาบุไล่ตามยูริเอะและเรย์กะตกหลุมรักประธาน พอโตขึ้นหน่อยทั้งสองถึงได้สังเกตว่าพวกพ่อแม่เอาจริงแน่แล้วเลยรีบหาทางปฏิเสธกันใหญ่ เรย์กะก็รีบมองหาแฟนแถมช่วยจับคู่คาบุกับวาคาบะอย่างกะตือรือร้นงี้ โอ๊ย พร่ำไปมาอยากเขียนฟิคเลย อยากได้แก๊งสามช่าวัยละอ่อน
>>761 ถ้าเรย์กะตามไปซื้อกระดาษจดหมาย แก๊งค์สามช่าคงถือกำเนิดในวันนั้น เรย์กะน่าจะคิดว่าต้องตั้งตัวเองเป็นผู้ปกครองของสองคนนี้ คอยจับตาดูไว้ไม่ให้ไปก่อเรื่องหรือสร้างธงหายนะให้นาง พอยูกิโนะเกิดก็เฮโลกันไปเล่นกับน้องที่บ้านเอ็นโจ มาซายะก่อกวนยูกิโนะตอนหลับอาจจะโดนเรย์กะตบหัวทิ่มไรเงี้ย มีชูสุเกะมองยิ้มๆ เข้าไปช่วยเรย์กะเลี้ยงน้อง แต่แอบจิ้นไปไกลแล้วว่าถ้ามีลูกคงเป็นประมาณนี้ โอยยย อยากได้ฟิคจังข่ะ
>>758 กูนึกภาพเรย์กะวัยประถมแอบเอาขนมสามัญชนถูกๆที่ซื้อมาแบบยากลำบากมาหลบมุมกิน แต่สองหน่อมาเจอเลยโดนไถขนมไป มาซายะกินแล้วติดใจเลยบอกให้พาไปซื้อหน่อย กลายเป็นวางแผนการสุดเครียดในการเดินเข้าไปซื้อของในร้านมินิมาร์ท เหมาของที่อยากกินมาเปิดประชุมปาร์ตี้ขนมสามัญชนกันสามคน มีวาระการประชุม ลงบันทึกรายละเอียดว่าอันไหนอร่อยต้องซ้ำ อันไหนไม่อร่อยอย่าแดก พอขึ้นมัธยมก็ออกไปตะลอนทัวร์ชวนชิมตามร้านเกรดบีกันสามคน พอน้ำหนักขึ้นก็จับไดเอทไรเงี้ย 55555
>>765 กูว่าบล็อกชิมอาหารของราชินีโรโคโค่ที่เรากาวๆกันไว้แม่งได้เป็นจริงๆแน่ๆเลยว่ะ อาจจะเป็นบล็อคช็อปชิมชิลกับพระราชวังแวรซาย(?)อะไรแบบนี้ มีนักเขียนหลักสองคน คนนึงเขียนวิเคราะห์อย่างละเอียดทั้งขนมเลิศรสและระดับความอร่อย อีกคนอาจจะเป็นจัดอันดับความอร่อยและคุ้มค่า และเมนูก็จะหลากหลายกว่ามีตั้งแต่หรูยันขนมหลอกเด็ก อีกคนเป็นผู้ดูแลเว็บกับถ่ายรูปไป แล้วในเครื่องก็จะแอบมีรูปใครบางคนมากหน่อย ไม่ยอมเอาลงเว็บ
จะมีใครจัดทริปทัวร์กินตามเจ้าแม่(ที่ญี่ปุ่น)ไหมวะ น่าสนใจมาก
>>766 กูว่าถ้าสามหน่อนี้ไปด้วยกันตั้งแต่เด็กๆมันก็ต้องเกิดอีเวนท์ทัวร์ชวนชิมพวกนี้อยู่ดี แค่เกิดเร็วขึ้นเท่านั้นเอง 55555555555
ขอ ky แปป พอดีไปเจอคลิปนี้มา โอ๊ยยยย ใจละลายไปกับซามอยด์ ถ้าชูสุมอยไปอ้อนใส่เรย์ทันแบบนี้นี่กูตาย น่ารักโคตรรรรรรร
https://twitter.com/octobeary/status/1082240207712182272
>>734 ที่ฮีจับคู่คาบุกับเรย์กะน่าจะโดนผู้ใหญ่แบบมาดามคาบุกดดันมาด้วยป่ะวะ อาจจะไม่ได้กดดันหนักมากมายหรอก แต่ก็เปรยๆว่าอยากให้ช่วยชงสองคนนั้นหน่อย บ้านเอ็นโจอาจจะต้องพึ่งพาบ้านคาบุหรือบ้านยุยโกะ ชูสุเกะเลยต้องทำตามที่ผู้ใหญ่ขอร้องมา อีกอย่างกูว่าฮีอาจจะเข้าใจว่าเรย์กะแอบชอบมาซายะอยู่เลยคิดว่าตัวเองคงไม่มีหวัง หรือไม่ก็ชงให้สองคนนี้สนิทกันเพื่อที่ตัวเองจะได้เข้าใกล้ไปด้วย เราเข้าไปดุ่มๆตัวคนเดียวเดี๋ยวเขากลัว ต้องเอาน้องกับเพื่อนมาอ้างบังหน้าอยู่ร่ำไป
>>770 งู้ววววววว ชูสุมอยแบบโชตะ รู้สึกใจบางตอนฟุบกับพื้นเหลือเกิน
Fic
ไม่ใช่ว่าเพดานห้องมันสูงขึ้นสักหน่อยหรือเปล่าน้า
ฉันจ้องมองมันด้วยความสงสัย ดูเหมือนโคมไฟระย้าก็ยังดูใหม่อยู่ด้วยหรือว่าวันก่อนที่ออกไปดูดอกไม้ไฟกับยูกิโนะคุงท่านแม่จะให้ช่างเข้ามาทำอะไร
อุหวา หวังว่าคงไม่ได้เปิดตู้เสื้อผ้าออกมาด้วยหรอกนะ ในนั้นมีของที่ท่านแม่เห็นจะต้องกลายร่างได้อยู่เยอะแยะด้วยสิ แต่ว่าเมื่อคืนท่านแม่เองก็ไม่เห็นจะว่าอะไรนี่นา ช่างมันเถอะเน๊อะ
แต่จะว่าไปเตียงนี่มันก็เหมือนจะใหญ่ขึ้นนิดหน่อยหรือเปล่านะ ไม่สิ พอมาคิดดูแล้วไม่ใช่ว่ามันเหมือนเตียงสมัยเด็กเลยหรือไง เมื่อคืนจำไม่เห็นได้เลยว่าตอนที่นอนเป็นเตียงนี้
เอ๋
ประหลาดจังเลยนะ หรือว่ากำลังฝัน ฉันลองหยิกไปที่แก้มตัวเองดู
เจ็บอ่า
เอ๋
ไม่ใช่ว่ามือนี่เล็กลงไปหน่อยหรอกเหรอ ฉันมองมันด้วยความสนใจก่อนจะเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วไปส่องกระจกดู
พอเห็นตุ๊กตาฝรั่งเศสตัวน้อยในนั้นก็เริ่มพอจะเข้าใจ ดูเหมือนนี่จะเป็นวัยเด็กของฉันนี่แหละค่ะ
*************
"ท่านพี่ขา"
ฉันเมินเฉยสถานการณ์ที่ไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบก่อนจะใช้ชีวิตไหลไปตามเรื่องราว ท่านพี่ทาคาเทรุวัยเด็กล่ะ คิดถึงจัง! แม้จะยังเด็กแต่ก็เป็นท่านพี่ที่จริงจังดูเป็นผู้ใหญ่เหมือนเดิม หวา ไม่ใช่ว่าเครียดไปหน่อยหรือไงคะ ท่านพี่เพิ่งจะสิบเอ็ดขวบเท่านั้นเองนะคะ
"มีอะไรหรือเปล่า" ท่านพี่ทำหน้าประหลาดใจที่ถูกฉันกอดจากด้านหลัง อุแหะๆ ต้องเขย่งเท้าด้วยแหละถึงจะถึงเอวท่านพี่
"ไม่มีอะไรค่า"
"หืม วันนี้ดูแปลกๆ นะ มีไข้หรือเปล่า"
ท่านพี่ทำหน้าประหลาดใจก่อนจะลองใช้หลังมือสัมผัสหน้าผากฉัน ใจเต้นตึกตักนิดหน่อยเลยล่ะค่ะ
"ตัวร้อนนิดหน่อยนะ"
"ไม่เป็นไรค่า"
"อืม ไม่ได้หรอก ถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาจะแย่เอา เดี๋ยวพี่บอกท่านแม่ให้เตรียมรถไปโรงพยาบาล"
"ไม่เป็นไรจริงๆ ค่า หนูอยากอยู่กับท่านพี่มากกว่า"
"แต่ว่าวันนี้พี่มีเรียนพิเศษนะ"
อ๋า ใช่แล้วท่านพี่ต้องไปเรียนพิเศษตั้งแต่เด็กแถมต่อมายังแนะนำให้ฉันไปเรียนที่นั่นจนเจอกับซากุระจังด้วยนี่นะ
"เข้าใจแล้วค่า"
หลังจากท่านพี่ไปไม่นานท่านแม่ที่ออกไปงานเลี้ยงน้ำชาข้างนอกก็โทรมาให้คนขับรถพาฉันไปโรงพยาบาลทันที
แน่นอนว่าไม่ได้เป็นอะไรล่ะ!
คุณหมอให้วิตามินสำหรับเด็กมารับประทานสองถุงก่อน ในตอนที่ออกมาท่านแม่ก็โทรศัพท์เข้ามาถามอาการกับคุณพ่อบ้านที่มาด้วย พอเดินออกมาหน่อยก็เจอเด็กผู้ชายคุ้นตาสองคน
"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจมากนะมาซายะ"
"งั้นก็ดีแล้ว หืม จูโม่"
จูโม่อะไรยะ!
*หมายเหตุ จูโม่ มาจากตุ๊กตากระเบื้องเคลือบฝรั่งเศสของจูโม่
ฉันชักสีหน้าได้แวบเดียวก่อนจะหันหน้าหนี ไม่นึกว่าจะเจอตัวปัญหาในอนาคตที่นี่ได้ ปกติเราต้องเจอกันตอนช่วงประถมที่ซุยรันนี่นา
แต่ครั้งนี้ฉันย้อนมาก่อนจะถึงวัยประถมนานอีกดังนั้นไม่น่าจะเจอกันได้เลย
จะว่าไปท่านน้าซึ่งเป็นแม่ของท่านเอ็นโจก็เข้าโรงพยาบาลบ่อยนี่นะ อุหวา บังเอิญจริงๆ
หลังจากออกจากตึกโรงพยาบาลฉันอดจะเหลียวหน้าไปมองคาบุรากิกับเอ็นโจไม่ได้ จะตามมาทำไมกันยะ!
"มีอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ" ก็อยากจะด่าอยู่หรอกแต่ว่าตอนนี้พวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อนนี่นา คาบุรากิที่ภายนอกก็ดูเป็นคุณชายน้อยที่สง่างามอยู่แท้ๆ แต่เนื้อในเป็นสตอกเกอร์คลั่งรักเสียของสุดๆ
คาบุรากิยืนอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหันไปหาเอ็นโจแล้วบอก
"พูดได้ด้วย"
ก็ต้องพูดได้อยู่แล้วสิยะ! เจ้าหมอนี้นึกว่าฉันเป็นตุ๊กตาเคลือบนั่นจริงๆ เรอะ
"เอ๋ ก็ต้องพูดได้สิ เธอคนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงไม่ใช่เหรอ" เอ็นโจตอบอย่างสบายๆ
คาบุรากิสมัยเด็กก็อ่านง่ายแบบนี้แต่แรกอยู่แล้วนี่นา! ไหงคนอื่นไม่รู้จักเนื้อในไม่ได้ความแบบนี้กันนะ นี่นายเชื่อจริงๆ เหรอว่าจะมีตุ๊กตาขนาดเด็กสี่ห้าขวบเดินเพ่นพล่านไปมาได้น่ะ เจ้าหมอนี่ตอนเด็กต้องเชื่อเรื่องซานตาคลอสแน่ๆ เลยใช่ไหม
"งั้นเหรอ"
"อื้อ ก็เธอคนนั้นผมสีดำนี่นา"
"อะ จริงด้วย ไม่ใช่งานของจูโน่นี่"
"จริงด้วยน้า"
อย่าไปเชื่อตานั่นสิยะ ไม่รู้เหรอว่ากำลังโดนเอ็นโจหลอกเอาอยู่ ต่อให้ย้อมผมเป็นสีทองแต่ฉันก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาเหมือนเดิมนะ
คุณพ่อบ้านที่ตามมาด้วยก็ยืนดูอยู่ห่างๆ พร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดู ไม่มาช่วยกันหน่อยเหรอคะ ดิฉันกำลังถูกรบกวนอยู่นะ
"นี่ๆ กำลังจะไปไหนน่ะ"
คาบุรากิถามขึ้นมาในขณะที่ฉันกำลังเดินหนีไปไกล ฉันมองดูร้านสะดวกซื้อข้างโรงพยาบาลก่อนจะหันไปทางคุณพ่อบ้านแล้วพูดออกมาว่า "จะไปร้านสะดวกซื้อสักหน่อยค่ะ"
คุณพ่อบ้านทำหน้าตะลึงใหญ่เลยแต่สองหน่อนี่ไม่มีอาการผิดปรกติอะไร
คุณพ่อบ้านเดินตามอยู่ห่างๆ ไม่ได้ว่าอะไร ขณะที่ฉันลองเข้าไปร้านสะดวกซื้อที่หรูหรากว่าร้านทั่วไปพอสมควร การจะมาตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลเลิศหรูแบบนี้ได้ก็คงต้องเป็นร้านระดับนี้แหละนะ
"เอ๋ ไม่ใช่บ้านตุ๊กตาฮินะหรอกเหรอ"
คาบุรากิทำเสียงเหลือเชื่ออีกครั้ง ในหัวหมอนี่คิดอะไรอยู่ยะ คิดว่าที่ๆ ฉันไปจะเป็นบ้านตุ๊กตาเรอะ
"บอกไปเมื่อกี้ว่าจะมาร้านสะดวกซื้อนี่คะ" ฉันทำใจเย็นตอบขณะที่อีกฝ่ายยังมองไปรอบๆ
เอะ หรือว่า
"ไม่รู้จักร้านสะดวกซื้อเหรอคะ" ฉันถามออกไป
"ตะ ต้องรู้จักอยู่แล้วล่ะน่ะ ร้านสะดวกซื้อใช่ไหมล่ะ เคยมาอยู่แล้วล่ะ"
อ่านง่ายชะมัด...ฉันเห็นท่าทีล่อกแล่กนั่นแล้วพลันรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา เมื่อก่อนทำไมถึงกลัวหมอนี่ได้นะ
ขณะที่เอ็นโจใช้สายตาสำรวจไปรอบๆ โดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนกำลังเรียนรู้ในการปฏิบัติของสถานที่นี้อยู่นะ
ฉันเดินไปดูรอบๆ ก่อนจะหยิบขนมออกมาสองสามห่อ ร้านสะดวกซื้อเลิศหรูแห่งนนี้มีขนมจากต่างประเทศที่ท่านแม่คงไม่เอ็ดใส่เมื่อกลับไป จากนั้นคาบุรากิก็เริ่มทำตาม ขณะที่เอ็นโจขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่ง
พวกเราไปยังเค้าเตอร์ชำระเงินก่อนที่คุณพ่อบ้านจะเดินเข้ามา ฉันก็หยิบเงินออกจากกระเป๋าสะพายออกมา จะไปรบกวนเงินคุณพ่อบ้านได้ยังไง
"อะ"
ขณะที่ฉันกำลังถูกคิดเงิน เสียงของเด็กน้อยคาบุรากิก็ดังขึ้นมาด้านหลังจนฉันเหลียวไปมองเห็นใบหน้าลนลานอีกฝ่าย
เอ๋
"ไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วยเหรอคะ"
เห็นใบหน้าช็อคของอีกฝ่ายฉันก็รู้สึกว่ามันตรงเผงเลยล่ะสิ จากนั้นเด็กน้อยคาบุรากิก็กระซิบถาม "ต้องทำยังไง"
เอ๋
อย่าบอกนะว่าใช้เงินไม่เป็น
ฉันใช้สายตาเหลือเชื่อมองอีกฝ่าย อาการเหมือนตอนพาไปร้านฟาสฟู๊ดแรกๆ เลย ไม่ใช่ว่าหมอนี่ไม่เคยจ่ายเงินเองมาก่อนหรอกนะ
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้โตไปจะต้องมีบาดแผลทางใจกับร้านสะดวกซื้อแน่ๆ
แต่ดูเหมือนสายตาของฉันจะทำให้เด็กน้อยคาบุรากิมีบาดแผลทางใจไปก่อนเสียแล้ว อีกฝ่ายทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนฉันจะหยิบเงินของตัวเองขึ้นมาส่งให้
"ใช้นี่ยื่นให้คนคิดเงินนะคะ"
"อะ อืม"
หลังจากออกจากร้านสะดวกซื้อ ท่าทีของเด็กน้อยคาบุรากิก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
"เป็นประสบการณ์ที่ดีนะ" เอ็นโจพูดขึ้นมา
"อา นั่นสิ" เด็กน้อยคาบุรากิพยักหน้าตอบ
อย่ามาทำเป็นเท่ตอนนี้สิยะ! เมื่อกี้เกือบจะมีบาดแผลทางใจไปแล้วแท้ๆ
ฉันหยิบช็อกโกแลตแท่งออกมาทานเล่นในตอนนั้นสายตาของคาบุรากิก็จับจ้องมายังขนมในมือของฉันด้วยความสนอกสนใจ
หืม ไม่ใช่ว่าคาบุรากิชอบช็อกโกแลตมากหรอกเหรอ เป็นไปได้ยังไงที่ไม่รู้จักช็อกโกแลต
"ลองทานสักหน่อยไหมคะ"
คาบุรากิพยักหน้าราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ชอบธรรมอยู่แล้วที่ฉันต้องยื่นขนมไปให้ ฉันใช้สายตาเวทนาหน่อยๆ มองอีกฝ่ายก่อนจะนึกไปว่าเพราะแบบนี้เลยไม่ค่อยมีเพื่อนสินะ
จากขนมเข้าปากไปสักพัก หว่างคิ้วของเด็กน้อยคาบุรากิก็ขมวดเข้าหากันแล้วแล้วบอกว่า
"ขม"
แน่นอนล่ะ ก็เป็นโก้โก้แท้ที่ไม่ได้เติมความหวานมากนัก ก็ต้องขมมากกว่าช็อกโกแลตปกติอยู่แล้ว
"เป็นรสชาติของผู้ใหญ่ค่ะ"
"อะ งั้นหรอกเหรอ"
จู่ๆ สีหน้าหมอนี่ก็เปลี่ยนเป็นขบคิดแล้วดื่มด่ำกับช็อคโกแลตเมื่อครู่แทน หวา เป็นเด็กน้อยที่โดนชี้นำง่ายจังเลยนะ
"แบบนี้เอง รสชาติไม่เลว"
"งั้นหรือคะ ที่จริงมีช็อคโกแลตที่รสชาติดีกว่านี้อีกเยอะเลย"
"งั้นเหรอ อันไหนล่ะ"
เด็กน้อยคาบุรากิดูกระตือรือร้นจนเกินไป แต่ในร้านสะดวกซื้อถึงจะมีหลายชนิดแต่จะไปมีช็อคโกแลตระดับมืออาชีพทำได้ยังไง
อะ ไม่สิ จะว่าไปก็พอมีวิธีอยู่นะ
"ขอตัวไปซื้อวัตถุดิบสักครู่นะคะ"
******************
จากนั้นฉันก็มาที่บ้านคาบุรากิ
"สวัสดีค่ะ" ฉันทักทายมาดามคาบุรากิ แม้จะเป็นครั้งแรกแต่ดูเหมือนเธอจะเคยพบหน้าฉันเมื่อตอนเด็กมาก่อนทั้งยังรู้จักคุณพ่อบ้านอีกฝ่ายจึงดูเหมือนไม่ได้ไม่พอใจอะไรทั้งยังยิ้มให้อีกด้วย
"ขอยืมครัวสักครู่นะคะ"
"ได้สิจ๊ะ"
หลังจากที่ได้รับการฝึกสอนจากลูกชายร้านขนมเค้กมาพอสมควร ฉันจึงได้ใช้ประสบการณ์ระดับลูกมือของมืออาชีพเพื่อทำ "มิราเคิลช็อกโกแลตแฟนตาซี" อืม ผสมรัมไปสักหน่อยดีหรือเปล่านะ แต่ใส่ส้มลงไปด้วยน่าจะสร้างรสชาติที่ดีได้ แต่ว่าตอนนี้พวกเรายังเด็กถ้าหากว่าผสมแครอทกับบ็อคโคลี่แล้วก็อโวคาโดลงไปน่าจะดีต่อสุขภาพ
ฉันตัดสินใจเลือกวัตถุดิบที่มีประโยชน์หลายอันผสมลงไปในช็อคโกแลตที่โดนความร้อนก่อนจนคนให้วัตถุดิบซ่อนตัวอยู่ภายใน เปลือกนอกถึงจะเป็นช็อคโกแลตแต่ความจริงแล้วก็อุดมด้วยประโยชน์สูงนะ!
"ถ้าหากว่าเย็นลงแล้วลองยกออกมาทานดูนะคะ"
ฉันบอกคาบุรากิก่อนจะขอตัวกลับบ้าน อีกฝ่ายเองก็ตอบรับอย่างกระตือรือร้น
"อื้ม"
ระหว่างทางฉันค่อยนึกได้ว่าคาบุรากิไม่ชอบกินขนมที่ทำจากมือสมัครเล่นนี่นา จะกินแต่ของเชฟมืออาชีพ ดูเหมือนอีกฝ่ายโตไปจะกลายเป็นพวกช่างเลือกนะ
**********************
พอตื่นมาอีกทีก็กลายเป็นตอนอยู่ ม.6 เหมือนเดิมแล้วสิ
พอไปห้องสโมสร เห็นคาบุรากิกำลังหยิบช็อคโกแลตออกมาทานค่อยนึกถึงความฝันเมื่อวานได้
"มีอะไรหรือเปล่าคิโชวอิน"
"ท่านคาบุรากิชอบช็อคโกแลตมานานหรือยังคะ"
คาบุรากิทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยบอกออกมา
"น่าจะตั้งแต่เด็กล่ะมั้ง เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วตอนที่ได้ลองทานช็อคโกแลตครั้งแรกแล้วรู้สึกประทับใจเป็นรสชาติที่ราวกับได้ลิ้มลองความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่ตอนนั้น"
"...งั้นหรือคะ"
ฉันหยิบนิตยสารออกมาอ่านโดยไม่พูดอะไร ความฝันบางทีก็อาจจะมีจุดร่วมอะไรแปลกๆ แบบนี้แหละนะ
"จะว่าไปฉันไม่ค่อยได้ไปร้านราเม็งเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันน่าสนใจ"
"งั้นหรือคะ...จะว่าไปท่านคาบุรากิไปร้านสะดวกซื้อครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไหร่คะ"
"อะไรกันเล่า ถ้าแค่ร้านสะดวกซื้อก็ไปเองเป็นตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ฉันเคยไปตั้งแต่ก่อนจะเข้าเรียนชั้นประถมเสียอีก"
"...งั้นหรือคะ"
*****จบ*****
.........ผู้ประเดิมชอคโกแลตมิราเคิลรายแรกสินะ ดีละที่อยูาในรพถถถถ
นี่สินะ เหตุผลที่ไม่กินของทำมือ!!!
ท่านเรย์กะว้อย5555555555555 เป็นกูก็เป็นปมอะ น่ากลัวชิบหาย แง
กูขอบ่นหน่อย รู้สึกตอนนี้ฟิลเหมือนเจ้าแม่ช่วงสอบเลยว่ะ จะสอบใบอนุญาตฯอีกไม่นานแล้วแท้ๆ แต่ดันหมดไฟ เห็นเรื่องนู้นเรื่องนี้สนุกตลอด นี่เพิ่งเผลอไปโต้รุ่งอ่านนิยายเกือบร้อยตอนจบในคืนเดียวแล้วก็มานั่งเฟล พอจะจุดไฟให้ตัวเองมือก็เผลอหาของแดกแทนงี้//เส้าสัส;__;
กูพึ่งวนอ่านจนถึงตอนล่าสุดซะที เดี๋ยวขอไปจุดประกายไฟกับเผางานให้เสร็จแล้วจะไปปั่นฟิค what if ไปซื้อกระดาษมานะ คไม่เกินวันอาทิตย์
จริงๆนับถือพวกโม่งฟิคจังทั้งหลายเลย แต่งกันเก่งจังวะ บางคนแต่งเก่งจนคิดว่าเริ่มเขียนนิยายตัวเองเถอะ
เพิ่งอ่าน 299 จบ เห็นเขาว่ามีกระทู้อยู่ในโม่งเลยมาส่องดู อะหือ ทำไมเยอะจังวะ ทีแรกนึกว่าจะมีอยู่แค่ไม่กี่กระทู้ 5555555
ไหนๆก็ไหนๆ มาแล้วกูเลยอยากมาเม้าท์มอยด้วย จะช้าไปมั้ย พอดีเพิ่งอ่านจบในรวดเดียวเลยอยากถามเยอะแยะ ที่เรย์กะวิ่งตื๋อไปเปิดตู้หาชุดนี่คือรีบร้อนอยากไปเดทกับเอ็นโจเหรอวะ หรือเรย์กะจะชอบเอ็นโจเพราะกูรู้สึกตงิดๆตั้งแต่นางเห็นยุยโกะแล้วหมดอาลัยตายอยาก แล้ววาคาบะนี่ยังไง ชอบคาบุรากิแล้วใช่ป่ะเพราะถ้าคิดแค่เพื่อนกันเขาไม่อาสาทำข้าวกล่องมาให้ แถมไปเดทกันตั้งหลายครั้งแล้วด้วย ตอนมีซีนกับคาบุรากิก็ดูพูดคุยแบบสนิทๆกันดีนะ อย่างตอนโยนผ้าขนหนูให้ใช้ ตอนฟังเรื่องไปเดทจากที่เล่ามาก็ดูเป็นโมเมนต์โชโจดีนะ อย่างตอนแบ่งของกินแล้วมือแตะกันเลยเขินกันทั้งคู่ แต่ถ้าถามว่าใครจะเข้าวินกับเรย์กะกูว่าวาคาบะมีความเป็นไปได้มากสุดแล้ว โมเมนต์เหมือนสามีภรรยาแต่งงานกันมาได้ซักพัก เวลาเรย์กะไปเที่ยวบ้านดูอบอุ่นผ่อนคลายดีจัง ขนาดกูไม่ได้เชียร์ยูริยังคิดแบบนี้เลยอ่า 555555555
>>790 ยินดีต้อนรับค่ะมึง มาตอนไหนก็ไม่มีคำว่าสาย เพราะมิติเวลามันโดนหยุดไว้ก่อนงานชมดอกไม้ไฟไงล่ะ (ฮึก..) สำหรับที่มึงถามมา กูเชื่อว่าส่วนใหญ่ก็คิดแบบนั้นเลยจ้าาาา และถ้าคนหมู่มากคิดแบบนั้น มันก็น่าจะเป็นแบบนั้นใช่ปะวะ 555
โดยเฉพาะโมเมนต์กับเอ็นโจ ถ้าให้กูตอบ มันก็คือ ใช่ ใช่แน่ๆ!! ล้านเปอร์เซ็นต์!!
>>791 จริงๆกูก็ไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษนะ ชอบความฮามากกว่าโดยเฉพาะตอนคาบุรากิมาทักว่าเก็บแต้มนักษัตรอยู่สินะ ฉากนั้นแม่งฮาฉิบหาย กูขำไปราวๆห้านาทีได้ แต่อ่านมาถึงตอนล่าสุดก็ตงิดๆใจว่านางชอบเอ็นโจป่ะหว่า เพราะดูนางจะหดหู่หมดอาลัยตายอยากหรือโกรธเวลาเอ็นโจอยู่กับยุยโกะตลอดเลย แต่ก็นางมีโมเมนต์กับคาบุรากิเยอะกว่าเอ็นโจอีกนะ เอ็นโจนี่จะดูผลุบๆโผล่ๆเหมือนจะเป็นตัวประกอบแต่หยอดไว้เยอะมากตามมุมมองตัวละครอื่น ส่วนคาบุรากิกูก็คิดว่าโมเมนต์เยอะก็จริงแต่สัมผัสไม่ได้ถึง passion หรือความเสน่หาแบบชายหญิงในตัวเรย์กะเลยว่ะ ได้ฟีลเพื่อนผู้ชายเฮไหนเฮนั่นมากกว่า หรือเพราะคุยกันทีไรถ้าไม่ตบมุขกันก็คุยแต่เรื่องวาคาบะทำนั่นนี่โน่นมาให้แล้วเรย์กะเกทับในใจจนกูคิดว่าสองคนนี้ตกลงจะแข่งจีบวาคาบะกันใช่มะ เรย์กะต้องชนะขาดลอยแน่ๆ แล้วยุยโกะนี่ยังไงหว่า ดูนางก็ยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดี แต่ยูกิโนะดูจะไม่ชอบนาง ที่เอ็นโจหนีออกจากบ้าน มันน่าจะเกี่ยวพันอะไรกับนางนะ กูอยากรู้ปมตรงนี้จัง ไม่มีให้อ่านต่อแล้วเหรอ
โมเม้นกับเอ็นโจมันของจริง แต่คนเข้าวินยังไงก็วาคาบะอะ เหมือนครอบครัวอบอุ่น
จะว่าไป...คันตะก็โอเคนะ
>>794 จริงๆกูค่อนข้างจะแน่ใจว่าใครเป็นพระเอกนะ เดาเอาจากปมต่างๆในเรื่องและตามมุมมองตัวละครที่ค่อยๆเผย แต่กูก็ชอบแบบที่เรย์กะฮาเรื่อยเปื่อยกินขนมไปวันๆเหมือนกัน โมเมนต์กับบ้านวาคาบะน่ารักดี เหมือนเรย์กะเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้าน อยู่กับกลุ่มเพื่อนแบบเซริกะก็เหมือนเป็นน้องเล็กของกลุ่ม กูก็คิดว่าเพราะนางดูเอ๋อๆเปิ่นก็เลยดูอ่อนต่อโลกไม่ค่อยทันคนรึเปล่าหว่า เอ็นโจถึงได้บอกว่ากลัวคนไม่ดีมาหลอก คาบุรากิก็ดูเป็นห่วงตอนเรย์กะบอกจะไปหาอิมาริหรือมีเด็กรุ่นน้องผู้ชายมาคุย พวกเซริกะก็ดูจะปกป้องแบบเกินเหตุไปนิด เหมือนทุกคนพยายามทนุถนอมนางแบบไข่ในหินไม่ให้เจอความลำบากน่ะ แต่ก็ดีใจนะที่นางเป็นที่รักขนาดนี้
จริงๆ ไล่ตามอ่านมู้ น่าจะ นานกว่า อ่านนิยายจริงอีก แะถม เอาฟิคไปปนกับ อฟช ด้วย จากตนที่เพิ่งเข้ามู้มาต้นปี 5555555
แนะนำฟิค เอ ถึง แซด
แบบเราลงเรือเอ็นโจนะ แต่แบบอ่านแล้วรู้สึกว่ากับคาบุก็เข้ากันได้แบบน่ารักดีนี่หว่า
(เอาจริงมาอ่านใหม่รอบที่สามสิบ ก็ชอบตอนท่านเรย์กะอยู่กับคาบุนะ ตลกดี 555)
ในนี้ก็มีฟิคหน่วงตับอยู่เยอะนะ อ่านแล้วเหมือนทำร้ายตัวเองแต่กูก็ชอบ 5555555555555555
>>798 บวกด้วย กูวงวารคนพึ่งตามจริงงง กูเข้ามาตอนมู้แบบมีอยู่สามสี่มู้ กูยังต้องตามคนเม้ากันสองสามวัน(แม้ตอนนั้นจะยังไม่ค่อยมีกาว) แต่คือเมากันเองกวนกันเองสั้นๆ ตลกดี//ว่าแล้วเราก็คือสิงห้องน้ำชาซุยรันเป็นปีแล้วสินะเนี่ย//เหม่อมองฟ้า
นึกถึงสมัยก่อนที่ต้องมีกฏบอกว่าเวลาดิบมาน่ะ ค่อยมาหวีดบ่ายกันจะได้ไม่ดันแปลไทยที่โม่งแปลแปลลงแปดโมง กูแบบ ขอโมเม้นนั้นกลับม๊าาาา ท่านฮิคะะะ
อ๊าาา กูพยายามปั่น what if แต่หัวไม่แล่นเลยอ่ะ ใครมีไอเดียไรเสนอบ้างมั้ย
เอากาวมาหย่อนยามดึกจ้า
KimiDolce ~after story (เกอิชา) >>>/webnovel/6040/520-524
-----------------
“ระยะนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่มีปัญหาค่ะ”
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามในชุดสีเขียวหม่นหมองคือท่านพ่อของฉัน ตรงกลางระหว่างเรามีกระจกใสเจาะรูไว้พอให้เสียงลอดผ่านสำหรับการพูดคุย มุมห้องมีพัศดียืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง
ฉันมาเยี่ยมท่านพ่อในทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ดูเหมือนฉันจะเป็นแขกเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ ท่านพี่เคยมาเยี่ยมอยู่ไม่กี่หนแล้วก็ไม่มาอีก และท่านพ่อก็ไม่พูดถึงเขาเหมือนว่าตัวเองไม่เคยมีลูกชายมาก่อน
พอเล่าเรื่องราวต่อจากครั้งก่อนที่ท่านอิมาริพาฉันไปทานดินเนอร์บนเรือครุยเซอร์ล่องแม่น้ำ บอกว่าได้ของขวัญเป็นกำไลข้อมือแพลตตินัม ท่าทางจะราคาเป็นแสนเยน มุมปากนั้นก็ยิ้มออกมา สายตาที่จ้องมองแบบประเมินค่าก็ดูจะพึงพอใจ
“สมกับเป็นลูกของพ่อจริงๆ เรย์กะ”
คำพูดนี้ฉันมักจะได้ยินเสมอเมื่อฉันเข้าไปออดอ้อนและเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของท่านคาบุรากิ เรื่องที่ฉันสั่งสอนพวกสามัญชนนั่นอย่างไรได้บ้าง ทุกครั้งที่พูดฉันก็จะได้รับการชมเชยและบอกให้ทำต่อไป เพื่อกำจัดพวกไม่เจียมตัวที่บังอาจเสนอหน้าเข้าใกล้ท่านคาบุรากิ และฉันก็ปฏิบัติตามเช่นนั้นมาตลอด
ท่านพ่อมักมีคำแนะนำดีๆให้ฉันเสมอ เป็นที่ปรึกษาให้ได้ในทุกอย่าง อย่างการแนะนำให้ฉันไปสมัครงานในร้านเกอิชาชั้นสูงก็เป็นท่านพ่ออีกเหมือนกัน นี่เป็นหนทางเข้าใกล้ผู้มีอำนาจแบบที่เปลืองเนื้อตัวน้อยที่สุดแล้ว และฉันก็เห็นด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้น
แต่ทุกครั้งที่มาเยี่ยมท่านพ่อ ฉันไม่ได้พูดถึงเอ็นโจเลยสักครั้งเพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่แล้วที่ฉันจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงผู้ชายคนนั้น
สำหรับฉัน เอ็นโจคือความผิดพลาดที่ฉันจะให้ท่านพ่อรู้ไม่ได้
ทุกครั้งที่ฉันกลั่นแกล้งทาคามิจิ เอ็นโจก็จะย้อนเอาคืนแบบเจ็บแสบหรือด่าว่าฉันต่อหน้าทุกคน บุตรสาวตระกูลคิโชวอินต้องอับอายขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการที่สองคนนั้นปกป้องยัยนั่น ท่านพ่อและท่านแม่ซึ่งเป็นผู้รักษาหน้าตาตัวเองยิ่งกว่าใครๆก็ไม่ยอมหักกับตระกูลคาบุรากิและตระกูลเอ็นโจเพื่อปกป้องฉัน มีแต่คำตำหนิอย่างรุนแรงและบอกให้ฉันทำให้มันแนบเนียนยิ่งขึ้น แล้วก็ไปเอาใจตระกูลคาบุรากิต่อ
มาคราวนี้ หากมีเอ็นโจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถึงเขาจะเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ตระกูลฉันล่มสลาย แต่ท่านพ่อคงจะบอกให้ฉันรีบคว้าเอาไว้เป็นตัวเลือกอีกทาง ซึ่งเรื่องมันอาจจะยุ่งยากขึ้นมาอีก ฉันเลยเลือกที่จะเงียบเอาไว้ไม่บอกให้รู้
“ว่าแต่ ผ่านมาครึ่งปีแล้วยังได้แค่นี้เองหรือ ไม่คิดว่ามันช่างน้อยนิดไม่คู่ควรกับลูกสาวบ้านคิโชวอินรึไง”
“คือว่า เรื่องนั้น….”
“ลูกคงจะไม่ลืมนะว่าสิ่งสำคัญคือต้องทำให้โมโมโซโนะ อิมาริหลงใหลลูกจนโงหัวไม่ขึ้นให้ได้” ท่านพ่อโน้มตัวลงมาใกล้ๆกับกระจก “ทีนี้ลูกจะเอาอะไรก็จะได้ทุกอย่าง”
พอฉันเงียบ ท่านพ่อก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“อย่าบอกนะว่าเรื่องง่ายๆแค่นี้ลูกก็ทำไม่ได้น่ะ เรย์กะ” นิ้วของท่านพ่อเคาะลงกับโต๊ะ ทำเหมือนกำลังเจรจาธุรกิจอยู่แบบในวันวาน
“ขอโทษค่ะ”
“มีความตั้งใจให้มากกว่านี้หน่อยสิ เรย์กะ” ท่านพ่อขมวดคิ้วใส่ ทำเหมือนฉันกำลังทำให้ผิดหวังอย่างมาก “ไม่ต้องไปหวงเนื้อหวงตัวให้มันมากหรอก เขาอยากจับนิดจับหน่อยก็ให้เขาจับไป จะเปลืองตัวก็ช่างแต่ต้องคิดถึงผลประโยชน์ในภายภาคหน้าเอาไว้ให้มากๆ อย่าลืมสิว่าลูกต้องช่วยพ่อออกไปจากที่นี่ให้ได้”
คำพูดและสายตาที่มอง กดทับลงมาจนรู้สึกหนักอึ้ง ฉันได้แต่ก้มหน้าฟังคำสั่งสอนจากท่านพ่อโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
“พ่อไม่ได้ทำเพื่อตัวเองคนเดียว แต่เพื่อให้ลูกกลับไปมีชีวิตสุขสบายเหมือนเดิมได้ คนที่เกิดมาเป็นคุณหนูอย่างลูกไม่สมควรจะไปทนความลำบากแบบนั้นหรอก”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
เสียงออดเตือนว่าหมดเวลาเยี่ยมดังขึ้น ฉันจึงกล่าวคำอำลา มองพัศดีใส่กุญแจมือให้ท่านพ่อแล้วเดินออกไปจากห้อง
เมื่อเจอแสงแดดสว่างไสวหลังออกจากอาคารเรือนจำทำให้ต้องหยีตา ฉันหยิบร่มออกมากางกันแดดแล้วเดินไปตามถนนที่เลียบลำคลองเล็กๆเพื่อไปขึ้นรถโดยสารที่ปากทางเข้า
รอไม่นานนักรถก็มาถึง บนรถค่อนข้างจะโล่งด้วยว่าไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน ฉันเลือกที่นั่งใกล้ทางลงให้กับตัวเอง เหม่อมองทิวทัศน์ไปเรื่อย
ทีแรกฉันไม่รู้วิธีขึ้นรถประจำทางหรือรถไฟด้วยซ้ำ แต่นานๆไปก็ชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ เรื่องที่ฉันเคยนั่งรถคันหรูไปยังที่ต่างๆก็คล้ายกับเป็นเรื่องในความฝันที่ห่างไกล
พอกลับมาถึงที่ร้านในเวลาบ่ายสามฉันก็เข้าไปแต่งตัวและแต่งหน้าใหม่ มีเสียงซุบซิบค่อนขอดมาจากทางนั้นทางนี้แต่ฉันไม่สนใจ คืนนี้ฉันต้องสวยและดูดีที่สุดให้ท่านอิมาริเห็น
ท่านอิมาริมาเป็นแขกประจำของฉันนับจากวันนั้น มาเพื่อพูดคุยหรือฟังฉันร้องเพลง เหมือนกับแขกคนอื่นๆทั่วไป เขาเป็นคนที่คุยด้วยแล้วสนุก แถมรู้ใจผู้หญิงไปหมดทุกสิ่ง ฉันน่าจะคุยกับเขาจริงๆจังๆตั้งนานแล้ว ไม่น่าคิดว่าเขาเป็นเพื่อนท่านพี่เลยไม่อยากยุ่งด้วยเลย
เขาถามฉันเรื่องการทำงานและรับฟังอย่างสนอกสนใจ ท่านอิมาริดูจะทึ่งที่การเป็นไมโกะนั้นไม่ได้ง่ายแบบที่คิด แล้วก็มีคำพูดปลอบประโลมหวานๆหรือคำให้กำลังใจที่ฟังแล้วรื่นหู ไม่เคยพูดถึงอดีตของฉัน หรือสิ่งที่ทำให้ฉันต้องระคายใจเลยแม้แต่นิด
นอกจากคำพูดที่หวานหูแล้ว ทุกครั้งที่มา ท่านอิมาริก็จะมีของฝากหรือเครื่องประดับติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ บางครั้งก็พาฉันออกไปข้างนอกในวันหยุด ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ไปชอปปิ้งบ้าง หรือพาไปบิวตี้ซาลอนเสริมความงาม สารพัดจะเอาอกเอาใจ ทำเหมือนฉันเป็นเจ้าหญิงที่ต้องเทิดทูน
แต่ฉันจะตกหลุมพรางเขาไม่ได้ ผู้ชายที่พูดกับผู้หญิงได้หวานหูขนาดนี้ ชอบไปก็มีแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ
และบนโลกนี้คงไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ที่เขาเอาใจฉันขนาดนี้คงหวังสิ่งตอบแทนอยู่
และสิ่งตอบแทนที่ฉันสามารถให้ได้ก็มีแค่อย่างเดียวเท่านั้น
.
.
.
.
.
เรามีนัดทานอาหารค่ำกันในคืนนี้ ท่านอิมาริเลยมารับฉันตอนสี่โมงเย็นเพื่อไปทำสปาและเสริมความงาม ระหว่างที่รอการนวดขัดผิวก็มีพนักงานลากเอาราวแขวนเสื้อผ้ามาให้เลือก ทุกตัวล้วนเป็นของแบรนด์เนมคอลเลคชั่นใหม่ ฉันเลือกใส่ชุดสีแดงเหมือนเตรียมพร้อมออกรบ
ชุดนี้คว้านลึกโชว์เนินอกไปหน่อย แต่ก็ดูดีมีรสนิยม เป็นชุดแบบที่ฉันไม่เคยใส่ มันออกจะร้อนแรงและเซ็กซี่มากเกินไปสำหรับฉัน แต่ตอนนี้มีอะไรที่ใช้ได้ก็ต้องใช้ให้หมด
ท่านพ่อพูดถูก ฉันไม่ควรจะทำให้มันนานมากไปกว่านี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับท่านอิมาริให้ได้เพื่อที่ฉันจะได้บรรลุเป้าหมายเดิมสักที คุณหนูคิโชวอินอย่างฉันไม่สมควรจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะทาลิปสติกลงบนริมฝีปากเป็นอย่างสุดท้าย เตรียมใจกับเรื่องที่จะเกิดในค่ำคืนนี้
.
.
.
.
.
เมื่อพนักงานไปแจ้งว่าสามารถเข้าไปข้างในได้ ท่านอิมาริก็เข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อเห็นฉันใส่ชุดที่ว่านี่
“สวยมากเลยล่ะเรย์กะจัง ใส่ชุดสีแดงแบบนี้เผลอนึกไปว่าได้เห็นภูตกุหลาบในยามราตรีเลยล่ะ”
“แหม ท่านอิมาริก็...” ฉันแกล้งตีแขนท่านอิมาริเบาๆ “เพราะชุดสวยต่างหากล่ะคะ”
“ไม่ใช่หรอก ชุดน่ะคือสิ่งที่ขับความงามของคนใส่ต่างหาก”
ท่านอิมาริมายืนสำรวจตัวฉันด้วยแววตาที่ดูพึงพอใจ
“แต่เอ๊ะ รู้สึกว่าคอจะยังโล่งๆอยู่นะจ๊ะ” ปลายนิ้วของท่านอิมาริแตะเข้าที่ลำคอของฉัน “ต้องมีอะไรประดับหน่อยถึงจะดี”
กล่องกำมะหยี่แบนๆถูกยื่นมาตรงหน้าฉัน เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็นสร้อยไข่มุกสีขาวเส้นยาว มีต่างหูมุกและกำไลที่เข้าชุดกัน
“เห็นแว้บแรกในร้านก็รู้ทันทีเลยว่ามันเหมาะกับเรย์กะจัง”
“ของแพงๆอย่างนี้ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
ฉันยื่นกล่องกลับไปด้วยท่าทีขึงขัง แต่ก็ต้องไม่ให้มากเกินไปเพราะจะเสียกริยาเอาได้ ฉันต้องเล่นละครเป็นคุณหนูตกอับผู้น่าสงสาร แต่ก็หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยเช่นกัน
ผู้ชายเจ้าชู้แบบนี้ย่อมไม่ต้องการผู้หญิงที่อยากผูกมัดออกนอกหน้าหรือเรียกร้องเกินไปอยู่แล้ว ฉันต้องรักษาเขาไว้นานๆ
“อะไรกัน เพื่อเรย์กะจังแล้วล่ะก็ ราคามันก็เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากเลยนะ”
“แหม…”
ปฏิเสธอีกเล็กน้อยพอเป็นพิธี ฉันรู้ว่ายังไงเขาก็ต้องยัดเยียดสร้อยเส้นนั้นให้ฉันจนได้ ถึงต้องรับมาด้วยท่าทีลำบากใจ แต่ใจจริงแล้วฉันกำลังหัวเราะ
เมื่อเขาอาสาจะใส่ให้ ฉันก็รวบผมขึ้น นั่งนิ่งๆให้ท่านอิมาริคล้องสร้อยเข้ากับคอของฉัน ใบหน้าเขาอยู่ใกล้ฉันมาก แต่ฉันไม่ได้ทักท้วงอะไร ยอมๆให้มันเป็นไปเช่นนั้น
“สวยมาก เรย์กะจัง”
สายตาเขาที่มองในกระจกเงาดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก มองไล่ระจากความยาวของสร้อยไปตามที่ต่างๆในร่างกายฉัน
“ขอบคุณมากค่ะ ท่านอิมาริ” ฉันหันหน้าไปมองสบตากับเขา ทำเสียงจริงจังเล็กน้อย “แต่ว่านะคะ ท่านอิมาริคะ ฉันไม่อยากให้ท่านอิมาริซื้อของแพงๆแบบนี้มาให้ฉันหรอกค่ะ”
“ฉันอยากให้เรย์กะจังนี่นา เด็กผู้หญิงน่ะต้องมีเครื่องประดับเยอะๆสิ ถึงจะถูกต้อง” ท่านอิมาริขยิบตาให้ฉัน “อีกอย่างนะ สร้อยไข่มุกน่ะไม่ใช่ว่าใครก็ได้จะใส่ขึ้นนะจ๊ะ ต้องเป็นสาวงามแบบเรย์กะจัง ถึงจะขับความงามของไข่มุกออกมาได้เปล่งประกายที่สุด”
ตอนที่พูด ปลายนิ้วของท่านอิมาริก็ค่อยๆแตะเข้ากับลำคอของฉัน เลื่อนไปตามความยาวของสร้อย แต่ก็หยุดอยู่แถวๆไหล่ไม่เลื่อนลงไปต่ำกว่านั้น แล้วก็เลื่อนกลับขึ้นมาวนเวียนอยู่แถวๆใบหู หยิบต่างหูมุกขึ้นมาจากกล่องแล้วใส่ให้ฉัน
เมื่อสองเดือนก่อน ตอนที่เขาไปส่งฉันถึงที่พัก พอเห็นว่าฉันยังไม่ได้เจาะหูก็เปรยๆเรื่องต่างหูน่ารักๆที่อยากให้ฉันใส่ แล้วก็พาไปร้านเจาะหูในครั้งต่อไปที่นัดเจอกัน สัญญาว่าจะเอาต่างหูที่เหมาะสมกว่านี้มาให้แล้วก็เอามาจริงๆ
หากฉันไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของผู้ชายคนนี้ที่ร่ำลือกันมา ฉันคงคิดว่าเขาช่างดีแสนดี เป็นสุภาพบุรุษและเอาใจใส่ ทั้งที่จริงแล้วคงหวังผลแค่ให้ไปจบที่เรื่องบนเตียงก็เท่านั้น
แต่ก็น่าแปลก ถ้าท่านอิมาริหวังจะทำเรื่องแบบนั้นกับฉันจริงๆก็ไม่น่าจะปล่อยให้เวลาผ่านมาขนาดนี้ คนอย่างเขาน่าจะใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ด้วยซ้ำในการพาใครซักคนขึ้นเตียง ถ้าแค่อยากจะทำ
ฉันไม่รู้ว่าเขาใจเย็นค่อยเป็นค่อยไปหรือเขายังเกรงใจที่ฉันคือน้องสาวของเพื่อนกันแน่ แต่ฉันจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว
ถ้าฉันจับผู้ชายคนนี้ได้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ถึงจะแก้แค้นไม่ได้ แต่ท่านพ่อก็จะได้ออกจากคุก ครอบครัวเราก็จะได้กลับมาอยู่กันเหมือนเดิม อาจจะไม่หรูหราเท่าเดิม แต่ฉันก็หวังอยากจะให้ทุกคนอยู่ด้วยกัน
.
.
.
.
.
ร้านอาหารในคืนนี้ที่ท่านอิมาริพามาเป็นร้านอาหารอิตาลีที่ตกแต่งอย่างหรูหรามีรสนิยม ตั้งอยู่ในโรงแรมห้าดาว มีวงดนตรีคลาสสิควงเล็กๆคอยบรรเลงเพลงขับกล่อม เหมาะแก่การพาคนรักมาดื่มด่ำบรรยากาศโรแมนติค
คราวแรกฉันออกจะกังวลอยู่ไม่น้อยว่าจะมีใครจำฉันได้หรือไม่ แต่เมื่อไปกับท่านอิมาริหลายๆครั้งเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน แถมไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่คนรู้จักเข้ามาทักทายเลยสักครั้ง ฉันก็เลยออกจะวางใจอยู่พอสมควร
ท่านอิมาริเลื่อนเก้าอี้ให้ฉันนั่ง แล้วก็คอยแนะนำเมนูของร้าน ส่วนตัวเองก็สั่งไวน์มาดื่ม พูดเรื่องไวน์ให้ฟัง เห็นได้ชัดว่าเขามีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้เป็นเลิศ
“แหม ท่านอิมาริเก่งจังเลยค่ะ” ฉันสรรเสริญเยินยอ เขาก็ดูจะภาคภูมิใจที่ได้รับคำชม “ฉันไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย ฟังแล้วประทับใจเหลือเกินค่ะ”
“เอาไว้เรย์กะจังอายุครบยี่สิบเมื่อไหร่ ฉันจะแนะนำไวน์ที่เหมาะกับเรย์กะจังให้เองนะ”
“เอ...ท่านอิมาริคิดว่าไวน์แบบไหนเหมาะกับฉันอย่างนั้นเหรอคะ”
“ต้องโรเซ่ไวน์สิจ๊ะ สีชมพูหวานๆ เหมาะกับเรย์กะจังเป็นที่สุดเลยล่ะ”
“แหม…ฉันอยากลองดื่มจังเลยค่ะ”
“อื๋อ เรย์กะจังยังอายุไม่ถึงนี่จ๊ะ” เขาเลิกคิ้วขึ้น “จิบม็อคเทลหวานๆอร่อยๆไปก่อนดีกว่านะ”
“อีกไม่กี่เดือนฉันก็จะยี่สิบแล้วนะคะ ทานเร็วขึ้นอีกนิดก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
พอรบเร้าหนักๆเข้า ท่านอิมาริก็สั่งไวน์ให้ฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูลำบากใจเล็กน้อย รอไม่นานโรเซ่ไวน์สีชมพูอ่อนหวานก็มาตั้งอยู่ตรงหน้า เขาสอนวิธีการดื่มไวน์ให้ฉันและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และฉันก็เป็นนักเรียนที่ดีทำตามที่ถูกสอน
โรเซ่ไวน์ตัวนี้หวานและดีกรีไม่มากพอที่จะทำให้ฉันเมาได้ แต่ฉันจะแกล้งทำเป็นเมาแล้วใช้โอกาสนั้นในการออดอ้อนท่านอิมาริ จากนั้นฉันจะปล่อยให้มันเป็นเรื่องธรรมชาติระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง เขาว่าคนเมาทำอะไรก็ไม่ค่อยมีสตินี่นะ
จิบไวน์ไปได้สองสามแก้วฉันลุกขึ้นยืน ทำท่าเหมือนจะวิงเวียนแล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ท่านอิมาริจะเรียกให้พนักงานผู้หญิงไปเป็นเพื่อนแต่ฉันปฏิเสธ ขืนให้มีคนมาด้วยก็โดนจับได้กันพอดีสิว่าฉันไม่ได้เมาจริง
ฉันมานั่งในห้องน้ำ สูดลมหายใจเข้าลึกให้ใจสงบ กุมมือตัวเองไว้ไม่ให้สั่นกลัวกับสิ่งที่กำลังจะทำ
ท่านอิมาริก็ไม่ได้เลวร้าย หน้าตาก็ออกจะหล่อเหลา ฐานะและชาติตระกูลดี เรียนอยู่ซุยรันก็เป็น Pivoine เหมือนกัน และฉันเองก็เตรียมใจมาแล้วที่จะต้องตอบแทนด้วยเรื่องแบบนั้น แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ทำไมถึงทำใจไม่ได้สักที
หรือเป็นเพราะการพร่ำสอนของท่านพ่อและท่านแม่ที่คอยบอกอยู่เสมอว่าฉันเกิดมาเพื่อเป็นภรรยาของท่านคาบุรากิ ฉันเป็นคนเดียวที่คู่ควรกับเขา และฉันก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้นมาตลอดจึงไม่คิดมองใครแม้แต่นิด ฉันจะไปคว้ากรวดทรายไร้ค่ามาทำไมในเมื่อมีเพชรแท้อยู่ตรงหน้า
พอนึกถึงความหลังฉันก็อดที่จะแค่นยิ้มไม่ได้ ป่านนี้แล้วเขาคงมีความสุขไปกับนังผู้หญิงคนนั้น คนที่ฉันเห็นว่าต่ำต้อยไม่คู่ควร ท่านคาบุรากิผู้สูงส่งช่างตาต่ำจริงๆ
ข้างนอกมีเสียงเปิดก๊อกน้ำ ตามด้วยเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันบ่งบอกว่ามีคนเคลื่อนไหวไปมาอยู่ข้างนอก ตามมาด้วยเสียงดนตรี คงจะเป็นเสียงริงโทนมือถือ
ฉันกำลังจะเอื้อมมือไปปลดล็อกกลอนประตู แต่เสียงที่ได้ยินกลับทำให้ตัวแข็งค้าง รู้สึกเย็นวาบจากปลายนิ้วจนไปถึงศีรษะ
“ฮัลโหลมาซายะคุง…..อื้อ อยู่ในห้องน้ำจ๊ะ”
เสียงนั่น...ทาคามิจิ วาคาบะไม่ใช่รึ!!
“อ๋อ ที่รับช้าเพราะกำลังล้างมืออยู่น่ะ แล้วเมื่อกี้ก็หลงทางด้วย ที่นี่มันกว๊างกว้างนี่นะ กว่าจะหาทางเข้าห้องน้ำเจอก็เดินผิดไปโน่นแน่ะ....เปล่านะ ไม่มีหรอก ฉันอยู่คนเดียวในห้องน้ำ จริงๆก็มีอีกคนเข้าอยู่ล่ะนะแต่เขาก็ไม่ได้มายุ่งกับฉันหรอก...เอ ไม่รู้สิ ใครก็ไม่รู้….ไม่มีใครรังแกฉันหรอกน่า กังวลเกินไปแล้วนะมาซายะคุง”
ทาคามิจิคุยไปหัวเราะไป ท่าทางอารมณ์ดีและมีความสุข แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนถูกฟาดเข้าอย่างจัง
“อื้อ เสร็จแล้วล่ะ กำลังกลับไปจ๊ะ….. ไม่เป็นไรหรอกน่า รับรองว่าคราวนี้ไม่หลงอีกแน่ๆ ไม่ต้องมารับหรอก...เอ๋ กลัวฉันจะเจอคุณคิโชวอินอย่างนั้นเหรอ คิดมากไปแล้วน่า”
ฉันยืนนิ่งอยู่ในห้องน้ำ ไม่กล้าแม้แต่จะกระดุกกระดิกเคลื่อนไหว ได้แต่รอจนกว่าทาคามิจิจะออกไป ฝ่ามือของฉันชื้นเหงื่อ หัวใจเต้นสั่นไปหมด แทบจะยืนไม่อยู่ด้วยซ้ำ
เขาอยู่ที่นี่ ท่านคาบุรากิคนนั้นอยู่ที่นี่
ความกลัวแล่นไปทั่วร่างเหมือนยาพิษ สายตาในวันนั้นที่เขามองเหมือนจะฆ่าฉันให้ตายคามือเลยถ้าทำได้ และเขาก็ฆ่าฉันจริงๆโดยการทำให้ตายทั้งเป็นอยู่แบบนี้
ถ้าเขารู้ว่าฉันอยู่ที่นี่จะทำยังไงดีล่ะ...
ฉันปลอบตัวเองให้ใจเย็นๆอย่าเพิ่งตื่นตูม จากบทสนทนาของสองคนนั้นดูเหมือนจะไม่รู้ข่าวของฉันเลยด้วยซ้ำ หรือเอ็นโจจะไม่ได้บอกเพื่อนกันนะ
ที่หมอนั่นไม่บอกคงเพราะมั่นใจมากว่าถึงอย่างไรฉันก็ไม่มีปัญญาแก้แค้นตามที่เคยได้ประกาศได้ล่ะมั้ง
ฉันค่อยๆแง้มประตู ชะโงกหน้าออกไปเพื่อดูว่าทาคามิจิไปหรือยัง ในห้องน้ำว่างเปล่าไม่มีใครอยู่จนเกือบจะนึกว่าเรื่องเมื่อครู่นี้เป็นความฝัน
เอาเถอะ ไปตั้งหลักด้วยการกลับไปหาท่านอิมาริก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที
นึกไม่ถึงว่าพอเปิดประตูห้องน้ำออกไป จะพบกับเอ็นโจยืนอยู่ตรงหน้า หมอนั่นก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เจอฉัน ทำตาโต ตัวแข็งทื่อแบบนั้น ท่าทางคงอึ้งไม่น้อย
ให้ตายสิ วันนี้มันอะไรกันเนี่ย
ฉันทำเป็นมองไม่เห็น ทำท่าจะเดินผ่านไป แต่เอ็นโจกลับเรียกฉันไว้ด้วยเรื่องของทาคามิจิที่ทำเอาต้องเบ้ปาก ปกป้องกันดีเหลือเกินนะ
เอ็นโจคาดคั้นเอาความจริง ฉันก็ได้แต่บอกไปว่าใครจะไปทำอะไรแม่นั่นได้กันล่ะ แต่พอตอบไปแบบนั้นเอ็นโจกลับปัดคำตอบทิ้ง หันมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ชุดของฉันแทนและเริ่มเทศนาที่ฉันใส่ชุดเปิดเนื้อหนังจนรู้สึกฉุนหน่อยๆ
หมอนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกันน่ะถึงมาห้ามไม่ให้ฉันแต่งตัวโป๊
ฉันชักจะรำคาญก็เลยบอกชื่อคนที่ซื้อให้ว่าไม่เห็นเขาจะเรื่องมากขนาดนี้ แต่พอพูดออกไป เอ็นโจก็ดูจะตกใจเอามากๆ แววตาดูสับสนแบบเห็นได้ชัด
ฉันป้องปากหัวเราะ แล้วก็แกล้งทำเป็นค้อมหัวลง กล่าวขอบคุณเอ็นโจที่แนะนำให้ท่านอิมาริมาเป็นลูกค้า
เอ็นโจพยายามพูดเตือนว่าท่านอิมาริเป็นคนอย่างไร แต่ฉันสวนกลับไปว่าฉันรู้ดีไม่ต้องมาบอก หมอนั่นก็เลยเงียบเหมือนไปต่อไม่ถูก นานๆทีฉันจะเห็นเอ็นโจอับจนคำพูดได้มีหรือจะปล่อยโอกาสไป
ฉันเล่นงานเอ็นโจต่อด้วยการหยามเหยียดเขาเรื่องทาคามิจิ สมัยเรียนหมอนั่นก็ตามติดยัยนั่นไม่ห่างและคอยขัดขวางไม่ให้ฉันเล่นงานได้ถนัด ปกป้องกันดีแบบนี้คงแอบรักผู้หญิงคนนั้นอยู่ล่ะสิท่า
เฮอะ ยัยทาคามิจินั่นมีดีอะไรกันแน่นะ ถึงมีแต่คนมารุมรัก ทั้งท่านคาบุรากิ มิซึซากิ แล้วยังจะเอ็นโจอีกคน...ผู้ชายพวกนี้ตาต่ำกันจริงๆ
แน่นอนว่าหมอนั่นต้องปฏิเสธว่าไม่ได้ชอบทาคามิจิ แต่ฉันไม่สนใจเรื่องนั้น ตอกหมุดย้ำลงไปว่าเอ็นโจน่ะด้อยค่ากว่าท่านคาบุรากิไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ทาคามิจิถึงไม่เอา ก็แหงล่ะ ใครจะสนตัวรองในเมื่อมีตัวเอกที่โดดเด่นและดีเลิศอย่างท่านคาบุรากิอยู่ให้เห็น
เอ็นโจหน้าเสียไปเลย ดูจะพูดอะไรไม่ออก ท่าทางหวั่นไหวแบบนั้นคงแทงใจดำล่ะสิท่า
ฉันเล่นงานเอ็นโจได้ก็รู้สึกสะใจไม่น้อย ความหดหู่หายไปเหมือนปลิดทิ้ง ขอตัวกลับไปหาท่านอิมาริที่กำลังรออยู่ด้วยอารมณ์เบิกบานสุดขีด
แต่ฉันคงลืมไปว่าหมอนี่พิษสงเยอะขนาดไหน เพราะเดินไปไม่กี่ก้าว เอ็นโจที่ดูจะฟื้นตัวได้เร็วจากคำพูดเมื่อครู่ก็ก้าวตามมา รั้งข้อมือฉันไว้ ดึงให้เข้าหาตัวจนเกือบจะเหมือนการกอด รอยยิ้มน่ารังเกียจปรากฎขึ้นบนใบหน้า
“แล้ว... คุณคิโชวอินไม่อยากรู้เหรอ ว่าวันนี้คุณวาคาบะมาที่นี่ทำไม”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่ได้อยากรู้”
“มาซายะพาคุณวาคาบะออกงานสังคมในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการยังไงล่ะ” เอ็นโจยังคงพูดต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจฉัน “คุณคงไม่ได้ตามข่าวสินะ แต่มาซายะน่ะเพิ่งจะหมั้นหมายกับคุณวาคาบะไปไม่กี่เดือนมานี้เอง คุณอิมาริก็ไปงานมาด้วยนะ...เขาไม่ได้บอกคุณเหรอ”
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ตอนที่ได้ยินเรื่องนั้น ร่างกายเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงอย่างน่าประหลาด แต่คำพูดของเอ็นโจก็ยังเชือดเฉือนฉันจนเจ็บไปหมด
“มาซายะนี่ก็ใจร้อนจริงๆ คุณวาคาบะบอกให้เรียนจบแล้วค่อยหมั้นกันแบบเป็นทางการก็ได้ แต่ยังไงมาซายะก็ไม่ยอมท่าเดียว บอกว่าประกาศไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้นก็ต้องทำให้เรียบร้อย...อ้อ...ตอนนั้นที่ว่าก็ตอนที่ยกเลิกการหมั้นกับคุณเพื่อคุณวาคาบะไงล่ะ”
ความทรงจำที่เลวร้ายที่ฉันพยายามจะลืมได้ย้อนกลับเข้ามาในหัว วันที่ฉันต้องสูญเสียทุกอย่าง ส่วนคนที่ฉันหลงรักมาตลอดชีวิต ประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเขารักใครที่ไม่ใช่ฉันและรังเกียจฉันเสียเต็มประดา รอบข้างก็มีแต่สายตาที่มองมาด้วยความสมเพชเวทนาและดูถูกเหยียดหยาม
เอ็นโจก้มลงมากระซิบข้างหูฉัน น้ำเสียงเย้ยหยันราวกับกำลังสาแก่ใจ
“แย่หน่อยน้า ที่เขาก็ไม่เอาคุณเหมือนกัน”
สองข้างแก้มฉันเปียกชื้นเพราะน้ำที่ไหลลงมาจากตา รู้สึกจุกแน่นในลำคอ ทั้งปากทั้งเนื้อตัวสั่นระริกไปหมด เอ็นโจจากที่ยิ้มๆอยู่ พอเห็นแบบนั้นก็ดูจะอึ้งไปเหมือนกัน
“คุณคิโชวอิน...ผม….”
ฉันถอยหลังไปสองสามก้าวพอให้พ้นระยะที่มือนั้นเอื้อมถึง แล้วก็ออกวิ่งไปข้างหน้า
สองขาของฉันวิ่งไปไม่มีจุดหมายปลายทาง คิดอยู่แค่เพียงว่าต้องไปจากที่นี่ ไปให้พ้นจากตรงนี้ ไปให้ไกลจากคนพวกนี้….
ใครบางคนชนกับฉันที่ตรงทางเดิน เป็นท่านอิมาริ พอเห็นว่าฉันร้องไห้ สีหน้าเขาก็ดูตกอกตกใจเป็นอย่างมาก
“เรย์กะจัง...เห็นหายมานาน ฉันเป็นห่วงเลยออกมาตามน่ะ” ท่านอิมาริดึงฉันเข้ามากอด ลูบหัวลูบไหล่ฉันแบบปลอบขวัญ “เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ ใครทำอะไรเรย์กะจัง บอกฉันได้รึเปล่า”
“พาฉันกลับทีค่ะ” ฉันเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก “...ขอร้องล่ะ”
ท่านอิมาริพยักหน้า ไม่ซักถามอะไรอีก ประคองฉันไปที่รถแล้วขับรถไปส่งตามที่ขอ ระหว่างทางก็เหลือบมองฉันเป็นระยะ
ฉันกลั้นน้ำตากับเสียงสะอื้นเอาไว้จนถึงที่พัก เอ่ยคำร่ำลากับท่านอิมาริอีกสองสามคำแล้วขอตัว ท่านอิมาริดูเหมือนอยากจะตามมาแต่ฉันอ้างว่าคนนอกเข้ามาไม่ได้ก็เลยต้องถอยกลับไป
ในห้องพักไม่มีใครอยู่เพราะรูมเมทของฉันออกไปทำงานในคืนนี้ ฉันกล้ำกลืนน้ำตาเงียบๆ พยายามปิดปากไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกไปให้ใครได้ยิน อาจจะมีคนอยู่ตรงทางเดินหรือห้องข้างๆ ก็ควรต้องระวังไว้
ถ้ามีคนรู้ว่าฉันร้องไห้คงจะพากันเยาะเย้ยสมน้ำหน้า ฉันจะเผยความอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงถูกเล่นงานจนยืนแทบไม่ไหวเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
ความรักนี่มันช่างน่ารำคาญเหลือเกิน สร้างจุดอ่อนให้ศัตรูอย่างเอ็นโจเอามาเล่นงานฉันได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าตอนไหนที่ความรู้สึกนี้มันจะหายไปซักที
ผ่านมานานขนาดนั้นแต่ชื่อของท่านคาบุรากิก็ยังมีอิทธิพลในใจฉันถึงขนาดทำให้เสียน้ำตา แค่รู้ว่าเขากลายไปเป็นของคนอื่นโดยสมบูรณ์ หัวใจฉันก็เจ็บเหมือนถูกฉีกกระชากออก ฉันได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆว่าทำไมต้องรักผู้ชายคนนั้นมากถึงขนาดนี้ด้วย ขนาดถูกทำร้ายขนาดนั้นก็ยังรักไม่เลิก
แล้วนี่ฉันต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้อีกกี่ครั้งถึงจะพอกันแน่นะ
ฉันฟุบหน้าลงกับหมอน หลับไปโดยไม่แม้แต่จะเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนนอนด้วยซ้ำ
ในคืนนั้นฉันฝัน
ความฝันดูคล้ายเทพนิยายเรื่องเจ้าหญิงเงือกน้อย เธอหลงรักเจ้าชายถึงกับยอมเสียสละเสียงอันไพเราะเพื่อแลกกับขาที่ก้าวเดินแต่ละครั้งก็เจ็บปวด หวังจะได้อยู่บนบกเคียงข้าง แต่เขากลับไม่รับรู้ และแต่งงานกับหญิงสาวชาวมนุษย์โดยไม่เหลือบแลเธอแม้แต่นิด
เจ้าหญิงเงือกร้องไห้เหมือนจะขาดใจ แต่ร้องเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงออกมาเพราะถูกเอาไปแลกเป็นขาที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีที่สำหรับเธอบนบก เธอได้แต่ใช้มือปิดหน้าร้องไห้อยู่ข้างทะเลที่ไม่สามารถกลับไปได้อีก
แต่เมื่อเจ้าหญิงเงือกลดฝ่ามือลงเพื่อจ้องมองท้องทะเลที่โหยหา ฉันก็ได้เห็นใบหน้านั้นได้ถนัดตา
ใบหน้าของเจ้าหญิงเงือกที่สะท้อนในเงาของน้ำคือหน้าของฉันเอง
----------------------
พอดีฟังเพลงรถของเล่นเลยได้มู้ดเขียนก็เลยรีบเขียนตอนนี้ออกมา
กูนึกว่าตาฝาด โม่งฟิคเกอิชาาาาาาาาาา /กอดมึงงงงงงงงง กีสส ในที่สุด ตอนที่รอคอย ! อีตาคนนั้นก็ยังใจร้ายไม่เลิก เชียร์ท่านอิมาริค่ะ! ไหน ๆ ก็ไม่ได้รักทั้งคู่ เลือกคนที่รู้จักการทรีทผู้หญิงดีกว่านะ
กรี๊ดดดดด โม่งฟิคเกอิชาาาาาาาา ฮือออ กูเชียร์เอ็นโจจ ถึงจะปากร้ายแต่ก็นะ (TvT;; 💕
>>808 เปลือกไข่ช่วยจริงนะ มันเป็นแคลเซียมคอร์บอเนต ช่วยดึงสารในเม็ดกาแฟให้ออกมาละลายในน้ำได้มากขึ้น
อ้างอิง https://www.facebook.com/textile.phys.and.chem/photos/a.507291945975911/1574243115947450/
โฮวววว นี่มันโม่งฟิคเกอิชา ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อ เป็นพลังให้กูในวันที่ฝุ่นหมองมัวในวันนี้ ถ้าท่านเรย์กะเอาผ้าชุบน้ำมาโปะหน้าคาบุอ้างว่าเพื่อป้องกันฝุ่นกูจะไม่แปลกใจซักนิด โฮววววว
แปดน้อยกว่าแล้ว ร่วมแรงร่วมใจตั้งหัวมู้ใหม่กันพลางๆนะพวกมึง
ฟิคเกอิชากลับแล้ววววว..!! เย้ๆ😘
โม่งเกอิชาาาาา กูปลื้มมึงมากเลย มึงมาทำอารมณ์กูอินทูฟิคจนกูตื่นอย่างสดใสได้ แต่กูแม่งสงสารท่านเรย์กะ กูอ่านวนมาสองรอบกูแทบน้ำตาแตก แต่มึง มึง มึงทำดีมากเว่อร์อ่ะ ฮืออออออออออ
รอกูสอบเสร็จก่อนนะ กูจะปั่นฟิคแข่งกะมึง
โม่งฟิ๊คคคคคคคคคคคคคคคค ม่างเอ้ยยยยยย กูดีใจที่มึงอัพแต่อ่านแล้วสงสารท่านเรย์กะ ฮือออออ ชอบตอนจบของตอนนี้มากๆๆๆ ฟสาฟวฟมีพไสมำำยใพ
อ่านฟิคเกอิชาแล้วก็ปวดใจ แต่ก็อยากอ่านต่อ รู้สึกตัวเองมาโซ 555555555555
>>812 โม่งเกอิช๊าาาาาาาาาาา กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดสหบปบหลลหลฟลไลหลหลหลหลลหฃหงปงแวแสแวป
ฮืออออ กูรักมึงงงงงงงง ♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡♡
กูจะยังแอบโบกธงท่านพี่ต่อถึงธงกูจะปุปะจนแทบไม่เหลือซากแล้วก็เหอะ;__; แต่ถ้าไม่ไหวจริงก็อยู่กับท่านอิมาริไปก่อนเถอะนะ อย่าไปทรมานกับผู้ชายปากร้ายเลย ทรมานใจแค่เรื่องเดียวก็พอแล้วว
แท้งกิ้ววว โม่งเกอิชา~ งือ กุสงสารท่านเรย์กะ
กุขอเสนอหัวข้อกระมู้หน้า
ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชา กับโม่งซุยรันเรือแตกถ่อเรือบดเข้าทวีปคานที่ 30
ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรัน กับการประชุมเปิดบริษัทกวนกาวโม่งฟิคสาขาย่อยจากสาขาหลักฮิโยโกะซามะ เฮ้อ ขาดงบสนับสนุนเงินทุนไม่พอ [ ทุบโต๊ะครั้งที่30 ]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการคาดเดาตัวตนของท่านฮิ หรือว่าจะเป็น!!?!![ขอกาวโม่งฟิคครั้งที่ 30 ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ ]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : สโมสรน้ำ(กัญ)ชาซุยรัน เดตควงพี่น้องหนุ่มต่างวัยชวนใจเต้นโดกิโดกิใต้แสงดอกไม้ไฟ มาติดตามของกินใหม่ของเจ้าแม่กันเถอะ!!! [ ขอยากิโซบะจานที่ 30 ด้วยค่ะ! ]
มู้จะขึ้นเลขสามแล้วเหรอ กูซึ้งใจจัง
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับจิตวิญญาณแห่งการรอคอยที่โชติช่วงด้วยพลังเผาไหม้แห่งกาว [เช็กหน้าเว็บครั้งที่ 30xxxxxxxx ]
มู้ไม่เคยเงียบขนาดนี้มาก่อนเลย....
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการบริโภคกาวเป็นของว่างระหว่างรอท่านฮิโยโกะกลับมา [แค่คำเดียวนะคะรอบที่ 30]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันบนบานขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดลบันดาลให้ท่านฮิโยโกะกลับมา [ทานแกงกะหรี่มิราเคิลจานที่ 30]
บ้านพักคนชราของเจ้าแม่เรย์กะ : เชิญชวนมาร่วมจิบน้ำ(กัญ)ชารอท่านฮิโยโกะด้วยกันนะคะ! [ฉลอง(การรอ)ครบรอบปีที่ 30]
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการรอคอยเหล่าโม่งฟิคและท่านฮิโยโกะ[มาแก้ความค้างครั้งที่30]
ปล.
-->>เพื่อให้ฟิคต่างๆทยอยมาโปรดมาด้วยเถอะ สาธุ~
♪\(*^▽^*)/\(*^▽^*)/
♪☆\(^0^\) ♪(/^-^)/☆
เพลงมา มา
รอฉันรอเธออยู่ แต่ไม่รู้เธออยู่แห่งใด เธอจะมา เธอจะมา เมื่อไร สร้างเอาไว้ ทำไมไม่ต่อ สร้างเอาไว้ ทำไมไม่ต่อ รอจนรากงอกแล้วค่าาา~( π ¤ π )
ขอถามคำถามไร้สาระหน่อยนะ ปกติเรย์กะชอบแขวะคาบุว่าไม่มีใครคบ ซึ่งกูก็สงสัยว่าอีตานี่มันไม่มีเพื่อนคบจริงดิ ระดับคาบุน่าจะมีคนเข้าหาเยอะมากๆนะ ทั้งชายทั้งหญิง ขนาดเรย์กะเพื่อนยังเยอะเลย แล้วคาบุที่เป็นร่าง c ของเรย์กะ//แค่กๆๆ จะไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากเอ็นโจเลยหรอม หรือไม่อยากคบใครนอกจากเอ็นโจ เพื่อนน่ะมีนายคนเดียวก็พอแล้ว//สูดกาวม่วง
>>849 กูว่าคนอื่นเขามองคาบุแบบนับถืออ่ะ ดูเหมือนเป็นคนที่สูงส่งกว่า เอาไว้มองอย่างเดียวไรงี้ เพราะเจ้าตัวไม่หลุดทำนิสัยประหลาดๆ ต่อหน้าคนอื่นแบบเจ้าแม่ด้วยแหละ
แล้วคาบุดูเป็นคนไม่สนใจคนอื่น(นอกจากคนที่ตัวเองชอบ)สักเท่าไหร่ด้วย 5555555
ปล. คาบุเหมาะกับฉายาไซซายะมากๆ...
กูว่าเพราะอีตานี่มันสมบูรณ์แบบเกินไปว่ะ หล่อ บ้านรวย เรียนเก่ง ทำอะไรก็ทุ่มเทจนเพอร์เฟคไปซะหมด ดูเป็นตัวตนที่เกินเอื้อมมากๆ ให้ไปตีสนิทก็อึดอัด กลัวเขารังเกียจกลับมาเลยได้แต่มองห่างๆกัน แถมคาบุหน้าดูไม่รับแขกด้วย ไม่รู้จะไม่พอใจที่เราตีซี้มั้ย ก็เลยเป็นตัวตนที่สูงส่งไม่มีใครเอาลงจากหิ้งต่อไป เลยไม่มีใครคบ ถถถถถถถถถ
ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการรอคอยท่านฮิโยะต่อไป [ปีนี้กูก็อายุ 30 ซะแล้ว]
ท่านเรย์กะเห็นนางบรรยายเหมอนเพื่อนเยอะความจริงเพื่อนนางก็ไม่เยอะเถอะ5555555 มีคนเคารพเยอะกว่านะกูว่า ดูมุมมองไรจินหรือฟูจินตอนนั้นก็รู้แล้วว่าถึงตอนแรกจะมองเป็นเคารพแต่ตอนนี้มองเป็นเพื่อนก็ยังกึ่งๆเคารพอยู่นั่นแหล่ะ
อีกอย่างคาบุน่ะน่าจะสนิทกับพวกขี่ม้าส่งเมืองกันด้วยนะ…คิดว่าน่ะ
ตามเช็คทุกเดือน ยังไม่อัพต่ออีกหรอเนี้ย
เฝ้ารอคอยตอนที่ 300 ต่อไป
>>849 คาบุมันออร่าความเป็นบอสแรงอ่ะ คนรักคนนับถือคงไม่น้อย ประมาณว่ายอมพลีกายถวายชีวิตติดตามท่านผู้นี้ แต่คงไม่มีใครอาจเอื้อมกล้าตีเสมอ คนระดับเดียวกันที่พูดคุยด้วยได้ก็มีแต่เอ็นโจ ส่วนเจ้าแม่จริงๆก็คิดว่าสภาพใกล้เคียงกันนะ แต่นางปกปิดความรั่วได้ไม่ดีเท่าคาบุ คนอื่นเลยเอ็นดูแทน
ระดับนั้นมันหาคนที่เปิดเผยตัวตนยากว่ะกูว่า อย่างคนที่เจ้าแม่ไม่ได้เก๊กใส่จริงๆมีกี่คนเอง (ไม่นับพวกที่รู้เองอยู่แล้วนะ) ยิ่งพวกข้างนอกนิ่งแบบคาบุคนที่ไม่ได้เข้าหาเพราะอำนาจก็น้อยชิบหาย ไปๆมาๆเหลือแค่เอ็นโจกับเจ้าแม่(ที่เจ้าตัวไม่ยอมรับ)ก็ไม่แปลก
เออ แล้วเอ็นโจนี่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากคาบุมั้ยวะ หรือไม่มีใครคบก็คบกันเองอยู่สองคนเหมือนกัน 5555555
AU ฮอกวอตส์อีกครั้งค่า
ไม่ใช่ตอนต่อจากอันที่แล้วนะ
----------------------------------
ชั่วโมงแรกของวันศุกร์สำหรับปีห้าคือวิชาปรุงยา
นักเรียนทุกคนยืนอยู่ที่หน้าห้องฟังอาจารย์แนะนำเนื้อหาการเรียนสำหรับเทอมใหม่นี้ ตรงหน้าอาจารย์มีหม้อสามใบที่มีน้ำยาสามอย่างแตกต่างกันบรรจุอยู่
มาซายะดูเบื่อๆเล็กน้อยและเอาแต่มองไปทางทาคามิจิที่อยู่กับพรรคพวกเรเวนคลอและกำลังตั้งอกตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน เรย์กะดูวิตกกังวลกับหม้อสามใบที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอาจารย์ และชูสุเกะที่มองเรย์กะแบบยิ้มแย้ม
“มีใครบอกได้บ้างว่าน้ำยาสามอย่างตรงหน้านี่คืออะไร เริ่มจากทางซ้ายก่อน...มีใครอยากจะตอบมั้ย”
“ค่า ค่า” ทาคามิจิชูมือขึ้นสูงในอากาศ พอได้รับอนุญาตให้พูดก็เริ่มแจกแจง “ทางซ้ายคือน้ำยาสรรพรส เป็นน้ำยาที่จะทำให้เรากลายเป็นใครก็ได้ในหนึ่งชั่วโมงโดยใช้ส่วนผสมจากร่างกายของคนนั้นค่ะ”
“ถูกต้อง คุณทาคามิจิ สิบแต้มสำหรับเรเวนคลอ”
ทาคามิจิอมยิ้ม แก้มเป็นสีชมพูนิดๆเพราะได้รับคำชมและได้รับแต้มจากการตอบคำถาม
มาซายะยิ้มตาม ทำเหมือนตัวเองตอบคำถามถูกเองยังไงยังงั้น
ได้ยินเสียงซุบซิบทั้งหลายดังมาจากทั่วทุกมุมห้อง “อวดดี” “ยัยคนรู้มาก” หรืออะไรทำนองนั้น แต่ทาคามิจิไม่ได้สนใจมากนัก
“เอ้า แล้วตรงกลางนี่ล่ะ”
“ครับ…” มือที่ชูขึ้นมาในอากาศคราวนี้คือมือของมิซึซากิ อาจารย์วิชาปรุงยาจึงผายมือให้ตอบ “มันคือน้ำยานำโชคครับ เป็นน้ำยาที่จะทำให้คนดื่มโชคดี”
“นั่นคือคำตอบที่ถูกต้อง คุณมิซึซากิ” อาจารย์มีสีหน้าพึงพอใจและอธิบายต่อเกี่ยวกับตัวน้ำยานำโชคนี้ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วก็…. “...สิบแต้มสำหรับฮัฟเฟิลพัฟ”
ทาคามิจิหันไปชูนิ้วโป้งให้ ซึ่งมิซึซากิก็ยิ้ม พยักเพยิดหน้าตอบกลับไป แต่มาซายะตาลุกวาวด้วยความเดือดดาล
เมื่ออาจารย์ถามมาถึงน้ำยาตัวสุดท้ายที่เป็นสีชมพูอ่อนดูมันวาวเหมือนเคลือบด้วยไข่มุก มาซายะก็ชูมือขึ้นในอากาศสุดแขนแบบไม่รอให้ถามคำถามจบด้วยซ้ำ
“มันคือน้ำยาลุ่มหลงครับ” ทุกคนในห้องหันมามองมาซายะเป็นตาเดียว “เป็นยาเสน่ห์ที่แรงที่สุดในโลก จะได้กลิ่นแตกต่างกันไปตามความชอบของคนนั้นๆ”
“สมกับเป็นคุณคาบุรากิ สิบแต้มสำหรับกริฟฟินดอร์”
ทาคามิจิหันมามองมาซายะแล้วยิ้มให้ ดวงตาฉายแววชื่นชม
มาซายะยืดตัวขึ้น ดูท่าทางภูมิใจมากกว่าคำชมว่าสมเป็นท่านคาบุรากิที่ถูกส่งมาจากทั่วห้องเสียอีก
อาจารย์บอกให้พวกเขาเข้ามาใกล้ๆกับหม้อต้มที่มีน้ำยาลุ่มหลงบรรจุอยู่ บอกให้ลองสูดกลิ่นเข้าไปซึ่งทุกคนก็ทำตามแต่โดยดี
ชูสุเกะได้กลิ่นกาแฟ กลิ่นฝนตกใหม่ๆ และกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆผสมกับลูกพีชกลิ่นหวานหอมปะปนเข้ามา เป็นกลิ่นที่รู้สึกว่าเคยได้กลิ่นที่ไหนมาก่อน
เขาชอบกลิ่นนี้ ดมแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนแบบน่าประหลาดที่ชวนให้รู้สึกรุ่มร้อนในตัว
“น้ำยาลุ่มหลงคือยาเสน่ห์ที่แรงที่สุดในโลก แค่หยดเดียวคนคนนั้นก็จะเป็นทาสของเธอไปตลอดกาล”
นักเรียนหญิงดูจะฮือฮากับคำอธิบายของอาจารย์ มองมาทางมาซายะกับชูสุเกะด้วยสายตาที่ดูมุ่งมั่นแปลกๆ
เขาสองคนมองหน้ากัน คิดว่าต่อจากนี้ต้องระวังอาหารหรืออะไรก็ตามที่มีคนยื่นให้กินเป็นพิเศษแล้ว
“..แต่อย่าลืมว่ายาเสน่ห์ก็ไม่สามารถสร้างความรักที่แท้จริงขึ้นมาได้ ต่อให้น้ำยาจะซับซ้อนแค่ไหนแต่ก็เลียนแบบความรักจริงๆไม่ได้ ความรักต้องใช้หัวใจของพวกเธอเองในการสร้างมันขึ้นมา…”
บรรดานักเรียนหญิงทำหน้าเคลิบเคลิ้มกับวาจาของอาจารย์ เรย์กะเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน
ชูสุเกะมองแล้วก็ได้แต่คิดว่าเธอน่าจะชอบอะไรหวานแหววโรแมนติคแบบนี้จริงๆ
เมื่ออาจารย์สั่งให้แยกย้ายกันไปปรุงยาตามที่ได้ให้โจทย์ไว้บนกระดาน น้ำยาสามอย่างที่อาจารย์เอามาเป็นตัวอย่างไม่ใช่น้ำยาที่พวกเขาต้องทำจริงๆ แต่แค่เอามาแนะนำให้ได้รู้จักไว้เฉยๆ และตอนนี้มันก็ถูกเอาไปเก็บ ปิดฝาไว้เรียบร้อยที่มุมในสุดของห้องเรียน
กลิ่นของกาแฟ ฝน และดอกไม้ผสมลูกพีชที่ชูสุเกะได้กลิ่นก็จางหายไป เหลือแต่กลิ่นสมุนไพรและควันจางๆที่ได้กลิ่นเป็นประจำเสมอในวิชาปรุงยา
มีนักเรียนบางคนชำเลืองไปทางหม้อต้มยาที่ถูกนำไปเก็บ ซึ่งอาจารย์ก็คงเหมือนจะรู้ทันเพราะได้อธิบายต่อว่าหม้อต้มยาพวกนี้ถูกลงคาถากำกับขโมยไว้หมดแล้ว อยากพิสูจน์ก็เอาเลย ความคิดของเหล่าหัวขโมยก็ต้องเป็นอันถูกพับเก็บไปโดยปริยาย
มาซายะและชูสุเกะทำงานอยู่โต๊ะตัวเดียวกัน มีสมาชิกอีกสองคนคืออิวามุโระที่อยู่กริฟฟินดอร์และหัวหน้าห้องที่อยู่ฮัฟเฟิลพัฟ ทั้งคู่ทักทายเขาอย่างยิ้มแย้มและเริ่มลงมือหั่นส่วนผสมที่ได้กำหนดไว้บนกระดาน
ขณะทำงานกัน พวกเขาก็พูดเรื่อยเปื่อยไร้สาระกันไปด้วย ส่วนมากก็เป็นการแข่งขันควิดดิซของทีมต่างๆ แล้วก็วิชาที่เรียน
“จะว่าไปแล้ว...เมื่อครู่นี้ทุกคนได้กลิ่นอะไรจากน้ำยาลุ่มหลงเหรอครับ” หัวหน้าห้องถามขึ้นมาตอนเทรากไม้ใส่หม้อต้มยาแล้วกดมันให้จมลงไป “ผมได้กลิ่นของต้นสน กลิ่นต้นหญ้าที่เพิ่งตัด แล้วก็ทะเลล่ะครับ”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะ ฉันได้กลิ่นช็อคโกแลต กลิ่นกระดาษกับหมึก...” มาซายะที่กำลังกวนส่วนผสมให้เข้ากัน ดูกระตือรือร้นในการตอบคำถามขึ้นมากกว่าเมื่อครู่นี้ กระแอมไออีกนิดหน่อยเหมือนจะประกาศเรื่องสำคัญ “...แล้วก็กลิ่นวานิลา”
“เห ยอดไปเลยนะครับ” อิวามุโระทำท่าประทับใจ “ผมได้กลิ่นของแป้งฝุ่น กลิ่นคุกกี้ชินนามอน แล้วก็กลิ่นอโรม่าออยล์ที่คุณมาโฮะแบ่งมาให้ทามือเมื่อวันก่อนน่ะครับ เห็นคุณมาโฮะบอกว่าใช้ประจำ หอมมากเลย”
“ว่าไปแล้ว ฉันก็ได้กลิ่นวานิลาหอมๆจากตัวทาคามิจิเสมอเหมือนกัน” มาซายะพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ที่บ้านยัยนั่นเป็นร้านเบเกอรี่นี่นะ แถมยังทำขนมเก่ง จะได้กลิ่นขนมนมเนยจากตัวก็ไม่แปลกเท่าไหร่”
“กลิ่นทะเลผมก็นึกถึงคุณฮอนดะเหมือนกันครับ หอม เย็น สดชื่น” หัวหน้าห้องบิดตัวไปมาดูท่าทางจะเขินมาก “แต่ชื่อคุณฮอนดะก็แปลว่าเกลียวคลื่นที่งดงาม เลยเชื่อมโยงกับทะเล”
สามหนุ่มคุยกันเรื่องความรัก แต่ชูสุเกะกลับรู้สึกว่าเหมือนกำลังยืนอยู่ในดงสาวน้อยที่คอยเล่าเรื่องคนที่แอบชอบให้เพื่อนสาวฟังอย่างไรชอบกล
“แล้วชูสุเกะล่ะ”
“ผมได้กลิ่นกาแฟ กลิ่นฝนกับกลิ่นดอกไม้ที่ไม่รู้จักชื่อน่ะ”
“ชูสุเกะชอบกาแฟนี่นะ” มาซายะพยักหน้า “ว่าแต่ดอกไม้ที่ไม่รู้จักชื่อนี่มันอะไรกันล่ะ”
“ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าหอมมาก”
ชูสุเกะนึกอยากลองเดินไปหาเรย์กะเพื่อพิสูจน์ดูว่าสิ่งที่ได้กลิ่นจากน้ำยาลุ่มหลง จะเป็นกลิ่นเดียวจากตัวเธอหรือไม่ แต่ยังไม่มีโอกาสทำแบบนั้น
บทสนทนาหยุดลงเมื่ออาจารย์เริ่มการเดินดูผลงานของนักเรียนที่โต๊ะ จนมาหยุดที่โต๊ะของพวกเขา
มาซายะกับชูสุเกะได้ผลงานเป็นที่น่าพอใจเพราะสามารถผสมยาให้ออกมาให้ได้คุณสมบัติตามที่ระบุไว้บนกระดานได้ กริฟฟินดอร์กับสลิธีรีนเลยได้ไปกันอีกคนละ 10 แต้ม ส่วนหัวหน้าห้องกับอิวามุโระนั้นทำน้ำยาพอใช้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่อาจารย์จะประทับใจเท่าไหร่นัก
ชูสุเกะมองไปทางโต๊ะของเรย์กะซึ่งอยู่ห่างไกลจากโต๊ะเขามากที่สุด ตอนนี้เธอกำลังตักน้ำยาจากหม้อต้มของตัวเองใส่ขวดบรรจุเตรียมส่งอาจารย์ ดูจากสีหน้ายิ้มแย้มแล้วเธอคงทำผลงานออกมาได้ดีจนเขาต้องยิ้มตาม
“ยิ้มแบบนั้นมันทำให้หน้าของนายในตอนนี้ดูน่าขยะแขยงเป็นบ้า”
ชูสุเกะหุบยิ้มทันควัน มองมาซายะด้วยหางตา
“ก็น่าขยะแขยงน้อยกว่าตอนที่นายเดินไปสูดกลิ่นคุณทาคามิจิเมื่อกี้นี้ก็แล้วกัน”
“ฉันไปให้ความช่วยเหลือในเรื่องวิชาปรุงยาต่างหาก”
“อ้อเหรอ” ชูสุเกะพูดเสียงเยาะๆ “แล้วกลิ่นวานิลาหอมมั้ยล่ะ”
นิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง มาซายะก็พูดเสียงอุบอิบในลำคอเหมือนไม่อยากให้ได้ยิน
“...หอม”
ชูสุเกะกลอกตาขึ้นมองเพดานก่อนจะหันไปยิ้มให้แบบดูถูก
เมื่ออับจนถ้อยคำ มาซายะก็แยกเขี้ยว กระแทกเท้าเดินปึงปังออกไปจากที่ตรงนั้น ทำหน้าบึ้งกลบเกลื่อนความเขินไปตลอดมื้อเที่ยง ทำเอาพวกกริฟฟินดอร์ซุบซิบกันใหญ่ว่าท่านคาบุรากิไปโกรธใครที่ไหนมา แต่ไม่มีใครกล้าไปถามเพราะยังรักชีวิตกันอยู่
.
.
.
.
.
ตอนบ่ายหลังพักกลางวันก็คือวิชาดูแลสัตว์วิเศษ สัตว์ที่ได้เรียนในวันนี้คือนิฟเฟลอร์ที่เพิ่งออกลูก และพวกเขามีหน้าที่ต้องป้อนอาหารให้เหล่าลูกๆของมัน
อาจารย์อธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาการเรียนและสาธิตวิธีการป้อนอาหารมันให้ดูก่อนหนึ่งรอบ ก่อนจะปล่อยให้พวกเด็กนักเรียนทำงานกัน
เมื่ออาจารย์ทำ ทุกอย่างล้วนดูง่ายดายไปหมด แต่เอาเข้าจริงมันไม่ง่ายเลยซักนิด พวกมันไม่ดุร้ายเป็นอันตรายก็จริง แต่ว่องไวมากและชอบดิ้นหนีออกจากมือไปหาอิสรภาพอยู่เรื่อย ต้องใช้สายสร้อยหรือเครื่องประดับล่อหลอกความสนใจเอาไว้ถึงจะอยู่นิ่งๆกันได้
ชูสุเกะและมาซายะทำงานเลี้ยงนิฟเฟลอร์กรงเดียวกัน พยายามจับเจ้าลูกตุ่นปากเป็ดตัวจิ๋วพวกนี้ป้อนอาหาร กลุ่มของเขาน่าจะเป็นกลุ่มที่ทำงานได้ราบลื่นที่สุดแล้ว
เสียงวี้ดว้ายของพวกผู้หญิงดังมาจากอีกฟากเรียกความสนใจให้พวกเขาหันไปมอง พบว่าเป็นเรย์กะที่ถูกเพื่อนๆผู้หญิงของเธอประคองอยู่ ดูเหมือนเมื่อครู่นี้เธอจะลื่นล้มจนก้นกระแทกพื้นจากการไล่จับเจ้านิฟเฟลอร์ที่หลุดมือ
ยืนดูกันอยู่ครู่หนึ่ง มาซายะก็เริ่มวิจารณ์การเคลื่อนไหวสุดแสนทุลักทุเลของเธอ เห็นได้ชัดว่าเรย์กะไม่ถูกกับอะไรแบบนี้เลยซักนิด แต่ก็ยังมาลงเรียนเกี่ยวกับสัตว์วิเศษที่ต้องออกแรง ช่างน่าประหลาด
พอชูสุเกะส่งยิ้มให้ มาซายะก็เงียบลงแล้วหันไปบีบน้ำนมจากขวดใส่ปากเจ้าตัวจิ๋วพวกนั้นต่อ ไม่พูดอะไรอีกเลย
ชูสุเกะที่ทำงานในส่วนของตัวเองเสร็จก็วางนิฟเฟลอร์ที่ตัวเองกำลังดูแลลงใส่กรง ปัดๆฝุ่นตามตัวนิดหน่อยก่อนจะเดินไปทางเรย์กะ
ตอนนี้เธอกำลังไล่จับเจ้านิฟเฟลอร์ตัวหนึ่งที่พยายามวิ่งหนีออกจากมืออีกหน สีหน้าเลิกลั่กนั่นดูน่าสงสาร แต่เพื่อนนักเรียนหญิงของเธอหลายคนก็กำลังประสบปัญหาคล้ายๆกันเลยไม่ค่อยมีคนช่วยเธอเท่าไหร่นัก
“คุณคิโชวอิน” เขาส่งเสียงเรียก “เป็นยังไงบ้าง พอไหวมั้ย”
“เอ่อ...ก็พอได้ค่ะ” เธออ้อมแอ้มตอบตอนลุกตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้นได้สำเร็จ
“ลองทำแบบนี้สิ”
เขาดึงสายสร้อยทองเส้นยาวที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมออกมาแกว่งต่อหน้า เจ้าลูกนิฟเฟลอร์มองตาแป๋วก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาหาคล้ายๆกับระแวดระวังภัย
เมื่อเข้ามาอยู่ในระยะที่มือเอื้อมถึง ชูสุเกะก็คว้าตัวมันไว้โดยที่ยังแกว่งสร้อยหลอกล่อความสนใจเอาไว้อยู่
“นิฟเฟลอร์พวกนี้ชอบของแวววาวหรือพวกของมีค่าน่ะ” เขาอธิบายรวบรัด “ถ้าอยากให้อยู่นิ่งๆก็ต้องทำแบบนี้ล่ะ”
“เห อย่างนั้นเหรอคะ”
“พอจับเคล็ดได้ก็น่าจะไม่ยากแล้ว” ชูสุเกะส่งเจ้าลูกนิฟเฟลอร์คืนให้ “เอ้า ทีนี้ลองป้อนอาหารดูสิ”
เรย์กะรับนิฟเฟลอร์มาอยู่ในอ้อมแขน ค่อยๆหยดน้ำนมใส่ปากมันทีละหยด มันอ้าปากรับแต่โดยดีไม่ดิ้นหนีแบบเมื่อครู่นี้ เพียงเท่านี้เธอก็ยิ้มกว้าง สายตาเป็นประกายด้วยความดีใจ
“ขอบคุณนะคะ ท่านเอ็นโจ”
ชูสุเกะยิ้มแทนคำตอบ มองเรย์กะที่ป้อนนมนิฟเฟลอร์อย่างทนุถนอม ลอบสำรวจเกี่ยวกับตัวเธอไปด้วย น้อยครั้งที่เขาจะมีโอกาสเข้าใกล้ได้ขนาดนี้โดยที่เธอไม่เผ่นหนีไปซะก่อน
จะว่าไปเธอตัวเล็กขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เขาจำได้ว่าปิดเทอมหน้าร้อนครั้งก่อนหน้านั้นเรายังสูงเท่ากันอยู่เลย แต่ตอนนี้ต้องก้มมองหน้าเธอแล้ว
เขาพยายามจะนึกแต่ก็นึกไม่ออก เพราะสายลมเอื่อยๆพัดโชยมา พาเอากลิ่นหอมของดอกไม้และลูกพีชมาให้ได้กลิ่นอยู่เรื่อย เป็นกลิ่นแบบเดียวกับที่ได้กลิ่นตอนดมน้ำยาลุ่มหลง
และต้นตอของกลิ่นก็อยู่นี่เอง
เขาจำได้ว่าเรย์กะมักจะรวบผมขึ้นมัดเป็นหางม้าเปิดต้นคอที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในวิชานี้เสมอ คงเพราะอยากให้ทะมัดทะแมงคล่องตัว เหงื่อที่ซึมนิดๆตามไรผม ต้นคอขาวๆ และใบหน้าที่เป็นสีชมพูระเรื่อจากการออกแรงออกจะเป็นภาพที่ดูดี ตอนนั้นเขาได้แต่มองไกลๆ ไม่เคยได้ใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อน
ในคอเขารู้สึกแห้งผากไปหมด อาจจะเป็นเพราะอากาศร้อนก็เป็นได้
...ไม่ใช่จินตนาการเตลิดเปิดเปิงตอนที่เห็นต้นคอเธอใกล้ๆหรอกนะ
ชูสุเกะรู้ดีว่านั่นเป็นคำโกหกคำโต เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ใต้ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา มีลมอ่อนๆพัดมาจากทะเลสาบอยู่ตลอด และอากาศไม่ได้ร้อนถึงขั้นที่จะทำให้เขารู้สึกกระหายน้ำได้
ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น เขาก็สนใจเพศตรงข้ามเพิ่มมากขึ้น อันที่จริงเขาไม่ได้สนเพราะว่าเป็นเพศตรงข้ามหรอก แต่เพราะเป็นเรย์กะต่างหากเขาถึงได้สนใจ
ชูสุเกะนึกสงสัยว่าเธอเอาน้ำยาลุ่มหลงให้เขาดื่มอย่างนั้นหรือ เขาถึงได้รู้สึกทุรนทุรายขนาดนี้
พอรู้ตัวว่าชอบ ใจมันก็คอยแต่จะคิดเรื่องไม่ดีไม่งามอยู่เรื่อย
ทุกอย่างของเรย์กะและทุกการกระทำนั้นเร้าอารมณ์ได้อย่างน่าประหลาด เขาอยากซุกหน้าเข้ากับต้นคอเธอ สูดดมพิสูจน์ใกล้ๆว่ามันคือกลิ่นของน้ำยาลุ่มหลงจริงหรือไม่ อยากแนบริมฝีปากชิมรสชาติเนื้อตัวเธอ ว่ามันจะหวานหอมเหมือนกลิ่นรึเปล่า ปากเธอจะนุ่มเหมือนมาร์ชเมลโลมั้ยนะ เขาไม่ค่อยชอบขนมหวานหรืออะไรหวานๆก็จริง แต่ถ้าเป็นเรย์กะเขาจะกินให้หมดไม่ให้เหลือแม้แต่คำเดียว
แค่ยื่นมือออกไป เขาก็สามารถรวบข้อมือเธอไว้ทั้งสองข้างได้ด้วยมือข้างเดียว แถวนี้ก็มีพุ่มไม้ที่เป็นจุดอับสายตาอยู่เพียบ แถมคนก็เยอะด้วย ทุกคนยุ่งงานของตัวเองกันหมด ไม่มีใครสังเกตหรอกว่านักเรียนหายไปไหนสองคน
ถ้าเพียงแค่ยื่นมือออกไป
เรย์กะเงยหน้ามองด้วยดวงตากลมโตที่ดูสงสัย เขาได้แต่ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องนี้ยามเมื่อได้สบตากัน
เขากลัวว่าเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่จะแสดงชัดออกมาให้เห็นว่าเขาอยากจะทำอะไรกับเธอบ้าง
และถ้าเธออ่านใจเขาได้ในตอนนี้ ได้เห็นว่าเขากำลังคิดอะไร คงจะหนีหายไปไม่ยอมมาให้เจอหน้าอีกเลยแน่ๆ
เรย์กะเลิกลั่กเล็กน้อยเมื่อสบตากับเขา มองซ้ายมองขวาเหมือนจะหาตัวช่วย แต่เพื่อนผู้หญิงของเธอกลับไปอยู่เสียห่างเหมือนไม่ต้องการจะรบกวน
“อะ เอ่อ...ใกล้จะได้เวลาเลิกเรียนแล้วนะคะ ไปกันเถอะค่ะ”
สัญชาตญาณระวังภัยของกระต่ายยังคงทำงานได้ดีเยี่ยม เรย์กะรีบร้อนลุกขึ้นยืน เดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนสาว
…...ไปซะแล้ว กระต่ายน้อย
ชูสุเกะได้แต่มองตาม รู้สึกเสียดายนิดๆ แต่การได้อยู่ใกล้ๆเธอในวันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า
และก็ต้องขอบคุณที่เรย์กะหนีไปก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงขาดสติเพราะกลิ่นหอมจนเผลอทำอะไรไม่ดีลงไปแหงๆ แถมยังต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการสะกดอารมณ์ที่มันก่อตัวอยู่ข้างใน อย่างน้อยก็ต้องห้ามตัวเองไม่ให้คว้าเธอมาจูบเดี๋ยวนั้นเลย
เขาน่าจะโดนน้ำยาลุ่มหลงจริงๆด้วย ไม่งั้นไม่เป็นเอามากขนาดนี้
จากวันนี้เขาก็คงไม่มีหน้าไปด่ามาซายะในเรื่องทำตัวเหมือนพวกโรคจิตแอบดมกลิ่นคนที่ชอบแล้ว ในเมื่อเขาก็เป็นเองเหมือนกัน...อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ
แล้วมาซายะตอนดมกลิ่นคุณทาคามิจิ จะคิดแบบเดียวกันกับตอนที่เขาดมกลิ่นของเรย์กะรึเปล่านะ
----------------------
ดูหนังเรื่องน้ำหอมมนุษย์เลยอยากลองเขียนอะไรเกี่ยวกับกลิ่นดู แต่รู้สึกติดๆขัดๆไม่ค่อยละเมียดเลยวุ้ย Orz
แท้งกิ้วโม่งฟิก. เจ้าแม่ในฟิกช่างนุ่มนิ่มเหลือเกิน
พวกมึง ฟิคกาวนอกมุมมองเอ็นโจมีใครจะแปลตอนที่23หรือยัง กูอยากลองฝึกแปลแล้วมาให้พวกมึงอ่านแล้วช่วยติช่วยชมหน่อย
มู้เงียบเหงา เศร้าเหลือเกิน แม้แต่กาวก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ แล้วเหรอ ไม่นะะะ ;_;!
เดี๋ยวๆ กำลังจะโหวตชื่อกระทู้ใหม่ ใจเย็นๆนะ
เหมือนกาวเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
หรือเพราะเริ่มอ่านแต่ตอนเดิมๆจนชอกช้ำแทนละวะ
>>877 ถ้ามีตอนใหม่ก็มีวัตถุดิบใหม่สำหรับกวนกาวเองล่ะน้า Orz
จะว่าไปเมื่อคืนกูฝันว่าเรื่องนี้เดินทางมาถึงตอนจบแล้วว่ะ เห็นคอมเมนต์ในแมวดุ้นแสดงความยินดีที่เจ้าแม่เป็นฝั่งเป็นฝากันใหญ่ จำได้ว่ามือไม้สั่นตื่นเต้นมาก แต่พอกูจะคลิกเข้าไปอ่านตอนจบ กูก็ตื่นซะก่อน ฮรือออออออออออ หรือจะเป็นเรื่องจริงในโลกคู่ขนานของกูวะ 5555555555
นี่พวกเราต้องจบสิ้นกันแค่นี้งั้นเหรอ โลกแห่งจริงมันโหดร้ายเกินไปแล้ว Orz
อย่า!!! หมด!!! หวัง!!!
เรา!!! จะ!!! อยู่!!! ใน!!! มู้!!! นี้!!!
ถึง!!! 120!!! ปี!!!
>>879 ในโลกคู่ขนานของกู เรื่องนี้เอาไปตีพิมพ์รวมเล่มทำยอดขายมหาศาลพิมพ์ซ้ำมากกว่าร้อยครั้ง ได้รับการแปลงเป็นคอมิค อนิเม และซีรี่ส์คนแสดง
คนแสดงเป็นท่านเรย์กะคือคิตาคาวะ เคโกะว่ะ ถึงตอนแรกๆ จะมีเสียงติเตียนบ้างว่านางน่าจะแก่เกินมารับเด็กม.ปลาย แต่ท่านเรย์กะหน้าแก่อยู่แล้วก็เลยเหมาะมากๆ เลยล่ะ
มีใครจะกรุณาช่วยไปไล่ใส่ชื่อคู่ในสารบัญเรย์กะ หมวดแฟนฟิคให้กูได้บ้างไหมวะ
หลังจากกูย้ายมาเรือคาบุรากิอย่างมั่นคง กูก็เสพเอ็นโจเรย์ไม่ได้อีกเลย //ทรุดฮวบ
ฟิคใหม่ๆ ที่ออกมาก็อยากอ่านนะ แต่น่าจะเป็นเรือเอ็นโจซะเยอะ กูเลยไม่กล้าอ่าน ขุดสารบัญก็ไม่มีชื่อคู่ชิปแปะไว้ ใจแหลกสลาย
กูคิดไว้ว่าถ้าไม่มาต่อภายในปีนี้กูคงทำใจและแต่งตอนจบต่อในหัวเองแล้ว คือออออ จะให้กูรอเป็นปีก็รอได้นะ แต่คนเขียนช่วยส่งสัญญาณมาหน่อยว่าจะทำอะไรกับเรื่อง จะบอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยว่างอะ ขอดรอปไว้ก่อนนะอะไรก็ว่าไป มาบอกว่าจะตัดจบกูยังไม่โกรธเลย ไม่ใช่ให้รอไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ พวกเบอร์เซิร์ก หน้ากากแก้ว กูรอมาสิบปีก็ยังรอได้เพราะอย่างน้อยก็ยังรู้ข่าวว่าคนเขียนโอเคอยู่ แต่เรื่องนี้กูรู้สึกเคว้งคว้างไม่มีจุดหมายเลย Orz
หรือที่ท่านฮิไม่ลงตอนใหม่เพราะท่านหลุดเข้าไปในโลกของนิยายเหมือนเจ้าแม่!?
แค่กๆๆ ตัวฉันมีความทรงจำของชาติที่แล้วอยู่ค่ะ
กูเพิ่งเข้ากระทู้มาหาฟิคอ่านหลังจากค้างเติ่งกับอฟช. ฟิคแรกที่สุ่มอ่านคือฟิคกาลครั้งหนึ่งในฝันกูก็เจอของดีเลยว่ะ กูอิ่มเอมใจมากๆ ฉากสารภาพรักกูว่ามันน่ารักกับอบอุ่นละมุนๆเหมือนได้ฟังพวกกล่องดนตรีไขลานง่ะ อ่านแล้วเหมือนมันคอมพลีท ได้รับการเติมเต็ม มีความสุขจากใจกันทั้งคู่ บรรยากาศมันคล้ายกับตอนที่ 268 ที่คุยความในใจกันแล้วหัวเราะเสียงดังๆด้วยกัน หัวใจกูพองฟูมากกกกกกก ฟินจนต้องมาเมนท์เลย ขอบคุณมากที่เขียนมาให้อ่านนะ
>>894 เวลคัมทูเดอะคลับค่ะมึง ในกระทู้ก็อุดมสมบูรณ์ด้วยฟิคกาวมีให้เลือกอ่านได้ตามอัธยาศัยระหว่างรอท่านฮิไปพลางๆ
ไม่แน่นะพวกมึง ท่านฮิอาจจะประทานตอนใหม่ให้ในวันวาเลนไทน์ก็ได้ เมื่อสองปีที่แล้วยังอัพตอนไปกินคีชในวันวาเลนไทน์เลยนี่นา คนเราต้องมีความหวังใช่มั้ย ;w;
ขอให้ท่านฮิจำพาสเพื่อเข้ามาอัพได้ไวๆ
เข้า pixiv ไปแล้วเจอนี่มา
https://www.pixiv.net/member_illust.php?mode=medium&illust_id=72667219
แค่ท่านพี่กับอิมาริยืนด้วยกันก็ให้ฟีลหยั่งกะหน้าปกการ์ตูนวายยังไงยังงั้นเลยว่ะ 555555555555
กูมีเวลาว่าง 1 คืน เลยมากวนกาวต่อ อาจจะได้ไม่กี่ตอนก่อนหายไปอีกรอบนะ
A&A - 48.
ตารางของฉันแน่นเอี๊ยดเพราะต้องอ่านหนังสือเป็นจำนวนมากเพื่อเตรียมฝึกสอนให้กับมาโอะจัง ฉันที่แม้จะทะลุมิติมายังยุคกลางแล้วกลับต้องเป็นนักเรียนเตรียมสอบอีกครั้ง ช่างน่าเศร้าจริง ๆ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าทำงานแรงงานทั้งวันเหมือนตอนถูกขัง
ในขณะที่กำลังค้นว่าควรจะจัดตารางเรียนยังไงดี ฉันก็ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับกุลสตรีชั้นสูงซึ่งเขียนโดยท่านหญิงผู้หนึ่ง เธอเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของเธอ อา ช่างเป็นชีวิตประจำวันที่ไร้สาระอะไรเช่นนี้นะ ถึงแม้ว่าฉันจะสบายจนเคยตัว แต่พอมาอ่านเรื่องของพวกเธอแล้วก็รู้สึกว่า จะดีจริง ๆ เหรอ พวกเธอไม่โดนราษฎรปฏิวัติหรือไง ทำไมถึงทำตัวเหลวแหลกกันอย่างนี้นะ นี่มันหนทางเดินขึ้นลานประหารโดนกิโยตินตัดคอชัด ๆ
ตัวอย่างเช่น
ในยามเช้าตั้งแต่ 9.00 นาฬิกา คุณเมดจะต้องมายืนอยู่หน้าเตียง ถ้าท่านหญิงตื่นก็ต้องปรนนิบัติ แต่ถ้าไม่ตื่นก็ต้องยืนรอ ห้ามนั่งเด็ดขาด ท่านหญิงจะตื่นจริง ๆ ก็ตอน 11.00 นาฬิกา ต้องรอให้ท่านหญิงเรียกก่อน ถึงค่อยยกอ่างน้ำอุ่น (ที่เตรียมรอไว้ตั้งแต่ 9.00 นาฬิกา ซึ่งต้องอังไฟให้อุ่นตลอดเวลา) มาช่วยปรนนิบัติท่านหญิงให้ล้างหน้าบ้วนปาก คุณเมดอีกคนก็จะยกถาดอาหารกับน้ำชามาให้บนเตียง ถ้าท่านหญิงยังตื่นไม่ดี ก็จะช่วยป้อนให้ แต่ถ้าตื่นดี แค่ยืนคอยเช็ดปากให้ก็พอ
ทานอาหารเสร็จ คุณเมดก็จะช่วยจัดการธุระเข้าห้องน้ำบนเตียงด้วยกระโถน จากนั้นก็ต้องทำการเช็ดร่างของท่านหญิงทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยน้ำอุ่น เสร็จแล้วท่านหญิงก็จะยืนให้คุณเมดแต่งหน้าแต่งตัว กว่าจะได้ออกจากห้องจริง ๆ ก็ตอน 14.00 นาฬิกา
ออกจากห้องไป ท่านหญิงก็จะตรวจดูบัญชีบ้าง แต่ส่วนมากเป็นการรับรายงานจากคุณพ่อบ้านเท่านั้นว่ามีเงินเข้าออกเท่าไหร่ แล้วในวันนั้นตารางเวลาเป็นอย่างไร มีเรื่องอะไรน่าสนใจ ในระหว่างรับฟังก็นั่งจิบชากินขนม ซักช่วง 16.00 นาฬิกา ท่านหญิงก็จะทำการเปลี่ยนชุดอีกครั้ง เพื่อไปดูการละเล่นในเมืองช่วง 17.00 นาฬิกา การละเล่นส่วนมากก็จะเป็นละครบ้าง โอเปร่าบ้าง หรือดูการขี่ม้าแข่งของพวกอัศวินในสนามที่จุดโคมอย่างสว่างไสว กว่าเสร็จก็ตอน 20.00 นาฬิกา หลังจากนั้นก็จะอพยพกันไปงานสังคมที่มีในวันนั้น ปกติแล้วจะมีงานเลี้ยงแทบทุกวันเพราะท่านหญิงแต่ละตระกูลจะผลัดกันจัดงานเลี้ยง ทำให้เมืองหลวงไม่เคยเงียบเหงา หรือถ้าไม่มี ก็จะไปดื่มเหล้าสังสรรค์กันในหมู่เพื่อนสนิทในซาลอนหรู ผลาญเงินไปกับการจับจ่ายซื้อของฟุ้งเฟ้อในขณะที่จิบชานินทาผู้คน อย่างไรก็ตาม ก่อนออกไปงานเลี้ยงหรือซาลอน ก็จะต้องเปลี่ยนชุดอีกครั้ง
ในสมัยของท่านหญิงที่เขียนหนังสือเล่มนี้ การเต้นรำยังคงเป็นที่นิยม เนื่องจากกระโปรงสุ่มยังพัฒนาไม่กว้างมากนักเหมือนในปัจจุบัน งานเลี้ยงดังกล่าวก็จะเต้นรำบ้าง พูดคุยกินดื่มบ้าง เริ่มงานเลี้ยงกันตอน 22.00 และมักจะแยกย้ายตอนเที่ยงคืน ทว่าที่พูดว่าแยกย้ายไม่ได้หมายถึงกลับบ้านไปพักผ่อน แต่แยกย้ายไปปาร์ตี้ส่วนตัวต่อที่บ้านของเพื่อน หรือไม่แยกย้ายไปจู๋จี๋กับคนรัก ท่านหญิงในหนังสือที่ฉันอ่านเหลวแหลกถึงขนาดเขียนว่า เพราะเธอคลอดลูกชายให้กับดยุกแล้ว จึงได้รับอิสระในการมีชู้รัก ขอเพียงแค่ไม่ท้อง ก็ไม่มีใครตำหนิอันใด เนื่องจากการแต่งงานสังคมเป็นแบบคลุมถุงชน ย่อมต้องมีสตรีหรือบุรุษที่ไม่พอใจกับสามีหรือภรรยาตนเอง ถ้าทำหน้าที่ไม่บกพร่อง จะมีชู้รักกี่คนก็ได้ (??!)
นอกจากนี้เธอยังเล่าอีกว่า สำหรับเด็กสาว ๆ การออกไปกับบุรุษที่พึงใจนั้นแม้จะเขียนข้อกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าไม่ควร และการอยู่กับบุรุษนั้นต้องมีเมดอยู่ด้วยเพื่อรักษาชื่อเสียง แต่ส่วนมากมักจะฝ่าฝืนกัน ขอเพียงแค่ไม่ทำจนถึงขั้นสุดจนเสียพรหมจารีย์และตั้งท้อง คนส่วนมากก็จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ดังนั้นนอกจากจะต้องดูต้นทาง คุณเมดที่น่าสงสารยังต้องคอยดูด้วยว่าคู่รักที่กำลังนัวเนียกันนั้นไปถึงขั้นไหนแล้ว (?!!!!)
กว่าจะได้เข้านอนจริง ๆ ก็ตอน 3.00 นาฬิกา ถ้าหากพาชู้รักมาที่บ้าน คุณพ่อบ้านก็จะต้องให้รถม้าไปส่งชู้รักของท่านหญิง ส่วนคุณเมดที่เหลือจัดการเปลี่ยนผ้าปูที่นอน อาบน้ำหรือเช็ดเนื้อตัวให้กับท่านหญิงที่สลบไสลไปจากการร่วมรัก จากนั้นก็พาท่านหญิงเข้านอน รอจนกระทั่งถึงวันใหม่ค่อยตื่นขึ้นมารับใช้อีกที
ในหนึ่งสัปดาห์ ชีวิตของท่านหญิงจะเป็นเช่นนี้ 5 วัน อีก 2 วันที่เหลือ วันหนึ่งใช้เวลาไปกับการเตรียมจัดงานปาร์ตี้ (ซึ่งหัวแรงหลักคือคุณพ่อบ้านกับคุณเมด) และอีกวันจะต้องเดินทางไปร่วมพิธีในโบสถ์ยามเช้า พักผ่อนตามอัธยาศัย ทำงานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการอ่านหนังสือหรือปักผ้า ในยามเย็น
โดยรวมแล้วช่างเป็นชีวิตที่...เหลวแหลก เกียจคร้าน เริ่ดหรู และไร้แก่นสารเสียจริง ๆ
ฉันปิดหนังสือลงด้วยความรู้สึกสะพรึง อันที่จริงทุกคนก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ท่านหญิงที่ฉันอ่านน่าจะเป็นตัวอย่างที่สุดขั้ว แต่เรื่องราวแบบนี้กลับได้จารึกและเก็บไว้ในหอหนังสือของราชวงศ์ แถมท่านพ่อของคาบุรากิยังเป็นคนแนะนำหนังสือเล่มนี้อีกต่างหาก นี่มันเป็นหนังสือที่ควรแนะนำให้เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนอ่านจริง ๆ เหรอ นอกจากความเหลวแหลกแล้ว ฉากบรรยายเกี่ยวกับเรื่องน่าอายก็ยังละเอียดยิบราวกับหนังสือนิยายทำมือแบบอันคัตสำหรับสาวฟุอีกต่างหาก หรือว่าเด็กสาวของที่นี่จะเรียนรู้เพศศึกษาผ่านหนังสือแบบนี้กันนะ!? น่าตกใจเกินไปแล้ว!!
ฉันวางหนังสือเล่มนี้ให้ห่างจากตัวที่สุด เพราะตั้งใจจะเอาไปคืน ไม่เก็บไว้ให้มาโอะจังเห็นเด็ดขาด และพอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็พบว่าเป็นตอนเย็นแล้ว
ฉันมองตารางเวลาที่ทำไว้สำหรับอ่านหนังสือเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ แล้วรู้สึกตกใจ จริง ๆ แล้ววันนี้ฉันต้องอ่านมารยาทบนโต๊ะอาหารให้จบ แต่ดันอ่านเรื่องของท่านหญิงผู้เหลวแหลกจนเพลินไปซะนี่ สงสัยพรุ่งนี้ต้องเร่งอ่านหนังสือแล้ว!
.....
A&A - 49.
นอกจากตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือแล้ว ฉันยังต้องฝึกแต่งหน้าด้วย เพราะฉันใช้นายตัวสำรองฝึกบ่อย เลยพาเขาไปเลี้ยงอาหารตามที่สัญญาไว้
วันนี้นายตัวสำรองออกกะ ฉันเลยแพลนเที่ยวตั้งแต่ช่วงบ่าย โดยที่เราจะไปซาลอนกันก่อน แล้วค่อยไปทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน ซึ่งวันนี้ฉันจะรับผิดชอบเป็นเจ้าภาพทั้งหมด
ซาลอนที่พวกเราไปเป็นซาลอนทางด้านความงาม ที่นอกจากจะขายเครื่องสำอางแล้ว ยังมีครีมบำรุงผิว น้ำหอม และของจุกจิกหลายอย่าง ที่ฉันพานายตัวสำรองมาด้วย เพราะแอบฝันเล็ก ๆ ว่าในอนาคตจะใช้ให้เขาผลิตเครื่องประทินความงาม แล้วฉันเป็นทั้งคนคิดสูตรและนายหน้าในการขาย ถึงแม้ว่าฉันจะถูกตระกูลคิโชวอินตัดขาด แต่ถ้ามีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็ไม่น่าจะลำบากนัก
เนื่องจากตอนนี้ยังคงเป็นบ่ายอ่อน ๆ ซึ่งพวกท่านหญิงเหลวแหลกน่าจะยังคงนั่งอ้อยสร้อยจิบชากินขนมในบ้านตัวเอง ชาลอนเลยค่อนข้างจะโล่ง
ฉัน นายตัวสำรอง เซริกะจัง และคิคุโนะจัง ลงจากรถม้าเข้าไปในซาลอนที่แสนเริ่ด พนักงานที่ซาลอนนำเราไปยังชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับพักผ่อน เพราะว่าฉันอยากจะให้เซริกะจังและคิคุโนะจังได้ผ่อนคลาย เลยให้พวกเธอไปเดินดูเครื่องประทินโฉม โดยพื้นฐานของพวกเธอเป็นลูกสาวขุนนาง ย่อมต้องรักสวยรักงามและมีเงินจับจ่ายได้พอสมควร ถ้าเจ้านายอนุญาต ก็สามารถเดินซื้อของในซาลอนได้
มิซิซากินั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ฉัน ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ข้าง แต่ไม่ได้พูดอะไร พนักงานในร้านหลายคนมารับใช้ฉัน ทั้งยกขนมยกน้ำชามาจนเต็มโต๊ะ ก่อนที่คุณผู้ดูแลจะเข้ามาทักทายฉัน แล้วถามว่าวันนี้ฉันมีอะไรให้รับใช้รึเปล่า
ฉันบอกเธอว่ามาดูพวกครีมบำรุงผิว เธอจึงบอกให้ฉันรอซักครู่ แล้วเรียกให้คุณเมดไปยกถาดมาให้ ถาดครีมบำรุงผิวนั้นมีอยู่หลายถาด คุณผู้ดูแลแนะนำซักพัก ก็ทิ้งถาดให้ฉันเล่นครีมตามใจชอบ
แน่นอนว่านอกจากตัวฉันจะลองเล่นดูแล้ว ก็ยังให้มิซึซากิเล่นด้วย ฉันบอกกับเขาว่าอยากให้เขาลองทำครีมทาผิวดู เพราะโรสออยล์ที่เขาเอามาให้คราวก่อนถูกใจฉันมาก ฉันใช้ทุกวัน แม้แต่วันนี้ที่ออกมาก็ทามาด้วย
ฉันพูดกับเขาเกี่ยวกับครีมและบอกว่าอยากได้ครีมที่สำหรับลบเครื่องสำอาง เพราะตอนนี้การลบเครื่องสำอางนั้นยังใช้แค่น้ำ สบู่ และผ้าถูออกเท่านั้น ซึ่งทำให้ฉันกังวลว่าเครื่องสำอางจะตกค้างจนผิวเสียรึเปล่า
ในขณะที่กำลังเล่นครีมชนิดต่าง ๆ และฝันหวานเกี่ยวกับธุรกิจความงาม ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันต้องกลับมาปวดกระเพาะอีกครั้ง เมื่อประตูของซาลอนเปิดออก เผยให้เห็นคาบุรากิ วาคาบะจัง เอ็นโจ และคุณยุยโกะ เดินเข้ามา
ฉันที่คิดจะก้มหัวลงต่ำเพื่อหลบอยู่หลังพนักเก้าอี้หลบไม่ทัน เมื่อสายตาของเอ็นโจปะทะเข้ามาซะก่อน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาขยายออก ก่อนจะทักขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังพอจะให้ได้ยินกันทุกคน
“คุณเรย์กะนั่นเอง ช่างบังเอิญจริง ๆ”
.....
วี้ดดดด เรือตัวสำรองแล่นฉิวเลยค่าาาาาา
A&A - 50
จะทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่ได้ ฉันที่เสียมารยาทไปแล้วเพราะดันให้เอ็นโจเป็นฝ่ายทักก่อนต้องรีบยืนขึ้นมาถอนสายบัวทันที
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะท่านคาบุรากิ ท่านเอ็นโจ ท่านทาคามิจิ ท่านอุริว” โชคดีที่ไม่ได้ยกขโยงกันมาเป็นคณะ ไม่งั้นฉันต้องขานชื่อทุกคนเหมือนขานในชั่วโมงโฮมรูม เพราะนี่เป็นการพบหน้ากันส่วนตัว ไม่สามารถทักทายรวม ๆ ได้
คาบุรากิเห็นฉันก็หน้าตึง ดวงตาหรี่ลงราวกับระแวงว่าฉันจะรังแกอะไรวาคาบะจังรึเปล่า ส่วนวาคาบะจังในโลกนี้ดูกลัว ๆ ฉันหน่อย ผิดกับวาคาบะจังในโลกของฉันมาก อาจจะเป็นเพราะในโลกนี้เด็กผู้หญิงถูกเลี้ยงดูมาแบบให้หัวอ่อน แถมเรย์กะก็แผลงฤทธิ์แกล้งเธอหนักขนาดนั้น จะไม่กลัวเลยก็แปลกไปแล้ว
ส่วนคุณยุยโกะให้บรรยากาศเย็นเยือกเหมือนภูติพรายไม่ผิดกับในโลกก่อน เธอแตะมือลงบนแขนของเอ็นโจราวกับว่าถ้าไม่มีอะไรให้ยึด เธอจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ดูเป็นสาวงามที่บอบบางน่าปกป้องยิ่งนัก เอ็นโจเองก็แตะมือไว้ด้านหลังของเธอ
พอเห็นคู่รักเดินควงกระหนุงกระหนิงตรงหน้า ฉันก็นึกถึงเรื่องของคุณหญิงเหลวแหลก หรือว่าคนพวกนี้!!! พวกหมู่บ้านมีรักทำเรื่องน่าอับอายอย่างนั้นในที่ลับ ๆ เหรอเนี่ย?! ถึงคาบุรากิจะเป็นพวกใสซื่อ แต่ยังไงก็หมั้นกับวาคาบะจังแล้ว น่าจะต้องมีอะไรคืบหน้ามากกว่าแค่การจับมือ ส่วนเอ็นโจนี่ถึงจะดูเรียบร้อย แต่หมอนี่น่ะปีศาจ ยังไงก็ต้องเคยทำเรื่องบัดสีแน่ ๆ ฉันพยายามไม่มองตาพวกเขา รู้สึกเหมือนตัวเองตอนชั้นมัธยมต้นสมัยก่อนที่จะเป็นคิโชวอิน เรย์กะ ฉันที่อยู่โรงเรียนสหต้องเรียนเรื่องเพศศึกษารวมกับพวกผู้ชาย อ๊า นี่มันเกมลงทัณฑ์ชัด ๆ แค่คิดว่าพวกเขาซึ่งอายุเท่ากับฉันมีกิจกรรมเข้าจังหวะในเวลาส่วนตัวก็รู้สึกอายจนหัวจะระเบิดบึ้มออกมา
“ท่านคาบุรากิ ท่านเอ็นโจ เลดี้ทั้งสอง สายัณห์สวัสดิ์ครับ” นายตัวสำรองยืนขึ้นแล้วโค้งให้กับพวกนั้น ฉันมองนายตัวสำรองแล้วรู้สึกโล่งอก นายตัวสำรองที่หลงรักวาคาบะจังจะต้องถนอมตัวเองเอาไว้ให้เธอแน่ ๆ ถึงจะไม่สมหวัง เขาก็เป็นประเภทที่รักษาเวอร์จิ้นไปตลอดชาติเพื่อเธอ ฉันมองนายตัวสำรองแล้วอยากจะบอกเขาว่า เรามาใช้ชีวิตอย่างสะอาดบริสุทธิ์กันเถอะค่ะ...เรื่องแบบคุณหญิงเหลวแหลก ก็ปล่อยให้พวกหมู่บ้านมีรักทำกันไป...
อ๊า ไม่นะ ฉันยังอยากแต่งงานมีลูกอยู่นะคะ ถึงตอนนี้จะไม่มีผู้ชายซักคน แถมยังเสี่ยงโดนธงมรณะปักหัวก็เถอะ
พอคิดถึงธงมรณะ เรื่องฟุ้งซ่านในหัวของฉันก็กระเด็นหายไปจนหมด เลยทันได้ฟังว่าคุณยุยโกะพูดอะไร
“คุณเรย์กะวันนี้มาซื้อของหรือคะ?”
”ค่ะ องค์ราชินีมอบหมายให้ฉันเป็นเลดี้พี่เลี้ยงของเลดี้ซาวาราบิ ฉันเลยมาดูว่าในตอนนี้พวกเครื่องประทินโฉมมีอะไรใหม่ ๆ ออกมาบ้าง” นั่นก็เป็นเป้าหมายหลักของฉันล่ะนะ ถึงความสวยคลาสสิคจะดูมีราคา แต่ก็ไม่อยากให้ใครมองว่าล้าสมัย ดังนั้นเทรนด์ที่ควรตามก็จะต้องตาม หรือถ้าดียิ่งกว่านั้นคือการนำเทรนด์
ดวงตาของคุณยุยโกะมองมา แต่ฉันอ่านความรู้สึกของเธอไม่ออก “ช่างเป็นผู้ที่ขยันขันแข็งอะไรเช่นนี้ สมแล้วที่องค์ราชินีเลือกให้เป็นเลดี้พี่เลี้ยง ฉันเองไม่ค่อยถนัดการแต่งหน้าเท่าไหร่”
ฉันชะงัก วันนี้ได้ออกมาข้างนอกทั้งที ฉันก็เลยแต่งหน้ามาเต็มพอสมควร ถึงจะไม่ได้เข้มจัด แต่ด้วยเครื่องหน้าของเรย์กะ รวมกับริมฝีปากสีแดงจัดราวกับเชอร์รี่แล้ว ทำให้การแต่งหน้าของฉันเด่นกว่าของคุณยุยโกะมาก
“งั้นหรือคะ” ฉันตอบกลาง ๆ ไม่อยากจะสู้รบปรบมืออะไร จะบอกว่าตัวเองสวยธรรมชาติล่ะสิ แต่ฉันไม่สนหรอกนะ สวยก็คือสวย สวยธรรมชาติหรือสวยเพราะเครื่องสำอาง ขอให้ผลลัพธ์ออกมาดูดีก็พอย่ะ อย่างน้อยขนตายาว ๆ ของฉันก็ของจริงนะ
“แล้วนายล่ะ มิซึซากิ ทำไมถึงได้ออกมากับยัยนี่” คาบุรากิถามขึ้นอย่างไม่คิดจะอ้อมค้อม สมกับเป็นคนที่ไม่เคยดูสถานการณ์จริง ๆ
ตอนแรกฉันนึกว่านายตัวสำรองจะดูกระอักกระอ่วนที่ถูกเห็นคู่กับนักโทษที่เป็นอิสระชั่วคราวอย่างฉัน แต่เขาตอบด้วยสีหน้าปกติว่าฉันอยากตอบแทนที่เขาช่วยไว้ เลยพาออกมาเลี้ยงอาหาร เขาไม่อยากให้มีบุญคุณติดค้างกัน เลยรับคำชวนของฉันออกมา สมกับเป็นมิซึซากิที่ซื่อตรงจริง ๆ
เพราะโต๊ะนี้จะเป็นโต๊ะที่ดีที่สุด ตามมารยาทแล้วฉันควรจะลุกแล้วสละที่นั่งให้กับคนที่มียศสูงกว่า แต่อีตาคาบุรากิเต๊ะท่าจัดเหลือเกิน ฉันเลยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อันที่จริงก็ไม่มีกฏข้อไหนบอกว่าฉันต้องสละที่นั่งให้กับพวกเขา ดังนั้นตามคิวละกัน ที่อื่นก็ยังว่าง ๆ อีกตั้งเยอะ
ผิดคาด คาบุรากิกลับนั่งพรวดลงมา ฉันมองเขาด้วยสีหน้าตระหนก เฮ้ย จะนั่งโต๊ะเดียวกับฉันจริง ๆ ดิ โดยคอมมอนเซนส์แล้วไม่ควรให้ฉันที่เคยรังแกวาคาบะจังนั่งรวมกับเธอนะ ถ้าเธอเป็นประเภทชอบรังแกคนอื่น แล้วจะปล่อยให้เธอแกล้งฉันก็ว่าไปอย่าง แต่วาคาบะจังในโลกนี้เหมือนอาโออิจัง เธอน่ารักราวกับสัตว์ตัวเล็ก ๆ ปล่อยให้นั่งโต๊ะเดียวกับแกะห่มหนังหมาป่าอย่างฉันนี่คิดดีแล้วเหรอ
อา...ลืมไปว่าหมอนี่ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้นี่นา ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองปวดกระเพาะ ในโลกก่อนไม่มีสามัญสำนึกยังไง ในโลกนี้สามัญสำนึกก็ไม่มีอย่างนั้นสินะ ช่างรักษาคาแรกเตอร์หล่อเสียของได้ดีจริง ๆ
เพราะคาบุรากินั่ง ทุกคนก็เลยต้องนั่งลงตาม ดังนั้นแทนที่ฉันจะได้มีวันหยุดหลั่นล้า นั่งดูครีมในซาลอนอย่างสบายใจ กลับต้องมานั่งอยู่ในเขตสงครามเสี่ยงธงมรณะปักหัวนี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รู้แบบนี้สละที่ให้ก็ดีหรอก! ไม่ได้การละ หนีไปที่อื่นดีกว่า!
ทว่าเอ็นโจเหมือนนกรู้ พูดดักคอฉันไว้ก่อน
“มีคุณเรย์กะก็ดีเลย เห็นว่าคุณวาคาบะกำลังสนใจเรื่องเครื่องประทินผิวนี่ ยุยโกะน่ะผิวแพ้ง่าย ไม่ค่อยใช้ของพวกนี้หรอกครับ คุณวาคาบะน่าจะให้คุณเรย์กะแนะนำนะ ยังไงเธอก็เป็นถึงเลดี้พี่เลี้ยง น่าจะพอช่วยเหลือเรื่องพวกนี้ได้”
คาบุรากิดูไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่อยากพูดขัดคอหรือยุ่งกับเรื่องของสาว ๆ ส่วนวาคาบะจังทำท่าลังเล แต่ก็พยักหน้าโดยดี ฉันมองเอ็นโจที่ยิ้มละไมแล้วได้แต่สาปแช่งในใจ
.....
กรี๊ดดดด โม่งฟิค A&A ;;-;;)!
A&A - 51
ทว่าแทนที่เราจะคุยกันเรื่องครีมที่ฉันเองก็เพิ่งมาดูเช่นกัน ฉันชวนเธอคุยเรื่องกลิ่นของครีมแทน
ในโลกนี้มีครีม มีสบู่ มีน้ำหอม แต่กลับไม่มีไม่มีครีมผสมน้ำหอม หรือสบู่ผสมน้ำหอม พอพูดถึงไอเดียนี้ออกไป วาคาบะจังที่เป็นนักทำสบู่ก็สนใจอย่างมาก จากที่ตัวเกร็งเพราะต้องคุยกับฉัน ก็เริ่มผ่อนคลายลง
“สบู่น่ะทำให้สะอาดก็จริง แต่ก็ทำให้ผิวกับผมแห้งมาก โดยเฉพาะเส้นผมค่ะ ถ้าไม่ชโลมน้ำมันให้ดี ๆ อาจจะทำให้ผมแห้งเสียได้ แต่ถ้าในหน้าร้อน การชโลมน้ำมันน่าจะเหนอะหนะน่าดู”
วาคาบะจังพยักหน้า “จริงค่ะ ฉันเองก็ไม่ชอบอะไรที่เหนอะหนะเช่นกัน ก็เลยไม่ชโลมน้ำมันเท่าไหร่ ทำให้ผมค่อนข้างแห้ง คุณเรย์กะคงรักเส้นผมมากสินะคะ เส้นผมเป็นประกายเงางามเหลือเกิน”
ถ้าเทียบผมของฉันในชาตินี้กับชาติก่อนแล้ว ชาติก่อนเงางามเป็นประกายกินขาดชาตินี้ แต่ก็ยังดีกว่าผมของวาคาบะจังหลายเท่า ดูเหมือนว่าชีวิตสามัญชนของวาคาบะจังจะทำให้ผมของเธอขาดการบำรุงมาอย่างยาวนาน จึงขาดประกายแม้ว่าจะพยายามชโลมน้ำมันก็ตาม
ฉันพยายามฝังความคิดเกี่ยวกับคอนดิชั่นเนอร์ให้กับวาคาบะจัง เพราะถ้าเป็นนางเอกอย่างเธอต้องทำได้อย่างแน่นอน วาคาบะจังดูสนใจมากขนาดย้ายฝั่งจากที่นั่งข้างคาบุรากิมานั่งข้าง ๆ ฉัน เพื่อที่จะได้คุยได้สะดวก ทำเอาฉันโดนคาบุรากิเขม่น อะไรเล่า นายอิจฉาก็หาความรู้เกี่ยวกับเรื่องสาว ๆ ใส่ตัวสิ จะมาเขม่นฉันหาอะไรล่ะ ฉันอยากจะจ้องตอบ แต่คนใจมดอย่างฉันได้แต่หลบตาเขา แล้วคุยกับวาคาบะจังเรื่องคอนดิชั่นเนอร์เท่านั้น
พวกเราคุยกันอยู่นาน วาคาบะเองก็ดูจะตกใจที่เธอสามารถคุยกับฉันได้อย่างคล่องปาก ไม่รู้สึกหวาดกลัวเหมือนตอนแรกเลยแม้แต่น้อย
“ฉันนี่เสียมารยาทจริง ๆ ค่ะ ชวนคุณเรย์กะคุยซะจนคุณไม่ได้ทำธุระของตัวเองเลย”
ฉันเห็นเธอที่กระตือรือล้นแล้วก็รู้สึกว่าเธอที่คุยอย่างสนุกสนานเหมือนวาคาบะจังในโลกของฉันมากขึ้น ฉันเลยบอกว่าไม่ได้รบกวนเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้สึกสนใจจริง ๆ ถ้าเธอจะทำคอนดิชั่นเนอร์ออกมา อีกอย่างฉันอยากได้สบู่ที่มีกลิ่นหอมด้วย
พอพูดถึงเรื่องกลิ่นต่าง ๆ ที่ควรจะใส่ลงไปในสบู่ พวกเราก็เปิดบทสนทนายาวยืดอีกครั้ง จนกระทั่งเอ็นโจใช้ช่วงที่พวกเรากำลังคิดว่าจะใส่ลาเวนเดอร์ผสมกับกลิ่นไหนดีบอกพวกเราว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
เมื่อเห็นวาคาบะจังมีสีหน้าเสียดาย เอ็นโจก็ชวนฉันกับมิซึซากิไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย
“อา...ไม่ดีหรอกค่ะ วันนี้ฉันรับปากไว้ว่าจะเลี้ยงมิซึซากิคุง” แน่นอนว่าไม่มีทางเจียดเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากเลี้ยงพวกนายหรอกนะ แล้วก็ไม่อยากให้ใครเลี้ยงด้วย อย่างเอ็นโจน่ะ ยึดเป็นบุญคุณแหง ๆ ตานี่ไม่เคยไว้ใจได้เลยซักครั้ง
“มิซึซากิก็คงไม่ได้ติดใจอะไรหรอกใช่ไหม ยังไงค่าธรรมเนียมเข้าซาลอนคุณเรย์กะก็จ่ายไปแล้วนี่” เอ็นโจหันไปถามมิซึซากิคุง ส่วนมิซึซากิคุงก็พาซื่อ บอกฉันว่าแค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว ฉันไม่จำเป็นจะต้องเลี้ยงมื้อค่ำเขาอีก
ดังนั้นฉันกับนายตัวสำรองก็เลยถูกหิ้วไปร่วมโต๊ะทานมื้อค่ำอย่างปฏิเสธไม่ได้
.....
A&A - 52.
ยังดีที่มื้อเย็นเราคุยกันเรื่องกลาง ๆ อย่างเรื่องอาหาร บทกลอน ละครที่กำลังแสดงอยู่ในโรงตอนนี้ งานเลี้ยงของขุนนาง และเทศกาลที่กำลังมาถึง ดังนั้นคาบุรากิคนขี้ใจน้อยที่ได้มีโอกาสได้เปิดปากบ้างเลยมีสีหน้าดีขึ้นมาก
ฉันปล่อยให้คนอื่นคุยกัน ตัวเองก็เดินหน้าสวาปามของกินที่อดอยากมานาน อา...ไม่น่าเชื่อว่าในโลกนี้ก็มีปูด้วย แถมปูยังสดอีกต่างหาก ฉันใช้คีมบีบขาปูอย่างเชื่องช้า แล้วยกใส่ปากอย่างเชื่องช้า กินอย่างเชื่องช้า แน่นอนว่ามารยาทบนโต๊ะอาหารของฉันสง่างามเป็นเอก แต่เทคนิคของการกินนั้น ไม่จำเป็นต้องกินให้เร็วก็ได้ แต่ต้องกินอย่างต่อเนื่อง อย่าได้เสียเวลาพูดคุยไร้สาระไม่เกิดประโยชน์เด็ดขาด
พนักงานเสิร์ฟที่นี่ก็รู้งานดีมาก จานว่างเมื่อไหร่เป็นเติม แถมการปรากฏตัวของพวกเขายังทำเสมือนหนึ่งไม่มีตัวตน ราวกับอาหารถูกเสกขึ้นในจากด้วยเวทย์มนต์ยังไงอย่างงั้น ฉันเดินหน้ากินอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งรู้สึกคับเอว
แม้ว่าเนื้อปูจะยังอยู่ตรงหน้า แต่คอร์เซ็ตที่รัดให้เอวเหลือสิบแปดนิ้วนั้นทำให้ฉันกินอะไรต่อไม่ลงอีก แถมตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนท้องอืดด้วย ถ้าเป็นชาติก่อน ก็ยังแอบ ๆ ปลดเข็มขัดได้ แต่ว่านี่มันคอร์เซ็ตทั้งชุดนี่นา!
ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนักเลยขอตัวออกไปห้องแต่งกาย ในโลกนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็มักจะมีห้องแต่งกายหรูหราให้สตรีชั้นสูงแต่งตัว เซริกะจังกับคิคุโนะจังตามฉันไปยังห้องแต่งตัวอย่างเป็นห่วง แต่จะให้บอกว่ากินจนเหมือนจะสำรอกออกมานี่ไม่มีทางเด็ดขาด
“ท่านเรย์กะ อดทนมาตลอดสินะคะ” เซริกะจังพึมพำ
ฉันสูดหายใจลึก อา...ใช่ ตอนนี้ฉันปวดท้องมาก ๆ เลย ปกติแล้วถ้าเป็นโลกก่อน อาหารแค่นั้นจิ๊บ ๆ แต่ฉันลืมไปว่าโลกนี้เรย์กะเอวเล็ก แถมยังมีคอร์เซ็ตรัด ดังนั้นเลยกินไม่ได้มากนัก
“ทั้ง ๆ ที่ฉันรู้ดีแท้ ๆ แต่กลับช่วยท่านเรย์กะไม่ได้เลย” คิคุโนะจังบอก ฉันเหลือบมองเธอ อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้นะ แค่คลายคอร์เซ็ตให้ฉัน ฉันก็น่าจะดีขึ้น แต่ชุดกระโปรงที่สวมอยู่ถูกตัดเย็บมาพอดีตัว ถ้าคลายออกมาแล้วรัดกลับเข้าไปเพื่อให้สามารถติดกระดุมชุดได้ ฉันคงอ๊อกออกมาอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่เอาดีกว่า
“ท่านเรย์กะ คงจะเจ็บปวดมากสินะคะที่เห็นท่านคาบุรากิอยู่กับนังจิ้งจอกนั่น ซ้ำยังต้องพูดคุยให้คำแนะนำ ท่านเอ็นโจก็ใจร้ายยิ่งนัก รู้ว่าท่านเรย์กะไม่ชอบยัยนั่น ก็ยังบังคับให้คุยด้วยอีก!”
เดี๋ยว ๆ
“ยัยนั่นก็อะไร รู้ตัวว่าท่านเรย์กะไม่ชอบ ก็ยังเสนอหน้ามานั่งข้าง ๆ ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!”
เดี๋ยว ๆ
ฉันฟังเซริกะยังและคิคุโนะจังบ่นเรื่องวาคาบะจัง ราวกับฉันเป็นนางเอกผู้น่าสงสารและเธอเป็นนางร้ายจอมวางแผน ทว่าฉันได้แต่นอนพังพาบอยู่บนม้านั่ง ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะถ้าเปิดปากพูดอะไรออกไป คงได้คายของเก่าต่อหน้าพวกเธอ
โชคยังดีที่ไม่มีเหตุการณ์แบบที่วาคาบะจังหรือใครมาได้ยิน ฉันเลยรอดพ้นธงมรณะน้อย ๆ ไปได้ แต่กว่าจะยืนขึ้นได้อีกครั้งแล้วกลับไปที่โต๊ะ ทุกคนก็กินจนอิ่มแล้ว
“เป็นอะไรน่ะ ไม่สบายอีกแล้วเหรอ?” นายตัวสำรองถามอย่างเป็นห่วง ให้ตายยังไงฉันก็บอกไม่ได้ว่ากินจนจุก ฉันส่ายหน้า บอกว่าวันนี้ออกมาข้างนอก เลยค่อนข้างเหนื่อย นายตัวสำรองมองฉันอย่างสงสัย เพราะเคยเห็นฉันขัดห้องน้ำเช้าจรดเย็นกับเขา ฉันมองเขาแล้วอยากลองจับเขายัดใส่คอร์เซ็ต ให้รู้ซะบ้างว่าจะแรงดีได้แค่ไหนในเครื่องทรมานอย่างนี้
วาคาบะจังก็ดูท่าทางเป็นห่วงเหมือนกัน อีตาคาบุรากิกับคุณยุยโกะไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรกับการหายตัวไปของฉัน ส่วนเอ็นโจทำหน้ากลั้นหัวเราะเต็มที่ คล้ายกับจะรู้ว่าที่ฉันหายไปเพราะอะไร
ในคืนนั้นฉันกลับที่พักอย่างสบายใจ โดยไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่า ได้เปิดรูทมรณะรูทใหม่เข้าให้แล้ว
.....
งวดนี้มาแค่นี้เพราะงานกูท่วมมาก ขอบพระคุณที่ติดตาม จะมาใหม่เมื่อมีเวลาพักหายใจ (กราบ)
รักมึงนะโม่งA&Aอยู่กับพวกกูไปนานๆนะ จุ๊บเหม่งทีดิ
โม่งฟิคคคค คราวนี้ขอเรือตัวสำรแงเถอะนะ //พนมมือ
//โบกมือจากเรือร้างๆที่ไม่มีใครสนใจ
เรือไหนก็ได้ที่ไม่ใช่คานค่ะ อุแง้
กูทีมเรือบาปอยู่กับท่านพี่ค่ะ รอท่านพี่ดาร์กๆอยู่นะคะ
ไม่เอาเรือเอ็นโจนะฟิคนี้ เพราะอวยไม่ลงจริงๆ ขอเรือนายตัวสำรองเถอะไม่ก็เรือท่านพี่ไปเลย!!
แท้งกิ้วโม่งฟิค!!!
พนมมือขอเรือนายตัวสำรองด้วยคน _/||\_
อ่านฟิคนี้แล้วกูขอก้าวขาไปอยู่เรือนายตัวสำรองชั่วคราวค่ะ โอยย~
/ปกติกูอยู่เรือเอ็นโจแบบเหนียวแน่นมากนะ แต่ฟิคนี้กูจะทรยศกัปตันเรือชูสุเกะ!
>>919 >>921 >>922 เอาด้วยคนจ้าา~อยากได้อ่ะ อยากได้
1เรือนายตัวสำรอง = กำลังแล่นชิว
2เรือยูกิโนะ = กระชุ่มกระชวยจริงๆ
3เรือท่านพี่ = อืม...ไม่รู้สิ
4เรือเคนตะ = น่าร๊ากกกดี
5เรืออุเมวากะ?นายบ้าหมา เปลี่ยนเป็น นายบ้าม้า แทน555+ = ตลก ฮาๆ
6เรือ ฯลฯ ? (@$+*/@-!?:#[>¤<]βα|\{π~•}`...€¥£¢√%_&¤™^\\{<&?'!@"#$--*+---@----$) = และเรือที่อาจยกโขยงกันมา เช่น คานซัง อาหารซัง ไขมันซัง ตัวประกอบคุง บ้านพักคนชรา คนต่างแดน,ต่างอาณาจักร,เมือง ตัวละครสมมุติ oc? คนที่ทะลุมิติมาเหมือนกัน ฝัน ประธานชมรมฟุตบอล,บาส,เบสบอล และอีกมากมาย~ ขอเชิญรอเหล่าโม่งฟิคมาแต่งต่อได้เลยค่าาา~
อย่าลืมโหวตชื่อมู้กันนะ•3•
มึงง พึ่งเคยเห็นงานนีดเดิ้ลเฟลท์ อีเหี้ย กูเป็นนายบ้าหมากูก็อยากได้ตุ๊กตานั่นกลับไปนอนกอดที่บ้านหว่ะ อห เหมือนโคตร ถึงฝีมือท่านเรย์กะจะดูพึ่งไม่ได้ แต่เราเชื่อในฝีมือท่านพี่และคุงเลขา https://twitter.com/jpizyplease/status/1090274789921439744?s=21
-------->ขอขอบคุณ>>924เกือบลืมล่ะ<--------
++++++++ส่วน>>925 รู้สึกจะมี+++++++++
>>828 ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชา กับโม่งซุยรันเรือแตกถ่อเรือบดเข้าทวีปคานที่ 30
>>831 ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรัน กับการประชุมเปิดบริษัทกวนกาวโม่งฟิคสาขาย่อยจากสาขาหลักฮิโยโกะซามะ เฮ้อ ขาดงบสนับสนุนเงินทุนไม่พอ [ ทุบโต๊ะครั้งที่30 ]
>>832 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการคาดเดาตัวตนของท่านฮิ หรือว่าจะเป็น!!?!![ขอกาวโม่งฟิคครั้งที่ 30 ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ ]
>>833 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : สโมสรน้ำ(กัญ)ชาซุยรัน เดตควงพี่น้องหนุ่มต่างวัยชวนใจเต้นโดกิโดกิใต้แสงดอกไม้ไฟ มาติดตามของกินใหม่ของเจ้าแม่กันเถอะ!!! [ ขอยากิโซบะจานที่ 30 ด้วยค่ะ! ]
>>836 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับจิตวิญญาณแห่งการรอคอยที่โชติช่วงด้วยพลังเผาไหม้แห่งกาว [เช็กหน้าเว็บครั้งที่ 30xxxxxxxx ]
>>844 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการบริโภคกาวเป็นของว่างระหว่างรอท่านฮิโยโกะกลับมา [แค่คำเดียวนะคะรอบที่ 30]
>>845 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันบนบานขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดลบันดาลให้ท่านฮิโยโกะกลับมา [ทานแกงกะหรี่มิราเคิลจานที่ 30]
>>846 บ้านพักคนชราของเจ้าแม่เรย์กะ : เชิญชวนมาร่วมจิบน้ำ(กัญ)ชารอท่านฮิโยโกะด้วยกันนะคะ! [ฉลอง(การรอ)ครบรอบปีที่ 30]
>>847 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการรอคอยเหล่าโม่งฟิคและท่านฮิโยโกะ[มาแก้ความค้างครั้งที่30]
-------->ทั้งหมดมีแค่นี้มั่ง?<----------
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
**ปล.**#จะเลือกอะไรกันดีอ่ะ?(/ >^<)/
+1 แกงกระหรี่มิราเคิล !!
คิดถึงว่ะ
โหวต836
มาแจกกาวก่อนนอนจ้า
KimiDolce ~after story (เกอิชา) >>>/webnovel/6114/812-816
Special Chapter : Imari POV.
---------------------
ตอนที่นั่งรถผ่านอาคารที่ล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐ แม่ก็ชี้ให้ผมดูว่านี่คือโรงเรียนที่ผมจะมาสอบเข้าเรียนในปีหน้า ญาติๆของเราก็จบจากที่นี่กันเกือบหมด ถ้าอยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับซุยรันล่ะก็ไปถามได้ และจะได้ฟังจนเบื่อแน่ๆล่ะ
ตัวผมน่ะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับอาคารที่งดงามเหมือนปราสาทกลางป่าที่แสนหรูหราอะไรนั่นหรอก สิ่งที่ผมสนคือเครื่องแบบน่ารักๆที่เหล่านักเรียนหญิงสวมอยู่ต่างหาก
ถ้าได้อยู่ในสถานที่ที่มีแต่สาวน่ารักๆแต่งเครื่องแบบน่ารักๆรายล้อมทุกวัน นั่นมันก็ยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่เหรอ
เอาเป็นว่าผมก็สอบผ่านเข้าซุยรัน ได้เป็นหนึ่งใน Pivoine ไปเรียบร้อย และ Pivoine ก็เป็นตัวตนที่อยู่เหนือนักเรียนทั้งปวงของซุยรัน ได้รับการปล่อยผ่านในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะทำอะไรร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม เรื่องนี้ออกจะทำให้นักเรียนทั้งหลายต่างก็หวาดกลัว Pivoine ไม่น้อยกันเลยล่ะ
ขณะที่กำลังกังวลนิดหน่อยว่าสถานะอันสูงส่งนี่จะทำให้นักเรียนหญิงไม่กล้าเข้าหารึเปล่า ผมควรจะวางตัวน่ารักกับพวกเธอใช่มั้ย สายตาผมก็เหลือบไปเห็นเด็กคนหนึ่งอยู่ในห้องสโมสร
หมอนี่จัดว่าหน้าตาดีเลยล่ะ แต่รู้สึกเหมือนบรรยากาศแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆเลยนะ
เขานั่งอยู่คนเดียวที่โซฟาข้างหน้าต่าง มีรอยยิ้มละมุนละไมประดับใบหน้า แสงแดดที่ส่องมาจากทางหน้าต่างทำให้เขาดูส่องสว่างเป็นประกาย
อืม...รู้สึกว่าถ้าผู้ชายหน้าตาดีสองคนอยู่ด้วยกันจะดึงดูดสาวๆให้เข้าหาเยอะด้วยนี่นา ถ้าได้เป็นเพื่อนกับคนแบบนี้ก็วิเศษไปเลยน้า
ผมเลยเดินเข้าไปทักทายเขา ยื่นมือออกไปตรงหน้าพร้อมกับแนะนำตัว เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ยื่นมือมาจับพร้อมกับรอยยิ้ม
“คิโชวอิน ทาคาเทรุ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เห...ทาคาเทรุเหรอ ส่องสว่างเป็นประกายสมชื่อเลยนะ
นั่นล่ะ คือครั้งแรกที่เราได้พบกัน
.
.
.
.
.
นับจากวันนั้น เราก็เป็นเพื่อนสนิทตัวติดกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
ทาคาเทรุเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก ผลการเรียนก็อยู่ในลำดับต้นๆของชั้นปี เข้าชมรมยิงธนูก็ได้เป็นกัปตัน รุ่นน้องทุกคนล้วนให้ความเคารพนับถือและเชื่อฟัง เรียกได้ว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบแทบไม่มีข้อด่างพร้อยใดๆเลยสักนิด
ผมแทบไม่ค่อยเห็นเขาแสดงอารมณ์อะไรเท่าไหร่ และเขาปฏิบัติกับทุกคนอย่างสุภาพและมีมารยาท หายากมากที่เขาจะโมโหสักครั้ง
ถ้าไม่นับที่เขาโมโหใส่เพราะผมไปก่อเรื่องราวให้เขาตามแก้ปัญหา(โดยมากก็เรื่องผู้หญิง) ผมก็ได้เห็นอาการโกรธครั้งแรกของเขา ตอนที่ผมไปเที่ยวที่บ้านคิโชวอินเมื่อตอนม.2
ทาคาเทรุไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟังเกี่ยวกับบ้านตัวเองมากนัก แต่ผมรู้มาว่าเขามีน้องสาวที่อายุห่างกันเจ็ดปีอยู่หนึ่งคน เธอเป็นเด็กหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างปราณีต ผมม้วนเกลียวราวกับเจ้าหญิงตัวน้อยๆในนิทานภาพ
แต่ความน่ารักของเธอถูกทำลายด้วยความเอาแต่ใจและเย่อหยิ่งจองหอง จนทำลายเสน่ห์ตามธรรมชาติของเด็กไปจนหมด
เธอปฏิบัติตัวดีกับผม เป็นคุณหนูที่มารยาทงามสมบูรณ์แบบ แต่กลับใช้กริยาไม่น่ารักกับคนที่อยู่ต่ำกว่าอย่างพวกสาวใช้หรือคนขับรถ แถมไม่มีใครสามารถบอกหรือสอนเธอได้ แม้แต่ตัวทาคาเทรุที่เป็นพี่ชายเองก็ตาม
ผมยังจำสายตาเยียบเย็นที่เขาใช้มองน้องสาวตัวเองได้ มันเย็นชาและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ
ถึงผมจะมีน้องชายที่อวดดีและแก่แดดมากไปหน่อย บางครั้งเราก็ทะเลาะกันบ้าง แต่ผมก็คิดว่าเราเป็นพี่น้องที่รักกันดีพอสมควร อย่างน้อยผมก็ไม่เคยใช้สายตาแบบนั้นมองน้อง ซักครั้งก็ไม่เคย
.
.
.
.
ทาคาเทรุไม่ค่อยชอบที่จะอยู่บ้าน ผมก็เลยชวนเขาออกไปข้างนอกประจำ ไปที่ไหนก็ได้ที่เด็กอายุสิบห้าสามารถจะไปได้ในตอนนั้น
พออยู่นอกบ้าน ทาคาเทรุก็ดูผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว
ผมพาเขามาทะเล มองดูคลื่นซัดสาดเข้าใส่ชายหาด นั่งฟังเขาเล่าปัญหาครอบครัวที่ผมไม่เคยรู้
อาจจะเป็นเรื่องน่าเบื่อของใครบางคนที่ต้องมานั่งรับฟังปัญหาของเด็กวัยรุ่น แต่ผมกลับดีใจที่ทาคาเทรุเล่ามันให้ผมฟัง
ทาคาเทรุดูเผินๆภายนอกเหมือนจะเป็นคนอ่อนโยนและให้การยอมรับกับทุกคนที่เข้ามา แต่จริงๆแล้วคนที่เขาลดการป้องกันมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย การได้ฟังปัญหาจากเขา ผมก็รู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับและความไว้วางใจเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาจริงๆ
ผมอยากให้เขาพึ่งพิงผมให้มากกว่านี้ อยากช่วยแบ่งเบาภาระ ผมอยากช่วยเขา แต่ทาคาเทรุกลับไม่ยอมให้ช่วย...ทำได้แค่รับฟังอย่างเดียว
นอกจากนั้น เขาก็เล่าเรื่องน้องสาวที่ก่อปัญหาให้หนักใจไม่หยุดหย่อน แววตาดูเคร่งเครียด
ทางบ้านคิโชวอินอยากจะจับคู่เธอกับลูกชายบ้านคาบุรากิ แถมมาดามคาบุรากิก็ดูเหมือนจะอยากให้มาเป็นลูกสะใภ้ เพราะอย่างนั้น คุณน้องสาวก็เลยคิดว่ามาซายะคุงเป็นของเธอ เที่ยวหึงหวง อาละวาด ตามกลั่นแกล้งคนที่มาเข้าใกล้ผู้ชายของเธอ
ถึงจะไม่มีเรื่องของมาซายะคุง แต่เธอก็ยังใช้อิทธิพลของที่บ้านอวดเบ่งบารมีไปทั่ว เป็นเด็กผู้หญิงที่เจ้าอารมณ์ นิสัยแย่เหลือรับ และแน่นอนว่าพ่อและแม่ของเธอก็ล้วนแต่เห็นดีเห็นงามที่ทำแบบนี้ ให้ท้ายเธอจนกลายเป็นคนร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆแบบกู่ไม่กลับ
รู้สึกว่ามาซายะคุงคนนั้นจะมีคนรักอยู่แล้ว ความรักของคุณชายบ้านคาบุรากิน่ะดังกระฉ่อนไปทั่วซุยรันเลยล่ะ ขนาดผมที่จบมาหลายปียังได้ยินข่าวมาเข้าหูว่าจักรพรรดิคนดังแห่งซุยรันไปคว้าเอาเด็กสาวบ้านๆที่ไม่คู่ควรกับตระกูลคาบุรากิมาเป็นแฟน แถมยังหักหน้าคิโชวอิน เรย์กะอย่างยับเยินด้วยการออกตัวปกป้องเด็กคนนั้นทุกครั้งที่ถูกกลั่นแกล้ง
จากที่ทาคาเทรุเล่า เรื่องนี้เองก็ทำให้มาดามคาบุรากิเร่งรัดแผนการจับคู่หนักข้อขึ้น ตอนนี้ก็ถึงขั้นมาทาบทามด้วยตัวเองถึงบ้านแล้ว คิดว่าคงจะจัดงานหมั้นหมายอย่างเป็นทางการในเร็วๆนี้ มาซายะคุงก็คงโดนบังคับให้เลิกกับเด็กคนนั้นแล้วมาแต่งงานตามที่ทางบ้านจัดหาให้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่เมื่อเห็นแววตาของเขาในวันนั้น ผมคิดว่าเรื่องมันไม่น่าจะจบง่ายๆแค่นั้นหรอก
.
.
.
.
ทาคาเทรุทะเลาะกับพ่อ หนที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่คราวนี้รุนแรงถึงขั้นออกจากบ้าน เป็นตายยังไงก็ไม่กลับไปอีก
ผมเลยไปหาเขา สอบถามสาเหตุที่มาที่ไป แต่ทำยังไงทาคาเทรุก็ไม่ยอมพูด ถึงจะรู้ว่าเป็นปัญหาส่วนตัวในครอบครัว แต่ก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน
แต่เขาก็ยอมเล่ามาหนึ่งเรื่อง นั่นคือเรื่องงานหมั้นของคุณน้องสาวกับมาซายะคุง
งานได้ถูกเตรียมการขึ้นแล้ว มาดามคาบุรากิบีบบังคับให้ลูกชายเลิกกับแฟนได้สำเร็จ คิดว่าการ์ดเชิญคงมาถึงมือผมในไม่ช้านี้
ดูท่าทางเขาคงไม่คิดจะไปร่วมงานหมั้นที่ว่านั่น ถ้าทาคาเทรุไม่ไป ผมเองก็ไม่ไปเหมือนกัน
จากนี้ไปเขาคงมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่เยอะ ผมเลยได้แต่เสนองานที่บริษัทให้ และบอกว่าที่ตรงนี้จะว่างสำหรับเขาเสมอ
.
.
.
.
.
ต่อมา ผมได้ยินข่าวที่น่าตกใจมากเรื่องหนึ่ง
คิโชวอินกรุ๊ปล้มละลายแล้ว
ผมที่กำลังท่องเที่ยวอยู่มัลดีฟส์ยกเลิกทริปที่เหลือทั้งหมดแล้วบินกลับญี่ปุ่นทันที ลองเช็คข่าวจากหลายๆที่ก็พบว่าประธานคิโชวอินโดนแฉเรื่องทุจริตด้วยฝีมือของมาซายะคุง แถมยังเป็นกลางงานหมั้นของลูกสาว เรียกได้ว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของตระกูลคิโชวอินโดนทำลายย่อยยับหมดทุกทาง
...แล้วทาคาเทรุตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ
ที่แรกที่ผมไปหลังจากแตะแผ่นดินญี่ปุ่นคือแมนชั่นของทาคาเทรุ ดูเหมือนเขาจะไม่อยู่ที่ห้อง โทรเข้ามือถือก็ไม่รับสาย
แต่จากที่อยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี ผมรู้ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนตอนที่ไม่สบายใจ พอลองไปที่นั่นดูก็เจอจริงๆด้วย
ภาพเขาที่เหม่อมองทะเลทำให้ผมรู้สึกปวดใจขึ้นมา ทาคาเทรุในตอนนี้ดูเปราะบางเหมือนพร้อมจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ
ผมถอดเสื้อโค้ตคลุมตัวเขา นั่งลงข้างๆมองทะเลไปด้วยกัน ให้ความเงียบไหลผ่านพวกเราไปช้าๆ ในตอนนี้ก็ทำได้แค่รอให้ทาคาเทรุเอ่ยปากพูดออกมาเอง
“รู้เรื่องหมดแล้วใช่มั้ย อิมาริ”
“ใช่”
“พอเดาออกสินะว่าฉันทำอะไรลงไป”
“ฉันอยากรู้จากปากทาคาเทรุมากกว่า”
“ถ้าฉันบอกไปนายจะเกลียดฉันมั้ย”
“นายก็รู้ว่าฉันไม่มีวันเกลียดนายได้หรอก”
“น่าแปลกนะ อิมาริ” ทาคาเทรุแค่นหัวเราะ “ทั้งๆที่ฉันน่ะคิดว่าตัวเองไม่เหลือเยื่อใยกับคนพวกนั้นแล้วแท้ๆ แต่ทำไมฉันต้องรู้สึกเจ็บขนาดนี้ก็ไม่รู้”
เขายังคงพึมพำคำว่า “ทำไมกันนะ” ซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มช้าๆโดยไร้เสียงสะอื้น ผมเลยดึงเขาเข้ามากอด
ผมกลัวว่าถ้าไม่จับเขาไว้ เขาอาจจะเดินลงทะเลไปต่อหน้าต่อตาเลยก็เป็นได้
อาจจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ในตอนนี้ผมก็นึกอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้วจริงๆ
.
.
.
ทาคาเทรุเริ่มทำงานกับผมในตำแหน่งเลขา แม้ผมจะรู้สึกแย่นิดหน่อยที่เพื่อนสนิทที่เคยมีสถานะเท่าเทียมกัน ต้องมาวิ่งวุ่นจองโรงแรม ร้านอาหารหรือส่งของขวัญไปให้บรรดาสาวๆที่กิ๊กกับผมอยู่ แต่เขาก็ยังจัดการทุกอย่างได้ดีเยี่ยมไร้ที่ติเหมือนเคยจนผมอยากคารวะ
บางครั้งผมเองก็ยังจำชื่อคนที่ผมนอนด้วยเมื่อคืนนี้ไม่ได้เลยนะ
และเนื่องจากเขาคือเลขาของผม บางทีก็ต้องพาไปงานเลี้ยงด้วยเหมือนกัน แม้ผมจะบอกว่าไม่ต้องไปก็ได้ เพราะยังไงก็มีคนจำเขาได้อยู่ดีว่านี่คือคุณชายของตระกูลคิโชวอินที่เพิ่งล้มละลายไป แต่ทาคาเทรุก็บอกว่าไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เลขาต้องตามไปดูแลความเรียบร้อยให้เจ้านาย และเดินเข้างานเลี้ยงอย่างสง่าผ่าเผยไม่หวาดหวั่นต่อเสียงซุบซิบนินทา
ในงานเลี้ยงผมแนะนำให้เขารู้จักกับผู้ประกอบการมากมายที่ตระกูลโมโมโซโนะมีคอนเนคชั่นด้วย เผื่อว่าวันหนึ่งทาคาเทรุอยากเปิดกิจการอะไรซักอย่างขึ้นมาก็จะได้ไม่ลำบาก และผมพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ในทุกๆด้าน เงินทุน เส้นสาย หรืออะไรก็ตามที่เขาต้องการ
ระหว่างที่คิดเรื่องนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องมาทางนี้ เป็นชูสุเกะคุงของตระกูลเอ็นโจที่มองมา
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มองผม แต่มองทาคาเทรุที่ยืนอยู่ด้านหลังของผมต่างหาก
อืมมมม รู้สึกว่าหมอนี่จะเป็นเพื่อนสนิทกับมาซายะคุง บางทีอาจจะมีส่วนทำให้คิโชวอินกรุ๊ปล้มละลายด้วยแน่ๆ
เมื่อเจอกันในงานเลี้ยงอีกหน ผมเลยเดินไปทักทาย และชูสุเกะคุงก็ตอบรับผมด้วยรอยยิ้มสุภาพที่ทำให้นึกถึงทาคาเทรุขึ้นมา
ตอนนี้ชูสุเกะคุงอยู่ในขั้นเรียนรู้งานบริหาร เราก็เลยคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระอย่างเรื่องสถานที่เที่ยวที่ต้องพาลูกค้าไปเอนเตอร์เทน ผมแนะนำเขาไปหลายที่ เขาก็แนะนำผมกลับมาอีกหลายที่เหมือนกัน
ก็ฟังดูเป็นร้านที่น่าสนใจ สัปดาห์ต่อมาผมก็เลยไปร้านที่มี “นกน้อยที่ร้องเพลงได้ไพเราะมาก” ตามที่ได้รับการแนะนำมา ถ้าเป็นร้านที่เข้าท่าจริงๆผมก็จะได้สถานที่พาลูกค้ามาเที่ยวเพิ่มอีกที่ ยังไงก็ต้องขอลองก่อน
บรรยากาศโดยรวมของร้านก็ดี อาจจะเก่าแก่สู้ย่านกิอนที่เกียวโตไม่ได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกสูงส่งสง่างาม เหมาะกับคนที่อยากสัมผัสเสน่ห์ของสาวญี่ปุ่นและศิลปะวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม
โอก้าซังแจ้งว่า “นกน้อยที่ร้องเพลงได้ไพเราะที่สุดในร้าน” ที่ผมเรียกหามารออยู่หน้าห้องแล้ว และปรบมือให้เธอเข้ามา
...นั่นมันน้องสาวของทาคาเทรุนี่
แม้จะตกใจนิดหน่อยที่ได้มาพบเธอในสถานที่ที่คาดไม่ถึงแบบนี้ แต่เธอไม่ได้แสดงออกว่ารู้จักกับผม มีแค่การโค้งคำนับให้และทักทายแนะนำตัวในตอนต้นก่อนจะออกไปร่ายรำให้ดู
ก็เป็นนาฎศิลป์ที่อ่อนช้อยงดงามตามแบบฉบับของกุลสตรีญี่ปุ่น แถมยังมีเสียงร้องที่ไพเราะคลอไปกับเสียงของซามิเซ็งที่เธอบรรเลงเอง ดูแล้วก็เพลิดเพลินดีสมกับที่ชูสุเกะคุงแนะนำมาจริงๆ
โอก้าซังบอกว่าเธอเป็นดาวเด่นที่น่าจับตามองที่สุดในร้าน อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้นจากไมโกะมาเป็นเกโกะเต็มตัว หากผมสนใจก็สามารถมารับชมการแสดงจากเธอได้ทุกเมื่อ
เมื่อเวลาหมดลง ผมก็ขอให้เธอเดินออกไปส่งขึ้นรถเพื่อจะสอบถามที่มาที่ไปว่าทำไมเธอถึงมาทำงานแบบนี้ได้
เธอทำท่าประหลาดใจตอนที่ผมบอกว่าชูสุเกะคุงแนะนำร้านนี้ให้ แต่พอพูดถึงทาคาเทรุ เธอก็ดูจะหงุดหงิดขึ้นมา เชิดหน้าขึ้นแบบถือดีว่าจะไม่รับฟังความคิดเห็นใดๆอีก เป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเองอย่างที่ทาคาเทรุว่าไว้จริงๆ
“แต่ยังไงฉันก็เป็นห่วงเรย์กะจังนะ ทำอาชีพแบบนี้ก็ต้องเจอคนหลากหลายประเภทอยู่แล้ว อาจจะมีคนไม่ดีมาหลอกก็ได้”
“แล้วท่านอิมาริเป็นคนไม่ดีรึเปล่าล่ะคะ”
คุณน้องสาวช้อนตามองผมด้วยท่าทางที่ดูเหมือนกำลังยั่วยวน เอาเนื้อตัวมาเบียดแนบชิด แถมยังมีการเอานิ้วแตะปากผมเพื่อขอให้รักษาความลับไม่ให้บอกทาคาเทรุอีกต่างหาก
ในเมื่อเสนอมาขนาดนี้ ไม่สนองก็เสียเชิงชายแย่
ผมเลยกอดเธอไว้ด้วยสองแขน จงใจกดฝ่ามือเข้ากับสะโพกของเธอให้แนบชิดกับร่างกายท่อนล่างของผม เธอสะดุ้งทันที ตามมาด้วยอาการตัวแข็งทื่อ ไปต่อไม่ถูกเหมือนเพิ่งจะเคยถูกผู้ชายทำแบบนี้ด้วย
ก็นะ ….ถึงจะวางท่าเป็นสาวเจนจัดยั่วยวนผมขนาดไหน แต่เนื้อแท้เธอก็คือคุณหนูในห้องหอผู้อ่อนต่อโลกอยู่ดี
แถมในชีวิตอันแสนเย่อหยิ่งหัวสูงของเธอก็มีแต่การไล่ตามมาซายะคุงไม่เหลียวแลใครอื่น คงไม่ต้องคาดเดาให้เมื่อยหรอกว่าเธอจะได้ใกล้ชิดผู้ชายอื่นในลักษณะแบบนี้มั้ย
เมื่อตั้งสติได้ คุณน้องสาวผละตัวออกจากผมแล้วจ้ำอ้าวหนีกลับเข้าไปในร้าน ยิ้มที่ให้ก่อนจากก็ดูเป็นยิ้มฝืดๆเหมือนพยายามจะทำตัวให้เข้มแข็ง
ผมได้แต่หัวเราะอยู่ในใจกับความไร้เดียงสานั่น
คิดจะมาเล่นเกมแบบผู้ใหญ่กับผมน่ะ มันยังเร็วเกินไป
.
.
.
.
มื้อค่ำ ผมชวนทาคาเทรุออกไปทานข้าว คิดว่าจะลองเลียบๆเคียงๆถามเรื่องคุณน้องสาวดูซักหน่อย ผมเลือกร้านโปรดของเขาเพราะอยากให้อารมณ์ดีและผ่อนคลายบรรยากาศกับสิ่งที่จะพูดกันต่อจากนี้
พอได้ยินชื่อของน้องสาว ทาคาเทรุก็ดูเครียดขึ้นมาโดยพลัน
“ถามทำไม”
“แค่สงสัยว่านายยังติดต่อกับครอบครัวอยู่มั้ย”
“นายก็รู้ความสัมพันธ์ของครอบครัวฉันเป็นยังไงไม่ใช่เหรอ อิมาริ” ทาคาเทรุวางตะเกียบลงแล้วจ้องผมเขม็ง “และการที่อยู่ๆนายมาถามฉันเรื่องน้องสาวนี่มันแปลกๆนะ...นายไปรู้อะไรมาใช่มั้ย”
ฉลาดสมเป็นทาคาเทรุเลยแฮะ...ปิดบังอะไรไม่ได้เลย
“โว้ว ใจเย็นๆก่อน”
ผมยกมือขึ้นห้ามก่อนที่เขาจะกระชากคอเสื้อผมกลางร้านอาหารเพื่อเค้นคำตอบ
“คือ...ที่จริงแล้วฉันไปเจอเรย์กะจังทำงานอยู่ในร้านเกอิชาแถวๆอาซากุสะน่ะ”
ถึงเรย์กะจังจะบอกให้ผมเก็บเป็นความลับ แต่ทาคาเทรุสำคัญกว่า และหมัดของหมอนั่นก็หนักเสียด้วยสิ
ทาคาเทรุไม่มีปฏิกริยาอะไรตอนที่ได้ฟังเรื่องราว จิบสาเกไปเงียบๆ รอให้ผมพูดให้จบแล้วก็ลงมือทานข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จะไม่ไปห้ามหน่อยเหรอ”
“ทำไมต้องห้ามด้วยล่ะ” ทาคาเทรุตอบกลับมาด้วยทีท่าเฉยเมย “ก็ในเมื่อเลือกที่จะทำแบบนั้นเอง ฉันจะไปห้ามอะไรได้ อีกอย่างเกอิชาก็ไม่ใช่อาชีพไม่สุจริตซักหน่อย คนอย่างยัยนั่นรู้จักทำมาหากินด้วยตัวเองก็ดีแล้วนี่”
“เย็นชาจังเลยน้า”
ผมหยอกเขา ทาคาเทรุเลยปรายตามองมาด้วยความเย็นชาจริงๆก่อนจะปรบมือเรียกพนักงานให้เข้ามาในห้องเพื่อสั่งขนมหวาน
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับความอร่อยของวุ้นโยคังหลากสีสันในจานกระเบื้องเคลือบที่เหมือนจะมาจากฝีมือของศิลปินแห่งชาติ ทาคาเทรุก็ดูนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด
“อิมาริ”
“อื๋อ ว่าไง”
“นายบอกว่ารู้เรื่องนี้มาจากชูสุเกะคุงของตระกูลเอ็นโจใช่มั้ย”
“ใช่” ผมใช้ส้อมไม้อันเล็กๆตัดแบ่งขนมให้เป็นชิ้นเท่าๆกันก่อนลงมือทาน “แต่ฉันก็คิดว่ามันแปลกที่อยู่ๆหมอนั่นจะมาบอกฉันเรื่องนี้…”
“นั่นสิ” ทาคาเทรุจับคางตัวเองทำท่าครุ่นคิด “เท่าที่ฉันรู้ เด็กจากตระกูลเอ็นโจนั่นกับเรย์กะเป็นศัตรูกัน และหมอนั่นก็คอยผลักดันให้เพื่อนสนิทอย่างมาซายะคุงคบกับเด็กที่ชื่อทาคามิจิแบบเปิดเผยซะด้วย”
“หรือว่าชูสุเกะคุงอยากให้ฉันเอาเรื่องมาบอกนาย...ก็ทำสำเร็จอยู่นะ”
เพียงแค่ผลลัพธ์มันอาจจะเย็นชาไปซักหน่อยเพราะทาคาเทรุไม่สนใจไยดีคุณน้องสาวเลยแม้แต่นิด พี่ชายของเธอใจดำจริงๆนะเรย์กะจัง
“นั่นสิ...แต่บอกฉันไปจะมีประโยชน์อะไร”
“ไม่รู้สิ อาจจะอยากให้นายห้าม” ผมยักไหล่ “ฉันเองก็ยังอยากให้นายไปห้ามเลย เรย์กะจังถึงจะดูร้ายๆแต่ฉันว่าจริงๆแล้วเธออ่อนต่อโลกมากเลยนะ”
“นายโดนหลอกแล้วล่ะอิมาริ” ทาคาเทรุพ่นลมหายใจแบบดูถูก “เสียชื่อหมดแล้ว ผ่านผู้หญิงมาเยอะประสาอะไร แค่นี้ก็ดูไม่ออกว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังทำมารยาสาไถอยู่”
“อันนี้ฉันพูดจริงๆนะ…ตอนนั้นฉันแค่แกล้งแบบถึงเนื้อถึงตัวไปนิดๆหน่อยๆเอง แต่เธอดูตกใจมากจริงๆ ตัวนี่แข็งทื่อไปเลยล่ะ”
ทาคาเทรุขมวดคิ้วเข้าหากัน ผมเลยรีบพูดต่อ
“แค่กอดเฉยๆน่ะ สาบานได้ว่าไม่มีอะไรเกินเลยจากนี้จริงๆน้า”
“งั้นเหรอ”
เขาพยักหน้าเนิบๆแล้วยกแก้วชาเขียวขึ้นดื่ม ปล่อยผ่านไปในเรื่องนี้ ผมเลยแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นึกว่าจะโดนต่อยซะแล้ว
“แต่เรื่องนี้มันก็น่าสงสัยว่าทำไมยัยนั่นถึงไปทำงานแบบนี้ได้” ทาคาเทรุเคาะนิ้วลงกับโต๊ะแบบกำลังใช้ความคิด “ปกติอาชีพนี้ก็ไม่ได้ผุดขึ้นมาเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆเวลาคนเราจะหางานทำอยู่แล้วนี่”
“ไม่รู้สิ เรย์กะจังอาจจะคิดได้เองรึเปล่า ก็ดูเป็นอาชีพที่เหมาะกับเธอออกนะ”
“ไม่มีทางหรอก ฉันรู้จักนิสัยของผู้หญิงคนนั้น” เขาแค่นหัวเราะ “คนเย่อหยิ่งหัวสูงแบบนั้นน่ะ ยอมอดตายดีกว่าจะไปทำงานก้มหัวเอาอกเอาใจคนอื่น เป็นคนโง่ที่แบกอีโก้ตัวเองไว้สูงลิบลิ่วเลยล่ะ”
ผมรับฟังไปเงียบๆพร้อมกับจิ้มวุ้นเข้าปาก ยังไงซะก็เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้รู้ลึกตื้นหนาบางเท่าคนในครอบครัวอยู่แล้ว
“บางที...ฉันว่าพ่ออาจจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็ได้”
“ประธานคิโชวอินน่ะเหรอ”
“น้องฉันไม่ได้มีสมองพอจะคิดอะไรได้ด้วยตัวเองหรอกนะอิมาริ” ทาคาเทรุเหยียดยิ้ม “แล้วที่ผ่านมาเธอก็เอาแต่เชื่อฟังและรับคำสั่งจากพ่อนั่นล่ะ ถ้าพ่อบอกว่าดีเธอก็พร้อมจะเชื่อว่าดีหมดทุกอย่าง”
“แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเรื่องนี้อยู่ดีว่าประธานคิโชวอินจะทำแบบนั้นไปทำไม”
“ก็ไปสืบมาสิ” เขาตอบกลับมาแบบง่ายๆ “ฝากจัดการด้วยล่ะอิมาริ”
“เฮ้ย!!” ผมเกือบสำลักชาเขียวที่กำลังยกดื่ม “ทำไมฉันต้อง…”
“หรือนายมีปัญหา??” ทาคาเทรุเปลี่ยนมาเป็นยิ้มหวานหยดแบบที่เห็นแล้วเสียวสันหลัง
“...ไม่มีครับ ท่านทาคาเทรุ”
“ดี” เขาดูพอใจ เอนตัวลงนั่งกับกับพนักพิงเบาะ ลงมือทานขนมที่เหลืออยู่บนจานของตัวเองด้วยท่าทีรื่นรมย์ ทำเอาผมแอบบ่นปอดแปดอยู่ในใจ
ตกลงใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นเลขากันแน่นะ
.
.
.
.
.
การสืบของผมคือการไปพบกับคุณน้องสาวตามแต่จะหาเวลาว่างไปได้ แพทเทิร์นก็คล้ายๆกับผู้หญิงคนอื่นๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผมเลยไม่ต้องเสียเวลาเดาใจอะไรมาก ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบพวกดอกไม้ เครื่องประดับ สถานที่หรูๆและความสะดวกสบายกันอยู่แล้ว
ผมลองหาข้อมูลจากด้านอื่นดูด้วยก็พบว่าอาชีพนี้ถึงจะไม่ได้ขายเรือนร่าง ขายแต่ศิลปะก็จริง แต่ก็มีสิ่งที่เรียกว่าผู้อุปถัมภ์อยู่ โดยที่เธอจะนอนกับผู้อุปถัมภ์นี้เพียงแค่คนเดียว ส่วนผู้อุปถัมภ์ก็จะคอยสนับสนุนเรื่องการเงินให้เป็นการแลกเปลี่ยน
และผู้อุปถัมภ์ก็จำเป็นที่จะต้องร่ำรวย เพราะว่าค่าใช้จ่ายของเกโกะแต่ละเดือนนั้นก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อย ไหนจะชุดกิโมโนที่หรูหราและเครื่องประดับที่ต้องใส่ตามฤดูกาล ไหนจะค่าฝึกซ้อมศิลปะวัฒนธรรม ...ก็ยุ่งยากอยู่เหมือนกันนะ
พอบอกทาคาเทรุไปในเรื่องนี้ เขาก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแล้ว
“ฉันก็พอจะเดาได้ว่าพ่อให้เรย์กะไปทำงานแบบนี้ทำไม”
ผมก็เดาออกตั้งแต่เรื่องที่ต้องมีผู้อุปถัมภ์แล้ว ที่วางท่ายั่วยวนผมขนาดนั้นก็หมายความว่าเธอก็น่าจะกำลังมองหาอะไรทำนองนี้อยู่ ก็ฟังคล้ายพล็อตละครน้ำเน่าเหมือนกัน ที่คุณหนูตกอับต้องการผู้ชายร่ำรวยไว้ให้เกาะเพื่อจะได้กลับไปใช้ชีวิตสุขสบายเหมือนเดิม
“...แต่ที่ยังติดใจอยู่ก็คือเรื่องของเจ้าเด็กตระกูลเอ็นโจนั่น หมอนั่นวางแผนอะไรไว้ หรืออยากให้รู้ความเป็นไปของยัยนั่นและให้จับตามองว่าจะทำอะไร”
ทาคาเทรุหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบกำลังใช้ความคิด ผมเลยแกล้งแหย่เขาไปนิดหน่อย
“อ๋า ถ้าเป็นเซนส์ของฉันล่ะก็ มันบอกว่าชูสุเกะคุงกำลังแอบชอบน้องสาวนายอยู่น่ะ เลยกันทุกทางไม่ให้มาซายะคุงได้แต่งกับเรย์กะจังด้วยการยัดเยียดผู้หญิงคนอื่นให้เพื่อน แถมตอนนี้เรย์กะจังก็ทำงานที่ต้องเอาอกเอาใจผู้ชายตั้งเยอะเลยหึง อยากให้ฉันเอาเรื่องมาบอกนายเพื่อจะให้นายไปห้าม ...นายน่าจะได้น้องเขยจากตระกูลเอ็นโจแล้วล่ะทาคาเทรุ”
ทาคาเทรุปรายตามองด้วยท่าทีเย็นชาและไม่พูดด้วยอีกเลย จนผมต้องยกมือขึ้นทั้งสองข้างเพื่อยอมแพ้
“ขอโทษครับท่าน ไม่เล่นแล้วก็ได้” ผมกระแอมไอเพื่อปรับโทนเสียงให้เป็นการเป็นงานมากขึ้น “แล้วทาคาเทรุอยากรู้อะไรเพิ่มอีกล่ะ”
“นายนอนกับเรย์กะไปรึยัง”
“ถามกันตรงๆแบบนี้เลยเรอะ” ผมสะดุ้งนิดหน่อยแล้วรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังไม่ได้ทำอะไรเลยจ้า”
“ก็ดี”
“หึงเหรอ”
“ไม่” ทาคาเทรุตอบด้วยเสียงเย็นเยียบ “ถ้านายนอนกับยัยนั่นไปแล้ว เรื่องมันจะยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้นล่ะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้น่า”
ผมยิ้มเฝื่อนๆให้เขาแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่นายเถอะ จะให้ฉันช่วยอะไรบ้างเรื่องที่ศาลนัดไต่สวนคดีของพ่อนายในครั้งหน้า”
“ไม่เป็นไร ฉันทำเองได้”
“อย่าเพิ่งปฏิเสธสิ ทาคาเทรุ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อย่างน้อยก็ให้ฉันช่วยเรื่องทนาย…”
“ไม่เป็นไร นี่มันเรื่องในครอบครัวฉัน”
“แต่ว่า…”
“เรื่องนี้นายช่วยอะไรไม่ได้หรอก อิมาริ” ทาคาเทรุตอบห้วนๆ “พ่อไม่มีทางชนะคดีได้ต่อให้จะไปหาทนายเก่งที่สุดในโลกมาให้ พวกคาบุรากิจะไม่ยอมให้พ่อออกจากคุกมาเล่นงานพวกเขาหรอก”
จ้องกันอยู่ซักพัก ทาคาเทรุก็เป็นฝ่ายหลบตาก่อน เขาดันแว่นที่เลื่อนหลุดลงมาให้แนบกับสันจมูกแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อ
“ฉันรู้ว่านายหวังดีและอยากช่วยนะอิมาริ แต่ว่าเรื่องนี้อย่าลากตัวเองเข้ามายุ่งนักเลย นายคงไม่อยากมีปัญหากับเครือคาบุรากิหรอกใช่มั้ย”
“เข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้าแบบจำยอม “งั้นฉันไปก่อนล่ะ จะได้ไม่รบกวนเวลาอ่านเอกสาร”
ทาคาเทรุไม่ได้มีปฏิกริยาอะไรตอบกลับมา ผมเลยลุกขึ้นจากโซฟาตัวที่นั่งอยู่ วางมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะของเขาแล้วโน้มตัวลงไปหา
“แต่อยากให้รู้ไว้นะ ที่ฉันยอมถอยเพราะทาคาเทรุขอร้องต่างหาก”
ทาคาเทรุนิ่งค้างไปตอนที่ผมก้มลงไปกระซิบข้างหู
“ฉันไม่กลัวพวกคาบุรากิหรอกนะ”
------------------------------------------------
รู้สึกว่าจะเขียนอิมาริดูไม่ค่อยเหมือนอิมาริเลยว่ะ หรือจะเลี่ยนน้อยไป คำหวานน้อยไป 5555555
บ้าเอ๊ย กูจิ้นแล้วค่าาา
อยากให้มีบทของนายตัวสำรองด้วยจังอยากอวยคู่นี้มากกว่ารู้สึกเอ็นโจร้ายไป!!
>>947-952 อิมารินี่ดูไม่ได้มีความสนใจผู้หญิงเท่าท่านพี่เลยว่ะ อะไรก็ทาคาเทรุๆๆมาก่อน แถมยังดูมีความเป็นพ่อบ้านใจกล้า ไปไหนก็รายงาน ยอมลงให้ไม่ขัดใจ แต่พออยากปกป้องภรรยาเอ้ยเพื่อนสนิท ก็พร้อมชนได้ตลอด เธอได้พี่เขยจากตระกูลโมโมโซโนะแล้วล่ะเรย์กะจัง 555555555555
เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ
ถ้า Kimi no Dolce ตั้งอยู่ในเซ็ตติ้งชิงรักหักสวาทในนิยายจีนโบราณ
1.
'เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ' เป็นนิยายจีนโบราณที่เขียนโดยนักเขียนมือสมัครเล่นชาวญี่ปุ่นตามเทรนด์กระแสนิยายจีนที่กำลังบูมอยู่ในตอนนี้ สาเหตุที่ทำให้เรื่องนี้โด่งดังนั้น นอกจากพล็อตแสนน้ำเน่าตามแบบฉบับ ก็คือความฟิวชั่นระหว่างเซ็ตติ้งจีนและตัวละครแบบญี่ปุ่น
"ชื่อจีนน่ะจำยากจะตาย"
ใครซักคนในอินเตอร์เน็ตเคยคอมเมนต์เอาไว้ ดังนั้นแม้ว่าจะมีชื่อญี่ปุ่นในนิยายจีน กลายเป็นนิยายจีนเสิ่นเจิ้น แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องย่อยง่าย จำชื่อตัวละครได้ไม่ยาก จึงทำให้นิยายติดตลาด ภายหลังจึงได้มีมังกะ อนิเมะ และทีวีซีรีย์ผลิตออกมาอีกด้วย
นั่นทำให้สาวกโชวโจมังกะอย่างฉันได้รู้จักเรื่องนี้ รวมถึงตามไปอ่านนิยายต้นฉบับในที่สุด
ดังนั้นเมื่อฉันตื่นขึ้นมาในร่างของคิโชวอิน เรย์กะ นางร้ายในเรื่อง 'เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ' สิ่งแรกที่ทำคือการขดอยู่ในห้องนอน กอดหมอนแข็งเป๊ก แล้วสติแตกโดยสมบูรณ์
.....
2.
นางเอกของเรื่อง 'เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ' คือ ทาคามิจิ วาคาบะ
วาคาบะจังเป็นลูกสาวคนโตของร้านทำของว่าง แม้ว่าจะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ก็เลื่องชื่อด้านความแปลกใหม่ ทางวังหลวงเลยเกณฑ์ให้ครอบครัวทาคามิจิเข้าไปทำอาหารในห้องเครื่อง
ด้วยฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ขนมของวาคาบะจังถูกใจองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทที่เย็นชาถึงกับเรียกวาคาบะจังมาตกรางวัลด้วยตนเอง ทำให้วาคาบะจังเป็นที่อิจฉาของบรรดาคุณหนูทั้งหลาย การกลั่นแกล้งเลยเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น
ในเรื่อง 'เจ้าคือมธุรสอันหวานล้ำ' เมื่อถึงอายุที่เหมาะสม บรรดาคุณหนูจากบ้านขุนนางชั้นสูงทั้งหลายจะเข้าวังหลวงมาเรียนรู้มารยาทจากบรรดาผู้คุ้มกฏ รวมถึงสังสรรค์คลายเหงาให้กับพระสนมตำหนักใน จุดมุ่งหมายที่แท้จริงนั้นคือการคัดเลือกฮูหยินที่เหมาะสมให้กับบรรดาองค์ชายและท่านผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย รวมถึงสานสัมพันธ์ระหว่างตระกูลต่าง ๆ ด้วย
คิโชวอิน เรย์กะ ท่านหญิงบุตรีของเสนาบดีกรมคลัง ผู้ที่องค์ฮองเฮาหมายตาให้เป็นชายาเอกขององค์รัชทายาท เมื่อได้ทราบข่าวก็เป็นแกนนำในการวางแผนรังแกนางกำนัลห้องเครื่องผู้นี้ จนต้องสาวงามต้องระหกระเหินไปเป็นนางกำนัลลานซักล้าง และถูกระเห็ดออกจากวังหลวงในที่สุด
แม้ว่าจะกำจัดวาคาบะจังออกไปได้ แต่ยังมีสาวงามอีกนับร้อยที่หมายปองในตัวองค์รัชทายาท ในงานชมดอกไม้ที่ไว้แสดงฝีมือของบรรดาสาวงาม และเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ชนะจะได้ดื่มชาล่องเรือกับองค์รัชทายาท เรย์กะผู้ไร้ความสามารถจึงใช้แผนกลโกงสารพัดเพื่อให้ตัวเองชนะ คาบุรากิ มาซายะ ผู้เป็นรัชทายาทได้เห็นถึงแผนการและจิตใจอันชั่วร้ายของเรย์กะ จึงปฏิเสธที่จะล่องเรือด้วย
เรย์กะผู้ผูกใจแค้นการหักหน้าครั้งใหญ่ขององค์รัชทายาทได้ร่วมมือกับองค์ชายสี่ ใส่ร้ายองค์รัชทายาทว่าร่วมมือกับต่างชาติเพื่อโค่นล้มบัลลังก์พระบิดา เพราะไม่อาจทนรอให้ฮ่องเต้หนุ่มแก่ชราและสิ้นลงได้
บรรดาผู้ที่ไม่พอใจองค์รัชทายาทต่างรวมหัวกันสร้างหลักฐานปลอม ทั้งจดหมายติดต่อต่างชาติ และฎีการ้องทุกข์จากราษฎรที่ถูกองค์รัชทายาทวางอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแก รวมถึงสร้างเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์องค์ฮ่องเต้ในงานล่าสัตว์
นอกจากนั้น เรย์กะยังรวมหัวกับพระสนมผู้เกลียดชังฮองเฮา ลอบใส่ยาพิษลงในน้ำชาทีละน้อย ทำให้ฮองเฮาป่วยหนัก รวมถึงวางยาฮ่องเต้ให้อ่อนแอสติเลอะเลือน
องค์ฮ่องเต้ที่เสวยยาหลอนประสาทจนไม่อาจตัดสินพระทัยเรื่องใดได้ ถูกกดดันจากบรรดาขุนนางจึงสั่งกักบริเวณองค์รัชทายาท
ฮองเฮาป่วยหนักจนสิ้นพระชนม์ ตามหลักแล้วควรมีการไว้ทุกข์ แต่ในเรื่องกลับให้ขุนนางกดดันองค์ฮ่องเต้ให้รับบุตรีของเสนาบดีการคลังเข้าวัง เรย์กะผู้ที่เข้าวังก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งชั้นเฟยกุมอำนาจในวังได้อย่างเบ็ดเสร็จเนื่องจากฐานอำนาจจากครอบครัวและกุมข้อมูลความลับของบรรดาพระสนมไว้ในมือ
แม้องค์รัชทายาทจะถูกกักบริเวณ ทว่าความแค้นของเรย์กะยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เธอรวมหัวกับองค์ชายสี่สั่งให้นักฆ่าปลงพระชนม์องค์รัชทายาท แสร้งทำเป็นว่าเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ตำหนัก
โชคดีที่ชูสุเกะ องค์ชายรองผู้สนิทสนมกับองค์รัชทายาทล่วงรู้แผนการนั้น และลอบช่วยเหลือคาบุรากิ ทว่าทำได้แค่เพียงช่วยออกมาจากกองเพลิงเท่านั้น
องค์รัชทายาทพร้อมองครักษ์คุ้มกันหลบหนีจากบรรดานักฆ่าที่ตามล้างผลาญ สุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทหลบหนีได้แต่เพียงผู้เดียวเนื่องจากองครักษ์แลกชีวิตกับนักฆ่าจนหมดสิ้น หลังจากที่บาดเจ็บระหกระเหิน ก็ได้หมดสติไปในกลางป่า
และถูกวาคาบะช่วยไว้
วาคาบะที่ถูกขับไล่ออกจากวังมาเปิดร้านขายซาลาเปาในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งได้ทำการดูแลรัชทายาทที่ป่วยหนัก หลังจากที่องค์รัชทายาทหายดี ก็ติดต่อวางแผนกับองค์ชายรองเพื่อหาหลักฐานเปิดโปงเรย์กะ
ตอนที่องค์ชายสี่กำลังจะลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ องค์ชายรองพร้อมรัชทายาท รวมถึงขุนนางผู้สนับสนุน ก็ได้นำหลักฐานเปิดโปงองค์ชายสี่และเรย์กะต่อหน้าองค์ฮ่องเต้
องค์ฮ่องเต้ผู้ที่ในตอนนั้นสุขภาพย่ำแย่ใกล้สิ้นพระทัย ได้มอบตรามังกรให้กับคาบุรากิ ก่อนจะสิ้นพระชนม์ไป
หลังจากที่คาบุรากิขึ้นครองบัลลังก์ ก็ได้สั่งประหารองค์ชายสี่ และมอบผ้าแพรสามศอกให้กับเรย์กะ หลังจากนั้นจึงรับวาคาบะมาเป็นฮองเฮา ในวังหลังของพระองค์ไม่มีผู้ใดอีกนอกจากเธอ
เรื่อง 'เจ้าคือมธุรสหวานล้ำ' เป็นเรื่องราวรักใคร่ระหว่างชนชั้น สาวชาวบ้านผู้ดูแลองค์รัชทายาทในยามตกอับ และกลายเป็นฮองเฮาในยามที่องค์รัชทายาทชิงบัลลังก์คืนได้ในที่สุด
เรื่องราวซาบซึ้งตรึงใจ แม้จะน้ำเน่าไปหน่อย แต่ไม่ว่าสาว ๆ คนไหนก็อยากเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้หน้าตาดีอายุน้อยทั้งนั้น โดยเฉพาะฮ่องเต้ที่รักแต่เธอคนเดียว ไม่ได้หาสาวงามเข้าตำหนักในให้ต้องชิงรักหักสวาทแต่อย่างใด
ปัญหาคือฉันทะลุมิติเข้ามาในร่างของคิโชวอิน เรย์กะ ที่มีชะตากรรมต้องแขวนคอตายด้วยผ้าแพรสามศอกตอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดี และในตอนนี้เรย์กะก็อายุสิบสี่ปี ซึ่งเป็นอายุที่เธอจะต้องถูกเรียกเข้าวัง และตกหลุมรักองค์รัชทายาทซึ่งจะนำเธอไปสู่หนทางตายในอีกหกปีข้างหน้า
เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกจากสาวใช้ ทำให้ฉันซุกตัวลึกเข้าไปในเตียง ก่อนจะตะโกนออกไปว่าไม่สบายเมื่อได้ยินว่าวันนี้ฉันต้องแต่งตัว เพื่อไปอบรมมารยาทที่วังวันแรก ซึ่งเป็นวันที่จะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงและพบหน้ากับคาบุรากิ
ถึงแม้ฉันจะไม่มีอารมณ์พิศวาสผู้ชายที่สั่งประหารตัวเองในอีกหกปีข้างหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่าในงานจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นถ้าเลี่ยงการพบหน้าได้ ยังไงฉันก็จะขอเลี่ยงจนถึงที่สุด!
.....
ไม่มีตอนที่ 3 กูแค่สติแตกจากการทำงาน เลยหนีมาแต่งฟิคค่ะ
สนุกดีนะผมว่า น่าจะมีต่ออีกซักตอน!!
มธุรสหวานล้ำนี่กูนึกถึงนิยายของบางค่ายเลย ต้องสลายกลายเป็นเถ้าราวน้ำค้างด้วยมั้ยวะ 555555555
ไม่มีต่อเรอะ สนุกดี ชิงไปจีบวาคาบะตัดหน้าองค์ชายรัชทายาทไปเลย ให้มาทำอาหารให้เรากินคนเดียวก็พอ ส่วนเรื่องในวังหลังก็ช่างมัน มีแค่ทุ่งดอกยูริก็โอเคแย้ว
เรย์กะกลายเป็นเถ้าน้ำค้างไปแร้วค่าาา
จริง ๆ แล้วกูพยายามแปล dolce อ่ะนะ แต่แบบ หาคำไม่เจอเลยยืมมา ไม่ได้บังเอิญเหมือนแต่อย่างใด แต่เนื้อหาไม่เกี่ยวกันแม้แต่น้อย
มึงปิดโหวตชื่อที่ 970 โอเคไหม 5555
Ky แค่มาบอกว่าประทับใจที่มู้นี้ยังแอคทีฟ จะขึ้น 30 แล้วด้วยทั้งที่นิยายไม่ขยับ /ปรบมือค่ะ
*
ฮิโยโกะซามะ กระทู้ 30 แล้ว ขอตอน 300 ด้วยค่ะ TTwTT
ฮึก กูไม่ได้เข้ามาเป็นเดือนแล้ว เรื่องหลักก็ยังไม่อัพหรอมมมมมมมมมม //ลงไปนั่งร้องห้ายยย
แต่ฟิคในกระทู้อัพ กูก็ดีใจที่พวกมึงยังแวะเวียนเข้ามานะ
ปีนี้จัมีมะหมาฉลองวาเลนไทน์มั้ยยนะ...
มาฆบูชาก็ไม่เลวนะ
วาเลนไทน์ปีนี้อยากได้ของขวัญจากอ.เป็นตอนใหม่จังเลยค่ะ แห้งเหี่ยวเหลือเกิน ณ จุดๆนี้ Orz
เนื่องจากฉันรู้สึกว่าการโรยเกลือและทานเยลลี่ลูกท้อ ไม่ค่อยช่วยไล่ปีศาจร้ายที่ชื่อว่าเอ็นโจและคาบุรากิออกไปจากตัวฉันสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันจึงตัดสินใจบินมาไหว้พระที่ประเทศไทยค่ะ เพราะได้ยินมาว่าที่นี่มีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามมากๆอยู่
แต่ทว่า.. ในตอนที่ฉันกำลังก้าวลงจากรถตุ๊กตุ๊กเพื่อเดินเข้าวัด ฉันดันเจอคนที่เป็นต้นเหตุให้ฉันมาไหว้พระที่นี่ทั้งสองคนจนได้! ต้องเป็นเพราะว่าวันนี้คือวันมาฆบูชาแน่ๆเลยค่ะ!!
หลังจากทำตัวเลิ่กลั่กจนคุณคนขับรถตุ๊กตุ๊กเป็นกังวลแล้ว ฉันพึ่งนึกได้ว่าตัวเองใส่ผ้าปิดปากกันฝุ่นอยู่ สองคนนั้นน่าจะไม่รู้ว่าเป็นฉันหรอก จึงเดินลงจากตุ๊กตุ๊กไปจนเกือบถึงประตูทางเข้าวัด
ฉันหันไปมองสองคนนั้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ไม่โดนจับได้ แต่ก็ดีใจอยู่ได้ไม่นาน เพราะจู่ๆตาเอ็นโจก็จ้องมองมาทางฉัน
" คุณคิโชวอิน..? "
" อุกี๊!? "
" คุณคิโชวอินใช่หรือเปล่าครับ? "
เมื่อพูดจบ เอ็นโจค่อยๆเดินตรงมาทางฉัน เหมือนจะมาเช็คให้แน่ใจและทักทาย แต่เขาจัรู้ได้ไงว่านี่เป็นฉัน ไม่มีทางอ่ะะ!
ระหว่างที่เอ็นโจเดินมาเกือบจะถึงตัวฉัน ฉันเหลือบเห็นกลุ่มผู้หญิงกลุ่มนึงกำลังเดินมาทางนี้ จึงหันไปโบกมือให้ และตีเนียนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปแฝงตัวเหมือนรู้จักกับพวกเขาในทันที
แต่เอ็นโจก็ยังคงมองอย่างงงๆ มาทางนี้อยู่ ส่วนกลุ่มผู้หญิงพวกนี้ก็งงว่าฉันเป็นใครมาจากไหน จะให้อธิบายก็คงจะยาก โชคดีที่คาบุรากิเข้าไปสะกิดถามเอ็นโจ ฉันจึงอาศัยจังหวะที่ทั้งสองคนคุยกันวิ่งหนีเข้าไปในวัด สงสัยต้องรีบเข้าไปให้หลวงพ่อพรมน้ำมนต์สักหน่อยแล้วล่ะค่ะ..
http://adrenalease.ca/series/70485
ตอนเห็นปกครั้งแรก นึกถึงเจ้าแม่กับจอมมารก่อนเลย
ทำไมตัวร้ายสไตล์คุณหนูต้องทำผมม้วนหลอดกันด้วยวะ เป็นแพทเทิร์นนิยมหรืออะไร แอบสงสัยมานานละ
เป็นทรงผมบอกความรวยและไฮโซไงมึง ส่วนนางเอกโชโจมังงะมักจะเป็นสาวน้อยธรรมดา ฐานะทางบ้านจนหรือไม่ก็ปานกลาง ไม่ค่อยมีเวลาไปเสริมสวยเท่าไหร่ เลยมักจะเจอนางเอกผมตรงธรรมดาไปจนถึงผมสั้นประบ่า ดูแลรักษาง่าย
เอาจริงๆผมม้วนมีขั้นตอนดูแลเยอะกว่าเพราะฉาบสารเคมีเลยต้องบำรุงกันสุดๆ ไหนจะต้องม้วนให้เป็นทรงตลอด ใช้เวลาเยอะแยะ เข้าร้านเพื่อม้วนผมก็แพงด้วย ดังนั้นเลยเหมาะกับคนมีกะตังและมีเวลาว่างเยอะ ผมตรงเรียบๆธรรมดาหนีบเอาก็ได้ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จัดทรงได้แล้ว
ว่าแล้วก็อยากเห็นภาพท่านเรย์กะที่ไม่ได้ม้วนผมเป๊ะ ปล่อยผมตรงสยายมั่ง กูว่าต้องสวยจนคนมองตาค้าง ไม่ก็อาจจะจำไม่ได้ไปเลย 555
มีใครจะโหวตเพิ่มมะ จะนับคะแนนแล้วนะ
>>828 ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชา กับโม่งซุยรันเรือแตกถ่อเรือบดเข้าทวีปคานที่ 30
>>831 ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรัน กับการประชุมเปิดบริษัทกวนกาวโม่งฟิคสาขาย่อยจากสาขาหลักฮิโยโกะซามะ เฮ้อ ขาดงบสนับสนุนเงินทุนไม่พอ [ ทุบโต๊ะครั้งที่30 ]
I = 1 คะแนน
>>832 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการคาดเดาตัวตนของท่านฮิ หรือว่าจะเป็น!!?!![ขอกาวโม่งฟิคครั้งที่ 30 ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ლ(◉◞౪◟◉ )ლ~ ]
I = 1 คะแนน
>>833 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : สโมสรน้ำ(กัญ)ชาซุยรัน เดตควงพี่น้องหนุ่มต่างวัยชวนใจเต้นโดกิโดกิใต้แสงดอกไม้ไฟ มาติดตามของกินใหม่ของเจ้าแม่กันเถอะ!!! [ ขอยากิโซบะจานที่ 30 ด้วยค่ะ! ]
III = 3 คะแนน
>>836 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับจิตวิญญาณแห่งการรอคอยที่โชติช่วงด้วยพลังเผาไหม้แห่งกาว [เช็กหน้าเว็บครั้งที่ 30xxxxxxxx ]
IIIIII = 6 คะแนน
>>844 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการบริโภคกาวเป็นของว่างระหว่างรอท่านฮิโยโกะกลับมา [แค่คำเดียวนะคะรอบที่ 30]
I = 1 คะแนน
>>845 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันบนบานขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดลบันดาลให้ท่านฮิโยโกะกลับมา [ทานแกงกะหรี่มิราเคิลจานที่ 30]
III = 3 คะแนน
>>846 บ้านพักคนชราของเจ้าแม่เรย์กะ : เชิญชวนมาร่วมจิบน้ำ(กัญ)ชารอท่านฮิโยโกะด้วยกันนะคะ! [ฉลอง(การรอ)ครบรอบปีที่ 30]
>>847 ฮาเร็มของเจ้าแม่เรย์กะ : : ปาร์ตี้น้ำ(กัญ)ชาซุยรันกับการรอคอยเหล่าโม่งฟิคและท่านฮิโยโกะ[มาแก้ความค้างครั้งที่30]
สรุป >>836 คือชื่อกระทู้หน้า
เปิดวาร์ปกระทู้ใหม่ >>>/webnovel/6114
จากนี้เชิญวิ่งควายได้ตามสะดวก
เอ้ยยยย วาร์ปอันบนผิด ต้องอันนี้ต่างหาก >>>/webnovel/6627/
ซอรี่นาจา
ขอตอนใหมมมมม่ให้ด้วยยยยย
ตอนใหม่จะต้องมาเร็วๆนี้แล้วแหละะะะะ
ท่านฮิโยโกะ ลูกโตแล้ว มาแต่งต่อได้แล้วววววว
กาววววววว หนูอยากได้กาววววว
จะเรืออาหารหรือคานซังก็ได้ ช่วยมาต่อทีเถ้อออออ
ท่านเรย์กะเลือกชุดสำหรับดูดอกไม้ไฟนานเกินไปแล้วนะคะะะะะะะ
รอแกงกระหรี่มิราเคิลอยู่นะ----
วาเลนไทน์นี้จงนกไปซะ-----
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.